The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

สังข์ทอง_ตอน...กำเนิดพระสังข์

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by ฟาราโนเรี๊ยะ ยะระ, 2022-09-29 11:45:49

สังข์ทอง_ตอน...กำเนิดพระสังข์

สังข์ทอง_ตอน...กำเนิดพระสังข์

ตอน...กำเนิดพระสั งข์

ผู้ประพันธ์

พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย (รัชกาลที่ ๒)
อยู่ในยุคสมัยรัตนโกสินทร์ พระองค์ทรงเชี่ยวชาญในทาง
อักษรศาสตร์ จึงทรงสนับสนุนการกวีเป็นพิเศษ พระองค์
ทรงเป็นกวีที่มีพระราชนิพนธ์หลายเรื่อง เช่น บทละครใน
อิเหนา และรามเกียรติ์ บทละครนอก เรื่องไชยเชษฐ์
ไกรทอง สังข์ทอง และมณีพิชัย

ผู้ประพันธ์ (ต่อ)

สังข์ทอง เดิมทีนั้นเป็นบทเล่นละครในมีมาแต่กรุงสุโขทัย
ยังเป็นราชธานีถึงกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๒
ทรงเอาเค้าโครงเรื่อง จากนิทาน ปัญญาสชาดก
มาปรับปรุงให้เป็นบทละครนอก เรื่องสังข์ทอง

ลักษณะคำประพันธ์

กลอนบทละคร

คือ คำก
ลอนที่แต่งขึ้นเพื่อแสดงละครรำ เช่น พระราชนิพนธ์บทละครเรื่อง

รามเกียรติ์, พระราชนิพนธ์ บทละครเรื่องอิเหนา เป็นต้น
กลอนบทละคร มีลักษณะบังคับเช่นเดียวกับกลอนสุภาพ วรรคหนึ่งมี ๖ ถึง ๙ คำ

แต่นิยมใช้เพียง ๖ ถึง ๗ คำจึงจะเข้าจังหวะร้องและรำทำให้ไพเราะยิ่งขึ้น

ลักษณะคำประพันธ์

กลอนบทละคร



กลอนบทละครในแต่ละวรรคจะมีจำนวนคำ ๖-๙ คำ
ถ้าคำในวรรคมี ๖ คำ ควรใช้จังห
วะ ๐๐/๐๐/๐๐
ถ้าคำในวรรคมี ๗ คำ ควรใช้จังหวะ ๐๐/๐๐/๐๐๐ หรือ ๐๐๐/๐๐/๐๐
ถ้าคำในวรรคมี ๘ คำ ควรใช้จังหวะ ๐๐๐/๐๐/๐๐๐
ถ้าคำในวรรคมี ๙ คำ ควรใช้จังหวะ ๐๐๐/๐๐๐/๐๐๐

ลักษณะคำประพันธ์

ฉันทลักษณ์ : บทหนึ่งมี ๔ วรรค วรรคละ ๖ คำ หนึ่งบทมี ๒ บาท
เรียกว่าบาทเอก และบาทโท ๑ บาท เท่ากับ ๑ คำกลอน

ข้อสั งเกต กลอนบทละคร

เมื่อนั้น สำหรับใช้ขึ้นต้นตอนกล่าวถึงตัวละครสำคัญของเรื่องหรือของตอน
หรือตัวละครที่อยู่ในชั้นกษัตริย์เป็นพระเอกนางเอก

บัดนั้น สำหรับใช้ขึ้นต้นตอนที่กล่าวถึงตัวละครที่ไม่สำคัญที่อยู่ใน
ชั้นข้าราชบริพาร เช่น ตัวเสนา ตัวตลก ยักษ์ หรือทหาร เป็นต้น

มาจะกล่าวบทไป ใช้สำหรับเมื่อจะเปลี่ยนเรื่องมาเล่าเรื่องใหม่

๑ แก่นเรื่อง

เเก่นเรื่องหลักของสังข์ทอง ตอน กําเนิดพระสังข์
คือ การเเสดงความรักของผู้เป็นเเม่ที่มีให้ต่อลูก
ไม่ว่าลูกจะเป็นอย่างไร หรือถูกคนอื่นรังเกียจ
เเต่ผู้เป็นเเม่ก็ยังรักลูกเสมอ ดังจะเห็นได้จากชีวิต
ของพระมเหสีจันเทวี ได้คลอดลูกออกมา
เป็นหอยสังข์ ถูกใส่ร้ายว่าเป็นกาลีของบ้านเมือง
เเต่พระมเหสีจันทร์เทวีก็ไม่เคยทอดทิ้ง
เเละรักลูกของตนเอง

๒ โครงเรื่อง

การนำเรื่อง : ณ เมืองยศวิมล มีพระเจ้าพรหมทัต (ท้าวยศวิมล) เป็นผู้ครองเมือง
ท้าวยศวิมลมีพระมเหสีชื่อ พระนางจันท์เทวี มีสนมเอกชื่อ พระนางจันทาเทวี ท้าวยศวิมล
ทรงโปรดนางจันท์เทวีมากกว่า นางจันทารู้สึกอิจฉาเป็นอย่างมากจึงหาทางกลั่นแกล้งนาง
จันท์เทวี ต่อมานางจันท์เทวี แม่ของพระสังข์ ถูกสั่งฆ่า เนื่องจากเกิดการให้กำเนิดลูกออก
มาเป็นหอยสังข์ พระมเหสีฝ่ายซ้าย (จันทา) ใส่ความว่าเป็นกาลกิณี เลยถูกเนรเทศ

