The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

บทที่ 3 เครื่องมือวัดพฤติกรรมการเรียนรู้พุทธิพิสัย

บทที่ 3 วัดและประเมินผลการเรียนรู้ 65

เคร่อื งมือวดั พฤติกรรมการเรียนรู้

พทุ ธพิ สิ ัย

รองศาสตราจารย์ ดร.วเิ ชยี ร อนิ ทรสมพนั ธ์
คณบดี คณะครุศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั บา้ นสมเด็จเจา้ พระยา

การวัดพฤติกรรมด้านพทุ ธิพิสยั (Cognitive Domain)

Bloom ไดจ้ าแนกออกเป็น 6 ขนั้ ได้แก่

1) ความรู้ความจา (Knowledge)
2) ความเข้าใจ (Comprehension)

-- แปลความ,ตคี วาม,ขยายความ
3) การนาไปใช้ (Application)
4) การวเิ คราะห์ (Analysis)

-- ความสาคญั ,ความสัมพันธ์ หลกั การและเหตผุ ล

5) การสงั เคราะห์ (Synthesis)
6) การประเมินคา่ (Evaluation)





ประเภทของแบบทดสอบ

1. แบง่ โดยใชว้ ธิ ีตอบเปน็ เกณฑ์ (วเิ ชียร เกตุสิงห์, ออนไลน์)

1) แบบทดสอบเขียนตอบ (Essay Test)
2) แบบทดสอบปรนัย (Objective Test)

ก. แบบให้ตอบคาถามเพียงสน้ั ๆ (Short Response)
ข. แบบถกู –ผดิ (True - False)
ค. แบบจับคู่ (Matching)
ง. แบบเตมิ ข้อความให้สมบูรณ์ (Completion)
จ. แบบเลือกตอบ (Multiple Choices)

3) แบบทดสอบใหป้ ฏิบัติ (Performance Test)

ประเภทของแบบทดสอบ

2. แบง่ โดยใช้วิธดี าเนนิ การสอบเป็นเกณฑ์

1)แบบสอบรายบคุ คล (Individual Test)
2)แบบทดสอบเปน็ กลมุ่ (Group Test)
3)แบบทดสอบวัดความเรว็ (Speed Test)

ก.แบบจากดั เวลา (Time–Limit Test)
ข. แบบจากดั งาน (Work Limit Test)
4) แบบทดสอบวัดความสามารถสูงสดุ (Power Test)
5) แบบทดสอบข้อเขียน (Written Test)
6) แบบทดสอบปากเปล่า (Oral Test)

ประเภทของแบบทดสอบ

3. แบ่งโดยใชก้ ารนาผลการสอบไปใช้ (ภัทรานิคมานนท,์ 2543, น. 22-26) คือ

1)แบบทดสอบที่ครูสรา้ งเอง (Teacher – made Test)
2)แบบทดสอบมาตรฐาน (Standardized Test)

ก. ดาเนนิ การสอบแบบเดียวกัน
ข. เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน เป็นแบบเดียวกนั
ค. การแปลความหมายคะแนน ใชเ้ กณฑเ์ ดียวกนั

ประเภทของแบบทดสอบ

4. แบง่ โดยใชส้ ิ่งท่ีตอ้ งการวัดเป็นเกณฑ์

1) แบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธ์ิ (Achievement Test) “แบบทดสอบวดั

ผลสัมฤทธิท์ างการเรียน” (Scholastic Achievement Test) “แบบทดสอบวดั ความพร้อม”
(Readiness Test) “แบบทดสอบวนิ ิจฉยั ” (Diagnostic Test)

2) แบบทดสอบความถนัด (Aptitude Test ) ความถนดั ทางการเรยี นทัว่ ๆ ไป

(Scholastic Aptitude Test) แบบทดสอบวัดความถนดั โดยเฉพาะ (Personality Aptitude Test)

3) แบบทดสอบวัดบุคลกิ ภาพ และการปรับตวั (Personality and
Adjustment Test)

