การศึกษาผลสัมฤทธทิ์ างการเรยี นรู้รายวชิ าประวตั ศิ าสตร์
เรอื่ งการแบง่ ยคุ สมัยทางประวตั ิศาสตร์ โดยใช้ผงั มโนทัศนข์ องนกั เรยี น
ช้ันมธั ยมศึกษาปีที่ ๑ โรงเรียนแนงมดุ วิทยา อาเภอกาบเชงิ จังหวดั สุรินทร์
นายปราโมทย์ คะหาญ
ตาแหน่ง ครูผูช้ ว่ ย
โรงเรียนแนงมุดวทิ ยา อาเภอกาบเชงิ จงั หวดั สุรนิ ทร์
สานกั งานเขตพ้ืนทก่ี ารศกึ ษามธั ยมศกึ ษา เขต ๓๓
ชือ่ เรอ่ื ง การศกึ ษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นรู้ รายวิชาประวตั ศิ าสตร์ เรื่องการแบง่ ยุค
สมัยทางประวัตศิ าสตร์ โดยใช้ผังมโนทัศนข์ องนกั เรยี นช้ันมัธยมศึกษาปที ่ี
ผวู้ ิจัย 1 โรงเรยี นแนงมดุ วทิ ยา อำเภอกาบเชิง จงั หวัดสรุ ินทร์
สถานศึกษา นายปราโมทย์ คะหาญ
โรงเรยี นแนงมุดวิทยา อำเภอกาบเชงิ จงั หวัดสุรนิ ทร์
บทคัดยอ่
การศึกษาเรอ่ื งน้มี ีวตั ถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี น รายวชิ าประวัติศาสตร์
เรื่องการแบ่งยุคสมยั ทางประวตั ศิ าสตร์ โดยใช้ผังมโนทศั น์ ของนักเรยี นช้ันมธั ยมศกึ ษาปีที่ 1 โรงเรียน
แนงมุดวิทยา อำเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์ เทียบกับเกณฑ์ที่กำหนด 2) เพ่ือศึกษาความพึงพอใจ
ของนักเรียนท่ีมีต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ รายวิชาประวัติศาสตร์ เร่ืองการแบ่งยุคสมัยทาง
ประวัติศาสตร์ โดยใช้ผังมโนทัศน์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 1 โรงเรียนแนงมุดวิทยา อำเภอ
กาบเชิง จังหวัดสรุ ินทร์ กล่มุ ตัวอยา่ งในการวจิ ัยเป็นนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 1 ทเ่ี รียนในภาคเรยี น
ที่ ๑ ปีการศึกษา 2562 ของโรงเรียนแนงมุดวิทยา อำเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์ จำนวน 28 คน
เครื่องมือท่ีใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ประกอบด้วย แผนการจัดการเรียนรู้ แบบทดสอบวัด
ผลสมั ฤทธิ์ และแบบทดสอบความพงึ พอใจ สถิตทิ ี่ใช้ในการวจิ ัยประกอบด้วย ค่าเฉลี่ย ( x ) และสว่ น
เบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และสรุปผลการศกึ ษาได้ดังน้ี
1. ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียน รายวิชาประวัติศาสตร์ เร่ืองการแบง่ ยคุ สมยั ทางประวตั ิศาสตร์
โดยใชผ้ งั มโนทศั น์ ของนักเรยี นชนั้ มธั ยมศึกษาปที ี่ 1 โรงเรยี นแนงมดุ วิทยา อำเภอกาบเชงิ จงั หวัด
สรุ นิ ทร์ มีคะแนนผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรยี นเฉลย่ี เท่ากบั 16.11 คะแนน คดิ เปน็ ร้อยละ 80.55 ของ
คะแนนเต็ม และมนี ักเรียนจำนวน 21 คน คิดเปน็ ร้อยละ 83.72 ของนักเรียนทัง้ หมดท่มี ีคะแนน
ผา่ นเกณฑ์ทกี่ ำหนด
2. ความพงึ พอใจของนักเรียนที่มตี อ่ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ รายวชิ าประวตั ิศาสตร์ เร่อื ง
การแบ่งยุคสมัยทางประวัตศิ าสตร์ โดยใช้ผังมโนทัศน์ ของนักเรยี นชั้นมธั ยมศึกษาปที ่ี 1 โรงเรยี น
แนงมุดวทิ ยา อำเภอกาบเชิง จงั หวัดสุรนิ ทร์ อย่ใู นระดบั ดี
สารบญั ค
บันทึกข้อความ หนา้
บทคัดย่อ
สารบญั ก
ข
บทที่ 1 บทนำ ค
ความเปน็ มาและความสำคัญของปญั หา
คำถามการวิจัย 1
วัตถุประสงค์ของการวจิ ัย 2
ขอบเขตการวิจยั 3
นยิ ามศพั ท์เฉพาะ 3
ประโยชนท์ ค่ี าดวา่ จะไดร้ ับ 3
4
บทท่ี 2 เอกสารและงานวิจัยท่เี กี่ยวข้อง
แนวคิดเกย่ี วกบั ผงั มโนทศั น์ 5
แนวคิดทฤษฎีเกย่ี วกบั ความพึงพอใจ 5
งานวิจยั เกี่ยวข้อง 13
กรอบแนวคิดในการวิจยั 16
18
บทท่ี 3 วิธดี ำเนินการวิจัย
ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 19
เคร่ืองมอื ท่ีใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล 19
การสร้างและการหาประสิทธิภาพเครอ่ื งมือ 19
การเก็บรวบรวมข้อมลู 19
การวเิ คราะห์ขอ้ มูล 21
สถติ ทิ ใี่ ชว้ เิ คราะห์ข้อมลู 21
22
สารบัญ (ตอ่ ) ง
บทที่ 4 ผลการวิเคราะหข์ ้อมูล หน้า
สญั ลกั ษณท์ ี่ใช้ในการนำเสนอผลการวเิ คราะหข์ ้อมูล
ลำดับขน้ั ทใ่ี ชใ้ นการนำเสนอผลการวิเคราะหข์ ้อมลู 24
ผลการวิเคราะหข์ ้อมูล 24
24
บทท่ี 5 สรปุ ผล อภปิ รายผล และข้อเสนอแนะ 24
สรปุ ผลการวิจัย 28
อภิปรายผลการวิจยั 28
ข้อเสนอแนะ 28
29
บรรณานกุ รม 30
33
ภาคผนวก
๑
บทที่ 1
บทนำ
1. ความเป็นมาและความสำคญั ของปัญหา
การปฏิรูปการศึกษาตามแนวพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 มุ่งสร้าง
สังคมไทยให้เป็นสังคมแห่งภูมิปัญญาและการเรียนรู้ให้ผู้เรียนมีทักษะกระบวนการคิด การจัดการ
เผชิญสถานการณ์ และประยุกต์ความรู้มาใช้เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหา (สำนักงานคณะกรรมการ
การศึกษาแห่งชาติ. 2542 : 10) สอดคล้องกับหลักสตู รแกนกลางการศึกษาข้ันพืน้ ฐาน พุทธศักราช
2551 ซึ่งได้กำหนดการจัดกระบวนการศึกษาที่เน้นนักเรียนเป็นสำคัญ นักเรียนเป็นผู้สร้างองค์
ความรแู้ ละความเขา้ ใจในสง่ิ ท่เี รียนร้ดู ้วยตนเอง โดยผ่านกระบวนการคิดและได้เปน็ ผลู้ งมือกระทำจาก
ประสบการณ์จริงทใี่ กล้ตวั นกั เรียน สามารถประยกุ ต์องค์ความรใู้ ชใ้ นการดำเนินชวี ิต โดยกำหนดสาระ
การเรยี นรแู้ ละตัวชี้วดั ตามหลกั สูตร ประกอบด้วยองคค์ วามรู้หรอื เนอ้ื หาสาระ ทักษะหรือกระบวนการ
เรียนรู้ และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ กำหนดให้นักเรียนทุกคนในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน
จำเป็นต้องเรียนรู้ โดยแบ่งออกเป็น 8 กลุ่มสาระการเรียนรู้ ดังน้ี 1) ภาษาไทย 2) คณิตศาสตร์ 3)
วทิ ยาศาสตร์ 4) สงั คมศกึ ษา ศาสนาและวฒั นธรรม 5) ศิลปะ 6) สขุ ศึกษาและพลศึกษา 7) การงาน
อาชีพและเทคโนโลยี 8) ภาษาต่างประเทศ และกำหนดสมรรถนะสำคัญของนักเรียนไว้ 5 ประการ
ได้แก่ ความสามารถในการสื่อสาร ความสามารถในการคิด ความสามารถในการแก้ปัญหา
ความสามารถในการใช้ทกั ษะชีวติ และความสามารถในการใช้เทคโนโลยี โดยเนน้ ความสามารถในการ
คิด ซ่งึ เปน็ ความสามารถในการคดิ วเิ คราะห์ การคดิ สงั เคราะห์ การคิดอย่างสร้างสรรค์ การคิดอย่างมี
วิจารณญาณ และการคิดอย่างเป็นระบบเพื่อนำไปสู่การสร้างองค์ความรู้หรือสารสนเทศ เพื่อการ
ตัดสินใจเกี่ยวกับตนเองและสังคมได้อย่างเหมาะสม มุ่งพัฒนานักเรียนทุกคนซึ่งเป็นกำลังของชาติให้
เป็นมนุษย์ที่มีความสมดุล ทั้งด้านร่างกาย ความรู้ คุณธรรม มีจิตสานึกในความเป็นพลเมืองไทยและ
เป็นพลโลก ยึดมั่นในการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มี
ความรู้ และทักษะพื้นฐาน รวมทั้งเจตคติ ที่จำเป็นต่อการศึกษาต่อการประกอบอาชีพและการศึกษา
ตลอดชีวิต (กรมวิชาการ กระทรวงศกึ ษาธกิ าร. 2551 : 23)
กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม เป็นกลุ่มสาระการเรียนรู้ที่มี
ความสำคัญให้ผู้เรียนเป็นพลเมืองดี ในวิถีชีวิตประชาธิปไตยภายใต้การปกครองในระบอบ
ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข จำเป็นต้องมีองค์ประกอบสำคัญ 3 ประการ คือ
ความรู้ ทักษะและกระบวนการ คุณธรรม จริยธรรมและค่านิยม จึงเป็นกลุ่มสาระการเรียนรู้ที่
ออกแบบมาเพื่อส่งเสริมศักยภาพเป็นพลเมืองดีให้แก่ผู้เรียน ดังนั้นสาระการเรียนรู้ สังคมศึกษา
ศาสนาและวัฒนธรรม จึงมีความจำเป็นที่จะต้องพัฒนาผู้เรียนให้เกดิ ความเจริญงอกงามในด้านต่างๆ
จากสภาพการจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้กลมุ่ สาระสังคมศกึ ษา ศาสนาและวฒั นธรรม ของโรงเรียน
แนงมุดวิทยา อำเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์ ซึ่งเป็นโรงเรียนสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษา
ขั้นพื้นฐาน เปิดสอนในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 – 6 ผู้วิจัยได้ศึกษาข้อมูลเบื้องต้น พบว่า จุดท่ี
๒
ควรพัฒนา ครูผู้สอนควรจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่เน้นรูปแบบการคิดวิเคราะห์ สังเคราะห์ คิด
อย่างมีวิจารณญาณ ส่งเสริมการจัดการเรียนการสอนให้สนกุ น่าสนใจ โดยให้ผูเ้ รียนได้รับการพัฒนา
ด้านความรแู้ ละทักษะทจ่ี ำเป็นตามหลักสูตรและผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียน โดยการจดั กจิ กรรมการสอน
ที่หลากหลายมากขึ้น ผู้วิจัยจึงได้ศึกษาค้นคว้า เพื่อหาแนวทางแก้ไขปัญหาดังกล่าวและพบวา่ การจัด
กิจกรรมการเรียนรู้แบบโดยใช้ผงั มโนทศั น์เปน็ สิง่ ที่ควรนำมาใชแ้ กป้ ัญหาดงั กล่าวได้
การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ โดยใช้ผังมโนทัศน์ เป็นวิธีการเรียนรู้อีกแบบหนึ่งที่สามารถ
นำมาใช้ในการพัฒนาการเรียนการสอนในทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้ เพราะเป็นการจัดกิจกรรมที่เน้น
ผู้เรียนเป็นสำคัญ และเป็นวิธีที่เน้นการจัดสภาพแวดล้อมทางการเรียนรู้ให้แก่ผู้เรียน โดยแต่คนจะมี
ส่วนร่วมอย่างแท้จริงในการเรียนรู้ การสร้างผังมโนทัศน์จึงเป็นกิจกรรมที่ทำให้ผู้เรียนได้ใช้
กระบวนการคิด สร้างความรู้ การสรุปและนำเสนอแนวคิดหลักด้วยตนเอง (สถาบันส่งเสริมการสอน
วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลย.ี 2540 : 40 - 46) การสรา้ งผงั มโนทัศน์ทีด่ ี เปน็ การนำเสนอข้อมูลและ
โครงสร้างของเนื้อหาเรื่องนั้น ๆ ให้เห็นได้ในภาพรวมทั้งหมด (สมาน ลอยฟ้า. 2542 : 5) ซ่ึง
นอกจากจะช่วยในการพัฒนาความเข้าใจในภาพรวมแล้วยังช่วยให้สามารถคิดหรือมองปัญหาท่ี
ซับซ้อนได้อย่างทะลุปรุโปร่ง หากผู้เรียนสร้างมโนทัศน์ได้แล้ว เขาก็จะสามารถเอามโนทัศน์นั้นไป
ประยุกต์ใช้ในโอกาสอื่น ๆ ได้อีกเรื่อย ๆ คนเราจะพยายามสร้างมโนทัศน์ของสิ่งต่าง ๆ และของ
เหตุการณ์ต่าง ๆ อยู่เสมอ เพราะการสรุปลักษณะเฉพาะของสิ่งต่างๆ ในรูปของมโนทัศน์จะช่วยลด
ภาระของสมองให้จดจำน้อยลง เกณฑ์ที่จะจดจำลักษณะปลีกย่อยของทุกสิ่งทุกอย่างที่รอบๆ ตัว
เพียงแต่จำไว้ในลักษณะที่เป็นหมวดหมู่ ซึ่งต่อไปก็สามารถขยายขอบข่ายความรอบรู้ของตนเองให้
กวา้ งขวางออกไป (สวุ ิทย์ มลู คำ. 2556 : 10) ตลอดจนกอ่ ใหเ้ กิดบรรยากาศท่ดี ีในการเรยี นรู้ ทำให้
ผู้เรียนรู้สึกถึงคุณค่าของตนเองมากขึ้น มีความมั่นใจในตนเอง กล้าแสดงออกและตระหนักว่าตนเอง
เป็นส่วนหนึ่งของการจัดการเรียนรู้ มีการถ่ายทอดความคิดที่เป็นภาษาที่เข้าใจง่ายเพราะอยู่วัย
เดียวกัน สนุกกับการเรียนรู้ ไม่เครียด และมีความสุขกับการเรียนรู้จากแผนผังมโนทัศน์ที่ผู้วิจัยได้
นำมาใช้ จงึ มีความรบั ผดิ ชอบทำให้ได้มาซ่งึ ผลสัมฤทธท์ิ างการเรียนรู้ทีส่ ูงข้นึ ตามมา
จากเหตุผลดังกล่าว ผู้วิจัยจึงสนใจที่ศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ รายวิชาประวัติศาสตร์
เรือ่ งการแบ่งยุคสมยั ทางประวัติศาสตร์ โดยใช้ผังมโนทศั น์ ของนกั เรยี นชั้นมธั ยมศึกษาปที ี่ 1 โรงเรียน
แนงมุดวิทยา อำเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์ เพราะการเรียนการสอนดังกล่าว เป็นวิธีสอนที่สนอง
ความแตกต่างของบุคคลในการคิดวิเคราะห์ สังเคราะห์ เป็นการส่งเสริมการเรียนรู้ร่วมกัน มีการ
แลกเปล่ยี นประสบการณ์การเรียนรู้และปฏสิ ัมพนั ธ์ทางสังคม ก่อใหเ้ กิดบรรยากาศท่ีดีในการเรยี นรู้ มี
ความรู้สกึ ที่ดแี ละเข้าใจวธิ กี ารที่ครูผู้สอนได้ใช้สอน สู่การช่วยเหลือซ่ึงกนั และกันทำให้รูส้ ึกคณุ ค่าของ
ตัวเองมากขึ้น โดยใช้กระบวนการวิจัยอันจะนำไปสู่แนวทางในการพัฒนาการเรียนการสอนในกลุ่ม
สาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม รายวิชาประวัติศาสตร์ เรื่องการแบ่งยุคสมัยทาง
ประวตั ศิ าสตร์ ใหม้ ปี ระสทิ ธิภาพมากย่ิงขึ้น สง่ ผลใหผ้ ลสัมฤทธทิ์ างการเรียนของนักเรียนโรงเรยี น
แนงมุดวทิ ยาสงู ขนึ้ ตอ่ ไป
๓
2. คำถามการวิจัย
1. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ รายวิชาประวัติศาสตร์ เรื่องการแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์
โดยใช้ผังมโนทัศน์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนแนงมุดวิทยา อำเภอกาบเชิง จังหวัด
