The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

มาตรฐานหม่อนไหม

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by หม่อนไหม เขต4, 2024-04-03 00:02:01

มาตรฐานหม่อนไหม

มาตรฐานหม่อนไหม

49 กรมหม่อนไหม ขึ้นอยู่กับวัตถุดิบที่ใช้ โดยผ้าไหมเป็นสินค้าชุมชนประเภทหนึ่งที่สามารถขอการรับรองตามมาตรฐานนี้ ประเภทของผ้าไหมที่สามารถขอรับรองภายใต้มาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชนฉบับนี้มีหลายประเภท โดยจ�ำแนก ประเภทตามเทคนิคและวิธีการทอที่ท�ำให้เกิดลวดลายผืนผ้าไหม ได้แก่ ผ้าขิด ผ้ายก ผ้าไหมแพรวา เป็นต้น โดยมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชนส�ำหรับผ้าไหมประเภทต่างๆ ได้ประกาศใช้เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2546 และ ได้ปรับปรุงแก้ไข โดยยกเลิกมาตรฐานฉบับเดิม และประกาศใช้ฉบับใหม่ เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2552 เนื้อหารายละเอียดตามมาตรฐานผลิตภัณฑ์ผ้าไหมทุกประเภท มีหลักการในการก�ำหนดเงื่อนไข หลักเกณฑ์ และข้อก�ำหนดทั่วไปที่เหมือนกัน จะแตกต่างในส่วนของมาตรฐานที่เป็นเอกลักษณ์ของผ้าแต่ละประเภทเท่านั้น 4.2.1 ประเภทของมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชนเกี่ยวกับผ้าไหม มาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชนเป็นมาตรฐานข้อก�ำหนดหรือระเบียบที่มุ่งเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพ การผลิตหม่อนไหมเป็นข้อก�ำหนด หรือ กฎ หรือระเบียบแบบสมัครใจ มาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชนที่เกี่ยวข้อง กับผ้าไหมไทยที่ได้รับการประกาศมาตรฐานเพื่อใช้ในการรับรองคุณภาพมาตรฐานตามประกาศส�ำนักงาน มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม ตามประกาศฉบับแก้ไขปรับปรุงใหม่ เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552 มีดังนี้ ภาพที่ 4.3 แสดงผ้าไหมกาบบัว ธรรมดาตามาตรฐาน มผช.13 /2552 4.2.1.1 มาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน ผ้ากาบบัว (มผช. 13/2552) เป็นมาตรฐานที่ใช้รับรองคุณภาพผ้ากาบบัวที่ทอด้วยกี่ ทอมือแบบพื้นบ้านหรือแบบกระตุก โดยใช้เส้นไหมแท้หรือไหมผสม โดยผ้าไหมที่ได้รับการรับรองจะต้องมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้ (1) ลักษณะคุณภาพทั่วไป ผ้าไหมกาบบัวต้องท�ำด้วยไหม แท้หรือตามที่ระบุไว้ที่ฉลาก ผืนผ้าสะอาดและอยู่ในสภาพเรียบร้อย ทั้งผืน ลวดลายเด่น เนื้อผ้ามีความสม�่ำเสมอตามแนวเส้นพุ่งและ เส้นยืน ไม่มีข้อบกพร่องที่เกิดจากกรรมวิธีการผลิตที่เห็นได้ชัดเจน และมีผลกระทบต่อการใช้งาน เช่น สีผ้าและเนื้อผ้าไม่สม�่ำเสมอ ลายผิดหรือลายขาดความต่อเนื่อง ผ้าไหมเป็นร่อง รูแยก เส้นไหม ขาด เส้นไหมหย่อนหรือเป็นบ่วง เส้นไหมตึงเส้นริมผ้าเสีย (2) ลักษณะมาตรฐานด้านเอกลักษณ์ ภายใต้มาตรฐานฉบับนี้ ได้ก�ำหนดการรับรองผ้าไหม กาบบัวทั้ง ๓ ชนิด ได้แก่ ผ้ากาบบัวธรรมดา ผ้ากาบบัวจก และผ้ากาบัวค�ำ โดยผ้าไหมกาบบัวแต่ละชนิด จะต้องมีมาตรฐานด้านเอกลักษณ์ดังนี้ (2.1) ผ้าไหมกาบบัวธรรมดา ต้องทอโดยใช้เส้นไหมยืนอย่างน้อย 2 สีเป็นลายริ้ว และ มีลายหางกระรอก มัดหมี่ และขิด เป็นลายคั่น (2.2) ผ้าไหมกาบบัว(จก) ต้องทอโดยใช้เส้นไหมยืนอย่างน้อย 2 สีเป็นลายริ้ว และมีลาย กระจุกดาว เป็นช่วงๆ หรือกระจายเต็มผืนผ้าก็ได้ (2.3) ผ้าไหมกาบบัว(ค�ำ) เป็นผ้ายกหรือขิด ที่มีไหมค�ำหรือดิ้นทองสอดตามลวดลายอาจ สอดดิ้นเงินหรือไหมสีต่างๆ และคั่นด้วยมัดหมี่ (3) มาตรฐานด้านคุณภาพและความปลอดภัย ภายใต้มาตรฐานฉบับนี้ ได้ก�ำหนดคุณภาพ และมาตรฐานการที่สร้างความมั่นใจให้แก่ผู้บริโภคเกี่ยวข้องคุณภาพของสินค้าหลังการดูแลรักษา ไว้ดังนี้


50 มาตรฐานหม่อนไหม (3.1) มีค่าความเป็นกรด – ด่าง อยู่ระหว่าง 5 – 7.5 (3.2) กรณีเส้นสีเคมีสีเอโซที่ให้แอโรแมติกแอมีนทั้ง 24 ตัว ต้องไม่เกิน 30 มิลลิกรัม ต่อกิโลกรัม (3.3) การเปลี่ยนแปลงขนาดภายหลังการซักและท�ำให้แห้ง ต้องไม่เกินร้อยละ 10 (3.4) ความคงทนของสีต่อการซัก และความคงทนของสีต่อเหงื่อ ทั้งการเปลี่ยนสีและ การเปื้อนสีต้องไม่น้อยกว่าเกรย์สเกล ระดับ 3 ภาพที่ 4.4 แสดงผ้าไหมกาบบัว จก และกาบบัวคำตาม ลำดับภายใต้มาตรฐาน มผช 13 /2552 4.2.1.2 มาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน ผ้าแพรวา (มผช.14 /2552) ตามมาตรฐานฉบับนี้ สามารถใช้ในการรับรองคุณภาพผ้าไหม แพรวาที่ทอด้วยกี่ทอมือแบบพื้นบ้านหรือแบบกระตุก โดยใช้เส้นไหมแท้ย่างเดียว หรือไหมผสม ผ้าไหมที่ได้รับการรับรองจะต้องมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้ (1) ลักษณะคุณภาพทั่วไป ผ้าไหมแพรวาต้องท�ำด้วยไหมแท้หรือ ตามที่ระบุไว้ที่ฉลาก ผืนผ้าสะอาดและอยู่ในสภาพเรียบร้อยทั้งผืน ลวดลายเด่น เนื้อผ้ามีความสม�่ำเสมอตามแนวเส้นพุ่งและเส้นยืน ไม่มีข้อบกพร่องที่เกิดจาก กรรมวิธีการผลิตที่เห็นได้ชัดเจน และมีผลกระทบต่อการใช้งาน เช่น สีผ้าและ เนื้อผ้าไม่สม�่ำเสมอ ลายผิดหรือลายขาดความต่อเนื่อง ผ้าไหมเป็นร่อง รูแยก เส้นไหมขาด เส้นไหมหย่อนหรือเป็นบ่วง เส้นไหมตึงเส้นริมผ้าเสีย (2) ลักษณะมาตรฐานด้านเอกลักษณ์ ผ้าไหมแพรวาเป็นผ้าที่ มีความเป็นเอกลักษณ์ของลวดลายสูง ลวดลายที่เป็นเอกลักษณ์ของผ้าไหมแพร วา ได้แก่ ลายหลัก ลายคั่น และลายเชิงผ้า ประกอบกับเทคนิคการทอที่มีการ ใช้สีเส้นไหมแตกต ่างกันไป ท�ำให้ผ้าไหมแพรวาภายใต้มาตรฐานฉบับนี้ ได้ก�ำหนดการรับรองผ้าไหมแพรวา ๓ ชนิด ได้แก่ ผ้าแพรวาเกาะ ผ้าแพรวาล่วง และผ้าแพรวาจกดาว โดยผ้าแพรวาแต่ละชนิดจะต้องมีมาตรฐานดังนี้ (2.1) ผ้าไหมแพรวาเกาะ ประกอบด้วยลายดอกใหญ ่หรือลายหลัก ลายคั่น และ ลายเชิงผ้า โดยใช้เส้นไหมพุ่งที่เพิ่มพิเศษหลายสี (2.2) ผ้าไหมแพรวาล่วง ประกอบด้วยลายดอกใหญ่หรือลายหลัก ลายคั่น และ ลายเชิงผ้า โดยใช้เส้นไหมพุ่งที่เพิ่มพิเศษสีเดียว (2.3) ผ้าไหมแพรวาจกดาว ประกอบด้วยลายดอกใหญ่หรือลายหลัก ลายคั่น และ ลายเชิงผ้าโดยใช้เส้นไหมพุ่งที่เพิ่มพิเศษหลายสีแต่เป็นลายขนาดเล็ก (3) มาตรฐานด้านคุณภาพและความปลอดภัย ภายใต้มาตรฐานฉบับนี้ ได้ก�ำหนดคุณภาพ และมาตรฐานการที่สร้างความมั่นใจให้แก่ผู้บริโภคเกี่ยวข้องคุณภาพของสินค้าหลังการดูแลรักษา ไว้ดังนี้ (3.1) มีค่าความเป็นกรด – ด่าง อยู่ระหว่าง 5 – 7.5 (3.2) กรณีเส้นสีเคมีสีเอโซที่ให้แอโรแมติกแอมีนทั้ง 24 ตัว ต้องไม่เกิน 30 มิลลิกรัม ต่อกิโลกรัม (3.3) การเปลี่ยนแปลงขนาดภายหลังการซักและท�ำให้แห้ง ต้องไม่เกินร้อยละ 10 (3.4) ความคงทนของสีต่อการซัก และความคงทนของสีต่อเหงื่อ ทั้งการเปลี่ยนสีและ การเปื้อนสีต้องไม่น้อยกว่าเกรย์สเกล ระดับ 3


51 กรมหม่อนไหม ภาพที่ 4.5 แสดงเอกลักษณ์ของ องค์ประกอบลายของ ผ้าไหมแพรวาเกาะ ตามมาตรฐาน มผช. 14/2552 ภาพที่ 4.6 แสดงผ้าไหมแพรวา ชนิดต่างๆ ตามมาตรฐาน มผช.14/2552 ภาพที่ 4.7 แสดงผ้าขิดไหม ตามมาตรฐาน มผช.15/2552 ลายหลัก ลายหลัก ลายคั่น ลายคั่น ลายช่อปลายเชิง 4.2.1.3 มาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน ผ้าขิด (มผช. 15 /2552) ส�ำหรับใช้ในการรับรองคุณภาพผ้าไหมขิดที่ทอด้วยกี่ทอมือแบบพื้นบ้านหรือแบกระตุก โดยใช้ เส้นไหมแท้หรือไหมผสม โดยผ้าไหมที่ได้รับการรับรองจะต้องมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้ (1) ลักษณะคุณภาพทั่วไป ผ้าไหมขิดต้องท�ำด้วยไหมแท้หรือตาม ที่ระบุไว้ที่ฉลาก ผืนผ้าสะอาดและอยู่ในสภาพเรียบร้อยทั้งผืน ลวดลายเด่น เนื้อผ้ามีความสม�่ำเสมอตามแนวเส้นพุ่งและเส้นยืน ไม่มีข้อบกพร่องที่เกิดจาก กรรมวิธีการผลิตที่เห็นได้ชัดเจน และมีผลกระทบต่อการใช้งาน เช่น สีผ้าและ เนื้อผ้าไม่สม�่ำเสมอ ลายผิดหรือลายขาดความต่อเนื่อง ผ้าไหมเป็นร่อง รู แยก เส้นไหมขาด เส้นไหมหย่อนหรือเป็นบ่วง เส้นไหมตึงเส้นริมผ้าเสีย (2) ลักษณะมาตรฐานด้านเอกลักษณ์ ภายใต้มาตรฐานฉบับนี้ ได้ก�ำหนดการรับรองผ้าขิไหมด จะต้องมีลักษณ์ที่มีเอกลักษณ์ของลวดลายต้อง มีมาตรฐานดังนี้ (2.1) ลวดลายของผ้าขิดต้องนูนเด่นชัด เป็นรูปลายซ�้ำเรียง ติดต่อกันตลอดความกว้างของหน้าผ้า และมีสีเดียวกันตลอด ส่วนรูปลายซ�้ำตาม ความยาวของผืนผ้าอาจเหมือนหรือไม่เหมือนกันโดยสีอาจมีสีเดียวหรือหลายสีก็ได้ (2.2) ลวดลายของผ้าขิดเกิดจากเส้นไหมพุ่งที่เพิ่มพิเศษยาว ตลอดความกว้างของหน้าผ้า และเมื่อดึงเส้นไหมพุ่งที่เพิ่มพิเศษออก เส้นไหมพุ่ง ธรรมดายังคงอยู่ (3) มาตรฐานด้านคุณภาพและความปลอดภัย ภายใต้มาตรฐาน ฉบับนี้ ได้ก�ำหนดคุณภาพและมาตรฐานการที่สร้างความมั่นใจให้แก่ผู้บริโภค เกี่ยวข้องคุณภาพของสินค้าหลังการดูแลรักษา ไว้ดังนี้ (3.1) มีค่าความเป็นกรด – ด่าง อยู่ระหว่าง 5 – 7.5 (3.2) กรณีเส้นสีเคมีสีเอโซที่ให้แอโรแมติกแอมีนทั้ง 24 ตัว ต้องไม่เกิน 30 มิลลิกรัม ต่อกิโลกรัม (3.3) การเปลี่ยนแปลงขนาดภายหลังการซักและท�ำให้แห้งต้องไม่เกินร้อยละ 10 (3.4) ความคงทนของสีต่อการซัก และความคงทนของสีต่อเหงื่อ ทั้งการเปลี่ยนสีและ การเปื้อนสีต้องไม่น้อยกว่าเกรย์สเกล ระดับ 3


52 มาตรฐานหม่อนไหม 4.2.1.4 มาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน ผ้าหางกระรอก (มผช.16 /2552) ใช้ในการรับรองคุณภาพผ้าหางกระรอกที่ทอด้วยกี่ทอมือแบบพื้นบ้านหรือแบบกระตุก โดยใช้เส้นไหมแท้หรือไหมผสม โดยผ้าไหมที่ได้รับการรับรองจะต้องมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้ (1) ลักษณะคุณภาพทั่วไป ผ้าไหมหางกระรอกต้องท�ำด้วยไหมแท้ หรือตามที่ระบุไว้ที่ฉลากผืนผ้าสะอาดและอยู่ในสภาพเรียบร้อยทั้งผืน ลวดลายเด่น เนื้อผ้ามีความสม�่ำเสมอตามแนวเส้นพุ่งและเส้นยืน ไม่มีข้อบกพร่องที่เกิดจาก กรรมวิธีการผลิตที่เห็นได้ชัดเจน และมีผลกระทบต่อการใช้งาน เช่น สีผ้าและ เนื้อผ้าไม่สม�่ำเสมอ ลายผิดหรือลายขาดความต่อเนื่อง ผ้าไหมเป็นร่อง รู แยก เส้นไหมขาด เส้นไหมหย่อนหรือเป็นบ่วง เส้นไหมตึงเส้นริมผ้าเสีย (2) ลักษณะมาตรฐานด้านเอกลักษณ์ ภายใต้มาตรฐานฉบับนี้ ได้ก�ำหนดการรับรองผ้าไหมหางกระรอก จะต้องมีลักษณะที่มีเอกลักษณ์คือ เป็นผ้าที่มีสีเหลือบจากการใช้เส้นไหมควบหลายสีท�ำให้มองดูคล้ายหางกระรอก (3) มาตรฐานด้านคุณภาพและความปลอดภัย ภายใต้มาตรฐานฉบับ นี้ได้ก�ำหนดคุณภาพและมาตรฐานการที่สร้างความมั่นใจให้แก่ผู้บริโภคเกี่ยวข้อง คุณภาพของสินค้าหลังการดูแลรักษา ไว้ดังนี้ (3.1) มีค่าความเป็นกรด – ด่าง อยู่ระหว่าง 5 – 7.5 (3.2) กรณีเส้นสีเคมีสีเอโซที่ให้แอโรแมติกแอมีนทั้ง 24 ตัว ต้อง ไม่เกิน 30 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม (3.3) การเปลี่ยนแปลงขนาดภายหลังการซักและท�ำให้แห้งต้อง ไม่เกินร้อยละ 10 (3.4) ความคงทนของสีต่อการซัก และความคงทนของสีต่อเหงื่อ ทั้งการเปลี่ยนสีและการเปื้อนสี ต้องไม่น้อยกว่าเกรย์สเกล ระดับ 4 ภาพที่ 4.8 แสดงลักษณะผ้าไหม หางกระรอกตาม มาตรฐาน มผช. 16/2552 ภาพที่ 4.10 ผ้าทอมือลายขัด 4.2.1.5 มาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน ผ้ามัดหมี่ (มผช.17 /2552) ใช้ในการรับรองคุณภาพผ้ามัดหมี่ที่ทอด้วยกี่ทอมือแบบพื้นบ้านหรือแบบกระตุก โดยใช้เส้นไหม แท้หรือไหมผสม โดยผ้าไหมที่ได้รับการรับรองจะต้องมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้ (1) ลักษณะคุณภาพทั่วไป ผ้าไหมมัดหมี่ต้องท�ำด้วยไหมแท้ หรือตามที่ระบุไว้ที่ฉลาก ผืนผ้าสะอาดและอยู่ในสภาพเรียบร้อยทั้งผืน ลวดลายเด่น เนื้อผ้ามีความสม�่ำเสมอตามแนวเส้นพุ่งและ เส้นยืน ไม่มีข้อบกพร่องที่เกิดจากกรรมวิธีการผลิตที่เห็นได้ชัดเจน และมีผลกระทบต่อการใช้งาน เช่น สีผ้า และเนื้อผ้าไม่สม�่ำเสมอ ลายผิดหรือลายขาดความต่อเนื่อง ผ้าไหมเป็นร่อง รูแยก เส้นไหมขาด เส้นไหม หย่อนหรือเป็นบ่วง เส้นไหมตึงเส้นริมผ้าเสีย (2) ลักษณะมาตรฐานด้านเอกลักษณ์ ภายใต้มาตรฐานฉบับนี้ ได้ก�ำหนดการรับรองผ้าไหม มัดหมี่ จะต้องมีลักษณ์ที่มีเอกลักษณ์ของลวดลายต้องมีมาตรฐานดังนี้ (2.1) ช่วงรอยต่อของสีในเส้นไหมที่เกิดจากการมัดย้อมจะปรากฏรอยซึมของสีที่ซึมเข้าไป ตรงส่วนที่มัดไว้ในขณะย้อม (2.2) ต้องมีลวดลายต่อเนื่องโดยรายละเอียดของลวดลายแต่ละรูปอาจซ�้ำหรือไม่ซ�้ำกันเลย เนื่องจากการมัดย้อมเส้นไหมก่อนการทอ