4) แบบทดสอบความสนใจ (Interest Test)
5) แบบทดสอบเจตคติ (Attitude test)

การเขยี นข้อสอบเพอื่ วดั พฤติกรรมด้านพุทธิพิสยั

เพื่อวดั ความสามารถทางสมองใน 6 ด้าน (เยาวเรศ จันทะแสน, 2553, ออนไลน์) ดังต่อไปนี้

1. ความรู้-ความจา
1) ความรูใ้ นเนอื้ หา เช่น ศพั ท์และนิยาม
2) ความรใู้ นวธิ ดี าเนนิ การ
3) ความรู้รวบยอดในเน้ือเร่ือง

2 ความเขา้ ใจ
1) การแปลความ
2) การตีความ
3) การขยายความ

3. การนาไปใช้

การเขียนขอ้ สอบเพ่อื วดั พฤตกิ รรมดา้ นพทุ ธพิ ิสยั

เพอ่ื วดั ความสามารถทางสมองใน 6 ด้าน (เยาวเรศ จนั ทะแสน, 2553, ออนไลน์) ดงั ตอ่ ไปนี้

4. การวิเคราะห์

1) วิเคราะห์ความสาคญั
2) วิเคราะหค์ วามสมั พันธ์
3) วเิ คราะหห์ ลกั การ

5. การสงั เคราะห์

1) สังเคราะห์ข้อความ
2) สงั เคราะห์แผนงาน
3) สังเคราะหค์ วามสัมพนั ธ์

6. การประเมนิ ค่า

1) ประเมินค่าโดยอาศัยเกณฑภ์ ายใน
2) ประเมนิ ค่าโดยอาศัยเกณฑ์ภายนอก

1. ความรคู้ วามจา (Knowledge)

เน้นในการถามความรู้ หรือ จา ในสง่ิ ที่เรียนมาแลว้ วา่

สามารถจาได้หรือไม่ รู้หรือไม่ ซ่ึงแบ่งออกเป็น 3 ดา้ นไดแ้ ก่

1.1 ความรู้และจาในเนอ้ื เรอ่ื ง เน้อื หาสาระ -
ศัพท์ นยิ าม เช่น วิหคหมายถงึ อะไร -

พระกรรณ หมายถงึ อะไร
กฎ ความจริง เช่น a2 มคี วามหมายตรงกบั ข้อใด

ก. a x a ข. a +a ค. aa

1. ความรคู้ วามจา (Knowledge)

1.2 ความรใู้ นวธิ กี ารดาเนินการ
- ระเบยี บแบบแผน เช่น การไว้ทกุ ขข์ องคนไทยใช้เสอ้ื ผา้ สี

อะไร
- ลาดบั ขั้นและแนวโนม้ เช่น เมล็ดพชื จะงอกส่วนใดก่อน
- การจัดประเภท เช่น คาใด ไม่เขา้ พวก
- เกณฑ์ เชน่ อาหารดมี ลี กั ษณะอย่างไร
- วิธีการ เช่น ควรขยายพันธเ์ งาะด้วยวธิ ีใดจงึ จะเหมาะสม

1. ความรู้ความจา (Knowledge)

1.3. รูใ้ นความคิดรวบยอดในเนอ้ื เร่ือง เป็นความสามารถใน
การค้นหาหลกั การหรือหัวใจของเรอ่ื ง

- หลกั วชิ าและการขยายความ เชน่ ดอกกุหลาบ ดอก
รักเร่ และดอกเยอบรี า่ มีลักษณะใดเหมอื นกัน

- ทฤษฏีและโครงสรา้ ง เช่น การจาแนก ตน้ หญ้า ตน้
ข้าว ตน้ ใผ่ เปน็ ประเภทเดยี วกันหรอื ไม่

2. ด้านความเข้าใจ (Comprehension)

