The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

มาตรฐานหม่อนไหม

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by หม่อนไหม เขต4, 2024-04-03 00:02:01

มาตรฐานหม่อนไหม

มาตรฐานหม่อนไหม

1 กรมหม่อนไหม ค ำ� น ำ� หนังสือ “มาตรฐานหม่อนไหม” ได้จัดท�ำขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อรวบรวม มาตรฐานที่ส�ำคัญที่ใช้ในการจ�ำแนกกระบวนการผลิตสินค้าเส้นไหมและผ้าไหมไทยในปัจจุบัน อีกทั้งสามารถใช้เป็นเอกสารเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ให้แก่สาธารณะชนทั่วไป หนังสือ “มาตรฐานหม่อนไหม” เล่มนี้ประกอบด้วย ความรู้ทั่วไปเรื่องมาตรฐาน กระบวนการผลิตเส้นไหมและผ้าไหมไทย ซึ่งได้รวบรวมประวัติศาสตร์ผ้าไหมไทย และขั้นตอน ในการผลิตผ้าไหมไทย นอกจากนี้ยังประกอบด้วยมาตรฐานเส้นไหม มาตรฐานผ้าไหม และ มาตรฐานการผลิตผ้าไหมภายใต้เครื่องหมายรับรองตรานกยูงพระราชทานสีทอง รวมถึงวิธีการ ตรวจสอบการตกสีผลิตภัณฑ์ผ้าไหมไทย ตามข้อบังคับของกรมหม ่อนไหมว ่าด้วยการใช้ เครื่องหมายรับรองผลิตภัณฑ์ผ้าไหมไทย พ.ศ. 2554 คณะผู้จัดท�ำหวังเป็นอย่างยิ่งว่าหนังสือ “มาตรฐานหม่อนไหม” เล่มนี้จะเป็นสื่อ ที่สามารถสร้างความรู้และความเข้าใจในมาตรฐานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์หม่อน ไหม เส้นไหม และผ้าไหมไทย พร้อมทั้งสามารถส่งเสริมให้เกิดการน�ำไปใช้ประโยชน์ในการพัฒนาสินค้า เส้นไหมและผ้าไหมต่อไป คณะผู้จัดท�ำ กรมหม่อนไหม สิงหาคม 2557


2 มาตรฐานหม่อนไหม สารบัญ บทที่ 1 ความรู้ทั่วไปเรื่องการมาตรฐาน 3 1. คำศัพท์และความหมาย 3 1.1 มาตรฐาน (Standard) 3 1.2 ประเภทของมาตรฐาน (Standard) 4 1.3 หน่วยงานด้านมาตรฐาน 5 1.4 ประเภทการรับรองมาตรฐาน 6 1.5 เครื่องหมายในการรับรองมาตรฐาน 7 บทที่ 2 12 กระบวนการผลิตเส้นไหมและผ้าไหมไทย 12 2.1 ประวัติผ้าไหมไทย 12 2.2 ขั้นตอนการผลิตผ้าไหมไทย 17 บทที่ 3 มาตรฐานเส้นไหม (Silk yarn standard) 3.1 เส้นไหม (Silk yarn) 42 บทที่ 4 51 มาตรฐานผ้าไหม 51 4.1 มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมผ้าไหมไทยมาตรฐาน 52 เลขที่ มอก.179-2519 4.2 มาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน (มผช) 56 4.3 เครื่องหมายรับรองผลิตภัณฑ์ผ้าไหมไทยตรานกยูงพระราชทาน 66 บทที่ 5 มาตรฐานการผลิตผ้าไหมภายใต้เครื่องหมายรับรอง 72 ตรานกยูงพระราชทานสีทอง 5.1 มาตรฐานวัตถุดิบ(เส้นไหมไทย) 73 5.2 มาตรฐานการใช้สีในการฟอกย้อมสีไหม 84 5.3. มาตรฐานกระบวนการทอผ้าไหม 84 ภาคผนวก 86 การตรวจสอบการตกสี 86


3 กรมหม่อนไหม ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับมาตรฐานสินค้า (General information of Product Standard) 1. คำศัพท์และความหมาย (Term and Definition) 1.1 มาตรฐาน (Standard) 1.1.1 ความหมาย พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 ได้ให้ค�ำนิยามของ มาตรฐาน ว่ามาตรฐาน คือ สิ่งที่ถือเป็นหลักส�ำหรับเทียบก�ำหนด ส�ำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติได้ให้ความหมายของ มาตรฐาน หมายถึง ข้อก�ำหนดทางวิชาการในรูปของเอกสารวัตถุ ที่แพร่หลายแก่บุคคลทั่วไป ก�ำหนดขึ้นโดยความร่วมมือ การยอมรับร่วมกันของผู้มีส่วนได้เสีย และผู้มีประโยชน์เกี่ยวข้อง ซึ่งเป็นผลจากการพิจารณาร่วมกันโดย มุ่งประโยชน์สูงสุด ตามพระราชบัญญัติการมาตรฐานแห่งชาติ พ.ศ. 2551 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ หมายถึง ข้อก�ำหนดอย่างหนึ่งอย่างใดหรือหลายอย่างซึ่งเกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ 1) ผลิตภัณฑ์วิธีการ กระบวนการผลิต ส่วนประกอบ โครงสร้าง มิติขนาด แบบ รูปร่าง น�้ำหนัก ประสิทธิภาพ สมรรถนะ ความทนทาน หรือความบริสุทธิ์ของผลิตภัณฑ์ 2) หีบห่อ การบรรจุหีบห่อ การท�ำเครื่องหมาย หรือ ฉลาก 3) วิธีการ กระบวนการ คุณลักษณะ ประสิทธิภาพ หรือสมรรถนะ ที่เกี่ยวข้องกับการบริการ 4) ระบบการบริหารหรือการจัดการเกี่ยวกับคุณภาพ สุขอนามัย อาชีวอนามัย สิ่งแวดล้อม ความปลอดภัย หรือระบบอื่นใด 5) นิยาม แนวทาง ข้อแนะน�ำ หน่วยวัด การทดสอบ การสอบเทียบ การทดลอง การวิเคราะห์ การวิจัย การตรวจ การรับรอง การตรวจประเมิน หรืออื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการมาตรฐาน องค์การระหว่างประเทศว่าด้วยการมาตรฐาน (International Organization for Standardization-ISO) ได้ให้นิยามศัพท์ของ มาตรฐาน หมายถึงเอกสารที่จัดท�ำขึ้นจากการเห็นพ้องต้องกัน และ ได้รับความเห็นชอบจากองค์กรอันเป็นที่ยอมรับกันทั่วไป เอกสารดังกล่าววางกฎระเบียบแนวทางปฏิบัติหรือ ลักษณะเฉพาะแห่งกิจกรรม หรือผลที่เกิดขึ้นของกิจกรรมนั้น ๆ เพื่อให้เป็นหลักเกณฑ์ใช้กันทั่วไปจนเป็น ปกติวิสัย โดยมุ่งให้บรรลุถึงความส�ำเร็จสูงสุดตามข้อก�ำหนดที่วางไว้


4 มาตรฐานหม่อนไหม 1.2 ประเภทของมาตรฐาน (Standard) 1.2.1 ประเภทของมาตรฐานจ�ำแนกตามวิธีการรับรองแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ 1.2.1.1 มาตรฐานระบบบริหารคุณภาพของกระบวนการ (Processes) เป็นกิจกรรม ต่าง ๆ ในการผลิต และหรือการบริการ เป็นมาตรฐานวิธีการท�ำงานที่จะต้องปฏิบัติตามโดยค�ำนึงถึง ข้อก�ำหนด ซึ่งเป็นพันธะระหว่างประเทศ เป็นมาตรฐานระดับโลก ความเป็นมาตรฐาน คือการสร้างความ เท่าเทียมของกระบวนการปฏิบัติงานภายในองค์กรให้เกิดความสม�่ำเสมอ มาตรฐานสามารถปรับปรุง เปลี่ยนแปลงให้ทันสมัยได้อย่างต่อเนื่อง โดยค�ำนึงถึงความต้องการของลูกค้าเป็นหลัก สามารถน�ำไปประยุกต์ ใช้กับธุรกิจทางด้านอุตสาหกรรมการผลิต และงานบริการโดยไม่จ�ำกัดขนาด มาตรฐานประเภทนี้ ได้แก่ ระบบบริหารคุณภาพ ISO 9000, ISO 14000 และ มอก. 18000 1.2.1.2 มาตรฐานผลิตภัณฑ์ (Products) เป็นมาตรฐานที่เป็นกฎเกณฑ์ทางเทคนิค ที่ก�ำหนดขึ้นไว้ส�ำหรับผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม คือทางด้านผลผลิต (Output) ที่ได้ระบุลักษณะของผลิตภัณฑ์ ความมีประสิทธิภาพ การน�ำไปใช้งาน การทดสอบคุณภาพผลิตภัณฑ์ที่เป็นไปตามมาตรฐาน 1.2.2 ประเภทของมาตรฐานจ�ำแนกตามการบังคับใช้แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ 1.2.2.1 มาตรฐานบังคับ คือ มาตรฐานที่มีกฎกระทรวงก�ำหนดให้สินค้าต้องเป็นไปตาม มาตรฐาน หากไม่มีการปฎิบัติตามมาตรฐาน มีบทลงโทษตามกฎหมาย 1.2.2.2 มาตรฐานทั่วไป คือ มาตรฐานที่มีประกาศก�ำหนดเพื่อส่งเสริมสินค้าให้ได้ มาตรฐานไม่บังคับใช้หรือเป็นมาตรฐานสมัครใจ ไม่มีบทลงโทษ 1.3 หน่วยงานด้านมาตรฐาน หน่วยงานที่รับผิดชอบเกี่ยวกับการก�ำหนดมาตรฐานสินค้าและบริการของประเทศไทยมีอยู่ หลายหน่วยงาน ขึ้นอยู่กับประเภทของสินค้า โดยมีหน่วยงานหลัก ดังนี้ 1.3.1 ส�ำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ. Thai Industrial Standard Institute: TISI) กระทรวงอุตสาหกรรม เป็นหน่วยงานหลักที่มีบทบาทความรับผิดชอบ ดังนี้ 1.3.1.1) ก�ำหนดมาตรฐานระดับประเทศ เรียกว่ามาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม หรือ มอก.ตามความต้องการและการขยายตัวของเศรษฐกิจของประเทศ รวมทั้งร่วมก�ำหนดมาตรฐาน ในระดับสากลกับองค์กรส�ำคัญด้านมาตรฐานเช่น องค์การระหว่างประเทศว่าด้วยการมาตรฐาน หรือ ISO และคณะกรรมาธิการระหว่างประเทศว่าด้วยมาตรฐานสาขาอิเล็กทรอนิกส์หรือ IEC 1.3.1.2) รับรองคุณภาพผลิตภัณฑ์ด้วยการอนุญาตให้แสดงเครื่องหมายมาตรฐาน ได้แก่ เครื่องหมายมาตรฐานทั่วไปและเครื่องหมายมาตรฐานบังคับ 1.3.1.3) การประสานความร่วมมือกับองค์กรส�ำคัญระดับสากลต่างๆ อาทิ องค์การ ระหว่างประเทศว่าด้วยการมาตรฐานหรือ ISO เกี่ยวกับการมาตรฐานเพื่อประโยชน์ทางด้านอุตสาหกรรม และวิชาการ 1.3.1.4) เป็นศูนย์สนเทศด้านการมาตรฐาน ที่รวบรวมข้อมูลด้านการมาตรฐาน ทั้งในประเทศและต่างประเทศเป็นศูนย์กลางในการค้นคว้าข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับมาตรฐาน 1.3.1.5) ให้การรับรองระบบการจัดการส�ำหรับ SMEs ได้แก่ ระบบคุณภาพ ISO 9001 ระบบการจัดการสิ่งแวดล้อม ISO 14001 ระบบการจัดการอาชีวอนามัยและความปลอดภัย มอก. 18001 ระบบการจัดการความปลอดภัยของอาหาร HACCP และ GMP


5 กรมหม่อนไหม 1.3.1.6) ส่งเสริมและพัฒนาด้านการมาตรฐาน เพื่อเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับ มาตรฐานให้แก่ผู้ประกอบการครูอาจารย์ นักเรียน นักศึกษา และประชาชนทั่วไป ให้มีการน�ำมาตรฐาน ไปใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างกว้างขวาง 1.3.1.7) พัฒนาระบบเศรษฐกิจชุมชน ด้วยการก�ำหนดและให้การรับรองมาตรฐาน ผลิตภัณฑ์ชุมชนด้วยเครื่องหมาย มผช. เพื่อรับรองคุณภาพผลิตภัณฑ์หนึ่งต�ำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์(OTOP) ทั่วประเทศ 1.3.2 ส�ำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ(มกอช. National Bureau of Agricultural Commodity and Food Standards: ACFS) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นหน่วยงาน รับผิดชอบมาตรฐานด้านเกษตร เป็นศูนย์กลางในการประสานงานและพัฒนา มาตรฐานสินค้าเกษตรของประเทศให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล โดยร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆ ภายใน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์มุ่งการให้บริการแบบเบ็ดเสร็จในการน�ำเข้าและส่งออกสินค้าเกษตร บทบาท ความรับผิดชอบของส�ำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติมีดังนี้ 1.3.2.1 ก�ำหนดแผนยุทธศาสตร์ความปลอดภัยสินค้าเกษตรและอาหาร และเป็น หน่วยงานกลางในการก�ำหนดท่าทีของประเทศ ด้านการมาตรฐานและการเจรจาด้านเทคนิคและสุขอนามัย สินค้าเกษตรและอาหารทั้งระดับทวิภาคีและพหุภาคี 1.3..2.2 ก�ำหนดมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหาร และระบบการตรวจสอบรับรองให้ สอดคล้องกับสากล 1.3.2.3 เป็นหน่วยงานกลางในการประสานงานกับองค์การมาตรฐานระหว่างประเทศ ความตกลงด้านสุขอนามัยและสุขอนามัยพืชภายใต้องค์การการค้าโลก 1.3.2.4 ก�ำกับ ดูแล ตรวจสอบ และควบคุมให้มีการปฏิบัติเป็นไปตาม พ.ร.บ. มาตรฐาน สินค้าเกษตร พ.ศ.2551 1.3.2.5 เป็นศูนย์กลางข้อมูลด้านการมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหาร การเตือนภัย และการเชื่อมโยงข้อมูลทั้งในประเทศ และระหว่างประเทศ 1.3.2.6 ส่งเสริมการน�ำมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารไปใช้ตลอดห่วงโซ่อาหาร 1.3.2.7 วิจัยและพัฒนามาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารที่ครอบคลุมตั้งแต่ระดับฟาร์ม ถึงผู้บริโภค 1.4 เครื่องหมายในการรับรองมาตรฐาน 1.4.1 เครื่องหมายมาตรฐานสำหรับผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) ในการรับรองคุณภาพผลิตภัณฑ์นั้น ผู้รับรองจะออกใบรับรองและให้แสดงเครื่องหมายรับรอง ส�ำหรับของประเทศไทยส�ำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม เป็นหน่วยงาน รับผิดชอบให้การรับรองคุณภาพผลิตภัณฑ์ตามวิธีข้อ1.3.1.2 และข้อที่ 1.3.1.5 ที่จัดเป็นการรับรองคุณภาพ โดยบุคคลที่ 3 โดยผ่านการทดสอบแบบของผลิตภัณฑ์ประเมินระบบการควบคุมคุณภาพของโรงงานที่ผลิต รวมทั้งมีการติดตามผลและออกใบอนุญาตให้แสดงเครื่องหมายมาตรฐาน ผลิตภัณฑ์ที่แสดงเครื่องหมาย มาตรฐาน หมายถึง ผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการตรวจสอบและได้รับการรับรองจากสมอ.แล้วว่ามีคุณภาพได้ มาตรฐานที่ก�ำหนด มีความปลอดภัยในการอุปโภค บริโภค มีประสิทธิภาพในการใช้งาน และมีคุณภาพสม ราคา ปัจจุบันสมอ.ได้อนุญาตในแสดงเครื่องหมายมอก. กับผลิตภัณฑ์5 เครื่องหมาย คือ


6 มาตรฐานหม่อนไหม 1.4.1.1 เครื่องหมายมาตรฐานทั่วไป เป็นเครื่องหมายรับรองคุณภาพผลิตภัณฑ์ที่ สมอ. ก�ำหนดมาตรฐาน ของ ผลิตภัณฑ์นั้นไว้แล้วซึ่งผู้ผลิตสามารถยื่นขอการรับรองคุณภาพโดยสมัครใจ (มาตรฐานทั่วไป) เพื่อการพัฒนาคุณภาพของผลิตภัณฑ์ ให้เป็นไปตามเกณฑ์ ก�ำหนดในมาตรฐานและหลักประกันให้กับผู้บริโภคหรือผู้ซื้อว่าผลิตภัณฑ์นั้น มีคุณภาพ มีความปลอดภัยคุ้มค่า และเหมาะสมกับราคา เช่น ผลิตภัณฑ์อาหาร วัสดุก่อสร้าง วัสดุส�ำนักงาน เครื่องใช้ไฟฟ้า เป็นต้น ภาพที่ 1.1 แสด งเค รื่อ งหม าย มาตรฐานทั่วไปของ สมอ. ภาพที่ 1.2 แ ส ด งเ ค รื่ อ งหม า ย มาตรฐานบังคับของ สมอ. ภาพที่ 1.3 แ ส ด ง เ ค รื่ อ ง ห ม า ย มาตรฐานเฉพาะด้าน ความปลอดภัยของ สมอ. ภาพที่ 1.4 แสด งเค รื่อ งหม าย มาตรฐานเฉพาะด้าน สิ่งแวดล้อม ของ สมอ. 1.4.1.2 เครื่องหมายมาตรฐานบังคับ เป็นเครื่องหมายรับรองผลิตภัณฑ์ที่กฎหมายก�ำหนดให้ต้องเป็นไปตาม มาตรฐาน (มาตรฐานบังคับ) ทั้งนี้เพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภคและป้องกัน ความเสียหายอันอาจจะเกิดต่อเศรษฐกิจและสังคมโดยส่วนรวม โดยกฎหมาย บังคับผู้ผลิต ผู้น�ำเข้าและผู้จ�ำหน่ายจะต้องผลิต น�ำเข้า และจ�ำหน่ายแต่ผลิตภัณฑ์ ที่เป็นไปตามมาตรฐานแล้วเท่านั้น ซึ่งจะต้องมีเครื่องหมายมาตรฐานบังคับ ติดแสดงไว้ทุกหน่วยเพื่อแสดงว่าผลิตภัณฑ์นั้น ได้ผ่านการตรวจสอบรับรองแล้ว ตามกฎหมาย เช่น ไม้ขีดไฟ สายไฟฟ้า บัลลาสต์ผงซักฟอก ท่อพีวีซีผลิตภัณฑ์ เหล็ก ถังดับเพลิง ของเล่นเด็ก หมวกกันน๊อค เป็นต้น 1.4.1.3 เครื่องหมายมาตรฐานเฉพาะด้านความปลอดภัย เป็นเครื่องหมายรับรองผลิตภัณฑ์ที่ต้องมีความปลอดภัยในการใช้งาน ซึ่งส�ำนักงานฯ จะก�ำหนดมาตรฐานโดยเน้นเฉพาะเรื่องความปลอดภัยเป็นส�ำคัญ เพื่อให้การคุ้มครองแก่ผู้บริโภคด้านความปลอดภัยในการใช้งาน เช่น เตารีด พัดลมไฟฟ้า เป็นต้น เครื่องหมายที่มีทั้งแบบบังคม และไม่บังคับ หากเป็นแบบ บังคับก็ต้องปฏิบัติตามกฎหมายที่ต้องท�ำผลิตภัณฑ์ให้ได้ตามมาตรฐานที่ก�ำหนด ทั้งผู้ท�ำ ผู้น�ำเข้า และผู้จ�ำหน่าย 1.4.1.4 เครื่องหมายมาตรฐานเฉพาะด้านสิ่งแวดล้อม เป็นเครื่องหมายรับรองผลิตภัณฑ์ที่มีคุณสมบัติในการรักษาสิ่งแวดล้อม เช่นการประหยัดน�้ำและการไม่ก่อให้เกิดมลพิษในอากาศเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต ที่ดีของประชาชน และการรักษาสิ่งแวดล้อมโดยรวมของประเทศ เช่น เครื่อง ซักผ้าประหยัดน�้ำ ตู้เย็นที่ไม่ใช้สาร CFC เป็นต้น เครื่องหมายนี้มีทั้งแบบบังคับ และไม่บังคับหากเป็นแบบบังคับก็ต้องปฏิบัติตามกฎหมายที่ต้องท�ำผลิตภัณฑ์ ให้ได้ตามมาตรฐานที่ก�ำหนด ทั้งผู้ท�ำ ผู้น�ำเข้า และ ผู้จ�ำหน่าย


7 กรมหม่อนไหม 1.4.1.5 เครื่องหมายมาตรฐานเฉพาะด้านความเข้ากันได้ทางแม่เหล็กไฟฟ้า เป็นเครื่องหมายรับรองผลิตภัณฑ์ที่มีคุณสมบัติของความเข้ากันได้ทาง แม่เหล็กไฟฟ้า ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่สามารถท�ำงานร่วมกับผลิตภัณฑ์อื่นหรือใช้ พร้อมกันได้และไม่ส่งคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าได้ในระดับหนึ่ง ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ เทคโนโลยีสารสนเทศ เช่น โทรศัพท์โทรสาร เครื่องรับ-ส่งวิทยุและเครื่องมือ ทางการแพทย์ เป็นต้ นเครื่องหมายนี้มีทั้งแบบบังคับ และไม่บังคับ หากเป็น มาตรฐานบังคับ ผู้ผลิต ผู้น�ำเข้า และผู้จ�ำหน่ายจะต้องผลิตน�ำเข้า และจ�ำหน่าย แต่ผลิตภัณฑ์ที่ได้มาตรฐานเท่านั้น 1.4.2 เครื่องหมายมาตรฐานสำหรับผลิตภัณฑ์ชุมชน (มผช.) เป็นเครื่องหมายในการรับรองคุณภาพผลิตภัณฑ์ชุมชน(มผช.) หน่วยงานผู้รับรอง คือ ส�ำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) เป็น เครื่องหมายที่ให้การรับรองผลิตภัณฑ์ที่ผลิตโดยชุมชนเพื่อช ่วยพัฒนาและ ยกระดับคุณภาพของผลิตภัณฑ์ชุมชน ตามโครงการหนึ่งต�ำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ของ รัฐบาลส�ำหรับรับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์ในชุมชน โดยจะมีเงื่อนไขการรับรอง ไม่ยุ่งยากซับซ้อน และต่างจากการให้การรับรองเครื่องหมายมาตรฐานผลิตภัณฑ์ อุตสาหกรรม (มอก.) ซึ่งผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการรับรองคุณภาพตามมาตรฐาน ผลิตภัณฑ์ชุมชนของสมอ. จะแสดงเครื่องหมายมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน (มผช.) ดังภาพด้านบนไว้ที่ผลิตภัณฑ์ 1.4.3 เครื่องหมายรับรองสินค้าเกษตร Q (Q Mark) เครื่องหมายรับรองสินค้าเกษตร Q (Q Mark) “Q” มาจากค�ำว่า Quality หมายถึง เครื่องหมายรับรองมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหาร ที่หน่วย งานในกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ใช้ในการให้การรับรองระบบหรือสินค้าเกษตร และอาหารเพื่อแสดงถึงความมีคุณภาพตามมาตรฐานและมีความปลอดภัย สืบเนื่องจากคณะกรรมการมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ ได้มีมติ ในการประชุมครั้งที่3/2546 วันที่29 กรกฎาคม 2546 ให้หน่วยงานในกระทรวง เกษตรและสหกรณ์ใช้เครื่องหมายรับรองมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหาร ให้เป็นเครื่องหมายเดียวกัน คือ เครื่องหมาย “Q” เพื่อลดความซ�้ำซ้อนในการ ใช้เครื่องหมายของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยการจัดท�ำบันทึกข้อตกลง ความร่วมมือ (MOU) เรื่องการใช้เครื่องหมายรับรองมาตรฐานสินค้าเกษตรและ อาหาร โดยมีการลงนามวันที่ 26 กันยายน 2546 ร่วมกับ 8 หน่วยงาน ได้แก่ กรมวิชาการเกษตร กรมประมง กรมปศุสัตว์กรมส่งเสริมการเกษตร กรมส่งเสริม สหกรณ์กรมพัฒนาที่ดิน องค์การตลาดเพื่อเกษตรกร และส�ำนักงานมาตรฐาน สินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติเพื่อให้มีการน�ำเครื่องหมายรับรอง “Q” ไปใช้ ในแนวทางเดียวกัน โดยให้การรับรองตั้งแต่ระดับไร่นาจนถึงผู้บริโภค (From Farm to Table) ประเภทเครื่องหมาย Q มีดังนี้ ภาพที่ 1.5 แ ส ด งเ ค รื่ อ งหม า ย มาตรฐานเฉพาะด้าน สิ่งแวดล้อม ของ สมอ. ภาพที่ 1.6 แ ส ด งเ ค รื่ อ งหม า ย มาตรฐานเฉพาะด้าน สิ่งแวดล้อม ของ สมอ. ภาพที่ 1.7 แสด งเค รื่อ งหม าย รับรอง Q โดย มกอช.