53 กรมหม่อนไหม (3) มาตรฐานด้านคุณภาพและความปลอดภัย ภายใต้มาตรฐานฉบับนี้ ได้ก�ำหนดคุณภาพ และมาตรฐานการที่สร้างความมั่นใจให้แก่ผู้บริโภคเกี่ยวข้องคุณภาพของสินค้าหลังการดูแลรักษา ไว้ดังนี้ (3.1) มีค่าความเป็นกรด – ด่าง อยู่ระหว่าง 5 – 7.5 (3.2) กรณีเส้นสีเคมีสีเอโซที่ให้แอโรแมติกแอมีนทั้ง 24 ตัว ต้องไม่เกิน 30 มิลลิกรัม ต่อกิโลกรัม (3.3) การเปลี่ยนแปลงขนาดภายหลังการซักและท�ำให้แห้ง ต้องไม่เกินร้อยละ 10 (3.4) ความคงทนของสีต่อการซัก และความคงทนของสีต่อเหงื่อ ทั้งการเปลี่ยนสีและ การเปื้อนสีต้องไม่น้อยกว่าเกรย์สเกล ระดับ 4 4.2.1.6 มาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน (มผช.18 /2552) ใช้ในการรับรองคุณภาพผ้าพื้นลายขัดทอมือที่ทอด้วยกี่ทอมือแบบพื้นบ้านหรือแบบกระตุก ส่วนใหญ่จะเป็นผ้าพื้น โดยใช้เส้นไหมแท้ หรือไหมผสม โดยผ้าไหมที่ได้รับการรับรองจะต้องมีคุณสมบัติ ดังต่อไปนี้ (1) ลักษณะคุณภาพทั่วไป ผ้าไหมทอมือลายขัดต้องท�ำด้วยไหมแท้ หรือตามที่ระบุไว้ ที่ฉลากผืนผ้าสะอาดและอยู่ในสภาพเรียบร้อยทั้งผืน ลวดลายเด่น เนื้อผ้ามีความสม�่ำเสมอตามแนวเส้นพุ่ง และเส้นยืน ไม่มีข้อบกพร่องที่เกิดจากกรรมวิธีการผลิตที่เห็นได้ชัดเจน และมีผลกระทบต่อการใช้งาน เช่น สีผ้าและเนื้อผ้าไม่สม�่ำเสมอ ลายผิดหรือลายขาดความต่อเนื่อง ผ้าไหมเป็นร่อง รู แยก เส้นไหมขาด เส้นไหมหย่อนหรือเป็นบ่วง เส้นไหมตึงเส้นริมผ้าเสีย (2) ลักษณะมาตรฐานด้านเอกลักษณ์ ภายใต้มาตรฐานฉบับนี้ ได้ก�ำหนดการรับรอง ผ้าไหมทอมือลายขัดพื้นฐานจะต้องมีลักษณ์คือ เส้นไหมยืนและเส้นไหมพุ่งขัดสานซึ่งกันและกัน ในลักษณะ ข้าม 1 เส้น และลอด 1 เส้น (3) มาตรฐานด้านคุณภาพและความปลอดภัย ภายใต้มาตรฐานฉบับนี้ได้ก�ำหนดคุณภาพ และมาตรฐานการที่สร้างความมั่นใจให้แก่ผู้บริโภคเกี่ยวข้องคุณภาพของสินค้าหลังการดูแลรักษา ไว้ดังนี้ (3.1) มีค่าความเป็นกรด – ด่าง อยู่ระหว่าง 5 – 7.5 (3.2) กรณีเส้นสีเคมีสีเอโซที่ให้แอโรแมติกแอมีนทั้ง 24 ตัว ต้องไม่เกิน 30 มิลลิกรัม ต่อกิโลกรัม (3.3) การเปลี่ยนแปลงขนาดภายหลังการซักและท�ำให้แห้ง ต้องไม่เกินร้อยละ 10 (3.4) ความคงทนของสีต่อการซัก และความคงทนของสีต่อเหงื่อ ทั้งการเปลี่ยนสีและ การเปื้อนสีต้องไม่น้อยกว่าเกรย์สเกล ระดับ 4 4.2.1.7 มาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน ผ้าจก (มผช.48 /2552) ใช้ในการรับรองคุณภาพผ้าจกที่ทอด้วยกี่ทอมือแบบพื้นบ้านหรือแบบกระตุก โดยใช้เส้นไหมแท้ หรือไหมผสมกัน โดยผ้าไหมที่ได้รับการรับรองจะต้องมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้ (1) ลักษณะคุณภาพทั่วไป ผ้าจกไหมต้องท�ำด้วยไหมแท้หรือตามที่ระบุไว้ที่ฉลากผืนผ้าสะอาด และอยู่ในสภาพเรียบร้อยทั้งผืน ลวดลายเด่น เนื้อผ้ามีความสม�่ำเสมอตามแนวเส้นพุ่งและเส้นยืน ไม่มี ข้อบกพร่องที่เกิดจากกรรมวิธีการผลิตที่เห็นได้ชัดเจน และมีผลกระทบต่อการใช้งาน เช่น สีผ้าและเนื้อผ้า ไ ม ่ ส ม�่ำเสมอ ล า ย ผิ ด ห รื อ ล า ย ข า ด ค ว า ม ต ่ อ เ นื่ อ ง ผ้าไหมเป็นร่อง รู แยก เส้นไหมขาด เส้นไหมหย่อนหรือเป็นบ่วง เส้นไหมตึงเส้นริมผ้าเสีย


54 มาตรฐานหม่อนไหม (2) ลักษณะมาตรฐานด้านเอกลักษณ์ ภายใต้มาตรฐานฉบับนี้ ได้ก�ำหนดการรับรองผ้าจกไหม จะต้องมีลักษณะที่เป็นเอกลักษณ์คือ ลวดลาย ของผ้าไหมเกิดจากการเพิ่มเส้นไหมพุ่งพิเศษหลายสีเป็นช่วงๆ บนลายพื้น (3) มาตรฐานด้านคุณภาพและความปลอดภัย ภายใต้มาตรฐาน ฉบับนี้ ได้ก�ำหนดคุณภาพและมาตรฐานการที่สร้างความมั่นใจให้แก่ผู้บริโภค เกี่ยวข้องคุณภาพของสินค้าหลังการดูแลรักษา ไว้ดังนี้ (3.1) มีค่าความเป็นกรด – ด่าง อยู่ระหว่าง 5 – 7.5 (3.2) กรณีเส้นสีเคมีสีเอโซที่ให้แอโรแมติกแอมีนทั้ง 24 ตัว ต้องไม่เกิน 30 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม (3.3) การเปลี่ยนแปลงขนาดภายหลังการซักและท�ำให้แห้ง ต้องไม่เกินร้อยละ 10 (3.4) ความคงทนของสีต ่อการซัก และความคงทนของสี ต่อเหงื่อ ทั้งการเปลี่ยนสีและการเปื้อนสี ต้องไม่น้อย กว่าเกรย์สเกล ระดับ 4 4.2.1.8 มาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน ผ้ายกมุก (มผช.49 /2552) ใช้ในการรับรองคุณภาพผ้ายกมุกที่ทอด้วยกี่ทอมือแบบพื้นบ้านหรือ แบบกระตุก โดยใช้เส้นไหมแท้ หรือไหมผสม โดยผ้าไหมที่ได้รับการรับรอง จะต้องมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้ (1) ลักษณะคุณภาพทั่วไป ผ้าไหมยกมุกต้องท�ำด้วยไหมแท้หรือ ตามที่ระบุไว้ที่ฉลากผืนผ้าสะอาดและอยู่ในสภาพเรียบร้อยทั้งผืน ลวดลายเด่น เนื้อผ้ามีความสม�่ำเสมอตามแนวเส้นพุ่งและเส้นยืน ไม่มีข้อบกพร่องที่เกิดจาก กรรมวิธีการผลิตที่เห็นได้ชัดเจน และมีผลกระทบต่อการใช้งาน เช่น สีผ้าและ เนื้อผ้าไม่สม�่ำเสมอ ลายผิดหรือลายขาดความต่อเนื่อง ผ้าไหมเป็นร่อง รู แยก เส้นไหมขาด เส้นไหมหย่อนหรือเป็นบ่วง เส้นไหมตึงเส้นริมผ้าเสีย (2) ลักษณะมาตรฐานด้านเอกลักษณ์ ภายใต้มาตรฐานฉบับนี้ ได้ก�ำหนดการรับรองผ้าไหมยกมุก จะต้องมีลักษณะที่เป็นเอกลักษณ์คือ ลวดลาย ของผ้าไหมเกิดขึ้นบนลายพื้น ตามความยาวผืนผ้า นั้นเกิดจากชุดเส้นไหมยืน พิเศษซึ่งมีสีเดียวหรือหลายสีก็ได้ตลอดตามแนวเส้นไหมยืน ภาพที่ 4.12 ผ้าจก หรือ จกภูษา ภาพที่ 4.11 ผ้าตีนจก ลาวพรวน ภาพที่ 4.13 แสดงผ้าไหมยกมุกตาม มาตรฐาน มผช. (3) มาตรฐานด้านคุณภาพและความปลอดภัย ภายใต้มาตรฐานฉบับนี้ ได้ก�ำหนดคุณภาพและ มาตรฐานการที่สร้างความมั่นใจให้แก่ผู้บริโภคที่เกี่ยวข้องคุณภาพของสินค้าหลังการดูแลรักษา ไว้ดังนี้ (3.1) มีค่าความเป็นกรด – ด่าง อยู่ระหว่าง 5 – 7.5 (3.2) กรณีเส้นสีเคมีสีเอโซที่ให้แอโรแมติกแอมีนทั้ง 24 ตัว ต้องไม่เกิน 30 มิลลิกรัม ต่อกิโลกรัม (3.3) การเปลี่ยนแปลงขนาดภายหลังการซักและท�ำให้แห้ง ต้องไม่เกินร้อยละ 10 (3.4) ความคงทนของสีต่อการซัก และความคงทนของสีต่อเหงื่อ ทั้งการเปลี่ยนสีและ การเปื้อนสีต้องไม่น้อยกว่าเกรย์สเกล ระดับ 4


55 กรมหม่อนไหม 4.2.1.9 มาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน ผ้าบาติก (มผช.51 /2552) ใช้ในการรับรองคุณภาพผ้าบาติกที่ทอด้วยกี่ทอมือแบบพื้นบ้านหรือแบบกระตุก โดยใช้ เส้นด้ายฝ้าย หรือเส้นไหมแท้หรือเส้นด้ายใยประดิษฐ์อย่างใดอย่างหนึ่ง หรือผสมกัน โดยผ้าไหมที่ได้รับ การรับรองจะต้องมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้ (1) ลักษณะคุณภาพทั่วไป ผ้าไหมบาติกต้องท�ำด้วยไหมแท้ หรือตามที่ระบุไว้ที่ฉลากผืนผ้า สะอาดและอยู่ในสภาพเรียบร้อยทั้งผืน สีและลวดลายสวยงามผสมผสานกลมกลืนตลอดผืนผ้า เส้นเทียน ต้องคมชัดทั้งด้านหน้า และด้านหลังของผืนผ้า ไม่มีข้อบกพร่องที่เกิดจากกรรมวิธีการผลิตที่เห็นได้ชัดเจน และมีผลกระทบต่อการใช้งาน เช่น การลงสีผ้าไม่สม�่ำเสมอ มีรอยด่าง ภาพที่ 4.14 ผ้าไหมบาติก (2) ลักษณะมาตรฐานด้านเอกลักษณ์ ภายใต้มาตรฐานฉบับนี้ ได้ก�ำหนดการรับรองผ้าไหมบาติก จะต้องมีลักษณะที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะ ของผ้าไหมบาติกคือ คือ สามารถมองเห็นลวดลายของผ้าไหมทั้งสองด้าน (3) มาตรฐานด้านคุณภาพและความปลอดภัย ภายใต้มาตรฐาน ฉบับนี้ ได้ก�ำหนดคุณภาพและมาตรฐานการที่สร้างความมั่นใจให้แก่ผู้บริโภค เกี่ยวข้องคุณภาพของสินค้าหลังการดูแลรักษาไว้ดังนี้ (3.1) มีค่าความเป็นกรด – ด่าง อยู่ระหว่าง 5 – 7.5 (3.2) กรณีเส้นสีเคมีสีเอโซที่ให้แอโรแมติกแอมีนทั้ง 24 ตัว ต้องไม่เกิน 30 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม (3.3) การเปลี่ยนแปลงขนาดภายหลังการซักและท�ำให้แห้งต้อง ไม่เกินร้อยละ 10 (3.4) ความคงทนของสีต่อการซัก และความคงทนของสีต่อเหงื่อ ทั้งการเปลี่ยนสีและการเปื้อนสี ต้องไม่น้อยกว่าเกรย์สเกล ระดับ 4 4.2.1.10 มาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน ผ้ายก (มผช.62 /2552) ใช้ในการรับรองคุณภาพผ้ายกที่ทอด้วยกี่ทอมือแบบพื้นบ้านหรือ แบบกระตุก โดยใช้เส้นไหมแท้หรือไหมผสม และใช้ตะกอในการสร้างลวดลาย โดยผ้าไหมที่ได้รับการรับรองจะต้องมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้ (1) ลักษณะคุณภาพทั่วไป ผ้าไหมยกต้องท�ำด้วยไหมแท้ หรือ ตามที่ระบุไว้ที่ฉลากผืนผ้าสะอาดและอยู่ในสภาพเรียบร้อยทั้งผืน ลวดลายเด่น เนื้อผ้ามีความสม�่ำเสมอตามแนวเส้นพุ่งและเส้นยืน ไม่มีข้อบกพร่องที่เกิดจาก กรรมวิธีการผลิตที่เห็นได้ชัดเจน และมีผลกระทบต่อการใช้งาน เช่น สีผ้าและ เนื้อผ้าไม่สม�่ำเสมอ ลายผิดหรือลายขาดความต่อเนื่อง ผ้าไหมเป็นร่อง รู แยก เส้นไหมขาด เส้นไหมหย่อนหรือเป็นบ่วง เส้นไหมตึงเส้นริมผ้าเสีย (2) ลักษณะมาตรฐานด้านเอกลักษณ์ ภายใต้มาตรฐานฉบับนี้ ได้ก�ำหนดการรับรองผ้ายกไหม จะต้องมีลักษณะที่เป็นเอกลักษณ์คือ ลวดลาย ของผ้าไหมเกิดจากเส้นไหมสีต่างๆ ดิ้นเงิน ดิ้นทอง บนลายพื้นตลอดหน้าผ้า หรือเป็นบางส่วน ภาพที่ 4.15 แสดงลักษณะผ้ายกไหม ตามมาตรฐาน มผช. 62/2552


56 มาตรฐานหม่อนไหม (3) มาตรฐานด้านคุณภาพและความปลอดภัย ภายใต้มาตรฐานฉบับนี้ ได้ก�ำหนดคุณภาพ และมาตรฐาน การที่สร้างความมั่นใจให้แก่ผู้บริโภคเกี่ยวข้องคุณภาพของสินค้าหลังการดูแลรักษา ไว้ดังนี้ (3.1) มีค่าความเป็นกรด – ด่าง อยู่ระหว่าง 5 – 7.5 (3.2) กรณีเส้นสีเคมีสีเอโซที่ให้แอโรแมติกแอมีนทั้ง 24 ตัว ต้องไม่เกิน 30 มิลลิกรัม ต่อกิโลกรัม (3.3) การเปลี่ยนแปลงขนาดภายหลังการซักและท�ำให้แห้ง ต้องไม่เกินร้อยละ 10 (3.4) ความคงทนของสีต่อการซัก และความคงทนของสีต่อเหงื่อ ทั้งการเปลี่ยนสีและ การเปื้อนสีต้องไม่น้อยกว่าเกรย์สเกล ระดับ 4 4.2.1.11 มาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน ผ้ายกดอก (มผช.63 /2552) ใช้ในการรับรองคุณภาพผ้ายกดอกที่ทอด้วยกี่ทอมือแบบพื้นบ้านหรือแบบกระตุก โดยใช้ เส้นไหมแท้หรือไหมผสม และใช้ตะกอในการสร้างลวดลาย โดยผ้าไหมที่ได้รับการรับรองจะต้องมีคุณสมบัติ ดังต่อไปนี้ (1) ลักษณะคุณภาพทั่วไป ผ้าไหมยกดอกต้องท�ำด้วยไหมแท้หรือ ตามที่ระบุไว้ที่ฉลากผืนผ้าสะอาดและอยู่ในสภาพเรียบร้อยทั้งผืน ลวดลายเด่น เนื้อผ้ามีความสม�่ำเสมอตามแนวเส้นพุ่งและเส้นยืน ไม่มีข้อบกพร่องที่เกิดจาก กรรมวิธีการผลิตที่เห็นได้ชัดเจน และมีผลกระทบต่อการใช้งาน เช่น สีผ้าและ เนื้อผ้าไม่สม�่ำเสมอ ลายผิดหรือลายขาดความต่อเนื่อง ผ้าไหมเป็นร่อง รู แยก เส้นไหมขาด เส้นไหมหย่อนหรือเป็นบ่วง เส้นไหมตึง เส้นริมผ้าเสีย (2) ลักษณะมาตรฐานด้านเอกลักษณ์ ภายใต้มาตรฐานฉบับนี้ ได้ก�ำหนดการรับรองผ้าไหมยกดอก จะต้องมีลักษณะที่เป็นเอกลักษณ์คือ ลวดลาย ของผ้าไหมมีลักษณะลายขนาดเล็กซ�้ำติดต่อกันตามแนวเส้นไหมยืนเต็มผืนผ้า ภาพที่ 4.16 แ ส ด ง ลั ก ษ ณ ะ ผ้ า ยกดอกไหม (3) มาตรฐานด้านคุณภาพและความปลอดภัย ภายใต้มาตรฐานฉบับนี้ ได้ก�ำหนดคุณภาพ และมาตรฐานการที่สร้างความมั่นใจให้แก่ผู้บริโภคเกี่ยวข้องคุณภาพของสินค้าหลังการดูแลรักษา ไว้ดังนี้ (3.1) มีค่าความเป็นกรด – ด่าง อยู่ระหว่าง 5 – 7.5 (3.2) กรณีเส้นสีเคมีสีเอโซที่ให้แอโรแมติกแอมีนทั้ง 24 ตัว ต้องไม่เกิน 30 มิลลิกรัม ต่อกิโลกรัม (3.3) การเปลี่ยนแปลงขนาดภายหลังการซักและท�ำให้แห้ง ต้องไม่เกินร้อยละ 10 (3.4) ความคงทนของสีต่อการซัก และความคงทนของสีต่อเหงื่อ ทั้งการเปลี่ยนสีและ การเปื้อนสีต้องไม่น้อยกว่าเกรย์สเกล ระดับ 4 4.2.2 หลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการรับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน การรับรองคุณภาพผลิตภัณฑ์ชุมชน หมายถึง การให้การรับรองคุณภาพผลิตภัณฑ์ชุมชนของ ผู้ผลิตในชุมชนที่เกิดการรวมกลุ่มกันประกอบกิจกรรมใดกิจกรรมหนึ่งทั้งที่จดทะเบียนอย่างเป็นทางการหรือ ที่ไม่มีการจดทะเบียนเป็นการรวมกลุ่มเองโดยธรรมชาติ หรือชุมชนในโครงการหนึ่งต�ำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ ที่ผ่านการคัดเลือกจากจังหวัด และหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตามมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชนที่ส�ำนักงาน มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมได้ประกาศ ก�ำหนดไว้แล้ว และผ่านการตรวจประเมินแล้ว และได้รับ การรับรองจากคณะกรรมการมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน


57 กรมหม่อนไหม 4.2.3 คุณสมบัติของผู้ยื่นคำขอรับการรับรอง ผู้ยื่นค�ำขอต้องมีคุณสมบัติในข้อหนึ่งข้อใด ดังต่อไปนี้ 4.2.3.1. เป็นผู้ผลิตในชุมชนของโครงการ หนึ่งต�ำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ ได้รับการคัดเลือก จากคณะกรรมการอ�ำนวยการหนึ่งต�ำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์แห่งชาติ(กอ.นตผ.) 4.2.3.2 กลุ่มหรือสมาชิกของกลุ่มเกษตรกร กลุ่มสหกรณ์หรือกลุ่มอื่น ๆ ตามกฎหมายวิสาหกิจ ชุมชน เช่น กลุ่มอาชีพ กลุ่มอาชีพก้าวหน้า กลุ่มธรรมชาติเป็นต้น 4.2.4 หลักเกณฑ์และขั้นตอนการรับรอง การรับรองคุณภาพตามมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน ประกอบด้วยการด�ำเนินการดังนี้ 4.2.4.1. ตรวจสอบสถานที่ผลิตและเก็บตัวอย่างจากสถานที่ผลิตส่งตรวจสอบ เพื่อพิจารณา ออกใบรับรอง 4.2.4.2. ตรวจติดตามผลคุณภาพผลิตภัณฑ์ชุมชนที่ได้รับการรับรอง โดยสุ่มซื้อตัวอย่าง ที่ได้รับการรับรองจากสถานที่จ�ำหน่าย เพื่อตรวจสอบ 4.2.4.3. การขอการรับรอง ให้ยื่นค�ำขอต่อส�ำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม หรือ ส�ำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัด หรือจังหวัด พร้อมหลักฐานและเอกสารต่างๆ ตามแบบที่ส�ำนักงานมาตรฐาน ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมก�ำหนด 4.2.4.4. เมื่อได้รับค�ำขอตามข้อ ๓ แล้ว ส�ำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม จะนัดหมายการตรวจสอบสถานที่ผลิตเก็บ ตัวอย่างส่งทดสอบ หรือทดสอบ ณ สถานที่ผลิต 4.2.4.5 ประเมินผลการตรวจสอบว่าเป็นไปตามมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชนที่ ได้ก�ำหนดไว้หรือไม่ 4.2.4.6 ใบรับรองผลิตภัณฑ์ มีอายุ ๓ ปี นับตั้งแต่วันที่ระบุในใบรับรอง การประเมิน ผลการตรวจสอบตัวอย่างที่สุ่มซื้อเพื่อตรวจติดตามอย่างน้อยปีละ ๑ ครั้ง ผลต้องเป็นไปตามมาตรฐาน ผลิตภัณฑ์ชุมชนที่ก�ำหนด 4.2.5. การแสดงเครื่องหมายมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน ส�ำหรับเครื่องหมายที่แสดงตามมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชนฉบับนี้ ผู้ผลิตจะต้องแสดงตัวเลข อักษร หรือเครื่องหมายแจ้งรายละเอียดต่อไปนี้ให้เห็นได้ง่าย และชัดเจน ดังนี้ 4.2.5.1. ชื่อผลิตภัณฑ์(ตามชื่อ มผช) 4.2.5.2. เอกลักษณ์ 4.2.5.3 ชนิดเส้นใย (ในที่นี้ให้ระบุ เส้นไหมแท้100 % s หรือผสม) 4.2.5.4. ความกว้าง ความยาว เป็นนิ้ว หรือเซนติเมตร 4.2.5.5 กรณีใช้สีธรรมชาติให้ระบุ 4.2.5.6. ข้อแนะน�ำในการดูแลรักษา 4.2.5.7. ประวัติผลิตภัณฑ์(ถ้ามี) 4.2.5.8. เดือน ปีที่ผลิต 4.2.5.9. ชื่อผู้ผลิต สถานที่ผลิต 4.2.6 การตรวจสอบ /การทดสอบมาตรฐาน การทดสอบผ้าไหมที่ขอรับการรับรองภายใต้มาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชนทุกชนิด จะต้องทดสอบ คลอบคลุมรายการและประเด็น ที่ก�ำหนดในมาตรฐาน ดังนี้


58 มาตรฐานหม่อนไหม 4.2.6.1 การตรวจสอบเอกลักษณ์ผ้าไหม ด�ำเนินการตรวจสอบโดยการแต่งตั้งคณะ ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับผ้าไหมประเภทนั้นๆ จ�ำนวน 3 คน เพื่อตรวจพินิจและตรวจสอบเอกลักษณ์ 4.2.6.2 การตรวจสอบเส้นไหม (ชนิดเส้นใยที่ใช้ต้องเป็นไปตามที่ระบุไว้ที่ฉลาก) ทางด้าน กายภาพ ทางเคมีและการเผาไหม้ 4.2.6.3 การทดสอบความเป็นกรด-ด่าง ตามวิธีISO 3071 4.2.6.4 การทดสอบสีเอโซที่ให้แอโรแมติกแอมีน 24 ตัว โดยปฏิบัติตาม EN 14362 part 1 และ EN 14362 part 2 4.2.6.5 การทดสอบการเปลี่ยนแปลงขนาดภายหลังการซักและท�ำให้แห้งตามมาตรฐาน วิธีทดสอบสิ่งทอ เล่ม 21 และมาตรฐานเลขที่ มอก 121 เล่ม 21 4.2.6.6 การทดสอบความคงทนของสี ต่อการซักทั้งการเปลี่ยนสี และการเปื้อนสีต้องไม่น้อยกว่าเกรย์สเกลระดับ 3 โดยปฏิบัติตามวิธีทดสอบสิ่งทอ เล่ม 3 และมาตรฐานเลขที่ มอก. 121 เล่ม 3 โดยวิธีทดสอบ A(1) 4.2.6.6 การทดสอบความคงทนของสีต่อเหงื่อ ทั้งสภาพกรดและสภาพด่าง ต้องไม่น้อยกว่า เกรย์สเกลระดับ 3 โดยปฏิบัติตามวิธีทดสอบสิ่งทอ เล่ม 4 และมาตรฐานเลขที่ มอก. 121 เล่ม 4 4.3 เครื่องหมายรับรองผลิตภัณฑ์ผ้าไหมไทยตรานกยูงพระราชทาน 4.3.1 ความเป็นมา ไหมไทย ( Thai Silk ) เป็นส่วนหนึ่งในสัญลักษณ์ของประเทศไทย ในสายตาของชาวต่างชาติ มีการส่งออกผ้าไหมไทยไปยังต่างประเทศมูลค่านับพันล้านบาท และไหมไทยยังได้ชื่อว่า The Queen of Silk เพื่อสนองปณิธานองค์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระแม่ของแผ่นดินที่ทรงทุ่มเท พระวรกายและเหน็ดเหนื่อยมานาน 5 ทศวรรษกับการรักษาไหมไทยให้เป็นมรดกทางวัฒนธรรมคู่ชาติไทย ถึงเวลาที่คนไทยทุกคนในชาติจะหวงแหนไหมไทยไว้เป็นมรดกโลกที่ทรงคุณค ่าด้วยการใช้ตรานกยูง พระราชทานมาเป็นเครื่องหมายรับรองความเป็นมาตรฐานของผลิตภัณฑ์ไหมไทย ที่มีคุณค่าเพื่อให้เกิด ความมั่นใจในคุณภาพของไหมไทยของผู้บริโภคทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติแบบตราสัญลักษณ์พระราชทาน ตรานกยูง ( The Royal Peacock Logo ) เป็นเครื่องหมายการค้ารับรองคุณภาพผลิตภัณฑ์ไหมไทย สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ได้ทรงส่งเสริม และพัฒนา ให้อาชีพการปลูก หม่อนเลี้ยงไหม ทอผ้าไหม เป็นอาชีพที่สร้างอาชีพและรายได้ และสร้างความเข้มแข็งให้ชุมชนในชนบท เพื่อการอนุรักษ์ให้อาชีพนี้ และภูมิปัญญาท้องถิ่นด้านไหมไทยได้รับการอนุรักษ์อยู่คู่ประเทศไทยตลอดไป จนท�ำให้ผ้าไหมไทยมีชื่อเสียงไปทั่วโลก เพื่อเป็นการรับรองคุณภาพมาตรฐานสินค้าผลิตภัณฑ์ผ้าไหมไทยที่มี คุณภาพ และสร้างตราสัญลักษณ์ที่ใช้รับรองมาตรฐานผ้าไหมไทยตามกฎหมาย สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานสัญลักษณ์นกยูงพระราชทาน(Royal Peacock Logo) ให้เป็นเครื่องหมายรับรองคุณภาพผลิตภัณฑ์ผ้าไหมไทย โดยเครื่องหมายรับรองคุณภาพผลิตภัณฑ์ ผ้าไหมไทยตราสัญลักษณ์นกยูงพระราชทาน ถูกจดทะเบียนภายใต้เครื่องหมายการค้า ตามพระราชบัญญัติ เครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2535 ต่อกรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์ครั้งแรกเมื่อ 16 กุมภาพันธ์ 2547 โดยส�ำนักปลัดนายกรัฐมนตรีเป็นเจ้าของสิทธิ ต่อมาเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2548 ส�ำนักปลัด นายกรัฐมนตรีจึงได้โอนสิทธิดังกล่าวให้แก่สถาบันหม่อนไหมเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ให้ด�ำเนินการต่อไป และหลังจากการสถาปนาตั้งกรมหม่อนไหมขึ้นเป็นหน่วยงานที่ รับผิดชอบในการวิจัยพัฒนา ส่งเสริมและอนุรักษ์อาชีพการปลุกหม่อนเลี้ยงไหม ทอผ้าไหมตลอดจนการ ส่งเสริมมาตรฐานและการตลาดหม่อนไหมของไทย เป็นหน่วยงานที่จัดตั้งขึ้นภายใต้พระราชด�ำริของสมเด็จ


59 กรมหม่อนไหม พระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เมื่อ วันที่ 4 ธันวาคม 2552 กรมหม่อนไหมได้รับโอนสิทธิในการ ก�ำกับดูแลเครื่องหมายตรานกยูงพระราชทาน เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2553 (กรมหม่อนไหม, 2554) ดังนั้นหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขในการอนุญาตการใช้เครื่องหมายรับรองตรานกยูงพระราชทานที่ใช้ อยู่ในปัจจุบัน เป็นฉบับที่ได้รับการปรับปรุงแก้ไข ตามมติของคณะกรรมการมาตรฐานผลิตภัณฑ์ผ้าไหมไทย ที่แต่งต้ังโดยกรมหม่อนไหม ตามประกาศกรมหม่อนไหมว่าด้วยเครื่องหมายรับรองผลิตภัณฑ์ผ้าไหมไทย พ.ศ. 2554 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 1) ประกาศใช้เมื่อ 26 กันยายน 2554 ภาพที่ 4.17 แ ส ด งเ ค รื่ อ งห ม า ย รั บ ร อ ง ต ร า น ก ยู ง พระราชทานทั้ง 4 ชนิดของกรมหม่อน ไหม เครื่องหมายรับรองคุณภาพผลิตภัณฑ์ผ้าไหมไทยตราสัญลักษณ์ นกยูงพระราชทาน เป็นมาตรฐานสมัครใจส�ำหรับใช้ในการรับรองผ้าไหมไทย โดยให้การรับรองวัตถุดิบหรือเส้นไหม และกระบวนการผลิตผ้าไหมผืนนั้นๆ หรือ กล่าวอีกนัยหนึ่งตราสัญลักษณ์นกยูงพระราชทานรับรองผ้าไหมไทยที่มีการผลิต หรือแหล่งก�ำเนิดในประเทศไทย โดยขอบเขตการรับรองผ้าไหมไทยภายใต้ เครื่องหมายตราสัญลักษณ์นกยูงพระราชทานมีขอบเขตกว้างขวาง และ ครอบคลุมผลิตภัณฑ์ผ้าไหมไทยที่ผลิตโดยเกษตรกรรายย่อย กลุ่มเกษตรกร และ ผู้ประกอบการ ทั้งผ้าไหมไทยที่ทอมือ และผ้าไหมไทยที่ทอด้วยเครื่องจักร ผ้าไหม ที่ผลิตจากเส้นไหมไทยร้อยเปอร์เซ็นต์ และผ้าไหมที่มีเส้นไหมแท้เป็นส่วน ประกอบหลัก กล่าวคือ เครื่องหมายตรานกยูงพระราชทานครอบคลุมการรับรอง ผ้าไหมไทยที่ผลิตในประเทศไทยตั้งแต่ผ้าไหมไทยที่มีเอกลักษณ์และเกิดจากภูมิปัญญา ท้องถิ่นที่ผลิตโดยเกษตรรายย่อย ไปจนถึงการผลิตผ้าไหมในเชิงอุตสาหกรรม 4.3.2 ชนิดของเครื่องหมายรับรองผลิตภัณฑ์ผ้าไหมไทยตรานกยูงพระราชทาน เครื่องหมายรับรองผลิตภัณฑ์ผ้าไหมไทยสัญลักษณ์นกยูงพระราชทาน ตามประกาศกรมหม่อนไหม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ว่าด้วยเครื่องหมายรับรองผลิตภัณฑ์ผ้าไหมไทย พ.ศ. 2554 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่1) ประกาศใช้เมื่อ26กันยายน 2554 ได้ประกาศเครื่องหมายรับรองคุณภาพผ้าไหมตรานกยูงพระราชทาน เป็นมาตรฐานรับรองผลิตภัณฑ์ผ้าไหมไทย โดยให้การรับรองวัตถุดิบ กระบวนการผลิต และมาตรฐาน ผ้าไหมไทย เพื่อสร้างตราที่เป็นสัญลักษณ์ด้านคุณภาพในการสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้บริโภคทั้งในและ ต่างประเทศ ตามประกาศเครื่องหมายรับรองฉบับนี้ ได้จ�ำแนกเครื่องหมายรับรองผลิตภํณฑ์ผ้าไหมไทย ภายใต้ตราสัญลักษณ์นกยูงพระราชทาน เป็น 4 ชนิด ได้แก่ 4.3.2.1 ตรานกยูงพระราชทานสีทอง (Royal Thai Silk) 4.3.2.2 ตรานกยูงพระราชทานสีเงิน (Classic Thai Silk) 4.3.2.3 ตรานกยูงพระราชทานสีน�้ำเงิน (Thai Silk) 4.3.2.4 ตรานกยูงพระราชทานสีเขียว (Thai Silk Blend)


60 มาตรฐานหม่อนไหม โดยมีรายละเอียดมาตรฐานผ้าไหมไทยภายใต้ตราสัญลักษณ์ตรานกยูงแต่ละชนิดมีดังนี้ ภาพที่ 4.18 แสด งเค รื่อ งหม าย รับรองผ้าไหมไทยตรา นกยูงพระราชทานสี ทอง 4.3.4 ตรานกยูงพระราชทานสีเงิน (Classic Thai Silk) (1) รายละเอียดมาตรฐานการรับรอง เครื่องหมายรับรองผลิตภัณฑ์ผ้าไหมไทยชนิดตรานกยูงพระราชทาน สีเงิน เป็นมาตรฐานรับรองผ้าไหมไทยที่ผลิตขึ้นโดยยังคงอนุรักษ์ภูมิปัญญา พื้นบ้านผสมผสานกับการประยุกต์ ใช้เครื่องมือและกระบวนการผลิตในบาง ขั้นตอน เพื่อการอนุรักษ์และรักษาภูมิปัญญาท้องถิ่นด้านการปลูกหม่อนเลี้ยงไหม การสาวไหม การทอผ้าไหมไทย และอุปกรณ์ในการผลิตไว้ให้คนรุ่นหลังได้เรียน รู้และ กรรมวิธีการผลิตที่เป็นภูมิปัญญาดังเดิม ส�ำหรับข้อก�ำหนดตามข้อบังคับ ในประกาศกรมหม่อนไหมฉบับนี้ ได้ก�ำหนดรายละเอียดมาตรฐานวัตถุดิบ และ วิธีการผลิตภายใต้เครื่องหมายรับรองผลิตภัณฑ์ผ้าไหมไทยตรานกยูงพระราชทาน สีเงิน มีรายละเอียด ดังนี้ ภาพที่ 4.19 แส ด งเ ค รื่ อ งหม า ย รับรองผ้าไหมไทยตรา นกยูงพระราชทานสีเงิน (1.1) มาตรฐานวัตถุดิบ (เส้นไหม) เส้นไหมที่ใช้เป็นวัตถุดิบในการทอผ้าไหมไทยตรานกยูงพระราชทานสีทอง ทั้งเส้นพุ่ง และเส้นยืน ต้องใช้เส้นไหมพันธุ์ไทยพื้นบ้าน ที่ได้จากการสาวรังไหมพันธุ์ไทยพื้นบ้าน ด้วยมือผ่านพวงสาวไหมพื้นบ้าน โดยสาวเส้นไหมลงในภาชนะที่รองรับ แล้วจึงน�ำเส้นไหมไปกรอส�ำหรับท�ำเข็ดต่อไป ผลิตภัณฑ์ผ้าไหมอาจ มีการตกแต่งโดยใช้เส้นเงินหรือเส้นทองที่ได้มาตรฐานได้ไม่เกินร้อยละ 20 โดยพื้นที่ในหน่วยตารางหลา หรือ ไม่เกินร้อยละ 50 ส�ำหรับการทอผ้าไหมด้วยวิธีการยก จก หรือขิด (1.2) มาตรฐานกระบวนการผลิต 1.2.1 การทอ การทอผ้าไหมภายใต้เครื่องหมายรับรองตรานกยูงพระราชทานสีทอง ต้องทอด้วยกี่ทอมือแบบพื้นบ้านชนิดพุ่งกระสวยด้วยมือ 1.2.2 การใช้สีใช้สีธรรมชาติหรือสีเคมีที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (1.3) แหล่งผลิต ผ้าไหมไทยที่ขอรับรองภายใต้นกยูงพระราชทานสีทองการผลิตทุกขั้นตอน ต้องผลิตในประเทศไทยเท่านั้น 4.3.3 ตรานกยูงพระราชทานสีทอง (Royal Thai Silk) (1) รายละเอียดมาตรฐานการรับรอง เครื่องหมายรับรองผลิตภัณฑ์ผ้าไหมไทยชนิดตรานกยูงพระราชทาน สีทอง (Royal Thai Silk) ก�ำหนดขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้การรับรอง มาตรฐานผ้าไหมไทยที่ผลิตโดยภูมิปัญญาดั้งเดิมตลอดกระบวนการผลิต เพื่อให้ การอนุรักษ์และรักษาภูมิปัญญาท้องถิ่นด้านการปลูกหม่อนเลี้ยงไหม พันธุ์ไหม วิธีการสาวไหม การทอผ้าไหมไทย กรรมวิธีการผลิตและอุปกรณ์ในการผลิตที่ เป็นภูมิปัญญาดังเดิมไว้ให้คนรุ่นหลังได้เรียนรู้และอนุรักษ์ให้อยู่สืบต่อไป ส�ำหรับข้อก�ำหนดตามข้อบังคับในประกาศกรมหม ่อนไหมฉบับนี้ ได้ก�ำหนดรายละเอียดมาตรฐานวัตถุดิบ และวิธีการผลิตภายใต้เครื่องหมาย รับรองผลิตภัณฑ์ผ้าไหมไทยตรานกยูงพระราชทานสีทอง มีรายละเอียด ดังนี้