สรุ นิ ทร์ เปน็ อยา่ งไร
2. นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ รายวิชาประวัติศาสตร์ เรื่องการ
แบ่งยุคสมัยทางประวัตศิ าสตร์ โดยใช้ผังมโนทัศน์ ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 1 โรงเรียนแนงมุด
วทิ ยา อำเภอกาบเชิง จงั หวดั สรุ ินทร์ อยูใ่ นระดบั ใด
3. วัตถปุ ระสงคก์ ารวจิ ัย
1. เพื่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ รายวิชาประวัติศาสตร์ เรื่องการแบ่งยุคสมัยทาง
ประวัติศาสตร์ โดยใช้ผังมโนทัศน์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนแนงมุดวิทยา อำเภอ
กาบเชงิ จงั หวัดสรุ นิ ทร์ เทยี บกับเกณฑท์ ่กี ำหนด
3. เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ รายวิชา
ประวตั ศิ าสตร์ เรอื่ งการแบง่ ยุคสมัยทางประวตั ิศาสตร์ โดยใช้ผังมโนทศั น์ ของนักเรยี นช้นั มัธยมศึกษา
ปที ่ี 1 โรงเรยี นแนงมุดวิทยา อำเภอกาบเชงิ จงั หวัดสุรินทร์
4. ขอบเขตการวจิ ยั
1. กลุม่ ตวั อย่างในการวจิ ยั
ในการวิจยั ครง้ั นี้ กลมุ่ ตัวอย่างในการวิจัยเปน็ นักเรียนชัน้ มัธยมศึกษาปีที่ 1/1 ที่เรียนใน
รายวิชาประวัติศาสตร์ ภาคเรียนที่ ๑ ปีการศึกษา 2562 โรงเรียนแนงมุดวิทยา อำเภอกาบเชิง
จังหวดั สรุ นิ ทร์ จำนวน 28 คน โดยการเลือกแบบเจาะจง
2. ตัวแปรท่ศี ึกษา
ตัวแปรต้น คือ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้รายวิชาประวัติศาสตร์ เรื่องการแบ่งยุคสมัย
ทางประวัตศิ าสตร์ โดยใชผ้ งั มโนทศั น์
ตวั แปรตาม คอื ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี นของนักเรียน ในรายวชิ าประวตั ศิ าสตร์ เรื่องการ
แบง่ ยคุ สมยั ทางประวตั ิศาสตร์ และความพงึ พอใจตอ่ การจดั กิจกรรมการเรยี นรู้โดยใช้ผังมโนทัศน์
3. เน้ือหาทท่ี ำการวจิ ยั
เนื้อหาในการวิจัยครั้งนี้เป็นเนื้อหาการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ผังมโนทัศน์ รายวิชา
ประวัติศาสตร์ เรื่องการแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนแนงมุดวิทยา
อำเภอกาบเชงิ จังหวดั สุรินทร์
4. สถานทใี่ นการทำวิจยั โรงเรียนแนงมุดวิทยา อำเภอกาบเชงิ จงั หวดั สุรินทร์
5. ระยะเวลาในการทำวจิ ยั ภาคเรียนที่ ๑ ปกี ารศกึ ษา 256๒
๔
5. นิยามศพั ทเ์ ฉพาะ
1. ผังมโนทศั น์ หมายถึง ความสัมพันธข์ องข้อมลู สำคัญ เพื่อถา่ ยทอดเน้ือหาสาระในลักษณะ
สอ่ื แต่ละชน้ิ สง่ เสริมสนบั สนุนกนั และกัน
2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ความรู้ความสามารถของนักเรียนซึ่งพิจารณาจาก
คะแนนทไี่ ด้จากการทำแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรยี น ไปทดสอบหลังจากเรียน
3. ความพึงพอใจ หมายถึง ความร้สู ึกชอบของนักเรียนท่ีมีต่อการจัดกิจกรรมการรู้เรียน โดย
ใช้ผังมโนทัศน์ รายวิชาประวัติศาสตร์ เรื่องการแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
โรงเรียนแนงมุดวิทยา อำเภอกาบเชิง จังหวดั สุรินทร์
4. เกณฑ์การผ่าน หมายถึง คะแนนหลังจากการทำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
กำหนดเกณฑ์ท่ผี า่ นคิดเป็นร้อยละ 70 ของคะแนนเก็บซ่งึ เทา่ กบั 14 คะแนนขนึ้ ไป
6. ประโยชนท์ คี่ าดว่าจะได้รบั
1. ได้แนวทางในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ผังมโนทัศน์ กลุ่มสาระการเรียนรู้สั งคม
ศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ที่เป็นการพัฒนาเกี่ยวกับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ รายวิชา
ประวตั ศิ าสตร์ เรื่องการแบง่ ยุคสมยั ทางประวตั ศิ าสตร์ของนักเรียนให้สูงขน้ึ
2. เป็นแนวทางให้ผู้สนใจ ตลอดจนนักวชิ าการทางการศึกษาได้พัฒนาแผนการจดั การเรียนรู้
ท่สี รา้ งขึ้นตามแนวทาง โดยใชส้ อื่ ประสม หาความรูใ้ นแขนงวชิ าอ่นื ๆ หรอื ตามทฤษฎีอน่ื ๆ ตอ่ ไป
3. ครูผู้สอนได้แนวทางในการจัดการเรียนการสอน เพื่อพัฒนานักเรียนให้มคี วามสามารถใน
การทำงานเป็นทีม ตระหนักรู้และเข้าใจความรู้สึก อารมณ์ทั้งของตนเองและผู้อื่น ควบคุมอารมณ์ได้
เมื่อเผชิญกับอุปสรรคและปัญหาต่าง ๆ สามารถดำเนินกิจกรรมร่วมกับผู้อ่ืนไดอ้ ย่างสร้างสรรคแ์ ละมี
ความสขุ ในรายวิชาอนื่ ๆ
4. นกั เรยี นสามารถนำส่งิ ทไ่ี ด้เรียนรู้ ทั้งการมที กั ษะทางสงั คม การมีปฏิสมั พันธก์ บั ผอู้ นื่ ในเชิง
สรา้ งสรรค์ไปประยกุ ตใ์ ชใ้ นชีวิตประจำวนั ได้
๕
บทท่ี 2
เอกสารและงานวจิ ยั ทีเ่ ก่ียวข้อง
การวิจัยเรือ่ ง การศกึ ษาผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนรู้รายวิชาประวตั ิศาสตร์ เร่ืองการแบ่งยคุ
สมัยทางประวตั ิศาสตร์ โดยใช้ผังมโนทัศน์ ของนกั เรยี นชนั้ มัธยมศกึ ษาปีที่ 1 โรงเรียนแนงมดุ วทิ ยา
อำเภอกาบเชิง จงั หวดั สรุ นิ ทร์ ผูว้ ิจัยได้ศึกษาแนวคิด เอกสาร และงานวจิ ัยทเี่ กี่ยวข้อง มีรายละเอยี ด
ดงั ต่อไปนี้
1. แนวคดิ เกยี่ วกับผังมโนทศั น์
1.1 ความหมายของผังมโนทัศน์
1.2 ทฤษฎีทีเ่ กยี่ วกบั ผงั มโนทัศน์
1.3 การสรา้ งแผนผงั มโนทัศน์
1.4 รูปแบบของกรอบผังมโนทัศน์
1.5 ประโยชน์ของผงั มโนทัศน์
2. แนวคดิ ทฤษฎีเกย่ี วกับความพึงพอใจ
2.1 ความหมายของความพึงพอใจ
2.2 ความสำคญั ของความพงึ พอใจ
2.3 ทฤษฎีทสี่ ง่ ผลตอ่ ความพึงพอใจ
3. งานวจิ ยั เกี่ยวขอ้ ง
4. กรอบแนวคิดในการวจิ ัย
1. แนวคิดเกีย่ วกับผงั มโนทศั น์
1.1 ความหมายของผงั มโนทศั น์
มโนทัศนม์ ากจากคำวา่ Concept ในภาษาอังกฤษ นักการศึกษาของไทยไดใ้ ห้คำแปลไว้
แตกต่างกัน อาทิ มโนทัศน์ มโนมติ มโนมติสัมพันธ์ ความคิดรวบยอด เป็นต้น ซึ่งทุกคำมีความหมาย
ไม่แตกต่างกนั ในงานวจิ ัยนผี้ วู้ ิจยั ขอใช้คำวา่ “ผงั มโนทศั น์”
มนัส บุญประกอบ (2533 ข : 26) ได้ให้ความหมายของผังมโนทศั น์ไว้ว่า ผังมโนทัศน์
มีลักษณะเป็นแผนภูมิอย่างหนึ่ง ที่แสดงความสัมพันธ์ระหว่างมโนทัศน์ ด้วยเส้นและคำเชื่อมโยงที่
เหมาะสมทำใหส้ ามารถอา่ นความสัมพนั ธ์จากแผนภูมนิ น้ั เปน็ ประโยคหรือข้อความทีม่ ีความหมายได้
สุนีย์ สอนตระกูล (2535 : 62) ได้ให้ความหมายของผังมโนทัศน์ไว้ว่า ผังมโนทัศน์
หมายถงึ แผนภาพท่ีใชแ้ สดงความสัมพันธร์ ะหว่างมโนทัศนต์ ่าง ๆ อย่างมีลำดับขั้น เป็นเครื่องมือที่ใช้
เสนอความคิดและแสดงความสมั พนั ธ์ของมโนทัศน์อย่างมีระบบ
อญั ชลี ตนานนท์ (2536 : 51) ไดใ้ ห้ความหมายของการสรา้ งหรือการวาดแผนที่
มโนทัศน์ ไว้ว่าคือ การถ่ายทอดความคิดความเข้าใจของผู้สร้างในเรื่องหนึ่งออกมาในรูปของ
ความสัมพนั ธ์ของมโนทศั นม์ ขี ั้นตอน
๖
สมาน ลอยฟ้า (2542 : 3) ไดใ้ ห้ความหมายของผงั มโนทศั น์ไวว้ า่ ผังมโนทศั น์
เปน็ การนำเสนอโครงสร้างของความรู้ในรปู ของกราฟฟิค แผนผงั มโนทัศนน์ ้ีประกอบด้วยกลมุ่
มโนทัศน์ตง้ั แต่ 2 มโนทัศน์ขึ้นไป ซง่ึ ไดแ้ ก่ มโนทัศนห์ ลักและมโนทัศน์รอง ซงึ่ มโนทศั น์นั้นจะแทนด้วย
คำสำคัญ โดยมีคำหรือข้อความเชื่อมโยงมโนทัศน์นั้น ๆ และแผนผังมโนทัศน์จะต้องมีการเชื่อมโยง
มโนทัศน์ต่าง ๆ ด้วยเส้นและคำทมี่ คี วามหมายเพอ่ื แสดงถงึ ความสัมพนั ธ์
เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์ (2546 : 21) ให้ความหมายว่า เป็นต้นแบบที่สมองเก็บ
บันทึกไว้ในความทรงจำ จะทำหน้าที่เป็นตัวเปรียบเทียบกับข้อมูลใหม่ ๆ ที่ประสาทสัมผัสรับเข้ามา
เพื่อทำความเข้าใจสิ่งนั้น สามารถตัดสินใจได้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร ทำให้รู้ว่าจะทำส่ิงใดต่อไปและช่วยให้
สามารถดำรงชีวิตและทำสิ่งต่าง ๆ ได้ภายใต้กฎระเบียบของสังคม และยังช่วยให้เรามีมุมมองและ
ทัศนะต่อเร่ืองต่างๆ ท่ีเกดิ ขึน้ ในชีวิตประจำวัน
สุวิทย์ มูลคำ (2556 : 10) ให้ความหมายว่า ความคิด ความเข้าใจที่สรุปเกี่ยวกับการ
จดั กลุม่ สง่ิ ใดสง่ิ หนึง่ หรือเร่ืองหนึ่งที่เกดิ จากการสังเกต หรอื การไดร้ ับประสบการณ์เก่ียวกับส่ิงนั้นหรือ
เรื่องนั้น แล้วใช้คุณลักษณะหรือคุณสมบัตทิ ี่มีลักษณะคล้ายคลงึ กัน จัดเข้าเป็นกลุ่มเดียวกัน ซึ่งจะทำ
ให้เกิดความเข้าใจสิ่งต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้น มโนทัศน์จึงทำให้เราสามารถจำแนกสิ่งใหม่ ๆ และเข้าใจได้
รวดเรว็ ตามประสบการณ์ของเราท่ีผ่านมา
จากความหมายของผังมโนทัศน์ที่กล่าวมาสรุปว่า ผังมโนทัศน์ หมายถึง ผังที่ใช้แสดงถึง
ความสมั พันธ์กนั อยา่ งต่อเนื่องระหว่างมโนทัศน์ระดบั ตา่ ง ๆ อยา่ งมีลำดบั ขั้นตอน แผนผังมโนทัศน์ทำ
ให้ทราบความคิดความเข้าใจของผู้สรา้ ง และทำใหท้ ราบความสมั พันธ์ของเนอื้ หาทั้งระบบ
1.2 ทฤษฎที ีเ่ กี่ยวกบั ผังมโนทศั น์
สนุ ยี ์ สอนตระกลู (2535 : 77) ไดก้ ล่าวถงึ ทฤษฎีที่เก่ียวกับผังมโนทัศนว์ ่า ทฤษฎี
การเรียนร้ทู ่ีเปน็ พ้ืนฐานของแผนผงั มโนทัศน์ กค็ อื ทฤษฎกี ารเรียนรอู้ ยา่ งมีความหมายของ Ausubel
ซึ่งมีแนวคิดท่ีวา่ ครูควรจะสอนสงิ่ ท่ีมคี วามสัมพันธ์กบั ความร้ทู ีน่ ักเรยี นมีอยเู่ ดิม ความรูท้ ีม่ ีอย่เู ดิมนี้
จะอย่ใู นโครงสรา้ งของความรู้ (Cognitive Structure) ซึง่ เป็นข้อมลู ที่สะสมอยู่ในสมองและมกี ารจัด
ระบบไวเ้ ป็นอย่างดมี กี ารเชอื่ มโยงระหวา่ งความรู้เกา่ กับความร้ใู หม่อยา่ งมีระดับชน้ั ดงั นนั้ โครงสร้าง
ของความรู้จะใช้เป็นผังมโนทัศน์ และใช้บันทึกประสบการณ์ต่าง ๆ ที่ได้รับการเรียนรู้อย่างมี
ความหมาย (Meaningful Learning) จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อความรู้ใหม่เชื่อมกับมโนทัศน์ที่อยู่ใน
โครงสร้างของความรู้เดิมที่มีอยู่ในสมอง ซึ่ง Ausubel เรียกว่า กระบวนการดูดซึม (Subsumption)
หรือเรียกมโนทศั น์ทีเ่ กิดจากการเชื่อมโยงนัน้ วา่ Subsumer แต่ถ้าไม่ได้นำความรูใ้ หมเ่ ข้าไปเชื่อมโยง
กับความรเู้ ดิมท่ีมีอยจู่ ะเป็นการเรยี นรู้แบบท่องจำ (Rotelearning) ในการสรา้ งมโนทัศน์นั้นมีพ้ืนฐาน
มาจากทฤษฎีการเรยี นร้ขู อง Ausubel 3 ประการ (สนุ ยี ส์ อนตระกลู 2535 : 80) คือ
1. โครงสร้างของความรู้ (Cognitive Structure) ซึ่งเปน็ โครงสรา้ งที่อย่ใู นสมอง
จะมีการจัดลำดับมโนทัศน์ จากมโนทัศน์ที่มีความหมายกว้างทั่วไปไปสู่มโนทัศน์ทีแ่ คบลงและมีความ
เฉพาะเจาะจงมากขึน้
2. กระบวนการแยกแยะความแตกต่างเชิงกา้ วหนา้ (Progressive Differentiation)
จากหลกั การของออซูเบลที่กลา่ วว่า การเรียนรอู้ ยา่ งมคี วามหมายจะเกดิ ขนึ้ เมื่อมีการนำความรใู้ หม่
๗
ไปสัมพันธ์กับความรู้ที่มีอยู่เดิม เกิดเป็นความสัมพันธ์ใหม่ ดังนั้นจึงเกิดการเรียนรู้อย่างไม่สิ้นสุด จะ
เป็นการขยายความรู้ให้กว้างขึ้นจนกลายเปน็ การแยกแยะความแตกตา่ งเชิงกา้ วหนา้ โดยประกอบดว้ ย
มโนทัศน์ที่มคี วามหายกว้างอยู่ด้านบนของโครงสรา้ งความรูแ้ ละมโนทศั น์ทม่ี ีความเฉพาะเจาะจงอยู่
ถัดลงมากระบวนการแยกแยะความแตกต่างเชิงก้าวหน้าจะเพม่ิ ขน้ึ ถ้าผูเ้ รยี นมโี อกาสอภิปรายร่วมกนั
และจะทำให้เห็นความเกย่ี วขอ้ งและความสัมพนั ธข์ องส่งิ มชี ีวติ ตา่ งๆ เรยี นไดด้ ีขึน้
3. การประสานสัมพันธ์เชิงบูรณาการ (Integrative Reconciliation) จากหลักการ
เรียนรู้ของ Ausubel ที่กล่าวว่า การเรียนรู้อย่างมีความหมายจะเกิดจากการเช่ือมโยงความรูใ้ หม่เข้า
กับความรู้เดิมที่มีอยู่ ดังนั้นถ้าผู้เรียนสามารถเชื่อมโยงมโนทัศน์ทำให้เกิดความสัมพันธ์ใหม่และ
เชื่อมโยงระหว่างชุดของมโนทัศน์จะทำให้เกิดการประสานสัมพันธ์เชิงบูรณาการของมโนทัศน์ ซึ่งจะ
ทำให้เกิดการเรียนรู้อย่างมีความหมายเพม่ิ ข้ึน
จะเห็นได้ว่าทฤษฎีการเรียนรู้อย่างมีความหมายเพื่อให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้อย่างมี
ความหมายของ Ausubel ประกอบดว้ ยมโนทัศนท์ ่ีสามารถทำการจัดใหต้ อ่ เน่ืองกนั ได้ โดยมีมโนทศั น์
หลักอยู่บนจะครอบคลมุ และรวมไวซ้ ึ่งความเข้าใจของมโนทัศน์ทอ่ี ย่รู องลงไป ดังนนั้ ครูผูส้ อนควรจะ
เริม่ สอนด้วยมโนทศั นท์ ค่ี รอบคลุมแลว้ คอ่ ยๆ เจาะลกึ ลงไปถึงมโนทัศน์ยอ่ ยๆ ที่เกยี่ วข้องและยังได้