8 มาตรฐานหม่อนไหม 1.4.3.1 เครื่องหมายรับรอง Q มี2 แบบ คือ หมายถึง เครื่องหมายรับรองที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ประกาศใช้เพื่อแสดงถึงการให้การรับรองสินค้าเกษตรและอาหาร ว่าเป็นไปตาม มาตรฐานที่ประกาศโดยหรือได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการมาตรฐาน สินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติในด้านความปลอดภัยอาหาร (food safety) และด้านคุณภาพที่จ�ำเป็น (essential quality) เครื่องหมายรับรอง “Q” ลายเส้น รูปตัว Q สีเขียวเข้ม 1.4.4 เครื่องหมายรับรองตรานกยูงพระราชทาน (Royal Peacock Logo) เครื่องหมายรับรองผลิตภัณฑ์ผ้าไหมไทยตรานกยูงพระราชทาน เป็นเครื่องหมายรับรองคุณภาพมาตรฐานทั่วไปหรือสมัครใจส�ำหรับผ้าไหมไทย ที่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานสัญลักษณ์ตรานกยูงไทยให้เป็นเครื่องหมายรับรองคุณภาพมาตรฐาน ผลิตภัณฑ์ผ้าไหมไทย (ส�ำนักอนุรักษ์และตรวจสอบมาตรฐานหม่อนไหม, 2554) โดยรับรองคุณภาพวัตถุดิบ(ชนิดเส้นไหม) และกระบวนการผลิตผ้าไหม ภายใต้ การก�ำกับดูแลของกรมหม่อนไหม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์โดยกรมหม่อนไหม จะติดดวงตรานกยูงพระราชทานให้กับผ้าไหมไทยที่ผ่านการตรวจสอบรับรองตาม ระเบียบข้อบังคับของกรมหม ่อนไหม ที่ได้จดทะเบียนเครื่องหมายรับรอง ผ้าไหมไทย ตามบทบัญญัติมาตรา 82 แห่งพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2534 กับกรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์เครื่องหมายรับรอง ผลิตภัณฑ์ผ้าไหมไทยตรานกยูงพระราชทานแบ่งเป็น 4 ชนิด คือ นกยูง พระราชทานสีทอง นกยูงพระราชทานสีเงิน นกยูงพระราชทานสีน�้ำเงิน และ นกยูงพระราชทานสีเขียว 1.4.5 เครื่องหมายรับรองมาตรฐานสากล 1.4.5.1 มาตรฐานสิ่งแวดล้อมของสหภาพยุโรป (EU Eco-label) มาตรฐานเครื่องหมาย EU Eco-label เป็นมาตรฐานที่รับรอง สินค้า(สิ่งทอรวมถึงผ้าไหม) ที่มีคุณภาพและมาตรฐานที่ผลิตจากกระบวนการผลิต ที่ไม ่ท�ำลายสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ แสดงถึงความรับผิดชอบ ต่อสังคม สิ่งแวดล้อม และการใช้ทรัพยากรอย่างมีคุณค่าและตระหนักถึงสภาพ แวดล้อมโลกที่ต้องช่วยกันรักษาอย่างยั่งยืน ตามกระแสผู้บริโภคต่อสินค้าที่เป็น มิตรกับสิ่งแวดล้อมในสหภาพยุโรป ที่ได้รับการตอบสนองจากผู้บริโภคในสหภาพ ยุโรปมานานกว่า 10 ปีมาตรฐานสิ่งแวดล้อมฉบับนี้ไม่ได้เป็นมาตรการที่ใช้บังคับ กล่าวคือ ผู้ประกอบการสามารถเลือกที่จะสมัครเพื่อให้ได้รับตราดังกล่าวหรือ ไม่ก็ได้ (Voluntary basis) ทั้งนี้ หากสมัครที่จะใช้ตราดังกล่าวกับผลิตภัณฑ์ ภาพที่ 1.8 แส ด งเ ค รื่ อ งหม า ย รั บ ร อ ง ต ร า น ก ยู ง พระราชทานสีทอง (Royal Thai Silk) ของกรมหม่อนไหม ภาพที่ 1.9 แส ด งเ ค รื่ อ งหม า ย รั บ ร อ ง สิ่ ง ท อ ที่ ไ ม่ ทำลายสิ่งแวดล้อม Eco-label ของ สหภาพยุโรป


9 กรมหม่อนไหม ของตน ก็จะต้องปฏิบัติตามมาตรฐานหลัก (Core standard) ของสินค้าตามที่ ก�ำหนด Eco Label เพื่อใช้เป็นสัญลักษณ์ หรือแจ้งให้ผู้บริโภคได้รับทราบว่า สินค้าที่มีตราดังกล่าว จะเป็นสินค้าที่มีกระบวนการผลิต คุณสมบัติของสินค้า การด�ำเนินการอื่นใดทีเกี่ยวข้องกับการผลิตสินค้า จะไม่เป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม และ สุขอนามัยของประชาชน ทั้งนี้บทบัญญัติได้ก�ำหนดตาม Regulation (EC) No 66/2010 of the European Parliament and of the Council of 25 November 2009 on the EU Eco-label ตราสัญลักษณ์ได้ก�ำหนดใช้ตรา รูปดอกไม้เป็นเครื่องหมาย (ส�ำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ณ กรุงเฮก, 2555) ปัจจุบันบริษัทผลิตผ้าไหมไทยที่ได้รับการรับรองมาตรฐานนี้ได้แก่ บริษัท กรีนวิลล์เทรดดิ้งจ�ำกัด (ธ�ำรงรัตน์และคณะ, 2550) 1.4.5.2 มาตรฐานสิ่งทออินทรีย์(Global organic textile standard : GOTS) เครื่องหมายมาตรฐานสิ่งทออินทรีย์(GOTS : Global organic textile standard) เป็นมาตรฐานสมัครใจของสหภาพยุโรป ส�ำหรับใช้เป็นเครื่องหมาย รับรองสิ่งทอซึ่งรวมถึงผ้าไหมด้านสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัยจากสารเคมี ที่รับรองผ้าไหมและสิ่งทอที่มีกระบวนการผลิตตามมาตรฐานอินทรีย์ใน กระบวนการขอรับรองมาตรฐานสิ่งทออินทรีย์นั้นยังจ�ำเป็นต้องให้ความส�ำคัญ กับปัจจัยต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น การปลูกหม่อน เลี้ยงไหม กระบวนการการผลิตเส้นใย การฟอกย้อม การจัดการของเสียที่เกิดขึ้น การเก็บรักษา การบรรจุ การขนส่ง และกระบวนการตรวจสอบสารตกค้างในผลิตภัณฑ์ ปัจจุบันมีผู้ผลิตผ้าไหมไทย ที่ได้รับการรับรองจากสหภาพยุโรป จ�ำนวน 4 บริษัท คือ บริษัทจุลไหมไทย บริษัทสปันซิลค์เวิร์ด บริษัทเรือนไหมใบหม่อน และบริษัทไทยค๊อตตอลแอนด์ซิลค์ (ศิริพร และนิศานาถ, 2556) 1.4.5.3 เครื่องหมายรับรองสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์(Geographical Indication) เครื่องหมายรับรองสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์(Geographical Indication : GI) หมายถึง เครื่องหมายที่รับรองสินค้าเกษตรและอาหารของสหภาพยุโรป เพื่อแสดงว่าสินค้านั้นเป็นสินค้าที่เกิดจากแหล่งก�ำเนิดภูมิศาสตร์นั้นๆเป็นสินค้า ที่มีคุณภาพ ชื่อเสียงหรือคุณลักษณะเฉพาะของแหล่งภูมิศาสตร์ดังกล่าว โดย สินค้าที่ได้รับการรับรองจะต้องมีกระบวนการผลิตโดยใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่น มีเอกลักษณ์ คุณภาพ และความเชื่อมโยงกับแหล่งภูมิศาสตร์ กล่าวคือเป็น เครื่องหมายที่ส่งเสริมให้มีการน�ำสินค้าที่มีคุณภาพมาตรฐานเกิดจากภูมิปัญญา ของท้องถิ่นมาพัฒนาให้มีมาตรฐานตามแนวทางสากล ให้สามารถสร้างงานและ รายได้ให้คนในแหล่งภูมิศาสตร์นั้น ตามกฎ EC 1511/ 2012 (แก้ไขจาก EC ภาพที่ 1.10 แสด งเค รื่อ งหม า ย รับรองมาตรฐานสิ่งทอ อินทรีย์(GOTS)l ของ สหภาพยุโรป


10 มาตรฐานหม่อนไหม 5011/2009 เดิม) เป็นมาตรฐานสมัครใจ ส�ำหรับในประเทศไทย กรมทรัพย์สิน ทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์ ได้ออกประกาศพระราชบัญญัติคุ้มครองสิ่งบ่งชี้ ทางภูมิศาสตร์ พ.ศ. 2546 โดยให้กรมทรัพย์สินทางปัญญาเป็นผู้รับผิดชอบใน การขึ้นทะเบียนและการควบคุมเครื่องหมายสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์โดยเริ่มให้การ รับรองตั้งแต่ปีพ.ศ. 2547 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบันมีสินค้าไทยที่เป็นสินค้าเกษตร และสินค้าหัตถกรรม(รวมถึงผ้าไหมไทย) ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนสิ่งบ่งชี้ทาง ภูมิศาสตร์จ�ำนวน 51 สินค้า (กรมทรัพย์สินทางปัญญา, 2556) ซึ่งรวมถึงสินค้า ไหมไทย จ�ำนวน 4 ชนิด คือ ผ้าไหมยกดอกล�ำพูน ผ้าไหมแพรวากาฬสินธุ์ ผ้าไหมมัดหมี่ชนบท และเส้นไหมไทยพื้นบ้านอีสาน (ศิริพร บุญชู, 2556) ภาพที่ 1.11 แสดงเครื่องหมาย รับรองสิ่งบ่งชี้ทาง ภู มิ ศ า ส ต ร์ ข อ ง สหภาพยุโรป(บน) และของไทย(ล่าง)


11 กรมหม่อนไหม กระบวนการผลิตเส้นไหมและผ้าไหมไทย 2.1 ประวัติผ้าไหมไทย ผ้าไหม ถือเป็นผ้าที่ได้จากเส้นใยธรรมชาติที่แข็งแรงที่สุด เป็นผ้าที่หรูหรา สวมใส่สบาย ดูดซึม น�้ำได้ดี เป็นเงามัน มีความนุ่มนวล ทิ้งตัวดีที่สุด ไม่สกปรกง่าย เชื้อราและแมลงไม่ชอบ สวมใส่สบาย ทุกฤดูกาล(สนั่น บุญลา, 2555) การนุ่งห่มด้วยผ้าไหมมีมานานเพียงใด ยังไม่มีใครที่จะสามารถสืบหาเรื่อง ได้ชัดเจน จนกระทั่งมีการพบหลักฐานยืนยันได้ว่า มนุษย์สมัยก่อนประวัติศาสตร์เมื่อ 2,500 – 3,500 (วาสนา, 2528, วิบูลย์, 2530 และ Chessman ,1988) มีการทอผ้าขึ้นใช้โดยพบเศษผ้าที่ติดอยู่กับก�ำไล ส�ำริดของมนุษย์ก่อนประวัติศาสตร์บ้านเชียงและเศษผ้าไหมซึ่งพบที่บ้านนาดี อ�ำเภอหนองหาน จังหวัด อุดรธานีบ่งบอกว่าประเทศไทยได้มีการปลูกหม่อนเลี้ยงไหมและการทอผ้ามาเป็นเวลานานประมาณ 3,000 ปี ซึ่งอาจมีการสืบทอดอารยธรรมการปลูกหม่อนเลี้ยงไหมและการทอผ้าไหม สืบต่อกันมาจากบรรพบุรุษ ที่อาศัยอยู่ในแถบนี้ มิได้มีการอพยพหรือเคลื่อนย้ายวัฒนธรรมจากแผ่นดินประเทศจีนแต่อย่างใด ในขณะ ที่หลักฐานทางประวัติศาสตร์ยังไม่แจ้งชัดหรือยืนยันได้ว่าไหมไทยมีแหล่งก�ำเนิดอยู่ที่นี่หรือได้รับการถ่ายทอด จากที่ใด นักวิทยาศาสตร์โบราณคดีก็พยายามเสาะแสวงหาหลักฐานหรือข้อสันนิษฐานทางชีววิทยาและ ภูมิศาสตร์โดยตั้งข้อสังเกตว่าไหมไทยพันธุ์พื้นบ้านที่เลี้ยงกันมาตั้งแต่โบราณและยังคงมีเลี้ยงกันอยู่ทั่วไป โดยเฉพาะในภาคตะวันออกเฉียงเหนือนั้น เป็นไหมที่มีการพักตัวตามธรรมชาติ สามารถฟักออกเป็นตัวได้ ปีละหลายครั้ง รังไหมมีรูปร่างเรียวเล็ก หัวท้ายแหลม สีเหลือง มีปุยมาก ประมาณร้อยละ 20 จากหลักฐานยุคก่อนประวัติศาสตร์บ้านเชียง พบว่ามีการถักและทอผ้าจากเส้นใยพืชและไหม ขึ้นใช้แล้ว หรือจากข้อสันนิษฐานที่ว่าจะมีการถ่ายทอดอารยธรรมและวัฒนธรรมการปลูกหม่อนเลี้ยงไหม สาวไหมและทอผ้ามาจากชนชาวจีนทางภาคใต้ตามล�ำน�้ำโขงมาก็ตาม แต่สมบัติอันล�้ำค่านี้ คงได้สืบทอด มาสู่ชีวิตและการเรียนรู้ของผู้คนจากยุคหนึ่งมาสู่ยุคประวัติศาสตร์อันเป็นยุคที่มีหลักฐานบันทึกถึงเรื่องราว ของไหมมากขึ้น ผ้าไหมได้เข้ามามีบทบาทในการด�ำรงชีวิต เศรษฐกิจ การเมืองและสังคมของมนุษย์มากขึ้น ในสมัยที่มีการรวมตัวกันเป็นแว่นแค้วน อาณาจักรกระจายอยู่ในบริเวณที่เป็นแผ่นดินไทยในปัจจุบัน แต่เป็น ที่น่าเสียด้ายยิ่งนักที่ศิลปวัฒนธรรมที่บรรพบุรุษของเราได้สร้างสมมานับพัน ๆ ปีนั้น มีการค้นพบหลักฐาน ทางโบราณคดีน้อยมาก (ทรงศักดิ์และซีลแมน, 2531)


12 มาตรฐานหม่อนไหม ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 11 – 18 จีนเริ่มแผ่อิทธิพลมาสู่สามเหลี่ยมปากแม่น�้ำแดงทางด้านเหนือ ของเวียดนาม ท�ำให้เกิดการแบ่งชาวไทยออกเป็นกลุ่ม ๆ คือ ไทยสยาม ไทยลาว ไทยแดง ไทยขาว ไทยด�ำ ไทยเหนือและไทยใหญ่ได้อพยพมา หนีมาทางใต้ บางกลุ่มลงมาไกลถึงบริเวณประเทศลาว ประเทศไทย บริเวณลุ่มแม่น�้ำเจ้าพระยา และประเทศพม่า ปัจจุบันยังพบว่า ชาวไทยลื้อ ชนกลุ่มใหญ่ในสิบสองปันนา มณฑลยูนานมีศิลปวัฒนธรรม คล้ายคลึงกับชาวไทยลื้อในลาวและไทย (ดอด, 2525) ได้ส�ำรวจชาวไทยในจีนและสรุปไว้ท�ำนองเดียวกันว่า ถิ่นก�ำเนิดของชนชาติไทยอยู่ทางภาคใต้ของประเทศจีน ปัจจุบันในมณฑลกวางสีและกวางตุ้งยังคงมี ชนเผ่าไทยอาศัยอยู่ แม้นักวิชาการรุ่นใหม่ได้เสนอความคิดว่าชนชาติไทยไม่ได้อพยพมาจากไหนแต่เป็น เจ้าถิ่นลุ่มแม่น�้ำเจ้าพระยาเดิมอยู่แล้วแต่หลักฐานยืนยันมีน้อยมากจึงไม่ค่อยเป็นที่ยอมรับกอปรกับมนุษย์ ในอาณาจักรทวาราวดีประเทศไทยตามจารึกที่นครวัด เรียกว่า “สยาม” และในบันทึกของจีนเรียก “เสี่ยน” นั้นมิใช่ชนชาติไทย เป็นพวกที่มีชาติพันธุ์มอญ – เขมร มีผิวสีคล�้ำ ส่วนชาวไทยมีเชื้อสายมองโกลผิวเหลือง ตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 11 ทั้งในบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลางและบริเวณชายฝั่ง ตะวันออกเฉียงเหนือใต้ไปจนถึงบริเวณสุมาตรามีอาณาจักรที่มีความเจริญทางด้านอารยธรรมมีการติดต่อ แลกเปลี่ยนศิลปวัฒนธรรมและวิทยาการซึ่งกันและกันเรื่อยมา นักบวชและพ่อค้าจีนซึ่งเดินทางมาถึง อาณาจักรเหล่านี้ได้บันทึกเรื่องผ้าและลักษณะต่าง ๆ ของผ้าในแต่ละอาณาจักร เช่น ผ้าไหม ผ้าแพร ผ้าปาตีเป็นต้น การล่มสลายของอาณาจักรน่านเจ้าในพุทธศตวรรษที่ 18 ต่อกุบไลข่าน ท�ำให้ชาวไทยอพยพ มาตั้งอาณาจักรใหม่ นามว่า อาณาจักรโยนกนครบุรีเชียงแสน (เชียงแสน) อาณาจักรหิรัญนครเงินยวง (ดอยตุง เชียงราย พะเยา) อาณาจักรนครศรีธรรมราชและอาณาจักรสุโขทัย สมัยสุโขทัย อาณาจักรสุโขทัยมีความเจริญรุ่งเรืองมาเป็นล�ำดับจากสมัยพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ (พ.ศ. 1780) จนถึงสมัยพระมหาธรรมราชาที่ 4 (1762 – 1981) โดยเจริญสูงสุดในสมัยพ่อขุนรามค�ำแหง มหาราช ราษฎรมีความเป็นอยู่ดีมาก มีเสรีภาพในการด�ำเนินชีวิตมีการทอผ้าเป็นอุตสาหกรรมในครัวเรือน จากบันทึกของโจวต้ากวานว่าในปี พ.ศ. 1839 ชาวเสียน (สยาม) ใช้ผ้าไหมทอแพรบาง ๆ สีด�ำเป็น เครื่องนุ่งห่ม ผู้หญิงชาวเลียนนั้นเย็บชุนเป็น ยุคนี้มีการเชื่อมสัมพันธไมตรีกับประเทศจีน พบว่ามีการค้าขาย ผ้าไหมด้วย โดยนักเดินเรือชาวจีน หวางตาหยวน (Wang Dayuan) ในราชวงศ์ย่วนหรือหยวน (Yuan Dynasty พ.ศ. 1814 - 1911) ได้ติดต่อซื้อขายผ้าไหมพิมพ์เขียวกับกรุงสุโขทัย ขณะนั้นชาวจีนเรียกว่า เซียงโกว (Xianguo) นอกจากนั้นยังมีการค้าผ้าไหมกับเมืองอื่น ๆ เช่น ราชบุรีสุพรรณบุรีสงขลา อาณาจักร ล้านนา (พุทธศตวรรษที่ 18 – 24 ) เจริญรุ่งเรืองในสมัยเดียวกันกับกรุงสุโขทัย ชนกลุ่มใหญ่ที่อาศัยอยู่ใน ดินแดนแถบนี้คือ ไทยวน (ไทโยนหรือไทโยนก) มีความรุ่งเรืองในด้านศิลปกรรมการทอผ้าฝ้ายและ ผ้าไหม สะท้อนให้เห็นถึงเอกลักษณ์การแต่งกายในอดีตของชายหญิงชาวล้านนา จากจิตรกรรมฝาผนังวิหาร วัดภูมินทร์ อ�ำเภอเมือง จังหวัดน่านของชนเผ่าไทดั้งเดิมนับตั้งแต่สมัยพญาเม็งรายสร้างเมืองเชียงใหม่ เมื่อ พ.ศ. 1839 ในพุทธศตวรรษที่ 19 พญาเม็งรายได้เจริญสัมพันธไมตรีกับ พญาง�ำเมืองแห่งแคว้นพะเยา และพ่อขุนรามค�ำแห่งแห่งกรุงสุโขทัย ท�ำให้ไทยได้มีโอกาสสร้างสรรค์ศิลปวัฒนธรรมทุกสาขา สมัยอยุธยา ไทยยังได้มีสัมพันธไมตรีทางการค้ากับจีนอย่างต่อเนื่องจากสมัยสุโขทัยโดยเฉพาะ อย่างยิ่งในช่วงปี พ.ศ. 1948 – 1976 เซ็ง ฮี (Zheng He) นักเดินเรือชาวจีนได้ท�ำการค้าขายผ้าไหม และสินค้าอื่น ๆ กับประเทศไทยและประเทศต่างๆ ในเอเซียและอัฟริกาทุกวันนี้ยังมีวัดส�ำเภาหรือ วัดพนัญเชิงวรวิหารที่สร้างไว้เพื่อเตือนความทรงจ�ำในการเดินทางมาของ เซ็ง ฮี นอกจากนั้นในมาเลเซีย และอินโดนีเซียเมืองที่เมือง เซ็ง ฮีเคยติดต่อค้าขาย ก็สร้างวัดส�ำเภาไว้เป็นที่ระลึกเช่นกัน


13 กรมหม่อนไหม สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช (พ.ศ. 2199 - 2231) นับเป็นยุคทองของการค้าอาภรณ์ อย่างกว้างขวาง พระองค์ถึงกับท�ำการค้าผ้าด้วยพระองค์เองโดยควบคุมการค้าผ้าที่มาจากต่างประเทศและ ที่ผลิตได้ในราชอาณาจักรมีคลังสินค้าตามหัวเมืองต่าง ๆ และยังเป็นศูนย์กลางการซื้อขายวัตถุดิบในการ ทอผ้าทั้งไหมและฝ้าย ผ้าเป็นเครื่องก�ำหนดต�ำแหน่งและฐานะตามสังคมของผู้ใช้ด้วย โดยใช้ชนิดของผ้า ลวดลายเป็นตัวก�ำหนด ซึ่งได้สืบทอดมาถึงสมัยรัตนโกสินทร์ผ้าถูกใช้เป็นเครื่องปูนบ�ำเหน็จหรือพระราชทาน ต่างเงินเดือนปีละหน เรียกว่า ผ้าหวัดรายปี ผ้าที่ได้พระราชทานส่วนมากจะเป็นผ้าสองปักหรือสมปัก ซึ่งเป็นผ้าไหมที่กลางผืนมีลวดลายต่างๆ หลายแบบ เช่น ผ้าสมปักปูม สมปักร่องจาน สมปักลาย สมปักริ้ว เป็นต้น (วิบูลย์และคณะ, 2530) ผ้าไหมเป็นสมบัติมีค่าที่พระมหากษัตริย์ทรงใช้เป็นเครื่องราชบรรณาการ ไปต่างประเทศดังเอกสารเก่า ที่ ไมเคิล สมิธส์ได้เขียนไว้ในหนังสือ “The Siamese Embassy to the Sun King” ว่าพระบาทสมเด็จพระนารายณ์มหาราชส่งคณะทูตชุดที่ 3 ไปเจริญสัมพันธไมตรีกับฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2228 โดยออกพระวิสูตรสุนทร (โกษาปาน) เป็นราชทูตได้เดินทางไปถึงฝรั่งเศสเมื่อ วันที่ 18 มิถุนายน 2229 เข้าเฝ้าพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 เพื่อถวายพระสาสน์ ซึ่งใส่ไว้ในหีบทองค�ำบรรจุ ไว้ในหีบเงินที่ใหญ่กว่า และบรรจุในหีบไม้ลงรักปิดทองอีกชั้นหนึ่ง หีบไม้นั้นห่อด้วยผ้าไหมเนื้อดีที่ปักเป็น ดอกไม้ทองทั้งผืน จะเห็นได้ว่าสมัยกรุงศรีอยุธยาผ้าไหมมีบทบาทส�ำคัญอย่างยิ่งทั้งด้านวัฒนธรรมเศรษฐกิจ และสังคม สมัยธนบุรีเมื่อกรุงศรีอยุธยาถูกท�ำลายลงในปีพ.ศ. 2310 สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ได้ทรงกอบกู้เอกราชและตั้งราชธานีใหม่ที่กรุงธนบุรีกรุงธนบุรีมีอายุเพียง 15 ปีกอปรด้วยภาระสงคราม การท�ำผ้าไหมในยุคนี้จึงซบเซา ต้องสั่งซื้อจากต่างประเทศมากกว่าที่จะส่งไปขายที่ต่างประเทศ ยังคงมีการ ท�ำผ้าขึ้นใช้เองในหัวเมืองที่ปราศจากสงคราม เช่น เมืองนครศรีธรรมราช เจ้าพระยานครศรีธรรมราช ได้อพยพช่างทอผ้าสตรีจากสงขลาไปไทรบุรีและมาสอนการทอผ้ายกที่นครศรีธรรมราช จนท�ำให้เป็นแหล่ง ที่ผลิตผ้ายกที่มีชื่อเสียงมาจนทุกวันนี้(วิบูลย์และคณะ, 2530) สมัยกรุงรัตนโกสินทร์พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก รัชกาลที่ 1 (พ.ศ. 2329- 2351) พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยรัชกาลที่ 2 (พ.ศ. 2352 - 2367) จนสมัยพระบาทสมเด็จ พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 (พ.ศ. 2367 - 2394) ก็ยังมีสงครามกับพม่าเป็นครั้งคราวเป็นยุคที่มี การฟื้นฟูศิลปวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณีสภาพจิตใจและความเป็นอยู่ของประชาชนให้คืนสู่ภาวะ ปกติไม่มีความแตกต่างจากสมัยกรุงศรีอยุธยามากนัก รวมทั้งการแต่งกายก็ยังคงใช้ผ้าสมปักที่ทอด้วยไหม ส�ำหรับพระมหากษัตริย์พระบรมวงศานุวงศ์หรือข้าราชการเวลาเข้าเฝ้าพระเจ้าแผ่นดิน ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 (พ.ศ. 2394 - 2411) มีการ ติดต่อกับต่างประเทศมากขึ้น เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงขนบธรรมเนียมการแต่งกายมีการปฏิรูปบ้านเมือง ตามกระแสอิทธิพลของอารยธรรมตะวันตก ข้าราชบริพารจะสวมเสื้อกางเกงเข้าเฝ้า แต่ผ้าไหมก็ยังคง เป็นที่นิยม และแสดงถึงยศและต�ำแหน่งของผู้สวมใส่ รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 (พ.ศ. 2411 - 2453) ยุคแห่งการฟื้นฟู ส่งเสริมและพัฒนาการปลูกหม่อนเลี้ยงไหม สาวไหมและทอผ้า จากรัฐบาลของพระองค์ ควบคู่ไปกับการพัฒนาบ้านเมืองด้านอื่น ๆ ในสมัยรัชกาลที่ 1 - 4 ราษฎรมีการปลูกหม่อนเลี้ยงไหม เป็นอาชีพรองหลังเสร็จจากการท�ำนา การพัฒนาท�ำให้ราษฎรปลูกหม่อนเลี้ยงไหมกันทั่วไป เดิมท�ำกันใน เฉพาะเขตแม่น�้ำโขง มีมากที่สุดที่มณฑลอีสานและมณฑลอุดร ยกเว้นบริเวณลุ่มแม่น�้ำเจ้าพระยาจะไม่มีการ ปลูกหม่อนเลี้ยงไหม ส่วนมณฑลนครราชสีมา และมณฑลอื่นๆ ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือจะผลิตเส้นไหม ทอเป็นผ้าม่วงใช้ในครัวเรือน แต่การเลี้ยง การสาว เป็นแบบโบราณ ท�ำได้เส้นไหมหยาบและสั้นใช้เป็น