เนน้ การเข้าใจ ในเนือ้ หาทเ่ี รยี นผ่านมา

2.1 การแปลความ แปลสง่ิ ซึ่งอยรู่ ะดับหนึ่งไปอกี ระดับหนึ่ง
เช่น

- คาวา่ “ขิงก็ราขา่ กแ็ รง” มคี วามหมายตรงกบั สถานการณ์
ใด

- เหงือกปลาทาหนา้ ทค่ี ล้ายกบั อวยั วะส่วนใดของคน
- “พระอนชุ า” ในเนอื้ เร่ือง หมายถึงใคร
- “He” ในบรรทดั ที่ 5 หมายถงึ ใคร
- อัน “ตวั พ่ี” นไี้ ร้ยศฐานบรรดาศกั ด์ิ.
.............................. “ตวั พี่”หมายถึงใคร

2. ด้านความเขา้ ใจ (Comprehension)

2.2 การตคี วาม เปน็ การจบั ใจความสาคญั ของเรือ่ งหรือการ
เอาเรอ่ื งเดิมมาคดิ ในแง่ใหม่ เช่น

- เหตุใดต้นไม้เล็กที่ขน้ึ อยู่ใตต้ น้ ไม้ใหญจ่ งึ มลี าตน้ สูงชะลูด
- อาจารยค์ นหน่งึ ไปสอนหอ้ งไหน นกั เรียนก็สอบตกเป็น
ส่วนใหญ่ แสดงว่าอาจารยท์ า่ นน้ันเปน็ อย่างไร
- จากเรอื่ งที่อ่าน จะตัง้ ชอ่ื เรอื่ งวา่ อย่างไรจึงจะเหมาะสม
- จากเร่อื งทีอ่ ่าน สรปุ ได้วา่ อย่างไร
- ใจความสาคญั ของบทอา่ นน้ไี ด้แก่อะไร

2. ด้านความเข้าใจ (Comprehension)

2.3 การขยายความ เป็นการคาดคะเนหรอื คาดหวังวา่ จะ
เกดิ ข้ึนในอดตี หรอื อนาคต โดยอาศยั แนวโน้มทีท่ ราบมาเปน็ หลกั
เชน่

- ถ้าภาคอีสานแห้งแลง้ ติดต่อกนั 10 ปี สิง่ ใดจะเกดิ ขน้ึ
- ถ้าแรงโนม้ ถ่วงของโลกลดลงจะเกิดอะไรขึน้
- จากเร่อื ง เหตกุ ารณจ์ ะเป็นเช่นไร
- จากเรือ่ งนกั เรียนคดิ วา่ จะเกดิ อะไรข้ึนตอ่ ไปถ้า............
- ถ้าเหตกุ ารณ์นี้เกดิ ข้นึ จริง..... แล้วจะเป็นเชน่ ไร

3. การนาไปใช้ (Application)

เปน็ การนาความรู้ในเรอื่ งราวใดๆ ไปใชใ้ นสถานการณ์จริง
ในชวี ติ ประจาวันหรือสถานการณท์ ่คี ล้ายคลึงกนั แก้ปัญหาที่แปลก
ใหม่ เช่น
- คนทม่ี ีหนา้ ตาซีดเซยี ว ควรใหร้ บั ประทานอาหารอะไร
- ถ้าไมม่ แี อลกอฮอล์ฆา่ เชอื้ โรค จะใช้อะไรแทน
- ถ้าไม่มมี ีดในหอ้ งครวั จะใชอ้ ะไรแทน
- ถ้าตอ้ งการรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ นกั เรียนจะเลอื ก
อาหารจากชุดใด

1. คนทเี่ ป็นโรคปากนกกระจอกจะรบั ประทานอาหารจานใด
ก. แกงใตปลา นา้ พรกิ ลงเร่ือ
ข. ผัดผักบงุ้ ยาปลาเค็ม ข้าวตม้
ค. โจ๊กขา้ วกล้อง ไขเ่ ค็ม
ง. ต้มส้มปลากระบอก ข้าวเปล่า