เนน้ ว่าในการนำเสนอบทเรยี นนนั้ ผูส้ อนควรอยา่ งยง่ิ ที่จะจดั ประสบการณ์กจิ กรรมการเรียนการสอน
ในแต่ละวิชาให้มีลกั ษณะเป็นมโนทศั น์
1.3 การสรา้ งผังมโนทศั น์
ผังมโนทศั นท์ ี่ดีจะชว่ ยทำให้นกั เรียน และผูส้ อนเกิดความชัดเจนขึ้นทำใหเ้ ห็นวธิ ี
เช่ือมโยงความหมายของมโนทัศนแ์ ละทำใหน้ กั เรยี นสามารถสรุปสิง่ ทีเ่ รยี นได้ ผงั มโนทศั น์จะ
เรียงลำดับความซับซ้อนจากมโนทัศน์ที่มีความหมายกว้างและซับซ้อนจะอยู่ด้านบนและจะมี
ความหมายเฉพาะเจาะจงมากขึ้นหรือซับซ้อนน้อยลงมาในด้านล่าง (ลออ อานานนท์. 2542 : 10)
ดงั นี้
ในการเตรียมสร้างผังมโนทศั น์ Ault (1985 : 38-44) ได้เสนอแนะวิธกี ารสร้างผัง
มโนทศั น์โดยแบง่ เปน็ 5 ข้นั คือ
ขนั้ ที่ 1 เลอื ก การเลอื กเร่อื งที่จะสรา้ งผังมโนทัศน์อาจนำมาจากตำรา สมดุ จด
คำบรรยายคำอธบิ ายกอ่ นการปฏบิ ตั กิ าร เร่มิ จากการอ่านข้อความอยา่ งน้อย 1 คร้งั แลว้ ระบมุ โนทัศน์
ที่สำคัญโดยขีดเส้นใต้คำหรือประโยคที่สำคัญ ซึ่งอาจจะเป็นวัตถุหรือเหตุการณ์ แล้วลอกมโนทัศน์
เหล่านนั้ ลงในแผ่นกระดาษเลก็ ๆ เพ่อื สะดวกในการจัดความสัมพนั ธ์
ขั้นที่ 2 จัดลำดับ นำมโนทัศน์ที่สำคัญซึ่งได้เขียนลงในแผ่นกระดาษเล็ก ๆ แล้วมา
จดั ลำดบั จากมโนทศั นท์ ม่ี ีความกวา้ งไปสมู่ โนทศั นท์ ่มี คี วามเฉพาะเจาะจง
ขัน้ ที่ 3 จัดกลมุ่ นำมโนทัศนม์ าจัดกลุม่ เขา้ ด้วยกันโดยมีเกณฑ์ 2 ขอ้ คอื
3.1 จดั กลมุ่ มโนทศั น์ทีอ่ ยใู่ นระดบั เดียวกัน
3.2 จดั กลุม่ มโนทศั น์ทม่ี คี วามเก่ยี วข้องกนั อยา่ งใกล้ชดิ
ขั้นที่ 4 จัดระบบ เมื่อจัดกลุ่มมโนทัศน์แล้วนำมโนทัศน์ที่อยู่ในกลุ่มเดียวกันมา
จดั ระบบตามลำดับความเกยี่ วข้อง ซึง่ ในขัน้ นี้ยังสามารถเปลี่ยนแปลงได้หรอื อาจหามโนทัศน์อื่น ๆ มา
๘
เพิ่มเตมิ ได้อีก
ขั้นท่ี 5 เชื่อมโยงมโนทศั น์ทม่ี ีความสมั พันธ์กนั เมือ่ จัดระบบมโนทัศน์ทีส่ ำคัญแล้วนำ
มโนทัศน์ที่มีความสัมพันธ์กันมาเชื่อมโยงกัน โดยการลากเส้นเชื่อมโยงกัน และมีคำเชื่อมระบุ
ความสมั พันธ์ไว้ทุกเสน้ และหลงั จากใส่คำเชอ่ื มแล้วจะสามารถอ่านไดเ้ ปน็ ประโยค เสน้ ท่ีเชอื่ มโยงน้ี
อาจเช่อื มระหว่างมโนทัศนช์ ดุ เดียวกันหรอื เช่อื มโยงระหว่างชุดของมโนทัศน์ทต่ี ่างกนั ก็ได้
ดังนั้น การใช้ข้อความเชื่อมต้องระวังให้เหมาะสมกับรายละเอียดของเนื้อหา การสร้าง
มโนทัศน์จะมีเส้นโยงระหว่างมโนทัศน์แสดงความสัมพันธ์ โดยปกติแล้วไม่นิยมใช้ลูกศรแสดง
ความสัมพันธ์ระหว่างมโนทัศน์อาจทำให้สับสนได้ เพราะแผนผังมโนทัศน์ได้แสดงลำดับขั้นก่อนหลงั
แล้ว การสร้างแผนผังมโนทัศน์ควรเขียนซ้ำอย่างน้อย 2 ครั้ง เพื่อปรับปรุงแผนผังให้ประณีตชัดเจน
กะทัดรัด มกี ารปรบั ปรงุ ฝึกฝนตนเองโดยการทำหลาย ๆ ครงั้ เพอ่ื ได้หาขอ้ บกพร่องในการทำแผนผัง
มโนทัศน์
1.4 รปู แบบของกรอบผังมโนทศั น์
กรอบผงั มโนทศั น์ มีผ้นู ำเสนอไวม้ ากมาย เปน็ แผนผงั ทางความคิด ซ่งึ ประกอบไปด้วย
ความคิดหรือข้อมูลสำคัญ ๆ ที่เชื่อมกันอยู่ในรูปแบบต่าง ๆ จะทำให้เห็นโครงสร้างของความรู้หรือ
เนื้อหาสาระนั้น ๆ สำหรับการนำรูปแบบของกรอบผังมโนทัศน์แต่ละรูปแบบมาใช้นั้นขึ้นอยู่กับ
ลักษณะของข้อมูล องค์ประกอบต่าง ๆ ของข้อมูล ที่มีความเหมาะสมกับโครงสร้างของกรอบผงั มโน
ทัศน์ตลอดจนความต้องการของผู้ใช้ ในที่นี้ผู้วิจัยจะนำเสนอรูปแบบของกรอบผังมโนทัศน์ที่เห็นว่า
สามารถนำไปใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ได้อย่างสะดวกและเกิดประโยชน์ โดยมีลักษณะที่
หลากหลายดงั ตัวอยา่ งต่อไปนี้ (สุวิทย์ มูลคำ. 2556 : 18 – 22)
Concept Map (ผงั มโนทัศน)์
เป็นแผนภาพที่แสดงความสัมพันธ์ระหวา่ งมโนทัศน์ (Concept) ต่าง ๆ เกี่ยวกับเรื่องใด
เรื่องหนึ่งอย่างเป็นลำดับขั้น เพื่อให้เกิดการสร้างองค์ความรู้อย่างเป็นระบบ พัฒนาขึ้นโดย Joseph
D.Novak มลี ักษณะดังน้ี
๙
มโนทัศนท์ ่ีครอบคลมุ ทสี่ ุด
คำเชอ่ื ม คำเช่อื ม คำเชือ่ ม
มโนทศั น์รอง
มโนทัศนร์ อง มโนทัศนร์ อง
คำเช่ือม คำเช่อื ม คำเชือ่ ม
มโนทศั น์แคบ มโนทศั น์แคบ มโนทศั นแ์ คบ
คำเชอื่ ม คำเช่ือม คำเชื่อม
มโนทศั นท์ ่ีเฉพาะเจาะจง มโนทัศนท์ เี่ ฉพาะเจาะจง มโนทศั น์ที่เฉพาะเจาะจง
ตัวอยา่ ง ตัวอยา่ ง ตวั อย่าง
วตั ถ/ุ เหตุการณ์ วตั ถุ/เหตุการณ์ วตั ถุ/เหตุการณ์
ภาพท่ี 1 รูปแบบของกรอบผังมโนทัศน์ Concept Map
ข้ันตอนการสร้าง Concept Map
1. เขยี นมโนทัศนใ์ หญ่ไวต้ รงกลาง
2. เขียนมโนทศั นท์ ีม่ คี วามสำคญั รองลงมาเป็นลำดับขัน้ จากใหญ่ไปย่อย
3. เชื่อมมโนทัศน์ตา่ ง ๆ โดยใช้เสน้ เชือ่ มโยงให้เหน็ ถงึ ความสัมพันธ์
4. เขียนคำเชอ่ื มทีแ่ สดงถึงลักษณะของความสัมพนั ธ์ระหว่างมโนทัศน์
5. คำท่นี ำมาเขยี นควรเปน็ คำสำคัญ (key word)
Mind Mapping (ผงั ความคดิ )
ผังความคิดรูปแบบนี้ใช้แสดงการเชื่อมโยงข้อมูลกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งระหว่างความคิด
หลัก ความคิดรอง และความคิดย่อยท่ีเก่ียวข้องสมั พันธ์กันพัฒนาขึ้นโดย โทนี่ บูซาน (Tony Busan)
ซ่ึงมีรปู แบบดงั น้ี
๑๐
ภาพท่ี 2 รปู แบบของกรอบผงั มโนทศั น์ Mind Map
ขน้ั ตอนการสร้าง Mind Map
1. เริ่มเขียนหรือวาดภาพมโนทัศน์หลักหรือหัวข้อเรื่อง ตรงกึ่งกลางหน้ากระดาษ
ซ่งึ ควรใชก้ ระดาษชนดิ ไม่มเี ส้นและวางกระดาษแนวนอน (ภาพท่ีวาดควรเป็นภาพส)ี
2. เขียนหรอื วาดมโนทัศน์รองทส่ี ัมพันธ์กับมโนทัศน์หลัก ซง่ึ หัวข้อเร่ืองควรกระจาย
ออกไปรอบ ๆ มโนทศั นห์ ลกั
3. เขียนหรือวาดมโนทัศน์ย่อยที่สัมพันธ์กับมโนทัศน์รองแตกออกไปเรื่อย ๆ โดย
เขียนข้อความไว้บนเส้นแต่ละเส้น เส้นที่ใช้อาจเป็นเส้นตรงหรือเส้นโค้งก็ได้ แต่เส้นที่ใช้กับมโนทัศน์
รองจะเป็นเส้นทใี่ หญก่ วา่ มโนทัศน์ย่อย ซึง่ เปรียบเสมือนรากไมท้ ี่แตกออกจากต้นไม้
4. ควรใชภ้ าพหรอื สญั ลักษณส์ ื่อความหมายทีเ่ ปน็ ตวั แทนของความคิดใหม้ ากท่สี ุด
5. เขียนหรือพิมพ์คำด้วยตัวบรรจงขนาดใหญ่ คำที่นำมาเขียนควรเป็นคำสำคัญ
(key word)
6. เขยี นคำเหนือเส้นแตล่ ะเสน้ ต้องเชื่อมต่อกบั เสน้ อนื่ ๆ (กรณที ีเ่ ขียนเป็นภาพสีเส้น
ของมโนทศั น์รองและย่อยแตล่ ะมโนทศั น์ควรเปน็ สีเดยี วกันตลอด)
7. ระบายสใี หท้ ั่ว Mind Map
8. ขณะทเี่ ขยี น Mind Map ควรปลอ่ ยการคดิ ใหม้ ีอสิ ระมากที่สดุ
จากการจำแนกกรอบผังมโนทัศน์ จะเห็นไดว้ ่าแตล่ ะรปู แบบมีลักษณะทีแ่ ตกตา่ งกนั หลาย
ประการ ซึ่งมีทั้งข้อดีและข้อจำกัดไม่เหมือนกัน บางรูปแบบใช้เขียนได้ซับซ้อน กว้างขวาง บาง
ประเภทได้คอ่ นข้างจำกดั ซง่ึ จะใช้ประเภทใดนัน้ กข็ ้นึ อยกู่ ับเหตผุ ลของผู้ใช้ว่าจะเลือกประเภทใด
1.5 ประโยชน์ของผงั มโนทัศน์
ผังมโนทัศน์จะช่วยวิเคราะห์มโนทัศน์ที่สำคัญในกิจกรรมการเรียนการสอน เพื่อให้
ครอบคลุมมโนทัศน์ทั้งหมด ผังมโนทัศน์สามารถนำมาใช้ได้ทั้งในระบบโปรแกรมการศึกษาท้ัง
โปรแกรม หรือในระดับแต่ละบทเรียน มโนทัศน์ที่กว้างเหมาะสำหรับใช้เป็นฐานในการวางแผนการ
สอน แผนการสอนที่ใช้ผังมโนทัศน์จะช่วยประหยัดเวลาในการสอน สามารถเตรียมอุปกรณ์การสอน
๑๑
ได้ การใช้ผังมโนทัศน์ช่วยในการสอนแต่ละหน่วย จะทำให้ผู้เรียนมองเห็นความสัมพันธ์ของเนื้อหา
เห็นรายละเอียดของเนือ้ หาที่จะสอนได้ชัดเจน และยังเห็นความสัมพันธร์ ะหว่างแตล่ ะหนว่ ยการสอน
ดว้ ย (ประไพลิน จันทน์หอม. 2547 : 37 - 41)
ดา้ นผสู้ อน
1. ผังมโนทศั นส์ ามารถใช้เป็นเครื่องมือในการวางแผนการสอน โดยใช้วิเคราะห์มโน
ทศั นท์ ี่เกีย่ วเน่ืองในเนื้อหา วิเคราะห์ความรู้พื้นฐานท่ีเก่ียวข้องกับเร่ืองทจี่ ะสอน เน่ืองจากผังมโนทัศน์
แสดงความสัมพันธ์ระหว่างมโนทัศน์ ทำให้ทราบว่าการเรียนแต่ละเรื่องผู้เรียนควรมีความรู้เรื่องใด
สามารถนำไปวางแผนการสอนใหเ้ หมาะสม เพอื่ เรยี งลำดบั เน้ือหาการสอน
2. ใช้เป็นเครื่องมือในการวางแผนการสอน เพื่อให้เกิดการบูรณาการเนื้อหาวิชาที่
แตกตา่ งกันเข้าดว้ ยกัน
3. ใชเ้ ป็นเคร่อื งมือสำรวจและกระตนุ้ ความรู้เดิมในเร่ืองที่จะเรียนของผู้เรียน ก่อนที่
จะขึ้นบทเรียนใหม่ เพื่อทำให้ผู้เยนสามารถเชื่อมโยงความรู้ใหม่กับโครงสร้างความรูเ้ ดิม เกิดเป็นการ
เรียนรู้อย่างมีความหมาย ยังทำให้ผู้สอนสามารถทราบถึงความคิดของผู้เรียน ทราบความเข้าใจที่
คลาดเคลอื่ นในเรื่องท่ีจะเรยี น แล้วอธิบายมโนทัศนข์ ณะทำการสอนให้ถูกตอ้ งได้
4. ผังมโนทัศน์สามารถใช้เป็นเครื่องมือในการช่วยสอนบรรยาย ทำให้การสอน
เป็นไปตามวัตถุประสงค์ ช่วยแสดงความสัมพันธ์ของมโนทัศน์ต่าง ๆ ในการบรรยายแต่ละครั้ง และ
ช่วยสรุปรวบรวมให้เห็นความรู้ในการบรรยายแต่ละครั้ง แสดงให้ผู้สอนและผู้เรียนเห็นรายละเอียด
ของเรื่องท่ีเรียนไปแล้ว เร่ืองทีก่ ำลงั เรียนและเรื่องที่จะเรียนคลา้ ยเปน็ แผนที่ในการเรียนรู้
5. ใช้อำนวยความสะดวกในการอภิปรายใช้เป็นแนวทางในการประเด็นที่อภิปราย
ทำให้อภิปรายได้ครอบคลุมและชว่ ยในการแสดงลำดบั ในการอภิปราย
6. ใชเ้ ปน็ แนวทางในการเรยี นการสอนภาคปฏิบตั ิ ทำใหผ้ ้เู รียนเขา้ ใจการปฏิบัติการ
ทดลองได้ตรงตามวัตถุประสงค์ ช่วยใหเ้ กิดความหมายในการเรียนปฏิบัติ
7. ผังมโนทัศน์สามารถใช้เป็นเครื่องมือในการประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียนได้
อย่างมีประสิทธิภาพทั้งทางปริมาณและคุณภาพ โดยให้ผู้เรียนสรุปสิ่งที่เรียนเป็นผังมโนทัศน์ของ
ตนเอง เป็นการประเมินความเข้าใจและการเชื่อมโยงความสัมพันธ์ สามารถเปรียบเทียบผังมโนทัศน์
ก่อนเรียนและหลังเรียนเพอื่ แสดงใหเ้ หน็ การเปลี่ยนแปลงในการเรยี นของผู้เรียน
ดา้ นผู้เรียน
1. ผังมโนทัศน์สามารถใช้ในการทำความเข้าใจโครงสร้างเนื้อหาหลักแบบกว้างๆ
กอ่ นการอ่านตำรา ช่วยจับใจความสำคัญทำให้เขา้ ใจได้ดขี ึน้
2. สามารถใช้เป็นเครื่องมือในการเรียนรู้ ทำให้เกิดการเรียนรู้อย่างมีความหมาย
โดยผ้เู รียนใช้ผงั มโนทัศน์ในการจัดองค์ความรู้อย่างเปน็ ระบบ เรยี งลำดับความสำคญั ของมโนทัศน์ ทำ
ให้งา่ ยตอ่ ความเข้าใจและการจำ และใช้เปน็ เคร่ืองมือในการเชื่อมโยงความรหู้ ลายๆ หัวข้อ ทำให้เห็น
โครงสร้างบทเรยี น แลว้ สามารถเพ่มิ ความซบั ซ้อนเมื่อมีการเรยี นหลายหัวข้อ
3. ใช้ผังมโนทัศน์ในการสรุปความหมายจากสิ่งที่เรียนเห็นความสัมพันธ์ของสิ่งที่
เรียนท้งั หมด ทำให้ผ้เู รยี นจำไดด้ ีและคงทน และสามารถจำประเด็นสำคญั ของเรือ่ งทเี่ รียนได้
๑๒
4. ใช้เป็นเครื่องมือในการทบทวนความรู้ ฝึกสรุปบทเรียนด้วยตนเอง กระตุ้นให้
ผู้เรียนกระตือรือร้นเพื่อทำความเข้าใจมโนทัศนต์ ่าง ๆ เป็นการสง่ เสริมการคดิ เปดิ โอกาสให้ผู้เรียนใช้
เหตุผลในการพิจารณาความสัมพันธ์ของแตล่ ะมโนทัศน์ อีกทงั้ ยังเปน็ เคร่อื งมอื ในการนำเสนอความคิด
ความรู้อย่างมีลำดับข้ันเป็นระบบ
5. ใช้เป็นเครื่องมอื ในการวางแผนการเขียนบทความ รายงาน การสร้างผังมโนทศั น์
ให้สมบูรณ์ก่อนจะเริ่มเขียนบทความหรือรายงานจะเป็นการเตรียมตัวอย่างคร่าว ๆ ช่วยให้ผู้เรียน
สามารถรวบรวมความคิดออกมาเปน็ โครงสรา้ งของการเขียนได้
สำหรับงานวิจัยในครั้งนี้ผู้วิจัยได้ใช้แผนผังมโนทัศน์ ประกอบการบรรยาย โดยนำเสนอ
แผนผังมโนทัศน์ในขน้ั ตอนตา่ ง ๆ ของการเรียนการสอนดังนี้
1. ชี้แจงและแนะนำนักเรียนให้รู้จักแผนผังมโนทัศน์ ประโยชน์ของผังมโนทัศน์
ส่วนประกอบต่างๆ เพื่อให้ผู้เรียนเกิดความตระหนักในความสำคัญในการปฏิบัติตามบทบาทใน
กิจกรรมการเรยี นการสอนดว้ ยผงั มโนทศั นอ์ ย่างสมบูรณ์ แลว้ ผ้สู อนแสดงตังอยา่ งของผังมโนทัศน์
2. ก่อนเรียนครูแสดงแผนผังมโนทัศน์โครงสร้างภาพรวมของเนื้อหาวิชา เพื่อให้
ผู้เรียนเห็นขอบเขตภาพรวมของเรื่องที่จะเรียน และชี้ตำแหน่งของบทเรียนในแต่ละครั้ง และอธิบาย
ถึงความสมั พันธ์ของหัวขอ้ ตา่ ง ๆ
3. ครูบรรยายบทเรียนด้วยการแสดงภาพ และแสดงการเพิ่มขึ้นของหัวข้อต่างๆ
ด้วยแผนผงั มโนทศั น์ ตามเน้ือหาท่บี รรยาย
4. เมือ่ เรยี นเน้ือหาของบทเรียนจนครบถว้ น ทบทวนบทเรยี นด้วยการถามผู้เรียนถึง
หัวข้อต่าง ๆ ที่เพิ่งเรียนมา โดยการแสดงผังมโนทัศน์เนื้อหาของบทเรียน ร่วมกันสรุปเนื้อหาประจำ
