The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Achayaporn Maleebut, 2020-10-27 23:51:13

เรียงงาน

เรียงงาน

48

- TO WHOM = ใครได้รับประโยชน์จากโครงการนี้

- WOW = จะดาเนินการโครงการนีอ้ ยา่ งไร

4. การใชส้ านวนภาษาที่มีประสิทธิภาพ

ผู้เขียนโครงการต้องทราบจุดประสงค์ในการเขียนโครงการเพ่ือนาเสนอ จึง

จาเปน็ ทจ่ี ะต้องเลือกใชถ้ อ้ ยคาและสานวนโวหารต่าง ๆ ให้เหมาะกับกลุ่มผู้อ่านโดยทั่วไป การใช้ภาษาต้องเป็น

ภาษาที่สภุ าพ ลกั ษณะของข้อความเป็นภาษาเขียน มีความกะทดั รดั ละเอียดชัดเจนและเข้าใจง่าย

สรุป

การฝึกอบรม หมายถึง “การถ่ายทอดความรู้เพ่ือเพ่ิมพูนทักษะ ความชานาญ ความสามารถ และ

ทศั นคติในทางทถ่ี ูกที่ควร เพอื่ ชว่ ยให้การปฏบิ ัติงานและภาระหนา้ ทต่ี ่าง ๆ ในปจั จุบนั และอนาคตเป็นไปอย่างมี

ประสิทธิภาพมากข้ึน” การฝึกอบรม หมายถึง “กระบวนการต่าง ๆ ที่ใช้เพ่ือช่วยให้ข้าราชการมีความรู้ ทักษะ

และทัศนคติท่ีจาเป็นในการปฏิบัติงาน ในหน้าท่ี และเพื่อให้เกิดความร่วมมือกันระหว่างข้าราชการในการ

ปฏิบัติงานร่วมกันในองค์การ” เม่ือมองการฝึกอบรมในฐานะท่ีเป็นแนวทางในการพัฒนาข้าราชการตาม

นโยบายของรัฐหากเป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการปฏิบัติงานหรือเพิ่มขีดความสามารถในการจัดรูปของ

องค์การ การสัมมนา หมายถึง การประชุมเพ่ือ แสวงหาความรู้แลกเปลี่ยนเรียนรู้และความคิดเห็น โดยมี

วัตถุประสงค์หรือการศึกษาในเร่ืองเดียวกัน รวมทั้งร่วมวิเคราะห์ปัญหา หาแนวทางแก้ไข และหาข้อสรุป

รว่ มกนั เพ่อื ให้เป็นประโยชนต์ อ่ สว่ นรวมร่วมกันดังน้ัน การสอนวิชาสัมมนา เป็นกระบวนการหนึ่งของกิจกรรม

การเรยี นรู้ ศึกษา ค้นควา้ โดยวธิ ีการตา่ ง ๆ เป็นการฝึกทักษะการคิดอย่างเป็นระบบ การวิเคราะห์ปัญหา และ

การเสนอแนวทางแก้ไขการแสดงออกโดยการพูด การสนทนา การอภิปรายที่เกี่ยวกับเนื้อหาของเรื่องนั้น ๆ

เพื่อใหไ้ ด้ขอ้ สรุปของแนวทางทีม่ ีความเปน็ ไปได้ โดยวิธีการปรึกษาหารอื ร่วมกนั

49

อา้ งอิง

sites.google.com. การบริหารงานคณุ ภาพในองคก์ ร. [ระบบออนไลน์] แหล่งท่มี า
https://sites.google.com/site/rtech603xx/unit-6 (18 กนั ยายน 2563)

www.aconnect.co.th. ความรเู้ กย่ี วกบั การสมั มนา. [ระบบออนไลน์] แหล่งทีม่ า
https://www.aconnect.co.th/news_c/th/46 (18 กันยายน 2563)

sites.google.com/site/karsammna/khana/sarbay/. เอกสารการสมั มนา. [ระบบออนไลน์]
แหลง่ ทม่ี า https://sites.google.com/site/karsammna/khana/sarbay/ (18 กันยายน 2563)

50

บทท่ี 5
วิธีการจัดทาการนาเสนอ

บทนา

การนาเสนอเป็นรูปแบบหนึ่งของการส่ือสารเพ่ือสร้างความเข้าใจที่ชัดเจนแก่ผู้ฟังโดยการพูด
ประกอบส่ือในระยะเวลาส้ัน ๆ องค์ประกอบของการนาเสนอประกอบด้วย ผู้นาเสนอ (Presenter) เนื้อหา
(Content) ผฟู้ ัง (Audlence) ผ้นู าเสนอจะตอ้ งมีบคุ ลิกภาพ ความเชื่อมั่น ประสบการณ์ การเตรียมตัว ความรู้
ความสามารถ สไตล์การนาเสนอ เน้ือหาการสาเสนอ จะต้องประกอบด้วย วัตถุประสงค์ รูปแบบ ขั้นตอน
ความยากง่าย ความน่าสนใจ ส่ือประกอบ โสตทัศนูปกรณ์ ผู้ฟัง (Audlence) จะต้องมีความสนใจ ความรู้
ความเข้าใจ ความเกี่ยวขอ้ ง ทัศนคติ การยอมรบั การเรียนรู้

การนาเสนอท่ีดี จะต้องเรียนรู้จากข้อเท็จจริง เรียนรู้จากจานวนตัวเลข เรียนรู้จากรูปภาพและวีดีโอ
เรียนรู้จากคาอธิบาย เรียนรู้จากการแสดงการสาธิต เรียนรู้จากตัวอย่างหรือแบบจาลอง เรียนรู้จากการ
อภิปรายซกั ถาม เรยี นรู้จากการวิเคราะห์ดว้ ยตนเอง

ขั้นตอนการจดั ระบบการนาเสนอ

การจัดระบบการนาเสนอ มีข้นั ตอนดงั น้ี
1. การวิเคราะห์ระบบ คือ การวิเคราะห์ระบบการดาเนินการนาเสนอ ท่ีเคยทาในอดีตท่ี

ผา่ นมาวา่ มีข้อดี ขอ้ เสียอยา่ งไร รวมทั้งการวิเคราะห์วัตถุประสงค์ในการนาเสนอ วิเคราะห์สื่อโสตทัศนูปกรณ์ท่ี
ใช้ในการนาเสนอ วเิ คราะห์วธิ กี ารนาเสนอ และแนวทางในการปฏบิ ตั ติ า่ ง ๆ ตลอดจนการประเมนิ

2. การสังเคราะห์ระบบ คือ การมองภาพรวมของระบบการนาเสนอตามแผนที่กาหนดข้ึน
ใหม่ ตั้งแต่เร่ิมต้นจนจบการนาเสนอ เร่ิมต้ังแต่การสารวจสถานท่ี วัสดุอุปกรณ์ กาหนดวัตถุประสงค์ วางแผน
ดาเนนิ งาน การประเมินผล และการพิจารณาผลยอ้ นกลบั เพ่อื การปรบั ปรุงคร้งั ตอ่ ไปโดยการมองภาพรวมตั้งแต่
ขัน้ ตอนแรกจนถงึ ข้ันตอนสดุ ทา้ ย โดยมีขน้ั ตอนการสงั เคราะหร์ ะดบั ดงั นี้

1) วเิ คราะห์ผู้ฟงั เพื่อดรู ะดบั และพ้ืนฐานความรขู้ องผู้ฟงั
2) วเิ คราะห์เนอื้ หา กาหนดเนื้อหาท่ีจะนาเสนอ โดยแยกออกเปน็

2.1 หนว่ ย หวั ขอ้ เร่อื ง
2.2 กาหนดภาพรวม หรอื แนวความคิดรวมของผลในการนาเสนอ
3. กาหนดวิธีการนาเสนอ เช่น การสัมมนากลุ่มย่อย การฝึกอบรมแบบปฏิบัติงานจริง การ
บรรยายประกอบสไลด์ เป็นต้น
4. วางแผนการนาเสนอ เขยี นแผนนาเสนอโดยครอบคลุมประเดน็ ดังต่อไปน้ี
4.1 ชือ่ เร่อื งท่ีจะนาเสนอ
4.2 ภาพรวม หรือแนวความคิดในการนาเสนอ
4.3 วตั ถปุ ระสงคก์ ารนาเสนอ
4.4 กจิ กรรมการนาเสนอ

51

4.5 สื่อทใี่ ชใ้ นการนาเสนอ
4.6 การประเมนิ
5. เตรียมกิจกรรมการนาเสนอ เกมส์ หรือกิจกรรมอ่ืน ๆ ท่ีต้องการให้ผู้ฟังได้มีส่วนร่วมด้วย
โดยการสอดแทรกเนือ้ หาหรอื เชอื่ มโยงไปยงั เรื่องที่นาเสนอ
6. เตรียมส่ือการนาเสนอ
7. จดั ทาเคร่อื งมอื สอ่ื และอุปกรณ์ในการนาเสนอ
8. ดาเนนิ การนาเสนอ
9. การประเมินผล จัดทาเครื่องมือทใี่ ชใ้ นการประเมินผล
การสร้างแบบจาลอง
ตามขนั้ ตอนท่ีได้ทาการสังเคราะห์ไว้ โดยระบุรายละเอียดเพิ่มเติมข้ันตอนย่อยลงไปอีก เช่น
ข้นั ตอนท่ี 8 การดาเนนิ การนาเสนอ จะลาดับเรื่องอย่างไร ใชส้ อ่ื อะไรก่อนหลัง ชว่ งเวลาใดบ้าง
การสรา้ งแบบจาลองการนาเสนอ
1. วเิ คราะห์ผู้ฟงั
2. วิเคราะห์เน้อื หา
3. กาหนดวิธีการนาเสนอ
4. การวางแผนการนาเสนอ
4.1 กาหนดชอื่ เรอ่ื ง
4.2 กาหนดแนวทางความคิด/ภาพรวม
4.3 กาหนดวัตถปุ ระสงคเ์ ชงิ พฤตกิ รรม
4.4 กาหนดกิจกรรมการนาเสนอ
4.5 กาหนดส่อื การนาเสนอ
4.6 กาหนดวิธีการประเมนิ ผล
สรา้ งแบบจาลองระบบการนาเสนอ
คือ การเขียนแผนผังแสดงแบบจาลองข้ันตอนการนาเสนอต้ังแต่ข้ันแรกจนถึงขั้นสุดท้าย
เปรียบเสมือน กับสถาปนิกที่นาแนวคิดและความต้องการของเจ้าของบ้านที่ได้บันทึกไว้เป็นตัวอักษรมาสร้าง
เป็นแบบบ้านในกระดาษ การสร้างแบบจาลองระบบการนาเสนอ จะทาให้ผู้นาเสนอทุกคนที่ไปดาเนินการ
นาเสนอในแตล่ ะครั้งเขา้ ใจข้นั ตอนและร้หู นา้ ท่ีของตนในการนาเสนออย่างแทจ้ รงิ
จาลองสถานการณ์เพือ่ ทดสอบระบบตามแผนผงั ทว่ี างไว้
โดยจัดสถานที่ อุปกรณ์ เครื่องมือ และให้ผู้มีหน้าที่จัดอุปกรณ์ทางานจริง เช่น การเสนอ
ขายแนวความคิดในการโฆษณาสินค้าใหม่ให้คณะกรรมการบริษัท ผู้นาเสนอจะเริ่มต้นการแนะนาตัวบรรยาย
สรุปและใช้ภาพสไลด์ และสื่อแบบอื่น ๆ ของช้ินงานโฆษณา ตลอดจนเปิดสปอตโฆษณาให้ฟังและฉายภาพ
สไลด์สลับกนั ไป ผนู้ าเสนอซ่ึงเป็นผู้บรรยายและผู้ควบคุมอุปกรณ์ เคร่ืองมือต่าง ๆ จะต้องรู้ลาดับก่อนหลังเป็น
อย่างดี การจาลองสถานการณ์เป็นการซักซ้อมวิธีการพูดและการนาเสนอตามลาดับที่วางแผนไว้ เพ่ือสามารถ
ปรับปรงุ แก้ไขได้

52

เทคนิคในการเตรียมตวั นาเสนออย่างงา่ ย
ในกรณที ผี่ ู้นาเสนอจาเปน็ ต้องนาเสนออย่างกะทันหันโดยไม่มีเวลาในการเตรียมตัวล่วงหน้า ได้อย่าง

เพยี งพอ ผนู้ าเสนอจงึ ตอ้ งเตรยี มตัวเพ่ือการนาเสนออยา่ งง่าย ซงึ่ มีหลักการงา่ ย ๆ โดยการต้ังคาถามสาหรับการ
นาเสนอในครง้ั นนั้ คือ 5W 1H คอื

1. ทาไมต้องมกี ารนาเสนอ (Why)
2. เราจะนาเสนออะไร (What)
3. เราจะนาเสนอกับใคร (Who)
4. เราจะนาเสนอเมอื่ ใด (When)
5. เราจะนาเสนองานท่ไี หน (Where)
6. เราจะนาเสนออยา่ งไร (How)
1. ทาไมต้องมีการนาเสนอ (Why) ในการนาเสนอทุกครัง้ ไม่ว่าจะเป็นการนาเสนอประเภทใด ย่อมมี
จุดมุ่งหมายในการนาเสนอ ผู้นาเสนอควรต้ังคาถามให้กับตนเองว่าทาไมจึงต้องมีการนาเสนอในคร้ังน้ี และหา
คาตอบใหก้ บั คาถาม
คาถามน้ีเป็นถามเก่ียวกับการกาหนดวัตถุประสงค์ในการนาเสนอ สามารถสรุปหลักการในการ
กาหนดวตั ถุประสงค์ไดด้ งั นี้
1) กาหนดวัตถุประสงค์อย่างชัดเจนท่ีสุดท่ีจะทาได้ รวมทั้งวัตถุประสงค์สารองด้วย นามา
เรียบเรยี งเป็นคาพดู และจดบันทกึ ไว้
2) ย้อนกลับไปยังวัตถุประสงค์ท่ีต้ังไว้อยู่เสมอ เมื่อสงสัยว่าจะเพ่ิมหรือจะตัดทอนอะไรใน
การนาเสนอ
2. เราจะนาเสนออะไร (What) การระบุข้อมูล บันทึกข้อมูลทั้งหมดท่ีจะนาเสนอ ผู้นาเสนอจะต้อง
วางแผนว่าจะนาเสนอในเรอื่ งใดบา้ ง มขี อบเขตเนื้อหาอย่างไร รวมถึงการเตรียมภาพประกอบการเตรียมพร้อม
สาหรบั ขอ้ โต้แยง้ ท่ีคาดว่าอาจจะเกดิ ขน้ึ ท้งั ก่อน ในระหวา่ งและหลงั จากการนาเสนอ
3. เราจะนาเสนอกับใคร (Who) บุคคลท่ีผู้นาเสนอต้องการเสนอเรื่องราวต่าง ๆ เพื่อให้รับทราบ
ปฏิบัติ หรือตัดสินใจในบางอย่างท่ีเป็นความต้องการของผู้นาเสนอ ผู้นาเสนอต้องให้ความสาคัญกับผู้ฟังอย่าง
มาก เพราะเป็นบุคคลท่ีมีผลต่อการนาเสนอมากที่สุด การ “รู้ใจเขา” จะเป็นข้อมูลสาคัญท่ีผู้นาเสนอมาใช้เป็น
ปัจจัยส่วนหน่ึงในการวางแผนการนาเสนอ ส่ิงท่ีผู้นาเสนอจะต้องทาคือ การขอข้อมูล ข้อเท็จจริงต่าง ๆ
เกีย่ วกับผูฟ้ งั ให้มากท่สี ดุ เช่น ผู้ฟังมีจานวนก่ีคน ช่ืออะไร ทางานอะไร มีอายุเท่าไร มีการศึกษาอย่างไร เพราะ
สิ่งนี้จะมีผลกระทบต่อการคัดค้างหรือโต้แย้งหรือสอบถามในระหว่างการนเสนอได้ ผู้นาเสนออาจหาข้อมูลได้
โดยการพูดคุยกับผู้ฟังก่อนการนาเสนอช่วงท่ีกาลังลงทะเบียนผู้เข้ารับฟังการนาเสนอ ระหว่างรับประทาน
อาหาร การพูดคยุ กับผู้ฟังนอกเวลาการนาเสนอ เป็นโอกาสสาคัญท่ีผู้นาเสนอจะทาความเข้าใจให้ดีขึ้น และยัง
เป็นการทาลายกาแพงกน้ั ระหว่างบุคคลท้ังสองฝุาย ทาใหเ้ กดิ ความรู้สกึ ทัศนคตทิ ด่ี ตี อ่ กนั
4. เราจะนาเสนอเมื่อใด (When) เวลาท่ีต้องคานึงถึงในการนาเสนอประกอบด้วย 3 ส่วน คือ
ช่วงเวลา ระยะเวลา และจังหวะเวลา

53

1) ช่วงเวลาท่ีนาเสนอ เปน็ ชว่ งเชา้ กลางวนั กลางคืน ช่วงเวลาในวันหยุด วันทางาน ซึ่งมีผล
ต่อการวางแผนการนาเสนอ เช่น หากนาเสนอในช่วงกลางคืนผู้นาเสนอต้องคานึงถึงแสงสว่างต้องเพียงพอ
ความเม่อื ยล้าของผฟู้ งั เป็นตน้

2) ระยะเวลาในการนาเสนอมมี ากน้อยเพียงใด การนาเสนอบางประเภทมีระยะเวลาเพียงไม่
นาน ไมเ่ กนิ 3 ชัว่ โมง บางประเภทกใ็ ช้ระยะเวลานานเกนิ 3 ชว่ั โมง เช่น การนาเสนอขายสินค้าใช้ระยะเวลาไม่
นาน การฝกึ อบรม สมั มนาใช้ระยะเวลานาน เปน็ ต้น

3) จงั หวะเวลาในการนาเสนอ มคี วามสาคญั ตอ่ การนาเสนอในกรณีท่ีสถานการณ์ท่ีเกิดข้ึนใน
การนาเสนออาจเป็นไปตามท่ีคาดหวังหรือไม่คาดหวัง ผู้นาเสนอไม่อาจทราบได้ล่วงหน้าว่าจะเกิดอะไรข้ึนใน
ระหว่างการนาเสนอ ในบางครง้ั ผู้ฟังอาจเกิดความไมพ่ อใจ คดั คา้ น โกรธ หรือโมโหผู้นาเสนออยู่ ควรจะเปลี่ยน
เรื่องหรือเปลี่ยนประเด็น เพ่ือคลายบรรยากาศความตึงเครียด และรอจังหวะในการนาเสนอหลังจากท่ี
บรรยากาศคลายความตึงเครยี ด และผู้ฟังอยู่ในอารมณท์ ่พี ร้อมจะรบั ฟงั จงึ นาเสนอเรื่องนัน้ ใหม่อกี ครัง้

5. เราจะนาเสนองานท่ีไหน (Where) สถานที่ในการนาเสนออาจไม่สาคัญนักสาหรับการนาเสนอ
บางประเภท แต่ผเู้ สนอก็ควรใหค้ วามสาคัญในการสารวจสถานท่ีท่ีจะใช้ในการนาเสนอ เพื่อไม่ให้เกิดอุปสรรค
ในการนาเสนอ เชน่ หลอดไฟเสีย อุปกรณ์หรือส่ือโสตทัศนูปกรณ์เสีย เป็นต้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นส่ิงสาคัญซึ่งอาจ
ทาให้เกิดอุปสรรคหรือความล้มเหลวในการนาเสนอได้ นอกจากน้ีในการเลือกสถานที่ผู้นาเสนอควรคานึงถึง
ปจั จัยด้านจานวนผูฟ้ ัง การถ่ายเทอากาศ สิง่ รบกวนตา่ ง ๆ ดว้ ย

6. เราจะนาเสนออย่างไร (How) เมื่อเตรียมพร้อมสาหรับคาถามว่า ทาไม อะไร ใคร เม่ือไร ที่ไหน
แล้ว ข้ันต่อไปคือ การวางแผนว่าจะนาเสนออย่างไรซึ่งเป็นข้ันตอนท่ีมีความสาคัญมากที่สุด ผู้นาเสนอต้อง
สมมติตัวเองเป็นคนฟัง สิ่งที่จะนาเสนอจะช่วยผ่อนความหนักใจให้ผู้ฟังได้หรือไม่ จะสามารถช่วยให้ผู้ฟัง
ตัดสนิ ใจหรือเกดิ ความคดิ ที่สร้างสรรคไ์ ดอ้ ยา่ งไร ซ่งึ จะนาไปส่กู ารแนะนาในส่งิ ทีท่ าใหผ้ ู้ฟงั ต้ังใจฟงั และคิดได้

หลงั จากทเ่ี รียบเรยี งลาดับขอ้ มูล และขอ้ เสนอตามลาดบั เพื่อให้ผู้ฟังได้เข้าใจและโน้มเอียงได้
มากท่ีสุด ต่อไปคือ การเลือกภาพประกอบที่จะนามาใช้ เลือกอุปกรณ์ สื่อโสตทัศนูปกรณ์ท่ีเหมาะสม ให้ทา
บันทึกโดยการเขียนให้ชัดเจนและมีขนาดใหญ่พอลงในกระดาษ เพราะการเขียนส่ิงท่ีจะพูดนาเสนอเป็นวิธีที่ดี
ทสี่ ดุ ในการหาขอ้ โต้แยง้ และเปน็ การทบทวนเรียงลาดบั ความสาคัญของสิ่งท่ีต้องนาเสนอ ท้ังยังช่วยให้สามารถ
หาคาพดู ท่เี หมาะสมเสริมเข้าไปในแต่ละตอนได้ รวมท้ังสามารถคิดวางแผนไว้ล่วงหน้าได้ดีกว่าการคิดแก้ปัญหา
ขณะเสนองานถงึ แม้ว่าจะไมไ่ ดเ้ ตรยี มการไวล้ ่วงหน้า แต่ก็ควรจะเตรียมประโยคการกล่าวสรุปไว้สาหรับการปิด
การนาเสนอ

สุดท้าย ก่อนการนาเสนอจริงผู้นาเสนอควรลองฝึกซ้อมกับเพ่ือนร่วมงาน ผู้ฟังจาเป็นหรือ
ฝึกซ้อมเพียงคนเดียว การซ้อมหลาย ๆ คร้ังจะช่วยลดความตื่นเต้น และช่วยให้มีทักษะในการนาเสนอมาก
ยิ่งขน้ึ