61 กรมหม่อนไหม (1.1) มาตรฐานวัตถุดิบ (เส้นไหม) เส้นไหมที่ใช้เป็นวัตถุดิบในการทอผ้าไหมไทยตรานกยูงพระราชทานสีเงิน (Classic Thai Silk) ต้องใช้เส้นไหมพันธุ์ไทยพื้นบ้าน ที่ได้จากการสาวรังไหมพันธุ์ไทยพื้นบ้าน ด้วยมือผ่านพวงสาวไหมพื้นบ้าน ลงในภาชนะที่รองรับหรือเข้าอัก หรือเส้นไหมพันธุ์ไทยปรับปรุงที่สาวมือหรือสาวด้วยเครื่องสาว เครื่องกรอ เส้นไหมที่ใช้มอเตอร์ก�ำลังรวมกันไม่เกิน 5 แรงม้า เป็นเส้นพุ่งและ/หรือเส้นยืน ผลิตภัณฑ์ผ้าไหมอาจมีการ ตกแต่งโดยใช้เส้นเงินหรือเส้นทองที่ได้มาตรฐานได้ไม่เกินร้อยละ 20 โดยพื้นที่ในหน่วยตารางหลา หรือไม่เกิน ร้อยละ 50 ส�ำหรับการทอผ้าไหมด้วยวิธีการยก วิธีการจก หรือวิธีการขิด (1.2) มาตรฐานกรรมวิธีการผลิต (1.2.1) การทอ การทอผ้าไหมทอด้วยกี่ทอมือชนิดพุ่งกระสวย ด้วยมือหรือกี่กระตุกก็ได้ (1.2.2) การใช้สีสีธรรมชาติหรือสีเคมีที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (1.3) แหล่งผลิต ผ้าไหมไทยที่ขอรับรองภายใต้นกยูงพระราชทานสีเงินการผลิตทุกขั้นตอนต้อง ผลิตในประเทศไทยเท่านั้น 4.3.5 ตรานกยูงพระราชทานสีน้ำเงิน (Thai Silk) (1) รายละเอียดมาตรฐานการรับรอง เครื่องหมายรับรองผลิตภัณฑ์ผ้าไหมไทยชนิดตรานกยูงพระราชทาน สีน�้ำเงิน (Thai Silk) ใช้รับรองผ้าไหมที่ผลิตจากภูมิปัญญาเดิมผสมกับการ ประยุกต์กับการใช้เทคโนโลยีสมัยนิยม นกยูงพระราชทานสีน�้ำเงิน (Thai Silk) ส�ำหรับข้อก�ำหนดตามข้อบังคับในประกาศกรมหม่อนไหมฉบับนี้ ได้ก�ำหนด รายละเอียดมาตรฐานวัตถุดิบ และวิธีการผลิตภายใต้เครื่องหมายรับรอง ผลิตภัณฑ์ผ้าไหมไทยตรานกยูงพระราชทานสีน�้ำเงิน มีรายละเอียด ดังนี้ (1.1) มาตรฐานวัตถุดิบ (เส้นไหม) วัตถุดิบในการทอผ้าไหมตรานกยูงพระราชทานสีน�้ำเงิน จะต้องใช้ เส้นไหมแท้เป็นเส้นพุ่งและเส้นยืน โดยเส้นไหมแท้ที่ใช้มีถิ่นก�ำเนิดในประเทศ หรือ นอกประทศ ส�ำหรับเส้นไหมที่มีถิ่นก�ำเนิดนอกประเทศจะต้องมีเอกสารการน�ำเข้า ที่ถูกต้องตามกฎหมาย ผลิตภัณฑ์ผ้าไหมอาจมีการตกแต่งโดยใช้เส้นเงินหรือ เส้นทองที่ได้มาตรฐานได้ไม่เกินร้อยละ 20 โดยพื้นที่ในหน่วยตารางหลา หรือ ไม่เกินร้อยละ 50 ส�ำหรับการทอผ้าไหมด้วยวิธีการยก วิธีการจก หรือวิธีการขิด (1.2) มาตรฐานกรรมวิธีการผลิต (1.2.1) การทอ ทอด้วยกี่แบบใดก็ได้ (1.2.2) การใช้สีสีธรรมชาติหรือสีเคมีที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (1.3) แหล่งผลิต การผลิตต้องผลิตในประเทศไทยเท่านั้น ภาพที่ 4.20 แสด งเค รื่อ งหม า ย รับ ร อ ง ผ้ าไหมไท ย ตรานกยูงพระราชทาน สีน้ำเงิน ภาพที่ 4.21 แ ส ด ง ผ้ า ไ ห ม พื้ น ติ ด ด ว ง ต ร า น ก ยู ง พระราชทานสีน้ำเงิน


62 มาตรฐานหม่อนไหม 4.3.6 ตรานกยูงพระราชทานสีเขียว (Thai Silk Blend) (1)รายละเอียดมาตรฐานการรับรอง เครื่องหมายตราสัญลักษณ์ตรานกยูงพระราชทานสีเขียว (Thai Silk Blend) ใช้ในการรับรองผ้าเส้นไหมที่ผลิตจากเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่ผสมผสานกับ ภูมิปัญญาด้านลวดลายและสีสัน ส�ำหรับข้อก�ำหนดตามข้อบังคับในประกาศ กรมหม่อนไหมฉบับนี้ ได้ก�ำหนดรายละเอียดมาตรฐานวัตถุดิบ และวิธีการผลิต ภายใต้เครื่องหมายรับรองผลิตภัณฑ์ผ้าไหมไทยตรานกยูงพระราชทานสีเขียว มีรายละเอียด ดังนี้ (1.1) มาตรฐานวัตถุดิบ (เส้นไหม) เส้นไหมที่ใช้เป็นวัตถุดิบในการทอผ้านกยูงพระราชทานสีเขียว ใช้เส้นไหมแท้ผสมกับเส้นใยอื่นได้แต่ต้องใช้ไหมเป็นส่วนประกอบหลัก และ ต้องระบุส่วนประกอบของเส้นใยอื่นให้ชัดเจน (1.2) มาตรฐานกรรมวิธีการผลิต (1.2.1) การทอ การทอผ้าไหมทอด้วยกี่แบบใดก็ได้ (1.2.2) การใช้สีไม่ระบุ (1.3) แหล่งผลิต ต้องผลิตในประเทศไทยเท่านั้น 4.3.7 การขอรับการรับรองเครื่องหมายรับรองมาตรฐาน ผลิตภัณฑ์ผ้าไหมไทยตรานกยูงพระราชทาน 4.3.7.1 หลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการรับรองมาตรฐานนกยูง พระราชทาน การรับรองคุณภาพผ้าไหมไทยตราสัญลักษณ์ตรานกยูงพระราชทาน หมายถึง การให้การรับรองคุณภาพผ้าไหมที่ผลิตในประเทศไทยทั้งหมด ตั้งแต่ ผ้าไหมไทยในเชิงอนุรักษ์ที่ผลิตโดยใช้วิธีการผลิตแบบดั้งเดิมโดยใช้ภูมิปัญญาท้อง ถิ่น ผ้าไหมที่มีวิธีการผลิตที่ประยุกต์จากวิธีการดั้งเดิมโดยเกษตรกรรายย่อย ไปจนถึงการผลิตแบบสมัยนิยมในระดับอุตสาหกรรม โดยผู้ที่ประสงค์ขอการ รับรองต้องยื่นค�ำขอตามแบบฟอร์มกรมหม่อนไหม พร้อมช�ำระค่าธรรมเนียมในการ ออกใบรับรอง และค่าดวงตรานกยูงพระราชทานแต่ละชนิดที่ต้องติดบนผ้าไหมทุก เมตรๆ ละ 1 ดวง ในอัตราดวง ละ 5 บาท โดยกรมหม่อนไหมได้ก�ำหนดอายุ ของในการรับรองครั้งละ 5 ปีอัตราค่าธรรมเนียมในการออกใบรับรอง มีดังนี้ (1) อัตราค่าธรรมเนียม 500 บาท ส�ำหรับค�ำขอที่ผลิตผ้าไหม ไม่เกิน 1,000 เมตร (2) อัตรา 1,000 บาท ส�ำหรับค�ำขอที่ผลิตผ้าไหมมากกว ่า 1,000 เมตร แต่ไม่เกิน 5,000 เมตร (3) อัตรา 2,000 บาท ส�ำหรับค�ำขอที่ผลิตผ้าไหมมากกว ่า 5,000 เมตร ภาพที่ 4.22 แส ด งเ ค รื่ อ งหม า ย รับ ร อ ง ผ้ าไหมไท ย ตรานกยูงพระราชทาน สีเขียว


63 กรมหม่อนไหม 4.3.7.2 คุณสมบัติของผู้ยื่นค�ำขอรับการรับรอง เนื่องจากเครื่องหมายรับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์ผ้าไหมไทยตราสัญลักษณ์นกยูงพระราชทาน เป็น มาตรฐานแบบสมัครใจ ที่วางเป้าหมายให้ผู้ผลิตผ้าไหมไทยทุกคนที่ประสงค์จะขอการรับรองสามารถ ยื่นค�ำขอการรับรองได้ ดังนั้นบุคคลที่ยื่นค�ำขอจึงครอบคลุมผู้ผลิตผ้าไหมไทยทุกคนและทุกระดับการผลิต ได้แก่ เกษตรกรผู้ปลูกหม่อนเลี้ยงไหมและทอผ้าไหม กลุ่มเกษตรกรผู้ทอผ้าไหม กลุ่มวิสาหกิจชุมชนทอผ้าไหม กลุ่มสหกรณ์ทอผ้าไหม ผู้ประกอบการผ้าไหม และโรงงานอุตสาหกรรมทอผ้า 4.3.7.3 วิธีการและขั้นตอนการรับรอง การรับรองคุณภาพตามมาตรฐานผ้าไหมไทยตามข้อก�ำหนดตราสัญลักษณ์นกยูง พระราชทาน ทั้ง 4 ชนิดที่อยู่ภายใต้ความรับผิดชอบรับรองของกรมหม่อนไหม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ประกอบด้วยหลักเกณฑ์และขั้นตอนการด�ำเนินการดังนี้ (1) การตรวจสอบสถานที่ผลิต อุปกรณ์การผลิต วัตถุดิบ ก่อนการผลิต (2) การตรวจติดตามผลคุณภาพตัวอย่างจากสถานที่ผลิต เพื่อตรวจสอบและเก็บตัวอย่าง จากสถานที่ผลิตส่งตรวจสอบ เพื่อพิจารณาออกใบรับรอง (3) การขอการรับรอง ให้ยื่นค�ำขอต่อกรมหม่อนไหม หรือส�ำนักงานหม่อนไหมเฉลิมพระเกียรติฯ เขต ทั้ง 5 เขต หรือศูนย์หม่อนไหมเฉลิมพระเกียรติฯ 21 ศูนย์ทั่วประเทศจังหวัด พร้อมหลักฐานและ เอกสารต่างๆ ตามแบบที่กรมหม่อนไหมก�ำหนด (4) เมื่อได้รับค�ำขอตามข้อ (3) แล้ว ศูนย์หม่อนไหมเฉลิมพระเกียรติฯ จะนัดหมายการ ตรวจสอบสถานที่ผลิต เก็บตัวอย่างทดสอบ ณ สถานที่ผลิต (5) ประเมินผลการตรวจสอบว่าเป็นไปตามมาตรฐานตรานกยูงพระราชทานตามชนิด ที่ขอรับการรับรองหรือไม่ เพี่อให้การรับรอง และการติดดวงตรารับรอง (6) ใบรับรองผลิตภัณฑ์มีอายุ3 ปีนับตั้งแต่วันที่ระบุในใบรับรอง การประเมินผลการตรวจ สอบตัวอย่างเพื่อตรวจติดตามอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง ผลต้องเป็นไปตามมาตรฐานนกยูงพระราชทานตาม ที่ก�ำหนด 4.3.7.4 การแสดงเครื่องหมายมาตรฐานตราสัญลักษณ์นกยูงพระราชทาน ผู้ผลิตผ้าไหมไทยที่ได้รับใบรับรองให้แสดงเครื่องหมายตราสัญลักษณ์นกยูงพระราชทาน จากกรมหม่อนไหมก่อน จึงสามารถติดดวงตราสัญลักษณ์นกยูงพระราชทานทั้ง 4 ชนิดตามที่ขอรับการรับรอง โดยเจ้าหน้าที่กรมหม่อนไหมจะด�ำเนินการติดดวงตรานกยูงพระราชทานบนขอบผืนผ้าไหมทุกระยะ 1 เมตร ๆ ละ 1 ดวง ตลอดความยาวผ้าไหม ส�ำหรับผ้าไหมประเภทผ้าพันคลุมไหล่ ผ้าพันคอ ผ้าสไบ ให้ติด ดวงตรา 1ดวงต่อผืน 4.3.7.5 การตรวจสอบ /การทดสอบมาตรฐาน การตรวจสอบและทดสอบผ้าไหมไทย ที่ขอรับการรับรองภายใต้มาตรฐานตราสัญลักษณ์นกยูงพระราชทานทุกชนิด จะต้องทดสอบคลอบคลุม รายการและประเด็น ที่ก�ำหนดในมาตรฐาน ดังนี้ 4.3.7.5.1 การตรวจสอบอุปกรณ์การผลิต วัตถุดิบ ณ สถานที่ผลิต กรรมวิธีการผลิต ให้ตรงตามหลักเกณฑ์ของแต่ละชนิด 4.3.7.5.2 การตรวจสอบการตกสี โดยการน�ำตัวอย่างผ้าที่ขอการรับรองมาทดสอบโดย วิธีการซัก และวิธีการใช้ส�ำลีชุบเช็ด ด้วยสารละลายสบู่มาตรฐาน (Standard soap) ISO 105 : 1989 C01-C05


64 มาตรฐานหม่อนไหม มาตรฐานการผลิตผ้าไหมภายใต้เครื่องหมายรับรอง ตรานกยูงพระราชทานสีทอง ตามที่ได้กล่าวในบทที่ 4 เกี่ยวกับรายละเอียดข้อกำหนด หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และมาตรฐานของผ้าไหมไทยที่ได้รับการรับภายใต้เครื่องหมายรับรอง มาตรฐานผ้าไหมไทยตราสัญลักษณ์นกยูงพระราชทาน ผู้ผลิตผ้าไหมไทย ที่จะขอรับการรับรองจะต้องปฏิบัติตามข้อกำหนด และเงื่อนไขในประกาศของ กรมหม่อนไหมดังกล่าว เพื่อให้เกิดความชัดเจนในการนำไปสู่การปฏิบัติที่ ถูกต้องตามข้อกำหนดของผู้ผลิตผ้าไหมไทยที่สมัครใจขอรับ การรับรองภายใต้ เครื่องหมายนกยูงพระราชทานทั้ง 4 ชนิด การกำหนดแนวทางในการผลิต ผ้าไหมไทยภายใต้เครื่องหมายนกยูงพระราชทานจึงเป็นสิ่งสำคัญในการสร้าง ความเข้าใจ และใช้เป็นแนวทางในการปฏิบัติสำหรับกระบวนการผลิตผ้าไหมไทย ที่ครอบคลุมตั้งแต่วัตถุดิบ อุปกรณ์การผลิต วิธีการผลิตตามข้อกำหนด เพื่อให้ ผลิตผ้าไหมไทยที่มีคุณภาพมาตรฐานตรงตามข้อกำหนด และได้รับการรับรอง ให้ติดตรานกยูงพระราชทานจากกรมหม่อนไหม ผ้าไหมไทยที่ผลิตภายใต้มาตรฐานเครื่องหมายรับรองตรานกยูง พระราชทานสีทองนั้น เป็นผ้าไหมในเชิงการอนุรักษ์วัฒนธรรมประเพณีและ วิถีชีวิตดั้งเดิมของชุมชนไว้เพื่อให้คนรุ่นหลังได้มีการสืบทอดกระบวนการผลิต ที่เกิดจากภูมิปัญญาท้องถิ่นไว้ไม่ให้สูญหายไป รวมถึงการอนุรักษ์พันธุ์ไหม ที่เป็นเอกลักษณ์ของไทยไว้ ดังนั้นมาตรฐานในการการผลิตผ้าไหมตรานกยูง พระราชทานสีทองจึงมีข้อจำกัดมากมายที่จะต้องคำนึงถึง ตั้งแต่พันธุ์ไหม ที่ใช้ในการสาวไหม อุปกรณ์ในการสาวไหม กรรมวิธีในการสาวไหม กี่ที่ใช้ ในการทอผ้าไหม เป็นต้น มาตรฐานที่ใช้เป็นแนวทางในการผลิตผ้าไหมไทยภายใต้ การรับรองตรานกยูงพระราชทานสีทองครอบคลุมรายละเอียดดังนี้ ภาพที่ 5.1 แสดงรูปดวงตรานก ยูงพระราชทานสีทอง (Royal peacock logo)