14 มาตรฐานหม่อนไหม เส้นพุ่งได้อย่างเดียว เส้นไหมยืนต้องสั่งซื้อจากต่างประเทศ พ.ศ. 2433 ได้มีการจ้างผู้เชี่ยวชาญด้านไหม จากญี่ปุ่นเข้ามาปรับปรุงคุณภาพไหมที่มีอยู่เดิมให้ดีพอที่จะเป็นสินค้าส่งออกได้และเป็นการเพิ่มพูนฝีมือ ให้กับราษฎรไทยไปพร้อมกัน โดยเริ่มที่พระราชวังดุสิตการฟื้นฟูผ้าไหมได้ด�ำเนินการในสวนหงษ์ พระราช ต�ำหนักของสมเด็จพระศรีสวรินทราบรมราชเทวี(พระยศในขณะนั้น) ได้ตั้งเป็นกองทอจนเป็นที่รู้จักภายใน พระราชวังว่าเป็นแหล่งที่หาซื้อผ้าไหมได้ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเล็งเห็นว่าถ้าไม่อุดหนุนการท�ำไหมและทอผ้า ของประเทศแล้วจะต้องสั่งซื้อไหมจากต่างประเทศเพิ่มขึ้นทุกปี(พ.ศ. 2440 สั่งซื้อไหมรวม 4,886,821 บาท จนกระทั่ง พ.ศ. 2444 สั่งซื้อรวม 7,209,010 บาท) พระองค์จึงให้กระทรวงเกษตราธิการเชิญ ดร.คาเมทา โร่ โทยาม่า (Dr. Kametaro Toyama) ผู้เชี่ยวชาญด้านไหมจากญี่ปุ่น มาเป็นที่ปรึกษาด้านไหมเป็นเวลา นาน 3 ปีตั้งแต่ปี พ.ศ. 2445 (Yokoyama, 1972) ต่อมาอีก 1 ปีกระทรวงเกษตราธิการได้ใช้ที่ดิน แห่งหนึ่ง ณ ต�ำบลศาลาแดง กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นบริเวณถนนหลังสวนในปัจจุบัน จ�ำนวน 23,716 ตาราง เมตรเป็นที่ท�ำการทดลองของแผนกไหม เพื่อเตรียมไว้สอนนักเรียนช่างไหม พ.ศ. 2447 พระองค์ทรง เล็งเห็นทางที่จะบ�ำรุงการปลูกหม่อนเลี้ยงไหมให้เจริญยิ่งขึ้น จึงทรงให้แยกที่ท�ำการแผนกไหมออกเป็น กรมการช่างไหม และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้พระเจ้าลูกยาเธอกรมหมื่นพิไชยมหินทโรดม (แต่ครั้ง ยังด�ำรงต�ำแหน่งพระยศเป็นพระเจ้าลูกยาเธอพระองค์เจ้าเพ็ญพัฒนพงษ์) เป็นอธิบดีพระองค์แรก พ.ศ. 2448 กรมช่างไหมได้ตั้งสาขากองช่างไหมที่เมืองนครราชสีมา เพื่อเป็นแหล่งรักษาพันธุ์ไหม ส่งเสริ มให้ราษฎรจัดท�ำแปลงสวนหม่อนและเลี้ยงไหมแบบใหม่ฝึกอบรมการสาวไหมด้วยเครื่องและดัดแปลงเครื่อง ทอผ้าให้มีประสิทธิภาพดีขึ้น กรมการช่างไหมกรุงเทพฯ ได้สร้างพันธุ์ไหมลูกผสมระหว่างพันธุ์ไทยกับพันธุ์ ญี่ปุ่น เพื่อให้ได้พันธุ์ที่ดีกว่าเดิมแต่ก็ยังใช้พันธุ์ไทยพื้นบ้านด้วย โดยให้ราษฎรปรับปรุงวิธีการเลี้ยงให้ดีขึ้น พ.ศ. 2449 ขยายสาขากองช่างไหมขึ้นอีกแห่งที่เมืองบุรีรัมย์มีหน้าที่เช่นเดียวกับกองช่างไหมนครราชสีมา พ.ศ. 2451 ขยายสาขาขึ้นอีกแห่งที่อ�ำเภอพุทไธสง แขวงเมืองบุรีรัมย์ มีหน้าที่ต่างจาก 2 สาขาแรก คือ มีหน้าที่ฝึกหัดให้ราษฎรกลับไปประกอบอาชีพเอง ส่วน 2 สาขา แรก ฝึกหัดให้ราษฎรเป็นครู พ.ศ. 2452 มีนักเรียนกองกรุงเทพฯ จบหลักสูตร 11 คน จึงขยายสาขาอีก 3 แห่ง คือ กองเมืองสุวรรณภูมิกองเมือง รัตนบุรี และกองเมืองอ�ำเภอพยัตฆภูมิพิสัย มีหน้าที่เช่นเดียวกับกองอื่น ๆ ในปีเดียวกัน กองกรุงเทพฯ ได้ย้ายที่ท�ำการกรมช่างไหม มารวมอยู่บริเวณกระทรวงเกษตราธิการ การทดลองเลี้ยงไหมย้ายไปรวมกับ กองนครราชสีมา โรงเรียนช่างไหมย้ายไปรวมกับโรงเรียนของกรมแผนที่ ที่พระราชวังใหม่สระปทุมวัน กองนครราชสีมาได้เพิ่มการฝึกหัดทอผ้าขึ้นอีกอย่างหนึ่งเพื่อให้ครบ 3 ประการ คือ การเลี้ยงไหม การสาวไหม และการทอผ้า การทอผ้ากรมช่างไหมได้จ้างชาวญี่ปุ่น 2 คน ชาย 1 คน หญิง 1 คน และได้ซื้อเครื่อง ทอผ้าจากญี่ปุ่นรวม 10 เครื่อง ช่างทอผ้าญี่ปุ่นเดินทางมาถึงประเทศไทย เมื่อ เดือนสิงหาคม พ.ศ. 2452 เครื่องทอผ้าถึงเมืองไทยเดือนกันยายน ในปีเดียวกัน แต่ช่างทอผ้าหญิงได้เสียชีวิตก่อน ช่างทอผ้าชาย ได้ฝึกหัดให้ทอเฉพาะผ้าม่วงเพียงอย่างเดียว พ.ศ. 2453 กรมช่างไหมได้ตั้งสาขาขึ้นอีก 4 แห่งคือ กองเมือง ร้อยเอ็ด กองเมืองศรีสะเกษ กองเมืองชัยภูมิและกองเมืองจตุรัส รวมทั้งสิ้น 8 กอง อธิบดีกรมช่างไหม พระเจ้าลูกยาเธอหมื่นพิไชยมหินทโรดมได้บริหารราชการมาจนถึง วันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2452 พระองค์ได้สิ้นพระชนม์ลงด้วยพระชนมายุเพียง 29 ชันษาเท่านั้น พระบรม บามบ�ำรุง อธิบดีกรมทะเบียนที่ดินและกรมราชโลหกิจ ได้บริหารราชการกรมช่างไหมต่อมา (วงษานุประพันธ์, 2484) กอปรด้วยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จสวรรคตเมื่อ วันที่ 23 ตุลาคม 2453 งานด้านไหมมีอันต้องซบเซาลงแม้จะมีการสานต่อบ้างเพียงเล็กน้อย และต้องเลิกไปในที่สุดในปีพ.ศ. 2456 ราษฎรกลับไปเลี้ยงไหม ทอผ้าตามวิถีชาวบ้านที่สืบกันมาตามบรรพบุรุษเช่นเดิม


15 กรมหม่อนไหม ในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 (พ.ศ. 2453-2468) มีการพัฒนา การทอผ้าจากกี่ธรรมดาเป็นกี่กระตุก แล้วแพร ่หลายสู ่ชนบท ยุคนี้เป็นช ่วงเวลาของ การเปลี่ยนแปลงสังคมของไทยตามรอยอารยธรรมประเทศ ตะวันออก เนื่องจากผู้น�ำและชนชั้นปกครอง ได้ไปศึกษามาจากประเทศตะวันตก เริ่มเปลี่ยนแปลงการแต่งกายในราชส�ำนักตามพระราชประสงค์ให้สตรี “นุ่งซิ่น ฟันขาว และเกล้าผมมวย” สตรีในราชส�ำนักจึงเปลี่ยนจากนุ่งโจงกระเบนมาเป็นผ้าซิ่นสามัญก็เปลี่ยน การแต่งกายตามสตรีในราชส�ำนักในเวลาต่อมา ในสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 (พ.ศ. 2468 -2477) และสมัย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอนันทมหิดล รัชการที่ 8 (พ.ศ. 2477-2489) ยังคงมีการเปลี่ยนแปลงสังคม แบบก้าวกระโดดอย่างต่อเนื่อง สตรีสวมใส่ผ้าซิ่น ข้าราชการเลิกนุ่งผ้าม่วง ในปี พ.ศ. 2478 เปลี่ยน มานุ่งกางเกงแบบตะวันตก ในสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม นโยบายรัฐนิยม (พ.ศ. 2482 - 2487) สตรี จะสวมหมวก นุ่งกระโปรงใส่รองเท้า มีการตัดเย็บผ้าแบบตะวันตก ท�ำให้การท�ำไหมลงน้อยลงและอยู่ใน วงจ�ำกัด แต่ราษฎรตามหัวเมืองต่าง ๆ โดยเฉพาะในภาคอีสานก็ยังเลี้ยงไหมและทอผ้าไหมไว้ใช้ในครัวเรือน และใช้แทนเงินตราแลกเปลี่ยนสินค้า ปีพ.ศ. 2500 กรมกสิกรรมได้โอนแผนกส่งเสริมการเลี้ยงไหมมาขึ้นอยู่กับกองการค้าค้นคว้า และทดลอง มีหน้าที่ศึกษาวิจัยปรับปรุงพันธุ์หม ่อนและพันธุ์ไหม ปัจจุบันคือสถาบันวิจัยหม ่อนไหม กรมวิชาการเกษตร และปี พ.ศ. 2511 ได้มีการสถาปนากรมส่งเสริมการเกษตรเป็นกรมหนึ่งในกระทรวง เกษตรและสหกรณ์ งานด้านการส่งเสริมการปลูกหม่อนเลี้ยงไหมเป็นแผนกงานหนึ่งของกรมปัจจุบันคือ กลุ่มส่งเสริมการผลิตหม่อนไหม ส�ำนักส่งเสริมและจัดการสินค้าเกษตรมีหน้าที่ด�ำเนินการส่งเสริมการปลูก หม่อนเลี้ยงไหมและการตลาด ถ่ายทอดเทคโนโลยีด้านการผลิตหม่อนไหมแบบครบวงจรให้แก่กลุ่มเกษตรกร ปัจจุบัน (2548) มีเกษตรกรประกอบอาชีพหม่อนประมาณ 140,000 ครัวเรือน โดยมีความหนาแน่นของ จ�ำนวนเกษตรกรอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือว่าร้อยละ 90 นอกจากนี้ยังมีหน่วยงานราชการอื่นที่เกี่ยวข้อง กับกิจกรรมหม่อนไหมไทย คือ กระทรวงพาณิชย์กระทรวงอุตสาหกรรม รวมทั้งกระทรวงศึกษาธิการ ส�ำหรับ ภาคเอกชนมีสมาคมไหมไทยเป็นศูนย์รวมของเอกชนเพื่อประสานงานร่วมในการพัฒนาอุตสาหกรรมไหมไทย อย่างไรก็ตามเพื่อให้ด�ำเนินการพัฒนาไหมไทยโดยเฉพาะในส่วนของไหมพันธุ์ไทย ซึ่งมี คุณลักษณะโดดเด่นเป็นพิเศษโดยเฉพาะ คือความนุ่มนวลและเลื่อมมัน รัฐบาลมีนโยบายในการส่งเสริม การผลิตไหมไทยอย่างเป็นระบบเพื่ออนุรักษ์ภูมิปัญญาท้องถิ่นและจัดตั้งหน่วยงานใหม่ในกระทรวงเกษตรและ สหกรณ์ขึ้น โดยการรวมหน่วยงานที่ด�ำเนินงานด้านหม่อนไหมของกรมส่งเสริมการเกษตรและกรมวิชาการ เกษตรเข้าด้วยกันตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2547 และวันที่ 31 สิงหาคม 2547 และ ได้รับพระราชทานชื่อจากสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ “ สถาบันหม่อนไหมแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ” และสถาปนา เป็นกรมหม่อนไหม ภายใต้กระทรวงเกษตร และสหกรณ์ เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2552 โดยให้มีบทบาทหน้าที่ก�ำกับดูแลงานด้านหม่อนไหมทั้งระบบคือ ศึกษา ค้นคว้า วิเคราะห์วิจัย สายพันธุ์เทคโนโลยีการผลิต การแปรรูปผลิตภัณฑ์การตลาด การอนุรักษ์ คุ้มครองไหมไทย ตลอดจนท�ำการตรวจสอบออกใบรับรองมาตรฐานผ้าไหมไทย(เฉลิมศรีและศิริพร, 2553) 2.2 ขั้นตอนการผลิตผ้าไหมไทย การปลูกหม่อนเลี้ยงไหมและทอผ้าไหมไทยเป็นอาชีพที่มีกระบวนการผลิตที่ซับซ้อนและเกี่ยวข้อง กับการผลิตหลายขั้นตอนและมีการกระจายการใช้แรงงานในครอบครัวได้ทุกวัย สำหรับขั้นตอนการผลิต เริ่มตั้งแต่ การปลูกหม่อนเลี้ยงไหม การสาวไหม และการทอผ้าไหม ถือเป็นอาชีพที่นำเอาภูมิปัญญาท้องถิ่น


16 มาตรฐานหม่อนไหม มาใช้ในการผลิตเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม สร้างเอกลักษณ์เฉพาะและความโดดเด่นให้แก่สินค้าของแต่ละท้องถิ่น ดังนั้นจึงเป็นอาชีพที่เหมาะสมกับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ สังคมและวิถีชีวิตของคนในชนบทโดยเฉพาะ อย่างยิ่งในชนบทภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่มีครอบครัวขนาดใหญ่อยู่ด้วยกัน ประกอบอาชีพการเกษตรเช่น การทำนาหรือปลูกพืชไร่เป็นอาชีพหลัก ปลูกหม่อนเลี้ยงไหมและทอผ้าไหมเป็นอาชีพรองควบคู่กันไป ทำให้ เกษตรกรมีงานทำได้ทั้งปี กระบวนการผลิตผ้าไหมไทยแบ่งการดำเนินงานเป็น 5 ขั้นตอนการผลิต (กรม ส่งเสริมการเกษตร, 2538) ดังนี้ ภาพที่ 2.1 แสดงต้นหม่อนและ ใบหม่อนพันธุ์บุรีรัมย์60 ที่มีคุณภาพสำหรับการ นำไปเลี้ยไหม 2.2.1 การปลูกหม่อน หม่อน (Morus alba L.) เป็นพืชในตระกูล Moraceae หม่อนถือ เป็นพืชมีความส�ำคัญอย่างยิ่งต่อการเลี้ยงไหมเพราะใบหม่อน เป็นอาหารที่ส�ำคัญ ของตัวหนอนไหมที่เลี้ยงส�ำหรับผลิตเส้นไหมในเชิงการค้า (กรมส ่งเสริม การเกษตร, 2538) ดังนั้นในขั้นตอนแรกของกระบวนการผลิตเส้นไหมจึงต้อง มีการปลูกและดูแลต้นหม่อนให้เกิดใบที่มีคุณภาพ เหมาะสมกับการเลี้ยงหนอนไหม ในแต่ละวัยเพื่อให้ได้ผลผลิตรังไหม และเส้นไหมสูง ต้นหม่อนเป็นพืชที่ขึ้นง่าย และเจริญเติบโตโดยไม่ต้องอาศัยน�้ำมากนัก พันธุ์หม่อนที่เกษตรกรนิยมใช้ปลูก ได้แก่ บุรีรัมย์60 นครราชสีมา 60 หม่อนน้อย สกลนคร คุณไพ เป็นต้น โดยทั่วไปการเตรียมดินก่อนการปลูกควรไถดินลึก 40 เซนติเมตร ผึ่งแดดทิ้งไว้ 5-7 วันแล้วท�ำการไถพรวนพร้อมปรับพื้นที่ให้เสมอก่อนปลูก ใช้ระยะปลูก 0.70-0.75 เมตร x 1.5-2.5 เมตร หรือตามความเหมาะสมกับขนาดของเครื่อง มือที่ใช้ในการเขตกรรม ท่อนพันธุ์ที่น�ำมาปลูกควรอายุตั้งแต่ 4 เดือน ถึง 1 ปี ตัดเป็นท่อนแต่ละท่อนมี5-6 ตา ความยาวประมาณ 20-30 เซนติเมตร นิยม ปลูกด้วยกัน 2 วิธีคือ การน�ำท่อนพันธุ์ปลูกโดยตรงในแปลง และการปักช�ำ ท่อนพันธุ์ในแปลงเพาะช�ำก่อนแล้วจึงย้ายปลูกลงแปลง จากนั้นดูแลให้น�้ำ ก�ำจัด วัชพืช ใส่ปุ๋ย หลังจากปลูกหม่อนไปแล้วประมาณ 6-8 เดือน ถ้ามีการดูแลรักษา ที่ดีก็สามารถตัดใบไปเลี้ยงไหมได้(สถาบันหม่อนไหมเฉลิมพระเกียรติ,2550) 2.2.2 การเลี้ยงไหม (Silkworm rearing) ไหม (silkworm) ที่กินใบหม่อนเป็นอาหารมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Bombyx mori อยู่ในวงศ์ Bombycidae ไหมเป็นแมลงที่มีการเปลี่ยนแปลง รูปร่างแบบสมบูรณ์(Completely metamorphosis insect) แบ่งระยะการเจริญ เติบโตออกเป็น 4 ระยะ ได้แก่ ระยะไข่ ตัวหนอน ดักแด้ และผีเสื้อ มีเพียง ระยะตัวหนอนเท่านั้นที่กินอาหารและอาหารของหนอนไหมก็คือใบหม่อน หนอนไหม จะน�ำสารอาหารชนิดต่างๆ จากใบหม่อนไปสร้างความเจริญเติบโตโดยผ่านการ ย่อยและดูดซึมเป็นปริมาณ 1 ใน 3 ของสารอาหารทั้งหมด ครึ่งหนึ่งของโปรตีน ที่ดูดซึมจากใบหม่อนจะถูกน�ำไปใช้ผลิตสารไหม เมื่อถึงวัย 5 วันแรกต่อมไหม (silk gland) จะหนักเพียง 6.36% ของน�ำหนักตัวไหม เมื่อไหมสุกก่อนเข้า ท�ำรัง ต่อมไหมจะหนักถึง 41.97% จะเห็นว่าปลายวัยที่ 5 สารอาหารโดยเฉพาะ ภาพที่ 2.2 แสดงรังไหมพันธุ์ไทย ลูกผสม รั งสีเหลือ ง และรังไหมลูกผสมต่าง ประเทศรังสีขาว


17 กรมหม่อนไหม โปรตีนเกือบทั้งหมดถูกเปลี่ยนไปเป็นสารที่ใช้ชักใยท�ำรังหรือเส้นไหมนั่นเอง พันธุ์ไหมที่ใช้เลี้ยงมีทั้งไหมพันธุ์ ไทย(Native Thai variety : Polyvoltine) พันธุ์ไทยลูกผสม(Thai hybrid variety)) และพันธุ์ลูกผสมต่าง ประเทศ(Foreign hybrid variety :Bivoltine) การเลี้ยงไหมโดยทั่วไปไหมจะมี5 วัย วัย 1-3 เรียกว่าไหม วัยอ่อน(Young silkworm) และวัย 4-5 เรียกว่าไหมวัยแก่(Grown silkworm) เมื่อไหมสุกจะท�ำรังโดย การพ่นเส้นใยห่อหุ้มคือ เส้นใยที่พ่นออกมาจากปากของตัวหนอนไหมที่โตเต็มวัยเพื่อมาห่อหุ้มตัวป้องกันศัตรู ทางธรรมชาติในขณะที่หนอนไหมลอกคราบจากหนอนไหมเป็นตัวดักแด้และไม่สามารถเคลื่อนที่ได้ หนอนไหมเป็นแมลงชนิดหนึ่งซึ่งมีการเจริญเติบโตจากไข่ไหม และเป็นตัวหนอนไหม ในขณะที่ เป็นตัวหนอนไหมจะเจริญเติบโตโดยการลอกคราบประมาณ 3-4 ครั้งในระยะเวลาประมาณ 20-22 วัน และจะมีน�้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น 10,000 เท่า โดยการกินอาหารเพียงอย่างเดียว คือใบหม่อน และเมื่อเจริญ เติบโตเต็มที่แล้ว จะหยุดกินอาหาร แล้วพ่นเส้นใยออกมาห่อหุ้มตัวเอง ที่เราเรียกว่ารังไหม(Cocoon) ซึ่งมีลักษณะกลมรีคล้ายเมล็ดถั่ว เกษตรกรผู้เลี้ยงไหมไทยจะเก็บรังไหมไว้แล้วรีบสาวเส้นไหมให้เสร็จภายใน 10 วัน(กรมส่งเสริมการเกษตร, 2538) ก่อนที่ดักแด้ไหมจะกลายเป็นผีเสื้อและเจาะออกมาจากรังไหมท�ำให้ รังไหมเสียหายเมื่อน�ำไปสาวจะได้เส้นไหมที่มีคุณภาพต�่ำ ผลผลิตรังไหมที่ได้ของเกษตรกรมีสีเหลือง ส่วนใหญ่ ได้มาจากพันธุ์พื้นเมืองและพันธุ์ไทยลูกผสม ภาพที่ 2.3 วงจรชีวิตหนอนไหม หนอนฟักออกจากไข่/ หนอนไหมวัย 1 รังไหม หนอนไหมวัย 2 ลอกคราบครั้งที่ 1 หนอนไหมวัย 3 ลอกคราบครั้งที่ 2 หนอนไหมวัย 4 ลอกคราบครั้งที่ 3 หนอนไหมวัย 5 ลอกคราบครั้งที่ 4 ไหมสุก ดักแด้ไหม ผีเสื้อเจาะออกจากรัง ผีเสื้อผสมพันธุ์ ผีเสื้อวางไข่ ไข่ไหม วงจรชีวิต “หนอนไหม”


18 มาตรฐานหม่อนไหม 2.2.3 การสาวไหม (Silk reeling) การสาวไหม คือ การดึงเส้นไหมออกจากรังไหม เพื่อผลิตเส้นไหม ตามขนาดที่ต้องการส�ำหรับการทอผ้าไหม (ส�ำนักอนุรักษ์และตรวจสอบมาตรฐาน หม่อนไหม, 2554) การสาวไหมท�ำได้โดยการน�ำรังไหมมาต้มในน�้ำที่มีอุณหภูมิ ตั้งแต่ 70-80 องศาเซลเซียสเพื่อท�ำให้กาวไหม (Sericin) อ่อนตัวและดึง เส้นไหมออกมาเป็นเส้นยาวได้ อุณหภูมิที่ใช้ในการสาวไหมนั้นจะต้องต�่ำกว่า จุดเดือด ถ้าน�้ำที่ต้มร้อนเกินไป จะสังเกตได้จากเส้นไหมที่สาวขึ้นมาจะเปื่อยยุ่ย และเป็นกระจุก แต่ถ้าอุณหภูมิของน�้ำต�่ำเกินไปน�้ำร้อนไม่พอก็จะไม่สามารถ สาวไหมขึ้นมาได้ความยาวของเส้นใยจะขึ้นอยู่กับสายพันธุ์และการดูแลในช่วง ที่เป็นหนอนไหม เมื่อได้รังไหมมาแล้วก่อนที่จะน�ำรังไหมไปสาวจะต้องคัดรังไหม ที่เสียก่อนเพื่อให้ได้เส้นไหมที่ดีมีความสม�่ำเสมอ (ส�ำนักงานมาตรฐานสินค้า เกษตรและอาหารแห่งชาติ, 2550) การสาวไหมแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ 2.2.3.1 การสาวไหมด้วยมือ(Hand reeling) เป็นวิธีการดึงใยไหมออกมาจากรังไหมโดยใช้มือและอุปกรณ์การสาว อย่างง่ายที่เป็นภูมิปัญญาท้องถิ่น การสาวไหมส่วนใหญ่ของไทยส่วนใหญ่เป็น สาวด้วยมือ เครื่องมือและอุปกรณ์ในการสาวไหมด้วยมือ มี2 ชนิด คือ พวง สาวไหมแบบพื้นบ้าน(Traditional reeling tool) และพวงสาวไหมแบบปรับปรุง 2.2.3.2 การสาวไหมด้วยเครื่องสาวไหมขนาดเล็กระดับชุมชนที่มี หัวสาว 3-5 หัวสาว เป็นการสาวไหมโดยเครื่องสาวไหมที่ขับเคลื่อนด้วยกำลังเครื่องจักร ในกระบวนการสาวทั้งหมดที่มีกำลังรวมกันไม่เกิน 5 แรงม้า เหมาะสมกับ เกษตรกรที่เลี้ยงไหมพันธุ์ไทยลูกผสมในปริมาณมาก และไม่สามารถสาวไหมได้ ทันเวลาจะทำให้หนอนไหมเจาะออกมาเป็นผีเสื้อทำให้รังเสีย เมื่อนำไปสาว จะทำให้เส้นไหมไม่มีคุณภาพ เนื่องจากในขณะสาวไหมเส้นไหมจะขาดบ่อย ครั้ง ทำให้เส้นไหมเกิดปุ่มปม เกษตรกรจึงสามารถนำรังไหมไปจำหน่ายให้แก่ โรงสาวไหมชุมชนซึ่งเกิดจากการรวมตัวกันของกลุ่มเกษตรกรเป็นกลุ่มสาวไหม โดยใช้เครื่องสาวไหมที่มีขนาดหัวสาว 3-5 หัวสาวต่อชุด ทำให้ประสิทธิภาพการ สาวไหมดีขึ้นและเร็วขึ้น เส้นไหมมีความส่ำเสมอเนื่องจากการสาวไหมที่สามารถ ควบคุมขนาดเส้นไหมได้ในระดับหนึ่ง ภาพที่ 2.4 แ ส ด ง ก า ร ส า วไห ม รังไหมพันธุ์ไทยพื้นบ้าน ด้วยพวงสาวไหมแบบ พื้นบ้าน ภาพที่ 2.5 แสด งก า รส า วไหม เครื่องสาวไหมขนาด เล็กที่มี 3-5 หัวสาว และลักษณะเส้นไหม หนึ่งที่สาวได้ ภาพที่ 2.6 แสดงเส้นไหมน้อยที่ สาวด้วยมือจากรังไหม ชั้นในด้วยพวงสาวไหม พื้นบ้าน ภาพที่ 2.7 แส ด งเส้นไหมส า ว เลยที่สาวจากรังไหม ชั้นในและชั้นนอกรวม กันด้วยพวงสาวไหม พื้นบ้าน ภาพที่ 2.8 แสดงเส้นไหมสามหรือ ไหมเปลือก(ซ้าย)และ เส้นไหมแลง(ขวา)ที่ สาวด้วยพวงสาวไหม พื้นบ้าน


19 กรมหม่อนไหม 2.2.3.3 การสาวไหมด้วยเครื่องจักร (Machine reeling) การสาวไหมโดยใช้เครื่องจักรอัตโนมัติ(Automatic reeling machine) ใช้ในการสาวไหมโดยใช้รังไหมที่มีเปอร์เซ็นต์เปลือกรังไม่ต�่ำกว่า 19 เปอร์เซ็นต์ เพราะรังไหมที่มีเปอร์เซ็นต์เปลือกรังต�่ำ เส้นไหมจะขาดบ่อย เนื่องจากการสาว ด้วยเครื่องจักรอัตโนมัติและกึ่งอัตโนมัติจะมีความเร็วในการสาวสูง และใช้ แรงงานในการควบคุมการสาว สาวไหมเพียง 2-3 คน ต่อ ชุดหัวสาว(ประมาณ 200 หัวสาว) ดังนั้นประสิทธิภาพการสาวสูงมาก จึงต้องใช้รังไหมที่มีคุณภาพดี และมีเส้นใยมาก เพื่อให้ได้เส้นไหมที่มีคุณภาพสูง รังไหมที่ใช้ในการสาวเป็นรัง ไหมลูกผสมต่างประเทศสีขาว และพันธุ์ไทยลูกผสมสีเหลืองซึ่งโรงสาวไหม รับซื้อจากเกษตรกรเครือข่ายโดยการรับซื้อตามคุณภาพรังไหมที่ใช้เส้นไหมที่สาว ได้เป็นเส้นไหมหนึ่งแต่จะมีการจ�ำแนกชั้นคุณภาพ 7 ชั้นคุณภาพ ได้แก่ เส้นไหม ชั้น B, A, 2A, 3A, 4A, 5A และ 6A ปัจจุบันโรงสาวไหมที่ใช้เครื่องจักรในการ สาวไหมมีประมาณ 5 โรงงานทั่วประเทศ ได้แก่ 1) บริษัทจุลไหมไทย จังหวัดเพชรบูรณ์ 2) บริษัทไหมไทยน่าน จังหวัดน่าน 3) บริษัทเรือนไหมใบหม่อน จังหวัดสุรินทร์ 4) บริษัทอุตสาหกรรมไหมไทย(จิมทอมป์สัน) จังหวัดนครราชสีมา 5) บริษัทจรูญไหมไทย จังหวัดสมุทรสาคร ภาพที่ 2.9 แสดงเครื่องจักรสาว ไหมอัตโนมัติในโรงงาน สาวไหมอุตสาหกรรม ภาพที่ 2.10 แสดงเส้นไหมที่สาว โ ด ย เ ค รื่ อ ง จั ก รใ น โรงงานสาวไหม อุตสาหกรรม 2.2.4 การฟอกย้อมสีไหม (Degumming and dyeing of silk yarn) ในการผลิตผ้าไหมไทยนิยมท�ำการฟอกย้อมสีเส้นไหมซึ่งถือเป็นเอกลักษณ์ของผ้าไหมไทย ที่แตก ต่างจากผ้าไหมที่ผลิตจากทั่วโลกที่นิยมการย้อมสีผ้าผืน ซึ่งการฟอกและย้อมสีไหมเป็นกระบวนการผลิตที่ ด�ำเนินการก ่อนการน�ำเส้นไหมดิบที่ได้จากการสาวไหมไปย้อมสีนั้นจะต้องน�ำเส้นไหมดิบไปฟอกเพื่อ ลอกกาวไหมเซริซิน(Sericin)ออกก่อนซึ่งขั้นตอนในการลอกกาวไหมถือเป็นกระบวนการที่ส�ำคัญและมีผลต่อ คุณภาพมาตรฐานผ้าไหมที่ขอรับการรับรองมาตรฐานต่างๆ โดยเฉพาะตรานกยูงพระราชทาน เนื่องจากหาก การฟอกกาวไม่ดีไม่มีคุณภาพไม่สามารถฟอกกาวเซริซินออกจากเส้นไหมได้หมดจะท�ำให้การย้อมสีไหมเกิด ปัญหาด้านคุณภาพของการติดสีและเกิดการตกสีเวลาน�ำผ้าไหมไปซัก สารที่ใช้ในการฟอกเส้นไหมเป็นน�้ำ ด่างที่ได้จากวัสดุจากธรรมชาติ และการใช้สารเคมี ส�ำหรับเส้นไหมพันธุ์ไทยที่มีสีเหลืองหลังการฟอกกาว ออกแล้วจะมีสีขาวนวลเนื่องจากสีเหลืองของเซริซินถูกลอกออกไป ต่อมาน�ำเส้นไหมไปล้างในน�้ำเย็นจากนั้น น�ำเส้นไหมขึ้นมาบิดเพื่อเอาน�้ำออกแล้วกระตุกเส้นไหมให้ยืดและตึงน�ำไปตากในที่ลมโกรกจนแห้ง เมื่อเส้นไหม ที่ฟอกแห้งสนิทแล้วก็จะน�ำมาย้อมสีพื้นโดยน�ำเส้นไหมมาแช่น�้ำให้เปียกก่อนแล้วผสมสีที่ต้องการกับน�้ำอุ่นหลัง จากนั้นน�ำเส้นไหมขึ้นมาบิดน�้ำออก กระตุกแล้วน�ำกลับไปแช่อีกท�ำเช่นนี้ไปเรื่อยๆจนครบ 3 ครั้งหรือจนกระทั่ง เห็นว่าสีติดเส้นไหมสม�่ำเสมอดีแล้ว (จิตตภู, 2545) 2.2.4.1 การฟอกย้อมด้วยวัสดุธรรมชาติ(Natural materials) ปัจจุบันการใช้วัสดุจากธรรมชาติส�ำหรับการฟอกและการย้อมสีไหมนั้น มีความส�ำคัญมากยิ่งขึ้น เนื่องจากการตื่นตัวของผู้บริโภคในตลาดทั้งในและต่างประเทศในด้านความปลอดภัย สุขภาพ และการรักษา สิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติดังนั้นกระแสความนิยมของโลกจึงมุ่งเน้นให้ความส�ำคัญกับสินค้าที่ปราศจากการ