ปมเรื่อง : พระโอรสที่ประสูติออกมาเป็นหอยสังข์นั้นสร้างความตกใจให้กับ
ท้าวยศวิมลแล้วทุกคนในพระราชวัง ซึ่งพระสังข์นั้นไม่เป็นที่ต้องการ
ของใครๆ เป็นที่น่ารังเกียจสำหรับคนในพระราชวัง จึงทำให้ผู้เป็นพ่อ
นั้นอับอายต่อทุกคน เพราะพระโอรสที่ประสูติออกมานั้นไม่ใช่มนุษย์
พระสังข์ถูกกล่าวหาว่าเป็นกาลกิณีต่อบ้านเมืองจะทำให้บ้านเมืองนั้นวิบัติล่มจม

๒ โครงเรื่อง

วิกฤตเรื่อง : พระนางจันท์เทวีต้องตกระกำลำบากจากที่ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองอย่างสุขสบายก็ทรงถูก
ขับไล่ออกจากเมืองและต้องเอาชีวิตรอดจากทหารที่ได้รับสินบนที่หมายจะฆ่านาง
นางดั้นด้นตามป่าเขาลำเงาไพรด้วยความน้อยอกน้อยใจสวามีผู้เป็นที่รัก พอมาถึงชายป่า
นางก็หันไปเห็นกระท่อม ตายายจึงเข้าไปหานางเล่าความให้ฟัง ตาและยายเกิดความสงสาร
จึงให้นางอาศัยอยู่ด้วย

จบเรื่อง : เวลาผ่านไป ๕ ปี เทวดาได้บันดาลให้มีไก่ป่ามาจิกกินเข้าของของพระมารดาจันท์เทวี
พระสังข์ที่อยู่ในหอยสังข์จึงออกมาไล่ไก่ป่า ช่วยปัดกวาดและหุงหาอาหารไว้ให้
พระมารดา พอนางจันท์เทวีกลับมาเห็นพระสังข์ก็รีบกลับเข้าไปในหอยสังข์
ด้วยความตกใจ นางจันท์เทวีจึงแกล้งออกไปในป่าเหมือนทุกวันแล้วมาแอบดู
ก็เห็นพระสังข์ออกมาจากหอยสังข์ เมื่อเห็นดังนั้นนางได้ใช้ไม้ทุบหอยสังข์จนแตก
พระสังข์เห็นดังนั้น จึงตกใจร้องไห้ พระมารดาจันท์เทวีจึงปลอบใจ
สวมกอดลูกน้อยหอยสังข์ด้วยความรัก

๓ เนื้อเรื่องย่อ

ณ เมืองยศวิมล มีพระเจ้าพรหมทัต
(ท้าวยศวิมล) พระเจ้าพรหมทัตมีมเหสีสององค์
คือ มเหสีฝ่ายขวาชื่อพระนางจันทราเทวี
(นางจันเทวี) และมีมเหสีฝ่ายซ้ายชื่อพระนาง
สุวรรณจัมปากะ (นางจันทา) ต่อมามเหสีทั้งสอง
ได้ตั้งครรภ์พร้อมกัน เมื่อครบกำหนดคลอด
พระมเหสีทั้งสองก็ได้คลอดลูกออกมา
มเหสีจันทาก็ได้คลอดลูกเป็นพระธิดา ส่วนพระ
มเหสีจันท์เทวีได้คลอดลูกออกมาเป็นหอยสังข์
จึงถูกพระนางจันทา (มเหสีรอง) ใส่ร้ายว่า เป็น
กาลกิณีบ้านเมือง

๓ เนื้อเรื่องย่อ

จนถูกขับออกจากเมืองไปอยู่กระท่อมตายาย
ที่ชายป่า จนกระทั่งพระสังข์ที่ซ่อนอยู่ในหอยได้
เห็นถึงความลำบากของแม่ ก็ได้แอบออกมาจาก
หอยสังข์เพื่อทำงานบ้านและทำกับข้าวไว้ให้แม่นาง
จันเทวีกลับมาสงสัยจึงแอบดู ก็พบว่าพระสังข์ออก
มาจากหอยสังข์และมาไล่ไก่ที่เทวดาได้แปลงกาย
มาจิกข้าว นางจันเทวีรู้ว่าเป็นลูก จึงทุบหอยสังข์จน
แตก เพื่อที่จะไม่ให้พระสังข์กลับเข้าไปในหอยสังข์
อีก พระสังข์เห็นดังนั้น จึงเสียใจมากที่แม่ได้
ทำลายหอยสังข์ของตน หลังจากนั้นพระสังข์ก็อยู่
กับแม่และตายาย

๔ ตัวละคร

๑. ท้าวยศวิมล

เจ้าเมืองยศวิมล มีพระมเหสีสององค์ ชื่อนางจันท์เทวีและนางจันทาเทวี
ลักษณะนิสัย : กษัตริย์ราชาแห่งยศวิมลนคร เป็นกษัตริย์ที่มีความตั้งใจดี

