เอกสารประกอบการสอน
วชิ า การนาเสนอสาหรับเลขานุการ 30203-2105
เรียบเรยี งโดย
คุณครูปรยี า ปนั ธยิ ะ
วิทยาลัยอาชีวศึกษาลาปาง
สังกดั คณะกรรมการการอาชวี ศึกษา
กระทรวงศกึ ษาธกิ าร
รหสั วชิ า 30203-2105 วชิ า การนาเสนองานสาหรบั เลขานกุ าร 2-2-3
(Work Presentation for Secretaries)
ช้ัน สบล.63.1 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2563
จุดประสงคร์ ายวิชา เพือ่ ให้
1. เขา้ ใจเกีย่ วกบั หลกั การนาเสนองานเลขานุการ
2. สามารถนาเสนองานถกู ต้องตามรปู แบบ
3. มีเจตคติ กิจนิสยั ท่ีดแี ละความรับผดิ ชอบ มรี ะเบยี บวนิ ัยและตรงต่อเวลา
สมรรถนะรายวิชา
1. แสดงความรู้ เกย่ี วกบั หลักการนาเสนองาน
2. นาเสนองานตามลักษณะงาน
คาอธิบายรายวชิ า
ศึกษาและปฏิบัติเก่ียวกับหลักการนาเสนองาน การเลือกใช้สื่อในการนาเสนอ การจัดเตรียมวัสดุ
อปุ กรณ์ วธิ ีการนาเสนอ เทคนิคการนาเสนอ และบุคลิกภาพของผู้นาเสนอ
บทท่ี 1
ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกบั การนาเสนอ
บทนา
ในปัจจุบนั การนาเสนอนน้ั ได้เขา้ มามีบทบาทกับมนุษย์หลายด้าน ท้ังในการเรียน การทาธุรกิจการค้า
ต่าง ๆ การเรียนรู้เทคนิคในการนาเสนอ จึงมีความจาเป็นอย่างย่ิง ในการนาไปใช้ช่วยในเรื่องการนาเสนอให้
ประสบความสาเรจ็ มากย่งิ ขน้ึ
ความหมายของการนาเสนอ
การนา หมายความวา่ พาไป, ไปขา้ งหนา้ , พาไปขา้ งหนา้
เสนอ หมายความว่า การย่นื เร่ืองราว, ความเห็น, ญัตติ เพ่อื ให้ทราบ ใหพ้ จิ ารณา หรอื สั่งการ
การนาเสนอ เป็นศาสตร์ (วิธีการ) ของการส่ือสาร (Communication) ซ่ึงเป็นกระบวนการถ่ายทอด
สาร(message) จากฝุายหน่ึงท่ีเรียกว่าผู้ส่งสาร (sender) ไปสู่อีกฝุายหนึ่งท่ีเรียกว่า ผู้รับสาร (receiver)
โดยผา่ นชอ่ งทานของ ส่ือ (channel)
การนาเสนอ คอื กระบวนการ วธิ กี าร เพ่ือให้รู้ ให้ทราบ ให้เข้าใจ ในกิจกรรมขององค์กรของสถาบัน
ของหนว่ ยงานได้อย่างชัดเจน
การนาเสนอ คือ การถ่ายทอดเนื้อหาสาระที่ผสมผสานกันระหว่าง ศิลปะการพูดกับการแสดงข้อมูล
ในรูปแบบตา่ ง ๆ ผา่ นส่ือและอุปกรณ์ได้อยา่ งเหมาะสม
การนาเสนอข้อมูล หมายถึง การสื่อ สารเพ่ือเสนอข้อมูล ความรู้ ความคิดเห็น หรือ ความต้องการ
ไปสผู่ ู้รับสาร โดยใชเ้ ทคนิค หรือวธิ ีการตา่ ง ๆ อันจะทาให้บรรลุผลสาเรจ็ ตามจดุ มุง่ หมายของการนาเสนอ
ความสาคัญของการนาเสนอ
ในปัจจุบันนี้ การนาเสนอเข้ามามีบทบาทสาคัญในองค์กรทางธุรกิจ ทางการเมือง ทางการศึกษา
หรือแม้แต่หน่วยงานของรัฐทุกแห่ง ก็ต้องอาศัยวิธีการนาเสนอ เพ่ือสื่อสารข้อมูล เสนอความเห็น เสนอขอ
อนุมัติ หรือเสนอข้อสรุปผลการดาเนินงานต่าง ๆ ผู้มีหน้าที่เกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์ การแนะนาเพื่อการ
เย่ยี มชม การฝกึ อบรม การประชุม หรือผู้ท่ีเป็นหัวหน้างานทุกระดับจะต้องรู้จักวิธีการนาเสนอ เพ่ือนาไปใช้ให้
เหมาะสมกับงานต่าง ๆ และเพื่อผลสาเร็จของการพัฒนางานของตน หรือขององค์กรและหน่วยงานต่าง ๆ
กล่าวโดยสรุป การนาเสนอมีความสาคัญ ต่อการปฏิบัติงานทุกประเภท เพราะช่วยในการตัดสินใจในการ
ดาเนินงาน ใชใ้ นการพัฒนางาน ตลอดจนเผยแพรค่ วามก้าวหนา้ ของงานต่อผบู้ งั คบั บัญชา และบุคคลผูท้ ่ีสนใจ
จุดมุ่งหมายในการนาเสนอ
1. เพ่อื ใหผ้ ูร้ ับสารรบั ทราบความคดิ เหน็ หรือความต้องการ เชน่ ในการประชุมคณะ กรรมการต่าง ๆ
ประธานในทปี่ ระชมุ จะตอ้ งชีแ้ จงวาระการประชมุ ให้ทปี่ ระชมุ รบั ทราบ ทม่ี กั เรียกกันว่าเร่ืองที่ประธานจะแจ้งให้
ทราบ
2
2. เพื่อให้ผู้รับสารพิจารณาเรื่องใดเรื่องหน่ึง เช่น ในการประชุมคณะกรรมการแต่ละครั้ง
คณะกรรมการฝุายต่าง ๆ จะต้องชี้แจงข้อมูลหรือแสดงความคิดเห็นให้ท่ีประชุมรับได้ทราบ เพื่อประกอบการ
พจิ ารณาวนิ จิ ฉัยหรอื ลงมตทิ ี่ประชมุ
3. เพื่อให้ผู้รับสารได้รับความรู้จากข้อมูลท่ีนาเสนอ เช่น ในการฝึกอบรมหรือการสัมมนา วิทยากร
หรือผ้เู ชยี่ วชาญจะตอ้ งนาเสนอขอ้ มลู ท่เี ปน็ ข้อความรู้ และข้อเท็จจริงต่าง ๆ ให้แก่ผู้เข้าฝึกอบรม หรือใช้ในการ
บรรยายสรปุ ผลการดาเนินงานต่าง ๆ เพ่ือให้ผู้มาเยี่ยมชมกิจการ หรือผู้บังคับบัญชาท่ีเดินทางมาตรวจเยี่ยมได้
รบั ทราบ
4. เพื่อให้ผู้รับสารเกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง เช่น การช้ีแจงระเบียบหรือวิธีการปฏิบัติต่าง ๆ ให้แก่
ผู้เก่ียวข้องเข้าใจ โดยเฉพาะเม่ือมีการออกระเบียบใหม่หรือเปล่ียนแนวทางในการปฏิบัติก็จาเป็นต้องชี้แจง
เพ่อื ใหเ้ กิดความเขา้ ใจท่ตี รงกันและปฏบิ ัติได้อย่างถูกตอ้ ง
ข้อดขี องการนาเสนอคือ
1. เป็นการสื่อสารสองทาง (Two ways communication) ระหว่างผู้นาเสนอกับผู้ฟังทาให้ผู้นา
เสนอสามารถเหน็ ปฏิกิริยาของผูม้ ีอานาจตัดสนิ ใจไดอ้ ยา่ งทนั ทที นั ใด
2. สามารถดึงดูดความสนใจ และสร้างผลกระทบต่อผู้ฟัง รวมท้ังสร้างความจดจาได้ดีกว่าการ
นาเสนอดว้ ยการเขียน (Written Presentation)
3. สามารถปรบั เนือ้ หาหรือเรอ่ื งราวท่กี าลังพดู ให้เหมาะสมกับผู้ฟังได้อย่างทันท่วงที เช่น เมื่อเห็นว่า
ผู้ฟังแสดงท่าทางไม่เข้าใจเนื้อหาที่นาเสนอ ผู้นาเสนอก็สามารถปรับปรุงวิธีการนาเสนอ เพ่ือให้ผู้ฟังได้เข้าใจ
เนอื้ หาไดด้ ขี น้ึ
ประเภทของการนาเสนอ
1. การนาเสนอเฉพาะกลุ่ม เป็นการนาเสนอข้อมูลต่าง ๆ ต่อผู้ที่มีหน้าท่ีเกี่ยวข้องหรือผู้ท่ีได้รับเชิญ
ให้เข้าร่วมรับทราบขอ้ มลู ในการนาเสนอ
2. การนาเสนอท่ัวไปในท่ีสาธารณะ เป็นการนาเสนอข้อมูลต่าง ๆ ที่เปิดโอกาสให้บุคคลท่ัวไปเข้า
รว่ มฟังการนาเสนอไดม้ ีการเปดิ โอกาสใหผ้ ้ฟู ังได้ซักถามเพิม่ เติมหรอื แสดงความคิดเห็นได้อกี ด้วย
ลักษณะของขอ้ มูลท่ีนาเสนอ
ในการนาเสนอแต่ละคร้ังน้ัน สามารถนาข้อมูลที่มีลักษณะแตกต่างกันนั้นมา ร่วมนาเสนอด้วยกันได้
ข้นึ อยูก่ บั จุดประสงคข์ องผนู้ าเสนอ ขอ้ มลู ท่จี ะนาเสนอแบง่ ออกตามลักษณะของข้อมูล ได้แก่
1. ข้อเท็จจริง หมายถึงข้อความที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ เร่ืองราวเป็นมาหรือเป็นอยู่ตามความจริง
อาจเป็นความรู้ท่ีได้จากการทดสอบหรือทดลองทางวิทยาศาสตร์ก็ได้ สามารถนามาใช้เป็นหลักฐานข้ออ้างอิง
สาหรบั กล่าวอ้างถงึ ในการพสิ จู น์สงิ่ ใดสง่ิ หน่งึ
2. ข้อคดิ เหน็ เป็นความเห็นอันเกิดจากประเด็นหรือเรื่องราวทีช่ วนใหค้ ิดอาจเป็นความรู้สึก ความเชื่อถือ หรือ
แนวคิดที่ผู้นาเสนอมีต่อส่ิงใดส่ิงหน่ึงความเห็นของแต่ละคนอาจแตกต่างกันได้ ท้ังนี้ก็ขึ้นอยู่กับพ้ืนฐาน และ
ประสบการณข์ องแตล่ ะบุคคล ข้อคิดเหน็ ตา่ งจากข้อเท็จจริง ข้อคดิ เหน็ มีลักษณะต่าง ๆ กนั ดังน้ี
3
2.1 ข้อคิดเห็นเชิงเหตุผล เป็นข้อคิดเห็นท่ีอ้างถึงเหตุผล อ้างถึงข้อเปรียบเทียบท่ีเช่ือถือได้
และความมีเหตุผลต่อกัน โดยชี้ให้ผู้ฟังเห็นว่าควรทาอย่างน้ีเพราะเหตุเช่นนี้ แต่ถ้าไม่ทาอย่างที่กล่าวก็จะมีผล
ตามมาเป็นอยา่ งไร โดยทงั้ หมดนเี้ ปน็ เหตุผลของผู้แสดงความคดิ เห็นเท่าน้ัน
2.2 ข้อคิดเห็นเชิงแนะนา เป็นข้อคิดเห็นท่ีบอกกล่าวให้ผู้รับฟังทราบว่าสิ่งใดควรปฏิบัติ
และผลของการปฏบิ ัติและไม่ปฏบิ ตั ิ จะเปน็ อย่างไรบางคร้ังอาจมีการแนะนาวธิ กี ารปฏบิ ัติควบคกู่ นั ไปดว้ ยก็ได้
2.3 ข้อคิดเห็นเชิงวิจารณ์ เป็นข้อคิดเห็นที่กล่าวถึงเร่ืองใดเรื่องหนึ่งด้วยการเปรียบเทียบ
ระหว่างส่วนดีกับส่วนบกพร่องหรือข้อดีข้อเสียหรือค้นหาข้อบกพร่องจากเรื่องน้ัน ๆ แล้วนามาเสนอแนะ
ในแง่มมุ ท่ดี กี วา่ หรือควรนามาปรับปรุงใหม่
การเตรียมการนาเสนอ
การนาเสนอเรื่องในลักษณะใดก็ตาม ถ้าไม่มีการเตรียมพร้อมก็อาจจะก่อให้เกิดความผิดพลาดได้ง่ายหรือไม่
เป็นไปดังที่ตั้งจุดหมายไว้ ฉะน้ันแล้ว ถ้าต้องการให้การนาเสนอข้อมูลเป็นไปด้วยความราบรื่น และบรรลุ
จุดมุ่งหมายตามท่ีต้องการ ผู้นาเสนอควรจะต้องเตรียมการให้พร้อมก่อนท่ีจะทาการนาเสนอทุกคร้ัง และการ
เตรยี มการเพื่อนาเสนอขอ้ มูลมีข้ันตอนดังนี้
1. การศึกษาข้อมลู ผทู้ ่จี ะนาเสนอจะตอ้ งศกึ ษาข้อมูลต่าง ๆ ดงั น้ี
1.1 ศึกษาเร่ืองท่ีจะนาเสนอ เพื่อรวบรวมและจัดหมวดหมู่ข้อมูลท่ีจะนาเสนอนั้นให้ถูกต้อง
สมบูรณท์ ี่สดุ
1.2 ศกึ ษาวเิ คราะห์ผรู้ ับการนาเสนอหรือผู้ฟัง เพ่ือที่จะได้วางแผนการใช้เทคนิค และวิธีการ
นาเสนอ
1.3 ศกึ ษาวิเคราะห์นาเสนอ ตลอดจนการใชถ้ ้อยคาภาษาทเ่ี หมาะสม
1.4 ศกึ ษาวเิ คราะห์จุดมุ่งหมายที่จะนาไปเสนอเพ่ือใหส้ อดคล้องสัมพนั ธก์ บั ผู้รับการนาเสนอ
1.5 ศึกษาโอกาสเวลาและสถานทท่ี จ่ี ะนาเสนอ เพื่อจะได้กาหนดเค้าโครง และเนื้อหาพร้อม
ท้ังจดั เตรียมวัสดุอุปกรณท์ ่จี ะนาเสนอ
2. การวางแผนการนาเสนอนั้น จะช่วยให้การนาเสนอเป็นไปตามลาดับ ข้อมูลไม่สับสนครบถ้วน
สมบรู ณ์เหมาะสมกบั เวลา การนาเสนอท่บี รรลจุ ุดมงุ่ หมายที่ตั้งไว้ ควรมกี ารวางแผนทจี่ ะนาเสนอดังนี้
2.1 รูปแบบวิธกี ารนาเสนอ โดยมหี ลักในการวางรูปแบบวิธกี ารนาเสนอแบ่งกว้าง ๆ ได้เป็น 2
แบบคือ
1. การนาเสนอแบบท่เี ปน็ ทางการ
2. การนาเสนอแบบทไ่ี มเ่ ปน็ ทางการ
2.2 วางแนวทางในการแก้ปัญหาและอุปสรรค ปัญหาและอุปสรรคในการนาเสนอ อาจจะ
เกดิ ขน้ึ ไดใ้ นหลาย ๆ กรณถี า้ เราคาดเดาปัญหาไว้ก่อนลว่ งหน้า โดยการศึกษาข้อมูลก่อนที่จะนาเสนอให้ถ่องแท้
ก็ยงั สามารถชว่ ยให้มองแนวทางในการแกป้ ญั หา
2.3 วางเค้าโครงการนาเสนอ ทาได้โดยการนาหัวข้อท่ีจะนาเสนอมาแบ่งหมวดหมู่ หรือเรียง
ตามลาดับ แล้วเขียนเปน็ ลาดับข้นั คอนของแผนการนาเสนอ
4
2.4 วางแนวทางในการนาเสนอ เป็นการกาหนดแนวทางท่ีจะใช้ในการนาเสนอ จัดทาข้ึนหลังจากท่ี
ไดว้ างเค้าโครงแลว้ การวาง แนวทางในการเสนอจะชว่ ยให้ผู้นาเสนอเกิดความพร้อม ดังนี้
1. กาหนดวธิ กี ารนาเสนอ
2. กาหนดสถานที่ทีพ่ รอ้ มและเหมาะสมในการนาเสนอ
3. กาหนดวสั ดุอปุ กรณท์ ่ีจะใช้ประกอบการนาเสนอ
4. กาหนดบคุ คลผู้เก่ยี วข้อง
5. กาหนดช่วงเวลาทเ่ี หมาะสมในการนาเสนอ
2.5 วางกาหนดข้ันตอนการนาเสนอ เมื่อได้วางแนวทางการนาเสนอขั้นต่าง ๆ มาแล้ว
ข้นั สุดท้ายก็จะตอ้ งกาหนดขนั้ ตอนการนาเสนอให้สมั พันธ์กบั วิธกี าร
3. การจัดเตรียมวัสดุอุปกรณ์ การบรรยายเพียงอย่างเดียวน้ัน ไม่อาจดึงดูดความสนใจของผู้ฟังได้
ตลอดเวลา ฉะน้นั จงึ ตอ้ งใชว้ สั ดุหรือเครื่องมืออุปกรณ์ต่าง ๆ ที่เรียกว่าโสตทัศนูปกรณ์เข้ามาใช้ประกอบเพ่ือให้
ผู้ฟงั เกิดความสนใจแตท่ น่ี ิยมใชก้ นั มีดงั น้ี
3.1 อปุ กรณ์ที่ใชป้ ระกอบการบรรยาย
1. เครอ่ื งฉายแผน่ ใส หรือเคร่ืองฉายภาพขา้ มศีรษะ
2. วดี ที ัศน์ ภาพยนตร์ ภาพน่งิ แผ่นใส
3. แบบจาลอง
3.2 อปุ กรณ์ทใ่ี ชเ้ สริมการบรรยาย แผ่นพบั หนงั สือ รูปภาพ เอกสารประกอบ
4. การจัดเตรียมความพร้อมของสถานที่ ในการนาเสนอนอกจากจะต้องตระเตรียมวัสดุอุปกรณ์
เพื่อนามาประกอบการนาเสนอแล้ว การเตรียมความพร้อมของสถานท่ีก็มีส่วนสาคัญที่จะทาให้การนาเสนอ
เป็นไปได้ดว้ ยดี
4.1 การจัดห้องสาหรับการนาเสนอ ควรเลือกให้เหมาะสมกับจานวนผู้ฟังเช่น ห้องประชุม
ขนาดเล็ก หอ้ งประชมุ ขนาดใหญ่
4.2 การจดั ทีน่ งั่ และแทน่ สาหรับการนาเสนอ จะตอ้ งเตรียมให้พรอ้ ม
1. แท่นสาหรบั บรรยายใช้ในกรณที ีย่ นื พดู
2. โต๊ะสาหรบั บรรยายใช้กรณที นี่ ่งั พดู
3. โตะ๊ วางอุปกรณ์ช่วยประกอบการบรรยาย
4.3 ระบบระบายอากาศ จะตอ้ งอยู่ในสภาพที่ใช้งานได้ดี
4.4 ระบบเสียง ควรมีการทดสอบก่อนการใช้งาน เพื่อให้แน่ใจว่าสามารถใช้งานได้ดี มีความ
ดังชดั เจน
4.5 ระบบแสดงสว่างภายในห้อง จะต้องให้เหมาะสมกับสายตาของผู้ฟัง และพอเหมาะกับ
การใช้งาน
4.6 การประดับตกแต่งสถานท่ี เป็นการใช้ส่ิงประดับตกแต่งห้อง หรือบริเวณที่จะใช้ในการ
นาเสนอทัง้ สน้ิ สงิ่ ทนี่ ามาตกแต่ง
5
สรุป
การนาเสนอ คือ การถ่ายทอดเนื้อหาสาระที่ผสมผสานกันระหว่าง ศิลปะการพูดกับการแสดงข้อมูล
ในรูปแบบต่าง ๆ ผ่านส่ือและอุปกรณ์ได้อย่างเหมาะสม ความสาคัญของการนาเสนอการนาเสนองานเข้ามา
มีบทบาทสาคัญในองค์กรธุรกิจ ทางการเมือง ทางการศึกษา หรือหน่วยงานของรัฐ ท่ียังต้องอาศัยวิธีการ
นาเสนอสื่อสารข้อมูลเสนอความคิดเห็น เสนอขออนุมัติ หรือเสนอข้อสรุปการดาเนินงานต่าง ๆ ผู้ที่มีหน้าท่ี
เกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์ การแนะนาเพื่อเย่ียมชม การฝึกอบรม การประชุม การนาเสนอความรู้ต่าง ๆ
จงึ จาเปน็ ต้องรจู้ กั วิธีการนาเสนองาน เพื่อนาไปใชใ้ ห้เหมาะสมกบั งานตา่ ง ๆ จุดมุ่งหมายในการนาเสนอ เพ่ือให้
ผรู้ บั สารรับทราบความคิดเหน็ หรือความต้องการ เพอื่ ใหผ้ รู้ ับสารพิจารณาเร่ืองใดเรื่องหนึ่ง หรือเพ่ือให้ผู้รับสาร
ได้รบั ความรจู้ ากขอ้ มูลทีน่ าเสนอ เพื่อใหผ้ รู้ บั สารน้ันเกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง ข้อดีของการนาเสนอคือ เป็นการ
สอ่ื สารสองทาง (Two ways communication) สามารถดงึ ดูดความสนใจ และสร้างผลกระทบต่อผู้ฟัง รวมท้ัง
สร้างความจดจาได้ดีกว่าการนาเสนอด้วยการเขียน (Written Presentation) สามารถปรับเน้ือหา หรือปรับ
เรื่องราวท่ีกาลังพูดให้เหมาะสมกับผู้ฟังได้อย่างทันท่วงที ประเภทของการนาเสนอ การนาเสนอเฉพาะกลุ่ม
การนาเสนอทั่วไปในท่ีสาธารณะ ลักษณะของข้อมูลที่นาเสนอนั้นจะต้องพิจารณาในเร่ืองของข้อเท็จจริง
ข้อคิดเห็น เป็นหลักสาคัญการเตรียมการนาเสนอ การศึกษาข้อมูล ผู้ที่จะนาเสนอจะต้องศึกษาข้อมูลต่าง ๆ
การวางแผนการนาเสนอ จะช่วยให้การนาเสนอเป็นไปตามลาดับ การจัดเตรียมวัสดุอุปกรณ์ การจัดเตรียม
ความพร้อมของสถานท่ี
ภาพท่ี 1.1 การนาเสนอ
6
อ้างอิง
www.google.com/site/karnasenx/assignments/ ความหมายของการนาเสนอ [ระบบออนไลน์]
แหลง่ ที่มา : https://sites.google.com/site/karnasenx/assignments (18 กันยายน 2563)
www.blogspot.com/p/blog-page.html/ สอื่ การสอนการนาเสนอข้อมูล [ระบบออนไลน์]
แหล่งท่ีมา : http://oagtoiixa.blogspot.com/p/blog-page.html (18 กนั ยายน 2563)
www.blogspot.com/ บทสรุปขอ้ มลู การนาเสนอเพอ่ื งานธุรกิจ [ระบบออนไลน์]
แหล่งท่มี า : http://krisada-nts.blogspot.com/ (18 กนั ยายน 2563)
www.tistr.or.th/tistrblog/ เทคนคิ การนาเสนองานอยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ [ระบบออนไลน์]
แหล่งท่ีมา : https://www.tistr.or.th/tistrblog/ (18 กันยายน 2563)
7
บทที่ 2
หลักในการนาเสนออยา่ งมีประสทิ ธิภาพ
บทนา
ในการนาเสนอเพื่อวตั ถุประสงคใ์ ดๆก็ตาม ผูน้ าเสนอจะต้องพจิ ารณาถึงหลกั การทีจ่ ะใชเ้ ปน็ ข้อยดึ ถือ
คือให้มีความถูกต้องเหมาะสม มิฉะนัน้ อาจจะทาให้เกิดผลเสยี ตอ่ ผนู้ าเสนอเองและหน่วยงานของผูน้ าเสนอด้วย
