The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

งานวิจัยในสถานีวิจัยและฝึกนิสิตวนศาสตร์วังน้ำเขียว และพื้นที่ใกล้เคียง

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Forestry Research Center, 2021-09-15 23:23:30

งานวิจัยในสถานีวิจัยและฝึกนิสิตวนศาสตร์วังน้ำเขียว และพื้นที่ใกล้เคียง

งานวิจัยในสถานีวิจัยและฝึกนิสิตวนศาสตร์วังน้ำเขียว และพื้นที่ใกล้เคียง

งานวิจัยในสถานีวิจัยและฝึกนิสิตวนศาสตร์

วังน้ำเขียว และพื้นที่ใกล้เคียง




ศู น ย์ วิ จั ย ป่ า ไ ม้ ค ณ ะ ว น ศ า ส ต ร์

กันยายน 2564

คำนำ

สถานีวิจัยและฝึกนิสิตวนศาสตร์วังน้ำเขียว เดิมชื่อว่า สถานีฝึกนิสิตวนศาสตร์วังน้ำเขียว โดยมี
วัตถุประสงค์หลักในการเป็นสถานที่ฝึกงานของนิสิตคณะวนศาสตร์ ในปี พ.ศ. 2559 ได้เปล่ียนช่ือเป็น สถานี
วิจัยและฝึกนิสิตวนศาสตร์วังน้ำเขียว เน่ืองจากมีภารกิจด้านการดำเนินงานวิจัยและงานบริการวิชาการเพ่ิม
ขึน้ มาเป็นภารกจิ หลักดว้ ย คณะวนศาสตร์ได้รับอนุญาตจากกรมป่าไมใ้ ห้ใชป้ ระโยชน์พ้ืนที่ ตามมติ ค.ร.ม. เม่ือ
วันท่ี 16 ตุลาคม พ.ศ. 2505 แต่ในทางปฏิบัติแล้ว คณะวนศาสตร์ได้เข้าใช้พ้ืนที่ต้ังแคมป์ ฝึกงานนิสิตและมี
การก่อสร้างอาคารท่ีพักมาต้ังแต่ปี พ.ศ. 2500 แล้ว จึงทำให้มีการเข้าไปดำเนินงานวิจัยในพ้ืนที่มาเป็นระยะ
เวลานาน

ก า ร ร ว บ ร ว ม งา น วิ จั ย ใน พ้ื น ท่ี ส ถ า นี วิ จั ย แ ล ะ ฝึ ก นิ สิ ต วั ง น้ ำ เขี ย ว แ ล ะ พื้ น ท่ี ข้ า งเคี ย งใน ค ร้ั งนี้
มีวัตถุประสงค์เพื่อจัดทำฐานข้อมูลงานวิจัยที่ผ่านมา เพ่ือสนับสนุนการวิจัยในอนาคต รวมถึงเพื่อเป็นลู่ทางใน
การเผยแพรง่ านวิจัยในพ้นื ทแ่ี กผ่ ูท้ ่ีสนใจด้วย

ดร.นรนิ ธร จำวงษ์ และ นายณฐั วัฒน์ คลงั ทรพั ย์
ผู้รวบรวม

ศูนย์วจิ ยั ป่าไม้ คณะวนศาสตร์
กันยายน พ.ศ. 2564



สารบญั

หนา้
คำนำ ก
สารบญั ข

ปัจจยั ทมี่ อี ิทธพิ ลต่อการมีสว่ นรว่ มของสมาชิกองค์กรปา่ ชุมชนในการอนุรักษ์ป่าชุมชน : 1

ศกึ ษาเฉพาะกรณี บ้านทา่ วงั ไทร ตำบลวงั หมี อำเภอวงั นำ้ เขยี ว จังหวดั นครราชสีมา

การตัง้ ตวั ของกลา้ ไม้ถาวรในสวนปา่ ยคู าลปิ ตัสและพนื้ ที่เปดิ โล่ง 4
บรเิ วณสถานฝี ึกนิสิตวนศาสตรว์ งั น้ำเขยี ว อำเภอวังน้ำเขียว จงั หวดั นครราชสีมา

ปัจจยั ท่มี ีผลต่อการมสี ว่ นร่วมของชุมชนในการอนุรักษ์ ทรัพยากรป่าไม้ : บ้านคลองทราย 7
ตำบลวังนำ้ เขียว อำเภอวังน้ำเขยี ว จังหวัดนครราชสมี า

การศึกษาเทคโนโลยแี ละสภาพการผลติ การตลาด และปัญหาการผลิตเบญจมาศของเกษตรกร 9
ตำบลไทยสามัคคี อำเภอวังน้ำเขียว จังหวดั นครราชสีมา

การบริหารจดั การแหลง่ พักอาศัยแบบโฮมสเตย์ ตามแนวทางปรัชญาเศรษฐกิจพอเพยี ง : 12
กรณีศึกษา หมบู่ ้านบุไพร อำเภอวงั นำ้ เขียว จังหวัดนครราชสมี า

รปู แบบการบรหิ ารจดั การวัตถดุ ิบไมโ้ ตเร็วเพื่อเปน็ พลังงานทดแทนในการผลิตกระแสไฟฟา้ 16
พลังงานชวี มวลและแก๊สหุงต้ม

เครอื ข่ายและกระบวนการสือ่ สาร เพ่ือสง่ เสริมการท่องเทยี่ วเชงิ เกษตร ของชมรมการท่องเท่ียว 20
เชิงเกษตร อำเภอวังน้ำเขียว จงั หวัดนครราชสมี า

Spatial point pattern analysis of household settlements in 22
Lam Phra Phloeng subbasin, Wang Nam Khiao, Nakhon Ratchasima province

เทคนคิ เพอื่ กระตุ้นการเกิดสารหอมในไม้กฤษณาโดยการสร้างบาดแผล 23

การทดสอบไม้ยูคาลปิ ตัส คามาลดเู ลนซิสรนุ่ ทีส่ องบรเิ วณสถานีฝึกนสิ ิตวนศาสตร์วงั นำ้ เขียว 25
จงั หวัดนครราชสีมา

ผลของการปลูกไม้ยูคาลิปตัสตอ่ สมบัตบิ างประการของดนิ บรเิ วณสถานฝี กึ นสิ ติ วนศาสตร์ 28
วงั นำ้ เขียว จังหวดั นครราชสมี า



ความสมั พนั ธ์ของความหลากหลายของผีเส้ือกลางวันและระบบนิเวศป่าแบบต่างๆ 30
ในสถานวี ิจยั สงิ่ แวดลอ้ มสะแกราช

คุณภาพชวี ติ ของผสู้ งู อายุในชนบท อำเภอวงั น้ำเขยี ว จงั หวดั นครราชสมี า 31

การเตบิ โตและลักษณะทางสรีรวทิ ยาบางประการของไมย้ คู าลิปตัส คามาลดูเลนซสิ 32

ในแปลงทดสอบลกู ไม้ร่นุ ท่ี 2 ณ สถานฝี กึ นสิ ติ วนศาสตรว์ ังน้ำเขยี ว จงั หวดั นครราชสีมา

การจัดการโลจิสติกส์สำหรับการท่องเทย่ี วในอำเภอวังน้ำเขียวจงั หวัดนครราชสีมา 35

ผลของโปรแกรมส่งเสรมิ การออกกำลังกายโดยการประยุกตใ์ ชท้ ฤษฎีความสามารถแห่งตน 37
รว่ มกับแรงสนับสนุนทางสังคมในการบรรเทาความปวดของผสู้ ูงอายุท่ีเปน็ โรค
ขอ้ เข่าเสื่อม อำเภอวงั นำ้ เขยี ว จังหวัดนครราชสีมา

การพัฒนาการท่องเท่ยี วอำเภอวังน้ำเขียว จงั หวัดนครราชสมี า 39

Diversity of Stomoxys spp. (Diptera: Muscidae) and diurnal variations of activity 41
of Stomoxys indicus and S. Calcitrans in a farm, in Wang Nam Khiao District,
Nakhon Ratchasima Province, Thailand

การมองโลกในแง่ดี การปฏิบัตพิ ฒั นกจิ และความผาสุกทางใจ ของผสู้ งู อายุ อำเภอวังน้ำเขยี ว 42
จังหวดั นครราชสมี า

Community-based Ecotorism Operation: Help or Hindrance of the External Forces 44

แนวทางการพฒั นาการทอ่ งเท่ยี วเชงิ เกษตรโดยชมุ ชนมีส่วนรว่ มในนคิ มเศรษฐกจิ พอเพียง 46
อำเภอวังนำ้ เขียว จงั หวัดนครราชสมี า

ความเสียหายต่อระบบนเิ วศและพชื ผลทางการเกษตรโดยหมูปา่ (Sus scrofa) 48
ในสถานีวจิ ยั สิ่งแวดลอ้ มสะแกราชและพน้ื ที่โดยรอบ

การรับรผู้ ลกระทบทางการท่องเทย่ี วของผู้มาเยอื น ตำบลไทยสามคั คี อำเภอวังนำ้ เขยี ว 50
จังหวัดนครราชสีมา

ปจั จัยที่มีอิทธิพลตอ่ การตดั สินใจของนักท่องเทยี่ วไทยในการเลือกท่ีพักแรม 52
เขตอำเภอวังนำ้ เขยี ว จงั หวัดนครราชสีมา

การจดั การเพื่อการพ่งึ ตนเองและพ่งึ พากันเองของสมาชิกกลมุ่ ส่งเสริมกสกิ รรมไร้สารพิษ 54
วังน้าํ เขยี ว



การศึกษาข้อมูลเพอ่ื จัดทำเส้นทางท่องเทยี่ วอำเภอวงั นำ้ เขียว จงั หวดั นครราชสมี า 56

การศึกษาภูมปิ ัญญาการแพทยพ์ นื้ บา้ นในเขตอำเภอวังนำ้ เขียว จงั หวดั นครราชสีมา 58

การศึกษาสภาพสงั คมพืชบริเวณสถานฝี ึกนสิ ติ วนศาสตร์ อำเภอวังนำ้ เขยี ว จังหวดั นครราชสมี า 61

Planting of Five Tree Species for Rehabilitation in Wang Nam Khieo Training Camp, 63
Nakhon Rachasima Province, Thailand

ภาวะผ้นู ำท่เี หมาะสมเพ่ือการพฒั นาชุมชนพ้ืนท่ีอ่อนไหวในอำเภอวังน้ำเขยี ว อำเภอปากชอ่ ง 64
จังหวัดนครราชสมี า และอำเภอนาดี จงั หวดั ปราจนี บุรี

Structural geology in Amphoe Wang Nam Khiao area, 66
Changwat Nakhon Ratchasima

นิเวศวิทยาและความหลากหลายของไลเคนในสถานีวิจัยสิ่งแวดลอ้ มสะแกราช 67

แนวทางในการพฒั นาศักยภาพการจัดการท่องเทีย่ ว อำเภอวงั น้ำเขยี ว จงั หวัดนครราชสมี า 69

การศกึ ษาความสัมพนั ธ์ทางนิเวศวทิ ยาระหวา่ งงูเขยี วหางไหมท้ ้องเหลืองและงูเขียวหางไหม้ตาโต 71
ในสถานีวิจยั สิง่ แวดล้อมสะแกราช นครราชสีมา

กายวิภาคศาสตรแ์ ผน่ ใบของเฟริ ์นบรเิ วณนำ้ ตกถำ้ จงอาง สถานีวิจยั ส่งิ แวดล้อมสะแกราช 73
อำเภอวงั น้ำเขียว จังหวัดนครราชสมี า

ทศั นคติของชมุ ชนต่อการพฒั นาการท่องเท่ยี วภายในพนื้ ที่ปา่ สงวนแหง่ ชาติ 75
ปา่ วงั นำ้ เขยี ว-ปา่ เขาภูหลวงจังหวดั นครราชสีมา

การศกึ ษาขอบเขตและแหลง่ ที่อยู่อาศยั ของหมูป่าในสถานีวจิ ัยสิง่ แวดลอ้ มสะแกราช 77

การทดสอบถ่ินกำเนดิ ของไมก้ ระถินเทพาอายุ 1 ปี ที่สถานวี ิจัยและฝึกนสิ ิตวนศาสตร์วังน้ำเขยี ว 79
จังหวดั นครราชสมี า