ต่อบ้านเมือง เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม เป็นผู้ที่ยอมรับ

๔ ตัวละคร


๒. พระมเหสีจันท์เทวี


มเหสีของท้าวยศวิมล เป็นมารดาของสังข์ทอง
ลักษณะนิสัย : มีจิตใจงดงามผู้เป็นที่รักใคร่ของประชาชน

๔ ตัวละคร

นางจันทา : มเหสีของท้าวยศวิมล มีนิสัยริษยา
ลักษณะนิสัย : เป็นคนใจบาปหยาบช้า เหี้ยมโหด

ขี้อิจฉาริษยา ทำเรื่องร้ายๆได้ทุกอย่าง
เพื่อให้อีกฝ่ายหนึ่งย่อยยับไป

๔ ตัวละคร

๔. พระสังข์ : โอรสของท้าวยศวิมลกับนางจันท์เทวี
คลอดออกมาอยู่ในหอยสังข์

ลักษณะนิสัย : มีความกตัญญู ความสามารถ ความรอบคอบ
เฉลียวฉลาด เป็นผู้ที่มีบุญญาธิการ

๔ ตัวละคร

๕. ตา กับ ยาย : ชาวป่าที่นางจันท์เทวีพาหอยสังข์มาอาศัยอยู่ด้วย
ลักษณะนิสัย : เป็นคนที่จิตใจดี มีความเมตตา ให้ที่พักอาศัยกับนางจันท์เทวี

๕ ฉาก "วัง"

เมืองยศวิมล เป็นเมืองที่สงบ น่าอยู่ และมีความอุดมสมบูรณ์เป็นอย่างมาก
ภายในราชวังจะมีความสง่างามเป็นเอกลักษณ์

๕ ฉาก " ในป่า "

หลังจากนางจันท์เทวีถูกขับออกจากพระราชวัง
นางจันท์เทวีจึงพกลูกหอยสังข์ เดินเร่ร่อนเข้าไปในป่า

๕ ฉาก " กระท่อมสองตายาย "

นางจันท์เทวีเดินทางออกจากชายป่า มาพบกระท่อมสองตายาย
นางเล่าเรื่องทั้งหมดให้ตายายฟัง ทั้งสองเมตตาสงสารจึงให้พักอาศัยอยู่ด้วย

๖ บทสนทนา

บทสนทนาในเรื่องสามารถทำให้ผู้อ่านเข้าใจถึงอารมณ์ของตัวละคร
และจินตนาการตามภาพได้ ลดความเบื่อหน่ายของผู้อ่าน อีกทั้งยัง
ทำให้เรื่องน่าสนใจ และน่าติดตามยิ่งขึ้น

ตัวละครจันทาสามารถทำให้ผู้อ่านเห็นถึงอุปนิสัยของจันทาที่มีความ
อิจฉาริษยาต่อจันท์เทวี จากบทสนทนาในเรื่องและการใช้คำต่างๆที่
หล่อหลอมให้ทำตามนาง แล้วให้ค่าตอบแทนมากมายแก่ทหารที่ขาด
ความซื่อสัตย์

๖ ตัวอย่างบทสนทนา เงินทองข้าวปลาไม่หาให้
เอาเงินไปให้แก่เสนา

พาเอานางไปอย่าไว้หน้า
เสนาฆ่าเสียให้วอดวาย
มิได้จัดแจงแต่งของ ปิดความกำบังให้สูญหาย
กระซิบสั่งสาวศรีที่ร่วมใจ เจ้าอย่าแพร่งพรายให้ใครฟัง
ว่าเอ็นดูด้วยช่วยเรา
ไกลคนพ้นแดนพารา
สุดแต่อย่าให้มันครองวัง
จะทดแทนคุณให้มากมาย

๗ คุณค่าที่ได้รับ

ด้านเนื้อหา
สะท้อนให้เห็นถึงวิถีชีวิต ความเป็นอยู่ และอาหารการกินของคนในป่า

ด้านสังคม
๑. ค่านิยมเรื่องความรัก

ความรักของนางจันเทวีกับพระสังข์ แม้พระสังข์จะกำเนิดออกมาเป็นหอยสังข์
แต่นางจันเทวี ยังเฝ้าดูเเล ทนุถนอม ช่วยเหลือ ปกป้องเป็นอย่างดี
๒. ค่านิยมเรื่องความกตัญญู
พระสังข์จะดูแลเรื่องข้าวปลาอาหาร ทำความสะอาดบ้านเรือน แบ่งเบาภาระพ่อแม่
๓. ความเชื่อเรื่องโหราศาสตร์
เชื่อเกี่ยวกับความฝัน คำทำนาย โชคลาง โดยเฉพาะในสังคมชาววัง
ความเชื่อเรื่องเทพยดา ว่าเป็นตัวแทนของความดี และสามารถช่วยคนดีให้พ้นภัยได้

