๑๐๐
๘. สือ่ วีดที ัศน์ คอมพวิ เตอร์ อินเทอร์เนต
ภาระงาน/ช้ินงาน
๑. แบบฝึกหดั /ใบงาน/แบบทดสอบ
๒. สมดุ บนั ทึกรกั การอ่าน
๓. งานกล่มุ การพดู แสดงความคดิ เหน็
๔. รายงานกล่มุ
๕. แผนผังโครงสรา้ งกลอนแปด และกาพย์ยานี ๑๑
๖. บันทกึ รกั การอา่ น
๗. แต่งคำขวัญ
๘. การด์ อวยพรในงานพิเศษต่าง ๆ
การประเมนิ ผล
๑. สังเกตการอา่ นออกเสียงจากแบบบันทึกการสังเกตการอา่ น
๒. สังเกตการพฤตกิ รรมการฟงั การเขียน การพดู
๓. สงั เกตการพฤติกรรมการเข้ารว่ มกิจกรรมของนกั เรยี น
๔. ตรวจการแต่งคำขวญั การด์ อวยพร
๕. ตรวจแบบฝึกหัด/ใบงาน /แบบทดสอบ/งานกลุ่ม
๖. การตอบข้อซักถาม
๗. สังเกตมารยาท การพดู การฟัง การอา่ น การเขียน ของนักเรียน
กลมุ่ สาระการเรยี นรู้ภาษาไทย ช้นั ประถมศึกษาปีท่ี ๕
หนว่ ยการเรยี นรู้ท่ี 7 เร่อื ง กำเนดิ พ้นผิดคนทง้ั หลาย เวลา ๑๔ ช่ัวโมง
________________________________________________________________________________
คำอธบิ ายประจำหนว่ ย
ฝึกปฏิบตั กิ ารอา่ นออกเสียงบทร้อยแกว้ บทรอ้ ยกรอง อ่านทำนองเสนาะ อา่ นบทอาขยาน อา่ นจบั
ใจความ อ่านวรรณคดีไทย อ่านเพ่มิ เติมเสริมความหมาย ระบุความร้แู ละข้อคดิ ที่ได้จากการอา่ นวรรณคดี
หรอื วรรณกรรม และอธิบายคุณค่าของวรรณคดีหรือวรรณกรรม
เพ่ือให้เกิดความรู้ ความเข้าใจ ความคิด สรุปความ แยกข้อเท็จจริง ข้อคิดเห็น แสดงความ
คดิ เห็น ศึกษาค้นคว้า นำเสนอผลงาน สามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน มีมารยาทในการอ่าน การเขียน
การฟงั การพูด และการดู รกั การอา่ น รักษ์ภาษาไทยซงึ่ เปน็ ภาษาประจำชาติ
๑๐๑
หน่วยการเรยี นร้ทู ี่ ๑7 หนว่ ยการจดั การเรยี นรู้กลุ่มสาระการเรยี นรภู้ าษาไทย
เร่อื ง กำเนดิ ผดิ พน้ คนท้ังหลาย
รหสั วชิ า ท ๑๐๑๐๑
ช้ันประถมศึกษาปที ี่ ๕ รายช่ือวิชา ภาษาไทย
ระยะเวลาการสอน 7 ชว่ั โมง
สาระท่ี ๑ การอ่าน
มาตรฐาน ท ๑.๑ ใช้กระบวนการอา่ นสรา้ งความรูแ้ ละความคิดเพือ่ นำไปใช้ตัดสินใจ แกป้ ญั หาในการ
ดำเนนิ ชีวิต และมนี ิสัยรักการอา่ น
ตัวบง่ ชี้
๑. ท ๑.๑ ป.๕/๑ อ่านออกเสยี งบทรอ้ ยแก้วและบทร้อยกรองได้ถูกตอ้ ง
๒. ท ๑.๑ ป.๕/๒ อธบิ ายความหมายของคำ ประโยคและขอ้ ความท่ีเปน็ การบรรยาย และการพรรณนา
๓. ท ๑.๑ ป.๕/๓ ๓. อธิบายความหมายโดยนยั จากเรอื่ งที่อ่านอย่างหลากหลาย
๔. ท ๑.๑ ป.๕/๔ แยกข้อเท็จจรงิ และข้อคดิ เห็นจากเร่ืองท่อี า่ น
๕. ท ๑.๑ ป.๕/๕ วิเคราะหแ์ ละแสดงความคิดเหน็ เก่ียวกบั เรอ่ื งทีอ่ า่ นเพอ่ื นำไปใช้ ในการดำเนนิ ชีวิต
๖. ท ๑.๑ ป.๕/๗ อา่ นหนงั สือท่มี ีคุณค่าตามความสนใจอย่างสม่ำเสมอและแสดงความคดิ เหน็ เกีย่ วกบั
เรื่องทีอ่ า่ น
๗. ท ๑.๑ ป.๕/๘ มีมารยาทในการอ่าน
สาระที่ ๒ การเขียน
มาตรฐาน ท ๒.๑ ใช้กระบวนการเขียนเขยี นส่อื สาร เขยี นเรียงความ ยอ่ ความ และเขียนเร่ืองราวใน
รปู แบบตา่ ง ๆ เขยี นรายงานขอ้ มลู สารสนเทศและรายงานการศึกษาคน้ คว้าอย่างมี
ประสทิ ธภิ าพ
ตวั บง่ ช้ี
๑. ท ๑.๑ ป.๕/๑ เขยี นสือ่ สารโดยใช้คำไดถ้ ูกตอ้ งชดั เจน และเหมาะสม
๒. ท ๑.๑ ป.๕/๒ เขยี นสื่อสารโดยใชค้ ำไดถ้ กู ตอ้ งชดั เจน และเหมาะสม
๓. ท ๑.๑ ป.๕/๓ เขยี นแผนภาพโครงเร่ืองและแผนภาพความคิดเพ่อื ใช้พฒั นางานเขียน
๔. ท ๑.๑ ป.๕/๘ เขยี นเรือ่ งตามจนิ ตนาการ
๕. ท ๑.๑ ป.๕/๙ มารยาทในการเขียน
๑๐๒
สาระท่ี ๓ การฟงั การดู และการพูด
มาตรฐาน ท ๓.๑ สามารถเลอื กฟังและดูอย่างมวี จิ ารณญาณ และพูดแสดงความรู้ ความคดิ และความรู้สึกใน
โอกาสตา่ งๆ อยา่ งมวี ิจารณญาณและสรา้ งสรรค์
ตัวบง่ ชี้
๑. ท ๑.๑ ป.๕/๑ พูดแสดงความรู้ ความคดิ เหน็ และความรสู้ กึ จากเรื่องที่ฟงั และดู
๒. ท ๑.๑ ป.๕/๓ วิเคราะห์ความนา่ เชอ่ื ถือจากเร่ือง ที่ฟงั และดอู ยา่ งมีเหตผุ ล
๓. ท ๑.๑ ป.๕/๔ พูดรายงานเร่ืองหรอื ประเด็นท่ีศึกษาค้นควา้ จากการฟงั การดู และการสนทนา
๔. ท ๑.๑ ป.๕/๕ มีมารยาทในการฟงั การดู และการพดู
สาระท่ี ๔ หลักการใช้ภาษาไทย
มาตรฐาน ท ๔.๑ เข้าใจธรรมชาติของภาษาและหลักภาษาไทย การเปล่ยี นแปลงของภาษาและพลังของ
ภาษา ภูมิปญั ญาทางภาษา และรักษาภาษาไทยไวเ้ ป็นสมบัติของชาติ
ตัวบง่ ชี้
๑. ท 4.๑ ป.๕/6 แตง่ บทรอ้ ยกรอง
สาระท่ี ๕ วรรณคดีและวรรณกรรม
มาตรฐาน ท ๕.๑ เข้าใจและแสดงความคิดเหน็ วิจารณว์ รรณคดแี ละวรรณกรรมไทยอยา่ งเห็นคณุ ค่าและ
นามาประยุกตใ์ ชใ้ นชีวติ จรงิ
๑. ท 5.๑ ป.๕/1 สรุปเรอ่ื งจากวรรณคดีหรือวรรณกรรมทอ่ี ่าน
๒. ท 5.๑ ป.๕/2 ระบุความรแู้ ละขอ้ คิดจากการอา่ นวรรณคดแี ละวรรณกรรมทีส่ ามารถนาไปใช้ในชวี ติ
จรงิ
๓. ท 5.๑ ป.๕/3 อธิบายคุณค่าของวรรณคดีและวรรณกรรม
๔. ท 5.๑ ป.๕/4 ทอ่ งจาบทอาขยานตามท่ีกาหนดและบทร้อยกรองท่มี คี ุณค่าตามความสนใจ
สาระสำคัญ
๑. การอ่านออกเสยี งเปน็ การอา่ นท่ีคนอื่นสามารถได้ยนิ และรู้เรือ่ งส่ิงทเี่ ราอ่านได้ ดงั น้ันควร
อา่ นออกเสยี งให้ดีถูกตอ้ งตามหลกั การอ่าน จึงจะสื่อสารไดด้ ี ได้ประโยชน์ทง้ั ผู้อา่ นและผู้ฟงั
๒. การอา่ นเพอ่ื ท่ีจะเข้าใจและวเิ คราะห์เรอ่ื งราวท่ีอ่าน เป็นการอ่านทต่ี อ้ งใช้สมาธิ สติใน
การอ่าน อา่ นอย่างพินิจ พิจารณา คดิ วิเคราะห์เรือ่ งที่อ่าน จบั ใจความสำคัญของเรื่องท่ีอ่านใหไ้ ด้ จะทำให้
สามารถแยกขอ้ เท็จจริง ขอ้ คิดเห็น และแสดงความคิดเหน็ จากเรือ่ งท่ีอ่านได้
๓. การอา่ นวรรณคดีและวรรณกรรมไทย ผู้อา่ นต้องใชส้ มาธิในการอา่ นอย่างพินิจ พิจารณา
คิดวิเคราะห์เรื่องที่อ่าน จะทำให้สามารถสรุปเร่ืองที่อ่าน ได้ความรู้ ข้อคิด และสามารถอธิบายคุณค่าของ
วรรณคดี และวรรณกรรม
๔.การอ่านออกเสียงคำประพันธป์ ระเภทรอ้ ยกรองผูอ้ า่ นตอ้ งอา่ นถูกต้องท้ังด้านอักขระ การเว้นวรรค
ตอน ระดบั สงู ต่ำของเสยี งตามบรบิ ทแหง่ เนอ้ื หา จงึ จะทำใหเ้ กิดอรรถรสและเพิม่ คุณค่าเดน่ ชดั ทางด้าน
วรรณศิลป์
๑๐๓
๕.นทิ านคติธรรมคือนทิ านสอนใจเป็นนิทานท่นี ยิ มเล่าสกู่ นั ฟังอย่างแพร่หลายอกี ประเภทหน่ึง มที ี่มา
จากหลักธรรมในพระพทุ ธศาสนา มีทงั้ เรื่องสนั้ ๆ เรื่องยาว เพือ่ เสรมิ สร้างคณุ ธรรมความดี ความกตัญญู ความ
สามัคคี ความเสียสละ ความขยัน ความอดทน ความมวี นิ ยั เพอื่ ขดั เกลาและปลกู ฝงั ความดีงาม ให้คิดดที ำดี
สาระการเรยี นรู้/ความรู้
๑. วรรณคดีและวรรณกรรม
๒. นิทานพนื้ บา้ นเร่อื ง กำเนิดสังขท์ อง
๓. นิทานคตธิ รรม
๔. วรรณคดีและวรรณกรรมในบทเรียนและตามความสนใจ
๕. บทอาขยานและบทรอ้ ยกรองทมี่ คี ุณค่า
๖. บทอาขยานตามทกี่ ำหนด
๗. บทรอ้ ยกรองตามความสนใจ
จุดประสงค์การเรยี นรู้
๑. บอกความสำคัญของบทรอ้ ยกรองได้
๒. อ่านและบอกใจความของบทร้อยกรองได้
๓. บอกคำคลอ้ งจองได้
๔. อ่านออกเสียงเน้อื หาในบทเรยี นได้
๕. สรปุ เร่ืองราวท่อี ่านได้
๖. บอกความหมายของคำยากในบทอ่านได้
๗. อา่ น เขยี นสะกดคำในบทเรียนได้ และบอกความหมายของคำได้
8. อา่ นและบอกความสำคัญ และสรปุ ใจความสำคญั ของวรรณคดแี ละวรรณกรรม นทิ านพนื้ บา้ น
เร่ือง กำเนิดสังข์ทอง นทิ านคตธิ รรมได้
๙. อา่ นและบทอาขยานและบทร้อยกรองทม่ี ีคณุ ค่า บทอาขยานตามทีก่ ำหนด และบทร้อยกรองตาม
ความสนใจได้
สมรรถนะสำคญั
๑. ความสามารถในการสื่อสาร
๒. ความสามารถในการคดิ
๓.ความสามารถในการแก้ปัญหา
๔. ความสามารถในการใชท้ ักษะชวี ติ
๕.ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี
คุณลักษณะทพ่ี งึ ประสงค์
๑๐๔
๑. รักชาติ ศาสน์ กษัตรยิ ์
๒. ซือ่ สตั ย์สุจริต
๓. มวี ินยั
๔. ใฝเ่ รียนรู้
๕. อยู่อย่างพอเพยี ง
๖. มุ่งมนั่ ในการทำงาน
๗. รกั ความเปน็ ไทย
๘. มจี ติ สาธารณะ
กิจกรรมการเรยี นรู้
๑. ฝึกการอา่ นออกเสียง อ่านบทร้อยกรอง จบั ใจความสำคัญ เชิงคำถาม แสดงความคิดเห็น จากเรื่องท่ี
อ่าน อา่ น
๒. พจิ ารณาบทเรยี น อภปิ รายเก่ียวกับการวเิ คราะห์ โครงเรอ่ื ง ลำดับเหตกุ ารณข์ องเรอื่ ง
๓. แยกข้อเท็จจริงและขอ้ คิดเห็น วเิ คราะห์และการแสดงความคิดเหน็ จากเรอ่ื งทอี่ ่าน
๔. การศึกษาคน้ ควา้ อา่ นวรรณกรรมเยาวชน หนงั สอื ดสี ำหรบั เยาวชน และหนงั สือทสี่ นใจ
๕. อ่านวรรณคดไี ทย และนทิ านพนื้ บ้าน เรื่อง สังขท์ อง พรอ้ มถอดคำประพนั ธเ์ ปน็ ร้อยแก้วทีส่ ละสลวย