How to Use Tourism to Support Sustainable Forest Management: A Case Study 81
of the Pha Wang Nam Khiao - Pha Khao Phu Luang Forest Reserve, Thailand

การประยุกต์ระบบสารสนเทศภมู ศิ าสตรเ์ พ่ือประเมินความเหมาะสมการใชป้ ระโยชน์ทดี่ ิน 82
เพ่ือการป่าไม้ อำเภอวงั น้ำเขียว จังหวดั นครราชสีมา

โปรแกรมส่ือความหมายธรรมชาตใิ นพ้นื ทส่ี ถานวี จิ ยั และฝกึ นิสิตวนศาสตรว์ ังนำ้ เขียว 84
จังหวดั นครราชสีมา



ลักษณะโครงสร้างสังคมไมป้ ่าและการทดแทนกล้าไมใ้ นแปลงปลูกป่าฟนื้ ฟู ณ สถานวี ิจัย 86
และฝึกนสิ ิตวนศาสตร์วงั น้ำเขียว จงั หวดั นครราชสมี า

Petrochemistry and zircon U-Pb geochronology of granitic rocks in 88
the Wang Nam Khiao area, Nakhon Ratchasima, Thailand

การพัฒนาปา่ นิคมเศรษฐกจิ พอเพยี ง อำเภอวังน้ำเขียว จงั หวดั นครราชสีมาเพ่อื การอนุรักษ์ 89
และฟืน้ ฟูฐานทรัพยากรสมุนไพรอยา่ งย่ังยืน

การวจิ ัยการศึกษาถนิ่ ที่อยู่อาศัยและการหาอาหารของงูจงอาง ในสถานีวจิ ัยสิ่งแวดล้อมสะแกราช91

ปัจจยั ที่มีผลต่อพฤติกรรมการจัดการขยะติดเชอ้ื ของบุคลากรโรงพยาบาลวังน้ำเขียว 93

ความชุกชมุ และการแพร่กระจายของงูพษิ ในพน้ื ทช่ี ุมชนใกล้สถานวี ิจยั สง่ิ แวดล้อมสะแกราช 95

การใช้พืน้ ท่ีและถิ่นท่อี ยู่อาศยั ของงูเห่าหม้อ (Naja kaouthia) และงูเห่าพน่ พิษสยาม 97
(Naja siamensis) ในสถานีวจิ ัยสงิ่ แวดล้อมสะแกราช จงั หวดั นครราชสีมา

Magma Genesis and Arc Evolution at the Indochina Terrane Subduction: 99
Petrological and Geochemical Constraints From the Volcanic Rocks in
Wang Nam Khiao Area, Nakhon Ratchasima, Thailand

Change in ground-dwelling arthropod communities in different agroecosystems 100
in Wang Nam Khiao, Nakhon Ratchasima province, Thailand

ปจั จัยที่มีผลต่อการตัดสนิ ใจของนักทอ่ งเที่ยวในการท่องเที่ยวเชงิ เกษตร อำเภอวงั น้ำเขยี ว 101
จังหวัดนครราชสีมา

ผลการจัดการดา่ นชมุ ชนเพ่ือปอ้ งกนั การเกิดอุบตั ิเหตุทางถนน อำเภอวังนำ้ เขยี ว 104
จงั หวัดนครราชสมี า

เอกสารและสงิ่ อา้ งองิ 106



ปัจจัยท่ีมีอิทธิพลต่อการมสี ่วนร่วมของสมาชิกองคก์ รป่าชุมชนในการอนุรักษ์ป่าชุมชน :
ศกึ ษาเฉพาะกรณี บา้ นท่าวงั ไทร ตำบลวังหมี อำเภอวังน้ำเขียว จงั หวดั นครราชสีมา

Factors Affecting the Participation of Community Forest Conservation Organization's
Members in Community Forest Conservation: A Case Study of The Tha Wangsai Village,

Tambol Wangmi, Wangnamkhiew District, Nakhon Ratchasima Province

ศริ ิวรรณ พรเลิศววิ ัฒน์ (2541)

บทคัดย่อ

การศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงสำรวจ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาระดับการมีส่วนร่วมในการ
อนรุ กั ษ์ป่าชุมชนของสมาชิกองค์กรอนรุ ักษ์ปา่ ชุมชนบ้านทำวังไทร (2) ศกึ ษาปัจจยั ที่มีอิทธิพลต่อการมีส่วนร่วม
ในการอนุรักษ์ป่าชุมชนของสมาชิกองค์กรอนุรกั ษ์ปา่ ชุมชนบ้านท่าวังไทร (3) นำผลการศึกษาไปเป็นข้อมูลหรือ
แนวทางในการทำงานขององคก์ รอนุรกั ษ์ป่าชมุ ชนบา้ นท่าวังไทรต่อไป

ประชากรที่ใช้ในการศึกษา คือ กลุ่มชาวบ้านบ้านท่าวังไทร ตำบลวังหมี อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัด
นครราชสมี า ทเี่ ปน็ สมาชกิ กลุม่ อนุรักษป์ ้าชมุ ชน จำนวน 150 ราย

เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามและนำข้อมูลที่ได้ไปวิเคราะห์ด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์โปรแกร ม
SPSS/PC+ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและ
ค่าไคสแควร์

ผลการศึกษาพบว่า

1) สมาชกิ องค์กรอนรุ กั ษป์ า่ ชุมชนบ้านทว่ ังไทร มีความรคู้ วามเขา้ ใจในเรื่องของการอนุรักษส์ ิ่งแวดล้อม
ความตระหนักในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ความคาดหวังผลประโยชน์ การได้รับการส่งเสริมหรือสนับสนุนจาก
หนว่ ยงานภายนอก และการได้รับขอ้ มูลข่าวสารในเร่อื งการอนรุ กั ษ์จากส่ือ อยใู่ นระดับปานกลาง

2) สมาชิกองคก์ รอนุรักษป์ ่าชุมชนบา้ นท่าวงั ไทรมสี ว่ นร่วมในการอนุรักษ์ป่าชุมชนโดยเฉลี่ยอยู่ในระดับ
ปานกลาง

3) ปัจจัยที่มอี ิทธิพลตอ่ การมี ส่วนรว่ มในการอนรุ ักษป์ ่าชุมชนของสมาชิกองคก์ รอนุรักษป์ ่าชุมชนบ้าน
ทำวังไทร ไดแ้ ก่ ความคาดหวังผลประโยชนจ์ ากการเขา้ รว่ มเป็นสมาชิก การได้รบั ความสนบั สนนุ จากหน่วยงาน
ภายนอกและการไดร้ ับข้อมูลข่าวสารในเร่ืองการอนุรักษ์จากสื่อต่าง ส่วนปจั จยั ทไ่ี ม่มีอิทธิพลต่อการมีส่วนร่วม

1

ในการอนุรักษ์ป่าชุมชนของสมาชิกองค์กรอนุรักษ์ป่าชุมชนบ้านท่าวังไทร ได้แก่ เพศ อายุ ระดับการศึกษา
รายได้ ความรู้ ความเข้าใจในเรื่องของการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและความตระหนักในเรื่องของการอนุรักษ์
สิ่งแวดลอ้ ม

4) ข้อเสนอแนะแนวทางในการทำงาน

4.1 ควรเน้นการประชาสัมพันธใ์ ห้ความรูค้ วามเข้าใจในเรื่องของการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมแก่สมาชิก
มีการจัดอบรมสัมมนาพาไปศกึ ษาดงู านนอกสถานที่เพ่ือแลกเปลี่ยนความรู้ประสบการณ์ เพื่อเสริมสรา้ งความรู้
และวสิ ัยทศั นใ์ นการแกไ้ ขปัญหาของชมุ ชนเพื่อนำมาปรบั ปรุงใชใ้ นองค์กรใหเ้ หมาะสม

4.2 ควรมีการประชาสัมพันธ์โดยโน้มน้าวให้สมาชิกได้เห็นถึงผลประโยชน์ที่ตนและชุมชนส่วนรวม
จะได้รับจากการอนุรกั ษป์ า่ ชุมชนนั้นไว้ใหม้ ากทีส่ ุด

4.3 ควรมกี ารประชาสัมพนั ธ์เผยแพรผ่ ลงานของกลุม่ ออกไปให้กับหนว่ ยงานภายนอกทราบ เพื่อให้
กลมุ่ ภายนอกทง้ั กาครัฐและเอกชนไดเ้ ขา้ มามีส่วนสนบั สนุนการดำเนินงานของกลมุ่ ท้ังด้านการตลาดและเงินทนุ

4.4 ควรมกี ารสง่ เสริมส่ือในการเพิ่มความร้ใู หแ้ กส่ มาชิก โดยจัดมมุ ทีอ่ า่ นหนังสือ การให้ความรู้ผ่าน
เสียงตามสายในชมุ ชน เป็นต้น

Abstract

This survey research is conducted to (1) find out the participation of the Ban Tha
Wangsai Community Forest Conservation Organization's members in community forest
conservation, (2) identify the factors influencing their participation, and (3) use the research
results as a basis to improve the operation of the organization.

The subjects were 150 members of the Ban Tha Wangsai Community Forest
Conservations Organization located in Tambon Wangmi, Wangnamkhiew District, Nakbon
Ratcbasima Province.

A questionnaire was employed for collecting data which were analyzed by using the
SPSS/PC program, frequency, percentage, mean, standard deviation and Chi-square were
employed for data analysis.

2

The findings were summed up as follows:

1. The members of the Ban Tha Wangsai Community Forest Conservation Organization
were found to have an understanding of environmental conservation, recognition of its
importance and expectation to gain benefits from it at a moderate level. They were found to
get support from outside agencies and access to the information about environmental
conservation at a moderate level, too.

2. They were found to participate io community forest conservation at a moderate
level, as well.

3. The factors influencing their participation in community forest conservation were
expectation to gain benefits from it, support from outside agencies and access to the
information about environmental conservation. On the contrary, the factors found to have no
influence on their participation in community forest conservation were sex, age, education,
income, understanding of the importance of environmental conservation.

4. Recommendations for operational improvement :

4.1 Emphasis should be placed on the public relations work to make the members
understand about environmental conservation. They should be given an opportunity to make
observation tours to exchange their opinions, to acquire more knowledge and to have a vision
to solve the community problems.

4.2 The members should be informed to see the importance of community forest
conservation, which will benefit themselves and their community.

4.3 Their organization's performance should be publicized so that the public and the
private sector can give them support in marketing and funds.

4.4 The media to enable the members to gain more information and knowledge
should be promoted by, for example, providing a reading comer, giving the information on air,
etc.