๗ คุณค่าที่ได้รับ

ด้านสังคม (ต่อ)
๔. วิถีชีวิต
แบบชาววัง

กษัตริย์มีภรรยาได้หลายคน แต่เป็นมเหสีได้องค์เดียว เช่น นางจันทร์เทวีเป็นพระมเหสี แต่นางจันทา
เป็นเเค่นางสนม ทำให้นางเกิดริษยาอยากเป็นพระมเหสี
การแต่งกายของสาวชาววัง (พระธิดา) ในงานพิธีมงคล เริ่มจากอาบน้ำขัดผิวด้วยขมิ้นใส่ส้มขาม
ทาแป้งสารภี ใส่น้ำมันเกล้ามวยผม นุ่งผ้ายก ห่มสไบ มีผ้าคาดเอว ประดับคอด้วยเพชรพลอย

แบบชาวบ้าน
ชาวบ้านปลูกกระท่อมอาศัยในป่า ดำรงชีพด้วยการทำไร่ ทำนา ปลูกพืชผัก เลี้ยงสัตว์ และค้าขาย เช่น
ตากับยาย ที่นางจันทร์เทวีไปขออาศัยอยู่ด้วย เมื่อถูกขับไล่ออกจากวัง
เด็กชาวบ้านเล่นปั้ นวัวปั้ นควาย เป็นของเล่น การละเล่นของเด็กชาวบ้าน เช่น จ้องเต

๗ คุณค่าที่ได้รับ

ด้านวรรณศิลป์
การสรรคำ

อย่างเช่น การเลือกคำให้เหมาะแก่เนื้อเรื่องและฐานะของบุคคลในเรื่อง สังเกตจากคำขึ้นต้น บัดนั้น
เมื่อนั้น ในเรื่องที่ผู้แต่งสามารถใช้กับระดับบุคคลได้ถูกต้อง การใช้คำให้เหมาะสมกับเนื้อเรื่อง ใช้คำจำนวน
น้อย กินใจความมาก ไม่ใช้คำฟุ่มเฟือย ทำให้ดำเนินเรื่องไปอย่างรวดเร็ว

การใช้โวหาร
ในเรื่องสังข์ทองนั้นปรากฎการใช้โวหารมากมาย โวหารที่ทำให้ผู้อ่านเกิดภาพพจน์ที่ชัดเจน อุปมา

อุปลักษณ์ บุคลาธิษฐาน อติพจน์ อย่างเช่น เปรียบพระสังข์ผิวงามดั่งทาทอง กล่าวไปถึงพระสังข์และ
พระอินทร์ขี่ม้าเหาะขึ้นไปตีคลีบนฟ้า การพรรณนาและการบรรยายที่แจ่มแจ้งชัดเจน

การวิเคราะห์รสวรรณคดีไทย

วิเคราะห์รสวรรณคดีไทย

๑. เสาวรจนี คือ รสในวรรณคดี คือ อารมณ์ชื่นชมในความงามของตัวละคร

อาจเป็นธรรมชาติ บ้านเมือง กองทัพ ศิลปกรรมต่างๆ

ตัวอย่างบทประพันธ์

เมื่อนั้น เจ้าเงาะแสนกลคนขยัน
พิศโฉมพระธิดาวิลาวัลย์ ผุดผาดผิวพรรณดังดวงเดือน
งามละม่อมพร้อมสิ้นทั้งอินทรีย์ นางในธรณีไม่มีเหมือน
แสร้งทาแลเลี่ยงเบี่ยงเบือน ให้ฟั่ นเฟือนเตือนจิตคิดปอง

( ตอนที่ ๖ พระสังข์ได้นางรจนา )

ถอดคำพูด : หลังจากที่เจ้าเงาะและนางรจนาถูกท้าวสามนต์ขับไล่ไปอยู่นอกวัง เจ้าเงาะได้เพ่งพิศดูนางรจนา

ซึ่งงดงามทั้งผิวพรรณและด้วยความงามของนางรจนา ทาให้เจ้าเงาะเกิดความหลงรักนางรจนา

วิเคราะห์รสวรรณคดีไทย

๒. นารีปราโมทย์ เป็นอารมณ์ที่แสดงถึงความรัก ความพึงพอใจ ตัวอย่าง เช่น

ตัวอย่างบทประพันธ์

ถึงรับขวัญอุ้มพระลูกรัก จูบพักตร์เศียรเกล้าเกศา
กอดชมดั่งดวงนัยนา นางแสนเสน่หาดังดวงใจ
แลเห็นนิ้วหัตถาพันผ้า เอ็ววันของแม่เป็นไฉน
ผ้าผูกนิ้วถูกอะไร เป็นไรหรือพ่อจงบอกมา

(ตอนที่ ๓ นางพันธุรัตเลี้ยงพระสังข์ )

ถอดคำพูด : หลังจากที่นางพันธุรัตออกอุบายลาพระสังข์ไปป่าเจ็ดวัน เพื่อหาสัตว์ป่ากิน แล้วจึงรีบกลับมาหาพระสังข์ภายใน

วันเดียว ด้วยความรักความเสน่หาดังดวงใจ จึงอุ้มพระสังข์นั่งตัก แต่หารู้ไม่ว่า พระสังข์แอบไปบ่อเงินบ่อทอง
ใช้นิ้วชี้จิ้มบ่อ ลบไม่ได้ จึงใช้ผ้าพันไว้ นางจึงถามว่านิ้วเป็นอะไร พระสังข์หลอกว่าถูกมีดบาด