เพราะการนาเสนอน้ันจะสง่ ผลโดยตรง และโดยทางอ้อมต่อภาพลกั ษณ์ของบุคคล และองค์กรท่ีจดั นาได้ดังนั้น
จึงต้องคานงึ ถงึ หลักการในการกาหนดจุดมุง่ หมายการนาเสนอ การวางโครงสรา้ งการนาเสนอ และการเตรียม
เนอ้ื หาท่ีจะนาเสนอ
รปู แบบการนาเสนอ
การจดั รปู แบบนาเสนออาจแบง่ ได้เปน็ 3 รปู แบบ ดังต่อไปน้ี
1. แบบหลกั เหตแุ ละผล เปน็ การนาเสนอในรูปแบบของการให้หลักการแบบมีเหตุย่อม มีผล
โดยทเ่ี หตแุ ละผลจะต้องมีความสอดคล้องกัน แต่ไม่ใช่ลักษณะของการถามและตอบเป็นข้อ ๆ แบบข้อสอบ ซ่ึง
ไมถ่ ือว่าเปน็ รปู แบบการนาเสนอ และผิดกับวัตถุประสงค์การนาเสนอท่ีต้องการจูงใจผู้รับฟังการนาเสนอให้เกิด
ความสนใจในเนือ้ หาสาระทีน่ าเสนอ การนาเสนอในรปู แบบการนาเสนอที่ตอ้ งการจะเสนอข้อเท็จจริงท่ีเป็นเหตุ
เปน็ ผลกัน
2. แบบเรื่องราว อาจเป็นประสบการณ์ของผู้นาเสนอเอง หรือเป็นเรื่องราวที่ได้มาจากการ
ค้นคว้า โดยปกติบุคคลแต่ละคนมักจะชอบฟังเร่ืองราวที่สนุกสนาน ต่ืนเต้นและชวนให้ติดตาม ดังนั้น ถ้าหาก
ผู้นาเสนอต้องการท่ีจะให้เร่ืองราวที่นามาเล่านั้น เกิดความน่าสนใจ จาเป็นต้องมีองค์ประกอบ คือ เน้ือหาใน
เรื่องดี มีความสามารถในการเล่าดี และเรื่องราวท่ีเล่าสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ท่ีนาเสนอจึงจะทาให้การเล่า
เรื่องนนั้ ประสบความสาเร็จ
3. แบบเป็นทางการ เป็นรูปแบบการนาเสนอที่นิยมใช้กันมากท่ีสุดนั้น จะประกอบไปด้วย
องค์ประกอบ 3 ส่วน คือ การบอกเล่าถึงส่ิงท่ีต้องการนาเสนอ การนาเสนอ การทบทวนส่ิงท่ีได้นาเสนอไป
แล้วแต่อย่างไรก็ตามในการเลือกรูปแบบท่ีนาเสนอ ผู้นาเสนอควรจะเลือกรูปแบบท่ีมีความเหมาะสมโดยท่ี
พิจารณาจากองค์ประกอบหลายด้าน ได้แก่ ประเภทของผู้เข้ารับฟังการนาเสนอ ช่ือเรื่องท่ีนาเสนอ สถานท่ี
เปน็ ตน้
ลกั ษณะและรปู แบบการนาเสนอ
เป็นที่ทราบกันดีว่ามนุษย์เราสามารถรับรู้สาระ เรื่องราวได้ดีที่สุดผ่านระบบประสาททางตา (75%)
รองลงมากค็ ือ ทางการได้ยินผ่านหู (13%) แต่คนเรานั้นจะจาได้เพียง 20% ของสิ่งท่ีได้เห็น และจาเพียง 30%
ของสิ่งที่ได้ยิน แต่ถ้าหากต้ังใจรับทั้งการได้ยินและประทับใจสิ่งท่ีได้เห็น มนุษย์จะจาได้สูงถึง 70% เลยทีเดียว
ดังน้ัน หากเราสามารถสร้างสรรค์กระบวนการนาเสนอที่ดี ผ่านการรับรู้ด้วยตาและหู (Audio & Visual) ก็ถือ
เป็นกระบวนการการถา่ ยทอดหรือการสอ่ื สารผ่านพลงั ของการนาเสนอทม่ี ปี ระสทิ ธิภาพ
8
รปู แบบของการนาเสนอในปัจจุบนั พอสรุป โดยภาพรวมจะมี 3 วธิ ีการ คือ
1. มีผูน้ าเสนอเปน็ หลัก ลักษณะการถ่ายทอดจะอยู่ทต่ี ัวคนหรือผูน้ าเสนอ (พดู ) เป็นสาคัญ
รปู แบบมกั จะเปน็ การปาฐกถา การกล่าวเปิดประชุม การบรรยายก่อนการประชุมสัมมนา เป็นตน้ การนาเสนอ
อาจจะมกี ารใช้เอกสารประกอบ (Handout) เปน็ สว่ นรว่ มในการนาเสนอดว้ ยก็ได้
2. มผี ้นู าเสนอและใช้สือ่ อุปกรณ์ การถา่ ยทอดรปู แบบน้แี ม้จะใช้คนเปน็ ผ้นู าเสนอเป็นหลกั
เช่นแบบแรก แตม่ ีการผสมผสานด้วยสือ่ กลาง ที่เปน็ ภาพนง่ิ หรอื มัลติมเี ดียผา่ นอุปกรณ์ เครื่องมือ เปน็ การ
นาเสนอที่เพิ่มมุมมอง ความน่าสนใจ นอกจากนอ้ี าจจะมี เอกสารประกอบ (Handout) การบรรยายหรือการ
นาเสนอดว้ ย
3. นาเสนอในรูปของนิทรรศการ การนาเสนอแบบนีต้ ัว Display จะเปน็ ส่ือหลักในการ
ถ่ายทอดสาระความรู้ หากนทิ รรศการมีความต่อเนอ่ื งอาจใช้เส้นนาทาง หรือช่องทางบังคบั เป็นสว่ นพาผู้ชมได้
เรียนรเู้ นอื้ หาไปตามลาดับ โดยการนาเสนอเช่นน้ีอาจจะมี การบรรยายเพิ่มเตมิ ด้วยวทิ ยากร หรอื การให้ข้อมลู
ผ่านเสยี ง หรือผา่ นการแสดง หรอื ผ่านสื่อประกอบอื่น ๆ ร่วม อาทิ สอ่ื เสมอื นจรงิ ของจริง สื่อวิดีทัศน์ หรือ
เอกสารประกอบ
องคป์ ระกอบของการนาเสนอ
ในการนาเสนอมอี งค์ประกอบ ดงั นี้
1. องคป์ ระกอบในการนาเสนองานแบ่งออกเป็น 5 องค์ประกอบ ดังนี้
1.1 ผู้นาเสนอ เป็นผู้ที่มีบทบาทสาคัญที่สุดในการนาเสนอ ผู้นาเสนอที่ดีจะต้อง
วิเคราะห์ผู้รับข้อมูล ศึกษางานหรือข้อมูลน้ัน ตลอดจนสร้างหรือเอกใช้สื่อและโพรโตคอลท่ีมีคุณภาพ
เพื่อที่จะให้การนาเสนองานนัน้ บรรลุวตั ถปุ ระสงค์ท่ีกาหนดไว้
1.2 ผู้รับข้อมูล เป็นผู้รับข้อมูลจากผู้นาเสนอ ถ้ามีการนาเสนอท่ีดีผู้รับข้อมูลจะมี
พฤตกิ รรมเปลี่ยนแปลงไปในทศิ ทางท่ีผ้นู าเสนอต้องการ
1.3 งาน เป็นส่ิงท่ีผู้นาเสนอต้องการถ่ายทอดให้แก่ผู้รับข้อมูลผ่านส่ือและ
โพรโตคอลต่าง ๆ
1.4 สือ่ เป็นเครอ่ื งมือสาคญั ทจ่ี ะนาข้อมลู ตา่ ง ๆ ไปยังผู้รับข้อมูล ส่ือพ้ืนฐานในการ
นาเสนองาน คือ อากาศ เชน่ การนาเสนอสนิ ค้าของพนกั งานด้วยการพดู คุยกับผู้ซื้อสินค้น ปัจจุบันนี้สื่อท่ีใช้
ในการนาเสนอนนั้ ไดม้ ี พัฒนาการมากขึ้นด้วยการนาเทคโนโลยีต่าง ๆ มาช่วย เช่น การนาเสนอสินค้าผ่านทาง
ข้อความในโทรศัพทเ์ คล่อื นท่ี
1.5 โพรโตคอล เป็นวิธีการที่ผู้นาเสนอใช้ถ่ายทอดงานให้แก่ผู้รับข้อมูล โพรโตคอล
น้ันมีท้ังแบบเฉพาะเจาะจง คือ ผู้รับข้อมูลจะรับข้อมูลจากการนาเสนองานน้ันโดยตรง เช่น การเข้าร่วม
สมั มนา การอบรม การใช้เว็บไซต์ส่งเสริมการศึกษา และโพโตคอล แบบไม่เฉพาะเจาะจง คือ โพรโตคอลที่ผู้
นาเสนอแฝงข้อมูลที่ต้องการนาเสนอไว้ในส่ืออ่ืน ๆ และผู้รับข้อมูลไม่ตั้งใจที่จะรับข้อมูลน้ัน แต่ถูกผู้นาเสนอ
โนม้ น้าวใหเ้ กดิ ตามวตั ถุประสงคข์ องการนาเสนองานนน้ั เช่น การโฆษณาสินคา้ ในรปู แบบตา่ ง ๆ
9
หลักการนาเสนอท่มี ปี ระสทิ ธภิ าพ
หลักในการนาเสนอท่ีดี เพื่อใหก้ ารนาเสนอมีประสิทธภิ าพ มีหลักการท่ีสาคัญดังต่อไปนี้
1. การกาหนดวัตถปุ ระสงค์
วัตถุประสงค์ คือ รายละเอียดของแผนงานที่ผู้นาเสนอจาเป็นต้องกาหนดขึ้นมา เพื่อท่ีจะนาไปสู่
เปาู หมายตามทกี่ าหนดไว้ โดยอาจแบง่ วัตถปุ ระสงคใ์ นการนาเสนอเป็น 4 ขอ้ ดงั น้ี
1.1 เพ่ือให้ความรู้ หรือข่าวสารข้อมูลใหม่ ๆ ซึ่งความรู้หรือข่าวสารข้อมูลใหม่ ๆ น้ัน
อาจเปน็ แนวความคดิ ใหม่ ๆ การแสดงใหเ้ ห็นถึงเทคนิคใหม่ ๆ ซึ่งผู้รับฟังการนาเสนอน้ัน อาจจะยังไม่เคยได้รับ
ทราบ ความรู้ที่ใหม่ท่ีนามาเสนอเป็นประโยชน์ต่อผรู้ ับฟังการนาเสนอ
1.2 เพ่อื ชักจงู ใจ เป็นการจูงใจหรือชักจูงใจให้ผู้รับฟังการนาเสนอเกิดความคล้อยตาม
การจูงใจเป็นการพยายามชักจูงให้ผู้รับฟังการนาเสนอเปลี่ยนทัศนคติ ความเชื่อ ค่านิยมไปจากเดิม เช่น การ
นาเสนอขายสนิ ค้าของพนกั งานขายต่อลูกค้า
1.3 เพื่อสร้างแรงบันดาลใจ เป็นรูปแบบการนาเสนอสาหรับบุคคลเฉพาะกลุ่ม ไม่ว่า
จะเป็นกลุ่มอาชีพ กลุ่มศาสนา กลุ่มการเมือง หรือกลุ่มเช้ือชาติต่าง ๆ โดยมีวัตถุประสงค์คือเพ่ือสร้างความ
มุ่งม่ันอย่างเหนียวแน่นต่อความเชื่ออย่างใดอย่างหน่ึง หรือเพื่อให้มีความศรัทธายึดม่ันในค่านิยมเก่า ๆ ที่เคย
ปฏบิ ัตกิ นั มา
1.4 เพ่ือกระตุ้นให้เกิดความกระตือรือร้น วัตถุประสงค์ข้อน้ีเป็นประโยชน์สาหรับการ
กระตุ้นพนักงานในบริษัทให้มีความกระตือรือร้นในการทางาน เพราะการทางานในหน้าท่ีของพนักงานน้ันเม่ือ
ทางานในหน้าทเี่ ดมิ ๆ เปน็ ระยะเวลานานจะทาให้พนักงานเกิดความเบื่อหน่าย ทาให้ประสิทธิภาพการทางาน
ลดลง จึงจาเป็นต้องมีการประชุมสัมมนากันอยู่เพื่อกระตุ้นให้พนักงานเกิดความกระตือรือร้นในการทางาน
เพราะฉะน้ันในการนาเสนอแต่ละคร้ังผู้นาเสนอจาเป็นต้องกาหนดวัตถุประสงค์ที่จะนาเสนอ เพื่อให้มีความ
เหมาะสม และสอดคล้องกบั เปาู หมายท่ีต้องการเพ่อื ใหก้ ารนาเสนอในแตล่ ะคร้งั ประสบความสาเรจ็
2. การเตรียมความพร้อมพนื้ ฐานในด้านข้อมูลความรู้
หลักในการนาเสนออย่างมีประสิทธิภาพอีกประการหนึ่ง คือ ผู้นาเสนอจะต้องการ
ความพร้อมพ้นื ฐานในการนาเสนอ ซง่ึ มีองค์ประกอบ ดงั ต่อไปน้ี
2.1 ข้อมูล ความรู้ เป็นสิ่งสาคัญที่ต้องนามาใช้โดยเป็นเน้ือหาสาหรับการนาเสนอ
ผู้นาเสนอจะต้องเป็นผู้ที่มีความรู้เก่ียวกับเรื่องที่นามานาเสนอ ถึงแม้ว่าผู้นาเสนอจะเป็นผู้ที่มีความรู้
ความสามารถในด้านน้ันอยู่แล้ว แต่ก็จาเป็นท่ีจะต้องมีการรวบรวม ค้นคว้า และวิเคราะห์ข้อมูลเพ่ิมเติม โดย
แหล่งข้อมูลความรู้ที่สาคัญที่สามารถหาได้ ได้แก่ ผู้เชี่ยวชาญ เพ่ือนร่วมงาน หนังสือ นิตยสาร บทความ
หนงั สือพิมพ์ งานวจิ ัยทีเ่ กี่ยวข้อง ขอ้ มูลจากสอื่ สารสนเทศ ไดแ้ ก่ อนิ เทอรเ์ นต็
2.2 ทักษะการนาเสนอ การนาเสนอเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ในการนาเสนอ เพ่ือทา
ให้ผู้รับฟงั การนาเสนอมคี วามเขา้ ใจในเร่อื งท่นี าเสนอได้อยา่ งแทจ้ รงิ
- การนาเสนอเป็นศาสตร์ ซึง่ ต้องมกี ารจดั ระบบขน้ั ตอนในการนาเสนอ
10
- การนาเสนอเปน็ ศิลป์ ซง่ึ เกิดจากการพฒั นาความชานาญในการนาเสนอด้วย
วิธีการต่าง ๆ หลายแบบ หลายวิธี ซึ่งอาจเรียกว่า “ทักษะ” ซึ่งสามารถฝึกฝนได้ เช่น การฝึกทักษะในการพูด
ทักษะในการใช้เครื่องมือสื่อสารต่าง ๆ การใช้โสตทัศนูปกรณ์ และทักษะในการเขียนเอกสารประกอบการ
นาเสนอ รวมท้ังทักษะในการดัดแปลงข้อมูลและการวิเคราะห์ข้อมูล สถิติ แนวความคิดต่าง ๆ เพ่ือนาเสนอ
ออกไปในรูปแบบสื่อ เปน็ ต้น
ดังน้ัน ในการนาเสนอผู้เสนอจึงจาเป็นต้องมีทักษะต่าง ๆ ท่ีมีความสาคัญและที่เก่ียวข้องกับการ
นาเสนอซึ่งจะเปน็ ประโยชน์ต่อผ้นู าเสนอเองในการนามาใช้ชว่ ยการนาเสนอ
3. ความสามารถในการแกป้ ญั หา/ตอบคาถาม
ในการนาเสนอผู้นาเสนอมักจะพบกับปัญหา เหตุการณ์หรือคาถามที่ไม่ได้เตรียมตัวเพื่อแก้ไข
ปัญหา สถานการณ์ หรือคาตอบเอาไว้ล่วงหน้า ผู้นาเสนอจึงต้องมีความสามารถในการแก้ไขปัญหา และ
สถานการณ์ต่าง ๆ รวมถึงผู้นาเสนอต้องมีการเตรียมพร้อมในการตอบคาถาม โดยอาจคาดเดาคาถามเอาไว้
ล่วงหน้า และเตรียมพรอ้ มโดยการค้นคว้าหาขอ้ มลู
4. การวางแผนและการเตรียมการนาเสนอ
การนาเสนอที่มีประสิทธิภาพ ต้องมีการวางแผนและเตรียมการนาเสนอเป็นอย่างดีตามหลัก
ของการนาเสนอ ซ่ึงมีดังต่อไปนี้
4.1 เขียนแผนการนาเสนอ โดยต้องครอบคลุมถึงวัตถุประสงค์ในการนาเสนอ ช่ือ
เรอ่ื งทจี่ ะนาเสนอ หวั ข้อเรือ่ ง แนวความคิดตา่ ง ๆ วตั ถปุ ระสงคเ์ ชงิ พฤตกิ รรม กิจกรรมท่ีนามาสอดแทรกในการ
นาเสนอ ส่อื อปุ กรณ์และเคร่ืองมือการนาเสนอ ตลอดจนการเขียนแผนการสาหรับการประเมินผลการนาเสนอ
4.2 รวบรวมข้อมลู เปน็ เนอื้ หาสาระ สถิติตามหัวข้อเร่ืองท่ีจะนาเสนอ ผู้นาเสนอควร
จะเริ่มรวบรวมข้อมูลในทันทีท่ีทราบช่ือเร่ือง และรายละเอียดของเรื่องที่จะนาเสนอเพราะข้อมูลที่ใช้เวลา
รวบรวมเป็นระยะเวลานานจะมีเน้ือหาสาระของข้อมูลมากกว่าข้อมูลท่ีใช้เวลาในการรวบรวมเพียงไม่นาน อีก
ท้ังยังทาให้ผู้นาเสนอมีเวลาเหลือสาหรับการนาข้อมูลที่รวบรวมมาได้ มาคัดเลือก จัดสรร วิเคราะห์ และหา
ขอ้ มลู เพ่ิมเติมไดจ้ งึ ทาใหเ้ น้ือหาสาระท่ไี ด้มานน้ั มคี ุณภาพ และมคี วามสมบรู ณ์มากยง่ิ ขน้ึ
4.3 ผลิตสื่อและโสตทัศนูปกรณ์ประกอบการนาเสนอ การนาเสนอโดยการใช้เสียง
ของ ผู้นาเสนอเพียงอย่างเดียว อาจจะไม่สามารถดึงดูดความสนใจของผู้รับฟังการนาเสนอได้ตลอดเวลา
เน่ืองจากผู้รับฟังการนาเสนออาจเกิดความรู้สึกเบ่ือหน่าย และไม่เข้าใจในเน้ือหาสาระที่นาเสนอ ผู้นาเสนอจึง
จาเป็นต้องนาอุปกรณ์ หรือโสตทัศนูปกรณ์เข้ามาช่วยในการนาเสนอ เพ่ือดึงดูดความสนใจของผู้รับฟังการ
นาเสนอ ช่วยให้ผู้รับฟังสามารถเข้าใจในเน้ือหาสาระง่ายมากยิ่งขึ้น รวมถึงอาจช่วยให้ผู้รับฟังการนาเสนอเกิด
ความรู้สึกพงึ พอใจในการนาเสนอดว้ ย
4.4 ทดสอบ โดยการซ้อมการนาเสนอ ซ่ึงจะมีประโยชน์ต่อผู้นาเสนอเอง คือ ช่วยลด
ความตืน่ เต้นลง ช่วยพฒั นาทกั ษะในการนาเสนอ ชว่ ยให้สามารถควบคุมและปรบั ปรุงเวลาที่ใช้ในการนาเสนอ
ได้ ชว่ ยใหผ้ ้นู าเสนอสามารถปรับปรุงเน้อื หาท่ีนาเสนอใหม้ คี วามเหมาะสมมากยิ่งข้ึน
11
5. หลกั การใช้จิตวทิ ยา
หลักการนาเสนอเพื่อให้ผู้รับฟังเกิดความสนใจ และพึงพอใจอย่างเป็นไปตามความคาดหวัง
ของผู้นาเสนอได้นั้น จาเป็นต้องนาเอาหลักการทางจิตวิทยามาประยุกต์ใช้ในการสร้างสภาพแวดล้อมเพ่ือให้
เหมาะสม และเออื้ อานวยต่อการนาเสนอ ซึง่ จะทาให้การนาเสนอในคร้งั นน้ั มปี ระสทิ ธิภาพมากย่ิงข้ึน
6. การประเมินผล ตดิ ตาม และปรบั ปรุงเทคนิคการนาเสนอ
6.1 การประเมินผลการนาเสนอ สามารถทาได้ท้ังในระหว่างที่ยังมีการนาเสนออยู่และ
หลังจากท่จี บการนาเสนอแลว้
- ในระหว่างท่ีกาลังนาเสนอผู้นาเสนอสามารถใช้วิธีการสังเกตกิริยาท่าทางการรับรู้
ปฏกิ ิรยิ าโตต้ อบของผู้ฟัง หรืออาจใช้วิธีการตั้งคาถาม เพ่ือตรวจดูว่าการนาเสนอข้อมูล ผู้รับฟัง รู้ เข้าใจ สนใจ
เพียงใด ถ้าผู้ฟังสนใจแต่ยังไม่เข้าใจในเน้ือหาท่ีนาเสนอผู้นาเสนอสามารถปรับแผนการใหม่ในขณะน้ันได้ทันที
โดยการพูดหรืออธิบายเพิ่มเติม ส่วนเร่ืองใดท่ีผู้นาเสนอเข้าใจดีอยู่แล้ว ก็อาจพูดให้สั้นลงจากแผนท่ีได้วางไว้
- การตรวจสอบโดยวิธีการพูดคุยกับผู้ฟังระหว่างหยุดพัก ในกรณีที่เป็นการนาเสนอที่
ใช้เวลามาก เช่น การบรรยาย ปาฐกถา หรือการเสนอโครงการต่อคณะกรรมการ ซ่ึงต้องใช้เวลา 3 ชั่วโมงข้ึนไป
หรือใช้หลาย ๆ วัน ผู้นาเสนอสามารถตรวจสอบผลการนาเสนอจากการคุยกับผู้ฟังในระหว่างพักรับประทาน
อาหารวา่ ง หรืออาหารกลางวัน หรือช่วงรับประทานอาหารกลางวนั อาหารเย็น เพ่ือดวู ่าผู้ฟังสนใจประเด็นไหน
มากกว่ากัน เพื่อผนู้ าเสนอจะไดป้ รับแผนทัน เหมาะสมกับเวลาท่ีมอี ย่เู พื่อบรรลวุ ัตถุประสงคท์ กี่ าหนดไว้
- หลังจากจบการนาเสนอแล้ว ผู้นาเสนอสามารถตรวจสอบผลการประเมินผลได้ทั้ง
จากช่วงท้ายรายการที่เปิดโอกาสให้มีการถามคาถาม หรอื อาจใช้วธิ แี จกแบบฟอรม์ การประเมินผลให้ผู้ฟังเขียน
ตามแบบฟอร์มน้ัน และนากลับมารวบรวมวเิ คราะห์ในภายหลัง
6.2 การติดตามผล เป็นการตรวจสอบผลที่ได้จากการนาเสนอว่าบรรลุวัตถุประสงค์ที่วางไว้
หรอื ไม่ อยา่ งไร
6.3 การปรับปรุงการนาเสนอ สามารถทาได้โดยการรวบรวมข้อมูลท่ีได้จากการประเมินผล
การนาเสนอของผู้รับฟังการนาเสนอมาใชเ้ พ่ือปรับปรงุ การนาเสนอในคร้ังต่อไป การปรับปรุงการนาเสนอจะทา
ใหก้ ารนาเสนอในครัง้ ตอ่ ๆ ไป ของผนู้ าเสนอมปี ระสิทธิภาพมากยิง่ ขน้ึ
ขน้ั ตอนการเตรียมการเพ่ือนาเสนอ
1. การค้นคว้าหาข้อมลู เป็นข้ันตอนการเตรียมการนาเสนออันดับแรก หลังจากที่ผู้นาเสนอทราบถึง
ช่ือเรอื่ ง หัวเรื่องทจ่ี ะนาเสนอแล้ว กจ็ าเปน็ ต้องมีการค้นคว้าหาข้อมูลจากแหล่งต่าง ๆ จากการค้นคว้าหาข้อมูล
จะทาให้ผ้นู าเสนอมคี วามร้มู ากย่ิงขึ้น และยง่ิ มคี วามรมู้ ากขน้ึ กจ็ ะทาใหม้ คี วามม่นั ใจมากขึน้ ด้วย
2. การเตรยี มขอ้ มูล สถานท่ี อุปกรณ์ เม่ือมีการคน้ ควา้ หาขอ้ มลู แล้ว ผู้นาเสนอจาเป็นที่จะต้องมีการ
คัดเลือกข้อมูล เมื่อผู้นาเสนอได้รับข้อมูลที่เพียงพอต่อความต้องการแล้ว ก็ต้องมีการจัดโครงการในเรื่องของ