2. ถา้ ไมม่ ี Microsoft Word แต่ต้องการพมิ พ์งาน นักเรียน

จะใช้โปรแกรมใด

ก. Paint ข. Excel ค. Powerpoints

3. 5 + 25 + 32 =
ก. 60
ข. 61
ค. 62
ง. 63

4. ถา้ ไมม่ ไี มก้ วาด แต่ตอ้ งการกวาดบา้ นจะใชอ้ ะไรแทนดที ส่ี ุด
ก. ผา้
ข. กระดาษ
ค. ทางมะพรา้ ว
ง. ทซิ ซู่

5. A: How di!
B: …………………….
a. Hi, how is that?
b. How do you do?
c. Yes, it is.
d. Yes, here you are.

6. ถา้ ตอ้ งการลา้ งผกั แต่ไมม่ ดี ่างทบั ทมิ จะใชอ้ ะไรแทน
ก. Sodium Glutamate
ข. Sodium Bicarbonate
ค. Sodium octopus
ง. Sodium calcium

7. จากเรอื่ ง รามเกียรติ์ เราควรปฏบิ ตั ติ นเช่นไร
ก. รกั ชาติ ยิง่ ชพี
ข. รักเพ่อื นยง่ิ กว่า วงศ์ตระกลู
ค. รักตัว กลวั ตาย
ง. รักยาวใหบ้ ั่น รักส้ันใหต้ อ่

8. จากเรื่อง เดก็ เลย้ี งแกะ เราควรนาไปใช้ในการปฏิบัติตนเช่นไร
ก. เล้ียงแกะเยอะๆ จะไดร้ วยๆ
ข. ทาตัวเป็นเดก็ ผ้ใู หญ่จะได้สงสาร
ค. พดู ดี ไม่เสแสร้ง หลอกลวง
ง. ขยันอา่ นหนงั สือ จะไดส้ อบไดเ้ กรดเอ

4. การวิเคราะห์ (Analysis)

4.1 วเิ คราะห์ความสาคญั คือ การจาแนก แยกแยะ
ความสาคญั ของสิ่งตา่ งๆ มักต้ังโจทยว์ า่ “สงิ่ ใดสาคัญทส่ี ดุ ”

- การจาแนกพวกสัตว์ออกเป็นไฟลมั ยดึ สิง่ ใดเปน็ สาคัญ
- ในประเทศไทยแม่นา้ สายใดสาคญั ที่สดุ
- สง่ิ ใดสาคญั ตอ่ ร่างกายของเราทีส่ ุด
- ส่งิ ใดสาคัญตอ่ ต้นไมม้ ากที่สดุ
- สิง่ ใดสาคญั ตอ่ ครอบครวั มากทส่ี ดุ
- อาหารชุดใดมคี วามสาคัญตอ่ คนท่ตี งั้ ท้องมากทสี่ ดุ
- เครื่องมือชุดใดทสี่ าคัญ/จาเปน็ ต่อ......... ทสี่ ุด

4. การวเิ คราะห์ (Analysis)

4.2 วิเคราะหค์ วามสมั พนั ธ์ เป็นการแยกแยะส่งิ ท่ีสมั พนั ธ์
กนั มกั เขยี นโจทยว์ ่า มคี วามสมั พนั ธก์ ันหรือไม่ สัมพันธก์ ับส่งิ ใด

- การทาสงครามระหวา่ งสมุ าอก้ี บั ขงเบ้งเปรยี บไดก้ ับขอ้ ใด
- พ่อครวั คกู่ บั อาหาร แล้วคู่ใดมคี วามสัมพนั ธค์ ล้ายกัน
- 2 . 4. 8. 16 . . .
- 3 . 9. 27. .......
- ปลา : โปรตนี แป้ง : คาร์โบไฮเดรต ฟกั ทอง : …….