3

การตง้ั ตัวของกล้าไม้ถาวรในสวนป่ายูคาลิปตัสและพื้นท่เี ปดิ โลง่
บรเิ วณสถานฝี ึกนิสติ วนศาสตรว์ งั นำ้ เขยี ว อำเภอวังนำ้ เขยี ว จังหวดั นครราชสีมา

Seedling Establishment of Climax Species under the Eucalyptus Plantation and Open
Site at Wang Nam Khiew Forestry Student Training Station, Amphoe Wang Nam Khiew,

Changwat Nakhon Ratchasima

วรี ะศกั ด์ิ เนยี มรัตน์ (2546)

บทคดั ยอ่

การปลูกป่าเป็นวิธีการที่ดีในการช่วยลดระยะเวลาและฟื้นฟูพื้นที่ป่าเสื่อมโทรม โดยทั่วไปจะเป็นการ
ปลูกพืชโตเร็วในขั้นตอนแรกก่อนต่อจากนั้นจึงนำพันธุ์ไม้ดั่งเดิมเข้าปลูกเสริมเพื่อให้ได้ป่าธรรมชาติกลับคืนมา
การศึกษาในครั้งนี้ได้ดำเนินการในพื้นที่ป่าดิบแล้งที่เสื่อมดทรม บริเวณสถานีฝึกนิสิตวนศาสตร์ อำเภอ
วังนำ้ เขยี ว จังหวัดนครราชสีมา โดยเกบ็ เมลด็ ไม้มาทำการศึกษาเป็นจำนวน 14 ชนดิ จากป่าในบริเวณใกล้เคียง
กับพื้นที่ศึกษา ได้แก่ ยางกราด ยางนา รัง พะยอม เคี่ยมคะนอง ประดู่ป่า แดง มะค่าโมง ตะเคียนทอง
ขันทองพยาบาท ส่องฟ้า เขลง อะราง และกัดลิ้น และนำกล้าไม้มาทดลองปลูกในสภาพปัจจัยแวดล้อมท่ี
แตกต่างกัน 3 พื้นที่ คือ พื้นที่สวนป่ายูคาลิปตัสอายุ 4 และ 20 ปี และพื้นที่เปิดโล่ง ปัจจัยแวดล้อมต่าง ๆ
ทั้งคุณสมบัติทางฟิสิกส์และเคมีของดิน และปริมาณน้ำฝน ได้ทำการศึกษาด้วยการเก็บตัวอย่างแล้วนำมาทำ
การวิเคราะห์

ผลการศึกษาพบว่า คุณสมบัติของดินมีความแตกต่างกันเล็กน้อยในแต่ละพื้นที่ แต่พบว่าดินชั้นบนใน
พื้นที่สวนป่ายูคาลิปตัสอายุ 20 ปี มีความชื้นสูงเกือบตลอดปีอย่างไรก็ตามในดินชั้นกลางไม่มีความแตกต่างกัน
ส่วนปริมาณแสงที่ส่องผ่านเรือนยอดมีค่าต่ำในพื้นที่สวนป่ายูคาลิปตัสอายุ 20 ปี แต่ในพื้นที่สวนป่ายูคาลิปตัส
อายุ 4 ปี และพื้นที่โล่งมีค่าสูง สำหรับเปอร์เซ็นต์การงอกของเมล็ดไม้ ในสวนป่ายูคาลิปตัสอายุ 20 ปี
มเี ปอร์เซน็ ตก์ ารงอกของเมลด็ ไม้ทุกชนดิ สูง แตใ่ นพน้ื ทส่ี วนป่ายคู าลิปตสั อายุ 4 ปี และพท้ื โี่ ลง่ มีเปอร์เซ็นต์การ
งอกตำ่ สามารถงอกไดเ้ พียง 5 และ 2 ชนิด ตามลำดับ การศกึ ษาการรอดตายของกลา้ ไม้แสดงให้เหน็ วา่ กล้าไม้
ของพันธุ์ไม้เด่นในสังคมป่าดิบแล้งสามารถรอดตายและเจริญเติบโตได้ดีในพื้นที่สวนป่ายูคาลิปตัสอายุ 20 ปี
สว่ นกลา้ ไมข้ องพันธุ์ไม้เดน่ ในสังคมป่าเต็งรังและป่าผสมผลัดใบมีอตั ราการรอดตายและเจริญเติบโตได้ดี ในสวน
ป่ายคู าลปิ ตสั อายุ 4 ปี และพืน้ ทโี่ ล่ง และอตั ราส่วนมวลชีวภาพระหว่างรากและลำตน้ ของกล้าไม้ พบว่ากล้าไม้
ของป่าดิบแล้งมีค่าประมาณ 1 ในขณะที่กล้าไม้จากป่าอีก 2 สังคม มีค่ามากกว่า 1 ดังนั้นกล้าไม้ที่มีความ

4

เหมาะสมสำหรับการฟื้นฟูป่า ในพื้นที่สวนป่าที่มีอายุมาก เช่น พื้นที่สวนป่ายูคาลิปตัสอายุ 20 ปี กล้าไม้ที่
เหมาะสมคือ ตะเคียนทอง เคี่ยมคะนอง พะยอม ยางนา และเขลง และในพื้นที่สวนป่าที่มีอายุนอ้ ยและพืน้ ทีท่ ่ี
ถูกบกุ รุกใหม่ กลา้ ไม้ท่ีเหมาะสมคอื พะยอม รงั ประดู่ แดง และตะเคียนทองอายมุ ากกว่า 1 ปี

Abstract

Reforestation is one of the best methods for sere shortening and rehabilitation in the
disturbed forest area. Fast growing pioneer species are commonly recommended at the first
stage of the plantation process but the final aim is the mixed communities of native climax
species. To support this idea, these studies were conducted in the disturbed dry evergreen
forest area at the Forestry Training Station, Amphoe Wang Nam Khiew, Changwat Nakhon
Ratchasima. Seeds of 14 native tree species from the forest nearby the testing site were
collected and studied. The species are Dipterocarpus intricatus, D. alatus, Shorea siamemsis,
S. floribunda, S. henryana, Pterocarpus marcrocarpus, Xylia xylocarpa, Afzelia xylocarpa,
Hopea odorata, Suregada multiflorum, Clausena guillauminii, Dialium cochinense,
Peltophorum dasyrachis and Walsura trichostemon. The seedlings were tested by planting in
the three different habitat conditions; the gap of 4 and 20 years old Eucalyptus plantations
and the open area. Some environmental factors including physical and chemical soil
characteristics and climate data were collected and analyzed.

The results showed that the soil properties had minor variation among the three sites
but the top layer in 20 years old Eucalyptus plantation had much higher soil moisture nearly
all year round. There was not difference among the middle soil layers. The standard sky
overcast was low in the 20 years old plantation but high in the 4 years old plantation and the
open site. Percentages of germination of seeds in the 20 years old plantation were very high
for every species but low in the 4 years old plantation and the open site with only 5 and 2
species, respectively. The seedling survival study reflected that the seedling of dominant tree
species in the dry evergreen forest performed well under the 20 years old plantation while the
seedling from dominant trees in the dry dipterocarp and the mixed deciduous forest had a
very good survival rate and growth under the 4 years old plantation and the open sites. The

5

ratio of root and stem biomass of seedling indicated that seedlings of the trees in the dry
evergreen forest were around 1 while the seedlings from the trees in the other two forest types
had value over 1. It is recommended that suitable seedlings for rehabilitation in the old
plantation such as the 20 years old Eucalyptus plantation should be Hopea odorata, Shorea
henryana, S. floribunda, Dipterocarpus alatus and Dialium cochinense and for the young
plantation and new disturbance sites should be S. floribunda, S. siamemsis, Pterocarpus
marcrocarpus, Xylia xylocarpa, , Peltophorum dasyrachis and over 1 year old seedling of H.
odorata.

6

ปัจจยั ท่ีมีผลต่อการมีส่วนร่วมของชุมชนในการอนรุ กั ษ์
ทรัพยากรป่าไม้ : บา้ นคลองทราย ตำบลวงั น้ำเขียว อำเภอวงั น้ำเขยี ว จงั หวัดนครราชสมี า

Factor Affecting Community’s Participation in Forest Resource
Conservation : Klongsai Village, Wang Nam Khiao Sub-district,

Wang Nam Khiao District, Nakhon Ratchasima Province
ธวชั ชยั สขุ ลอย และ นชุ นาถ มัง่ คง่ั (2549)

บทคัดย่อ
การวิจัยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาพเศรษฐกิจและสังคม ปัจจัยที่มีผลต่อการมีส่วนร่วมของ

ประชาชน ตลอดจนปัญหา และอุปสรรคในการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ โดยสัมภาษณ์กลุ่มตัวอย่าง 65
ครวั เรอื น ซึง่ ผลการศกึ ษาพบว่าหวั หน้าครัวเรือนตัวอย่าง สว่ นใหญ่เป็นชายอายเุ ฉล่ีย 48 ปี จบการศึกษาระดับ
ประถมศึกษามากที่สดุ และอพยพย้ายมาจากถ่นิ อื่น อาชพี หลกั คือทำไร่ สว่ นปัจจัยท่มี ีผลต่อการมีส่วนร่วมของ
ชุมชนในการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้อย่างมีนัยสำคัญทางสถติ ิท่ีระดับ 0.05 ได้แก่ เพศ ระดับการศึกษา การใช้
ประโยชน์ทรัพยากรป่าไม้ และทัศนคติของประชาชนที่มีต่อผู้นำชุมชน ส่วนปัญหาและอุปสรรคในการอนุรักษ์
ทรัพยากรป่าไม้ของชุมชน พบว่า มีสาเหตุทั้งที่เกิดจากประชาชน เช่น ประชาชนไม่สามารถเข้าร่วมกิจกรรม
อนุรักษ์ป่าไม้ได้อย่างเต็มที่เพราะต้องประกอบอาชีพเพื่อความอยู่รอด และสาเหตุที่เกิดจากหน่วยงานราชการ
ขาดความจริงใจที่จะช่วยเหลือประชาชน ดังนั้นการจะทำให้การอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ของชุมชนบ้านคลอง
ทรายสัมฤทธิ์ผลได้นั้น หน่วยงานภาครัฐต้องทบทวนกระบวนการทำงานที่ผ่านมา รวมถึงสร้างความเข้าใจกับ
ชุมชนให้เห็นความสำคัญของการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ และสนับสนุนประชาชนให้เข้ามามีส่วนร่วมกับ
หน่วยงานภาครฐั มากขน้ึ พร้อมทง้ั ประสานความร่วมมือกับหน่วยงานอ่ืน ๆ เพ่ือส่งเสรมิ ให้ประชาชนมีคุณภาพ
ชีวติ ทดี่ ขี นึ้ เชน่ การสนบั สนุนให้ประชาชนประกอบอาชีพเสริม หรอื การพฒั นาระบบสาธารณูปโภค เป็นต้น ซึ่ง
การดำเนินการดังกล่าวเปน็ แนวทางทีจ่ ะ ทำให้การอนุรกั ษท์ รัพยากรป่าไม้เกดิ ความย่ังยนื อยา่ งแทจ้ ริง

7

Abstract
The research aimed to study social and economic conditions, related factors that affect

the community's partici-pation in forest conservation activities and to study the problems and
obstacles. The study was conducted through inter-view sixty-five families in Klongsai Village,
Wang Nam Khiao Sub-district, Wang Nam Khiao District, Nakhon Ratchasima Province. It was
found that most household of the samples were male. The average age was 48 years old.
Almost all of them were immigrants and had graduated from primary school. The main career
was growing crops. Factors affecting community's participation in forest conservation activities
were gender, education, benefit from forest use and the villager's attitude towards their leader
with statistical significance level at 0.05. Problems and obstacles were caused by both villagers
(e.g., they could not give all their best in forest conservation because they had to struggle for
food and shelters), and government agencies (e.g., they were not sincere in helping villagers
prolong their conservation campaign). To conserve forest resources in Moo Ban Klongsai,
government organizations should reconsider their previous performances and enhance local
people's awareness in forest resource conservation and supporting more cooperation between
government organizations and local community and connecting other government sectors. It
could be expected that to reach enduring forest conservation, government sectors should
provide local people long term occupations, health services and infrastructure to ensure that
they will not illegally encroach forest resources in the future.