เทคนิคในการนาเสนออย่างมปี ระสทิ ธภิ าพ

1. การนาเสนอ การนาเสนองานท่ีดีสามารถทาได้โดยการฝึกฝน เช่น การเข้าไปหลักสูตรหรือการ
ฝึกกนั เปน็ กลมุ่ เพอื่ ใหผ้ ้รู ่วมการฝกึ ฝนวจิ ารณ์ด้วยขอ้ ติชมในทางสร้างสรรค์ผนู้ าเสนอสามารถเรยี นรู้วิธกี ารและ

54

เทคนิคการนาเสนอได้จากการดูความผิดพลาดของผู้อื่นนามาใช้เป็นบทเรียน และการพูดคุยเพื่อหาวิธีการ
สร้างสรรค์เทคนิค วิธีการเสนองานแต่ละคร้ังเทคนิคง่าย ๆ ท่ีสาคัญมาก คือ ความสามารถในการกาจัดสิ่งกีด
ขวางของผู้พูด เพราะคนส่วนมากพูดในหมู่เพ่ือนหรือเพื่อนร่วมงานได้ดี มีความเป็นกันเอง เทคนิคการพูดในที่
ประชุม ก็คือ การรักษาความสามารถนั้นไว้ให้ได้ เวลาที่ยืนต่อหน้าผู้ฟัง ซึ่งเป็นบุคคลท่ีเราไม่รู้จัก ถ้าผู้พูด
สามารถขจัดส่ิงกีดขวางออกไปได้ทาให้เราเป็นตัวของตัวเองเป็นบุคคลท่ีมีความเป็นมิตร มีกิริยาท่าทางเป็น
ธรรมชาติ จะช่วยใหผ้ ู้ฟงั มีทัศนคตทิ ่ีดี และใหก้ ารสนับสนนุ ตง้ั แต่เรม่ิ ต้นการพดู

ในการนาเสนอมีข้อพึงระวงั ไดแ้ ก่
1.1 การพูดผิด ๆ ถูก ๆ ทาให้ผู้ฟังเกิดความสับสน ไม่เข้าใจ ผู้นาเสนอควรนึกถึงความรู้สึก

ของผูพ้ ดู ปรบั ปรงุ การพูดโดยการพูดให้ช้าลง และชดั เจนมากย่ิงขึน้
1.2 ความลังเล การหยุดพูดบ่อย ๆ หรือแสดงอาการลังเลโดยการใช้คาว่า “เอ้อ อ้า” แสดง

ถึงความไมม่ ่นั ใจในตวั เอง หรือผู้นาเสนออาจมีความรใู้ นเรือ่ งท่ีพดู ไม่ดีพอจนไม่สามารถพูดต่อได้ จึงควรฝึกซ้อม
บอ่ ย ๆ และเตรียมความพร้อมเกย่ี วกบั ขอ้ มลู ให้มากขนึ้

1.3 การพูดซ้าซาก คาพูดที่ผู้พูดมักพูดจนติดเป็นนิสัย เช่น คาว่า “คือว่า” “จุดสาคัญคือ”
เป็นต้น การพูดซ้าซากมีผลเสียต่อการนาเสนอ คือ เม่ือผู้นาเสนอพูดบ่อยจนเกินไป จะทาให้ผู้ฟังเกิดความ
ราคาญ หรืออาจเห็นเป็นเร่ืองตลก ทาให้ผู้ฟังสนใจจับผิดซ่ึงเป็นการเบี่ยงเบนความสนใจไปจากเน้ือหาที่
นาเสนอ ผู้นาเสนอจึงควรฝึกพูดโดยพยายามไมพ่ ดู คา ๆ นั้น

1.4 การแสดงออกทางสีหน้า สื่อความหมายถึงความคิด ความรู้สึกในใจ แต่ละคนมักจะ
แสดงออกแตกต่างกนั ไป ผนู้ าเสนอบางคนสามารถควบคุมสีหน้าของตนได้ดี จนไม่สามารถทราบได้ว่าเขากาลัง
มีความรู้สึกท่ีแท้จริงอย่างไร ซึ่งอาจคิดได้ว่าเขาไม่มีความเป็นธรรมชาติ ไม่มีความเป็นตัวของตัวเอง การ
ควบคุมการแสดงออกทางสีหน้าเป็นผลดีต่อการนาเสนอ เพราะหากผู้นาเสนอมีความรู้สึกไม่พอใจผู้ฟังก็จะไม่
แสดงออกอาการโกรธออกมาทางสหี นา้ ทาใหบ้ รรยากาศการนาเสนอไมต่ งึ เครียดไปด้วย

1.5 การวางสายตาไม่เหมาะสม ผู้นาเสนอควรใช้สายตาในการสบตากับผู้ฟัง แต่ละคนเพ่ือ
ตรวจสอบดูว่าผู้ฟังมีความสนใจในการนาเสนออยู่หรือไม่ ไม่ควรจ้องมองผู้ฟังจนทาให้เขารู้สึกอึดอัด หรือการ
ละสายตาจากผู้ฟังมองเพดานเป็นระยะเวลานาน

1.6 การแดสงกริ ิยาซา้ ซาก ผู้นาเสนอบางคนอาจมีกิริยาบางอย่างที่มักทาซ้าซากโดยท่ีเขาไม่
รสู้ กึ ตัว เช่น การสะบดั ผม เคาะโตะ๊ ใช้มอื เท้าเอว เป็นต้น ซ่ึงกิริยาเหล่าน้ีถ้าทาบ่อย ๆ ขณะที่กาลังนาเสนอจะ
ทาให้ผ้ฟู งั ราคาญ และทาลายความสนใจของผู้ฟังจากเรือ่ งนาเสนออยู่

2. ภาษา กฎของการพดู ภาษาไทย ทส่ี าคัญท่สี ดุ คือ
2.1 ใหใ้ ช้คาพูดและประโยคสั้น ๆ ง่าย
2.2 ใช้รูปประโยคตรง ๆ และคาพูดท่ีระบชุ ัดเจนมากกวา่ ประโยคยอกยอ้ นหรือพูดลอย ๆ
2.3 การพดู เรอื่ งท่ัว ๆ ไป ใหใ้ ชว้ ธิ ีการยกตวั อยา่ ง
2.4 หลกี เลีย่ งการใชศ้ ัพท์เทคนิค นอกจากจะแนใ่ จว่าคนฟงั ค้นุ เคยกบั คาเหล่านี้ ถ้าเล่ียงไม่ได้

ให้อธิบายเพมิ่ เติม
2.5 เตรียมคาพดู ที่จะพูดมาใหม้ ากทสี่ ดุ แต่อย่าอ่านหรอื ทอ่ งเปน็ คา ๆ ใหค้ นฟัง

55

2.6 ใช้คาและภาษาของตัวเองแบบที่ใชใ้ นการสนทนาธรรมดา ไม่ใชภ่ าษาเขยี น
2.7 ขยายความกระจา่ งของข้อความดว้ ยตวั อย่างท่ีเจาะจง
3. ภาพประกอบ แม้เป็นการนาเสนองานเล็ก ๆ อย่างน้อยผู้นาเสนอก็ควรจะเตรียมกระดาษขาว
แผ่นใหญ่และปากกา สาหรับใช้แสดงภาพหรือคานวณให้ผู้ฟังดู นอกจากน้ีควรเตรียมอุปกรณ์ ต่าง ๆ ที่จะใช้
ประกอบการพดู เพื่อประโยชน์ 3 ข้อ คอื
3.1 เพื่อให้ง่ายต่อการเข้าใจ โดยการแปลงตัวเลขทางสถติ ิเปน็ รูปแผนภูมิ และกราฟ
3.2 ใช้แผ่นภาพอธิบายคาพูดท่ีซับซ้อน หรือเพ่ือขยายความ เพ่ือทาให้เข้าใจง่ายขึ้น ชัดเจน
ขึ้น และส้นั ข้นึ ด้วยการใช้รูปภาพ ภาพวาด แผนภูมิ หรือสินค้าตวั อยา่ ง
3.3 ใช้แผ่นภาพเพอ่ื ชกั จงู ใจ และทาให้การนาเสนองานชวนติดตาม เพราะใช้ภาพ ๆ เดียวมี
ค่ามากกว่าคาพูดนับพันคา และภาพยังสามารถติดตรึงอยู่ในสมองของคนดูไปได้นานแสนนาน หลังจากท่ีผู้
นาเสนอพูดจบแลว้ ดังนัน้ การใช้ภาพนาเสนอประกอบคาพูดย่อมเปน็ การชักจูงใจทีด่ ีกว่า
4. รายละเอียดในการนาเสนอ ปัญหาที่เกิดขึ้นเสมอในการนาเสนองาน คือ ตัดสินใจเรื่องการเสนอ
รายละเอียด โดยเฉพาะอย่างย่ิงในการเสนองานทมี่ ีกลุ่มผู้ฟังเป็นผเู้ ช่ยี วชาญนงั่ อย่รู ่วมกันกับผู้ฟังธรรมดา ทางที่
ดีควรหลีกเล่ียงการพูดถึงข้อมูลท่ีมีรายละเอียดมากเกินไป แต่ควรใช้วิธีเตรียมเป็นเอกสารไว้แจกผู้เข้าฟัง
ภายหลัง ผู้นาเสนอไม่ควรแจกก่อนเพราะจะทาให้ผู้ฟังบางกลุ่มสนใจแต่เอกสารท่ีแจก หรืออีกวิธีหนึ่ง คือ ใช้
ผู้เช่ียวชาญเฉพาะด้านมาเป็นผู้บรรยายผู้เชี่ยวชาญทางเทคนิค ท่ีมาเข้ารับฟังเป็นการเสริมพลัง เป็นการพูด
เสริมใหเ้ ฉพาะกลุ่มหรือจะเปิดโอกาสใหผ้ ูเ้ ชยี่ วชาญเป็นผู้ตอบปญั หาทางด้านเทคนคิ หลงั จากทพ่ี ูดจบแล้ว
5. ความรู้สึกนึกคิด ในการนาเสนอแต่ละครั้งผู้นาเสนอทราบว่าจะนาเสนออะไร วัตถุประสงค์อะไร
ในการนาเสนอ แต่ผู้นาเสนอไม่สามารถทราบความต้องการ ความรู้สึกนึกคิดของผู้ฟังได้ ทาให้ไม่ทราบว่าจะ
นาเสนออย่างไรให้ตรงกับความต้องการของผู้ฟัง ผู้นาเสนอสามารถทราบความคิดของผู้ฟังได้ โดยหาเป็นผู้ฟัง
กลุม่ เล็ก ๆ ผนู้ าเสนอสามารถสอบถามจากผู้ฟังได้ เช่น การถามว่า ปัจจุบันผู้ฟังใช้วิธีการดาเนินงานด้วยระบบ
ใดอยู่ เคยคิดว่าจะเปล่ยี นแปลงอย่างไร คิดว่าอะไรมีความสาคัญมากน้อยกว่ากันแค่ไหน สิ่งเหล่าน้ีนอกจากจะ
ช่วยใหผ้ ู้นาเสนอไดท้ ราบขอ้ มลู และแนวทางการพูด มีคา่ แล้ว ยังช่วยทาลายกาแพงกั้นทาให้คนฟังได้มีส่วนร่วม
ในการนาเสนอดว้ ย และการเปล่ียนแปลงลักษณะการพูดเป็นการบรรยายท่ีให้ผู้นาเสนอมีหน้าท่ีพูด ส่วนผู้ฟังมี
หน้าท่ฟี งั เพียงอยา่ งเดยี ว เปน็ การพดู คุยแบบเป็นกนั เอง
6. การยอมรับ ไม่ว่าเร่ืองท่ีนาเสนอจะมีความเพียบพร้อม สมบูรณ์แบบแค่ไหนก็อาจมีขีดจากัดและ
ข้อเสียได้ ผู้นาเสนอจึงควรยอมรับข้อเสียท่ีเกิดข้ึน การยอมรับข้อเสียจะทาให้ผู้นาเสนอ รู้ขอผิดพลาดของ
ตนเอง พยายามหาสาเหตุของความผิดพลาดหรือเสยี หายทเ่ี กิดข้ึน เมอื่ ปรับปรุงการนาเสนอในคร้ังต่อไป
7. สรปุ ปดิ ทา้ ย ก่อนสิ้นสุดการนาเสนอเป็นชว่ งสาคญั เชน่ เดยี วกบั การเร่มิ ตน้ การนาเสนอ ผู้นาเสนอ
ควรให้ความสาคัญในการสรุปิดปิดท้าย ไม่ควรพูดสรุปการนาเสนอแบบเล่ือนลอย แต่ควรปิดฉากการนาเสนอ
งานให้ดีที่สุด พยายามทาให้ผู้ฟังมีความรู้สึกประทับใจ ไม่ควรพูดยาวหรือซับซ้อนจนเกินไป ผู้นาเสนอต้องมี
การเตรียมความพร้อมล่วงหน้าเป็นอยา่ งดี
การเตรยี มปิดฉากการนาเสนอ ผู้นาเสนอควรย้อนกลับไปดูวัตถุประสงค์ของการนาเสนอเพ่ือ
กาหนดบทสรุปที่จะใช้กลา่ วกอ่ นปดิ การนาเสนอ โดยวธิ ีการปิดการเสนอ โดยสว่ นใหญ่มีวธิ ีการดงั น้ี

56

7.1 การขอความเห็น
- ขอความคิดเห็นเพื่อทดสอบข้อสมมตฐิ าน
- คาถามประเภทของความคดิ เห็น ชว่ ยลดช่องว่าระหว่างผูน้ าเสนอและผู้ฟัง

ทาให้ผ้ฟู งั ไดม้ ีส่วนรว่ มในการแสดงความคิดเหน็
7.2 การสรปุ ปดิ ฉาก
- สรปุ ขอ้ เท็จจรงิ และขอ้ โต้แย้งหลัก ๆ
- เสนอข้อแนะนาส่งิ ต่าง ๆ ท่จี ะต้องทา
- ถ้าข้อเสนอนะได้รับความเห็นชอบ ให้เสนอขั้นตอนต่อไปว่าจะต้องทา

อยา่ งไรตอ่
- อธบิ ายรายละเอยี ดของเอกสารประกอบ
- การกลา่ วขอบคุณผูฟ้ งั
- เปดิ โอกาสให้ผฟู้ งั ไดซ้ ักถาม

8. คาถาม ถ้าผู้ฟงั มีจานวนมากก็อาจไมจ่ าเป็นตอ้ งเปิดโอกาสให้ถาม อาจจะกล่าวว่าเพราะมีคนเป็น
จานวนมากและแต่ละคนให้ความสนใจต่างกัน จึงขอตอบคาถามหลังจากจบการนาเสนอแล้ว หรือการเปิด
โอกาสให้ผู้ฟังถามโดยกาหนดให้ถามในจานวนจากัด แต่หากเป็นการนาเสนอในกลุ่ม เล็ก ๆ ผู้นาเสนอควรเปิด
โอกาสให้ถามได้ คาถามของผู้ฟังจะเป็นส่ิงที่แสดงถึงความสนใจของผู้ฟังคาถามบางอย่างก็อาจเป็นประเด็นท่ีผู้
นาเสนอคาดไมถ่ งึ และเปน็ ข้อมลู ในการนาเสนอคร้งั ตอ่ ไป

9. ปฏกิ ริ ยิ าตอ่ คาถามที่ยากลาบาก หรือคาถามประเภทกวนเมือง วิธีการที่ดีที่สุดคือ การยับย้ังการ
ตอบคาถามโดยใช้อารมณ์ที่เกิดข้ึนในใจของผู้นาเสนอ ควรพยายามคิดพิจารณาคาถามน้ันใหม่ หรือจะขอให้ผู้
ถามอธิบายคาถามใหก้ ระจ่างมากขน้ึ เพ่ือทบทวนคาถาม และหาจังหวะเวลาเพอ่ื แกไ้ ขสถานการณ์ต่อไป

10. ภายหลังการเสนองาน หลังจากเสรจ็ ส้ินการนาเสนอแล้ว ผู้นาเสนอมักเกิดความรู้สึกม่ันใจ หรือ
ภูมิใจท่ีได้รับคาชม แต่ความรู้สึกด้านอารมณ์น้ีจะจางหายไป สิ่งท่ีควรคานึงถึง คือ ควรนาการนาเสนอขึ้นมา
พิจารณาใหม่อย่างเปิดกว้างให้มากขึ้น ด้วยเหตุนี้จึงควรนาเพื่อนร่วมงานไปร่วมในการนาเสนองาน เพื่อให้
ประเมินผลว่ามีส่วนใดดีหรือไม่ดีอย่างไร เป็นการวิเคราะห์ผลการนาเสนองานหลังจากที่ได้นาเสนอไปแล้ว ซึ่ง
เปน็ สงิ่ ทมี่ คี วามสาคญั มากท่จี ะชว่ ยให้ผู้นาเสนอสามารถพัฒนาเทคนิควธิ ีการนาเสนอใหก้ ้าวหนา้ มากย่งิ ข้นึ

กลยุทธ์สาหรับการนาเสนอ

กลยุทธ์หรือยุทธวิธีสาหรับการนาเสนอ คือ แผนการ วิธีการ ท่ีนามาใช้ในการดาเนินการนาเสนอ
เพอ่ื ให้ประสบความสาเร็จ ประกอบด้วย 4 กลยทุ ธ์ ดงั นี้

1. กลยุทธ์ในการมดั ใจผฟู้ งั
2. กลยุทธใ์ นการระบุวัตถปุ ระสงค์
3. กลยทุ ธ์ในการเรียกร้องความสนใจจากผฟู้ งั
4. กลยุทธใ์ นการสร้างความเชื่อถือ

57

1. กลยุทธ์ในการมัดใจผู้ฟัง เป็นวิธีการในการสร้างสัมพันธภาพท่ีดีระหว่างผู้นาเสนกับผู้รับฟังการ
นาเสนอ เพื่อให้ผู้รับฟังการนาเสนอเกิดความรู้สึกที่ดีต่อผู้นาเสนอ เม่ือผู้รับฟังการนาเสนอเกิดทัศนคติท่ีดีต่อผู้
นาเสนอจะช่วยให้ผู้รับฟังเกิดความสนใจ ตั้งใจฟังการนาเสนอ ผู้นาเสนอสามารถปฏิบัติตามกลยุทธ์เพื่อมัดใจ
ผู้ฟังตามวธิ ีการต่อไปน้ี

1.1 การแสดงความเปน็ มิตร ผ้นู าเสนอจะตอ้ งปฏบิ ัติตนตามสบาย ไม่เกร็งมากเกินไป เพราะ
การเกร็งจะทาให้ผู้นาเสนอดูเคร่งขรมึ ทาใหบ้ รรยากาศในการนาเสนอเคร่งเครียดตามไปด้วย ผู้นาเสนอจะต้อง
สร้างความรู้สึกให้ผู้ฟังรู้สึกว่ากาลังได้รับการถ่ายทอด แบ่งปันข้อมูลความรู้จากเพื่อน แสดงความเป็นมิตรกับ
ผู้ฟังทงั้ ทางใบหน้า ทา่ ทาง นา้ เสียง จะทาใหบ้ รรยากาศในการนาเสนออบอนุ่ และผ่อนคลาย

1.2 การแสดงความเคารพ เป็นการแสดงความเอาใจใส่ต่อผู้ฟัง ให้โอกาสผู้ฟังในการถาม
คาถาม ตอบคาถาม และยอมรับคาวิจารณ์จากผู้ฟัง โดยไม่แสดงอาการโกรธเคืองต่อคาวิจารณ์ เพราะคา
วจิ ารณจ์ ากผูฟ้ งั จะเปน็ ประโยชนต์ อ่ ผู้นาเสนอในการปรบั ปรุงการนาเสนอในครง้ั ต่อไป

1.3 ไม่สรา้ งความอับอายให้แก่ผู้ฟัง คาถามท่ีถูกถามบางข้ออาจเป็นคาถามที่ทาให้ผู้นาเสนอ
รู้สึกวา่ เป็นคาถามงา่ ย ๆ หรืองา่ ยมาก ๆ ทบี่ ุคคลท่วั ไปก็คงจะทราบคาตอบ แตผ่ ู้นาเสนอก็ไม่ควรแสดงอาการดู
ถูก ตาหนิ หรืออาการอยา่ งใดอยา่ งหนงึ่ ทีจ่ ะทาใหผ้ ู้ถามรสู้ กึ เสียหน้า และอับอายให้แก่ผู้ฟังที่ถามคาถาม จะทา
ใหเ้ กดิ ความรูส้ กึ อับอาย และเกดิ ทัศนคติทไ่ี มด่ ตี ่อผ้นู าเสนอ ทาให้เขาไม่กลา้ และไม่ยอมให้ความร่วมมอื อกี

1.4 นาเสนออย่างใจเย็น ผู้นาเสนอไม่ควรจะรีบร้อนเกินไปในการนาเสนอ การรีบนาเสนอ
เกนิ ไปจะทาใหผ้ ู้นาเสนอสบั สนจนลืมใจความสาคัญไป ทาให้ผู้รับฟังคิด พิจารณาและวิเคราะห์ตามไม่ทัน ผู้นา
เสนอจึงควรนาเสนออย่างใจเย็น หยุดเปน็ ระยะ บรรยายอยา่ งชดั เจน และเน้นใจความสาคญั

1.5 ไม่หลงตัวเอง โดยธรรมชาติของมนุษย์มักมีความพอใจในการได้รับคากล่าวชม เยินยอ
จากผู้อ่ืน และมักมีความรู้สึกไม่พอใจในบุคคลท่ีหลงตนเอง ชอบอวดอ้างความดีงามของตนเองในการนาเสนอ
บางประเภท ผูน้ าเสนอตอ้ งแนะนาตนเอง และกล่าวถึงคุณสมบัติหรือความสามารถบางประการท่ีเก่ียวข้องกับ
เนื้อหาการนาเสนอ แต่การพูดถึงมากเกินไปจะทาให้ผู้ฟังเกิดความรู้สึกท่ีไม่ดี เบ่ือหน่ายในการฟังได้ ดังนั้น ใน
การนาเสนอผนู้ าเสนอจงึ ควรให้ความสาคัญในเรือ่ งท่นี าเสนอมากกวา่ การอวดอา้ งความดี ความสามารถของตน