บทเรียนของแต่ละหวั ขอ้
5. เมื่อได้แผนผังประจำบทเรียนของเนื้อหาแต่ละหัวข้อแล้ว ครูจะให้ผู้เรียนนำผัง
มโนทัศน์ที่สร้างขึ้นมาเชื่อมโยงกับผังมโนทัศน์ที่แสดงโครงสร้างเนื้อหาประจำวิชา แล้วตรวจสอบ
ความสัมพันธ์ต่างสายมโนทัศน์ ที่อาจมีได้กับหัวข้ออื่น ๆ เพื่อเป็นการบูรณาการความรู้ใหม่เชื่อมโยง
เข้ากบั ความรูเ้ ดิม
6. ให้ผู้เรียนนำผังมโนทัศน์ประจำบทเรียนที่สรุปออกมาแล้ว นำผังของบทเรียนไป
ปรับปรุง สร้างเป็นผังประจำบทเรียนของตนเองลงบทกระดาษวาดเขียน โดยยึดโครงสร้างผังที่สรุป
ออกมาร่วมกัน หรืออกแบบการจัดวางแผนผังใหม่ โดยใช้สี รูปทรงและการจัดตำแหน่ง เพื่อให้เกิด
ขบวนการในการนำขอ้ มลู เขา้ สรู่ ะบบความจำดว้ ยการปฏิบัติงาน เกดิ ความเข้าใจในเนอ้ื หาทง้ั หมดและ
เห็นความสัมพันธ์ของหัวข้อต่าง ๆ และนำมาส่งในการเรียนครัง้ ต่อไป ขั้นตอนนี้จะทำให้ผู้เรียนได้ฝึก
วิเคราะห์งานของตน และตระหนักว่าการปรับปรงุ งานเป็นธรรมดาของงานท่ีซบั ซ้อนหรือต้องการงาน
ทีม่ ีคุณภาพ
7. ในการเรียนการสอนก่อนเริ่มบทเรียนใหม่ ครูจะมีการกระตุ้นความรู้เดิมของ
ผู้เรียนก่อน โดยการดูแผนผังโครงสร้างเนื้อหาทั้งหมด แล้วชี้ตำแหน่งของบทเรียนที่จะเรียนเพื่อให้
ผเู้ รียนมีความตัง้ ใจ และสามารถเชื่อมโยงความรู้ใหม่เขา้ กับความรู้เดิมได้
จากเอกสารที่เกย่ี วกับแผนผังมโนทัศน์ ทกี่ ล่าวมาทัง้ หมดทีจ่ ะเหน็ วา่ แผนผงั มโนทัศน์เป็น
วธิ ีการหน่ึงท่ีสามารถนำมาใช้พัฒนาการเรยี นการสอนไดท้ ุกวิชา ซ่ึงมปี ระโยชน์ต่อครูผ้สู อน ท้ังในด้าน
๑๓
การนำมาใช้ในการวางการสอน การจัดกิจกรรม การเรียนการสอนและใช้เป็นเครื่องมือประเมินผล
ความรู้ความเข้าใจในการเรียนด้วย ส่วนในด้านตัวผู้เรียน แผนผังมโนทัศน์ควรมีจุดมุ่งหมายที่จะ
พัฒนาผู้เรียนในด้านการคิด โดยฝึกให้ผู้เรียนคิดอย่างเป็นระบบและถ่ายทอดความคิดอกมาในรูป
แผนผังมโนทัศน์ที่มีลักษณะต่าง ๆ กัน นอกจากนี้ลักษณะของแผนผังมโนทัศน์จะช่วยให้ผู้เรียน
มองเห็นความสัมพันธ์ ของเนื้อหา ทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้อย่างเข้าใจและมีความหมายมิใช่การ
เรียนแบบท่องจำ จึงนา่ จะเป็นวิธกี ารสอนท่ีชว่ ยใหผ้ ้เู รียนมีผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียนสงู ข้นึ
2. แนวคดิ ทฤษฎเี ก่ียวกับความพงึ พอใจ
ทรัพยากรบุคคลเป็นปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความสำเร็จ โดยบุคลากรนั้นจะต้องมีศักยภาพ มี
ความสามารถ มีทักษะในการปฏิบัตงิ านตลอดจนมีทักษะที่ดใี นการปฏิบัติงาน ดังนั้น จึงควรมีพัฒนา
บุคลากรในองค์การให้มีประสิทธิภาพในการทำงานตลอดจนมีการเสริมสร้างผู้มีส่วนเกี่ยวข้องได้มี
ความพงึ พอใจ ผู้วิจยั จงึ ไดน้ ำเสนอแนวคิดทฤษฎีเกยี่ วกับความพึงพอใจของนักการศกึ ษาไว้ ดงั น้ี
2.1 ความหมายของความพงึ พอใจ
ความพึงพอใจ (Satisfaction) ได้มนี กั วชิ าการให้ความหมายไว้ ดงั น้ี
ธีรศักดิ์ กลิ่นดี (2540 : 18) กล่าวถึงความพึงพอใจว่า หมายถึง ความรู้สึกที่ดีที่ชอบ
กจิ กรรมทั้งกายและจิตใจ
มหาวทิ ยาลยั สุโขทัยธรรมาธริ าช (2544 ก : 19) ไดร้ ะบุความหมายไว้ว่า ความพึงพอใจ
ตรงกบั ภาษาอังกฤษว่า Satisfaction ซ่งึ มคี วามหมายโดยทวั่ ๆ ไปว่า ระดับความรู้สึกในทางบวกของ
บคุ คลต่อส่ิงใดสิ่งหนึ่ง
วิเชียร ใจผาสุข (2541 : 30) กล่าวว่า ความพึงพอใจ หมายถึง ความรู้สึกในทางบวก
หรือความรู้สกึ ในทางท่ีดีต่อสิ่งตา่ ง ๆ ที่ทำให้ความต้องการของบุคคลได้รบั การตอบสนองทั้งทางด้าน
รา่ งกาย จติ ใจ อารมณ์ สงั คมและความเชื่อทเี่ หมาะสม
อมร รักษาสัตย์ (2542 : 25) ให้ความเห็นว่า ความพึงพอใจหรือความไม่พึงพอใจนี้
ในทางพระพุทธศาสนารวมเรียกว่า “เวทนา” คือ ความรู้สึกหรือทัศนคติหลังการรับรู้ว่าชอบหรือไม่
ชอบ สุขหรือทุกข์ ดีหรือเลว อร่อยหรือไม่อร่อย พอใจหรือไม่พอใจ ซึ่งเวทนาสามารถแยกได้เป็นสุข
เวทนาและทุกขเวทนา
อำนวย แสงสว่าง (2544 : 88) ได้กล่าวไว้ว่า ความพึงพอใจ หมายถึง การแสดง
ความรู้สึกหรือการแสดงออกในทางบวกที่มีต่อองค์กร บุคคลผู้ร่วมงานและงานที่ทำ ได้แก่ การแสดง
ความยินดี ชื่นชม การคิด สร้างสรรค์ การร่วมมือ ร่วมแรง ร่วมใจและการมีความสุขในการทำงาน
เป็นตน้
ราชบัณฑติ ยสถาน (2546 : 793) ระบุไวว้ า่ พงึ เปน็ คำชว่ ยกริยาอ่นื แปลวา่ ควร พึงใจ
หมายความว่า พอใจ ชอบใจ
สรุปได้ว่า ความพึงพอใจ หมายถึง ความรู้สึกหรือเจตคติในทางที่ดีของบุคคลที่มีต่อส่ิง
ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องโดยเป็นความรู้สึกที่ชอบหรือพอใจที่มีต่อองค์ประกอบและสิ่งจูงใจในด้านต่าง ๆ
๑๔
ของงานและไดร้ ับการตอบสนองความต้องการ อันจะสง่ ผลให้เกดิ ความผูกพันกบั หน่วยงาน
2.2 ความสำคัญของความพึงพอใจ
ความพึงพอใจนั้นเป็นความรู้สกึ ที่มตี ่อการปฏิบัติงานในทางบวก ทำให้เกิดความสุข ผลที่
เปน็ ความพึงพอใจท่ีทำให้บุคคลเกิดความร้สู ึกกระตือรือร้น มคี วามมงุ่ มั่น มขี วญั และกำลังใจ ซึ่งส่ิง
เหล่านี้จะมีผลต่อประสิทธิภาพและประสิทธิผลของหน่วยงาน ได้มีหน่วยงานและนักการศึกษาได้ให้
แนวคดิ เก่ยี วกับความสำคญั ของความพึงพอใจไว้ ดงั น้ี
มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช (2544 ข : 21) ได้ระบุถึงความสำคัญของความพึง
พอใจ สรุปไดว้ ่า เปา้ หมายสงู สุดของความสำเร็จในการดำเนินงานข้ึนอยู่กับกลยุทธ์ การสร้างความพึง
พอใจใหก้ ับบุคคลเพื่อให้เกิดความร้สู ึกที่ดีและประทับใจ การศกึ ษาความพงึ พอใจของผู้ปฏิบัติงาน จึง
เป็นเรื่องสำคัญเพราะความรู้ความเข้าใจในเรื่องนี้จะนำมาซึ่งความได้เปรียบในเชิงการแข่งขันทาง
การตลาดเพื่อความก้าวหน้าและความเติบโตของหน่วยงานและส่งผลให้สังคมส่วนรวม มีคุณภาพที่ดี
ขึ้น จึงกล่าวได้ว่าความพึงพอใจมีความสำคัญต่อผู้ปฏิบัติงานเป็นอย่างยิ่ง นอกจากนี้ยังได้กล่าวถึง
ความพงึ พอใจมีความสำคัญตอ่ ผูใ้ หบ้ ริการและผูร้ ับบรกิ าร
สุรพล พยอมแยม้ (2541 : 22) กลา่ วถงึ ความสำคญั ของความพงึ พอใจไวว้ ่า เมือ่ บคุ คล
เขา้ ไปร่วมปฏบิ ัติงานกับองค์กรหรือหน่วยงานใดก็ตาม ในขั้นแรกบุคคลจะมคี วามรู้สึกผูกพันกับงานที่
ได้รับมอบหมายพร้อมทั้งรับทราบอำนาจหน้าที่ในการปฏิบัติงาน ซึ่งความผูกพันนั้นอาจจะเป็นไปได้
ทั้งในด้านบวกและด้านลบ ความสัมพันธ์ระหว่างองค์กรกับบุคคลนั้นเกิดขึ้น เพราะทั้งสองฝ่ายมี
ความรู้สึกว่าต่างก็ได้รับประโยชน์ตอบแทนระหว่างกัน บุคคลได้ทำประโยชน์ (Contribute) ให้กับ
องค์กรโดยการปฏิบัติงาน ฝ่ายองค์กรก็ได้กระตุ้น (Induce) ด้วยการจ่ายค่าตอบแทนในสัดส่วนที่
เหมาะสมกับการทำประโยชน์ของบุคคล ลักษณะเช่นนี้ทำให้เกิดดุลยภาพ ( Organization
Equilibrium) ในองค์กรและหากดุลยภาพในองค์กรเสยี ไปองค์กรจำเป็นที่จะต้องสรรหาสิง่ กระตุน้ ใน
รูปต่าง ๆ เพิ่มมากขึ้นเพราะในความรู้สึกของบุคคลที่ทำประโยชน์ให้องค์กรต่ำ เนื่องมาจากเห็นว่า
องค์กรให้สิ่งกระตุ้นน้อยเกินไป เมื่อเป็นเช่นนี้ลักษณะของการหาสิ่งที่มากระตุ้น (Inducement)
ท้ังหมดน้ันกค็ ือการจงู ใจให้คนเกิดความพงึ พอใจให้คนทำงานในรูปแบบต่าง ๆ น่ันเอง
หลยุ จำปาเทศ (2545 : 15) ไดก้ ลา่ วถึงความสำคัญของความพึงพอใจ ดงั นี้
1. การจูงใจเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดความพึงพอใจโดยทฤษฎีต่าง ๆ ของการจูง
ใจจะนำไปสคู่ วามพึงพอใจแทบทง้ั สิ้น
2. การจูงใจเป็นการเพม่ิ พนู ผลงานและผลผลิตขององคก์ ร
3. การจูงใจเป็นการเพิ่มประสทิ ธภิ าพการประเมินผลการปฏบิ ตั งิ านขององค์กร
4. การจงู ใจเปน็ เคร่ืองมือในการแกป้ ญั หาต่าง ๆ
5. การจูงใจสามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่ไม่พึงปรารถนาให้เป็นพฤติกรรมที่พึง
ปรารถนาได้จากที่กล่าวมาจะเห็นได้ว่าความพึงพอใจในการปฏิบัติงาน มีความเกี่ยวข้องกับบุคคล
หน่วยงานหรือองค์กร ความพึงพอใจมีความจำเป็นหรือเป็นเหตุผลของการแสดงพฤติกรรมบุคคลมี
ความจำเป็นหลายอย่าง ความจำเป็นหรือความต้องการทั้งหมดเหล่านี้จะแข่งขันกันเพื่อแสดงออก
๑๕
ในทางพฤติกรรม เมื่อถึงจุดนี้แต่ละคนจะพิจารณาว่าแรงจูงใจใดสร้างความพอใจให้มากที่สุด
เพราะฉะนน้ั ความพงึ พอใจจึงมีความสำคัญต่อผปู้ ฏิบัตงิ านเปน็ อย่างย่ิง
สรปุ ไดว้ ่า ความพึงพอใจต่อจดั กจิ กรรมการเรียนการสอนของครู เปน็ เรือ่ งของความรู้สึก
ที่มีความรู้สึกของนักเรียนที่มีต่อการเรียนการสอน และความพึงพอใจของแต่ละบุคคลไม่มีวันสิ้นสุด
เปลี่ยนแปลงได้เสมอตามกาลเวลาและสภาพแวดล้อมบุคคลจึงมีโอกาสทีจ่ ะไม่พึงพอใจในสิ่งที่เคยพึง
พอใจมาแล้ว
2.3 ทฤษฎที ี่ส่งผลตอ่ ความพงึ พอใจ
ความพึงพอใจที่ส่งผลต่อการบริหารการศึกษานั้นผู้วิจัยได้ศึกษาทฤษฎีและแนวคิดที่
เกีย่ วข้องกับความพึงพอใจ ดังน้ี
กระทรวงศึกษาธิการ (2550 : 148–149) กลา่ วถึง ทฤษฎีลำดับความตอ้ งการของ
มาสโลว์ (Maslow) เป็นนักจิตวิทยาที่ได้ศึกษาเรื่องความต้องการของมนุษย์ในทฤษฎีความต้องการ
โดยแบ่งออกเป็น 5 ประเภท ดงั น้ี
1. ความตอ้ งการทางสรีระ (Physiological Needs) หมายถงึ ความต้องการพืน้ ฐาน
ของร่างกาย เช่น ความหิว ความกระหาย ความต้องการทางเพศและการพักผ่อน เป็นต้น ความ
ต้องการเหล่านีเ้ ป็นความต้องการทีจ่ ำเป็นสำหรับการมีชีวิตอยู่ มนุษย์ทุกคนมีความต้องการทางสรีระ
อยเู่ สมอจะขาดเสียไม่ได้
2. ความต้องการความมนั่ คงปลอดภัยหรือสวสั ดภิ าพ (Safety Needs) หมายถงึ
ความต้องการความมั่นคงปลอดภยั ทางด้านร่างกายและจิตใจ เป็นอิสระจากความกลัว ข่เู ขญ็ บงั คับ
จากผอู้ ื่นและสงิ่ แวดลอ้ ม เปน็ ความต้องการท่จี ะได้รบั การปกป้องค้มุ กนั ความต้องการประเภทน้ี
เร่มิ ตั้งแตว่ ยั ทารกจนกระทัง่ วยั ชรา ความต้องการทจ่ี ะมีงานทำเป็นหลกั แหลง่ กเ็ ปน็ ความต้องการ
เพ่ือสวสั ดิภาพของผูใ้ หญ่อยา่ งหน่ึง
3. ความตอ้ งการความรกั หรือความเปน็ สว่ นหนง่ึ ของกลมุ่ (Love & Belonging
Needs) มนษุ ย์ทกุ คนมคี วามปรารถนาจะให้เปน็ ทร่ี ักของผูอ้ ่นื ต้องการมีความสมั พันธก์ บั ผู้อ่นื และ
เป็นส่วนหนง่ึ ของกลมุ่ ต้องการใหท้ ุกคนยอมรับตนเปน็ สมาชิก คนท่ีรสู้ ึกว่าเหงาไมม่ เี พื่อนมีชีวิต
ท่ีไมส่ มบรู ณเ์ ปน็ ผู้ที่ตอ้ งการเพื่อนจะต้องทำให้รู้สึกวา่ ตนเปน็ ที่รัก และยอมรับของกลมุ่ เพือ่ ให้เป็น
ท่ีสมปรารถนาในความต้องการความรกั และเป็นส่วนหนง่ึ ของกลุ่ม
4. ความต้องการที่จะรู้สึกว่าตนเองมีค่า (Esteem Needs) ความต้องการนี้
ประกอบด้วย ความต้องการที่จะประสบความสำเร็จมีความสามารถ ต้องการที่จะให้เห็นว่าตนมี
ความสามารถมีคุณค่าและมีเกียรติ ต้องการได้รับความยกย่องนับถอื จากผูอ้ ื่นผู้ที่มคี วามสมปรารถนา
ในความต้องการนจี้ ะเป็นผู้มคี วามมั่นใจในตนเองเป็นคนมปี ระโยชน์และมีค่าตรงข้ามกับผู้ที่ขาดความ
ตอ้ งการประเภทนี้ จะรสู้ กึ ว่าตนไมม่ คี วามสามารถและมปี มดอ้ ยมองโลกในแง่ร้าย
5. ความต้องการรู้จักตนเองอย่างแท้จริงและพัฒนาตนเต็มที่ตามศักยภาพของตน
(Self Actualization Needs) เป็นความต้องการที่จะรู้จักตนเองตามสภาพที่แท้จรงิ ของตน กล้าที่จะ
ตัดสินใจเลือกทางเดินของชีวิต รู้จักค่านิยมของตนเอง มีความจรงิ ใจต่อตนเอง ปรารถนาที่จะเป็นคน
ดีทส่ี ดุ เท่าที่จะมคี วามสามารถทำได้ทั้งทางดา้ นสติปัญญา ทกั ษะและอารมณ์ ความร้สู ึก ยอมรับตนเอง
๑๖
ทง้ั ส่วนดีและสว่ นเสยี ของตนที่สำคญั ทสี่ ุดก็คือ การมีสตทิ จ่ี ะยอมรับว่าตนใช้กลไกในการป้องกันตนใน
การปรับตัวและพยายามที่จะเลิกใช้ เปิดโอกาสให้ตนเองเผชิญกับความจริงของชีวิต เผชิญกับ
สิ่งแวดล้อมใหม่ ๆ โดยคิดว่าเป็นสิ่งที่ท้าทาย น่าตื่นเต้นและมีความหมาย กระบวนการที่จะพัฒนา
ตนเองเต็มที่ตามศักยภาพของตนเป็นกระบวนการที่ไม่มีจุดจบตลอดเวลาที่มีชีวิตอยู่ มนุษย์ทุกคนมี
ความต้องการท่จี ะพฒั นาตนเองเตม็ ที่ตามศักยภาพของตน
สรุปได้ว่า ในการปฏิบัติงานใด ๆ ก็ตามผู้ปฏิบัติงานจะเกิดความพึงพอใจต่อการทำงาน