เข้าใจง่าย
๖.อ่านนิทานคตธิ รรม บอกการนำไปใช้ประโยชน์
๗.วรรณคดีและวรรณกรรมในบทเรียนและตามความสนใจ
๘.อ่าน ทอ่ งบทอาขยานและบทรอ้ ยกรองทีม่ ีคุณค่า เปน็ ทำนองเสนาะ
ส่ือการเรียนรู้
๑. หนงั สือเรยี น
๒. แบบสงั เกตพฤตกิ รรม
๓. ใบความรู้
๔. แบบทดสอบ / แบบฝกึ หดั
๕. หนังสือวรรณกรรมสำหรบั เยาวชน หนงั สือนิทาน หนังสอื สารานกุ รมไทยสำหรับเยาวชน
๖. ใบกิจกรรมการอา่ น
๗. ป้ายนเิ ทศบริเวณโรงเรยี น
๘. สอื่ วีดีทศั น์ คอมพวิ เตอร์ อินเทอร์เนต
๙. สมุดบนั ทึกรกั การอา่ น
ภาระงาน/ช้นิ งาน
๑. แบบฝกึ หัด/ใบงาน/แบบทดสอบ
๒. สมดุ บันทกึ รกั การอา่ น
๓. นทิ านคติธรรมเล่มเล็ก
๑๐๕
๔. รายงานกล่มุ
๕. วิเคราะหต์ ัวละคร เรือ่ งสังข์ทอง
๖. บันทึกรกั การอา่ น
การประเมนิ ผล
๑. สงั เกตการอา่ นออกเสียงจากแบบบันทึกการสังเกตการอ่าน
๒. สงั เกตการพฤตกิ รรมการฟัง การเขยี น การพูด
๓. สงั เกตการพฤติกรรมการเข้ารว่ มกิจกรรมของนกั เรยี น
๔. ตรวจนทิ านเลม่ เล็ก
๕. ตรวจแบบฝกึ หดั /ใบงาน /แบบทดสอบ/งานกลมุ่
๖. การตอบขอ้ ซักถาม
๗. สังเกตมารยาท การพูด การฟัง การอ่าน การเขยี น ของนักเรียน
กลมุ่ สาระการเรยี นรภู้ าษาไทย ชน้ั ประถมศึกษาปที ี่ ๕
หนว่ ยการเรียนรทู้ ่ี ๑๘ เรื่อง กระเช้าของสดี า เวลา 8 ช่ัวโมง
________________________________________________________________________________
๑๐๖
สาระท่ี ๑ การอ่าน
มาตรฐาน ท ๑.๑ ใชก้ ระบวนการอา่ นสรา้ งความร้แู ละความคดิ เพ่อื นำไปใช้ตัดสนิ ใจ แกป้ ัญหาในการ
ดำเนนิ ชีวิต และมีนสิ ยั รักการอ่าน
ตวั บง่ ช้ี
๑. ท ๑.๑ ป.๕/๑ อา่ นออกเสียงบทรอ้ ยแกว้ และบทรอ้ ยกรองไดถ้ ูกต้อง
๒. ท ๑.๑ ป.๕/๒ อธิบายความหมายของคำ ประโยคและขอ้ ความท่เี ป็นการบรรยาย และการพรรณนา
๓. ท ๑.๑ ป.๕/๓ อธิบายความหมายโดยนัย จากเร่ืองทีอ่ ่านอยา่ งหลากหลาย
๔. ท ๑.๑ ป.๕/๔ แยกข้อเท็จจริงและขอ้ คิดเห็นจากเรื่องที่อ่าน
๕. ท ๑.๑ ป.๕/๕ วิเคราะห์และแสดงความคิดเห็นเก่ียวกบั เร่ืองท่ีอ่านเพือ่ นำไปใช้ ในการดำเนนิ ชีวิต
๖. ท ๑.๑ ป.๕/๗ อา่ นหนงั สือท่มี ีคุณค่าตามความสนใจอย่างสม่ำเสมอและแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกบั
เร่อื งท่อี า่ น
๗. ท ๑.๑ ป.๕/๘ มมี ารยาทในการอ่าน
สาระที่ ๒ การเขยี น
มาตรฐาน ท ๒.๑ ใชก้ ระบวนการเขียนเขียนสอ่ื สาร เขยี นเรียงความ ยอ่ ความ และเขยี นเร่อื งราวใน
รูปแบบตา่ ง ๆ เขียนรายงานขอ้ มูลสารสนเทศและรายงานการศกึ ษาค้นคว้าอย่างมี
ประสทิ ธภิ าพ
ตวั บ่งช้ี
๑. ท ๑.๑ ป.๕/๑ เขยี นส่อื สารโดยใชค้ ำไดถ้ กู ตอ้ งชัดเจน และเหมาะสม
๒. ท ๑.๑ ป.๕/๒ เขียนสื่อสารโดยใช้คำได้ถูกตอ้ งชดั เจน และเหมาะสม
๓. ท ๑.๑ ป.๕/๓ เขยี นแผนภาพโครงเรือ่ งและแผนภาพความคดิ เพอื่ ใชพ้ ฒั นางานเขยี น
๔. ท ๑.๑ ป.๕/๘ เขียนเรือ่ งตามจนิ ตนาการ
๕. ท ๑.๑ ป.๕/๙ มารยาทในการเขียน
๑๐๗
สาระที่ ๓ การฟัง การดู และการพูด
มาตรฐาน ท ๓.๑ สามารถเลอื กฟงั และดูอย่างมวี ิจารณญาณ และพูดแสดงความรู้ ความคดิ และความร้สู กึ ใน
โอกาสตา่ งๆ อยา่ งมีวิจารณญาณและสรา้ งสรรค์
ตวั บง่ ช้ี
๑. ท ๑.๑ ป.๕/๑ พดู แสดงความรู้ ความคดิ เห็น และความรู้สึกจากเร่อื งทีฟ่ งั และดู
๒. ท ๑.๑ ป.๕/๓ วิเคราะหค์ วามนา่ เช่ือถอื จากเรอ่ื ง ที่ฟังและดอู ย่างมเี หตุผล
๓. ท ๑.๑ ป.๕/๔ พดู รายงานเรอ่ื งหรอื ประเด็นที่ศกึ ษาคน้ ควา้ จากการฟงั การดู และการสนทนา
๔. ท ๑.๑ ป.๕/๕ มีมารยาทในการฟัง การดู และการพดู
สาระท่ี ๔ หลกั การใชภ้ าษาไทย
มาตรฐาน ท ๔.๑ เขา้ ใจธรรมชาติของภาษาและหลักภาษาไทย การเปล่ยี นแปลงของภาษาและพลังของ
ภาษา ภูมิปญั ญาทางภาษา และรักษาภาษาไทยไว้เปน็ สมบัติของชาติ
ตวั บ่งชี้
๑. ท 4.๑ ป.๕/6 แต่งบทรอ้ ยกรอง
สาระที่ ๕ วรรณคดแี ละวรรณกรรม
มาตรฐาน ท ๕.๑ เข้าใจและแสดงความคิดเหน็ วิจารณว์ รรณคดีและวรรณกรรมไทยอยา่ งเหน็ คณุ ค่าและ
นามาประยกุ ตใ์ ช้ในชีวิตจริง
๑. ท 5.๑ ป.๕/1 สรปุ เร่ืองจากวรรณคดีหรือวรรณกรรมทอ่ี ่าน
๒. ท 5.๑ ป.๕/2 ระบุความร้แู ละข้อคิดจากการอ่านวรรณคดีและวรรณกรรมที่สามารถนาไปใช้ในชวี ิต
จรงิ
๓. ท 5.๑ ป.๕/3 อธบิ ายคุณค่าของวรรณคดีและวรรณกรรม
๔. ท 5.๑ ป.๕/4 ทอ่ งจาบทอาขยานตามท่กี าหนดและบทรอ้ ยกรองทีม่ คี ุณค่าตามความสนใจ
สาระสำคญั
๑. นทิ านพ้นื บา้ น เป็นนิทานประเภทหน่ึง เป็นเรอื่ งราวที่เล่าสบื ตอ่ กนั มาซ่งึ อาจไม่มบี นั ทกึ เปน็
หลักฐาน เน่ืองจากสมัยโบราณไม่มคี วามบันเทิงในรูปแบบอื่นในสังคมหลายวัฒนธรรมใช้การเล่าเร่ืองสู่กันฟัง
ซึง่ มักเป็นเรื่องราวจากจนิ ตนาการแสดงความเชือ่ ของชาวบา้ น
๒. การอ่านเพอ่ื ท่จี ะเข้าใจและวิเคราะหเ์ รอื่ งราวทอี่ า่ น เป็นการอา่ นทต่ี ้องใช้สมาธิ สตใิ น
การอ่าน อ่านอย่างพินิจ พจิ ารณา คิดวิเคราะห์เรอ่ื งทอี่ ่าน จบั ใจความสำคัญของเรื่องท่ีอา่ นให้ได้ จะทำให้
สามารถแยกข้อเท็จจรงิ ขอ้ คดิ เห็น และแสดงความคดิ เหน็ จากเรือ่ งทอี่ ่านได้
๓. การอา่ นวรรณคดแี ละวรรณกรรมไทย ผอู้ า่ นตอ้ งใชส้ มาธใิ นการอ่านอยา่ งพนิ จิ พจิ ารณา
คดิ วิเคราะห์เร่ืองท่ีอ่าน จะทำให้สามารถสรปุ เรื่องท่ีอ่าน ได้ความรู้ ข้อคิด และสามารถอธิบายคุณค่าของ
วรรณคดี และวรรณกรรม
๔. การอา่ นออกเสยี งคำประพนั ธ์ประเภทร้อยกรองผ้อู า่ นตอ้ งอ่านถูกต้องทัง้ ดา้ นอักขระ การ
เวน้ วรรคตอน ระดับสูงต่ำของเสยี งตามบรบิ ทแห่งเนื้อหา จึงจะทำให้เกิดอรรถรสและเพิ่มคณุ คา่ เด่นชัด
ทางดา้ นวรรณศลิ ป์
๑๐๘
๕. นิทานคตธิ รรมคอื นทิ านสอนใจเป็นนิทานทีน่ ยิ มเล่าสูก่ นั ฟงั อยา่ งแพร่หลายอกี ประเภทหนึง่
มที ี่มาจากหลกั ธรรมในพระพทุ ธศาสนา มที ั้งเรื่องสั้นๆ เร่ืองยาว เพือ่ เสรมิ สรา้ งคณุ ธรรมความดี ความกตญั ญู
ความสามัคคี ความเสยี สละ ความขยนั ความอดทน ความมีวินยั เพ่ือขดั เกลาและปลูกฝงั ความดีงาม ให้คิดดี
ทำดี
สาระการเรียนรู้/ความรู้
๑. วรรณคดีและวรรณกรรม
๒. นิทานไทย เรือ่ ง กระเช้าสีดา
๓. นิทานคตธิ รรม
๔. นิทานทอ้ งถนิ่ เกาะหนู เกาะแมว
๕. บทอาขยานและบทรอ้ ยกรองท่ีมคี ณุ ค่า
๖. บทอาขยานตามทกี่ ำหนด
๗. บทรอ้ ยกรองตามความสนใจ
จุดประสงค์การเรยี นรู้
๑. บอกความสำคญั ของบทรอ้ ยกรองได้
๒. อ่านและบอกใจความของบทรอ้ ยกรองได้
๓. บอกคำคล้องจองได้
๔. อา่ นออกเสยี งเนอื้ หาในบทเรยี นได้
๕. สรปุ เรอื่ งราวทีอ่ า่ นได้
๖. อ่านและบอกความสำคญั และสรุปใจความสำคัญของวรรณคดีและวรรณกรรม นิทานท้องถ่นิ
เรอ่ื ง เกาะหนูเกาะแมว นทิ านไทย เรอ่ื ง กระเช้าสดี า
๗. อา่ นและบทอาขยานและบทรอ้ ยกรองที่มีคณุ ค่า บทอาขยานตามที่กำหนด และบทรอ้ ยกรองตาม
ความสนใจได้
สมรรถนะสำคัญ
๑. ความสามารถในการส่อื สาร
๒. ความสามารถในการคิด
๓.ความสามารถในการแกป้ ัญหา
๔. ความสามารถในการใชท้ ักษะชวี ติ
๕.ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี
คุณลักษณะทีพ่ งึ ประสงค์
๑. รักชาติ ศาสน์ กษตั ริย์
๒. ซอื่ สัตยส์ ุจรติ
๑๐๙
๓. มวี ินัย
๔. ใฝ่เรยี นรู้
๕. อยอู่ ย่างพอเพยี ง
๖. มุ่งมัน่ ในการทำงาน
๗. รกั ความเป็นไทย
๘. มีจติ สาธารณะ
กจิ กรรมการเรยี นรู้
๑. อ่าน วรรณคดี และวรรณกรรมไทย จบั ใจความสำคญั แสดงความคดิ เห็น จากเรื่องทอี่ า่ น
๒. ฝึกการอ่านออกเสยี ง อ่านบทรอ้ ยกรอง จับใจความสำคญั เชิงคำถาม แสดงความคดิ เห็น จากเรื่องท่ี
อ่าน อ่านพจิ ารณาบทเรยี น อภปิ รายเก่ยี วกบั การวเิ คราะห์ โครงเรอ่ื ง ลำดบั เหตกุ ารณ์ของเรื่อง
๓. บอกขอ้ คิด คติเตอื นใจ เพอ่ื นำไปใช้ในชีวติ ประจำวนั
๔. ศึกษา ค้นคว้า อา่ นนิทานพนื้ บา้ น นทิ านท้องถ่ิน หนงั สอื ดีสำหรับเยาวชน และหนังสอื นทิ านทส่ี นใจ
๕. อา่ นนทิ านไทย เรอ่ื ง กระเช้าสีดา นิทานท้องถนิ่ เร่อื ง เกาะหนู เกาะแมว
๖. ทอ่ งบทอาขยานและบทร้อยกรองทมี่ ีคุณค่า
๗. บอกสัมผัสนอก สมั ผัสในของบทรอ้ ยกรองได้
๘. อ่านและทอ่ งบทร้อยกรองตามความสนใจเป็นจงั หวะ และเป็นทำนองเสนาะ
สอ่ื การเรยี นรู้
๑. หนังสอื เรียน
๒. แบบสังเกตพฤตกิ รรม
๓. ใบความรู้
๔. แบบทดสอบ / แบบฝกึ หดั