8

การศกึ ษาเทคโนโลยแี ละสภาพการผลติ การตลาด และปญั หาการผลิตเบญจมาศของเกษตรกร
ตำบลไทยสามคั คี อำเภอวังนำ้ เขียว จงั หวัดนครราชสมี า

ธวัชชัย ทฆี ชุณหเถียร (2549)

บทคัดย่อ

การศึกษาเทคโนโลยีและสภาพการผลิต การตลาค และปัญหาการผลิตเบญจมาศของเกษตรกร ตำบล
ไทยสามัคคี อำเภอวังน้ำเขียว จังทวัดนครราชมา มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาข้อมูลทางเศรษฐกิจและสังคม
บางประการของเกษตรกรผู้ปลูกเบญจมาศ 2) ศึกษาเทคโนโลยีการผลิตและสภาพการผลิตเบญจมาศ และ 3)
ศึกษาปญั หา อปุ สรรค และความตอ้ งการความชว่ ยเหลือเพ่ือแก้ปญั หาการผลิตและการตลาดของเกษตรกร ทำ
การเก็บข้อมูลจากเกษตรกร 23 ราย ในเดือน มกราคม 2549 โดยใช้แบบสำรวจเข้าทำการสัมภาษณ์ พบว่า
เกษตรกรเป็นเพศหญิงร้อยละ 56.5 และเป็นเพศชายร้อยละ 43.5 ร้อยละ 87.0 แต่งงานแล้ว อายุเฉลี่ย 41.7
ปี ร้อยละ 65.2 มีความรู้ระดับประถมศึกบา เกษตรกรมีพื้นที่ปลูกเบญจมาศเฉลี่ย 4.1 ไร่ เกษตรกรร้อยละ
26.1 เช่าที่เพื่อนบ้านปลูกเบญจมาศเพิ่มเติมจากพื้นที่ของตนเองเฉลี่ยรายละ 3.1 ไร่ เกษตรกรปลูกเบญจมาศ
เฉล่ยี คนละ 80 โครงต่อปี เกษตรกรรอ้ ยละ 82.6 ปลูกเบญจมาศเปน็ อาชพี หลกั โดยผูป้ ลกู รอ้ ยละ 17.4 ท่มี กี าร
ผลิตยอดพันธุ์ไว้ใช้เองและจำหน่ายแก่สมาชิกและเพื่อนบ้าน เหตุผลที่เลือกปลูกเบญจมาศเพราะตลาดมีความ
ต้องการสูง ผลตอบแทนสูง ปลูกตามเพื่อนบ้านที่ประสบความสำเร็จ เกษตรกรปลูกเบญจมาศมาแล้วเป็นเวลา
เฉลี่ย 4.4 ปี การผลิตใช้แรงานในครัวเรือนเฉลีย่ ครอบครัวละ 2.6 คน และจ้างมาเพิ่มเติมเฉลี่ยรายละ 0.9 คน
เกษตรกรสงั กดั กลุม่ เบญจมาศเพียงร้อยละ 26.1 ผูป้ ลกู สว่ นใหญ่ รอ้ ยละ 91.3 เปน็ สมาชกิ สถาบนั การเงินต่างๆ
มีเพียงร้อยละ 34.8 ที่มีหนี้เหลือคงค้าง เกษตรกรได้รับความรู้จาก ประธานกลุ่ม เกษตรตำบล และวิทยุ
เกษตรกรร้อยละ 94.6 เคยเข้ารบั การอบรมกับหน่วยงานของกรมส่งเสริมการเกษตรในท้องท่ี เกษตรกรทุกราย
จะจ้างรถแทรกเตอร์เข้ามาไถที่ มีเพียงร้อยละ 26.1 ที่มีรถไถโรตารี และร้อยละ 60.3 มีรถกระบะเป็นขอ ง
ตนเอง สายพันธุ์ที่เกษตรกรนิยมปลูกมากที่สุดได้แก่ พันธุโพลาลีส, เรแกน, อัปป้า, มะลิ และ โมนาลิซ่า
ตามลำดับ ซึ่งมีอิทธิพลมาจากความต้องการของตลาดเป็นหลัก เกษตรกรนิยมปลูกเบญจมาศภายใต้โครง
พลาสตกิ เพ่อื กันฝน ขนาดโครงสงู 1.5 เมตร กว้าง 2.5 เมตร ยาว 20 เมตร สามารถใหผ้ ลผลิตดอกเบญจมาศ

9

โครงละ 150- 200 กิโลกรมั เฉล่ยี 165 กิโลกรมั ใชซ้ าแรน 50 % พรางแสงแกต่ น้ อ่อนท่ปี ลูกในสปั ดาห์แรกจน
ตั้งตัวได้ และจะพรางชาแรนอีกครั้งเมื่อดอกเบญจมาศเริ่มแยม้ บานเพื่อไม่ให้สีดอกซีด ดินที่ใช้ปลูกเบญจมาศ
มีทั้งดินร่วนปนทราย ดินร่วน ดินร่วนปนเหนียว และดินเหนียว อย่างละร้อยละ 30.4. 30.4. 26.1 และ 13.0
ตามลำดบั เกษตรกรทกุ รายมีการตากดนิ 5-14 วันระหว่างการไถแต่ละคร้ัง และใส่วัสดุปรุงดิน รอ้ ยละ 82.6 ใส่
ปุย๋ เคมีรองพ้นื เป็นสตู รเสมอ 15-15-15 หรือ 16-16-16 สว่ นใหญ่ใสอ่ ตั รา 1 กโิ ลกรัม ตอ่ โครง สำหรับการใสป่ ุ๋ย
ครั้งที่ 1-3 ยังนิยมใส่ปุ๋ยสูตรเสมอ แต่ก็มีสูตรที่ใส่แตกต่างกันไปมากถึง 9 สูตร ส่วนฮอร์โมนนั้นมีความนิยมใช้
ร้อยละ 65.2 รายละเอียดการให้แสงไฟมีความหลากหลายระหว่างเกษตรกรมาก พบว่าร้อยละ 90.9 นิยมใช้
หลอดนีออนวอร์มไลท์ 40 วัตต์ เกษตรกรจะคลุมผ้าดำให้เบญจมาศเพื่อให้เกิดตาดอกในเดือนกุมภาพันธ์ ถึง
กนั ยายน แต่บางรายคลุมถงึ เดือนธนั วาดม นิยมใชร้ ะยะปลูก 12.5 X 12.5 เซนตเิ มตร และปลูกโดยไม่เด็ดยอด
แหล่งน้ำที่ใช้ปลูกเป็นแหล่งน้ำธรรมชาติผิวดิน จะรดน้ำวันละ 1 ครั้งเวลาเช้าหรือบ่ายไม่เกิน 14.00 น. เพ่ือ
ไมใ่ หใ้ บเปยี กในตอนกลางคืน กำจัดวัชพืชดว้ ยการถอนด้วยมือ 2 ครงั้ มีรอ้ ยละ 26.1 ที่ใชย้ าเคมีกำจัดวัชพืช มี
โรคและแมลงรบกวนมาก แตเ่ กษตรกรขาคความรูเ้ ร่ืองโรคและแมลงทำให้การป้องกนั และกำจดั ไม่ได้ผล แมลง
ที่สำคัญได้แกำ เพลี้ยไฟ เพลี้ยอ่อน และหนอนต่าง ๆ ส่วนโรคที่พบมากได้แก่ โรคราสนิมขาว โรคราสนิม โรค
ใบจุดและโรคเหี่ยว คามลำดับ การแต่งฟอร์มดอกทั้งดอกเด่ียวและดอกช่อ จนถึงเรื่องการเก็บเกี่ยว เกษตรกร
ทำไดอ้ ย่างถูกต้องและมีความหลากหลายของวธิ ีปฏิบัติไมม่ ากนัก เวลาเก็บเกย่ี วและจำหน่ายไม่แน่นอนแล้วแต่
การจัดการเพ่ือนำส่งตลาดใหท้ ันเวลา ไม่มีการใช้สารเคมใี นการถนอมดอกไม้เกรดเอและบี มีราคาเฉลี่ย 55.22
บาท และ 42.66 บาท ต่อกิโลกรัม ตามลำดับ ร้อยละ 32.3 จะจำหน่ายที่ประธานกลุ่มและอีกร้อยละ 32.3 มี
แม่ค้ามารับถึงทีส่ วน การปลูกพืชหมุนเวียนเพื่อกำจัดโรคในดินเป็นวธิ ที ี่เกษตรกรปฏบิ ัติอย่างเคร่งครัด สำหรับ
ปัญหาของเกษตรกรพบว่ามี 10 ประเด็น เรียงตามลำดับความถี่มากไปหาน้อยได้แก่ ปริมาณและคุณภาพของ
ยอดพันธุ์ ความต้องการสายพันธุ์ดีพันธุ์ใหม่ โรคและแมลง ปัจจัยการผลิตมีราคาแพง ความไม่เป็นธรรมด้าน
ราคา การขาดแคลนแรงงานและแรงงานด้อยคุณภาพ ปัญหาดินเสื่อม ขาคเงินทุน ขาดความรู้ในการปลูก
เบญจมาศ และขาคสื่อแนะนำเทคโนโลยีการผลิตให้นักท่องเที่ยวชม โคยสรุปพื้นที่ปลูกเบญจมาศลดลงเป็น
จำนวนมากในปี 2548 เพราะไม่มีโครงการสนับสนุนจากภาครัฐ ระบบการรวมกลุ่มไม่เหนียวแน่น องค์ความรู้
และการถา่ ยทอดเทคโนโลยีไมเ่ พยี งพอ และการผลติ มีขน้ั ตอนท่ลี ะเอยี ดอ่อนมาก ในขณะทมี่ ีรายใหม่เข้ามาเพิ่ม
แต่ยังขาดความรู้และเป็นการทำตามเพื่อนบ้าน ดังนั้นจะได้ผลดีเฉพาะรายใหญ่ที่มีความรู้ ความชำนาญ และ
เงินทุนมากเท่านั้นที่ได้ผลดี เทคโนโลยีที่ใช้ในการผลิตของแต่ละรายแตกต่างกันมากและไม่ถูกต้องหรือขาด
ความร้คู วามเขา้ ใจ เช่น เร่ืองการใช้ปยุ๋ การใหแ้ สงไฟ โรคและแมลง เปน็ ตน้ สว่ นเทคนคิ ท่ีเขา้ ใจกนั ดเี ปน็ เทคนิค
ที่ใช้ความสะดวกในการปฏิบัติเป็นเกณฑ์ เช่น การเตรียมดิน การให้น้ำ การแต่งดอก การเก็บเกี่ยว และการ

10

ปลูกพืชหมูนเวียน เป็นต้น เมื่อพิจารณาปัญหาต่าง ๆ ของเกษตรกร พบว่าเป็นปัญหาที่ไม่สามารถแกป้ ัญหาได้
โดยเกษตรกรเอง ตอ้ งอาศัยภาครฐั เขา้ ดำเนนิ การและในรูปแบบของการบรู ณาการจากหลาย ๆ หนว่ ยงาน และ
ต้องทำการวิจัยในแปลงเกษตรกรแบบเกษตรกรมีส่วนร่วม (fanner participatory approach) แล้วถ่ายทอด
ผลวิจัยที่เป็นเทคโนโลยีที่เหมาะสมต่อไป เช่นปัญหาการปรับปรุงพันธุ์ การขยายยอดพันธุ์ที่ปลอดโรคจากการ
เพาะเนื้อเยื่อให้เพียงพอ การปรับปรุงดิน การให้แสงไฟ และการลดต้นทุน นอกจากนี้ควรพิจารณาเรื่อง
การตลาดที่ไมใ่ หม้ กี ารกดราคาและกดเกรดอีกด้วย

11

การบริหารจดั การแหล่งพกั อาศัยแบบโฮมสเตย์ ตามแนวทางปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง : กรณีศกึ ษา
หมบู่ า้ นบไุ พร อำเภอวังนำ้ เขียว จังหวดั นครราชสีมา

HOMESTAY MANAGEMENT BASED ON THE SUFFICIENCY ECONOMY CONCEPT
: A CASE STUDY OF BAANBUSAI WANG NAM KHIAO DISTRICT,
NAKHON RATCHASIMA PROVINCE

ยุทธนา สมลา (2549)

บทคดั ย่อ

วิเคราะห์แนวทางการนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาพัฒนาที่พักอาศัยแบบโฮมสเตย์ ร่วมกับการนำ
ภูมิปัญญาท้องถิ่น ทรัพยากรท้องถิ่น รวมถึงวิถีชีวิตชุมชนมาใช้อย่างเหมาะสม มีการกำหนดพื้นที่ศึกษาใน
หมู่บ้านบุไทร อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา โดยยึดดัชนีชี้วัด 8 ด้านของโฮมสเตย์ มาตรฐานสำหรับ
การบริหารจัดการ ได้แก่ ด้านที่พัก ด้านอาหารและโภชนาการ ด้านความปลอดภัย ด้านการจัดการ ด้าน
กจิ กรรมทอ่ งเท่ยี ว ด้านสง่ิ แวดลอ้ ม ดา้ นมลู ค่าเพม่ิ และด้านสง่ เสรมิ การตลาด

กระบวนการวจิ ัยได้มีการเกบ็ ข้อมลู จากข้อมูลทตุ ยิ ภูมิก่อนในเบื้องต้นเพ่ือทราบถงึ ข้อมลู ทัว่ ไปของพื้นที่
ศึกษา และการเก็บข้อมูลในภาคสนามที่ได้จากการสัมภาษณ์และสังเกต โดยแยกแบบสอบถามออกเป็น 3 ชุด
สำหรับกลุ่มประชากร 4 กลุ่ม คือ (1) กลุ่มเจ้าของบ้านพักโฮมสเตย์ จำนวน 18 หลัง เก็บข้อมูลได้ 100% (2)
กลมุ่ สมาชกิ ทเ่ี ขา้ ร่วมกจิ กรรมอืน่ ของโฮมสเตย์ เกบ็ ขอ้ มลู ได้ 54 ราย จาก 110 ราย (3) กลุ่มนกั ท่องเทย่ี ว มีการ
เก็บข้อมูลตั้งแต่เดือนตุลาคม 2549-มกราคม 2550 สามารถเก็บข้อมูลได้ 80 ราย และ (4) กลุ่มผู้นำโฮมสเตย์
ใช้วิธีการเกบ็ ขอ้ มูลดว้ ยการสมั ภาษณ์จากผนู้ ำกลุม่ โฮมสเตย์ฯ และกรรมการบรหิ าร ทง้ั หมดจำนวน 3 ราย