2. กลยุทธ์ในการระบุวัตถุประสงค์ การนาเสนอแต่ละครั้งผู้นาเสนอจะต้องมีวัตถุประสงค์ในการ
นาเสนอ แต่บางคร้ังการนาเสนอก็ไม่ได้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่ได้กาหนดไว้ ทาให้ไม่สามารถบรรลุตาม
วตั ถปุ ระสงค์เดมิ ทกี่ าหนดไว้ได้ ผนู้ าเสนอจงึ ควรปฏิบัติดังต่อไปน้ี

2.1 ยึดม่ันในวัตถุประสงค์ ผู้นาเสนอต้องทาความเข้าใจกับตนเองว่าจะดาเนินการนาเสนอ
เพื่อให้บรรลุตามวตั ถปุ ระสงค์ และจะไมห่ ลงปฏิบตั ใิ นสิง่ ท่ีนอกเหนอื ไปจากวัตถปุ ระสงค์ที่กาหนดไว้

2.2 บอกวัตถุประสงค์ให้ผู้รับฟังได้ทราบ ผู้นาเสนอจะต้องบอกวัตถุประสงค์ให้ผู้รับได้ทราบ
เพื่อผฟู้ ังจะได้รับทราบความต้องการ หรอื จุดประสงค์ท่ีผู้นาเสนอต้องการจากผู้ฟังทาให้ผู้ฟังสามารถตอบสนอง
ตอ่ การนาเสนอได้อย่างถกู ต้อง ซึง่ ถอื ไดว้ ่าเป็นการส่อื สารระหวา่ งผู้นาเสนอและผู้ฟังอยา่ งถูกตอ้ ง สมบูรณ์

2.3 เปลยี่ นมมุ มองจากผนู้ าเสนอเปน็ ผูฟ้ ัง การเปน็ ผู้นาเสนอเพยี งฝาุ ยเดียวก็จะรับรู้แต่หน้าท่ี
ของตนที่เป็นฝุายท่ีนาเสนอ นาเสนอในสาระข้อมูล ความรู้ที่ต้องการจะให้ผู้ฟังได้ทราบแต่ในบางครั้งข้อมูลท่ี
ส่งไปใหก้ ับผูฟ้ งั อาจไม่ใชส่ งิ่ ทีผ่ ู้ฟังตอ้ งการ ซ่ึงความต้องการของผู้ฟังนี้เปน็ ส่งิ ที่ผูน้ าเสนอควรใหค้ วามสนใจมาก

58

ท่ีสุด ผู้นาเสนอจึงควรพิจารณาในฐานะของผู้ฟังว่าหากเป็นตนผู้ฟังแล้วจะต้องการส่ิงใดจากผู้นาเสนอ เพ่ือนา
แนวความคิดทีไ่ ด้มาใชใ้ นการนาเสนอและกาหนดวัตถปุ ระสงค์ให้ถูกต้อง

3. กลยุทธ์ในการเรียกร้องความสนใจจากผู้ฟัง ไม่ว่าจะเป็นการนาเสนอในรูปแบบใด สถานท่ีใด
หรือด้วยวัตถุประสงค์ใดก็ตาม สิ่งที่ผู้นาเสนอต้องการท่ีสุดก็คือ การบรรลุตามวัตถุประสงค์ ซ่ึงสามารถเป็นไป
ได้จากการตอบสนองของผู้ฟังที่เป็นเปูาหมายสาคัญในการนาเสนอ การให้ความสนใจในการนาเสนอของผู้ฟัง
จึงนับได้ว่าเป็นบันได้ข้ันสุดท้ายท่ีจะนาไปสู่จุดหมายปลายทาง ผู้นาเสนอจึงต้องมีทักษะในการเรียกร้องความ
สนใจ ซ่งึ สามารถปฏบิ ตั ไิ ดด้ งั นี้

3.1 เรยี นรู้ทกั ษะในการเรยี กรอ้ งความสนใจ ผนู้ าเสนอไม่จาเป็นต้องเรียนรู้ทักษะนี้เฉพาะกับ
ผู้มีความเชี่ยวชาญ หรือผู้มีความสามารถเฉพาะด้านเพียงอย่างเดียว แต่สามารถเรียนรู้ได้จากการชมรายการ
โทรทัศน์ต่าง ๆ ท่ีมีการสร้างความต่ืนเต้น น่าสนใจ และน่าติดตามให้แก่ผู้ชม ผู้นาเสนอสามารถนามา
ประยกุ ตใ์ ชใ้ นการเรยี กร้องความสนใจจากผฟู้ งั ได้

3.2 เปิดโอกาสให้ผู้ฟังมีส่วนร่วม การพูดโดยผู้นาเสนอเพียงอย่างเดียว และใช้เวลา นาน ๆ
อาจทาให้ผ้รู ับฟงั การนาเสนอรสู้ ึกเบ่อื หนา่ ยได้ ผนู้ าเสนอควรเปิดโอกาสให้ผ้ฟู ังได้มีสว่ นรว่ มในการนาเสนอด้วย

3.3 การนาส่ือมาใช้ จะช่วยให้การนาเสนอน่าสนใจ และเข้าใจได้ง่ายมากยิ่งข้ึนแต่ผู้นาเสนอ
ควรจะเลือกส่ือที่มีความเหมาะสมกับเร่ืองที่นาเสนอ สถานที่ งบประมาณ ฯลฯ เพ่ือให้การนาเสนอมี
ประสิทธภิ าพมากทส่ี ดุ

3.4 การกลา่ วถงึ เรื่องที่อยู่ในความสนใจ ผ้นู าเสนอจะตอ้ งพิจารณาว่าผู้ฟังเป็นบุคคลประเภท
ใด มเี พศ อายุ การศึกษา ทางานอะไร ส่ิงเหล่านี้ล้วนมีความสาคัญต่อการเลือกเน้ือหาท่ีจะนามาใช้เสริมในการ
นาเสนอ เพื่อให้ผู้ฟังเกิดความสนใจในการนาเสนอ เช่น ผู้ฟังเป็นเพศชาย วัยรุ่น มีการศึกษาในระดับปริญญา
ตรี ผู้นาเสนอจงึ ควรนาเร่ืองท่ีอยู่ในความสนใจของบุคคลประเภทนี้มาใช้ คือ เรื่องกีฬา ดนตรี หรือหาผู้ฟังเป็น
เดก็ เร่ืองทีน่ ามาใช้ก็ควรจะเป็นเร่ืองเก่ยี วกบั นิทาน การ์ตนู เป็นตน้

4. กลยุทธ์ในการสร้างความเชื่อถือ ความเชื่อถือเป็นสิ่งสาคัญทางด้านจิตใจของมนุษย์ เพราะหาก
บุคคลไม่มีความเช่ือถือกันผู้ฟังไม่มีความเชื่อถือในตัวผู้นาเสนอจะพยายามโน้มน้าวจิตใจผู้ ฟังด้วยวิธีการใดก็
ตาม ก็ไมส่ ามารถทาให้ผู้นาเสนอเกิดความสนใจในเรื่องท่นี าเสนอได้

ผู้นาเสนอจึงต้องสร้างความน่าเชื่อถือให้กับตนเอง เพื่อให้ผู้ฟังเกิดความเช่ือถือโดยการปฏิบัติตาม
ข้นั ตอนตอ่ ไปนี้

4.1 การแสดงความสามารถ ผู้นาเสนอต้องแสดงความสามารถของตนให้เร่ืองท่ีจะทาให้ผู้ฟัง
เกิดความเช่ือถือ แสดงความเช่ียวชาญในด้านท่ีเก่ียวกับเรื่องน้ัน ๆ ผู้ฟังจะมีความรู้สึกเช่ือมั่นในความสามารถ
ของผู้นาเสนอ

4.2 การแสดงถึงบุคลิกภาพที่ดี บุคลิกภาพ คือ ลักษณะพิเศษเฉพาะของแต่ละบุคคล อันทา
ให้บคุ คลนั้นแตกต่างจากบุคคลอื่น ๆ บุคลิกภาพประกอบด้วย รูปสมบัติและคุณสมบัติบุคคลที่มีบุคลิกภาพที่ดี
ทง้ั รูปสมบตั ิแลคณุ สมบตั ิย่อมสง่ ผลใหเ้ ปน็ บุคคลที่มีความนา่ เชอื่ ถือ

4.3 รักษาคาพูด ในการให้คาม่ันสัญญาใด ๆ ผู้นาเสนอต้องให้ความสาคัญ จดจาคามั่น
สญั ญาทต่ี นไดใ้ หไ้ ว้กับผู้นาเสนอ และทาตามคาสญั ญา ซง่ึ จะทาใหผ้ ู้ฟงั เกิดความรสู้ กึ ว่าผ้นู าเสนอมคี วาม

59

น่าเช่ือถือเพราะเป็นคนรักษาสัจจะสัญญา ไม่ว่าผู้ฟงั จะตกลงทาสญั ญาใด ๆ กับผู้นาเสนอก็จะสามารถเช่ือได้ว่า
ผนู้ าเสนอจะทาตามสัญญาทไี่ ดใ้ หไ้ ว้

4.4 การตอบคาถาม การนาเสนอประเภทใดก็ตามผู้นาเสนอจะต้องมีความรู้ ความเข้าใจ
ความชานาญ และทักษะในเร่ืองที่นาเสนอ เพื่อท่ีจะได้สามารถถ่ายทอดข้อมูลท่ีมีให้กับผู้ฟังได้เข้าใจ สิ่งใดที่ผู้
นาเสนอไมม่ ีความเข้าใจหรือเข้าใจเพียงเล็กน้อยก็ควรจะหาข้อมูลเพ่ิมเติมเพราะข้อมูลบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับ
เร่ืองที่นาเสนออาจอยู่ในความสนใจของผู้ฟัง หากผู้นาเสนอมีความรู้ ความเข้าใจเพียงเล็กน้อยก็ควรจะหา
ข้อมูลเพิ่มเติม เพราะขอ้ มูลบางอย่างท่ีเกีย่ วช้องกบั เร่อื งท่ีนาเสนออาจอยู่ในความสนใจของผู้ฟัง หากผู้นาเสนอ
มีความรู้ ความเขา้ ใจในเร่อื งท่ีนาเสนอไมด่ ีพอ กอ็ าจทาใหผ้ ู้ฟังเกดิ ขอ้ โตแ้ ย้งในข้อมูลทีน่ าเสนอได้

บคุ ลิกภาพของผนู้ าเสนอ

คาว่า "บคุ ลิกภาพ" (personality) ซ่ึงเป็นลกั ษณะเฉพาะของบุคคล ท่ีบ่งบอก ความแตกต่างระหว่าง
บุคคล ได้มีผใู้ ห้ความหมายไว้ต่าง ๆ กันดังต่อไปนี้

เออร์เนส อาร์.ฮิลการ์ด (Hilgard 1962:447) กล่าวว่า บุคลิกภาพ เป็นลักษณะ ส่วนรวมของบุคคล
และการแสดงออกของพฤติกรรม ซ่ึงช้ีให้เห็นความเป็น ปัจเจกบุคคล ในการปรับตัวต่อสิ่งแวดล้อม รวมถึง
ลักษณะทสี่ ง่ ผลส่กู ารติดต่อ สัมพันธ์กับผู้อน่ื ไดแ้ ก่ ความรูส้ กึ นับถอื ตนเอง ความสามารถ แรงจูงใจ ปฏิกิริยาใน
การเกิดอารมณ์ และลกั ษณะนิสยั ทสี่ ะสมจากประสบการณช์ ีวติ

ฟิลลิป จี.ซมิ บารโ์ ด และฟลอยด์ แอล.รูช (Zimbardo and Ruch 1980:292) อธิบายว่า บุคลิกภาพ
เป็นผลรวมของลักษณะ เชิงจิตวิทยาของบุคคล แต่ละคน มีผลต่อการแสดงออกซ่ึงพฤติกรรมหลากหลายของ
บุคคลนั้น ทั้งส่วนท่ีเป็นลักษณะภายนอก ท่ีสังเกตได้ง่าย และพฤติกรรมภายในที่สังเกตได้ยาก ลักษณะที่
หลากหลายดงั กลา่ วส่งผลให้บุคคลแสดงออกต่างกันใน แต่ละสถานการณ์และช่วงเวลา

ริชาร์ด ซี.บุทซิน และคณะ (Bootzin and others 1991:502) ให้ความหมายว่า บุคลิกภาพเป็น
ลักษณะนิสัย และรูปแบบของความคดิ ความรู้สกึ และการประพฤติปฏบิ ัติของบุคคลแต่ละคน

อัลชลี แจ่มเจริญ (2530:163) ให้ความหมายว่า บุคลิกภาพ หมายถึงลักษณะส่วนรวมของบุคคล
ท้ังหมด ท่ีแสดงออกมาปรากฎ ให้คนอื่นได้รู้ได้เห็น ซึ่งแตกต่างกันเพราะภาวะส่ิงแวดล้อมที่สร้างตัวบุคคลน้ัน
แตกต่างกันประการหนึ่ง และพันธุกรรม ท่ีแต่ละบุคคล ได้มาก็แตกต่างกัน ไปอีกประการหน่ึง จากคาจากัด
ความและความหมายของ "บุคลิกภาพ" ท่ีกล่าวมา สรุปได้ว่า บุคลิกภาพ คือตัวบุคคลโดยส่วนรวม ท้ังลักษณะ
ทางกาย ซึ่งสังเกตได้ง่าย อันได้แก่รูปร่างหน้าตากิริยาท่าทาง น้าเสียง คาพูด ความสามารถทางสมอง ทักษะ
การทากิจกรรมต่าง ๆ และลักษณะทางจิต ซึ่งสังเกตได้ค่อนข้างยาก ได้แก่ ความรู้สึกนึกคิด เจตคติ ค่านิยม
ความสนใจ ความมุ่งหวัง อุดมคติ เปูาหมาย และความสามารถในการปรับตัว ให้เข้ากับสิ่งแวดล้อม ลักษณะ
ดังกล่าวมที ีม่ าจากพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อมของแต่ละคน ส่งผลสู่ความสามารถในการปรับตัว ต่อสิ่งแวดล้อม
และความแตกตา่ งระหว่างบคุ คล

วธิ กี ารนาเสนอ
ในการนาเสนอด้วยวาจา คุณสมบัติอันเป็นลักษณะประจาตัวของผู้นาเสนอ ถือได้ว่าเป็นส่วน

สาคญั ของความสาเรจ็ ในการนาเสนอ เพราะคุณสมบัติของผ้นู าเสนอจะมีอิทธิพลต่อการโน้นนา้ วชกั จูงใหเ้ กดิ

60

ความสนใจ ความไว้วางใจ เช่ือถือ และการยอมรับได้มาก เท่ากับหรือมากกว่าเน้ือหาท่ีนาเสนอผู้นาเสนอที่
ประสพความสาเรจ็ สว่ นใหญ่ จะมีคุณสมบตั ิดงั ต่อไปน้ี

1. มบี ุคลกิ ดี
2. มีความร้อู ยา่ งถ่องแท้
3. มคี วามนา่ เชื่อถือไวว้ างใจ
4. มีความเชอื่ มน่ั ในตนเอง
5. มภี าพลกั ษณ์ทดี่ ี
6. มนี ้าเสยี งชดั เจน
7. มจี ติ วิทยาโนน้ นา้ วใจ
8. มคี วามสามารถในการใช้โสตทศั น์อปุ กรณ์
9. มีความชา่ งสงั เกต
10. มีไหวพริบปฏภิ าณในการคาถามดี
การนาเสนอเป็นหนึ่งใน ทักษะท่ีทุกคนจะต้องฝึกฝนให้เกิดข้ึนแก่ตน เพราะเป็นทางนามาซ่ึง
ความสาเร็จในการนาผลงาน แผนงาน โครงการและความคิดต่าง ๆ เสนอเพ่ือให้มีการรับรอง หรือ อนุมัติ
นบั วา่ เป็นสิงสาคัญอย่างย่ิงในการทางานและการดาเนนิ ชีวติ

ทักษะของผู้นาเสนอ

ผู้นาเสนอจะต้องศึกษาและฝึกฝนตนเองให้มีทักษะหลายด้าน เพ่ือเตรียมความพร้อมในการเป็นผู้
นาเสนอท่ีดี เพราะผู้นาเสนอเป็นปัจจัยสาคัญในความสาเร็จของการนาเสนอ โดยท่ัวไปผู้นาเสนอจะต้อง
เสริมสร้างทักษะดังต่อไปน้ี

1. ทักษะในการคิด (conceptual skill) ผู้นาเสนอจะต้องเรียนรู้ และ สร้างความชานาญ
ชัดเจนในการคิดแม้ว่าจะมีเน้ือหาสาระจากข้อมูลที่มีอยู่ ผู้นาเสนอก็จะต้องคิดพิจารณาเลือกใช้ข้อมูล และ
ลาดบั ความคิด เพือ่ จะนาเสนอให้เหมาะแกผ่ รู้ บั การนาเสนอ ระยะเวลา และโอกาส

2. ทกั ษะในการฟงั (listening skill) ผ้นู าเสนอจะต้องสดับรับฟัง และสั่งสมปัญญาเป็นการ
รอบรู้จากการได้ฟัง ผู้รู้และผู้เชี่ยวชาญในเร่ืองท่ีจะนาเสนอเพ่ือนามากล่ันกรอง เรียบเรียงเป็นเนื้อหาในการ
นาเสนอ

3. ทักษะในการพดู (speaking skill) ผู้นาเสนอจะตอ้ งฝกึ ฝนการพดู เพื่อบอกเลา่
เนือ่ งโนน้ น้าวจูงใจ ใหผ้ ู้รับฟงั การนาเสนอเหน็ ด้วย อันจะเป็นทางทาให้บรรลวุ ตั ถปุ ระสงคข์ องการนาเสนอ

4. ทักษะการอ่าน (reading skill) ผู้นาเสนอจะต้องเป็นนักอ่านท่ีมีความชานิชานาญ
ชดั เจนในการส่งั สมข้อมูล สามารถประมวลความรู้นามาใช้ในการนาเสนอได้เพียงพอแก่ความต้องการของผู้รับ
การนาเสนอ

5. ทกั ษะในการเขยี น (writing skill) ผูน้ าเสนอจะต้องเสรมิ สร้างทักษะการเขียนเพราะการ
เขียนเป็นการแสดงความคิด ความเชื่อ ความรู้ ความรู้สึก อารมณ์ และ ทัศนคติ ของผู้เขียนให้ผู้อ่านได้ทราบ
โดยใช้ตัวอักษร การนาเสนอด้วยการเขียนจึงต้องมีความประณีต พิถีพิถันในการเลือกใช้คาด้วยการรู้
ความหมายที่แทจ้ รงิ ของถ้อยคา และใช้ถ้อยคาให้ถูกต้องเหมาะสม

61

6. ทักษะในการถ่ายทอด (delivery skill) ผู้นาเสนอจะตอ้ งฝึกฝนการถ่ายทอดเนื้อหาสาระ
ให้เกิดความเข้าใจถูกต้องตรงตามวัตถุประสงค์ด้วยวิธีนาเสนอในรูปแบบท่ีเ หมาะสมกับวัตถุประสงค์และ
สถานการณ์ในการนาเสนอ

บคุ ลกิ ภาพขณะนาเสนอ
บคุ ลิกภาพขณะนาเสนอ คอื สภาวะทุกอย่างของผู้นาเสนอ ท้ังสภาวะทางกายและจิตใจ ซ่ึง

มีอิทธพิ ลตอ่ การกระทาในระหว่างการนาเสนอ บุคลกิภาพที่ดีเป็นส่ิงสาคัญทาให้เรามั่นใจในขณะพูดและทาให้
ผฟู้ ังเกดิ ความ รสู้ ึกประทบั ใจและสนใจตดิ ตามฟัง โดยไมร่ ู้สกึ เบื่อหรอื งว่ งนอนกอ่ นที่เราจะพูดจบ

บคุ ลิกภาพท่ดี ใี นการนาเสนอนัน้ ประกอบดว้ ย
1. การแต่งกาย
2. การใชภ้ าษา
3. การใช้เสียง/จงั หวะการพูด
4. การแสดงออกท่ีเหมาะสม

การแต่งกาย(Dressing)
การแต่งกายเป็นจุดแรกท่ีดึงดูดสายตาผู้คน เคร่ืองแต่งกายเป็นตัวบ่งบอกถึงบุคลิก นิสัย

ความเปน็ มอื อาชพี ทาใหผ้ ู้ฟงั รสู้ ึกประทับใจก่อให้เกิดทัศนคติท่ีดีอยากตดิ ตาม ฟงั
เทคนคิ การแต่งกาย
1. ผม - เลบ็ ตดั สั้น ให้เป็นระเบยี บเรยี บรอ้ ย
2. เคร่ืองประดับ - ควรมแี ตพ่ อเหมาะ
3. เสอ้ื ผ้า
- แต่งกายใหส้ ะอาด สุภาพ เรียบร้อย สเี รียบ ไมฉ่ ดู ฉาด
- แต่งกายให้เหมาะสมกบั กาลเทศะและสถานที่
- ไม่ควรใส่ กระโปรงยาวหรือส้นั เกนิ ไป (สาหรบั สุภาพสตร)ี
การใช้ภาษา
- ใช้ภาษาให้เหมาะกับกลุ่ม ผู้ฟัง
- ภาษาท่ีใชต้ ้องมีความชดั เจน
- ใชภ้ าษาทส่ี ภุ าพ อักขระถูกตอ้ งและเข้าใจงา่ ย
- กะทัดรัดไดใ้ จความ ไม่ใชค้ าฟุมเฟือย
การใช้เสียง/จงั หวะการพูด
- เป็นธรรมชาติไม่ทุ่มหรือแหลมจนเกนิ ไป
- พดู ด้วยความเร็วทเี่ หมาะสม ไม่เร็วหรือช้าจนเกินไป
- พดู ใหด้ งั และชัดเจน ไมใ่ ชร้ ะดับเสียงเดียว
- ร้จู ักการใช้เสยี งสูง-ตา่ ในการเน้นความหมายอย่างเหมาะสม
การแสดงออกท่เี หมาะสม
1. การใช้สายตา (Eye Contact)

62

2. ภาษากาย (Body Language)
- การน่ังนาเสนอ
- การยืนนาเสนอ
- มือ/แขน
- ใบหนา้ /สีหนา้