๕. หนงั สอื วรรณกรรมสำหรับเยาวชน หนงั สอื นิทานไทย นิทานท้องถ่นิ
๖. ใบกิจกรรมการอ่าน
๘. ปา้ ยนิเทศบริเวณโรงเรียน
๙. สือ่ วดี ีทศั น์ คอมพิวเตอร์ อนิ เทอรเ์ นต
๑๐. สมุดบันทึกรกั การอ่าน
๑๑. หนังสอื นทิ านสำหรับเยาวชนในห้องสมุด
ภาระงาน/ชนิ้ งาน
๑. แบบฝึกหัด/ใบงาน/แบบทดสอบ
๒. สมดุ บนั ทึกรักการอ่าน
๓. นิทานคตธิ รรมเลม่ เล็ก
๔. รายงานกลุ่ม
๕. วิเคราะห์ตวั ละคร เรื่องกระเชา้ สดี า และเกาะหนู เกาะแมว
๑๑๐
๖. บนั ทกึ รกั การอ่าน
การประเมนิ ผล
๑. สงั เกตการอา่ นออกเสียงจากแบบบันทึกการสังเกตการอา่ น
๒. สงั เกตการพฤตกิ รรมการฟัง การเขียน การพดู
๓. สงั เกตการพฤติกรรมการเข้ารว่ มกจิ กรรมของนกั เรียน
๔. ตรวจนทิ านเลม่ เลก็
๕. ตรวจแบบฝึกหัด/ใบงาน /แบบทดสอบ/งานกลุ่ม
๖. การตอบขอ้ ซกั ถาม
๗. สงั เกตมารยาท การพดู การฟัง การอ่าน การเขียน ของนกั เรียน
๑๑๑
กลมุ่ สาระการเรียนรภู้ าษาไทย ชั้นประถมศกึ ษาปีท่ี ๕
หน่วยการเรียนรู้ท่ี ๑๙ เรอ่ื ง คณุ คา่ วรรณกรรมไทย เวลา ๑8 ช่ัวโมง
________________________________________________________________________________
คำอธบิ ายประจำหนว่ ย
ฝกึ ปฏบิ ัติการอา่ นออกเสยี งบทรอ้ ยแก้วเป็นจงั หวะ อา่ นบทร้อยแก้วเปน็ ทำนองเสนาะ อ่านจบั
ใจความส่อื ต่าง ๆ ถอดคำประพนั ธ์ บทร้อยกรอง อ่านเพิ่มเตมิ ความหมาย อ่านคำ กลมุ่ คำหรอื วลใี นบทเรยี น
อ่านและแต่งกลอนสี่ กลอนแปด โคลงสี่สุภาพ โคลงโลกนติ ิ แตง่ กาพยย์ านี ๑๑ ฝกึ การเล่านิทานคติธรรม อ่าน
วรรณคดไี ทยเรอื่ ง ราชาธิราช ตอนกำเนิดมะกะโท ท่องบทอาขยานท่ีมคี ุณคา่ เช่น ตนเปน็ ท่พี ึ่งแห่งตน มวี ชิ า
เหมือนสินคา้ ผู้รดู้ เี ปน็ ผู้เจรญิ และดูให้ดี เป็นตน้ สรุปสาระสำคญั ระบคุ วามร้แู ละข้อคิดที่ไดจ้ ากการอา่ น
วรรณคดีหรือวรรณกรรม และอธบิ ายคณุ คา่ ของวรรณคดหี รอื วรรณกรรม
เพ่ือให้เกิดความรู้ ความเข้าใจ ความคิด สรุปความ แยกข้อเท็จจริง ข้อคิดเห็น แสดงความ
คดิ เห็น ศึกษาค้นคว้า นำเสนอผลงาน สามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน มีมารยาทในการอ่าน การเขียน
การฟัง การพูด และการดู รกั การอ่าน รกั ษ์ภาษาไทยซง่ึ เป็นภาษาประจำชาติ
หน่วยการจดั การเรยี นรู้กลุ่มสาระการเรยี นรูภ้ าษาไทย
หนว่ ยการเรยี นรู้ที่ ๑๙ เร่อื ง คณุ คา่ วรรณกรรมไทย
รหสั วชิ า ท ๑๐๑๐๑ รายชอ่ื วิชา ภาษาไทย
ชนั้ ประถมศึกษาปีท่ี ๕ ระยะเวลาการสอน ๑๔ ชวั่ โมง
สาระท่ี ๑ การอา่ น
มาตรฐาน ท ๑.๑ ใชก้ ระบวนการอา่ นสร้างความร้แู ละความคิดเพอ่ื นำไปใช้ตัดสนิ ใจ แกป้ ญั หาในการ
ดำเนินชวี ิต และมนี สิ ัยรักการอ่าน
ตวั บ่งช้ี
๑. ท ๑.๑ ป.๕/๑ อา่ นออกเสียงบทรอ้ ยแก้วและบทรอ้ ยกรองไดถ้ ูกต้อง
๒. ท ๑.๑ ป.๕/๒ อธบิ ายความหมายของคำ ประโยคและข้อความทีเ่ ปน็ การบรรยาย และการพรรณนา
๓. ท ๑.๑ ป.๕/๔ แยกขอ้ เทจ็ จรงิ และข้อคิดเหน็ จากเร่ืองทอี่ ่าน
๔. ท ๑.๑ ป.๕/๕ วเิ คราะหแ์ ละแสดงความคิดเห็นเก่ียวกบั เรื่องทีอ่ า่ นเพอื่ นำไปใช้ ในการดำเนินชีวิต
๕. ท ๑.๑ ป.๕/๗ อ่านหนังสือทมี่ ีคุณค่าตามความสนใจอย่างสมำ่ เสมอและแสดงความคิดเห็นเกยี่ วกบั
เร่อื งทอ่ี า่ น
๖. ท ๑.๑ ป.๕/๘ มมี ารยาทในการอ่าน
๑๑๒
สาระที่ ๒ การเขยี น
มาตรฐาน ท ๒.๑ ใชก้ ระบวนการเขียนเขยี นส่ือสาร เขยี นเรยี งความ ยอ่ ความ และเขยี นเรอ่ื งราวใน
รปู แบบตา่ ง ๆ เขยี นรายงานขอ้ มลู สารสนเทศและรายงานการศึกษาค้นควา้ อย่างมี
ประสทิ ธภิ าพ
ตัวบง่ ช้ี
๑. ท ๑.๑ ป.๕/๑ เขยี นส่อื สารโดยใช้คำได้ถูกต้องชดั เจน และเหมาะสม
๒. ท ๑.๑ ป.๕/๒ เขียนสอื่ สารโดยใชค้ ำได้ถูกตอ้ งชดั เจน และเหมาะสม
๓. ท ๑.๑ ป.๕/๓ เขียนแผนภาพโครงเรื่องและแผนภาพความคิดเพื่อใชพ้ ฒั นางานเขียน
๔. ท ๑.๑ ป.๕/๔ เขียนย่อความจากเรื่องทอี่ า่ น
๕. ท ๑.๑ ป.๕/๖ เขียนแสดงความรู้สึกและความคดิ เหน็ ไดต้ รงตามเจตนา
๖. ท ๑.๑ ป.๕/๘ เขยี นเรื่องตามจินตนาการ
๗. ท ๑.๑ ป.๕/๙ มารยาทในการเขยี น
สาระที่ ๓ การฟงั การดู และการพดู
มาตรฐาน ท ๓.๑ สามารถเลอื กฟังและดอู ยา่ งมวี ิจารณญาณ และพูดแสดงความรู้ ความคดิ และความรู้สกึ ใน
โอกาสต่างๆ อยา่ งมวี จิ ารณญาณและสร้างสรรค์
ตัวบง่ ช้ี
๑. ท ๑.๑ ป.๕/๑ พดู แสดงความรู้ ความคดิ เห็น และความรสู้ ึกจากเรอื่ งท่ีฟังและดู
๒. ท ๑.๑ ป.๕/๒ ตัง้ คำถามและตอบคำถามเชงิ เหตุผลจากเรือ่ งท่ฟี ังและดู
๓. ท ๑.๑ ป.๕/๓ วิเคราะห์ความน่าเช่อื ถอื จากเร่อื ง ท่ีฟงั และดูอยา่ งมเี หตผุ ล
๔. ท ๑.๑ ป.๕/๔ พดู รายงานเรื่องหรือประเดน็ ทีศ่ ึกษาคน้ คว้าจากการฟงั การดู และการสนทนา
๕. ท ๑.๑ ป.๕/๕ มมี ารยาทในการฟงั การดู และการพูด
สาระท่ี ๔ หลกั การใช้ภาษาไทย
มาตรฐาน ท ๔.๑ เขา้ ใจธรรมชาติของภาษาและหลักภาษาไทย การเปลีย่ นแปลงของภาษาและพลังของ
ภาษา ภูมปิ ญั ญาทางภาษา และรักษาภาษาไทยไวเ้ ป็นสมบตั ิของชาติ
ตวั บง่ ช้ี
๑. ท 4.๑ ป.๕/1 ระบชุ นดิ และหนา้ ทข่ี องคาในประโยค
๒. ท 4.๑ ป.๕/3 เปรยี บเทยี บภาษาไทยมาตรฐานกบั ภาษาถน่ิ
๓. ท 4.๑ ป.๕/6 แต่งบทรอ้ ยกรอง
๔. ท 4.๑ ป.๕/7 ใช้สานวนไดถ้ ูกต้อง
สาระท่ี ๕ วรรณคดแี ละวรรณกรรม
มาตรฐาน ท ๕.๑ เขา้ ใจและแสดงความคดิ เห็น วิจารณ์วรรณคดีและวรรณกรรมไทยอย่างเห็นคณุ ค่าและ
นามาประยุกต์ใช้ในชวี ิตจริง
๑. ท 5.๑ ป.๕/1 สรปุ เรือ่ งจากวรรณคดีหรือวรรณกรรมท่ีอ่าน
๑๑๓
๒. ท 5.๑ ป.๕/2 ระบคุ วามร้แู ละขอ้ คิดจากการอา่ นวรรณคดแี ละวรรณกรรมท่ีสามารถนาไปใช้ในชวี ติ
จรงิ
๓. ท 5.๑ ป.๕/3 อธบิ ายคุณค่าของวรรณคดีและวรรณกรรม
๔. ท 5.๑ ป.๕/4 ท่องจาบทอาขยานตามทกี่ าหนดและบทรอ้ ยกรองทม่ี ีคุณค่าตามความสนใจ
สาระสำคญั
๑. การอา่ นออกเสียงเปน็ การอ่านทีค่ นอน่ื สามารถไดย้ นิ และรูเ้ รอ่ื งส่งิ ทีเ่ ราอ่านได้ ดังนนั้ ควร
อ่านออกเสียงให้ดีถูกตอ้ งตามหลกั การอ่าน จงึ จะสอ่ื สารไดด้ ี ได้ประโยชน์ท้งั ผอู้ า่ นและผู้ฟงั
๒. การอา่ นเพ่ือทจี่ ะเข้าใจและวิเคราะหเ์ รือ่ งราวทอี่ ่าน เป็นการอา่ นที่ต้องใช้สมาธิ สติใน
การอ่าน อ่านอย่างพินจิ พิจารณา คิดวิเคราะห์เรอ่ื งที่อ่าน จับใจความสำคัญของเร่ืองท่ีอ่านให้ได้ จะทำให้
สามารถแยกขอ้ เท็จจรงิ ขอ้ คดิ เหน็ และแสดงความคิดเหน็ จากเร่อื งทอี่ า่ นได้
๓. การอา่ นวรรณคดีและวรรณกรรมไทย ผูอ้ ่านต้องใช้สมาธิในการอ่านอย่างพินจิ พจิ ารณา
คดิ วิเคราะห์เรื่องที่อ่าน จะทำให้สามารถสรุปเร่ืองที่อ่าน ได้ความรู้ ข้อคิด และสามารถอธิบายคุณค่าของ
วรรณคดี และวรรณกรรม
๔. กาพย์ยานี ๑๑ คือ การนำคำภาษาไทยมารอ้ ยเรียงให้มีคำสัมผัสคล้องจองตามลักษณะฉนั ทลักษณ์
ของกาพย์ยานี ๑๑
๕. การท่ีจะแต่งกลอนแปดได้ดแี ละไพเราะนน้ั ตอ้ งแต่งตามกฎเกณฑ์และขอ้ บังคับของลกั ษณะ
คำประพันธ์ จงึ จะทำใหก้ ลอนแปดนั้นเกดิ ความสละสลวยนุ่มนวล ชวนอ่านและสรา้ งความประทับใจแกผ่ ้อู า่ น
๖. โคลงสส่ี ุภาพ คือ โคลงชนดิ หนง่ึ ทีม่ ีเสน่ห์ของการบังคับวรรณยุกตเ์ อกโทอนั เป็นมรดกของภาษาไทยท่ี
ลงตวั ทสี่ ุด คำวา่ สภุ าพ หรอื เสาวภาพ หมายถงึ คำทีม่ ไิ ดม้ ีรูปวรรณยุกต์ ทำให้กวีนิยมแต่งมากทส่ี ดุ
๗. อาขยาน เปน็ บททอ่ งจำของภาษาไทย ที่ว่าด้วยเร่ืองเกีย่ วกบั การใช้คำให้ถูกตอ้ ง ตัวอย่างโคลงกลอน
บทอาขยานบางบทยังได้สอดแทรกข้อคดิ และคตสิ อนใจเอาไว้ดว้ ย
๘. โคลงโลกนิติ เปน็ วรรณกรรมประเภทคำสอน ในลักษณะของโคลงสภุ าษติ คำว่า โลกนิติ (อ่านว่า โลก-
กะ-นิด) แปลวา่ ระเบยี บแบบแผนแห่งโลก เนื้อหาในโคลงโลกนติ ิจึงมงุ่ แสดงความจริงของโลกและสจั ธรรม
ของชวี ติ เพื่อใหผ้ อู้ ่านได้รเู้ ท่าทนั ตอ่ โลก และเข้าใจในความเป็นไปของชวี ิต พรอ้ มเป็นแม่แบบเพ่อื ให้ผอู้ า่ นได้
ดำเนินชวี ิตไปในทางทีถ่ กู ตอ้ งดีงามสบื ไป โคลงโลกนิตมิ ีความไพเราะเหมาะสมทงั้ ด้านรปู แบบและเนือ้ หา
ปรชั ญาสาระ ครบคุณค่าทางวรรณกรรม ทำให้เป็นทีแ่ พรห่ ลายในหมคู่ นทว่ั ไป
๙. การอา่ นออกเสียงคำประพนั ธ์ประเภทรอ้ ยกรองผูอ้ ่านตอ้ งอา่ นถูกต้องทั้งด้านอักขระ การเว้นวรรค
ตอน ระดับสูงต่ำของเสยี งตามบรบิ ทแหง่ เนอ้ื หา จึงจะทำให้เกิดอรรถรสและเพ่ิมคณุ คา่ เดน่ ชดั ทางดา้ น
วรรณศลิ ป์
๑๐.