ผลจากการศึกษาวิจัยพบว่า ชุมชนบ้านบุไทรได้มีการรวมกลุ่มสมาชิกเปิดทำที่พักอาศัยแบบโฮมสเตย์
เพื่อเป็นกิจกรรมสร้างรายได้เสริมแก่ชุมชน โดยยึดเอาหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาแนวทางในการ
ดำเนินงาน เพื่อให้การบริหารจัดการทรัพยากรของชุมชนเกิดความสมดุล และอยู่บนพื้นฐานของการพึ่งพา
ตนเองอย่างแท้จริง ผลจากการใช้หลกั ความพอประมาณ โฮมสเตย์บ้านบุไทรมีการวางแผนในการใชท้ รัพยากร
อย่างเหมาะสมและเกิดประโยชน์ต่อชุมชน ทั้งส่วนที่เป็นที่พัก การให้บริการ และกิจกรรมท่องเที่ยว ล้วนเกิด
จากการใช้ทรัพยากรภายในท้องถิ่นเป็นหลกั ทำให้ลดต้นทนุ ในการดำเนินงานลง รวมถึงในการดำเนินกจิ กรรม
ต่างๆ นั้น ได้มีการกำหนดบทบาทหน้าที่ให้สอดคล้องกับศักยภาพของแต่ละบุคคล ทำให้การเข้าร่วมกิจกรรม
นั้นไม่ส่งผลเสียต่อการดำเนินชีวิตประจำวันของเหล่าสมาชิก การใช้หลักความมีเหตุมีผล ทำให้การวางแผน

12

ดำเนินงานของโฮมสเตย์บ้านบุไทร มีความสอดคล้องกับเหตุและปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับชุมชนทั้งในด้านวิถีชีวิต
และวัฒนธรรม ประเพณีท้องถิ่น โดยอาศัยการมีส่วนร่วมของชุมชน รวมถึงการเสนอข้อคิดเห็นต่างๆ ในการ
ดำเนินงาน การใช้หลักภูมิคุ้มกัน ทำให้สมาชิกที่ทำโฮมสเตย์ลดความเสี่ยงทางด้านการเงิน โดยมีสหกรณ์ออม
ทรัพย์ของชุมชนเป็นแหล่งเงินทุนดอกเบี้ยต่ำ ช่วยป้องกันผลกระทบต่อวัฒนธรรม ประเพณีท้องถิ่นและ
สิ่งแวดล้อม ด้วยการกำหนดกฎระเบียบ รวมถึงสร้างภูมิคุ้มกันด้านสิ่งแวดล้อมด้วยการปลูกฝังเยาวชนให้
ช่วยกันดูแลรักษา ส่วนเงื่อนไขด้านความรู้ ส่งผลให้เกิดการพัฒนาภูมิปัญญาท้องถิ่นมาประยุกต์กับศาสตร์
สมัยใหม่ ออกมาในรูปของผลิตภัณฑ์เพื่อสร้างรายได้ อีกทั้งยังสร้างความน่าสนใจให้กับโฮมสเตย์ด้วยการเป็น
แหล่งเรียนรู้ด้านเกษตรกรรม สุดท้ายคือเงื่อนไขด้านคุณธรรม ส่งผลให้การดำเนินงานมีความโปรง่ ใส และการ
กระจายรายได้ที่เป็นธรรม มุ่งไปที่ผลประโยชน์โดยรวมของชุมชนเป็นที่ตั้ง ทำให้เกิดความสามัคคีขึ้นในกลุ่ม
สมาชิก ซึ่งปัจจัยสำคัญที่สร้างความสำเร็จในการทำโฮมสเตย์ของชุมชนบ้านบุไทรนั้น มาจากภาวะความเป็น
ผนู้ ำของประธานกลุม่ ฯ ท่ีเล็งเหน็ ถงึ ความสามารถของชุมชนในการทจ่ี ะพฒั นาทรัพยากรท่ีมีอยู่ใหเ้ กิดมูลค่าเพิ่ม
รวมถึงต้องการยกระดับคุณภาพชีวิตของชุมชน และส่วนสำคัญอีกประการหนึ่งคือ การมีส่วนร่วมของเหล่า
สมาชิกที่มีจดุ มุ่งหมายเดียวกัน ในการทจ่ี ะพฒั นาชุมชนให้มีความก้าวหนา้ และเกดิ ความเขม้ แข็ง โดยยึดหลักใน
การพึ่งพาตนเองเป็นสำคัญ ซึ่งปัจจัยเหล่านี้จะเป็นรากฐานที่เข้มแข็งให้กับชุมชนในการพัฒนาในสู่ความยัง่ ยืน
ต่อไป ส่วนปัญหาที่พบก็คือ ชุมชนยังใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ยังไม่เต็มความสามารถ ทั้งบุคลากรและสถานท่ี
ท่องเที่ยวทางธรรมชาติ ชุมชนยังขาดการวางแผนการใช้ทรัพยากรในระยะยาว โดยเฉพาะแหล่งน้ำ อันเป็นผล
สืบเนื่องจากนักท่องเที่ยวโฮมสเตย์และนักท่องเที่ยว ทีเข้ามาพักในรีสอร์ทใกล้เคียงมีจำนวนเพิ่มขึ้นทุกปี
ข้อเสนอแนะสำหรับงานวิจัยครั้งนี้คือ ควรสร้างความเข้าใจและกระบวนการเรียนรู้ร่วมกันในหมู่สมาชิก ควร
พัฒนาโฮมสเตย์จากฐานทรัพยากรท่ีมอี ย่ใู หเ้ กดิ ความหลากหลายมากขนึ้ และควรวางแผนในการบริหารจัดการ
ทรัพยากรของท้องถิ่นในระยะยาว โดยอาศัยความร่วมมือจากหน่วยงานราชการในการให้คำปรึกษาและวาง
ระบบ

13

Abstract

In this study, we focus on a homestay accommodation administration and management
based on the sufficiency economy concept. The study aims to analyze an application of the
sufficiency economy concept to developing homestay accommodation by exercising local
wisdom, resource management principles, with the community's way of life being taken into
account. Baan Busai, Wang Nam Khiao District. Nakhon Ratchasima Province, is our study site.
Eight aspects of homestay are used as indexes for categorizing management standards: aspects
of physical characteristics (i.e. buildings. infrastructure): food and hygiene; safety. management
sightseeing and entertaining activities; environment: value added; and marketing promotion
plan.

At the beginning, data was collected from secondary sources in order to provide an
overview of Baan Bisai. Then, further data collected from field study was derived from
interviews and observation. Questionnaires are divided into 3 types for 4 subject groups:
homestay accommodation owners; members participating in homestay's activities: tourists; and
homestay accommodation leaders. (1) Homestay accommodation owners: 18 homestay
accommodations. All data was collected. (2) Members participating in homestay activities: 54
from 110 questionnaires were collected. (3) Tourists: data was collected between October
2006 - January 2007: 80 tourists. (4) Homestay accommodation leaders and management
committee: 3 people were interviewed.

The study’s from the homestay. Their homestay management is based on the concept
of sufficiency economy to achieve a balanced resource allocation and the community's
self-reliance. Having exercised the Moderation Principle, the Baan Busai Homestay has
successfully utilized community resources beneficially and suitably. The accommodation itself,
services and sightseeing of activities are all locally oriented, and hence the cost can be lowered.
Moreover, each member of staff is assigned to take responsibility according to his/her potential.
Therefore, his/her participation in homestay activity does not badly affect his/her daily life.
Applying the Sensibility Principle enables the planning of the Baan Busai Homestay to be in

14

accordance with the community's culture. tradition, and lifestyle. Community involvement is
indeed one of the key factors in the success of the Baan Busai Homestay. The Immunization
Principle helps reduce the financial risks of homestay. A local saving cooperative is set up as a
helpful source of investment with low interest rates. This helps protect against possible bad
impact on culture, local tradition, and the environment by stipulating necessary rules and
regulations. The Baan Busai Homestay also place equal emphasis on creating environmental
immunity by teaching the youth to preserve the environment. The Knowledge Condition leads
to an amalgamation of local wisdom and modem fields of study which result in profitable
products. The Baan Busai Homestay also ties to adapt itself to be an agricultural knowledge
center. The Moral Condition makes management and implementation transparent and
accountable. Wealth distribution is fair and for the benefit of the whole community. As a result,
all group members are united. The key factor contributing to the Baan Busai Homestay's success
is leadership of the group leader who realizes the community and individuals' potentials. He
manages to successfully add value to the existing resources and upgrade the community's
quality of life. Another key factor leading to the success of the Baan Busai Homestay is'
community involvement: community members all share common goats in developing and
strengthening their community. All the above-mentioned factors lead to the community
sustainable development. However, group members also encounter some problems. The
community has not yet optimized the use of available resources, especially human capacity
and natural attractions. Community members still lack long-term planning for resource
utilization, particularly water resources. This problem becomes obvious when tourists
increasingly visit Baan Busai Homestay each year, From this study, it is recommended that
understanding and cooperative leaning among group members be encouraged. Homestay
accommodation should be further developed by using and diversifying available resources.
Long-term management of local resources should be introduced together with government
agencies' assistance in providing consultation especially systematic planning.

15

รูปแบบการบรหิ ารจัดการวตั ถดุ ิบไมโ้ ตเร็วเพอ่ื เปน็ พลังงานทดแทนในการผลติ กระแสไฟฟา้
พลงั งานชีวมวลและแก๊สหุงต้ม

The Utilization of Fast Growing Tree Species for Renewable Energy
to Produce Electricity and Fuel Gas

ศนู ย์วิจัยปา่ ไม้ (2550)

สรปุ ผลการศึกษา

1. การสร้างแปลงรวมพนั ธุ์ไม้ยูคาลิปตัส ณ สถานีฝกึ นิสติ วนศาสตรว์ งั น้ำเขยี ว

1.1. อัตราการรอดตายและการเติบโตของยูคาลิปตัส คามาลดูเลนซิส ในแปลงทดสอบสาย
พนั ธุ์ รุ่นท่ี 2 มคี วามผันแปรไปตามสายพันธ์ุ ในช่วงปีแรกสายพันธ์ทุ ่ีมีอัตราการเติบโตสูง ไดแ้ ก่ สายพันธุ์ท่ีมีถ่ิน
กำเนิดจาก Flat Rock Pool และ Eccles Ck/Tributaries รวมทั้งแหล่งเมล็ดในประเทศไทย เช่น สายพันธุ์
หมายเลข 236, 244, 995 และ 997 เป็นต้น สำหรับในปีที่สองอัตราการเติบโตของสายพันธุ์ที่มีถิน่ กำเนิดจาก
Kennedy River, Flat Rock Pool และ Eccles Ck/Tributaries ดีกว่าสายพันธุ์จากถิ่นกำเนดิ อื่น รวมทั้งสาย
พันธุ์ที่ไดจ้ ากแหล่งเมลด็ ในประเทศไทย เช่น สายพันธุ์หมายเลข 232, 236 และ 997 เป็นต้น มีบางสายพันธุท์ ่ี
อัตราการเติบโตในปีแรกปานกลาง แต่มอี ัตราการเติบโตอยา่ งรวดเร็วในปที ส่ี อง นอกจากนีย้ งั พบวา่ มสี ายพันธ์ุที่
ได้จากการคัดเลือกจากแหล่งเมล็ดในประเทศไทยที่มีอัตราการเติบโตอยู่ในลำดับแรกๆ แสดงให้เห็นถึงการ
ปรบั ตัวของยูคาลปิ ตสั คามาลดูเลนซิส ใหเ้ ขา้ กบั พนื้ ทีป่ ลกู จากร่นุ หน่งึ ไปยงั อกี รุ่นหนึง่