วิเคราะห์รสวรรณคดีไทย

๓. พิโรธวาทัง เป็นบทที่แสดงให้เห็นถึงความโกรธแค้นตัวอย่าง เช่น

ตัวอย่างบทประพันธ์

เมื่อนั้น ท้าวสามนต์เสียใจจนลมจับ
นางมณฑาเข้าประคองรองรับ ขยาขยับไปสักหน่อยก็ค่อยคลาย
ลุกขึ้นกระทืบบาทตวาดอึง อีรจนาดูดู๋มึงช่างมักง่าย
ทรลักษณ์อัปรีย์ไม่มีอาย หน่อกษัตริย์ทั้งหลายไม่เอื้อเฟื้ อ
มารักเงาะทรพลคนอุบาทว์ ทุดช่างชั่วชาติประหลาดเหลือ
แค้นนักจักใครให้แล่เนื้อ แล้วเอาเกลือทาซ้าให้หนาใจ
ว่าพลางฉวยได้ไม้เรียว โกรธเกรี้ยวตัวสั่นหมั่นไส้
อีลูกชั่วน่าชังจังไร เอาไว้ไยดีเสียให้แทบตาย

(ตอนที่ ๓ พระสังข์ได้นางรจนา )

วิเคราะห์รสวรรณคดีไทย

๓. พิโรธวาทัง (ต่อ)

ถอดความได้ว่า : นางรจนาเสี่ยงพวงมาลัยให้เจ้าเงาะ เพราะเห็นรูปทอง
ข้างใน สร้างความไม่พอใจ และโกรธจัดแก่ท้าวสามนต์ ถึงกับเป็นลม
นางมณฑาจึงช่วยประคองและบีบนวด เมื่อฟื้ นสติจึงลุกขึ้นกระทืบเท้าด่าว่า
นางว่ามักง่าย เลือกคนอัปลักษณ์ไม่รู้จักอายผู้อื่น เกิดความแค้นใจ
อยากจะแล่เนื้อแล้วเอาเกลือทา จึงคว้าเอาไม้เรียว และด่านางรจนาว่าชั่ว
จัญไร ด้วยความโกรธจนตัวสั่น

วิเคราะห์รสวรรณคดีไทย

๔. สั ลลาปังคพิสั ย เป็นอารมณ์แสดงความเศร้าโศก คร่าครวญอาลัยรัก เช่น

ตัวอย่างบทประพันธ์

นางทุ่มทอดกายสยายเกศ ชลเนตรแถวถั่งหลั่งไหล
พ่อคุณทูนหัวแม่หนักใจ อัศจรรย์หวั่นไหวแต่ในดง
แม่รีบมาไม่เห็นหน้าเจ้า ดังใครตัดเกล้าให้ผุยผง
ลูกแก้วไม่แคล้วจะปลดปลง มั่นคงทั้งนี้อีจันทา
แม่ไม่ขออยู่จะสู้ม้วย จะตายตามไปด้วยพระลูกข้า
ครวญคร่าทางร่าพรรณนา โศกาแน่นิ่งไม่ติงกาย

(ตอนที่ ๒ ถ่วงพระสังข์ )

วิเคราะห์รสวรรณคดีไทย

๔. สั ลลาปังคพิสั ย (ต่อ)

ถอดความได้ว่า : ท้าวยศวิมลถูกคุณไสยจากนางจันทาเทวี จึงออกอุบายให้
ท้าวยศวิมลฆ่าพระสังข์ทิ้งเสีย ทหารจึงจับตัวพระสังข์ไป ทาให้นางจันเทวีผู้
เป็นแม่ถึงกับทรุดลงกับพื้นแล้วร้องไห้คร่าครวญ เพราะเกิดความสังหรณ์ใจ
ตั้งแต่อยู่ในป่า เมื่อรีบกลับมาแล้วไม่เห็นพระสังข์เหมือนใครมาตัดคอ คง
เป็นเพราะนางจันทาเป็นแน่แท้ นางจะไม่ขอมีชีวิตอยู่ต่อไป ขอตายตามลูก
รักไป แล้วร้องไห้ฟูมฟายจนสลบแน่นิ่งไป

การวิเคราะห์รสวรรณคดีสั นสฤต

วิเคราะห์รสวรรณคดีสั นสฤต

๑. ศฤงคารรส เป็นรสที่เกิดจากการได้ดู หรือได้ฟังสิ่งที่เจริญหูเจริญตา

ความซาบซึ้งในความรัก
ตัวอย่างบทประพันธ์

บัดนั้น ตายายให้คิดอางขนาง
พากันเข้าไปในทับนาง แลเห็นรูปร่างกุมารา
ตะลึงขึงแข็งไปทั้งตัว ทูนหัวน่ารักเป็นนักหนา
พ่อคุณเป็นบุญของยายตา เกิดมายังไม่ได้ยินเลย
พึ่งพบพึ่งเห็นเป็นเที่ยงแท้ ลูกของเจ้าแน่หรือแม่เอ๋ย
บุญหนักศักดิ์ใหญ่กะไรเลย พ่อเอ๋ยรูปร่างช่างสร้างมา
ชั่วปู่ชั่วย่าชั่วตายาย ล้มตายไม่เห็นเป็นหนักหนา

( ตอนที่ ๑ กาเนิดพระสังข์ )