20 มาตรฐานหม่อนไหม ใช้สารเคมีที่เป็นอันตราย โดยการใช้สารจากวัสดุธรรมชาติมาเป็นทางเลือกในการผลิต จะเห็นได้จาก มาตรฐานการผลิตผ้าไหมและสิ่งทอของไทยและมาตรฐานนานาชาติที่ได้จัดท�ำมาตรฐานที่เป็นมาตรฐานทั่วไป (มาตรฐานสมัครใจ) ส�ำหรับเป็นทางเลือกผู้บริโภคในตลาดเฉพาะ(Niche market) ได้แก่ มาตรฐานตรานก ยูงพระราชทาน ของกรมหม่อนไหม ที่ได้ออกประกาศในข้อก�ำหนดของมาตรฐานผ้าไหมตรานกยูง พระราชทานทุกชนิดจะต้องใช้สีที่ไม่ท�ำลายสิ่งแวดล้อม หรือการใช้สีธรรมชาติในการผลิตผ้าไหมไทย(กรม หม่อนไหม, 2554) และมาตรฐานสินค้าที่เกี่ยวกับสินค้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Eco label products) ของสหภาพยุโรป สินค้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมของสหภาพยุโรป(EU) เป็นแนวมาตรการที่สหภาพยุโรป เริ่มใช้มาตั้งแต่ ปี1998 และประเทศสมาชิกได้มีการหารือเพื่อจัดท�ำมาตรฐานกลาง ตามประเภทสินค้า ต่างๆ เป็นระยะๆ ได้ก�ำหนดตรามาตรฐานตรา EU Eco-label เป็นมาตรการทั่วไป (1) ขั้นตอนการลอกกาวไหมด้วยน้ำด่างธรรมชาติในการลอก กาวไหมด้วยด่างธรรมชาติมีขั้นตอนดังนี้ 1.1) เติมน้ำผสมน้ำด่างที่เตรียมไว้ถ้าน้ำด่างเข้มข้นมาก(pH ประมาณ 12 ขึ้นไป) อาจเติมน้ำ 3 ถึง 5 เท่าของน้ำด่าง 1.2) นำเส้นไหมที่ทำไจไหมดีแล้วแช่ลงในน้ำด่าง ให้เส้นไหมจม ใต้น้ำด่างทั้งหมด ไม่ต้องตั้งไฟ ระหว่างแช่ให้กลับไหมและหมั่นสังเกต เมื่อเส้นไหม อ่อนตัวนุ่ม มีลักษณะเป็นเมือก ให้ยกขึ้น แต่ถ้าแช่เส้นไหมเป็นระยะเวลานาน แล้วเส้นไหมยังไม่อ่อนตัวหรือนุ่ม ให้ยกเส้นไหมออกมาพักไว้ แล้วนำน้ำด่างไป ตั้งไฟให้พออุ่นแล้วจึงยกภาชนะน้ำด่างนั้นลงมาแล้วนำเส้นไหมลงแช่จนกระทั่ง เส้นไหมอ่อนตัว 1.3) ต้มน้ำในภาชนะที่เป็นสแตนเลสหรือภาชนะเคลือบ เมื่อน้ำเดือด พล่านให้นำเส้นไหมที่แช่น้ำด่างได้ที่แล้วลงไปลวก หมั่นพลิกเส้นไหมให้สัมผัสกับ น้ำร้อนให้ทั่ว กาวไหมจะละลายออกมาในน้ำเดือด จนกระทั่งเส้นไหมกลายเป็น สีครีม (สีมันปู) 1.4) ล้างเส้นไหมในน้ำร้อนอีกครั้งหนึ่ง แล้วผึ่งให้เย็นลง 1.5) ล้างด้วยน้ำสะอาดอีก 2 - 3 ครั้ง แล้วบิดให้พอหมาด กระตุก ให้เส้นไหมเรียงตัว นำไปผึ่งในที่ร่มถ้าต้องการลอกกาวเส้นไหมเพื่อย้อมสีอ่อน ให้ผสมสบู่ขาวในน้ำร้อนที่ล้างเส้นไหม (ตามข้อ 1.4) จากนั้นล้างด้วยน้ำอุ่นอีก ครั้งให้คราบสบู่หลุดออก แล้วจึงล้างด้วยน้ำจนสะอาด (2) ขั้นตอนการย้อมสีธรรมชาติ ประเทศไทยมีวัสดุธรรมชาติมากมายที่สามารถใช้ในการฟอกย้อมสีไหม ที่เป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นชนิดแต่ที่ได้รับความนิยม และมีคุณภาพดีในการย้อมนั้น สามารถจำแนกได้เป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มสีย้อมธรรมชาติที่เป็นสีย้อมเย็น และ กลุ่มสีย้อมธรรมชาติที่เป็นสีย้อมร้อน ชนิดของสีและวิธีในการย้อมสีธรรมชาติ มีรายละเอียด ดังนี้ ภาพที่ 2.12 แสดงขั้นตอนการนำ เส้นไหมต้ม(ลวก)ในน้ำ ด่างจากวัสดธรรมชาติ ที่ต้มให้ร้อนจนเดือด ภาพที่ 2.11 แสดงขั้นตอนการนำ เส้นไหมไทยลงแช่ใน น้ำด่ า ง จ า ก วั ส ดุ ธรรมชาติในการลอก กาวไหม


21 กรมหม่อนไหม 2.1) สีและวิธีการย้อมเย็น วัสดุหรือพืชในธรรมชาติที่นำมาเป็นวัตถุดิบในการ ย้อมสีธรรมชาติ ที่สำคัญและเป็นที่นิยมในตลาดสิ่งทอและผ้าไหม ได้แก่ คราม และฮ่อม ให้ สีน้ำเงิน มะเกลือ (ให้สีดำ) เป็นต้น ตัวอย่างวิธีการย้อมสีธรรมชาติชนิดย้อมเย็นที่สำคัญ ได้แก่ ตารางใส่ชื่อพืช ชื่อวิทยาศาสตร์และสีที่ย้อมได้ ตารางที่ 2.1 แสดงชื่อสามัญ ชื่อวิทยาศาสตร์และสีที่ได้ในการย้อมสีธรรมชาติโดยวิธีการย้อมเย็น ชื่อพืช ชื่อวงศ์ ชื่อวิทยาศาสตร์ ชื่อสามัญ ส่วนที่ใช้ย้อมสี สีที่ได้ (Kingdom) (Scientific name) (Common Name) คราม LEGUMINOSAE Indigofera tinctoria L. Indigo ใบและกิ่ง ฟ้าเข้ม - PAPILIONOIDEAE 2.1.1) การย้อมมะเกลือ มีขั้นตอนและรายละเอียดที่สำคัญ ดังนี้ • นำผลมะเกลือดิบสีเขียวจำนวน 3 กิโลกรัมมาตำให้ละเอียดจากนั้น เติมน้ำจำนวน 20 ลิตร ผสมให้เข้ากัน แล้วนำไปกรองเอาแต่น้ำสี • นำเส้นไหมที่ลอกกาวแล้วลงย้อมในน้ำสีสกัดโดยนวดเส้นไหม ในน้ำสีให้ทั่วถึง • บิดเส้นไหมให้หมาดแล้วนำไปกระตุกตากแดดเป็นเวลา 1 วัน • เพิ่มผลมะเกลือดิบอีกจำนวน 1 กิโลกรัม ตำให้ละเอียดผสมลงไป ในน้ำมะเกลือสกัดสีเดิม แล้วนำไปกรอง • นำเส้นไหมที่ย้อมครั้งที่ 1 แล้วมาย้อมในน้ำสีสกัดครั้งที่ 2 แล้วนำไป ตากแดดนาน 1 วัน • การย้อมสีแล้วตากแดดในแต่ละครั้งจะทำให้สีเข้มขึ้นจากสีเขียวไป เป็นสีเทาไปเป็นสีน้ำตาลและสีดำในที่สุดซึ่งการย้อมเย็นเพียงอย่างเดียวให้ได้สีดำ สนิทอาจจะต้องใช้เวลาย้อม 5-7 ครั้ง เป็นเวลา 5-7 วัน 2.1.2) การย้อมคราม การย้อมครามมีหลักการในการดำเนินงาน 3 ขั้นตอน คือ การทำเนื้อ คราม การก่อหม้อคราม และการย้อม ดังรายละเอียด ดังนี้ ขั้นตอนที่ 1 การทำเนื้อคราม • นำต้นครามที่มีอายุ 3 เดือน มาหมักในน้ำเปล่านาน 1 วัน แล้วพลิกกลับต้นครามจากด้านล่างขึ้นข้างบนแล้วหมักต่ออีก 1 วัน • สางและขยี้ต้นครามในน้ำหมักแล้วเอาต้นครามออกไป • กรองเอาเศษต้นครามออกอีกครั้งด้วยตาข่ายสีเขียว ภาพที่ 2.13 การย้อมด้วยมะเกลือ ภาพที่2.14 แสดงขั้นตอนการย้อม คราม เส้นไหม


22 มาตรฐานหม่อนไหม • ตีน้ำครามหมักให้เป็นฟอง จากนั้นเติมปูนขาวจำนวน 10 % ของ น้ำหนักต้นครามที่นำมาหมัก แล้วโจกหรือตีน้ำครามอีกครั้งให้เป็นฟองและตี ต่อไปจนกระทั่งฟองยุบตัวจนหมด ตั้งทิ้งไว้นาน 1 คืน • นำมากรองเก็บเนื้อครามเปียกโดยรินน้ำใสทิ้ง แล้วนำส่วนที่ ตกตะกอนไปกรองด้วยผ้าด้ายดิบที่ผูกเหนือพื้นและมีภาชนะรองรับ ค่อย ๆ เติม เนื้อครามจนหมดแล้วตั้งทิ้งไว้นาน 1 วันแล้วจึงนำเนื้อครามเปียกเก็บในภาชนะ ปิดมิดชิดให้พ้นแสงเพื่อเก็บไว้ใช้ก่อหม้อครามย้อมสี วิธีการทำเนื้อคราม มี5 ขั้นตอนดังนี้ 1. เกี่ยวครามที่โตเต็มที่ ชั่งน้ำหนักครามสดและบันทึกข้อมูล จากนั้นนำต้นครามสด ใส่ในโอ่งให้เต็มพร้อมบันทึกน้ำหนักของครามในโอ่งและจึงปิดด้วยมุ้งเขียว 2. เติมน้ำให้ท่วมแล้วใช้ไม้จัดเพื่อให้ต้นครามจมน้ำ ทิ้งไว้24 ชั่วโมง จะได้น้ำหมัก มีฟองและผิวหน้ามีสีน้ำเงินเหลือบม่วงส่วนน้ำครามมีสีเขียว 3. เอาต้นครามออกเพื่อเก็บน้ำคราม ใช้กระชอนตักเศษต้นครามออกให้หมดแล้ว ใช้ไม้ตีครามให้ขึ้นฟอง จากนั้นจึงผสมปูนขาว 10% ของน้ำหนักครามกับน้ำหมัก คราม เทน้ำปูนโดยกรองลงในน้ำหมักครามและตีน้ำหมักครามและน้ำปูนให้เข้ากัน จนขึ้นฟองสีน้ำเงินเข้ม 4. ตีน้ำครามจนกระทั่งฟองยุบตัว แล้วทิ้งไว้ข้ามคืนเพื่อให้ตกตะกอนคราม 5. ดูดน้ำสีน้ำตาลทิ้งแล้วตักส่วนที่ตกตะกอนใส่ในผ้ากรอง เนื้อครามที่ได้จากการก รองมีสีน้ำเงินเก็บในรูปแบบครามเปียกหรือปั้นเป็นก้อนตากแห้ง ภาพที่ 2.15 วิธีการทำเนื้อคราม ขั้นตอนที่ 2 การก่อหม้อครามเพื่อการย้อมสี • น�ำเนื้อครามจ�ำนวน 1 กิโลกรัมผสมกับน�้ำด่างเข้มข้นจ�ำนวน 1 ลิตร • เติมน�้ำมะขามเปียกที่กรองแล้ว โดยการผสมมะขามเปียก 1 กิโลกรัม ผสมกับน�้ำจ�ำนวน 1 ลิตร กรองเอาแต่น�้ำมาผสมกัน แล้วใช้ขันตักโจกขึ้นลงให้ เกิดฟองเพื่อเป็นการเติมอากาศลงในน�้ำย้อม แล้วตั้งทิ้งไว้ 1 วัน ควรก่อหม้อ ครามจ�ำนวนหลายหม้อเพื่อย้อมสีให้เข้มขึ้นได้หลายระดับสี • สังเกตฟองครามจากหม้อครามที่ก่อหม้อไว้ว่ามีการเปลี่ยนสีม่วง เหลือบแดงและน�้ำครามเป็นสีเหลืองแล้ว • น�ำเส้นไหมลงย้อมโดยขยี้เส้นไหมให้ทั่วถึงใต้น�้ำย้อมประมาณ 2 นาที จนทั่ว หากนานไปอาจท�ำให้เส้นไหมเปื่อยยุ่ยได้


23 กรมหม่อนไหม • บิดเส้นไหมให้หมาดแล้วน�ำมากระตุกเส้นไหมเพื่อให้สัมผัสกับอากาศเพื่อให้ครามท�ำปฏิกิริยา กับออกซิเจนในอากาศ (oxidation) หากต้องการให้ได้สีที่เข้มขึ้นน�ำไปย้อมอีกครั้งในหม้อครามอีกใบที่ เตรียมไว้แล้วท�ำเหมือนในข้อ 3 อีกครั้ง ย้อมซ�้ำจนกว่าจะได้สีเข้มตามความต้องการในน�้ำครามหม้อใหม่ • เมื่อย้อมได้สีเข้มตามต้องการแล้วน�ำเส้นไหมมากระตุกตากพอให้หมาด ๆ แล้วน�ำไปล้าง น�้ำเปล่าให้สะอาดหมดเนื้อปูน แล้วกระตุกตากแดดให้แห้ง • หม้อครามที่ย้อมเสร็จแล้วให้เติมเนื้อครามและส่วนผสมอีกเท่าเดิมเพื่อรักษาสภาพหม้อ ครามส�ำหรับการน�ำไปใช้ครั้งต่อไป หมายเหตุ : รวมระยะเวลาการเตรียมและการย้อมเป็นเวลา 6 วัน คือ การย้อมครามนี้ใช้เวลา 2 วัน ส่วนการเตรียมเนื้อครามใช้เวลา 4 วัน 2.2) สีและวิธีการย้อมร้อน วัสดุหรือพืชในธรรมชาติที่นำมาเป็นวัตถุดิบในการย้อมสีธรรมชาติ ที่สำคัญและเป็นที่นิยม ในตลาดสิ่งทอและผ้าไหม ได้แก่ มะเกลือ (ให้สีดำ) ครั่ง (ให้สีแดง) มะพูดหรือประโฮด และดอกดาวเรือง (ให้สีเหลือง) 2.2.1) หลักการทั่วไปในการย้อมสีธรรมชาติแบบย้อมร้อน ในการย้อมสีธรรมชาติโดยใช้วิธีการย้อมร้อน มีหลักการในการดำเนินงานที่ใช้เป็นกรรมวิธีการผลิต ขั้นพื้นฐานและยึดเป็นหลักการในทางปฏิบัติสำหรับวัตถุดิบทุกชนิด ดังนี้ 2.2.1.1.) เตรียมวัตถุดิบย้อมสีตามอัตราส่วน เช่น ใบ ใช้อัตราส่วน 5-15 กิโลกรัมต่อการย้อม เส้นไหมจำนวน 1 กิโลกรัม, เปลือกหรือแก่นพืชใช้3 กิโลกรัมต่อเส้นไหม 1 กิโลกรัม ส่วนครั่งใช้จำนวน 3 กิโลกรัมต่อเส้นไหม 1 กิโลกรัม แล้วนำมาตัด สับ หรือตำให้ละเอียดที่สุด 2.2.1.2.) นำวัตถุดิบที่ใช้ในการย้อมสีมาต้มสกัดน้ำสีนานประมาณ 1 – 2 ชั่วโมง ยกเว้นครั่ง ใช้การแช่หรือการใช้น้ำร้อนนวดเพื่อเอาน้ำสี 2.2.1.3.) กรองเอาน้ำสีมาปรับปริมาตรให้ได้30 ลิตรต่อเส้นไหม 1 กิโลกรัม 2.2.1.4.) นำเส้นไหมแช่น้ำบิดกระตุกให้เรียงเส้นแล้วนำมาแช่ในน้ำสีย้อมนานประมาณ 10 นาที 2.2.1.5.) ครบเวลายกเส้นไหมพักในภาชนะ นำน้ำสีขึ้นต้ม 2.2.1.6.) เมื่อน้ำสีเดือดจึงเติมสารช่วยติดสีตามชนิดของวัตถุดิบ - ครั่ง ใช้มะขามเปียก, สารส้ม - ประโหด ใช้สารส้ม - ใบไม้เปลือกไม้ที่ให้สีน้ำตาล ไม่ต้องใช้สารช่วยติดสี 2.2.1.7.) นำเส้นไหมลงย้อมในน้ำร้อนที่มีอุณหภูมิ90 องศาเซลเซียส นาน 1 ชั่วโมง 2.2.1.8.) ครบเวลานำเส้นไหมล้างในน้ำอุ่น จำนวน 2 ครั้ง 2.2.1.9.) นำเส้นไหมไปล้างจนน้ำเป็นสีใส แล้วกระตุกตากเส้นไหมในที่ร่ม สำหรับรายละเอียดมาตรฐานวิธีการที่เป็นรายละเอียดสำหรับพืชแต่ละชนิดมีเทคนิค ขั้นตอนและ วิธีการย้อมสีธรรมชาติแบบย้อมร้อนของพืชบางชนิด มีดังนี้(ดิเรก สารพันธ์, 2551)


24 มาตรฐานหม่อนไหม ลำดับ ชื่อพืช ชื่อวงศ์ ชื่อวิทยาศาสตร์ ชื่อสามัญ ส่วนที่ใช้ย้อมสี สีที่ได้ (Kingdom) (Scientific name) (Common Name) 1 ครั่ง LACCIFERIDAE Laccifer lacca Kerr Lac ครั่งทั้งตัว แดง 2 คำแสด BIXACEAE Bixa orellana L. Anatto tree เมล็ด ส้มสด 3 โพธิ์ MORACEAE Ficus religiosa L. Pipal tree, เปลือกต้นด้านใน ส้ม Sacred fig tree 4 ดาวเรือง COMPOSITAE Tagetes erecta L. African marigold ดอก เหลืองทอง 5 ขนุน MORACEAE Artocarpus Jack fruit tree แก่นต้น เหลือง heteorphyllus Lam. 6 มะม่วงป่า ANACARDIACEAE Mangifera caloneura Kurz Mango tree เปลือกต้นด้านใน เหลืองอ่อน 7 มะพูด GUTTIFERAE Garcinia dulcis (Roxb.) Kurz Ma phut เปลือกต้น น้ำตาล 8 มะกอกโอลีฟ OLEACEAE Olea europaea Linn. Oleave ใบ น้ำตาลเขียว 9 เพกา BIGNONIACEAE Oroxylum indicum Pheka เปลือก เหลือง 10 ยอบ้าน RUBIACEAE Morinda citrifolia L. Indian Mulberry ราก แก่นยอ เหลืองอมส้ม และใบ และเขียวอ่อน 11 ยอป่า RUBIACEAE Morinda coreia Ham. Yo pa ใบ เหลืองเขียว 12 หูกวาง COMBRETACEAE Termimalia catappa Linn. Indianalmond, ใบ น้ำตาลเขียว Umbrella tree 13 ขี้เหล็กบ้าน LEGUMINOSAE- Senna siamea (Lam.) Cassod tree, ใบ น้ำตาลเขียว CAESALPINIOIDEAE Irwin & Barneb Thai copper pod tree 14 หูปลาช่อน EUPHORBIACEAE Acalypha wilkesiana Copperleaf,Beefsteak ใบ เขียวขี้ม้า Mull. Arg. Plant,Fire Dragon Plant 15 โกสน EUPHORBIACEAE Codiaeum variegatum Garden Croton ใบ เขียวเหลือง Blume 16 เลี่ยน MELIACEAE Melia azedarach L. Bead tree, White cedar ใบ เขียวอ่อน 17 โมกมัน APOCYNACEAE Wrightiaarborea Ivory, Darabela เปลือกต้นด้านใน เขียวอ่อน (Dennst.) Mabb. 18 หม่อน MORACEAE Morus spp. Mulberry tree ผลหม่อน,ใบหม่อน เขียวขี้ม้า เหลืองเขียว 19 พุดซ้อน RUBIACEAE Gardenia augusta (L.) Merr. Cape jasmine, Gardenia ใบ เขียวอ่อน 20 สบู่แดง EUPHORBIACEAE Jatropha gossypifolia L. Bellyache bush ใบอ่อนส่วนยอด เขียว,น้ำตาล 21 ส้มป่อย LEGUMINOSAE - Acacia concinna (Willd.) DC Som poi ใบ เขียวอ่อน, MIMOSOIDEAE น้ำตาลอ่อน ครีม,เหลืองอ่อน 22 สนแผง CUPRESSACEAE Thuja orientalis L. Oriental Arbor-Vitae, ใบ เหลืองเขียว Chinese arborvitae, Oriental arborvitae 23 สัก LABIATAE Tectona grandis L.f. Teak ใบ เขียวขี้ม้า, เขียวอมน้ำตาล, น้ำตาลอ่อน, เขียวอ่อน 24 เทียนทอง VERBENACEAE Duranta erecta L. Duranta erecta L. ใบ เขียวอ่อน ตารางที่ 2.2 แสดงชื่อสามัญ ชื่อวิทยาศาสตร์ ส่วนพืช/สัตว์ที่ใช้ในการย้อม และสีที่ได้จากวิธีการย้อมธรรมชาติ แบบร้อน


25 กรมหม่อนไหม 25 ตะขบควาย FLACOURTIACEAE Flacourtia jangomas (Lour.) East Indian plum ใบ น้ำตาลเขียว, เขียวขี้ม้า 26 มังคุด GUTTIFERAE Garcinia mangostana L. Mangosteen เปลือก น้ำตาล 27 ประดู่ป่า LEGUMINOSAE - Pterocarpus macrocarpus Burma Padauk, เปลือก,แก่นต้น น้ำตาลเข้ม PAPILIONOIDEAE Kurz Narva 28 ก้านเหลือง RUBIACEAE Nauclea orientalis (L.) L. Kan lueang ใบ,เปลือก น้ำตาลเหลือง 29 สะเดา MELIACEAE Azadirachta indica var. Siamese neem tree ใบ,เปลือก น้ำตาล,น้ำตาล siamensis Valeton เข้ม,น้ำตาลอ่อน 30 อินทนิลน้ำ LYTHRACEAE Lagerstroemia speciosa (L.) Pride of India, Qreen’s เปลือก น้ำตาล Pers. crape myrtlo 31 สีเสียดเหนือ LEGUMINOSAE - Acacia catechu (L.f.) Willd. Cateche tree, Cutch tree เปลือกต้น น้ำตาล MIMOSOIDEAE 32 กระถินบ้าน LEGUMINOSAE - Leucaena leucocephala Horse tamarind, เปลือก น้ำตาล MIMOSOIDEAE (Lam.) de Wit Leucaena 33 ฝาง LEGUMINOSAE - Caesalpinia sappan L. Sappan tree แก่นต้น ส้มอ่อน,น้ำตาล CAESALPINIOIDEAE 34 ตะแบกนา LYTHRACEAE Lagerstroemia floribunda Jack Ta back na เปลือก น้ำตาล,เทาดำ 35 ตะโกนา EBENACEAE Diospyros rhodocalyx Kurz Ebony ผล น้ำตาล 36 เทียนกิ่ง LYTHRACEAE Lawsonia inermis L. Thian king ใบ น้ำตาลอ่อน 37 หว้า MYRTACEAE Syzygium cumini (L.) Skeets Black plum. ผล เขียวขี้ม้า,เขียวทอง น้ำตาลเขียว น้ำตาลทอง 38 หญ้างวงช้าง BORAGINACEAE Heliotropium indicum L. Ya nguang chang ใบ น้ำตาล, น้ำตาลอมเขียว, น้ำตาลทอง, น้ำตาลอ่อน 39 งิ้ว BOMBRACACEAE Bombax ceiba L. Kapok tree, Cotton tree, เปลือกต้น เทาม่วง,น้ำตาล Red Cotton, Shaving brush, Slik 40 กล้วย MUSACEAE Musa sapientum L. Banana, กาบหุ้มลำต้น เทา Cultivated banana 41 คนทา SIMAROUBACEAE Harrisonia perforate (Blanco) Khontha ผล เทาม่วง Merr. 42 กระถินณรงค์ LEGUMINOSAE - Acacia auriculaeformis Wattle ใบ น้ำตาล,เทาดำ MIMOSOIDEAE A.Cunn.ex Benth 43 กระบก IRVINGIACEAE Irvingia malayana oliv. Krabok ผล เทา,เทาดำ Ex A. Benn. 44 กระโดน LECYTHIDACEAE Careya sphaerica Roxb. Kradon เปลือกด้านใน น้ำตาลดำ 45 บัวสาย NYMPHAEACEAE Nymphaea lotus L. Water lily ก้านดอก เทา 46 มะเกลือ EBENACEAE Diospyros mollis Griff. Ebony tree ผล ดำ 47 เงาะ SAPINDACEAE Nephrolepis lappaceum L. Rambutan เปลือก ดำ ลำดับ ชื่อพืช ชื่อวงศ์ ชื่อวิทยาศาสตร์ ชื่อสามัญ ส่วนที่ใช้ย้อมสี สีที่ได้ (Kingdom) (Scientific name) (Common Name)