การนาเสนอ การวเิ คราะห์ขอ้ มลู เน่ืองจากข้อมูลท่ีไดม้ าน้ัน ได้มาจากแหลง่ ทแ่ี ตกตา่ งกัน ขอ้ มูลช่ือเรอื่ งเดยี วกนั
12
ก็อาจมเี นอื้ หาที่แตกตา่ งกัน จงึ จาเปน็ ตอ้ งเรียบเรียงขอ้ มูลใหม่ โดยคานึงถึงความเข้าใจของผู้รับฟังการนาเสนอ
เปน็ หลกั นอกจากเตรียมขอ้ มูลแล้ว การเตรยี มพรอ้ มทางด้านสถานท่ี อุปกรณ์ และโสตทัศนูปกรณ์น้ันก็เป็นส่ิง
ท่ีสาคัญอย่างหนึ่ง เพราะปัจจัยทั้งสองน้ีย่อมมีผลต่อความสาเร็จ และความล้มเหลวในการนาเสนอ สิ่งท่ีต้อง
คานึงถึงสาหรบั ปจั จัยดา้ นสถานที่ คือ สถานทีน่ น้ั เป็นสถานที่อะไร ขนาดของสถานท่ี ระบบเสียง และความดัง
ของเสียง ส่งิ รบกวนการนาเสนอ ระบบการระบายอากาศ ระบบแสง เฟอร์นิเจอรท์ ่ใี ช้
3. การลาดับเน้ือหาก่อน-หลัง เป็นเทคนิคท่ีต้องใช้ในการนาเสนอประการหน่ึง เน่ืองจากการลาดับ
เน้ือหาก่อนหลังหรือการเรียงลาดับเหตุการณ์ จะช่วยให้ผู้ฟังเกิดความเข้าใจในเหตุการณ์ อดีต ปัจจุบันและ
อนาคตไดง้ ่ายขน้ึ การลาดับเนอ้ื หานม้ี ักจะใช้สาหรับการอธบิ ายถึงความเป็นมาของสถานการณ์ต่าง ๆ การใช้ใน
กรณีอา้ งองิ ประวัติศาสตร์ เปน็ ต้น ซึง่ ทาให้ผ้รู บั ฟังการนาเสนอสามารถมองเห็นภาพไดอ้ ย่างเปน็ ลาดบั ขั้นตอน
4. การสร้างรายการข้อมลู ส่วนตัว เป็นการเตรียมเนื้อหา ลาดับ ขั้นตอนต่าง ๆ สาหรับผู้นาเสนอ ซึ่ง
เป็นประโยชนแ์ ก่ผู้นาเสนอในการนาเสนอในการบันทกึ ลาดับ ขัน้ ตอนท่ีนาเสนอ เน้ือหาอาจสับสน หรือจาไม่ได้
ในการสรา้ งรายการขอ้ มลู สว่ นตวั ของผนู้ าเสนอจะมีความแตกต่างกันไปตามเอกลักษณ์ของแต่ละบุคคล เพ่ือให้
เข้าใจง่ายท่ีสุดผู้นาเสนอไม่ควรให้บุคคลอ่ืนสร้างรายการข้อมูลส่วนตัวให้ เพราะอาจทาให้เกิดความสับสน ไม่
เข้าใจ ทาให้การนาเสนอเกิดความผิดพลาดได้
5. การร่างข้อความสาหรับการแนะนาตัวและเปิดการนาเสนอน้ันถือว่าเป็นข้ันตอนแรกในการ
นาเสนอ ผู้นาเสนอจาเป็นต้องร่างข้อความสาหรับการแนะนาตัว และการเปิดการนาเสนอไว้ เพราะการ
เตรียมพร้อมไว้ล่วงหน้าจะทาให้ผู้นาเสนอสามารถปรับเปล่ียนบทพูดให้มีความเหมาะสม ถูกต้อง และมีความ
พรอ้ ม หากผนู้ าเสนอไมก่ ารเตรยี มพรอ้ มเอาไว้กอ่ น เมือ่ ถึงเวลาในการนาเสนออาจทาให้ผู้นาเสนอลาดับเน้ือหา
ของการเปิดการนาเสนอผดิ พลาด ทาใหก้ ารนาเสนอลม้ เหลวต้งั แต่เร่ิมตน้
6. การร่างขอ้ มลู เนอ้ื หาที่ใช้ในการนาเสนอ ในการนาเสนอน้ันผู้นาเสนออาจเป็นผู้ท่ีมีความชานาญ
เป็นพเิ ศษสาหรบั หัวข้อ เนือ้ เรื่องที่นาเสนอ หรืออาจมีบางเร่ืองท่ีผู้นาเสนอไม่ถนัด จาลาดับข้อมูลท่ีจะนาเสนอ
ไมไ่ ด้ การรา่ งจึงเป็นประโยชน์ตอ่ ผู้นาเสนอ
7. การรา่ งข้อความกลา่ วสรุปประเด็น เป็นการร่างข้อความสาหรับการกล่าวสรุปหลังจากท่ีได้มีการ
นาเสนอเกยี่ วกับเนื้อหาไปแลว้ เพ่อื เปน็ การกล่าวสรุปก่อนสิ้นสุดการนาเสนอ ซ่ึงมีความสาคัญเช่นเดียวกับการ
เปดิ การนาเสนอ ผ้นู าเสนอจาเป็นต้องมีการร่างข้อความกล่าวสรุปไว้เพ่ือเตรียมกล่าวสรุป การกล่าวสรุปหากผู้
นาเสนอไม่เตรียมพร้อมนั้น จะทาให้ผู้กล่าวสรุปไม่สามารถสรุปเนื้อหาได้ถูกต้อง ทาให้ผู้รับฟังการนาเสนอเกิด
ความสับสน ไม่เข้าใจการกล่าวสรุปประเด็น จึงมีส่วนช่วยให้ผู้รับฟังการนาเสนอเกิดความเข้าใจในเนื้อหาที่
นาเสนอมากย่ิงข้ึน ผู้นาเสนอจาเป็นต้องมีการร่างข้อความกล่าวสรุปประเด็นไว้ล่วงหน้าเพื่อที่จะได้สรุป เรียบ
เรียง และคดั เลือกข้อความสรปุ ทมี่ เี นือ้ หาท่ีถกู ต้อง และเหมาะสมทส่ี ุด
8. การจดั สรรเวลา ในการนาเสนอจะมกี าหนดเวลาที่แน่นอนในการนาเสนอ ปัจจัยทางด้านเวลาจึง
เป็นสิ่งสาคญั ทผ่ี นู้ าเสนอจะตอ้ งนามาพิจารณาในการกาหนดเนื้อหาที่จะนาเสนอด้วย เพ่ือให้การนาเสนอต้ังแต่
เร่ิมตน้ จนถงึ สิ้นสดุ าการนาเสนออยูใ่ นชว่ งระยะเวลาท่ีได้กาหนดไว้ การจัด สรรเวลาจึงเป็นสิ่งที่มี ความสาคัญ
อกี ประการหนงึ่ ในการนาเสนอ ผู้นาเสนอสามารถจดั สรรเวลาใหม้ ีความเหมาะสมได้ 2 วิธี ดังต่อไปน้ี
13
8.1 การคาดคะเน เป็นวิธีการที่นาเสนอจัดสรรเวลาโดยประมาณระยะเวลาในแต่ละขั้นตอนท่ีจะใช้
ในการนาเสนอ โดยพจิ ารณาเน้ือหาที่จะนาเสนอว่ามากน้อยเพียงใด ต้องใช้เวลาเท่าใด โดยหากเน้ือหามีมากก็
อาจต้องใช้เวลาในการนาเสนอมากทาให้เกินระยะเวลาในท่ีกาหนดไว้ผู้นาเสนอก็ต้องปรับเปลี่ยนเน้ือหาให้ส้ัน
ลง แตใ่ นการจัดสรรเวลาโดยวิธีการคาดคะเนมีข้อเสีย คอื ผนู้ าเสนออาจคาดคะเนผิดพลาดทาให้การใช้เวลาใน
การนาเสนอไม่เหมาะสมตามความตอ้ งการ
8.2 การซ้อมการนาเสนอ เปน็ วิธีการจัดสรรเวลาท่ีนอกจากจะมีประโยชน์ในการจัดสรรเวลา
แล้ว ยงั มีประโยชนใ์ นการชว่ ยฝึกซ้อมการนาเสนอให้กบั ผ้นู าเสนอไดพ้ ฒั นาความสามารถในการนาเสนอของตน
ด้วย การซอ้ มนาเสนอจะชว่ ยใหผ้ ้นู าเสนอทราบเวลาท่ีแน่นอน ท่ีจะใช้ในการนาเสนอน้ัน ทาให้ผู้นาเสนอทราบ
เวลาทใี่ ชใ้ นการนาเสนอว่ามากนอ้ ยเพียงใด สามารถปรบั เปลี่ยนเน้ือหา หรือจดั สรรเวลาในการนาเสนอได้อย่าง
ถูกตอ้ งมากยิ่งข้นึ แต่ในการจัดสรรเวลาตามวธิ ีน้ีกอ็ าจเกิดความผดิ พลาดซึ่งเกิดจากตัวผู้นาเสนอเอง คือ เม่ือถึง
เวลาการนาเสนอจริง ผู้นาเสนออาจจะรู้สึกต่ืนเต้นจนทาให้ พูดเร็ว พูดผิด ๆ ถูก ๆ จนทาให้ระยะเวลาท่ีใช้ใน
การนาเสนอจริง กับระยะเวลาทใ่ี ช้ในการซอ้ มแตกตา่ งกัน
9. การเลือกสื่อในการนาเสนอให้เหมาะสม ส่ือหรือโสตทัศนูปกรณ์ที่นามาใช้ช่วยในการนาเสนอมี
อยู่หลายชนิด ผู้นาเสนอจึงควรจะคานึงถึงปัจจัยด้านความเหมาะสมในการเลือกใช้สื่อที่จะนามาช่วยในการ
นาเสนอดว้ ย ซงึ่ มีปัจจยั ตา่ ง ๆ ดังตอ่ ไปนี้
- เนอื้ หาทน่ี าเสนอ
- สถานทท่ี ่นี าเสนอ
- ระยะเวลาที่ใชใ้ นการนาเสนอ
- งบประมาณในการนาเสนอ
- ประเภทของผ้รู ับฟังการนาเสนอ
- ความสามารถในการใช้ส่อื ของผนู้ าเสนอ
การเลอื กใชส้ ื่อทีเ่ หมาะสมจะทาใหก้ ารนาเสนอมีความนา่ สนใจมากยิ่งขึ้น ช่วยให้ผู้รับฟังการนาเสนอ
มีความเขา้ ใจในเน้ือหาทีน่ าเสนอมากยง่ิ ขึน้
10. การประเมินการนาเสนอ ปัจจุบันนิยมใช้การประเมินโดยการใช้แบบสอบถาม ซ่ึงเป็นวิธีการท่ี
ทาให้สามารถวัดผล เปรียบเทียมได้อย่างแน่นอน มีตัวเลขประเมินชัดเจน การประเมินผลการนาเสนอช่วยผู้
นาเสนอทราบผลการนาเสนอของตนเองว่ามีขอ้ ดีหรอื ข้อเสียอย่างไร ประสบความสาเร็จหรือไม่อย่างไร ซ่ึงเป็น
ประโยชนต์ อ่ ผนู้ าเสนอเองในการนาขอ้ มูลท่ไี ด้จากการประเมนิ ผลไปใชใ้ นการปรบั ปรงุ การนาเสนอในครง้ั ต่อไป
ขนั้ ตอนและวธิ กี ารนาเสนอ
1. การเปิดการนาเสนอ เป็นข้ันตอนแรกใจการนาเสนอ การกล่าวนาเสนอหรือการเกริ่นนาเป็น
ขั้นตอนในการดึงดูดความสนใจจากผู้ฟังก่อนที่จะเข้าไปสู่เน้ือหาของการนาเสนอ ผู้นาเสนอควรใช้เทคนิคใน
การเรียกร้องความสนใจของผู้นาเสนอด้วยการทาให้ผู้ฟังรู้สึกประทับใจ กระตุ้นให้ผู้ฟังเกิดความอยากรู้อยาก
เหน็ วิธกี ารในการเปิดการนาเสนอได้ ดงั นี้
14
1.1 การกล่าวถึงเร่ืองท่ีจะนาเสนออย่างคร่าว ๆ เป็นวิธีการท่ีนิยมใช้กันมากท่ีสุดในปัจจุบัน
เพราะเป็นการกล่าวนาเสนอทม่ี งุ่ ท่วี ัตถุประสงค์ในการนาเสนอโดยตรง ผู้นาเสนอควรกล่าวถึงเน้ือหาพอสังเขป
ไมย่ าวเกนิ ไป และควรใชว้ ธิ กี ารกลา่ วเกริ่นนาท่ีช่วยกระตนุ้ ให้ผฟู้ ังเกดิ ความสนใจในเรอ่ื งท่ีจะนาเสนอ
1.2 อธิบายถงึ ประสบการณ์ส่วนบคุ คล โดยจะต้องเน้นถึงประสบการณ์ในส่วนท่ีเก่ียวข้องกับ
เร่อื งทีน่ าเสนอ เพราะจะทาใหผ้ ูฟ้ งั เกดิ ความเชอ่ื ถอื ในตวั ผนู้ าเสนอว่าเป็นผ้ทู ี่มีประสบการณ์และมีความชานาญ
1.3 การถามคาถาม เพื่อให้ผู้ฟังให้ความร่วมมือกับผู้นาเสนอในการยกมือ หรือตอบคาถาม
ในบางคร้งั ผ้นู าเสนออาจพดู เกรนิ่ นาในเชิงคาพูด ถามคาถามหรือคาถามเชิงโวหาร คือ การถามแบบไม่ต้องการ
คาตอบ แต่เป็นการเรียกร้องความสนใจเพ่ือให้ผู้ฟังเกิดความสงสัย กระตุ้นให้เกิดความรู้สึกสนใจอยากทราบ
คาตอบ
1.4 การต้ังประโยคชวนคิดหรือการสมมติ เป็นการเกริ่นนาโดยการชักชวนให้ผู้ฟังได้สร้าง
สถานการณ์สมมติ เพ่อื ใหผ้ ฟู้ งั ไดม้ ีความรู้สกึ หรืออารมณ์รว่ มด้วย การใช้วิธีนี้ในการเกริ่นนาผู้นาเสนอจะต้องใช้
สถานการณส์ มมติที่สามารถตีความได้หลายด้าน สามารถหาเหตุผลมาใช้ประกอบได้หลายทาง เพื่อให้ผู้ฟังเกิด
ความรสู้ กึ สนใจต้องการคาตอบหรอื ขอ้ สรปุ
1.5 การอธิบายถึงสิ่งใหม่ ๆ อาจพูดถึงสิ่งท่ีผู้นาเสนอเองมีความรู้ ความชานาญในด้านนั้น
อย่างลึกซ้ึง ซ่ึงผู้ฟังอาจไม่เคยรู้มาก่อนหรืออาจพูดถึงนวัตกรรมใหม่ ๆ ท่ีเพ่ิงจะเกิดขึ้นเป็นสิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อน
เพอ่ื ให้ผู้ฟงั เกิดความร้สู ึกตนื่ เตน้ สนใจ
1.6 การใช้โสตทัศนูปกรณ์ เป็นการเริ่มต้นเปิดการนาเสนอ ได้แก่ โปรเจคเตอร์ วิดีทัศน์
สไลด์ เปน็ ต้น วธิ ีการน้ีเป็นวิธีการท่ีสะดวกสาหรับผู้นาเสนอ เพราะไม่จาเป็นต้องเตรียมตัวสาหรับการเกริ่นนา
อาจมีการแนะนาตัวเพยี งเลก็ น้อย แตผ่ ู้นาเสนอนน้ั จะตอ้ งเตรยี มพรอ้ มสาหรบั สื่อโสตทัศนูปกรณ์ที่นามาใช้ การ
ออกแบบภาพประกอบหรอื เนอื้ หาทีจ่ ะใช้ใหด้ สู วยงาม น่าสนใจ และสอดคลอ้ งกับเร่อื งทน่ี าเสนอ
1.7 การแสดงความเหมือนซึ่งกันและกัน เป็นการสร้างความรู้สึกให้แก่ผู้ฟังว่าผู้นาเสนอ ก็
เป็นผทู้ เี่ หมอื นกบั ผฟู้ งั ไมม่ ีความแตกตา่ งอะไรกัน เพือ่ ให้ผฟู้ งั เกิดความประทับใจและสร้างบรรยากาศท่ีมีความ
เป็นกันเอง
1.8 การเล่าเรือ่ งตลกขาขัน เปน็ วิธีการดึงดดู ความสนใจผู้ฟัง ช่วยสร้างบรรยากาศสนุกสนาน
เรอ่ื งที่จะนามาใช้เล่าน้ันจะต้องไม่ยาวเกินไป และมีความสอดคล้องกับเร่ืองท่ีนาเสนอหรืออาจต้องอาศัยความ
ชานาญ เทคนิคของผูน้ าเสนอในการเชอ่ื มโยงเร่ืองราวทีเ่ ล่ากบั เร่ืองที่นาเสนอ
เน้ือหาในการนาเสนอ
เป็นข้ันตอนที่มีความสาคัญมากที่สุด เพราะเนื้อหา คือ สิ่งท่ีผู้นาเสนอต้องการจะนาเสนอให้กับผู้ฟัง
ได้ทราบ ผูน้ าเสนอควรเตรียมความพร้อมสาหรับเนื้อหาท่ีนาเสนอ โดยการแบ่งแยกรายละเอียดออกเป็นข้อ ๆ
เพื่อใหผ้ ฟู้ ังทาความเข้าใจไดง้ ่ายข้ึน แต่ก็ไม่ควรที่จะมีจานวนข้อมากเกินไป เพราะจะทาให้ผู้ฟังมีความรู้สึกเบ่ือ
หน่ายไดก้ ารแบง่ เนือ้ หาเป็นหัวขอ้ ย่อยไมค่ วรจะแบง่ ย่อยเกนิ ไป จนทาให้ผูฟ้ งั และผูน้ าเสนอเองรูส้ ึกสบั สน
เนือ้ หาหรอื เนอ้ื เรอื่ ง ประกอบด้วยองค์ประกอบหลกั 3 สว่ น คอื
15
1. ประเด็นเร่ือง คือ ส่วนของเน้ือหาหรือเนื้อเรื่องที่มีความสาคัญที่ผู้นาเสนต้องการเสนอ
ให้แก่ผู้ฟัง การนาเสนอประเด็นต่าง ๆ ในปัจจุบันผู้นาเสนอมักจะนาส่ือหรือโสตทัศนูปกรณ์มาใช้ช่วยในการ
นาเสนอใหม้ ีความนา่ สนใจและง่ายตอ่ การทาความเข้าใจ
2. ตัวอย่างประกอบ เพ่ือให้ผู้ฟังได้เข้าใจประเด็นต่าง ๆ ที่นาเสนอได้ง่ายมากขึ้น มีความน่า
ติดตาม การยกตวั อยา่ งประกอบสามารถทาได้ ดังน้ี
2.1 การเล่าเร่ือง เป็นการเล่าความคิด ถ่ายทอดประสบการณ์ ความรู้ต่าง ๆ เพ่ือให้
ผฟู้ งั ไดค้ ิด และจดจาไปใช้เปน็ แบบอย่าง
2.2 การเล่าเรื่องขาขัน เป็นส่ิงท่ีช่วยดึงความสนใจจากผู้ฟัง การแต่งเร่ืองขาขันไม่ใช่
สิ่งทตี่ อ้ งอาศัยความชานาญของผ้พู ูดเพยี งอย่างเดียวเท่านั้น แต่จาเป็นต้องอาศัยทักษะในการสอดแทรกเน้ือหา
แตเ่ พอ่ื เชอ่ื มโยงไปสูเ่ นอื้ เร่ืองทน่ี าเสนอ
2.3 การใช้ตัวเลขประกอบ โดยมากมักใช้ตัวเลขทางเศรษฐศาสตร์ สถิติมา
ประกอบการนาเสนอ เนื้อเร่อื งที่นาเสนอนน้ั บางอยา่ งจาเปน็ ต้องใช้ตัวเลขเข้ามาช่วย เพ่ือแสดงให้ผู้ฟังเข้าใจใน
ตัวเลขสถิติ แต่ผู้นาเสนอควรระมัดระวังในการนาตัวเลขมาใช้ ตัวเลขท่ีมีมากเกินไป ยุ่งเหยิง จะทาให้ผู้ฟังเกิด
ความสับสนและเบื่อหนา่ ย
3. การเชอ่ื มโยงไปสู่ประเด็นใหม่ คอื คาพดู หรอื ประโยคทีผ่ ู้นาเสนอนามาใช้ในการเช่ือมโยง
จากประเดน็ เดมิ ทพ่ี ูดจบแล้วไปสู่ประเด็นใหม่
การกลา่ วสรปุ มวี ธิ กี ารดงั น้ี
1. การทบทวนสรปุ เนื้อหา เป็นวธิ ีการกลา่ วสรุปการนาเสนอแบบเปน็ ทางการ ผู้นาเสนอควรจะสรุป
เน้นความสาคญั ของเน้อื เร่อื งที่นาเสนอ จึงต้องใช้ความสามารถในการสรุปหลังจากที่สรุปย่อแล้วทาให้ผู้ฟังเกิด
ความเขา้ ใจ
2. การชกั จูงให้ต้องลงมือปฏิบัติ เป็นการกล่าวสรุปเพ่ือโน้มน้าว จูงใจให้ผู้ฟังเกิดความรู้สึกอยากจะ
ไปปฏิบัตจิ รงิ
3. การต้ังคาถาม เป็นการต้ังคาถามเชิงโวหาร หรือแบบมีวาทศิลป์ ซ่ึงอาจไม่ต้องการได้รับคาตอบ
แตต่ ้องการใหผ้ ู้ฟงั นนั้ ไดค้ ดิ เชน่ เดียวกบั วธิ กี ารกล่าวเปดิ การนาเสนอ ถงึ แม้ว่าผู้นาเสนอจะตง้ั คาถามไปแล้ว แต่
ในข้นั ตอนการสรุปกส็ ามารถต้ังคาถามได้อกี
4. การใหค้ าแนะนา มักจะเกิดข้ึนสาหรับการนาเสนอขายสินค้า หลังจากท่ีขายสินค้าได้ผู้นาเสนอก็
จะให้คาแนะนาเก่ียวกับสินค้า หรือการให้คาแนะนาของผู้นาเสนอ ซ่ึงเป็นบุคคลที่มีความน่าเช่ือถือในการให้
คาแนะนากับบคุ คลท่วั ไป
5. การให้คาสัญญา ผู้ที่ให้คาม่ันสัญญา ควรเป็นบุคคลที่ใส่ใจให้ความสาคัญและรักษาคาพูด หากผู้
นาเสนอใหค้ าม่ันสญั ญาแล้วไม่ทาตามก็จะทาให้ความน่าเชอ่ื ถอื หมดไป
6. การให้คาคม เป็นการกล่าวถ้อยคาที่เฉียบแหลม คมคาย จนทาให้ผู้ฟังรู้สึกกินใจ เร้าใจ และ
อยากจดจาเพ่ือนาไปประยุกต์ใชเ้ ป็นคติประจาตวั
การนาเสนอทดี่ ี
16
นอกจากการเลือกรปู แบบของการนาเสนอให้ถกู ตอ้ งและเหมาะสมแล้ว การนาเสนอที่มีคุณภาพสงู
สุดแลว้ จะต้องคานึงถงึ ลักษณะของการนาเสนอ ท่ีจะช่วยให้บรรลุผลตามวตั ถุประสงค์ของการนาเสนอดว้ ย
โดยท่ัวไปลกั ษณะของการนาเสนอทีด่ ี ควรมีองค์ประกอบท่ีสาคญั ดงั ต่อไปน้ี
1. มวี ตั ถุประสงคท์ ช่ี ดั เจน ผู้รบั ฟงั รบั ร้ใู นส่ิงท่ีคาดหวงั หรือในสง่ิ ทต่ี ้องการ ดงั น้นั ผนู้ าเสนอ
จะต้องดาเนินการศึกษาวัตถปุ ระสงคใ์ นการนาเสนอ ซึ่งจะช่วยให้ทราบได้ว่า ควรเตรียมเนือ้ หาเรื่องราวไปใน
ทิศทางไหน ด้วยกระบวนการนาเสนอใดจะชว่ ยทาให้การนาเสนอกระชับ ตรงประเดน็ ไม่ทาให้ผรู้ ับฟังรูส้ กึ
เสยี เวลาและราคาญ หรือรูส้ ึกวา่ ผู้นาเสนอพดู ออกนอกประเดน็
2. มีการวางโครงสร้าง (โครงเร่อื ง) เนื้อหาและส่ืออย่างเป็นระบบ ก่อนการดาเนินการ
นาเสนอตอ้ งมีการวางกรอบของเน้ือหาสาระ และกาหนดการใช้สื่อสนับสนุนในการนาเสนอ เพ่ือการสรา้ ง
Story line และสือ่ นาเสนอสาหรับใช้ในการนาเสนอใหน้ า่ สนใจ
3. มรี ปู แบบการนาเสนอเหมาะสม เรื่องราวและส่ือที่ใช้ในการนาเสนอนน้ั จะต้องมคี วาม
กะทัดรัดได้ใจความ เรยี งลาดับไมส่ บั สน ใชภ้ าษาในการนาเสนอที่เขา้ ใจงา่ ย ใช้สื่อหลกั และสื่อสนบั สนนุ อ่ืน ๆ
นามาขยายความตามความจาเป็น และที่สาคัญควรเตรียมเนื้อหาให้เหมาะสมกบั เวลาทไี่ ด้รับ และเผ่ือเวลาไว้ให้
สาหรับการตอบคาถาม
4. มเี นื้อหาสาระดี ข้อมูลเป็นปัจจบุ ัน นา่ เชอ่ื ถือ ถูกต้อง เนอ้ื หามีความสมบูรณ์ ตรงตาม