สาระการเรียนร้/ู ความรู้
๑. การอ่านบทรอ้ ยกรอง
๒. การอา่ นคำในบทเรยี น
๑๑๔
๓. การอา่ นออกเสยี ง
๔. วรรณคดคี ำสอน
๕. วรรณกรรมในบทเรียนและตามความสนใจ
๖. โคลงโลกนิติ
๗. โคลงสสี่ ุภาพ
๘. บทอาขยานทมี่ ีคณุ คา่ เรือ่ งวชิ าเหมอื นสินค้า, ตนเป็นทีพ่ ึง่ แหง่ ตน, ผูร้ ู้ดีเปน็ ผูเ้ จริญ, ดใู ห้ดี
๙. วรรณคดเี รอื่ ง ราชาธริ าชตอนกำเนดิ มะกะโท
๑๐.นิทานคติธรรมเรอ่ื งมดงา่ มกับจักจ๋ัน
๑๑.อ่านเพ่ิม เตมิ ความหมาย
๑๒.กาพย์ยานี ๑๑
๑๓.ศิลปะการแต่งบทรอ้ ยกรอง
๑๔.คุณค่าของวรรณคดีไทย
จดุ ประสงค์การเรยี นรู้
๑. สามารถอ่านบทรอ้ ยกรองได้ถูกต้อง และอ่านบทร้อยกรองเป็นทำนองเสนาะได้
๒. อ่านออกเสยี งภาษาไทยได้ถกู ต้อง ชดั เจน
๓. นำข้อคิดจากวรรณคดีคำสอน ไปใช้ในชีวติ ประจำวนั ได้
๔. รู้ บอก วรรณกรรมในบทเรียนและตามความสนใจได้
๕. อา่ น และแตง่ โคลงโลกนิติได้
๖. อ่านและแตง่ โคลงโคลงส่ีสภุ าพได้
๗. ทอ่ งบทอาขยานที่มีคุณคา่ เรอื่ งวชิ าเหมอื นสินคา้ , ตนเปน็ ทพ่ี ึง่ แหง่ ตน, ผรู้ ู้ดเี ปน็ ผู้เจรญิ , ดูให้ดีได้
๘. บอก อา่ น วรรณคดีเรือ่ ง ราชาธิราชตอนกำเนิดมะกะโทได้
๙. อา่ นนิทานคตธิ รรมเรื่องมดง่ามกบั จกั จ๋นั และบอกขอ้ คิดท่ีดไี ด้
๑๐.อ่านเพิ่ม เตมิ ความหมายในบทเรยี นได้
๑๑.อา่ น และแต่งกาพยย์ านี ๑๑ ได้
๑๒.บอกคำคล้องจอง ลกั ษณะบงั คบั คำสมั ผัส ของการแตง่ บทรอ้ ยกรองในบทเรียนได้
๑๓.ตระหนกั รู้ถงึ คณุ ค่าของวรรณคดไี ทย
สมรรถนะสำคัญ
๑. ความสามารถในการสือ่ สาร
๒. ความสามารถในการคดิ
๓.ความสามารถในการแกป้ ญั หา
๔. ความสามารถในการใชท้ ักษะชวี ิต
๕.ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี
คณุ ลกั ษณะทพ่ี ึงประสงค์
๑. รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์
๑๑๕
๒. ซอื่ สตั ยส์ ุจรติ
๓. มีวินยั
๔. ใฝเ่ รียนรู้
๕. อย่อู ยา่ งพอเพียง
๖. มุง่ มัน่ ในการทำงาน
๗. รกั ความเปน็ ไทย
๘. มจี ิตสาธารณะ
กจิ กรรมการเรยี นรู้
๑. อ่านวรรณคดีและวรรณกรรม
๒. สรปุ ข้อคิดทไ่ี ดจ้ ากการศึกษาคน้ คว้า
๓. กระบวนการนำเสนอผลงานการอ่าน การศึกษาคน้ ควา้
๔. ศกึ ษาคน้ ควา้
๕. ท่องบทอาขยาน
๖. ท่องบทร้อยกรองทส่ี นใจ
๗. แตง่ กาพย์ยานี ๑๑
๘. แตง่ โคลงโลกนิติ
๙. แตง่ โคลงสส่ี ุภาพ
๑๐.อ่านและแต่งกลอนสุภาพ
สอ่ื การเรยี นรู้
๑. หนงั สือเรียน
๒. แบบสงั เกตพฤติกรรม
๓. ใบความรู้
๔. แบบทดสอบ / แบบฝกึ หดั
๕. หนังสอื วรรณกรรมสำหรบั เยาวชน หนงั สือนิทาน
๖. หนังสอื วรรณคดไี ทย
๖. ใบกจิ กรรมการอ่าน
๗. หนงั สือที่นา่ สนใจในหอ้ งสมดุ
๘. สือ่ วีดีทัศน์ คอมพิวเตอร์ อินเทอรเ์ นต
๑๐. สมุดบนั ทึกรกั การอ่าน
๑๑. แผนผงั โครงโลกนติ ิ โคลงสส่ี ภุ าพ และกาพยย์ านี ๑๑
ภาระงาน/ชน้ิ งาน
๑. บนั ทกึ การอ่าน
๒. การนำเสนอรายงานกล่มุ
การจดั ทำแผนผังโคลงโลกนิติ โคลงสีส่ ภุ าพ และกาพยย์ านี ๑๑
๑๑๖
๓. แบบสงั เกตการทำงานกล่มุ
๔. แบบประเมินการเขยี น
๕. แบบฝกึ หัด/ใบงาน/แบบทดสอบ
๖. งานกลุม่ การพดู แสดงความคดิ เหน็
การประเมินผล
๑. สงั เกตการอา่ นออกเสยี งจากแบบบนั ทึกการสังเกตการอ่าน
๒. สังเกตการพฤตกิ รรมการฟัง การเขียน การพดู
๓. สังเกตการพฤติกรรมการเขา้ รว่ มกจิ กรรมของนกั เรียน
๔. ตรวจผลงานเดย่ี วและผลงานกลุ่ม
๕. ตรวจแบบฝึกหัด/ใบงาน /แบบทดสอบ/งานกล่มุ
๖. การตอบข้อซกั ถาม
๗. ตรวจสอบการเขยี นแผนผังโคลงโลกนิติ โคลงส่สี ภุ าพ และกาพยย์ านี ๑๑
๘. สังเกตมารยาท การพูด การฟัง การอา่ น การเขยี น ของนกั เรียน
๑๑๗
สื่อและแหล่งการเรยี นรู้
แหล่งการเรยี นรทู้ ีผ่ ู้เรยี นสามารถคน้ คว้าหาความรเู้ พมิ่ เติมได้ดังนี้
หอ้ งสมุด เปน็ แหล่งการเรียนรแู้ ละเปน็ หัวใจสำคญั ของสถานศึกษาที่ผู้เรียนจะใช้ในการศึกษาค้นคว้าใช้ในการ
อ่านเพื่อเพ่ิมพนู ความรู้ การจัดห้องวิชาการตา่ ง ๆ เปน็ สว่ นหนงึ่ ของหอ้ งสมดุ หรือ เปน็ แหลง่ การเรียนรู้
ในสถานศึกษา จะทำให้ผู้เรียนได้ประโยชน์จากการเรียนและในปัจจุบันการใช้อินเตอร์เน็ตในการค้นคว้าหา
ความรู้มีความสำคัญมากขึ้น สถานศึกษาจำเป็นต้องจัดไว้ให้เพียงพอ และอบรมให้มีการใช้อย่างมี
ประสิทธิภาพ
ทรัพยากรบุคคล เช่น ผู้ปกครอง และคนในชุมชนท่ีมีความรู้ความสามารถด้านภาษาและ ภูมิ
ปัญญาทางภาษา ภาษาถิ่น เพลงพ้ืนบ้าน พิธีกรรมต่าง ๆ ครูภาษาไทย ควรจัดทำบัญชีรายชื่อบุคคลที่มี
ความรู้ความสามารถ ซ่ึงสามารถเชิญมาให้ความรู้ในโรงเรียน
ส่ือการเรียนการสอน เป็นส่ือกลางท่ีทำหน้าท่ีถ่ายทอดและแลกเปล่ียนเน้ือหา ประสบการณ์ แนวคิด
ทกั ษะ และเจตคติระหว่างผู้สอนกับผู้เรียน โดยเนน้ บทบาทของผู้เรียนที่เป็นผู้กระทำหรือใช้สอื่ เพ่ือให้เกิด
ความรู้ ทกั ษะกระบวนการ และความรูส้ ึกนกึ คิดต่าง ๆบรรลุมาตรฐานของการเรยี นรู้
ประเภทของสื่อการเรยี นการสอน
สื่อการเรียนการสอน จำแนกตามลกั ษณะของส่ือท่นี ำไปใช้ ๕ประเภท คือ
๑. ส่ือสิ่งพิมพ์ เป็นส่ือที่ใช้ระบบการพิมพ์ เช่น หนังสือเรียน คู่มือ หนังสือเสริมประสบการณ์
ฯลฯ
๒. สอ่ื วัสดุอุปกรณ์ เป็นสื่อสิง่ ของต่าง ๆ เชน่ ของจรงิ หุ่นจำลอง แผนภูมิ แผนท่ี ตาราง สถิติ
กราฟ ฯลฯ
๓. ส่ือโสตทัศนูปกรณ์ เป็นสื่อท่ีนำเสนอด้วยเคร่ืองมืออุปกรณ์ต่าง ๆ เช่น ภาพเล่ือน (Slide)
แถบเสียง แถบบันทึกภาพ ส่อื ประเภทอนื่ ๆ อาทิ สอื่ มลั ตมิ เิ ดีย ฐานขอ้ มลู คอมพวิ เตอร์
๔. ส่ือกิจกรรม เป็นสื่อประเภทวิธีการท่ีใช้ในการฝึกปฏิบัติ ฝึกทักษะ ซ่ึงต้องใช้กระบวนการคิด
การปฏิบัติ การเผชิญสถานการณ์ และการประยุกต์ความรู้ของผู้เรียน เช่น เกม เพลง
บทบาทสมมุติ แบบทดสอบ แผนการสอน ใบความรู้ ใบงาน ฯลฯ
๕. ส่ือบริบท เปน็ สอ่ื ทสี่ ่งเสรมิ การเรยี นการสอน ได้แก่ สภาพแวดลอ้ มและสถานการณ์ต่าง ๆ เช่น
หอ้ งเรียน ห้องปฏิบัติการ แหลง่ วทิ ยาบรกิ าร หรือแหล่งเรียนรูอ้ ื่น ๆ บคุ คล ห้องสมดุ ชมุ ชน
สังคม วัฒนธรรม เครอื ขา่ ยคอมพิวเตอร์ ฯลฯ
นอกจากแหลง่ เรยี นรูท้ ี่กลา่ วมาขา้ งต้นแลว้ ผ้เู รยี นสามารถศกึ ษาหาความร้ไู ดจ้ ากภาษาทีใ่ ช้ใน
ชีวิตประจำวัน เช่น ในบ้าน ในสถานท่ีต่าง ๆ ภาษาที่ใช้ในคอมพิวเตอร์ ซ่ึงได้จากการใช้ อินเตอร์เน็ต
โทรทัศน์ วิทยุ วารสาร สงิ่ พิมพ์ต่าง ๆ รวมทั้งการแสวงหาความรู้จากการไปทัศนะศึกษาตามสถานทีต่ ่าง ๆ
ด้วย
การวัดและประเมินผล
๑๑๘
การวดั และประเมนิ ผลเป็นส่วนหน่ึงของการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ตอ้ งดำเนนิ ควบคู่กนั ไป
การบูรณาการหรือการประสมประสานการวดั และการประเมินผลกบั การเรียนการสอนเข้าด้วยกันจะส่งผลต่อ
การพัฒนาการศึกษาหลายประการ ในส่วนท่ีเก่ียวขอ้ งกับผู้เรยี นซึ่งเป็นศูนย์กลางของการพัฒนาน้ัน การ
วัดและการประเมนิ ผลจะมีบทบาทสำคัญตอ่ การเรียนรู้ของผู้เรยี น ทงั้ น้เี พราะการวัดและ การ
ประเมินผลและการเรียนรู้มีความสัมพันธ์กนั อย่างใกล้ชิด โดยการประเมินจะมีผลทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อ
การเรียนรู้ ทางตรง คือ จะใหข้ อ้ มูลย้อนกลับท่สี ำคัญเพ่อื นำไปสู่การเรียนรทู้ ี่มปี ระสทิ ธิภาพ สว่ นผลทางออ้ ม
คือ จะเป็นส่ิงชี้นำการเรียนการสอน ดังน้ันผู้จัดการศึกษาจึงสามารถนำผลท้ังสองลักษณะที่เกิดข้ึนมาใช้ให้
เกดิ ประโยชนอ์ ยา่ งแทจ้ รงิ ตอ่ การจดั การศกึ ษาได้
การวัดผลและประเมนิ ผลการเรยี นภาษาไทย
การวัดผลและประเมินการเรียนรู้ด้านภาษา เป็นงานท่ียากซึ่งต้องการความเข้าใจที่ถูกต้องแท้จริง
เก่ียวกับการทำงานของภาษาและการพัฒนาการทางภาษา ดังนั้นผู้ปฏิบัติหน้าท่ีวัดผลการเรียนรู้ด้านภาษา
จำเปน็ ต้องเขา้ ใจหลกั การของการเรยี นรู้ภาษา เพือ่ เปน็ พ้นื ฐานการดำเนินงานดังน้ี
ทกั ษะทางภาษา ฟัง พดู อ่าน เขียน ดู มีความสำคญั เท่า ๆ กันและทกั ษะเหล่านี้ มคี วามเก่ยี วเนื่อง
กัน และความกา้ วหนา้ ของทกั ษะหนงึ่ จะมีผลตอ่ การพฒั นาการทกั ษะอน่ื ๆ
ผู้เรียนต้องได้รับการพัฒนาความสามารถทางภาษา เช่นเดียวกับทักษะการคิด ทักษะทางสังคม
เม่อื ผู้เรยี น มีโอกาสใช้ภาษาตามความต้องการที่แทจ้ ริงของตนเอง และในสภาพการณจ์ รงิ ท้ังในบริบท ทาง
วิชาการในหอ้ งเรยี น และชมุ ชนท่ีกวา้ งออกไป
ผเู้ รียนต้องเรยี นรู้การใช้ภาษาพูด ภาษาเขียนอย่างถูกต้อง ด้วยการฝึกฝนมิใช่การเรยี นรู้กฎเกณฑ์
ทางภาษาแต่อย่างเดียว การเรียนการใช้ภาษาท่ีประกอบด้วยไวยากรณ์ การสะกดคำ และเครื่องหมายต่าง
ๆ จะค่อย ๆ เพิ่มขึ้นเมื่อผู้เรียนได้พัฒนาทักษะทางภาษาของตนผู้เรียนทุกคนต้องผ่านขั้นตอนการพัฒนา
ทางภาษาเช่นเดยี วกัน แต่จะต่างกันในจังหวะก้าว และวธิ ีการเรียนรภู้ าษาและวัฒนธรรมมคี วามสมั พันธ์กัน
อย่างใกล้ชิด หลักสูตรที่ให้ความสำคัญให้ความเคารพ และเห็นคุณค่าของเชื้อชาติ วัฒนธรรม ภูมิหลัง
ทางภาษา และความหลากหลายของภาษาจะช่วยให้ผูเ้ รียนพัฒนาความรู้สกึ ที่ดีเกี่ยวกับตนเองและกระตนุ้ ให้
ผเู้ รียนเรยี นรู้
หลักการของการประเมินผลในช้ันเรยี นที่มปี ระสทิ ธิภาพ