63

อา้ งอิง

rungnapa.blogspot.com. บคุ ลกิ ภาพในการนาเสนอ. [ระบบออนไลน์] แหลง่ ท่มี า
http://54020271rungnapa.blogspot.com/2012/01/blog-post_43.html
(18 กันยายน2563)

sites.google.com. คณุ สมบัตขิ องผู้นาเสนอและทักษะผู้นาเสนอ. [ระบบออนไลน์] แหล่งทีม่ า
https://sites.google.com/site/karnasenx/extra-credit (18 กันยายน2563)

sites.google.com. บุคลิกภาพ. [ระบบออนไลน์] แหล่งที่มา
https://sites.google.com/site/personality009/bukhlikphaph (18 กนั ยายน2563)

64

บทที่ 6
การจัดเตรียมวสั ดุ อุปกรณ์ ในการนาเสนองาน

บทนา

วสั ดุ อปุ กรณด์ จิ ิทัลท่ชี ว่ ยในการนาเสนอผลงาน
อุปกรณ์ดิจิทัลที่สามารถถ่ายทอดภาพและเสียงในงานนาเสนอเพื่อให้งานนาเสนอมีคุณภาพ เข้าถึง

ผชู้ มและผู้ฟงั ได้อยา่ งมีประสิทธภิ าพ มดี งั น้ี
1. เครื่องเสียงและเครื่องขยายเสียง ใช้ในการบันทึกเสียงหรือกระจายเสียง ในการ

นาเสนอรูปแบบของการบรรยายเพือ่ ใหผ้ ้รู บั ฟงั ไดย้ ินเสยี งผบู้ รรยายชัดเจนและน่าสนใจ
2. เครื่องคอมพิวเตอร์ จัดเป็นเทคโนโลยีที่มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง รวดเร็ว ซึ่งสามารถ

นามาใช้ในการนาเสนอได้อย่างดีและมีประสิทธิภาพสูง สามารถเช่ือมต่อ กับอุปกรณ์ต่าง ๆ ได้หลายรูปแบบ
คอมพิวเตอร์จึงสามารถนาเสนอข้อมูลได้ทุกรูปแบบอย่างมีประสิทธิภาพ โดยการใช้ซอฟต์แวร์ในการประมวล
ผล และนาเสนอผ่านอปุ กรณ์แสดงผลและอปุ กรณ์ต่อพ่วงตา่ ง ๆ

3. โพรเจกเตอร์ (Projector) เป็นอุปกรณ์ฉายภาพท่ีใช้ในการนาเสนอ โดยสามารถ
รองรบั สัญญาณภาพจากคอมพิวเตอร์ เครื่องเลน่ วีซีดี เคร่อื งเล่นดีวีดี และเคร่ืองกาเนิดภาพอ่ืน ๆ แล้วแสดงผล
ขยายขนาดบนจอรับภาพช่วยให้มองเห็นได้ไกลขึ้น เหมาะสาหรับการนาเสนอข้อมูลในห้องประชุม เพ่ือให้
ผู้เขา้ ร่วมประชุมสามารถมองเห็นภาพหรอื ข้อความได้อย่างชัดเจน

4. วิชวลไลเซอร์ (Visualizer) เป็นอุปกรณ์ฉายภาพระบบดิจิทัลประเภทหนึ่ง ซึ่งพัฒนา
มาจากโอเวอร์เฮดหรือเครื่องฉายข้ามศีรษะ ใช้แสดงภาพวัตถุและเอกสารสู่จอรับภาพท่ีมีอยู่จริงได้เลย โดยไม่
ต้องดัดแปลง อุปกรณ์นี้เหมาะสาหรับใช้ในการนาเสนองานต่าง ๆ โดยเฉพาะครู-อาจารย์ท่ีสอนหนังสือ และ
ใช้ไดด้ ีในการนาเสนอภาพน่งิ มากกว่าภาพเคลื่อนไหว แต่ภาพที่แสดงออกมานั้นก็ให้ความคมชัด มีสีสดใส และ
มโี หมดของการแสดงภาพใหป้ รับการทางานด้วย การควบคมุ การทางานสามารถทาได้โดยใช้รีโมต

5. กล้องถ่ายรูปดิจิทัล (Digital Camera) เป็นอุปกรณ์รับภาพที่เปล่ียนจากฟิล์มมาเป็น
อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ซงึ่ เมอ่ื ถา่ ยรปู ทต่ี อ้ งการแลว้ รูปจะถูกเก็บลงในหน่วยความจา (memory) ที่อยู่ในกล้อง
เมอ่ื ต้องการดูรูปทาได้โดยการถ่ายข้อมูลจากหน่วยความจาลงบนเคร่ืองพิมพ์หรือเคร่ืองคอมพิวเตอร์ ภาพท่ีได้
จะมีขนาดตามที่ต้องการ สามารถย่อหรือขยาย ปรับแสงหรือเงาแล้วแต่ความพอใจหรือจะเพิ่มรูปแบบก็
สามารถทาได้ และเมือ่ จะถ่ายใหม่ กส็ ามารถใชห้ น่วยความจาเดิมไดเ้ ลย โดยไมต่ ้องเสียเงนิ ซือ้ ฟลิ ์ม

6. กล้องถ่ายวีดิทัศน์ดิจิทัล เป็นอุปกรณ์รับภาพท่ีบันทึกข้อมูล ภาพน่ิง ภาพเคล่ือนไหว
และเสียง เก็บไว้ในหน่วยความจาแบบแฟลชภายในกล้อง สามารถย่อหรือขยาย ปรับแสงเงาของภาพได้ และ
ในปัจจุบันสามารถคดั ลอกขอ้ มูลลงในแผน่ ดวี ดี ีไดเ้ ลย โดยไมต่ อ้ งโอนลงในเครื่องคอมพวิ เตอร์

7. คอมพิวเตอร์ต้ังโต๊ะและคอมพิวเตอร์ขนาดสมุดบันทึกหรือโน้ตบุ๊ก เป็นอุปกรณ์ท่ีใช้
สร้างงานนาเสนอ เป็นส่ือกลางในการเช่ือมโยงอุปกรณ์อื่น ๆ เช่น โพรเจกเตอร์ เพ่ือนาเสนองาน และใช้
นาเสนองานผ่านจอภาพของเครือ่ งคอมพวิ เตอร์

65

8. เคร่อื งเล่นเสียง หรือเคร่ืองเล่นเอ็มพีสาม (MP3) เป็นอุปกรณ์ซ่ึงบรรจุข้อมูลเสียงที่ใช้
เล่นในคอมพิวเตอร์และสามารถถ่ายโอนข้อมูลเข้าไปในคอมพิวเตอร์ได้ โดยข้อมูลเสียงนั้นใช้เทคโนโลยีบีบอัด
ให้มีขนาดเล็กลงมากกว่าข้อมูลเสียงปกติถึง 12 เท่า แม้ขนาดข้อมูลจะเล็กลง แต่คุณภาพเสียงไม่ได้เสียไป
อย่างไรก็ตาม หากเรานาข้อมูลเสียงจากเครื่องเล่น MP3 ไปเล่นในเคร่ืองคอมพิวเตอร์รุ่นเก่า จะได้เสียงใน
ลกั ษณะกระตุกหรือใช้การไม่ได้เลย

9. รีโมท (remote mouse) เป็นอุปกรณ์ที่ช่วยควบคุมการนาเสนอข้อมูลในรูปแบบของ
อุปกรณ์ไร้สาย โดยกดผ่านเมาสท์ เ่ี ปน็ รีโมทของเครือ่ งฉายภาพแทนการกดที่เครอ่ื งคอมพวิ เตอร์

10. เมาส์ปากกา (mouse pen/tablet pen/graphic tablet) จัดเป็นอุปกรณ์นาเข้า
ข้อมูลในลักษณะปากกา ท่ีสามารถใช้เขียนหรือคลิกบนซอฟต์แวร์ต่าง ๆ เมาส์ปากกาสามารถลากวาดเส้นได้
อสิ ระกว่าเมาสธ์ รรมดาทาให้เหมาะสมกับการทางานด้านกราฟิกและยังสามารถใช้งานร่วมกับระบบปฏิบัติการ
ได้หลายระบบปฏิบัติการ รวมถึงใช้ร่วมกับซอฟต์แวร์ท่ีสนับสนุนการใช้งานด้านกราฟิกอย่างเช่น Adobe โดย
อปุ กรณ์เหลา่ น้สี ามารถตดิ ตัง้ ได้งา่ ย ผ่านพอรต์ USB

11. เลเซอร์พอยต์เตอร์ (laser pointer) เป็นอุปกรณ์ช้ีตาแหน่งด้วยแสงเลเซอร์ไปยังงาน
นาเสนอ ทาให้การนาเสนองานมีความชัดเจนมากข้ึน สามารถชี้ส่ิงที่กาลังจะนาเสนอให้ผู้รับสารเห็นได้อย่าง
ชัดเจน โดยในปัจุบันเลเซอร์พอยต์เตอร์บางรุ่นบรรจุความสามารถของรีโมทในการเล่ือนหน้าจอ โดยสามารถ
ใช้ได้กับ Microsoft Word, Excel, PowerPoint, PDF, Internet Explorer, Mozilla Firefox และโปรแกรม
อ่นื ๆ อีกมากมาย

นอกจากอุปกรณ์ดิจิทัลที่ช่วยในการนาเสนอผลงานแล้ว ยังมีส่วนประกอบท่ีสาคัญในการนาเสนอ
งานคือ คาบรรยาย หรือบทพากย์ ซ่ึงเป็นองค์ประกอบด้านโสตหรือเสียงน่ันเอง โดยมีวิธีการและหลักในการ
พิจารณาดังนี้

1. การบรรยายสด เหมาะสาหรับการประชุมหรือสัมมนาที่ต้องการให้ผู้ชมมีส่วนร่วม
เพราะผบู้ รรยายในกรณนี ี้เป็นผู้ทีร่ เู้ รอ่ื งราวเก่ยี วกบั เนือ้ หาเปน็ อยา่ งดีรู้ว่าควรจะเน้นตรงจุดใดและปฏิกิริยาจาก
ผู้ชมทาให้ผู้บรรยายรู้ว่าผู้ชมสามารถติดตามทาความเข้าใจได้เพียงพอหรือไม่รู้ว่าส่วนไหนจะต้องอธิบายขยาย
ความมากน้อยเพียงใด

2. การพากย์ เหมาะสาหรบั เนอ้ื หาที่สามารถถ่ายทอดได้โดยไม่ตอ้ งอาศัยการมีส่วนร่วมของ
ผู้ชม ข้อดีคือสามารถเลือกใช้เสียงพากย์ที่มีความไพเราะน่าฟัง และสามารถเลือกใช้ดนตรี หรือเสียงประกอบ
(Sound effect) เพอ่ื สร้างบรรยากาศ แตข่ อ้ เสียคือไม่มคี วามยดื หยุน่ ไมส่ ามารถปรบั ให้เหมาะสมกับความรู้สึก
ของผูช้ มในขณะนั้น

66

อ้างอิง

computer35blog.wordpress.com. การใชเ้ ทคโนโลยใี นการนาเสนองาน. [ระบบออนไลน์]
แหลง่ ที่มา https://computer35blog.wordpress.com. (18 กนั ยายน 2563)

sites.google.com. อุปกรณ์และเคร่ืองมือช่วยในการนาเสนองาน. [ระบบออนไลน์]
แหล่งท่ีมา https://sites.google.com/site/reiynrukhorngngankhxmphiwtexr/hnwy-kar-

reiyn-ru-thi2/xupkrn-laea-kheruxng-mux-chwy-ni-karna-senx-ngan-1 (18 กันยายน 2563)

67

บทท่ี 7
การใช้โปรแกรมสาเรจ็ รปู ในการนาเสนองานสาหรับเลขานกุ าร

บทนา

ในอดีตมนุษย์ได้พยายามใช้เทคโนโลยีในยุคน้ันนาเสนอข้อมูล สารสนเทศ การเล่าเรื่อง เช่น การ
เขียนภาพในผนังถ้า ถือเป็นการใช้เทคโนโลยี ไม่ว่าจะเป็นเคร่ืองมือ ที่ใช้เขียน สลัก ขูดขีดให้เป็นรอย หรือ
แม้แต่ดินสีท่ีใช้เขียน การนาเสนอนั้นยังเป็นหลักฐานคงทนให้มนุษย์ปัจจุบันได้ศึกษา ได้ใช้เทคโนโลยีสารสน
สนเทศสรา้ งคุณภาพชวี ิต คณุ ภาพทางการศึกษา คุณภาพสังคม และคณุ ภาพของธุรกจิ ในบริษัทหรือองคก์ ร

ความหมายของการใชเ้ ทคโนโลยีสารสนเทศนาเสนองาน

เทคโนโลยีสารสนเทศนาเสนองาน หมายถึง การถ่ายทอดความคิดในเร่ืองใดเร่ืองหน่ึงท่ีมี
วัตถุประสงค์แน่ชัด ในกลุ่มเปูาหมายเข้าใจภายในเวลากาจัด โดยใช้เครื่องมือ อุปกรณ์เทคโนโลยีสารสนเทศ
เปน็ ส่ือกลางในการนาเสนองานไปสูก่ ลุม่ เปาู หมาย เพ่ือให้บรรลุตามวตั ถปุ ระสงค์ของผู้นาเสนอ

วัตถปุ ระสงคใ์ นการนาเสนองาน

เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการออกแบบสื่อเพ่ือการนาเสนองาน การใช้อุปกรณ์สารสนเทศท่ีสอดคล้อง
ระหว่างส่อื กับวัตถุประสงคใ์ นการนาเสนอ โดยสามารถจาแนกวัตถุประสงคใ์ นการนาเสนอ ได้ดงั น้ี

1. นาเสนอให้ทราบ เป็นการนาเสนอท่ีต้องการบอกกล่าว บอกเล่าข้อเท็จจริง เพื่อแก้ข้อ
ขดั แยง้ ทม่ี ีอย่เู ดิมหรอื ยนื ยัน และการนาเสนอข้อมลู ใหมๆ่ เพื่อใหก้ ลุม่ เปูาหมายไดร้ ับทราบเพ่มิ เติม

2. นาเสนอเพ่ือการศึกษา เป็นการนาเสนอที่ต้องการให้เกิดความรู้กับกลุ่มเปูาหมาย การ
นาเสนอข้อค้นพบในผลงานใหม่ เช่น ผลการทดลองโครงงาน ผลการทดสอบประสิทธิภาพของโปรแกรมที่
พฒั นา

3. การนาเสนอเพื่อความบันเทิง เป็นการนาเสนอที่ให้ความสนุกสนานการผ่อนคลายเป็น
หลัก โดยอาจจะเป็นการนาเสนอด้านเดียวจากผู้นาเสนอ เชน่ การร้องเพลง การอ่านคากลอน

4. การนาเสนอเพอื่ โนม้ น้าวใจ เป็นการนาเสนนอท่ีชักชวน ชวนเช่ือชักจูงให้กลุ่มเปูาหมาย
คล้อยตาม ยอมรับและปฏิบัติตามวัตถุประสงค์ของผู้นาเสนอ ซ่ึงเป็นหัวใจขององค์กรธุรกิจอุตสาหกรรมที่
ตอ้ งการเพ่มิ ผลผลติ หรือกาไร

การนาเสนอนั้นอาจจะมีวัตถุประสงค์ของการนาเสนอมากกว่าหนึ่งวัตถุประสงค์ในการนาเสนอครั้ง
เดียวกัน เช่น การนาเสนอเพื่อการบันเทิงและเพ่ือโน้มน้าวใจ ซ่ึงมีวัตถุประสงค์ของการนาเสนอนั้นอาจไม่
จาเปน็ ตอ้ งสอดคลอ้ งกับวัตถุประสงคข์ องผู้ได้รบั การนาเสนอกไ็ ด้

ขน้ั ตอนการนาเสนองาน

การใชเ้ ทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อนาเสนองาน มีขั้นตอนดังน้ี
1. ศึกษาวัตถุประสงค์ในการนาเสนอ เพ่ือให้นาเสนอได้ตรงประเด็น กระชับ และรูว่าต้องมี

ขอ้ มูลในกานนาเสนอมากนอ้ ยเพียงใด

68

2. วิเคราะห์และเข้าใจกลุ่มเปูาหมาย เป็นการศึกษาเข้าใจธรรมชาติของกลุ่มเปูาหมายที่
เปน็ ผู้รับการนาเสนอ โดยมแี นวการศกึ ษากล่มุ เปาู หมายท่ไี ดร้ บั การนาเสนอ ดังนี้

1) กล่มุ เปูาหมายคือใคร เกี่ยวขอ้ งกับเรอ่ื งทนี่ าเสนออย่างไร
2) แนวความคดิ และประสบการณ์ของกลุ่มผูฟ้ ัง
3) ความคาดหวังของกลุม่ ผู้ฟงั
4) ระดับความรู้ ความเขา้ ใจ และประสบการณใ์ นเน้อื หาทน่ี าเสนอของกลุ่มผฟู้ ัง
5) ภูมหิ ลงั หรือเรอ่ื งราวท่อี าจมีอทิ ธิพลตอ่ กล่มุ ผ้ฟู ัง
6) ทศั นคติและสิ่งที่ผฟู้ ังรับรเู้ กยี่ วกับผูน้ าเสนอ
7) ข้อมูลอื่น ๆ เช่น จานวนผู้ฟัง ช่วงเวลาในการนาเสนอ ระยะเวลาที่ใช้ในการ
นาเสนอ ลาดบั การนาเสนอ สถานท่ปี ระชมุ
3. วางแผนการนาเสนอ เป็นการเตรียมเน้ือหาท่ีจะสื่อให้กลุ่มเปูาหมายได้รับข้อมูลตาม
วตั ถปุ ระสงค์ทว่ี างไว้ และควรกาหนดขอบเขตเนอ้ื หาที่กลมุ่ เปาู หมายควรรู้
4. ผลิตส่ือประกอบการนาเสนอ จะช่วยให้กลุ่มเปูาหมายมองเห็นภาพรวมของข้อมูลและ
ติดตามเนอื้ หาไดท้ ัน
5. เตรียมบุคลิกภาพขณะนาเสนอ บุคลิกภาพที่ดีเป็นส่ิงสาคัญท่ีทาให้เกิดความมั่นใจ
ในขณะพดู ทาให้ผฟู้ ังประทับใจ และสนใจตดิ ตาม บุคลิกภาพขณะนาเสนอท่คี วรทามี ดังนี้
1) ภาษาตอ้ งเหมาะสมกับระดบั วยั การศึกษาของกลุ่มเปูาหมาย ส่ือความเข้าใจได้ดี
2) การใช้เสียง ควรใช้เสียงให้เปน็ ธรรมชาติ ระดบั เสียงดังสม่าเสมอ
3) การใช้สายตา เปน็ สง่ิ ทีด่ ึงดดู สายตาผูค้ น และควรสบตาใหท้ ั่วถงึ
4) การแต่งกาย เป็นส่ิงแรกที่ดึงดูดสายตาผู้คน สามารถบ่งบอกถึงบุคลิกภาพ นิสัย
และทาใหผ้ ฟู้ ังเกดิ ความประทบั ใจและน่าเช่อื ถือ

จดุ มุ่งหมายในการนาเสนอและสอ่ื สารขอ้ มูลสารสนเทศ

การประยกุ ตใ์ ชโ้ ปรแกรมสาเรจ็ รปู ในการนาเสนอและสอ่ื สารข้อมลู สารสนเทศตามลักษณะงานอาชีพ
มจี ดุ มุ่งหมายในการนาเสนอ ดงั นี้

1. เพ่ือให้ผชู้ ม ผู้ฟงั เข้าใจในสาระสาคัญของการนาเสนอข้อมูลสารสนเทศ
2. ใหผ้ ้ชู ม ผูฟ้ ังเกดิ ความประทบั ใจและนาไปสูค่ วามเชอื่ ถอื ในข้อมลู สารสนเทศทน่ี าเสนอ
3. หลักการพ้ืนฐานของการนาเสนอและสอ่ื สารข้อมูลสารสนเทศ
การพนื้ ฐานของการนาเสนอผลงาน มจี ดุ เนน้ สาคญั ดังน้ี
1. การดึงดดู ความสนใจ โดยการออกแบบให้สิ่งท่ปี รากฏตอ่ สายตานัน้ ชวนมอง และมีความ
สบายตาสบายใจข้ึนเพื่อชมการนาเสนอ ดงั นน้ั การเลอื กกลมุ่ ประกอบตา่ ง ๆ เชน่ สีพื้น แบบ สี แบบขนาดของ
ตวั อักษร รูปประกอบตอ้ งเหมาะสมและสวยงาม
2. ความชัดเจนและความกระชับของเนื้อหา ส่วนที่เป็นข้อความต้องสั้นแต่ได้ใจความ
ชดั เจน สว่ นที่เป็นภาพประกอบต้องมีความสัมพันธ์อย่างสรา้ งสรรคก์ บั ขอ้ ความทต่ี ้องการส่ือความหมาย การใช้

69

ภาพประกอบ มีประโยชน์มาก ดังคาพังเพยภาษาอังกฤษที่ว่า “A picture is worth a thousand words”
หรือ “ ภาพภาคหนึ่งนั้นมีค่าเทียบเท่ากับคาพูดหน่ึงพันคา” แต่ประโยคนี้คงไม่เป็นจริงหากภาพนั้นไม่มี
ความสัมพันธ์อย่างสร้างสรรค์กับความหมายท่ีต้องการส่ือ ดังน้ันก่อนท่ีจะตัดสินใจใช้ภาพใดประกอบ จึงควร
ตอบคาถามให้ได้เสียก่อนว่าต้องการใช้ภาพเพ่ือสื่อความหมายอะไร และภาพท่ีเลือกมาน้ัน สามารถทาหน้าที่
สอ่ื ความหมายเชน่ น้ันจรงิ หรือไม่

3. ความเหมาะสมกบั กลมุ่ เปูาหมาย การสร้างจุดเน้นตามข้อ 1 และข้อ 2 ขา้ งตน้ ตอ้ งคานึงถงึ
กลุ่มเปาู หมายด้วย เช่น กลมุ่ เปาู หมายเปน็ เดก็ การใชส้ ีสด ๆ ภาพการ์ตูนมีความเหมาะสม แต่ถา้ กลุ่มเปูาหมาย
เป็นผู้ใหญแ่ ละเนื้อหาท่ีนาเสนอเปน็ เรื่องวชิ าการหรือธุรกจิ การใชส้ ีสันมากเกนิ ไปและการใช้รปู การ์ตนู อาจทา
ให้ดไู มน่ า่ เชื่อถือเพราะขาดภาพลกั ษณข์ องการเอาจรงิ เอาจังไป