65 กรมหม่อนไหม 5.1 มาตรฐานวัตถุดิบ(เส้นไหมไทย) เส้นไหมเป็นส่วนประกอบสำคัญในการผลิตผ้าไหมให้มีคุณภาพเนื่องจากคุณภาพของเส้นไหมส่งผล ต่อคุณสมบัติผ้าไหม (สนั่น บุญลา, 2555) ตามระเบียบข้อบังคับกรมหม่อนไหมว่าด้วยการใช้เครื่องหมาย รับรองผลิตภัณฑ์ผ้าไหมไทยนั้น ได้กำหนดมาตรฐานผ้าไหมไทยภายใต้เครื่องหมายตรานกยูงพระราชทานสีทอง เส้นไหมที่ใช้เป็นวัตถุดิบในการทอผ้าไหมจะต้องเป็นเส้นไหมพันธุ์ไทยพื้นบ้าน ที่ใช้วิธีการสาว และอุปกรณ์ การสาว(พวงสาวไหม) ตามที่กำหนดเท่านั้น โดยมีรายละเอียดมาตรฐานกระบวนการผลิตที่ทำให้ผ้าไหม สามารถผ่านการรับรองมาตรฐานภายใต้เครื่องหมายรับรองตรานกยูงพระราชทานสีทอง ดังนี้ 5.1.1 พันธุ์ไหม (Silkworm variety) ภายใต้ข้อกำหนดมาตรฐานผ้าไหมตรานกยูงพระราชทานสีทอง พันธุ์ไหมที่เกษตรกรใช้เลี้ยงเพื่อผลิตรังไหมสำหรับใช้เป็นวัตถุดิบในการสาวไหม นั้น ต้องเป็นไหมพันธุ์ไทยพื้นบ้านเท่านั้น ลักษณะของไหมพันธุ์ไทยพื้นบ้าน (Native variety) เป็นพันธุ์ไหมที่ไข่ไหมฟักออกเป็นตัวได้ตลอดปีโดยธรรมชาติ (Polyvoltine) ดังนั้นเกษตรกรจึงสามารถเลี้ยงไหมผลิตรังไหม และสาวไหมได้ ทั้งปีหากไม่มีปัญหาผลผลิตใบหม่อน พันธุ์ไหมที่เลี้ยงในภาคอีสานเป็นพันธุ์ไทย พื้นบ้านที่มีความแข็งแรง เลี้ยงง่าย ปรับตัวเข้ากับสภาพภูมิอากาศของภาค ตะวันออกเฉียงเหนือได้ดีน้ำหนักรังสด 0.8-1.0 กรัม ต่อรัง น้ำหนักเปลือกรัง 10-12 เซนติกรัมต่อรัง เปลือกรัง 11-13 เปอร์เซ็นต์รูปร่างรังไหมมีลักษณะ หัวป้านท้ายแหลม หรือคล้ายกระสวย รังไหมสีเหลือง เส้นใยมีขนาด 1.7-2.1 ดีเนียร์(Denier) ความยาวเส้นใย 200-400 เมตรต่อรัง เส้นไหมมีความยืดหยุ่นดี มีความเงางาม รังบาง มีปุยหรือขี้ไหม (Floss) ค่อนข้างมาก มีอัตราการสาว ออกง่าย ได้แก่ พันธุ์ตุ่ย สิ่ว สำโรง นางน้อย นางลาย นางเขียว นางเหลือง นางไหม แพงพวย กากี ลักษณะเด่นของไหมพันธุ์ไทยพื้นบ้านไหมพันธุ์ไทย พื้นบ้านมีคุณลักษณะ คือ - ไข่ไหม (Silkworm egg) ไข่ไหมพันธุ์ไทยพื้นบ้านมีสีขาวครีม ขนาดฟองเล็ก กลมแบน เมื่ออายุประมาณ 8 วัน สีไข่ไหมจะเริ่มเป็นจุดสีน้ำเงิน เรียกว่า Blue spot อายุ 10 วัน สีไข่เป็นสีน้ำเงินทั้งหมดเรียกว่า All blue ไข่ไหม เมื่อมีอายุ 10 วัน ในอุณหภูมิห้องปกติจะฟักออกเป็นตัวได้เอง จำนวนไข่ไหม ต่อแม่ 250-360 ฟอง - ตัวหนอนไหม (Silkworm) จะมีสีลำตัวที่แตกต่างกัน เช่น ขาวล้วน ขาวมีจุด ขาวสลับลาย เป็นต้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแต่ละสายพันธุ์ที่ได้รับการปรับปรุงพันธุ์ ตัวหนอนไหมมีขนาดเล็กกว่าตัวหนอนไหมชนิด Bivoltine มีระยะการเจริญเติบโต 5 วัย คือ วัย 1 – วัย 3 ใช้เวลาประมาณ 10 วัน เรียกว่า ส่วน วัย 4 – วัย 5 ใช้เวลาประมาณ 10 – 12 วัน เรียกว่า ไหมวัยแก่ เมื่อหนอนไหมเจริญเติบโตเต็ม ที่ เรียกว่าไหมสุก รวมเวลาไหมแรกฟักหรือไหมขน จนกระทั่งไหมสุกประมาณ 18 – 22 วัน หนอนไหมสุกจะถูกเก็บเข้าจ่อ ซึ่งเป็นอุปกรณ์สำหรับไหมทำรัง ภาพที่ 5.3 แสดงลักษณะหนอน ไหมพันธุ์ไทยพื้นบ้าน พันธุ์นางลาย ภาพที่ 5.2 แสดงลักษณะไข่ไหม ไหมพันธุ์ไทยพื้นบ้าน


66 มาตรฐานหม่อนไหม ภาพที่ 5.4 แสดงลักษณะกายภาพ ของรังไหมพันธุ์ไทยพื้น บ้านพันธุ์ต่างๆที่เป็น วัตถุดิบในการสาวเส้น ไหมสำหรับการผลิตผ้า ไหมนกยูงพระราชทาน สีทอง พันธุ์นางตุ่ย พันธุ์นางสิ่ว สำโรง พันธุ์แพงพวย พันธุ์นางเหลือง พันธุ์นางน้อย พันธุ์กากี พันธุ์นางลาย - รังไหม (Coccoon) รังไหมพันธุ์ไทยพื้นบ้าน รูปร่างรังไหม มีลักษณะหัวป้านท้ายแหลม หรือหัวท้ายแหลม คล้ายกระสวย รังไหมสีเหลือง ขนาดเล็ก น้ำหนักรังสด 0.8-1.0 กรัมต่อรัง น้ำหนักเปลือกรัง 10-12 เซนติกรัม ต่อรัง เปอร์เซ็นต์เปลือกรังประมาณ ร้อยละ 10 –12 เปลือกรังมีปุยมาก เส้นใย เดี่ยว(Silk filament) มีขนาด 1.7-2.1 ดีเนียร์(Denier) ความยาวของเส้นไหม รังเดี่ยวประมาณ 300 – 350 เมตร ลักษณะรังไหมพันธุ์ไทยพื้นบ้านพันธุ์ต่างๆมีลักษณะทางกายภาพดังนี้ 5.1.2. มาตรฐานการสาวไหม การผลิตเส้นไหมไทยให้ได้คุณภาพมาตรฐานเส้นไหมไทยตามมาตรฐาน มกอช. 8000-2548 และเปลี่ยนเป็น มกษ. 8000-2555 นั้น อุปกรณ์การสาว การตรวจคุณภาพรังไหม และวิธีการสาวไหมเป็นองค์ประกอบที่สำคัญในการผลิต ให้ได้เส้นไหมไทยที่มีคุณภาพมาตรฐานตามต้องการ (สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตร และอาหารแห่งชาติ, 2550) ดังนั้นมาตรฐานในการสาวไหมเพื่อผลิตเส้น ไหมไทยพื้นบ้านสำหรับใช้ในการผลิตผ้าไหมตรานกยูงพระราชทานสีทองนั้น มีรายละเอียด ดังนี้ 5.1.2.1. พวงสาวไหม หมายถึงอุปกรณ์สำหรับการสาวไหมด้วย มือประกอบด้วยโครงและรอกทำด้วยไม้ ซึ่งเกาะติดที่ปากหม้อต้มสาวไหม ตามมาตรฐานเครื่องหมายตรานกยูงพระราชทานสีทองกำหนดมาตรฐาน พวงสาวไหมที่ใช้สาวเส้นไหมพันธุ์ไทยพื้นบ้าน นั้นต้องเป็นพวงสาวไหมแบบ พื้นบ้าน และพวงสาวไหมปรับปรุง โดยการสาวไหมนั้นจะต้องทำการสาวเส้นไหม ลงในภาชนะที่รองรับโดยตรง ดังนั้นพวงสาวไหม(อุปกรณ์สาวไหม) ที่ได้รับ การรับรองภายใต้มาตรฐานนกยูงพระราชทานสีทอง มี2 ชนิด คือ พวงสาวไหม


67 กรมหม่อนไหม ภาพที่ 5.5 แสด งลักษณะพว ง สาวไหมแบพื้นบ้านซึ่ง ประกอบด้วยลูกรอก 1 รอก พันธุ์ไทยพื้นบ้าน และพวงสาวไหมเด่นชัย 1 (พวงสาวไหมแบบปรับปรุง) ซึ่งรายละเอียดของอุปกรณ์ทั้งสองชนิดดังกล่าว มีดังนี้ (1) พวงสาวไหมแบบพื้นบ้าน เป็นอุปกรณ์การสาวไหมที่ทำจากไม้เนื้ออ่อนที่ไม่มีเสี้ยน หรือขุยขน เช่น ไม้ตะแบก ไม้โมก มีการแกะสลักลวดลายสวยงาม รูปทรงแล้วแต่ละท้อง ถิ่นและเป็นงานฝีมือ มีขา 2 ข้าง สำหรับยึดกับปากหม้อสาวไหมไม่ให้ล้ม ขาพวง สาวไหมสามารถขยับให้กว้างและแคบได้มีความสูงประมาณ 35-40 เซนติเมตร กว้างประมาณ 25 เซนติเมตร มีลูกรอก 1 อันอยู่ตรงกลางพวงสาวตั้งอยู่สูงจาก ปากหม้อต้มสาวไหมประมาณ 25 เซนติเมตร มีลักษณะเป็นรูปทรงกระบอก ยาว ประมาณ 6-8 เซนติเมตร เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 5-6 เซนติเมตร มีซีก ไม้ไผ่ล้อมรอบประมาณ 15-20 ซีก ขนาดขึ้นอยู่กับช่างผู้ทำพวงสาวไหม ลูกรอก เป็นอุปกรณ์ใช้สำหรับพันเกลียวเส้นไหมทำให้เส้นไหมรวมตัวกันขณะสาวไหม (ศิริพร และ นันทวัน, 2555) (2) พวงสาวไหมแบบปรับปรุง พวงสาวไหมแบบปรับปรุงเป็นอุปกรณ์ที่ทำจากไม้เนื้ออ่อนที่ไม่มีเสี้ยน หรือขุยขน เช่น ไม้ตะแบก ไม้โมก มีการแกะสลักลวดลายสวยงาม รูปทรงแล้ว แต่ละท้องถิ่นและเป็นงานฝีมือ มีขา 2 ข้าง สำหรับยึดกับปากหม้อสาวไหม ไม่ให้ล้ม ขาพวงสาวไหมสามารถขยับให้กว้างและแคบได้ มีความสูงประมาณ 35-40 เซนติเมตร กว้างประมาณ 25 เซนติเมตร ประกอบด้วยรอกสาวไหม 2 รอก และรอกเล็กรับเส้นไหมอีก 1 รอก มีตัวกันรังไหมไม่ให้รังขึ้นไปพัน กับเส้นไหมเวลาสาวไหมและมีรูร้อยเส้นไหมจะมีส่วนบังคับให้เส้นไหมไม่มีปุ่ม ปมขนาดใหญ่และทำให้เส้นไหมเรียบสม่ำเสมอกันเกือบทั้งเส้น การทำเกลียวจะ ทำได้มาก ซึ่งทำให้ได้80 เกลียว (พัน 80 รอบ) มีผลทำให้เส้นรวมตัวดีเส้นกลม ไม่แตกสาวลงตะกร้า (ภาชนะรองรับ) เหมือนการสาวแบบพื้นบ้านแต่ดึงเส้นไหม ได้คล่องตัวกว่าเพราะมีรอกรับเส้นไหมทำให้เกิดมุมของการสาวไหมได้เหมาะสม พอดีจึงดึงเส้นไหมลงตะกร้าได้ง่ายๆ 5.1.2.2 คุณภาพมาตรฐานรังไหม การเตรียมรังไหมก่อนจะทำการสาวไหมเพื่อให้ได้เส้นไหมที่มีคุณภาพ และมาตรฐาน เกษตรกรจะต้องทำการตรวจสอบคุณภาพรังไหมพันธุ์ไทยพื้นบ้าน เพื่อพิจารณาลักษณะรังไหมที่ไม่สมบรูณ์หรือรังเสียและรังดีดำเนินการคัดเลือก รังไหมโดยแยกรังดีออกจากรังเสีย และนำเฉพาะรังไหมดีไปทำการสาวเพื่อให้ได้ เส้นไหมที่มีคุณลักษณะเส้นกลมขนาดสม่ำเสมอ ที่มีคุณภาพดีเรียบ สีเส้นไหม สม่ำเสมอ ขั้นตอนการคัดแยกรังไหมถือเป็นขั้นตอนสำคัญในการผลิตเส้นไหม ให้ได้คุณภาพมาตรฐานที่ดีสำหรับการนำไปทอผ้าไหม ประเภทของรังไหม ที่จำแนกเป็นรังเสียและต้องคัดแยกออกก่อนการสาวไหมตามมาตรฐานการปฏิบัติ ที่ดีสำหรับการผลิตเส้นไหมไทย (สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหาร แห่งชาติ, 2550) มีจำนวน 11 ชนิด ดังนี้ ภาพที่ 5.7 แสดงการคัดแยกรังไหม ก่อนการสาวไหมของ เกษตรกร ภาพที่ 5.6 แสดงมาตรฐานองค์ ประกอบของพวง สาวไหมแบบปรับปรุง (เด่นชัย)ประกอบด้วย ลูกรอก 3 รอก


68 มาตรฐานหม่อนไหม (1) รังแฝด (Double cocoon) หมายถึง รังไหมที่เกิดจากหนอนไหม ตั้งแต่ 2 ตัวขึ้นไป ทำรังร่วมกันทำให้รังไหมที่ได้จะมีรูปร่างผิดไปจากลักษณะเดิม และมักจะมีขนาดใหญ่กว่ารังไหมปกติรังไหมประเภทนี้ เมื่อนำมาสาวจะทำให้ เส้นไหมขาดบ่อย เพราะเส้นไหมพันกันมากว่าหนึ่งเส้นจากการทำรังของหนอนไหม 2 ตัว ทำให้เมื่อนำไปสาวจะมีประสิทธิภาพการสาวลดลง ความสามารถในการ สาวออกต่ำ ทำให้เส้นไหมไม่เรียบ คุณภาพเส้นไหมต่ำ สาเหตุของการเกิดรังแฝด อาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ ได้แก่ ลักษณะของพันธุ์ไหมเอง จำนวนหนอนไหม ในจ่อมากเกินไป หรือจ่อมีลักษณะที่ไม่เหมาะสมต่อการการทำรังของหนอนไหม (2) รังเจาะ (Pierced cocoon) หมายถึง ที่มีลักษณะเป็นรูเนื่องจาก ถูกหนอนแมลงวันลายวางไข่รังไหมที่เกิดจากหนอนแมลงวันลายวางไข่บน ตัวหนอนไหมและเจริญเติบโตอยู่ภายในหนอนไหม เมื่อหนอนไหมกลายเป็นดักแด้ อยู่ภายในรังไหมจะถูกแมลงวันลายเจาะรังไหมออกมา ทำให้รังไหมที่ถูกเจาะเป็น รังเสีย เพราะรังไหมที่เกิดเป็นรูทำให้เส้นไหมขาดทั้งเส้น เมื่อนำไปสาวเส้นไหม จะขาดบ่อย ประสิทธิภาพการสาวออกต่ำ ได้เส้นไหมไม่เรียบและคุณภาพต่ำ (3) รังเปื้อนภายใน (Inside soiled cocoon) หมายถึง รังไหม ภายในรังไหมสกปรก สาเหตุเกิดจากหนอนไหมที่เป็นโรคแต่สามารถทำรังไหมได้ แต่หลังจากทำรังเสร็จแล้วหนอนไหมหรือดักแด้จะตายอยู่ภายในรังไหมที่ตาย จะทำให้ภายในของรังไหมสกปรก เมื่อนำมาสาวจะได้เส้นไหมที่มีสีดำ สีเส้นไหม ไม่สม่ำเสมอและไม่มีคุณภาพ (4) รังเปื้อนภายนอก (Outside soiled cocoon) หมายถึง รังไหม ที่มีลักษณะรังไหมภายนอกเปื้อนสกปรก สาเหตุเกิดจากหนอนไหมปล่อยปัสสาวะ ครั้งสุดท้ายก่อนทำรัง หรืออาจเกิดจากหนอนไหมที่เข้าจ่อเป็นโรค เมื่อตัวหนอน ไหมแตกทำให้เปื้อนรังไหมที่อยู่ในจ่อเดียวกัน เมื่อนำรังไหมไปสาวจะทำให้ สาวยาก รังไหมบริเวณที่เปื้อน โดยเฉพาะรังไหมที่เปื้อนปัสาวะของหนอนไหม จะเละก่อนเนื่องจากปัสสาวะมีความเป็นด่าง ทำให้การสาวเส้นไหมยากขึ้น สีเส้นไหมไม่สม่ำเสมอและเส้นไหมที่ได้มีคุณภาพต่ำ (5) รังบาง (Thin shell cocoon) หมายถึง รังไหมที่มีลักษณะรังบาง ผิดปกติ สาเหตุเกิดจากขณะที่หนอนไหมเป็นโรคแล้วเจริญเติบโตได้จนไหมสุก เข้าทำรังและเมื่อพ่นเส้นใยเพื่อทำรังได้เล็กน้อยหนอนไหมก็ตายทำให้รังไหม ที่ได้บาง หรือสาเหตุอาจมาจากเกษตรกรเก็บหนอนไหมเข้าจ่อช้าเกินไป ทำให้ หนอนไหมพ่นเส้นใยทิ้งก่อนบ้างแล้วทำให้เส้นใยที่เหลือในการทำรังน้อย รังไหม ที่ได้จึงบางผิดปกติเมื่อนำมาสาวรังไหมประเภทนี้จะเละก่อนเส้นไหมที่ได้ไม่มี คุณภาพ ภาพที่ 5.8 แสดงลักษณะรังไหม เสียประเภทรังแฝด ภาพที่ 5.9 แสดงลักษณะขอรัง ไ ห ม เ สี ย ป ร ะ เ ภ ท รังเจาะ ภาพที่ 5.10 แสดงลักษณะรังไหม เสีย ประเภทรังเปื้อน ภายใน ภาพที่ 5.11 แสดงลักษณะของรัง ไหมเสียประเภทเปื้อน ภายนอก ภาพที่ 5.12 แสดงลักษณะรังไหม เสียประเภทรังบาง