มากหรือน้อยขึ้นอยู่กับสิ่งจูงใจในการทำงาน การสร้างสิ่งจูงใจหรือแรงกระตุ้นให้เกิดกับผู้ปฏิบัติงาน
เป็นสิ่งจำเป็นเพื่อให้การปฏิบัติงานเป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่วางไว้ ในการดำเนินกิจกรรมการเรียน
การสอนรายวิชาภาษากับการสื่อสารที่จดั การเรียนรูแ้ บบใช้ปัญหาเป็นฐาน การที่ผู้เรียนจะเกิดความ
พึงพอใจในการเรียนนั้น ผู้เรียนต้องมีแรงจูงใจที่จะอยากเรียน ซึ่งผู้สอนต้องคำนึงถึงสิ่งที่ก่อให้เกิด
แรงจูงใจหลาย ๆ ด้าน เช่น การจัดบรรยากาศ สถานการณ์ เทคนิคการสอนที่ดี ให้ผู้เรียนมีส่วนร่วม
ในการวางแผนตามความต้องการ เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้มีปฏิสัมพันธ์กันการยกย่องชมเชย การให้
รางวัล ให้ผ้เู รยี นเกดิ ความรู้สึกภาคภูมิใจ ในความสำเรจ็ ผู้เรียนมผี ลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนท่ดี ี จะทำให้
ผู้เรยี น มคี วามพงึ พอใจในการเรยี น
3. งานวิจัยเกี่ยวขอ้ ง
3.1 งานวิจัยในประเทศ
รุ่งนภา ทศภานนท์ (2544 : 9) ได้ศึกษาวิจัยเร่ือง ผลของการใช้เทคนิคการจัดแผนผงั
มโนทัศน์ ที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์และความสามารถในการสร้างแผนผังมโนทัศน์
ทางคณติ ศาสตรข์ องนกั เรยี นช้นั มัธยมศึกษาปีท่ี 4 ผลการวจิ ยั พบว่า นกั เรยี นที่เรียนโดยใช้เทคนิคการ
จัดแผนผังมโนทัศน์ในการเรียน มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ผ่านเกณฑ์ร้อยละ 50 และมีผลสัมฤทธิ์
ทางการเรียนสงู กว่านักเรียนทีเ่ รียนแบบปกติ อย่างมีนัยสำคัญทางสถติ ิท่ีระดับ .05 มีความสามารถ
ในการสร้างแผนผังมโนทัศน์ ผ่านเกณฑ์ร้อยละ 50 และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสัมพันธ์ทางบวกกับ
ความสามารถในการสร้างแผนผังมโนทัศน์ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 มีค่าสัมประสิทธิ์
สหสมั พันธเ์ ท่ากบั .70
ศริ ิพร ทุเครอื (2544 : 67–68) ไดศ้ กึ ษาวิจยั เร่อื ง ผลของการเรียนแบบร่วมมือโดยใช้
แผนผังมโนทัศน์ที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความคงทนในการเรียนรู้ กลุ่มสร้างเสริม
ประสบการณช์ ีวิตของนักเรยี นช้นั ประถมศึกษาปที ี่ 4 ผลวิจยั พบว่า ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี นกลุ่มสร้าง
เสริมประสบการณช์ ีวิตของนักเรยี นช้ันประถมศึกษาปีที่ 4 ทไ่ี ดร้ ับการเรียนแบบรว่ มมือโดยใช้แผนผัง
มโนทัศน์ มีผลสัมฤทธิ์สูงกว่าการสอนตามปกติ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และมีความ
คงทนในการเรยี นร้สู ูงกว่าการสอนตามปกติ อย่างมนี ัยสำคญั ทางสถิตทิ ีร่ ะดับ .01
เอมอร มีสุนทร (2550 : บทคัดย่อ) ได้ศึกษาวิจัยเรื่อง ผลของการสอนโดยใช้แบบฝึก
การเขียนสรุปความโดยใช้ผังมโนทัศน์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 จังหวัดฉะเชิงเทรา
ผลการวิจยั พบว่า ผลของการสอนโดยใช้แบบฝึกการเขียนสรุปความโดยใช้ผังมโนทัศน์ของนักเรียนช้ัน
ประถมศึกษาปีที่ 6 มีประสิทธิภาพ 88.47/87.03 สูงกว่าเกณฑ์มาตรฐานที่กำหนดไว้ และการ
๑๗
เปรียบเทยี บผลสมั ฤทธก์ิ ารเขยี นสรุปความ หลังการสอนโดยใช้แบบฝกึ การเขียนสรปุ ความสูงกว่าก่อน
การสอนโดยใชแ้ บบฝึกอย่างมีนัยสำคญั ทางสถติ ิท่ีระดบั .05
เสาวนีย์ มาตรา (2554 : บทคัดย่อ) ได้ศึกษาวิจัยเรื่อง ผลการศึกษาการใช้แผนมโน
ทัศน์ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้คณิตศาสตร์ภายใต้รูปแบบการสอนแบบ 3 ขั้นของ Underhill
สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ผลการวิจัยพบว่า คะแนนผลสัมฤทธิ์ของนักเรียนหลังการจัด
กิจกรรมการเรียนรูม้ ีคะเฉลีย่ เป็น 23.91 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 79.70 และมีจำนวนนักเรียนผ่าน
เกณฑ์ 41 คน คิดเป็นร้อยละ 87.23 ของจำนวนนักเรียนท้งั หมด
จิรายุ ตาหลา้ (2555 : บทคัดยอ่ ) ไดศ้ กึ ษาวิจัยเรื่อง การพัฒนาความสามารถในการคิด
เชิงวิพากษ์และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ โดยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยกระบวนการคิดเชิง
วิพากษ์ร่วมกับเทคนิคผังมโนทัศน์โดยใช้ประเด็นทางสังคม ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6
ผลการวิจัยพบว่า นักเรียนจำนวน 6 คน คิดเป็นร้อยละ 100 มีความสามารถในการคิดเชิงวิพากษ์
ร้อยละ 70 ขึ้นไป ซึ่งผ่านเกณฑ์ที่กำหนด คือ นักเรียนร้อยละ 70 มีความสามารถในการคิดเชิง
วิพากษ์ ร้อยละ 70 ขึ้นไป โดยนักเรียนมีคะแนนความสามารถในการคิดเชิงวิพากษ์เฉลี่ย 2.92 ซ่ึง
อยู่ในขั้นพัฒนามุมมองที่ต่างไปจากเดิม และนักเรียนมีความพึงพอใจต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้
ด้วยกระบวนการคิดเชิงวิพากษ์ร่วมกับเทคนิคผังมโนทัศน์ โดยใช้ประเด็นทางสังคมในภาพรวมอยู่ใน
ระดับพอใจมากโดยมคี า่ เฉลยี่ 4.39
วรี ะชยั จติ จกั ร์ (2555 : บทคดั ยอ่ ) ไดศ้ กึ ษาวิจยั เรอื่ ง การพฒั นาผลการจัดกจิ กรรมการ
เรียนรู้ภาษาไทย ด้านการอ่านเชงิ วิเคราะห์ ชนั้ มธั ยมศึกษาปที ่ี 2 โดยใช้ผงั มโนทัศน์ โรงเรียนเรณนู คร
วิทยานุกูล ผลการวิจัยพบว่า แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ภาษาไทยด้านการอ่านเชิงวิเคราะห์ ชั้น
มัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยใช้ผังมโนทัศน์ มีประสิทธิภาพเท่ากับ 85.92/81.50 และนักเรียนมีความพึง
พอใจตอ่ การเรยี นรู้ภาษาไทยด้านการอ่านเชงิ วิเคราะห์ โดยใชผ้ ังมโนทศั น์ โดยอยู่ในระดบั มากทสี่ ดุ
อาวรณ์ วิเชียรศรี (2555 : บทคัดย่อ) ได้ศึกษาวิจัยเรื่อง ผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้
แบบ 4 MAT ประกอบผังมโนทัศน์ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เรื่อง น้ำ ฟ้าและดวงดาว ช้ัน
ประถมศึกษาปีที่ 5 ผลการวิจัยพบว่า ผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ 4 MAT ประกอบผังมโน
ทัศน์ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เรื่อง น้ำ ฟ้าและดวงดาว ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 มี
ประสทิ ธภิ าพเท่ากับ 82.07/78.54
จากผลการวจิ ยั การสอนโดยใชผ้ งั มโนทัศน์สรปุ ไดว้ ่า การสอนโดยใช้ผงั มโนทัศนน์ ำมาใช้
สอนไดไ้ ม่จำกัดระดบั ชนั้ และใช้ไดก้ ับทุกวชิ า ซ่ึงนักเรยี นที่ได้รับการสอนใหส้ ร้างผังมโนทัศน์นอกจาก
จะมผี ลสมั ฤทธิท์ างการเรียนสูงข้ึนแล้ว ยังมคี วามคงทนในการเรยี นรสู้ ูงกว่าการสอนแบบปกติดว้ ย
3.2 งานวจิ ยั ตา่ งประเทศ
Bodolus (1987 : บทคัดย่อ) ได้ศึกษาวิจัยเรื่อง ยุทธวิธีการใช้ผังมโนทัศน์เพื่อช่วยให้
การเรียนรู้อย่างมีความหมายของนักเรียนเกรด 9 ในวิชาวิทยาศาสตร์ เพื่อศึกษาถึงการเรียนรู้และ
การเปลย่ี นแปลงเจตคติของนกั เรยี นของนักเรียน 3 กลุ่ม ผลการวจิ ัยพบว่า กลุ่มที่ 1 ทไี่ ด้รับการสอน
โดยใช้ผังมโนทัศน์มีคะแนนสอบหลังเรียนสูงกว่ากลุ่มที่ 2 ที่ได้รับการสอนแบบปกติเพียงเล็กน้อย
๑๘
และกลุ่มที่ 1, 2 มีคะแนนทดสอบหลังเรียนสูงกว่ากลุ่มที่ 3 ที่ไม่ได้รับการสอนโดยใช้ผังมโนทัศน์กับ
การสอนแบบปกติ
Brennan (1996 : บทคัดย่อ) ได้ศึกษาวิจัยเรื่อง ผังมโนทัศน์เป็นวิธีการที่มีผลต่อการ
สอนในวชิ าวทิ ยาศาสตรข์ องนกั เรยี นโรงเรียนอนบุ าล พบวา่ เดก็ ในโรงเรียนอนบุ าลท่ีได้รบั การสอนให้
สร้างผังมโนทัศน์จากครู สามารถที่จะรวบรวมข้อมูลและเชื่อมโยงความคิดบนแผนผังที่สร้างได้ การ
สร้างผังมโนทัศน์สามารถส่งเสริมการเรียนรู้ได้มากมายในระดับสูงและส่งเสริมการมีส่วนร่วมของ
นักเรียน สว่ นขอ้ มูลดา้ นความรูย้ งั ไม่เพียงพอที่พิสูจน์ไดแ้ นน่ อน
จากงานวิจัยต่างประเทศดังกลา่ วข้างต้นสรปุ ได้ว่า การเรียนการสอนโดยใชผ้ ังมโนทัศน์ มีผล
ต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ของนักเรียนตั้งแต่นักเรียนระดับอนุบาล ระดับมัธยมและระดับ
อดุ มศกึ ษา
4. กรอบแนวคิดในการวจิ ยั
ในการวิจัยครงั้ นี้ ผู้วจิ ยั ไดด้ ำเนนิ การวจิ ยั ตามแนวคิดดังน้ี
ตวั แปรต้น ตัวแปรตาม
การจดั กิจกรรมการเรียนรู้ 1. ผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี นของนักเรียน
รายวชิ าประวัตศิ าสตร์ ในรายวชิ าประวตั ิศาสตร์ เร่ืองการแบ่งยุคสมัย
เรอ่ื งการแบง่ ยคุ สมยั ทาง ทางประวัตศิ าสตร์
ประวัตศิ าสตร์ โดยใช้ผัง 2. ความพงึ พอใจต่อการจดั กิจกรรมการเรยี นรู้
มโนทัศน์ โดยใชผ้ ังมโนทศั น์
ตารางท่ี 1 กรอบแนวคิดในการวจิ ยั
๑๙
บทที่ 3
วิธีดำเนินการวจิ ยั
การศกึ ษาครั้งน้ีเป็นการวิจัยเพื่อพัฒนากจิ กรรมการเรียนรู้ ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนรู้รายวิชา
ประวตั ิศาสตร์ เร่ืองการแบ่งยุคสมยั ทางประวัติศาสตร์ โดยใช้ผงั มโนทัศน์ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษา
ปีท่ี 1 โรงเรียนแนงมุดวทิ ยา อำเภอกาบเชงิ จงั หวัดสุรินทร์ ซง่ึ มขี น้ั ตอนในการดำเนินการวจิ ัย ดังน้ี
1. ประชากรและกลุม่ ตัวอยา่ ง
2. เครื่องมอื ทีใ่ ชใ้ นการเก็บรวบรวมข้อมลู
3. การสรา้ งและการหาประสิทธภิ าพเครอื่ งมือ
4. การเก็บรวบรวมข้อมูล
5. การวิเคราะห์ข้อมูล
6. สถติ ทิ ใี่ ชว้ เิ คราะหข์ ้อมูล
1. ประชากรและกลมุ่ ตวั อย่าง
ประชากร คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนแนงมุดวิทยา อำเภอกาบเชิง จังหวัด
สรุ นิ ทร์ จำนวน 4 ห้อง รวม 115 คน ภาคเรยี นที่ ๑ ปกี ารศึกษา 2562
กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 /๑ โรงเรียนแนงมุดวิทยา อำเภอกาบเชิง
จังหวัดสุรินทร์ จำนวน 1 ห้อง รวม 28 คน ภาคเรียนที่ ๑ ปีการศึกษา 2562 โดยการเลือกแบบ
เจาะจง
2. เครื่องมือท่ใี ชใ้ นการเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล
เครอ่ื งมือที่ใช้ในการเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู ในการวิจยั คร้งั นี้ประกอบไปดว้ ย
1. เคร่ืองมอื ทีใ่ ชใ้ นการทดลองปฏบิ ัติ ประกอบด้วย แผนการจดั การเรยี นรู้ โดยใช้แผนผงั มโน
ทัศน์ รายวิชาประวัติศาสตร์ เรอ่ื งการแบง่ ยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ จำนวน 1 แผน ที่ใช้ทำการสอน
ในแต่ละคาบเรยี นเป็นเวลา ๑ ชั่วโมง
2. เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ประกอบด้วย แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการ
เรียนรู้รายวิชาประวัติศาสตร์ เรื่องการแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี
1 จำนวน 20 ข้อ ซึ่งเป็นข้อสอบปรนัยแบบตัวเลือก ชนิด 4 ตัวเลือก และแบบสอบถามความพึง
พอใจของนกั เรียนต่อกจิ กรรมการจดั การเรียนรู้ โดยใช้ผังมโนทัศน์ จำนวน 20 ขอ้
๒๐
3. การสรา้ งและการหาประสทิ ธภิ าพเครือ่ งมอื
3.1 การสรา้ งแผนการจัดการเรยี นรู้
ผู้วิจยั ได้ดำเนินการสร้างแผนการจดั การเรียนรูโ้ ดยใช้ผังมโนทัศน์ รายวิชาประวัติศาสตร์
เรอ่ื งการแบง่ ยคุ สมัยทางประวตั ิศาสตร์ ดงั นี้
1. ศึกษาและวิเคราะห์หลักสูตรสถานศึกษาของกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา
ศาสนาและวัฒนธรรม ตลอดจนหนังสือ/ตำราการจัดทำแผนการจัดการเรียนรู้ การจัดกิจกรรมการ
เรียนรู้โดยใช้ผงั มโนทศั น์
2. ศึกษาผลการเรยี นรู้และเนอ้ื หา เรอ่ื งการแบ่งยุคสมยั ทางประวัติศาสตร์
3. เขียนแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้ผังมโนทัศน์ ให้สอดคล้องกับมาตรฐานการ
เรียนรู้ เรื่องการแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ รายละเอียดขององค์ประกอบของแผนการจัดการ
เรียนรู้ ประกอบด้วย มาตรฐานการเรียนรู้ (ด้านความรู้ความจำ ด้านทักษะ/กระบวนการ ด้าน
คณุ ลกั ษณะอันพึงประสงค์) กระบวนการจดั กิจกรรมการเรียนรู้ โดยใชผ้ งั มโนทัศน์ ส่ือการเรียนรู้และ
แหลง่ การเรียนรู้ และการวัดและประเมินผลการเรียนรู้
4. นำแผนการจัดการเรียนรู้ที่ได้ปรับปรุงแก้ไขไปใช้ในการจัดการเรียนรู้จริงกับ
นักเรียนท่ีเป็นกลุ่มตัวอย่าง พร้อมเก็บรวบรวมข้อมูลต่าง ๆ ระหว่างการจัดการเรียนรู้ โดยมีวาง