1.2. อัตราการรอดตายและการเตบิ โตของยูคาลิปตัส ในแปลงรวมพันธ์ุ มคี วามผนั แปรไปตาม
clone ในช่วงปีแรก D1 และ K51 มีอัตราการเติบโตใกล้เคียงกันแต่ดกี ว่า K69 และ K61 ตามลาดับ แต่ในปีท่ี
สอง K51 มีอัตราการเติบโตอย่างรวดเร็วทาให้มีความสูงและความโตมากที่สุด รองลงมา ได้แก่ D1, K69 และ
K61 ตามลำดบั

1.3. อตั ราการเติบโตเฉล่ยี ของ 20 สายพันธ์ทุ ีด่ ที ส่ี ุดในแปลงทดสอบสายพนั ธ์ุ ร่นุ ที่ 2 ในชว่ งปี
แรกใกล้เคียงกับ D1 และ K51 แต่ในปีที่สอง K51 มีอัตราการเติบโตรวดเร็วทั้งทางด้านความโต และความสูง
ทำให้มีขนาดโดยเฉลี่ยใหญ่กว่าค่าเฉลี่ยของ 20 สายพันธุ์ดังกล่าว อย่างไรก็ตาม การคัดเลือกเบื้องต้นจาก
คา่ เฉลี่ยของสายพันธรุ์ ว่ มกับการคดั เลือกเป็นรายต้นจากสายพันธ์ุที่มีการเตบิ โตทีด่ ี หรอื ท่ีเรียกว่า Family plus
within family selection น่าจะเป็นแนวทางหนึ่งในการคัดเลือกต้นไม้ที่อัตราการเติบโตที่ดีเพื่อนำไป
ขยายพนั ธโ์ุ ดยใช้เมล็ดหรือกิ่งพนั ธต์ุ ่อไป

16

2. การเตบิ โตและความสัมพันธ์ในมิตติ า่ งๆ ของการปลูกยคู าลิปตสั ในแต่ละรปู แบบ

จากการศึกษาความสัมพันธ์ของการปลูกยูคาลิปตัสในสองรูปแบบได้แก่การปลกู ไมย้ ูคาลิปตัสแบบสวน
ป่าเชิงเด่ียว และการปลูกยูคาลิปตัสบนคนั นา โดยพบว่าความสมั พันธร์ ะหว่าง ขนาดเสน้ ผ่าศูนย์กลางที่ความสูง
เพียงอก มีความสัมพันธ์กับ น้ำหนัดสดของลำต้น น้ำหนักสดส่วนที่เป็นสินค้าได้ ปริมาตรลำต้นทั้งหมด และ
ปริมาตรทเี่ ป็นสินค้าได้ ดังนี้

มติ คิ วามสมั พันธ์ อายุ การปลกู แบบสวนป่า การปลูกบนคนั นา
DBH กับ Ht
ความสัมพนั ธ์ R2 ความสมั พนั ธ์ R2
DBH กับ Hm
DBH2Ht กบั Wt 1 Y=2.194(DBH)0.613 0.905 Y=1.783(DBH)0.845 0.928

2 Y=5.746(DBH)0.304 0.927 Y=2.251(DBH)0.705 0.901

3 Y=2.736(DBH)0.655 0.908 Y=0.982(DBH)1.020 0.932

4 Y=2.417(DBH)0.800 0.961

2 Y=0.000(DBH)3.883 0.952 Y=7E-08(DBH)8.355 0.863

3 Y=0.005(DBH)3.065 0.822 Y=0.039(DBH)2.069 0.960

4 Y=0.184(DBH)1.649 0.951

1 Y=0.069(DBH2H)0.907 0.998 Y=0.114(DBH2H)0.827 0.982

2 Y=0.132(DBH2H)0.822 0.981 Y=0.088(DBH2H)0.880 0.983

3 Y=0.140(DBH2H)0.815 0.996 Y=0.084(DBH2H)0.899 0.999

4 Y=0.073(DBH2H)0.925 0.983

มติ ิความสัมพนั ธ์ อายุ การปลกู แบบสวนปา่ การปลกู บนคนั นา
DBH2Hm กบั Wm
DBH2Ht กบั Vt ความสมั พนั ธ์ R2 ความสัมพนั ธ์ R2

DBH2Hm กบั Vm 2 Y=0.034(DBH2H)1.166 0.961 Y=1.032(DBH2H)464 0.986

3 Y=0.204(DBH2H)0.815 0.997 Y=0.255(DBH2H)793 0.999

4 Y=0.152(DBH2H)0.816 0.996

1 Y=0.013(DBH2H)0.778 0.99 Y=0.017(DBH2H)0.848 0.998

2 Y=0.012(DBH2H)0.830 0.978 Y=0.021(DBH2H)0.818 0.994

3 Y=0.012(DBH2H)0.831 0.989 Y=0.039(DBH2H)0.725 0.99

4 Y=0.022(DBH2H)0.777 0.966

2 Y=0.010(DBH2H)0.849 0.992 Y=0.075(DBH2H)0.555 0.856

3 Y=0.018(DBH2H)0.744 0.962 Y=0.025(DBH2H)0.787 0.998

4 Y=0.008(DBH2H)0.902 0.998

17

3. การจดั ทำฐานขอ้ มลู ไม้ยูคาลปิ ตัสเพื่อการประเมนิ ผลผลิตไม้ยคู าลิปตัสในระดบั ตำบล

ผลการศึกษาพบว่าพบว่าพื้นที่ทั้งหมดอยู่ในชั้นสมรรถนะที่ 2 ซึ่งหมายถึง เป็นชั้นที่มีความเหมาะสม
ปานกลางต่อการปลกู ยูคาลิปตัส และ เมอ่ื นำสมการการเจรญิ เตบิ โตมาประเมนิ เพื่อหาปรมิ าณของยูคาลิปตัสใน
พื้นทท่ี ัง้ หมดของตำบลวังน้ำเขยี ว สามารถประเมินน้ำสดท้ังหมดของลำต้นของการปลกู ในรูปแบบแปลงสวนป่า
เชิงเดี่ยว และ การปลูกบนคันนา เท่ากับ 3,142.97 และ 517.039 ตัน ตามลำดับ สาหรับน้ำหนักส่วนที่เป็น
สินค้าได้ของลำต้น ของการปลูกในรูปแบบแปลงสวนป่าเชิงเดี่ยว และการปลูกยูคาลิปตัสบนคันนา เท่ากับ
427.37 และ 104.10 ตัน และ น้ำหนักของไม้ฟืนของการปลูกในรูปแบบแปลงสวนป่าเชิงเดี่ยว และ การปลูก
บนคันนา เท่ากับ 2,715.60 และ 412.93 ตนั ตามลำดบั

4. การศกึ ษาตน้ ทุนและผลตอบแทนในการปลกู ยูคาลิปตสั ในรูปแบบต่าง ๆ

ต้นทุนจากการดำเนินการของการปลูกทั้ง 3 รูปแบบ ได้แก่ การปลูกยูคาลิปตัสควบมันสำปะหลัง การ
ปลกู ยคู าลปิ ตสั บนคันนา และ การปลูกยูคาลปิ ตัสแบบสวนปา่ เชงิ เดี่ยว คดิ เปน็ 11,039 23,410 และ 7,777.50
บาทต่อไร่ เมื่อทำการคำนวนหาค่ามลู ค่าปัจจุบันของต้นทุน (PVC) โดยใช้อัตราดอกเบ้ีย 4 ระดับคือ 5% 10%
15 % และ 20% คิดเปน็ มูลคา่ ค่าดงั นี้

การปลูกยคู าลปิ ตสั ควบมันสำปะหลงั 9,778.63 8,786.57 7,988.37 และ 7,333.56 บาทต่อไร่

การปลกู ยูคาลิปตสั บนคนั นา 19,442.04 16,437.74 14,117.56 และ 12,293.21 บาทตอ่ ไร่

การปลกู ยูคาลปิ ตสั แบบสวนปา่ เชงิ เด่ยี ว 6,749.58 5,954.13 5,325 และ 4,817.60 บาทตอ่ ไร่

รายได้จากการดำเนินการของการปลูก ทง้ั 3 รปู แบบ ไดแ้ ก่ การปลกู ยูคาลิปตัสควบมนั สำปะหลัง การ
ปลูกยูคาลิปตัสบนคันนา และ การปลูกยูคาลิปตัสแบบสวนป่าเชิงเดี่ยว คิดเป็น 35,080 19,800 และ 14,875
บาทต่อไร่ เมื่อทำการคำนวนหาค่ามูลค่าปัจจุบันของรายได้ ณ อัตราดอกเบี้ย 5% 10% 15 % และ 20% คิด
เปน็ มลู ค่าคา่ ดงั น้ี

การปลูกยูคาลิปตัสควบมนั สำปะหลัง17,103.98 14,876.03 13,018.82 และ 11,458.33 บาทตอ่ ไร่

การปลูกยคู าลปิ ตัสบนคนั นา 30,303.41 26,356.10 23,065.67 และ 20,300.93 บาทตอ่ ไร่

การปลูกยูคาลปิ ตัสแบบสวนปา่ เชงิ เดี่ยว 12,849.58 11,175.80 9,780.56 และ 8,608.22 บาทตอ่ ไร่

18

การประเมินผลตอบแทนของการดำเนินการ ได้ผลการศกึ ษาดงั น้ี
1. อัตราส่วนผลได้ต่อต้นทุน (B/C) พบว่า การปลูกยูคาลิปตัสควบมันสำปะหลัง การปลูก ยูคาลิปตัส
บนคันนา และ การปลูกยูคาลิปตัสแบบสวนป่าเชิงเดี่ยว มีค่า B/C เท่ากับ 1.70 1.45 1.76 ซึ่งทั้ง 3 รูปแบบ
การปลกู มีค่า B/C มากกวา่ 1 ซง่ึ มคี วามคุ้มค่าในการลงทนุ ทง้ั 3 รปู แบบการปลกู
2. มูลค่าปัจจบุ นั สทุ ธิ (NPV) พบว่า การปลกู ยูคาลปิ ตสั ควบมนั สำปะหลัง การปลูกยคู าลปิ ตสั บนคันนา
และ การปลูกยูคาลิปตัสแบบสวนป่าเชงิ เด่ียว มคี า่ NPV เท่ากบั 7,138.61 8,716.59 และ 5,157.00 บาทต่อไร่
ซง่ึ NPV มคี า่ เป็นบวกสรุปไดว้ า่ คุ้มคา่ ในการลงทนุ ทง้ั 3 รูปแบบการปลูก
3. อัตราผลตอบแทนของโครงการ (IRR) พบว่า การปลูกยูคาลิปตัสควบมันสำปะหลัง การปลูกยูคา
ลิปตัสบนคันนา และ การปลูกยูคาลิปตัสแบบสวนป่าเชิงเดี่ยว มีค่า IRR เท่ากับ 79.30 84.73 และ 37.24
ตามลำดบั มคี วามคุ้มค่าและเปน็ ไปได้ในการลงทุนท้ัง 3 รปู แบบ

19

เครือข่ายและกระบวนการส่ือสาร เพ่อื ส่งเสริมการท่องเทยี่ วเชิงเกษตร ของชมรมการท่องเที่ยวเชิงเกษตร
อำเภอวังนำ้ เขียว จงั หวดั นครราชสีมา

COMMUNICATION NETWORK AND PROCESS TO PROMOTE AGRO - TOURISM OF
AGRO - TOURISM CLUB IN WANGNAMKEAW DISTRICT, Nakhonratchasima PROVINCE

นชั นันท์ มขุ แจง้ (2550)