วิเคราะห์รสวรรณคดีสั นสฤต

๑. (ศฤงคารรส ต่อ)

ถอดความได้ว่า :
นางจันเทวีและพระสังข์ได้ไปอาศัยอยู่กับตายายๆ จึงได้แอบดูพระสังข์

ตอนออกมาจากหอยสังข์ เพื่อช่วยงานบ้าน จึงเกิดความรักความเมตตาใน
ตัวพระสังข์เป็นอย่างมากถึงกับยืนตะลึง ในความน่ารัก โดยกล่าวถึงรูปร่าง
ซึ่งแสดงให้เห็นถึงคนมีบุญ ซึ่งตายายถือว่าเป็นบุญของตนที่สามารถเห็น
พระสังข์ ซึ่งตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยพบเห็นเช่นนี้มาก่อน

วิเคราะห์รสวรรณคดีสั นสฤต

๒. หาสยรส เป็นรสที่แสดงความสนุกสนาน ความขบขัน

ตัวอย่างบทประพันธ์

บัดนั้น หญิงชายชาวเมืองน้อยใหญ่
ต่างคนร้องว่าช่างกระไร เรี่ยวแรงสุดใจเจียวเจ้าเงาะ
หาบเนื้อที่ไหนมานักหนาหนอ ไม่หนักเลยหรือพ่อมาวิ่งเหยาะ
ลางคนบ้างกลัวบ้างหัวเราะ บ้างร้องเยาะงามเหวยลูกเขยพระยา
เด็กเด็กเซ็งแซ่เข้าแห่ห้อม พรั่งพร้อมล้อมหลังล้อมหน้า
บ้างร้องว่าเออเกลอกูมา เฮฮาโห่ฉาวกราวเกรียว

( ตอนที่ ๑ กาเนิดพระสังข์ )

วิเคราะห์รสวรรณคดีสั นสฤต

๒. (หาสยรส ต่อ)

ถอดความได้ว่า :
หลังจากเจ้าเงาะล่าสัตว์แข่งกับหกเขยชนะ จึงหาบสัตว์ป่ามาเข้าเฝ้าท้าว

สามนต์ จานวนมาก ทาให้ชาวบ้านทั้งหญิงและชายต่างร้องถามถึงเรี่ยวแรง
อันมหาศาลของเจ้าเงาะ ที่สามารถหาบของหนักและวิ่งแบบเหยาะๆได้ ด้วย
บุคลิกลักษณะ ของเจ้าเงาะ ทาให้ชาวบ้านที่เห็น บ้างตื่นกลัว บ้างขบขันใน
ท่าทาง โดยเฉพาะเด็กๆพากันหยอกล้อเจ้าเงาะ และร้องว่าเพื่อนเกลอมาแล้ว

วิเคราะห์รสวรรณคดีสั นสฤต

๓. กรุณารส รสที่เกิดจากการได้รับความทุกข์โศก ความเศร้า

ตัวอย่างบทประพันธ์

เมื่อนั้น มเหสีตีทรวงโหยหา
พ่างเพียงจะสิ้นชีวา โศกาไม่เป็นสมประดี
ครั้นจะอ้อนวอนผ่อนผัน ทรงธรรม์ก็เมินดาเนินหนี
ทุกข์แค้นแสนโศกโศกี พระพันปีหนีเมียเสียว่าไร
มีกรรมจาจากพระบาทแล้ว น้องแก้วหาขัดขืนไม่
จะขอผัดผ่อนต่อนอนไฟ มิให้ช้านักสักเจ็ดวัน

( ตอนที่ ๑ กาเนิดพระสังข์ )

วิเคราะห์รสวรรณคดีสั นสฤต

๓. (กรุณารส ต่อ)

ถอดความได้ว่า :
นางจันเทวีจะถูกเนรเทศ จึงร้องไห้คร่าครวญ ถึงท้าวยศวิมล แต่ท้าวยศ

วิมลก็ไม่ได้สนใจกลับเดินหนีนาง นางจึงคร่าครวญและคิดว่าการจากพระ
สวามีนั้นเป็นเคราะห์กรรมที่ทาให้จากจร แต่นางก็ไม่ได้ขัดคาสั่งอันใด เพียง
ขอผ่อนผันให้อยู่ไฟหลังคลอดเสียก่อน สักเจ็ดวัน แต่ท้าวยศวิมลไม่ได้ตอบ
นางแต่อย่างใด

วิเคราะห์รสวรรณคดีสั นสฤต

๔. เราทรรส เป็นรสแห่งความแค้นเคือง ความโกรธ

ตัวอย่างบทประพันธ์

ได้ฟัง มืดกลุ้มคลุ้มคลั่งดังเพลิงไหม้
เหม่อีจันทาชะล่าใจ จะเกรงกลัวใครก็ไม่มี
จองหองพองขนเป็นพ้นนัก เยื้องยักแยบคายใส่สี
เพราะเกิดลูกเต้าด้วยเท่านี้ พาทีเกินตัวไม่กลัวตาย
เหมือนหนึ่งกิ้งก่าได้ทาทอง ยกย่องหัวหูดูเฉิดฉาย
มึงประจานใครให้ได้อาย แยบคายทบเทียบเปรียบมา