ความตอ้ งการของผู้รบั ฟงั เป็นเน้อื หาท่ีไม่กลา่ วให้ร้าย หรือเสยี ดสใี คร (แม้จะเป็นเรอื่ งจรงิ )
5. มขี ้อเสนอหรือแนวคิดท่ดี ี ส่วนสุดทา้ ยของกระบวนการนาเสนอ ผนู้ าเสนอควรใหแ้ นวคิด
หรอื ขอ้ เสนอทเี่ ปน็ จริง มแี นวทางปฏบิ ตั ิหรอื ข้อเปรยี บเทยี บทช่ี ัดเจนแกผ่ รู้ ับฟัง
สรุป
หลักการนาเสนอข้อมูลและสร้างสื่อนาเสนอ ส่ือนาเสนอนั้นก็เปรียบเสมือนสะพานเชื่อมเนื้อหาของ
ผบู้ รรยายไปยังผู้ฟังและผู้ชม ดังนั้นส่ือจึงมีบทบาทสาคัญอย่างมาก ส่ือที่ดี จะช่วยให้การถ่ายทอดเนื้อหาสาระ
ทาได้อยา่ งรวดเร็วยิ่งขน้ึ ผู้ฟงั และผูช้ มก็จะสามารถ จดจาเน้ือหาสาระได้นานและเข้าใจในเนื้อหาได้ดีมากยิ่งข้ึน
ความหมายการนาเสนอ การนาเสนอข้อมูล หมายถึง การสื่อสารเพ่ือเสนอข้อมูล ความรู้ ความคิดเห็น หรือ
ความต้องการไปสผู่ ูช้ ม ผ้ฟู งั โดยใชเ้ ทคนคิ หรือวิธกี ารตา่ ง ๆ อนั จะทาให้บรรลุ ผลสาเร็จตามจดุ มุ่งหมายของการ
นาเสนอ
ภาพที่ 2.1 การนาเสนอทด่ี ี
17
ภาพที่ 2.2 หลกั การนาเสนอ
18
อ้างอิง
www.google.com/site/karnasenx/contact-me/ หลกั การนาเสนอและการตอบคาถาม [ระบบออนไลน์]
แหล่งทีม่ า : https://sites.google.com/site/karnasenx/contact-me (18 กนั ยายน 2563)
www.Presentationben.com/ คลังความรูก้ อ่ นการนาเสนอ [ระบบออนไลน์]
แหล่งที่มา : https://presentationben.com/2016/01/19 (18 กันยายน 2563)
www.elements-present.com/ คลังบทความองค์ประกอบในการนาเสนอ [ระบบออนไลน์]
แหลง่ ทม่ี า : http://elements-present.blogspot.com/ (18 กนั ยายน 2563)
www.google.com [ระบบออนไลน์]
แหลง่ ทมี่ า : https://sites.google.com/a/surinpakdee.ac.th/ (18 กนั ยายน 2563)
19
บทท่ี 3
จิตวิทยาในการนาเสนอ
บทนา
การนาเสนอท่จี ะประสพความสาเร็จ ต่อเมื่อผู้รับการนาเสนอเกิดการยอมรับ และพึงพอใจจึงต้องใช้
จิตวทิ ยาอันเป็นวิชาทเี่ ก่ยี วข้องกบั พฤติกรรมหรือการกระทาของมนุษยม์ าช่วยในการส่ือสารเพ่ือทาความเข้าใจ
และปอู งกนั การขดั ขวางลาพังการนาเสนอข้อเท็จจริง ข้อมูล และสารสนเทศต่อผู้รับการนาเสนอยังไม่เพียงพอ
เพราะผู้รับการนาเสนอเป็นมนุษย์ปุถุชนมีความรู้สึกและอารมณ์ จึงต้องนาเสนอให้สนองตอบต่ออารมณ์ ของ
ผรู้ ับการเสนอดว้ ย
เราจาเป็นต้องวิเคราะห์ผู้รับการนาเสนอ เพื่อให้รู้ถึงความคิด ความรู้สึก อารมณ์ ทัศนคติ ค่านิยม
และ รสนิยม ตลอดจนความคาดหวังของผู้รับการนาเสนอ เป็นการทาความรู้จักอันจะช่วยให้สามารถสนอง
ความต้องการ ถ้าหากผู้รับการนาเสนอ เปน็ บคุ คลเดียว หรอื คณะบุคคลกลุ่มเล็ก ๆ ก็สามารถวิเคราะห์ลักษณะ
ของผู้รับการนาเสนอได้สะดวก ถ้าหากผู้รับการนาเสนอจานวนมากเป็นกลุ่มใหญ่นับสิบนับร้อยคนข้ึนไป การ
วเิ คราะหผ์ รู้ ับการนาเสนอย่อมกระทาไดย้ ากขนึ้ ซ่ึงจะตอ้ งวเิ คราะหล์ ักษณะของส่วนใหญโ่ ดยรวม
ในดา้ นจติ วทิ ยา เราต้องศึกษาถึงพฤติกรรมของผู้รับการนาเสนอ และ มีการตระเตรียมการนาเสนอ
การสร้างความน่าเชอื่ ถอื ความนา่ ไว้วางใจ การสร้างความพึงพอใจตอ่ ผู้รบั การนาเสนอ
ลักษณะของการนาเสนอ
การนาเสนอเป็นหนึ่งในทักษะที่ทุก ๆ คนจะต้องฝึกฝนเพ่ือให้เกิดข้ึนแก่ตน เพราะเป็นทางนามาซ่ึง
ความสาเร็จในการนาผลงาน แผนงาน โครงการและความคิดต่าง ๆ เสนอเพ่ือให้มีการรับรอง หรือ การอนุมัติ
นับวา่ เปน็ สงิ สาคัญอยา่ งย่ิงในการทางานและการดาเนินชวี ิต
นอกจากการเลอื กรูปแบบของการนาเสนอ ใหถ้ ูกต้องและเหมาะสมแล้ว จะต้องคานึงถึงลักษณะของ
การนาเสนอ ท่ีจะช่วยใหบ้ รรลุผลตามวัตถุประสงค์ของการนาเสนอด้วย โดยทั่วไปลักษณะของการนาเสนอที่ดี
ควรมดี งั ต่อไปน้ี
1. มีวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน กล่าวคือ มีความต้องการที่แน่ชัดว่า เสนอเพื่ออะไร โดยไม่ต้อง
ใหผ้ ู้รับรบั การนาเสนอตอ้ งถามวา่ ตอ้ งการใหพ้ จิ ารณาอะไร
2. มีรูปแบบการนาเสนอเหมาะสม กล่าวคือ มีความกะทัดรัดได้ใจความ เรียงลาดับโดยไม่
สบั สนใช้ภาษาเขา้ ใจงา่ ย ใช้ตาราง แผนภมู ิ แผนภาพ ชว่ ยใหพ้ จิ ารณาขอ้ มูลไดส้ ะดวก
3. เน้ือหาสาระดี กล่าวคือ มีความน่าเชื่อถือ เที่ยงตรง ถูกต้อง และสมบูรณ์ครบถ้วนตรง
ตามความต้องการ มีขอ้ มูลทเี่ ปน็ ปจั จบุ ันทันสมัย และมเี นือ้ หาเพยี งพอแก่การพิจารณา
4. มีข้อเสนอที่ดี กล่าวคือ มีข้อเสนอท่ีสมเหตูสมผล มีข้อพิจารณาเปรียบเทียบทางเลือกที่
เหน็ ไดช้ ดั เสนอแนะแนวทางปฏบิ ัตทิ ช่ี ดั เจน
20
หลกั การใช้จิตวิทยา
หลักการนาเสนอเพ่ือให้ผู้รับฟังเกิดความสนใจ พึงพอใจอย่างเป็นไปตามความคาดหวังของผู้นาเสนอ
ได้น้ัน จาเป็นต้องนาเอาหลักการทางจิตวิทยามาประยุกต์ใช้ในการสร้างสภาพแวดล้อมให้เหมาะสม และยัง
เอ้อื อานวยตอ่ การนาเสนอ ซึ่งจะทาใหก้ ารนาเสนอในคร้ังนน้ั มปี ระสิทธภิ าพมากยง่ิ ขึน้
1. หลักความแตกต่างระหว่างบุคคล เพราะบุคคลแต่ละคนย่อมมีความแตกต่างกันเนื่อง
ดว้ ยปจั จยั ทางพนั ธุกรรมและส่งิ แวดล้อม ดงั นัน้ ผูน้ าเสนอตอ้ งพิจารณาถงึ กลมุ่ บุคคลท่ีเข้ารับฟังการนาเสนอว่า
เป็นคนระดับใด มีพื้นฐานความรู้ การศึกษา เพศ อายุ ตาแหน่ง หน้าที่การทางานอย่างไร และทุกคนในกลุ่ม
ผู้รับฟังการนาเสนอน้ันมีพ้ืนฐาน ประสบการณ์เหมือน หรือแตกต่างกันอย่างไร เพื่อนาข้อมูลความแตกต่าง
ระหว่างบุคคลมาใช้เป็นประโยชนใ์ นการวางแผนสาหรบั การนาเสนอ
2. หลักการเร้าความสนใจ เปน็ หลกั การสาคัญท่ีจะทาให้ผู้รับฟังการนาเสนอเกิดความสนใจ
และต้ังใจในการรับฟังมากย่ิงข้ึน หลักการทางจิตวิทยาท่ีควรนามาใช้ในการเร้าความสนใจของผู้รับฟังการ
นาเสนอ ไดแ้ ก่ จิตวทิ ยาความสนใจและความตัง้ ใจที่มีต่อการฟงั ปัจจยั แห่งความสนใจ เปน็ ต้น
3. หลักการให้ทกุ คนมีส่วนร่วมในกจิ กรรม การนาเสนอเป็นหลกั การทีป่ ระยกุ ต์จาก
จติ วทิ ยาการเรยี นรูท้ ่ีกล่าววา่ การเรียนรขู้ องบุคคลเกิดจากปจั จยั ดังต่อไปน้ี
3.1 การพบปญั หา และจาเป็นต้องแก้ปญั หานัน้ เพอ่ื ความอยู่รอด
3.2 เมื่อได้ลงมอื ปฏบิ ัติ เพือ่ สร้างทกั ษะการแกป้ ญั หาในอนาคต
3.3 อยู่ในสภาพแวดล้อมท่ีเหมาะสมกับการเรียนรู้ ด้วยการฝึกปฏิบัติควบคู่ไปกับการ
ใช้สอื่ และเครอ่ื งมอื หรอื กิจกรรมการนาเสนอการใหท้ ุกคนมีสว่ นร่วมในกิจกรรม การนาเสนอนั้นมีประโยชน์ คือ
ช่วยใหผ้ รู้ ่วมทากจิ กรรมหรอื ผู้รบั ฟงั การนาเสนอสามารถเรียนร้ลู ะเข้าใจในเนื้อหาสาระ ของการนาเสนอได้จาก
การเรียนรู้จากกจิ กรรม เพราะการนาเสนอในบางเร่ือง การพูด หรือการใช้ส่ือโสตทัศนูปกรณ์ หรือการท่ีนาเอา
กิจกรรมมาชว่ ย เชน่ เกมส์ เปน็ ตน้
3.4 หลักการได้รับผลย้อนกลับทันท่วงที หรือ Feedback เป็นการประยุกต์จาก
ทฤษฎี การรับรู้ของบุคคลมาใช้เพ่ือให้ผู้รับฟังมีการตอบสนองต่อการนาเสนอ โดยทฤษฎีน้ีได้แสดงถึงการ
ตอบสนองต่อสง่ิ เร้าของบุคคลโดยจะมีกระบวนการเป็นสองทาง เช่น มีคาถามมากขึ้น มีข้อสงสัย เพ่ือให้ทราบ
ผลการนาเสนอของผู้นาเสนอวา่ ถูกหรอื ผดิ อยา่ งไร หรอื ไดร้ ับความสนใจมากน้อยแคไ่ หน มอี ะไรบา้ งท่ตี ้องแก้ไข
จติ วทิ ยาเกีย่ วกับความสนใจและความตั้งใจท่ีมีต่อการพดู
ชว่ งความสนใจของมนษุ ย์อยรู่ ะหว่าง 3-24 วินาที และความสนใจดีเย่ียมระหว่างช่วง 5-8 วินาที ถ้า
จดั ขอ้ ความหรอื จังหวะการออกเสียงใหถ้ ูกตอ้ งกับชว่ งความสนใจแล้ว คนฟังจะจับใจความที่พูดหรือเน้ือหาของ
ข้อความนาเสนอได้ดีข้ึน ฉะน้ันการนาเสนอท่ีดีจึงควรใช้ข้อความง่าย ๆ และไม่ยุ่งยากซับซ้อนไม่ว่าจะเป็นการ
พูด หรือการนาเสนอด้วยเอกสารซ่ึงไม่ควรยาวต่อเน่ืองกันมากเกินไป การพูดซ้า ๆ และเน้นจึงควรให้ผลดีกว่า
การพูดเร็ว ๆ หรือรีบ ๆ พูด การใช้ข้อความเน้ือหาในแต่ละหน้าโดยเน้นหัวข้อใหญ่ ๆ จะได้ผลดีกว่าการให้
ขอ้ ความอธิบายยาว ๆ เช่นกัน ขอบเขตความสนใจ การทดลองทางจิตวิทยาพบว่า มนุษย์มีขอบเขตความสนใจ
ดว้ ยหู ประมาณ 5-8 รายการ ด้วยตาประมาณ 4-5 รายการ ฉะนัน้ การแยกหวั ข้อใหญ่ หวั ขอ้ ยอ่ ย ในการพูด
21
และในเอกสารการนาเสนอจึงควรให้อยู่ในขอบเขตความสนใจด้วย คือ ไม่เกิน 8 ข้อ แต่จะให้ได้ผลดียิ่งข้ึนไม่
ควรเกิน 5 ข้อ
จติ วิทยาเกย่ี วกบั ความสนใจและความตงั้ ใจที่มีตอ่ การฟงั
ปัจจัยความสนใจทมี่ ตี อ่ การฟัง เรียงลาดับความสาคญั ดังต่อไปน้ี
1. ภาษาท่ีงา่ ยและชัดเจน
2. หัวขอ้ ใหญ่
3. การจัดระเบียบทดี่ ี
4. อาการทแ่ี สดงในการพดู
5. บุคลกิ ภาพของผ้พู ดู
6. การถกเถียงแสดงเหตผุ ล
7. การใหข้ อ้ มูลความรู้
ปัจจัยแห่งความตั้งใจ คล้ายคลึงกับปัจจัยแห่งความสนใจ ความตั้งใจเม่ือเกิดข้ึนจะทาให้ต้ังใจฟัง
อยา่ งจรงิ จังต่อไปจนจบเช่นเดยี วกบั ความสนใจ ปัจจยั ทส่ี าคัญของความต้ังใจที่จะมีต่อการพูดเพื่อนาเสนอ อาจ
แบง่ พจิ ารณาได้ดงั ต่อไปนี้
1. สว่ นทเ่ี กย่ี วกับเสียงและกิริยาอาการ เสียงที่ชวนให้ตั้งใจฟัง ได้แก่ เสียงท่ีดังพอชัดเจน สูง
ๆ ต่า ๆ ชา้ ๆ เร็ว ๆ สลบั กนั ไป เป็นตน้ กิริยาอาการทีช่ วนให้เกิดความต้ังใจ ได้แก่ การใช้มือไม้ท่าทางสลับกัน
ไปมาไม่จาเจ หรือซ้าซาก ปัจจัยประเภทความแปลกใหม่ ความเปลี่ยนแปลงหรืออ่ืน ๆ อาจทาได้โดยการใช้
กระดาน แผนภูมิ หรือแบบจาลองก็ได้
2. ส่วนท่ีเก่ียวกับเนื้อหาท่ีพูด เนื้อหาหรือถ้อยคาท่ีใช้พูดจะเกิดความต้ังใจฟังได้ถ้ามีลักษณะ
ดงั นี้
2.1 ความเขม้ ข้น คาพดู ที่เป็นภาพพจน์หรอื เคลื่อนไหวไดย้ ่อมชวนให้ตง้ั ใจได้ดีกวา่
2.2 ความแปลกใหม่ ท่ีทาให้รู้สึกต่ืนเต้น จะทาให้สามารถเรียกร้องความตั้งใจได้ เช่น
การนาเสนอด้วยภาพ วดี โี อ แทนการพดู หรือการใช้ตัวอักษรในการนาเสนอเพียงอย่างเดียว
2.3 ความเคลื่อนไหว ความเปลี่ยนแปลง ความต้ังใจสูงขึ้นในการฟังท่ีใช้อุปกรณ์ส่ือ
ต่าง ๆ การพดู อยา่ งมที ักษะและมจี งั หวะเขา้ กบั เน้ือหาทน่ี าเสนอไดด้ ี
ปัจจัยแหง่ ความสนใจ
1. อัตตา อะไรก็ตามท่ีเกี่ยวกับตัวผู้ฟังย่อมเรียกร้องความสนใจได้ดีที่สุด ผู้ฟังแต่ละคนเป็น
เสมือนศูนย์กลางจักรวาลแห่งตนเองที่มีทุกส่ิงทุกอย่างหมุนรอบอยู่ ประการแรกที่ผู้นาเสนอจะต้องขวนขวาย
คอื เชื่อมโยงเรอ่ื งท่ีจะพดู ใหเ้ ก่ยี วกบั ผูฟ้ ังโดยตรง ประการท่ีสอง ผู้นาเสนอจะต้องสร้างความต้องการให้เกิดข้ึน
แลว้ ตอบสอนงความตอ้ งการน้นั
2. ความใกล้ชดิ และความคุ้นเคย คณุ สมบัติในการสรา้ งความสนใจประเภทน้ีต่อเนื่อง มาจาก
ปัจจัยแรก ความใกล้ชิด ประกอบด้วย เวลา สถานท่ี ผลประโยชน์ ความรู้สึก ผู้เสนอต้องพยายามหาทางดึง
เน้อื หาท่จี ะพูดใหใ้ กลก้ ับความปรารถนา ความต้องการ และประสบการณ์ของผนู้ าเสนอให้มากที่สดุ ตอ่ มาเปน็
22
สว่ นของความคนุ้ เคย การเล่าเรอื่ งหรอื พูดเร่อื งทเี่ กยี่ วกับความคนุ้ เคยย่อมทาใหเ้ ห็นภาพพจน์ หรือรสชาติดีกว่า
สง่ิ ทีไ่ ม่มคี วามคุ้นเคย
3. ภาพพจน์ การพูดให้ผู้ฟังเห็นภาพ จะทาให้มีความน่าสนใจเหมือนกับการพาผู้ฟังชม
ภาพยนตร์ เรอื่ งน่าสนุก นา่ สนใจ คาพดู ยอ่ มมภี าพของตวั เอง นกั พูดท่ีพูดนา่ สนใจ คอื ผ้ทู ี่สามารถสร้างมโนภาพ
ใหเ้ ปน็ ภาพในความคดิ ของผูฟ้ งั ได้
4. ความสาคัญและความลึกลับ มนุษย์ทุกคนมีความอยากรู้อยากเห็นอันเป็นคุณสมบัติ
ผลักดันให้ค้นคว้าและประดิษฐ์ต่าง ๆ เป็นทุนธรรมชาติ การพูดท่ีสนองความอยากรู้อยากเห็นของผู้ฟังย่อม
ไดร้ บั ความสนใจมาก ซง่ึ องคป์ ระกอบสาคัญเก่ียวกบั การสรา้ งความสนใจ ความอยากรู้อยากเห็นของมนุษย์จะมี
ลักษณะสาคัญ ดังนี้
4.1 มีความสาคัญและมีลักษณะเด่น ยิ่งมีความสาคัญ ย่ิงมีลักษณะเด่นเท่าไรก็ยิ่งเป็น
ที่สนใจมากขึ้นเท่าน้ัน ฉะน้ันเวลาจะพูดต้องเตรียมพร้อมกับข้อมูลเกี่ยวกับบุคคล เหตุการณ์เฉพาะท่ีสาคัญ
หรือเด่น ๆ เทา่ นั้น
4.2 ส่ิงท่ลี ึกลบั นา่ ต้นื เต้น หรือสงิ่ ทคี่ นเราไมค่ ุ้นเคย ได้แก่ เรือ่ งแปลก ๆ ท่ีคนเรามักจะ
อยากทดลอบหรอื อยากรู้อยากเห็น โดยเฉพาะในส่ิงท่ีตนไม่ได้รู้ไม่ได้เห็นมาก่อน บุคคลหรือเหตุการณ์เรื่องราว
ทไ่ี ด้รู้ได้เห็นหรือร้จู ักดีอย่แู ล้ว จะไมน่ า่ สนใจเหมอื นท่ีร้จู กั ผิวเผนิ
5. ความสนใจจริงจังของผู้พูด การพูดไม่เพียงแต่ประกอบอยู่ด้วยการสรรหาถ้อยคาไพเราะ
เพราะพริ้ง หรือน่าสนใจ แต่จะต้องออกมาจากหัวใจผู้นาเสนอ ท่าทางก็เหมือนกัน ผู้นาเสนอต้องทาท่าทางใน
ลักษณะของผู้ท่ีมีความรู้สึกแรงกล้า และเป็นผู้มีความกระตือรือร้น ใช้ท่าทางเน้นคาพูดให้จริงจัง ไม่ต้องเอาใจ
ใสว่ า่ จะเปน็ ทา่ ทางทส่ี วยงามพอหรอื ไม่ เพียงแตท่ าใหม้ ีความขึงขัง เปน็ ธรรมชาติ
สรปุ
ในสังคมปัจจุบันไม่วา่ เราจะอยูใ่ นสถานะภาพใดหรือประกอบอาชีพใด ต่างต้องมกี ารติดตอ่ สอื่ สาร
พบปะพูดคุย เพื่อแลกเปลี่ยนความคดิ เห็น หรอื เพิ่มความสัมพันธ์กบั ผู้อื่นให้ดยี ิง่ ข้นึ และหัวใจทท่ี าให้เรา
ประสบความสาเร็จท้งั ในหนา้ ท่ีการงาน,ในด้านครอบครัวเพื่ออยู่รว่ มกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข ก็คือ การรูเ้ ท่า
ทนั ความคดิ ของผู้อนื่ การรเู้ ท่าทันผอู้ ื่น เพ่ือเราจะไดป้ รบั พฤติกรรมของเรา ให้เขา้ กับ พ่อ แม่ หรือสมาชกิ ใน
ครอบครัว,เพือ่ นรว่ มงาน หรือหัวหนา้ งานได้อย่างถูกตอ้ งเหมาะสมตามสถานการณ์ต่าง ๆ เพ่ือปูองกนั มิใหเ้ กิด
ความขัดแย้ง
ภาพที่ 3.1 หลกั การใช้จติ วิทยา
23
อา้ งองิ
www.google.com/site/karsenxngan/my-forms/ ลักษณะการนาเสนอทีด่ ี [ระบบออนไลน์]
แหล่งทีม่ า : https://sites.google.com/site/karsenxngan/my-forms (18 กนั ยายน 2563)
24
บทที่ 4
ประเภทของการนาเสนอ
บทนา
การนาเสนอมีอยู่หลายประเภท ซ่ึงสามารถแยกได้เป็น 2 กลุ่ม คือ การนาเสนอที่เกี่ยวกับธุรกิจ และ
การนาเสนอเชิงวิชาการเกี่ยวกับการศึกษา ดังนั้น ในชีวิตของแต่ละคนจึงจาเป็นต้องมีความเก่ียวข้องกับการ
นาเสนอ ไม่ว่าจะในทางธุรกิจหรือการเรียน การศึกษา ซ่ึงในบทนี้จะเป็นเรื่องของประเภทของการนาเสนอ ซึ่ง
ประกอบด้วย
1. การฝกึ อบรม
2. การประชุม
3. สัมมนา
4. การเสนอโครงการ
การฝกึ อบรม
การฝกึ อบรมเปน็ กลยทุ ธท์ ส่ี าคัญในการพัฒนาคณุ ภาพองคก์ ารโดยเน้นการพัฒนาทรัพยากรบุคคลให้
เกิดความรู้และประสบการณ์ เพื่อให้เกิดความรู้และอยู่ร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังน้ันกิจกรรมในการ
ฝึกอบรมจึงเป็นหน้าท่ีสาคัญท่ีทุกคน ทุกฝุายต้องเรียนรู้และมีส่วนร่วม อีกท้ังเห็นความสาคัญ ซ่ึงผลท่ีเกิดแก่
องคก์ าร คือ บคุ ลากรและองค์การมคี ณุ ภาพ
ความหมายของการฝกึ อบรม
การฝกึ อบรม หมายถงึ “กระบวนการต่าง ๆ ที่ใช้เพื่อช่วยให้ข้าราชการมีความรู้ ทักษะ และทัศนคติ
ที่จาเปน็ ในการปฏบิ ัตงิ าน ในหน้าท่ี และเพอ่ื ให้เกิดความรว่ มมอื กันระหว่างข้าราชการในการปฏิบัติงานร่วมกัน
ในองค์การ” เมื่อมองการฝึกอบรมในฐานะที่เป็นแนวทางในการพัฒนาข้าราชการตามนโยบายของรัฐหากเป็น