4. หลักการเลือกใช้โปรแกรมสาเรจ็ รูปเพอื่ การนาเสนอและสอ่ื สารขอ้ มลู สารสนเทศ
หลักการเลอื กใช้โปรแกรม และหลักการนาเสนอและส่อื สารข้อมูลสารสนเทศ โดยใช้โปรแกรมดงั นี้

1. ความเขา้ ใจกบั งานทีต่ ้องการนาเสนอก่อนการเลือกระบบสารสนเทศมาใชใ้ นการ
นาเสนองานนั้น ต้องเขา้ ใจถงึ ลกั ษณะงานท่ตี ้องการนาเสนอก่อนว่าเป็นงานลักษณะใด เชน่ เป็นขอ้ ความ หรือ
มีการคานวณหรือเปน็ งานทเ่ี กี่ยวกบั การคน้ การเกบ็ รักษาข้อมลู เพื่อเป็นแนวทางในการเลือกระบบสารสนเทศ
ท่ีเหมาะสมกบั งานนัน้ ๆ

2. เลอื กโปรแกรมสาเร็จรปู มาใช้เพ่ือทราบลักษณะของงานทต่ี ้องการนาเสนอแล้ว จะเลือก
ระบบสารสนเทศทีเ่ หมาะสมกับการนาเสนองานนั้น งานบางอย่างอาจใชร้ ะบบสารสนเทศในการนาเสนอได้
หลายอย่าง อาจต้องเลือกว่าจะใชร้ ะบบใด ผ้ใู ช้ต้องมีความเขา้ ใจในความสามารถของระบบนั้น โดยเฉพาะใน
ส่วนของโปรแกรมว่าแตล่ ะโปรแกรมมีความสามารถใดบ้าง เราอาจจะต้องทาการประเมินว่าโปรแกรมใดมีความ
เหมาะสมเพยี งใด แล้วจึงเรียกโปรแกรมที่เหน็ ว่า เหมาะสมที่สดุ

3. จัดหาเครือ่ งมือตามความต้องการของโปรแกรม โปรแกรมแตล่ ะโปรแกรมมี
ความสามารถไม่เหมือนกนั ขนาดของโปรแกรมกไ็ ม่เทา่ กนั ทาให้ความต้องการของฮารด์ แวรใ์ นการทางานตาม
โปรแกรมนั้นแตกตา่ งกนั ในคู่มอื การใช้งานโปรแกรมหรือซอฟต์แวรน์ ั้น จะบอกข้อกาหนดของฮารด์ แวรท์ ่ี
ตอ้ งการสาหรบั การใชง้ านไวว้ ่าจะต้องมีส่วนประกอบอะไรบ้าง จะตอ้ งจดั หาฮารด์ แวร์ให้ไดต้ ามข้อกาหนดนัน้
ใหส้ ามารถใชง้ านซอฟตแ์ วร์ไดอ้ ยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ สาหรับระบบโปรแกรมสาเรจ็ รปู ที่ใช้กับไมโครคอมพวิ เตอร์
นนั้ สว่ นใหญ่สามารถนามาใช้กบั ไมโครคอมพวิ เตอร์มาตรฐานทขี่ ายท่วั ไปได้เลย ยกเว้นอุปกรณป์ ระเภท
เครือ่ งพมิ พ์เลอื กตามความต้องการวา่ เป็นเครื่องจีนสีขาว/ดา หรือหลายสี จอภาพจะใช้ขนาดใหญ่ก่นี ว้ิ หรอื
ฮาร์ดดสิ ก์ทอี่ าจต้องดูขนาดความต้องการวา่ ซอฟต์แวรข์ นาดเทา่ ใด และฮาร์ดดิสกจ์ ะพอใช้หรอื ไม่ เพราะใน
ไมโครคอมพวิ เตอร์หน่ึงเคร่อื ง น้นั เรามกั จะบรรจุโปรแกรมหรอื ซอฟต์แวร์ไวห้ ลายชนดิ และปรมิ าณแฟูมข้อมูล
ท่มี อี ยเู่ ดิมอาจมากจนกระทั่งพนื้ ทท่ี เ่ี หลือไม่เพยี งพอต่อการใช้งานโปรแกรมสาเร็จรปู ใหมน่ ัน้

4. การใช้งานโปรแกรมในการใช้งานน้ัน นอกจากผู้ชายจะต้องทาความเข้าใจการทางาน
ของฮาร์ดแวร์ว่าใช้งานอยา่ งไรแล้ว รายละเอียดการใชง้ านซอฟตแ์ วร์ ก็เปน็ สง่ิ สาคญั ท่ผี ู้ใชจ้ ะต้องทาความเข้าใจ
ใหช้ ัดเจนกอ่ นการใชง้ าน สว่ นใหญจ่ ะศึกษาจากคู่มอื ของโปรแกรมสาเร็จรปู น้ันเพ่ือความเข้าใจในความสามารถ
ก่อน ปกติแลว้ คมู่ อื การใช้งานมาจากเจ้าของผผู้ ลิตซอฟต์แวร์ ซงึ่ มักจะอธบิ ายถึงความสามารถตามฟงั กช์ นั ที่มี

70

อยู่ แต่มักจะไม่ค่อยมีตัวอย่างการประยุกต์ใช้ผู้ใช้ต้องทดลองเองจึงได้มีผู้ท่ีมีความรู้ความสามารถในโปรแกรม
น้ัน ๆ ทาคู่มือการใช้งานในลักษณะการประยุกต์ มีตัวอย่างของงานแสดงให้เห็น ทาให้สามารถเรียนรู้ได้อย่าง
เร็วขึ้นและในปัจจุบันนี้มีการทาคู่มือการใช้งาน ในรูปของสื่อคอมพิวเตอร์ท่ีเข้าใจได้ง่ายย่ิงข้ึน เช่น ทาเป็นซีดี
การใช้งาน เป็นต้น ฉะนั้น ผู้ใช้งานที่ยังไม่มีประสบการณ์จึงควรเรียนรู้จากคู่มือการใช้งาน ทาความเข้าใจให้
ชัดเจนก่อน แลว้ จึงลงมอื ปฏิบตั ิด้วยตนเอง

5 รปู แบบการนาเสนอและสอื่ สารข้อมูลสารสนเทศโดยใช้คอมพิวเตอร์
รูปแบบการนาเสนอข้อมูลโดยใชค้ อมพิวเตอร์ปัจจุบันทน่ี ยิ มใชก้ นั มี 2 แบบคือ

1. การนาเสนอแบบ Web Page รูปแบบการนาเสนอที่ใช้บนอินเตอร์เน็ต การนาเสนอ
แบบน้ีสามารถสร้างการเช่ือมโยงที่สลับซับซ้อนระหว่างส่วนต่าง ๆ ตลอดส่วนสามารถสร้างการเชื่อมโยง
เอกสารท่ีตา่ งรูปแบบนั้นได้ เราต้องใชเ้ วลาในการจดั ทามากกวา่ ผจู้ ดั ทาต้องมคี วามรูค้ วามชานาญในโปรแกรมที่
ใชส้ รา้ งเว็บเพจ และโปรแกรมท่ีนยิ มใชม้ ากที่สุดคือ โปรแกรม adobe dream weaver

2. การนาเสนอแบบ Slide Presentation เป็นการนาเสนอโดยใช้โปรแกรมนาเสนอ ซึ่ง
เปน็ โปรแกรมทใ่ี ชง้ านง่ายมาก มรี ูปแบบการนาเสนอใหเ้ ลอื กใช้หลายแบบ สามารถเรยี กใช้ตาราง แผนภูมิ หรือ
รูปภาพประกอบ และตกแต่งดว้ ยสีสัน สีพ้ืน สีของอักษร รูปแบบของฟอนต์ของตัวอักษรได้ง่ายและสะดวก ใน
ปัจจุบันส่ือนาเสนอรูปแบบ Slide Presentation หรือสไลด์ ดิจิทัล มักจะสร้างด้วยโปรแกรมในกลุ่ม
Presentation เช่น microsoft powerpoint , OfficeTLE lm press เทคนิคการออกแบบสื่อนาเสนอ ส่ือ
นาเสนอทดี่ ี ควรมีความโดดเด่น น่าสนใจ จะเน้นความคิด “หนึ่งสไลด์ต่อหนง่ึ ความคดิ ”

มกี ารสรปุ ประเด็น มสี าระสาคัญโดยมแี นวทาง 3 ประการในการออกแบบ ไดแ้ ก่
1. ส่ือความหมายได้รวดเร็ว ส่ือนาเสนอท่ีดีต้องสามารถสื่อความหมายให้ผู้ฟัง ผู้ชมได้อย่าง

รวดเร็ว การออกแบบสีนาเสนอในประเด็นคู่ออกแบบจะต้องกลุ่มเปูาหมาย เนื้อหาสาระที่ต้องการนาเสนอ
สถานที่และเวลาท่ีต้องการนาเสนอเพอื่ การออกแบบสื่อ เช่น กลุม่ เปาู หมายขนาดเล็ก สื่อควรให้ความสาคัญกับ
ผู้ฟังมากกว่าเน้ือหา สามารถนาเทคนิค หรือ Effect ต่าง ๆ โปรแกรมสร้างส่ือมาใช้ได้อย่างเต็มท่ี
กลุ่มเปูาหมายท่ีมลี ักษณะโตต้ อบ เชน่ การนาเสนอทางวชิ าการ การบรรยาย หรอื การฝกึ อบรม สื่อนาเสนอควร
ใหค้ วามสาคญั กบั เน้อื หา รวมท้ังยงั สามารถนาเทคนิคหรือ Effect ต่าง ๆ โปรแกรมสร้างส่ือมาใช้ได้อย่างเต็มที่
เช่นกัน กลุ่มเปูาหมายเฉพาะกิจ เช่น ผู้บริหาร นักวิชาการ สื่อนาเสนอจะต้องให้ความสาคัญกับเนื้อหาและผู้
นาเสนอเป็นสาคัญเนื้อหาความมุ่งเฉพาะเปูาหมายของการนาเสนอ ดังน้ัน สื่อนาเสนอไม่ควรเน้น Effect แต่
ควรใหค้ วามสาคัญกบั ขนาดอกั ษร สตี ัวอักษร และลกั ษณะของพื้นสไลด์

2. เน้ือหาเป็นลาดับ ส่ือนาเสนอที่ดีควรมีการจัดลาดับเน้ือหาเป็นลาดับ มีระเบียบ ดูง่าย
ไม่ซับซ้อนส่ิงท่จี ะช่วยใหก้ ารออกแบบสอื่ นาเสนอทตี่ ้องการจดั ลาดับเน้ือหาใหเ้ ป็นระเบยี บและดูง่าย คือ

2.1 รูปแบบเน้ือหา ส่ือนาเสนอแต่ละสไลด์ ควรหลีกเล่ียงการนาเสนอแบบย่อหน้า
หากไม่สามารถหลีกเล่ียงได้ ควรใช้เทคนิคการเน้นแนวคิดหลัก ในแต่ละย่อหน้าด้วยสีที่โดดเด่น เช่น พื้นหลังสี
ขาว ตวั อักษรสีดา ควรเนน้ แนวคิดหลกั ด้วยสแี ดง เป็นต้น แต่ละสไลด์เน้ือหาไม่ควรเกิน 6-8 บรรทัด ควรสรุป
เน้อื หาให้เปน็ หวั เรอ่ื งและหัวข้อหรอื แนวคดิ หลกั

71

2.2 แบบอักษรการควบคุมการแสดงข้อความในแต่ละสไลด์ ควรให้ความสาคัญของ
ขนาดตัวอักษรดังนี้

-หัวข้อใหญ่กาหนดขนาดอกั ษรใหญ่กว่าหวั ข้อย่อย
-เลอื กใช้แบบอกั ษรทเี่ หมาะสม
-เปล่ยี นลกั ษณะของตวั อกั ษรน้ัน ใชต้ ัวหนาในขอ้ ความทต่ี อ้ งการเนน้
-ใชช้ ่องว่างในการจดั กลมุ่ ของเน้ือหา
-ขอ้ ความท่ตี ้องการใหอ้ ่านก่อน ควรจดั ไว้ทีต่ าแหนง่ มมุ ซ้ายบนของหนา้
-พมิ พต์ ัวอักษรลงกรอบทว่ี างแบบไวแ้ ล้ว
-เลน่ หวั ขอ้ กอ่ นแลว้ จงึ อธบิ ายอย่างละเอยี ด
-ใชส้ ที ีแ่ ตกตา่ งกันหรอื ตวั อักษรสสี ลับกัน
3. ส่ือนาเสนอต้องระบุสายตาและน่าสนใจ สื่อนาเสนอท่ีดีน้ันจะต้องมีจุดเด่นน่าสนใจ
สามารถดงึ ดูดสายตาของผดู้ ู ผู้ฟังได้ ซึง่ จุดเดน่ นีไ้ ดม้ าจากขนาดของตัวอักษรที่ใหญ่ หรือจากการใช้สีที่แตกต่าง
ออกไป รวมถึงการเลือกใช้ภาพ การใช้สี และการใช้ Effect ควบคุมการนาเสนอที่เหมาะสมประกอบการ
นาเสนอ
3.1 การใช้ภาพ เน่ืองจากภาพจะช่วยให้ผู้ฟัง ผู้ชม สามารถจดจาได้นานกว่า
ตวั อกั ษร ดงั นัน้ การแปลเนอื้ หาใหเ้ ป็นรูปภาพหรอื ผังภาพก็เปน็ เทคนิคหน่ึงที่สามารถสร้างความน่าสนใจให้กับ
สื่อที่นาเสนอ การเลือกใช้ภาพก็ควรเลือกใช้ภาพที่มีลักษณะที่เหมาะสมกันและกัน คือถ้าในสไลด์นั้นเลือกใช้
ภาพถ่ายก็ควรใช้ภาพถ่ายกับ ภาพทุกภาพในสไลด์ แต่ถ้าเลือกใช้ภาพวาด ก็ควรใช้ภาพวาดทั้งสไลด์เช่นกัน
ดงั น้ัน จงึ ไมค่ วรใชภ้ าพวาดผสมกับภาพถ่าย ใส่เทคนคิ ท่ีนา่ สนใจให้กับภาพเพื่อสร้างจุดเด่น การเอียงภาพ การ
เว้นช่องว่างระหว่างภาพ การเปลี่ยนสีภาพให้แตกต่างจากปกติ ควรระวังการเลือกใช้ภาพเป็นพื้นหลังสไลด์
เพราะอาจจะทาให้ผชู้ มสนใจพน้ื สไลด์มากกว่านห้ี าทต่ี ้องการนาเสนอ หรืออาจทาให้ผู้ชมไม่สนใจมองสไลด์เลย
กไ็ ด้ เรอื่ งจากภาพทาใหต้ วั อักษรไม่โดดเดน่ ไมน่ า่ มองหรอื อาจยาก
3.2 การใชส้ ี การเลือกใช้สี ควรเลือกใช้สีที่ตัดกันระหว่างสีตัวอักษร สีวัตถุและสีพื้น
เช่น เลือกใช้พื้นสไลด์สีขาวหรือสีอ่อน ๆ สีตัวอักษรก็ไม่ควรจะเป็นสีดา สีน้าเงินเข้มหรือสีแดงเลือดหมู กรณี
เลือกใชส้ ใี นโทนรอ้ น เช่น สีแดงสด สีเหลืองสด สีเขียวสด สีวัตถุ สีแท่งกราฟหรือสีของตาราง ก็ควรเลือกใช้ให้
เหมาะสมกับสีตัวอักษร และสีพ้ืน ด้วยการเลือกใช้สีใด ๆ ก็ควรเป็นสีในชุดเดียวกันสาหรับสไลด์ทั้งหมด ไม่
ควรใช้หนง่ึ สีสไลด์
3.3 การใช้ Effect ควบคุมการนาเสนอ ไม่ควรใส่ Effect มากเกินไป เพราะจะ
ส่งผลให้ผฟู้ งั ผ้ชู ม สนใจ Effect มากกวา่ เน้ือหาทน่ี าเสนอ หรอื อาจไม่สนใจการนาเสนอเลยก็ได้ และ Effect พ่ี
มากนี้จะเป็นการรบกวนการจดจา การอา่ นหรอื การชม เลอื กใช้ Effect ไมค่ วรเกนิ 3 แบบ แบบในแต่ละสไลด์
ควรเลือกใช้ Effect แสดงข้อความเล่ือนจากขอบซ้ายมาขอบขวาของจอ ธรรมชาติการอ่านของคนไทยอ่าน
ขอ้ ความจากบนลงล่างและอ่านจากดา้ นซา้ ยไปด้านขวา

72

การนาเสนอในรูปแบบเอกสาร

เร่ืองการนาเสนอนี้จะมีหลายรูปแบบด้วยกัน คือ ใช้โปรแกรม microsoft word, microsoft
excel และ microsoft powerpoint ขึ้นอยู่กับลักษณะการนาเสนอแบบใดที่จะสะดวกและเข้าใจง่าย หรือ
เหมาะสมกับสถานการณ์นนั้ ๆ ทั้งนี้สามารถที่จะนาโปรแกรมดังกล่าวมาประยุกต์ใช้ในการนาเสนอและสื่อสาร
ขอ้ มูลตามลักษณะงานอาชีพไดเ้ ปน็ อยา่ งดแี ละมีประสทิ ธภิ าพ

โปรแกรมสาเร็จรปู ทใี่ ชใ้ นการนาเสนอและสือ่ สารขอ้ มลู สารสนเทศตามลกั ษณะงานอาชีพ
โปรแกรมสาเร็จรูปท่ีใช้ในการนาเสนอและส่ือสารข้อมูลสารสนเทศตามลักษณะงานอาชีพ มี

หลายโปรแกรมเชน่
1. โปรแกรมประมวลผลคา (microsoft word)
2. โปรแกรมตารางคานวณ (microsoft excel)
3. โปรแกรมนาเสนอ (microsoft powerpoint )
4. โปรแกรมฐานข้อมูล (microsoft access)
5. โปรแกรมการสร้างเวบ็ เพจ (adobe dreamweaver)
6. โปรแกรมการนาเสนอในรูปแบบส่อื ประสม (adobe after effect)

รูปที่ 7.1 การนาเสนอแบบท่วั ไป

73

อา้ งอิง

sites.google.com. การประยกุ ต์ใชโ้ ปรแกรมสาเรจ็ รปู ในการนาเสนอ. [ระบบออนไลน์].
แหลง่ ที่มา https://sites.google.com/site/somedayto1gomailcom/neuxha/hnwy-thi-5-
kar-prayukt-chi-porkaerm-sarecrup-ni-karna-senx-laea-suxsar-snthes-tam-laksna-ngan-
xachiph (18 กันยายน 2563)

74

บทที่ 8
การนาเสนองานผ่านสอ่ื ออนไลนแ์ ละจรยิ ธรรมของผูใ้ ช้ส่อื

บทนา

หลักการนาเสนอข้อมูลและสร้างส่ือนาเสนอ การนาเสนองานหรือผลงานน้ันสื่อนาเสนอ
เปรียบเสมือนสะพานเช่ือมเนื้อหาของผู้บรรยายไปยังผู้ฟังและผู้ชม ดังน้ันสื่อจึงมีบทบาทสาคัญอย่างมาก สื่อที่
ดี จะช่วยให้การถ่ายทอดเนื้อหาสาระทาได้อย่างรวดเร็วย่ิงขึ้น ผู้ฟังและผู้ชมจะสามารถ จดจาเน้ือหาสาระได้
นานและเข้าใจในเน้ือหาได้ดมี ากขนึ้ ความหมายการนาเสนอ การนาเสนอข้อมูล หมายถึง การสื่อสารเพื่อเสนอ
ขอ้ มลู ความรู้ ความคิดเหน็ หรอื ความต้องการไปสู่ผู้ชม ผู้ฟังโดยใช้เทคนิคหรือวิธีการต่าง ๆ อันจะทาให้บรรลุ

ผลสาเรจ็ ตามจุดมงุ่ หมายของการนาเสนอ

ความก้าวหน้าของระบบอินเทอรเ์ นต็ คอมพวิ เตอรแ์ ละเทคโนโลยีการสื่อสารก่อให้เกิดนวัตกรรมใหม่
ทางสังคม คอื เครอื ขา่ ยสงั คมใหมท่ ี่รูก้ ันอย่างแพร่หลายว่า “สังคมออนไลน์” (Social Network) โดยเครือข่าย
สังคมออนไลน์นี้เป็นพื้นที่สาธารณะที่สมาชิกซ่ึงก็คือคนทุกเพศ ทุกวัย ทุกเช้ือชาติและศาสนา ทุกระดับ
การศึกษา ทุกสาขาอาชีพและทุกกลุ่มสังคมย่อยจากท่ัวโลกเป็นผู้ส่ือสารหรือเขียนเล่าเนื้อหาเร่ืองราว
ประสบการณ์ บทความ รูปภาพ และวิดีโอ ท่ีสมาชิกเขียนและทาขึ้นเอง หรือพบเจอจากส่ืออื่น ๆ แล้วนามา
แบ่งปันให้กับผู้อื่น ท่ีอยู่ในเครือข่ายของตนผ่านทางระบบอินเทอร์เน็ตและสื่อสังคมออนไลน์ (Social Media)
เครือข่ายสังคมออนไลน์ เติบโตอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง ก่อให้เกิดวิวัฒนาการด้านเทคโนโลยีของส่ือสังคม
ออนไลนห์ ลากหลายประเภท (ทัตธนันท์ พุม่ นุช, 2553 )

ปัจจุบัน Social Media เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจาวันมากข้ึน โดยเฉพาะกับกลุ่มนักเรียน
นักศึกษามีการใช้ติดต่อสื่อสารกันอย่างแพร่หลาย และยังมีบทบาทกับระบบการศึกษาด้วย ผู้สอนจะสามารถ
ประยุกต์ใช้ Social Media กับการศึกษา นามาเป็นช่องทางในการจัดการเรียนการสอนอย่างมีระบบและมี
ประสิทธิภาพเพ่ือให้ทันต่อยุคสมัยท่ีเปลี่ยนแปลงไปได้อย่างไร จะทาให้นักเรียน นักศึกษาเหล่าน้ีสนใจกับการ
เรยี นการสอนของผู้สอนเพม่ิ ข้นึ ได้อย่างไร มาทาความร้จู ักกบั ส่งิ เหล่าน้กี นั