( ตอนที่ ๒ ถ่วงพระสังข์ )

วิเคราะห์รสวรรณคดีสั นสฤต

๔. (เราทรส ต่อ)

ถอดความได้ว่า :
นางจันทาหลังจากวางกลอุบายไล่พระสังข์และมเหสีออกไปได้แล้ว จึงให้

บุตรี (จันที) พูดถึงทรัพย์สมบัติ และบัลลังก์ ทาให้ท้าวยศวิมลโกรธ และ
ด่าทอนางจันทาว่า แม้จะมีลูกด้วยกันนั้นก็ยังชะล่าใจ ไม่เกรงกลัวใคร หยิ่ง
จองหองเปรียบเหมือนกิ้งก่าได้ทอง พูดจาประจานคนอื่นให้เกิดความอับอาย
อีกทั้งใส่ร้ายป้ายสีผู้อื่น โดยคาดโทษนางจันทาไว้ ทาให้นางจันทาหาวิธีทา
เสน่ห์ ไสยศาสตร์ แก่ท้าวยศวิมลในที่สุด

วิเคราะห์รสวรรณคดีสั นสฤต

๕. วีรรส คือความชื่นชมอันเกิดจากการรับรู้และแสดงออกถึงความกล้าหาญ

ตัวอย่างบทประพันธ์

เมื่อนั้น อมรินทร์ปิ่ นฟ้าฟุ้งเฟื่ อง
ควบม้ามุ่งหมายชายชาเลือง ยักเยื้องย่างท่าสง่างาม
ทรงเลี้ยงลูกคลีตีเดาะ
พระสังข์ไม่พรั่นครั่นคร้าม พระอินทร์เหาะขึ้นจากท้องสนาม
เหาะตามติดพันกระชั้นชิด

( ตอนที่ ๒ ถ่วงพระสังข์ )

ถอดความได้ว่า
พระอินทร์ได้แปลงกายลงมาท้าท้าวสามนต์ตีคลี พระสังข์จึงออกไปตีคลี ด้วยความกล้าหาญชาญชัย

จนได้รับชัยชนะ โดยพระอินทร์ทรงควบม้าด้วยท่าทางสง่างาม ชาเลืองมองพระสังข์แล้วเดาะลูกคลี อีกทั้งเหาะขึ้น
ไปจากพื้นสนาม พระสังข์เองก็ไม่ได้เกรงกลัวต่อพระอินทร์เหาะตามไปอย่างกระชั้นชิด

วิเคราะห์รสวรรณคดีสั นสฤต

๖. ภยานกรส เป็นการแสดงออกถึงความเกรงกลัว อาการตะลึงงัน

ตัวอย่างบทประพันธ์ หกเขยเข็ดขยาดไม่อาจสู้
เอ๊ะอยู่แล้วกระมังครั้งนี้
เมื่อนั้น รุนเมียออกหน้าเจ้าอย่าหนี
เหลียวซ้ายแลขวาหาประตู เต็มทีลงนั่งภาวนา
บ้างเข้าแอบหลังภรรยา ทาเป็นว่าพี่นี้คนกล้า
ความกลัวตัวสั่นไม่สมประดี ก็วิ่งล้มถลาขาแข้งเพลีย
บ้างกาหมัดขัดเขมรหมายเขม้น
ครั้นเห็นเงาะถือไม้ใกล้เข้ามา ( ตอนที่ ๗ ท้าวสามนต์ให้ลูกเขยหาปลาหาเนื้อ ))

วิเคราะห์รสวรรณคดีสั นสฤต

๖. (ภยานกรส ต่อ)

ถอดความได้ว่า :
ท้าวสามนต์ให้บรรดาหกเขยหาปลาหาเนื้อ (สัตว์ป่าที่ให้เนื้อเป็นอาหาร)

พระสังข์ใช้มนตร์มหาจินดาเรียกเนื้อ ทาให้หกเขยไม่สามารถล่าเนื้อได้ จึงได้ตัด
ปลายจมูก เพื่อแลกกับปลา และตัดหู เพื่อแลกกับเนื้อ เช่น กวาง ทาให้หกเขย
กลัวเจ้าเงาะเป็นอันมาก โดยตอนเข้าเฝ้าท้าวสามนต์ ด้วยความกลัวจึงเหลียวซ้าย
เหลียวขวามองหาเจ้าเงาะ บางคนแอบอยู่หลังภรรยา โดยผลักให้ภรรยาอยู่ข้าง
หน้า บางคนเกิดความกลัวถึงกลับลงนั่งพนมมือ บางคนแกล้งกาหมัดเพื่อแสดง
ตนว่ากล้า แต่เมื่อเจ้าเงาะถือไม้เข้ามา จึงพากันวิ่งหนีด้วยความกลัว

วิเคราะห์รสวรรณคดีสั นสฤต

๗. พิภัตสรส เป็นรสที่แสดงให้เห็นถึงความรังเกียจ ความราคาญ ขยะแขยง

ตัวอย่างบทประพันธ์

เมื่อนั้น ท้าวสามนต์เห็นเงาะชังน้าหน้า
เนื้อตัวเป็นลายคล้ายเสือปลา ไม่กลัวใครใจกล้าดุดัน
ผมหยิกยุ่งเหยิงเหมือนเซิงฟัก หน้าตาตละยักษ์มักกะสัน
พระเมินเสียมิได้ดูมัน แล้วมีบัญชาประชดรจนา