26 มาตรฐานหม่อนไหม • ฝาง ฝางเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง นิยมนำแก่นมาสกัดทำเป็นยาสมุนไพร เมื่อนำมาต้มจะได้ น้ำสีแดง นิยมใช้ย้อมฝ้ายและไหม (ดิเรก, 2530) ได้รายงานการทดลองหาวิธีการและขั้นตอนการย้อมสี ด้วยน้ำสกัดจากฝางทำให้ไหมติดสีแดงที่คงทนต่อแสงและการซักดีซึ่งพบว่าการต้มย้อมนานครั้งละ 10 นาที ติดต่อกัน 3 ครั้ง โดยย้อมด้วยน้ำสีสกัดที่จางซึ่งเป็นน้ำต้มฝางครั้งที่ 3 ก่อนแล้วจึงย้อมครั้งที่ 2 และ 3 ด้วยน้ำสีสกัดเข้มข้นขึ้นตามลำดับ คือน้ำ 2 และน้ำสีเข้มที่สุด (น้ำ 1) การผสมน้ำต้มใบเหมือดแอในน้ำสี อัตราส่วน 1:1 โดยปริมาตร สำหรับการย้อมแต่ละครั้ง จะช่วยทำให้สีแดงติดคงทน เมื่อทดสอบซักด้วยสบู่ สีเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อย ต่างจากการใช้สารส้มผสมน้ำสีสกัดจากฝาง ย้อมเส้นไหมได้สีแดงอมส้มและ สีเปลี่ยนแปลงมากเมื่อนำไปซักทดสอบ • เข เขเป็นพืชประเภทไม้พุ่ม มีหนาม พบได้ทั่วไปตามป่าทุกภาคของประเทศไทย ในอดีตนิยม ใช้ย้อมไหมและฝ้ายให้สีเหลืองเข้ม ในการสกัดสีมักต้มแก่นเขจำนวนมากจนน้ำเป็นสีเหลืองเข้ม ใช้ย้อม ไหม โดยย้อมครั้งแรกไหมจะติดสีเข้มนำไปซักด้วยน้ำสะอาดเส้นไหมสีจะจางลง นำไปต้มในน้ำสกัดจาก เขใหม่ ต้องต้มย้อมซ้ำๆ กัน 3-4 ครั้ง จนสีติด ใช้เวลาต้มย้อมนานเป็นวัน จากการทดลองพบว่า การต้ม เคี่ยวแก่นเข 100 กรัม กับน้ำ 3 ลิตร โดยต้ม 3 ครั้ง ให้ปริมาตรลดลงเหลือ 1/2,1/3 และ 1/4 จากนั้น รวมน้ำสีที่สกัดได้ทั้งหมดผสมน้ำใบเหมือดแอ อัตรา 1:2 ย้อมเส้นไหมที่อุณหภูมิ95-100 องศาเซลเซียส นาน 105 นาที ทำให้ไหมติดสีเหลืองเข้ม สีคุณภาพดีตามมาตรฐานอุตสาหกรรม และยังพบว่าการเติม น้ำมะขามเปียกในน้ำสีสกัดจากเข อัตรา1 : 1 ช่วยให้สีคงทนต่อแสงได้ดี และคงทนต่อการซักฟอกดีกว่า การย้อมที่ใช้สารส้มเป็นสารช่วยย้อมทำให้น้ำครามมีค่าความเป็นกรดด่าง 9.7 ย้อมเส้นไหมติดสีดีกว่า เมื่อเปรียบเทียบกับการย้อมด้วยน้ำครามอื่น ๆ 2.2.2) กลุ่มพืชให้สีดำมีดังนี้ • กระบก น้ำสีที่คั้นจากผลกระบกสดกับน้ำ หรือต้มผลสดกับน้ำในอัตรา 1:1 เมื่อนำมาย้อมเส้นไหม ด้วยวิธีย้อมร้อน (อุณหภูมิ90 องศาเซลเซียส) นาน 40 นาทีแล้วแช่เส้นไหมในน้ำโคลนนาน 48 ชั่วโมง หมั่นกลับเส้นไหมให้แช่น้ำโคลนทั่วถึง หลังจากนั้นนำไปนึ่งไอน้ำนาน 20 นาที ทำให้เส้นไหมเป็นสีเทาดำ สีคงทนต่อแสงและการซักระดับดีตามมาตรฐานอุตสาหกรรม • คนทา ไม้พุ่มกึ่งเลื้อยซึ่งใช้ผลเป็นวัตถุดิบให้สี สกัดสีโดยต้มผลสดกับน้ำอัตรา 1:1 หรือหมัก ผลสดนึ่งกับน้ำนาน 1 ชั่วโมง ย้อมเส้นไหมในน้ำสีสกัดโดยการย้อมร้อน แล้วแช่เส้นไหมในน้ำโคลนและ นึ่งไอน้ำ เช่นเดียวกับการย้อมด้วยน้ำสีจากผลกระบก ได้เส้นไหมสีดำประกายแดง คุณภาพสีคงทนต่อแสง และการซักดีมาก คือ สีไม่ซีดสีไม่เปลี่ยนและสีไม่ตก • เปลือกเงาะโรงเรียน วัตถุดิบเหลือทิ้งนี้นำมาใช้ย้อมเส้นไหมได้สีดำ สีคงทนต่อแสงและ การซักดีมาก การสกัดน้ำสีจากเปลือกเงาะโรงเรียน ต้มเปลือกผลสดกับน้ำอัตรา 1:3 ย้อมเส้นไหมด้วยวิธี ย้อมร้อน แล้วแช่เส้นไหมในน้ำโคลน ซึ่งใช้เป็นสารช่วยติดสีจากนั้นนำเส้นไหมนึ่งด้วยไอน้ำร้อนได้เส้นไหม สีดำ คุณภาพสีคงทนต่อแสงและการซักผ่านมาตรฐานอุตสาหกรรมระดับดีมากเปลือกมังคุด เมื่อต้มเปลือก มังคุดสดกับน้ำผสมโซดาซักผ้า 3 เปอร์เซ็นต์ ได้น้ำสีม่วง ย้อมเส้นไหมแบบย้อมร้อน แล้วแช่เส้นไหม ในน้ำจุนสี ได้สีเขียวขี้ม้า สีไม่ซีดจางเมื่อถูกแสง มีระดับความคงทนต่อแสงระดับดีมาก สีไม่ตกและ สีไม่เปลี่ยน เมื่อทดสอบการซัก


27 กรมหม่อนไหม 2.2.3) กลุ่มพืชให้สีแดงหรือแดงอมส้ม • รากยอบ้าน เมื่อนำมาสกัดสีและย้อมเส้นไหมได้สีน้ำตาลอมแดงและแดงอมส้มพบว่าเมื่อ ต้มรากยอบ้าน (ทั้งราก) ซึ่งหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ ใช้รากยอบ้าน 1 ส่วน กับน้ำ 3 ส่วน ต้มนาน 3 ชั่วโมง นำไปย้อมเส้นไหมที่ 60 องศาเซลเซียส นาน 1 – 3 ชั่วโมง แล้วแช่เส้นไหมในน้ำจุนสี1 เปอร์เซ็นต์หรือ น้ำมะขามเปียกช่วยให้คุณภาพสีทนต่อแสงดีขึ้น • ใบเทียนกิ่ง การย้อมเส้นไหมด้วยน้ำสีสกัดจากใบเทียนกิ่งพบว่า การย้อมที่อุณหภูมิ90 องศา เซลเซียส นาน 1ชั่วโมง ด้วยน้ำสีที่ได้จากการต้มใบเทียนกิ่ง เส้นไหมเป็นสีน้ำตาลเหลืองอมส้ม มีการ ดูดซับสีดีที่สุด และวิธีที่ทำให้เส้นไหมเป็นสีส้มอมแดงมากที่สุด (เทียบกับวิธีการอื่น ๆ ที่ทดลอง) คือ ย้อม เส้นไหมในน้ำสีสกัดใบเทียนกิ่งที่ผสมน้ำสนิมเหล็ก ย้อมที่ 90 องศาเซลเซียส นาน 3 ชั่วโมง 2.2.4.2 การฟอกย้อมด้วยเคมี กระบวนการลอกหรือฟอกกาวไหมโดยสารเคมีสารเคมีที่ใช้ได้แก่ สบู่ โซดาแอช และสบู่เทียม โดยใช้อัตราส่วนน้ำยาลอกกาวไหม 30 ลิตร ต่อเส้นไหม 1 กิโลกรัม สัดส่วนที่ใช้สบู่หั่นเป็นฝอย 18% หรือ 180 กรัมต่อน้ำ 30 ลิตร (สำหรับไหมเหลือง) และสำหรับเส้นไหมขาว(ลูกผสมต่างประเทศ)ใช้ปริมาณสบู่ 90 – 100 กรัมต่อน้ำย้อม 30 ลิตร โซดาแอช 5% หรือ 50 กรัม ต่อ น้ำ 30 ลิตร สบู่เทียม 3% หรือ 30 ซีซีต่อ น้ำ 30 ลิตร หรือ 1 ซีซีต่อ น้ำ ไหมเส้นใหญ่ (เส้นไหมสาวเลย หรือไหมลืบ) อาจใช้โซดาแอช ได้ถึง 6% และต้องเพิ่มสัดส่วน ของสบู่เทียมเพิ่มขึ้น แต่ไม่ใช้เกินกว่านี้เพราะการใช้โซดาแอชที่มากเกินไป ทำให้ เส้นไหมแตกฟูและขาดง่าย ความยืดหยุ่น และความเงางามของเส้นไหมลดลงด้วย ถ้าไม่สามารถหาสบู่เทียมได้ อาจผสมน้ำยาเอนกประสงค์ชนิดไม่มีกลิ่นแทนได้ ในอัตราเดียวกัน (ศิริพร และคณะ, 2555) (1) วิธีการลอกกาวไหมด้วยด่างจากสารเคมี ในการลอกกาวไหมหรือการฟอกกาวไหมเพื่อให้ได้ผ้าไหมที่มีคุณภาพ มีแนวทางในการปฏิบัติดังนี้ 1.) แช่เส้นไหมในน�้ำเปล่า ประมาณ 10 นาที ให้กาวไหมอ่อนตัว ก่อนน�ำลงในน�้ำยาลอกกาวอาจแช่ในน�้ำอุ่น 2 – 3 นาทีเพื่อให้อุณหภูมิเส้นไหม ใกล้เคียงกับน�้ำยาลอกกาว ผู้ที่ลอกกาวไหมช�ำนาญแล้ว อาจไม่ต้องแช่เส้นไหม ก่อนลอกกาวก็ได้ 2.) ตวงน�้ำตามอัตราส่วนลงในหม้อลอกกาว ผสมสารเคมีทั้งหมดด้วย น�้ำอุ่นแล้วเทลงในหม้อกวนให้เข้ากัน แล้วน�ำขึ้นตั้งไฟ 3.) ใส่เส้นไหมที่แช่น�้ำอุ่นไว้ลงในน�้ำยาลอกกาวเมื่ออุณหภูมิ40 – 50 องศาเซลเซียส จากนั้นค่อยๆ เพิ่มความร้อน เมื่อได้อุณหภูมิ90 – 95 องศา เซลเซียส ให้เริ่มจับเวลาการลอกกาวไหม ระหว่างลอกกาวให้หมั่นกลับไหมบ่อยๆ ภาพที่ 2.16 แสดงภาพการฟอกกาว เส้นไหมด้วยเคมีและ การล้างเส้นไหมหลัง การฟอกกาวไหม


28 มาตรฐานหม่อนไหม 4.) เมื่อครบเวลาการลอกกาว 30 – 45 นาที หรือ จนลอกกาวไหมได้เพียงพอ ซึ่งทดสอบได้ โดยการราดน�้ำสะอาดเล็กน้อยบนเส้นไหมแล้วจับดูถ้ารู้สึกฝืดมือแสดงว่าลอกกาวออกดีแล้ว จึงน�ำเส้นไหม ขึ้นรีดน�้ำออก และล้างเส้นไหมในด้วยน�้ำอุ่นจัด (80 องศาเซลเซียส) นานประมาณ 20 นาที จ�ำนวน 2 รอบ แล้วจึงล้างด้วยน�้ำสะอาดจนกว่าน�้ำที่ล้างจะไม่มีสีปนเปื้อนออกมา 5.) บิดเส้นไหมให้หมาด แล้วนำไปกระตุกให้ไหมเรียงเส้น แล้วนำไปผึ่งในที่ร่มจนแห้ง หรือนำไป ย้อมสีได้เลย (2) ชนิดของสีเคมี การใช้สีเคมีในการย้อมสีไหม สีย้อมที่ได้จากการสังเคราะห์ที่นิยมใช้ย้อมเส้นไหมได้แก่ สีแอสิด (Acid) สีเบสิค (Basic) และสีรีแอคทีฟ (reactive) ในปัจจุบันจะต้องค�ำนึงถึงประเด็นส�ำคัญทั้งในด้าน มาตรฐานความปลอดภัยต่อผู้บริโภค และประเด็นด้านการรักษาสิ่งแวดล้อม สีย้อมที่ปลอดภัย หมายถึง สีย้อมที่ได้รับการรับรองว่าไม่มีกลุ่มแอมีนที่เป็นอันตราย 24 ตัว โดยผู้ผู้ผลิตจะต้องขอใบรับรองว่าไม่มีกลุ่ม แอมีนที่เป็นอันตราย(ไม่เกิน 30 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม) ในปี2555 มีบริษัทสีย้อมที่ได้รับใบรับรองสีย้อมที่ ปลอดภัยจากกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ได้แก่ สีย้อมจากบริษัทที่ผลิตในยุโรป เช่น บริษัท ฮันส์แมน จ�ำกัด บริษัท ไดสตาร์ไทย จ�ำกัด ส�ำหรับสีย้อมที่ผลิตในประเทศไทย สีย้อมที่ต้องขอใบรับรองว่าไม่มีกลุ่มแอมีน ที่เป็นอันตราย สีย้อมจากบริษัทที่ผลิต/จ�ำหน่าย ในประเทศไทย เช่น บริษัท พิสิษฐ์อินเตอร์กรุ๊ป จ�ำกัด บริษัท ตั้งไท่ฮั้วเฮง จ�ำกัด สีย้อมตราสิงโต สีย้อมตราเครื่องบิน และตราหัววัว เป็นต้น เป็นต้น (นฤมล ศิริทรงธรรม, 2555) นอกจากด้านมาตรฐานความปลอดภัยของสีดังกล่าวข้างต้นแล้ว คุณภาพของสีที่ใช้มีผลต่อคุณภาพ ของผ้าไหมที่ผลิตโดยตรง ตามระบบมาตรฐานสากลเช่น มาตรฐานเครื่องหมาย Serico ของประเทศอิตาลี Eco-lable ของสหภาพยุโรป ในการตรวจสอบมาตรฐานผ้าไหมด้านคุณภาพของสีที่ใช้นั้นจะต้องมีการทดสอบ มาตรฐานความคงทนของสีต่อปัจจัยต่าง ได้แก่ ความคงทนของสีบนผ้าต่อการซัก ความคงทนของสีบนผ้า ต่อเหงื่อ ความคงทนของสีบนผ้าต่อการขัดถู(ศิริพร บุญชู, 2554) ความคงทนของสีบนผ้าต่อแสง ซึ่งจะ ขึ้นอยู่กับสมบัติของสีนั้นๆ และวิธีการย้อม ดังนั้นในกระบวนการฟอกย้อมสีไหมผู้ผลิตผ้าไหม จะต้องควบคุม สภาวะต่างๆ ให้ได้ตามคู่มือและวิธีการปฏิบัติอย่างเคร่งครัดเพื่อให้ได้ผ้าไหมที่มีคุณภาพมาตรฐานสูงและ ผ่านมาตรฐานการรับรอง ปัจจัยที่ส�ำคัญที่ต้องควบคุมในกระบวนการย้อมสีไหมให้มีคุณภาพมาตรฐาน ได้แก่ • ปริมาณน�้ำที่ใช้ย้อม หรืออัตราส่วนระหว่างวัสดุที่ย้อมกับปริมาณน�้ำที่ใช้ • อุณหภูมิการย้อมที่เหมาะสม • การหมุนเวียนของน้าย้อม • สารช่วยย้อมต่างๆ • เวลา • ความสะอาดของอุปกรณ์


29 กรมหม่อนไหม 2.2.5.1 ขั้นตอนที่ส�ำคัญในการทอผ้าไหมด้วยมือ (1) การเดินเส้นยืน การเดินเส้นไหมยืน หรือการจูงไหมหรือการค้นเครือ กระท�ำได้ โดยการผูกปลายไหมไว้ที่หลักคล้องไหมและคล้องที่ “หลักขนัด”การค้นเส้นยืนนี้ จะต้องค�ำนวณตามขนาดของ “ฟืม” เช่น ขนาดของเบอร์80 (40 ช่องต่อนิ้ว) มีช่องฟันหวี1,680 ช่อง ร้อยฟันหวีช่องละ 2 เส้น เท่ากับ 3,360 เส้น ริมผ้า เพิ่มอีกข้างละ 10 ช่อง x 2 = 40 เส้น รวมจ�ำนวนเส้นยืนทั้งหมด = 3,400 เส้น เมื่อได้จ�ำนวนเส้นยืนทั้งหมดแล้วก็น�ำมาค�ำนวณหาจ�ำนวนของหลอดที่ ใช้เดินเส้นยืน และจ�ำนวนรอบที่จะใช้ในการเดินเส้นยืนจนครบจ�ำนวนของเส้น หลังจากนั้นน�ำหลอดเดินเส้นยืนมาตั้งที่ราวตั้งหลอดตามจ�ำนวนที่ได้ค�ำนวณ ไว้ แล้วจึงเดินเส้นยืนโดยดึงเส้นมาจากแต่ละหลอดแล้วเก็บแต่ละเส้นแบบไขว้ กันเป็นเส้นบนเส้นล่างจนครบจ�ำนวนหลอดที่ตั้งแล้วจึงน�ำไปคล้องที่หลักขนัด เมื่อค้นจ�ำนวนเส้นยืนจนครบแล้ว ถักเส้นยืนเป็นลูกโซ่ (เพื่อใช้ในการขึ้นกี่และ สือเข้าฟืม) และเพื่อเก็บเส้นยืน ป้องกันการพันกันของเส้นไหม หลักการส�ำคัญ ในการเดินด้ายยืนที่มีผลต่อคุณภาพผ้าไหมคือต้องพยายามให้เส้นด้ายตึงสม�่ำเสมอ (สนั่น บุญลา, 2555) (2) การร้อยเส้นยืนเข้าฟันหวี เป็นวิธีการร้อยเส้นไหมที่เป็นเส้นยืนเข้าสู่ฟันหวี โดยใช้ไม้รูปตะขอ แบบบาง แบนและลื่นหรืออาจใช้เหล็กร้อยตะกอสำหรับเกี่ยวเส้นไหมทีละเส้น ผ่านเข้าช่องฟันหวีจำนวนช่องละ 2 เส้น ซึ่งเป็นเส้นล่างและเส้นบน ร้อยจน ครบทุกช่อง แล้วนำมาผูกติดกับไม้ม้วนผ้า (ไม้คำพัน) เพื่อเตรียมขึงเส้นยืน เข้ากี่สนในการผลิตผ้าไหมให้มีคุณภาพการร้อยเส้นยืนเข้าฟันหวีควรระมัดระวัง อย่าให้เส้นไหมไขว้ ร้อยซ้ำกัน หรือร้อยข้าม จึงต้องมั่นตรวจตราขณะปฏิบัติงาน (สนั่น บุญลา, 2555) (3) การหวีและม้วนเข้าใบพัดฆ้อนไหม (หัวม้วนเส้นยืน) เป็นการจัดเตรียมเส้นยืนเข้าสู่กี่ โดยจะขึงเส้นยืนให้ยาว และตรวจ สอบข้อผิดพลาด เช่นการร้อยฟันหวีข้ามกัน เส้นยืนไม่ได้อยู่คู่กันหรือไม่ก็ไขว้ กันอยู่ จากนั้นม้วนเส้นยืนเก็บไว้ในไม้กระดานม้วนหรือใบพัดม้วนไหม (4) การนำเส้นยืนไปติดตั้งในกี่ นำเส้นยืนจากข้อ (3) ที่เข้าฟืมและไม้กระดานม้วนเข้ากี่ โดยการติดตั้ง ไม้ม้วนผ้าที่ช่องของไม้ม้วน แล้วคลี่เส้นยืนออกจากไม้กระดานม้วน ดึงเส้นให้ ตึงพอดีแล้วจัดเรียงเส้น ให้ถึงหัวกี่ ตรวจสอบเส้นยืนอีกครั้ง (5) การคัดลายหรือการเก็บตะกอ (Helding) การเก็บตะกอเป็นการคล้องเส้นยืนเอาไว้ นิยมใช้ “ไม้เต่าหรือ ไม้ก้ามปู” เป็นตัวกำหนดความกว้างของตะกอหรือเขา โดยพันเส้นตะกอไว้กับ ภาพที่ 2.17 การทอผ้าไหม ภาพที่ 2.18 ชุดไทยพระราชนิยม จัดแสด งขึ้นใน ง าน ฉลองครบรอบร้อยปี กาชาด ภาพที่ 2.19 แ ส ด ง วิ ธี ก า ร เ ดิ น เส้นไหมยืนในขั้นตอน การเตรียมเส้นไหมยืน ภาพที่ 2.2 แสดงวิธีการร้อยเส้น ไหมยืนเข้าฟันหวี


30 มาตรฐานหม่อนไหม “ไม้เรียว (ไม้ไผ่เหลากลมขนาดเล็ก)” ทั้งด้านบนและล่าง โดยให้พันด้านล่างก่อน เมื่อทำระยะตะกอเสร็จให้ดึงไม้เต่าออกจะเหลือเฉพาะไม้เรียว 2 อัน (เท่ากับ 1 ตับ) สำหรับการทอผ้าชนิด 2 ตะกอ จะมีอยู่2 ตับ แต่ละตับจะคล้องเส้นยืนไว้ 1 เส้น (จะมีตะกอบนและล่างในหนึ่งช่องฟืม) ใช้วิธีการเหยียบสลับจะเกิดการ ยกตะกอขึ้นลงเอง เพื่อให้สอดกระสวยเส้นพุ่งเป็นการสานขัดให้เป็นเนื้อผ้า ส่วนเนื้อผ้าที่มีลวดลายนูนนั้นเกิดจากการใช้หลายตะกอในการยกเส้นยืนให้เกิด ลวดลาย เรียกเทคนิคนี้ว่า “การยกดอก” (6) การผูกโยงตะกอและคล้องเท้าเหยียบ การผูกโยงตะกอและคล้องเท้าเหยียบ เป็นการผูกโยงตะกอกับไม้ลูกกลิ้ง และไม้เท้าเหยียบต้องทำเป็นไปตามลวดลายที่กำหนด สามารถแบ่งเป็น 2 ขั้นตอน คือ 6.1) การผูกโยงตะกอ เป็นการยึดตับ (ทั้งด้านบน) กับเส้นไหมยืน โดยการร้อยเชือกกับไม้ไผ่กลมวางพาดบนกี่ 6.2) การโยงตะกอกับเท้าเหยียบ ผูกตะกอเข้ากับเท้าเหยียบเป็นขั้นตอน สุดท้ายเพื่อให้เชื่อมโยงกันเมื่อเหยียบเท้าเหยียบจะเป็นการยกตะกอขึ้นเพื่อเปิด ตะกอสำหรับสอดกระสวยเส้นพุ่งให้ผ่านเส้นยืนทั้งหมดสลับไปมา ซึ่งเป็นกรรมวิธี ในส่วนหนึ่งของการสานขัดให้เป็นเนื้อผ้าตามลวดลายที่กำหนด ในขั้นตอนการผูกโยงตะกอและคล้องเท้าเหยียบเชือกที่ใช้ในการโยง ตะกอและไม้เท้าเหยียบต้องแข็งแรงไม่ยืดและไม่ขาดง่าย (7) การเตรียมเส้นพุ่ง (Weft preparation) เส้นพุ่ง คือ เส้นที่จะใช้ในการพุ่งโดยกระสวยตามแนวขวางของ เส้นยืน การเตรียมด้ายเส้นพุ่ง มี3 ขั้นตอน (ศิริพร บุญชูและคณะ, 2555) ดังนี้ 7.1) การกรอเข้าอัก การกรอเส้นไหมพุ่งเข้าอัก เพื่อเป็นการจัดระเบียบ เส้นไหมให้ไม่พันกันและสะดวกกับการกรอเข้าหลอด 7.2) การกรอเส้นไหมพุ่งเข้าหลอด (Rewining) การกรอเส้นพุ่งเข้า หลอดใช้อุปกรณ์ที่เรียกว่า “ไน” หรือหลา เป็นตัวหมุนเส้นไหมเข้าสู่หลอดขนาด เล็กที่ใช้ใส่ในกระสวยเส้นพุ่ง ในการกรอเส้นพุ่งสิ่งที่ควรระวังคือ การกรอเส้นไหม ต้องกรอเรียงกันแน่นไม่หลวมและเส้นไหมไม่ย้อนกลับไปมาเพราะจะมีผลต่อ คุณภาพของผ้าไหม(สนั่น บุญลา, 2555) 7.3) การบรรจุกระสวย การบรรจุกระสวย ทำได้โดยการนำหลอดเส้นพุ่ง ขนาดเล็กที่ได้จากข้อ 7.2 มาใส่ในช่องบรรจุกระสวยสำหรับทอ ต้องใช้กระสวย ที่มีสภาพดีไม่มีเสี้ยนเพราะจะมีผลต่อคุณภาพเนื้อผ้าไหมที่ทอ (8) การทอ (Weaving) การทอผ้าไหมมีเทคนิคและวิธีการทอที่แตกต่างกันหลายวิธี เช่น การทอยก การทอขิด การจก เป็นต้น ซึ่งการทอโดยเทคนิคดังกล่าวข้างต้น เป็นการเพิ่มเส้นพุ่งพิเศษเข้ามาในการทอผ้าลายขัด สำหรับวิธีในการเพิ่มเส้นพุ่ง ภาพที่ 2.21 แสดงวิธีการหวีและ การม้วนเส้นไหมยืน เข้าใบพัดค้อนไหมหรือ หัวม้วนเส้นยืน ภาพที่ 2.22 แสดงวิธีการนำหัวม้วน ส้นไหมยืนไปติดตั้งในกี่ ทอผ้า ภาพที่ 2.23 แสดงวิธีการร้อยเส้น ไหมยืนในกระบวนการ เก็บตะกอ