ประการแรก : การประเมนิ ผลในช้ันเรยี นทมี่ ปี ระสทิ ธิภาพ จะตอ้ งส่งเสรมิ การเรยี นรขู้ องผเู้ รยี น
ประการทส่ี อง : การประเมินผลจะตอ้ งใช้ข้อมูลจากแหล่งข้อมลู ท่หี ลากหลาย
ประการท่สี าม : การประเมนิ ผลจะตอ้ งมคี วามเท่ียงตรง เช่อื ถือได้และยุติธรรม
การวางแผนการเก็บรวบรวมขอ้ มูลเพ่อื การประเมนิ ผลการเรียน
หลังจากที่ผู้สอนกำหนดกิจกรรมการเรียนการสอนแล้ว ผู้สอนจะต้องพิจารณากำหนดวิธีการเก็บ
รวบรวมขอ้ มูลผลการเรียนรู้ทไี่ ด้จากการจัดกิจกรรมการเรยี นการสอนดังกลา่ ว ทงั้ นโี้ ดยพิจารณาองคป์ ระกอบ
สำคัญตอ่ ไปน้ี
ผลการเรียนรูท้ ี่ต้องการจากกจิ กรรมการเรียนการสอน คืออะไร
ตามหลักสูตรการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน ผลการเรียนรู้ได้มาจากมาตรฐานการเรียนรู้ระดับต่าง ๆ ซ่ึง
ถกู กำหนดไว้โดยครอบคลุมความรู้ ทักษะ และคุณธรรม จริยธรรม ค่านิยมต่าง ๆ ผลการเรียนรูท้ ี่คาดหวัง
๑๑๙
จะนำไปสู่การเลอื กเกบ็ รวบรวมขอ้ มูลที่มีประสิทธภิ าพ เชน่ ผู้สอนกำหนดวา่ ผลการเรยี นรู้ทต่ี ้องการ คือ
ความสามารถในการเขียนบทความเพ่ือโน้มน้าว ชักชวนผู้สอนจะต้องเก็บรวบรวมตัวอย่างผลงานที่เคย
มอบหมายให้ผูเ้ รียนได้จัดทำเก่ยี วกับเร่อื งน้ี และประเมินโดยเทียบกับเกณฑ์ท่กี ำหนด ผลการประเมนิ จึง จะ
เทยี่ งตรง เชื่อถอื ได้ แต่ถ้าผสู้ อนใช้แบบทดสอบชนิดเลอื กตอบในการเกบ็ รวบรวมข้อมูล ถือวา่ ผู้สอนใช้วธิ กี าร
ไม่เหมาะสมความมุ่งหมายของการประเมินคืออะไร และใครจะเป็นผู้นำผลการประเมินไปใช้ ความมุ่ง
หมายของการประเมินและผู้จะนำผลการประเมินไปใช้ จะช่วยให้สามารถเลือกวิธีการประเมินได้เหมาะสม
รวมทงั้ สามารถกำหนดแนวทางในการรายงานผลการประเมนิ ได้
การประเมนิ เพอื่ วินจิ ฉัยจุดเดน่ และจดุ ด้อยในการเรยี นกบั การประเมนิ เพ่ือตัดสนิ ผลการเรยี นมี ความ
มุ่งหมายต่างกัน การประเมินเพื่อวินิจฉัยต้องการข้อมูลเพ่ือการปรับปรุงพัฒนาผู้เรียน ดังนั้นวิธี การ
ประเมินจะมีลกั ษณะทมี่ ุ่งเน้นในรายละเอียดทุกข้ันตอนแห่งการเรียนรู้เพ่ือเปน็ ขอ้ มลู ในการแก้ปัญหาเก่ียวกับ
การเรียนของผู้เรียน เหมาะที่จะนำมาใช้ระหว่างกระบวนการเรียนการสอน สว่ นการประเมินเพื่อตัดสินผล
การเรียนจะเป็นการประเมินสรุปผลการเรียนรู้ทั้งหมด แนวทางการวัดจึงมีลักษณะท่ีนำมาเฉพาะเป้าหมาย
หลกั สำคัญท่ีจะแสดงภาพรวมเกยี่ วกับสมั ฤทธผิ ลของผูเ้ รียนตามความคาดหวังมาประเมิน เป็นตน้
วิธกี ารเก็บรวบรวมข้อมลู ผลการเรียนของผ้เู รียน
วธิ ีการเก็บรวบรวมข้อมูลท่ีถูกนำมาใช้ในการประเมินโดยท่ัวไป เช่น การสังเกต การตรวจงานหรือ
ผลงาน การทดสอบความรู้ การตรวจสอบการปฏิบัติ และการแสดงออก อย่างไรก็ตาม มีการนำเสนอแนว
ทางการเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล โดยพิจารณาจากเปา้ ประสงคข์ องการประเมนิ ทีเ่ ฉพาะเจาะจงในรายละเอยี ด เพ่ือ
ข้อมูลท่ไี ด้จะสามารถนำมาใช้ประโยชน์ต่อการปรับปรุงพัฒนากระบวนการเรยี นรู้อย่างแท้จริงดังนี้ การให้
ตอบแบบทดสอบ ท้ังในลักษณะที่เป็นแบบเลือกคำตอบ ได้แก่ ข้อสอบแบบเลือกตอบ ถูก – ผิด และ
ข้อสอบชนิดให้ผู้สอบสร้างคำตอบ ได้แก่ เติมข้อความในช่องว่าง คำตอบส้ันเป็นประโยค เป็น
ข้อความ เป็นแผนภมู ิ การดูจากผลงาน เช่น เรยี งความ รายงานการวิจัย บันทึกประจำวัน รายงานการ
ทดลอง บทละคร บทร้อยกรอง แฟ้มผลงาน เป็นต้น ผลงานจะเป็นสิ่งแสดงให้เห็นการนำความรู้ และ
ทกั ษะไปใช้ในการปฏิบัตงิ านของผูเ้ รียนดูการปฏบิ ัติ โดยผูส้ อนสามารถสังเกต การนำทักษะและความรู้ไปใช้
โดยตรงในสถานการณ์ท่ีให้ปฏิบัติจริง วิธีการนี้ถูกนำไปใช้อย่างกว้างขวางใน การประเมินการปฏิบัติท่ีมี
ระเบียบ ข้อบังคับ เชน่ การร้องเพลง ดนตรี พลศึกษา การโต้วาที การกล่าวสุนทรพจน์ ละครเวที ดู
กระบวนการ วิธกี ารนีจ้ ะให้ข้อมูลเก่ียวกับวธิ กี ารเรียนรู้ กระบวนการคดิ ของผู้เรียนมากกวา่ ที่จะดูผลงานหรือ
การปฏิบตั ิ ซ่ึงจะทำใหท้ ราบกระบวนการคดิ ทผี่ ู้เรียนใช้ วธิ ีการท่พี บว่าผูส้ อนใช้อย่เู ป็นประจำในกระบวนการ
เรียน การสอนคอื การให้นกั เรียนคิดดงั ๆ การตั้งคำถามใหน้ ักเรยี นตอบ โดยครูจะเปน็ ผู้สงั เกตการคิดของ
นักเรียน วิธีการเช่นน้ีเป็นกระบวนการที่จะให้ข้อมลู เพอ่ื การวินิจฉัย และเป็นขอ้ มลู ย้อนกลบั แกผ่ ู้เรียน โดย
การเก็บรวบรวมข้อมูลอย่างต่อเนื่องซึ่งเหมาะกับการประเมินพัฒนาการ ด้านคุณธรรม จริยธรรม
และลักษณะนิสัยจากแนวทางการเก็บรวบรวมข้อมูลเพ่ือการประเมินผลการเรียนรู้ดังกล่าวข้างต้นสามารถ
นำมาพิจารณากำหนดแนวทางการเก็บรวบรวมข้อมูลทักษะทางภาษาได้ โดย การสังเกตผ่านพฤติกรรม
การปฏิบัติต่าง ๆ เช่น การเล่าเรื่อง การให้คำช้ีแจง การเล่าประสบการณ์ การร่วมกิจกรรมต่าง ๆ การ
ปฏิสัมพันธ์กับกลุ่ม/บุคคล หากผลการเรียนรูท้ ี่ต้องการจากการเรียนคือ ความรู้ความคิดเก่ียวกับกฎเกณฑ์
ของภาษา การใช้ภาษา วธิ ีการเก็บรวบรวมข้อมูลเพ่ือการประเมนิ ทเ่ี หมาะสม คือ การใชข้ ้อสอบ ซ่งึ อาจเป็น
แบบเลือกตอบหรือใหส้ ร้างคำตอบ
๑๒๐
การรายงานการประเมิน
วิธีการรายงานผลการประเมินมีหลายลักษณะ ซ่ึงจะเป็นไปตามลักษณะผลการเรียนรู้ท่ีต้องการ
ประเมนิ วธิ ีการเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล จดุ ประสงคข์ องการประเมินและผู้ใชข้ อ้ มูลผลการประเมนิ รูปแบบ การ
รายงานผลการประเมินทีใ่ ช้โดยท่ัวไปขณะนี้ คือ
การรายงานในรูปคะแนน ได้แก่ คะแนนรอ้ ยละ คะแนนรวม
การรายงานในรปู ระดับผลการเรียน เป็นตัวอักษร ตัวเลข
การรายงานในรูปมาตรวดั ที่แสดงพฒั นาการ/ความสามารถ ในลักษณะ rubic
รายงานโดยเขยี นบอกเลา่
การใหข้ ้อคดิ เห็นโดยการเขียน
การรายงานดว้ ยวาจา
ข้อพงึ ปฏบิ ตั ิ
เป้าหมายของการจัดการศึกษา คือ พัฒนาผู้เรียนให้มีความรู้ความสามารถแ ละค่านิยม
คุณธรรมจริยธรรม ตามมาตรฐานการเรียนรู้ที่กำหนด ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ผู้สอนจำเป็นต้อง
วางแผนการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้ วางแผนการเก็บรวบรวมข้อมูลเพือ่ การประเมินให้สอดคลอ้ งกนั เพอ่ื ใหไ้ ด้
ข้อมูล ที่จะนำไปสู่การประเมินความรู้ความสามารถท่ีแท้จริงของผู้เรียน ความสามารถมนการใช้ภาษา
สามารถประเมนิ ไดจ้ ากการรวบรวมขอ้ มูลผา่ นการสงั เกตการปฏบิ ัตกิ ิจกรรมต่าง ๆ ของผู้เรยี นได้ อยา่ ง
ต่อเนื่องตลอดเวลา ทงั้ ในขณะท่ีผ้สู อนจัดกระบวนการเรียนการสอน ซ่ึงถือวา่ อยใู่ นบริบททผ่ี ู้สอนได้จดั หรือ
จำลองข้ึนมาและในขณะท่ีผู้เรียนได้ปฏิบัติใยสภาพที่เป็นจริง จากการมีปฏิสัมพันธ์กับบุคคลต่าง ๆ รอบตัว
ซ่ึงจะเป็นข้อมูลท่ีสะท้อนความสามารถที่แท้จริงของผู้เรียนได้อย่างดีพร้อม ๆ กับการประเมินความรู้
ความสามารถทางภาษา ผู้สอนสามารถประเมินพัฒนาการด้านคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยม ที่
ต้องการปลูกฝงั ให้เกิดข้นึ แกผ่ เู้ รยี น
๑๒๑
อภธิ านศพั ท์
กระบวนการเขยี น
กระบวนการเขียนเป็นการคิดเรื่องท่ีจะเขียนและรวบรวมความรู้ในการเขียน กระบวนการเขียน
มี ๕ ขั้น ดังน้ี
๑. การเตรียมการเขียน เป็นข้ันเตรียมพร้อมที่จะเขียนโดยเลือกหัวข้อเรื่องที่จะเขียน
บนพื้นฐานของประสบการณ์ กำหนดรูปแบบการเขียน รวบรวมความคิดในการเขียน อาจใช้วิธีการอ่าน
หนงั สือ สนทนา จดั หมวดหมู่ความคิด โดยเขยี นเปน็ แผนภาพความคดิ จดบันทึกความคิดทจ่ี ะเขียนเป็นรูป
หวั ขอ้ เร่ืองใหญ่ หวั ขอ้ ย่อย และรายละเอียดครา่ วๆ
๒. การยกร่างข้อเขียน เม่ือเตรียมหัวข้อเร่อื งและความคิดรูปแบบการเขียนแล้ว ให้นำความคิดมา
เขียนตามรูปแบบที่กำหนดเป็นการยกร่างข้อเขียน โดยคำนึงถึงว่าจะเขียนให้ใครอ่าน จะใช้ภาษาอย่างไรให้
เหมาะสมกับเรื่องและเหมาะกับผู้อื่น จะเร่ิมต้นเขียนอย่างไร มีหัวข้อเรื่องอย่างไร ลำดับความคิดอย่างไร
เชอ่ื มโยงความคิดอย่างไร
๓. การปรับปรงุ ขอ้ เขยี น เม่อื เขียนยกร่างแลว้ อ่านทบทวนเร่อื งท่ีเขียน ปรบั ปรงุ เรอื่ งท่เี ขยี นเพิ่มเติม
ความคดิ ใหส้ มบรู ณ์ แกไ้ ขภาษา สำนวนโวหาร นำไปใหเ้ พือ่ นหรอื ผอู้ ื่นอ่าน นำขอ้ เสนอแนะมาปรบั ปรุงอกี ครั้ง
๔. การบรรณาธิการกิจ นำขอ้ เขียนที่ปรับปรุงแล้วมาตรวจทานคำผิด แก้ไขให้ถกู ต้อง แล้วอ่าน
ตรวจทานแกไ้ ขขอ้ เขยี นอีกครงั้ แก้ไขขอ้ ผดิ พลาดทง้ั ภาษา ความคิด และการเว้นวรรคตอน
๕. การเขียนให้สมบรู ณ์ นำเรื่องทแี่ กไ้ ขปรบั ปรงุ แล้วมาเขียนเรื่องให้สมบูรณ์ จัดพิมพ์ วาดรูป
ประกอบ เขียนให้สมบูรณ์ด้วยลายมือที่สวยงามเป็นระเบียบ เม่ือพิมพ์หรือเขียนแล้วตรวจทานอีกคร้ังให้
สมบูรณ์ก่อนจดั ทำรูปเล่ม
กระบวนการคดิ
การฟงั การพูด การอา่ น และการเขียน เป็นกระบวนการคิด คนทีจ่ ะคิดได้ดีต้องเป็นผู้ฟงั ผพู้ ูด ผู้อา่ น
และผเู้ ขียนท่ีดี บคุ คลทจี่ ะคดิ ได้ดีจะต้องมีความรแู้ ละประสบการณ์พนื้ ฐานในการคิด บคุ คลจะมีความสามารถ
