รายงานฉบบั สมบูรณ์
โครงการนำ้ ขงิ เพือ่ สุขภาพ
ประจำปกี ารศึกษา 2564
สาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์และสงั คมศาสตร์
มหาวทิ ยาลัยราชภฏั สรุ าษฎรธ์ านี
รายงานฉบับสมบรู ณ์
โครงการ นำ้ ขงิ เพ่ือสขุ ภาพ
ประจำปกี ารศึกษา 2564
จัดทำโดย
นางสาว ปิยพร ผลมาตร์ 6216209001164
นางสาว ศศิมณฑา สุขปาน 6216209001175
เสนอ
อาจารย์ อยบั ซาดัคคาน
สาขาวชิ ารฐั ประศาสนศาสตร์ คณะมนษุ ยศาสตร์และสังคมศาสตร์
มหาวิทยาลยั ราชภัฏสรุ าษฎร์ธานี
ก
คำนำ
โครงการน้ำขิงเพื่อสุขภาพจัดทำขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อการศึกษานำขิงมาแปลรูปเป็นน้ำสกัด
เพื่อส่งเสริมการประกอบอาชีพและสร้างรายได้ เพื่อพัฒนานำของมาเพื่อเป็นอาหารดูแลสุขภาพ โดย
ดำเนนิ โครงการอย่างเปน็ ระบบ นับต้ังแตก่ ารศึกษาสภาพปัจจุบนั ปญั หาและความตอ้ งการ การกำหนดจดุ
พัฒนา การวางแผน การปฏิบัติงานตามแผน การนิเทศติดตามผล และประเมินโครงการ เพื่อนำผลการ
ประเมนิ โครงการไปใชใ้ นการพฒั นางานอย่างต่อเนือ่ ง และเปน็ ระบบ ผลการดำเนินงานช่วยใหน้ กั ศึกษาได้
พัฒนากระบวนการการเรยี นรู้และสามารถนำไปปฏิบัติเพื่อทีจ่ ะพัฒนาทรัพยากรที่มีอยูภ่ ายในชุมชนสร้าง
เป็นผลติ ภัณฑ์และเป็นการเสริมสร้างรายได้และตอ่ ยอดเป็นอาชีพไดใ้ นอนาคต สง่ ผลให้นกั ศึกษามคี ณุ ภาพ
ตามจุดหมายของหลกั สตู ร
ขอขอบคุณอาจารย์อายับ ซาดันคาน ที่ได้ให้คำปรึกษา คำแนะนำ และคอยให้แนวทางในการ
ปฏบิ ัติโครงการ ขอขอบคุณมารดาของสมาชิกในกลุ่มที่คอยใหค้ ำแนะนำ คำปรกึ ษาในการปฏิบัติโครงการ
และขอขอบคุณประชาชนในชุมชนบ้านทับปุด ที่ได้ให้ความร่วมมือในการดำเนินโครงการน้ำขิงเพื่อ
สุขภาพและประเมินโครงการน้ำขิงเพื่อสุขภาพ ทำให้การดำเนินงานบรรลุผลตามเป้าหมายที่กำหนด ซ่ึง
ประโยชน์ที่ได้รับคือน้ำขิงเพื่อนำไปดื่มเพื่อเสริมสร้างภูมิต้านทานจากโควิดและนำไปเป็นผลิตภัณฑ์ที่มี
ประสิทธภิ าพในชุมชนให้มคี วามก้าวหน้าตอ่ ไป
ปิ ยพร ผลมาตร์
( นางสาวปิ ยพร ผลมาตร์ )
ตาแหน่ง หวั หนา้ โครงการ
สารบญั ข
คำนำ หน้า
สารบัญ ก
สารบัญตอ่ ข
สารบัญภาพ ค
สารบญั ตาราง ง
บทคัดย่อ จ
บทที่ 1 บทนำ 1
2
ความเป็นมาและความสำคัญของโครงการ 2
วัตถปุ ระสงคข์ องโครงการ 2
ขอบเขตของโครงการ 2
เปา้ หมายของโครงการ 3
งบประมาณของโครงการ 3
ปจั จัยในการดำเนินโครงการ 4
กจิ กรรมในการดำเนนิ งานโครงการ 5
ระยะเวลาดำเนินงานตามโครงการ 5
นิยามศพั ท์ 6
ประโยชน์ที่คาดวา่ จะได้รบั 6
กระบวนการดำเนินโครงการ 6
บทท่ี 2 เอกสารและแนวคิด ทฤษฎที ่ีเกีย่ วข้อง 9
แนวคดิ ทฤษฎีท่เี กี่ยวกับการดำเนินโครงการ 9
หลักการแนวคดิ ทฤษฎที ่เี ก่ียวกบั การประเมนิ ผลโครงการ 9
กรอบแนวคดิ การประเมินผลโครงการ 33
บทที่ 3 วธิ ีการประเมนิ โครงการ 35
รูปแบบการประเมินโครงการ 35
วธิ กี ารการประเมนิ โครงการ 35
ประชากรกลุ่มตัวอย่าง 35
เครือ่ งมือทใ่ี ช้ในการประเมนิ โครงการ 35
การวเิ คราะหข์ ้อมูลเชงิ คุณภาพ 36
บทที่ 4 การประเมินผลโครงการ 39
สารบญั (ต่อ) ค
ผลประเมินโครงการขอ้ มลู ท่ัวไปผู้ตอบแบบสอบถาม หนา้
ผลการประเมนิ ดา้ นสภาวะแวดล้อม 39
ผลการประเมนิ ดา้ นปจั จัย 40
ผลการประเมนิ ดา้ นกระบวนการ 42
ผลการประเมินดา้ นผลผลิต 44
บทท่ี 5 สรุปผล อภิปรายผล และขอ้ เสนอแนะ 46
สรปุ ผลการประเมินด้านสภาวะแวดล้อม 49
สรุปผลการประเมินด้านปัจจัย 49
สรปุ ผลการประเมินด้านกระบวนการ 49
สรปุ ผลการประเมินด้านผลผลติ 49
ขอ้ เสนอแนะ 49
บรรณนกุ รม 49
ภาคผนวก 50
ภาคผนวก ก แบบประเมินของโครงการ 51
ภาคผนวก ข รูปภาพ 52
61
สารบญั ภาพ ง
ภาพที่ 1 หลักการ PDCA หน้า
ภาพที่ 2 หลักการประเมินผลรปู แบบ CIPP MODEL 30
ภาพที่ 3 กรอบแนวคดิ การประเมนิ ผลโครงการ 33
ภาพที่ 4 รปู แบบการประเมินโครงการแบบ CIPP MODEL 33
35
สารบญั ตาราง จ
ตารางที่ 1 ระยะเวลาดำเนินงานตามโครงการ หน้า
ตารางท่ี 2 ขั้นตอน/วธิ กี ารดำเนนิ งาน (ตามกระบวนการ PDCA) 5
8
จ
1
บทคดั ย่อ
ช่ือเร่อื ง การประเมนิ โครงการ น้ำขงิ เพ่ือสขุ ภาพ
ผู้รบั ผดิ ชอบ นางสาวปยิ พร ผลมาตร์
นางสาวศศมิ ณฑา สุขปาน
ระยะเวลาการประเมินโครงการ
ระยะเวลาดำเนนิ โครงการและทำการประเมนิ โครงการ วันที่ 1 เดือน กันยายน 2564 ถงึ
วนั ท่ี 25 ตุลาคม 2564
วตั ถุประสงค์โครงการ
1.เพือ่ ไดศ้ ึกษาค้นควา้ เกีย่ วกับข้ันตอนในการทำนำ้ ขิง
2.เพื่อไดร้ ถู้ ึงประโยชนแ์ ละสรรพคุณของขิงรวมถึงการแปรรปู ของขิง
3.เสรมิ สรา้ งรายไดใ้ ห้แกต่ นเอง
วิธีดำเนนิ โครงการ
การประเมนิ โครงการ นำ้ ขงิ เพอ่ื สุขภาพ ดำเนนิ ในระหว่าง วันท่ี 1 กันยายน พ.ศ.
2564 ถึง วันที่ 25 ตุลาคม พ.ศ.2564 โดยใชก้ ลุ่มตวั อย่างประกอบด้วย ประชาชนในชุมชนบ้านทบั ปดุ
อำเภอ ทับปุด จงั หวดั พังงา จำนวน 20 คน
เครือ่ งมือที่ใช้ประเมนิ โครงการคือ
การประเมนิ โครงการนำ้ ขิง ใช้รปู แบบการประเมิน CIPP Model
2
บทที่ 1
บทนำ
ความเป็นมาและความสำคัญของโครงการ
ปจั จบุ นั น้ีการเป็นไข้หวัดหรือปว่ ยเปน็ สาเหตสุ ำคญั ของมนุษย์ทัง้ โลก เพราะอาจจะทำให้รา่ งกาย
ของเราทรดุ โทรมในการใชช้ ีวิตประจำวันไม่สะดวกสบาย เนอื่ งจากในสงั คมของเราในขณะนมี้ เี ชื้อโรคและ
ส่งิ ทีเ่ ป็นพิษแปลกปลอมมาเปน็ จำนวนมาก ท้งั ส่ิงแวดล้อมและบรรยากาศในสมัยนำ้ ไมเ่ ออ้ื อำนวยในการ
ปฏบิ ัติตวั ละการใช้ชวี ติ ของมนษุ ยแ์ ละอกี หลายๆอยา่ งและอีกหลายปจั จัย (กรณิศ รัตนามหทั ธนะ ; 2559)
พวกเราเลยมีวธิ ีแก้ไขปญั หาการป่วยไข้ด้วยวธิ ธี รรมชาตินัน้ คือสมุนไพร “น้ำขิง” เนอ่ื งจากใน
สมยั นใี้ นประเทศและสังคมของเรามีวัฒนธรรมและส่ิงต่างๆทีป่ ะปนและเผยแพร่มาจากประเทศเพอื่ นบา้ น
และต่างชาติจึงทำให้การดแู ลรักษาผู้ป่วยของไทยหายไป ท้งั สิ่งของและวิธกี ารรักษาผ้ปู ่วยดว้ ยวิธีตา่ งๆ
ซ่งึ ก็มียาปฏิชีวนะ ที่สามารถรกั ษาอาการไข้ของผคู้ นทีไ่ ม่สบายได้ เม่ือรับประทานเขา้ ไปไดผ้ ลอยา่ งรวดเรว็
แตก่ เ็ ชน่ เดียวกนั เมอื่ มีข้อดีแลว้ ข้อเสยี ของรา่ งกาย เกิดการกดภมู ิต้านทานของรา่ งกายรบกวนการทำงาน
ของยาชนิดอน่ื และอกี มากมาย ซึ่งเป็นอันตรายต่อร่างกายเปน็ อยา่ งมาก ดังน้นั น้ำขิงทเ่ี ป็นสมนุ ไพร
ธรรมชาติและหาไดง้ ่ายในตามบ้านเรอื นของเราเองกส็ ามารถรกั ษาอาการเปน็ ไข้หวัดได้ ซง่ึ ไม่เป็นอันตราย
ของเราแถมยงั สามารถอาการได้อย่างหายขาดไม่เรือ้ รังได้ และมิใช่วา่ น้ำขิงมารกั ษาอาการไขห้ วดั อย่าง
เดยี วน้ำขิงเปน็ สมุนไพรท่รี ับประทานแลว้ ไมเ่ ป็นอนั ตรายแล้วยงั ทำใหช้ ุ่มคอเม่ือรับประทานเข้าไป และอกี
หลายๆสรรพคุณท่ีสามารถไปรกั ษาฟ้ืนฟูรา่ งกายของเราไดอ้ กี มากมาย
วัตถุประสงค์ของการประเมินโครงการ
1. เพ่ือพัฒนาคณุ ภาพชวี ิตของตนให้มีความเป็นอย่ทู ่ดี ีข้ึน ในช่วงสถานการณ์โควดิ -19
2. เพือ่ สร้างความมัน่ คงทางอาหาร
3. เพื่อให้ร้จู ักการแบ่งปนั ให้แกผ่ ้อู ื่น
ขอบเขตของโครงการ
ทำการศกึ ษาเกย่ี วกับ “สมุนไพรน้ำขงิ ” ศึกษาจากผู้รู้วธิ ีการทำน้ำขิงและภูมิปัญญาของชาวบ้าน
ในท้องถิ่นระยะเวลาในการทำรายงานและศึกษาคน้ ควา้ ภายในเวลา 1 เดอื น
3
เป้าหมายของโครงการ
ด้านปริมาณ มีผลิตภัณฑน์ ำ้ ขงิ จำนวน 20 ขวด
ด้านคุณภาพ ทกุ คนไดแ้ นวทางในการนำขิงมาแปลรปู เป็นผลิตภณั ฑน์ ้ำขิงเพอ่ื สุขภาพและเป็น
ประโยชน์ตอ่ ผู้บรโิ ภค
งบประมาณ
งบประมาณในการดำเนนิ โครงการมาจากสมาชิกในกลุ่มรวมกันเปน็ เงนิ จำนวน 276 บาท ในการ
ปฏบิ ตั ิโครงการ โดยวัสดุอุปกรณ์ในการดำเนนิ โครงการบางสว่ นมไี ว้อยูแ่ ล้ว ซึ่งสามารถจัดทำเปน็ ตาราง
แจกแจงการใชง้ บประมาณในการดำเนินโครงการได้
ตารางการใช้งบประมาณ
โครงการ “ น้ำขิงเพอื่ สุขภาพ ”
รายการ จำนวน รายจา่ ย เป็นเงิน
หนว่ ยละ (บาท)
อุปกรณ์ 1
1.ขงิ 1 กโิ ลกรมั 20 28 28
2.ขวดพลาสติก 1 70 70
3.นำ้ เปลา่ 1 - -
4.จวัก 1 - -
5.หม้อ 1 - -
6.เตาแกส๊ 1 - -
7.นำ้ ตาลรายแดง 1 กโิ ลกรมั 1 28 28
8.ท่ีกรอง - -
1
วัสดอุ ุปกรณ์ในการทำเล่ม 150 150
โครงการ
276
1.ค่าจัดทำรายงานสรปุ ผล
โครงการ
รวม
4
ปัจจยั ในการดำเนินโครงการ
วัสดุอุปกรณ์
1.ขงิ แก่ 2.นำ้ ตาลทรายแดงหรอื น้ำตาลทรายกรวด 3.น้ำเปลา่
เคร่อื งมือ เคร่ืองใช้ เครื่องอำนวยความสะดวก 5.เตาแกส๊
1.ขวดพลาสติกขนาดเล็ก 2.ท่กี รองขงิ 3.จวกั 4.หม้อ
บคุ คลที่รว่ มดำเนินโครงการ
สมาชกิ ในกลุ่ม ประกอบด้วย นางสาว ปิยพร ผลมาตร์ และ นางสาว ศศมิ ณฑา สุขปาน
เอกสาร แหลง่ เรียนรู้ สถานประกอบการ สมาชิกในกล่มุ ไดท้ ำการศึกษาจากอินเตอรเ์ นต็ ในการใชป้ ระกอบ
ข้อมูล และศกึ ษาความรู้ในการทำน้ำขงิ จากแหล่งเรียนรู้คอื บา้ นทับปุด
อาคารสถานที่
บ้านพักสมาชกิ ในกลุ่ม ตำบลทบั ปดุ อำเภอทับปุด จังหวัดพังงา
สถานทีด่ ำเนนิ การ
บา้ นพกั สมาชิกในกลุ่ม ตำบลทบั ปุด อำเภอทบั ปดุ จังหวัดพงั งา
กิจกรรมในการดำเนนิ งานโครงการ
กิจกรรมการประเมินคุณภาพของนำ้ ขงิ
กิจกรรมการแปลรูปขิงมาเป็นผลิตภัณฑท์ ่ีมีคุณภาพรายละเอียดกิจกรรมการดำเนนิ โครงการ
1. กจิ กรรมการประเมินคุณภาพของน้ำขิง
1.1 วัตถปุ ระสงค์
1.1.1 เพื่อวัดหรือประเมินผลิตภณั ฑ์นำ้ ขิงที่มีคุณภาพ
1.1.2 เพ่ือใหท้ ุกคนรจู้ กั แบ่งปันซ่งึ กนั และกนั
1.2 การดำเนินโครงการ
1.2.1 จดั ซ้ือสิ่งของและอุปกรณ์มาทำ
1.2.2 เริ่มทำนำ้ ขงิ ตามขนั้ ตอน
1.2.3 เมื่อทำน้ำขิงได้พอสมควร ก็สามารถนำไปใหป้ ระชาชนไดท้ ดลองชิมได้ตามความตอ้ งการ
1.3 เคร่อื งมือในการประเมินผล
1.3.1 การสังเกตและวิเคราะห์การประเมนิ ของชาวบ้าน
1.4 ผลท่ีคาดว่าจะไดร้ ับ
1.4.1 ไดพ้ ฒั นาคณุ ภาพชวี ติ ความเป็นอยู่ทด่ี ขี ึ้น
5