31 กรมหม่อนไหม พิเศษเข้ามาเพื่อเพิ่มลวดลาย สีสันของผ้าไหมให้มีความสวยงามและซับซ้อน มากยิ่งขึ้น สำหรับการทอผ้าลายขัดพื้นฐาน มีวิธีการทำโดยการเหยียบไม้เหยียบ สลับกัน เมื่อเหยียบข้างหนึ่งแล้วเส้นยืนจะเปิดช่องขึ้นสำหรับใช้กระสวยพุ่ง เส้นพุ่งเข้าไป จากนั้นกระทบฟืมเข้าหาตัวผู้ทอหนึ่งครั้งแล้วจัดระเบียบของเส้น ในเนื้อผ้าแล้วจึงเหยียบไม้เหยียบอีกอันเพื่อปิดช่องเส้นพุ่ง กระทบฟืมอีกครั้ง เพื่อปิดช่องให้เนื้อผ้าแน่นขึ้น แล้วพุ่งกระสวยอีกครั้งเหยียบสลับไปมาจนกลาย เป็นเนื้อผ้า แล้วทอไปตามความยาวที่ต้องการแต่ต้องเหลือปลายเส้นยืนไว้ ประมาณ 50 ซ.ม. เพื่อใช้ในการต่อเส้นยืนในครั้งต่อไป 2.3 ชนิดผ้าไหมไทย การจำแนกชนิดผ้าไหมไทยมีการจำแนกที่แตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับ วัตถุประสงค์และหลักเกณฑ์ที่ใช้ในการจำแนก จึงทำให้ชนิดของผ้าไหมไทยที่ ใช้เรียกกันมีความหลากหลายและแตกต่างกันไป รายละเอียดของแต่ละผ้าไหม สรุปได้ดังนี้ 2.3.1 คณะกรรมการส่งเสริมสินค้าไหมไทย (2528) ได้จำแนก ประเภทของผ้าไหมไทยเป็น 2 ประเภท คือ ผ้าไหมไทย เป็นผ้าไหมที่ทอด้วยเส้น ไหมแท้ทั้งหมด รวมถึงผ้าไหมแท้ที่มีสิ่งอื่นเป็นส่วนประกอบสำหรับการตกแต่ง และผ้าไหมจุรีหมาถึงผ้าไหมที่ประกอบด้วยเส้นไหมแท้ตั้งแต่ร้อยละ 20 ขึ้นไป ของน้ำหนักทั้งหมดของผ้าไหม 2.3.2 กรมส่งเสริมการเกษตรโดย โดย (ศิริพร และคณะ, 2540) รายงานว่าผ้าไหมไทยเป็นการแสดงออกถึงศิลปะพื้นบ้านและเอกลักษณ์ของท้อง ถิ่น ซึ่งทำให้ผ้าไหมมีความหลากหลาย รวมทั้งทางด้านกรรมวิธีการทอลวดลาย และรูปแบบของผ้า ซึ่งเอกลักษณ์ต่างๆเหล่านี้สามารถใช้เป็นตัวกำหนดถึงแหล่ง ของการผลิตได้ประเภทของผ้าไหมที่ทอมือและเกิดจากภูมิปัญญาท้องถิ่นต่างๆ นั้น สามารถแบ่งประเภทของผ้าไหมตามเทคนิคและวิธีการทอ เป็น 8 ชนิด ได้แก่ ผ้าไหมพื้น ผ้าไหมมัดหมี่ ผ้าไหมยกดอก ผ้าไหมขิด ผ้าไหมแพรวา ผ้าไหมจก และผ้าไหมบาติก ภาพที่ 2.24 แสด ง ก า ร ก รอด้ า ย เส้นพุ่งเข้าหลอด และ ก า รบ ร รจุหลอดใน กระสวย ภาพที่ 2.25 แสดงวิธีการทอผ้าไหม ด้วยกี่แบบพื้นบ้าน 2.3.3 สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (กระทรวง อุสาหกรรม, 2546) ได้จัดทำมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ในส่วนที่เกี่ยวข้อง กับผ้าไหมของชุมชนโดยจำแนกผ้าไหมที่ผลิตโดยชุมชน จำนวน 12 ชนิด ได้แก่ ผ้าไหมทอมือลายขัด(ผ้าไหมพื้น) ผ้าไหมทอลายน้ำไหล ผ้าไหมมัดหมี่ ผ้าไหม ยกดอก ผ้าไหมขิด ผ้าไหมแพรวา ผ้าไหมกาบบัว ผ้าไหมหางกระรอก ผ้าไหม จก ผ้าไหมยกมุก ผ้าไหมยก และผ้าไหมบาติก 2.3.4 สถาบันอุตสาหกรรมสิ่งทอ โดย สนั่น บุญลา (2555) ได้จำแนกชนิดผ้าไหมตามวิธีการทอ ได้จำแนกผ้าไหมไทยเป็น 14 ชนิด ได้แก่ ผ้าไหมลายขัด ผ้าไหมขิด ผ้าไหมหางกระรอก ผ้าไหมมัดหมี่ ผ้าไหมจก ผ้าไหม กาบบัวธรรมดา ผ้าไหมกาบบัว(จก) ผ้าไหมกาบบัว(คำ) ผ้าไหมแพรวาล่วง ผ้าไหม แพรวาจกดาว ผ้าไหมทอลายน้ำไหล ผ้าไหมยกมุก ผ้าไหมยก ผ้าไหมยกดอก


32 มาตรฐานหม่อนไหม จากข้อมูลข้างต้น พบว่าชนิดของผ้าไหมไทยมีความหลากหลาย และแตกต่างกันตามวัตถุประสงค์ของแต่หน่วยงานรายละเอียดของผ้าไหมแต่ละ ชนิดมีดังนี้ 2.3.1 ผ้าไหมพื้น (Plane silk) เป็นผ้าไหมที่ทอลายขัดโดยใช้ เส้นยืน และเส้นพุ่งธรรมดาสีเดียวตลอดกันทั้งผืน ผ้าที่ออกมาจะเป็นผ้าสีพื้น เรียบไม่มีลาย หรืออาจใช้เส้นยืนและพุ่งต่างสีกันก็ได้เป็นผ้าที่นิยมใช้กันทั่วไป 2.3.2 ผ้าไหมมัดหมี่ (Mud-mee, Ekat) การทอผ้าไหมมัดหมี่ เป็นศิลปะการทอผ้าพื้นเมืองชนิดหนึ่งที่มีมานานแล้ว ทางภาคตะวันออกเฉียง เหนือของไทย และบางท้องที่ในเขตภาคกลาง เช่น สุพรรณบุรี อุทัยธานี กาญจนบุรีลพบุรีและชัยนาท วิธีการมัดหมี่คือการมัดด้ายให้เป็นลาย ที่เส้นพุ่งหรือ เส้นยืน ด้วยเชือกแล้วนำไปย้อมสีเพื่อให้ได้สีและลายตามต้องการแล้วจึงนำมาทอ เป็นผ้า ผ้าไหมมัดหมี่ในบ้านเราส่วนใหญ่นิยมทอผ้าเส้นพุ่ง แต่บางจังหวัดมีการ มัดหมี่เส้นยืน เช่น เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน ราชบุรี และเพชรบุรี การทอ ผ้าไหมมัดหมี่คือการทอผ้าที่มัดเส้นไหม เพื่อสร้างลวดลายก่อนการย้อม ซึ่งผู้ทอ จะต้องออกแบบลวดลายผ้าไว้ก่อนถ้าต้องการหลายสีก็ต้องมัดและย้อมหลายครั้ง จนกว่าจะได้สีครบตามต้องการจึงนำไปทอด้วยเทคนิคการขัดสานธรรมดาลวดลาย บนผืนผ้าจะเกิดขึ้นตามรอยที่มัดย้อม ผ้าที่ได้จากการทอจะมีลักษณะเรียบ เหมือนกันทั้ง 2 ด้าน ฟืมที่ใช้ในการทอผ้านั้นมีขนาดประมาณ 42 ถึง 47 หลบ ซึ่งจะได้ผ้าหน้ากว้างประมาณ 1 เมตรพอดีสิ่งสำคัญของการทอผ้าลายมัดหมี่นั้น ผู้ทอจะต้องทำการตรวจสอบลายให้ถูกต้องก่อนที่จะกระแทกฟืมทุกครั้ง เพราะ ถ้าหากลายไม่ถูกต้องตรงตามที่มัดไว้ก็จะทำให้ผ้าไหมมัดหมี่นั้นด้อยคุณภาพลงไป ส่วนเนื้อผ้าไหมจะแน่นหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับแรงกระแทกของฟืมและจังหวะใน การเหยียบไม้หูกเพื่อสอดกระสวย ผู้ทอจึงต้องใช้ความชำนาญและประสบการณ์ ภาพที่2.26 แสดงผ้าไหมพื้นสีต่างๆ ภาพที่ 2.27 แสดงผ้าไหมมัดหมี่


33 กรมหม่อนไหม เพื่อให้ได้ผ้าไหมที่ดีมีคุณภาพ (จิตตภูสิงคำมา, 2545) การทำผ้ามัดหมี่มี3 แบบ คือ มัดหมี่เส้นพุ่ง มัดหมี่เส้นยืน และมัดหมี่เส้นพุ่งและทางยีน หรือหมี่ซ้อนหรือ หมี่สองทาง (สนั่น บุญลา, 2555) 2.3.3 ผ้าไหมขิด (Khit) หมายถึงผ้าที่ทอโดยใช้เส้นไหมพุ่งเพิ่ม พิเศษสีเดียวโดยสอดตามลวดลายบนพื้นลายพื้นตลอดแนวตามความกว้างของ หน้าผ้า ซึ่งลวดลายซ้ำและมีสีเดียวตลอดหน้าผ้า ส่วนตามความยาวผ้าอาจเป็นลายซ้ำ เหมือนหรือไม่ก็ได้ และสีมีสีเดียวหรือหลายสีก็ได้ การทอขิดผ้าไหมแบบ ทอยกลายในตัว เรียกว่า“เก็บขิด”หมายถึง การเก็บตะกอลอยเพิ่มโดยใช้ไม้ไผ่ เรียกว่า “ไม้เก็บขิด” เป็นตัวยกเส้นยืนแต่ละแถว ให้เส้นพุ่งพิเศษสอดผ่านจาก ริมผ้าด้านหนึ่งไปสู่ริมผ้าอีกด้านหนึ่งเกิดเป็นลวดลายขิด ผ้าทอลายขิดสังเกต ดูได้จากลายซ้ำของเส้นพุ่งที่ขึ้นเป็นแนวสีเดียวกันตลอด อาจจะเหมือนกัน ทั้งผืนหรือไม่ก็แต่ต้องมีลายซ้ำที่มีจุดจบ ผ้าไหมขิดเป็นที่นิยมทั่วไปในภาคอีสาน บางจังหวัด ในภาคกลางและภาคเหนือ 2.3.4 ผ้ายก (Brocade) เป็นการทอผ้าไหมที่ทอยกลายในตัวใช้ เส้นพุ่งพิเศษ เป็นดิ้นเงิน ดิ้นทอง โดยใช้วิธีการเก็บตะกรอเช่นเดียวกับการทอขิด ผ้ายกเป็นผ้าซิ่นไหมยกลายเฉพาะเชิงซิ่น หรือยกลายตลอดทั้งซิ่นและเชิงซิ่น มีทอ กันเป็นที่แพร่หลายในภาคเหนือที่เชียงใหม่และลำพูน ในภาคใต้ที่ สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช และภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่ร้อยเอ็ด 2.3.5 ผ้าไหมยกดอก หมายถึงผ้าไหมที่ทอโดยการใช้ตะกอ 3-10 ตะกอ หรือมากกว่า เพื่อให้เกิดลวดลายที่มีลักษณะลายขนาดเล็กติดต่อซ้ำกันตามแนว เส้นไหมยืนเต็มผืนผ้าโดยไม่มีเส้นพุ่งพิเศษ 2.3.6 ผ้าจกไหม เป็นผ้าไหมที่มีลวดลายโดยใช้เทคนิคการทอเพิ่ม เส้นไหมพุ่งพิเศษหลายสีเป็นช่วงๆ เพื่อให้เกิดลวดลายบนลายพื้น โดยวิธีการ เก็บและทอเช่นเดียวกับผ้าขิดแต่มีการทำลวดลายด้วยการเพิ่มเส้นพุ่งพิเศษเข้าไป ในช่วงๆ ไม่ติดต่อกันตลอดหน้ากว้างของผ้า ทำให้สามารถสลับสีและลวดลาย ได้ต่าง ๆ กัน จึงทำให้ลักษณะผ้าจึงมีสีสันและลวดลายมากกว่าผ้าขิด 2.3.7 ผ้าแพรวา เป็นผ้าทอที่มีลักษณะลวดลายผสมกันระหว่าง ลายขิด และจกบนผืนผ้า คำว่า “แพรวา” มาจากความยาวของผ้าที่ยาวประมาณวา แพรวาเป็นผ้าซึ่งใช้ในงานพิธีต่าง ๆ ตามวัฒนธรรมของชาวภูไท โดยเอกลักษณ์ ดั้งเดิมจะมีสีแดงเป็นพื้น ซึ่งต่อมาได้มีการดัดแปลงลักษณะของผืนผ้าและ การใช้สีสัน เพื่อนำมาใช้ประโยชน์ได้มากขึ้นตามสมัยนิยม ผ้าไหมแพรวาที่เป็น เอกลักษณ์มีองค์ประกอบ ดังนี้ (1) ลายดอกใหญ่ หรือลายหลัก เป็นลวดลายในกรอบสีเหลี่ยมผืนผ้า ซึ่งประกอบด้วยลายที่มีลักษณะเป็นสี่เหลี่ยมรูปขนมเปียกปูนจ�ำนวนน้อยหรือมาก ขึ้นอยู ่กับขนาดของลายนอกที่มีลักษณะเป็นรูปสามเหลี่ยมที่อยู ่ด้านบนและ ภาพที่ 2.28 แสดงผ้าไหมขิดจังหวัด อุดรธานี ภาพที่ 2.29 แสดงผ้ายกจากจังหวัด นครศรีธรรมราช ภาพที่ 2.30 แสดงผ้าจกเมืองรอง ภาพที่ 2.31 แสดงผ้าไหมแพรวา กาฬสินธุ์


34 มาตรฐานหม่อนไหม ภาพที่ 2.32 แสดงผ้าไหมบาติก ด้านล่างของเส้นกรอบลาย และเครือลายเป็นลายสามเหลี่ยมอยู่หัวท้ายของ กรอบสี่เหลี่ยม ที่อยู่หัวท้ายของกรอบสี่เหลี่ยม โดยส่วนของมุมแหลมจะชี้เข้าหา จุดกึ่งกลางของแถวลาย (2) ลายคั่น เป็นลายขนาดเล็กเรียงกันเป็นแถวอยู่ภายในเส้นกรอบ ใช้เป็นลายสำหรับทอคั่นลายใหญ่ทุกๆแถวในผืนผ้า (3) ลายเชิงผ้า เป็นลายที่ทออยู่ทั้งสองด้านของส่วนที่เป็นลายทั้งหมด ในผืนผ้า(ปลายผ้า) ผ้าไหมแพรวาแบ่งเป็น 3 ชนิดตามลักษณะการทอ ดังนี้ 2.3.7.1 ผ้าไหมแพรวาเกาะ 2.3.7.2 ผ้าไหมแพรวาล่วง เป็นผ้าไหมแพรวาที่มีลวดลายเช่น เดียวกับแพรวาเกาะ แต่ใช้เส้นไหมพุ่งที่เพิ่มพิเศษเพียงสีเดียวสอดตามลวดลาย บนลายพื้นตลอดความกว้างของหน้าผ้าแบบการทอขิด 2.3.7.3 ผ้าไหมแพรวาจกดาว เป็นผ้าไหมแพรวาที่ทอมีลวดลาย เหมือนผ้าไหมแพรวาล่วงแต่ใช้ปลายนิ้วจกเส้นไหมพุ่งเพิ่มพิเศษให้เป็นลายดอก ขนาดเล็กหลายสีบนลายพื้นเป็นบางส่วน หรือตลอดความกว้างของหน้าผ้า 2.3.8 ผ้าไหมกาบบัว(ธรรมดา) หมายถึงผ้าไหมที่ทอโดยใช้เส้นไหมยืนอย่าง น้อย 2 สีทอเป็นพื้นลายริ้วตามลักษณะซิ่นทิวและใช้เส้นไหมพุ่งทอเป็นลายคั่น เส้นไหมพุ่งเป็นเส้นหางกระรอก(ควบเส้น 2 สี) มัดหมี่ และขิด 2.3.9 ผ้าไหมกาบบัว(จก) หมายถึงผ้าไหมที่ทอโดยใช้เส้นไหมยืนอย่าง น้อย 2 สี ทอเป็นพื้นลายริ้วตามลักษณะซิ่นทิว และเพิ่มเส้นไหมพุ่งพิเศษโดย การจกเป็นลวดลายกระจุกดาว หรือลายเกาะดาวโดยลักษณะลายอาจเป็นช่วง กลุ่ม หรือกระจายทั่วทั้งผืนผ้าก็ได้ 2.3.10 ผ้าไหมกาบบัว(คำ) หมายถึงผ้าไหมที่ทอโดยไม่มีลายริ้วก็ได้ เป็นผ้าไหมที่ทอยกหรือทอแบบขิดที่ใช้เส้นไหมพุ่งพิเศษ คือ ดิ้นทอง หรือดิ้นเงิน หรือเส้นไหมสีต่างๆ ไปตามลวดลายบนลายพื้น และคั่นด้วยมัดหมี่ 2.3.11 ผ้าไหมบาติก เป็นผ้าไหมที่นำมาเขียนลวดลายบนเนื้อผ้าด้วย ขี้ผึ้ง (WAX) แล้วนำไประบายหรือย้อมสีตามต้องการ ผ้าไหมพิมพ์ลายซึ่งพิมพ์ ลวดลายสีสันลงบนผืนผ้าไหม ผ้าไหมมัดหมี่ซ้อนจากการมัดหมี่ทั้งเส้นพุ่ง และ เส้นยืน ผ้าไหมที่มีการออกแบบลวดลายหรือเพิ่มเทคนิคในการทอ เพื่อให้ลวดลาย และรูปแบบของผืนผ้าที่แตกต่างออกไป


35 กรมหม่อนไหม มาตรฐานเส้นไหม (Silk yarn standard) 3.1 เส้นไหม (Silk yarn) 3.1.1 องค์ประกอบเส้นไหม เส้นไหมเป็นเส้นใยธรรมชาติที่มีองค์ประกอบ ดังนี้ 3.1.1.1 ไฟโบรอิน (Fibroin) เป็นโปรตีนที่เป็นองค์ประกอบหลักในเส้นไหม โดยทั่วไปเส้นไหม มีไฟโบรอินเป็นองค์ประกอบร้อยละ 70-80 ขององค์ประกอบทั้งหมด ซึ่งเป็นส่วนส�ำคัญในการทอเป็น ผืนผ้าไหม เนื่องจากไฟโบรอินเป็นส่วนของโปรตีนที่ไม่ละลายในน�้ำและจะยังคงอยู่หลังกระบวนการฟอกกาว ไหม ไฟโบรอินจึงเป็นเส้นใยที่ใช้ในการทอผ้าไหม 3.1.1.2 เซริซิน (Sericin) หรือที่เรียกว่า กาวไหม เป็นโปรตีนที่เป็นองค์ประกอบส�ำคัญของ เส้นไหมอีกชนิดหนึ่ง โดยในเส้นไหมมีเซริซินป็นองค์ประกอบร้อยละ 20-30 ขององค์ประกอบทั้งหมดของ เส้นไหม ที่ท�ำหน้าที่เป็นกาวเคลือบเส้นไฟโบรอินซึ่งเป็นเส้นใยต่อเนื่อง จ�ำนวน 2 เส้นให้ยึดติดกัน โปรตีน ชนิดนี้ละลายในน�้ำ ดังนั้นจึงถูกลอกออกไปในระหว่างการฟอก(ลอก)กาวไหม 3.1.1.3 อื่นๆ เส้นไหมนอกจากมีองค์ประกอบหลักของโปรตีนสองชนิดแล้ว ยังมีส่วนประกอบ อื่นๆ อีก ได้แก่ ไขมันหรือแว็กซ์จ�ำนวนร้อยละ 0.4-0.8 สารไฮโดรคาร์บอน (Hydrocarbon) จ�ำนวน ร้อยละ 1.2 - 1.6 สีที่ปรากฏตามธรรมชาติ(Pigment)จ�ำนวนร้อยละ 0.2 และเถ้าจ�ำนวนร้อยละ 0.7 3.1.2 ความหมาย เส้นไหม หมายถึง เส้นใย (filament) ที่สาวออกจากรังไหมจ�ำนวนหนึ่ง โดยการท�ำเกลียว ให้รวมเป็นเส้นเดียวกันในขั้นตอนการสาวไหม และยังไม่ผ่านการตีเกลียวหรือควบเกลียว และแยกเซริซินออก ส�ำหรับการจัดท�ำมาตรฐานเส้นไหมของไทยนั้น จัดท�ำมาตรฐานของเส้นไหมดิบ(Raw silk) ซึ่งเป็นเส้นไหม ที่ไม่ผ่านกระบวนการควบตีเกลียว(Twist) และแยกเซริซินออก


36 มาตรฐานหม่อนไหม 3.2 การกำหนดมาตรฐาน ส�ำหรับมาตรฐานเส้นไหม เส้นไหมดิบของประเทศไทย ได้มีการก�ำหนดและประกาศใช้เป็น มาตรฐานทั่วไปหรือมาตรฐานสมัครใจ จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 2 หน่วยงาน ได้แก่ ส�ำนักงานมาตรฐาน สินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักในการดูแลมาตรฐาน สินค้าเกษตร และส�ำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม ที่รับผิดชอบมาตรฐาน ของสินค้าอุตสาหกรรม มาตรฐานเส้นไหมของประเทศไทยที่ประกาศใช้แล้ว มีดังนี้ 3.2.1 มาตรฐานสินค้าเกษตร มกษ. 8000–2555(Thai Agricultural Standard TAS 8000-2012) : เส้นไหมดิบ เล่ม 1 (Raw Silk Volume 1 : Hand Reeled Thai Silk Yarn) เส้นไหมไทยถือเป็นเส้นไหมที่เป็นเอกลักษณ์ของประเทศไทย เนื่องจากเกิดจากพันธุ์ไหมที่ ผลิตรังไหมสีเหลืองที่ถือเป็น พันธุ์ไหมไทยที่มีการเลี้ยงมาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษ ใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่นใน การผลิตตั้งแต่การเลี้ยงไหม และการสาวไหมด้วยมือเพื่อผลิตเส้นไหมไทยที่เรียกว่าเส้นไหมหัตถกรรมที่สร้าง ผลิตภัณฑ์ที่มีความแตกต่างของไหมไทยจากไหมทั่วโลก สร้างชื่อเสียง ให้ไหมไทยเป็นที่รู้จักในด้านความ มีเอกลักษณ์เฉพาะ ปัจจุบันเส้นไหมไทยได้มีการก�ำหนดมาตรฐาน ภายใต้มาตรฐานสินค้าเกษตรโดยประกาศ คณะกรรมการมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ก�ำหนดมาตรฐาน สินค้าเกษตรที่เกี่ยวข้องกับเส้นไหมไทย ก�ำหนดเป็นมาตรฐานเส้นไหม มกษ. 8000 – 2555 (ปรับปรุงจาก มาตรฐาน มกอช 8000-2548 เดิม) เป็นมาตรฐานทั่วไป ตามพระราชบัญญัติมาตรฐานสินค้าเกษตร พ.ศ. 2551 โดยยกเลิกประกาศคณะกรรมการมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติเรื่อง ก�ำหนดมาตรฐาน สินค้าเกษตร : เส้นไหมไทย ลงวันที่ 5 ตุลาคม 2548 เดิม มาตรฐานฉบับนี้ประกาศใช้เมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2555 3.2.1.1 ขอบข่าย มาตรฐานฉบับนี้ ใช้ในการจัดชั้นคุณภาพ มาตรฐานครอบคลุมส�ำหรับเส้นไหมไทยที่ได้จากรังไหมพันธุ์ไทยสีเหลืองจาก หนอนไหมที่กินใบหม่อนเป็นอาหาร (Bombyx mori) ที่สาวด้วยมือในประเทศไทย โดยพิจารณาจากปัจจัยในด้านคุณภาพคือ ความเรียบของเส้นไหม ความสม�่ำเสมอ ของขนาดเส้นไหมและสี การรวมตัวกันของเส้นใย และความสะอาด โดยที่ ได้ก�ำหนดให้พันธุ์ไหม ขนาดเส้นรอบวง การท�ำไพ ในข้อก�ำหนดขั้นต้น 3.2.1.2 วิธีการตรวจสอบ ในการตรวจสอบมาตรฐานเส้นไหมไทย ตามมาตรฐานฉบับนี้ต้องตรวจสอบรายละเอียดดังนี้พันธุ์ไหมต้องเป็นพันธุ์ไทย สีเหลือง เส้นไหมแท้ขนาดเส้นรอบวง การท�ำไพ ชั้นคุณภาพ ขนาดเส้นไหม น�้ำหนักเข็ดไหม ให้เป็นไปตามรายละเอียดวิธีการที่ก�ำหนดในมาตรฐาน มกษ. 8000 – 2555 3.2.1.3 การจ�ำแนกมาตรฐาน ตามมาตรฐาน มกษ. 8000 – 2555 จ�ำแนกเส้นไหมไทยเป็น 3 ชนิด คือ ไหมหนึ่งหรือไหมยอดหรือไหมน้อย ไหม 2 หรือไหมสาวเลย และไหม 3 หรือไหมลืบหรือไหมแลง โดยมีรายละเอียด ของเส้นไหมแต่ละชนิด ดังนี้


37 กรมหม่อนไหม ภาพที่ 3.1 แสดงลักษณะ เส้นไหมหนึ่ง หรือ ไหมน้อย หรือไหมเครือ (1) เส้นไหมหนึ่ง หรือไหมน้อย หรือไหมเครือ 1.1) คุณลักษณะเส้นไหม เส้นไหมชนิดนี้เป็นเส้นไหมที่ได้จากการสาวไหมจากส่วนเปลือกรังไหมชั้นใน เส้นไหมที่ได้ จะมีลักษณะเส้นเรียบ ขนาดสม�่ำเสมอ สีสม�่ำเสมอ รวมตัวกลม สะอาดไม่มีสิ่งปลอมปน นุ่มมือเมื่อสัมผัส การจัดชั้นคุณภาพเส้นไหมหนึ่งพิจารณาจากการตรวจสอบคุณลักษณะที่เป็นข้อบกพร่อง จ�ำนวน 5 ลักษณะ ได้แก่ เส้นไม่เรียบ ขนาดเส้นไม่สม�่ำเสมอ เส้นไม่รวมตัว สีเส้นไม่สม�่ำเสมอ และเส้นไม่สะอาด เส้นไหม หนึ่ง แบ่งตามคะแนนคุณลักษณะที่ตรวจสอบแบ่งเป็น 3 ชั้นคุณภาพ คือ เส้นไหมหนึ่งชั้นพิเศษ(Extra class) มีคะแนนคุณลักษณะรวมกัน มากกว่า 90 คะแนน เส้นไหมหนึ่งชั้นหนึ่ง(Class I) มีคะแนน คุณลักษณะรวมกัน ไม่ต�่ำกว่า 80 คะแนน และเส้นไหมหนึ่งชั้นสอง(Class II) มีคะแนนคุณลักษณะ รวมกัน ไม่ต�่ำกว่า 65 คะแนน ตามมาตรฐานเส้นไหมไทยสาวมือ มกษ.8000-2555 แบ่งขนาดเส้นไหมหนึ่ง เป็น 5 กลุ่ม ดังนี้ 1.1.1) กลุ่ม 1 ขนาดน้อยกว่า 120 ดีเนียร์ 1.1.2) กลุ่ม 2 ขนาด 121-150 ดีเนียร์ 1.1.3) กลุ่ม 3 ขนาด 151-200 ดีเนียร์ 1.1.4) กลุ่ม 4 ขนาด 201-250 ดีเนียร์ 1.1.5) กลุ่ม 5 ขนาดมากว่า 251 ดีเนียร์ ภาพที่ 3.2 แสดงลักษณะเส้นไหม สอง หรือไหมสาวเลย (2) เส้นไหมสอง หรือไหมสาวเลย 2.1) คุณลักษณะเส้นไหม เส้นไหมสอง หรือไหมสาวเลย เป็นเส้นไหมที่ได้จากการสาวควบกันของเปลือกรังไหมชั้นนอก และชั้นในรวมกัน ลักษณะเส้นไหมไม่เรียบ ขนาดสม�่ำเสมอ รวมตัวกลม สะอาดไม่มีสิ่งปลอมปน สีสม�่ำเสมอ ลักษณะเส้นไหมที่สาวได้หยาบและเส้นใหญ่กว่าไหมหนึ่งหรือไหมยอด คุณภาพมาตรฐานเส้นไหมสอง