การเพม่ิ ขีดความสามารถในการปฏิบตั ิงานหรือเพิ่มขดี ความสามารถในการจัดรปู ขององคก์ าร
การฝึกอบรม หมายถึง “การถ่ายทอดความรู้เพ่ือเพิ่มพูนทักษะ ความชานาญ ความสามารถ และ
ทศั นคติในทางทถ่ี ูกทคี่ วร เพอื่ ช่วยใหก้ ารปฏบิ ตั งิ านและภาระหนา้ ท่ตี ่าง ๆ ในปัจจุบนั และอนาคตเป็นไปอย่างมี
ประสทิ ธิภาพมากขนึ้ ”
การฝึกอบรม หมายถึง “กระบวนการเปล่ียนแปลงพฤติกรรมอย่างมีระบบ เพ่ือให้บุคคลมีความรู้
ความเข้าใจ มีความสามารถที่จาเป็น และมีทัศนคติที่ดีสาหรับการปฏิบัติงานอย่างใดอย่างหน่ึงของหน่วยงาน
หรอื องค์การนนั้ ”
การฝึกอบรม หมายถึง “กระบวนการในอันที่จะทาให้ผู้เข้ารับการฝึกอบรมเกิดความรู้ ความเข้าใจ
ทัศนคติ และความชานาญ ในเร่ืองหนึ่งเร่ืองใด และเปลี่ยนพฤติกรรมไปตามวัตถุประสงค์ที่กาหนดไว้จะเห็นได้
ว่าความหมายของการฝึกอบรมมีมากมาย ข้ึนอยู่กับว่าจะพิจารณาจากแนวคิด (Approach) ใดท่ีเกี่ยวกับการ
ฝกึ อบรม
25
สรุป การฝึกอบรม คือ กระบวนการท่ีทาให้ผู้เข้ารับการอบรมเกิดการเรียนรู้ในรูปแบบหน่ึง เพ่ือ
เพิ่มพูน หรือพัฒนาสมรรถภาพในด้านต่าง ๆ ตลอดจนการปรับปรุงพฤติกรรม อันนามาซ่ึงการแสดงออกที่
สอดคล้องกบั วัตถุประสงค์ทีต่ ั้งไว้
วตั ถุประสงคข์ องการฝกึ อบรม
1. เพื่อแก้ไขปญั หาทเี่ กย่ี วข้องกับบุคลากรซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการจัดให้มีการฝึกอบรม โดยท่ัว ๆ
ไป
2. เพอ่ื เตรียมรับการเปลี่ยนแปลงในอนาคต เช่น การเปลี่ยนแปลงวิธีปฏิบัติงานหรือกรรมวิธีในการ
ผลิตต่าง ๆ หรอื การฝกึ อบรมเพือ่ ใหเ้ รยี นรเู้ กีย่ วกบั เครื่องจักร เคร่อื งมอื หรอื เทคโนโลยีใหม่ ๆ ขององคก์ าร
3. ต้องการเพิ่มขีดความสามารถของบุคลากรที่มีอยู่ให้เข้าสู่ระดับมาตรฐานหรือระดับท่ีพึงประสงค์
เพอ่ื ใหม้ คี วามร้ทู ันกับเทคโนโลยตี ่าง ๆ ทกี่ ้าวหนา้ อย่างรวดเรว็
4. เตรยี มการรบั มือกับการแข่งขันท่ีทวีความรุนแรงขึ้น เพ่ือนาความรู้ต่าง ๆ มาเตรียมพร้อมพัฒนา
ตนเอง พฒั นาองค์การ หรืออาจจะสรปุ วตั ถุประสงคใ์ นด้านตา่ ง ๆ ดงั นี้
(1) การเพิ่มปริมาณผลผลิต
(2) การพัฒนาคณุ ภาพของผลผลิต
(3) การลดตน้ ทนุ ของงาน
(4) ลดอตั ราการเกดิ อบุ ัติเหตุอนั จะสง่ ผลต่อการลดตน้ ทนุ ทเ่ี กยี่ วขอ้ ง
(5) การลดอตั ราการหมุนเวียนและการขาดงานของบคุ ลากร
ประโยชนข์ องการฝึกอบรม
1. บุคลากรหรือกลุ่มบุคลากรสามารถพัฒนาขีดความสามารถของตนเองที่ได้รับประสบการณ์การ
เรยี นรู้ สามารถนาความรไู้ ปใชใ้ นการทางานใหป้ ระสบผลสาเรจ็ หรอื ช่วยเพิม่ ประสิทธิภาพในการทางาน
2.การได้ปรึกษาหารือกันในส่วนของผู้เกี่ยวข้องในองค์การ เช่น ผู้เข้ารับการฝึกอบรม หัวหน้างาน
ผู้บังคับบัญชา ผู้บริหารระดับสูงขององค์การ หรือผู้ที่เก่ียวข้องทุกระดับ ร่วมกันหาแนวทางในการแก้ปัญหา
และการปรบั ปรุงการทางาน
3. ผู้เขา้ ร่วมการฝึกอบรมได้ยกระดบั ความรูแ้ ละทักษะให้เกิดการปรับทัศนคติ
4. ช่วยลดระยะเวลาในการเรียนรู้งาน
5. ช่วยลดภาระหนา้ ทข่ี องหัวหน้างาน
6. ชว่ ยกระตุ้นบคุ ลากรใหป้ ฏิบตั ิงานเพ่อื ความกา้ วหน้าของตน
บทบาทท่ีสาคญั ของผรู้ ับผดิ ชอบจดั การฝึกอบรม ขอ้ ปฏิบัติของผรู้ บั ผดิ ชอบจัดการฝกึ อบรม
1. ต้องยอมรับความมีคุณค่าของผู้เข้าอบรมในแต่ละคน และจะต้องเคารพในความรู้สึกนึกคิดและ
ความเหน็ ตลอดจนประสบการณข์ องผเู้ ขา้ ร่วมดว้ ย
2. พยายามทาให้ผู้เข้ารับการอบรมตระหนักด้วยตนเองว่ามีความจาเป็นที่จะต้องปรับพฤติกรรม
(ทัง้ ด้านความรู้ ความเข้าใจ ความสามารถ และทัศนคต)ิ โดยเฉพาะอยา่ งย่ิงด้วยการเรยี นรูห้ รือการแกป้ ญั หา
26
3. ควรจัดสง่ิ แวดล้อมทางกายภาพให้สะดวกสบาย (เชน่ ท่นี ั่ง อุณหภูมิ แสงสว่าง การถ่ายเทอากาศ
ฯลฯ) ให้เอือ้ ต่อการปฏสิ มั พนั ธใ์ นกลมุ่ ผเู้ ข้ารว่ มอบรม
4. สร้างความสัมพันธ์อันดี ให้เกิดความรู้สึกไว้เน้ือเช่ือใจ และความช่วยเหลือเก้ือกูลซ่ึงกันและกัน
สนับสนนุ ให้มีกิจกรรมที่ตอ้ งมีการให้ความร่วมมือร่วมใจกันและกัน ในขณะเดียวกันควรพยายามหลีกเล่ียงการ
แขง่ ขนั
5. ควรเปดิ โอกาสให้ผู้รว่ มอบรมมสี ว่ นร่วมในเรอื่ ง ดังต่อไปน้ี
(1) การกาหนดวัตถุประสงค์ในการเรียนรู้ตามความต้องการของผู้ร่วมอบรมโดยให้สอดคล้อง
กบั ความตอ้ งการขององค์การ ของผู้ดาเนนิ การอบรม และของเนอ้ื หาวิชาด้วย
(2) การกาหนดกจิ กรรม รวมท้งั การเลือกวัสดุอปุ กรณ์ และวธิ ีการอบรม
(3) การกาหนดมาตรการ เกณฑ์การอบรมซ่ึงเป็นท่ียอมรับร่วมกัน รวมทั้งร่วมกันกาหนด
เครอื่ งมือและวิธกี ารวัดผลความกา้ วหน้าเพ่อื ใหบ้ รรลวุ ตั ถุประสงค์
6. ช่วยผู้ร่วมอบรมให้รู้จักพัฒนาขั้นตอนและวิธีการในการประเมินตนเอง วิเคราะห์และประเมินผล
โครงการฝึกอบรมตามเกณฑ์ท่ไี ด้กาหนดไว้แลว้
คณุ สมบัตขิ องผู้รับผดิ ชอบจัดการฝึกอบรม
1. มีความรู้
2. รจู้ ักปรับตวั ให้เหมาะสม
3. มีความจริงใจ
4. มอี ารมณข์ ัน
5. มคี วามสนใจ
6. การสอนท่ีมคี วามชัดเจน
7. การใหค้ วามช่วยเหลอื ผู้เขา้ อบรมแต่ละคน
8. มคี วามกระตอื รอื รน้
คณุ สมบตั ขิ องผรู้ ับผิดชอบจดั การฝึกอบรม
1. การหาความจาเป็นในการฝกึ อบรม
การหาความจาเป็นในการฝกึ อบรม หมายถงึ การค้นหาปญั หาที่เกิดข้ึนในองคก์ าร โดย
วิเคราะห์กลุ่มเปูาหมาย จานวน และพฤติกรรมที่เกิดข้ึน โดยวิธีการสารวจ การสังเกต การทดสอบ หรืออ่ืน ๆ
เพื่อพิจารณาใหถ้ อ่ งแท้วา่ ปญั หาท่ีเกดิ ขึ้นเพราะอะไร จาเป็นทจ่ี ะต้องใหเ้ ทคนคิ การฝกึ อบรมหรือไม่
2. การกาหนดวตั ถปุ ระสงค์ในการฝกึ อบรม
การกาหนดวัตถปุ ระสงค์ของการฝึกอบรมน้ัน สามารถบอกผ้จู ัดโครงการฝึกอบรมใหร้ ถู้ ึง
จุดหมายปลายทางของการฝึกอบรมน้ัน ๆ ว่าต้องการบรรลุวัตถุประสงค์ด้านในใดบ้าง เช่น ด้านการเพ่ิมพูน
ความรู้ ดา้ นทกั ษะการทางาน หรอื ดา้ นทัศนคติ
27
3. การสร้างหลกั สูตรฝึกอบรม
การสรา้ งหลกั สตู รฝกึ อบรมเป็นการนาปัญหาทคี่ ้นพบมากาหนดเปน็ หลักสตู รเพ่ือทาการ
ฝึกอบรม ซึง่ หลกั สูตรประกอบด้วย
1) วัตถปุ ระสงค์ของหลกั สตู ร
2) หมวดวิชา หวั ข้อวชิ า
3) วัตถปุ ระสงค์ของแตล่ ะหัวข้อวชิ า
4) เนือ้ หา เทคนคิ /วิธกี าร ระยะเวลา การเรียงลาดบั หวั ขอ้ วิชา
4. การกาหนดโครงการฝึกอบรม
การกาหนดโครงการฝึกอบรมเพ่ือให้ทราบกรอบการปฏิบัติงาน จากนั้นเสนอโครงการเพ่ือขอ
อนุมตั จิ ากผูบ้ ริหาร เพ่อื
1) ให้ผู้บรหิ ารพจิ ารณาตรวจรา่ งโครงการกอ่ นที่จะนาไปฝึกอบรม
2) ให้ผูบ้ รหิ ารอนมุ ตั ิงบประมาณสาหรบั ใชใ้ นการดาเนนิ งาน
5. การบริหารโครงการฝกึ อบรม
1) ความสาคญั ของการบริหารโครงการอยูท่ ผี่ ู้รบั ผดิ ชอบโครงการฝึกอบรม
2) การบริหารโครงการมี 3 ระยะ คือ
2.1 กอ่ นการดาเนินโครงการ
2.2 ระหว่างดาเนนิ โครงการ
2.3 หลงั การดาเนินโครงการ
6. การประเมิน/ติดตามผลการฝกึ อบรม
การประเมิน/ติดตามผลการฝึกอบรม มีประเดน็ ในการประเมนิ คอื
1) ทศั นคติทว่ั ไปของผู้เขา้ รบั การฝกึ อบรม
2) ความคดิ เห็นเกี่ยวกบั สถานที่ ระยะเวลา และสงิ่ ทอ่ี านวยความสะดวกต่าง ๆ
3) คณุ สมบัตแิ ละวธิ กี ารท่วี ทิ ยากรแต่ละคนใช้ในการฝกึ อบรม
4) ข้อดีและข้อเดน่ หรือขอ้ บกพรอ่ งตา่ ง ๆ พรอ้ มข้อเสนอแนะ
กระบวนการฝกึ อบรม
1. แบ่งโดยยึดช่วงเวลาในการทางาน มี 2 ประเภท คอื
1) ฝึกอบรมกอ่ นทางาน
2) ฝกึ อบรมระหว่างทางาน
2. แบง่ โดยยดึ ลักษณะวธิ กี ารฝึกอบรม มี 3 ประเภท คือ
1) ฝึกปฏิบตั ิงานปกตใิ นที่ทางาน
2) ฝกึ อบรมนอกสถานทที่ างาน (ฝึกอบรมแบบหอ้ งเรียน)
3) ฝกึ อบรมแบบผสม
28
3. แบ่งตามจานวนผเู้ ขา้ รบั การฝกึ อบรม มี 2 ประเภท คือ
1) ฝึกอบรมเป็นรายบคุ คล
2) ฝึกอบรมเป็นคณะ
4. แบง่ ตามลักษณะของกลุ่มเปูาหมาย มี 2 ประเภท คอื
1) ระดับแนวนอน ความรู้ทัว่ ๆ ไปในแผนกเดียวกัน
2) ระดับแนวต้งั ความรู้เฉพาะงาน
5. แบง่ ตามวตั ถปุ ระสงคก์ ารฝึกอบรม มี 3 ประเภท คอื
1) เพ่ือแกไ้ ขปัญหาที่เกิดขึ้น (ขดั ขอ้ ง)
2) เพอ่ื ปอู งกนั ปัญหาทีจ่ ะเกดิ ข้ึนในอนาคต (ปูองกัน)
3) เพื่อพัฒนาบุคลากรให้มศี ักยภาพสูงข้นึ (พัฒนา)
การพัฒนาบุคลากรด้วยการจัดโครงการฝึกอบรมนั้นจะส่งผล และยังเอ้ืออานวย
ประโยชน์ให้กับองค์การ หรือหน่วยงานได้เพียงใดย่อมข้ึนอยู่กับความรู้ความสามารถ และทัศนคติท่ีมีต่องาน
ของบุคลากรผู้รับผิดชอบจัดการฝึกอบรมเป็นสาคัญ ถ้าหากจะให้สามารถปฏิบัติงานในด้านการบริหารงาน
ฝกึ อบรมได้อยา่ งมปี ระสทิ ธิภาพ นอกเหนือไปจากทจ่ี ะต้องมคี วามรู้ ความเข้าใจ เกี่ยวกับกระบวนการฝึกอบรม
และหลักการบริหารงานฝึกอบรมแต่ละขั้นตอนแล้ว ผู้รับผิดชอบงานฝึกอบรมควรจะต้องมีความรู้พ้ืนฐานทาง
สังคมศาสตร์ และพฤติกรรมศาสตร์แขนงต่าง ๆ อย่างกว้างขวาง เช่น สังคมวิทยา จิตวิทยา และศาสตร์การ
จัดการ ซึ่งจะช่วยเอ้ืออานวยให้สามารถกาหนดหลักสูตร และโครงการในการฝึกอบรมได้ง่ายขึ้น มีความรู้
เกี่ยวกับหลักการของบริหารบุคคล และการพัฒนาบุคคลด้วยวิธีการอื่น ๆ นอกเหนือไปจากการฝึกอบรม
มีความเข้าใจถึงหลักการเรียนรู้ของผู้ใหญ่ เพ่ือให้สามารถปฏิบัติต่อผู้เข้าอบรมได้อย่างเหมาะสม ตลอดจน
เขา้ ใจถึงหลักการวิจัยทางสังคมศาสตร์อยู่บ้างพอท่ีจะทาการสารวจ เพื่อรวบรวม และวิเคราะห์ข้อมูลท่ีจาเป็น
ในการบริหารงานฝึกอบรมได้ นอกจากนั้นแล้ว ผู้ดาเนินการฝึกอบรมยังจาเป็นที่จะต้องมีความสามารถในการ
ส่อื สาร ท้ังดา้ นการเขียนและการพูดในท่ีชมุ นุมชน ตลอดจนมีมนุษย์สัมพันธ์ท่ีดีเพ่ือให้สามารถติดต่อส่ือสารกับ
กลมุ่ ผเู้ ข้าอบรมและประสานงานกับผ้ทู ี่เกี่ยวขอ้ งอ่ืน ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วย
ประเภทการฝึกอบรม
การฝึกอบรมเป็นกิจกรรมท่ีองค์การมอบหมายให้หน่วยงานหรือกลุ่มบุคลากรรับผิดชอบดาเนินการ
อาทิ เช่น
1. การจัดฝกึ อบรมเองภายในองคก์ าร (In House Training)
การจัดฝึกอบรมภายในองค์การเป็นการจัดฝึกอบรมให้บุคลากรภายในองค์การได้เข้า
อบรมพร้อม ๆ กัน ครั้งละจานวนมาก (Class Room Training) โดยการดาเนินการตามขั้นตอนในการจัด
โครงการฝกึ อบรมเพ่ือพัฒนาบคุ ลากร
2. การสง่ บุคลากรไปอบรมภายนอกองค์การ
3. การจัดประชุมเชงิ ปฏิบัติการ (Workshop)
29
การจัดประชุมเชิงปฏิบัติการมักเป็นการยกปัญหาที่มีอยู่มาให้ศึกษาหรือทดลองปฏิบัติ
และอาจใชเ้ ปน็ แนวปฏบิ ตั หิ ลังการประชมุ ฯ
4. การดูงาน
ดูงาน เป็นการไปขอฟังคาบรรยายสรุปถึงลักษณะการจัดระบบงาน และวิธีการ
ปฏิบัติงานจริงของหนว่ ยงานอื่น ๆ ทีส่ นใจศึกษา ณ ท่ตี งั้ ของหน่วยงานน้นั
5. การฝึกอบรมในขณะปฏบิ ตั งิ านจริง
การฝึกอบรมในขณะปฏิบัติงานจริงหรือที่เรียกว่า การฝึกอบรมในท่ีทาการปกติ (On
the Job Training) ไดแ้ ก่
1. การเสนอแนะหรือการให้คาปรึกษา (Coaching/Counseling) หมายถึง
การท่ีผู้บังคับบัญชาควบคุมดูแลให้บุคลากรลงมือปฏิบัติงานจริง โดยให้คาปรึกษาแนะนาอย่างใกล้ชิด การ
เสนอแนะน้ีอาจหมายความรวมถึงการเป็นพ่ีเล้ียง ซ่ึงไม่จาเป็นจะสอนเฉพาะเรื่องงานเท่าน้ัน อาจรวมท้ังเร่ือง
เก่ียวกบั บคุ คล หรือการวางตัวในองค์การดว้ ยกไ็ ด้
2. การสอนงานหรือนิเทศงาน (Job Instruction/Job Supervision)
หมายถึง การท่ีผู้บังคับบัญชาสอนงานให้แก่ผู้ปฏิบัติงานในสังกัด โดยเน้นถึงการแบ่งงานออกเป็นข้ันตอนที่
ผ้บู ังคับบญั ชาจะตอ้ งสาธติ หรอื แสดงวธิ ีการปฏิบัติงานให้เข้าใจกอ่ น แลว้ จงึ ควบคุมดูแลให้ปฏิบัติงานตามอย่าง
ถูกต้อง
สาเหตุที่ทาใหก้ ารฝกึ อบรมไมป่ ระสบความสาเรจ็
1. ผู้บริหารระดับสูงหรือผู้ที่มีอานาจในการตัดสินใจไม่เห็นคุณค่าของการฝึกอบรมหรือมีความสนใจ
ในลักษณะไฟไหม้ฟาง ขาดความต่อเนื่องและขาดการสนับสนุนอย่างแท้จริง เป็นลักษณะของการจัดให้เสร็จๆ
ไป
2. ผบู้ รหิ ารไมส่ นบั สนุนให้มกี ารนาความรู้ ทกั ษะ และการจดั การทไี่ ด้รับจากการฝึกอบรมไปใช้ในการ
ทางานทาให้เกดิ ความสญู เสียในการลงทุนค่าใช้จ่าย
3. การกาหนดเนื้อหาในหลักสูตรหรือระยะเวลายงั ไมเ่ หมาะสม ไม่ชัดเจน ไม่ครอบคลุมเน้ือหาจะต้อง
มกี ารวางแผนหรอื กาหนดเปาู หมายท่ีชดั เจน
สาเหตทุ ที่ าให้การฝกึ อบรมประสบความสาเร็จ
1. การกาหนดเปูาหมายที่ชดั เจน
2. จะตอ้ งทาให้ผู้เขา้ ร่วมการฝกึ อบรมมีบรรยากาศของการฝึกอบรมท่ีไมเ่ ครียด สนุกสนาน
เพลิดเพลินกับกิจกรรมท่ีวิทยากรถ่ายทอดและกระตุ้นให้อยากรู้ สร้างการเรียนรู้ให้เกิดข้ึนในห้องเรียนใน
บรรยากาศของความเป็นกันเอง
3. วิทยากรจะตอ้ งเป็นผมู้ คี วามรูแ้ ละประสบการณ์ในการทางาน มคี วามสามารถในการถา่ ยทอด
4. มีการประเมินความรู้ความสามารถในการถ่ายทอดความรู้ความสามารถทั้งของวิทยากรและ
ผลสัมฤทธใ์ิ นการเรียนรูข้ องผเู้ ขา้ รับการฝกึ อบรมและการบรรลเุ ปูาหมายของโครงการฝึกอบรมนั้นดว้ ย
30
การประชมุ
ความหมายของการประชมุ
การประชมุ คือ กจิ กรรมของบคุ คลกลมุ่ หนงึ่ ซ่ึงได้มาพบปะกนั ตามกาหนดนัดหมาย โดยมีวัตถุประสงค์
ต่าง ๆ กัน เชน่ เพอื่ แลกเปลย่ี นความรู้ ความคิด เพอ่ื แก้ปญั หา เปน็ ตน้ ผเู้ ข้าประชมุ แตล่ ะคนเป็นได้ทั้งผู้รับสาร
และผู้ส่งสาร ส่วนความรู้ ข้อมูล ข้อเท็จจริง ข้อคิดเห็น อารมณ์ ความรู้สึกที่แสดงออกมาในท่ีประชุม คือ
“สาร” นั่นเอง
การประชุม หมายถึง การที่บุคคลตั้งแต่ 2 คนข้ึนไป มาร่วมปรึกษาหารือเพื่อร่วมกันคิดอย่างมี
วตั ถปุ ระสงค์มีระเบยี บวธิ ีและเวลาทก่ี าหนดให้
องค์ประกอบท่ีสาคัญต่อการจดั ห้องประชมุ ประกอบดว้ ย
1. ประเภทของการประชมุ และกิจกรรม
2. จานวนผู้เขา้ รว่ มประชมุ
3. ลกั ษณะของหอ้ งประชุม
4. ความต้องการของผดู้ าเนนิ การประชมุ
รูปแบบการจัดหอ้ งประชมุ
1. แบบหอ้ งเรยี น
2. แบบโรงภาพยนตรห์ รอื แบบโรงละคร
3. แบบรูปตัวยู
4. แบบเกา้ อี้
5. แบบกลุ่มอภิปราย
5.1. แบบรูปสีเ่ หลี่ยมผนื ผ้า
5.2. แบบตัวที
5.3. แบบวงกลม
5.4. แบบรปู ไข
ประเภทของการประชมุ
1) การประชมุ เพือ่ แจง้ ใหท้ ราบ
2) การประชุมเพื่อขอความคดิ เห็น
3) การประชมุ เพอ่ื หาข้อตกลงรว่ มกัน
4) การประชุมเพ่อื หาขอ้ ยตุ ิหรอื เพื่อแกป้ ญั หา
1. การประชุมเพ่อื แจ้งใหท้ ราบ
วตั ถปุ ระสงค์
- เพ่อื แจง้ คาสง่ั
- เพอ่ื ชี้แจงนโยบาย วัตถปุ ระสงค์วธิ ปี ฏบิ ตั ิ
31
- เพอื่ แถลงผลงาน หรอื ความกา้ วหน้าของงาน เช่นการปฐมนเิ ทศ
- ไมม่ ีหน้าทแี่ สดงความคดิ เห็น
- ถ้าเขา้ ใจแลว้ ถือวา่ ยุติ
ลักษณะสาคัญ
- ไมม่ กี ารลงคะแนนเสียง
2. การประชุมเพื่อขอความคิดเห็น
วตั ถุประสงค์
- เพือ่ ฟงั ความคดิ เห็นจากผเู้ ขา้ ร่วมประชุม
- เพอื่ ประธาน หรอื ผู้เก่ยี วขอ้ งจะนาไปประกอบการตดั สินใจ
เช่นการสมั มนา
ลกั ษณะเฉพาะ
- ความเห็นของผูเ้ ขา้ รว่ มประชุมไมม่ ีผลผูกพนั ต่อการตดั สนิ ใจของประธาน