1.4.2 ไดม้ ีการพัฒนาตนเอง การใชเ้ วลาวา่ งให้เกดิ ประโยชน์
1.4.3 การรู้จกั แบ่งปันผอู้ ่นื
2. กจิ กรรมการแปลรปู ขงิ มาเปน็ ผลิตภัณฑ์ใหม้ คี ณุ ภาพ
2.1 วัตถุประสงค์
2.1.1 เพ่อื ให้มสี ่วนรว่ มในการทำกจิ กรรม
2.1.2 เพอ่ื ใช้เวลาว่างใหเ้ กดิ ประโยชน์
2.2 การดำเนนิ โครงการ
2.2.1 ทำน้ำขงิ พอสมควรและพร้อมทีจ่ ะนำไปแจกจา่ ยให้ชาวบ้านไดช้ ิม
2.2.2 นำนำ้ ขิงท่ีเป็นผลติ ภณั ฑ์มาแจกจา่ ยชาวบา้ น
2.3 เครือ่ งมือในการประเมนิ ผล
2.3.1 ประเมนิ จากผลผลติ วา่ เพียงพอต่อการนำไปแจกจา่ ย
2.4 ผลท่คี าดว่าจะไดร้ บั
2.4.1 ไดพ้ ัฒนาคุณภาพและใช้เวลาว่างให้เกดิ ประโยชน์
2.4.2 ช่วยทำใหส้ ง่ ผลดีต่อสุขภาพและผ่อนคลาย
2.4.3 ผลิตภณั ฑจ์ ากขงิ นน้ั นำมาแปรรูปได้หลายอย่าง เช่น นำ้ ขิงมะนาว
ตารางที่ 1 ระยะเวลาดำเนินงานตามโครงการ
ระหว่างวันที่ 10 เดือน กันยายน พ.ศ. 2564 ถงึ วนั ที่ 10 เดือน ตุลาคม พ.ศ. 2564
โดยมีปฏทิ นิ ปฏิบตั ิงานในการดำเนินโครงการดังน้ี
ระยะเวลา กจิ กรรม ผ้รู ับผดิ ชอบ
1 กันยายน – 4 กันยายน
จัดซอ้ื ส่ิงของและอปุ กรณม์ าทำ สมาชกิ ในกลุ่ม
5 กันยายน – 20 พฤศจกิ ายน เรม่ิ ทำน้ำขงิ ตามขน้ั ตอน สมาชกิ ในกลุ่ม
สมาชิกในกลุ่ม
21 พฤศจิกายน – 25 ตรวจเช็ควา่ นำ้ ขงิ พอทจ่ี ะให้
พฤศจิกายน ประชนชนทดลองชิมหรือไม่
6
นิยามศัพท์
นำ้ ขงิ หมายถึง เครื่องดืม่ ทไ่ี ด้จากการนำขิงท่สี ดหรือแห้งและอยู่ในสภาพดมี าล้างให้สะอาด หั่น
เป็นช้ิน ต้มใน1นำ้ เดอื ด กรอง อาจปรงุ แต่งด้วยน้ำตาล นำ้ ผึ้ง หรือนำ้ สกดั จากพืชชนิดอ่ืน เช่น นำ้ เก๊กฮวย
อย่างใดอยา่ งหน่ึงหรือผสมกัน นำไปใหค้ วามรอ้ นทีอ่ ณุ หภมู ิและระยะเวลาทเ่ี หมาะสม บรรจุในภาชนะ
บรรจขุ ณะรอ้ น แล้วทำให้เย็นทนั ที
ลักษณะทั่วไป ต้องเป็นของเหลว อาจใสหรือขนุ่ อาจตกตะกอนเม่ือต้ังทิ้งไว้ สี ต้องมีสที ดี่ ตี าม
ธรรมชาติของนำ้ ขิง กลิน่ รส ต้องมีกลน่ิ รสทด่ี ตี ามธรรมชาตขิ องนำ้ ขิง ปราศจากกลิ่นรสอ่นื ทไ่ี ม่พึงประสงค์
เชน่ กลิน่ แอลกอฮอล์ รสเปรี้ยว ส่ิงแปลกปลอม ตอ้ งไม่พบสงิ่ แปลกปลอมทไี่ ม่ใช่ส่วนประกอบท่ใี ช้ เชน่
เสน้ ผม ดนิ ทราย กรวด ชนิ้ ส่วนหรอื สิ่งปฏิกลู จากสัตว์ วัตถเุ จอื ปนอาหาร หา้ มใช้สสี ังเคราะห์ทกุ ชนดิ
หากมีการใช้วัตถกุ นั
เสยี ใหใ้ ช้ได้ตามชนดิ และปรมิ าณทก่ี ฎหมายกำหนด
ประโยชนท์ คี่ าดวา่ จะไดร้ ับ
1. สมาชิกในกลุ่มจะไดร้ ับความรจู้ ากการศกึ ษาและปฏบิ ตั กิ ารทำน้ำขิง และยังสามารถนำ
2. ความรู้จากการปฏิบัตินนั้ ไปตอ่ ยอดหรือพัฒนาเปน็ อาชพี หลกั ได้ในอนาคต
3. นำ้ ขิงทีท่ างสมาชิกในกลุ่มได้ดำเนนิ การของโครงการนี้ สามารถนำไปรบั ทานชว่ ยรกั ษาโรคไดห้ ลาย
ชนดิ และไดม้ ปี ระสิทธิภาพ
กระบวนการการดำเนินโครงการ
รายงานผลการจดั ทำโครงการ “น้ำขงิ เพอ่ื สุขภาพ” ไดม้ กี ารนำหลกั การคณุ ภาพของเดมมิ่ง
“PDCA” มาใชใ้ นการดำเนนิ การ 4 ข้นั ตอนดงั นี้
1. ขน้ั ตอนการร่วมกันวางแผน (Plan)
2. ขนั้ ตอนการรว่ มกนั ปฏิบัติ (Do)
3. ขัน้ ตอนการรว่ มกนั ประเมิน (Check)
4. ข้นั ตอนการร่วมปรับปรุง (Act)
1. ขน้ั ตอนการรว่ มกันวางแผน (Plan)
ขัน้ ตอนนี้เปน็ การวางแผนในการดำเนินโครงการ โดยมีขนั้ ตอนดงั นี้
1.1 สมาชกิ ในกลมุ่ ร่วมกันประชุมปรกึ ษากันในการเสนอชื่อโครงการ พร้อมทง้ั ร่วมกนั ศึกษาข้อมูล
ทเ่ี กย่ี วขอ้ งกับช่ือโครงการ และศึกษาถึงปัจจยั ตา่ ง ๆ
7
1.2 สมาชิกในกลุ่มได้จัดทำโครงการทำนำ้ ขิงเพื่อสุภาพ พร้อมท้ังวางแผนและแนวทางขั้นตอนใน
การดำเนนิ โครงการ พรอ้ มทงั้ จัดเตรยี มงบประมาณในการดำเนินโครงการ
1.3 สมาชิกในกลุ่มได้มีการประสานงานไปยังสถานที่ในการจัดทำโครงการ พร้อมทั้งประสานงาน
ไปยงั ผมู้ ีสว่ นได้สว่ นเสยี
1.4 สมาชิกในกลุ่มจดั เตรียมจัดหาวัสดุ อปุ กรณ์ เคร่อื งมือเคร่ืองใช้ตา่ ง ๆ ในการดำเนินโครงการ
2. ข้นั ตอนการรว่ มกันปฏบิ ัติ (Do)
ข้ันตอนน้เี ปน็ การลงมือปฏบิ ตั ดิ ำเนนิ โครงการ โดยมขี ั้นตอนดังนี้
2.1 สมาชกิ ในกลุ่มไดท้ ำการเสนอโครงการต่ออาจารย์ท่ปี รกึ ษา เพอ่ื ขออนุมตั ใิ นการดำเนนิ
โครงการ
2.2 ดำเนนิ โครงการ น้ำขงิ เพอ่ื สุภาพ ในช่วงเวลาตามปฏทิ ินทท่ี างโครงการได้กำหนดไว้
โดยสมาชกิ ในกลุ่มไดล้ งมือปฏิบัติโครงการ โดยมกี ารปฏบิ ัตดิ งั นี้
• ศึกษาข้อมลู และสรรพคุณของขิง รวมถงึ การนำขิงไปทำเปน็ ผลติ ภณั ฑ์
• การเลือกขิงที่มีคุณภาพ เพื่อมาเป็นแรงจูงใจในการลงมือทำครั้งแรก และถ้าประสบ
ความสำเรจ็ กจ็ ะมีแรงจูงใจเพ่มิ ขนึ้ และมีแนวโนม้ ในการทำเพมิ่ ขึน้ เรอื่ ยๆ
• การเลือกขิงที่ไม่แก่และไม่อ่อนจนเกินไป ให้เลือกขิงที่มีความเหมาะสมในการที่จะเอามา
ทำนำ้ ขิง
• ชว่ ยยบั ยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อโรคตา่ งๆ และชว่ ยเสริมสรา้ งภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายมี
สรรพคณุ ในรกั ษาโรคที่เราคาดไมถ่ ึง
• นอกจากแจกจ่ายให้ชาวบา้ นแล้ว เรากส็ ามารถนำผลติ ภัณฑ์นี้เพื่อไปเปน็ การสร้างรายได้
เสริมทม่ี ผี ลผลติ มากและคุ้มกบั การทีล่ งมือทำ
3. ข้ันตอนการร่วมกนั ประเมิน (Check)
โครงการนำ้ ขิงเพือ่ สุภาพได้จดั ทำแบบประเมนิ ในด้านตา่ ง ๆ ซ่ึงเปน็ แบบประเมนิ
เชงิ คณุ ภาพ เพ่อื ให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ เปา้ หมาย และผลทีค่ าดวา่ จะไดร้ บั จากโครงการ เพ่อื
ประเมินโครงการและวัดผลของการดำเนนิ โครงการ
4. ข้นั ตอนการร่วมกนั ปรับปรุง (Act)
สมาชกิ ในกลุ่มไดท้ ำการตดิ ตาม ประเมินผลโครงการ แลว้ รวบรวมข้อมูลต่าง ๆ ทจ่ี ดั ทำ
ครงการ รวมไปจนถงึ ความสำเร็จ ปัญหาและอุปสรรค ขอ้ เสนอแนะตา่ ง ๆ ในการดำเนินโครงการ
ครั้งนี้ มาสรุปผล เพื่อนำไปปรับปรุงและพัฒนาในการดำเนินโครงการในครั้งถัดไปจากที่ได้นำหลักการ
คุณภาพของวงจรคุณภาพเดมมิ่ง “PDCA” มาใช้ในการดำเนินโครงการ สามารถแจกแจงเป็นตารางได้
ดังนี้
8
ตารางท่ี 2 ขน้ั ตอน/วิธกี ารดำเนินงาน (ตามกระบวนการ PDCA)
ข้นั ตอน รายละเอยี ดกิจกรรม
ระยะท่ี 1 (ตน้ ทาง) (10 ก.ย. 2564 – 15 ก.ย. 2564)
P=PLAN -สมาชิกในกลุ่มคดิ โครงการ ประชมุ วางแผนขั้นตอนการดำเนินโครงการ
การวางแผน -สมาชิกในกลุ่มศกึ ษาถึงปจั จัยสภาพแวดลอ้ มตา่ ง ๆ และข้อมูลทเ่ี กีย่ วกบั โครงการ
-สมาชกิ ในกลุ่มได้เสนอโครงการต่ออาจารยท์ ี่ปรึกษา เพื่อขออนมุ ัตโิ ครงการและเพื่อดำเนินโครงการ
ในขน้ั ตอนต่อไป
D=DO ระยะท่ี 2 (กลางทาง) ( 16 ก.ย. 2564 – 25 ก.ย. 2564)
การปฏบิ ัติ -ทำการลงพื้นทส่ี ำรวจสภาพแวดล้อมทั้งภายในและภายนอกของพืน้ ที่ที่จะดำเนินโครงการ เพอ่ื มา
จัดทำแผนปฏบิ ัติ
C=Check -จดั ทำเอกสารรายงานโครงการ
การตรวจสอบ -ปฏิบัตจิ ดั ทำโครงการเตรียมวัสดอุ ุปกรณ์
-ลงมือปฏิบัติโครงการ
A=Action -นำเสนอโครงการ
การปรบั ปรุง ระยะที่ 3 (กลางทาง) (25 ก.ย. 2564 – 30 ก.ย. 2564)
-จดั ทำแบบประเมนิ ผลโครงการในเชิงคณุ ภาพด้านตา่ ง ๆ เพ่อื ให้สอดคลอ้ งกบั วตั ถปุ ระสงค์ของ
พฒั นา โครงการ
-เป้าหมายและผลท่คี าดวา่ จะไดร้ ับจากโครงการ เพ่ือใช้สำหรบั การประเมินโครงการและวดั ผลการ
ดำเนินโครงการ
ระยะท่ี 4 (ปลายทาง) (1 ต.ค. 2564 – 10 ต.ค. 2564)
-ทำการตดิ ตามผลการดำเนนิ โครงการ การแกไ้ ขปัญหา ในระหวา่ งการดำเนนิ โครงการ
-รวบรวมข้อมูลความสำเรจ็ ของโครงการในดา้ นตา่ ง ๆ รวมถึงปัญหาและอุปสรรค ข้อเสนอแนะอื่น ๆ
ในระหว่างการดำเนินโครงการ มาสรปุ ผล
-พัฒนาต่อยอดเพื่อสรา้ งความเขม้ แข็งของโครงการและสรา้ งความสำเร็จของโครงการ และเพื่อ
ยกระดบั ในการดำเนนิ การโครงการในครงั้ ต่อไป
9
บทที่ 2
เอกสารและแนวคดิ ทฤษฎีทีเ่ กีย่ วข้อง
1. หลักการแนวคิด ทฤษฎีท่ีเกี่ยวกับการดำเนินโครงการ
2. หลกั การแนวคดิ ทฤษฎที ่ีเก่ียวกับการประเมนิ ผลโครงการ
1.หลกั การแนวคิด ทฤษฎีที่เกีย่ วกับการดำเนินโครงการ
ขอ้ มูลท่ัวไปของขิง
ขงิ เป็นพืชล้มลุก มีเหง้าใต้ดนิ เปลือกนอกสนี ้ำตาลแกมเหลอื ง เนอ้ื ในสีนวลมีกลน่ิ หอมเฉพาะ
แทงหนอ่ หรอื ลำตน้ เทียมข้นึ เปน็ กอประกอบด้วยกาบหรอื โคนใบหุม้ ซอ้ นกนั ใบ เป็นชนิดใบเดย่ี ว ออกเรียง
สลบั กันเปน็ สองแถว ใบรูปหอกเกลี้ยงๆ กวา้ ง 1.5 - 2 ซม. ยาว 12 - 20 ซม. หลงั ใบห่อจีบเป็นรูปรางนำ
ปลายใบสอบเรียวแหลม โคนใบสองแคบและจะเปน็ กาบหุม้ ลำตน้ เทียม ตรงชว่ งระหว่างกาบกบั ตัวใบจะ
หักโค้งเปน็ ข้อศอก ดอก สขี าว ออกรวมกนั เป็นช่อรปู เห็ดหรอื กระบองโบราณ แทงขึ้นมาจากเหงา้ ชกู า้ น
สงู ขน้ึ มา 15 - 25 ซม. ทกุ ๆ ดอกท่กี าบสเี ขียวปนแดงรูปโคง้ ๆ ห่อรองรบั กาบจะปิดแน่นเมอ่ื ดอกยังอ่อน
และจะขยายอา้ ให้ เหน็ ดอกในภายหลักกลีบดอกและกลีบรองกลีบดอก มีอย่างละ 3 กลีบ อุ้มนำ้ และหลุด
ร่วงไว โคนกลีบดอกม้วนห่อ สว่ นปลายกลบี ผายกว้างออกเกสรผู้มี 6 อัน ผล กลม แขง็ โต วดั ผ่า
ศนู ยก์ ลางประมาณ 1 ซม.(เต็ม สมิตินันทน์2557).
ขิงเปน็ พชื ไรแ่ ละยังจดั เปน็ พืชผักประเภทหน่ึงชนิดล้มลกุ ลำตน้ มีลำต้นใต้ดนิ เรียกว่า เหง้า หรือ
แง่ง (Rhizome) เจริญขึ้นเป็นกอ ลำต้นแท้มีลักษณะเป็นข้อๆ แข็ง มีสีขาวหรือเหลืองอ่อน มีเยื่อและ
เกล็ดเล็กๆ ห่อหุ้ม จะแตกขนานไปกับพื้นดิน ลักษณะการแตกแขนงเป็นแบบนิ้วมือ คือ แง่งอันแรกจะ
เจริญและแตกแง่งย่อย ๆ ต่อกันไป เหง้าหรือลำต้นใต้ดินนี้สามารถดำรงชีวิตข้ามฤดูหรอื หลายฤดู ซึ่งต่าง
จากลำต้นเหนือดินที่มีอายไุ ดเ้ พียงฤดูเดยี ว หรือประมาณ 8 - 12 เดอื น ลำต้นสว่ นเหนอื ดินเป็นลำต้นเทียม
(Clump) สว่ นนป้ี ระกอบดว้ ยกาบใบซอ้ นทับกนั หลายๆ ช้นั เจรญิ จากตาทปี่ รากฏอยู่บนแงง่ ของขิง ลำต้น
มีความสงู ประมาณ 50 - 100 เซนตเิ มตร(ธงชยั เนินขุดทด.2531.)