69 กรมหม่อนไหม (6) รังหลวม (Loose shell cocoon) หมายถึง รังไหมที่มีเส้นใย แยกเป็นชั้นๆ สาเหตุเกิดจากขณะหนอนไหมสุกทำรังสภาพอากาศไม่เหมาะสม กับการทำรังของหนอนไหม เช่น อุณหภูมิขึ้นๆ ลงๆ ส่งผลให้การพ่นใย ไม่สม่ำเสมอรังไหมจึงแยกเป็นชั้นๆ เมื่อนำไปสาวทำให้ได้เส้นไหมที่ไม่มีคุณภาพ (7) รังหัวท้ายบาง (Thin-end cocoon) หมายถึง รังไหมที่มี ลักษณะหัวแหลมผิดปกติโดยบริเวณดังกล่าวมีลักษณะรังบางเห็นได้ชัดเจน สาเหตุ เกิดจากลักษณะของสายพันธุ์ไหมบางสายพันธุ์หรือเกิดจากอุณหภูมิในการกกไข่ ไหมสูง หรือบางครั้งเกิดจากอุณหภูมิระหว่างไหมทำรังต่ำเกินไป รังไหมชนิดนี้ ถ้านำไปสาวบริเวณที่เป็นส่วนปลายแหลมเส้นไหมจะขาดบ่อย ทำให้ความสามารถ ในการสาวออกลดลงและได้เส้นไหมที่มีคุณภาพต่ำ (8) รังผิดรูปร่าง (Malformed cocoon) หมายถึง รังไหมที่มีลักษณะ บิดเบี้ยว ไม่สม่ำเสมอและผิดรูปร่าง สาเหตุจากหนอนไหมอ่อนแอทำให้ทำรัง ได้ไม่สมบูรณ์หรือเกิดจากลักษณะจ่อที่หนอนไหมทำรังไม่ถูกสุขลักษณะ รังไหม ลักษณะนี้เมื่อนำไปสาวรวมกับรังดี รังชนิดนี้จะเละก่อนหรือบางที่ก็แข็งขึ้นอยู่ ลักษณะรูปร่างที่ผิดปกติของรังไหม ทำให้เส้นไหมที่ได้ไม่มีคุณภาพ (9) รังด้านหรือรังติดข้างจ่อ (Cocoon with prints of cocoon frame) หมายถึง รังไหมที่ลักษณะรังไหมบางส่วนแบนผิดปกติและรังไหม มีความหนาเป็นบางส่วน เนื่องจากหนอนไหมทำรังติดข้างจ่อ หรือติดกับกระดาษ รองจ่อ หรือจำนวนหนอนไหมในจ่อแน่นเกินไป หรือการใช้จ่อที่ไม่เหมาะสม ทำให้รังไหมบริเวณดังกล่าวลักษณะรังไหมจะแบนผิดปกติ และหนา เมื่อนำไป สาวทำให้สาวยากเส้นไหมไม่มีคุณภาพ (10) รังบุบ (Crushed cocoon) หมายถึง รังไหมที่มีลักษณะ รังไหมยุบหรือบุบ สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากการขนส่งรังไหมโดยไม่ระมัดระวัง ทำให้รังไหมเกิดการกระทบกระแทกกันและเส้นใยไหมยุบตัวลงและเมื่อนำไปสาว จะทำให้เส้นไหมบริเวณที่ยุบลงจะขาดบ่อยทำให้ได้เส้นไหมที่มีคุณภาพต่ำ (11) รังเป็นเชื้อรา (Musty cocoon) หมายถึง ลักษณะรังไหม ที่มีเชื้อราขึ้นในเปลือกรังไหม สาเหตุจากรังไหมมีความชื้นสูง เนื่องจากการอบ รังไหมที่การอบแห้งไม่สมบูรณ์หรือบางครั้งไม่มีการควบคุมความชื้นในห้องเก็บ รังไหม ทำให้เกิดเชื้อราเกิดขึ้นได้เส้นไหมบริเวณที่เป็นเชื้อราจะเสื่อมคุณภาพ ถ้าหากนำไปสาวจะได้เส้นไหมที่มีคุณภาพต่ำ ภาพที่ 5.13 แสดงลักษณะรังไหม เสียประเภทรังหลวม ภาพที่ 5.14 แสดงลักษณะรังไหม เสียประเภทรังหัวท้าย บาง ภาพที่ 5.15 แสดงลักษณะรังไหม เสียประเภทรังผิดรูปร่าง ภาพที่ 5.16 แสดงลักษณะรังไหม เสียประเภทรังติดข้าง จ่อหรือรังด้าน ภาพที่ 5.17 แสดงลักษณะรังไหม เสียประเภทรังบุบ ภาพที่ 5.18 แสดงลักษณะรังไหม เสียประเภทรังเป็นเชื้อรา


70 มาตรฐานหม่อนไหม 5.1.2.3 มาตรฐานวิธีการสาวไหม การผลิตเส้นไหมที่ได้คุณภาพตามข้อกำหนดภายใต้เครื่องหมายตรา นกยูงพระราชทานสีทองนั้นนอกจาก การคำนึงถึงพันธ์ุไหม อุปกรณ์การสาวไหม และการตรวจสอบคุณภาพรังไหมแล้ว วิธีการสาวไหมก็เป็นข้อกำหนดที่ต้อง ปฏิบัติตาม เพื่อให้ได้เส้นไหมที่มีคุณภาพมาตรฐานตรงตามข้อกำหนดสำหรับ ใช้เป็นวัตถุดิบในการทอผ้าไหมภายใต้การรับรองนกยูงพระราชทานสีทอง มาตรฐานวิธีการสาวไหม เพื่อให้ได้เส้นไหมทั้ง 3 ชนิด มีรายละเอียด ดังนี้ (1) วิธีการสาวไหมลืบ หรือไหมเปลือก หรือไหม 3 (1.1) วิธีการสาวด้วยพวงสาวไหมแบบพื้นบ้าน สำหรับวิธีการและขั้นตอนในการสาวไหมลืบด้วยพวงสาวไหมแบบ พื้นบ้านมีมาตรฐานการปฏิบัติกรรมวิธีและขั้นตอนการสาวไหม ดังนี้ (1.1.1) การต้มรังไหม น้ำที่ใช้ต้มรังไหมควรเป็นน้ำสะอาด ไม่ขุ่น มีความเป็นกรด-ด่างปานกลาง เช่นน้ำฝน น้ำประปา ที่ใส่โอ่งเก็บไว้นาน (ไม่ใช่น้ำบ่อ น้ำบาดาล น้ำประปา และน้ำฝนใหม่) ต้มให้ร้อนแต่ไม่เดือด โดย สังเกตเห็นไอน้ำที่ปากหม้อ และฟองอากาศเล็กๆ ลอยขึ้นมาทั่วปากหม้อ หรือ ใช้นิ้วมือจุ่มดูรู้สึกว่าร้อน มีอุณหภูมิประมาณ 82-89 องศาเซลเซียส นำรัง ไหมที่เตรียมไว้ลงต้มในหม้อ 2 กำมือใหญ่ (ประมาณ 120-150 รัง) ใช้ไม้คืบ กดรังไหมให้จมน้ำไปมา 4-5 ครั้ง นาน 1-2 นาที(เรียกว่า การต้มรังไหม) ยก ไม้คืบเกลี่ยรังไหมขึ้นปมเส้นไหมจะหลุดจากรังไหมติดไม้คืบขึ้นมา ภาพที่ 5.19 แสดงอุปกรณ์(พวงสา ไหม) และวิธีการการ สาวไหมลืบ หรือไหม เปลือก หรือไหมสาม (1.1.2) การพันเกลียวเส้นไหม เมื่อเส้นไหมติดไม้คืบเกลี่ยรังไหมขึ้นมา ใช้มือซ้ายรวบ เส้นไหมที่ติดกับไม้คืบดึงขึ้นมา แล้วสอดเส้นไหมใส่รูที่อยู่ตรงกลางพวงสาว ดึงขึ้นไปพันกับลูกรอกของ พวงสาว 1 รอบ แล้วพันเกลียวเส้นไหม 7-9 รอบ แล้วดึงเส้นไหมผ่านพวงสาวไหมลงภาชนะที่วางอยู่ ทางด้านซ้ายมือ ค่อนไปทางด้านหลังและทำการสาวไหม (ดึงเส้นไหม) จนเส้นไหมเปลือกนอกหมด (1.1.3) เมื่อสาวไหมสาม หรือไหมลืบซึ่งเป็นไหมเปลือกนอกออกหมดแล้วโดยจะสังเกตเห็น เส้นไหมที่ออกจากรังไหมในหม้อต้มสาวมีลักษณะเล็กละเอียด สม่ำเสมอและนุ่มมือ ผิวรังไหมเรียบ และรังไหม มีสีจางลง ให้หยุดสาวแล้วใช้กระชอน หรือช้อน หรือทัพพี ตักรังไหมออกจากหม้อต้มครั้งละประมาณ 15-20 รัง และเพิ่มรังไหมครั้งละ 15-20 รัง ผึ่งไว้บนกระด้งอีกด้านหนึ่งที่ว่าง (1.2) วิธีการสาวด้วยพวงสาวไหมแบบปรับปรุง (เด่นชัย 1) สำหรับการสาวไหมลืบด้วยพวงสาวไหมแบบปรับปรุงเด่นชัย1 มาตรฐานในการสาวไหมมีแนวทาง ในการปฏิบัติดังนี้ (1.2.1) การต้มรังไหม น้ำที่ใช้ต้มรังไหมควรเป็นน้ำสะอาดไม่ขุ่นมีความเป็นกรด-ด่างปานกลาง เช่น น้ำฝน น้ำประปา ที่ใส่โอ่งเก็บไว้นาน (ไม่ใช่น้ำบ่อ น้ำบาดาล น้ำประปา และน้ำฝนใหม่) ต้มให้ร้อน แต่ไม่เดือด โดยสังเกตเห็นไอน้ำที่ปากหม้อ และฟองอากาศเล็กๆ ลอยขึ้นมาทั่วปากหม้อ หรือใช้นิ้วมือ จุ่มดูรู้สึกว่าร้อน มีอุณหภูมิประมาณ 82-89 องศาเซลเซียส นำรังไหมที่เตรียมไว้ลงต้มในหม้อ 2 กำมือ ใหญ่ (ประมาณ 120-150 รัง) ใช้ไม้คืบกดรังไหมให้จมน้ำไปมา 4-5 ครั้ง นาน 1-2 นาที(เรียกว่า การต้ม รังไหม) ยกไม้คืบเกลี่ยรังไหมขึ้นปมเส้นไหมจะหลุดจากรังไหมติดไม้คืบขึ้นมา


71 กรมหม่อนไหม (1.2.2) การพันเกลียวเส้นไหม เมื่อเส้นไหมติดไม้คืบเกลี่ยรังไหมขึ้นมา ใช้มือซ้ายรวบ เส้นไหมที่ติดกับไม้คืบดึงขึ้นมา แล้วสอดเส้นไหมใส่รูที่อยู่ตรงกลางพวงสาว ดึงขึ้นไปพันกับลูกรอกของ พวงสาวตัวล่างสุด1 รอบ แล้วพันเกลียวเส้นไหม 7-9 รอบ (1.2.3) แล้วดึงเส้นไหมผ่านพวงสาวไหมลงภาชนะที่วางอยู่ทางด้านซ้ายมือ ค่อนไปทาง ด้านหลังและทำการสาวไหม (ดึงเส้นไหม) จนเส้นไหมเปลือกนอกหมด (1.2.4) เมื่อสาวไหม 3 หรือไหมลืบ ซึ่งเป็นไหมเปลือกนอกออกหมดแล้ว โดยจะสังเกตเห็น เส้นไหมที่ออกจากรังไหมในหม้อต้มสาวมีลักษณะเล็กละเอียด สม่ำเสมอและนุ่มมือ ผิวรังไหมเรียบ และรังไหม มีสีจางลง ให้หยุดสาวแล้วใช้กระชอน หรือช้อน หรือทัพพี ตักรังไหมออกจากหม้อต้มครั้งละประมาณ 15-20 รัง และเพิ่มรังไหมครั้งละ 15-20 รัง ผึ่งไว้บนกระด้งอีกด้านหนึ่งที่ว่าง (2) มาตรฐานวิธีการสาวไหมน้อย หรือไหมเครือ หรือไหม 1 วิธีการสาวไหมน้อยเป็นการสาวเส้นไหมที่อยู่ชั้นในของรังไหม รังไหมที่จะนำมาสาวไหมน้อย ต้องผ่านการสาวไหมหัว หรือไหมลืบเพื่อเอาเปลือกรังไหมชั้นนอกออกหมดแล้วตามข้อ (1) จึงนำรังไหม ที่เหลือเฉพาะรังไหมชั้นในมาทำการสาวไหมน้อย หรือไหมหนึ่ง โดยมาตรฐานวิธีการปฏิบัติและขั้นตอน การสาวไหมน้อย ดังนี้ (2.1) วิธีการสาวไหมด้วยพวงสาวไหมแบบพื้นบ้าน (2.1.1) การต้มรังไหม น้ำที่ใช้ต้มรังไหมสำหรับสาวไหมน้อย ต้องสะอาดและมีคุณสมบัติ เช่นเดียวกับน้ำที่ใช้ต้มรังไหมสาวไหมหัว และทุกครั้งที่จะสาวไหมน้อยต้องเปลี่ยนน้ำต้มใหม่ไม่ควรใช้น้ำที่ต้ม สาวไหมหัวมาสาวไหมน้อยต่อ เพราะจะทำให้เส้นไหมไม่สวย มีสีคล้ำ แข็งกระด้าง ต้มน้ำให้ร้อนอุณหภูมิ ประมาณ 85-90 องศาเซลเซียส หรือสังเกตมีไอน้ำและฟองอากาศขึ้นทั่วปากหม้อต้ม หรือใช้นิ้วมือจุ่มดู รู้สึกร้อน ยกเว้น ช่วงฤดูฝน (2.1.2) นำรังไหมที่ผ่านการสาวไหมหัวออกแล้ว กำรังไหมบีบให้น้ำออกพอหมาดๆ ใส่ลงไปในหม้อต้มประมาณ 70-80(80-100) รัง ใช้ไม้คืบกดรังไหมให้จมน้ำ พลิกไปมา 3-4 ครั้ง นาน 1-2 นาทีแล้วยกไม้คืบเกลี่ยรังไหมขึ้น ปมเส้นไหมจะหลุดออกจากรังไหม และติดปลายไม้คืบมาด้วย (2.1.3) ยกไม้คืบขึ้นสูง ใช้มือซ้ายรวบเส้นไหมดึงขึ้นมา สอดเส้นไหมใส่เข้าไปในรูของ พวงสาวดึงขึ้นไปพันลูกรอก 1 รอบ แล้วพันเกลียว 10-11 รอบ (2.1.4) ใช้มือซ้ายดึงปลายเส้นไหมผ่านหน้าขาซ้าย แล้วปล่อยให้เส้นไหมลงภาชนะที่วาง รองรับอยู่ด้านหลังทางด้านซ้ายมือ (2.1.5) ดึงเส้นไหมลงภาชนะให้สม่ำเสมอ ความเร็วประมาณ 60-65 ครั้ง/นาทีและช่วง ของการดึงเส้นไหมมีระยะจากการจับเส้นไหมถึงช่วงการปล่อยเส้นไหมลงภาชนะประมาณ 40-45 เซนติเมตร จะทำให้เส้นไหมวางเรียงกันในภาชนะสวยงามเมื่อนำมาเหล่งมัดใจไหมแล้วเส้นไหมจะตรงขณะสาวไหม ให้ใช้ไม้คืบเกลี่ยรังไหมเข้ารวมกัน และบังคับรังไหมไม่ให้ลอยขึ้นตามเส้นไหมเพราะจะทำให้เส้นไหมติด สาวไม่ได้พยายามอย่าเกลี่ยรังไหมบ่อยเกินไปจะทำให้เส้นไหมมีปุ่มปม ติดออกมามาก และทำให้เส้นไหมขาด (2.1.6) ขณะเดียวกันก็ใช้สายตาสังเกตดูลักษณะรังไหมที่อยู่ในหม้อต้ม ถ้ามีรังเสีย รังเน่าก็ตักออก ถ้าสังเกตรังไหมบางมองเห็นดักแด้ชัดเจนก็หยุด ตักรังไหม ดักแด้ออกครั้งละประมาณ 5-10 รัง แล้วเติมรังไหมใหม่เข้าไป 5-10 รัง/ครั้ง แล้วใช้ไม้คืบกดรังไหมที่เติมเข้าไปใหม่ให้จมน้ำแล้วทำการสาวต่อ (2.1.7) นอกจากใช้สายตาสังเกตรังไหมในหม้อต้มแล้ว ต้องสังเกตเส้นไหมที่สาวผ่าน พวงสาวด้วยว่ามีปุ่มปมหรือขี้ไหมติดมา ถ้ามีปุ่มปมหรือขี้ไหมให้หยุดและแกะออก