- ผู้เข้าร่วมประชุมมีหน้าที่ให้ความคิดเห็น ความสามารถที่จาเป็น คือการพูด
การฟงั และการใหเ้ หตผุ ล
จุดออ่ น
- ผ้เู ข้าร่วมประชุมบางคนไม่ยอมพดู ในทปี่ ระชมุ แต่กลับไปพดู นอกห้อง ประชมุ
3. การประชุมเพ่อื หาข้อตกลงรว่ มกนั
วัตถปุ ระสงค์
- เพื่อหาข้อตกลงร่วมกนั ซ่ึงผูกพันการกระทาของผเู้ ข้ารว่ มประชุม
ลกั ษณะเฉพาะ
- ผูเ้ ขา้ ร่วมประชุมมสี ว่ นได้ส่วนเสยี
- บรรยากาศมกั เครง่ เครียด ต้องสร้างบรรยากาศเอง
- ความร่วมมือการสอ่ื สารทม่ี ีประสทิ ธภิ าพ
- เม่ือมีการโต้แย้งจนเหลือคู่แข่ง 2-3 คน แล้วอาจมีผู้ขอให้ประธานเป็นผู้
ตดั สินใจประธาน
- อาจกาหนดเกณฑก์ ารตดั สนิ ใจดว้ ยว่าควรจะทาอย่างไร
ผ้เู ข้ารว่ มประชมุ
- ถ้าคนมีส่วนได้ส่วนเสียต้องเตรียมเหตุผล ที่จะสนับสนุนส่งที่ตนเองต้องการ
และขณะเดียวกันต้องใจกว้างท่จี ะรับฟังความคดิ เหน็ ของผู้อนื่ ดว้ ย
4. การประชมุ เพื่อหาข้อยุตหิ รือเพือ่ แก้ปญั หา
ลกั ษณะสาคัญ
- ผู้เข้าร่วมประชุมมีความทัดเทียมกันในการแสดงข้อคิดเห็น เพ่ือหาข้อยุติหรือ
หาทางแก้ไขปญั หา
ประธาน
32
- ในการประชุมเพ่ือหาข้อยุติร่วม ประธานต้องชี้ประเด็นหลักให้ที่ประชุมหาข้อ
ยุติโดยนาเสนอข้อมูลพ้ืนฐานรวมทั้งประเด็นกฎหมายเพ่ือประกอบการพิจารณา และสรุปข้อยุติร่วมจากที่
ประชุม
- ในการประชุมเพ่ือแก้ปัญหา ประธานต้องชี้ให้ท่ีประชุมเห็นว่าปัญหาคืออะไร
ทตี่ อ้ งใหเ้ กดิ ขนึ้ คอื อะไร ขณะนีเ้ บี่ยงเบนอย่างไร ก่อให้เกิดความเสยี หายอย่างไร ขอใหท้ ี่ประชุมพิจารณาสาเหตุ
ของปัญหาต่อไป ขอให้ที่ประชุมพิจารณาหนทางแก้ปัญหา ซ่ึงมักมีหลาย ๆ ทาง ที่ประชุมควรเลือกแก้ปัญหา
ทางใด
การประชมุ ทมี่ ปี ระสทิ ธิผล
1. บรรลุวัตถุประสงคข์ องการประชุม
2. มตขิ องท่ปี ระชุมต้องสามารถนาไปปฏบิ ัตใิ หเ้ กิดผล
3. ผูเ้ ข้ารว่ มประชุมส่วนใหญ่พงึ พอใจในการประชมุ นนั้
4. ใชเ้ วลาและงบประมาณอยา่ งประหยัดและเหมาะสมกบั การประชมุ นั้น
ขั้นตอนการประชุม
1. เตรยี มการ
- รายงานการประชุม (ครง้ั กอ่ น)
- วาระการประชุม (สมยั ปัจจบุ นั )
- กาหนดวัน-เวลา
- เตรียมสถานท/่ี อปุ กรณ์
2. นดั ผูเ้ ข้าร่วมประชุม
3. ดาเนินการประชมุ
4. ผลการประชมุ
5. นาผลการประชุมไปปฏบิ ตั ิ
ข้ันตอนเตรยี มการประชมุ
1. จดั ทาปฏิทนิ การประชมุ
2. จัดทาหนังสือเชญิ ประชุม
3. จดั วาระการจดั เตรยี ม เอกสารประกอบการประชมุ
4. จดั เตรยี มห้องประชมุ พร้อมโสตทัศนปู กรณ์
5. ประชมุ และบนั ทึก รายงานการประชมุ
6. จัดทารายงานการประชมุ และสรุปมติของคณะกรรมการฯ
7. จดั ส่งรายงานการประชมุ
การเตรยี มการของผนู้ าเสนอ
33
ผู้ท่ีมีหน้าท่ีในการนาเสนอ ควรทาหน้าที่ในการเตรียมการเพ่ือการนาเสนอของตนเอง
และเพื่อใหก้ ลุ่มผูเ้ ข้าร่วมประชุมไดม้ สี ว่ นรว่ ม ดังตอ่ ไปน้ี
1. การเลอื กหัวขอ้ เรอื่ งหรอื ปญั หา หลกั เกณฑ์ในการเลอื กหวั ขอ้ มดี ังน้ี
1.1 หัวข้อเรื่องต้องเหมาะสาหรับการอภิปราย คือ เป็นเร่ืองท่ีมี
ประโยชน์ ไม่เกยี่ วขอ้ งกับใครเป็นการสว่ นตวั และเหมาะสมกับกาลเวลา
1.2 หัวข้อเรื่องต้องเหมาะสมกับกลุ่มท่ีจะร่วมประชุมอภิปราย คือ
เหมาะสมกบั ระดับภูมิปญั ญา การศกึ ษาและประสบการณ์ผูเ้ ขา้ ร่วมประชมุ
1.3 หัวข้อเร่ือง ควรมีลักษณะเป็นปัญหาที่ต้องพิจารณาและถกเถียงกัน
เพอื่ พจิ ารณาทางเลือกหรอื หาข้อสรุปหลาย ๆ ทาง
1.4 เป็นเร่ืองท่ีหาทางแก้ไขได้ ควรหลีกเลี่ยงเก่ียวกับความรู้สึก เพราะ
พิสูจน์ขอ้ เทจ็ จรงิ ได้ยากมีแต่ถกเถียงกนั เท่านัน้ จะหาข้อยตุ ไิ ม่ได้
1.5 หัวข้อเรื่องต้องเป็นปัญหาข้อเท็จจริง และเป็นที่น่าสนใจท่ีจะนามา
อภิปรายกันได้
2. การผกู หัวข้อเรอ่ื ง มีหลักเกณฑ์ประกอบการพิจารณา ดังตอ่ ไปนี้
2.1 ควรผกู หัวขอ้ เร่ืองไปในรปู ทเี่ ปน็ คาถามอย่างเป็นกลาง ไม่ลาเอียงไป
ทางใดทางหน่ึง
2.2 ไม่ควรผูกหัวข้อเรื่องท่ีมีลักษณะ หรือความหมายกว้างขวางเกินไป
จนไมส่ ามารถอภิ ปรายกันไดภ้ ายในเวลาอันส้ัน
3. การรวบรวมเนื้อหา การประชุมหรือการอภิปรายท่ีดี และประสบ
ความสาเร็จจริง ๆ ผู้เข้าร่วมประชุมทุกคนจะต้องเตรียมเนื้อหาและความคิดเห็นไว้ให้พร้อม ปกติการประชุม
หรอื การอภปิ รายมักจะจัดขึน้ อยา่ งเปน็ กันเองมากกวา่ การพดู ต่อชุมนมุ ชน แตก่ ต็ อ้ มเี นอ้ื หาสาระครบถว้ นดว้ ย
4. การจัดลาดับวาระของเรื่องท่ีจะประชุม ในการประชุมทั่วไปมักมีการเตรียม
วาระการประชุม แจกให้ผู้เข้าร่วมประชุมอภิปรายได้ทราบล่วงหน้า เพื่อจะได้เตรียมตัวและพูดคุยในการ
ประชมุ ตามวาระและเวลาทีก่ าหนดไว้
การจัดลาดับวาระการประชุมก่อนหลัง หมายถึง การจัดลาดับว่าเรื่องใด
จะเกิดข้ึนก่อนหรือสาคัญกว่าควรนามาพูดก่อน และเชื่อมโยงให้สอดคล้องกันตามลาดับแห่งกาลเวลา
กระบวนการ หลังจากน้ันกาหนดความสาคัญให้ชัดเจน โดยใช้หลักการในการจัดลาดับความสาคัญของแต่ละ
เร่อื ง ดังนี้
1. เรื่องสาคัญมากมีผลกระทบต่อธุรกิจสูงในเชิงการแข่งขันไปสู่
ความสาเรจ็
2. เร่ืองสาคัญมีผลกระทบคอ่ นข้างมาก
3. เรอ่ื งสาคัญพอใจ
5. กาหนดเวลาการประชุม ในการประชุมแต่ละคร้ังจะต้องกาหนดวันท่ี เวลา
เริ่มต้น และเวลาสิ้นสดุ ไวอ้ ยา่ งชัดเจน แตก่ อ่ นหนา้ ทีจ่ ะตัดสินใจวา่ มีการประชุมนั้น จะต้องพจิ ารณาวา่ เมื่อไร
34
ควรจะมีการประชุมและควรใช้เวลามากน้อยเพียงใด มีนักจิตวิทยาซึ่งได้เคยทาการวิจัยทดสอบประสิทธิภาพ
ของผเู้ ขา้ รว่ มประชมุ ไดก้ าหนดเวลาตา่ ง ๆ ไว้ ดังนี้
- ผลิตภาพ (Productivity) ของกลุ่ม จะเริ่มลดลงหลังจาก 1 ช่ัวโมงครึ่ง
ผา่ นไปแล้ว
- ผลิตภาพ (Productivity) ของกลุ่ม จะเริ่มลดลงอย่างฉับพลันหลังจาก
2 ชว่ั โมงผ่านไปแลว้
- แตล่ ะตอน (Session) ไม่ควรเกิน 1 ชวั่ โมงครึ่ง
- การประชุมที่ยาวนานควรแบ่งเป็น 2 ช่วง และมีการหยุดพักระหว่าง
กลาง 10-15 นาที
การสัมมนา (Seminar)
ความหมายของการสัมมนา
การสัมมนาอาจ หมายถึงการชุมนุมของผู้คน เพ่ือการอภิปรายหัวข้อท่ีจะบรรยาย การชุมนุม
ดังกล่าวมักจะเป็นช่วงการโต้ตอบท่ีผู้เข้าอบรมมีส่วนร่วมในการอภิปรายเก่ียวกับหัวข้อท่ีถูกบรรยาย ซึ่งมักจะ
ผบู้ รรยายหรือนาโดยหน่ึงและสองพิธีกรท่ีให้การบรรยาย เพื่อนาทางการสนทนาหรือการบรรยายตามเส้นทาง
ที่ต้องการ
สมคิด แก้วสนธิ และสุนันท์ ปัทมาคม. (2545 หน้า 45) กล่าวว่า การสัมมนาเป็นการจัดใน
ลักษณะอภิปรายและแลกเปล่ียนความคิดเห็นประสบการณ์ หรือ เป็นการระดมความคิดเร่ืองใดเร่ืองหน่ึง ให้
เหมาะสาหรับกรณีท่ีผู้เข้าร่วมสัมมนามีประสบการณ์ ผู้เข้าร่วมประชุมทุกคนมีความเท่าเทียมกันในการแสดง
ความคิดเห็น ไม่มีวิทยากร มีแต่ผู้ประสานงาน หรือผู้จัดดาเนินการคอยอานวยความสะดวก และให้ผู้เข้าร่วม
สัมมนาจะเลือกผู้นากลุ่มการสัมมนาจากผู้เข้าร่วมสัมมนาด้วยกัน เพื่อเป็นตัวแทนในการรายงานการอภิปราย
และดาเนินการสัมมนาไปตามตาราง ที่กาหนดไว้
สรุปได้ว่า การสัมมนา หมายถึง การประชุมเพื่อ แสวงหาความรู้แลกเปลี่ยนเรียนรู้และความ
คดิ เห็น โดยมีวตั ถปุ ระสงคห์ รอื การศึกษาในเร่ืองเดียวกัน รวมท้ังร่วมวิเคราะห์ปัญหา หาแนวทางแก้ไข และหา
ข้อสรุปร่วมกัน เพ่ือให้เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมร่วมกันดังนั้น การสอนวิชาสัมมนา เป็นกระบวนการหนึ่งของ
กิจกรรมการเรียนรู้ ศึกษา ค้นคว้า โดยวิธีการต่าง ๆ เป็นการฝึกทักษะการคิดอย่างเป็นระบบ การวิเคราะห์
ปัญหา และการเสนอแนวทางแก้ไขการแสดงออกโดยการพูด การสนทนา การอภิปรายท่ีเกี่ยวกับเน้ือหาของ
เร่ืองนั้น ๆ เพอ่ื ใหไ้ ดข้ อ้ สรปุ ของแนวทางทมี่ ีความเป็นไปได้ โดยวธิ ีการปรึกษาหารอื ร่วมกัน
ความสาคัญของการสมั มนา
กระบวนการดาเนินงานที่ดี ควรจะมีการวางแผนก่อนการปฏิบัติงาน และการตัดสินใจท่ี
เหมาะสม โดยการคิดรว่ มกันเพื่อหาข้อสรุปท่ีดีที่สุด แต่ละเร่ืองอาจใช้วิธีการประชุม การสนับสนุนจากผู้มีส่วน
ได้สว่ นเสยี และผทู้ ่เี กี่ยวข้อง จึงถือวา่ การประชุมมีความสาคัญ มีผูใ้ หค้ วามหมายไว้หลายทัศนะ ดังนี้
เกษกานดา สุภาพจน์ (2549 :1) กล่าวว่า การประชุมสมั มนาเปน็ เทคนคิ ของการให้ ไดม้ า
35
ซง่ึ แนวคดิ และประสบการณเ์ พ่ือเป็นแนวทางของการหาข้อสรุปและนาไปใช้แก้ไขหรือพัฒนาให้มีประสิทธิภาพ
ยิง่ ขึน้
ความสาคัญของการประชมุ สัมมนามีดงั นี้
1. เป็นการติดต่อสื่อสารท่ีรวดเร็ว เม่ือบุคลากรได้มาพบปะพูดคุยแบบเผชิญหน้า ประชุม
โตต้ อบกนั ในทนั ทีทนั ใด ทาความเขา้ ใจกันไดใ้ นเวลาอันสั้น ไม่ต้องเสียเวลาในการสอ่ื สารมาก
2. เป็นการระดมความคิดเห็นแลกเปลี่ยนประสบการณ์ หาข้อสรุป หรือแนวทางท่ีใช้ในการ
ตดั สนิ ใจให้บรรลตุ ามวัตถุประสงค์ท่ตี ัง้ ไว้เปน็ อยา่ งดี
3. เป็นสอื่ กลางในการพบปะแลกเปล่ียนขา่ วสาร ความรู้ ฯลฯ ซ่ึงผู้เก่ียวข้องจะมีโอกาสชี้แจง
และซกั ถามข้อสงสัยได้ ก่อให้เกิดความรู้สึกร่วมแรงร่วมใจ มีความรู้สึกเป็นส่วนหน่ึงของหน่วยงานน้ัน ๆ ทาให้
เกิดการเรียนรู้ถึงวิธีการปรับตนเองให้เข้ากับผู้อื่นและทราบข่าวสารเรื่องราวความเคลื่อนไหวในกิจการต่าง ๆ
ในสังคมทีเ่ กีย่ วข้อง
4. เป็นเทคนคิ ของการให้ได้มาซึง่ ความรู้ แนวคิดและประสบการณ์ เพ่ือเป็นแนวทางของการ
หาข้อสรปุ และนาไปใช้แก้ไขหรอื พัฒนาให้มปี ระสทิ ธิภาพยงิ่ ขึน้
5. เป็นเคร่ืองมือสาคัญในการปฏิบัติหน้าที่ เอ้ืออานวยในการปฏิบัติงานและการถ่ายทอด
ความรู้หรือข่าวสารต่าง ๆ เช่น การประชุมช้ีแจงเกี่ยวกับนโยบายต่าง ๆ ของหน่วยงาน หรือการประชุมทาง
วิชาการ
จุดประสงคข์ องการสัมมนา
การสมั มนาบางทีอาจมีจุดประสงค์หลายประการ หรือเพียงแค่จุดประสงค์เดียวก็ได้ ตัวอย่าง
การสัมมนาเพื่อการศึกษา เช่น การบรรยาย ซ่ึงผู้เข้าสัมมนามีส่วนร่วมในการอภิปรายเกี่ยวกับหัวข้อทาง
วิชาการ เพื่อจุดประสงค์ในการทาความเข้าใจเรื่องน้ีมากขึ้น แน่นอนว่าการสัมมนาสามารถสร้างแรงบันดาลใจ
ไดซ้ งึ่ ในกรณนี ้จี ุดประสงค์คอื การสร้างแรงบนั ดาลใจให้ผู้เข้าร่วมประชุมกลายเป็นคนดีขึ้นหรือเพ่ือพัฒนาทักษะ
ที่พวกเขาอาจได้เรยี นรูจ้ ากการสัมมนา
บางครั้งการสัมมนาเป็นเพียงวิธีการสาหรับนักธุรกิจหรือบุคคลท่ีมีใจเดียวกัน เพื่อสร้าง
เครอื ข่ายและพบผ้เู ข้าร่วมประชุมคนอื่น ๆ ท่ีมีความสนใจคล้ายกัน นอกจากนี้ การสัมมนาทางการค้านาเสนอ
ส่วนต่าง ๆ ของชุมชนด้วยกันเช่นเจ้าหน้าท่ีของรัฐ นักธุรกิจและประชาชนทั่วไป การจัดสัมมนาดังกล่าวมัก
ประกอบด้วยการ workshop และการนาเสนอเอกสาร พวกเขามักจะถูกจัดขึ้นเพ่ือจุดประสงค์ในการสร้าง
เครือขา่ ยกบั ผ้ขู ายรายตา่ ง ๆ และทาการเชอื่ มตอ่ ใหม่ ๆ การจัดสัมมนา มีหลายจุดประสงค์แตกต่างกันไปตาม
หวั ขอ้ ของการสมั มนา เพอื่ บรรยายใหผ้ ทู้ ่เี ข้ารว่ มได้รบั ความรู้ ไม่ว่าจะเสยี คา่ ใช้จ่ายหรือไมก่ ็ตาม
วตั ถุประสงคข์ องการจัดสมั มนา
1. เพอื่ เพ่มิ พนู ความรู้ ความสามารถ และประสบการณแ์ กผ่ เู้ ข้ารว่ มสมั มนา
2. เพือ่ แลกเปลยี่ นความคิดเห็นซึ่งกันและกัน ระหว่างผู้เข้าสัมมนาด้วยกัน และผู้เข้าสัมมนา
กับวิทยากร
3. เพอื่ ค้นหาวธิ กี ารแกป้ ญั หาหรอื แนวทางปฏบิ ัติร่วมกัน
4. เพ่ือให้ได้แนวทางประกอบการตดั สนิ ใจหรอื กาหนดนโยบายบางประการ
36
5. เพื่อกระตุน้ ใหผ้ ูร้ ่วมเขา้ สมั มนานาหลักวธิ ีการทีไ่ ด้เรียนรไู้ ปใช้ใหเ้ ปน็ ประโยชน์
การสัมมนาแต่ละครั้ง จะบรรลุวัตถุประสงค์มากน้อยเพียงใดนอกเหนือจาก
กระบวนการจัดสัมมนาและวิทยาการแล้วสมาชิกผู้เข้าร่วมสัมมนา มีความสาคัญมากเช่นเดียวกัน เพราะ
เปูาหมายท่ีเด่นชัดของการสัมมนาก็คือผู้เข้าร่วมสัมมนาทุกคนต้องทาหน้าท่ีเป็นท้ังผู้ให้และผู้รับ คือเป็นผู้ฟัง
ความคิดเห็นจากผู้เข้าร่วมสัมมนาด้วยกัน และในขณะเดียวกันก็เป็นผู้เสนอความคิดเห็นให้แก่กลุ่มด้วย ดังน้ัน
หัวใจของการสัมมนาจึงอยู่ท่ีว่าสมาชิกทุกคนได้มีส่วนร่วม ได้แสดงความคิดเห็น และได้เสนอแนวคิดให้แก่
กล่มุ เปน็ ประการสาคญั
ประโยชน์ท่ไี ดร้ บั จากการสัมมนา
1. เป็นการร่วมกันแกป้ ัญหาจากคนหลายคนท่ีมารว่ มกันผนึกความคิดแลกเปลี่ยนความรู้และ
ประสบการณ์ย่อมได้ผลดีกว่าการคิดคนเดียว หรือแก้ปัญหาคนเดียว และยังเป็นการกระตุ้นให้คนส่วนใหญ่
เขา้ มามสี ่วนร่วมรับผิดชอบด้วย
2. กอ่ ใหเ้ กดิ ความรู้สึกรว่ มแรงร่วมใจ มคี วามร้สู ึกเหมอื นกจิ การนั้น ๆ เพราะได้มีส่วนเป็นผู้
กาหนดและรบั รู้เรือ่ งราวเกีย่ วกบั ความเคล่ือนไหวในเร่ืองนน้ั ๆ ดว้ ย
3. เปน็ การชว่ ยใหผ้ สู้ มั มนาไดม้ ีโอกาสรับฟังความคิดเห็นของผู้อ่ืน อันจะทาให้เกิดทัศนะคติ
กว้างขวางขึ้น และในบางกรณีอาจใช้การสัมมนาเป็นเคร่ืองมือหล่อหลอมความรู้สึกนึกคิดของกลุ่มคนให้เป็น
อนั หนึ่งอนั เดยี วกันได้
4. ก่อใหเ้ กดิ ผลดีต่อการประสานงานระหว่างบคุ คลและหน่วยงาน เพราะผู้เข้าสัมมนามักจะ
มาจากหลายสถานที่ หลายหน่วยงาน ในระหว่างการสัมมนาจะชว่ ยให้เกดิ ความสัมพันธ์อันดตี ่อกัน เกิดความ
เขใจและเห็นอกเหน็ ใจซง่ึ กนั และกัน ดว้ ยเหตุนี้ผู้เข้าสัมมนามีโอกาสได้เปล่ียนความคิดเห็นในเร่ืองส่วนตัวและ
การทางาน ทาให้มีความรู้จกั สนิทสนมคุ้นเคยกันในเวลาเดียวกัน
ลักษณะของการสมั มนาท่ีดี
สมพร ปนั ตระสตู ร (2525:3) ได้กลา่ วถงึ ลกั ษณะของการสัมมานาทดี่ ไี ว้ดงั น้ี
1. กาหนดจุดมุ่งหมายในการสัมมนาให้แน่ชัดว่าต้องการจะได้ผลอย่างไรในการ
สัมมนาคร้งั นี้
2. จัดการสัมมนาเพ่อื เสรมิ ความรู้และประสบการณใ์ หมแ่ ก่สมั มนาสมาชกิ
3. จัดให้มีโอกาสสัมมนาสมาชิกได้แลกเปล่ียนความรู้ความคิดเห็นและแลกเปล่ียน
ประสบการณก์ ันอย่างกวา้ งขวา้ ง
4. ให้สมาชิกได้มีโอกาสร่วมกันแก้ปัญหาที่มีมาก่อนการสัมมนา หรือปัญหาที่
เกิดข้นึ ระหว่างการสมั มนาใหม้ ากท่สี ดุ
5. มีอุปกรณ์ในก่ีสัมมาเพียบพร้อม เช่น หนังสือ เอกสาร สถานท่ี วิทยาการ
เครือ่ งมือโสตทัศนปู กรณ์ เครื่องเขยี นและอน่ื ๆ ทีจ่ าเป็น
6. กาหนดช่วงเวลาในการสัมมนาให้เหมาะสมกบั หัวขอ้ ปญั หาทีจ่ ดั สมั มนา
7. สัมมนาสมาชิกมีบุคลิกภาพทางประชาธิปไตยสูง กล่าวคือสมาชิกต้องใจกว้างที่
จะรับฟังเหตแุ ละผลของผูเ้ ข้าร่วมสมั มนาอื่นอยา่ งกว้างขวาง แม้ไม่ตรงกับความคิดเห็นของตน
37
8. ผู้ดาเนินการจัดการสัมมนามีคุณภาพ มีความเป็นผู้นา และสันทัดจัดเจน
ในการจดั การสัมมนา
9. ผลที่ได้รับจากกาจัดการสัมมนาสามารถนาไปเป็นแนวทางทาประโยชน์ได้อย่าง
แทจ้ รงิ อยา่ งน้อยกต็ อ้ งสมารถคลคี่ ลายปัญหาที่นาเข้าสูก่ ารสัมมนาได้
10. มีการเผยแพรผ่ ลลการสัมมนาส่สู าธารณชนตามควรแกก่ รณี
นิรันดร์ จุลทรัพย์ (2524 : 280 – 281) กล่าวว่าการสัมมนาท่ีดีควรมี
ลักษณะดงั น้ีคือ
1. มจี ุดมุง่ หมายในการจัดสัมมนาอย่างชัดเจน และสมาชิกทุกคนทั้ง