หลักการแนวคดิ และทฤษฎีทเ่ี ก่ียวกับการดำเนนิ โครงการ แนวคดิ ทฤษฎแี รงจงู ใจ
แรงจงู ใจ คือ พลงั ผลกั ดนั ใหค้ นมีพฤตกิ รรม และยงั มกี ารกำหนดทศิ ทางและเปา้ หมายทิศทางของ
พฤติกรรมนั้นอกี ดว้ ย คนทม่ี ีแรงจงู ใจสงู จะมีการใช้ความพยายามในการกระทำไปสู่เปา้ หมายโดยไม่ลดละ
แต่คนทีม่ แี รงจงู ใจต่ำจะไม่มกี ารแสดงพฤตกิ รรม หรอื ไม่กล็ ม้ เลิกการกระทำก่อนบรรลุเปา้ หมาย โดยมีผู้ให้
นิยามของทฤษฎแี รงจูงใจไว้ ดงั นี้
ชาญศิลป์ วาสบุญมา (2546, หน้า 26) กล่าวว่า แรงจูงใจในการทำงาน หมายถึง พลังทั้งจาก
ภายในและภายนอก ซึ่งช่วยกระตุ้นพฤติกรรมให้บุคคลทำในสิ่งต่าง ๆ ให้สำเร็จและบรรลุตามเป้าหมาย
ด้วยความเต็มใจ และเป็นไปตามกระบวนการจงู ใจของแต่ละบคุ คล
10
ธิดา สุขใจ (2548, หน้า 8) กล่าวว่า แรงจูงใจในการทำงาน หมายถึง สิ่งใด ๆ ที่เป็นแรงผลักดัน
หรือกระตุ้น ให้บุคคลปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมด้วยความเต็มใจ เพื่อที่จะนำมาซึ่งการทำงานที่มี
ประสิทธิภาพ ซึ่งมีมูลเหตุจูงใจที่สำคัญคือ ความต้องการ ความพึงพอใจในการทำงาน จะนำมาซึ่งการ
ปฏบิ ัตทิ ดี่ ขี องบุคลากร ทำใหบ้ คุ ลากรมีความและจงรกั ภกั ดตี อ่ องคก์ ร ซ่งึ เป็นเงอื่ นไขสำคัญต่อตวามสำเร็จ
ขององคก์ รในระยะยาว
การจงู ใจมีความสำคัญต่อการทำงานของบคุ คล เพราะแรงจูงใจกระต้นุ ใหก้ ารทำงานของแตล่ ะคน
จะผลักดันให้เป็นไปตามเป้าหมายที่ต้องการได้ โดยทั่วไปมนุษย์มิได้ทำงานเต็มความสามารถที่มีอยู่ของ
ตนเอง ซึ่งการจูงใจด้วยแรงกระตุ้นจากภายใน และสิ่งจูงใจจากภายนอกตัวบุคคล เช่นรางวัล หรือคำ
ชมเชยต่าง ๆ เป็นต้น จะทำให้มนุษย์ตอบสนองต่อสิ่งกระตุ้นเหล่านั้น ธร สุนทรายุทธ (2551, หน้า 295)
กล่าวว่าแรงจูงใจเป็นพลังผลักดันให้มนุษย์มีการเคลื่อนไหวไปสู่เป้าหมายที่แต่ละคนต้องการ หากขาด
แรงจูงใจมนุษย์อาจเปรียบได้กับหุ่นยนต์ตัวหนึ่งที่เคลื่อนไหวได้ตามคำสั่งหรือความต้องการของคนอื่น
และพฤติกรรมหลาย ๆ อย่างของมนุษยจ์ ะไม่เกิดขนึ้ ถ้าปราศจากแรงจูงใจ ซึง่ แรงจูงใจมีลักษณะสำคัญ 2
ประการคือ 1) แรงจูงใจส่งเสริมให้ทำงานสำเร็จ เป็นแรงผลักดันให้แสดงพฤติกรรม แรงผลักดันนั้น ๆ
อาจเกดิ จากภายในหรือภายนอกกไ็ ด้
2) แรงจูงใจกำหนดแนวทางของพฤติกรรมชี้ว่าควรเป็นไปในรูปแบบใดนำพฤติกรรมให้ตรงทิศทาง
เพ่อื ท่ีจะบรรลุเปา้ ประสงคค์ อื ความสำเรจ็ ของหนว่ ยงานหรอื องค์การ (ภารดี อนันตน์ าวี, 2555, หนา้ 113;
จอมพงศ์ มงคลวนิช, 2555, หน้า 217) การสร้างแรงจูงใจให้เกิดกับสมาชิกในองค์การ เป็นทักษะสำคัญ
ประการหนึ่งของผู้บริหาร ต้องเรียนรู้และฝึกฝน และนำไปปฏบิ ัติให้เกดิ ประสิทธิผลแก่องค์การ (จันทรานี
สงวนนาม, 2553, หนา้ 252)
ประเภทของแรงจูงใจ
นักจิตวิทยาแบ่งการจงู ใจออกเปน็ 2 ประเภทคือ (จันทรานี สงวนนาม, 2553, หนา้ 253-254)
1) การจูงใจภายใน หมายถงึ สภาวะของบุคคลที่มีความต้องการจะกระทำบางส่ิงบางอย่าง ด้วยจิตใจของ
ตนเอง โดยไม่ต้องใช้สิ่งล่อใด ๆ มากระตุ้น ซึ่งถือว่ามีคุณค่าต่อการปฏิบัตงิ านต่าง ๆ เป็นอย่างยิ่ง การจูง
ใจประเภทนี้ได้แก่ ความต้องการ (Needs) ความปรารถนา (Desire) ความทะเยอทะยาน (Ambition)
ความสนใจพเิ ศษ (Special Interest) และทัศนคตหิ รอื เจตคต(ิ Attitude)
2) การจูงใจภายนอก หมายถึง สภาวะของบุคคลที่ได้รับการกระตุ้นจากภายนอก เพื่อนำไปสู่การแสดง
พฤติกรรมตามจุดมุ่งหมายของผู้กระตุ้น การจูงใจภายนอกได้แก่ เป้าหมาย ความคาดหวัง ความก้าวหน้า
สิ่งล่อใจตา่ ง ๆ เชน่ การชมเชย การติเตยี น การให้รางวัล การประกวด การลงโทษ การแข่งขนั เปน็ ตน้
สรุปได้ว่า แรงจูงใจเป็นสภาวะของบุคคลที่มีหรือไม่มีความต้องการจะกระทำบางสิ่งบางอย่าง ท่ี
ต้องอาศัยแรงจูงใจภายใน คือความปรารถนาความต้องการจากภายในตนเอง และแรงจูงใจภายนอก คือ
จุดมุ่งหมายความคาดหวัง หรือสิ่งล่อใจต่างๆ จะเห็นได้ว่าแรงจูงใจคือ สิ่งกระตุ้น หรือสิ่งเร้าที่ทำให้คนมี
11
พลังในการใช้ความรู้ความสามารถที่มีอยู่ละแสวงหาความรู้ใหม่ในการทำงานด้วยความเต็มใจ และมี
ความสุขกับการทำงานเพ่ือจะบรรลุเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ขององค์การ
องค์ประกอบของแรงจงู ใจ
องค์ประกอบแรงจูงใจมี 2 ประการ (สัมมา รธนิธย์, 2553, หน้า 135-136) คอื
1) องคป์ ระกอบภายนอก ได้แก่ ส่ิงแวดลอ้ มภายนอกทอ่ี าจทำใหเ้ กิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม
2) องค์ประกอบภายใน ไดแ้ ก่
2.1 ความตอ้ งการ (Needs) ในการจะทำสิ่งหนึ่งส่งิ ใดใหส้ ำเร็จ
2.2 เจตคติ (Attitudes) เป็นความเชื่อ ความรู้สึกต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ในลักษณะชอบหรือไม่ชอบ
พอใจหรือไม่พอใจ หากมีเจตคติที่ดีตอ่ งานหรอื เพื่อนร่วมงานกเ็ ป็นแรงผลักดนั ใหบ้ ุคคลปฏิบัติงานได้ตาม
เป้าหมาย แตห่ ากมีเจตคติไมด่ กี ย็ ่อมทำงานประสบความสำเร็จตามเปา้ หมายได้ยาก
2.3 ค่านิยม (Values) เป็นการพิจารณาถึงคุณค่าของตนพึงพอใจที่จะปฏิบัติ พยายามเลือกที่จะ
ทำตามค่านยิ มทตี่ นเองมี เชน่ การใชข้ องทม่ี ีราคาแพง เป็นต้น
2.4 ความวิตกกังวล (Anxiety) ความวิตกกังวลในการทำงาน อาจก่อให้เกิดอุปสรรคและเกิด
แรงผลักดันให้สามารถดำเนินการอย่างละเอียดรอบคอบได้ ในการที่บุคคลนั้นมีแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์สูงที่
อาจจะสามารถประสบผลสำเรจ็ ในการปฏิบัตงิ าน
สรปุ ไดว้ า่ แรงจงู ใจมีองคป์ ระกอบ 2 ประการ คอื องค์ประกอบภายนอก ไดแ้ ก่ ส่งิ แวดลอ้ ม
ภายนอก และองค์ประกอบภายใน ได้แก่ ความต้องการ เจตคติความเชอ่ื คา่ นิยม ความวิตกกังวล ซึ่ง
ประกอบกนั เป็นแรงจูงใจให้บุคคลนนั้ สามารถประสบผลสำเร็จในการปฏิบตั ิงาน
แนวคิดทฤษฎีการพฒั นาตนเอง
ความต้องการในการพัฒนาตนเอง เพื่อให้เพิ่มพูนความรู้ ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมต่าง
ๆ ไปตามวัตถุประสงค์ของแต่ละบุคคล รวมทั้งสามารถดำรงอยู่ในสังคมหรือประสบความสำเร็จในชีวิต
หน้าที่การงาน ควรมีแนวคิดเกี่ยวกับความต้องการในการพัฒนาตนเอง โดยมีผู้ให้นิยามของทฤษฎีการ
พัฒนาตนเอง ดงั น้ี
กรกนก วงศ์พันธุเศรษฐ์ (อ้างถึงในเกศรินทร์ วิริยะอาภรณ์, 2545) ได้กล่าวว่า การพัฒนาตนเอง
หมายถึง การขยายขอบเขตความสามารถในการใช้ความรู้ความสามารถของบุคคลได้อย่างเต็มที่และ
ประยุกต์ใช้ความรู้และประสบการณ์ที่ได้รับมา เพื่อแก้ปัญหาหรือหาข้อยุติปัญหาในสถานการณ์ใหม่ๆ ท่ี
แตกต่างออกไป
ศศลักษณ์ ทองปานดี(2551) การพัฒนาตนเอง หมายถึง การดำเนินการเกี่ยวกับการส่งเสริม
บุคคลใหม้ คี วามรู้ความสามารถ มที ักษะการทำงานดีขึ้น ตลอดจนมที ศั นคตทิ ่ดี ใี นการทำงาน อันจะเป็นผล
ให้การปฏิบัติงานมีประสิทธิภาพดีย่ิงข้ึน และการพฒั นาบคุ คลควรส่งเสรมิ และพัฒนาทั้งร่างกาย อารมณ์
สังคม และสตปิ ัญญาอย่างท่วั ถึงสมำ่ เสมอและต่อเน่ือง
12
ความสำคญั ของการพัฒนาตนเอง
ในปจั จุบันการศกึ ษาเรือ่ งการพฒั นาตนเองเป็นสงิ่ สำคญั อยา่ งยิง่ เนอื่ งจากสภาพของโลกและ
เหตุการณใ์ นปัจจบุ นั ได้มกี ารเปลี่ยนแปลงไดอ้ ยา่ งรวดเรว็ โดยเฉพาะเมื่อย่างเข้าส่ยู ุคของขา่ วสารขอ้ มลู
(Information Era) หรือท่ีเรยี กวา่ เปน็ ยคุ ของโลกคลื่นท่ีสาม (Third Wave) ใหเ้ กิดการรวมตัวของ
ทรัพยากรขึน้ เมื่อโลกอยูใ่ นสภาวะท่ไี ร้พรมแดนการแขง่ ขันเพ่อื ช่วงชิงทรพั ยากรจงึ มีมากขนึ้ เป็นทวีคูณ
ซงึ่ อาจเปรียบไดว้ ่าเปน็ สงครามข่าวสารในด้านข้อมูลความรูจ้ ะเหน็ ได้ว่าการเปลยี่ นแปลงเช่นนที้ ำใหเ้ กิด
การเปลี่ยนแปลงดำเนนิ ไปโดยไม่พยายามก้าวใหท้ ันจะกลายเปน็ ผู้ล้าหลังและเสยี ประโยชนใ์ นเวลา
อันรวดเร็ว ดังนน้ั การพัฒนาตนเองเพือ่ ใหเ้ รียนรูไ้ ดเ้ ท่าทันการเปลย่ี นแปลงของโลกยุคโลกาภวิ ัตน์เพ่ือ
ความอยรู่ อดของชวี ติ จึงเป็นสิ่งทจี่ ำเป็น (ศศินา ปาละสิงห์, 2547)
องค์ประกอบในการพัฒนาตนเอง
องค์ประกอบในการพัฒนาตนเองด้านต่าง ๆ ดงั นี้
1. บุคลิกท่าทาง นับเป็นสิ่งสำคัญอย่างหนึ่ง เพราะกิริยาทา่ ทางคือการสื่อสารที่สำคญั ซึ่งจะทำให้
ผู้อื่นรู้ถึงจิตใจตลอดจนความนึกคิดของบุคคลผู้นั้น ดังนั้น กริยาท่าทางหรือบุคลิกภาพที่สามารถสร้าง
ความเชื่อม่ันใหส้ มาชิกกลมุ่ จงึ ทำใหผ้ ูอ้ ืน่ ยกย่องและเชื่อถือไวว้ างใจ
2. การพูด นับเป็นการส่อื สารที่จะทำให้ผู้อื่นปฏิเสธหรือยอมรับในตัวผู้พูดได้เช่นกัน ซึ่งการพูดใน
ที่นี้รวมทั้งการพูดคุยแบบธรรมดาและการพูดแบบเป็นทางการ การพูดที่จะประสบความสำเร็จนั้น มี
หลกั การเบื้องแรกท่ีสำคญั คอื การระมัดระวังมิให้คำพูดออกไปเป็นการประทษุ ร้ายจิตใจผูฟ้ ัง
3. พฒั นาคุณสมบัตทิ างด้านมนุษย์สัมพนั ธ์ความสมั พันธ์ที่ดกี ับผู้อื่นเปน็ ทางท่จี ะทำให้ผู้อ่ืนยอมรับ
และยกยอ่ ง บุคคลที่มีความสัมพนั ธ์ท่ดี ีตอ่ คนอื่น ย่อมจะทำใหไ้ ดร้ บั ความสนับสนุนและรว่ มมอื
4. พัฒนาคุณสมบัติเฉพาะตัว ทำให้ได้รับการยอมรับจากสมาชิกส่วนใหญ่ดังนั้นนอกจากความรู้
ความสามารถแล้ว คุณสมบัติเฉพาะตัวบางประการก็เป็นสิ่งสำคัญที่จะผลักดันให้บุคคลได้รับการยอมรับ
จากทกุ ฝ่าย เป็นผูม้ คี ณุ ธรรม ได้แก่ เป็นผมู้ ีความซอื่ สัตยส์ ุจรติ และประพฤตติ นอยภู่ ายใตค้ ุณธรรม ความดี
ตามบรรทดั ฐานของสงั คมนนั้ ๆ
กระบวนการในการพฒั นาตนเอง
การพัฒนาตนเองใหป้ ระสบความสำเร็จ ควรจะมีกระบวนการตามขนั้ ตอนซึง่ (สวุ รเี ที่ยว
ทัศน์, 2542) ได้กล่าวถึงกระบวนการในการพฒั นาตนเอง สรุปดงั น้ี
1. สำรวจตัวเอง การที่คนเราจะประสบความสมหวังหรือไม่สาเหตุที่สำคัญ คือ จะต้องมีการ
สำรวจตนเองเพราะตนเองเป็นผู้กระทำตนเอง คนบางคนไม่ประสบความสำเร็จในชีวิตเนื่องจากบุคคลมี
จุดอ่อนหรือคุณสมบัติที่ไม่ดีการที่จะทราบว่า ตนมีคุณสมบัติอย่างไร ควรจะได้รับการสำรวจตนเองทั้งน้ี
เพ่ือท่ีจะไดป้ รับปรุงแกไ้ ข หรอื พัฒนาตนเองใหด้ ีขึ้น เพ่อื จะไดม้ ชี วี ิตทส่ี มหวงั ตอ่ ไป
2. การปลูกคุณสมบัติที่ดีงาม โดยคุณสมบตั ิของบุคคลสำคัญของโลกเป็นแบบอย่าง ซึ่งคุณสมบตั ิ
ของบคุ คลไมใ่ ช่ส่ิงทีต่ ิดตัวมาแต่เกดิ แต่สามารถเกิดขนึ้ ได้
13
3. การปลูกใจตนเอง เป็นสิ่งสำคัญ เพราะบุคคลที่มีกำลังใจดีย่อมมุ่งมั่นดำเนินการให้บรรลุ
เป้าหมายของชวี ิตทก่ี ำหนดไว้
4. การส่งเสรมิ ตนเอง คือการสรา้ งกำลังกายท่ีดีสร้างกำลงั ใจให้เขม้ แข็ง และสร้างกำลัง
ความคดิ ของตนใหเ้ ป็นเลศิ
5. การดำเนินการพัฒนาตนเอง เป็นการลงมือปฏิบัติเพื่อเสริมสร้างตนเองให้บรรลุวัตถุประสงค์
ตามทีต่ งั้ ไว้
6. การประเมินผล เพื่อจะได้ทราบว่าการดำเนินการพัฒนาตนเองตามที่บุคคลได้ตั้งเป้าหมายไว้
ดำเนินการไปได้ผลมากน้อยเพียงไร จึงจำเป็นต้องอาศัยการวัดผลและการประเมินผลสามารถสรุปได้ว่า
การพัฒนาตนเอง คือการที่เพื่อให้เพิ่มพูนความรู้ ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมต่าง ๆ ไปตาม
วตั ถุประสงค์ของแต่ละบุคคล รวมทั้งสามารถดำรงอยูใ่ นสังคมหรือประสบความสำเรจ็ ในชีวิต
แนวคดิ ทฤษฎีการเรียนรู้
การเรียนรู้คือ กระบวนการที่ทำให้มนุษย์เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมทางความคิด มนุษย์เราสามารถ
เรียนรู้ได้จาก การได้ยิน การสัมผัส การอ่าน การเห็น รวมถึงผ่านการใช้สื่อ อุปกรณ์เครื่องมือ เป็นส่วน
สง่ ผ่าน โดยมีผใู้ หน้ ยิ ามของการเรียนรู้ ดงั น้ี
(Klein 1991:2) กล่าวว่า การเรียนรู้(Learning) คือ กระบวนการของประสบการณ์ที่ทำให้เกิด
การเปลีย่ นแปลงพฤตกิ รรมอย่างค่อนข้างถาวร ซ่ึงการเปลี่ยนแปลงพฤตกิ รรมน้ไี ม่ได้มาจากภาวะ
ชวั่ คราว วฒุ ิภาวะ หรอื สัญชาตญาณ
(สุรางค์โค้วตระกูล :2539) กล่าวว่า การเรียนรู้(Learning) คือ การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมซึ่ง
เนื่องมาจากประสบการณ์ที่คนเรามีปฏิสัมพันธ์กับ สิ่งแวดล้อมหรือจากการฝึกหัด เป็นการเปลี่ยนแปลง
พฤติกรรมซึ่งเนื่องมาจากประสบการณ์หรือการฝึกหัด และพฤติกรรมนั้นอาจจะคงอยู่ระยะหนึ่ง หรือ
ตลอดไปก็ได้
ทฤษฎกี ารเรยี นร(ู้ Learning theory)
หมายถึงข้อความรู้ท่ีพรรณนา / อธิบาย / ทำนาย ปรากฏการณ์ต่าง ๆ เกี่ยวกับการเรียนรู้ซ่ึง
ได้รับการพิสูจน์ทดสอบตามกระบวนการทาง วิทยาศาสตร์และได้รับการยอมรับว่าเชื่อถือได้และสามารถ
นำไปนิรนัยเป็นหลักหรือกฎการเรียนรู้ย่อย ๆ หรือนำไปใช้เป็นหลักในการจัดกระบวนการเรียนรู้ใ ห้แก่
ผู้เรียนได้ทฤษฎีโดยทั่วไปมักประกอบด้วยหลักการย่อย ๆ หลายหลักการในเรื่องของการเรียนรู้มีผู้ให้
ความหมายของคำว่าการเรียนรู้ไว้หลากหลาย นักการศึกษาต่างมีแนวคิดโดยนำมาจากพัฒนาการของ
มนษุ ยใ์ นแง่มุมตา่ ง ๆ เกดิ เปน็ ทฤษฎีท่แี ตกตา่ งกนั ไป อาทิ
การเรียนรู้(Learning) คือ กระบวนการของประสบการณ์ที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมอย่าง