จดุ มงุ่ หมายในการนาเสนอ

1. เพอ่ื ให้ผูช้ ม ผู้ฟังรับเขา้ ใจสาระสาคัญของการนาเสนอข้อมลู
2. ใหผ้ ู้ชม ผู้ฟังเกิดความประทับใจและนาไปสคู่ วามเชื่อถอื ในข้อมลู ที่นาเสนอ
การนาเสนอผลงานโดยใช้ส่ือโสตทัศนูปกรณ์ มีผลในทางจิตวิทยาการเรียนรู้ ซึ่งได้มีการ ค้นพบจากการวิจัยว่า
การรับรู้ข้อมูลโดยผ่านทางประสาทสัมผัสสองอย่าง คือ ตา และหูพร้อมกันนั้น ทาให้เกิดการรับรู้ที่ดีกว่าส่งผล
ในด้านความสามารถในการจดจาไดม้ ากกวา่ การรับรูโ้ ดยผา่ นตา หรอื หูอย่างใดอย่างหนึ่งเพียงอย่างเดียว จึงได้
มีการพัฒนาส่ือโสตทศั นูปกรณ์รูปแบบต่าง ๆ ขึน้ มาใชง้ าน โดยเฉพาะส่ือประสม

75

หลกั การพน้ื ฐานของการนาเสนอผลงาน มีจุดเนน้ สาคัญดังน้ี
1) การดึงดูดความสนใจ
โดยการออกแบบให้สิ่งที่ปรากฏต่อสายตาน้ันชวนมอง และมีความสบายตาสบายใจขึ้น เมื่อ

ชมการนาเสนอ ดังน้ันการเลือกองค์ประกอบต่าง ๆ เช่น สีพ้ืน แบบ สี และขนาดของตัวอักษร รูปประกอบ
ตอ้ งเหมาะสม สวยงาม

2) ความชัดเจนและความกระชบั ของเนอื้ หา
ส่วนท่ีเป็นข้อความต้องส้ันแต่ได้ใจความชัดเจน ส่วนที่เป็นภาพประกอบต้องมีส่วนสัมพันธ์
อย่างสร้างสรรค์กับข้อความท่ีต้องการสื่อความหมาย การใช้ภาพประกอบ มีประโยชน์มาก ดังคาพังเพย
ภาษาอังกฤษที่ว่า "A picture is worth a thousand words" หรือ "ภาพภาพหนึ่งน้ันมีค่าเทียบเท่ากับคาพูด
หนง่ึ พนั คา" แตป่ ระโยคน้ีคงไมเ่ ปน็ จริงหากภาพนั้นไมม่ คี วามสัมพันธ์ อย่างสรา้ งสรรค์กับความหมายท่ีต้องการ
สื่อ ดังนั้นก่อนที่จะตัดสินใจใช้ภาพใดประกอบ จึงควรตอบคาถาม ให้ได้เสียก่อนว่าต้องการใช้ภาพเพ่ือสื่อ
ความหมายอะไรและภาพทเี่ ลอื กมาน้นั สามารถทาหนา้ ท่สี ่อื ความหมายเชน่ นน้ั จริงหรือไม่
3) ความเหมาะสมกบั กลุ่มเป้าหมาย
การสร้างจุดเน้นตามข้อ 1 และ 2 ข้างต้นต้องคานึงถึงกลุ่มเปูาหมายด้วย เช่น กลุ่มเปูาหมาย
เป็นเด็ก การใช้สีสด ๆ และภาพการ์ตูนมีความเหมาะสม แต่ถ้ากลุ่มเปูาหมายเป็นผู้ใหญ่และเนื้อหาท่ีนาเสนอ
เป็นเรื่องวิชาการหรือธุรกิจ การใช้สีสันมากเกินไปและการใช้รูปการ์ตูนอาจทาให้ดูไม่น่าเชื่อถือเพราะขาด
ภาพลกั ษณข์ องการเอาจริงเอาจงั ไป

หลกั การเลือกใช้ซอฟต์แวรส์ าเร็จรูปเพอ่ื การนาเสนองาน

พรพมิ ล อรญั เวศ ไดเ้ สนอหลักการเลือกซอฟต์แวร์ และหลักการนาเสนอผลงานโดยใช้ซอฟต์แวร์ไว้
ดังนี้

1) ทาความเข้าใจกับงานทีเ่ ราต้องการนาเสนอ
ก่อนการเลือกระบบสารสนเทศมาใช้ในการนาเสนองานนั้น เราต้องเข้าใจถึง

ลักษณะงานท่ีเราต้องการนาเสนอก่อนว่า เป็นงานในลักษณะใด เช่น เป็นข้อความ หรือมีการคานวณหรือเป็น
งานทเ่ี กี่ยวกับการค้น การเกบ็ รกั ษาข้อมูล เพอ่ื เปน็ แนวทางในการเลือกระบบสารสนเทศทีเ่ หมาะสมกับงาน

2) เลือกโปรแกรมสาเร็จรปู มาใช้
เมื่อทราบลักษณะของงานท่ีต้องการนาเสนอแล้ว เราจะเลือกระบบสารสนเทศท่ี

เหมาะสมกับการนาเสนองานน้ัน งานบางอยา่ งเราอาจใช้ระบบสารสนเทศในการนาเสนอไดห้ ลายอย่าง เราอาจ
ต้องเลือกว่าจะใช้ระบบใด ผู้ใช้ต้องมีความเข้าใจในความสามารถของระบบน้ัน โดยเฉพาะในส่วนของ
ซอฟต์แวรห์ รือโปรแกรมว่าแต่ละโปรแกรมมคี วามสามารถใดบ้าง เราอาจจะต้องทาการประเมินว่าโปรแกรมใด
มีความเหมาะสมเพยี งใด แล้วจึงเลือกโปรแกรมท่เี หน็ วา่ เหมาะสมที่สดุ

3) จัดหาเครอื่ งมอื ตามความตอ้ งการของซอฟต์แวร์
ซอฟต์แวร์หรือโปรแกรมแต่ละโปรแกรมมีความสามารถไม่เหมือนกัน ขนาดของ

โปรแกรมก็ไม่เทา่ กัน ทาให้ความต้องการของฮาร์ดแวรใ์ นการทางานตามโปรแกรมนน้ั แตกต่างกนั ในคูม่ ือการ

76

ใช้งานโปรแกรมหรือซอฟต์แวร์นั้นจะบอกข้อกาหนดของฮาร์ดแวร์ท่ีต้องการสาหรับการใช้งานไว้ว่าจะต้องมี
ส่วนประกอบอะไรบ้าง เราจะต้องจัดหาฮาร์ดแวร์ให้ได้ตามข้อกาหนดน้ันเพ่ือให้สามารถใช้งานซอฟต์แวร์ได้
อย่างมปี ระสทิ ธิภาพ สาหรับระบบโปรแกรมสาเร็จรูปที่ใช้กับไมโครคอมพิวเตอร์น้ัน ส่วนใหญ่สามารถนามาใช้
กบั ไมโครคอมพิวเตอร์มาตรฐานทม่ี ขี ายท่วั ไปได้เลย ยกเวน้ อปุ กรณ์ประเภทเครื่องพิมพ์ที่อาจเลือกได้ตามความ
ตอ้ งการว่าเปน็ เครอ่ื งพมิ พ์สีขาว/ดา หรือหลายสี จอภาพจะใช้ขนาดใหญ่กี่น้ิว หรือฮาร์ดดิสก์ที่อาจต้องดูขนาด
ความต้องการว่าซอฟต์แวรม์ ขี นาดเทา่ ใด และฮารด์ ดสิ ก์จะพอใช้หรือไม่ เพราะในไมโครคอมพิวเตอร์หน่ึงเคร่ือง
น้ันเรามักจะบรรจุโปรแกรมหรือซอฟต์แวร์ไว้หลายชนิด และปริมาณแฟูมข้อมูลท่ีมีอยู่เดิมอาจมากจนกระทั่ง
พน้ื ท่ีทเ่ี หลอื ไมเ่ พยี งพอตอ่ การใช้งานโปรแกรมสาเรจ็ รูปใหม่นนั้

4 ) การใช้งานโปรแกรม
ในการใชง้ านน้นั นอกาจากผูใ้ ชจ้ ะต้องทาความเข้าใจการทางานของฮาร์ดแวร์ว่าใช้

งานอย่างไรแล้ว รายละเอียดการใชง้ านซอฟต์แวร์ ก็เป็นสิง่ สาคญั ทผี่ ้ใู ชจ้ ะต้องทาความเข้าใจให้ชัดเจนก่อนการ
ใช้งาน ส่วนใหญ่จะศึกษาจากคู่มือของโปรแกรมสาเร็จรูปน้ันเพื่อความเข้าใจในความสามารถก่อน ปกติแล้ว
คู่มอื การใชง้ านมาจากเจ้าของผู้ผลิตซอฟต์แวร์ ซ่ึงมักจะอธิบายถึงความสามารถตามฟังก์ชั่นท่ีมีอยู่ แต่มักจะไม่
ค่อยมีตัวอย่างการประยุกต์ใช้ ผู้ใช้ต้องทดลองเอง จึงได้มีผู้ท่ีมีความรู้ความสามารถในโปรแกรมนั้น ๆ ทาคู่มือ
การใช้งานในลักษณะการประยุกต์ มีตัวอย่างของงานแสดงให้เห็น ทาให้สามารถเรียนรู้ได้รวดเร็วข้ึนและใน
ปจั จบุ นั นมี้ ีการทาคมู่ ือการใช้งานในรูปของสื่อคอมพิวเตอร์ท่ีเข้าใจได้ง่ายยิ่งข้ึน เช่น ทาเป็นซีดีการใช้งาน เป็น
ต้น ฉะนนั้ ผู้ใช้งานทยี่ ังไม่มปี ระสบการณ์จึงควรเรียนรู้จากคู่มือการใช้งาน ทาความเข้าใจให้ชัดเจนก่อน แล้วจึง
ลงมือปฏิบัติด้วยตนเอง

รปู แบบการนาเสนอขอ้ มลู โดยใช้คอมพิวเตอร์ ปัจจบุ นั ที่นิยมใชก้ ันมี 2 รปู แบบ คอื
1. การนาเสนอแบบ Web page
เป็นรูปแบบการนาเสนอที่ใช้บนอินเทอร์เน็ต การนาเสนอแบบน้ีสามารถสร้างการ

เชื่อมโยงท่ีสลับซับซ้อนระหว่างส่วนต่าง ๆ ตลอดจน สามารถสร้างการเช่ือมโยงเอกสารที่ต่างรูปแบบกันได้แต่
ต้องใช้เวลาในการจัดทามากกว่า รูปแบบอื่นและผู้จัดทาต้องมีความรู้ความชานาญในโปรแกรมท่ีใช้สร้างเว็บ
เพจ

2. การนาเสนอแบบ Slide Presentation
เป็นการนาเสนอโดยใช้โปรแกรมนาเสนอ ซึ่งเป็นโปรแกรม ที่ใช้ง่ายมากมีรูปแบบ

การนาเสนอให้เลือกใช้หลายแบบ สามารถเรียกใช้ตาราง แผนภูมิ หรือรูปภาพประกอบ และตกแต่งด้วยสีสัน
ทั้งสีพื้น สีของตัวอักษร รูปแบบฟอนต์ ของตัวอักษรได้ง่ายและสะดวก ในปัจจุบันสื่อนาเสนอรูปแบบ Slide
Presentationหรือ สไลด์ดิจิทัล มักจะสร้างด้วยโปรแกรมในกลุ่ม Presentation เช่น Microsoft
PowerPoint, OfficeTLE Impress เทคนิคการออกแบบสื่อนาเสนอ สื่อนาเสนอที่ดี ความมีความโดดเด่น
น่าสนใจ จะเนน้ ความคดิ “ หนงึ่ สไลดต์ ่อ หน่ึงความคิด ” มีการสรุปประเด็น หรือสาระสาคัญโดยมีแนวทาง 3
ประการในการออกแบบ ไดแ้ ก่

1) สื่อความหมายได้รวดเร็ว สื่อนาเสนอที่ดีต้องสามารถสื่อความหมายให้ผู้ฟัง
ผู้ชมไดอ้ ย่างรวดเร็ว การออกแบบ ส่อื นาเสนอในประเด็นนี้ผ้อู อกแบบจะตอ้ งทราบกลุ่มเปาู หมาย เน้ือหาสาระ

77

ท่ตี อ้ งการนาเสนอ สถานที่ และเวลาท่ตี อ้ งการนาเสนอเพื่อประกอบการออกแบบสื่อ เช่น กลุ่มเปูาหมายขนาด
เล็ก ส่อื ควรมีให้ความสาคัญกบั ผู้ฟังมากกว่าเนื้อหา สามารถนาเทคนิค หรือ Effect ต่าง ๆ ของโปรแกรมสร้าง
ส่ือมาใช้ได้อย่างเต็มท่ี กลุ่มเปูาหมายท่ีมีลักษณะโต้ตอบ เช่นการนาเสนอทางวิชาการ การบรรยาย หรือ
ฝึกอบรม สื่อนาเสนอควรให้ ความสาคัญกับเนื้อหารวมทั้งยังสามารถนาเทคนิค หรือ Effect ต่าง ๆ ของ
โปรแกรมสร้างส่ือ มาใช้ได้อย่างเต็มท่ีเช่นกัน กลุ่มเปูาหมายเฉพาะกิจ เช่นผู้บริหาร นักวิชาการ ส่ือนาเสนอ
จะต้องให้ความสาคัญกับเนอื้ หาและตวั ผู้นาเสนอเป็นสาคัญเนื้อหาควรมุ่งเฉพาะเปูาหมายของการนาเสนอ ไม่
เน้น Effect มากนัก กลุ่มเปูาหมายขนาดใหญ่ การนาเสนอมักใช้ความสาคัญกับผู้บรรยายมากกว่าเนื้อหาที่
นาเสนอ ดังนั้น สื่อนาเสนอไม่ควรเน้นท่ี Effect แต่ควรให้ความสาคัญกับขนาดตัวอักษร สีตัวอักษร และ
ลกั ษณะของสีพนื้ สไลด์

2) เน้อื หาเปน็ ลาดับ ส่ือนาเสนอทดี่ ีควรมีการจัดลาดับเน้ือหาเป็นลาดับ มีระเบียบ
ดูง่าย ไม่สบั สนส่งิ ที่ จะช่วยให้การออกแบบสอ่ื นาเสนอทต่ี ้องการจดั ลาดับเน้ือหาให้เป็นระเบยี บ และดูง่าย คอื

2.1) รูปแบบเน้ือหา ส่ือนาเสนอแต่ละสไลด์ ควรหลีกเลี่ยงการนาเสนอ
แบบย่อหน้า หากไมส่ ามารถหลีกเลี่ยงไดค้ วรใช้ เทคนิคการเน้นแนวคิดหลัก( Main Idea) ในแต่ละย่อหน้าด้วย
สีท่โี ดดเด่น เช่น พื้นหลังสีขาว ตัวอักษรสีดา ควรเน้นแนวคิดหลัก ( Main Idea)ด้วยสีแดงเป็นต้น แต่ละสไลด์
เนื้อหาไม่ควรเกิน 6–8 บรรทัด ควรสรุปเนื้อหาให้เป็นหัวเร่ือง (Title) และหัวข้อ(Topic) หรือแนวคิดหลัก
(Main Idea)

2.2) แบบอักษร การควบคุมการแสดงข้อความในแต่ละสไลด์ ควรให้
ความสาคญั กบั ขนาดตวั อกั ษร ดงั น้ี

- หัวข้อใหญ่กาหนดขนาดตวั อกั ษรใหญก่ วา่ หัวขอ้ ย่อย
- เลือกใชแ้ บบอกั ษรทเ่ี หมาะสม
- เปลี่ยนลักษณะของตัวอักษรนั้น ใช้ตัวหนาในข้อความที่ต้องการ
เนน้
- ใช้ช่องว่างในการจัดกลุ่มของเนื้อหา
- ข้อความที่ต้องการให้อ่านก่อน ควรจัดไว้ที่ตาแหน่งมุมซ้ายบน
ของหนา้
- พิมพต์ วั อกั ษรลงกรอบท่ีวางแบบไวแ้ ลว้
- ขึ้นหวั ขอ้ ก่อนแลว้ จึงอธิบายอยา่ งละเอียด
- ใช้สีท่ีแตกตา่ งกัน หรอื ตวั อักษรสสี ลบั กัน
3) สื่อนาเสนอต้องสะดุดตาและน่าสนใจ ส่ือนาเสนอท่ีดีน้ันจะต้องมีจุดเด่น
นา่ สนใจ สามารถดึงดูดสายตาของผู้ดู ผู้ฟังได้ ซ่ึงจุดเด่นน้ีได้มาจากขนาดของตัวอักษรท่ีใหญ่ หรือจากการใช้สี
ที่แตกต่างออกไป รวมถึง การเลือกใช้ภาพ การใช้สี และการใช้ Effect ควบคุมการนาเสนอ ที่เหมาะสม
ประกอบ การนาเสนอ
3.1) การใช้ภาพ เน่ืองจากภาพจะช่วยให้ผู้ชม ผู้ฟัง สามารถจดจาได้นาน
กวา่ ตัวอกั ษร ดังนัน้ การแปลงเนือ้ หาให้เปน็ รูปภาพหรือผงั ภาพก็เป็นเทคนคิ หนึ่งที่สามารถสรา้ งความน่าสนใจ

78

ให้กับส่ือท่ีนาเสนอการเลือกใช้ภาพก็ควรเลือกใช้ภาพท่ีมีลักษณะท่ีเหมาะสมกันและกัน คือถ้าในสไลด์นั้น
เลือกใช้ ภาพถา่ ยก็ควรใชภ้ าพถา่ ยกับภาพทุกภาพในสไลด์ แต่ถา้ เลอื กใช้ภาพวาด ก็ควรเลือก ภาพวาดท้ังสไลด์
เช่นกันดังนั้นจึงไม่ควรใช้ภาพวาดผสมกับภาพถ่าย ใส่เทคนิคท่ีน่าสนใจให้กับภาพเพื่อสร้างจุดเด่น การเอียง
ภาพ การเวน้ ชอ่ งว่างรอบภาพ
การเปลยี่ นสีภาพใหแ้ ตกตา่ งจากปกติ ควรระวังการเลอื กใช้ภาพเป็นพ้ืนหลังสไลด์ เพราะอาจจะทาให้ผู้ชมสนใจ
พื้นสไลด์มากกว่าเนื้อหาท่ีต้องการนาเสนอ หรืออาจทาให้ผู้ชมไม่สนใจมองสไลด์เลยก็ได้ เนื่องจากภาพทาให้
ตวั อกั ษรไมโ่ ดดเด่น ไมน่ ่ามอง หรอื อ่านยาก

3.2) การใช้สี การเลือกใช้สี ควรเลือกใช้สีท่ีตัดกันระหว่างสีตัวอักษร สี
วตั ถุ และสีพืน้ เชน่ เลือกใช้พื้นสไลด์เปน็ สีขาวหรอื สีออ่ น ๆ สีตัวอักษรก็ควรจะเป็นสีดา สีน้าเงินเข็มหรือสีแดง
เลือดหมู กรณีเลือกใช้พ้ืนสไลด์เป็นสีเข็ม ควรเลือกใช้สีตัวอักษรที่มองเห็นได้ชัด ในระยะไกลเช่น สีขาว สีฟูา
อ่อน ควรหลีกเล่ียงการใช้สีในโทนร้อน เช่น สีแดงสด สีเหลือกสด สีเขียวสด สีวัตถุ สีแท่งกราฟหรือสีของ
ตาราง ก็ควรเลอื กใหเ้ หมาะสมกับสตี ัวอักษร และสพี ้นื ดว้ ย การเลอื กใชส้ ใี ด ๆ กค็ วรเปน็ สีในชุดเดียวกันสาหรับ
สไลด์ท้ังหมด ไม่ควรใช้หนึ่งสี หนึ่งไลด์

3.3) การใช้ Effect ควบคุมการนาเสนอ ไม่ควรใส่ Effect มากเกินไป
เพราะจะส่งผลใหผ้ ู้ชม ผ้ฟู ัง สนใจ Effect มากกวา่ เนอ้ื หาท่ีนาเสนอ หรืออาจไม่สนใจการนาเสนอเลยก็ได้ และ
Effect ท่ีมากนี้จะเป็น การรบกวนการจดจา การอ่าน หรือการชมอย่างรุนแรง เลือกใช้ Effect ไม่ควรเกิน 3
แบบ ในแต่ละสไลด์ควรเลือกใช้ Effectแสดงข้อความท่ีเล่ือนจากขอบ ซ้ายมาขอบขวา ของจอ เน่ืองจาก
ธรรมชาตกิ ารอา่ นของคนไทยจะอ่านข้อความจากกรอบบนลงมา และอ่านจากดา้ นซา้ ยไปดา้ นขวา

สอื่ สงั คมออนไลน์ Social Media

ความหมายของ Social Media
กานดา รุณนะพงศา สายแก้ว (ม.ป.ป.) อาจารย์ประจาภาควิชาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์
มหาวทิ ยาลยั ขอนแกน่ ได้กลา่ วว่า
มีเดีย “Media” หมายถึง ส่อื หรอื เครอื่ งมอื ทใี่ ช้เพ่อื การสอ่ื สาร
โซเชยี ล “Social” หมายถึง สังคมในบริบทของโซเชียลมเี ดีย
โซเชียลหมายถึงการแบ่งปันในสังคม ซึ่งอาจจะเป็นการแบ่งปันเน้ือหา (ไฟล์ รสนิยม ความคิดเห็น)
หรือปฏิสมั พนั ธ์ในสังคม (การรวมกนั เป็นกลมุ่ )
Social Media หรือ ส่ือสังคมออนไลน์ หมายถึง ส่ือดิจิทัลหรือซอฟแวร์ท่ีทางานอยู่บนพ้ืนฐานของ
ระบบเว็บหรือเว็บไซต์บนอินเทอร์เน็ตท่ีเป็นเคร่ืองมือในการปฏิบัติการทางสังคม ที่มีผู้ส่ือสารจัดทาข้ึน โดยที่
ผู้เขียนจัดทาข้ึนเอง หรือพบเจอส่ิงต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเร่ืองราว เหตุการณ์ บทความ ประสบการณ์ รูปภาพ
วิดีโอและเพลง แล้วนามาแบ่งปันเน้ือหา ข้อมูล ข่าวสาร ประสบการณ์และพูดคุยให้ผู้ใช้ในโลกออนไลน์ใน
เครือข่ายของตนได้รับรู้ ทัง้ ข้อความ ภาพนงิ่ ภาพเคล่ือนไหว เสียง กับคนที่อยู่ในสังคมเดียวกันได้อย่างรวดเร็ว
มีประสิทธิภาพรวมถึงการใช้ประโยชน์ร่วมกัน (Elizabeth, 2012; Jan 2011, อรวรรณ วงศ์แก้วโพธ์ิทอง,
2553)