4. การวิเคราะห์ (Analysis)

1. ปลา : โปรตีน ขา้ ว : คารโ์ บไฮเดรต
ก. สม้ : เปรีย้ ว
ข. มะนาว : วิตามีน
ค. แตงโม : หวานเยน็
ง. พทุ รา : กรอบ

4. การวเิ คราะห์ (Analysis)

2. 2 : 4 3 : 6 ……….
ก. 3 : 6
ข. 3 : 9
ค. 4 : 8
ง. 9 : 18

4. การวเิ คราะห์ (Analysis)

4.3 วิเคราะหห์ ลักการหรอื เหตผุ ล เปน็ การพจิ ารณาวา่ สิ่ง
ยอ่ ยนัน้ ทางานหรือเกาะยดึ กันไดเ้ พราะใช้หลกั การ หรือเหตใุ ด

- การเคลอื่ นทีข่ องสิง่ ใดใชห้ ลักการผิดกบั ชนิดอน่ื
- เพราะเหตใุ ดมนษุ ยจ์ งึ ตอ้ งชว่ ยกนั ปลูกต้นไม้
- เพราะเหตุใดรถจึงต้องมกี ันชนหน้า
- การทเ่ี รานัง่ รถแล้วเวยี นศีรษะ เพราะเหตุใด

5. การสงั เคราะห์ (Synthesis)

5.1 สงั เคราะหข์ ้อความ เปน็ การนาเอาความรู้และ
ประสบการณม์ าปรับปรงุ ขนึ้ ใหมเ่ ปน็ เร่อื งราวใหม่ (ควรเขียนเปน็
อัตนัยเพราะต้องอธิบาย) สามารถออกเป็นแบบเลอื กตอบได้ เชน่

- เม่อื อา่ นหนังสือรามเกียรติแ์ ล้วทาใหน้ ึกถึงคากลา่ วข้อใด
- จงพิจารณาขอ้ ความข้างลา่ งนเี้ ฉพาะส่วนทีข่ ดี เส้นใตว้ า่
ควรแกไ้ ขอยา่ งไรจึงจะทาใหข้ อ้ ความท้งั หมดถกู ตอ้ ง “บ้าน
เขาอยูใ่ กล้โรงเรียนมากและเขากย็ ังมาโรงเรียนสายเสมอ”

5. การสังเคราะห์ (Synthesis)

5.2 สังเคราะห์แผนงาน เป็นการวัดความสามารถในการเขียน
โครงการ แผนปฏิบัติการ หรือการวางแผนกิจกรรมงานตา่ งๆ ว่าต้อง
ทาอะไร เตรียมอะไร มขี ้ันตอนอย่างไร
- คาใดมีความหมายถึงการวางแผนล่วงหนา้
- ทาอยา่ งไรการแขง่ ขันกีฬากบั โรงเรยี นอื่นจงึ จะมีโอกาสชนะ
- วิธกี ารใดจะทาให้ทราบวา่ เครอ่ื งช่งั ชั่งได้ตรงกับความเปน็ จริง

5. การสงั เคราะห์ (Synthesis)

5.3 สงั เคราะหค์ วามสัมพนั ธ์ เปน็ การเอาความสาคัญและ
หลกั การมาผสมผสานให้เปน็ เรือ่ งเดยี วกัน ทาให้เกิดเปน็ ส่งิ ใหม่

- วธิ ีอนุรักษส์ ง่ิ แวดล้อมทีด่ ี คอื การปลกู ป่าและไมท่ าลาย
ป่า แตจ่ ะใหไ้ ด้ผลตอ้ งเปล่ยี นลักษณะนิสยั ของมนษุ ยเ์ ก่ยี วกับอะไร

- อากาศจะรอ้ นอบอา้ วกอ่ นฝนตก ถ้าอากาศไมร่ ้อนอบอ้าว
ดังน้ันจะสรุปไดอ้ ยา่ งไร

6. การประเมินคา่

6.1 อาศยั ข้อเทจ็ จริงภายใน เป็นการประเมินค่าตาม
ขอ้ เทจ็ จรงิ ตามท้องเรอ่ื งหรือตามสถานการณน์ ้นั ๆ เช่น