ค่อนข้างถาวร ซึ่งการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมนี้ไม่ได้มาจากภาวะชั่วคราว วุฒิภาวะ หรือสัญชาตญาณ
(Klein 1991:2)การเรียนรู้(Learning) คือ การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมซึ่งเนื่องมาจากประสบการณ์(
ประสบการณ์ตรงหรอื ประสบการณ์ทางอ้อม)
14
การเรียนรู้(Learning) คือ การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมซึ่งเนื่องมาจากประสบการณ์ที่คนเรามีปฏิสัมพันธ์
กับ สง่ิ แวดล้อมหรอื จากการฝกึ หัด (สุรางคโ์ ค้วตระกูล :2539)
การเรียนรู้คือ การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมซึ่งเนื่องมาจากประสบการณ์หรือการฝึกหัด และพฤติกรรมน้ัน
อาจจะคงอย่รู ะยะหนึง่ หรือตลอดไปก็ได้
การเรียนรู้(Learning) คือ กระบวนการที่ทำให้คนเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม ความคิด คนสามารถเรียนได้
จากการได้ยินการสัมผัส การอ่าน การใช้เทคโนโลยีการเรียนรู้ของเด็กและผู้ใหญ่จะต่างกัน เด็กจะเรียนรู้
ด้วยการเรียนในห้อง การซักถาม ผู้ใหญ่มักเรียนรู้ด้วยประสบการณ์ที่มีอยู่แต่การเรียนรู้จะเกิดขึ้นจาก
ประสบการณ์ที่ผู้สอนนำเสนอ โดยการปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้สอนและผู้เรียน ผู้สอนจะเป็นผู้ที่สร้าง
บรรยากาศทางจิตวิทยาที่เอื้ออำนวยต่อการเรียนรู้ที่จะให้เกิดขึ้นเป็นรูปแบบใดก็ได้เช่น ความเป็นกันเอง
ความเข้มงวดกวดขัน หรือความไม่มีระเบียบวินัย สิ่งเหล่านี้ผู้สอนจะเป็นผู้สร้างเงื่อนไขและสถานการณ์
เรยี นรู้ให้กบั ผ้เู รยี น ดังนน้ั ผู้สอนจะ ทฤษฎีการเรียนรู้(Learning Theory)
มนษุ ยส์ ามารถรบั ขอ้ มลู โดยผา่ นเสน้ ทางการรบั รู้3 ทาง คอื
1. พฤติกรรมนยิ ม (Behaviorism)
2. ปญั ญานยิ ม (Cognitivism)
3. การสรา้ งสรรคอ์ งค์ความรู้ดว้ ยปัญญา (Constructivism)
พฤตกิ รรมนยิ ม (Behaviorism)
พฤติกรรมนิยมมองผู้เรียนเหมือนกับ กระดานชนวนที่ว่างเปล่าผู้สอนเตรียม ประสบการณ์ให้กับ
ผ้เู รยี น เพ่ือสร้างประสบการณใ์ หม่ให้ผูเ้ รียน อาจ กระทำซำ้ จนกลายเปน็ พฤติกรรม ผู้เรียนทำในสิ่งท่ีพวก
เขาได้รับฟังและจะไม่ทำการคิดริเริ่มหา หนทางด้วยตนเองต่อการเปลี่ยนแปลง หรือพัฒนาปรับปรุง
เปลีย่ นแปลงสิง่ ตา่ ง ๆ ให้ดีขึน้
ปญั ญานยิ ม (Cognitivism)
ปัญญานยิ มอยู่บนฐานของกระบวนการคิดก่อน แสดงพฤตกิ รรม การเปลยี่ นแปลง พฤติกรรมที่จะ
ถูกสังเกต สิง่ เหล่าน้ัน มนั ก็เป็นเพียงแต่การบง่ ช้วี ่าสงิ่ นีก้ ำลังดำเนนิ ต่อไปในสมองของผู้เรยี นเท่าน้ัน ทักษะ
ใหมๆ่ ทจี่ ะทำ การสะทอ้ นส่งออกมา กระบวนการประมวลผลขอ้ มลู สารสนเทศทางปัญญา
การสร้างสรรคอ์ งค์ความรู้ด้วยปญั ญา (Constructivism)
การสร้างสรรคค์ วามรดู้ ้วยปญั ญาอยูบ่ นฐานของ การอา้ งองิ หลักฐานในสง่ิ ทพี่ วกเราสร้างข้ึนแสดง
ให้ปรากฏแก่สายตาของ เราด้วยตัวของเราเอง และอย่บู นฐานประสบการณ์ของแตล่ ะบคุ คลองค์ความรู้จะ
ถูกสร้างขึ้นโดยผู้เรียน และโดยเหตุผลที่ทุกคนต่างมีชุดของประสบการณ์ต่างๆ ของการเรียนรู้จึงมี
ลักษณะเฉพาะตน และมคี วามแตกตา่ งกนั ไปในแตล่ ะคน
ทัง้ สามทฤษฎีต่างมคี วามสำคญั เท่าเทียมกนั เม่ือได้การตัดสินใจที่จะใชย้ ุทธศาสตร์น้ีมีส่งิ ท่สี ำคญั และ
จำเปน็ ที่สดุ ของชวี ติ ท่ตี ้องพิจารณาทงั้ สองระดับ คือ ระดับองค์ความร้ขู องนกั เรียนของท่านและระดับการ
ประมวลผลทางสติปัญญาท่ีตอ้ งการในผลงานหรือภาระงานแหง่ การเรียนรู้ระดบั การประมวลผลทาง
สตปิ ัญญาที่ต้องการสร้างผลงาน/ภาระงาน และระดับความชำนิชำนาญของนกั เรยี นของเรานี้การมองหา
15
ภาพทางทฤษฎีจะมคี วามเป็นไปได้ทสี่ นบั สนุนการมคี วาม พยายามทจ่ี ะเรียนรทู้ างยุทธวิธีบางทกี ็มีความ
ซับซ้อนและมีความเล่ือมล้ำกนั อยบู่ า้ ง และก็มคี วามจำเปน็ เหมือนๆ กัน ในการวบรวมยุทธวธิ ตี ่าง ๆ จาก
ความแตกต่างทเ่ี ป็นจริง ทางทฤษฎเี มื่อเรามีความต้องการทมี่ า : ไตรรงคเ์ จนการ สำนักวชิ าการและ
มาตรฐานการศกึ ษา, สพฐ
แนวคดิ ทฤษฎีการดูแลตนเอง
ทฤษฎีดูแลตัวเอง (Self – care Theory)
เปน็ แนวคดิ ท่อี ธบิ ายการดแุ ลตนเองของบุคคล และการดูแลบุคคลทพี่ ึ่งพอ กลา่ วคือ บุคคลท่ีมีวุฒิ
ภาวะเป็นผู้ใหญ่และกำลังเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ มีการเรียนรู้ในการกระทำและผลของการกระทำเพื่อสนองตอบ
ความต้องการดูแลตนเองที่จำเป็น โดยการควบคุมปัจจัยที่มีผลต่อหน้าที่ หรือพัฒนาการของบุคคลเพื่อ
คงไว้ซึ่งชีวิต สุขภาพ และความผาสุก การกระทำดังกล่าวรวมไปถึงการกระทำเพื่อบุคคลที่ต้องพึ่งพาซ่ึง
สมาชิกในครอบครัวหรอื บคุ คลอ่นื
แนวคิดของโอเร็ม การดูแลตนเองเป็นรูปแบบหนึ่งของการกระทำอย่างจงใจและมีเป้าหมายซ่ึง
เกิดขน้ึ อย่างเป็นกระบวนการประกอบดว้ ย 2 ระยะสัมพนั ธ์กนั คือ
ระยะที่ 1 เป็นระยะของการประเมินและตัดสินใจ ในระยะนี้บุคคลจะต้องหาความรู้และข้อมูล
เกย่ี วกบั สถานการณท์ ี่เกิดข้นึ และสะทอ้ นความคดิ ความเขา้ ใจในสถานการณแ์ ละพิจารณาว่าสถานการณ์
นั้นจะสามารถเปลี่ยนแปลงได้หรือไม่ อย่างไร มีทางเลือกอะไรบ้าง ผลที่ได้รับแต่ละทางเลือกเป็นอย่างไร
แล้วจึงตัดสินใจทจี่ ะกระทำ
ระยะที่ 2 ระยะของการกระทำและประเมินผลของการกระทำ ซึ่งในระยะนี้จะมีการแสวงหา
เป้าหมายของการกระทำ ซึ่งเป้าหมายมีความสำคัญเพราะจะช่วยกำหนดทางเลือกกิจกรรมที่ต้องกระทำ
และเปน็ เกณฑท์ ี่จะใชใ้ นการติดตามผลของการปฏบิ ัติกจิ กรรม
วัตถปุ ระสงค์หรือเหตุผลของการกระทำการดแู ลตนเองนนั้ โอเร็ม เรยี กวา่ การดูแลตนเอง
ที่จำเป็น (Self-care requisites) ซ่ึงเป็นความตั้งใจหรือเปน็ ผลทเี่ กิดได้ทันทีหลงั การกระทำ การดแู ล
ตนเองทจี่ ำเปน็ มี3 อย่าง คอื การดแู ลตนเองทีจ่ ำเป็นโดยท่วั ไป ตามระยะพฒั นาการ และเมอื่ มภี าวะ
เบี่ยงเบนทางดา้ นสุขภาพ (Orem, 2001 : 47-49) ดังนี้
1.การดแู ลตนเองท่ีจำเปน็ โดยทั่วไป (Universal self-care requisites) เป็นการดูแลตนเองท่เี กีย่ วข้อง
กับการส่งเสรมิ และรักษาไว้ซ่ึงสุขภาพและสวัสดภิ าพของบุคคล และการดูแลตนเอง เหล่านจี้ ำเปน็ สำหรบั
บคุ คลทุกคน ทกุ วัย แต่จะต้องปรบั ให้เหมาะสมกับระยะพฒั นาการ จุดประสงค์และกิจกรรมการดูแล
ตนเองทีจ่ ำเป็นโดยทวั่ ไปมีดังน้ี
1.1 คงไว้ซง่ึ อากาศ นำ้ และอาหารที่เพยี งพอ
1.1.1 บรโิ ภคอาหาร นำ้ อากาศ ให้เพียงพอกับหนา้ ทขี่ องร่างกายทผ่ี ิดปกตแิ ละคอย
ปรบั ตัวตามความเปล่ียนแปลงท้ังภายในและภายนอก
1.1.2 รักษาไว้ซึ่งความคงทนของโครงสร้างและหนา้ ทขี่ องอวยั วะที่เกย่ี วข้อง
16
1.1.3 หาความเพลดิ เพลินจากการหายใจ การด่มื และการรับประทานอาหาร โดยไม่ทำ
ให้เกิดโทษ
1.2 คงไว้ซง่ึ การขับถา่ ยและการระบายใหเ้ ปน็ ไปตามปกติ
1.2.1 จดั การให้มกี ารขบั ถา่ ยตามปกติทั้งจดั การกับตนเองและส่ิงแวดล้อม
1.2.2 จดั การเกย่ี วกับกระบวนการในการขบั ถา่ ยซึ่งรวมถงึ การรกั ษาโครงสร้าง และ
หนา้ ท่ีใหเ้ ปน็ ไปตามปกตแิ ละการระยายส่งิ ปฏกิ ลู จาการขับถา่ ย
1.2.3 ดูแลสุขวิทยาส่วนบุคคล
1.2.4 ดแู ลส่ิงแวดล้อมให้สะอาดถูกสุขลกั ษณะ
1.3 คงไว้ซึง่ ความสมดลุ ระหวา่ งการมกี ิจกรรมและการพักผอ่ น
1.3.1 เลอื กกจิ กรรมให้ร่างกายได้เคลอ่ื นไหวออกกำลังกายการตอบสนองทางอารมณ์ทาง
สติปญั ญา และมปี ฏสิ ัมพันธ์กบั บุคคลอนื่ อย่างเหมาะสม
1.3.2 รบั รูแ้ ละสนใจถงึ ความต้องการการพักผอ่ นและการออกกำลังกายของตนเอง
1.3.3 ใช้ความสามารถ ความสนใจ คา่ นยิ ม และกฎเกณฑ์จากขนบธรรมเนยี มประเพณี
เป็นพน้ื ฐานในการสร้างแบบแผนการพกั ผ่อน และการมกี ิจกรรมของตนเอง
1.4 คงไว้ซงึ่ ความสมดลุ ระหว่างการอยู่คนเดียวกับการมีปฏสิ ัมพนั ธก์ ับผู้อน่ื
1.4.1 คงไว้ซง่ึ คณุ ภาพและความสมดลุ ที่จำ เปน็ ในการพัฒนาเพอื่ เปน็ ทพี่ ง่ึ ของตนเอง
และสรา้ งสัมพนั ธภาพ กับบุคคลอน่ื เพื่อทจี่ ะชว่ ยให้ตนเองทำหนา้ ทไ่ี ด้อย่างมีประสิทธิภาพรู้จัก
ตดิ ต่อของความชว่ ยเหลือจากบุคคลอ่ืนในเครอื ข่ายสงั คมเมือ่ จำเป็น
1.4.2 ปฏบิ ัตติ นเพ่อื สรา้ งมติ ร ให้ความรัก ความผกู พนั กับบคุ คลรอบข้าง เพื่อจะได้พ่ึงพา
ซึ่งกันและกัน
1.4.3 ส่งเสริมความเปน็ ตัวของตวั เอง และการเปน็ สมาชิกในกลุ่ม
1.5 ป้องกนั อนั ตรายตา่ ง ๆ ต่อชวี ติ หนา้ ที่และสวัสดิภาพ
1.5.1 สนใจและรับรู้ต่อชนดิ ของอันตรายท่ีอาจจะเกดิ ข้ึน
1.5.2 จัดการป้องกนั ไม่ให้เกิดเหตกุ ารณ์ทอี่ าจจะเป็นอันตราย21
1.5.3 หลกี เลยี่ งหรือปกป้องตนเองจากอนั ตรายตา่ ง ๆ
1.5.4 ควบคุมหรือขจดั เหตุการณท์ ่เี ปน็ อันตรายต่อชีวติ และสวัสดภิ าพ
1.6 ส่งเสริมการทำหน้าทแ่ี ละพฒั นาการใหถ้ งึ ขดี สูงสุด ภายใตร้ ะบบสังคมและความสามารถของ
ตนเอง (Promotion of normalcy)
1.6.1 พัฒนาและรกั ษาไว้ซงึ่ อัตมโนทศั นท์ เ่ี ป็นจริงของตนเอง1
1.6.2 ปฏิบัตใิ นกจิ กรรมท่สี ่งเสริมพฒั นาการของตนเอง
1.6.3 ปฏิบัติกิจกรรมที่ส่งเสริมและรักษาไว้ซึ่งโครงสร้างและหน้าที่ของบุคคล(Health
promotion & preventions)
17
1.6.4 ค้นหาและสนใจในความผดิ ปกติของโครงสรา้ ง และหน้าท่ีแตกตา่ งไปจากปกติของ
ตนเอง (Early detection)
2. การดูแลตนเองที่จำเป็นตามระยะพัฒนาการ (Developmental self-care requisites) เป็นการดูแล
ตนเองที่เกิดขึ้นจากกระบวนการพัฒนาการของชีวิตมนุษย์ในระยะต่างๆ เช่น การตั้งครรภ์การคลอดบุตร
การเจริญเติบโต เข้าสู่วัยต่างๆ ของชีวิต และเหตุการณ์ที่มีผลเสียหรือเป็นอุปสรรค ต่อพัฒนาการ เช่น
การสูญเสียคู่ชีวิต หรือบิดามารดา หรืออาจเป็นการดูแลตนเองที่จำเปน็ โดยทั่วไปที่ปรบั ให้สอดคล้อง เพื่อ
การสง่ เสรมิ พฒั นาการ การดูแลตนเองท่จี ำเปน็ สำหรบั กระบวนการพัฒนาการแบง่ ออกเป็น 2 อยา่ งคือ
2.1 พัฒนาและคงไวซ้ งึ่ ภาวะความเปน็ อย่ทู ่ชี ่วยสนับสนนุ กระบวนการของชีวติ และ
พัฒนาการของชีวิตและพัฒนาการทชี่ ่วยใหบ้ คุ คลเจริญเข้าสวู่ ุฒิภาวะใน ระหวา่ งท่ี
2.1.1 อยู่ในครรภม์ ารดา และการคลอด
2.1.2 ในวยั ทารก วยั เด็ก วยั รุ่น วยั ผ้ใู หญ่ วัยชรา และในระยะตัง้ ครรภ์
2.2 ดูแลเพื่อป้องกันการเกิดผลเสียต่อพัฒนาการโดยจัดการเพื่อบรรเทาเบาบางอารมณ์เครียด
หรือเอาชนะต่อผลทเ่ี กิดจาก
2.2.1 การขาดการศกึ ษา
2.2.2 ปญั หาการปรบั ตัวทางสงั คม
2.2.3 การสูญเสยี ญาติมติ ร
2.2.4 ความเจบ็ ป่วย การบาดเจบ็ และการพกิ าร
2.2.5 การเปลี่ยนแปลงเน่ืองจากเหตุการณ์ตา่ ง ๆ ในชีวิต
2.2.6 ความเจ็บปว่ ยในข้ันสุดท้ายและการท่จี ะต้องตาย
3. การดูแลตนเองทีจ่ ำเปน็ ในภาวะเบ่ียงเบนทางด้านสุขภาพ (Health deviation self-care requisites)
เป็นการดูแลตนเองที่เกิดขึ้นเนื่องจากความพิการตั้งแต่กำเนิด โครงสร้างหรือหน้าที่ของร่างกายผิดปกติ
เช่น เกิดโรคหรือความเจ็บป่วย และจากการวินิจฉัย และการรักษาของแพทย์การดูแลตนเองที่จำเป็นใน
ภาวะน้มี 6ี อย่างคอื
3.1 แสวงหาและคงไว้ซง่ึ ความช่วยเหลือจากบุคคลที่เช่ือถือได้เชน่ เจา้ หน้าท่ีสขุ ภาพอนามยั
3.2 รับรู้สนใจ และดูแลผลของพยาธสิ ภาพ ซึ่งรวมถึงผลทก่ี ระทบตอ่ พัฒนาการของตนเอง
3.3 ปฏิบัติตามแผนการรักษา การวินิจฉัย การฟื้นฟูและการป้องกันพยาธิสภาพที่เกิดขึ้นอย่างมี
ประสิทธิภาพ
3.4 รับรู้และสนใจท่ีจะคอยปรับและป้องกันความไม่สุขสบายจากผลข้างเคียงของการรกั ษา หรือ
จากโรค
3.5 ดัดแปลงอัตมโนทัศน์และภาพลักษณ์ในการที่จะยอมรับภาวะสุขภาพของตนเองตลอดจน
ความจำเป็นที่ตนเองต้องการความช่วยเหลือเฉพาะจากระบบบริการสุขภาพ รวมทั้งการปรับบทบาท
หนา้ ท่แี ละการพ่งึ พาบคุ คลอน่ื การพัฒนาและคงไว้ซึง่ ความมคี ณุ ค่าของตนเอง
18
3.6 เรียนรู้ที่จะมีชวี ิตอยู่กับผลของพยาธสิ ภาพหรือภาวะที่เป็นอยู่รวมทั้งผลของ การวินิจฉัยและ
การรักษาในรูปแบบแผนการดำเนินชีวิต ที่ส่งเสริมพัฒนาการของตนเองให้ดีที่สุดตามความสามารถที่
เหลอื อยู่ ร้จู กั ตั้งเป้าหมายท่ีเป็นจริงซ่ึงจะเห็นวา่ การสนองตอบต่อความต้องการการดแู ลตนเองในประเด็น
นี้จะต้องมีความสามารถในการผสมผสานความตอ้ งการดูตนเองในประเดน็ อื่นๆ เข้าด้วยกัน เพื่อจัดระบบ
การดูแลท่จี ะชว่ ยป้องกัน อปุ สรรคหรอื บรรเทาเบาบางผลทเี่ กิดจากพยาธิสภาพ การวนิ จิ ฉัย และการรกั ษา
ต่อพัฒนาการของตนเอง
ความสามารถในการดูแลตนเอง (Self-care agency)ความสามารถในการดูแลตนเองเป็นมโนมติ
ที่กล่าวถึงคุณภาพอันสลับซับซ้อนของมนุษย์ซึ่งบุคคลที่มีคุณภาพดังกล่าวจะสร้าง หรือพัฒนาการดูแล
ตนเองได้โครงสร้างของความสามารถในการดูแลตนเองมี3 ระดับ คือ (Orem, 2001 : 258-265)1.
ความสามารถในการปฏิบัติการเพื่อดูแลตนเอง (Capabilities for self-care operations)2. พลัง
ความสามารถในการดูแลตนเอง (Power components:enabling capabilities for self-care)3.