ในการรวบรวมข้อมูล ขอ้ เท็จจริง วิเคราะห์ สังเคราะห์ และประเมินค่า จะตอ้ งมคี วามรู้และประสบการณ์
พนื้ ฐานทนี่ ำมาชว่ ยในการคิดทั้งสน้ิ การสอนให้คิดควรให้ผู้เรยี นรู้จกั คัดเลือกขอ้ มูล ถ่ายทอด รวบรวม และ
จำข้อมูลต่างๆ สมองของมนุษย์จะเป็นผู้บริโภคข้อมูลข่าวสาร และสามารถแปลความข้อมูลข่าวสาร และ
สามารถนำมาใชอ้ ้างองิ การเป็นผู้ฟัง ผูพ้ ูด ผู้อ่าน และผเู้ ขยี นท่ีดี จะต้องสอนให้เป็นผู้บริโภคข้อมลู ขา่ วสารที่
ดแี ละเป็นนักคิดที่ดดี ้วย กระบวนการสอนภาษาจึงต้องสอนให้ผู้เรียนเป็นผู้รับรู้ข้อมูลข่าวสารและมที ักษะการ
คิด นำข้อมูลข่าวสารท่ีได้จากการฟังและการอ่านนำมาสู่การฝึกทักษะการคิด นำการฟัง การพูด การ
อ่าน และการเขียน มาสอนในรูปแบบบูรณาการทักษะ ตัวอย่าง เช่น การเขียนเป็นกระบวนการคิดในการ
วิเคราะห์ การแยกแยะ การสังเคราะห์ การประเมินค่า การสร้างสรรค์ ผู้เขียนจะนำความรู้และประสบการณ์สู่
การคิดและแสดงออกตามความคิดของตนเสมอ ต้องเป็นผู้อ่านและผู้ฟังเพ่ือรับรขู้ ่าวสารที่จะนำมาวิเคราะห์
และสามารถแสดงทรรศนะได้
๑๒๒
กระบวนการอา่ น
การอ่านเป็นกระบวนการซึ่งผู้อ่านสร้างความหมายหรือพัฒนา การตีความระหว่างการอ่านผู้อ่าน
จะต้องร้หู วั ข้อเรื่อง รู้จุดประสงคข์ องการอ่าน มีความรู้ทางภาษาทใี่ กล้เคียงกับภาษาทีใ่ ช้ในหนังสือท่ีอ่าน โดย
ใช้ประสบการณเ์ ดมิ เปน็ ประสบการณท์ ำความเขา้ ใจกบั เรื่องที่อ่าน กระบวนการอ่านมีดังนี้
๑. การเตรียมการอา่ น ผูอ้ ่านจะต้องอ่านชื่อเร่ือง หัวขอ้ ยอ่ ยจากสารบัญเรื่อง อ่านคำนำให้ทราบ
จุดมุ่งหมายของหนังสือ ตั้งจุดประสงค์ของการอ่านจะอ่านเพื่อความเพลิดเพลินหรืออ่านเพื่อหาความรู้
วางแผนการอา่ นโดยอ่านหนังสือตอนใดตอนหนึ่งว่าความยากง่ายอย่างไร หนังสอื มคี วามยากมากน้อยเพียงใด
รปู แบบของหนงั สือเป็นอยา่ งไร เหมาะกับผู้อา่ นประเภทใด เดาความว่าเป็นเร่อื งเกี่ยวกบั อะไร เตรียมสมุด
ดนิ สอ สำหรับจดบันทึกขอ้ ความหรอื เนอ้ื เรือ่ งท่ีสำคัญขณะอา่ น
๒. การอ่าน ผู้อ่านจะอ่านหนังสือให้ตลอดเล่มหรอื เฉพาะตอนทต่ี ้องการอ่าน ขณะอ่านผู้อ่านจะใช้
ความรจู้ ากการอ่านคำ ความหมายของคำมาใช้ในการอ่าน รวมทั้งการร้จู ักแบ่งวรรคตอนด้วย การอ่านเร็ว
จะมีส่วนช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจเร่ืองได้ดีกว่าผู้อ่านช้า ซึ่งจะสะกดคำอ่านหรืออ่านย้อนไปย้อนมา ผู้อ่านจะใช้
บริบทหรอื คำแวดลอ้ มชว่ ยในการตีความหมายของคำเพื่อทำความเข้าใจเรือ่ งที่อ่าน
๓. การแสดงความคิดเห็น ผู้อ่านจะจดบันทึกข้อความท่ีมีความสำคัญ หรือเขียนแสดง
ความคิดเห็น ตีความข้อความที่อ่าน อ่านซ้ำในตอนท่ีไม่เข้าใจเพ่ือทำความเข้าใจให้ถูกต้อง ขยายความคิด
จากการอา่ น จบั คกู่ ับเพอื่ นสนทนาแลกเปลย่ี นความคิดเห็น ต้ังขอ้ สังเกตจากเร่ืองท่ีอ่าน ถ้าเปน็ การอ่านบท
กลอนจะต้องอ่านทำนองเสนาะดงั ๆ เพ่ือฟังเสยี งการอา่ นและเกดิ จนิ ตนาการ
๔. การอ่านสำรวจ ผู้อ่านจะอ่านซ้ำโดยเลือกอ่านตอนใดตอนหน่ึง ตรวจสอบคำและภาษาที่ใช้
สำรวจโครงเร่ืองของหนังสือเปรียบเทียบหนังสือท่ีอ่านกับหนังสือท่เี คยอ่าน สำรวจและเช่ือมโยงเหตุการณ์ใน
เร่ืองและการลำดับเรอ่ื ง และสำรวจคำสำคญั ทใ่ี ชใ้ นหนงั สือ
๕. การขยายความคิด ผู้อา่ นจะสะท้อนความเขา้ ใจในการอา่ น บันทึกข้อคิดเห็น คุณค่าของเร่อื ง
เชื่อมโยงเร่ืองราวในเรื่องกับชีวิตจริง ความรู้สึกจากการอ่าน จัดทำโครงงานหลักการอ่าน เช่น วาดภาพ
เขียนบทละคร เขียนบันทึกรายงานการอ่าน อ่านเรื่องอื่น ๆ ท่ีผู้เขียนคนเดียวกันแต่ง อ่านเร่ืองเพ่ิมเติม
เรอ่ื งทเี่ กีย่ วโยงกบั เรอ่ื งทอี่ า่ น เพอื่ ใหไ้ ด้ความร้ทู ี่ชัดเจนและกว้างขวางขนึ้
การเขยี นเชิงสร้างสรรค์
การเขียนเชิงสรา้ งสรรค์เป็นการเขียนโดยใช้ความรู้ ประสบการณ์ และจินตนาการในการเขยี น เช่น
การเขยี นเรยี งความ นทิ าน เร่อื งสนั้ นวนิยาย และบทร้อยกรอง การเขยี นเชิงสร้างสรรค์ผู้เขียนจะต้อง
มีความคิดดี มีจินตนาการดีมีคลังคำอย่างหลากหลาย สามารถนำคำมาใช้ในการเขียนต้องใชเ้ ทคนิค
การเขยี น และใชถ้ อ้ ยคำอย่างสละสลวย
การดู
การดูเป็นการรับสารจากสื่อภาพและเสียง และแสดงทรรศนะได้จากการรับรู้สาร ตีความ
แปลความ วิเคราะห์ และประเมินคุณค่าสารจากสื่อ เช่น การดูโทรทัศน์ การดูคอมพิวเตอร์ การดูละคร
การดูภาพยนตร์ การดูหนังสือการ์ตูน (แม้ไม่มีเสียงแต่มีถ้อยคำอ่านแทนเสียงพูด) ผู้ดูจะต้องรับรู้สาร
จากการดูและนำมาวิเคราะห์ ตีความ และประเมินคุณค่าของสารท่ีเป็นเน้ือเรื่องโดยใช้หลักการพิจารณา
๑๒๓
วรรณคดีหรอื การวิเคราะห์วรรณคดเี บ้อื งต้น เชน่ แนวคดิ ของเรอื่ ง ฉากทป่ี ระกอบเร่ืองสมเหตุสมผล กิริยา
ท่าทาง และการแสดงออกของตวั ละครมีความสมจริงกับบทบาท โครงเร่ือง เพลง แสง สี เสียง ที่ใช้
ประกอบการแสดงใหอ้ ารมณ์แก่ผู้ดูสมจริงและสอดคล้องกับยคุ สมัยของเหตุการณ์ท่ีจำลองสู่บทละคร คุณค่า
ทางจริยธรรม คุณธรรม และคุณค่าทางสังคมท่ีมีอิทธิพลต่อผู้ดูหรือผู้ชม ถ้าเป็นการดูข่าวและเหตุการณ์
หรือการอภิปราย การใช้ความรู้หรือเรื่องท่ีเป็นสารคดี การโฆษณาทางส่ือจะต้องพิจารณาเนื้อหาสาระว่า
สมควรเช่ือถือได้หรือไม่ เป็นการโฆษณาชวนเช่อื หรือไม่ ความคิดสำคัญและมีอิทธิพลต่อการเรียนรู้มาก และ
การดูละครเวที ละครโทรทัศน์ ดูข่าวทางโทรทัศน์จะเป็นประโยชน์ได้รับความสนุกสนาน ต้องดูและวิเคราะห์
ประเมนิ คา่ สามารถแสดงทรรศนะของตนไดอ้ ย่างมีเหตุผล
การตคี วาม
การตีความเป็นการใช้ความรู้และประสบการณ์ของผู้อ่านและการใช้บริบท ได้แก่ คำที่แวดล้อม
ขอ้ ความ ทำความเขา้ ใจขอ้ ความหรอื กำหนดความหมายของคำใหถ้ กู ต้อง
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๒๕ ให้ความหมายว่า การตีความหมาย ชี้หรือกำหนด
ความหมาย ใหค้ วามหมายหรอื อธิบาย ใชห้ รอื ปรบั ให้เขา้ ใจเจตนา และความม่งุ หมายเพื่อความถกู ต้อง
การเปลี่ยนแปลงของภาษา
ภาษายอ่ มมกี ารเปลย่ี นแปลงไปตามกาลเวลา คำคำหนึง่ ในสมัยหนึ่งเขยี นอยา่ งหน่ึง อกี สมัยหนง่ึ เขียนอีก
อยา่ งหน่ึง คำวา่ ประเทศ แต่เดมิ เขียน ประเทษ คำว่า ปกั ษใ์ ต้ แต่เดิมเขยี น ปกั ใต้ ในปัจจบุ ันเขยี น ปักษ์
ใต้ คำว่า ลุ่มลึก แต่ก่อนเขียน ลมุ่ ฦก ภาษาจึงมีการเปล่ียนแปลง ท้ังความหมายและการเขียน บางคร้ัง
คำบางคำ เช่น คำว่า หล่อน เป็นคำสรรพนามแสดงถึงคำพดู สรรพนามบุรุษท่ี ๓ ที่เป็นคำสุภาพ แต่เดี๋ยวนี้
คำวา่ หล่อน มคี วามหมายในเชิงดแู คลน เปน็ ตน้
การสร้างสรรค์
การสร้างสรรค์ คือ การรู้จักเลือกความรู้ ประสบการณ์ท่ีมีอยู่เดิมมาเป็นพ้ืนฐานในการสร้างความรู้
ความคดิ ใหม่ หรือสิ่งแปลกใหม่ท่ีมีคุณภาพและมปี ระสิทธิภาพสงู กว่าเดมิ บุคคลที่จะมีความสามารถใน การ
สร้างสรรค์จะต้องเป็นบุคคลที่มีความคิดอิสระอยู่เสมอ มีความเชื่อม่ันในตนเอง มองโลกในแง่ดี คิด
ไตร่ตรอง ไม่ตัดสินใจส่ิงใดง่าย ๆ การสร้างสรรค์ของมนุษย์จะเก่ียวเน่ืองกันกับความคิด การพูด การ
เขยี น และการกระทำเชงิ สร้างสรรค์ ซึง่ จะต้องมกี ารคิดเชงิ สร้างสรรคเ์ ปน็ พืน้ ฐาน
ความคิดเชิงสรา้ งสรรค์เป็นความคดิ ท่พี ัฒนามาจากความรแู้ ละประสบการณ์เดมิ ซึ่งเปน็ ปจั จัยพื้นฐาน
ของการพดู การเขยี น และการกระทำเชิงสร้างสรรค์
การพูดและการเขียนเชิงสรา้ งสรรค์เป็นการแสดงออกทางภาษาท่ีใช้ภาษาขัดเกลาให้ไพเราะ งดงาม
เหมาะสม ถกู ตอ้ งตามเนื้อหาทพ่ี ดู และเขยี น
การกระทำเชิงสร้างสรรค์เป็นการกระทำที่ไม่ซ้ำแบบเดิมและคิดค้นใหม่แปลกไปจากเดิมและเป็น
ประโยชน์ท่สี ูงข้นึ
ขอ้ มลู สารสนเทศ
ข้อมูลสารสนเทศ หมายถึง เรื่องราว ข้อเท็จจริง ข้อมูล หรือส่ิงใดส่ิงหนึ่งที่สามารถส่ือความหมาย
ดว้ ยการพดู บอกเล่า บันทึกเป็นเอกสาร รายงาน หนงั สอื แผนที่ แผนภาพ ภาพถ่าย บนั ทึกดว้ ยเสียงและ
ภาพ บันทึกดว้ ยเครื่องคอมพิวเตอร์ เปน็ การเกบ็ เรอื่ งราวต่าง ๆ บันทกึ ไว้เปน็ หลกั ฐานดว้ ยวธิ ีต่าง ๆ
๑๒๔
ความหมายของคำ
คำทใี่ ชใ้ นการติดต่อส่อื สารมคี วามหมายแบ่งได้เปน็ ๓ ลกั ษณะ คอื
๑. ความหมายโดยตรง เป็นความหมายที่ใช้พูดจากันตรงตามความหมายคำหน่ึงๆ นั้น อ าจมี
ความหมายได้หลายความหมาย เช่น คำว่า กา อาจมีความหมายถึง ภาชนะใส่น้ำ หรืออาจหมายถึง นกชนิด
หนึ่ง ตวั สดี ำ ร้อง กา กา เปน็ ความหมายโดยตรง
๒. ความหมายแฝง คำอาจมีความหมายแฝงเพิ่มจากความหมายโดยตรง มักเป็นความหมาย
เกี่ยวกับความรู้สึก เช่น คำว่า ขี้เหนียว กับ ประหยัด หมายถึง ไม่ใช้จ่ายอย่างสุรุ่ยสุร่าย เป็นความหมาย
ตรง แต่ความรูส้ ึกต่างกนั ประหยดั เป็นส่ิงดี แต่ขเ้ี หนียวเป็นส่งิ ไมด่ ี
๓. ความหมายในบริบท คำบางคำมีความหมายตรง เมื่อร่วมกับคำอน่ื จะมีความหมายเพิ่มเตมิ กว้าง
ขึ้น หรือแคบลงได้ เชน่ คำว่า ดี เด็กดี หมายถึง วา่ นอนสอนง่าย เสียงดี หมายถึง ไพเราะ ดนิ สอดี หมายถึง
เขียนไดด้ ี สขุ ภาพดี หมายถงึ ไม่มีโรค ความหมายบรบิ ทเป็นความหมายเชน่ เดยี วกบั ความหมายแฝง
คุณค่าของงานประพนั ธ์