( ตอนที่ ๖ พระสังข์ได้นางรจนา )

ถอดความได้ว่า
หลังจากท้าวสามนต์ ให้บรรดาธิดาทั้งเจ็ดเลือกคู่แล้ว นางรจนาไม่ได้เลือกใคร จึงได้ให้เจ้าเงาะเข้ามาเฝ้า

ท้าวสามนต์เห็น จึงได้แสดงอาการรังเกียจเดียดฉันท์โดยมีความเกลียดชัง ถึงรูปร่างหน้าตาของเจ้าเงาะ เนื้อตัวลายคล้าย
เสือปลา (เสือชนิดหนึ่ง) หน้าตาดุ ท่าทางไม่กลัวใคร ผมหยิกหยอง ยุ่งเหยิง หน้าตาเหมือนยักษ์ ท้าวสามนต์จึงเมินหน้าหนี
แล้วรับสั่งประชดนางรจนาให้เลือกคู่

วิเคราะห์รสวรรณคดีสั นสฤต

๘. อัพภูตรสเป็นรสที่แสดงให้เห็นถึงความอัศจรรย์ใจในสิ่งที่ได้พบเห็น อาจเป็นอภินิหาร

ตัวอย่างบทประพันธ์

บัดนั้น หญิงชายชาวเมืองถ้วนหน้า
เห็นพระรูปทองล่องลอยฟ้า ต่างว่าภูวไนยมิใช่เงาะ
เกิดมาพึ่งเห็นเป็นบุญตัว หม่อมผัวพระบุตรีคนนี้เหมาะ
เทวดาพานามาจาเพาะ บังคมชมเปาะไปทั้งนั้น
ต่างอานวยอวยพรพระสังข์ทอง หนุ่มแก่แซ่ซ้องทั้งเขตขัณฑ์
มาตามดูภูมีนี่นัน เบียดกันกลางถนนแน่นไป

( ตอนที่ ๘ พระสังข์ตีคลี )

วิเคราะห์รสวรรณคดีสั นสฤต

๘. (อัพภูตรส ต่อ)

ถอดความได้ว่า :
ชาวเมืองดูการตีคลีของพระสังข์ ด้วยความอัศจรรย์ใจ และกล่าวคาสรรเสริญ

แก่พระสังข์ โดยชาวเมืองหญิงชายเห็นพระสังข์ในรูปทองล่องลอยอยู่บนฟ้า
ต่างพากันพูดว่าเป็นพระเจ้าแผ่นดิน องค์พระสวามีของนางรจนาไม่ใช่เจ้าเงาะ
ซึ่งมีความเหมาะสมกัน จึงถือกันว่าเป็นบุญตาของผู้ได้พบเห็น อีกทั้งเทวดา
พามาพบกัน ต่างพากันมาชื่นชมและอวยพรให้แก่พระสังข์อย่างเนืองแน่นเต็ม
ถนนไปหมด

วิเคราะห์รสวรรณคดีสั นสฤต

๙. ศานติรส เป็นรสที่เกิดจากความรู้สึกสงบของตัวละคร เช่น

ตัวอย่างบทประพันธ์

ครั้นถึงจึงเข้าไปในห้อง เห็นสองกษัตริย์นาถา
บังคมคัลกันตามลาดับมา พูดจาปราศรัยเป็นไมตรี
พระองค์จะเสด็จกลับไป ข้าจะเปล่าเปลี่ยวใจอยู่กรุงศรี
ทั้งคิดถึงโอรสบุตรี เคยอยู่ที่นี่ได้อุ่นวัง
ถ้าพบปะพระอินทร์สิ้นทุกข์แล้ว ให้ลูกแก้วสองรากลับมามั่ง
มาตรแม้นมีธุระปะปัง จะได้พึ่งพระสังข์สืบไป

( ตอนที่ ๙ ท้าวยศวิมลตามหาพระสังข์ )

วิเคราะห์รสวรรณคดีสั นสฤต

๙. (ศานติรส ต่อ)

ถอดความได้ว่า :
หลังจากท้าวยศวิมล ได้ออกตามหานางจันเทวีและพระสังข์ โดยให้กลับไป

ครองเมือง ท้าวสามนต์และนางมณฑา ต่างรู้สึกเสียดายในตัวพระสังข์และนาง
รจนา แต่ก็ยินยอมในที่สุด ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการยอมรับในความดีงามของ
พระสังข์ กล่าวถึงท้าวสามนต์ได้เดินเข้าไปในห้องพบพระสังข์และท้าวยศวิมล
ทั้งสองจึงไหว้และพูดจากัน ท้าวสามนต์กล่าวว่า หากพระสังข์และท้าวยศวิมลกลับ
ไปวังของตนเอง พระองค์คงเหงาและคิดถึงบุตรี (นางรจนา) ถ้าหากอยู่สุขสบาย
ดีแล้วก็ขอให้กลับมาเยี่ยมตนบ้าง เพราะหวังจะได้พึ่งพระสังข์ต่อไปใน
ภายภาคหน้า

โวหารภาพพจน์


Click to View FlipBook Version