- จากเรอ่ื งรามเกยี รต์ิ พิเภกเปน็ บคุ คลอยา่ งไร
- การทดี่ วงอาทติ ยข์ ้นึ ทางทิศตะวันออกและตกทางทศิ
ตะวันตกทุกวัน เหมาะสาหรบั ใชพ้ สิ จู นค์ วามจริงของเร่อื งใดได้ดี
ท่สี ุด

6. การประเมนิ คา่

6.2 อาศยั เกณฑภ์ ายนอก เป็นการประเมินค่าโดยใช้
เกณฑจ์ ากสิง่ ภายนอก เชน่

- ตามหลกั นิติศาสตร์ ถอื วา่ นางวันทองเปน็ คนดหี รือไม่
- ในมุมมองของนักชาตนิ ิยม ถือวา่ พิเภกเปน็ บุคคลอยา่ งไร
- ควรใช้หลักเกณฑใ์ ดเพ่ือวินิจฉยั วา่ นาฬิกาเรือนใดมี
คุณภาพดี (ใชร้ ะบบอเี ลคทรอนคิ ส์ , สรา้ งดว้ ยบรษิ ทั ทเี่ ช่ือถอื , มใี บรับรอง,

บอกเวลาตรงกบั สัญญาณวทิ ย,ุ เป็นชนดิ เดยี วกับทสี่ ถานวี ิทยุใช้)