เม่ือผู้อ่านอ่านวรรณคดีหรือวรรณกรรมแล้วจะต้องประเมินงานประพันธ์ ให้เห็นคุณค่าของงาน
ประพนั ธ์ ทำใหผ้ อู้ ่านอา่ นอยา่ งสนุก และได้รับประโยชน์จาการอา่ นงานประพันธ์ คุณคา่ ของงานประพันธ์
แบง่ ไดเ้ ปน็ ๒ ประการ คอื
๑. คุณค่าด้านวรรณศิลป์ ถ้าอ่านบทร้อยกรองก็จะพิจารณากลวธิ ีการแต่ง การเลือกเฟ้นถ้อยคำมา
ใช้ได้ไพเราะ มีความคิดสร้างสรรค์ และให้ความสะเทือนอารมณ์ ถ้าเป็นบทร้อยแก้วประเภทสารคดี
รปู แบบการเขยี นจะเหมาะสมกับเน้ือเร่ือง วธิ ีการนำเสนอน่าสนใจ เนอื้ หามคี วามถกู ต้อง ใช้ภาษาสละสลวย
ชดั เจน การนำเสนอมีความคิดสร้างสรรค์ ถ้าเป็นร้อยแก้วประเภทบันเทงิ คดี องค์ประกอบของเรื่องไมว่ า่ เรอื่ ง
สัน้ นวนิยาย นิทานจะมีแก่นเรื่อง โครงเร่ือง ตัวละครมีความสัมพันธ์กัน กลวิธี การแต่งแปลก
ใหม่ น่าสนใจ ปมขัดแย้งในการแต่งสร้างความสะเทือนอารมณ์ การใช้ถ้อยคำสร้างภาพได้ชัดเจน
คำพูดในเร่อื งเหมาะสมกับบุคลกิ ของ ตัวละครมคี วามคดิ สร้างสรรค์เกย่ี วกบั ชวี ติ และสงั คม
๒. คุณค่าด้านสังคม เป็นคุณค่าทางด้านวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณี ศิลปะ ชีวิตความ
เป็นอยู่ของมนุษย์ และคุณค่าทางจริยธรรม คุณค่าด้านสังคม เป็นคุณค่าที่ผู้อ่านจะเข้าใจชีวิตทั้งในโลก
ทศั นแ์ ละชวี ทัศน์ เข้าใจการดำเนินชีวติ และเขา้ ใจเพอ่ื นมนษุ ยด์ ีขน้ึ เนอ้ื หาย่อมเกี่ยวขอ้ งกับการช่วยจรรโลงใจ
แกผ่ ู้อ่าน ช่วยพฒั นาสังคม ชว่ ยอนรุ กั ษ์ส่งิ มคี ุณค่าของชาตบิ ้านเมืองและสนับสนนุ ค่านยิ มอนั ดงี าม
โครงงาน
โครงงานเป็นการจัดการเรยี นรู้วธิ หี นึ่งทสี่ ่งเสรมิ ให้ผู้เรยี นเรียนด้วยการคน้ คว้า ลงมอื ปฏิบตั ิจริง ใน
ลักษณะของการสำรวจ ค้นคว้า ทดลอง ประดษิ ฐ์คิดค้น ผเู้ รยี นจะรวบรวมขอ้ มูล นำมาวิเคราะห์ ทดสอบ
เพื่อแก้ปัญหาข้องใจ ผู้เรียนจะนำความรู้จากช้ันเรียนมาบูรณาการในการแก้ปัญหา ค้นหาคำตอบ เป็น
กระบวนการคน้ พบนำไปส่กู ารเรยี นรู้ ผู้เรียนจะเกิดทักษะการทำงานรว่ มกับผู้อน่ื ทักษะการจัดการ ผ้สู อน
จะเขา้ ใจผเู้ รียน เหน็ รปู แบบการเรียนรู้ การคิด วธิ กี ารทำงานของผู้เรยี นจากการสังเกตการทำงานของผูเ้ รยี น
การเรียนแบบโครงงานเป็นการเรียนแบบศึกษาค้นคว้าวิธีการหนึ่ง แต่เป็นการศึกษาค้นคว้าท่ีใช้
กระบวนการทางวิทยาศาสตร์มาใช้ในการแก้ปัญหา เป็นการพัฒนาผู้เรียนให้เป็นคนมีเหตุผล สรุปเรื่องราว
๑๒๕
อย่างมกี ฎเกณฑ์ ทำงานอย่างมีระบบ การเรียนแบบโครงงานไม่ใช่การศกึ ษาค้นคว้าจัดทำรายงานเพียงอย่าง
เดยี ว ตอ้ งมกี ารวิเคราะหข์ อ้ มลู และมกี ารสรุปผล
ทักษะการสอื่ สาร
ทักษะการสื่อสาร ได้แก่ ทักษะการพูด การฟัง การอ่าน และการเขียน ซึ่งเป็นเคร่ืองมือของ
การส่งสารและการรับสาร การส่งสาร ได้แก่ การส่งความรู้ ความเช่ือ ความคิด ความรู้สึกด้วยการพูด
และการเขียน ส่วนการรับสาร ได้แก่ การรับความรู้ ความเช่ือ ความคิด ด้วยการอ่านและการฟัง
การฝึกทักษะการสื่อสารจึงเป็นการฝึกทักษะการพูด การฟัง การอ่าน และการเขียนให้สามารถรับสาร
และส่งสารอยา่ งมีประสิทธภิ าพ
ธรรมชาติของภาษา
ธรรมชาติของภาษาเปน็ คุณสมบัติของภาษาทสี่ ำคัญ มีคุณสมบตั ิพอสรุปได้ คือ ประการท่ีหนึ่ง ทุก
ภาษาจะประกอบด้วยเสียงและความหมาย โดยมีระเบียบแบบแผนหรือกฎเกณฑ์ในการใช้ อย่างเป็นระบบ
ประการท่ีสอง ภาษามีพลังในการงอกงามมิรู้ส้ินสุด หมายถึง มนุษย์สามารถใช้ภาษา สื่อความหมายได้โดยไม่
สิ้นสุด ประการที่สาม ภาษาเป็นเรื่องของการใช้สัญลักษณ์ร่วมกันหรือสมมติร่วมกัน และมีการรับ รู้
สญั ลักษณ์หรือสมมติรว่ มกัน เพ่อื สร้างความเข้าใจตรงกัน ประการทสี่ ี่ ภาษาสามารถใชภ้ าษาพดู ใน การ
ตดิ ต่อสื่อสาร ไม่จำกัดเพศของผู้สง่ สาร ไม่ว่าหญิง ชาย เด็ก ผู้ใหญ่ สามารถผลัดกันในการส่งสารและรับ
สารได้ ประการท่ีห้า ภาษาพูดยอ่ มใชไ้ ด้ท้ังในปจั จุบัน อดีตและอนาคต ไม่จำกดั เวลาและสถานท่ี ประการที่
หก ภาษาเป็นเคร่ืองมือการถ่ายทอดวัฒนธรรมและวิชาความรู้นานาประการ ทำให้เกิดการเปล่ียนแปลง
พฤติกรรมและการสร้างสรรคส์ ิ่งใหม่
แนวคิดในวรรณกรรม
แนวคิดในวรรณกรรมหรอื แนวเรอื่ งในวรรณกรรมเปน็ ความคิดสำคญั ในการผกู เรื่องให้ ดำเนินเรือ่ งไป
ตามแนวคิด หรือเป็นความคิดที่สอดแทรกในเร่ืองใหญ่ แนวคิดย่อมเก่ียวข้องกับมนุษย์และสังคม เป็นสารท่ี
ผู้เขียนส่งให้ผู้อ่าน เช่น ความดีย่อมชนะความชั่ว ทำดีได้ดีทำช่ัวได้ชั่ว ความยุติธรรมทำให้โลกสันติสุข
คนเราพ้นความตายไปไม่ได้ เป็นต้น ฉะน้ันแนวคิดเป็นสารท่ีผู้เขียนต้องการส่งให้ผู้อ่ืนทราบ เช่น ความดี
ความยตุ ิธรรม ความรกั เปน็ ต้น
บรบิ ท
บริบทเปน็ คำทแี่ วดลอ้ มข้อความที่อ่าน ผู้อ่านจะใชค้ วามรู้สึกและประสบการณ์มากำหนดความหมาย
หรือความเข้าใจ โดยนำคำแวดล้อมมาช่วยประกอบความรู้และประสบการณ์ เพื่อทำความเข้าใจหรือ
ความหมายของคำ
พลังของภาษา
ภาษาเป็นเคร่ืองมือในการดำรงชีวิตของมนุษย์ มนุษย์จึงสามารถเรียนรู้ภาษาเพื่อการดำรงชีวิต
เป็นเครอื่ งมือของการสื่อสารและสามารถพัฒนาภาษาของตนได้ ภาษาช่วยให้คนรู้จักคิดและแสดงออกของ
ความคิดด้วยการพดู การเขียน และการกระทำซ่งึ เป็นผลจากการคิด ถา้ ไม่มภี าษา คนจะคิดไม่ได้ ถ้าคน
๑๒๖
มภี าษานอ้ ย มีคำศัพทน์ ้อย ความคิดของคนกจ็ ะแคบไม่กวา้ งไกล คนที่ใช้ภาษาไดด้ ีจะมีความคิดดีด้วย คน
จะใช้ความคิดและแสดงออกทางความคิดเป็นภาษา ซึ่งส่งผลไปสู่การกระทำ ผลของการกระทำส่งผลไปสู่
ความคิด ซ่ึงเป็นพลังของภาษา ภาษาจึงมีบทบาทสำคัญตอ่ มนุษย์ ช่วยให้มนุษย์พัฒนาความคิด ช่วย
ดำรงสังคมให้มนุษย์อยู่ร่วมกันในสังคมอย่างสงบสุข มีไมตรีต่อกัน ช่วยเหลือกันด้วยการใช้ภาษา
ตดิ ต่อสื่อสารกัน ช่วยให้คนปฏิบัตติ นตามกฎเกณฑข์ องสงั คม ภาษาช่วยใหม้ นุษย์เกิดการพัฒนา ใชภ้ าษาใน
การแลกเปล่ียนความคิดเห็น การอภิปรายโต้แยง้ เพื่อนำไปสู่ผลสรุป มนุษย์ใช้ภาษาในการเรียนรู้ จด
บันทกึ ความรู้ แสวงหาความรู้ และชว่ ยจรรโลงใจ ด้วยการอา่ นบทกลอน ร้องเพลง ภาษายังมีพลังในตัวของ
มนั เอง เพราะภาพย่อมประกอบด้วยเสยี งและความหมาย การใช้ภาษาใช้ถ้อยคำทำใหเ้ กิดความรู้สึกต่อผู้รับสาร
ให้เกิดความจงเกลียดจงชังหรือเกิด ความชื่นชอบ ความรักย่อมเกิดจากภาษาท้ังส้ิน ท่ีนำไปสู่ผลสรุปที่มี
ประสิทธิภาพ
ภาษาถิ่น
ภาษาถิน่ เปน็ ภาษาพืน้ เมอื งหรือภาษาท่ีใช้ในท้องถ่ิน ซ่ึงเปน็ ภาษาด้งั เดิมของชาวพื้นบ้านท่ีใชพ้ ดู จากัน
ในหมู่เหล่าของตน บางคร้ังจะใช้คำที่มีความหมายต่างกันไปเฉพาะถ่ิน บางครั้งคำท่ีใช้พูดจากันเป็นคำ
เดยี ว ความหมายต่างกันแล้วยังใช้สำเนียงท่ตี า่ งกัน จึงมีคำกล่าวท่ีวา่ “สำเนียง บอกภาษา” สำเนยี งจะ
บอกว่าเป็นภาษาอะไร และผู้พูดเป็นคนถ่ินใด อย่างไรก็ตามภาษาถ่ินในประเทศไทยไม่ว่าจะเป็นภาษา
ถ่ินเหนือ ถ่นิ อสี าน ถน่ิ ใต้ สามารถสือ่ สารเข้าใจกันได้เพียงแต่สำเนียงแตกต่างกันไปเท่าน้นั
ภาษาไทยมาตรฐาน
ภาษาไทยมาตรฐานหรอื บางทีเรยี กว่า ภาษาไทยกลางหรือภาษาราชการ เป็นภาษาที่ใช้ ส่อื สารกัน
ท่ัวประเทศและเป็นภาษาท่ีใช้ในการเรียนการสอน เพ่ือให้คนไทยสามารถใช้ภาษาราชการ ในการติดต่อสื่อสาร
สร้างความเป็นชาติไทย ภาษาไทยมาตรฐานก็คือภาษาที่ใช้กันในเมืองหลวง ที่ใช้ติดต่อกันทั้งประเทศ
มีคำและสำเนียงภาษาทเ่ี ป็นมาตรฐาน ต้องพูดให้ชัดถ้อยชดั คำได้ตามมาตรฐานของภาษาไทย ภาษากลางหรือ
ภาษาไทยมาตรฐานมีความสำคัญในการสร้างความเป็นปึกแผ่น วรรณคดีมีการถ่ายทอดกันมาเป็นวรรณคดี
ประจำชาติจะใช้ภาษาที่เป็นภาษาไทยมาตรฐานในการสร้างสรรค์งานประพันธ์ ทำให้วรรณคดเี ป็นเครอ่ื งมือ
ในการศึกษาภาษาไทยมาตรฐานได้
ภาษาพูดกับภาษาเขียน
ภาษาพูดเป็นภาษาที่ใช้พูดจากัน ไม่เป็นแบบแผนภาษา ไม่พิถีพิถันในการใช้แต่ใช้สื่อสารกันได้ดี
สร้างความรสู้ ึกทีเ่ ปน็ กันเอง ใช้ในหมู่เพอ่ื นฝูง ในครอบครวั และติดตอ่ สอื่ สารกนั อย่างไมเ่ ป็นทางการ การ
ใชภ้ าษาพูดจะใช้ภาษาที่เป็นกันเองและสุภาพ ขณะเดียวกันก็คำนึงว่าพูดกบั บุคคลที่มีฐานะตา่ งกัน การใช้
ถ้อยคำก็ตา่ งกนั ไปด้วย ไม่คำนงึ ถงึ หลักภาษาหรอื ระเบียบแบบแผนการใช้ภาษามากนัก
ส่วนภาษาเขียนเป็นภาษาท่ีใช้เคร่งครัดต่อการใช้ถ้อยคำ และคำนึงถึงหลักภาษา เพ่ือใช้ใน
การสื่อสารให้ถูกต้องและใช้ในการเขียนมากกว่าพูด ต้องใช้ถ้อยคำที่สุภาพ เขียนให้เป็นประโยค เลือกใช้
ถ้อยคำท่ีเหมาะสมกับสถานการณ์ในการส่ือสาร เป็นภาษาที่ใช้ในพิธีการต่างๆ เช่น การกล่าวรายงาน
กล่าวปราศรัย กล่าวสดุดี การประชุมอภิปราย การปาฐกถา จะระมัดระวังการใช้คำ ท่ีไม่จำเป็นหรือ
คำฟุม่ เฟอื ย หรือการเลน่ คำจนกลายเปน็ การพดู หรือเขียนเลน่ ๆ
๑๒๗
ภูมปิ ญั ญาท้องถ่นิ
ภูมิปัญญาท้องถ่ิน (Local Wisdom) บางครั้งเรียกว่า ภูมิปัญญาชาวบ้าน เป็นกระบวนทัศน์
(Paradigm) ของคนในท้องถิ่นท่ีมีความสัมพันธ์ระหว่างคนกับคน คนกับธรรมชาติ เพ่ือความอยู่รอด
แต่คนในท้องถ่ินจะสร้างความรู้จากประสบการณ์และจากการปฏิบัติ เป็นความรู้ ความคิด ท่ีนำมาใช้ใน