แผนการจัดกจิ กรรมการเรียนรตู้ ามแผนการสอนไว้
5. กำหนดเกณฑ์การพัฒนาการเรียนรู้รายวิชาประวัติศาสตร์ การจัดกิจกรรมการ
เรียนรู้ โดยใช้ผังมโนทัศน์ เมื่อมีนักเรียนร้อยละ 80 ของนักเรียนทั้งหมด มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้
รายวิชาประวัติศาสตร์ เรือ่ งการแบง่ ยุคสมยั ทางประวตั ศิ าสตร์ ตง้ั แตร่ ้อยละ 70 ของคะแนนเตม็
3.2 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธท์ิ างการเรยี น
เนื่องจากแบบทดสอบเป็นเครื่องมือวดั ผลชนิดหนึ่งท่ีมีความสำคัญอันจะทำให้ครูได้ทราบ
ถึงพฤติกรรมการเรียนของผู้เรียน และทราบถึงประสิทธิภาพในการจัดการเรียนการสอน การสร้าง
แบบทดสอบที่ดีมีคุณภาพจึงไม่ใช่เรื่องง่ายนักสำหรบั ครผู ู้ออกข้อสอบ ดงั นัน้ จึงควรมีขน้ั ตอนการสร้าง
แบบทดสอบ ดงั นี้
1. ศึกษาหลักสูตรสถานศึกษาของกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและ
วัฒนธรรม หนงั สอื การสรา้ งเครื่องมือการวัดและประเมินผลการศึกษา
2. ศึกษาผลการเรียนรู้และเนื้อหา เรื่องการแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ กำหนด
ตารางวิเคราะห์เนือ้ หาเพื่อระบพุ ฤติกรรมและจำนวนข้อสอบ
3. สร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้รายวิชาประวัติศาสตร์ เรื่องการ
แบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ โดยเป็นข้อสอบแบบอิงเกณฑ์ ชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 20
ข้อ
4. หลังจากที่ตรวจสอบแกไ้ ขแล้ว พิมพ์แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเป็น
ฉบบั จริงเพอื่ ใชเ้ ป็นเครื่องมือในการวิจัย แล้วนำแบบทดสอบไปทดสอบกบั นักเรยี นชั้นมัธยมศึกษาปีที่
1/1 จำนวน 28 คน ที่เปน็ กลุ่มตวั อยา่ ง
๒๑
3.3 การสรา้ งแบบสอบถามความพงึ พอใจของนักเรยี นต่อกจิ กรรมการจดั การเรียนรู้
ผวู้ จิ ยั ได้ดำเนนิ การสร้างแบบสอบถามความพึงพอใจของนกั เรียนต่อการจดั การเรยี นรู้
โดยใชแ้ ผนผงั มโนทศั น์ ดงั นี้
1. ศกึ ษาเอกสาร/ตำราเกีย่ วกับแนวคิด หลักการเกีย่ วกบั ความพึงพอใจ ตลอดจน
ตำราการสร้างแบบวัดความพึงพอใจ
2. กำหนดขอบข่ายข้อคำถามของแบบสอบถามความพึงพอใจว่า มีประเด็นที่จะ
สอบถามด้าน 4 ด้าน ประกอบดว้ ย ความพงึ พอใจด้านเนื้อหา ดา้ นการจดั กระบวนการเรียนการสอน
ด้านส่ือ/อุปกรณก์ ารเรียน และด้านการประเมินผล
3. สร้างแบบสอบถามความพึงพอใจต่อการเรียนรู้วิชาสังคมศึกษา ลักษณะของ
แบบสอบถามเป็นแบบใช้มาตาราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) ตามวิธีของลิเคิร์ท (Likert) มุ่งวัด
ความพึงพอใจของนักเรียนหรือความคิดเห็นของนักเรียนที่มีต่อกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้แผนผังมโน
ทศั น์ เรือ่ งการแบง่ ยุคสมยั ทางประวตั ศิ าสตร์ จำนวน 20 ข้อ โดยมีระดบั คะแนน ดังน้ี
พงึ พอใจมากทส่ี ุด ตรวจให้ 5 คะแนน
พงึ พอใจมาก ตรวจให้ 4 คะแนน
พึงพอใจปานกลาง ตรวจให้ 3 คะแนน
พึงพอใจนอ้ ย ตรวจให้ 2 คะแนน
พึงพอใจน้อยทส่ี ดุ ตรวจให้ 1 คะแนน
4. ปรบั ปรุง แก้ไขแบบวัดความพึงพอใจ
5. พมิ พแ์ บบสอบถามความพึงพอใจฉบับจริง เพือ่ ใชเ้ ป็นเครอื่ งมือในการวจิ ัย
4. การเก็บรวบรวมข้อมูล
หลังจากออกแบบและหาคุณภาพของแบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนประกอบแผนการ
จัดการเรียนรู้ผู้ศึกษาได้ดำเนินการทดลองตามขั้นตอนดังนี้ คือ นำแบบทดสอบก่อนเรียนและหลัง
เรียนวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนรู้ เร่อื งการแบ่งยุคสมัยทางประวตั ิศาสตร์ จำนวน 20 ข้อ ไปทดสอบ
กับนักเรียนกลุ่มตัวอย่าง โดยใช้เวลาในการทดสอบ 30 นาที แล้วบันทึกคะแนนเก็บไว้เปรียบเทียบ
กับคะแนนที่ทดสอบหลังเรียน แล้วดำเนินการสอนเนื้อหาตามแผนการจัดการเรียนรูก้ ับนกั เรียนกลุ่ม
ตัวอยา่ ง ให้นักเรยี นเรยี นโดยใชช้ ดุ กจิ กรรม เรอื่ งการแบ่งยุคสมยั ทางประวัติศาสตร์ ขณะท่ีนกั เรียนทำ
กิจกรรมครูสังเกตพฤติกรรมการให้ความร่วมมือในการทำกิจกรรมพร้อมทั้งคอยให้คำแนะนำ เมื่อทำ
กิจกรรมเสร็จแล้วให้นักเรียนตอบคำถามในใบงานที่ครจู ดั ทำข้ึน จากนั้นทำการทดสอบหลังเรียนด้วย
แบบทดสอบก่อนเรียน – หลังเรียน จำนวน 20 ข้อ โดยใช้เวลาในการสอบ 30 นาที จากนั้นให้
นักเรียนตอบแบบสอบถามความพึงพอใจ แล้วบันทึกคะแนนเก็บไว้เปรียบเทียบกับคะแนนก่อนเรียน
ข้อมูลที่ได้จากการทำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนหลังเรียนของนักเรียนกลุ่ม
ตัวอย่างให้คะแนนข้อถูก 1 คะแนน ข้อผิด 0 คะแนน จากนัน้ ผู้วจิ ยั รวบรวมข้อมูลทไ่ี ดน้ ำไปวิเคราะห์
ข้อมูลทางสถติ ิ
๒๒
5. การวเิ คราะห์ข้อมลู
ผวู้ ิจยั ไดด้ ำเนนิ การวิเคราะหข์ อ้ มลู ดงั น้ี
1. หาคา่ สถิติพน้ื ฐาน ได้แก่ ค่าเฉลย่ี (x̅) สว่ นเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และร้อยละ
2. วิเคราะห์คุณภาพของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน โดยวิเคราะห์ค่าความยาก
ง่าย ค่าอำนาจจำแนก และค่าความเชื่อมั่นของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน โดยใช้วิธี
ของโลเวท
3. วเิ คราะหผ์ ลการวิจัย โดยเปรยี บเทียบคา่ เฉลย่ี (x̅) ของคะแนนกอ่ นและหลังการใช้ชุดการ
ทดลอง โดยใชก้ ารทดสอบค่าที (t-test)
4. วิเคราะหค์ วามพึงพอใจของนักเรียนท่ีมีต่อการใชผ้ ังมโนทัศน์โดยใช้คา่ เฉลย่ี (x̅) และส่วน
เบยี่ งเบนมาตรฐาน (S.D.)
6. สถิติท่ีใชว้ ิเคราะห์ข้อมลู
6.1 สถิติทใ่ี ช้ในการวเิ คราะห์คุณภาพของเครอ่ื งมอื
1. การหาค่าความเที่ยงตรง (VALIDITY) ของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการ
เรียน เรื่องการแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยใช้สูตรดัชนีความสอดคล้อง
IOC ∑R
N
IOC =
เมอ่ื IOC แทน ดัชนคี วามสอดคลอ้ งระหว่างจุดประสงค์กับเนอ้ื หา
Σ R แทน ผลรวมคะแนนทงั้ หมด
N แทน จำนวนผู้เช่ียวชาญท้ังหมด
6.2 สถติ ิพน้ื ฐาน
1. ร้อยละ (Percentage) โดยใช้สตู ร (บุญชม ศรีสะอาด. 2545 : 104)
f
P = N × 100
เม่ือ P แทน ร้อยละ
f แทน ความถท่ี ่ตี ้องการแปลงใหเ้ ปน็ ร้อยละ
N แทน จำนวนความถีท่ ้ังหมด
๒๓
2. ค่าเฉลี่ย (Mean) ของคะแนนโดยใชส้ ูตร
∑X
x̅ = N
เม่ือ x̅ แทน คา่ เฉลย่ี
ΣX แทน ผลรวมของคะแนนทงั้ หมดในกลุ่ม
N แทน จำนวนคะแนนในกลมุ่
3. สว่ นเบยี่ งเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) โดยใชส้ ตู ร
S.D. = n x2 − ( x)2
n(n −1)
เมอื่ S.D. แทน สว่ นเบี่ยงเบนมาตรฐาน
x2 แทน ผลรวมของกำลงั สองของคะแนน
( x)2 แทน ผลรวมของคะแนนทัง้ หมดยกกำลงั สอง
n แทน จำนวนนักเรียนในกล่มุ ตวั อยา่ ง
๒๔
บทท่ี 4
ผลการวเิ คราะหข์ อ้ มูล
ในการวิเคราะห์ข้อมูล การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้รายวิชาประวัติศาสตร์ เรื่องการ
แบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ โดยใช้ผังมโนทัศน์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนแนงมุด
วิทยา อำเภอกาบเชงิ จงั หวดั สุรินทร์ ผวู้ ิจัยได้เสนอผลการวิเคราะหข์ อ้ มูลตามลำดบั ดงั นี้
1. สญั ลกั ษณ์ทใ่ี ช้ในการนำเสนอผลการวิเคราะหข์ ้อมูล
2. ลำดับขนั้ ที่ใช้ในการนำเสนอผลการวิเคราะหข์ ้อมูล
3. ผลการวิเคราะห์ขอ้ มูล
1. สัญลักษณ์ท่ีใชใ้ นการนำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล
เพอื่ ใหเ้ กดิ ความเขา้ ใจในการแปลความหมายและการนำเสนอผลการวเิ คราะห์ข้อมลู
ใหถ้ กู ตอ้ ง ผวู้ ิจัยจงึ ไดก้ ำหนดความหมายของสญั ลักษณ์ในการวิเคราะห์ขอ้ มลู ดงั ต่อไปน้ี
n แทน จำนวนนกั เรียนกล่มุ ตัวอยา่ ง
X แทน คา่ เฉลีย่
E1 แทน ประสิทธภิ าพของกระบวนการ
E2 แทน ประสทิ ธิภาพของผลลัพธ์
S.D. แทน สว่ นเบยี่ งเบนมาตรฐาน
2. ลำดับขัน้ ทใี่ ช้ในการนำเสนอผลการวิเคราะห์ขอ้ มลู
ตอนที่ 1 ผลการวิเคราะห์ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้รายวิชาประวัติศาสตร์ เรื่องการแบ่งยุค
สมัยทางประวัติศาสตร์ โดยจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ใช้ผังมโนทศั น์ ของนักเรียนชั้นมธั ยมศึกษาปีที่ 1
โรงเรยี นแนงมุดวิทยา อำเภอกาบเชิง จังหวดั สรุ ินทร์
ตอนที่ 2 ผลการวิเคราะห์ความพึงพอใจต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ โดยใช้ผังมโนทัศน์
รายวชิ าประวัติศาสตร์ เร่อื งการแบง่ ยุคสมัยทางประวตั ศิ าสตร์ของนักเรียนช้นั มธั ยมศึกษาปีที่ 1
โรงเรียนแนงมดุ วิทยา อำเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์
3. ผลการวิเคราะห์ข้อมลู
ตอนที่ 1 ผลการวิเคราะห์ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้รายวิชาประวัติศาสตร์ เรื่องการแบ่ง
ยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ โดยใช้ผังมโนทัศน์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนแนงมุด
วทิ ยา อำเภอกาบเชงิ จังหวดั สุรนิ ทร์
๒๕
ผลการหาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้รายวิชาประวัติศาสตร์ เรื่องการแบ่งยุคสมัยทาง
ประวัติศาสตร์ โดยใช้ผังมโนทัศน์ ผู้วิจัยสร้างขึ้นเทียบกับเกณฑ์การผ่านที่กำหนดจากการทำ
แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนจำนวน 20 ข้อ ที่กำหนดคะแนนการผ่านที่ 70% หรือ 14
คะแนนขึ้นไป แสดงในตารางที่ 2
ตารางที่ 2 แสดงผลสมั ฤทธิท์ างการเรียนรู้รายวิชาประวตั ศิ าสตร์ โดยใช้ผงั มโนทศั น์
จำนวน คะแนนผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี น จำนวนนกั เรียน
นกั เรยี น คะแนน คะแนน คะแนน คะแนน คะแนน ร้อยละ จำนวน ร้อยละ
ทั้งหมด เต็ม ที่ผา่ น สงู สดุ ตำ่ สุด เฉลี่ย ของ นกั เรียน ของ
เกณฑ์ คะแนน ทผี่ า่ น นักเรยี น
เฉลีย่ เกณฑ์ ทีผ่ า่ น
เกณฑ์
28 20 14 19 12 16.11 80.55 21 83.72
จากตารางที่ 2 พบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้รายวิชาประวัติศาสตร์ เรื่องการแบ่งยุคสมัย
ทางประวัติศาสตร์ โดยใช้ผังมโนทัศน์ ทั้งหมดมีคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเฉลี่ยเท่ากับ 16.11
คะแนน คิดเป็นร้อยละ 80.55 ของคะแนนเต็ม และมีนักเรียนจำนวน 21 คน คิดเป็นร้อยละ
83.72 ของนกั เรียนทั้งหมดท่มี คี ะแนนผ่านเกณฑท์ ่ีกำหนด
ตอนที่ 2 ผลการวิเคราะห์ความพึงพอใจต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ รายวิชา
ประวัติศาสตร์ เรื่องการแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ โดยใช้ผังมโนทัศน์ของนักเรียนชั้น
มธั ยมศึกษาปีท่ี 1 โรงเรียนแนงมุดวทิ ยา อำเภอกาบเชงิ จงั หวดั สรุ นิ ทร์
ผลการศึกษาความพงึ พอใจตอ่ การจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้รายวชิ าประวัติศาสตร์ เร่ืองการแบ่ง
ยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ โดยใช้ผังมโนทัศน์ ไปให้กลุ่มตัวอย่างศึกษาและประเมิน โดยแบ่งการ
วเิ คราะห์แบบประเมนิ ออกเป็นด้านตา่ ง ๆ และมีเกณฑก์ ารตดั สนิ จากคะแนนเฉล่ยี ดงั นี้
คะแนน 4.50 - 5.00 หมายความว่า ดีมาก
คะแนน 3.50 - 4.49 หมายความวา่ ดี
คะแนน 2.50 - 3.49 หมายความว่า พอใช้
คะแนน 1.50 - 2.49 หมายความวา่ ควรแกไ้ ข
คะแนน 1.00 - 1.49 หมายความว่า ควรแกไ้ ขอย่างย่ิง
๒๖
ตารางท่ี 3 แสดงผลการศึกษาความพงึ พอใจต่อการจดั กิจกรรมการเรยี นรู้ โดยใช้ผงั มโนทศั น์
ประเด็น ระดับคุณภาพ แปลความหมาย
ค่าเฉลย่ี S.D แปลผล
1. ความพึงพอใจในด้านเน้ือหา
1) ชดุ การเรยี นร้มู ีการจัดลำดับเนื้อหาเรยี งจากงา่ ยไปหายาก 3.81 0.50 ดี
2) มเี นอ้ื หาเหมาะสมและภาพประกอบชดั เจน 3.70 0.67 ดี
3) ชว่ ยใหน้ กั เรยี นสนใจเรยี นเนื้อหา เรอื่ งการแบง่ ยุคสมัยทาง 3.74 0.66 ดี
ประวัตศิ าสตร์ มากขนึ้ 3.77 0.65 ดี
4) นกั เรยี นมีความเขา้ ใจในเนือ้ หา เรือ่ งการแบง่ ยุคสมัยทาง
3.81 0.66 ดี
ประวตั ิศาสตร์
5) นักเรียนสามารถนำชดุ การเรยี นรู้มาทบทวนเน้ือหาเม่ือไรก็ได้ 3.70 0.64 ดี