ความสามารถและคณุ สมบตั ิขน้ั พนื้ ฐาน (Foundational capabilities and disposition)
1. ความสามารถในการปฏิบตั กิ ารเพ่ือการดแู ลตนเอง (Capabilities for self-care operations)
(Orem, 2001 : 258-260) เปน็ ความสามารถท่จี ำเป็น และจะตอ้ งใชใ้ นการดูแลตนเองในขณะน้ันทนั ทีซง่ึ
ประกอบด้วยความสามารถ 3 ประการ คือ
1.1การคาดการณ(์ Estimative) เปน็ ความสามารถในการตรวจสอบสถานการณแ์ ละองคป์ ระกอบ
ในตนเองและส่งิ แวดล้อมทีส่ ำคญั สำหรับการดูแลตนเอง ความหมาย และความต้องการในการปรบั การ
ดูแลตนเอง
1.2 การปรับเปล่ียน (Transitional) เป็นความสามารถในการตดั สนิ ใจเก่ยี วกับส่ิงท่ีสามารถควร
และจะกระทำเพื่อสนองตอบตอ่ ความต้องการในการดแู ลตนเองทจี่ ำเป็น
1.3 การลงมอื ปฏบิ ตั ิ(Productive operation) เป็นความสามารถในการปฏิบตั กิ จิ กรรมต่าง ๆ
เพือ่ สนองตอบต่อความต้องการดแู ลตนเองที่จำเป็น
2. พลังความสามารถในการดูแลตนเอง (Power components:enabling capabilities for selfcare)
(Orem, 2001 : 264-265) โอเร็ม มองพลังความสามารถทั้ง 10 ประการนี้ในลักษณะของตัวกลาง ซ่ึง
เชื่อมการรับรู้และการกระทำของมนุษย์แตเ่ ฉพาะเจาะจงสำหรับการกระทำอย่างจงใจเพื่อการดูแลตนเอง
ไม่ใช่การกระทำโดยทว่ั ไป พลังความสามารถ 10 ประการนไ้ี ด้แก่
2.1 ความสนใจและเอาใจใส่ในตนเอง ในฐานะที่ตนเป็นผู้รับผิดชอบในตนเอง รวมทั้งสนใจและ
เอาใจใส่ในตนเอง ในฐานะที่ตนเป็นผู้รับผิดชอบในตนเอง รวมทั้งสนใจและเอาใจใส่ภาวะแวดล้อมใน-
ภายนอกตนเอง ตลอดจนปัจจัยทสี่ ำคญั สำหรับการดูแลตนเอง
2.2 ความสามารถที่จะควบคุมพลังงานทางด้านร่างกายของตนเองให้เพียงพอ สำหรับการริเริ่ม
และการปฏิบัติการดูแลตนเองอยา่ งตอ่ เนือ่ ง
2.3 ความสามารถทจ่ี ะควบคุมส่วนต่างๆ ของรา่ งกายเพื่อการเคล่ือนไหวทจี่ ำเป็นในการริเร่ิมหรือ
ปฏบิ ตั กิ ารเพอื่ ดแู ลตนเองใหเ้ สร็จสมบรู ณ์และต่อเนื่อง
19
2.4 ความสามารถทีจ่ ะใชเ้ หตใุ ช้ผลเพอื่ การดูแลตนเอง
2.5 มีแรงจูงใจที่จะกระทำการดูแลตนเอง เช่น มีเป้าหมายของการดูแลตนเองที่สอดคล้องกับ
คุณลกั ษณะและความหมายของชีวิต สุขภาพ และสวสั ดภิ าพ
2.6 มีทกั ษะในการตัดสินใจเกยี่ วกับการดแู ลตนเองและปฏิบัตติ ามที่ไดต้ ดั สนิ ใจ
2.7 มีความสามารถในการเสาะแสวงหาความรู้เกี่ยวกับการดูแลตนเองจากผู้ที่เหมาะสม และ
เชอื่ ถือได้สามารถจะจดจำและนำความรไู้ ปใช้ในการปฏบิ ตั ไิ ด้
2.8 มีทักษะในการใช้กระบวนการทางความคิดและสติปัญญา การรับรู้การจัดกระทำ การติดต่อ
และการสรา้ งสัมพันธภาพกับบุคคลอ่นื เพ่ือปรับการปฏิบตั ิการดแู ลตนเอง
2.9 มคี วามสามารถในการจดั ระบบการดูแลตนเอง
2.10 มคี วามสามารถท่ีจะปฏิบตั กิ ารดูแลตนเองอยา่ งตอ่ เนือ่ ง และสอดแทรกการดูแลตนเองเขา้ ไป
เปน็ ส่วนหนึ่งในแบบแผนการดำเนนิ ชีวติ ในฐานะบคุ คลซึง่ มีบทบาทเปน็ สว่ นหนึง่ ของครอบครวั และชุมชน
3. ความสามารถและคุณสมบัติขั้นพื้นฐาน (Foundational capabilities and disposition) (Orem,
2001 : 264-265) เป็นความสามารถขั้นพื้นฐานของมนุษย์ที่จำเป็นสำหรับการกระทำอย่างจงใจ
(Deliberate action) โดยทว่ั ๆ ไป ซึ่งแบ่งออกเปน็
3.1 ความสามารถที่จะรู้(Knowing) กับความสามารถที่จะกระทำ (Doing) (ทางสรีระและ
จิตวิทยาแบ่งเปน็ การรบั ความรสู้ ึก การรับรคู้ วามจำ และการวางตนใหเ้ หมาะสม เป็นตน้ )
3.2 คุณสมบัติหรือปัจจัยที่มีผลต่อการแสวงหาเป้าหมายของการกระทำ ความสามารถและ
คุณสมบัตขิ นั้ พืน้ ฐาน ประกอบด้วย
3.2.1 ความสามารถและทักษะในการเรียนรู้ได้แก่ความจำ ความสามารถในการอ่าน
เขยี นนับเลข รวมทัง้ ความสามารถในการหาเหตุผลและการใชเ้ หตผุ ล
3.2.2 หน้าที่ของประสาทรับความรู้สึก (Sensation) ทั้งการสัมผัส การมองเห็น การได้
ยนิ การไดก้ ลิ่น และการรับรส
3.2.3 การรบั ร้ใู นเหตกุ ารณ์ตา่ ง ๆ ท้ังภายในและภายนอกตนเอง
3.2.4 การเห็นคุณคา่ ในตนเอง
3.2.5 นิสยั ประจำตัว
3.2.6 ความต้ังใจ
3.2.7 ความเขา้ ใจในตนเอง
3.2.8 ความห่วงใยในตนเอง
3.2.9 การยอมรบั ตนเอง
3.2.10 ระบบการจดั ลำดับความสำคญั รูจ้ ักจัดแบง่ เวลาในการกระทำกิจกรรมต่างๆ
3.2.11. ความสามารถที่จะจัดการเกี่ยวกับตนเอง เป็นต้นจะเห็นว่าหากบุคคลขาด
ความสามารถและคุณสมบัติขั้นพื้นฐานเหล่านี้เช่น ผู้ป่วยไม่รู้สึกตัว ย่อมขาดความสามารถในการกระทำ
กิจกรรมที่จงใจ และมีเป้าหมายโดยทั่วไป และไม่สามารถจะพัฒนาความสามารถเพื่อสนองตอบต่อความ
20
ต้องการดูแลตนเองได้นั่นคือขาดทั้งพลังความสามารถเพื่อสนองตอบต่อความต้องการการดูแลตนเองได้
นั่นคือขาดทั้งพลังความสามารถ 10 ประการ และความสามารถในการปฏิบัติการเพื่อดูแลตนเองการ
ประเมินความสามารถในการดูแล ตนเอง โดยประเมินว่าบุคคลสามารถจะกระทำการดูแลตนเอง เพื่อ
สนองตอบต่อความต้องการการดูแลตนเองที่จำเป็นในแต่ละข้อที่ใช้แจกแจงไว้นอกจากโครงสร้างของ
ความสามารถในการดูแลตนเองของบุคคลยังต้องคำนึงถึงปัจจัยพื้นฐานซึ่งมีอิทธิพลต่อความส ามารถใน
การดูแลตนเอง
แนวคิดของโอเร็ม การดูแลตนเองเป็นรูปแบบหนึ่งของการกระทำอย่างจงใจและมีเปา้ หมายซ่งึ
เกดิ ขึ้นอยา่ งเปน็ กระบวนการประกอบดว้ ย 2 ระยะสัมพนั ธ์กัน คอื
ระยะท่ี 1 เป็นระยะของการประเมินและตัดสินใจในระยะน้บี คุ คลจะตอ้ งหาความรแู้ ละข้อมูลเกีย่ วกบั
สถานการณ์ทีเ่ กดิ ข้นึ และสะท้อนความคิดความเข้าใจในสถานการณ์และพจิ ารณาว่าสถานการณน์ ้ันจะ
สามารถเปลยี่ นแปลงได้หรอื ไม่อย่างไรมที างเลอื กอะไรบา้ งผลท่ไี ดร้ บั แต่ละทางเลอื กเปน็ อยา่ งไร แล้วจงึ
ตัดสนิ ใจท่ีจะกระทำ
ระยะที่ 2 ระยะของการกระทำและประเมนิ ผลของการกระทำซ่ึงในระยะน้จี ะมกี ารแสวงหาเปา้ หมาย
ของการกระทำซึ่งเป้าหมายมีความสำคัญเพราะจะช่วยกำหนดทางเลือกกิจกรรมที่ต้องกระทำและเป็น
เกณฑท์ ่ี
จะใช้ในการติดตามผลของการปฏิบตั ิกจิ กรรม
วัตถุประสงค์หรอื เหตุผลของการกระทำการดแู ลตนเองน้นั โอเรม็ เรียกวา่ การดแู ลตนเองที่จำเปน็
(Self-care requisites) ซึ่งเป็นความตั้งใจหรือเป็นผลที่เกิดได้ทันทีหลังการกระทำการดูแลตนเองท่ี
จำเปน็ มี3
อย่าง คอื การดูแลตนเองท่ีจำเปน็ โดยทว่ั ไปตามระยะพัฒนาการ และเมอ่ื มภี าวะเบ่ยี งเบนทางดา้ นสุขภาพ
ดังนี้(Orem, 2001 : 47-49)
1. การดูแลตนเองที่จำเป็นโดยทั่วไป (Universal self-care requisites) เป็นการดูแลตนเองที่เกี่ยวข้อง
กับการ
ส่งเสริม และรักษาไว้ซึ่งสุขภาพและสวัสดิภาพของบุคคล และการดูแลตนเองเหล่าน้ีจำเป็นสำหรับบุคคล
ทกุ คน
ทุกวัย แตจ่ ะต้องปรบั ให้เหมาะสมกบั ระยะพฒั นาการจุดประสงคแ์ ละกิจกรรมการดูแลตนเองทจ่ี ำเป็น
โดยทัว่ ไปมีดังน้ี
1.1 คงไว้ซึง่ อากาศ น้ำ และอาหารท่เี พยี งพอ
1.1.1 บริโภคอาหาร นำ้ อากาศใหเ้ พยี งพอกับหนา้ ท่ีของรา่ งกายที่ผดิ ปกติและคอยปรับตัว
ตามความเปลย่ี นแปลงทั้งภายในและภายนอก
1.1.2 รกั ษาไวซ้ ึง่ ความคงทนของโครงสร้างและหนา้ ท่ีของอวัยวะท่เี ก่ยี วข้อง
1.1.3 หาความเพลิดเพลนิ จากการหายใจการดมื่ และการรบั ประทานอาหารโดยไมท่ ำให้เกดิ
โทษ
21
1.2 คงไว้ซง่ึ การขบั ถา่ ยและการระบายให้เป็นไปตามปกติ
1.2.1 จัดการใหม้ ีการขับถา่ ยตามปกตทิ ง้ั จัดการกบั ตนเองและส่งิ แวดล้อม
1.2.2 จัดการเก่ียวกบั กระบวนการในการขบั ถ่ายซงึ่ รวมถงึ การรกั ษาโครงสรา้ ง และหน้าท่ใี ห้
เป็นไปตามปกติและการระยายส่ิงปฏิกูลจาการขบั ถา่ ย
1.2.3 ดแู ลสุขวิทยาส่วนบุคคล
1.2.4 ดูแลสง่ิ แวดลอ้ มใหส้ ะอาดถกู สุขลกั ษณะ
1.3 คงไว้ซง่ึ ความสมดุลระหวา่ งการมีกิจกรรมและการพกั ผ่อน
1.3.1 เลือกกิจกรรมใหร้ ่างกายได้เคล่ือนไหวออกกำลงั กายการตอบสนองทางอารมณท์ าง
สติปญั ญา และมีปฏิสมั พันธก์ ับบุคคลอน่ื อย่างเหมาะสม
1.3.2 รับร้แู ละสนใจถงึ ความตอ้ งการการพกั ผอ่ นและการออกกำลงั กายของตนเอง
1.3.3 ใชค้ วามสามารถ ความสนใจ ค่านิยม และกฎเกณฑจ์ ากขนบธรรมเนยี มประเพณีเปน็
พืน้ ฐานในการสร้างแบบแผนการพกั ผ่อน และการมกี ิจกรรมของตนเอง
1.4 คงไวซ้ ง่ึ ความสมดุลระหว่างการอยู่คนเดียวกับการมปี ฏิสัมพนั ธก์ บั ผ้อู ื่น
1.4.1 คงไวซ้ ง่ึ คุณภาพและความสมดุลท่จี ำเป็นในการพฒั นาเพ่ือเปน็ ทพี่ ่ึงของตนเอง และ
สร้างสัมพันธภาพกบั บคุ คลอืน่ เพ่ือที่จะช่วยใหต้ นเองทำหน้าที่ไดอ้ ย่างมีประสิทธภิ าพรจู้ ักติดต่อของความ
ช่วยเหลอื จากบุคคลอื่นในเครอื ขา่ ยสงั คมเม่อื จำเปน็
1.4.2 ปฏิบัตติ นเพือ่ สรา้ งมิตรให้ความรักความผูกพนั กับบคุ คลรอบขา้ งเพื่อจะได้พึ่งพาซ่ึงกัน
และกัน
1.4.3 ส่งเสริมความเป็นตัวของตวั เอง และการเปน็ สมาชกิ ในกลุม่
1.5 ปอ้ งกันอนั ตรายตา่ ง ๆ ตอ่ ชีวิตหน้าทแี่ ละสวัสดิภาพ
1.5.1 สนใจและรบั รู้ตอ่ ชนิดของอันตรายท่อี าจจะเกดิ ขนึ้
1.5.2 จัดการป้องกนั ไม่ให้เกิดเหตุการณ์ทีอ่ าจจะเปน็ อันตราย
1.5.3 หลกี เลยี่ งหรือปกป้องตนเองจากอันตรายต่าง ๆ
1.5.4 ควบคุมหรือขจัดเหตุการณท์ ่เี ป็นอันตรายต่อชวี ติ และสวสั ดิภาพ
1.6 ส่งเสริมการทำหน้าที่และพฒั นาการให้ถงึ ขดี สูงสดุ ภายใต้ระบบสงั คมและความสามารถของ
ตนเอง (Promotion of normalcy)
1.6.1 พฒั นาและรักษาไวซ้ งึ่ อตั มโนทัศนท์ ี่เป็นจริงของตนเอง
1.6.2 ปฏิบัตใิ นกจิ กรรมท่สี ่งเสริมพัฒนาการของตนเอง
1.6.3 ปฏบิ ตั กิ จิ กรรมท่สี ง่ เสรมิ และรกั ษาไวซ้ ึ่งโครงสร้างและหนา้ ท่ขี องบคุ คล (Health
promotion & preventions)
1.6.4 คน้ หาและสนใจในความผิดปกตขิ องโครงสรา้ ง และหนา้ ทแ่ี ตกตา่ งไปจากปกติของ
ตนเอง (Early detection)
22
2. การดูแลตนเองท่ีจำเป็นตามระยะพัฒนาการ (Developmental self-care requisites) เปน็ การดแู ล
ตนเอง ท่ีเกดิ ข้ึนจากกระบวนการพฒั นาการของชีวิตมนษุ ยใ์ นระยะตา่ งๆ เชน่ การต้ังครรภ์การ คลอดบุตร
การเจรญิ เติบโต เข้าสวู่ ยั ต่างๆ ของชีวิตและเหตกุ ารณ์ที่มีผลเสียหรือเป็นอุปสรรคต่อพัฒนาการ เช่น การ
สูญเสียคู่ชีวิต หรือบิดามารดาหรืออาจเป็นการดูแลตนเองที่จำเป็นโดยทั่วไปที่ปรับให้สอดคล้องเพื่อการ
สง่ เสริมพฒั นาการการดูแลตนเองที่จำเป็นสำหรบั กระบวนการพัฒนาการแบง่ ออกเป็น 2 อยา่ งคอื
2.1 พัฒนาและคงไวซ้ ่ึงภาวะความเป็นอยู่ทชี่ ่วยสนับสนุนกระบวนการของชวี ิต และพัฒนาการของ
ชวี ิตและพฒั นาการทีช่ ว่ ยให้บคุ คลเจริญเขา้ สู่วุฒภิ าวะในระหว่างที่
2.1.1 อย่ใู นครรภ์มารดา และการคลอด
2.1.2 ในวัยทารก วัยเด็ก วัยรุ่น วัยผใู้ หญ่ วัยชรา และในระยะตง้ั ครรภ์
2.2 ดแู ลเพ่อื ปอ้ งกันการเกดิ ผลเสียตอ่ พฒั นาการโดยจัดการเพ่ือบรรเทาเบาบางอารมณเ์ ครียดหรือ
เอาชนะตอ่ ผลทเี่ กิดจาก
2.2.1 การขาดการศกึ ษา
2.2.2 ปัญหาการปรบั ตัวทางสังคม
2.2.3 การสญู เสียญาตมิ ิตร
2.2.4 ความเจบ็ ปว่ ย การบาดเจบ็ และการพกิ าร
2.2.5 การเปล่ยี นแปลงเนื่องจากเหตุการณต์ า่ งๆ ในชีวติ
2.2.6 ความเจบ็ ปว่ ยในขน้ั สดุ ทา้ ยและการท่จี ะตอ้ งตาย
3. การดูแลตนเองที่จำเป็นในภาวะเบี่ยงเบนทางด้านสุขภาพ ( Health deviation self-care
requisites) เปน็
การดูแลตนเองที่เกิดขึ้นเนื่องจากความพิการตั้งแต่กำเนิด โครงสร้างหรือหน้าที่ของร่างกายผิดปกติเช่น
เกดิ
โรคหรือความเจบ็ ปว่ ยและจากการวินจิ ฉยั และการรักษาของแพทยก์ ารดแู ลตนเองท่จี ำเป็นในภาวะนม้ี ี6
อยา่ งคอื
3.1 แสวงหาและคงไว้ซึ่งความชว่ ยเหลือจากบคุ คลที่เชอ่ื ถือไดเ้ ช่น เจา้ หน้าทสี่ ขุ ภาพอนามัย
3.2 รับรู้สนใจและดแู ลผลของพยาธิสภาพซ่ึงรวมถึงผลที่กระทบต่อพัฒนาการของตนเอง
3.3 ปฏบิ ัตติ ามแผนการรกั ษาการวินจิ ฉยั การฟ้ืนฟแู ละการปอ้ งกนั พยาธิสภาพที่เกิดขึ้นอย่างมี
ประสทิ ธภิ าพ
3.4 รบั รู้และสนใจทจ่ี ะคอยปรบั และป้องกันความไม่สขุ สบายจากผลขา้ งเคียงของการรกั ษา หรือจาก
โรค
3.5 ดดั แปลงอัตมโนทัศน์และภาพลกั ษณใ์ นการทจ่ี ะยอมรบั ภาวะสุขภาพของตนเองตลอดจนความ
จำเป็นที่ตนเองต้องการความช่วยเหลือเฉพาะจากระบบบริการสุขภาพรวมทั้งการปรับบทบาทหน้าที่และ
การ
พึง่ พาบคุ คลอ่ืนการพัฒนาและคงไว้ซึ่งความมคี ณุ คา่ ของตนเอง
23
3.6 เรียนรทู้ ่จี ะมชี วี ิตอย่กู ับผลของพยาธสิ ภาพหรอื ภาวะทเี่ ปน็ อยู่รวมทั้งผลของการวนิ จิ ฉัย และการ
รักษาในรูปแบบแผนการดำเนินชีวิตท่ีส่งเสริมพัฒนาการของตนเองให้ดีที่สุดตามความสามารถทีเ่ หลืออยู่
รู้จักต้งั เปา้ หมายท่เี ป็นจรงิ ซ่งึ จะเห็นว่าการสนองตอบต่อความต้องการการดแู ลตนเองในประเดน็ นีจ้ ะตอ้ งมี
ความสามารถในการผสมผสานความต้องการดูตนเองในประเด็นอื่นๆ เข้าด้วยกันเพื่อจัดระบบการดูแลที่
จะช่วยป้องกันอุปสรรคหรือบรรเทาเบาบางผลที่เกิดจากพยาธิสภาพ การวินิจฉัย และการรักษาต่อ
พฒั นาการของตนเอง
ความสามารถในการดแู ลตนเอง (Self-care agency)ความสามารถในการดูแลตนเองเปน็ มโนมตทิ ่ี
กล่าวถึงคุณภาพอันสลับซับซ้อนของมนุษย์ซึ่งบุคคลท่ีมีคุณภาพดังกล่าวจะสร้าง หรือพัฒนาการดูแล
ตนเองได้โครงสร้างของความสามารถในการดูแลตนเองมี3 ระดับ คือ (Orem, 2001 : 258-265) 1.