ทอ้ งถิ่นของตนเพ่ือการดำรงชีวิตทีเ่ หมาะสมและสอดคล้องกับธรรมชาติ ผู้รู้จึงกลายเป็นปราชญ์ชาวบ้านท่ีมี
ความรู้เกีย่ วกบั ภาษา ยารักษาโรคและการดำเนินชีวิตในหมบู่ ้านอย่างสงบสขุ
ภูมิปญั ญาทางภาษา
ภูมิปัญญาทางภาษาเป็นความรู้ทางภาษา วรรณกรรมท้องถิ่น บทเพลง สุภาษิต คำพังเพยใน
แต่ละท้องถิ่น ที่ได้ใช้ภาษาในการสร้างสรรค์ผลงานต่าง ๆ เพื่อใช้ประโยชน์ในกิจกรรมทางสังคมที่ต่างกัน
โดยนำภูมิปัญญาทางภาษาในการส่ังสอนอบรมพิธีการต่าง ๆ การบันเทิงหรือการละเล่น มีการแต่งเป็นคำ
ประพันธ์ในรูปแบบต่าง ๆ ทั้งนิทาน นิทานปรัมปรา ตำนาน บทเพลง บทรอ้ งเล่น บทเหก่ ล่อม บทสวด
ต่าง ๆ บททำขวัญ เพ่อื ประโยชนท์ างสงั คมและเป็นส่วนหนง่ึ ของวฒั นธรรมประจำถ่นิ
ระดบั ภาษา
ภาษาเป็นวัฒนธรรมที่คนในสังคมจะต้องใช้ภาษาให้ถูกต้องกับสถานการณ์และโอกาสท่ีใช้ภาษา
บุคคลและประชุมชน การใช้ภาษาจึงแบ่งออกเป็นระดับของการใช้ภาษาได้หลายรูปแบบตำราแต่ละเล่มจะ
แบง่ ระดับภาษาแตกตา่ งกันตามลกั ษณะของสัมพนั ธภาพของบคุ คลและสถานการณ์
การแบ่งระดบั ภาษาประมวลได้ดังน้ี
๑. การแบง่ ระดับภาษาที่เป็นทางการและไม่เปน็ ทางการ
๑.๑ ภาษาท่ีไม่เป็นทางการหรือภาษาที่เป็นแบบแผน เช่น การใช้ภาษาในการประชุม ในการกล่าว
สนุ ทรพจน์ เป็นต้น
๑.๒ ภาษาที่ไม่เป็นทางการหรือภาษาที่ไม่เป็นแบบแผน เช่น การใช้ภาษาในการสนทนา
การใชภ้ าษาในการเขยี นจดหมายถงึ ผ้คู ุ้นเคย การใชภ้ าษาในการเล่าเร่ืองหรือประสบการณ์ เป็นตน้
๒. การแบ่งระดับภาษาท่ีเป็นพิธีการกับระดับภาษาที่ไม่เป็นพิธีการ การแบ่งภาษาแบบน้ีเป็น
การแบง่ ภาษาตามความสมั พันธร์ ะหว่างบคุ คลเปน็ ระดบั ดงั น้ี
๒.๑ ภาษาระดบั พิธกี าร เป็นภาษาแบบแผน
๒.๒ ภาษาระดับกง่ึ พิธกี าร เป็นภาษาก่ึงแบบแผน
๒.๓ ภาษาระดับท่ีไม่เป็นพิธีการ เป็นภาษาไมเ่ ปน็ แบบแผน
๓. การแบ่งระดบั ภาษาตามสภาพแวดล้อม โดยแบ่งระดบั ภาษาในระดับยอ่ ยเปน็ ๕ ระดบั คอื
๓.๑ ภาษาระดบั พิธีการ เช่น การกล่าวปราศรัย การกลา่ วเปดิ งาน
๓.๒ ภาษาระดบั ทางการ เช่น การรายงาน การอภปิ ราย
๓.๓ ภาษาระดับกงึ่ ทางการ เช่น การประชุมอภปิ ราย การปาฐกถา
๓.๔ ภาษาระดับการสนทนา เชน่ การสนทนากับบุคคลอยา่ งเป็นทางการ
๓.๕ ภาษาระดบั กันเอง เชน่ การสนทนาพูดคยุ ในหมูเ่ พ่ือนฝูงในครอบครวั
๑๒๘
วจิ ารณญาณ
วิจารณญาณ หมายถึง การใช้ความรู้ ความคิด ทำความเข้าใจเร่ืองใดเรื่องหน่ึงอย่างมีเหตุผล
การมีวิจารณญาณต้องอาศัยประสบการณ์ในการพิจารณาตัดสินสารด้วยความรอบคอบ และอย่างชาญฉลาดเป็น
เหตุเป็นผล
กระบวนการจดั การเรยี นรู้
การจัดการเรียนรู้ให้บรรลุตามมาตรฐานการเรยี นรภู้ าษาไทย ผู้สอนจะต้องศึกษาวิเคราะห์ จดุ หมาย
หลักสูตร และมาตรฐานการเรียนรู้ภาษาไทย รวมท้ังเอกสารหลักสูตรท่ีเก่ียวข้อง เพ่ือวางแผน การจัด
กจิ กรรมการเรยี นรู้ และเสรมิ สร้างประสบการณก์ ารเรียนรูท้ ม่ี คี วามหมายแกผ่ ้เู รยี น โดยดำเนินการดงั น้ี
๑. เลือกรูปแบบการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ผู้สอนต้องเลือกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ที่หลากหลายและ
เหมาะสมกบั ผู้เรียน เช่น กิจกรรมการเรียนร้แู บบทดลอง แบบโครงงาน แบบศูนย์ การเรียนแบบ
สบื สวนสอบสวน แบบอภิปราย แบบสำรวจ แบบร่วมมือ เปน็ ตน้
๒. คดิ คน้ เทคนิคกลวธิ ีการจัดกิจกรรมการเรยี นรู้ ผ้สู อนสามารถคิดค้นรปู แบบการจดั กจิ กรรม
การเรียนร้รู ูปแบบอื่น ๆ และนำมาใช้ให้เหมาะสมกับปัจจัยต่าง ๆ เช่น ความรู้ความสามารถด้านเนื้อหา
ความสนใจและวัยของผู้เรียน ความสอดคล้องกบั มาตรฐานการเรียนรู้แต่ละช่วงชั้น เวลา สถานท่ี วัสดุ
อปุ กรณ์ และสภาพแวดล้อมของโรงเรยี นและชุมชน
๓. จัดกระบวนการเรียนรู้ การจัดกระบวนการเรียนรู้มีหลายรูปแบบ ผ้สู อนสามารถเลือกนำมาใช้หรือปรับ
ใช้โดยคำนึงถึงสภาพและลักษณะของผู้เรียน เน้นให้ผู้เรียนฝึกปฏิบัติตามระบวน การเรียนรู้อย่างมี
ความสขุ ดังนี้
๓.๑ การจดั การเรยี นรูแ้ บบโครงงาน เป็นการจดั ประสบการณ์ตรงให้ผูเ้ รยี นได้
ปฏิบัติ เหมือนกับการทำงานในชีวิตจริง ให้รู้วิธีการแก้ปัญหาด้วยตนเองอย่างเป็นระบบ รู้จักวธิ ีการ
วางแผน คิดวิเคราะห์ ประเมินผลการปฏิบัติงานได้ด้วยตนเองและฝึกการเป็นผู้นำและผู้ตาม ลักษณะของ
โครงงาน เปน็ เรื่องของการศึกษา คน้ ควา้ ทดลอง ตรวจสอบ สมมติฐาน โดยอาศัยการศกึ ษา วิเคราะหใ์ ช้
ทกั ษะระบวนการ
๓.๒ การจดั การเรยี นรูโ้ ดยใชก้ ระบวนการกลมุ่ สัมพันธ์ เปน็ วิธกี ารหรือการพัฒนาพฤติกรรม
ท่ีจะช่วยให้การดำเนินงานเป็นกลุ่มเปน็ ไปอยา่ งมีประสิทธภิ าพ คือ ได้ผลงานความรู้สกึ และความสัมพันธ์ท่ีดี
ระหว่างผู้ร่วมงาน ลักษณะของการสอนแบบน้ีเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ เปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีโอกาสเข้าร่วม
กจิ กรรมการเรยี นอยา่ งทว่ั ถึง ยึดกลุ่มรว่ มกันเรียนเปน็ สำคัญ เปิดโอกาสให้ผ้เู รียนไดป้ รึกษาหารือแลกเปลยี่ น
ความคิดเห็นซึ่งกันและกัน ชว่ ยให้เกิดการเรียนรพู้ ฤติกรรมของตนเองและผู้อ่ืน ผเู้ รยี นค้นหาคำตอบได้ด้วย
ตนเองจนสามารถนำความร้คู วามเข้าใจจากการปฏบิ ัติงานไปใช้ในชีวิตประจำวันและอยู่ในสังคมได้อย่างสันติ
สขุ
๓.๓ การจดั กิจกรรมการเรียนรเู้ พอ่ื พัฒนาความคิด มีวธิ ีการหลากหลาย วธิ ีการหนึง่ คือการใช้
คำถาม การตงั้ คำถามโดยใช้หมวกความคิด ๖ ใบ เป็นการใช้คำถามอย่างสร้างสรรค์กจิ กรรมที่พฒั นาทักษะ
ความคิดในการเรียนรภู้ าษาไทย ผูส้ อนจะตอ้ งใช้คำพดู และวธิ กี าร
๑๒๙
ต่าง ๆกระตุ้นให้นักเรียนคิด ลงมือปฏิบัติ ประเมิน ปรับปรุง แก้ไข พัฒนางานของตนมีการแลกเปล่ียน
เรียนรู้ร่วมกัน เช่น กิจกรรม การอภิปราย การวิเคราะห์ การวิจารณ์ การค้นคว้า การทำโครงงาน ฯลฯ
นอกจากน้ีผู้สอนยังต้องสอดแทรกคุณธรรมในกระบวนการคิดควบคู่ไปด้วย เช่น ความรับผิดชอบ ความ
อดทน ความเพียรพยายาม นอกจากนี้ควรจัดกิจกรรมให้ผู้เรียนใช้ความคิดอย่างมีวิจารณญาณในการ
แกป้ ญั หา การตัดสินใจการวางแผนดำเนนิ ชวี ิตในอนาคต เพอ่ื ใหอ้ ยใู่ นสังคมที่เปลี่ยนแปลงได้อย่างมคี วามสขุ
๓.๔ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะการใช้ภาษาเพื่อการส่ือสาร ครู ผู้บริหาร
ผูป้ กครองตลอดจนชมุ ชนมีบทบาทสำคัญในการพฒั นาทกั ษะภาษาไทย เพ่ือ การสอ่ื สาร โดยการจัดกจิ กรรม
รว่ มกันเพ่ือให้ผูเ้ รียนมีสมรรถภาพในการใช้ภาษาท้ัง การฟัง การพูด การอ่าน และการเขยี น ด้วยการจัด
กิจกรรมในห้องเรียน ในโรงเรียน และในชุมชน เช่น การเล่าเร่ือง การอภิปราย การวิจารณ์ การโต้วาที
การคัดลายมือ การเขียนเรียงความ การทำโครงงาน การประกวด การอ่าน การศึกษาค้นคว้า
การแข่งขันตอบคำถาม การอ่านทำนองเสนาะ การพัฒนาการเรียนรู้หลักการใช้ภาษา จะทำให้ผู้เรียน
เข้าใจธรรมชาติของภาษาและวฒั นธรรมการใชภ้ าษาไทย เกิดความตระหนกั วา่ ภาษามีความสำคัญและมพี ลงั
๓.๕ กิจกรรมการพัฒนาการเรียนรู้หลักภาษา จำเป็นต้องจัดควบคู่และสัมพันธ์กับกิจกรรมพัฒนา
ทักษะการใช้ภาษาเพื่อการส่ือสารทุกกิจกรรมการพัฒนาการเรียนรู้วรรณคดีและวรรณกรรมเป็นการเรียนรู้
เรื่องราวท่ีสะท้อนให้เหน็ ถึงวิถีชวี ิตของคนไทยในยุคสมยั ตา่ ง ๆ และเป็นการปลูกฝังให้ผู้เรียนเกิดความซาบซึ้ง
ในสุนทรียภาพของภาษาไทยเพอ่ื ประโยชน์ในการดำรงชีวติ โดยปรบั เปล่ียนใหเ้ หมาะสมกบั สงั คมปจั จบุ นั การ
จัดกจิ กรรมจงึ ควรเน้นให้ผ้เู รียนใช้ทกั ษะภาษาเพือ่ เรียนรู้เร้ือหาสาระด้วยการอ่านพิจารณา วิเคราะห์ วิจารณ์
ประเมินค่าวรรณคดีและวรรณกรรมอย่างมีเหตุผล มีการนำเสนอ ความเข้าใจ ความซาบซ้ึง ข้อคิดและ
ประโยชน์ในรูปแบบต่าง ๆ เช่น การรายงาน การจัดแสดง การสร้างสรรค์วรรณกรรมทั้งร้อยแก้วและร้อย
กรอง ฯลฯ ทั้งน้ีจะเกดิ ผลทำให้ผู้เรียนมีนิสัยรกั การอ่านและการศึกษาค้นคว้าด้วยตนเองเป็นแนวทางในการ
ผลติ ผลงานเพือ่ พฒั นาตนเองและสังคม
๓.๖ การพัฒนาการเรียนรู้ภูมิปัญญาทางภาษา ช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจวิถีชีวิตและศิลปะ การใช้ภาษา
ของคนในท้องถ่ิน การจัดกิจกรรมจำเป็นต้องใหผ้ ู้เรียนใช้ทักษะภาษาเพื่อการเรียนรู้ เช่น การสัมภาษณ์ การ
รายงาน การทำโครงงาน การจัดการแสดง เป็นต้น โรงเรยี นและชมุ ชนจะต้องร่วมกนั จัดกิจกรรมให้ผู้เรียนใช้
แหลง่ เรียนรู้ในทอ้ งถน่ิ เพ่ืออนุรักษแ์ ละพฒั นาภูมิปญั ญาทางภาษา
วธิ ีการที่กล่าวมาข้างต้นนี้ ผูส้ อนสามารถนำมาใช้ไดอ้ ย่างกว้างขวาง โดยใช้เทคนคิ วธิ ี การ
ท่ีหลากหลายที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ คือ ให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนและเรียนอย่างมีความสุข ท้ังน้ี
ขึ้นอยู่กับสภาพความพร้อมของผู้เรียนและธรรมชาติของสาระการเรียนรู้ท่ีเรียน เพ่ือให้บรรลุตามมาตรฐาน
การเรียนรู้ท่กี ำหนดไว้
๑๓๐