79

โซเชยี ลมีเดียมคี วามสมั พันธก์ บั เวบ็ อย่างไร
โซเชียลมีเดีย ส่วนใหญ่จะเป็นเว็บแอปพลิเคชัน 2.0 ซ่ึงจะมีการปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้ให้และ

ผู้รับข้อมูล ทีวีและหนังสือพิมพ์ ที่เป็นกระดาษเป็นสื่อ แต่เป็นส่ือของการส่ือสารทางเดียว ผู้รับข้อมูลไม่
สามารถตอบกลับผู้ให้ข้อมูลทันทีทันใดได้ แต่โซเชียลมีเดียจะเป็นส่ือท่ีมีการส่ือสาร 2 ทาง กล่าวคือผู้รับข้อมูล
สามารถแสดงความคิดเห็น หรือตอบผู้ให้ข้อมูลได้ การให้ข้อคิดเห็นในบันทึก ในบล็อกหรือ ในวิดีโอการพูดคุย
ผ่านโปรแกรมสนทนาออนไลน์ หรือเวบ็ บอร์ดการให้ขอ้ คิดเหน็ และบันทกึ

ขอบขา่ ยของสอื่ โซเชยี ลมีเดยี ( Scope of Social Media )

Kommers ( 2011 : online ) อ้างถึงใน สุรศักดิ์ ปาเฮ ได้กล่าวถึงขอบข่ายของส่ือโซเชียลมีเดีย
(Social Media ) ไว้ดังนี้

1. เป็นส่ือสร้างปฏิสัมพันธ์เชิงสังคม ( Media for Social Interaction ) ส่ือ Social
Mediaก่อให้เกิด ปฏิสัมพันธ์ของสังคมมนุษย์ ผ่านส่ือเทคโนโลยี ที่เห็นได้ชัดเจนในปัจจุบันได้แก่ การสร้าง
สัมพันธภาพความเป็นมิตรของกลุ่มเยาวชนวัยรุ่น และการสร้างเครือข่ายด้านอาชีพหรือการค้าพาณิชย์ซึ่ง
ปฏิสัมพันธ์ของสื่อ Social Media ดังกล่าวได้มีพัฒนาการก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็วและกว้างขวางภายใต้
อทิ ธิพลของเทคโนโลยคี อมพิวเตอรย์ ุคเวบ็ 2.0 ( Web 2.0 ) ในปจั จบุ ัน

2. เป็นสื่อแห่งสังคมเครือข่าย ( Networked Communities ) ความนิยมของการใช้สื่อ
Social Media นัน้ คงสืบเน่ืองมาจากประสทิ ธภิ าพของผ้ใู ชเ้ ว็บทางคอมพิวเตอร์ที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพที่ดีกว่า
รวดเรว็ กวา่ และสรา้ งความเชอื่ ม่ันได้มากของสังคม ไม่วา่ จะเปน็ ผู้เรียน ผเู้ ล่นเกม นักวิชาชีพ หรือแม้แต่ผู้ใช้ทั่ว
ๆ ไป ที่พวกเขาสามารถที่จะสร้างความเช่ือมโยงเครือข่ายไปได้ ทุกหนทุกแห่งทั้งกลุ่มเพ่ือนสนิท กลุ่มเพ่ือน
บ้าน คณะทางาน หรือเพอ่ื นร่วมชน้ั เรียน/โรงเรียน ก่อให้เกิดสัมพันธภาพแห่งความเป็นมิตรที่แนบแน่นทางส่ือ
Social Media ดังกล่าว

3. เป็นส่ือแห่งการสร้างสัมพันธภาพข้ามมิติ ( Intercrossing Relationships )
สภาพการณ์ทางสังคมในยุคปัจจุบันมีความแตกต่างหลากหลายในมิติต่าง ๆ ท้ังเชิงสังคม วัฒนธรรม วิถีชีวิต
คุณธรรม จริยธรรม โดยเฉพาะผลที่เกิดกับการศึกษาเรียนรู้ท่ีต้องสร้างความเข้มแข็งและความพร้อมในทักษะ
ความรู้ท่ีพึงประสงค์ให้เกิดกับผู้เรียน ซ่ึงส่ือ Social Media จะช่วยเสริมสร้างทักษะความรู้และโอกาสท่ีดี
เหล่านั้นได้หากกล่าวในเชิงโครงสร้างของความสัมพันธ์ของส่ือ Social media ภายใต้ อิทธิพลของสื่อสังคม
หรอื Social Media เปน็ สือ่ ที่มแี หลง่ กาเนดิ ของการใช้ประโยชน์ในเบ้ืองต้นที่เกิดจากจุดมุ่งหมายของการสร้าง
เพื่อความบันเทิง การส่ือสารและการมีส่วนร่วมในสังคมในรูปแบบของส่ือดิจิตอลประเภทต่าง ๆ เช่น การ
ถ่ายภาพ วิดีโอ การส่งข้อความ ฯลฯ ซ่ึงปรากฏการณ์ต่าง ๆ ท่ีเกิดขึ้นเหล่านี้ได้ขยายวงกว้างในการสร้าง
ประโยชน์ ใชส้ อย โดยผ่านทางเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ที่พัฒนาไปอย่างรวดเร็วในยุค Web 2.0 ในปัจจุบัน จน
กลายเป็นการสร้างสังคมแห่งเครือข่าย ( Networking ) ซ่ึงพัฒนาการเหล่านี้ได้เริ่มวิวัฒน์ก้าวหน้ามาต้ังแต่ปี
ค.ศ. 1990 เปน็ ต้นมาจนถึงปจั จุบัน

80
อาจสรุปให้เห็นถึงโครงสร้างของขอบข่ายส่ือ Social Media ในยุค Web 2.0 ที่มีความเกี่ยวข้อง
สัมพันธ์กนั ดังแสดงใหเ้ หน็ จากภาพตอ่ ไปนี้

โซลเชียลมีเดยี เพื่อการศึกษา

Social Media ที่ใช้งานกันในปัจจุบันแบ่งออกเป็นหลายประเภท โดยสรุปเป็นประเภทใหญ่ ๆ ท่ี
สามารถนามาประยกุ ต์ใช้ในการจัดการเรยี นการสอน แบ่งออกเป็น 5 ประเภท ไดแ้ ก่

1) Blog
2) Social Networking
3) Microblog
4) Media Sharing
5) Social News and Bookmaking

Blog

Blog มาจากคาเต็มว่า Weblog บางครั้งอ่านว่า Weblog , Web Log ซึ่ง Blog ถือเป็นเคร่ืองมือ
สื่อสารท่ีใช้งานบนเว็บไซต์ มีลักษณะเหมือนกับเว็บบอร์ด ผู้ใช้ Blog สามารถเขียนบทความของตนเองและ
เผยแพร่ลงบนอินเทอร์เน็ตได้โดยง่าย Blog เปิดโอกาสให้บุคคลที่มีความสามารถในด้านต่างๆ เผยแพร่ความรู้
ด้วยการเขียนได้อย่างเสรี ตัวอย่างเว็บไซต์ท่ีเป็น Blog เช่น Learners, GotoKnow, wordpress, blogger
เป็นตน้

รปู ที่ 8.1 ตวั อย่าง Blog wordpress

ตัวอยา่ งการใช้บลอ็ กในการจดั การเรียนการสอน
ในการนาบล็อกมาใชเ้ พ่อื ทากจิ กรรมการเรยี นการสอน ไมไ่ ด้หมายความวา่ ต้องใชท้ งั้ ภาคเรียนแต่อาจ
เลอื กใช้ในบางกรณีเพ่ือทาให้การเรียนการสอนมีเทคนิควิธีการท่ีแปลกออกไป ผู้สอนสามารถนามาประยุกต์ใช้
ได้ ดงั น้ี

81
1. ผู้สอนกาหนดประเด็น การศึกษา โดยการกาหนดประเด็นของเรื่องที่จะให้ผู้เรียนเขียน
หรือบันทึกให้ชัดเจนว่าต้องการเขียนหรือบันทึกเรื่องอะไร ส่ือสารเกี่ยวกับอะไร เช่น ผู้สอนตั้งโจทย์ให้ผู้เรียน
รว่ มกนั เขยี นกจิ กรรมเขียนบล็อกเกี่ยวกับสิง่ แวดล้อม
2. ผู้เรียนเริ่มเขียนบันทึก โดยรูปแบบการเขียนมีหลากหลาย เช่น การเขียนแบบเล่าเร่ือง
เขยี นบรรยายสง่ิ ท่ีรู้ กิจกรรม ความประทับใจหรอื ประสบการณ์
3. เม่ือผู้เรียนเขียนบันทึกเสร็จแล้ว อาจมีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับเพื่อนในห้อง ซึ่ง
การแลกเปลีย่ นเป็นสง่ิ จาเป็น เพราะจะนาไปสกู่ ารต่อยอดความรู้

รูปท่ี 8.2 ตวั อย่างการใชบ้ ล็อกในการจดั การเรยี นการสอนกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย

Social Networking

Social Networking หรือเครือข่ายสังคมออนไลน์ เป็นรูปแบบของเว็บไซต์ในการสร้างเครือข่าย
สังคมในอินเทอร์เน็ต เพ่ือให้ผู้ใช้เขียนและอธิบายความสนใจหรือกิจกรรมท่ีทา เพื่อเชื่อมโยงความสนใจและ
กิจกรรมกับผู้อื่นในเครือข่ายสังคม ด้วยการสนทนาออนไลน์ การส่งข้อความ การส่งอีเมล์ การอัปโหลดวิดีโอ
เพลง รูปถ่าย เพ่ือแบ่งปันกับสมาชิกในสังคมออนไลน์ เป็นต้น เครือข่ายสังคมท่ีเป็นท่ีนิยมในปัจจุบัน เช่น
Facebook, Instagram และ Google เปน็ ต้น

ปัจจุบัน Facebook เป็นที่นิยมมากที่สุดในโลก ประเทศไทยเองก็มีผู้ใช้ Facebook ติดอับดับโลก
เชน่ เดียวกัน จาก Zocialincเวบ็ ไซต์ท่ที าการสารวจและเปรียบเทยี บอัตราการเติบโตของประชากร Facebook
ทั้งของทัว่ โลก ไดเ้ ผยสถติ เิ กีย่ วกับประชากร Facebookทั้งในไทย และทุกประเทศในประชาคมอาเซียน (AEC)
ลา่ สุด ณ 17 เมษายน 2558

Zocialinc ได้สรุปผลสารวจว่า ประเทศไทยมีประชากร facebook มากเป็นอันดับ 3 ของอาเซียน
อย่ทู ี่ 35 ล้านบัญชี ซ่ึงเป็นรองจาก อนิ โดนีเซีย ที่มีมากถึง 74 ล้านบญั ชี และ ฟลิ ปิ ปินส์ อยู่ท่ี 44 ลา้ นบญั ชี

82

โดยประชากร Facebook ในประเทศไทยเติบโตข้ึน 34.62%ท้ังน้ี ไทยมียอดเติบโตของผู้ใช้ facebook มาก
เป็นอันดับ 5 ของอาเซียน ท่ีน่าสนใจคือ ประเทศพม่า มียอดผู้ใช้ facebook เติบโตสูงมากเกือบ 2 เท่า
เพราะกาลงั เปน็ ทจ่ี ับตามองของนกั ลงทนุ และกลมุ่ คน ที่หวังเขา้ ไปขยายธรุ กจิ ของตัวเอง

หากแยกเปน็ รายจังหวัด จงั หวดั ทีม่ ีประชากร Facebook หนาแน่นมากทส่ี ุด ไดแ้ ก่
กรงุ เทพมหานครฯ 20 ล้านบญั ชี
เชยี งใหม่ 960,000 บญั ชี
นครราชสมี า 780,000 บัญชี
นนทบรุ ี 600,000 บัญชี
ชลบุรี 540,000 บัญชี

หากแบง่ ประชากร facebook เจาะลึกแบบแบ่งเปน็ ข้อมูลเพศชายหญงิ ละก็ มีขอ้ มูลท่นี ่าสนใจคอื
ประชากร Facebook เพศชาย 17.11 ลา้ น บญั ชี
เป็นโสด 3.3 ลา้ นบัญชี
กาลงั คบหา 1.3 ล้านบัญชี
สนใจใน เพศตรงขา้ ม 3.3 ล้านบัญชี
สนใจ ในเพศเดยี วกัน 330,000 บัญชี
ประชากร Facebook เพศหญิง 17.14 ล้าน บญั ชี
เปน็ โสด ทัง้ หมด 3.5 ลา้ นบัญชี
กาลังคบหา 1.4 ล้านบัญชี
สนใจใน เพศตรงขา้ ม 2.2 ลา้ นบญั ชี
สนใจ ในเพศเดียวกนั 662,040 บญั ชี

ตวั อย่างการใชF้ acebook ในการจดั การเรยี นการสอน
Facebook (เฟซบุ๊ค) คือ บริการเครือข่ายสังคมออนไลน์ ท่ีผู้ใช้สามารถสร้างข้อมูลส่วนตัว

เพ่ิมรายช่ือผู้ใช้อื่น ในฐานะเพ่ือนและแลกเปล่ียนข้อความ ติดต่อสื่อสาร รวมถึงต้ังประเด็นถามตอบในเร่ืองที่
สนใจโพสต์รูปภาพ โพสต์คลิปวิดีโอ เขียนบทความหรือบล็อก สนทนาแบบโต้ตอบทันที นอกจากน้ันผู้ใช้ยัง
สามารถร่วมกลุ่มความสนใจส่วนตัว จัดระบบตามสถานท่ีทางาน โรงเรียน มหาวิทยาลัย หรืออ่ืน ๆ และ
สามารถทากิจกรรมต่าง ๆ ผ่านแอพลิเคช่ันเสริม (Applications) ท่ีมีอยู่มากมาย ซึ่งแอพลิเคช่ันดังกล่าวได้ถูก
พัฒนาเพิ่มเติมขึ้นอย่างต่อเน่ือง การใช้งานเฟซบุ๊ค ผู้ใช้จะคอยอัพเดทแบ่งปันข้อมูลข่าวสารซึ่งกันและกัน ทั้ง
กลมุ่ ทอ่ี ยู่ในเฟซบุ๊คหรือ แม้แต่ผู้ใช้เว็บไซต์อ่ืนที่เช่ือมต่อกับเฟซบุ๊ค ยังสามารถส่ือสาร ส่งต่อหรือแบ่งปันข้อมูล
ข่าวสารตา่ ง ๆ ทาให้สังคมออนไลนบ์ นเฟซบคุ๊ เปน็ เครือข่ายทก่ี วา้ งขวางและเขม้ แขง็ มาก

ในการนาเฟซบคุ๊ มาใช้เพ่อื กิจกรรมการเรยี นการสอนนัน้ สามารถนาเฟซบุค๊ มาใช้การแบง่ ปนั
เรื่องราว ความรู้ แง่คิด ประสบการณ์ ทาให้เราเรียนรู้เร่ืองราวชีวิตของผู้อื่น สามารถนาส่ิงท่ีได้มาปรับใช้ได้
การเรียนรูร้ ว่ มกันผา่ นเฟซบุ๊คทาไดโ้ ดยสรา้ งกลุ่มเพอื่ การเรียนรเู้ รื่องทสี่ นใจร่วมกนั และสามารถนาเฟซบุ๊คไปใช้
ในการจัดการเรียนการสอน โดยใช้เป็นกิจกรรมหลัก หรือการเสริมบทเรียน โดยการสร้างเป็นกลุ่มเรียนแล้ว
นาเสนอสื่อการสอนในรปู แบบของเนอ้ื หา บทความ ส่อื มลั ตมิ ีเดีย การนา เสนองาน ผลงาน ฯลฯ ทาใหเ้ กิด

83
ความน่าสนใจ เรียนรู้ได้ตลอดเวลา ครูและนักเรียนสามารถแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน ผ่านการพูดคุย แสดง
ความคดิ เหน็ การสอบถาม การใหค้ าแนะนาและคาปรึกษา ได้โดยไม่ต้องเสียเวลาและค่าใช้จ่ายในการเดินทาง
การเรียนรู้เกิดข้ึนตลอดเวลา ผู้ที่มีโอกาสเรียนรู้มากย่อมได้เปรียบ จะเห็นได้ว่าเฟซบุ๊คสามารถสร้างประโยชน์
โดยเป็นแหลง่ เรียนรไู้ ดอ้ กี ชอ่ งทางหนงึ่

รูปที่ 8.3 ตวั อย่างการจดั กจิ กรรมการเรียนร้บู นเฟซบกุ๊

นอกจากน้ี เฟซบุ๊กมีซอฟต์แวร์ประยกุ ต์ใช้ หรือ แอพพลิเคช่ัน (Applications) เพื่อการศึกษาจานวน
มากทจี่ ะช่วยอานวยความสะดวกให้แกผ่ ู้สอนในการเตรียมเน้ือหาการสอนและแลกเปลี่ยนประสบการณ์ใหม่ ๆ
ยกตวั อย่างเช่น “ไฟล์ (Files)” สาหรบั อัพโหลดแฟมู ข้อมลู ใหก้ บั ผ้เู รียน “เมกอะควิซ (Make a Quiz)” สาหรับ
สร้างคาถามออนไลน์เพ่ือทดสอบความรู้ของผู้เรียน “คาเลนเดอร์ (Calendar)” สาหรับสร้างปฏิทินแจ้งเตือน
กาหนดการต่าง ๆ “คอร์ส (Course)” สาหรับจัดการเนื้อหาการเรียนการสอน นอกจากนี้ ยังมีแอพพลิเคชั่นที่
จะช่วยอานวยความสะดวก ในการเรียนและแบ่งปันเรื่องราวท่ีเป็นประโยชน์ในการเรียนรู้สาหรับผู้เรียน
ตัวอย่างเช่น “วีรีด (weRead)” สาหรับจัดการรายชื่อหนังสือให้ผู้สนใจร่วมแสดงความคิดเห็น และ “คลาส
โน้ตส์ (Class Notes)”สาหรับถ่ายภาพในขณะท่ีครูผู้สอนเขียนเนื้อหาบนกระดาน หรือคัดลอกเน้ือหาที่เรียน
แลว้ นาไปโพสตอ่ เพื่อแบ่งปนั ผู้อืน่ ได้ (ศรศี กั ดิ์ จามรมาน, 2554)

Micro Blog

Micro Blog เป็นรูปแบบหนึ่งของ Blog ท่ีจากัดขนาดของข้อความที่เขียน ผู้ใช้สามารถเขียน
ข้อความได้สั้นๆ ตัวอย่างของ Micro Blog เช่น Twitter, Pownce, Jaiku และ tumblr เป็นต้น โดย Twitter
เป็น Micro Blog ที่มีผู้นิยมใช้มากที่สุด กล่าวคือสามารถเขียนข้อความแต่ละคร้ังได้เพียง 140 ตัวอักษร โดย
แรกเริ่มเดิมที ผู้ออกแบบ Twitter ต้องการให้ผู้ใช้ เขียนเรื่องราวว่าคุณกาลังทาอะไรอยู่ในขณะนี้ (What are
you doing?) แต่กิจการต่าง ๆ กลับนา Twitter ไปใช้ในทางธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างการบอกต่อเพ่ิม
ยอดขาย สร้าง Brandหรือเปน็ เคร่อื งมือสาหรับการบริหารความสมั พนั ธ์ลูกค้า (CRM)ท้ังนี้เรายังสามารถใช้เป็น
เคร่ืองมือในการประชาสมั พันธ์บทความใหม่ ๆ บน Blog ของเราได้ดว้ ย Twitter น้นั เป็นนิยมขนึ้ มากอยา่ ง

84
รวดเร็ว จนทาให้เว็บไซต์ประเภท Social Network ต่าง ๆ เพิ่ม Feature ท่ีให้ผู้ใช้สามารถบอกได้ว่าตอนน้ี
กาลังทาอะไรกนั อยู่ น้ันก็คอื การนา Microblog เขา้ ไปเป็นส่วนหนงึ่ ด้วยนนั้ เอง
ตัวอยา่ งการใช้ Twitter ในการจดั การเรียนการสอน

Twitter (ทวิตเตอร์) คือ เว็บไซต์ที่ให้บริการ blog สั้น หรือที่ภาษาอังกฤษเรียกกันว่า Micro-Blog
ซง่ึ สามารถให้ผู้ใช้ส่งขอ้ ความของตนเองให้ผอู้ น่ื ท่ีตดิ ตามทวิตเตอร์ของผเู้ ขียนอยนู่ ้นั สามารถอ่านได้และผู้เขียน
เองก็สามารถอ่านข้อความของเพ่ือน หรือคนที่กาลังติดตามผู้เขียนอยู่ได้ ซ่ึงทวิตเตอร์ก็ถือได้ว่าเป็นเว็บไซต์
ประเภท social Media ด้วยเช่นกัน ในรูปแบบของทวิตเตอร์นี้ที่เรียกว่าเป็น blogสั้นก็เพราะว่าทวิตเตอร์ให้
เขียนข้อความได้คร้ังละไม่เกิน 140 ตัวอักษร ซ่ึงข้อความน้ี เม่ือเขียนแล้วจะไปแสดงอยู่ในหน้า Profile ของ
ผ้เู ขียน และจะทาการสง่ ขอ้ ความน้ไี ปยังสมาชกิ ท่ีตดิ ตามผู้เขียนคนน้ันอยู่ (follower) โดยอัตโนมัติโดยสามารถ
ใชไ้ ด้ทงั้ จากคอมพวิ เตอรส์ ่วนบคุ คลหรือจากโทรศัพท์มอื ถือ