ความสามารถใน
การปฏิบัติการเพื่อดูแลตนเอง (Capabilities for self-care operations) 2. พลังความสามารถในการ
ดแู ล
ตนเอง (Power components:enabling capabilities for self-care) 3. ความสามารถและคุณสมบัติ
ขัน้
พื้นฐาน (Foundational capabilities and disposition)
1. ความสามารถในการปฏิบัติการเพื่อการดูแลตนเอง (Capabilities for self-care operations)
(Orem,
2001 : 258-260)เป็นความสามารถที่จำเป็น และจะต้องใช้ในการดูแลตนเองในขณะนั้น ทันทีซ่ึง
ประกอบด้วย
ความสามารถ 3 ประการ คอื
1.การคาดการณ์ (Estimative) เป็นความสามารถในการตรวจสอบสถานการณแ์ ละ องค์ประกอบ
ใน
ตนเองและสิ่งแวดล้อมที่สำคัญสำหรับการดูแลตนเองความหมาย และความต้องการในการปรับการดูแล
ตนเอง
2. การปรับเปลี่ยน (Transitional) เป็นความสามารถในการตัดสินใจเกี่ยวกับสิ่งที่สามารถควร
และจะ
กระทำเพื่อสนองตอบตอ่ ความตอ้ งการในการดแู ลตนเองทีจ่ ำเป็น
3. การลงมือปฏิบัติ(Productive operation) เป็นความสามารถในการปฏิบัติกิจกรรมต่าง ๆ
เพ่ือ
สนองตอบตอ่ ความตอ้ งการดแู ลตนเองทจี่ ำเปน็
2. พลงั ความสามารถในการดูแลตนเอง (Power components:enabling capabilities for selfcare)
(Orem, 2001 : 264-265) โอเร็ม มองพลังความสามารถทั้ง 10 ประการนี้ในลักษณะของตัวกลางซึ่ง
เชอ่ื ม
24
การรับรู้และการกระทำของมนุษย์แต่เฉพาะเจาะจงสำหรับการกระทำอย่างจงใจเพื่อการดูแลตนเองไม่ใช่
การ
กระทำโดยทว่ั ไปพลังความสามารถ 10 ประการนีไ้ ด้แก่
2.1 ความสนใจและเอาใจใส่ในตนเองในฐานะที่ตนเป็นผู้รับผิดชอบในตนเองรวมทั้งสนใจ และ
เอาใจ
ใส่ในตนเอง ในฐานะที่ตนเป็นผู้รับผิดชอบในตนเองรวมทั้งสนใจและเอาใจใส่ภาวะแวดล้อมใน-ภายนอก
ตนเอง
ตลอดจนปจั จัยที่สำคญั สำหรับการดูแลตนเอง
2.2 ความสามารถที่จะควบคุมพลังงานทางด้านร่างกายของตนเองให้เพียงพอสำหรับการริเร่ิม
และ
การปฏบิ ัตกิ ารดูแลตนเองอย่างตอ่ เนอ่ื ง
2.3 ความสามารถท่จี ะควบคมุ ส่วนตา่ งๆ ของร่างกายเพอ่ื การเคลอ่ื นไหวทจ่ี ำเปน็ ในการรเิ ริม่ หรอื
ปฏบิ ตั ิการเพื่อดูแลตนเองให้เสรจ็ สมบูรณแ์ ละตอ่ เนอ่ื ง
2.4 ความสามารถทจ่ี ะใช้เหตใุ ชผ้ ลเพ่อื การดูแลตนเอง
2.5 มแี รงจงู ใจทจ่ี ะกระทำการดูแลตนเอง เช่น มเี ปา้ หมายของการดแู ลตนเองที่สอดคล้องกับ
คณุ ลกั ษณะและความหมายของชวี ิตสุขภาพและสวัสดภิ าพ
2.6 มีทกั ษะในการตดั สนิ ใจเก่ยี วกับการดูแลตนเองและปฏิบัตติ ามท่ไี ดต้ ัดสนิ ใจ
2.7 มีความสามารถในการเสาะแสวงหาความรู้เกี่ยวกับการดูแลตนเองจากผู้ที่เหมาะสม และ
เชื่อถือได้
สามารถจะจดจำและนำความรู้ไปใช้ในการปฏบิ ัตไิ ด้
2.8 มที กั ษะในการใช้กระบวนการทางความคิดและสติปัญญาการรับรกู้ ารจัดกระทำการติดตอ่ และ
การสรา้ งสมั พันธภาพกบั บุคคลอน่ื เพือ่ ปรบั การปฏบิ ัติการดูแลตนเอง
2.9 มคี วามสามารถในการจดั ระบบการดูแลตนเอง
2.10 มคี วามสามารถท่ีจะปฏิบตั กิ ารดูแลตนเองอย่างต่อเนอื่ ง และสอดแทรกการดูแลตนเองเขา้ ไป
เป็นสว่ นหนึ่งในแบบแผนการดำเนนิ ชีวิตในฐานะบุคคลซ่ึงมบี ทบาทเปน็ สว่ นหนงึ่ ของครอบครวั และชุมชน
3. ความสามารถและคุณสมบัติขั้นพื้นฐาน (Foundational capabilities and disposition) (Orem,
2001 :
264-265) เป็นความสามารถข้นั พ้นื ฐานของมนุษยท์ ี่จำเปน็ สำหรบั การกระทำอยา่ งจงใจ (Deliberate
action) โดยท่วั ๆ ไปซง่ึ แบง่ ออกเปน็
3.1 ความสามารถทจ่ี ะร(ู้ Knowing) กับความสามารถที่จะกระทำ (Doing) (ทางสรรี ะและจิตวทิ ยา
แบง่ เป็นการรับความรู้สึกการรบั รคู้ วามจำ และการวางตนให้เหมาะสมเปน็ ต้น)
3.2 คุณสมบตั หิ รือปจั จัยท่มี ผี ลตอ่ การแสวงหาเปา้ หมายของการกระทำความสามารถและคุณสมบัติ
ขัน้ พืน้ ฐาน ประกอบดว้ ย
25
3.2.1 ความสามารถและทักษะในการเรียนรไู้ ด้แกค่ วามจำความสามารถในการอา่ นเขียนนับ
เลขรวมทงั้ ความสามารถในการหาเหตุผลและการใช้เหตผุ ล
3.2.2 หนา้ ที่ของประสาทรับความรสู้ กึ (Sensation) ทงั้ การสมั ผัส การมองเห็น การได้ยิน
การได้กลิน่ และการรบั รส
3.2.3 การรับรู้ในเหตกุ ารณต์ ่างๆ ท้ังภายในและภายนอกตนเอง
3.2.4 การเหน็ คณุ คา่ ในตนเอง
3.2.5 นิสยั ประจำตัว
3.2.6 ความต้ังใจ
3.2.7 ความเขา้ ใจในตนเอง
3.2.8 ความหว่ งใยในตนเอง
3.2.9 การยอมรบั ตนเอง
3.2.10 ระบบการจดั ลำดบั ความสำคญั รู้จักจดั แบ่งเวลาในการกระทำกิจกรรมต่าง ๆ
3.2.11. ความสามารถทีจะจดั การเกีย่ วกับตนเองเป็นต้นจะเห็นวา่ หากบุคคลขาด
ความสามารถและคุณสมบัตขิ นั้ พนื้ ฐานเหล่าน้ีเช่น ผู้ป่วยไม่รู้สกึ ตัวย่อมขาดความสามารถในการกระทำ
กิจกรรมท่จี งใจ และมีเป้าหมายโดยทั่วไป และไม่สามารถจะพฒั นาความสามารถเพอ่ื สนองตอบต่อความ
ต้องการดูแลตนเองได้นั่นคือขาดทั้งพลังความสามารถเพื่อสนองตอบต่อความ ต้องการการดูแลตนเองได้
นั่นคือขาดทั้งพลังความสามารถ 10 ประการ และความสามารถในการปฏิบัติการเพื่อดูแลตนเองการ
ประเมินความสามารถในการดูแลตนเองโดยประเมินว่าบุคคลสามารถจะกระทำการดูแลตนเอง เพ่ือ
สนองตอบต่อความต้องการการดูแลตนเองที่จำเป็นในแต่ละข้อที่ใช้แจกแจงไว้นอกจากโครงสร้างของ
ความสามารถในการดูแลตนเองของบุคคลยังต้องคำนึงถึงปัจจัยพื้นฐานซึ่งมีอิทธิพลต่อความสามารถใน
การดแู ลตนเอง
2.หลักการแนวคิดทฤษฎีทเี่ ก่ียวกบั การประเมินผลโครงการ
แนวคิด ความหมาย และความสำคัญของประเมนิ โครงการ
พิสณุ ฟองศรไี ด้กล่าววา่ การประเมนิ หมายถงึ กระบวนการตัดสนิ คณุ คา่ ของสง่ิ หน่งึ ส่งิ ใด
โดยการนำสารสนเทศหรอื ผลจากการวดั มาเปรยี บเทยี บกบั เกณฑท์ ่ีกำหนด (พสิ ณุ ฟองศรี, 2550 :
น. 4 อา้ งถงึ ใน เชาว์ อนิ ใย, 2553 : น. 3)
สมหวัง พิธยิ านุวฒั นไ์ ด้กลา่ ววา่ การประเมนิ ค่าหรือการประเมินผลหมายถึง การตัดสนิ คุณค่าของ
สิ่งใดสิ่งหนึ่ง ซึ่งถือเป็นนิยามพื้นฐานในทางการจัดการ นิยมนิยามการประเมินค่าหรือการประเมินผลว่า
เปน็ กระบวนการทกี่ อ่ ใหเ้ กดิ สารสนเทศเพ่ือการตัดสินใจ การตดั สินใจเลือกทางเลือกโดยอาศยั สารสนเทศท่ี
ถูกต้องเหมาะสม เมื่อผ่านการสังเคราะห์ให้เป็นองค์ความรู้จะทำให้เกิดปัญญาได้(สมหวัง พิธิยานุวัฒน์ ,
2549 : น. 6 อา้ งถึงใน เชาว์ อนิ ใย, 2553 : น. 3)
เชาว์ อินใย ได้ให้ความหมายของการประเมินหมายถึง กระบวนการพิจารณาตัดสินคณุ ค่าของส่งิ
26
ใดสิ่งหนึ่งว่า มีความเหมาะสมหรือไม่เพียงใด โดยนำสารสนเทศหรือผลจากการวัดมาเปรียบเทียบกับ
เกณฑ์ที่กำหนดเพื่อช่วยในการตัดสินใจ ตีค่าผลการดำเนินการนั้น ๆ ว่าบรรลุวัตถุประสงคห์ รือไม่ ใช้เปน็
ส่วนหนึ่งของกระบวนการจัดการ ส่วนคำว่าโครงการหมายถึง ส่วนย่อยส่วนหนึ่งของแผนงาน ซึ่ง
ประกอบด้วย ชุดของกิจกรรมที่จัดขึ้นอย่างมีระบบ มีการกำหนดทรัพยากรในการดำเนินงาน ระยะเวลา
ดำเนินงานไว้อย่างชัดเจน โดยออกแบบมาเพื่อให้บรรลุเป้าหมายตามต้องการ ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า การ
ประเมินโครงการ หมายถึง กระบวนการพิจารณาตัดสินคุณค่าโดยการค้นคว้า เก็บรวบรวมข้อมูลต่าง ๆ
จากชุดของกิจกรรมที่จัดขึ้นอย่างมีระบบมาประกอบการตัดสินใจ ตีค่าผลการดำเนินการนั้นว่าบรรลุ
วตั ถปุ ระสงคห์ รอื ไม่ ใช้เปน็ ส่วนหนง่ึ ของกระบวนการจดั การ (เชาว์ อนิ ใย, 2553 : น. 4)
ความสำคัญของการประเมินโครงการ
เชาว์ อินใย ได้อธิบายความสำคัญของการประเมินโครงการไว้ว่า การประเมินโครงการเป็นส่วน
หนึ่งของการวิจัย เป็นกระบวนการที่มีระบบเพื่อค้นหาข้อเท็จจริงหรือกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ทั้งยังเป็น
กระบวนการทม่ี ีระบบเพื่อตัดสินความสำเร็จของโครงการอีกด้วย การประเมินโครงการเป็นการดำเนินงาน
ที่ไม่ใช้ความพยายามในการสร้างทฤษฎีหรือพัฒนาองค์ความรู้ทางสังคมศาสตร์การประเมินโครงการที่
นำมาใช้ในทางสังคมศาสตร์นั้น เป็นการเตรียมสารสนเทศเพื่อใช้ในการปรับปรุงโครงการทางสังคม
เหตผุ ลประการสำคัญที่จำเป็นต้องประเมินโครงการก็คือ มที างเลอื กในการดำเนินโครงการได้มากมายท่ีจะ
ทำให้การดำเนินงานโครงการมีประสิทธิภาพ ดังนั้นจึงจำเป็นตอ้ งประเมนิ โครงการว่า ประสบความสำเรจ็
หรอื ไม่ (เชาว์ อนิ ใย, 2553 : น. 12)
แนวคดิ ทฤษฎีเกย่ี วกับการประเมนิ ผลโครงการ
แนวคิด หลักการและโมเดลการประเมนิ ของไทเลอร (Tyler’s Rationale and Model of Evaluation
แนวคดิ ทางการประเมนิ ของไทเลอร จดั เปนแนวคิดของการประเมนิ ในระดบั ชั้นเรียนโดยไทเลอรมี
ความเหนว่าการประเมินผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน จะมีสวนชวยอย่างมากในการพัฒนา
กระบวนการเรยี นการสอน
Ralph W.Tyler : 1943 (90-93) ไทเลอรไ์ ดเ้ ริ่มตนการนําเสนอแนวความคดทางการประเมินโดย
ยึดกระบวนการเรียนการสอนเป็นหลักกลาวคือไทเลอร์ได้นิยามวากระบวนการจัดกา รเรียนการสอนเป็น
กระบวนการทม่ี งุ จัดขน้ึ เพื่อก่อใหเ้ กิดการเปล่ียนแปลงพฤตกิ รรมที่พงึ ปรารถนาในตัวของผเู้ รยี น ด้วยเหตุน้ี
จุดเนนของการเรียนการสอน จึงขึ้นอยู่กับการที่ผู้เรียนจะตองมีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมหลังการสอน
ดังนั้น เพื่อให้การสอนเกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในตัวผู้เรียนตามที่มุ่งหวังกระบวนการดังกลาวจึงมี
ข้ันตอนในการดำเนินการ ดงั นี้
ขั้นที่ 1 ต้องมีการระบุหรือกำหนดวัตถุประสงค์ให้ชัดเจนลงไปวาเมื่อสิ้นสุดการจัดการเรียนการ
สอนแลวผู้เรียนควรเกดพฤติกรรมใด หรือสามารถกระทำสิ่งใดได้บ้างหรือที่เรียกวา วัตถุประสงคเ ชิง
พฤตกิ รรม
ขั้นที่ 2 ต้องระบุต่อไปว่าจากวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ดังกล่าวนั้นมีเนื้อหาใดบ้างที่ผู้เรียนจะต้อง
เรียนรู้หรือมีสาระใดบ้างทีเ่ มอ่ื ผ้เู รยี นเกดิ การเรยี นรแู ลวจะกอใหเกิดการเปล่ยี นแปลงพฤติกรรม
27
ขั้นที่ 3 หารูปแบบและวิธีการจัดการเรียนการสอนใหสอดคลองกับเนื้อหาและจุดประสงคที่
กำหนดไว้
ขั้นที่ 4 ประเมินผลโครงการโดยการตัดสินด้วยการวัดผลทางการศึกษา หรือการทดสอบ
ผลสัมฤทธิ์ในการเรียนต่อมาไทเลอร์ได้สร้างวงจรของวัตถุประสงค์ในการจัดการเรียนการสอนและ
ประเมนิ ผลขน้ึ ซ่ึงเขยี นเปน็ โมเดลพื้นฐานได้ดังน้ี
วัตถุประสงค์
การจัดการการเรียนการสอน การประเมินผลผู้เรียน
ภาพท่ี 2.1 โมเดลการประเมนิ โครงการไทเลอร์
จากโมเดลดังกล่าวจะเห็นว่า หัวลูกศรจะชี้ไปยังทิศทางทั้งสองทิศทางของทุกองค์ประกอบ มีความหมาย
วา ในการจัดการเรียนการสอนนั้น ตามทัศนะของไทเลอร์แล้ว องค์ประกอบทั้ง 3 คือ1. วัตถุประสงค 2.
การจดั การเรียนการสอน และ 3. การประเมนิ ผลผู้เรียนจะตองดำเนนิ การให้ประสานสมั พนั ธ์กันไปเสมอ
แนวคดิ หลกั การและโมเดลการประเมนิ ของ ครอนบาค (Cronbach’s Concepts and Model
ตามทัศนะของครอนบาค เชื่อว่าการประเมินเป็นการรวบรวมข้อมูลการใช้สารสนเทศเพื่อการ
ตัดสินใจเก่ียวกบั การจดั โปรแกรมทางการศึกษาในสวนของการตดั สนิ ใจท่ีเกี่ยวขอ้ งกบั การจดั การศึกษาน้ัน
ครอนบาคได้แบงออกเป็น 3 ประเภท คอื
1.การตัดสินใจเพอื่ ปรับปรงุ รายวิชา
2.การตัดสินใจทีเ่ กีย่ วขอ้ งกับตัวนักเรยี นเป็นรายบุคคล
3.การจัดการบรหิ ารโรงเรียน
ซึง่ ครอนบาคไดม้ คี วามเหน็ วา่ การประเมนิ นน้ั ไม่ควรกระทำโดยใชแ้ บบทดสอบอยา่ งเดียว จงึ ได้เสนอแนว
ทางการประเมินเพ่ิมเตมิ ไวอ้ กี 4 แนวทาง คือ
1.การศกึ ษากระบวนการ (Process Studies) คือการศึกษาภาวะตา่ ง ๆ ทเ่ี กดิ ข้ึนในชั้นเรยี น
2.การวัดศักยภาพของผู้เรียน (Proficiency Measurement) ครอนบาคได้ใหความสำคัญต่อ
คะแนนรายขอมากกวาคะแนนจากแบบทดสอบท้ังฉบับ และใหความสำคัญตอการสอนเพื่อวัดสมรรถภาพ
ของผูเ้ รียนระหว่างการเรยี นการสอนวามคี วามสำคญั มากกวาการสอบประจำปลายภาคเรียนหรือการสอบ
ปลายปี
28
3.การวัดทัศนคติ(Attitude Measurement) ครอนบาคใหทัศนะวาการวัดทัศนคตเป็นผลที่เกิด
จากการจดั การเรียนการสอนสวนหนึ่ง ซ่ึงมคี วามสำคญั เชน่ กนั
4.การติดตาม (Follow - Up Studies) เป็นการติดตามผลการทำงาน หรือภาวะการเลือกศึกษา
ตอในสาขาต่าง ๆ รวมทั้งการใหบุคคลที่เรียนในระดับขั้นพื้นฐานที่ผ่านมาแลวได้ประเมินถึงขอดีและขอ
จำกัดของวิชาต่าง ๆ วาควรมีการปรับปรุงเพิ่มเติมอย่างไรเพื่อชวยในการพัฒนาหรือปรับปรุงรายวชา
เหล่านัน้ ตอไป
สรุปแนวคิดของครอนบาคข้างตนแลวจะเห็นว่าครอนบาคมีความเชื่อวาการประเมินที่เหมาะสม
นั้นตองพิจารณาหลาย ๆ ด้าน ดังที่กล่าวมาแลวทั้ง 4 ประการโดยเนนวาการประเมินโครงการด้านการ
เรียนการสอนนนั้ ไม่ควรประเมินเฉพาะแต่จดุ มุ่งหมายท่ีต้งั ไวเทานัน้ แต่ควรประเมินหรือตรวจสอบผลขาง
เคียงของโครงการด้วย ครอนบาคยังมีความเห็นเพิ่มเติมอีกวาหนาที่สำคัญประการหนึ่งของการประเมิน
โครงการด้านการเรียนการสอนก็คือการคนหาขอบกพรองของโครงการเพื่อจะได้หาทางปรับปรุงแกไข
กระบวนการเรยี นการสอนใหมปี ระสทิ ธิภาพตอไป
แนวคิด หลักการและโมเดลการประเมินของ สครีฟเวน (Scriven’s Evaluation Ideologies and
Model)
Scriven, 1967 สครฟี เวน ไดใ้ หน้ ยิ ามการประเมนิ ไววา “การประเมนิ ” เป็นกจิ กรรมท่ี
เกี่ยวของกับการรวบรวมขอมูลการตัดสินใจเลือกใชเครื่องมือเพื่ออเก็บข้อมูลและการกำหนด
เกณฑประกอบในการประเมนิ เปา้ หมายสำคัญของการประเมนิ กค็ ือการตัดสนิ คุณคาใหกับกิจกรรมใด ๆ ที่
ตองการจะประเมิน สครีฟเวน ได้จําแนกประเภทและบทบาทของการประเมินออกเป็น 2 ลักษณะคือ 1.
การประเมนิ ระหว่างดำเนินการ (Formative Evaluation) เปน็ บทบาทของการประเมนิ งาน กจิ กรรมหรือ
โครงการใด ๆ ที่บงชี้ถึงขอดีและขอจำกัด ที่เกิดขึ้นในระหว่างการดําเนินงานนั้น ๆ อาจเรียกการประเมนิ
ประเภทนี้วา เป็นการประเมินเพื่อการปรับปรุง 2. การประเมินผลรวม (Summative Evaluation) เป็น
บทบาทของการประเมนิ เมื่อกิจกรรมหรือโครงการใด ๆ สิ้นสุดลงเพ่ือเป็นตวั บงช้ถี ึงคณุ คาความสำเร็จของ
โครงการน้ัน ๆ จงึ อาจเรียกการประเมนิ ประเภทน้วี าเป็นการประเมนิ สรุปรวม
นอกจากนี้สครีฟเวน ยังได้เสนอสิ่งที่ตองประเมินออกเป็นสวนสำคัญอีก 2 สวน คือ 1. การ
ประเมินเกณฑ์ภายใน (Intrinsic Evaluation) เป็นการประเมินในส่วนที่เกี่ยวข้องกับคุณภาพของ
เคร่ืองมอื ทีใ่ ชในการเก็บขอ้ มูลรวมทั้งคุณภาพของคุณลักษณะต่าง ๆ ทเ่ี ก่ียวของกบั การดำเนินโครงการ 2.