ออกขอ้ สอบแบบไหนเรอ่ื ง สงั ขท์ อง

นักเรยี นสามารถบอกข้อมลู เกย่ี วกับเร่อื งสังขท์ องได้

1. ท้าวสามลมีลูกสาวท้งั หมดก่ีคน รู้จา
ก. 6 คน ข. 7 คน ค. 8 คน

2. จากเรอื่ งสังขท์ องนกั เรยี นนามาสอนใจเกี่ยวกบั อะไร

ก. อยา่ มองคนแตเ่ พยี งภายนอก เขา้ ใจ

ข. ความดอ้ื รน้ั จึงไดด้ ี

ค. ลาบากก่อนสบายทีหลัง

3. รจนาตดั สินใจเสีย่ งทายเลอื กคู่ แสดงว่ารจนามนี สิ ัยเช่นไร

ก. ไม่มีความคิดเป็นของตวั เอง เข้าใจ
ข. เชอื่ มัน่ ในความคดิ ของตัวเอง

ค. การเช่ือฟังพ่อแม่

4. ตวั ละครตัวใดต่อไปนสี้ าคญั ทีส่ ดุ เก่ียวกับประชาธิปไตย

ก. รจนา ข. เจ้าเงาะ ค. หกเขย วเิ คราะหค์ วามสาคญั

ออกขอ้ สอบแบบไหนเร่อื ง กระตา่ ยกบั เตา่

1. มสี ตั ว์ในท้องเร่ืองก่ีชนดิ รู้จำ
ก. 1 ข. 2 ค. 3

2. จากเรื่องน้ี ตรงกับสุภาษติ ข้อใด เขำ้ ใจ

ก. เข็นครก ขน้ึ ภเู ขา

ข. ตีตนเสมอทา่ น

ค. ความพยายามอยู่ท่ไี หน ความสาเร็จอย่ทู ี่น่นั

3. เพราะเหตใุ ดกระต่ายจงึ ไม่ชนะ เข้าใจ
ก. นอนหลบั เพลิน

ข. เดนิ เล่น

ค. ความประมาท

4. จากนทิ านเร่ืองนน้ี าไปใช้ประโยชนใ์ นแงใ่ ดมากท่สี ุด

ก. ตัง้ ใจเรยี น ถึงแม้ยาก

ข. ต้งั ใจกนิ ถึงแมจ้ ะไมอ่ รอ่ ย นาไปใช้

ค. ต้ังใจรอ้ ง ถงึ แมไ้ มไ่ พเราะ

ออกข้อสอบแบบไหนเร่อื ง เดก็ เลยี้ งแกะ

1. ตวั ละครใดทาใหเ้ กดิ ความว่นุ วาย รูจ้ า

ก. หมาปา่ ข. เดก็ เลี้ยงแกะ ค. แกะ

นักเรียนสรุปความจากเรอื่ งทอ่ี ่านได้

2. จากเร่ืองนม้ี ใี จความสาคัญเก่ยี วกับอะไร เข้าใจ
ก. การโกหก

ข. การพูดจาไพเราะ

ค. ความเพียรพยายาม

นกั เรียนวิเคราะหค์ วามสมั พนั ธ์ระหวา่ งตัวละครได้

3. เด็กเลย้ี งแกะ : หมาป่า : โกหก

ก. กระต่าย : เตา่ : ความประมาท วิเคราะหค์ วามสมั พันธ์

ข. ราชสีห์ : หนู : อาหารอันอร่อย

ค. ชาวนา : งเู หา่ : เล้ียงไม่เชอ่ื ง

นกั เรียนสามารถทานายเหตุการณจ์ ากเร่ืองเดก็ เลย้ี งแกะได้

4. ถ้าเด็กเลยี้ งแกะไม่พูดโกหก จะเกิดอะไรขน้ึ

ก. หมาป่าไม่มากินแกะ

ข. คนจะมาชว่ ยเดก็

ค. หมาปา่ จะมาชว่ ยเลยี้ งแกะ เขา้ ใจ ขยายความ

ออกขอ้ สอบแบบไหนเรอ่ื ง การบวก

1. การบวก หมายถงึ อะไร รู้จำ

ก. การลด ข. การเพม่ิ ค. การทวคี ณู

2. แมใ่ หเ้ งนิ มา 10 บาท พอ่ ใหอ้ กี 15 บาท ทงั้ สองคนใหเ้ งนิ
มาเทา่ ไร เขยี นเป็นรปู ประโยคสญั ลกั ษณ์ไดอ้ ยา่ งไร

ก. a + b = c แปลควำม
ข. a - b = c

ค. a x b = c

3. มานีมีเงิน 20 บาท พ่อให้มาอีก 10 บาท ข้อใดกล่าว

ถกู ต้อง
ก. มานีมีเงินเพ่ิม ข. มานีไม่มีเงิน ตคี วาม

ค. พ่ออยากให้มานีมีเงิน ง. มานีเป็นเดก็ ดี

4. ถา้ ปรีชาเกบ็ เงินท่ีแมใ่ ห้ไว้ทุกวนั ๆ ละ 5 บาท ใน

อนาคตปรีชาจะเป็ นเช่นไร

ก. มีเงิน 5 บาท ขยายความ

ข. มีเงินเพิ่มวนั ละ 5 บาท

ค. เงินจะหมดไป

ง. เป็นคนอดออม

3. เดก็ เลย้ี งแกะ : หมาป่า : โกหก วเิ ครำะหค์ วำมสัมพนั ธ์
ก. กระต่าย : เต่า : ความประมาท เขำ้ ใจ ขยำยควำม
ข. ราชสหี ์ : หนู : อาหารอนั อรอ่ ย
ค. ชาวนา : งเู หา่ : เลย้ี งไมเ่ ชอ่ื ง

นกั เรยี นสามารถทานายเหตุการณ์จากเรอ่ื งเดก็ เลย้ี งแกะได้
4. ถา้ เดก็ เลย้ี งแกะไมพ่ ดู โกหก จะเกดิ อะไรขน้ึ

ก. หมาป่าไมม่ ากนิ แกะ
ข. คนจะมาชว่ ยเดก็
ค. หมาป่าจะมาชว่ ยเลย้ี งแกะ

ทบทวนการสรา้ งขอ้ สอบ
1. กาหนดจุดมงุ่ หมายของการออกขอ้ สอบ
2. ศกึ ษาสาระการเรยี นรู้ : เน้ือหา : ตวั ชว้ี ดั
3. เขยี นจุดประสงคเ์ ชงิ พฤตกิ รรม : ตวั ชว้ี ดั
4. เขยี นขอ้ สอบ ตาม จดุ ประสงคเ์ ชงิ พฤตกิ รรม

5. รวบรวมขอ้ สอบ ทาเป็นแบบทดสอบ

การสรา้ งแบบทดสอบ
ทาอย่างไร?