38 มาตรฐานหม่อนไหม พิจารณาจากการตรวจสอบคุณลักษณะข้อบกพร่อง จ�ำนวน 4 ลักษณะ ได้แก่ ขนาดเส้นไม่สม�่ำเสมอ เส้นไม่รวมตัว สีเส้นไม่สม�่ำเสมอ และเส้นไม่สะอาด การจัดชั้นคุณภาพมาตรฐานเส้นไหมสองแบ่ง ตามคะแนนคุณลักษณะที่ตรวจสอบได้เป็น 3 ชั้นคุณภาพ คือ เส้นไหมสองชั้นพิเศษ (คะแนนคุณลักษณะ รวมกัน ไม่ต�่ำกว่า 85 คะแนน) เส้นไหมสองชั้นหนึ่ง (คะแนนคุณลักษณะรวมกัน ไม่ต�่ำกว่า 80 คะแนน) และเส้นไหมสองชั้นสอง(คะแนนคุณลักษณะรวมกัน ไม่ต�่ำกว่า 60 คะแนน) ตามมาตรฐานเส้นไหมไทย มกษ. 8000-2555 แบ่งขนาดเส้นไหมสองออกเป็น 5 กลุ่ม ดังนี้ 2.1.1) กลุ่ม 1 เส้นไหมมีขนาดน้อยกว่า 150 ดีเนียร์ 2.1.2) กลุ่ม 2 เส้นไหมขนาด 151-200 ดีเนียร์ 2.1.3) กลุ่ม 3 เส้นไหมขนาด 201-250 ดีเนียร์ 2.1.4) กลุ่ม 4 เส้นไหมขนาด 251-300 ดีเนียร์ 2.1.5) กลุ่ม 5 เส้นไหมขนาดมากว่า 301 ดีเนียร์ ภาพที่ 3.3 แสดงลักษณะเส้นไหม สามประเภทไหมหลืบ (3) ไหมสาม หรือไหมลืบ และไหมแลง 3.1) คุณลักษณะทางกายภาพ เส้นไหมสาม หรือเส้นไหมหลืบ และเส้นไหมแลง เป็นเส้นไหมที่ได้จากการสาวรังไหมสอง ลักษณะ คือ เส้นไหมสามหรือไหมหลืบ เป็นเส้นไหมที่ได้จากการสาวไหมจากเปลือกรังไหมชั้นนอกรวมทั้ง ปุยไหม ส�ำหรับเส้นไหมสามชนิด ไหมแลงเป็นเส้นไหมที่ได้จากการสาวไหมจากชั้นในสุดของรังไหม ที่เหลือจากการสาวไหมหนึ่งหรือไหมสองแล้ว เส้นไหมมีปุ่มปม ขนาดสม�่ำเสมอ รวมตัวกลม สีสม�่ำเสมอ สะอาดไม่มีสิ่งปลอมปน คุณภาพเส้นไหมสามพิจารณาจากการตรวจสอบคุณลักษณะข้อบกพร่อง จ�ำนวน 4 ลักษณะ ได้แก่ ขนาดเส้นไม่สม�่ำเสมอ เส้นไม่รวมตัวสีเส้นไม่สม�่ำเสมอและเส้นไม่สะอาดการจัดชั้น คุณภาพโดยแบ่งตามคะแนนคุณลักษณะที่ตรวจสอบได้เป็น 3 ชั้นคุณภาพ คือ เส้นไหมสามชั้นพิเศษ มีคะแนนคุณลักษณะรวมกันมากกว่า 85 คะแนน เส้นไหมสามชั้นหนึ่งมีคะแนนคุณลักษณะรวมกัน ไม่ต�่ำ กว่า 80 คะแนน และเส้นไหมสามชั้นสองมีคะแนนคุณลักษณะรวมกัน ไม่ต�่ำกว่า 60 คะแนน ตามมาตรฐาน เส้นไหมไทย มกษ. 8000-2555 แบ่งขนาดเส้นไหมสามชนิดไหมลืบและไหมแลง เป็น 4 กลุ่ม ดังนี้ 3.1.1) กลุ่ม 1 ขนาดน้อยกว่า 250 ดีเนียร์ 3.1.2) กลุ่ม 2 ขนาด 251-350 ดีเนียร์ 3.1.3) กลุ่ม 3 ขนาด 351-450 ดีเนียร์ 3.1.4) กลุ่ม 4 ขนาดมากว่า 451 ดีเนียร์ ภาพที่ 3.4 แสดงลักษณะ เส้นไหมสามประเภท เส้นไหมแลง


39 กรมหม่อนไหม 3.2.1.4 คุณลักษณะส�ำหรับการตรวจสอบคุณภาพมาตรฐานเส้นไหม คุณลักษณะเส้นไหมไทยสาวมือ ภายใต้มาตรฐานฉบับนี้ ก�ำหนดให้มีการตรวจสอบลักษณะ ข้อบกพร่อง ต่างๆของเส้นไหม จ�ำนวน 5 คุณลักษณะ ได้แก่ ความไม่เรียบ การไม่รวมตัวกลม ความ ไม่สม�่ำเสมอ ความไม่สม�่ำเสมอสี และความไม่สะอาดของเส้นไหม โดยมีรายละเอียดที่ใช้ในการพิจารณา คุณลักษณะ ดังนี้ 1) ลักษณะเส้นไหมไม่เรียบ ได้แก่ - เส้นไหมมีปุ่ม ปม มีลักษณะเป็นจุดกลม และเป็นรูปแบบอื่น - เส้นไหมมีความหนามาก 2) ลักษณะเส้นไหมไม่รวมตัวกลม ได้แก่ - เส้นไหมแตกตรงกลางเส้น - เส้นไหมแตกที่ผิวเส้นไหม หรือมีรูทะลุ - พบขนบางๆ บนเส้นไหม มีความยาวมากกว่า 1.5 เซนติเมตร 3) ลักษณะเส้นไหมไม่สม�่ำเสมอ ได้แก่ - การต่อเส้นไหมที่ขาด แล้วเส้นไหมไม่เท่ากัน - เส้นไหมมีขนาดใหญ่ หรือเล็กกว่าขนาดเส้นไหมในภาพรวมมากกว่า 1 มิลลิเมตร 4) ลักษณะสีเส้นไหมไม่สม�่ำเสมอ ได้แก่ - เส้นไหมมีสีแตกต่างจากเส้นไหมอื่น 5) ลักษณะเส้นไหมไม่สะอาด ได้แก่ - มีดิน เศษดักแด้เศษเปลือกรังไหมชั้นไหมชั้นนอกติดอยู่ - มีเส้นฝอยของไหม ติดอยู่ - มีสีด�ำ หรือสีอื่นติดอยู่ - มีก้อนเซริซินยึดจับเป็นก้อนบนเส้นไหม 3.2.1.5 คุณลักษณะทางกายภาพในการตรวจสอบเส้นไหม ตามมาตรฐาน มกษ. 8000-2548 เส้นไหมไทย ได้ก�ำหนดการตรวจสอบลักษณะทางกายภาพ ของเส้นไหมไทยดังนี้ 1) เข็ดหรือ ไจ (Skein) ไหมไทย มีการกรอแบบสาน (Diamond cross) ยาวติดต่อ กันรวมเป็นวง มีขนาดเส้นรอบวง 135-155 เซนติเมตร มีน�้ำหนัก 80-100 กรัม 2) การท�ำไพ เข็ด หรือ ไจ โดยหนึ่งเข็ด แบ่งมัด (ท�ำไพ) อย่างน้อย 4 ช่วง เพื่อรักษา รูปทรงเข็ด และมีช่วงมัดเงื่อนต้นเข็ดและปลายเข็ดให้เห็นอย่างชัดเจน โดยปลายเส้นด้ายที่ผูกมัดต้อง ยาวเกินกว่าความกว้างของเข็ด และเหลือเส้นด้ายยาวไม่น้อยกว่า 8 เซนติเมตร เพื่อไม่ให้เส้นไหมกระจาย และพันกันเมื่อลอกกาว 3.2.1.6 เกณฑ์ความคลาดเคลื่อน เส้นไหมไทยที่บรรจุในแต่ละห่อ ก�ำหนดเกณฑ์ความคลาดเคลื่อนที่ยอมให้มีได้ดังต่อไปนี้ 1) เกณฑ์ความคลาดเคลื่อนเรื่องขนาดรอบวงเข็ดไม่เกิน 3% ที่ไม่เป็นไปตามที่ระบุบนฉลาก 2) เกณฑ์ความคลาดเคลื่อนเรื่องคุณภาพเส้นไหม มีดังนี้ 2.1) ชั้นพิเศษ มีความคลาดเคลื่อนไม่เกิน 5% ที่ไม่เป็นไปตามข้อก�ำหนดคุณภาพ ของเส้นไหมชั้นพิเศษ แต่เป็นไปตามคุณภาพเส้นไหมชั้นหนึ่ง


40 มาตรฐานหม่อนไหม 2.2) ชั้นหนึ่ง มีความคลาดเคลื่อนไม่เกิน 10% ที่ไม่เป็นไปตามข้อก�ำหนดคุณภาพ ชั้นหนึ่ง แต่เป็นไปตามคุณภาพเส้นไหมชั้นสอง 2.3) ชั้นสอง มีความคลาดเคลื่อนไม่เกิน 10% ที่ไม่เป็นไปตามข้อก�ำหนดคุณภาพชั้นสอง 3) เกณฑ์ความคลาดเคลื่อนเรื่องขนาด ไม่เกิน 10% ที่ไม่เป็นไปตามที่ระบุบนฉลาก 3.2.2 มาตรฐานสินค้าเกษตร การปฏิบัติที่ดีส�ำหรับการผลิตเส้นไหมไทย มกษ. 5900 – 2550 (Thai Agricultural Standard TAS 5900-2007: Good Practices for Thai silk yarn production) มาตรฐานฉบับนี้ จัดท�ำเพื่อ ประโยชน์ต่อการปรับปรุงคุณภาพ การอ�ำนวยความสะดวกทางการค้า และการคุ้มครองผู้บริโภค โดยก�ำหนด องค์ประกอบในการผลิตเส้นไหมไทย ได้แก่ สถานที่สาวไหม เครื่องมือ เครื่องจักรและอุปกรณ์การตรวจ คุณภาพรังไหม การต้มรังไหม วิธีการสาวไหม การตรวจคุณภาพเส้นไหม การกรอเส้นไหมเพื่อท�ำเข็ดไหม การเก็บรักษาเส้นไหม บรรจุภัณฑ์ และการบันทึกข้อมูล เพื่อให้การผลิตเส้นไหมไทยได้คุณภาพมาตรฐาน เส้นไหมไทย มกษ. 8000 –2548 เดิม หรือ มกษ.8000-2555 3.2.2.1 ขอบข่ายมาตรฐานการปฏิบัติที่ดีส�ำหรับการผลิตเส้นไหมไทย มกษ. 5900-2550 ฉบับนี้จัดท�ำขึ้นเพื่อก�ำหนดค�ำแนะน�ำแนวทางส�ำหรับผู้ผลิตเส้นไหมไทยในการด�ำเนินการปฏิบัติให้ได้คุณภาพ เส้นไหมตามมาตรฐานเส้นไหมไทย มกษ. 8000-2548 โดยจัดท�ำรายละเอียดข้อก�ำหนด เกณฑ์ที่ก�ำหนด และวิธีตรวจประเมิน ตามกระบวนการการผลิตเส้นไหมไทย รวมทั้งการบันทึกข้อมูล โดยมีรายละเอียด ค�ำแนะน�ำการปฏิบัติที่ดีส�ำหรับการผลิตเส้นไหมไทยสาวมือ ดังนี้ 1) สถานที่สาวไหม ตามค�ำแนะน�ำก�ำหนดให้สถานที่ตั้งไม่ห่างจากชุมชนมากนัก และอยู่บริเวณ ที่มีสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม ได้แก่ โปร่งและอากาศถ่ายเทได้ดีมีการแยกพื้นที่การผลิตในแต่ละกระบวน การผลิตเป็นสัดส่วนชัดเจน มีแสงสว่าง และน�้ำสะอาดเพียงพอต่อการปฏิบัติงาน พร้อมมีที่ก�ำจัดน�้ำเสียหรือ วิธีการก�ำจัดน�้ำเสียที่เหมาะสม 2) เครื่องมือ เครื่องจักร และอุปกรณ์ส�ำหรับการผลิตเส้นไหมต้องมีเพียงพอ จัดวางอย่าง เป็นระบบและสะดวกต่อการใช้งาน ท�ำความสะอาดก่อนและหลังการใช้งานโดยดูแล รักษา และซ่อมแซม ให้อยู่ในสภาพที่พร้อมต่อการใช้งาน และไม่น�ำเครื่องมือ อุปกรณ์ในการสาวไหมไปใช้ในการลอกกาวและ ย้อมสีเพราะคราบสกปรกอาจตกค้างและมีผลต่อสีเส้นไหมได้ 3) การตรวจคุณภาพรังไหม รังไหมที่ใช้ควรเป็นพันธุ์เดียวกัน หรือมีขนาดและสีสม�่ำเสมอ การตรวจคุณภาพรังไหมพิจารณาจากเปอร์เซ็นต์เปลือกรังและรังเสีย(รังบกพร่อง) ตามมาตรฐานข้างต้น 3.1) การคัดแยกรังไหม โดยการคัดแยกรังดี และรังเสียออกจากกันโดยพิจารณาจาก ลักษณะรังเสีย(รังบกพร่อง) 11 ชนิด ได้แก่ รังแฝด รังเจาะ รังเปื้อนภายใน รังเปื้อนภายนอก รังบาง รังหลวม รังบางหัวท้าย รังผิดรูปร่าง รังติดข้างจ่อ รังบุบ รังขึ้นรา ข้างต้น และแยกภาชนะบรรจุรังดีและ รังเสีย และจัดเก็บแยกกันอย่างชัดเจน 3.2) การเก็บรักษารังไหม การเก็บรักษารังไหมเพื่อรอการสาวครั้งต่อไป ควรเก็บไว้ใน ตู้แช่ หรือตู้เย็นเพื่อชะลอการพัฒนาของดักแด้กลายเป็นผีเสื้อ หรืออบรังไหมให้แห้งสม�่ำเสมอทั้งรังจะช่วย ในการเพิ่มประสิทธิภาพการสาวไหม รังไหมที่อบแล้วควรเก็บในสภาพแวดล้อมที่มีความชื้นต�่ำกว่าร้อยละ 70 ในภาชนะที่สมารถป้องกันการเข้าท�ำลายจากแมลงและหนูได้


41 กรมหม่อนไหม 4) การต้มรังไหม สิ่งที่ต้องค�ำนึงถึงได้แก่ 4.1) น�้ำส�ำหรับต้มรังไหมที่ต้องจืด ใส สะอาด มีค่าความเป็นกรด-เบส อยู่ในระดับ ที่เป็นกลาง และต้องเปลี่ยนถ่ายน�้ำเมื่อสีน�้ำเปลี่ยนหรือน�้ำมีสีคล�้ำ เพื่อควบคุมคุณภาพสีของเส้นไหม 4.2) การต้มรังไหม การต้มรังไหมแบ่งเป็น 2 วิธีส�ำหรับอุปกรณ์การสาวไหมที่แตกต่างกัน ดังนี้ - ส�ำหรับการสาวไหมโดยพวงสาวไหมแบบพื้นบ้าน หรือแบบปรับปรุง โดยการต้มแยก รังไหมสด และรังไหมอบแห้ง เกลี่ยรังไหมอย่างสม�่ำเสมอให้รังไหมสุกทั่วกันทุกรัง เมื่อรังไหมสุกแล้วให้ ลดอุณหภูมิให้แหลือประมาณ 60-70 องศาเซลเซียสแล้วด�ำเนินการสาวต่อไป - ส�ำหรับการสาวไหมโดยเครื่ององสาวไหมขนาดเล็กระดับชุมชน โดยการต้มแยก รังไหมสด และรังไหมอบแห้ง ควบคุมรังไหมให้จมน�้ำทุกส่วนให้รังไหมสุกทั่วกัน เมื่อรังไหมสุกแล้ว ย้ายรังไหม ไปพักในอ่างพัก เพื่อรอการสาวเส้นไหมต่อไป 5) วิธีการสาวไหม 5.1) โดยพวงสาวไหมแบบพื้นบ้าน หรือแบบปรับปรุง ควบคุมอุณหภูมิน�้ำในหม้อต้ม สาวประมาณ 60-70 องศาเซลเซียส ถ้าหากอุณหภูมิน�้ำร้อนเกินไปจะท�ำให้เส้นไหมเกิดปุ่มปม หรือถ้า อุณหภูมิน�้ำเย็นเกินไปจะสาวยาก ขึ้นอยู่กับว่าเป็นรังไหมสดหรือรังไหมอบแห้ง เติมรังไหมอย่างสม�่ำเสมอ ให้มีจ�ำนวนใกล้เคียงกับเมื่อเริ่มต้นสาว ควบคุมแรงตึงขณะสาวเส้นไหมให้สม�่ำเสมอ โดยมั่นเติมน�้ำหม้อสาว ให้อยู่ระดับปากหม้อ และเปลี่ยนถ่ายน�้ำเมื่อสีของน�้ำเปลี่ยนเป็นสีคล�้ำ หรือสกปรก เพื่อควบคุมสีเส้นไหม 5.2) สาวไหมโดยเครื่องสาวไหมขนาดเล็กระดับชุมชน ควบคุมอุณหภูมิน�้ำในหม้อต้มสาว ประมาณ 35-40 องศาเซลเซียสขึ้นอยู่กับว่าเป็นรังไหมสดหรือรังไหมอบแห้ง ก�ำหนดรังไหมต่อหัวสาว ให้สอดคล้องกับขนาดรังไหมที่ต้องการ เติมรังไหมอย่างสม�่ำเสมอให้มีจ�ำนวนใกล้เคียงกับเมื่อเริ่มต้นสาว ต้องสังเกตการณ์ท�ำงานของอุปกรณ์ควบคุมขนาดเส้นไหม เพื่อตรวจสอบความสม�่ำเสมอของเส้นไหม หมั่นท�ำความสะอาดอุปกรณ์ควบคุมขนาดเส้นไหมด้วยสบู่และน�้ำอุ่นเพื่อล้างกาวไหมออก และเติมน�้ำใน อ่าง สาวไหมเมื่อน�้ำลดจากขอบอ่าง เปลี่ยนถ่ายน�้ำเมื่อสีของน�้ำเปลี่ยนเป็นสีคล�้ำ หรือสกปรกเพื่อควบคุม คุณภาพสีเส้นไหม 6) การตรวจคุณภาพเส้นไหม ในระหว่างกระบวนการผลิตเส้นไหม(สาวไหม) จะต้อง สุ่มตัวอย่างเส้นไหมที่สาวได้มาตรวจหาค่าขนาดเส้นไหมเฉลี่ยด้วยเครื่องมือมาตรฐาน และตรวจลักษณะ จากสายตาเพื่อควบคุมขนาดเส้นไหมให้สม�่ำเสมอ 7) การกรอเส้นไหมเพื่อท�ำเข็ดไหม หากเก็บเส้นไหมไว้ในอักนานเกินไปจนเส้นไหมแห้ง ควรน�ำไปแช่น�้ำอุ่นเพื่อให้กาวไหมอ่อนตัวก่อนน�ำมากรอ กรอเส้นไหมแบบสาน(diamond cross) มีเส้นรอบวง 135-155 เซนติเมตร มีน�้ำหนักเส้นไหม 80-100 กรัมต่อเข็ด ท�ำไพโดยแบ่งใจไหมอย่างน้อย 6 ช่วง เพื่อช่วย ไม่ให้เส้นพันกัน เมื่อลอกกาวและย้อมสีเข็ดไหมที่ท�ำเข็ดเสร็จแล้วน�ำไปผึ่งให้แห้งในที่ร่มก่อนน�ำไปเก็บ 8) การเก็บรักษา ต้องเก็บเส้นไหมไว้ในที่แห้ง สะอาด ปลอดภัยจากการเข้าท�ำลายของแมลง และหนูได้พร้อมทั้งยังสามารถควบคุมสภาพแวดล้อม ได้แก่ แสงแดด อุณหภูมิและความชื้นได้แยกประเภท และขนาดเส้นไหมให้เป็นสัดส่วนชัดเจน 9) บรรจุภัณฑ์เส้นไหมต้องบรรจุในวัสดุที่มีคุณภาพป้องกันการเข้าท�ำลายของแมลง ทนทาน ต่อการขนส่ง และผลกระทบจากกลิ่น สีและสิ่งแปลกปลอมจากภายนอก และสามารถป้องกันความเสียหาย ที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการขนส่ง


42 มาตรฐานหม่อนไหม 3.2.3 มาตรฐานเส้นไหมผลิตภัณฑ์ชุมชน เส้นไหม (มผช. 570/2547) มาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชนฉบับนี้เป็นมาตรฐานสมัครใจที่ประกาศโดยอาศัยอ�ำนาจตาม พระราชบัญญัติมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม พ.ศ. 2511 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติมาตรฐาน ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2548 เพื่อให้เป็นมาตรฐานที่ใช้ในการรับรองเส้นไหมที่ได้จากการ สาวด้วยมือหรือใช้เครื่องสาวไหมของเกษตรกรและชุมชนตามโครงการหนึ่งต�ำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ตามประกาศ ของส�ำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม 3.2.3.1 ประเภทของเส้นไหม ตามมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน (มผช. 570/2547) ฉบับนี้ได้แบ่งประเภทของเส้นไหม ออกเป็น 4 ประเภท ตามกรรมวิธีการผลิตเส้นไหม(การสาวไหม) ดังนี้ (1) เส้นไหมเปลือกนอก หมายถึง เส้นไหมที่สาวจากเปลือกรังไหม อาจมีขี้ไหมหรือ ปุ่มปมติดอยู่บ้าง (2) เส้นไหมน้อย หมายถึง เส้นไหมที่สาวภายหลังการสาวไหมเปลือกนอกออกแล้ว และได้เส้นไหมขนาดเล็กเรียบอย่างสม�่ำเสมอ (3) เส้นไหมดักแด้ หมายถึง เส้นไหมที่สาวภายหลังการสาวไหมน้อยออกแล้วจนถึง ตัวดักแด้และได้เส้นไหมที่อาจมีขี้ไหม หรือปุ่มปมติดอยู่บ้าง (4) เส้นไหมรวม หมายถึง เส้นไหมที่สาวจากเปลือกรังไหมจนถึงตัวดักแด 3.2.3.2 คุณลักษณะทั่วไป 1) เส้นไหมภายใต้การรับรองมาตรฐาน มผช.570/2547 ต้องอยู่ในสภาพที่เรียบร้อย ตลอดทั้งไจโดยมัดไจละไม่น้อยกว่า 4 จุด และมีความเหนียวไม่ขาดง่าย เมื่อตรวจ สอบโดยคณะกรรมการตรวจสอบแล้ว ผลการตรวจสอบของผู้ตรวจสอบแต่ละคน ต้องไม่มีลักษณะใดลักษณะหนึ่งไม่ผ่าน 2) เส้นไหมต้องเป็นเส้นไหมแท้ 3) หากมีการบรรจุให้บรรจุเส้นไหมในหีบห่อที่สะอาด แห้ง เรียบร้อย สามารถป้องกัน ความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นกับเส้นไหมได้ 4) น�้ำหนักสุทธิของเส้นไหมในแต่ละภาชนะบรรจุต้องไม่น้อยกว่าที่ระบุไว้ที่ฉลาก 3.2.3.3 การทดสอบ 1) การทดสอบลักษณะทั่วไป ให้แต่งตั้งคณะผู้ตรวจสอบ ประกอบด้วยผู้ที่มีความ ช�ำนาญในการตรวจสอบเส้นไหมอย่างน้อย ๓ คนแต่ละคนจะแยกกันตรวจโดย อิสระ ผลการตรวจสอบของแต่ละลักษณะให้ตัดสินว่าผ่านหรือไม่ผ่านเท่านั้น 2) การทดสอบเส้นไหม เมื่อน�ำไปเผาไฟแล้วสังเกตผลที่เกิดตามรายละเอียดใน มาตรฐาน (ภาคผนวก..)