72 มาตรฐานหม่อนไหม (2.1.8) เมื่อเส้นไหมมีขนาดเล็กลงให้หยุด เติมรังไหมลงต้มเพิ่มครั้งละไม่เกิน 10 รัง และ รู้สึกว่าเส้นไหมมีขนาดใหญ่ขึ้น ให้ใช้ไม้คืบเกลี่ยรังไหมในหม้อต้มออกด้านข้าง หรือตักรังไหมในหม้อออก (2.1.9) การควบคุมอุณหภูมิน้ำต้มรังไหม ถ้าน้ำร้อนรังไหมจะเปื่อยเส้นไหมออกมาก บางที หลุดออกมาทั้งรัง ให้เติมน้ำเย็นลงไป ถ้าน้ำเย็นเกินไปจะสาวไม่ค่อยออก ให้เพิ่มฟืนเชื้อเพลิงเข้าไปอีก และ คอยควบคุมความร้อนของน้ำในหม้อต้มให้สม่ำเสมอตลอดเวลาการสาวไหม (2.1.10) ทำการสาวไหมน้อยตามขั้นตอนวิธีการดังกล่าวข้างต้นตามข้อ (2.1.4) – ข้อ (2.1.9) จนรังไหมที่เตรียมไว้หมด (2.1.11) เมื่อสาวเสร็จแล้ว ให้นำเส้นไหมออกจากภาชนะที่ใส่ออกมาตากให้แห้ง โดย มีวัสดุที่มีน้ำหนักพอประมาณทับไว้ ทิ้งไว้ให้แห้งโดยมีวัสดุที่มีน้ำหนักพอประมาณทับไว้ เช่น เมล็ดนุ่น ข้าวสาร ก้อนกรวดเม็ดเล็กที่ล้างสะอาด แล้วจึงนำไปกรอใส่อัก เพื่อทำความสะอาด ตีเกลียว และเหล่ง มัดทำไพและไจไหมต่อไป (2.2) วิธีการสาวด้วยพวงสาวไหมแบบปรับปรุง (เด่นชัย 1) (2.2.1) การต้มรังไหม น้ำที่ใช้ต้มรังไหมสำหรับสาวไหมน้อย ต้องสะอาดและมีคุณสมบัติ เช่นเดียวกับน้ำที่ใช้ต้มรังไหมสาวไหมหัว และทุกครั้งที่จะสาวไหมน้อยต้องเปลี่ยนน้ำต้มใหม่ไม่ควรใช้น้ำที่ต้ม สาวไหมหัวมาสาวไหมน้อยต่อ เพราะจะทำให้เส้นไหมไม่สวย มีสีคล้ำ แข็งกระด้าง ต้มน้ำให้ร้อนอุณหภูมิ ประมาณ 85-90 องศาเซลเซียส หรือสังเกตมีไอน้ำและฟองอากาศขึ้นทั่วปากหม้อต้ม หรือใช้นิ้วมือจุ่มดู รู้สึกร้อน (2.2.2) นำรังไหมที่ผ่านการสาวไหมหัวออกแล้ว กำรังไหมบีบให้น้ำออกพอหมาดๆ ใส่ลงไป ในหม้อต้มประมาณ 80-90 รัง ใช้ไม้คืบกดรังไหมให้จมน้ำ พลิกไปมา 3-4 ครั้ง นาน 1-2 นาทีแล้วยก ไม้คืบเกลี่ยรังไหมขึ้น ปมเส้นไหมจะหลุดออกจากรังไหม และติดปลายไม้คืบมาด้วย (2.2.3) ยกไม้คืบขึ้นสูง ใช้มือซ้ายรวบเส้นไหมดึงขึ้นมา สอดเส้นไหมใส่เข้าไปในรูของพวง สาวดึงขึ้นไปพันลูกรอก 2 รอก 1 รอบ แล้วพันเกลียวไม่น้อยกว่า 80 เกลียว แล้วผ่านเส้นไหมไปยังรอก ที่ 3 (2.2.4) ใช้มือซ้ายดึงปลายเส้นไหมผ่านหน้าขาซ้าย แล้วปล่อยให้เส้นไหมลงภาชนะที่ วางรองรับอยู่ด้านหลังทางด้านซ้ายมือ (2.2.5) ดึงเส้นไหมลงภาชนะให้สม่ำเสมอ ความเร็วประมาณ 60-65 ครั้ง/นาทีและช่วง ของการดึงเส้นไหมมีระยะจากการจับเส้นไหมถึงช่วงการปล่อยเส้นไหมลงภาชนะประมาณ 40-45 เซนติเมตร จะทำให้เส้นไหมวางเรียงกันในภาชนะสวยงามเมื่อนำมาเหล่งมัดใจไหมแล้วเส้นไหมจะตรง (2.2.6) ขณะสาวไหมให้ใช้ไม้คืบเกลี่ยรังไหมเข้ารวมกัน และบังคับรังไหมไม่ให้ลอยขึ้น ตามเส้นไหมเพราะจะทำให้เส้นไหมติด สาวไม่ได้ พยายามอย่าเกลี่ยรังไหมบ่อยเกินไปจะทำให้เส้นไหม มีปุ่มปม ติดออกมามาก และทำให้เส้นไหมขาด (2.2.7) ขณะเดียวกันก็ใช้สายตาสังเกตดูลักษณะรังไหมที่อยู่ในหม้อต้ม ถ้ามีรังเสีย รังเน่า ก็ตักออก ถ้าสังเกตรังไหมบางมองเห็นดักแด้ชัดเจนก็หยุด ตักรังไหม ดักแด้ออกครั้งละประมาณ 5-10 รัง แล้วเติมรังไหมใหม่เข้าไป 5-10 รัง/ครั้ง แล้วใช้ไม้คืบกดรังไหมที่เติมเข้าไปใหม่ให้จมน้ำแล้วทำการสาวต่อ (2.2.8) นอกจากใช้สายตาสังเกตรังไหมในหม้อต้มแล้ว ต้องสังเกตเส้นไหมที่สาวผ่านพวง สาวด้วยว่ามีปุ่มปมหรือขี้ไหมติดมา ถ้ามีปุ่มปมหรือขี้ไหมให้หยุดและแกะออก


73 กรมหม่อนไหม (2.2.9) เมื่อเส้นไหมมีขนาดเล็กลงให้หยุด เติมรังไหมลงต้มเพิ่มครั้งละไม่เกิน 10 รัง และ รู้สึกว่าเส้นไหมมีขนาดใหญ่ขึ้น ให้ใช้ไม้คืบเกลี่ยรังไหมในหม้อต้มออกด้านข้าง หรือตักรังไหมในหม้อออก (2.2.10) การควบคุมอุณหภูมิน้ำต้มรังไหม ถ้าน้ำร้อนรังไหมจะเปื่อยเส้นไหมออกมาก บางทีหลุดออกมาทั้งรัง ให้เติมน้ำเย็นลงไป ถ้าน้ำเย็นเกินไปจะสาวไม่ค่อยออก ให้เพิ่มฟืนเชื้อเพลิงเข้าไปอีก และคอยควบคุมความร้อนของน้ำในหม้อต้มให้สม่ำเสมอตลอดเวลาการสาวไหม (2.2.11) เมื่อสาวเสร็จแล้ว ให้นำเส้นไหมทิ้งไว้ให้แห้งโดยมีวัสดุที่มีน้ำหนักพอประมาณ ทับไว้เช่น เมล็ดนุ่น ข้าวสาร ก้อนกรวดเม็ดเล็กที่ล้างสะอาด แล้วจึงนำไปเหล่งมัดทำไพและไจไหมต่อไป (3) มาตรฐานวิธีการสาวเส้นไหมสาวเลย หรือเส้นไหมรวด หรือไหม 2 วิธีการสาวเส้นไหมสาวเลย หรือไหมรวด หรือไหม 2 เป็นการสาวเส้นไหมจากการสาว ควบกันของเส้นใยทั้งหมดให้เสร็จในคราวเดียวกัน ทั้งรังไหมชั้นนอก(ปุยไหม )และรังไหมชั้นใน โดยไม่ได้ แบ่งเป็นไหม 3 (ไหมลืบ) และไหม 1 (ไหมน้อย) มาตรฐานในการปฏิบัติวิธีการและขั้นตอนการสาวไหม ดังนี้ (3.1) วิธีการสาวไหมด้วยพวงสาวไหมแบบพื้นบ้าน (3.1.1) การต้มรังไหม น้ำที่ใช้ต้มรังไหมสำหรับสาวไหมสอง ต้องสะอาดและมีคุณสมบัติ เช่นเดียวกับน้ำที่ใช้ต้มรังไหมสาวไหม1 และไหม 3 ควรใช้น้ำที่ต้มสาวไหมใหม่ เพราะจะทำให้เส้นไหมสวย มีสีไม่คล้ำ ต้มน้ำให้ร้อนอุณหภูมิประมาณ 85-90 องศาเซลเซียส หรือสังเกตมีไอน้ำและฟองอากาศขึ้น ทั่วปากหม้อต้ม หรือใช้นิ้วมือจุ่มดูรู้สึกร้อน (3.1.2) นำรังไหม ใส่ลงไปในหม้อต้มประมาณ 60-70รัง ใช้ไม้คืบกดรังไหมให้ จมน้ำ พลิกไปมา 3-4 ครั้ง นาน 1-2 นาที แล้วยกไม้คืบเกลี่ยรังไหมขึ้น ปมเส้นไหมจะหลุดออกจาก รังไหม และติดปลายไม้คืบมาด้วย (3.1.3) ยกไม้คืบขึ้นสูง ใช้มือซ้ายรวบเส้นไหมดึงขึ้นมา สอดเส้นไหมใส่เข้าไปในรูของพวง สาวดึงขึ้นไปพันลูกรอก 1 รอบ แล้วพันเกลียว 7-8 รอบ (3.1.4) ใช้มือซ้ายดึงปลายเส้นไหมผ่านหน้าขาซ้าย แล้วปล่อยให้เส้นไหมลงภาชนะที่ วางรองรับอยู่ด้านหลังทางด้านซ้ายมือ (3.1.5) ดึงเส้นไหมลงภาชนะให้สม่ำเสมอ ความเร็วประมาณ 40-50 ครั้ง/นาทีและช่วง ของการดึงเส้นไหมมีระยะจากการจับเส้นไหมถึงช่วงการปล่อยเส้นไหมลงภาชนะประมาณ 40-45 เซนติเมตร จะทำให้เส้นไหมวางเรียงกันในภาชนะสวยงามเมื่อนำมาเหล่งมัดใจไหมแล้วเส้นไหมจะตรง (3.1.6) ขณะสาวไหมให้ใช้ไม้คืบเกลี่ยรังไหมเข้ารวมกัน และบังคับรังไหมไม่ให้ลอยขึ้น ตามเส้นไหมเพราะจะทำให้เส้นไหมติด สาวไม่ได้ พยายามอย่าเกลี่ยรังไหมบ่อยเกินไปจะทำให้เส้นไหม มีปุ่มปม ติดออกมามาก และทำให้เส้นไหมขาด (3.1.7) ขณะเดียวกันก็ใช้สายตาสังเกตดูลักษณะรังไหมที่อยู่ในหม้อต้ม ถ้ามีรังเสีย รังเน่า ก็ตักออก ถ้าสังเกตรังไหมบางมองเห็นดักแด้ชัดเจนก็หยุด ตักรังไหม ดักแด้ออกครั้งละประมาณ 5-10 รัง แล้วเติมรังไหมใหม่เข้าไป 5-10 รัง/ครั้ง แล้วใช้ไม้คืบกดรังไหมที่เติมเข้าไปใหม่ให้จมน้ำแล้วทำการสาวต่อ (3.1.8) นอกจากใช้สายตาสังเกตรังไหมในหม้อต้มแล้ว ต้องสังเกตเส้นไหมที่สาวผ่านพวง สาวด้วยว่ามีปุ่มปมหรือขี้ไหมติดมา ถ้ามีขี้ไหม และมีสิ่งปลอมปนให้หยุดและแกะออก (3.1.9) เมื่อเส้นไหมมีขนาดเล็กลงให้หยุด เติมรังไหมลงต้มเพิ่มครั้งละไม่เกิน 5-10 รัง และรู้สึกว่าเส้นไหมมีขนาดใหญ่ขึ้น ให้ใช้ไม้คืบเกลี่ยรังไหมในหม้อต้มออกด้านข้าง หรือตักรังไหมในหม้อออก


74 มาตรฐานหม่อนไหม (3.1.10) การควบคุมอุณหภูมิน้ำต้มรังไหม ถ้าน้ำร้อนรังไหมจะเปื่อยเส้นไหมออกมาก บางทีหลุดออกมาทั้งรัง ให้เติมน้ำเย็นลงไป ถ้าน้ำเย็นเกินไปจะสาวไม่ค่อยออก ให้เพิ่มฟืนเชื้อเพลิงเข้าไปอีก และคอยควบคุมความร้อนของน้ำในหม้อต้มให้สม่ำเสมอตลอดเวลาการสาวไหม (3.1.11) เมื่อสาวเสร็จแล้ว ให้นำเส้นไหมทิ้งไว้ให้แห้งโดยมีวัสดุที่มีน้ำหนักพอประมาณ ทับไว้เช่น เมล็ดนุ่น ข้าวสาร ก้อนกรวดเม็ดเล็กที่ล้างสะอาด แล้วจึงนำไปเหล่งมัดทำไพและไจไหมต่อไป (3.2) วิธีการสาวด้วยพวงสาวไหมแบบปรับปรุง (3.2.1) การต้มรังไหม น้ำที่ใช้ต้มรังไหมสำหรับสาวไหมสองต้องสะอาดต้มน้ำให้ร้อน อุณหภูมิประมาณ 85-90 องศาเซลเซียส หรือสังเกตมีไอน้ำและฟองอากาศขึ้นทั่วปากหม้อต้ม หรือใช้นิ้ว มือจุ่มดูรู้สึกร้อน (3.2.2) นำรังไหม ใส่ลงไปในหม้อต้มประมาณ 60-70รัง ใช้ไม้คืบกดรังไหมให้จมน้ำ พลิกไปมา 3-4 ครั้ง นาน 1-2 นาที แล้วยกไม้คืบเกลี่ยรังไหมขึ้น ปมเส้นไหมจะหลุดออกจากรังไหม และ ติดปลายไม้คืบมาด้วย (3.2.3) ยกไม้คืบขึ้นสูง ใช้มือซ้ายรวบเส้นไหมดึงขึ้นมา สอดเส้นไหมใส่เข้าไปในรูของพวง สาวดึงขึ้นไปพันลูกรอก 2 รอก 1 รอบ แล้วพันเกลียวไม่น้อยกว่า 50-60 เกลียว แล้วผ่านเส้นไหมไปยังรอกที่ 3 (3.2.4) ใช้มือซ้ายดึงปลายเส้นไหมผ่านหน้าขาซ้าย แล้วปล่อยให้เส้นไหมลงภาชนะที่วาง รองรับอยู่ด้านหลังทางด้านซ้ายมือ (3.2.5) ดึงเส้นไหมลงภาชนะให้สม่ำเสมอ ความเร็วประมาณ 55-60 ครั้ง/นาทีและช่วง ของการดึงเส้นไหมมีระยะจากการจับเส้นไหมถึงช่วงการปล่อยเส้นไหมลงภาชนะประมาณ 40-45เซนติเมตร จะทำให้เส้นไหมวางเรียงกันในภาชนะสวยงามเมื่อนำมาเหล่งมัดใจไหมแล้วเส้นไหมจะตรง (3.2.6) ขณะสาวไหมให้ใช้ไม้คืบเกลี่ยรังไหมเข้ารวมกัน และบังคับรังไหมไม่ให้ลอยขึ้น ตามเส้นไหมเพราะจะทำให้เส้นไหมติด สาวไม่ได้ พยายามอย่าเกลี่ยรังไหมบ่อยเกินไปจะทำให้เส้นไหม มีปุ่มปม ติดออกมามาก และทำให้เส้นไหมขาด (3.2.7) ขณะเดียวกันก็ใช้สายตาสังเกตดูลักษณะรังไหมที่อยู่ในหม้อต้ม ถ้ามีรังเสีย รังเน่าก็ตักออก ถ้าสังเกตรังไหมบางมองเห็นดักแด้ชัดเจนก็หยุด ตักรังไหม ดักแด้ออกครั้งละประมาณ 5-10 รัง แล้วเติมรังไหมใหม่เข้าไป 5-10 รัง ต่อ ครั้ง แล้วใช้ไม้คืบกดรังไหมที่เติมเข้าไปใหม่ให้จมน้ำแล้วทำการสาวต่อ (3.2.8) นอกจากใช้สายตาสังเกตรังไหมในหม้อต้มแล้วต้องสังเกตเส้นไหมที่สาวผ่านพวง สาวด้วยว่ามีปุ่มปมหรือขี้ไหมติดมา ถ้ามีสิ่งปลอมปน หรือขี้ไหมให้หยุดและแกะออก (3.2.9) เมื่อเส้นไหมมีขนาดเล็กลงให้หยุด เติมรังไหมลงต้มเพิ่มครั้งละไม่เกิน 5-10 รัง และรู้สึกว่าเส้นไหมมีขนาดใหญ่ขึ้น ให้ใช้ไม้คืบเกลี่ยรังไหมในหม้อต้มออกด้านข้าง หรือตักรังไหมในหม้อออก (3.2.10) การควบคุมอุณหภูมิน้ำต้มรังไหม ถ้าน้ำร้อนรังไหมจะเปื่อยเส้นไหมออกมาก บางทีหลุดออกมาทั้งรัง ให้เติมน้ำเย็นลงไป ถ้าน้ำเย็นเกินไปจะสาวไม่ค่อยออก ให้เพิ่มฟืนเชื้อเพลิงเข้า ไปอีก และคอยควบคุมความร้อนของน้ำในหม้อต้มให้สม่ำเสมอตลอดเวลาการสาวไหม (3.2.11) ทำการสาวไหมสองตามขั้นตอนวิธีการดังกล่าวข้างต้นตามข้อ (3.2.4) –ข้อ (3.2.10) จนรังไหมที่เตรียมไว้หมด (3.2.12) เมื่อเห็นว่าน้ำในหม้อต้มมีสีคล้ำให้เปลี่ยนน้ำสำหรับต้ม และสาวไหม (3.2.13) เมื่อสาวเสร็จแล้ว ให้นำเส้นไหมทิ้งไว้ให้แห้งโดยมีวัสดุที่มีน้ำหนักพอประมาณ ทับไว้เช่น เมล็ดนุ่น ข้าวสาร ก้อนกรวดเม็ดเล็กที่ล้างสะอาด แล้วจึงนำไปเหล่งมัดทำไพและไจไหมต่อไป


75 กรมหม่อนไหม 5.1.2.4 มาตรฐานวิธีการทำไจหรือเข็ดไหม เส้นไหมพันธุ์ไทยพื้นบ้านที่ได้จากการสาวด้วยพวงสาวไหมแบบพื้นบ้านและพวงสาวไหมแบบ ปรับปรุงเด่นชัย 1 เส้นไหมจะกองรวมกันในภาชนะที่รองรับ ซึ่งไม่สามารถจะนำไปใช้ประโยชน์ได้ทันที ผู้สาวไหมจะ ต้องทำกระบวนการต่อไปอีก คือ การกรอเส้นไหมเข้าอัก การแกะทำความสะอาดเส้นไหม การตีเกลียวเส้นไหม การเหล่งไหม และการทำไพ เพื่อทำเส้นไหมให้อยู่ในรูปไจไหมที่ได้มาตรฐานพร้อมใช้ สำหรับการนำเส้นไหมไปฟอกกาวไหมออก เพื่อย้อมสีสำหรับใช้ในกระบวนการทอผ้าไหม หลักการสำคัญ ของการสาวไหม คือ การพันเกลียวระหว่างรอบสาวไหมเพื่อให้เส้นใยหลายๆ เส้นที่สาวมาจากหลายๆ รัง ดึงมารวมกันเป็นเส้นเดียวนั้นให้เกิดการรัดตัวแน่น เส้นไม่แตก และเส้นกลม การสาวไหมทุกครั้ง ต้องพันเกลียวซึ่งเป็นหัวใจหลักของการสาวไหมที่จำเป็นต้องปฏิบัติทุกครั้ง 1. การกรอไหม หรือการเหล่ง (Re-reeling) คือการนำเส้นไหมที่สาวได้มากรอทำเข็ดไหม (ไจไหม) โดยให้มีเส้นรอบ วง 135-155 เซนติเมตร ตามมาตรฐาน ทำการมัดเงื่อนเส้นไหมให้เรียบร้อย โดย ใน 1 เข็ดจะมีเงื่อนปลาย 2 อัน นำเงื่อนในซึ่งเป็นเงื่อนที่เริ่มการกรอกับเงื่อนนอก ซึ่งเป็นเงื่อนที่กรอเส้นไหมเสร็จ นำมาผูกเข้ากับเชือกด้วยด้ายสีแดง สีน้ำเงิน และสีเหลือง มัดเงื่อนให้เรียบร้อย แล้วทำการมัดเป็นเข็ด โดยแบ่งเป็น 3-4 ช่วง (พื้นบ้านเรียกว่าทำพลอง) ตลอดตามความยาวของเส้นรอบวงเข็ดโดย 1 ช่วง (พลอง) จะแบ่งแยกออกเป็น 3-4 เปลาะ(หรือไน)(พื้นบ้านเรียกทำไพ) แล้วทำการ ร้อยด้ายขึ้นลง เพื่อโอบเส้นไหมไว้ไม่ให้กระจาย(จะง่ายต่อการฟอกย้อมถ้าผู้ทอ จะนำไปใช้เลยหรือง่ายต่อการไปควบและทำเกลียวในขั้นตอนต่อๆไป) ทำเช่นนี้ จนครบทั้ง 4-6 ช่วง ส่วนไหมหัตถกรรมมักนิยมน้ำหนักขนาด ไม่เกิน 100 กรัม เส้นไหม ที่ได้จากการกรอยังไม่ผ่านการตีเกลียวนี้เรียกกันว่าเส้นไหมดิบ(Raw silk) ตามมาตรฐานการกรอไหมต้องกรอแบบสาน(Diamond cross) คือการจัดเรียง เส้นไหมในเข็ดให้เป็นแบบไขว้ไป-มา ซึ่งจะสานกันเป็นเหมือนร่างแหทำให้ง่าย ต่อการนำไปสู่กระบวนการผลิตผ้า ภาพที่ 5.20 แสดงการกรอเส้นไหม จากภาชนะที่รองรับ เส้นไหมเข้าอัก ภาพที่ 5.21 แสด งอุปก รณ์แล ะ วิธีก า รเหล่ ง(ก า รก รอ)เส้นไหมแบบสาน (Diamond cross) จากอัก ภาพที่ 5.22 แ ส ด ง ขั้น ต อนแ ล ะ มาตรฐานวิธีการทำ ไพและการมัดเงื่อนไจ ไหม