กระบวนการสร้างแบบทดสอบปลายภาคเรียน

วางแผนการสร้างแบบทดสอบ
เขียนขอ้ สอบ

ตรวจสอบคณุ ภาพของแบบทดสอบ
จดั ทาต้นฉบบั
แบบทดสอบ

การวางแผนสรา้ งแบบทดสอบ

เป็นการเตรยี มการกาหนดแนวทางในการสรา้ งแบบทดสอบ
อย่างเป็นระบบก่อนลงมอื เขียนข้อสอบ เพ่ือให้ได้
แบบทดสอบตรงตามจดุ ม่งุ หมายของผสู้ รา้ ง

การวางแผนสรา้ งแบบทดสอบ

กาหนดจดุ ม่งุ หมายในการสรา้ งแบบทดสอบ

กาหนดเนื้อหาที่จะสรา้ งแบบทดสอบ
กาหนดจดุ ประสงคก์ ารเรียนรหู้ รอื ผลการเรียนรทู้ ่ีคาดหวงั

ในแต่ละเนื้อหา
สรา้ งตารางวิเคราะหห์ ลกั สตู ร

กาหนดจดุ ม่งุ หมายในการสร้างแบบทดสอบ

ผสู้ รา้ งแบบทดสอบจะต้องกาหนดจดุ มงุ่ หมายในการสรา้ ง
แบบทดสอบให้ชดั เจน ว่าต้องการสรา้ งแบบทดสอบเพื่อ

• สอบวดั อะไร
• สอบวดั ใคร
• สอบไปทาไม

ข้อควรคานึงในการสรา้ งแบบทดสอบ

“สอนอะไร สอบสิ่งนัน้ ”
ดงั การสอบจงึ ค่ไู ปกบั การสอนเสมอ

การสอน การสอบ
• สอนอะไร •สอบวดั อะไร
• สอนใคร • สอบวดั ใคร
• สอนทาไม • สอบไปทาไม

ตวั อย่างการตงั้ จดุ ม่งุ หมายในการสรา้ งแบบทดสอบ

การสรา้ งแบบทดสอบครงั้ นี้ มีจดุ ม่งุ หมาย เพื่อ
สรา้ งแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนปลายภาคเรียนท่ี 2
วิชาวิทยาศาสตร์ กล่มุ สาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์ สาหรบั
นักเรียน ชนั้ ประถมศึกษาปี ท่ี 4 โดยมงุ่ นาผลไปพิจารณาตดั สิน
ผลการเรยี น

กาหนดเนื้อหาที่จะสร้างแบบทดสอบ

ผสู้ รา้ งแบบทดสอบจะต้องกาหนดขอบเขตของเนื้อหา
ท่ีจะสรา้ งแบบทดสอบให้ชดั เจน ว่าจะออกข้อสอบทงั้ หมด
กี่เรอื่ ง เรอ่ื งอะไรบา้ ง โดยต้องกาหนดให้ครอบคลุมเนื้อหา
ทงั้ หมดที่ได้ทาการสอน

ตวั อย่างการกาหนดเนื้อหาที่จะสรา้ งแบบทดสอบ

เนื้อหารายวิชา วิทยาศาสตร์ ชนั้ ประถมศึกษา
ปี ที่ 4 กล่มุ สาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์
ภาคเรียนที่ 2 มี 4 เรอื่ ง ดงั นี้

1. เรอ่ื ง กินดีมีสขุ
2. เรอ่ื ง พลงั งานแสง
3. เรอ่ื ง หินและการเปล่ียนแปลง
4. เรอื่ ง จกั รวาลและอากาศ


Click to View FlipBook Version