การประเมินความคุมคา (Payoff Evaluation) เป็นการประเมินในสวนที่เกี่ยวข้องกับคุณภาพของ
โครงการ ทฤษฎีหรือสิ่งอื่น ๆ ของโครงการเป็นการประเมินในส่วนซึ่งเป็นผลที่มีตอผู้รับบริการจากการ
ดำเนินโครงการ
สามารถสรุปได้ว่า สครีฟเวนใหความสำคัญตอการประเมินเกณฑภายในมากแต่ขณะเดียวกันจะ
ตองตรวจสอบผลผลิตในเชิงสัมพันธ์ของตัวแปรระหว่างกระบวนการกับผลผลิตอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นด้วย
29
แนวคิดทางการประเมินของสครีฟเวนได้พัฒนาไปจากแนวคิดเดิมของการประเมินที่ยึดตามวัตถุประสงค
แตเ่ พียงอย่างเดยี ว มาเป็นการประเมินทมี่ ่งุ เนน้ ถงึ ผลผลิตต่าง ๆ ที่เกดิ ข้ึนจากการทำกจิ กรรมหรือโครงการ
ใด ๆ ในทุกด้านโดยใหความสนใจต่อผลผลิตตา่ ง ๆ ที่เกิดขน้ึ ทง้ั ที่เป็นผลโดยตรง
หลักวงจรคณุ ภาพเดมม่ิง “PDCA”
วงจรการควบคุมคุณภาพ (PDCA Cycle) หรือ วงจรเดมมิ่ง (Deming Cycle) คือ แนวคิดการ
พัฒนาการทำงานเพื่อควบคุมคุณภาพงานให้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง พัฒนามาจากแนวคิดของวอล์ท
เตอร์ซิวฮาร์ท (Walter Shewhart) นักสถิติในงานอุตสาหกรรม ต่อมาแนวคิดนี้เริ่มเป็นที่รู้จักกันมากขึ้น
เมื่อ เอดวาร์ด เดมมิ่ง (W.Edwards Deming) นักจัดการบริหารคุณภาพ ได้นำเสนอและเผยแพร่ใช้เป็น
เครื่องมือสำหรับการปรับปรงุ กระบวนการทำงานของพนักงานภายในโรงงานให้ดีข้ึนซึ่งจะใชใ้ นการค้นหา
ปัญหาอุปสรรคในขั้นตอนการทำงานโดยพนักงาน จนเป็นที่รู้จักกันในชื่อว่า วงจรเดมมิ่ง หรือ วงจร
PDCA
แนวคิดวงจร PDCA เป็นแนวคิดทงี่ า่ ยไม่ซับซ้อน สามารถนำไปใชไ้ ด้ในเกือบจะทุกกิจกรรมจึงทำ
ให้เป็นท่รี ู้จกั กนั อยา่ งแพร่หลายมากข้นึ ท่ัวโลก PDCA เป็นอกั ษรนำของภาษาองั กฤษ 4 คำคือ
1.การวางแผน (Plan) คือ การวางแผนการดำเนินงาน เพื่อให้เกิด การทำงานที่ได้ผลงาน การ
ปรับปรุงเปลี่ยนแปลง การพัฒนาสิ่งใหม่การแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติงาน มีส่วนที่สำคัญเช่นการ
กำหนดเป้าหมาย วัตถุประสงค์การจัดอันดับความสำคัญของเป้าหมาย กำหนดการดำเนินงานกำหนด
ระยะเวลาการดำเนินงาน กำหนดผู้รับผิดชอบดำเนินการ และกำหนดงบประมาณที่จะใช้การวางแผนที่ดี
ควรต้องเกิดจากการศึกษาที่ดีมีการวางแผนไว้รัดกุมรอบคอบปรับเปลี่ยนได้ตามความเหมาะสมของงาน
และเหตุการณ์แผนที่ได้ต้องช่วยในการคาดการณ์สิ่งที่เกิดขึ้นและสามารถช่วยลดความสูญเสียที่อาจ
เกดิ ข้ึนได้การวางแผนควรมกี ารกำหนด
- การกำหนดเป้าหมาย
- วัตถุประสงค์
- กำหนดผรู้ ับผดิ ชอบ
- ระยะเวลาดำเนนิ การ
- งบประมาณที่กำหนด
- มกี ารเสนอเพื่อขออนมุ ตั กิ ่อนดำเนินการ เป็นต้น
2. ปฏิบัติตามแผน (Do) คือ การดำเนนิ การเพือ่ ใหไ้ ด้ตามแผนที่มีการกำหนดไวอ้ าจมีการกำหนด
โครงสร้างคณะทำงานรองรับการดำเนินการเช่น คณะกรรมการ ฯลฯ กำหนดวิธีในการดำเนินงานข้นั ตอน
ผู้ดูแลรับผิดชอบ ผตู้ รวจสอบและทำการประเมินผล การปฎบิ ตั ิการควรมี
- มคี ณะทำงานคอยควบคุม กำหนดนโยบาย ติดตามตรวจสอบการทำงาน
- มกี ารกำหนดข้ันตอนทช่ี ัดเจน
- มวี ิธีการดำเนนิ การท่สี ามารถดำเนินการไดจ้ รงิ ไมย่ ากจนเกินความสามารถของผ้ทู ่จี ะทำ
30
- มีผ้รู บั ผดิ ชอบดำเนนิ การท่ีชัดเจน เพียงพอ
- มรี ะยะเวลาที่กำหนดทีเ่ หมาะสม
- มีงบประมาณในการทำงาน เป็นตน้
3. ตรวจสอบการปฏิบัติตามแผน (Check) คือ ขั้นตอนที่เริ่มเมื่อมีการดำเนินโครงการตามข้อ 2
ควรจะตอ้ งทำการประเมนิ ผลการดำเนนิ งานวา่ เป็นไปตามแผนงานที่กำหนดไว้หรือไม่ อาจประเมินในส่วน
การประเมินผลงานการดำเนินการ การประเมินผลการดำเนินตามขั้นตอน และการประเมินผลงานตาม
เปา้ หมายของแผนงานทไ่ี ด้มีการกำหนดไว้ในการประเมินนเ้ี ราอาจสามารถทำได้เองโดยใชค้ ณะกรรมการท่ี
รับผิดชอบในแผนการดำเนินงานภายในเป็นการประเมินตนเอง แต่การใช้คนภายในอาจทำให้ขาดความ
น่าเช่ือถือหรือประเมนิ ผลได้ไมเ่ ต็มท่ี จะดหี ากมีการตั้งคณะประเมินจากภายนอกมาชว่ ย เพราะนา่ จะได้ผล
การประเมินที่ดีกว่าทีมงานภายใน เพราะอาจมีปัญหาช่วยกันประเมินผลให้ดีเกินจริง แนวทางที่จะใช้ใน
การประเมนิ เชน่
- กำหนดวิธกี ารประเมนิ แยกให้ชัดเจนสามารถทำได้ง่าย
- มีรูปแบบการประเมินตรงกับเป้าหมายในงานที่ทำ
- มีคณะผจู้ ะเข้าทำการประเมินทม่ี คี วามรู้เพยี งพอ
- แนวคำตอบผลของการประเมนิ ตอ้ งสามารถตอบโจทยแ์ ละตรงกับวัตถปุ ระสงค์ที่วางไว้
- เนน้ การประเมนิ ปัญหา / จดุ ออ่ น / ข้อด/ี จุดแข็ง ท่มี ใี นการดำเนินการ เปน็ ตน้
4. ปรับปรุงแก้ไขพัฒนาต่อเนื่อง (Act) คือ การนำผลประเมินที่ได้มาทำการวิเคราะห์เพื่อพัฒนา
แผนในการปรับปรุงต่อไป ในส่วนนี้ควรจะเสนอแนะปัญหาแนวทางการปรับปรุงแก้ไขปัญหา หรือการ
พฒั นาระบบทม่ี อี ยู่แลว้ ให้ดียงิ่ ขนึ้ ไปอกี ไม่มีทีส่ ้ินสดุ
- ทำการระดมสมอง เพอื่ หาทางแกไ้ ข ปัญหา / จดุ อ่อน / ข้อด/ี จดุ แข็ง ทีพ่ บ ปรับปรุงใหด้ ยี ่ิงขน้ึ
- นำผลท่ไี ด้จากการระดมสมองเสนอผเู้ ก่ียวข้องเพ่ือพจิ ารณาใชว้ างแผนตอ่ ไป
- กำหนดกลยุทธใ์ นการจัดทำแผนครง้ั ตอ่ ไป
- กำหนดผรู้ บั ผดิ ชอบดำเนนิ งานครง้ั ต่อไป
การพัฒนาระบบ PDCA เป็นการปรับปรุงพัฒนาระบบงานที่มีอยูแ่ ล้วให้ดียิ่งขึ้นไปอีก โดยควรจะ
มีการดำเนินการต่อเนื่องไม่มีที่สิ้นสุด จึงเป็นที่มาขอแนวคิดการควบคุมคุณภาพและการพัฒนาอย่าง
ตอ่ เนอื่ ง ในการปรับปรงุ พฒั นาต่อเนือ่ งควรมกี ารดำเนนิ การ
31
วงจรคุณภาพ คือ กระบวนการทำงานที่เปรียบกับวงล้อ ที่เต็มไปด้วยขั้นตอน 4 ขั้นตอน คือการ
วางแผน การดำเนินตามแผน การตรวจสอบ การปรับปรุง แก้ไข เมื่อวงล้อหมุนไป 1 รอบ จะทำให้งาน
บรรลุผลตามเป้าหมายที่กำหนดไว้และหากการดำเนินงานนั้นเกิดสะดุด แสดงว่ามีบางขั้นตอนหายไป โท
ชาวะ (2544 : 117-122)ซ่ึงหลกั การประเมินโครงการรปู แบบ PDCA ดงั น้ี
ภาพท่ี 2.2 หลกั การ PDCA
หลักการประเมินผลโครงการรูปแบบ CIPP MODEL
“การประเมิน คือ กระบวนการของการระบุหรือ กำหนดข้อมูลที่ต้องการ รวมถึงการดำเนินการ
เก็บข้อมลู และนำขอ้ มลู ท่ีเกบ็ มาแล้วนัน้ มาจัดทำใหเ้ กิดสารสนเทศที่มีประโยชนเ์ พ่ือนำเสนอสำหรับใช้เป็น
ทางเลือกในการประกอบการตัดสนิ ใจ” (Danial . L. Stufflebeam)
แบบจำลอง(Model) หมายถึง วิธีการสื่อสารทางความคิด ความเข้าใจ ตลอดจนจินตนาการที่มี
ต่อปรากฎการณ์หรือเรื่องราวใด ๆ ให้ปรากฏโดยใช้การสื่อในลักษณะต่าง ๆ เช่น แผนภูมิแผนผังระบบ
สมการ และรูปแบบอื่น เป็นต้น เพื่อให้เข้าใจได้ง่าย และสามารถนำเสนอเรื่องราวได้อย่างมีระบบ การ
ประเมนิ ผลโครงการน้นั มแี นวคิดและโมเดลหลายอยา่ ง ณ ที่นี้ขอเสนอแนวคดิ และโมเดลการประเมินแบบ
ซิปป์หรือ CIPP Model ของสตัฟเฟิลบีม (Danial . L. Stufflebeam) เพราะเป็นโมเดลที่ได้รับการ
ยอมรับกนั ท่วั ไปในปจั จุบนั
แนวคิด การประเมินของสตัฟเฟิลบีม (Stufflebeam’s CIPP Model) ในปี ค.ศ. 1971
สตัฟเฟิลบีม และคณะ ได้เขียนหนังสือทางการประเมินออกมาหนึ่งเล่ม ชื่อ “Educational Evaluation
32
and decision Making” หนังสือเล่มนี้ได้เป็นที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวาง เพราะให้แนวคิดและวิธีการ
ทางการวัดและประเมินผล ได้อย่างน่าสนใจและทันสมัยด้วย นอกจากนั้น สตัฟเฟิลบีมก็ได้เขียนหนังสือ
เกีย่ วกับการประเมินและรปู แบบของการประเมินอกี หลายเล่มอย่างต่อเน่ือง จึงกลา่ วได้ว่า ท่านผู้นี้เป็นผู้มี
บทบาทสำคัญในการพัฒนาทฤษฎีการประเมิน จนเป็นที่ยอมรับกันทั่วไปในปัจจุบัน เรียกว่า “CIPP
Model”
“CIPP MODEL” เป็นการประเมินที่เป็นกระบวนการต่อเนื่อง มีจุดเน้นที่สำคัญ คือ ใช้ควบคู่กับ
การบริหารโครงการ เพื่อหาข้อมูลประกอบการตัดสินใจ อย่างต่อเนื่องตลอดเวลา วัตถุประสงค์การ
ประเมิน คือ การให้สารสนเทศเพื่อการตัดสินใจ เน้นการแบ่งแยกบทบาทของการทำงานระหว่างฝ่าย
ประเมินกับ ฝ่ายบริหารออกจากกันอย่างเด่นชัด กล่าวคือฝ่ายประเมินมีหน้าที่ระบุจัดหา และนำเสนอ
สารสนเทศให้กับฝ่ายบริหาร ส่วนฝ่ายบริหารมีหน้าที่เรียกหาข้อมูล และนำผลการประเมินที่ได้ไปใช้
ประกอบการตัดสินใจ เพื่อดำเนินกิจกรรมใด ๆ ที่เกี่ยวข้องแล้วแต่กรณีทั้งนี้เพื่อป้องกันการมีอคติในการ
ประเมนิ และ เขาได้แบง่ ประเด็นการประเมนิ ผลออกเป็น 4 ประเภท คอื
1. การประเมินด้านบริบทหรือสภาวะแวดล้อม (Context Evaluation : C) เป็นการประเมินให้
ได้ข้อมูลสำคัญ เพื่อช่วยในการกำหนดวัตถุประสงค์ของโครงการ ความเป็นไปได้ของโครงการ เป็นการ
ตรวจสอบว่าโครงการที่จะทำสนองปัญหาหรือความต้องการจำเป็นที่แท้จริงหรือไม่วัตถุประสงค์ของ
โครงการชัดเจน เหมาะสม สอดคล้องกับนโยบายขององค์การ หรือ นโยบายหน่วยเหนือหรือไม่ เป็น
โครงการท่มี คี วามเป็นไปได้ในแงข่ องโอกาสที่จะไดร้ ับการสนบั สนุนจากองคก์ รตา่ งๆ หรือไม่ เปน็ ตน้
การประเมินสภาวะแวดล้อมจะช่วยในการตัดสินเกี่ยวกับเรื่อง โครงการควรจะทำใน
สภาพแวดล้อมใด ต้องการจะบรรลุเป้าหมายอะไร หรือตอ้ งการบรรลวุ ตั ถปุ ระสงค์เฉพาะอะไร เปน็ ต้น
2. การประเมินปัจจัยเบื้องต้นหรือปัจจัยป้อน (Input Evaluation : I ) เป็นการประเมินเพ่ือ
พิจารณาถึง ความเป็นไปได้ของโครงการ ความเหมาะสม และความพอเพียงของทรัพยากรที่จะใช้ในการ
ดำเนินโครงการ เช่น งบประมาณ บุคลากร วัสดุอุปกรณ์เวลา รวมทั้งเทคโนโลยีและแผนการดำเนินงาน
เป็นตน้
3. การประเมนิ ผลแบบน้ีจะทำโดยใช้เอกสารหรืองานวจิ ยั ท่ีมผี ้ทู ำไวแ้ ล้ว หรือใช้วธิ กี ารวจิ ัยนำร่อง
เชิงทดลอง (Pilot Experimental Project) ตลอดจนอาจให้ผู้เชีย่ วชาญ มาทำงานให้อย่างไรก็ตาม การ
ประเมินผลนี้จะต้องสำรวจสิ่งที่มีอยู่เดิมก่อนว่ามีอะไรบ้าง และตัดสินใจว่าจะใช้วิธีการใด ใช้แผนการ
ดำเนนิ งานแบบไหน และตอ้ งใชท้ รัพยากรจากภายนอกหรอื
จุดแข็ง (Strengths) และจุดด้อย (Weakness) ของนโยบาย/แผนงาน/โครงการ มักจะไม่
สามารถศึกษาได้ภายหลังจากสิ้นสุดโครงการแล้วการประเมินกระบวนการจะมีบทบาทสำคัญในเรื่องการ
ให้ข้อมูลย้อนกลับเป็นระยะ ๆ เพื่อการตรวจสอบการดำเนินของโครงการโดยทั่วไป การป ระเมิน
กระบวนการมจี ุดมุ่งหมาย คอื
3.1 เพื่อการหาข้อบกพร่องของโครงการ ในระหว่างที่มีการปฏิบัติการ หรือการดำเนินงานตาม
แผนนนั้
33
3.2 เพอ่ื หาขอ้ มูลต่าง ๆ ที่จะนำมาใช้ในการตดั สินใจเกยี่ วกับการดำเนนิ งาน ของโครงการ
3.3 เพ่อื การเก็บขอ้ มูลต่าง ๆ ทไี่ ด้จากการดำเนินงานของโครงการ
4. การประเมินผลผลิต (Product Evaluation : P ) เป็นการประเมินเพื่อเปรียบเทียบผลผลิตที่
เกิดขี้นกับวัตถุประสงค์ของโครงการ หรือความต้องการ/ เป้าหมายที่กำหนดไว้รวมทั้งการพิจารณาใน
ประเด็นของการยุบ เลิก ขยาย หรือปรับเปลี่ยนโครงการและการประเมินผล เรื่องผลกระทบ (Impact)
และผลลัพธ์( Outcomes ) ของนโยบาย / แผนงาน / โครงการ โดยอาศัยข้อมูลจากการประเมินสภาวะ
แวดล้อม ปจั จัยเบ้อื งตน้ และกระบวนการร่วมด้วย จะเห็นไดว้ ่า การประเมินแบบ CIPP เป็นการประเมินที่
ครอบคลุมองค์ประกอบของระบบทั้งหมด ซึ่งผู้ประเมินจะต้องกำหนดวัตถุประสงค์ของการประเมินท่ี
ครอบคลุมทั้ง 4 ด้าน กำหนดประเด็นของตัวแปรหรือตัวชี้วัดกำหนดแหล่งข้อมูลผู้ให้ข้อมูล กำหนด
เครือ่ งมอื การประเมิน วิธีการท่ใี ชใ้ นการเก็บรวบรวมข้อมูลกำหนดแนวทางการวเิ คราะห์ข้อมูล และเกณฑ์
การประเมินที่ชัดเจนเมื่อพิจารณาถึงช่วงเวลาของการประเมินผลโครงการ เพื่อจำแนกประเภทของการ
ประเมินผลโครงการโดยละเอยี ดแล้ว เราสามารถจำแนกได้ว่าการประเมนิ ผลโครงการมี4 ระยะดงั ตอ่ ไปน้ี
1) การประเมินผลโครงการก่อนการดำเนินงาน (Pre-evaluation) เป็นการประเมินว่ามีความ
จำเป็นและความเป็นไปได้ในการกำหนดให้มีโครงการหรือแผนงานนั้น ๆ หรือไม่ บางครั้ง เรียกการ
ประเมินผล ประเภทนี้ว่า การศึกษาความเป็นไปได(้ Feasibility Study) หรือการประเมินความต้องการท่ี
จำเปน็ (Need Assessment)
2) การประเมินผลโครงการขณะดำเนินงาน (On-going Evaluation) เป็นการประเมินผล
โครงการเพ่อื ติดตามความก้าวหนา้ ของการดำเนนิ งาน (Monitoring) และการใช้ทรัพยากรตา่ ง ๆ
3) การประเมินผลโครงการเมื่อสิ้นสุดการดำเนินงาน (Post-evaluation) เป็นการประเมินว่าผล