76 มาตรฐานหม่อนไหม 5.1.2.5 มาตรฐานคุณลักษณะเส้นไหมไทย เส้นไหมพันธุ์ไทยพื้นบ้านที่ใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตผ้าไหมไทยภายใต้การรับรองตราสัญลักษณ์ นกยูงพระราชทานสีทอง (Royal peacock logo) นั้น เส้นไหมที่ได้จากกระบวนการผลิตในข้อ 5.1 สามารถ จำแนกชั้นคุณภาพมาตรฐาน(เกรด) ของเส้นไหมไทยพื้นบ้านที่สาวด้วยมือ เป็น 3 ประเภท คือ เส้นไหมหนึ่ง หรือไหมน้อย) เส้นไหมสองหรือไหมสาวเลย และเส้นไหมสามหรือไหมลืบ เส้นไหมแต่ไจควรมีเส้นรอบวง ของไจไหมระหว่าง 135 -155 เซนติเมตร และการทำไพ ควรทำไพอย่างน้อย 6 จุด และแต่ละจุดมีการ ร้อยเส้นด้ายเพื่อแบ่งเส้นไหมออกจากกันไม่น้อยกว่า 5 ส่วน (สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหาร แห่งชาติ, 2555) 5.2 มาตรฐานการใช้สีในการฟอกย้อมสีไหม ตามระเบียบ หลักเกณฑ์ และข้อก�ำหนดการใช้เครื่องหมายรับรองผลิตภัณฑ์ผ้าไหมไทย โดยกรมหม่อนไหม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พ.ศ. 2554 แก้ไขเพิ่มเติม(ฉบับที่ 1) พ.ศ. 2554 ได้ก�ำหนดผลิตภัณฑ์ผ้าไหมไทยชนิดนกยูงสีทอง(Royal Thai silk) เกี่ยวกับการใช้สีในการฟอกย้อมสีไหม ควรใช้วัสดุธรรมชาติหรือสารเคมีที่ไม่ท�ำลายสิ่งแวดล้อม ซึ่งในการตรวจประเมินเพื่อขอรับการรับรองจะใช้ เอกสารการบันทึกชนิดและปริมาณของวัสดุที่ใช้สีที่ใช้ทั้งสีเคมีและการการใช้วัสดุธรรมชาติพร้อมเก็บเอกสาร และหลักฐานไว้เพื่อการตรวจสอบส�ำหรับกรณีใช้สีเคมี ในการออกใบรับรองเพื่ออนุญาตให้ติดตรานกยูง พระราชทานสีทอง นั้น ผู้ตรวจประเมินจะทดสอบเฉพาะการตกสีของผ้าไหมตามวิธีการทดสอบ 2 วิธีคือ วิธีการซัก และวิธีการใช้ส�ำลีชุดเช็ด รายละเอียดตามภาคผนวก เพื่อประเมินการตกสี หากพบว่ามีการ ตกสีของผ้าไหมตามเกณฑ์การพิจารณาตัดสินการตกสีตามคู่มือของกรมหม่อนไหม (กรมหม่อนไหม, 2554) ผ้าไหมชิ้นนั้นก็ไม่สามารถผ่านการรับรองการใช้ตรานกยูงพระราชทานสีทองได้ซึ่งสะท้อนถึงการไม่ได้ มาตรฐานของสีที่ใช้และวิธีการในการฟอกย้อมสีไหมด้วย 5.3. มาตรฐานกระบวนการทอผ้าไหม ตามระเบียบ หลักเกณฑ์ และข้อกำหนดการใช้เครื่องหมายรับรองผลิตภัณฑ์ผ้าไหมไทย โดยกรมหม่อนไหม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์พ.ศ. 2554 แก้ไขเพิ่มเติม(ฉบับที่1) พ.ศ. 2554 ได้กำหนด ผลิตภัณฑ์ผ้าไหมไทยตรานกยูงพระราชทานสีทอง(Royal Thai silk) จะต้องใช้กรรมวิธีการทอดั้งเดิม กล่าวคือ ทอโดยอุปกรณ์และวิธีการทอที่เป็นภูมิปัญญาท้องถิ่น เพื่อการอนุรักษ์และคุ้มครองภูมิปัญญาดั้งเดิมไว้ใน คงอยู่ต่อไป(กรมหม่อนไหม, 2554) เพื่อสืบสานพระปณิธานของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ องค์พระอุปถัมภ์ไหมไทยจนทำให้ไหมไทยมีชื่อเสียงไปทั่วโลก กรมหม่อนไหมจึงได้กำหนดรายละเอียด ข้อกำหนดและเกณฑ์ในการตรวจประเมิน ให้สอดคล้องกับข้อกำหนดตามข้อบังคับผลิตภัณฑ์ผ้าไหมไทย ตรานกยูงพระราชทานสีทอง(Royal Thai silk) ปี พ.ศ. 2554 ในประเด็นที่สำคัญในกระบวนการทอผ้า ไหมไทย 3 ประเด็น ได้แก่ อุปกรณ์การทอผ้า(กี่) วิธีการทอ และองค์ประกอบผลิตภัณฑ์(กรมหม่อนไหม, 2554) ดังนั้นแนวทางและมาตรฐานการปฏิบัติสำหรับขั้นตอนในการทอผ้าไหมไทยภายใต้ข้อกำหนดและข้อบังคับ ของผลิตภัณฑ์ผ้าไหมไทยตรานกยูงพระราชทานสีทอง(Royal Thai silk) สามารถดำเนินการได้ดังนี้


77 กรมหม่อนไหม 5.3.1. กี่ทอผ้า การทอผ้าไหมภายใต้ข้อบังคับเครื่องหมายรับรองผลิตภัณฑ์ผ้าไหมไทย ตรานกยูงพระราชทานสีทอง ต้องใช้กี่ทอผ้าที่เป็นกี่ทอมือแบบพื้นบ้านพุ่งกระสวย ด้วยมือ สำหรับการทอผ้าไหมทุกประเภท โดยกี่ทอผ้าควรทำด้วยไม้เนื้อแข็ง มีสภาพที่สมบรูณ์แข็งแรง โดยเฉพาะขากี่ทอผ้าควรวางบนพื้นที่เรียบและ ไม่มีความลาดเอียง เพื่อทำให้การกระทบฟืมในระหว่างการทอผ้าได้แน่นและ สม่ำเสมอทำให้เนื้อเนื้อผ้าไหมมีความสม่ำเสมอตลอดทั้งผืน 5.3.2. มาตรฐานวิธีการทอ ปัจจัยที่สำคัญในขั้นตอนการทอ สำหรับการผลิตผ้าไหมให้มีคุณภาพ ซึ่งผู้ทอผ้าไหมต้องให้ความระมัดระวัง มีดังนี้(สนั่น บุญลา, 2555) • ตรวจสอบเส้นไหมยืนให้ขึงบนกี่ให้ตึงอย่างสม่ำเสมอ • การทอผ้าไหมเมื่อเหยียบเท้าจนสุด เส้นไหมยืนชุดล่างควรแนบราง กระสวย • ตะกอต้องไม่เอียงด้านใดด้านหนึ่งขณะทอผ้าไหม • การกระทบผ้าของฟืมควรสม่ำเสมอ 5.3.3 มาตรฐานอื่นๆ การผลิตผ้าไหมไทยภายใต้มาตรฐานนกยูงพระราชทานสีทอง ที่ใช้ เส้นไหมไทยพื้นบ้านที่ถือเป็นผลผลิตจากภูมิปัญญาขั้นสูงของการปลูกหม่อน เลี้ยงไหมของไทย สำหรับการผลิตผ้าไหมซึ่งคุณลักษณ์ของผ้าไหมที่ดีมีคุณภาพนั้น ผ้าไหมที่ได้ต้องไม่มีรอยสกปรกอยู่ในสภาพสมบรูณ์เรียบร้อยตลอดทั้งผืน ลวดลาย เด่นชัด เนื้อผ้าไหมมีความสม่ำเสมอทั้งตามแนวเส้นไหมยืนและเส้นไหมพุ่ง และ ต้องไม่มีข้อบกพร่องที่เกิดจากกรรมวิธีผลิตให้เห็นอย่างชัดเจนหรือมีผลต่อการ ใช้งาน ได้แก่ สีและเนื้อผ้าไม่สม่ำเสมอ ลายผิดหรือลายไม่ต่อเนื่อง ผ้ามีรอยแยก ผ้าเป็นรูรอยเส้นไหมพุ่งขาดหรือตึงหรือหย่อน ริมผ้าไหมไม่เรียบร้อย ภาพที่ 5.23 แสดงกี่ทอผ้าพื้นบ้าน สำหรับทอผ้าลายขัด (ผ้าพื้น)ตามมาตรฐาน นกยูงพระราชทานสี ภาพที่ 5.24 แสดงกี่ทอผ้าพื้นบ้าน พุ่ งก ระสวยด้วยมือ สำหรับทอผ้าสาเกต ตามมาตรฐานนกยูง พระราชทานสีทอง


78 มาตรฐานหม่อนไหม แผนภูมิที่ 1 แสดงกระบวนการรับรองคุณภาพผลิตภัณฑ์ผ้าไหมไทย รับคำ�ขอ/กรอกเอกสาร/ยื่นคำ�ขอ ตรวจสอบเอกสาร ทบทวนและพิจารณาให้การรับรอง ออกใบรับรอง/ติดดวงตรานกยูง ตรวจติดตาม ตรวจประเมินสถานที่ผลิต ระบบการผลิต และคุณภาพผลิตภัณฑ์ ครบ ไม่ครบ ไม่ผ่าน ไม่ผ่าน ปรับปรุง ปรับปรุง ปรับปรุง การตรวจสอบการตกสี ในการตรวจสอบการตกสีผลิตภัณฑ์ผ้าไหมไทย ตามข้อบังคับของกรมหม่อนไหมว่าด้วยการใช้ เครื่องหมายรับรองผลิตภัณฑ์ผ้าไหมไทย พ.ศ. 2554 ทั้ง 4 ชนิด ได้แก่ Royal Thai Silk , Classic Thai Silk , Thai Silk และ Thai Silk Blend มีรายละเอียดดังนี้ 1. วัสดุอุปกรณ์ : 1.1 น�้ำดื่มบริโภค 1.2 สบู่มาตรฐาน (Standard soap) ISO 105:1989:Co1 to Co5 1.3 ส�ำลีแผ่น (ไม่มีสารเรืองแสง) ขนาดไม่น้อยกว่า 5×6 เซนติเมตร หนา 0.5 เซนติเมตร 1.4 ภาชนะส�ำหรับใส่ผ้าซัก สีขาว ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 15-20 เซนติเมตร จ�ำนวน 6 ใบต่อชุด 1.5 เครื่องชั่ง 0-100 กรัม ที่มีความละเอียด 0.01 กรัม 1.6 กระบอกตวงขนาด 300 มิลลิลิตร 1.7 กระบอกตวงขนาด 1,000-2,000 มิลลิลิตร 1.8 กระบอกฉีด (Syringe) หรือ กระบอกตวง ขนาด 50-100 มิลลิลิตร 1.9 เทอร์โมมิเตอร์(0-100 องศาเซลเซียส) 1.10 กรรไกรตัดผ้า ภาคผนวก การตรวจสอบการตกสี


79 กรมหม่อนไหม 1.11 แท่งแก้วหรือแท่งพลาสติก 1.12 กระติกน�้ำร้อน 1.13 นาฬิกาจับเวลา 1.14 เครื่องคิดเลข 2. วิธีปฏิบัติงาน 2.1 การเตรียมสารละลายสบู่มาตรฐาน 1) ชั่งสบู่มาตรฐาน (Standard soap) น�้ำหนัก 2 กรัม 2) ละลายสบู่มาตรฐาน ในน�้ำอุ่นอุณหภูมิประมาณ 70-80 องศาเซลเซียส ปริมาตร 100 มิลลิลิตร ในกระบอกตวงขนาด 300 มิลลิลิตร 3) ใช้แท่งแก้วคนให้สบู่ละลาย 4) เทใส่กระบอกตวงขนาด 1,000-2,000 มิลลิลิตร แล้วเติมน�้ำดื่มบริโภคให้ได้ปริมาตร ทั้งหมด 1,000 มิลลิลิตร ใช้แท่งแก้วคนให้สบู่ละลายเข้ากัน 2.2 การตรวจสอบการตกสีโดวิธีการซัก 1) ตัดผ้าไหมที่จะทดสอบซัก ขนาด 35× เซนติเมตร หรือ เส้นไหมแต่ละสีน�้ำหนักประมาณ 0.3-0.5 กรัม (ในกรณีที่ไม่สามารถตัดเนื้อผ้าได้) จ�ำนวน 2 ชิ้นๆแรกส�ำหรับทดสอบการตกสี ส่วนอีกชิ้น ส�ำหรับเย็บติดในแบบทดสอบการตกสี(แบบ กมม.03 – 2, 04 – 2, 05 – 2, 06 - 2) 2) ใช้กระบอกฉีด (Syringe) หรือกระบอกตวง ตวงน�้ำสบู่ที่ละลายแล้วปริมาตร 50 มิลลิลิตร เทลงภาชนะสีขาวส�ำหรับใส่ผ้า/เส้นไหมซัก เตรียม 3 ชุด 3) ตวงน�้ำเปล่าปริมาตร 50 มิลลิลิตร ส�ำหรับล้างผ้า/เส้นไหมที่ซักแล้ว เตรียม 3 ชุด 4) น�ำผ้าไหม/เส้นไหม ที่จะทดสอบการตกสีลงซัก ใช้แท่งแก้วหรือแท่งพลาสติกกดผ้า/ เส้นไหมให้น�้ำซึมเข้าจนทั่ว แล้วคนเบาๆ 5 นาทีน�ำผ้าขึ้นจากน�้ำสบู่ บีบน�้ำออกให้หมาดๆ ตรวจดูสีazของ น�้ำสบู่ แล้วบันทึกผลลงในแบบ กมม.03-2 หรือ กมม.04-2 หรือ กมม.05-2 หรือ กมม.06-2 และน�ำผ้า/ เส้นไหมนั้นล้างน�้ำ 5) ท�ำซ�้ำตามข้อ 4 อีก 2 ครั้ง รวมการซักและล้างทั้งหมด 3 ครั้ง 2.3 การตรวจสอบการตกสีโดยวิธีการใช้ส�ำลีชุบเช็ด (ใช้เฉพาะกรณีที่ตัดผืนผ้าไม่ได้เช่น ผ้าพันคอ ผ้าคุมไหล่ผ้าผืนเฉพาะบางประเภท ที่ไม่สามารถ ตัดตัวอย่างได้) 1) น�ำส�ำลีแผ่นชุบสารละลายสบู่มาตรฐานให้ชุ่มจ�ำนวน 2 แผ่น 2) น�ำไปวางประกบบนผ้าไหมที่ต้องการทดสอบตกสีโดยทดสอบบริเวณจุดที่ห่างจากปลาย ผ้าลึกเข้าไปในผืนผ้า 2.5 ซม. (1นิ้ว) หรือจุดที่คาดว่าสีจะตกทุกสีเช่น จุดแต้มของผ้ามัดหมี่ 3) กดและถูส�ำลีกับผืนผ้า ประมาณ 5 นาทีกระท�ำเช่นนี้รวม 3 ครั้ง ที่จุดเดิม โดย เปลี่ยนส�ำลีและชุบสารละลายสบู่มาตรบานใหม่ทุกครั้ง สังเกตว่ามีน�้ำซึมลงในผืนผ้าผ่านไปถึงด้านล่าง ถ้ามีการตกสีจะเห็นสีติดมากับส�ำลีทุกๆครั้ง บันทึกผลแบบทดสอบในแบบบันทึกผล กมม.03-2 หรือ กมม. 04-2 หรือ กมม.05-2 หรือ กมม.06-2 4) ถ้าเป็นผ้ามีลายและมีหลายสีให้ท�ำการทดสอบให้ครอบคลุมครบทุกสี 5) ติดรูปถ่ายผืนผ้าพร้อมแนบเส้นไหม/เส้นใยอื่นที่ทดสอบในแบบบันทึกผล กมม.03-2 หรือ กมม.04-2 หรือ กมม.05-2 หรือ กมม.06-2


80 มาตรฐานหม่อนไหม 3. แบบฟอร์ม 3.1 แบบบันทึกผล กมม.03-2 หรือ กมม.04-2 หรือ กมม.05-2 หรือ กมม.06-2 เกณฑ์การพิจารณาตัดสินการตกสี วิธีที่ 1 โดยการซัก กรณีที่ ครั้งที่ 1 ครั้งที่ 2 ครั้งที่ 3 ผลการพิจารณา 1 ไม่ตก จาง จาง ไม่ผ่าน 2 ไม่ตก จาง ตกเข้ม ไม่ผ่าน 3 จาง จาง ไม่ตก ไม่ผ่าน 4 ตกเข้ม จาง ไม่ตก ไม่ผ่าน 5* จาง ไม่ตก ไม่ตก ผ่าน 6 ไม่ตก ไม่ตก ไม่ตก ผ่าน หมายเหตุ *ให้ผ่าน ถ้าเป็นการย้อมด้วยสีธรรมชาติกรณีย้อมสีเคมีถือว่าไม่ผ่าน วิธีที่ 2 โดยการใช้สำ�ลีชุบเช็ด กรณีที่ ครั้งที่ 1 ครั้งที่ 2 ครั้งที่ 3 ผลการพิจารณา 1 ตกเข้ม ตกเข้ม ตกเข้ม ไม่ผ่าน 2 ตกเข้ม ตกเข้ม จาง ไม่ผ่าน 3 ตกเข้ม จาง จาง ไม่ผ่าน 4 ตกเข้ม จาง ไม่ตก ไม่ผ่าน 5 จาง จาง ไม่ตก ไม่ผ่าน 6* จาง ไม่ตก ไม่ตก ผ่าน 7 ไม่ตก ไม่ตก ไม่ตก ผ่าน หมายเหตุ *ให้ผ่าน ถ้าเป็นการย้อมด้วยสีธรรมชาติกรณีย้อมสีเคมีถือว่าไม่ผ่าน ข้อมูลวิธีการทดสอบจากคณะผู้ทรงคุณวุฒิณ 20 ต.ค. 2550


Click to View FlipBook Version