บทคัดยอ่

การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาลักษณะเครือข่ายและกระบวนการสื่อสารเพื่อส่งเสริมการ
ท่องเที่ยวเชิงเกษตรของชมรมการท่องเที่ยวเชิงเกษตร อ.วังน้ำเชียว จ.นครราชสีมา โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชงิ
คณุ ภาพดำเนนิ การเก็บรวบรมข้อมูลดว้ ยการสมั ภาษณแ์ บบเจาะลึกผใู้ ห้ขอ้ มลู สำคัญ จำนวน 25 คน ผลการวิจยั
พบว่า ลักษณะเครือข่ายของชมรม เป็นเครือข่ายที่มีความหลากหลาย มีประธานชมรมเป็นศูนย์กลาง
องค์ประกอบของเครือข่ายประกอบด้วย 4 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มแกนนำ กลุ่มสมาชิกขมรม กลุ่มหน่วยงานและ
บุคคลภายนอกชมรม และกลุ่มนักท่องเที่ยว โดยการสื่อสารภายในเครือข่าย พบว่า มีทั้งการสื่อสารสองทาง
แบบเป็นทางการ คือ การประชุมและการสง่ั การด้วยคำพดู และการสือ่ สารสองทางแบบไมเ่ ป็นทางการ คือ การ
พูดคุยกนั โดยตรง

นอกจากนี้ผลการวิจัยยังพบอีกว่ากระบวนการสื่อสารภายในเครือข่ายการสื่อสารของชมรมมีประเด็น
การสื่อสารกัน 3 ประเด็น ได้แก่ ประเด็นความเคลื่อนไหวต่างๆของชมรม ประเด็นทั่วๆไปและประเด็นการ
แก้ไขปัญหาต่างๆภายในชมรมโดยใช้การสื่อสารระหว่างบุคคล โดยเป็นการสื่อสารแบบไม่เป็นทางการที่มีทิศ
ทางการสื่อสารแบบสองทางทางในทุกประเด็นการสื่อสาร และยังพบว่าเส้นทางการไหลของข่าวสารเป็นแบบ
แนวนอนในทุกประเดน็ การสอื่ สารอกี ด้วย

20

Abstract
This research aims at studying the communication network and process in the network

of Agro-tourism Club in Wangnamkeaw, Nakhonratchasima. A qualitative research method with
an in-depth interview technique was used to collect data from 25 pers results of the research
showed that The Club has various networks and has the leader as the center. The component
of the networks has 4 groups: leader groups, member groups, alliances groups, and tourists
groups. The characteristics of communication pattern of The Club are both formal two-way
communication by means of arranging meetings and leaving orders and informal two-way
communication by means of face-to-face conversation.

Moreover the research found that the communication process in the Club is Informal
two-way communication and is in the horizontal process which are composed of activities of
activity related issues, general issues and problem solving of the Club.

21

เทคนคิ เพือ่ กระตนุ้ การเกิดสารหอมในไม้กฤษณาโดยการสรา้ งบาดแผล
Treatment Techniques to Stimulate Incensed Resinous Wood Formation of Agarwood

(Aquilaria crassna Pierre ex Lec.) by Intentional Wounding
วชิ าญ เอยี ดทอง (2552)

บทคดั ยอ่
การศึกษาเพื่อคัดเลือกเทคนิคใช้ในการกระตุ้นการสะสมสารหอมของเนื้อไม้ในต้นกฤษณาอายุ

ประมาณ 18 ปี ซึ่งปลูกไว้ในบริเวณสถานีฝึกงานนิสิตวนศาสตร์วังน้ำเขียว อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัด
นครราชสีมา ได้คัดเลือกต้นกฤษณา 4 ต้น มีขนาดเส้นรอบวงที่ระดับความสูงเพียงอกอยู่ระหว่าง 84.5-108.5
เซนติเมตร แลว้ ทำการเจาะลำตน้ ดว้ ยดอกสว่านขนาด 8 มิลลิเมตร กระต้นุ ใหเ้ กิดการสะสมสารหอม ใช้เง่ือนไข
จำนวน 17 ชุดการทดลอง วัตถุประสงคเ์ พือ่ ศกึ ษารปู แบบการสะสมสารหอมและฤดกู าลที่มีผลต่อการสะสมสาร
หอม และคุณภาพของเนื้อ ไม้หอมที่ได้ในแต่ละชุดการทดลอง เก็บข้อมูลทุกๆ 3 เดือนหลังการเจาะและเก็บ
ขอ้ มูลตอ่ เน่ืองตดิ ต่อกันจนครบ 12 เดอื น ผลการศึกษาพบว่าการสะสมสารหอมของต้นกฤษณามี 3 รูปแบบคือ
รูปแบบที่ 1 เกิดเป็นวงบางๆ รอบรอยแผลและมีไม้ผุแทรกกั้นระหว่างกับรูเจาะ รูปแบบที่ 2 เกิดเป็นวงรอบ
รอยแผลและไม่มเี นื้อไม้พุ และรูปแบบท่ี 3 ไมเ่ กดิ การสะสมสารหอมเลย ผลการเปรียบเทียบการสะสมสารหอม
ในเนื้อไม้กฤษณาระหว่างฤดูฝนกบั ฤดแู ล้งพบว่า ในฤดูแล้งเกิดในปริมาณมากกว่าและการเกดิ เนื้อไม้ผุนอ้ ยกวา่
ชุดการทดลองที่กระตุ้นการสะสมสารหอมได้ดีตามลำดับมากไปหาน้อยดังนี้คือ ชุดการทดลองเจาะรูใส่สาร
0.1M methyl jasmonate, 0.01M methyl jasmonate, 5% Ethrel และ 10% Ethrel ตามลำดับ

22

Abstract
Treatments applied to stimulate resinous wood accumulation that was suitable for

incense were studied on 18-year-old agarwood trees, planted at the Wang Nam Khiew forestry
student training station, Wang Nam Khiew district, Nakhon Ratchasima province. Four agarwood
trees, with girth at breast height in the range 54.5-108.5 cm were selected. The intentional
wounding was made using a drill fitted with an 8-mm bit and 17 treatments using various
chemical combinations were then applied on the wounds to induce resinous wood
accumulation. The aims of these experiments were to investigate the patterns and quality of
the accumulated resinous wood for incense and variation due to seasons. Data were collected
over intervals of 3, 6, 9 and 12 months. The results showed three patterns of resinous wood
accumulation. Pattern 1 had a thin band of resinous wood that appeared as an elliptical ring
between the decayed wood and normal wood surrounding the hole. Pattern 2 featured
resinous wood that appeared as an elliptical ring directly next to the hole but without any
decayed wood, while pattern 3 involved an absence of resinous wood but with decayed wood
next to the hole. An analysis of seasonal differences showed a higher volume of resinous wood
accumulated in the dry season than in the rainy season and there was less decayed wood in
the dry season. Treatment with 0.1M methyl jasmonate, 0.01M methyl jasmonate, 5% Ethrel
and 10% Ethrel, produced progressively higher volumes of resinous wood, respectively.

23

การทดสอบไม้ยคู าลปิ ตัส คามาลดูเลนซิสรนุ่ ทสี่ อง
บริเวณสถานีฝกึ นิสติ วนศาสตร์วงั น้ำเขียว จังหวดั นครราชสมี า

The Second Generation Test of Eucalyptus camaldulensis Dehnh. at Wang Nam Khiao
Forestry Student Training Station, Nakhon Ratchasima Province

สุณสิ ยอดนาม (2552)

บทคัดย่อ

การศึกษาการเติบโต ลักษณะรูปทรง ค่าการถ่ายทอดทางพันธุกรรม และลายพิมพ์ดีเอ็นเอยูคาลิปตัส
คามาลดูเลนซิส อายุ 24 เดือน ในแปลงทดสอบไม้รุ่นที่สอง บริเวณสถานีฝึกนิสิตวนศาสตร์วังน้ำเขียว จังหวัด
นครราชสีมา ใช้เมล็ดจากสวนเมลด็ พันธุร์ ุ่นท่ีหนึง่ ของกรมป่าไม้ 21 ถิ่นกำเนิด และ 1 แหล่งเมล็ดไม้ที่คัดเลือก
ในประเทศไทย นอกจากน้ียังเก็บเมล็ดทั่วไปในประเทศไทย (control) อีก 1 แหล่งเมล็ด รวมทั้งสิ้น 23 ถิ่น
กำเนิด/แหล่งเมล็ด จำนวน 120 สายพันธุ์ วางแผนการทดลองแบบ Latinized row-column design จำนวน
8 ซำ้ ผลการศกึ ษาพบว่า อัตราการรอดตายมีความผันแปรตั้งแต่ร้อยละ 45-100 สายพนั ธุท์ ี่มีถ่ินกำเนิดจากแม่
พันธุ์รุ่นที่หนึ่งจาก Walsh-Mitchell River, Queensland มีการเจริญเติบโตดีที่สุด โดยเฉพาะสายพันธ์ุ
188 และ 187 จากถิ่นกำเนิด Healeys Yard นอกจากนี้ สายพันธุ์จากแหล่งเมล็ดที่คัดเลือกในประเทศไทยท่ี
ผ่านการปรับปรุงพันธุ์แล้ว ยังมีแนวโน้มการเติบโตทั้งความโตและความสูงอยู่ในกลุ่มสูงสุด แตกต่างกันอย่างมี
นัยสำคัญกับแหล่งเมล็ดทั่วไปในประเทศไทย ซึ่งแสดงถึงความสำเร็จของการปรับปรุงพันธุ์ไม้ยูคาลิปตัสใน
ประเทศไทย ในขณะที่ลักษณะรูปทรงของต้นไม้ มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติระหว่างถิ่นกำเนิด
แต่แตกต่างอย่างไม่มีนยั สำคญั ทางสถติ ิ ระหวา่ งสายพันธภุ์ ายใตถ้ ิ่นกำเนิดเดยี วกัน การทำลายของแตนฝอยปม
มีความแตกต่างอย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติทั้งระหว่างถิ่นกำเนิดและสายพันธุ์ภายใต้ถิ่นกำเนิดเดียวกัน สาย
พันธุ์ที่ได้จากสวนเมล็ดพันธุ์รุ่นที่หนึ่งนั้น ส่วนใหญ่มีลักษณะลำตน้ เปลาตรง กิ่งมีขนาดเล็กกว่าหนึ่งในสามของ
ขนาดลำตน้ ไม่แตกง่ามและมีการลิดกิ่งตามธรรมชาติ เหนอื กวา่ เมลด็ ท่เี ก็บจากแหลง่ เมลด็ ทั่วไปในประเทศไทย
การถ่ายทอดลักษณะการเติบโตของต้นไม้ มีแนวโน้มได้รับอิทธิพลจากพันธุกรรม แต่การถ่ายทอดลักษณะ
รูปทรงต้นไม้ ค่อนข้างเป็นผลมาจากปัจจยั ส่งิ แวดล้อม โดยศกึ ษาจากคา่ การถ่ายทอดพนั ธุกรรม

การศกึ ษาลายพิมพด์ ีเอ็นเอของยูคาลิปตัส คามาลดเู ลนซิส อายุ 24 เดือน โดยใชเ้ ทคนิค AFLP โดยใช้
ไพรเมอร์ 16 คู่ของเอนไซม์ตัดจำเพาะคู่ที่ 1 คือ TaqI และ MseI และคู่ที่ 2 คือ BfaI และ MseI ให้แถบดีเอ็น
เอทั้งสิ้น 315 แถบ และสามารถแบ่งสายพันธุ์ยูคาลิปตัส คามาลดูเลนซิส ออกเป็น 5 กลุ่ม โดยใช้เทคนิค

24

UPGMA มคี า่ ดัชนคี วามเหมือนระหว่าง 0.698-0.848 แสดงถึงความแตกต่างภายในกลุ่มตัวอย่างเพียงเล็กน้อย
กลุม่ ที่ 1, 3 และ 4 เป็นกล่มุ ทีม่ กี ารเติบโตอยู่ในระดับสงู กลมุ่ ที่ 2 มีการเติบโตในระดบั ปานกลาง และกลุ่มท่ี 5
เป็นกลุ่มที่มีการเติบโตอยู่ในระดับต่ำ อย่างไรก็ตาม สายพันธุ์ 71 (Petford bridge) และสายพันธุ์ 99
(Emuford) แยกจากกลุ่มอ่นื อยา่ งชดั เจน แสดงวา่ สายพันธดุ์ งั กลา่ วแตกตา่ งจากสายพันธ์ุอ่ืนทนี่ ำมาทดสอบ

Abstract

The study examined the growth and desirable traits of the second generation test of
Eucalyptus camaldulensis Dehnh. at Wang Nam Khiao Forestry Student Training Station, Wang
Nam Khiao district, Nakhon Ratchasima province. Latinized row-column design was applied with
120 half-sib families from selected 21 provenances in the first generation seed orchard
established by the Royal Forest Department, one improved seed source and one unimproved
seed source in Thailand as control. The results showed that the survival rate 0f 24-month-old
E. camaldulensis varied between 45-100 %. Families originate from Walsh-Mitchell River,
Queensland Region in the first generation seed orchard had superior growth especially families
187 and 188 from Healeys Yard. Families originated from the improved seed source of Thailand
were also ranked in the superior group and significantly outperformed those from control, the
finding suggest a key success of tree improvement program of E. camaldulensis in Thailand.
The desirable traits were significantly different among provenances, but not among families,
while the resistance to Leptocybe invarsa was not significantly different neither among
provenance no families. In addition, families selected from seed orchard showed better
characteristics e.g. complete persistence, vertical stem, straight, stem small branches and good
natural pruning than those from control. For narrow sense heritability estimates, tree growth
of E. camaldulensis was strongly influenced by genetics but the desirable traits were
moderately correlated with environment factors.