ตามท่ตี ้องการ 3.88 0.63 ดี
2. ความพงึ พอใจด้านการจดั กระบวนการเรียนการสอน 3.74 0.58 ดี
3.77 0.72 ดี
1) ชว่ ยทำใหน้ ักเรียนมโี อกาสเตรียมความพร้อมในการเรียนมาก 3.98 0.71 ดี
ข้นึ 3.91 0.72 ดี
3.93 0.59 ดี
2) นกั เรียนมสี ว่ นร่วมกบั กิจกรรมด้วยตนเองทุกคร้ัง
3) นกั เรียนชอบการเรยี นดว้ ยชดุ การเรยี นรู้ 4.09 0.57 ดี
4) ชดุ การเรียนรูท้ ำให้นักเรยี นสนุกกับการเรียน 4.05 0.58 ดี
5) ชว่ ยใหเ้ รยี นรไู้ ดเ้ ร็วและเข้าใจมากกว่าการเรยี นจากตำรา 3.93 0.59 ดี
6) นักเรยี นสามารถเรียนร้ดู ว้ ยตนเอง
7) การเรียนดว้ ยชุดการเรียนรูเ้ ปน็ การเรยี นที่ไมย่ งุ่ ยากและไม่สร้าง 3.98 0.71 ดี
ความลำบากใจให้กับนักเรยี น
8) การเรียนด้วยชุดการเรยี นรู้มีความชัดเจน เข้าใจง่าย 4.05 0.62 ดี
9) การเรียนดว้ ยชดุ การเรียนรูท้ ำใหน้ ักเรียนจำสิ่งที่เรียนไดด้ ขี นึ้
10) นกั เรียนต้องการเรียนด้วยชดุ การเรยี นรูใ้ นเน้ือหาและรายวิชา
อนื่ ๆ
3. ความพงึ พอใจดา้ นการวัดและประเมนิ ผล
1) แบบทดสอบในชดุ การเรยี นรูม้ ีความยากงา่ ย เหมาะสมกบั
ความสามารถของนกั เรียน
2) การทำแบบทดสอบท้ายชดุ การเรยี นรู้แต่ละชดุ ช่วยใหน้ ักเรียน
ทราบความก้าวหนา้ ในการเรียนดว้ ยตนเอง
3) การเรียนดว้ ยชดุ การเรยี นร้ทู ำใหน้ กั เรยี นมผี ลการเรียนสงู กวา่ 3.91 0.68 ดี
การเรยี นแบบปกติ
๒๗
ประเด็น ระดบั คุณภาพ แปลความหมาย
4) ชดุ การเรยี นรู้ทำใหน้ ักเรยี นสามารถโตต้ อบกับผสู้ อนไดท้ ันที ค่าเฉลีย่ S.D แปลผล
เม่อื มีขอ้ สงสัยสามารถซักถามปัญหาหรือข้อข้องใจ
3.91 0.65 ดี
5) นักเรยี นสามารถนำความรทู้ ไ่ี ด้จากการเรยี นด้วยชุดการเรียนรู้
นำไปประยุกต์ใชไ้ ด้ในชวี ติ ประจำวัน 4.05 0.62 ดี
รวม 3.88 0.64 ดี
จากตารางที่ 3 พบวา่ นกั เรียนมีความพึงพอใจต่อการจัดกจิ กรรมการรายวิชาประวัตศิ าสตร์
เร่อื งการแบ่งยุคสมยั ทางประวัติศาสตร์ โดยใชผ้ ังมโนทัศน์ของนักเรยี นช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียน
แนงมุดวิทยา อำเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์ อยู่ในระดับ “ดี” คือ ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.88 ส่วน
เบีย่ งเบนมาตรฐานเทา่ กับ 0.64 รายการท่มี คี ะแนนเห็นดว้ ยมากท่สี ดุ คือ การเรียนด้วยชุดการเรียนรู้
มีความชัดเจน เข้าใจง่าย การทำแบบทดสอบท้ายชุดการเรียนรู้แต่ละชุดช่วยให้นักเรียนทราบ
ความก้าวหน้าในการเรียนด้วยตนเอง นักเรยี นสามารถนำความรู้ที่ได้จากการเรียนด้วยชุดการเรียนรู้
นำไปประยุกตใ์ ช้ได้ในชวี ติ ประจำวัน ตามลำดับ
๒๘
บทที่ 5
สรุปผล อภิปรายผล และขอ้ เสนอแนะ
การวิจัยเรื่อง ศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการรายวิชาประวัติศาสตร์ เรื่องการแบ่งยุคสมัยทาง
ประวตั ิศาสตร์ โดยใชผ้ งั มโนทัศนข์ องนักเรียนชั้นมัธยมศกึ ษาปีท่ี 1 โรงเรียนแนงมุดวทิ ยา อำเภอกาบ
เชิง จังหวดั สุรินทร์ โดยมีวตั ถุประสงค์การวจิ ัยดังนี้
1. เพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้รายวิชาประวัติศาสตร์ เรื่องการแบ่งยุคสมัยทาง
ประวัติศาสตร์ โดยใช้ผังมโนทัศนข์ องนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 1 โรงเรียนแนงมดุ วิทยา อำเภอกาบ
เชงิ จงั หวัดสรุ นิ ทร์
2. เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ รายวิชา
ประวตั ิศาสตร์ เรอ่ื งการแบ่งยุคสมัยทางประวตั ิศาสตร์ โดยใช้ผังมโนทัศน์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา
ปีที่ 1 โรงเรยี นแนงมุดวทิ ยา อำเภอกาบเชิง จงั หวดั สุรนิ ทร์
1. สรปุ ผลการวจิ ยั
1.1 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นรู้รายวชิ าประวตั ิศาสตร์ เรื่องการแบ่งยุคสมยั ทางประวัติศาสตร์
โดยใช้ผังมโนทัศน์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนแนงมุดวิทยา อำเภอกาบเชิง จังหวัด
สุรินทร์ มีคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเฉลี่ยเท่ากับ 16.11 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 80.55 ของ
คะแนนเต็ม และมีนักเรียนจำนวน 21 คน คิดเป็นร้อยละ 83.72 ของนักเรียนทั้งหมดที่มีคะแนน
ผา่ นเกณฑ์ที่กำหนด
1.2 ความพงึ พอใจของนักเรียนท่ีมตี ่อการจัดกิจกรรมการเรยี นรู้รายวชิ าประวัติศาสตร์ เรื่อง
การแบง่ ยคุ สมยั ทางประวัตศิ าสตร์ โดยใชผ้ งั มโนทัศนข์ องนกั เรยี นชนั้ มธั ยมศึกษาปที ี่ 1 โรงเรียน
แนงมุดวิทยา อำเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์ อยู่ในระดับ “ดี” คือ ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.88 ส่วน
เบ่ียงเบนมาตรฐานเท่ากบั 0.64 รายการที่มีคะแนนเหน็ ด้วยมากท่สี ดุ คอื การเรยี นดว้ ยชดุ การเรียนรู้
มีความชัดเจน เข้าใจง่าย การทำแบบทดสอบท้ายชุดการเรียนรู้แต่ละชุดช่วยให้นักเรียนทราบ
ความก้าวหน้าในการเรียนด้วยตนเอง นักเรียนสามารถนำความรู้ที่ได้จากการเรียนด้วยชุดการเรียนรู้
นำไปประยกุ ตใ์ ช้ได้ในชีวิตประจำวัน ตามลำดบั
2. อภิปรายผลการวิจยั
จากการวจิ ยั ศกึ ษาผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนรู้รายวชิ าประวตั ิศาสตร์ เรื่องการแบ่งยุคสมัยทาง
ประวัตศิ าสตร์ โดยใช้ผงั มโนทัศน์ของนักเรยี นช้ันมัธยมศกึ ษาปีท่ี 1 โรงเรยี นแนงมุดวิทยา อำเภอกาบ
เชิง จงั หวัดสรุ นิ ทร์ พบว่า
2.1 ผลสมั ฤทธิท์ างการเรยี นรู้ รายวชิ าประวัตศิ าสตร์ เร่อื งการแบ่งยคุ สมัยทางประวตั ิศาสตร์
โดยใช้ผังมโนทัศน์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนแนงมุดวิทยา อำเภอกาบเชิง จังหวัด
๒๙
สุรินทร์ มีคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเฉลี่ยเท่ากับ 16.11 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 80.55 ของ
คะแนนเต็ม และมีนักเรียนจำนวน 21 คน คิดเป็นร้อยละ 83.72 ของนักเรียนทั้งหมดที่มีคะแนน
ผ่านเกณฑ์ที่กำหนด ซึ่งสอดคล้องกับงานวจิ ัยของ รุ่งนภา ทศภานนท์ (2544 : 9) พบว่า นักเรียนที่
เรียนโดยใช้เทคนิคการจัดแผนผังมโนทัศน์ในการเรียน มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ผ่านเกณฑ์ร้อยละ
50 และมีผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี นสงู กว่านักเรยี นที่เรียนแบบปกติ ศิริพร ทุเครอื (2544 : 67–68)
พบวา่ ผลสมั ฤทธิท์ างการเรยี นกลุ่มสรา้ งเสรมิ ประสบการณ์ชีวิตของนักเรียนชัน้ ประถมศึกษาปีท่ี 4 ท่ี
ได้รับการเรียนแบบร่วมมือโดยใช้แผนผังมโนทัศน์ มีผลสัมฤทธิ์สูงกว่าการสอนตามปกติ เสาวนีย์
มาตรา (2554 : บทคัดยอ่ ) พบวา่ คะแนนผลสัมฤทธข์ิ องนกั เรยี นหลังการจัดกิจกรรมการเรียนรู้มีคะ
เฉลี่ยเป็น 23.91 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 79.70 และมีจำนวนนักเรียนผ่านเกณฑ์ 41 คน คิดเป็น
รอ้ ยละ 87.23 ของจำนวนนกั เรียนท้ังหมด
2.2 ความพงึ พอใจของนักเรียนที่มตี ่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้รายวชิ าประวตั ิศาสตร์ เร่ือง
การแบง่ ยคุ สมยั ทางประวัติศาสตร์ โดยใชผ้ งั มโนทัศน์ของนักเรยี นชนั้ มัธยมศึกษาปีท่ี 1 โรงเรียน
แนงมุดวิทยา อำเภอกาบเชิง จงั หวัดสรุ นิ ทร์ อยใู่ นระดบั “ดี” คอื คา่ เฉลี่ยเท่ากับ 3.88 สว่ นเบีย่ งเบน
มาตรฐานเท่ากับ 0.64 รายการที่มีคะแนนเห็นด้วยมากที่สุด คือ การเรียนด้วยชุดการเรยี นรู้มีความ
ชัดเจน เข้าใจง่าย การทำแบบทดสอบท้ายชุดการเรียนรูแ้ ต่ละชุดช่วยให้นักเรียนทราบความก้าวหนา้
ในการเรียนด้วยตนเอง นักเรียนสามารถนำความรู้ที่ได้จากการเรียนด้วยชุดการเรียนรู้นำไป
ประยุกต์ใช้ได้ในชีวิตประจำวัน ตามลำดับ ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของ จิรายุ ตาหล้า (2555 :
บทคัดย่อ) พบว่า นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยกระบวนการคิดเชิง
วิพากษ์ร่วมกับเทคนิคผังมโนทัศน์ โดยใช้ประเด็นทางสังคมในภาพรวมอยู่ในระดับพอใจมากโดยมี
ค่าเฉลี่ย 4.39 และวีระชัย จิตจักร์ (2555 : บทคัดย่อ) พบว่า นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการ
เรียนรภู้ าษาไทยดา้ นการอ่านเชงิ วิเคราะห์ โดยใช้ผงั มโนทัศน์ โดยอยูใ่ นระดบั มากท่ีสดุ
3. ข้อเสนอแนะ
3.1 ข้อเสนอแนะในการนำผลการวิจัยไปใช้
3.1.1 ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนโดยใชผ้ ังมโนทัศน์ สว่ นใหญ่ในแต่ละแผนจะ
เน้นใหน้ ักเรียนทำงานในระบบกลุ่ม ซงึ่ ผวู้ จิ ัยพบวา่ มนี กั เรยี นบางคนในกล่มุ ที่ไมส่ นใจหลีกเลยี่ งงาน ใน
การทำกิจกรรมกลุ่ม ครูผู้สอนควรสอนบทบาทและหน้าที่ของสมาชิกในกลุ่มเพราะการช่วยเหลือกัน
ทำงานกลุ่มในการทำกิจกรรมจะทำให้เกิดความคิดที่หลากหลายมาช่วยแก้ปัญหาจากสถานการณ์ท่ี
กำหนดให้ได้
3.2 ข้อเสนอแนะในการวจิ ัยครั้งนี้
3.2.1 ควรทำการวิจัยการใช้วิธีสอนโดยใช้ผังมโนทัศน์ กับนักเรียนชั้นอื่น ๆ หรือกลุ่ม
สาระการเรียนรูอ้ ่ืน
3.2.2 นำผลของการใช้สื่อการสอน โดยใช้ผังมโนทัศน์ ในการพัฒนาตัวแปรอื่น ๆ เช่น
ทักษะกระบวนการทำงานกลุ่ม ความคิดสร้างสรรค์ คิดวิเคราะห์ และผลสมั ฤทธิ์
๓๐
บรรณานกุ รม
กระทรวงศกึ ษาธิการ. (2550). การจดั การเรยี นรูแบบกระบวนการแกป้ ญั หา. กรงุ เทพฯ : ชมุ นมุ
สหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย.
. (2552). หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551. กรุงเทพฯ :
ชมุ นุมสหกรณก์ ารเกษตรแหง่ ประเทศไทย.
เกรียงศักด์ิ เจรญิ วงศศ์ ักด์ิ. (2546). การคิดเชิงมโนทัศน์. พิมพ์ครัง้ ท่ี 5. กรงุ เทพฯ : มเี ดยี .
จริ ายุ ตาหล้า. (2555). การพัฒนาความสามารถในการคดิ เชิงวิพากษแ์ ละผลสัมฤทธ์ิทาง
การเรียนรู้ โดยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยกระบวนการคิดเชิงวิพากษ์ร่วมกับเทคนิค
ผังมโนทัศน์โดยใช้ประเด็นทางสังคม ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6. วิทยานิพนธ์
ปริญญาศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาหลักสูตรและการสอน บัณฑิตวิทยาลัย
มหาวิทยาลัยขอนแกน่ .
ธรี ศักด์ิ กลิ่นด.ี (2540). รายงานวจิ ยั ปฏิบตั กิ ารพัฒนาระบบประกนั คณุ ภาพภายใน
สถานศึกษา. กรงุ เทพฯ : องค์การรับส่งสนิ ค้าและพัสดภุ ณั ฑ์.
ประไพลิน จันทน์หอม. (2547). ผลการสอนวิชาสุนทรียภาพของชีวิตโดยใช้เทคนิคการจัดผัง
มโนทัศน์ที่มีต่อสัมฤทธิ์ผลทางการเรียนของนักศึกษา สถาบันราชภัฎเชียงใหม่ .
วิทยานิพนธ์ปริญญาครุศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาศิลปศึกษา คณะครุศาสตร์
จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย.
ไพศาล หวงั พานชิ . (2523). การวัดผลการศึกษา. กรงุ เทพฯ : ไทยวัฒนาพานชิ .
มนัส บุญประกอบ. (2533). ยุทธศาสตร์ใหม่ทางการศึกษา : แผนภูมิมโนทัศ. วารสารส่งเสริม
การสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี.
มหาวทิ ยาลยั สโุ ขทัยธรรมาธริ าช. (2544). เอกสารการสอนชุดวชิ าความรเู้ บอื้ งตน้ เกย่ี วกับการ
บริหาร. กรงุ เทพฯ : ชวนพมิ พ์.
รงุ่ นภา ทศภานนท์. (2544). ผลของการใชเ้ ทคนิคการจัดแผนผังมโนทศั น์ทีม่ ตี อ่ ผลสมั ฤทธิ์ทาง
การเรียนคณิตศาสตร์และความสามารถในการสร้างแผนผังมโนทัศน์ทางคณิตศาสตร์
ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4. วิทยานิพนธ์ครุศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชา
มัธยมศกึ ษา คณะครุศาสตร์ จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
ลออ อางนานนท์. (2542). การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ความคิดสร้างสรรค์ กลุ่มสร้าง
เสรมิ ประสบการณ์ชวี ิต เร่ืองสง่ิ แวดลอ้ มทางสงั คมของนักเรยี นชน้ั ประถมศึกษาปที ่ี 5
ที่ได้รับการสอนโดยใช้แผนผังมโนทัศน์. ปริญญานิพนธ์การศึกษามหาบัณฑิต สาขาวิชา
การประถมศึกษา คณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ศรีนครินทรวิโรฒ.