คณะกรรมการจดั สัมมนา ผูเ้ ขา้ สัมมนา ตลอดจนวิทยาการ ควรจะไดร้ บั ทราบจดุ มุง่ หมายน้ดี ว้ ย
2. มกี าจัดทช่ี ว่ ยเสริมความรใู้ ห้แกผ่ ้เู ขา้ ร่วมสัมมนาอย่างแท้จริง
3. มีการเปิดโอกาสให้ผู้เข้าสัมมนาได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นและ
ความรู้ซง่ึ กันและกัน
4. มีการเปิดโอกาสให้ผู้เข้าสัมมนาได้ร่วมกันแก้ปัญหาท่ีมีการ
สอดคล้องกับจุดมุ่งหมายที่กาหนดให้
5. ผู้เข้าสัมมนามีความศรัทธาในวิธีการแห่งปัญญาเป็นเคร่ืองมือใน
การตัดสนิ ปญั หาตา่ ง ๆ (Intellectual Method)
6. ผู้เข้าสัมมนามีวิญญาณแห่งความเป็นประชาธิปไตย กล่าวคือ
เคารพและยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อ่ืน มีมารยาทในการพูดและการฟัง ปฏิบัติตามกติกาของการสัมมนา
เปน็ ต้น
7. ผู้เข้าสัมมนาทุกคนมีความกระตือรือร้นท่ีจะทางานร่วมกัน
เพือ่ ใหบ้ รรลุตามจุดมงุ่ หมายท่ีวางไว้
8. มีผนู้ าท่ดี ที ง่ั ในการเตรยี มการและการดาเนินการสมั มนา
9. มีการจัดการที่ดี คือ จัดผู้บรรยายหรือผู้อภิปรายท่ีน่าสนใจ
ดาเนินรายการต่าง ๆ เป็นไปตามกาหนดการอย่างต่อเนื่อง ไม่ติดขัด สับสน ผู้เข้าสัมมนาได้รับการต้อนรับ
อย่างอบอุ่น ตลอดจนได้รับการประชาสัมพันธ์ชี้แจงรายละเอียด กระบวนการต่าง ๆ ตลอดการสัมมนาอย่าง
ชัดเจน
10. มีอุปกรณ์สาคัญสาหรับใช้ประกอบสัมมนา และอานวยความ
สะดวกต่อการสัมมนาอย่างครบถ้วน เช่น หนังสือหรือเอกสารต่าง ๆ อุปกรณ์การเขียน เคร่ืองมืออุปกรณ์
โสตทศั นูปกรณ์ สถานทห่ี ้องประชมุ ใหญ่ ห้องประชมกลมุ่ ย่อย หอ้ งรับประทานอาหาร เปน็ ตน้
11. ผลทไี่ ด้จาการสัมมนา สามารถนาไปใช้ประโยชน์ได้อย่างแท้จริง
ท้งั แกต่ ัวสมาชิกเองและแกห่ นว่ ยงานหรอื สถาบนั ทเ่ี ก่ียวข้อง
องคป์ ระกอบของการสมั มนา
นิรันดร์ จุลทรัพย์ (2547:271 - 280) ได้กล่าวไว้ว่าการจัดสัมมนาแต่ละครั้งประกอบด้วย
องค์ประกอบท่สี าคัญ 4 ประการดงั นี้
38
1. องค์ประกอบดา้ นเนอื้ หา ไดแ้ ก่
1) หวั ข้อหรือเรือ่ งทจี่ ัดสมั มนา
2) จดุ มงุ่ หมายสาคญั ของการสมั มนา
3) หวั ขอ้ ใหค้ วามรูท้ ่ีสมั พนั ธ์กับเรื่องที่จัดสัมมนาโดยวิธีการบรรยายหรอื อภิปราย
4) กาหนดการสัมมนา
5) ผลท่ีไดจ้ ากการสัมมนา
2. องค์ประกอบดา้ นบุคลากร คือผู้ทีเ่ ก่ียวข้องกับการสมั มนา ซ่งึ ประกอบดว้ ย
1) ผู้จัดการสัมมนา ได้แก่ บุคคลหรือคณะกรรมการ ซ่ึงมีหน้าท่ีจัดสัมมนาให้บรรลุ
ตามจดุ มุ่งหมายทก่ี าหนดไว้ คณะกรรมการจดั สมั มนาอาจแบง่ ออกเป็นฝุาย ๆ แต่ละฝาุ ยมหี นา้ ทีด่ งั น้ี
1.1 คณะกรรมการอานวยการประกอบด้วยผู้บริหารในหน่วยงานเป็นผู้ทาหน้าที่
อานวยการจดั การสมั มนาใหแ้ ก่คณะกรรมการฝุายตา่ ง ๆ ดังน้ี
- กาหนดนโยบายจดั สมั มนา
- ตรวจสอบดแู ลการดาเนินงานให้เป็นไปตามนโยบายและแกป้ ัญหา
- ให้คาปรกึ ษาแก่คณะกรรมการดาเนินการฝุายต่าง ๆ
1.2 คณะกรรมการดาเนินการจัดสัมมนา เป็นคณะกรรมการทาหน้าที่ปฏิบัติการ
จดั สมั มนาใหเ้ ป็นไปตามนโยบายซึง่ ประกอบด้วยคณะกรรมการฝุายต่าง ๆ ดังนี้
1.3 ประธานและรองประธานจัดสัมมนา เป็นผู้ทาหน้าที่ดาเนินการจัดสัมมนา
ร่วมกับคณะกรรมการฝาุ ยตา่ ง ๆ ดังน้ี
- วางแผนและดาเนินการจดั ทาโครงการสัมมนา
- จัดหาคณะกรรมการและแบง่ คณะกรรมการเปน็ ฝาุ ยต่าง ๆ
- ประสานงานกับคณะกรรมการฝุายต่าง ๆ ตลอดจนการจัดประชุม
คณะกรรมการฝุายตา่ ง ๆ
- ตดั สนิ ใจและแก้ปัญหาการดาเนนิ การให้แกค่ ณะกรรมการฝาุ ยต่าง ๆ
1.3.1 รองประธานมีหน้าที่ช่วยเหลือตามท่ีได้รับมอบหมาย หรือ
ปฏบิ ตั หิ น้าที่แทนประธานในกรณที ีป่ ระธานไม่สามารถปฏบิ ัติหน้าที่ได้หรอื ลาออก
1.3.2 คณะกรรมการฝุายเลขานุการ ประกอบด้วยประธานกรรมการ
รองประธานกรรมการ กรรมการ กรรมการและเลขานกุ าร มีหนา้ ท่ีดังน้ี
- ดาเนนิ งานด้านธรุ การทัว่ ไป
- เตรยี มวาระการประชุมร่วมกับประธานในการจัดสัมมนาออก
หนังสือเชิญประชุมกรรมการฝุายต่าง ๆ ในนามประธานจัดสัมมนาและบันทึกการประชุมพร้อมท้ังอานวย
ความสะดวกใหแ้ ก่ผ้เู ขา้ ประชุม
- บันทึกการบันยายอภิปรายและรายงานผลการประชุมกลุ่ม
ย่อยต่อทป่ี ระชมุ ใหญ่ ในขณะสมั มนาและส่งมอบใหแ้ กฝ่ าุ ยเอกสารเพือ่ จดั พมิ พแ์ ละเผยแพร่ต่อไป
- อานวยความสะดวกต่าง ๆ ตลอดโครงการสมั มนา
39
- ติดต่อประสานงานกับคณะกรรมการฝุายต่าง ๆ ตามท่ี
ประธานจดั สัมมนามอบหมาย
- จัดทาหนังสือเชิญวิทยากร หนังสือตอบขอบคุณและหนังสือ
เชิญแขกผมู้ เี กียรติเขา้ ร่วมในพิธเี ปดิ และปดิ การสัมมนา
- จัดทาหนังสือกล่าวรายงานของประธานจัดสัมมนาต่อ
ประธานในพิธีเปิดและปิดการสัมมนาและหนังสอื คากล่าวเปดิ และคากล่าวปิดของประธานในพิธี
1.3.3 คณะกรรมการฝุายทะเบียน ประกอบด้วย ประธานกรรมการ
รองประธานกรรมการ กรรมการและเลขานุการ มหี น้าทด่ี ังนี้
- รวบรวมรายชอื่ และจานวนสมาชกิ ท่จี ะเข้าร่วมสัมมนา
- เตรียมการลงทะเบียน จัดทารายช่ือและปูายช่ือสมาชิกท่ีจะ
เขา้ สัมมนา
- รบั ลงทะเบยี น
- สารวจจานวนของสมาชิกที่ลงทะเบียนจริง และแจกเอกสาร
สมั มนาโดยประธานงานกับฝุายเอกสารฝาุ ยเลขานุการ
- แบ่งกลุ่มยอ่ ยผู้เขา้ สมั มนาในการประชุมกลุ่มยอ่ ย
1.3.4 คณะกรรมการฝาุ ยเอกสาร ประกอบดว้ ยประธานกรรมการ รอง
ประธานกรรมการ กรรมการ กรรมการและเลขานุการมีหน้าที่ดงั น้ี
- จัดเตรียมเอกสาร และจดั ทาแฟูมการสมั มนา
- ร่วมกับฝุายทะเบียน แจกเอกสารและแฟูมแก่ผู้เข้าสัมมนา
และแขกผมู้ ีเกียรติ
- ประสานงานกับฝายเลขานุการ และฝุายทะเบียนเกี่ยวกับ
เอกสารการสมั มนาทจี่ ะต้องนามาจดั พิมพ์
- จดั พมิ พเ์ อกสารสรปุ ผลการสัมมนา และเผยแพร่
1.3.5 คณะกรรมการฝุายเหรัญญิก ประกอบด้วยประธานกรรมการ
รองประธานกรรมการ กรรมการ กรรมการเลขานกุ าร มหี น้าท่ีดังน้ี
- เตรียมเร่ืองเกย่ี วกับงบประมาณและใบสาคญั ทางการเงิน
- จัดเตรียมของที่ระลึกสาหรับวิทยากรและผู้มีอุปการระคุณ
หรือเงินคา่ ตอบแทนสาหรบั วิทยากร
- ยืมเงินทดรองจา่ ยสมั มนาจากหน่วยงานเจ้าของโครงการ
- จดั ทาบัญชีเบกิ จ่ายเงนิ และวัสดุ ตลอดการสมั มนา
- ติดต่อและประสานงานกับคณะกรรมการฝุายต่าง ๆ ในเร่ือง
การเงินและวัสดุ
- ให้คาปรึกษาในเรอ่ื งการเงินและวสั ดุแก่คณะกรรมการฝาุ ย
ตา่ ง ๆ
40
- รับเงินค่าลงทะเบียนจากผู้เข้าสัมมนา และเก็บรักษาเงินด้วย
ความรอบคอบ
- จัดทารายงานสรุปผลการใช้จ่ายเงิน เสนอต่อประธาน และท่ี
ประชมุ ตลอดจนการจัดเกบ็ หลกั ฐานต่าง ๆ เกยี่ วกบั การเงิน
1.3.6 คณะกรรมการฝุายพิธีการ ประกอบด้วยประธานกรรมการ รอง
ประธานกรรมการ กรรมการ กรรมการเลขานุการ มีหนา้ ทีด่ งั น้ี
- ประสานงานกับฝุายสถานที่ จัดโต๊ะหมู่บูชาและเคร่ืองพิธีต่าง
ๆ ในวันเปดิ และปดิ การสมั มนา
- จัดเตรียมบุคคลจัดส่งเทียนชนวนให้ประธานในพิธีเปิด และ
เชิญพานแฟูมกล่าวรายงานของประธานจัดสัมมนา และประธานในพิธีเปิดและปิดสัมมนา และเชิญพานของท่ี
ระลกึ ในพธิ มี อบของทีร่ ะลกึ แก่วทิ ยากร และผู้มอี ปุ การคณุ
- ทาหนา้ ที่เป็นพธิ กี ร เพื่อเปน็ สื่อกลางสาหรับทุกฝุายตลอดการ
สมั มนา
- ตดิ ตอ่ ขอประวัติละผลงานจากวทิ ยากร
- กากบั รายการใหเ้ ปน็ ไปตามกาหนดการสัมมนา
1.3.7 คณะกรรมการฝุายสถานที่ และวัสดุอุปกรณ์ประกอบด้วย
ประธานกรรมการ รองประธานกรรมการ กรรมการ กรรมการและเลขานุการ มีหน้าทด่ี ังน้ี
- เตรียมสถานที่ และวัสดุอปุ กรณใ์ นการสัมมนา
- ประสานกับฝุายท่ีเก่ียวข้องในการจัดสถานที่รับลงทะเบียน
ห้องประชุมใหญ่ ห้องประชุมกลุ่มย่อย โต๊ะหมู่บูชา โต๊ะหรือแท่นบรรยาย (podium) สาหรับประธานในพิธี
ประธานกล่าวรายงานและวิทยากร การจัดชมุ รบั แขก การจัดสถานทรี่ ับประทานอาหาร
- ควบคมุ ด้านแสงเสยี ง การบนั ทึกเสียง บันทึกภาพ
- จัดสถานท่ีพัก และอานวยความสะดวกต่าง ๆ แก่ผู้เข้า
สัมมนา
1.3.8 คณะกรรมการฝุายอาหารและเคร่ืองด่ืม ประกอบด้วยประธาน
กรรมการ รองประธานกรรมการ กรรมการ กรรมการและเลขานกุ าร มหี น้าท่ดี ังนี้
- ประสานงานกับฝาุ ยเลขานุการ และฝุายทะเบียน เรือ่ งจาวนผู้
เขา้ สมั มนา วิทยากรและแขกผมู้ เี กยี รติ
- ประสานงานกับฝุายสถานที่ เรื่องสถานท่ีสาหรับบริการ
อาหารและเครือ่ งด่ืม
- เตรยี มรายการในเรอ่ื งอาหารและเครอ่ื งดืม่
- จัดบริการอาหารและเคร่ืองด่ืม ให้แก่วิทยากร แขกผู้มีเกียรติ
และผู้เข้าสัมมนา ตลอดการสัมมนา
41
1.3.9 คณะกรรมการฝุายประชาสัมพันธ์ ประกอบด้วย ประธาน
กรรมการ รองประธานกรรมการ กรรมการ กรรมการและเลขานุการ มหี น้าท่ดี งั นี้
- ประชาสัมพันธ์การสัมมนา โดยผ่านทางส่ือสารมวลชน
โปสเตอร์ แผน่ ผ้าโฆษณา หรอื สง่ เอกสารถงึ ผู้สนใจโดยตรง
- ประสานงานกับคณะกรรมการฝุายต่าง ๆ เพื่อนาข้อมูลมา
ประชาสมั พันธ์
- ประชาสัมพันธ์เรื่องท่ีน่าสนใจ ให้ผู้เข้าสัมมนาทราบในช่วง
ระหว่างการสมั มนา
- จดั กิจกรรมสันทนาการหรอื สังสรรค์ในระหว่างการสมั มนา
1.3.10 คณะกรรมการฝุายปฏิคม ประกอบด้วยประธานกรรมการ
รองประธานกรรมการ กรรมการและเลขานุการ มีหน้าทีด่ ังน้ี
- ต้อนรับประธานในพิธี แขกผู้มีเกียรติ วิทยากร และผู้เข้า
สมั มนา
- อานวยความสะดวกให้แก่ประธานในพิธี แขกผู้มีเกียรติ
วทิ ยากรและผู้เขา้ สัมมนา
- ประสานงานกับคณะกรรมการฝุายเลขานุการ ฝุายทะเบียน
ฝุายสถานท่ี ฝุายยานพาหนะ ฝาุ ยอาหารและเครือ่ งดื่ม
1.3.11 คณะกรรมการฝุายยานพาหนะ ประกอบด้วย ประธาน
กรรมการ รองประธานกรรมการ กรรมการ กรรมการและเลขานุการ มีหน้าท่ดี งั น้ี
- จัดยานพาหนะและพนักงานขับรถยนต์ เพ่ือให้บริการแก่ฝุาย
ตา่ ง ๆ ต้ังแตร่ ะยะเตรยี มงานจนเสร็จสิน้ การสมั มนา
- จัดให้มีรถสารองไว้เป็นประจาในภาวะฉุกเฉินตลอดการ
สมั มนา
1.3.12 คณะกรรมการฝุายพยาบาล ประกอบด้วย ประธานกรรมการ
รองประธานกรรมการ กรรมการ กรรมการและเลขานกุ าร มีหน้าทดี่ ังนี้
- เตรยี มวัสดุอปุ กรณ์การปฐมพยาบาลและยาไว้บริการแก่ผู้เข้า
สมั มนา และผ้จู ัดการสมั มนาตลอดการจดั สัมมนา
- ประสานงานกับฝุายยานพาหนะ และฝุายอื่น ๆ
1.3.13 คณะกรรมการฝุายประเมินผล ประกอบด้วย ประธาน
กรรมการ รองประธานกรรมการ กรรมการ กรรมการและเลขานุการ มหี น้าที่ดังนี้
- ออกแบบประเมนิ ผล
- ดาเนินการรวบรวมขอ้ มลู
- นาข้อมูลมาวเิ คราะห์
42
- สรุปและรายงานผล ต่อคณะกรรมการดาเนินการและ
คณะกรรมการอานวยการสัมมนา
จานวนคณะกรรมการดาเนินการจัดสัมมนาแต่ละฝุายจะมีมากน้อยเพียงใดน้ันให้พิจารณาตามความ
เหมาะสมของงาน และกาลังบุคลากรซึ่งคณะกรรมการบางคนอาจทาหน้าที่หลายฝุายก็ย่อมเป็นไปได้ ซ่ึงการ
แต่งต้ังให้บุคลากรให้ปฏิบัติหน้าที่ในคณะกรรมการทั้งหมดจะต้องลงนามคาสั่งแต่งตั้งโดยผู้บริหารสูงสุดของ
หน่วยงานน้นั ๆ
2.2 วิทยากร ได้แก่ บุคคลผู้ที่มาให้ความรู้และประสบการณ์แก่ผู้เข้าสัมมนา
โดยทว่ั ไปวิทยากรจะเป็นผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความรู้ ความเช่ียวชาญในเร่ืองที่เก่ียวข้องกับการสัมมนา และเป็นผู้ที่
มีทักษะทางการพูดหรือการบรรยาย ตลอดจนการใช้เทคนิคต่าง ๆ ในเร่ืองนั้น ๆ อันจะทาให้ผู้เข้าสัมมนาเกิด
ความรู้ความเข้าใจ เจตคติ ความชานาญ จนสามารถทจี่ ะเปลีย่ นแปลงพฤติกรรมไปตามวัตถุประสงค์ท่ีต้องการ
ได้
ประเภทของวทิ ยากร
วิทยากรถือว่าเป็นผู้ที่มีบทบาทสาคัญต่อการสัมมนาให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่กาหนดไว้
แบง่ ออกเป็น 3 ประเภท คือ
1) วิทยากรอาชีพ หมายถึง บุคลากรท่ีดารงตาแหน่งเป็นวิทยากรโดยตรง สังกัดอยู่ใน
หน่วยงานฝึกอบรมหรืองานบุคคล วิทยากรอาชีพเหล่านี้จะมีความรู้ทางด้านการฝึกอบรม การสัมมนา และ
เน้ือหาที่จะบรรยายเป็นอย่างดี มักจะมีวุฒิทางการศึกษาระดับปริญญาโทข้ึนไป วิทยากรอาชีพน้ีจะเรียกอีก
อย่างหน่ึงว่า “วิทยากรภายใน” เพราะปฏิบัติหน้าที่อยู่ภายในหน่วยงานนั้น ๆ ซึ่งจะมีความรู้ความเข้าใจ
ตลอดจนเขา้ ใจถึงปญั หาต่าง ๆ ท่เี กิดขนึ้ ภายในองคก์ ารเปน็ อย่างดี และสามารถยกตัวอย่างในการประกอบการ
บรรยายได้อย่างชัดเจน แต่อาจจะมีปัญหาในเร่ืองความเล่ือมใสศรัทธาในตัววิทยากรอยู่บ้าง ท้ังน้ีเพราะผู้เข้า
สัมมนามักรู้จักวิทยากรหรือบางคนอาจมีความคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี ทาให้ทราบภูมิหลังของวิทยากร ดังนั้น
วทิ ยากรภายในจึงจาเป็นต้องรู้จักวางตัว ตลอดจนบุคลิกและความสามารถของวิทยากรแต่ละคนจะต้องปฏิบัติ
ให้ดีท่สี ุด
1.1 วิทยากรเฉพาะกิจ หมายถึง วทิ ยากรทีเ่ ปน็ บุคลากรท่มี ีความชานาญงานด้านใด
ด้านหนึ่งท่ีมีตาแหน่งหน้าที่ตามสายงานน้ัน ๆ เช่น ความชานาญทางด้านคอมพิวเตอร์ ด้านตรวจสอบบัญชี
ดา้ นกฎหมาย ดา้ นสายการเงิน ดา้ นสุขภาพ เป็นต้น
ข้อดีของวิทยากรเฉพาะกิจ คือเป็นผู้ที่มีความรู้ความชานาญเฉพาะในเร่ืองท่ี
บรรยายเป็นอย่างดี และเข้าใจสภาพท่เี ป็นปญั หาต่าง ๆ ภายในองค์การได้ดี แต่ข้อเสียก็มีมากเช่นเดียวกันก็คือ
อาจจะขาดทกั ษะบรรยายหรือการถา่ ยทอดความรู้ และอาจทาให้งานประจาท่ีทาอยู่เสียหายได้ เพราะต้องขาด
งานมาทาหนา้ ทีว่ ิทยากร นอกจากน้ีการนาเสนอแนวคิดใหม่ ๆ อาจจะน้อยหรือมองปัญหาในมุมแคบ คือจะมุง
นาเสนองานที่ตนปฏิบัติเป็นกิจวัตรประจาวัน หรือบางท่านท่ีเป็นผู้บริหารระดับสูงหรือผู้อาวุโสของหน่วยงาน
มาบรรยายก็จะออกมาในรูปของคาสงั่ หรือคาสัง่ สอน หรือพูดถึงประวตั ใิ นความสาเร็จของตนมากเกินไป ทาให้
ผดิ วตั ถุประสงคเ์ รอ่ื งท่ีบรรยาย
43
1.1.1 วิทยากรรับเชิญ หรือเรียกว่า “วิทยากรภายนอก” ซ่ึงแบ่งออกเป็น 2
ลกั ษณะคือ
1) วทิ ยากรอาชีพทย่ี ึดอาชีพการเป็นวิทยากรโดยตรงหลายท่านต้ัง
เป็นสานกั งานของตนเองขึ้นมาอยา่ งเป็นทางการ
2) วิยากรท่ีมีงานประจาอาจสังกัดอยู่ในสถาบันการศึกษา หรือ
โรงพยาบาล ส่วนราชการต่าง ๆ บรษิ ทั ห้างรา้ นหรอื ประกอบธุรกจิ สว่ นตัว ซึ่งมีตาแหน่งหน้าที่การงานเป็นหลัก
อยู่แล้ว แต่มีความรู้ความสามารถและประสบการณ์การเป็นวิทยากรท่ีดี จึงมักได้รับเชิญให้ไปเป็นวิทยากร
ให้แก่หน่วยงานต่าง ๆ ตลลอดเวลา การติดต่อกับวิทยากรท่ีมีงานประจาทาอยู่น้ี อาจตามตัวได้ยากหรือมี
ปัญหาเร่อื งเวลาเพราะแตล่ ะท่านมีภารกิจต้องปฏบิ ัติหน้าท่ใี นงานประจาทีต่ นทาอยู่ ซ่ึงการท่ีวิทยากรลักษณะน้ี
จะออกไปเปน็ วทิ ยาใหแ้ กห่ นว่ ยงานภายนอก จะตอ้ งได้รับการอนุญาตจากผู้บังคับบัญชาก่อน ถ้าผู้บังคับบัญชา
เข้าใจ และให้การสนับสนุนก็จะเป็นผลดีต่อสังคม โดยส่วนรวมแต่บางหน่วยงานผู้บังคับบัญชาไม่เห็น
ความสาคญั หรอื ไม่อนญุ าต วิทยากรเหล่านกี้ ็ไมส่ ามารถออกไปรับใชส้ ังคมได้
การเชญิ วิทยากรรับเชญิ หรือวิทยากรภายนอกร่วมให้ความรู้ในการ
สมั มนามขี ้อดขี ้อเสียหลายประการ ขอ้ ดคี ือมักจะไดร้ บั การยอมรบั เล่ือมใส ศรัทธาจากผู้เข้าสัมมนา โดยเฉพาะ