43 กรมหม่อนไหม มาตรฐานผ้าไหม ผ้าไหมไทยมีคุณค่ามากกว่าการเป็นสิ่งทอส�ำหรับเครื่องแต่งกาย หรือเป็นสินค้าที่ ใช้ในการตกแต่งภายบ้าน เนื่องจากกรรมวิธีในการผลิตผ้าไหมไทยนั้นเกิดจากภูมิปัญญาท้องถิ่น ที่ได้รับการสั่งสมกันมาหลายชั่วอายุคนและได้ถ่ายทอดให้แก่ลูกหลานจากรุ่นสู่รุ่นมานานนับหลาย ร้อยปีซึ่งภูมิปัญญาเหล่านี้เกิดจากประสบการณ์ของผู้ผลิตผสมผสานอย่างกลมกลืนกับประเพณี วัฒนธรรม และวิถีชีวิตของคนในชุมชน จึงท�ำให้ผ้าไหมไทยถือได้ว่าเป็นงานหัตถศิลป์บนผืนผ้าที่ มีความงดงามและสามารถบ่งชี้ความเป็นมา และชาติพันธุ์ของชุมชนที่ผลิตได้ลักษณะผ้าไหมไทย ที่ผลิตก็มีความแตกต่างหลากหลาย ทั้งในด้านคุณภาพมาตรฐาน และความสวยงาม การจัดชั้น คุณภาพผ้าไหมไทยเป็นสิ่งที่ท้าทาย เนื่องจากในบางสถานการณ์ราคาผ้าไหมไทยที่ผู้บริโภคซื้อ ไม่สามารถสะท้อนคุณภาพของผ้าไหมได้โดยตรง ด้วยเหตุผลที่ผ้าไหมไทยมีคุณค่ามากกว่าสิ่งทอ ผู้บริโภคบางกลุ่มให้ความสนใจกับกรรมวิธีการผลิตที่เป็นภูมิปัญญาท้องถิ่น กรรมวิธีการผลิต ที่ซับซ้อนท�ำให้สินค้ามีความเป็นเอกลักษณ์สูงท�ำให้คุณสมบัติเหล่านี้มีความส�ำคัญมากกว่าคุณภาพ มาตรฐานสินค้า อย่างไรก็ตามโดยทั่วไปการจัดท�ำคุณภาพมาตรฐานผ้าไหมไทยยังมีความส�ำคัญ อย่างยิ่งในการที่จะต้องก�ำหนดเงื่อนไขและ คุณสมบัติของผ้าไหมไทยในแต่ละเงื่อนไขและประเภท เพื่อให้เกิดมาตรฐานกลางส�ำหรับใช้เป็นแนวทางในการปฏิบัติของผู้ผลิตในขณะเดียวก็สามารถสร้าง ความเข้าใจที่ตรงกันของผู้ผลิตและผู้บริโภค โดยเฉพาะอย่างในการส่งออกผ้าไหมไทยไปยังตลาด ต่างประเทศจ�ำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมีการก�ำหนดและจัดชั้นคุณภาพผ้าไหมเพื่อให้เกิดความเข้าใจ อันดี และใช้เป็นเงื่อนไขและข้อก�ำหนดในการตรวจสอบเมื่อเกิดข้อพิพาทของทั้งสองฝ่าย อีกทั้ง ยังสร้างความมั่นใจให้แก่ลูกค้าที่จะได้รับสินค้าตรงตามที่ตกลงกันไว้


44 มาตรฐานหม่อนไหม การรับรองคุณภาพมาตรฐานผ้าไหมไทยนั้นมีความแตกต่างกันตามความต้องการของลูกค้า และวัตถุประสงค์ ชนิดผ้าไหมและหน่วยงานผู้ก�ำหนดคุณภาพมาตรฐาน ดังนั้นในการก�ำหนดคุณภาพ มาตรฐานแต่ละประเภทจะต้องก�ำหนดค�ำนิยามศัพท์ต่างๆที่เกี่ยวข้องเพื่อให้เกิดความเข้าใจตรงกัน เนื่องจาก ผ้าไหมไทยอยู่ภายใต้สิ่งทอ ก่อนปีพ.ศ. 2552 การก�ำหนดคุณภาพมาตรฐานผ้าไหมอยู่ภายใต้การก�ำกับดูแล ของกระทรวงอุตสาหกรรม แต่หลังจาก วันที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2552 กรมหม่อนไหมได้ถูกจัดตั้งขึ้นเป็นหน่วย งาน ภายใต้การก�ำกับดูแลของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ภายใต้พระราชด�ำริของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เพื่อดูแลงานด้านหม่อนไหมทั้งระบบรวมถึง การอนุรักษ์และการจัดท�ำมาตรฐาน และ เป็นหน่วยงานที่ท�ำหน้าที่ในการก�ำหนดและควบคุมคุณภาพมาตรฐานผ้าไหมไทยอยู่ภายใต้การดูแลของ กรมหม่อนไหมเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งหน่วยงาน คุณภาพมาตรฐานที่ใช้กับผ้าไหมไทยเป็นมาตรฐานสมัครใจ ซึ่งมาตรฐานที่เกี่ยวข้องกับผ้าไหมไทยมีดังนี้ 4.1 มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมผ้าไหมไทยมาตรฐาน เลขที่ มอก.179-2519 4.2 มาตรฐานสินค้าหนึ่งต�ำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์(OTOP) 4.3 มาตรฐานเครื่องหมายรับรองผลิตภัณฑ์ผ้าไหมไทยตรานกยูงพระราชทาน ภาพที่ 4.1 แสดงตราสัญลักษณ์ เครื่องหมายรับรอง ผ้าไหมไทย มอก.179- 2519 มอก. 179-2519 4.1 มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมผ้าไหมไทยมาตรฐาน เลขที่ มอก.179-2519 มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมผ้าไหมไทยมาตรฐาน มอก.179-2519 เป็นมาตรฐานทั่วไป(สมัครใจ) ที่ประกาศโดยกระทรวงอุตสาหกรรม เมื่อ ปีพ.ศ. 2519 ที่ประกาศโดยอาศัยอ�ำนาจตพระราชบัญญัติมาตรฐานผลิตภัณฑ์ อุตสาหกรรม พ.ศ. 2511 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติมาตรฐานผลิตภัณฑ์ อุตสาหกรรม (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2548 มาตรฐานผ้าไหมฉบับนี้มีวัตถุประสงค์หลัก เพื่อใช้เป็นเครื่องหมายมาตรฐานรับรองผ้าไหมไทยส�ำหรับผ้าไหมที่ส ่งออก ของสมาคมไหมไทย และคณะกรรมการส่งเสริมสินค้าไหมไทย 4.1.1 ขอบข่าย ตามมาตรฐาน มอก.179-2519 ฉบับนี้ ใช้ในการก�ำหนดมาตรฐาน เพื่อการรับรองผ้าไหมไทยที่ทอด้วยมือและทอด้วยเครื่องจักร ซึ่งเป็นมาตรฐาน ทั่วไป(สมัครใจ) ผ้าไหมไทยที่ได้รับเครื่องหมาย มอก. 179-2519 แสดงถึง ผ้าไหมนั้นมีคุณภาพมาตรฐานตามข้อก�ำนดของผลิตภัณฑ์นั้นๆ ท�ำให้ผ้าไหมไทย ที่ได้รับการรับรองตามมาตรฐานนี้มีความได้เปรียบกว่าคู่แข่ง ผ้าไหมที่ได้รับการ รับรองตามมาตรฐานฉบับนี้ผู้ผลิตจะต้องมีข้อความระบุให้ชัดเจนถึงกระบวนการ ทอผ้าไหมที่ริมผ้าทุกระยะหนึ่งเมตรตลอดทั้งผืนด้วยข้อความ ผ้าไหมไทย ทอด้วยมือ (Thai silk hand-woven in Thailand with 100 % pure silk) หรือ ผ้าไหมไทยทอด้วยเครื่องจักร (Thai silk machine-woven in Thailand with 100 % pure silk) ให้ชัดเจน


45 กรมหม่อนไหม ภาพที่ 4.2 แสดงผ้าไหมทอด้วย เครื่องจักรตามมาตรฐาน มอก. 179-2519 4.1.2 การจำแนกมาตรฐานผ้าไหมไทย มาตรฐาน มอก.179-2519 ฉบับนี้ได้จ�ำแนก คุณภาพมาตรฐานผ้าไหมไทยทั้งสองชนิด คือ ผ้าไหมไทย ที่ทอด้วยมือและผ้าไหมที่ทอด้วยเครื่องจักร โดยการจ�ำแนก คุณภาพมาตรฐานผ้าไหมไทยของคุณสมบัติเนื้อผ้าไหม ตามน�้ำหนักของผ้าไหม ผ้าไหมไทยที่ขอรับรองมาตรฐาน ส่วนใหญ่จะเป็นผ้าไหมที่ทอด้วยเครื่องจักร ส�ำหรับผ้าไหม ทอมือจะเป็นผ้าไหมที่มีเนื้อหนาและใช้เส้นไหมที่สาวด้วยมือ (ไหมไทยพื้นเมือง) ตามมาตรฐานฉบับนี้จ�ำแนกมาตรฐาน ผ้าไหมไทย เป็น 8 ชนิด ตามน�้ำหนักผ้าไหมต่อหนึ่งตาราง เมตรและส่วนประกอบของผ้าไหม โดยมีรายละเอียด ดังนี้ 4.1.2.1 ผ้าไหมไทยชนิดบางมากพิเศษ (Sheer weight) หมายถึง ผ้าไหมไทยที่ทอ โดยใช้เส้นไหมยืนที่มีขนาดระหว่าง 40 ถึงน้อยกว่า 60 ดิเนียร์โดยใช้เส้นยืนจ�ำนวนไม่น้อยกว่า 34 เส้น ต่อเซนติเมตร น�้ำหนักผ้าไหม ระหว่าง 20 ถึง 50 กรัมต่อหนึ่งตารางเมตร ต้องเป็นไหมแท้ที่มีความยาว ของผ้าแต่ละพับหรือแต่ละม้วนให้เป็นไปตามข้อตกลงระหว่างผู้ซื้อผู้ขาย แต่ต้องไม่น้อยกว่าที่ระบุไว้ที่ผ้า ความกว้างของผ้าให้เป็นไปตามข้อตกลงระหว่างผู้ซื้อกับผู้ขาย และความคลาดเคลื่อนต้องเป็นไปตามที่ก�ำหนด ผ้าแต่ละพับหรือแต่ละม้วน ต้องไม่น้อยกว่าหรือไม่เกินร้อยละ ของขนาดที่ระบุไว้ที่ผ้า ผ้าทุกชิ้นต้องอยู่ ในสภาพเรียบร้อย ไม่เปรอะเปื้อน ไม่ช�ำรุด และมีสีสม�่ำเสมอตามสภาพหรือลักษณะของผ้าไหมไทยตลอด ทั้งผืน 4.1.2.2 ผ้าไหมไทยชนิดบางมาก (Light weight) หมายถึง ผ้าไหมไทยที่ทอ โดยใช้ เส้นไหมยืนที่มีขนาดระหว่าง 51 ถึงน้อยกว่า 85 ดิเนียร์ โดยใช้เส้นยืนจ�ำนวนไม่น้อยกว่า 32 เส้น ต่อเซนติเมตร น�้ำหนักผ้าไหม ระหว่าง 60 ถึง 70 กรัมต่อหนึ่งตารางเมตร ต้องเป็นไหมแท้ที่มีความยาว ของผ้าแต่ละพับหรือแต่ละม้วนให้เป็นไปตามข้อตกลงระหว่างผู้ซื้อผู้ขาย แต่ต้องไม่น้อยกว่าที่ระบุไว้ที่ผ้า ความกว้างของผ้าให้เป็นไปตามข้อตกลงระหว่างผู้ซื้อกับผู้ขาย และความคลาดเคลื่อนต้องเป็นไปตามที่ก�ำหนด ผ้าแต่ละพับหรือแต่ละม้วน ต้องไม่น้อยกว่าหรือไม่เกินร้อยละของขนาดที่ระบุไว้ที่ผ้า ผ้าทุกชิ้นต้องอยู่ใน สภาพเรียบร้อย ไม่เปรอะเปื้อน ไม่ช�ำรุด และมีสีสม�่ำเสมอตามสภาพหรือลักษณะของผ้าไหมไทยตลอดทั้งผืน 4.1.2.3 ผ้าไหมไทยชนิดบาง (Medium weight) หมายถึง ผ้าไหมไทยที่ทอโดยใช้เส้นไหม ยืนที่มีขนาดระหว่าง 60 ถึงน้อยกว่า 80 ดิเนียร์ โดยใช้เส้นยืนจ�ำนวนไม่น้อยกว่า 32 เส้นต่อเซนติเมตร ส�ำหรับไหมอุตสาหกรรม และใช้เส้นไหมยืนที่มีขนาดระหว่าง 120 ถึงน้อยกว่า 200 ดิเนียร์โดยใช้เส้นยืน จ�ำนวนไม่น้อยกว่า 24 เส้นต่อเซนติเมตร ส�ำหรับผ้าไหมที่ใช้เส้นไหมสาวมือ(เส้นไหมไทยพื้นบ้าน) โดยผ้า ที่ทอทุกชนิดต้องมีน�้ำหนักผ้าไหมระหว่าง 86 ถึง 120 กรัมต่อหนึ่งตารางเมตร ต้องเป็นไหมแท้ ที่มีความ ยาวของผ้าแต่ละพับหรือแต่ละม้วนให้เป็นไปตามข้อตกลงระหว่างผู้ซื้อผู้ขาย แต่ต้องไม่น้อยกว่าที่ระบุ ไว้ที่ผ้า ความกว้างของผ้าให้เป็นไปตามข้อตกลงระหว่างผู้ซื้อกับผู้ขาย และความคลาดเคลื่อนต้องเป็นไป ตามที่ก�ำหนด ผ้าแต่ละพับหรือแต่ละม้วน ต้องไม่น้อยกว่าหรือไม่เกินร้อยละ ของขนาดที่ระบุไว้ที่ผ้า ผ้า ทุกชิ้นต้องอยู่ในสภาพเรียบร้อย ไม่เปรอะเปื้อน ไม่ช�ำรุด และมีสีสม�่ำเสมอตามสภาพหรือลักษณะของผ้า ไหมไทยตลอดทั้งผืน


46 มาตรฐานหม่อนไหม 4.1.2.4 ผ้าไหมไทยชนิดหนา (Heavy weight) หมายถึง ผ้าไหมไทยที่ทอโดยใช้เส้นไหมยืน ที่มีขนาดระหว่าง 80 ถึงน้อยกว่า 120 ดิเนียร์ โดยใช้เส้นยืนจ�ำนวนไม่น้อยกว่า 32 เส้นต่อเซนติเมตร ส�ำหรับไหมอุตสาหกรรม และ ใช้เส้นไหมยืนที่มีขนาดไม่น้อยกว่า 200 ดิเนียร์โดยใช้เส้นยืนจ�ำนวนไม่น้อย กว่า 20 เส้นต่อเซนติเมตร ส�ำหรับผ้าไหมที่ใช้เส้นไหมสาวมือ(เส้นไหมไทยพื้นบ้าน) โดยผ้าที่ทอทุกชนิดต้อง มีน�้ำหนักผ้าไหมระหว่าง 121 ถึง 179 กรัมต่อหนึ่งตารางเมตร ต้องเป็นไหมแท้ที่มีความยาวของผ้าแต่ละพับ หรือแต่ละม้วนให้เป็นไปตามข้อตกลงระหว่างผู้ซื้อผู้ขาย แต่ต้องไม่น้อยกว่าที่ระบุไว้ที่ผ้า ความกว้างของผ้า ให้เป็นไปตามข้อตกลงระหว่างผู้ซื้อกับผู้ขาย และความคลาดเคลื่อนต้องเป็นไปตามที่ก�ำหนด ผ้าแต่ละพับ หรือแต่ละม้วน ต้องไม่น้อยกว่าหรือไม่เกินร้อยละ ของขนาดที่ระบุไว้ที่ผ้า ผ้าทุกชิ้นต้องอยู่ในสภาพเรียบร้อย ไม่เปรอะเปื้อน ไม่ช�ำรุด และมีสีสม�่ำเสมอตามสภาพหรือลักษณะของผ้าไหมไทยตลอดทั้งผืน 4.1.2.5 ผ้าไหมไทยชนิดหนามาก (Extra heavy weight) หมายถึง ผ้าไหมไทยที่ทอโดย ใช้เส้นไหมยืนที่มีขนาดระหว่าง 80 ถึงน้อยกว่า 120 ดิเนียร์ โดยใช้เส้นยืนจ�ำนวนไม่น้อยกว่า 32 เส้น ต่อเซนติเมตรส�ำหรับไหมอุตสาหกรรม และใช้เส้นไหมยืนที่มีขนาดระหว่าง 120 ถึงน้อยกว่า 200 ดิเนียร์ โดยใช้เส้นยืนจ�ำนวนไม่น้อยกว่า 20 เส้นต่อเซนติเมตร ส�ำหรับผ้าไหมที่ใช้เส้นไหมสาวมือ(เส้นไหมไทย พื้นบ้าน) โดยผ้าที่ทอทุกชนิดต้องมีน�้ำหนักผ้าไหมระหว่าง 180 ถึง 275 กรัมต่อหนึ่งตารางเมตร ต้องเป็น ไหมแท้ที่มีความยาวของผ้าแต่ละพับหรือแต่ละม้วนให้เป็นไปตามข้อตกลงระหว่างผู้ซื้อผู้ขาย แต่ต้องไม่น้อย กว่าที่ระบุไว้ที่ผ้า ความกว้างของผ้าให้เป็นไปตามข้อตกลงระหว่างผู้ซื้อกับผู้ขาย และความคลาดเคลื่อนต้อง เป็นไปตามที่ก�ำหนด ผ้าแต่ละพับหรือแต่ละม้วน ต้องไม่น้อยกว่าหรือไม่เกินร้อยละ ของขนาดที่ระบุไว้ที่ผ้า ผ้าทุกชิ้นต้องอยู่ในสภาพเรียบร้อย ไม่เปรอะเปื้อน ไม่ช�ำรุด และมีสีสม�่ำเสมอตามสภาพหรือลักษณะ ของผ้าไหมไทยตลอดทั้งผืน 4.1.2.6 ผ้าไหมชนิดหนาพิเศษ (Drapery weight) หมายถึง ผ้าไหมไทยที่ทอโดยใช้เส้นไหม ยืนที่มีขนาดระหว่าง 80 ถึงน้อยกว่า 120 ดิเนียร์โดยใช้เส้นยืนจ�ำนวนไม่น้อยกว่า 20 เส้นต่อเซนติเมตร ผ้าที่ทอต้องมีน�้ำหนักผ้าไหมระหว่าง 180 ถึง 275 กรัมต่อหนึ่งตารางเมตร ต้องเป็นไหมแท้ที่มีความยาว ของผ้าแต่ละพับหรือแต่ละม้วนให้เป็นไปตามข้อตกลงระหว่างผู้ซื้อผู้ขาย แต่ต้องไม่น้อยกว่าที่ระบุไว้ที่ผ้า ความกว้างของผ้าให้เป็นไปตามข้อตกลงระหว่างผู้ซื้อกับผู้ขาย และความคลาดเคลื่อนต้องเป็นไปตามที่ก�ำหนด ผ้าแต่ละพับหรือแต่ละม้วน ต้องไม่น้อยกว่าหรือไม่เกินร้อยละ ของขนาดที่ระบุไว้ที่ผ้า ผ้าทุกชิ้นต้อง อยู่ในสภาพเรียบร้อย ไม่เปรอะเปื้อน ไม่ช�ำรุด และมีสีสม�่ำเสมอตามสภาพหรือลักษณะของผ้าไหมไทย ตลอดทั้งผืน 4.1.2.7 ผ้าไหมชนิดหนามากพิเศษ (Upholstery weight) หมายถึง ผ้าไหมไทยที่ทอ โดยใช้เส้นไหมยืนที่มีขนาดระหว่าง 160 ถึงน้อยกว่า 200 ดิเนียร์โดยใช้เส้นยืนจ�ำนวนไม่น้อยกว่า 12 เส้น ต่อเซนติเมตร โดยผ้าที่ทอด้วยเส้นไหมที่สาวด้วยมือ(ไหมพื้นเมือง) ต้องมีน�้ำหนักผ้าไหมมากกว่า 239 กรัม ต่อหนึ่งตารางเมตร ต้องเป็นไหมแท้ ที่มีความยาวของผ้าแต่ละพับหรือแต่ละม้วนให้เป็นไปตามข้อตกลง ระหว่างผู้ซื้อผู้ขาย แต่ต้องไม่น้อยกว่าที่ระบุไว้ที่ผ้า ความกว้างของผ้าให้เป็นไปตามข้อตกลงระหว่างผู้ซื้อ กับผู้ขาย และความคลาดเคลื่อนต้องเป็นไปตามที่ก�ำหนด ผ้าแต่ละพับหรือแต่ละม้วน ต้องไม่น้อยกว่าหรือ ไม่เกินร้อยละ ของขนาดที่ระบุไว้ที่ผ้า ผ้าทุกชิ้นต้องอยู่ในสภาพเรียบร้อย ไม่เปรอะเปื้อน ไม่ช�ำรุด และมีสี สม�่ำเสมอตามสภาพหรือลักษณะของผ้าไหมไทยตลอดทั้งผืน


47 กรมหม่อนไหม 4.1.2.8 ผ้าไหมไทยที่มีสิ่งอื่นเป็นส่วนประกอบเพื่อการตกแต่ง (Decorated Thai silk) หมายถึง ผ้าไหมไทยที่ทอโดยใช้เส้นไหมยืนที่มีขนาดระหว่าง 60 ถึงน้อยกว่า 80 ดิเนียร์โดยใช้เส้นยืนจ�ำนวนไม่น้อย กว่า 32 เส้นต่อเซนติเมตร ส�ำหรับไหมอุตสาหกรรม และ ใช้เส้นไหมยืนที่มีขนาดระหว่าง 120 ถึงน้อย กว่า 200 ดิเนียร์โดยใช้เส้นยืนจ�ำนวนไม่น้อยกว่า 12 เส้นต่อเซนติเมตร ส�ำหรับผ้าไหมที่ใช้เส้นไหมสาวมือ (เส้นไหมไทยพื้นบ้าน) โดยผ้าที่ทอทุกชนิดต้องมีน�้ำหนักผ้าไหมน้อยกว่า 50 กรัมต่อหนึ่งตารางเมตร ต้องเป็น ไหมแท้ ที่มีความยาวของผ้าแต่ละพับหรือแต่ละม้วนให้เป็นไปตามข้อตกลงระหว่างผู้ซื้อผู้ขาย แต่ต้องไม่น้อย กว่าที่ระบุไว้ที่ผ้า ความกว้างของผ้าให้เป็นไปตามข้อตกลงระหว่างผู้ซื้อกับผู้ขาย และความคลาดเคลื่อน ต้องเป็นไปตามที่ก�ำหนด ผ้าแต่ละพับหรือแต่ละม้วน ต้องไม่น้อยกว่าหรือไม่เกินร้อยละ ของขนาดที่ระบุไว้ ที่ผ้า ผ้าทุกชิ้นต้องอยู่ในสภาพเรียบร้อย ไม่เปรอะเปื้อน ไม่ช�ำรุด และมีสีสม�่ำเสมอตามสภาพหรือลักษณะ ของผ้าไหมไทยตลอดทั้งผืน 4.1.3 การแสดงเครื่องหมาย ส�ำหรับเครื่องหมายที่แสดงตามมาตรฐานฉบับนี้ผู้ผลิตจะต้องปฏิบัติดังนี้ 4.1.3.1 ตัวเลข อักษร หรือเครื่องหมายแสดงข้อความต่อไปนี้เป็นภาษาไทยให้เห็นอย่างชัดเจน อยู่ที่ผ้าแต่ละพับหรือแต่ละม้วน ดังนี้ • ชื่อหรือเครื่องหมายการค้าที่จดทะเบียนแล้วของโรงงานที่ท�ำ • ชนิดของผ้าไหมไทย • ความยาวของผ้า เป็นเมตร • ความกว้างของผ้า เป็นเมตร 4.1.3.2 ผ้าไหมไทยที่ทอด้วยมือ ต้องมีข้อความภาษาไทยว่า ผ้าไหมไทยทอด้วยมือ หรือ ข้อความภาษาอังกฤษว่า THAI SILK HAND – WOVEN IN THAILAND WITH 100% PURE SILK ไว้ ที่ริมผ้าทุกระยะหนึ่งเมตรตลอดทั้งผืน 4.1.3.3 ผ้าไหมไทยที่ทอด้วยเครื่องจักร ต้องมีข้อความภาษาไทยว่า ผ้าไหมไทยทอด้วย เครื่องจักร หรือข้อความภาษาอังกฤษว่า THAI SILK MACHINE WOVEN IN THAILAND WITH 100% PURE SILK ไว้ที่ริมผ้าทุกระยะหนึ่งเมตร ตลอดทั้งผืน 4.1.3.4 ในกรณีที่ไม่อาจปฏิบัติตามข้อ 4.1.3.1 ข้อ 4.1.3.2 และ ข้อ 4.1.3.3 ได้เนื่องจาก สภาพสินค้านั้น ให้ติดป้ายหรือฉลากแจ้งข้อความดังกล่าวไว้ที่ผ้าแทน ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมที่เป็นไปตาม มาตรฐานนี้ จะแสดงเครื่องหมายมาตรฐานกับผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมนั้นได้ ต่อเมื่อได้รับใบอนุญาตจาก คณะกรรมการมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมแล้ว 4.1.4 การตรวจสอบ/ทดสอบมาตรฐาน ในการตรวจสอบผ้าไหมก่อนการอนุญาตให้ใช้เครื่องหมายมาตรฐานนั้นคณะกรรมการมาตรฐาน ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม จะทดสอบคุณสมบัติต่างๆ ดังนี้ 4.1.4.1 การหาขนาดเส้นไหมยืน ให้เป็นไปตามมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม วิธีทดสอบ สิ่งของขนาดเส้นด้ายตามมาตรฐาน มอก. 4.1.4.2 การหาจ�ำนวนเส้นไหมยืนต่อหนึ่งเมตร ให้เป็นไปตามมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม วิธีทดสอบสิ่งทอ จ�ำนวนเส้นด้ายต่อหนึ่งหน่วยความยาวผ้าทอตามมาตรฐานเลขที่ มอก. 4.1.4.3 การหาน�้ำหนักของผ้าไหมไทยต่อหนึ่งตารางเมตร ให้เป็นไปตามมาตรฐานผลิตภัณฑ์ อุตสาหกรรมวิธีทดสอบสิ่งทอ น�้ำหนักของผ้าทอต่อหนึ่งหน่วยความยาวและหนึ่งหน่วยพื้นที่ตาม มาตรฐาน มอก.


48 มาตรฐานหม่อนไหม 4.1.4.4 การทดสอบเส้นไหมแท้ให้ทดสอบตามวิธีที่ก�ำหนดวิธีใดวิธีหนึ่งจากวิธีทดสอบดังต่อไปนี้ (1) วิธีการเผาไฟ ถ้าเป็นไหมแท้จะติดไฟและไหม้เร็ว เมื่อน�ำออกจากเปลวเทียนไฟจะดับ ส่วนเถ้าจะรวมกันเป็นก้อนสีด�ำเหมือนผมหรือขนนกไหม้ไฟ (2) วิธีทดสอบด้วยกล้องจุลทรรศน์โดยดูลักษณะตามขวางของเส้นไหมด้วยกล้องจุลทรรศน์ โดยปรับก�ำลังขยายน้อยที่สุดก่อนแล้วจึงค่อยขยายให้มากขึ้นเป็น 250 ถึง 500 เท่า ลักษณะตามขวางของ ไหมดิบจะเห็นเส้นใยเป็นรูปเหลี่ยมสองเส้น หุ้มด้วยเยื่อบางๆติดกัน บางทีเยื่อหุ้มนี้จะหลุดหายไปเป็นตอนๆ ส่วนไหมฟอกเป็นรูปสามเหลี่ยมมุมมน บางทีก็กลมหรือเป็นรูปไข่ (3) วิธีทดสอบทางเคมี (4) วิธีทดสอบโดยการย้อมสีโดยใช้หยดน�้ำยาซิงก์คลอไรด์ไอโอไดด์ลงบนเส้นไหมปิดด้วย กระจกทับ ระวังอย่าให้มีฟองอากาศ แล้วส่องดูด้วยกล้องจุลทรรศน์ถ้าเป็นไหมแท้จะมีสีน�้ำตาล หรือจะใช้ ชิ้นทดสอบจ�ำนวนมากใส่ในบีเกอร์แล้วรินน�้ำยาเชอร์ลาสเตน เอ พอท่วมชิ้นทดสอบ แช่ไว้2 ถึง 3 นาที น�ำมาล้างให้สะอาด ผึ่งให้แห้งแล้วน�ำมาเทียบกับแผ่นสีตัวอย่าง ซึ่งมีสีของเส้นใยแต่ละชนิดไม่เหมือนกัน ถ้าไหมแท้จะเป็นสีน�้ำตาล 4.2 มาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน (มผช) มาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน เป็นมาตรฐานสมัครใจที่จัดท�ำโดย ส�ำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม หรือที่เรียกย่อๆว่า สมอ. ใช้เป็น แนวทางในการสนับสนุนด้านมาตรฐานและการรับรองคุณภาพของผลิตภัณฑ์ของ ชุมชนที่ได้จากโครงการหนึ่งต�ำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์(One Tambo One Product : OTOP) เพื่อให้ผลิตภัณฑ์เป็นที่ยอมรับและสามารถประกันคุณภาพให้กับ ผู้บริโภค ซึ่งเป็นแนวทางหนึ่งที่เชื่อมโยงผลิตภัณฑ์จากชุมชนสู่ตลาดผู้บริโภค ทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อสนับสนุนนโยบายส�ำคัญของรัฐบาลตาม โครงการหนึ่งต�ำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ ในการแก้ไขปัญหาความยากจนของชุมชน โดยมุ่งให้ความส�ำคัญของการน�ำภูมิปัญญาชาวบ้านและทรัพยากรที่มีอยู่ในท้องถิ่น มาพัฒนาและสร้างมูลค่าของผลิตภัณฑ์ให้สูงขึ้น โดยการพัฒนาคุณภาพ จุดเด่น และความมีเอกลักษณ์ของสินค้าในท้องถิ่น ท�ำให้ชุมชนเข้มแข็งและพึ่งตนเองได้ ถือเป็นการพัฒนาชนบทอย่างยั่งยืน ปัจจุบันสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการ คัดสรรให้ส่งเข้าประกวดตามโครงการหนึ่งต�ำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ (One Tambo One Product : OTOP) จะต้องผ่านมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชนฉบับนี้โดยค่า ใช้จ่ายในการตรวจสอบและวิเคราะห์ได้รับการสนับสนุนจากกรมพัฒนาชุมชน การก�ำหนดมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชนมีวัตถุประสงค์เพื่อรองรับการ พัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์ชุมชนหรือระดับพื้นบ้านให้ได้รับการพัฒนาเทียบเท่า สินค้าอุตสาหกรรม โดยมีวัตถุประสงค์ที่ส�ำคัญคือ ส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพ ของผลิตภัณฑ์ให้ได้การรับรองและแสดงเครื่องหมายการรับรอง เพื่อส่งเสริมด้าน การตลาดของผลิตภัณฑ์ให้เป็นที่ยอมรับอย่างแพร่หลาย และสร้างความมั่นใจ ให้กับผู้บริโภคในการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ชุมชนทั้งในประเทศและต่างประเทศ มาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชนที่เกี่ยวข้องกับผ้าไหมมีหลายประเภทตามชนิดของผ้า ที่มีการผลิตในแต่ละท้องถิ่นซึ่งรวมทั้งผ้าฝ้ายและผ้าไหม และผ้าเส้นใยผสม ภาพที่ 4.2 แสดงตราสัญลักษณ์ เครื่องหมายรับรอง มาตรฐานผลิตภัณฑ์ ชุมชน


Click to View FlipBook Version