ลว้ น สายยศ และอังคณา สายยศ. (2528). เทคนคิ การวจิ ัยทางการศกึ ษา. กรุงเทพฯ :
สวุ ีริยาสาสน์ .
วิเชยี ร ใจผาสุข. (2541). การวิจยั สำหรบั ครู. กรงุ เทพฯ : ชมรมเดก็ .
๓๑
วีระชยั จติ จกั ร์. (2555). การพฒั นาผลการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้ภาษาไทย ดา้ นการอ่าน
เชิงวิเคราะห์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยใช้ผังมโนทัศน์ โรงเรียนเรณูนครวิทยานุกูล.
ปริญญาการศกึ ษามหาบัณฑติ สาขาวชิ าหลักสูตรและการสอน มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม.
เสาวนีย์ มาตรา. (2554). ผลการศึกษาการใช้แผนมโนทัศน์ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้
คณิตศาสตร์ภายใต้รูปแบบการสอนแบบ 3 ขั้นของ Underhill สำหรับนักเรียนช้ัน
มัธยมศึกษาปีที่ 1. วิทยานิพนธ์ปริญญาศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาหลักสูตรและ
การสอน บณั ฑติ วิทยาลยั มหาวิทยาลยั ขอนแก่น.
ศริ ิพร ทเุ ครือ. (2544). ผลของการเรยี นแบบร่วมมอื โดยใชแ้ ผนผงั มโนทัศนท์ ่ีมตี อ่ ผลสมั ฤทธิ์
ทางการเรียนและความคงทนในการเรยี นรู้ กลุ่มสรา้ งเสริมประสบการณช์ ีวิต
ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 4. ปรญิ ญานิพนธ์การศึกษามหาบัณฑิต
สาขาวชิ าการประถมศึกษา คณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยศรนี ครินทรวโิ รฒ.
สถาบนั สง่ เสรมิ การสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี. (2546). ทักษะกระบวนการทาง
วทิ ยาศาสตร์ และคำถามทน่ี ำไปส่ทู กั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์. กรงุ เทพฯ :
องคก์ ารรบั ส่งสินคา้ และวัสดภุ ณั ฑ์.
สมาน ลอยฟา้ . (2542). บรรณารกั ษศ์ าสตร์และสารนิเทศศาสตร์. มปท.
สุนีย์ สอนตระกูล. (2535). การพัฒนาระบบการเรียนการสอนแบบจัดกรอบมโนทัศน์ สำหรับ
วชิ าชีววทิ ยา ระดับมธั ยมศกึ ษาตอนปลาย. วทิ ยานิพนธป์ ริญญาดุษฎบี ัณฑิต
สาขาหลกั สูตรและการสอน บัณฑิตวิทยาลยั จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั .
สุรพล พะยอมแย้ม. (2541). จิตวิทยาอุตสาหกรรม. กรุงเทพฯ : โครงการส่งเสริมการผลิตตำรา
และเอกสารการสอน คณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยศิลปากร.
สุวิทย์ มูลคำ. (2556). กลยทุ ธก์ ารสอนคิดเชิงมโนทศั น์. พมิ พค์ รัง้ ที่ 6. กรุงเทพฯ : ภาพพิมพ์.
สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ. (2542). พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ
พุทธศกั ราช 2542. กรงุ เทพฯ : พรกิ หวานกราฟฟิค.
สำนักงานคณะกรรมการการศกึ ษาขั้นพน้ื ฐาน. (2557). แนวทางการจัดการเรยี นรู้รายวชิ า
เพิ่มเตมิ หน้าท่ีพลเมือง. กรงุ เทพฯ : ชุมนมุ สหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย.
อมร รกั ษาสตั ย์. (2545). ความพงึ พอใจ. พิมพ์ครง้ั ที่ 7. กรงุ เทพฯ : สุรวี ยิ าสาส์น.
อญั ชลี ตนานนท. (2536). รายงานการวิจัยเรอ่ื งการพัฒนาแผนการสอนเพ่ือเสรมิ ทักษะ
การคิดในหลกั สตู รโรงเรียนมัธยมศกึ ษา. ภาควิชามธั ยมศกึ ษา คณะศกึ ษาศาสตร์
มหาวิทยาลัยเชยี งใหม่.
อาวรณ์ วิเชียรศรี. (2555). ผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ 4 MAT ประกอบผังมโนทัศน์
กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เรื่อง น้ำ ฟ้าและดวงดาว ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5.
ปริญญาการศกึ ษามหาบัณฑติ สาขาวชิ าหลักสูตรและการสอน มหาวิทยาลยั มหาสารคาม.
อํานวย แสงสวา่ ง. (2544). การวจิ ัยในชั้นเรียน. กรงุ เทพฯ : ดอกหญา้ วชิ าการ.
๓๒
Bennan, Carol Ann. (1996). Concept Mapping : An Effective Instructional
Strategy in Science with Kindergarten Students. Dissertation Abstracts
International.
Bodolus, James. (1987). The Use of Concept Mapping Strategy to Facilitate
Meaningful Learning for Ninth Grade Student in Science. Dissertation
Abstracts International.
๓๓
ภาคผนวก
ชอื่ หน่วย : ประวตั ศิ าสตร์ หนว่ ยที่ : 2 เวลา : 5 ช่วั โมง
ชื่อแผน : การแบง่ ยุคสมัยทางประวตั ิศาสตร์ แผนที่ : 7 เวลา : 1 ชว่ั โมง
ชอื่ วิชา : ประวัตศิ าสตร์ รหัส ส21102 ชนั้ มัธยมศกึ ษาปที ่ี 1
ชือ่ ครผู สู้ อน : นายปราโมทย์ คะหาญ
1. มาตรฐานและตัวชวี้ ัด
มาตรฐาน ส 4.1 เขา้ ใจความหมาย ความสำคัญของเวลาและยุคสมยั ทางประวตั ศิ าสตร์ สามารถ
ใชว้ ิธกี ารทางประวัตศิ าสตร์มาวเิ คราะห์เหตุการณ์ต่าง ๆ อย่างเปน็ ระบบ
ส 4.1 ม.1/1 วเิ คราะห์ความสำคญั ของเวลาในการศกึ ษาประวัตศิ าสตร์
2. จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้
1. อธิบายเกยี่ วกับการแบ่งยคุ สมยั ทางประวตั ิศาสตร์ได้อยา่ งมเี หตุผล (K)
2. จำแนกเกย่ี วกบั การแบ่งยุคสมยั ทางประวัติศาสตร์ได้ (P)
3. เหน็ ความสำคญั ของการแบ่งยุคสมยั ทางประวัตศิ าสตร์ (A)
3. สาระสำคัญ
การแบง่ ยคุ สมยั ทางประวตั ศิ าสตร์ มคี วามสำคญั ทางประวตั ิศาสตร์ในการบอกเลา่ เหตุการณต์ ่าง ๆ
ให้มคี วามน่าเชื่อถือ
4. สาระการเรยี นรู้
การแบ่งยุคสมยั ทางประวัตศิ าสตร์ แบ่งออกเปน็ สมยั กอ่ นประวตั ิศาสตร์ และสมยั ประวตั ิศาสตร์
5. สมรรถนะสำคัญของผเู้ รียน
1. ความสามารถในการสื่อสาร
2. ความสามารถในการคดิ
3. ความสามรถในการใชท้ กั ษะชีวิต
6. คณุ ลักษณะอนั พงึ ประสงค์
1. รกั ชาติ ศาสน์ กษตั ริย์
2. มวี นิ ยั
3. อยอู่ ย่างพอเพยี ง
7. หลกั ปรชั ญาเศรษฐกจิ พอเพียง
1. ความมีเหตผุ ล
2. การนำความรู้ไปใชใ้ นชีวติ ประจำวนั (ด้านความรอบรู้)
8. กจิ กรรมการเรยี นรู้
ขั้นนำเข้าสู่บทเรียน
1. ครแู จ้งจุดประสงคใ์ นการเรียน เรือ่ งการแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์
2. ครสู นทนากบั นักเรยี นและดูภาพเหตกุ ารณ์ในประวตั ิศาสตร์ประกอบ พร้อมกบั การตั้งคำถามให้
นกั เรียนแสดงความคิดเหน็ และครูอธิบายเหตผุ ลประกอบ
3. นักเรยี นร่วมกนั แสดงความคดิ เห็นของตนเองจากภาพเหตกุ ารณใ์ นประวัติศาสตร์
ขั้นสอน
4. ครอู ธิบายความสำคัญของการแบง่ ยคุ สมัยทางประวตั ิศาสตร์ให้นกั เรยี นฟัง
5. ครูแบ่งนกั เรียนเป็นกลมุ่ กลุม่ ละ 4 คน คละกันตามความสามารถ ให้แตล่ ะกลุ่มรว่ มกันศกึ ษา
ความรู้เรอื่ ง การแบ่งยุคสมัยทางประวตั ิศาสตร์ จากหนงั สอื เรยี นและแหลง่ ความรู้อ่ืน ๆ
6. นกั เรียนแตล่ ะกลุม่ สนทนาแลกเปล่ียนความรูจ้ ากเรื่องที่ศึกษา โดยให้ครอบคลุมประเดน็ ที่
กำหนด
7. นกั เรยี นแต่ละกลุ่มสรุปสาระสำคญั และทำใบงาน เรอื่ งการแบง่ ยคุ สมยั ทางประวัติศาสตร์
8. ครใู ห้นักเรยี นแตล่ ะกล่มุ นำเสนอผลงานในใบงานเรอ่ื งการแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ ครแู ละ
เพือ่ นกลุ่มอน่ื ร่วมกันตรวจสอบความถกู ต้องและให้ข้อเสนอแนะ
9. นักเรยี นตอบคำถามกระตุ้นความคดิ นักเรียนมีวิธกี ารอยา่ งไรในการแบ่งยุคสมยั ทาง
ประวัติศาสตร์
ขั้นสรปุ
10. นักเรยี นและครชู ่วยกันสรปุ ความรู้เกี่ยวกับการแบง่ ยุคสมัยทางประวตั ิศาสตร์
11. ครปู ระเมนิ ผลงานของนักเรยี น สมรรถนะและคุณลักษณะตามเกณฑ์ทก่ี ำหนดไว้
12. นักเรยี นทำแบบทดสอบเรอื่ งการแบง่ ยุคสมัยทางประวัตศิ าสตร์
13. นกั เรียนทำแบบสอบถามความพึงพอใจตอ่ การจัดกจิ กรรมการเรียนรรู้ ายวิชาประวตั ศิ าสตร์
เรือ่ งการแบง่ ยุคสมยั ทางประวัติศาสตร์ โดยใช้ผังมโนทศั น์
9. หลกั ฐานการเรยี นรู้ (ชิน้ งาน / รอ่ งรอย)
1. ใบงานเร่ืองการแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์
2. แบบสอบถามความพงึ พอใจ
10. สื่อ / แหลง่ การเรียนรู้
ส่อื การเรียนรู้
1. Powerpoint
2. หนงั สอื เรยี นวิชาประวัตศิ าสตร์ ม.1
แหล่งการเรยี นรู้
1. ห้องสมดุ
2. หอ้ งเทคโนโลยีสารสนเทศ
3. อินเตอรเ์ นต็
11. วธิ กี ารประเมิน วธิ ีวดั ผล เครือ่ งมือวดั ผล เกณฑ์การ ผูป้ ระเมนิ
สิง่ ท่ีวดั ผล ประเมิน ครู
ตรวจใบงานเรอื่ งการแบง่ แบบประเมินผลงาน ครู
1. ใบงานเร่ืองการแบง่ ยุค ยคุ สมยั ทางประวัตศิ าสตร์ ร้อยละ 60 ผา่ น
สมยั ทางประวตั ิศาสตร์ เกณฑ์ ครู
2. แบบทดสอบเรอื่ งการ
แบง่ ยคุ สมยั ทาง ตรวจแบบทดสอบเร่ือง แบบประเมนิ ผลงาน รอ้ ยละ 70 ผา่ น ครู
ประวัติศาสตร์ การแบ่งยุคสมัยทาง เกณฑ์
3. ทักษะกระบวนการ ประวัติศาสตร์
สงั เกตพฤติกรรมการ แบบประเมนิ ระดับดี ข้ึนไป
4. คุณลักษณะอนั พึง ทำงานกลุ่ม พฤติกรรมกระบวนการ ระดบั ดี ข้นึ ไป
ประสงค์ งานกลุ่ม
สังเกตคณุ ลักษณะอันพึง
ประสงค์ แบบประเมนิ
คุณลกั ษณะอนั พึง
ประสงค์
แบบประเมินคุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์
คุณลกั ษณะ รายการประเมนิ ระดบั คะแนน
4321
อันพึงประสงค์ดา้ น
1. รักชาติ ศาสน์ มีความสามัคคี ปรองดอง
กษัตริย์ หวงแหน ปกปอ้ ง ยกย่องความเป็นชาติไทย
แสดงความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระมหากษตั รยิ ์
3. มีวินัย ปฏิบตั ิตามข้อตกลง กฎเกณฑ์ ระเบียบโรงเรยี น มีความตรงต่อเวลาในการ
ปฏิบัตกิ ิจกรรมต่าง ๆ ในชีวิตประจำวนั
5. อยอู่ ย่างพอเพยี ง ปฏิบตั ติ นและตัดสินใจด้วยความรอบคอบ มเี หตผุ ล
วางแผนการเรียน การทำงานและการใช้ชวี ิตประจำวนั
I;, รวม
ประเมิน ลงชื่อ....................................................ผู้
เกณฑก์ ารให้คะแนน (นายปราโมทย์ คะหาญ)
ปฏบิ ัตหิ รอื แสดงพฤตกิ รรมอย่างสมำ่ เสมอ ................ /................ /................
ปฏิบตั ิหรอื แสดงพฤตกิ รรมบ่อยครงั้
ปฏิบัติหรอื แสดงพฤตกิ รรมบางคร้ัง ให้ 4 คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤตกิ รรมนอ้ ยคร้งั ให้ 3 คะแนน
ให้ 2 คะแนน
ให้ 1 คะแนน
แบบประเมินผลงาน
ลำดับที่ รายการประเมิน ระดบั คะแนน
4321
1 ความถูกต้องของเน้ือหา
2 ความคิดสร้างสรรค์
3 วธิ ีการนำเสนอผลงาน
4 การนำไปใช้ประโยชน์
5 การตรงต่อเวลา
รวม
ลงชอ่ื ....................................................ผู้ประเมนิ
(นายปราโมทย์ คะหาญ)
................ /................ /................
เกณฑ์การให้คะแนน ให้ 4 คะแนน
ผลงานหรือพฤติกรรมสมบรู ณ์ชดั เจน ให้ 3 คะแนน
ผลงานหรอื พฤตกิ รรมมขี อ้ บกพร่องบางส่วน ให้ 2 คะแนน
ผลงานหรือพฤตกิ รรมมขี ้อบกพรอ่ งเปน็ ส่วนใหญ่ ให้ 1 คะแนน
ผลงานหรือพฤติกรรมมขี ้อบกพร่องมาก
ช่ือกล่มุ แบบประเมินกระบวนการ
ช้ัน
ลำดบั ท่ี รายการประเมิน ระดับคะแนน
4321
1 การแบ่งหนา้ ที่กันอยา่ งเหมาะสม
2 ความร่วมมอื กันทำงาน
3 การแสดงความคดิ เหน็
4 การรบั ฟังความคิดเห็น
5 ความมีนำ้ ใจชว่ ยเหลือกัน
รวม
ลงชอื่ ....................................................ผูป้ ระเมนิ
(นายปราโมทย์ คะหาญ)
................ /................ /................
เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน ให้ 4 คะแนน
ปฏิบตั หิ รือแสดงพฤตกิ รรมอยา่ งสม่ำเสมอ ให้ 3 คะแนน
ปฏบิ ัตหิ รอื แสดงพฤติกรรมบอ่ ยคร้งั ให้ 2 คะแนน
ปฏิบัตหิ รอื แสดงพฤติกรรมบางครงั้ ให้ 1 คะแนน
ปฏิบตั ิหรือแสดงพฤติกรรมน้อยคร้งั
จ ปาก ภาพแสดงถงึ ระวตั ศิ
ศาสตร์ ของมนุษย์ยุคไหน
รายวชิ าประวัตศิ าสตร์ ส21102 ชน้ั มัธยมศกึ ษาปที ่ี 1
ยุคก่อนประวตั ศิ าสตร์
(Preliterate Period)
ชว่ งเวลาทมี่ นษุ ย์ยงั ไมร่ จู้ กั ประ
นิยมแบง่ ยคุ โดยอาศัยหลกั ฐาน
การศึกษาส่วนใหญใ่ ชเ้ ครอ่ื งมอื
แบ่งตามลกั ษณะของเครอ่ื งมอื
แบ่งตามวถิ ีการดารงชวี ติ ของม
รายวิชาประวัติศาสตร์ ส21102 ชั้นมธั ยมศกึ ษาปที ่ี 1
ะดษิ ฐ์อกั ษรข้นึ ใช้
นทางโบราณคดี
อที่มนษุ ยป์ ระดษิ ฐ์ข้ึน
อเครอื่ งใช้
มนุษย์
การแบง่ ยคุ กอ่ นประวตั ศิ าส
แบง่ ตามลกั ษณะของเครอ่ื งมอื
ยคุ หนิ เริ่มตัง้ แต่มนุษย์รู้จักน
เปน็ เครื่องมือเคร่อื งใช้และอ
แบ่งออกเปน็ 3 ยคุ ดังนี้
ยคุ หนิ เก่า
ยุคหนิ กลาง
ยุคหนิ ใหม่
รายวชิ าประวัติศาสตร์ ส21102 ช้นั มัธยมศึกษาปีที่ 1
สตร์
อเครอ่ื งใช้
นาหินมาประดษิ ฐ์
อาวธุ ในการดารงชวี ิต