วิทยากรท่ีมีช่ือเสียงหรือมาจากสถานศึกษาหรือหน่วยงานระดับแนวหน้าก็จะได้รับการยอมรับ เช่ือถือศรัทธา
มากขน้ึ นอกจากน้กี ารนาเสนอข้อคดิ จากวทิ ยากรภายนอกจะมคี วามเป็นกลางไม่อคติต่อคนใดคนหนึ่งหรือฝุาย
ใดฝุายหน่ึง โดยเฉพาะภายในองคก์ ร สาหรบั ข้อเสียมหี ลายประการ เชน่ วิทยากรอาจไมท่ ราบวัตถุประสงค์ของ
การจดั สมั มนาในเรื่องนั้น ๆ อยา่ งแท้จรงิ ตัวอยา่ งไมช่ ดั เจนหรือไม่ตรงกับปัญหาท่ีแท้จริง และบางคร้ังวิทยากร
อาจได้รับเชิญมาพูดในเรื่องที่เขาไม่ถนัด แต่ท่ีได้รับเชิญเพราะฝุายผู้จัดสัมมนาพิจารณาในแง่ความสามารถใน
การถา่ ยทอดความรูแ้ ละมีชอื่ เสยี งโด่งดังของวทิ ยากรเทา่ น้นั
วิทยากรท้ัง 3 ประเภทตามท่ีกล่าวมาข้างต้นต่างมีข้อดีและ
ข้อเสียแตกต่างกัน ดังน้ันผู้จัดการสัมมนาสามารถพิจารณาเปรียบกันได้ แต่ที่สาคัญสุดไม่ว่าจะเป็นวิทยากรท่ี
อยู่ในประเภทใด จาเป็นตอ้ งเป็นผมู้ ีคณุ ลักษณะท่ีดี ดงั ตอ่ ไปน้ี
1) เป็นผู้ท่ีมีความรู้ความเชี่ยวชาญในเร่ืองที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อการ
สัมมนาเปน็ อยา่ งดี
2) เปน็ ผ้ทู ม่ี คี วามสามารถในการถา่ ยทอดความรู้ใหผ้ ู้อ่นื เข้าใจได้ดี
3) เป็นผูท้ ี่มคี วามคิดก้าวไกล ทนั สมัยและใจกวา้ ง
4) เปน็ ผทู้ ่มี เี หตุผล มีความสามารถในการควบคุมอารมณ์ไดด้ ี
5) เปน็ ผทู้ ่มี มี นษุ ย์สมั พันธท์ ดี่ ี
6) เป็นผู้ทม่ี ชี ือ่ เสียงเปน็ ทีร่ จู้ ักกว้างขวางในสังคมหรอื แวดวงวชิ าชพี
2. สมาชิกผู้เข้าสัมมนา ผู้เข้าสัมมนาส่วนใหญ่มักเป็นบุคคลท่ีมีความสนใจ
ร่วมกัน ประสบปญั หารว่ มกัน หรือต้องการแสดงความคดิ เห็นใหม่ร่วมกัน และที่ประสงค์ท่ีจะแลกเปล่ียนความ
คิดเห็นถ่ายทอดความรู้ และหาแนวทางแก้ปัญหาร่วมกัน ผู้เขา้ สัมมนาสว่ นใหญม่ ักเป็นผู้ปฏบิ ัติงานอยู่ใน
43
หน่วยงานต่าง ๆ ดังนั้น การกาหนดตัวบุคคลส่งเข้าร่วมสัมมนาหน่วยงานต่าง ๆ สามารถพิจารณาได้หลาย
รูปแบบ ดงั น้ี
2.1.2 พิจารณาตามสายบังคับบัญชาเป็นการพิจารณาบุคคลที่ส่ง
เขา้ ร่วมการสัมมนาตั้งแต่ ระดับสายปฏิบัติการ ผู้บริหารระดับต้นหรือหัวหน้างาน ผู้บริหารระดับกลางหัวหน้า
ฝุายและผู้บริหารระดับสูงหรือผู้อานวยการข้ึนไป ซึ่งในแต่ละระดับควรจัดส่งให้เข้ารับการสัมมนาในแต่ละ
หลกั สูตรอยา่ งทัว่ ถงึ
2.1.3 พิจารณาตามนโยบายและความเหมาะสมของบุคลากร
กาหนดตัวผู้เข้าร่วมสัมมนาลักษณะนี้ข้ึนอยู่กับนโยบายของหน่วยงานเป็นสาคัญ ตลอดจนลักษณะงานที่
บคุ ลากรปฏบิ ัติอยู่ กลา่ วคือถา้ หนา่ ยงานมีนโยบายขยายงานหรือพัฒนางานทางด้านคอมพิวเตอร์การกาหนด
ตวั ผูม้ ีความเหมาะสมทป่ี ฏิบตั งิ านด้านนกี้ จ็ ะถูกสง่ เข้าร่วมการสัมมนาในหลกั สตู รทางด้านโดยเฉพาะ นอกจากนี้
การกาหนดตัวผู้ท่ีมีความเหมาะสมในงานเข้าร่วมสัมมนาอาจมองลึกลงไปถึงการที่ส่งเข้าไปร่วมสัมมนาแล้ว
จะต้ อง กลั บม าถ่ าย ทอดค วา มรู้ แล ะป ระสบ กา รณ์ ให้ แก่ บุค ลา กร อ่ืน ท่ี ไม่มี โอกา สเ ข้า ร่ว มสั มม นา ได้ ด้ว ย
ค่าพาหนะสาหรับวิทยากร ค่าอาหารและค่าเคร่ืองดื่ม ค่าจัดวัสดุจัดทาเอกสาร ค่าดอกไม้ธูปเทียนในพิธีเปิด-
ปิดการสมั มนาคา่ ฟิล์มบนั ทกึ ภาพพร้อมคา่ ลา้ งอัดเป็นตน้
2.1.4 พิจารณาตามปัญหาที่สามารถแก้ไขได้ด้วยการสัมมนา ใน
กรณภี ายในหนว่ ยงานเกดิ ปัญหาเกยี่ วกบั การบริหารภายใน เชน่ การขาดความร่วมมือประสานงานกัน การขาด
ความเขา้ ใจซ่งึ กนั และกันหรือเกิดปัญหาบางอย่างสามารถแก้ไขด้วยการสัมมนาก็จะกาหนดตัว ผู้เข้าสัมมนาใน
กลมุ่ นนั้ ๆ เพ่อื จะไดเ้ ปดิ โอกาสใหน้ าข้อคดิ หรือเทคนคิ ตา่ ง ๆ ที่ได้รับจากการสัมมนามาช่วยแก้ปัญหานั้น ๆ ให้
นอ้ ยลงหรือหมอสิ้นไป
2.1.5 กาหนดโดยตัวผู้สนใจที่จะเข้ารวมการสัมมนา บางครั้งการ
สัมมนาอาจจะมีหลักสูตรพิเศษที่ทุกคนสามารถท่ีจะเข้าร่วมได้ เช่น หลักสูตรการพัฒนาบุคลิกภาพการสร้าง
สัมพันธภาพในหน่วยงาน เป็นต้น ในกรณีเช่นน้ีการกาหนดตัวผู้เข้าสัมมนาจึงข้ึนอยู่กับความสนใจหรือความ
ปรารถนาสว่ นบุคคลของแต่ละคนเปน็ สาคัญ
3. องค์ประกอบด้านสถานที่อุปกรณ์และงบประมาณ สถานท่ีอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่
จาเปน็ ในการสมั มนาได้แก่
3.1.1 ห้องประชุมใหญ่ หมายถึง ห้องประชุมรวมที่ใช้พิธีเปิด-ปิดการ
สมั มนาและใช้การบรรยายหรือภปิ รายร่วมกัน ผู้จัดสัมมนาจะต้องกาหนดให้แน่นอนว่าจะใช้ห้องใดท่ีเหมาะสม
และเพียงพอแก่จานวนผ้เู ขา้ สมั มนา
3.1.2 หอ้ งประชุมกลุ่มยอ่ ย สาหรบั ใช้ประชุมกลุม่ ยอ่ ยของผู้เข้าสัมมนาผู้จัด
สมั มนาจะตอ้ งวดั ไวใ้ ห้เพียงพอแกจ่ านวนกลุ่มย่อยท่ีจัดแบ่งไว้ และต้องแจ้งห้องประชุมให้ผู้เข้าสัมมนาได้ทราบ
อยา่ งชดั เจน
3.1.3 อุปกรณ์ด้านโสตทัศนศึกษา ได้แก่ เคร่ืองขยายสียง ไมโครโฟน
ลาโพง เครอ่ื งฉายภาพข้ามศีรษะ เทปบันทกึ เสียง วดี ที ัศน์ และอุปกรณ์ด้านแสง-เสียง อื่น ๆ ท่ีจาเปน็ ตอ้ งใช้
44
3.1.4 เครื่องพิมพ์ดีด เครื่องโรเนียว หรือเคร่ืองคอมพิวเตอร์ เครื่องถ่าย
เอกสาร และวสั ดุทจ่ี าเปน็ ในการจดั ทาเอกสารประกอบคาบรรยาย
3.1.5 อปุ กรณ์อื่น ๆ เชน่ ปากกาเขยี นแผน่ ใส ไวท์บอร์ด หรอื กระดานดา
3.1.6 เอกสารประกอบคาบรรยายของวิทยากร ซ่ึงโดยท่ัวไปวิทยากรมักจะ
สง่ ไปใหผ้ จู้ ดั สัมมนาล่วงหน้า หรอื อาจจะนามาในวันสัมมนา ซึ่งผู้จัดจะต้องถ่ายเอกสารแจกให้ผู้เข้าสัมมนา แต่
ในกรณที ว่ี ทิ ยากรไม่ได้สง่ ให้ลว่ งหน้า หรือไม่ได้จัดเตรียมมาใหใ้ นวนั สัมมนา ฝาุ ยสัมมนากค็ วรทาเอกสารสรุปคา
บรรยายแจกใหผ้ เู้ ข้าสมั มนาหลังการบรรยายหรืออภปิ รายเสรจ็ ส้ินลง
3.1.7 งบประมาณ ในการสัมมนาแต่ละโครงการต้องใช้งบประมาณมาก
พอสมควรทั้งนี้มักข้ึนอยู่กับจานวนผู้เข้าร่วมสัมมนา ระยะเวลาและสถานที่จัดสัมมนาเป็นสาคัญที่มาของ
งบประมาณดาเนินการมักได้มาจากแหล่งต่าง ๆ 3 แหล่งด้วยกันคือ ค่าลงทะเบียนของสมาชิกเข้าร่วมสัมมนา
เงนิ หนุนจากหน่วยงานต้นสังกัด และเงินอุดหนุนจากภายนอก เช่น บุคคล บริษัท ห้างร้านสมาคม มูลนิธิ เป็น
ต้นสาหรับค่าใช้จ่ายในการจัดสัมมนา โดยท่ัวไปจะจ่ายเป็น ค่าตอบแทนวิทยากร ค่าพาหนะสาหรับวิทยากร
ค่าอาหารและเครื่องด่มื คา่ วัสดจุ ดั ทาเอกสาร ค่าดอกไมธ้ ปู เทียนในพิธเี ปิด-ปิด การสัมมนา ค่าฟิล์มบันทึกภาพ
พรอ้ มค่าล้างอัด เป็นตน้
4. องค์ประกอบด้านเวลา การกาหนดเวลาสาหรับการสัมมนาจะมากน้อยพียงใด
ขึ้นอยู่กับหัวข้อหรือเรื่องท่ีจัดสัมมนาเป็นสาคัญ บางเรื่องมีขอบเขตกว้างขวางแต่ใช้เวลาน้อย ก็จะทาให้การ
อภิปรายแสดงความคิดเห็นไม่ครอบคลุมตามเรื่องที่สัมมนาเท่าที่ควร หรือบางเรื่องมีขอบเขตแคบเป็นเร่ือง
เฉพาะเจาะจงดา้ นใดด้านหน่ึงโดยเฉพาะแต่ใชเ้ วลายาวนานก็จะทาให้ผู้เข้าสัมมนาเบ่ือหน่าย ไม่สนใจเท่าท่ีควร
และสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายโดยไม่คุ้มกับสาระท่ีได้รับ และเมื่อมีเวลาเหลือมากอาจทาให้สมาชิกอภิปรายแสดง
ความคิดเห็นต่าง ๆ ขยายวงกว้างออกไปจนไม่สามารถควบคุมได้ หรือเรื่องที่นามาอภิปรายไม่เกี่ยวข้องกับ
เรือ่ งท่นี ามาสัมมนาเลย การสมั มนาโดยท่ัวไปจะใช้เวลา 2-5 วนั ซึ่งถอื ว่าเป็นระยะเวลาทเี่ หมาะสม
นอกจากน้ี สมพร ปันตระสูตร (2525 : 3-5) ได้กล่าวถึงองค์ประกอบของการสัมมนาว่า
ในการจัดการสัมมนาแต่ละครั้งน้ันจะต้องมีองค์ประกอบสาคัญเพ่ือให้การสัมมนาเป็นไปตามเปูาหมายที่ตั้งไว้
องคป์ ระกอบทสี่ าคญั มี 4 องค์ประกอบ ไดแ้ ก่
1. องค์ประกอบด้านเน้ือหา เป็นองค์ประกอบท่ีสาคัญอีกอย่างหน่ึงที่จะสามารถ
นามาสมั มนาบรรลุผลตามทต่ี ง้ั เปาู หมายไว้ สว่ นประกอบสาคัญ คอื
1.1 จุดมงุ่ หมายของการสัมมนา ซึง่ จะต้องกาหนดให้แน่นอนว่าการสัมมนา
ครั้งนั้นมีจุดมงุ่ หมายอยา่ งไร
- เพ่อื แก้ปัญหาอย่างใดอย่างหนึ่ง
- เพอื่ การเรียนรู้วิธีการแก้ปญั หารว่ มกัน
- เพ่ือหาแนวทางปฏิบัติ หรือ กาหนดนโยบายอย่างใดอย่างหน่ึง
1.2 หวั ขอ้ ในรูปแบบการบรรยายหรือการอภิปราย
1.3 หวั ขอ้ ในการสมั มนา
45
1.4 กาหนดการต่าง ๆ ในการสัมมนา ตลอดจน ระบบ ระเบียบ วิธีการ
สัมมนา
1.5 ผลของการสมั มนา
2. องค์ประกอบด้านบุคลากร หมายถึง คณะบุคคลที่จะเป็นผู้ดาเนินการสัมมนา
สว่ นหนึ่ง และผ้เู ขา้ ร่วมสัมมนาอีกสว่ นหน่ึง ประกอบด้วย
2.1 คณะกรรมการเตรียมการและดาเนินการสมั มนา
2.2 คณะกรรมการจดั การสัมมนา (อาจจะเปน็ ชดุ เดียวกบั 2.1 ก็ได้)
2.3 คณะวทิ ยากร ผู้ใหค้ วามรเู้ สริมในการสัมมนา
2.4 สมาชิกผู้เขา้ ร่วมสมั มนา
2.5 เจ้าหน้าท่ีที่จาเป็นนอกเหนือจากคณะกรรมการ เช่น ฝุายอาคาร
สถานที่ ฝาุ ยธุรการ ฝาุ ยเอกสาร ฯลฯ
3. องค์ประกอบด้านอุปกรณ์ อุปกรณ์หลายอย่างเป็นความจาเป็นที่จะช่วยให้การ
สัมมนาบรรลผุ ลไดเ้ ปน็ อย่างดี อปุ กรณท์ ี่จาเป็นควรประกอบด้วย
ขัน้ ตอนในการดาเนนิ การสมั มนา
การสัมมนาสว่ นมากมขี ้นตอนในการดาเนนิ งาน ดังต่อไปน้ี
1. พิธเี ปดิ การสัมมนา
2. การประชุมใหญ่เพอ่ื วัตถปุ ระสงคด์ งั ต่อไปน้ี
2.1 ช้แี จงการจัดการสัมมนา
2.2 ชีแ้ จงขอ้ ปฏิบัติต่าง ๆ
2.3 เลือกต้ังคณะกรรมการดาเนินงานต่าง ๆ เช่น ประธาน เลขานุการ
เหรัญญกิ ของสมาชกิ ท่เี ขา้ รว่ มสมั มนา
2.4 รวบรวมปัญหาซ่งึ จะนามาใชเ้ ปน็ หัวข้อสมั มนาแต่ละกล่มุ
3. การสง่ เสริมความรู้ ซ่ึงอาจจดั อยใู่ นรปู แบบอยา่ งใดอยา่ งหนง่ึ เชน่
3.1 การบรรยาย
3.2 ปาฐกถา
3.3. อภิปราย
4. การแบ่งกลมุ่ สมั มนา เพ่อื หาข้อมูลในเร่ืองทเี่ ป็นปญั หา
5. รายงานผลการสมั มนาตอ่ ทีป่ ระชุมใหญ่
6. สรปุ และประเมินผลการสัมมนา
7. พิธปี ดิ การสัมมนา
เอกสารประกอบการสมั มนา
เอกสารประกอบการสัมมนา นับเป็นปัจจัยสาคัญที่ช่วยส่งเสริมให้การสัมมนาดาเนินไป
ด้วยดีและบรรลุเปูาหมายได้สะดวกย่ิงข้ึน ในการจัดสัมมนาแต่ละคร้ังจะต้องให้ความสาคัญแก่เอกสาร
ดังต่อไปนี้
46
1. โครงการจดั การสัมมนา
2. กาหนดการสมั มนา
3. หัวขอ้ สาหรบั ประชมุ กลุ่มสัมมนา
4. รายช่ือสมาชกิ ทั้งหมดทเ่ี ข้าสมั มนาและรายชอื่ สมาชิกในแต่ละกลมุ่
5. การแสดงความคิดเห็นเป็นไปอย่างกว้างขวาง ครอบคลุมทุกเรื่องที่เกี่ยวข้องไม่
จากัดอยู่ในวงแคบเฉพาะด้านใดดา้ นหนึ่ง
6. เน้นความสาคญั ของสมาชกิ แตล่ ะคน
7. สมาชกิ ในกลุ่มสามารถทางานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีมนุษย์สัมพันธ์ท่ีดี
ตอ่ กนั และมีความรบั ผดิ ชอบสงู
8. ผลที่ได้รับจากการสัมมนาบรรลตุ ามเปูาหมายทไ่ี ด้วางไว้
การนาเสนอโครงการ
โครงการ คือ การวางแผนล่วงหน้าท่ีจัดทาข้ึนอย่างมีระบบประกอบด้วยกิจกรรมย่อยหลาย
กิจกรรมท่ีต้องใช้ทรัพยากรในการดาเนินงาน และคาดหวังท่ีจะได้ผลตอบแทนอย่างคุ้มค่าแต่ละโครงการจะมี
เปูาหมายเพื่อการผลติ หรอื การใหบ้ ริการเพอื่ เพิม่ พูนสมรรถนะของแผนงาน
โครงการ หมายถึง กระบวนการทางานท่ีประกอบไปด้วยกิจกรรมหลาย ๆ กิจกรรม ซ่ึงมี
การทาโครงการเป็นไปตามลาดับ และการทางานจะต้องเป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ เช่น งานบริการ โดย
จะตอ้ งมกี ารกาหนดระยะเวลาและงบประมาณที่จากัด การดาเนินงานโครงการจะต้องมีผู้ที่มีหน้าท่ีรับผิดชอบ
ต่อโครงการ มีหน้าที่ทาการบริหารงาน กิจกรรมต่าง ๆ ให้เป็นไปตามแผนงาน เหมาะสมกับเวลา และ
งบประมาณทีต่ ั้งไว้
ลักษณะงานของโครงการต้องเป็นงานท่ีดาเนินการตามมติของคณะกรรมการ หน่วยงาน
และเม่อื ดาเนินการเสร็จสน้ิ อาจมกี ิจกรรมต่อเนอ่ื งเกดิ ขน้ึ ได้ทั้งกจิ กรรมระยะสน้ั และกจิ กรรมระยะยาว
วตั ถุประสงค์ในการเขยี นโครงการ
1. เพื่ออนุมัตจิ ากผมู้ อี านาจ
2. เพอ่ื ของบประมาณ
3. เพ่ือให้สมาชิกทเ่ี กย่ี วข้องได้เขา้ ใจในโครงการ
4. เพอ่ื เพม่ิ ศักยภาพในหนว่ ยงาน
5. เพ่อื ให้เปน็ เขม็ ทิศ ช้ีแนวทางในการพัฒนาระบบงาน
6. เพือ่ วิเคราะหจ์ ดุ ออ่ น จุดแข็ง และโอกาสของภารกจิ ที่จะต้องปฏบิ ัติ
ข้ันตอนการเขยี นโครงการ
ผู้ที่จะจัดทาโครงการต้องมีความสามารถในการเขียนโครงการ โดยมีขั้นตอนและอาศัย
หลกั เกณฑด์ ังน้ี
1. วิเคราะห์ปัญหาหรือความต้องการ การท่ีจะจัดทาโครงการใดต้องมีการ
วเิ คราะห์ปัญหาที่เกดิ ข้นึ ให้ถกู ตอ้ งชดั เจน และเปน็ ทีเ่ ช่ือถือได้เสียกอ่ น โดยศึกษาสภาพแวดลอ้ มท้ังภายในและ
47
ภายนอกหน่วยงานด้วยความรอบคอบอย่างเป็นระบบ แล้วกาหนดมาตรการหรือวิธีการในการแก้ไขปัญหาที่
เกดิ ข้นึ นัน้ อยา่ งมีข้นั ตอนเพ่อื ให้บรรลุวตั ถุประสงค์หรอื เปูาหมายท่ีกาหนดไว้
2. ศึกษาโครงสร้างของโครงการ ผู้เขียนโครงการจะต้องรู้จักโครงสร้างของ
โครงการเสียก่อนว่ามีส่วนประกอบทีส่ าคัญอะไรบ้าง เพอ่ื จะไดเ้ ขยี นโครงการได้อย่างถูกตอ้ ง ไดแ้ ก่
2.1 ชื่อโครงการ ต้องมีความชัดเจน เข้าใจง่ายและสามารถจินตนาการ
มองเหน็ ภาพได้อยา่ งแจ่มแจ้ง
2.2 ผู้เสนอโครงการ คือ ผู้ท่ีจะทาหน้าท่ีรับผิดชอบในการดาเนินโครงการ
นน้ั ๆ ใหส้ าเรจ็ ลลุ ่วงตามวัตถปุ ระสงค์ทวี่ างไว้
2.3 หลักการและเหตุผล คือ การกล่าวอ้างถึงเหตุผล ความจาเป็น และ
ความเปน็ มาของโครงการท่ีจะจดั ทา
2.4 วัตถปุ ระสงค์ เปน็ การกาหนดจดุ มุง่ หมายหรอื เปาู หมายให้ชัดเจน
2.5 วิธีดาเนินงาน เป็นการบอกรายละเอียดให้ทราบว่าจะดาเนินการ
โครงการน้ันอย่างไร ท่ไี หน ใชเ้ วลามากน้อยเพยี งใด มีการจัดกิจกรรมใดบ้าง ใครเป็นผู้รับผิดชอบในกิจกรรมใด
สว่ นใหญ่จะแสดงในรูปของตารางการทางาน
2.6 ระยะเวลาและสถานท่ี เป็นการกาหนดให้ทราบระยะเวลาดาเนินงาน
และสถานทจี่ ะใช้ในการดาเนนิ งานตามโครงการใหส้ าเร็จ
2.7 ผลท่ีคาดว่าจะได้รับ เป็นการคาดคะเนให้ทราบว่าจะได้รับผลอย่างไร
เมือ่ เสร็จส้ินโครงการ
2.8 วิธปี ระเมิน เป็นการบอกให้ทราบว่าจะทาการประเมินผลโดยใคร ด้วย
วิธีใด อย่างไร ส่วนใหญ่จะใช้แบบสอบถามเพื่อการประเมินผลหลังการอบรมสัมมนา และทาการสรุปผลการ
ประเมินให้สมาชิกทราบ
2.9 ปัญหา อุปสรรค แนวทางแก้ไข เป็นการทบทวนปัญหาท่ีอาจเกิดข้ึน
เสนอแนะแนวทางในการแกไ้ ขปญั หาไว้เพอ่ื แสดงให้เห็นความรอบคอบของผ้เู ขยี นโครงการว่าได้มีการจัดเตรียม
สงิ่ ตา่ ง ๆ ไวล้ ่วงหน้า
2.10 งบประมาณ เป็นการบอกให้ทราบว่าจะต้องใช้จ่ายเงินเป็นค่า
อะไรบ้าง อยา่ งไร ได้งบประมาณจากแหล่งใด ใครใหก้ ารสนบั สนนุ หรอื อปุ การะโครงการ
3. ดาเนนิ การเขยี นโครงการ
ในการเขียนโครงการจะต้องสามารถที่จะอธิบายคาถาม 6W 1H ได้ เพื่อช่วยให้
การเขยี นมีรายละเอยี ดท่ีครบถว้ นสมบรู ณ์ เกิดความเขา้ ใจอย่างแจ่มแจ้ง
- WHAT = โครงการน้ีจะทาอะไร
- WHY = โครงการนจ้ี ะทาไปเพื่ออะไร
- WHEN = โครงการนจี้ ะดาเนินการเมือ่ ไร
- WHERE = โครงการนี้จะดาเนินการที่ไหน
- WHO = ใครเปน็ ผู้รับผิดชอบ