ทวิตเตอรจ์ ดั อยใู่ นกลมุ่ ไมโครบล็อก ซงึ่ ลกั ษณะรว่ มของไมโครบล็อก มดี ังนี้
1. มกี ารจากัดความยาวของข้อความ กาหนดไว้ท่ี 140 ตวั อักษร
2. มีชอ่ งทางการส่งข้อความและรับข้อความท่ีหลากหลาย เช่น โทรศัพท์มือถือ/เว็บไซต์โปรแกรมท่ี
เขยี นขึ้นมาพิเศษ (Client)โดยสามารถตดิ ต่อผ่าน API
3. เผยแพร่ข้อมูลแบบกระจาย (Broadcasting) มีลักษณะคล้ายกับการส่งข้อความสั้น (SMS) แต่
ข้อความไมไ่ ดน้ าส่งเฉพาะระหว่างผูส้ ง่ และผ้รู ับเพยี งสองคนเทา่ นั้น แตย่ ังส่งไปถงึ ผ้ใู ชง้ านทตี่ ิดตามดว้ ย
4. มีขอ้ มลู หลากหลายเนอ่ื งจากมผี ู้ใช้งานเปน็ จานวนมาก
5. ข้อมูลมักถูกล้างออกไปจากระบบเมื่อถึงระยะเวลาหน่ึง (Flooded) เนื่องจากมีการโพสต์
ข้อความมาก ข้อความใหม่จะแทนท่ีขอ้ ความเก่า
6. มคี วามง่ายในการใช้งาน ด้วยขอ้ จากัดของจานวนอักขระ ทาให้ขอ้ ความมขี นาดส้ันไม่เสียเวลาใน
การพิมพ์ข้อความ จึงเป็นแรงจูงใจให้ผู้ใช้งานทวิตเตอร์ส่งข้อมูลเข้าไปในระบบได้บ่อยเท่าที่ต้องการ ส่งผลให้
เกดิ การกระจายข้อมลู จากปากตอ่ ปาก (Words of Mouth) ได้งา่ ย

รปู ที่ 8.4 ตวั อย่างการใช้ทวิตเตอร์

85

นอกจากนี้ Davis (2008) กลา่ วว่า ทวิตเตอรส์ ามารถนามาใช้เป็นเคร่ืองมือสาหรับการเรียนการสอน
ดังนี้

1. สามารถใช้ได้ทั้งในห้องเรียน และนอกห้องเรียนเพ่ือการส่ือสารถึงกิจกรรมการเรียนการ
สอน

2. สามารถใชเ้ ปน็ เครื่องมือสาหรับการระดมความคิดเห็นและการส่ือสาร ด้วยข้อจากัดเพียง
140ตัวอกั ษร จึงเปน็ การฝกึ ทักษะในการสื่อสารที่กระชบั ตรงประเดน็

3. สามารถเป็นช่องทางสาหรับการรับฟังความคิดเห็น โดยผู้เรียนสามารถส่งคาถาม ความ
คิดเหน็ หรอื ขอ้ สงั เกตเข้าไปในเครอื ขา่ ยเพ่ือเรียนร้รู ่วมกันได้

4. สามารถใช้เป็นเคร่ืองมือเพ่ือการทางานร่วมกันระหว่างโรงเรียน มหาวิทยาลัย ประเทศท่ี
หา่ งกนั ได้

5. สามารถใช้เป็นเครื่องมือสาหรับการประชุม สัมมนา การนาเสนอความคิดจากคนหมู่
มากท่ี สามารถอัพเดทข้อมลู ได้อย่างรวดเรว็

6. สามารถใชเ้ ปน็ หอ้ งเรยี นเสมือนสาหรบั การอภปิ รายแสดงออกทางความคิด
7. สามารถใช้เป็นเคร่ืองมือสาหรับการสร้างประสบการณ์การเรียนรู้ด้วยเทคโนโลยี เป็น

เครื่องมือการเพ่อื คน้ พบแหล่งความรูใ้ หม่
8. สามารถใช้เปน็ เครอ่ื งมอื เพ่อื สรา้ งเครือขา่ ยกลุ่มคนทีม่ คี วามสนใจร่วมกนั
9. สามารถใชเ้ ปน็ เครอ่ื งมอื สาหรับสะทอ้ นความคิดเห็นของผู้เรียนและผสู้ อน
10. สามารถให้ผลลัพธ์ทางด้านการอัพเดทข่าวสารได้มีประสิทธิภาพมากกว่าอาร์เอสเอ

สฟีด (RSSfeed) ง่ายต่อการรับและการส่งข้อมูล เพราะมีช่องทางในการใช้บริการท่ี
หลากหลาย
ในการนาทวิตเตอร์มาใช้เพ่ือเป็นส่วนหน่ึงในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนเพื่อให้ผู้เรียนศึกษา
คน้ คว้าขอ้ มลู เพ่ิมเตมิ โดยผูส้ อนสามารถนามาประยุกต์ใช้ได้ ดังนี้
1. แนะนาให้ผู้เรียนติดตามผู้เช่ียวชาญ ในหัวข้อท่ีเกี่ยวข้องกับการเรียนการสอนใน
เนือ้ หาวชิ า
2. นาเสนอและตดิ ตามหวั ข้อท่ีสนใจโดยการใช้แทก็ ที่ข้ึนต้นด้วย (hash tag) ซึ่งหากผู้ใช้ทวิต
เตอร์คลกิ ทแ่ี ท็กดังกลา่ วก็จะเหน็ ขอ้ ความทวตี ท่ีมีแท็กเหล่าน้ัน
3. สร้างกลุ่มทสี่ นใจเรือ่ งเดยี วกัน หรือเข้าร่วมเรยี นวิชาเดียวกัน หรือกิจกรรมเดียวกัน โดย
การใช้แท็กที่ขึ้นต้นด้วย ข้อความท่ีเกี่ยวข้องกับวิชาน้ีจะมีแท็กที่ข้ึนต้นด้วย xmlws นอกจากน้ีได้ใช้ฟังก์ชัน
รายช่ือ (list) ของทวิตเตอร์เพื่อดูข้อความทวีตของผู้เรียนทุกคนในวิชาท่ีสอน ซ่ึงการใช้ฟังก์ชันรายชื่อน้ี
เปรยี บเสมอื นการสรา้ งกลมุ่ ซึ่งในทน่ี ก้ี ็คือกลุ่มของบญั ชที วติ เตอร์ของผเู้ รียนทสี่ อน

Media Sharing

86
Media Sharing เป็นเว็บไซต์ที่ให้ผู้ใช้สามารถอัพโหลดรูปภาพ แฟูมข้อมูล เพลง หรือวิดีโอเพ่ือ
แบ่งปันให้กับสมาชิก หรือเผยแพร่ต่อสาธารณชน ตัวอย่างเว็บไซต์ที่เป็น Media Sharing เช่น Youtube,
Flickr และ 4shared เป็นต้น
ตวั อย่างการใช้ Youtube ในการจดั การเรยี นการสอน

Youtube เป็นเว็บไซต์ท่ีมีลักษณะเปิด ให้ใครก็ได้นาคลิปวิดีโอท่ีตนมีอยู่ไปฝากไว้โดยใช้
ระบบการใหบ้ ริการโดยใช้โปรแกรมAdobe Flash เรียบเรียงเนื้อหาบนเว็บไซต์รวมไปถึงไฟล์วีดิโอต่าง ๆ และ
สามารถนา ฟังก์ชันต่าง ๆ ท่ีเว็บสร้างขึ้นมาไปช่วยในการเผยแพร่คลิปนั้น ๆ โดยมีเคร่ืองมือที่สาคัญคือ
Embed Code ท่ีใช้ สาหรบั แพรก่ ระจายคลิปต่าง ๆ ไปยังเว็บไซต์ต่าง ๆ ทั่วโลก โดยผู้ใช้สามารถใส่ภาพวีดิโอ
เขา้ ไป เปิดดูภาพวดี ิโอที่มอี ย่แู ละแบ่งปนั ภาพวดี ิโอให้ผ้อู นื่ ดูได้

ใน YouTube จะมีข้อมูลเนื้อหารวมถึงคลิปภาพยนตร์สั้น ๆ และคลิปที่มาจากรายการ
โทรทัศน์มิวสิกวิดีโอ และวิดีโอบล็อกลิ้ง (ซ่ึงเป็นการสร้างบล็อกโดยมีส่วนของข้อมูลท่ีเป็นภาพ วิดีโอ เป็น
ส่วนประกอบด้วย โดยเฉพาะเป็นภาพวิดีโอท่ีเกิดจากมือสมัครเล่นถ่ายกันเอง) โดยไฟล์วีดิโอที่เผยแพร่อยู่บน
เว็บไซต์ส่วนใหญ่ เป็นเพียงไฟล์คลิปสั้น ๆ เท่าน้ัน ความยาวเพียงไม่กี่นาที ทาให้ผู้ใช้บริการสามารถเข้าชมได้
ง่าย โดยมีการแบ่งประเภทและจัดอันดับไฟล์วีดิโอ ไม่ว่าจะเป็นไฟล์ล่าสุด ไฟล์ท่ีมีผู้ชมมากที่สุด ไฟล์ท่ีได้รับ
ความนิยมมากท่ีสุด เพื่อให้ผู้ชมสามารถเลือกชมได้อย่างสะดวก และยังมีบริการท่ีสามารถดูวีดิโอได้ทีละเฟรม
โดยเลอื กดสู ว่ นใดของวดี โิ อกไ็ ด้

รปู ท่ี 8.5 ตวั อยา่ ง Youtube

YouTube สาหรบั โรงเรียน (Youtube for Schools)
ประโยชนข์ อง YouTube สาหรับโรงเรียน (Youtube for Schools)
1. กว้างขวางครอบคลุม YouTube สาหรับโรงเรียนเปิดโอกาสให้โรงเรียนต่าง ๆ เข้าถึง

วิดีโอเพ่ือการศึกษาฟรีนับแสนรายการจาก YouTube EDU วิดีโอเหล่านี้มาจากองค์กรท่ีมีชื่อเสียงต่าง ๆ เช่น
Stanford, PBS และ TED รวมทง้ั จากพนั ธมิตรท่ีกาลังได้รับความนิยมของ YouTube ซ่ึงมียอดผู้ชมนับล้าน ๆ
คน เชน่ Khan Academy, Steve Spangler Science และ Numberphile

87

2. ปรับแก้ได้ สามารถกาหนดค่าเน้ือหาท่ีดูได้ในโรงเรียนของคุณ โรงเรียนทั้งหมดจะได้รับ
สิทธ์ิเข้าถึงเน้ือหา YouTube EDUทั้งหมด แต่ครูและผู้ดูแลระบบอาจสร้างเพลย์ลิสต์วิดีโอท่ีดูได้เฉพาะใน
เครอื ขา่ ยของโรงเรยี นเทา่ น้ันได้เช่นกัน

3. เหมาะสมสาหรับโรงเรียน ผู้บริหารโรงเรียนและครูสามารถลงช่ือเข้าใช้และดูวิดีโอใด ๆ
ก็ได้ แต่นักเรียนจะไม่สามารถลงชื่อเข้าใช้และจะดูได้เฉพาะวิดีโอ YouTube EDU และวิดีโอที่โรงเรียนได้เพ่ิม
เข้าไปเท่านั้น ความคิดเห็นและวิดีโอท่ีเกี่ยวข้องทั้งหมดจะถูกปิดใช้งานและการค้นหาจะจากัดเฉพาะวิดีโอ
YouTube EDU เท่านน้ั

4. เป็นมิตรกับครู YouTube.com/Teachers มีเพลย์ลิสต์วิดีโอนับร้อยรายการที่ได้
มาตรฐานการศกึ ษาท่ัวไป และจัดระเบียบตามหัวเร่ืองและระดับช้ัน เพลย์ลิสต์เหล่านี้สร้างข้ึนโดยครูเพื่อเพื่อน
ครดู ้วยกนั ดงั น้นั คุณจึงมีเวลาในการสอนมากขน้ึ และใชเ้ วลาคน้ หานอ้ ยลง

ในการนา Youtube มาประยุกต์ใช้ในการเรียนการสอน สามารถทาได้ดังน้ี
1. ใช้เป็นส่ือประกอบการเรียนการสอน เช่น สาธิตวิธีการทาอาหารเพื่อให้ผู้เรียนเห็นภาพ

จริงสามารถนาไปปฏบิ ัติได้ หรือสอนภาษาอังกฤษ เพ่ือดึงดูดความสนใจของผู้เรียน และผู้เรียนสามารถนนาไป
ตอ่ ยอดการเรียนรไู้ ด้

2. ผู้สอนสร้างกลุ่มของผู้เรียนแต่ละกลุ่มจากนั้นใช้ Youtube ในการเผยแพร่ผลงานของ
ผูเ้ รยี น โดยให้ผเู้ รยี น จัดทาผลงาน จากนน้ั นาเสนอผลงานผา่ นทาง Youtube จากนนั้ แบ่งปนั ให้เพื่อนสามารถ
เขา้ ไปดูผลงานได้

3. ผู้เรียนใช้เป็นแหลง่ สบื ค้นข้อมูล ความรู้ ขา่ วสาร เพ่ิมเติมจากในหอ้ งเรยี น

Social News and Bookmarking

Social News and Bookmarking เป็นเว็บไซต์ทเี่ ชอื่ มโยงไปยังบทความ หรอื เน้ือหาใน
อินเทอร์เน็ต โดยผู้ใช้เป็นผู้ส่งและสามารถให้คะแนนและเลือกบทความหรือเน้ือหาใดที่น่าสนใจที่สุดได้ ผู้ใช้
สามารถ Bookmarkเน้ือหาหรือเว็บไซตท์ ี่ชน่ื ชอบได้ รวมทง้ั ยงั แบ่งปันให้กบั ผ้อู น่ื ได้ดว้ ย
ตวั อยา่ งการใช้ Social News and Bookmarking ในการจัดการเรยี นการสอน

Social News เป็นเวบ็ ไซตก์ ลมุ่ ข่าวสารที่ผู้ใช้สามารถส่งข่าว โดยผสม social bookmarking บล็อก
และการเช่ือมโยงเน้ือหาเว็บเข้าด้วยกัน และมีการกรองคัดเลือกเนื้อหาในลักษณะการร่วมลงคะแนนท่ีทุกคน
เทา่ เทียมกัน เนอื้ หาข่าวและเว็บไซต์จะถูกส่งเข้ามาโดยผู้ใช้จากนั้นจะถูกเล่ือนให้ไปแสดงท่ีหน้าแรกผ่านระบบ
การจัดอันดับโดยผู้ใช้ ซึ่งข่าวอาจอยู่ในรูปแบบของส่ิงพิมพ์การกระจายเสียง อินเทอร์เน็ต ในการใช้บอกเล่า
เรื่องราวของ บุคคลอื่น หรอื กลุม่ คน Social Media ชนดิ น้เี ป็นเครื่องมอื ในการบอกต่อและสรา้ งจานวนคนเข้า
มายังทเี่ ว็บไซต์ ตวั อยา่ งเวบ็ ไซต์ประเภทน้ี เช่น Current TV , หนงั สือพิมพ์ออนไลน์ เป็นตน้

Social Bookmarking เป็นบรกิ ารบนเว็บไซต์สาหรบั ผ้ใู ช้อินเทอร์เน็ต โดยการแบ่งปันการคั่นหน้าไว้
บนเว็บไซต์ผู้ให้บริการ เพ่ือรวบรวม จัดเก็บ แบ่งหมวดหมู่ สืบค้น และโดยเฉพาะเพื่อการแบ่งปันเว็บไซต์หรือ
เนอ้ื หาบนเว็บไซตแ์ กค่ นอน่ื ๆ ทีส่ นใจ ซึ่งเป็นสว่ นหนึ่งของ Social News เชน่ Digg เป็นต้น

88
ในการนา Social News และ Social Bookmarking มาประยุกต์ใช้ในการเรียนการสอน ผู้สอนอาจใช้เป็น
แหล่งค้นคว้าหาขอ้ มูลเพ่มิ เตมิ เนือ้ หา หรือนาเนอ้ื หาในข่าวมาเป็นประเดน็ คาถาม ในการเรยี นเพ่อื ฝึกให้
ผู้เรียนไดค้ ดิ วิเคราะหเ์ หตุการณต์ ่าง ๆ โดยอาจทาได้หลายวิธี เช่น ผู้สอนเป็นผู้นาข่าวมาเป็นประเด็นให้ผู้เรียน
ตอบ ผู้สอนและผู้เรียนร่วมกันหาเน้ือหาแล้วนามาอภิปรายร่วมกัน หรือให้ผู้เรียนจัดกลุ่มแล้วช่วยกันเลือก
ประเด็นแล้วอภิปรายภายในกลุ่ม โดยใช้ Social Bookmarking เป็นแหล่งในการรวบรวมความรู้และจัดเก็บ
ขอ้ มลู จากการสบื คน้ ของกลุม่ เพื่อแบ่งปันให้เพ่ือนในหอ้ ง เป็นตน้

รูปท่ี 8.6 ตวั อยา่ ง Social News

รูปท่ี 8.7 ตัวอย่างเวบ็ ไซต์Social Bookmarking

89

แนวทางและความเปน็ ไปได้ในการแกไ้ ขปญั หา

การใช้งานโซเชียลมีเดยี ในเบื้องตน้ เป็นการใชง้ านส่วนบุคคล ท่สี ามารถใช้ไดอ้ ย่างเสรี แต่เมื่อนามา
เปน็ ส่วนหนง่ึ ในการเรยี นการสอนต้องคานงึ ถึงความเหมาะสมในการสืบคน้ และนาเสนอข้อมูลเช่น การนาเสนอ
ขอ้ มูลจากเวบ็ ไซต์ต่าง ๆ โดยไม่ตรวจสอบความถกู ต้องหรือความทนั สมัยของขอ้ มูล การแชรข์ ้อมลู จาก
แหลง่ ขอ้ มลู ท่มี ีอคติหรือความลาเอยี ง หรอื การนาข้อความ เอกสาร ภาพ หรอื วิดีโอ มาใช้ โดยไม่อ้างอิง
แหล่งที่มา (จารวุ จั น์ สองเมอื ง, 2554; จุไรรตั น์ ทองคาชืน่ ววิ ัฒน์, 2552; Antony Mayfield, 2008)

หากครูยงั ไม่สามารถใช้เทคโนโลยใี นการเรยี นการสอนได้อย่างเหมาะสมกบั รปู แบบหรือกิจกรรมการ
เรยี นการสอน และใชเ้ ทคโนโลยีทมี่ ีอยู่ไม่คุ้มค่าตามงบประมาณท่ีรัฐบาลสนบั สนุน จะสง่ ผลใหน้ ักเรียนไม่
สามารถพฒั นาความรู้และทักษะทต่ี ้องการได้เตม็ ศักยภาพ จึงขอยกตวั อย่างแนวทางในการนาโซเชียลมีเดียมา
ใชจ้ ัดการเรียนการสอนได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม ดงั นี้

1) หากครตู ้องการนาเสนอข้อมลู จากเว็บไซต์ตา่ ง ๆ ควรตรวจสอบความถูกตอ้ ง หรอื ความ
ทนั สมัยของข้อมลู โดยการตรวจสอบข้อมลู จากต้นฉบับ หรือหาแหลง่ ท่ีมาของผูเ้ ผยแพร่จากองคก์ ารหรือบคุ ลท่ี
น่าเช่ือถือ

2) ควรมีการไตร่ตรองในการแบง่ ปัน (share) ข้อมลู จากแหลง่ ต่าง ๆ หรอื ควรสืบคน้ ข้อมลู
ขา่ วสารจากหลากหลายท่ีมา

3) การนาข้อความ เอกสาร ภาพ หรอื วดิ โี อ มาใช้ ควรมีการอ้างอิงแหล่งทมี่ าอยา่ งชดั เจน

บทสรปุ

สอื่ สังคม หรือส่ือ Social Media เป็นสอ่ื ทางการศึกษาเรียนร้ใู นยุคแหง่ สงั คมออนไลน์ท่ีกาลัง
กา้ วหน้าไปอยา่ งรวดเรว็ ในการปรบั ใช้ในวงการศึกษา ดงั น้ันผ้ทู ่ีมีส่วนเกย่ี วข้องทกุ ฝุาย ต้องตระหนักและ
มองเหน็ ความสาคัญต่อส่ือดังกลา่ วรวมทัง้ การกาหนดแนวทางของการปรับใช้ใหเ้ หมาะสมกบั สภาพการณ์ทาง
สังคมในปจั จบุ ัน ซึง่ Social Media ในหลากหลายประเภทที่กล่าวถึงในเบอื้ งต้นนนั้ คงเปน็ สอ่ื การศึกษาที่ต้อง
เข้ามามบี ทบาทสาคญั ต่อการศึกษาเรียนรู้ในสังคมอย่างแน่นอนจงึ เปน็ ประเด็นสาคญั ท่ีทุกฝุายต้องตระหนัก
และเตรียมรับการเปลีย่ นแปลงทีเ่ กดิ ขึ้น

Social Media มอี ิทธิพลต่อชีวติ ประจาวนั ของเดก็ และเยาวชนมาก เปน็ เคร่อื งมอื สาคัญท่ีใช้ในการ
ติดตอ่ สื่อสาร แหล่งข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ ผู้สอนสามารถนา Social Media มาประยุกต์ใช้ในการเรียนการสอน
เพ่ือเป็นสิ่งดึงดูดใจของผู้เรียนได้เป็นอย่างดีเพราะปัจจุบัน Social Media เป็นเทคโนโลยีที่นับได้ว่าเป็นส่วน
หนงึ่ ในชวี ิตประจาวันของผูเ้ รยี นไปแลว้ ซงึ่ ผเู้ รียนใหค้ วามสนใจและเรยี นรู้ไดเ้ ปน็ อยา่ งมาก

90
รูปท่ี 8.8 Social Media
รปู ที 8.9 Social Media

91

อา้ งอิง

sites.google.com/site/. สือ่ สังคมออนไลน์ Social Media. [ระบบออนไลน์]. แหลง่ ที่มา
https://sites.google.com/site/babest0007/sux-sangkhm-xxnlin-social-media
(18 กันยายน 2563)

จดั ทาโดย
นางสาวปรียา ปนั ธิยะ
สาขาวิชาการจัดการสานักงาน


Click to View FlipBook Version