ของการดำเนนิ งานนัน้ เป็นไปตามวัตถปุ ระสงคข์ องโครงการท่ีวางไว้หรือไม่
4) การประเมินผลกระทบจาการดำเนินโครงการ (Impact Evaluation) เป็นการประเมินผล
โครงการ ภายหลังจากการสิ้นสุดการดำเนิน โครงการหรือแผนงาน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อตรวจสอบผล
การดำเนินงานทเี่ กิดขน้ึ ซึ่งอาจจะได้รบั อทิ ธิพลจากการมีโครงการหรอื ปจั จัยอนื่ ๆ
34
ประเมินดา้ นบริบทของโครงการ • หลักการ
(Context Evaluation) • วัตถปุ ระสงคข์ องโครงการ
• เปา้ หมายของโครงการ
ประเมนิ ด้านปัจจัยนำเขา้ • การเตรียมการภายในโครงการ
(Input Evaluation)
• บุคลากร
ประเมินดา้ นกระบวนการ • วัสดอุ ปุ กรณ์
(Process Evaluation) • เครื่องมือเคร่อื งใช้
• งบประมาณ
ประเมนิ ดา้ นการผลิต
(Product Evaluation) • การดำเนินโครงการ
• กจิ กรรมการดำเนนิ งานตาม
โครงการ
• การควบคมุ กำกบั และตดิ ตาม
การประเมินผล
• ผลการดำเนินโครงการ
• คณุ ภาพของผูเ้ รียน
ภาพท่ี2.3 หลักการประเมนิ ผลรปู แบบ CIPP MODEL
กรอบแนวคดิ การประเมนิ ผลโครงการ ตัวแปรตาม
ตัวแปรตน้ ประเมินผลโครงการแบบ CIPP Model ของสตฟั เฟลบีม
(D.L.Stufflebeam,1997,P.251-265)
ข้อมูลส่วนบุคคล
1. เพศ 1.การประเมนิ บริบทหรือสภาวะแวดล้อม
2.อายุ 2.การประเมินปจั จัยเบอื้ งตน้ ปัจจยั ป้อน
3.การศกึ ษา 3.การประเมนิ กระบวนการ
4.อาชพี 4.การประเมินผลผลิต
5.รายได้
ภาพท่ี2.4 กรอบแนวคิดการประเมินโครงการ
35
บทที่3
วธิ ีการประเมนิ โครงการ
วธิ กี ารประเมนิ โครงการนำ้ ขงิ เพื่อสขุ ภาพ มีกระบวนการขน้ั ตอนในการวิเคราะหข์ ้อมูล ดงั นี้
1.รปู แบบการประเมินโครงการ
2.วธิ กี ารประเมนิ โครงการ
3.ประชากรกลุ่มตัวอย่าง
4.เครอ่ื งมือทใี่ ช้ในการประเมินโครงการ
5.การเกบ็ รวมขอ้ มูล
6.การวเิ คราะห์ผลการประเมินงาน
รูปแบบการประเมนิ โครงการ
การประเมนิ โครงการ "นำ้ ขงิ เพอื่ สขุ ภาพ" ใชร้ ูปแบบการประเมินโครงการแบบ CIPP MOUDEL
ของสตัฟเฟลบีม(D.L Stufflebeam,1997,P. 261-6265) ดงั นี้
ประเมนิ สภาวะแวดล้อม • หลกั การ
(Context Evaluation) • วตั ถปุ ระสงคข์ องโครงการ
• เป้าหมายของโครงการ
ประเมนิ การปัจจัยเบอ้ื งต้น • การเตรยี มการภายในโครงการ
(Input Evaluation)
• บคุ ลากร
ประเมนิ ด้านกระบวนการ • วัสดุอปุ กรณ์
(Process Evaluation) • เครอื่ งมอื เครื่องใช้
• งบประมาณ
การประเมนิ การผลติ
(Product Evaluation) • การดำเนนิ โครงการ
• กจิ กรรมการดำเนินงานตามโครงการ
• การควบคมุ กำกบั และติดตาม
• การประเมินผล
• ผลการดำเนนิ โครงการ
• คณุ ภาพของผู้เรยี น
ภาพที่ 3.1 รปู แบบการประเมินโครงการแบบ CIPP MOUDEL
36
วธิ ีการประเมินโครงการ
โครงการน้ำขิงเพื่อสุขภาพ มีวิธีการประเมินโครงการแบบ การประเมินโครงการคุณภาพ โดยใช้
หลักการวงจรเดมมิ่ง “PDCA” ตามแนวคิด “CIPP” ของสตัฟเฟลบีม ในการติดตามและประเมินผล
โครงการ
ประชากรและกล่มุ ตัวอย่าง
ประชากรและกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการติดตามและประเมินผลโครงการ การทำน้ำขิงเพื่อสุภาพมี
ดังน้ี
ประชากร คือ ประชาชนในพื้นที่ ผูท้ เี่ กยี่ วข้องกับการดำเนินโครงการและคณะผจู้ ัดทำ
โครงการ จำนวน 5 คน
กลุ่มตวั อยา่ ง คอื ประชาชนในพืน้ ทผี่ ู้ที่เกีย่ วข้องกับการดำเนินโครงการและคณะผู้จัดทำ
โครงการ จำนวน 5 คน
โดยใช้วธิ สี มุ่ ตวั อย่างแบบเฉพาะเจาะจง
เครือ่ งมือทีใ่ ชใ้ นการประเมินโครงการ
การประเมนิ โครงการใช้กระบวนการศึกษาคณุ ภาพ จึงมีเครื่องมือท่ใี ช้ในการประเมินโครงการการ
ทำนำ้ ขิงเพอ่ื สุขภาพ ประกอบดว้ ย แบบสมั ภาษณ์ การสังเกต การมีสว่ นร่วมและการบันทกึ ภาพ
โดยเครอ่ื งมอื ทีใ่ ชใ้ นการประเมนิ โครงการนำ้ ขงิ เพอ่ื สขุ ภาพ มีจำนวน 5 ฉบับ ดังนี้
ส่วนที1่ เปน็ แบบสอบถามขอ้ มลู ท่วั ไปของผูต้ อบแบบสัมภาษณไ์ ดแ้ ก่ เพศ อายุอาชีพ
การศกึ ษา รายไดโ้ ดยเปน็ แบบปลายเปดิ ใหเ้ ลอื กตอบในชอ่ งท่กี ำหนด
ส่วนท2่ี เป็นแบบสมั ภาษณ์ประเมนิ โครงการผมสวยดว้ ยแชมพูมะกรูด โดยใช้แบบประเมนิ
CIPP MODEL ม4ี ดา้ น จำนวน 12 ข้อ ดังน้ี
1.1 สภาวะด้านแวดล้อม ( Context ) จำนวน 3 ข้อ โดยผู้ตอบสามารถเขียนรายละเอียดการ
ตอบได้
อยา่ งอิสระ
1.2 ด้านปัจจัย ( Input ) จำนวน 3 ข้อ โดยผู้ตอบสามารถเขียนรายละเอียดการตอบได้อย่าง
อสิ ระ
1.3 ดา้ นกระบวนการ ( Process ) จำนวน 3 ข้อ โดยผู้ตอบสามารถเขียนรายละเอียดการตอบได้
อยา่ งอิสระ
1.4 ด้านผลผลติ ( Product ) จำนวน 3 ข้อ โดยผตู้ อบสามารถเขยี นรายละเอยี ดการตอบได้อย่าง
อสิ ระ
37
ส่วนท3ี่ ปัญหาหรือขอ้ เสนอแนะเกย่ี วกบั การดำเนนิ งานในการจดั ทำโครงการ
โดยเป็นแบบปลายเปิดใหต้ อบแบบบรรยาย
การเกบ็ รวบรวมข้อมลู
การเกบ็ รวบรวมข้อมลู ผ้จู ดั ทำไดท้ ำหน้าท่ใี นการเก็บรวบรวมขอ้ มลู ด้วยตนเอง โดยมี
รายละเอยี ดในการเก็บรวบรวมขอ้ มลู ดังนี้
1. แจง้ ใหท้ ราบลว่ งหนา้ ว่าจะทำการตดิ ตอ่ สมั ภาษณเ์ พอื่ ในการประเมินผลโครงการ
2. ใชเ้ วลาสัมภาษณ์5-10 นาทีตอ่ คนโดยประมาณ
3. ผู้สมั ภาษณ์ทำการตรวจสอบความถูกตอ้ งสมบูรณ์เพือ่ นำไปใชใ้ นการเคราะห์ข้อมลู ของ
โครงการต่อไป
การวิเคราะหผ์ ลการประเมนิ โครงการ
วเิ คราะหผ์ ลการประเมนิ โครงการ โดยใช้การวิเคราะหเ์ ชงิ คุณภาพ
การวเิ คราะหข์ ้อมลู เชิงคณุ ภาพ
ขั้นตอนท่ี1 การทำให้ข้อมูลที่เก็บรวบรวมได้มาอยู่ในสภาพที่สะดวกและง่ายต่อการนำไป
วิเคราะห์
ขั้นตอนที่ 2 ทำดัชนีหรือกำหนดรหัสของข้อมูล ซึ่งเป็นการจัดระเบียบของเนื้อหา คือ การจัด
ขอ้ มลู
โดยการใช้คำหลกั ซ่งึ อาจมลี กั ษณะเปน็ วลหี รือขอ้ ความหนึง่ มาแทนขอ้ มลู ทีบ่ ันทกึ ไว้ในบนั ทึก
ภาคสนาม ส่วนที่เป็นการบนั ทึกพรรณนา หรือบันทกึ ละเอียดส่วนใดสว่ นหนง่ึ เพือ่ แสดงให้เห็นขอ้ มูล
ในการบนั ทึกพรรณนาส่วนนัน้ เปน็ เรือ่ งเกย่ี วกบั อะไร คำหลัก (วลีหรอื ขอ้ ความ) ทีก่ ำหนดขึ้นนน้ั จะมี
ลกั ษณะเป็นมโนทัศน์ (concep) ซ่งึ มคี วามหมายแทนข้อมลู บันทกึ ละเอียดส่วนนัน้ การจดั ทำดัชนี
หรือกำหนดรหสั ของข้อมูลนน้ั สามารถทำไดส้ องลกั ษณะคือ จดั ทำไว้ลว่ งหนา้ กอ่ นเชา้ สนามวิจยั
และจัดท าตามข้อมูลที่ปรากฎในบันทึกภาคสนาม หรอื บางครั้งเรยี กวา่ การจดั ทำดัชนขี ้อมลู แบบนิร
นัย (deductive coding) และแบบอปุ นยั (inductive coding)
ขั้นตอนที่ 3 การกำจัดข้อมูลหรือสร้างข้อสรุปชั่วคราว นี้คือการสรุปเชื่อมโยงดัชนีคำหลักเข้า
ด้วยกนั
ภายหลงั จากผ่านกระบวนการทำดชั นหี รือกำหนดรหัส ข้อมลู แลว้ การเช่ือมโยงคำหลักเขา้ ดว้ ยกนั จะ
เขียนเป็นประโยคขอ้ ความทแ่ี สดงความสัมพนั ธ์ระหวา่ งคำหลกั และจากการเชอื่ มโยงดัชนีคำหลกั ใน
ตวั อยา่ งเข้าด้วยกันจะเห็นวา่ ทำให้ขอ้ มูลในสว่ นทเ่ี ป็นบนั ทกึ ละเอยี ดทีม่ ีอยู่มากน้นั ถกู ลดทอนหรือ
ตัดทง้ิ ไปจนกระทง่ั เหลอื เฉพาะประเดน็ หลกั ๆ ท่ีนำมาผกู โยงกนั เท่านน้ั
38
ขั้นตอนท่ี 4 สร้างบทสรุป คอื การเขยี นเชื่อมโยงข้อสรุปชั่วคราวที่ผ่านการตรวจสอบยืนยันแล้ว
เข้าดว้ ยกัน การเชอื่ มข้อสรปุ ชวั่ คราวนน้ั จะเช่อื มโยงตามลำดับข้อสรุปแตล่ ะขอ้ สรปุ เปน็ บทสรุปย่อยและ
เช่ือมโยงบทสรปุ ย่อยแต่ละบทสรุปเข้าดว้ ยกนั เปน็ บทสรุปสดุ ท้าย
ขั้นตอนที่ 5 พิสูจน์ความน่าเชื่อถือของผลการวิเคราะห์เพื่อพิสูจน์ว่าบทสรุป นั้นสอดคล้องกัน
หรือไม่ซึ่งโดยทั่วไปแล้วการพิสูจน์นับทสรุปก็มักจะเป็นการพิจารณาวิธีการเก็บข้อมูลนั้นว่าดำเนินการ
อย่างรอบคอบหรอื ไมเ่ พียงไร และข้อมูลทเี่ กบ็ รวบรวมได้มาน้นั เปน็ ข้อมลู ที่มีคุณภาพน่าเชื่อถอื หรือไม่
39
บทที่ 4
ผลการประเมินโครงการ
การนำเสนอผลการประเมินโครงการ ผูร้ ับผดิ ชอบโครงการได้นำเสนอผลการประเมนิ
โครงการ จำนวน 4 ด้าน ประกอบด้วยผลการประเมินจากผู้สัมภาษณจ์ ำนวน 12 ข้อแบง่ เปน็
ตาราง ดงั น้ี
ด้านท่ี 1 ผลการประเมินโครงการดา้ นสภาวะแวดล้อม
ดา้ นที่ 2 ผลการประเมนิ โครงการด้านปัจจยั
ดา้ นท่ี 3 ผลการประเมินโครงการด้านกระบวนการ
ดา้ นที่ 4 ผลการประเมินโครงการด้านผลผลิต
ตอนท1่ี สรุปข้อมูลทั่วไปของผตู้ อบแบบสอบถาม
ผู้ประเมนิ เพศ อายุ อาชีพ การศกึ ษา รายได้
คนที่ 1 ชาย
คนท่ี 2 หญิง 37 ปี เกษตรกร ประถมศึกษา 15,000 บาท/เดือน
คนที่ 3 หญงิ
คนที่ 4 หญิง 34 ปี พนักงานบรษิ ัท ปริญญาตรี 17,000 บาท/เดอื น
คนท่ี 5 หญิง
คนท่ี 6 หญิง 32 ปี ข้าราชการ ปรญิ ญาตรี 14,000 บาท/เดอื น
คนที่ 7 หญงิ
คนท่ี 8 หญงิ 56 ปี แม่บ้าน ประถมศกึ ษา -
คนท่ี 9 ชาย
คนที่ 10 ชาย 18 ปี นักเรียน มธั ยม -
27 ปี ข้าราชการ ปริญญาตรี 18,000 บาท/เดือน
47 ปี เกษตรกร ประถมศึกษา 12,000 บาท/เดือน
28 ปี พนกั งานบรษิ ัท ปรญิ ญาตรี 17,000 บาท/เดอื น
46 ปี เกษตรกร ประถมศกึ ษา 14,000 บาท/เดือน
47 ปี เกษตรกร ประถมศึกษา 16,000 บาท/เดอื น
40
ตอนที่2 ผลการประเมินโครงการนำ้ ขิงเพ่ือสุขภาพ ม4ี ด้าน ประกอบด้วยผลการประเมนิ จำนวน 12 ข้อ
แบ่งเปน็ ตารางสรปุ ดังน้ี
ด้านท่ี 1 ผลการประเมนิ โครงการดา้ นสภาวะแวดลอ้ ม
ตารางท่ี 1.1 ผลการประเมินจากผู้สัมภาษณ์
ผปู้ ระเมิน คำถามขอ้ ที่ 1.วตั ถุประสงคข์ องโครงการมีความ
ชัดเจนเหมาะสม สอดคล้องกับโครงการเพยี งใด
คนท่ี 1
คนท่ี 2 สอดคล้องชัดเจน
คนที่ 3 สอดคลอ้ งชดั เจน
คนที่ 4 ชดั เจนเหมาะสม
คนท่ี 5 สอดคล้องเหมาะสม
คนท่ี 6
คนที่ 7 ชัดเจน
คนที่ 8 เหมาะสม
คนที่ 9 สอดคล้อง
คนที่ 10 สอดคล้อง
ชัดเจนเหมาะสม
ชดั เจนที่สดุ
จากตารางที่ 1.1 ข้อคำถามท่ี 1 ผสู้ ัมภาษณม์ คี วามเหน็ สอดคลอ้ งกนั ว่าวัตถุประสงค์ของ
โครงการมีความเหมาะสมชัดเจน
ตารางที่ 1.2 ผลการประเมนิ จากผสู้ ัมภาษณ์
ผูป้ ระเมิน คำถามข้อท่ี 2.โครงทที่ ำตอบสนองต่อความจำมาก
น้อยเพียงใด
คนท่ี 1
คนที่ 2 ตอบสนองความต้องการของชาวบ้านมาก
ตอบสนองเป็นอย่างมาก
คนที่ 3 41
คนที่ 4
ตอบสนองความต้องการเปน็ อยา่ งมาก
คนที่ 5 ตอบสนองความต้องการมากเพราะชว่ ยใหม้ ภี ูมิ
คนที่ 6
คนท่ี 7 ตา้ นทานจากโควิดได้
คนท่ี 8 ตอบสนองความต้องการมาก
คนท่ี 9 ตอบสนองความต้องการของทุกคนจำนวนมาก
คนที่ 10 ตอบสนองความต้องการของชาวบ้านมาก
ตอบสนองความต้องการมาก
ตอบสนองความต้องการของชาวบา้ นพอประมาณ
ตอบสนองความต้องการมากทีส่ ดุ
จากตารางที่ 1.2 ข้อคำถามที่ 2. ผสู้ ัมภาษณม์ ีความคดิ เหน็ สอดคล้องกนั วา่ โครงการทีท่ ำ
ตอบสนองตอ่ ความจำเป็นอยา่ งมาก
ตารางท่ี 1.3 ผลการประเมนิ จากผู้สัมภาษณ์
ผปู้ ระเมนิ คำถามข้อท่ี 3.การจัดทำโครงการมีความเหมาะสม
และสอดคล้องกบั สภาพแวดล้อมเพียงใด
คนท่ี 1
คนท่ี 2 สอดคล้องกบั ช่วงสถานการณ์แบบนี้มาก
คนท่ี 3 เหมาะสมสอดคล้องดี
คนท่ี 4 เหมาะสมและสอดคล้อง
คนท่ี 5 ดว้ ยสถานการณ์โควดิ น้ีจึงมีความสอดคล้องกับ
คนที่ 6 สถานการณส์ ภาพแวดลอ้ มเป็นอยา่ งมาก
คนที่ 7 เหมาะสมเป็นประโยชนแ์ กช่ าวบ้านมาก
คนท่ี 8 สอดคลอ้ งเหมาะสมกับสถาพแวดล้อมตอนน้ี
คนที่ 9 เหมาะสมกับสถานการณใ์ นชว่ งนีท้ ี่สุด
คนที่ 10 สอดคล้องกบั สภาพแวดล้อม
เหมาะสมต่อสถานการณช์ ่วงนมี้ าก
เหมาะสมในการทำโครงการในชว่ งสถานการณ์
แบบนี้
42
จากตารางท่ี 1.3 ข้อคำถามที่ 3. ผสู้ ัมภาษณ์มีความคดิ เห็นสอดคล้องคดิ วา่ การทำโครงการมี
ความเหมาะสมและสอดคล้องกับสภาพแวดล้อมเป็นอย่างมากเพราะในชว่ งน้มี ีการระบาดของโควิดจึง
เหมาะสมมากที่ทำโครงการนี้ข้นึ จากสภาพแวดลอ้ มแบบนี้
ด้านท่ี 2 ผลการประเมนิ โครงการดา้ นปัจจัย
ตารางที่ 2.1 ผลการประเมนิ จากผสู้ ัมภาษณ์
ผปู้ ระเมนิ คำถามข้อที่ 4.ความพอเพียงของงบประมาณที่จะ
ใชใ้ นการดำเนนิ โครงการ
คนท่ี 1
คนท่ี 2 พอเพยี งประหยัดมากคุ้มค่ากับการทำ
คนท่ี 3 พอเพยี งดี
คนที่ 4
คนท่ี 5 พอเพยี งเหมาะสม
คนที่ 6 พอเพียงและประหยัดดี
คนท่ี 7
คนท่ี 8 เพียงพอประหยดั
คนที่ 9 เพยี งพอตอ่ การดำเนนิ โครงการ
คนท่ี 10
ประหยัดคุ้มคา่ ในการทำ
มคี วามประหยดั และคมุ้ คา่
ราคาประหยดั ทส่ี ดุ
ประหยดั และคุ้มค่า
จากตารางท่ี 2.1 ข้อคำถามท่ี 4.ผสู้ ัมภาษณม์ ีความเหน็ สอดคลอ้ งกนั ว่าความพอเพียงของ
งบประมาณท่ีใช้ในการดำเนินโครงการนพ้ี อเพยี งและประหยดั คุ้มคา่ เปน็ อย่างมากในการทำ