Twenty two families with superior growth performance of twenty two provenances
were used to study on genetic variation was undertaken using AFLP technique with sixteen
AFLP primers combinations between TaqI and MseI, BfaI and MseI primer to generate total 315

25

bands. Similarity index ranging from 0.698-0.848. The cluster analysis was applied using UPGMA
ang the genetic similarity can be classified 5 groups with 1st, 3rd and 4th groups were superior in
tree growth while the 2nd was intermediate in tree growth and the 5th groups were inferior.
Nevertheless, the family no. 71 (Petford Bridge) and no. 99 (Emuford) were genetically
distinguished from other families studied.

26

ผลของการปลูกไม้ยคู าลปิ ตสั ต่อสมบตั บิ างประการของดิน
บริเวณสถานีฝกึ นสิ ิตวนศาสตร์วังน้ำเขียว จังหวดั นครราชสมี า

Effect of Eucalyptus Plantation on Soil Properties at Wang Nam Khiao Forestry Student
Training Station, Nakhon Ratchasima Province

สุณสิ ยอดนาม, จงรกั วัชรินทร์รัตน,์ นิคม แหลมสกั ,

ววิ ฒั น์ หาญวงศจ์ ิรวัฒน์, สคาร ทีจนั ทึก และ สาพิศ ดลิ กสัมพนั ธ์ (2552)

บทคคัดย่อ

การศึกษาผลของการปลูกไม้ยูคาลิปตัสต่อสมบัติบางประการของดิน ได้ดำเนินการศึกษาบริเวณสัน
เขาโลตึง สถานีฝึกนิสิตวนศาสตร์วังน้ำเขียว อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา โดยวางแปลงเพื่อเก็บ
ตัวอย่างดินในสวนป่ายูคาลิปตัสอายุ 6 ปี สวนป่ายูคาลิปตัสแตกหน่ออายุ 2 ปี เปรียบเทียบกับพื้นที่ป่า
ธรรมชาติและพื้นที่ทุ่งหญ้า พบว่า สมบัติทางกายภาพ ได้แก่ เนื้อดิน (soil texture) ความหนาแน่นอนุภาค
(particle density, Dp) ความพรุนของดิน (soil porosity) ความชื้นของดิน (soil moisture) มีความแตกต่าง
อย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ แต่ความหนาแน่นรวม (bulk density, Db) ที่ระดับผิวหน้าดินของสวนป่ายูคา
ลปิ ตัสแตกหน่ออายุ 2 ปี และพน้ื ทท่ี ุง่ หญ้า มีค่ามากทีส่ ุดอยา่ งมีนัยสำคญั ทางสถิติ สมบตั ทิ างเคมีของดิน ได้แก่
pH ฟอสฟอรัสที่เป็นประโยชน์ (available phosphorus, P) ปริมาณของโพแทสเซียม (exchangeable
potassium, K) แคลเซียม (exchangeable calcium, C) และแมกนีเซียมที่แลกเปลี่ยนได้ (exchangeable
magnesium, Mg) ในทุกพื้นที่ศึกษา มีความแตกต่างกันอย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ แต่ปริมาณอินทรีวัตถุ
(soil organic matter, OM) ในสวนป่ายาลิปตัสหน่ออายุ 2 ปี มีปริมาณมากที่สุดอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ
จำนวนจุลินทรีย์ในดิน ได้แก่ แบคทีเรีย (bacteria) รา (mold) แอคติโนมัยซิส (actinomycetes) และ
ไมคอร์ไรซา (Arbuscular mycorrhiza) ในทุกพ้นื ท่ีศึกษา มีความแตกต่างกันอย่างไม่มีนยั สำคัญทางสถิติ เม่ือ
นำดินมาทดสอบอัตราการรอดตายและการเติบโตของกล้าไม้แดง (Xylia xylocarpa) พบว่ามีความแตกต่างกัน
อย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ อย่างไรก็ตาม มีแนวโน้มว่าอัตราการรอดตาย การเติบโตที่ระดับชิดดิน และความ
สูง ของกล้าไม้แดงที่ปลกู ในดนิ จากสวนป่ายูคาลิปตัสมีคา่ มากที่สุด ซึ่งสาเหตุอาจเกดิ จากลักษณะทางกายภาพ
และทางเคมี ความเปน็ กรด-ด่าง (pH) และปรมิ าณอนิ ทรวี ัตถใุ นดิน

27

Abstract
The study examined the effect of Eucalyptus plantation on the soil properties at the

Wang Nam Khiao Forestry Student Training Station, Wang Nam Khiao district, Nakhon
Ratchasima province. The study was conducted in sample plots of 6-year-old Eucalyptus
plantation and 2-year-old coppiced Eucalyptus plantation and was compared with a natural
forest and a grassland. The results showed that physical properties such as soil texture, bulk
density, particle density, soil porosity and soil moisture were not significantly different but bulk
density was significantly different within the top soil of the Eucalyptus plantation and grassland,
being higher than on the other sites. Chemical properties such as pH, total carbon, total
nitrogen, available phosphorus, exchangeable potassium, exchangeable calcium and
exchangeable magnesium in all sites were not significantly different. Organic matter in each
plot was significantly different, with coppiced Eucalyptus plantation giving the highest value.
Soil microbes such as bacteria, mold, actinomycetes and spores of mycorrhiza in the study
area were insignificantly different among the sites. The survival rate of Xylia xylocarpa seedlings
with soil from Eucalyptus plantation, natural forest and grassland produced no significantly
different results, however survival rate, diameter at ground level and height of Xylia xylocarpa
seedlings in soil from the Eucalyptus plantation were each higher than for the other sites
because of soil physical and chemical properties, pH and organic matter.

28

ความสมั พันธข์ องความหลากหลายของผีเส้ือกลางวันและระบบนิเวศป่าแบบต่างๆ
ในสถานีวจิ ยั ส่ิงแวดล้อมสะแกราช

The Relationships Between Butterfly Diversity and Different Forest Ecosystems at
Sakaerat Environmental Research Station

พงศเ์ ทพ, สุวรรณวารี (2553)

บทคัดย่อ

การสำรวจผีเสื้อกลางวันในพื้นที่สถานีวิจัยสิ่งแวดล้อมสะแกราช เป็นเวลาทั้งหมด 3 ปี เริ่มจากเดือน
ตุลาคม พ.ศ. 2543 - กันยายน พ.ศ. 2551 ทำการเก็บตัวอย่างจำนวน 36 ครั้งโดยวิธีการ line transect พบ
ผเี ส้ือกลางวนั ทง้ั สน้ิ 304 ชนดิ จำนวน 19,277 ตัว โดยพบผเี สอ้ื กลางวันในป่าดิบแลง้ ( 238 ชนดิ 12,500 ตัว )
มากกว่าป่าเต็งรัง (210 ชนิด 6,777 ตัว) มีผีเสื้อกลางวัน 144 ชนิด ที่มีการกระจายตัวอยู่ในป่าทั้งสองป่า พบ
ผีเสื้อกลางวันเฉพาะในป่าเต็งรัง 66 ชนิด และพบเฉพาะป่าดิบแล้ง 94 ชนิด เดือนพฤษภาคม มีจำนวนชนิด
และปริมาณผเี สื้อกลางวันมากท่ีสุด (138 ชนิด 1,898 ตวั ) เสน้ ทางอา่ งเก็บน้ำ พบจำนวนชนิดและปริมาณของ
ผเี สื้อกลางวนั มากท่สี ดุ (193 ชนดิ 6,445 ตัว) ผเี ส้อื เณรธรรมดา พบมากท่ีสดุ ในสถานีวิจยั สิ่งแวดลอ้ มสะแกราช
(1,406 ตวั ) ผีเสอ้ื กลางวันทพ่ี บมากที่สุดในป่าเตง็ รงั คอื ผีเสอื้ เณรธรรมคา 754 ตัว สว่ นผเี สื้อกลางวันท่ีพบมาก
ที่สุดในปาดิบแลง้ คือ ผีเสื้อฟ้าขีดหกโคนปีกดำ 861 ตัวอคำนวณค่าดัชนีความหลากหลายจากสตู ร Shannon
Index พบวา่ ในป่าดบิ แลง้ ( H = 1.76) หลากหลายสูงกว่าป่าเต็งรัง (H = 1.71) ตามลำดับ

เมื่อศึกษาความสัมพันธ์ของปัจจัยทางกายภาพกับดัชนคี วามหลากหลาย จำนวนชนิดและปริมาณของ
ผีเสื้อกลางวัน พบว่าดัชนีความความหลากหลายของผีเสื้อกลางวันมีความสัมพันธ์กับอุณหภูมิและความชื้น
สัมพัทธ์ไปในทิศทางตรงขา้ มอย่างมีนัยสำคัญยิ่ง (P < 0.01) จำนวนชนิดและปริมาณของผีเสือ้ กลางวันพบว่ามี
ค่าความสัมพันธ์ในทิศทางเดียวกันอย่างมีนัยสำคัญยิ่งกับอุณหภูมิ และความชื้นสัมพัทธ์ (P < 0.01) อย่างไรก็
ตามในพื้นทป่ี ่า 2 ป่า พบวา่ ปรมิ าณ จำนวนชนดิ ดัชนคี วามหลากหลาย ในป่าดิบแล้งมีมากกว่าป่าเต็งรังอย่าง
มีนัยสำคัญยิ่งทางสถิติ (P < 0.01) และความชื้นสัมพัทธใ์ นป่าดบิ แล้งสูงกว่าป่าเต็งรังอย่างมีนยั สำคัญทางสถติ ิ
(P <0.05) แตอ่ ณุ หภมู แิ ละปรมิ าณนำ้ ฝนของพ้ืนที่ ทัง้ สองไม่แตกตา่ งกนั ทางสถติ ิ

29

คุณภาพชวี ิตของผ้สู งู อายุในชนบท อำเภอวังนำ้ เขียว จังหวดั นครราชสีมา
ชุติเดช เจียนดอน นวรตั น์ สวุ รรณผ่อง ฉวีวรรณ บญุ สุยา และ นพพร โหวธีระกุล (2554)

บทคดั ยอ่
การเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้สูงอายุอย่างต่อเนื่อง ทำให้เป็นภาระต่อสังคมในการดูแล การศึกษาครั้งนี้มี

วัตถุประสงค์เพื่อประเมินคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุในชนบท และหาความสัมพันธ์ระหว่างลักษณะส่วนบุคคล
ความร้สู กึ มีคณุ ค่าในตนเอง สัมพันธภาพในครอบครัว และการสนับสนุนทางสังคมกับคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุ
ในชนบท เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบวัดคุณภาพชีวิต SF-36 V2.0 สัมภาษณ์ผู้สูงอายุ จำนวน 478 คน
ระหวา่ งวันท่ี 1 มถิ ุนายน – 31 กรกฎาคม 2553 วเิ คราะห์ขอ้ มูลโดยสถิติไคสแควร์ สมั ประสิทธ์ิสหสัมพันธ์ของ
เพียร์สัน และการวิเคราะห์การถดถอยพหุแบบขั้นตอน ผลการวิจัยพบว่าผู้สูงอายุมีความพอใจกับคุณภาพชีวติ
ด้านร่างกายร้อยละ 50.4 และพอใจด้านจิตใจร้อยละ 52.7 ปัจจัยที่สามารถทำนายคุณภาพชีวิตด้านร่างกาย
6 ปัจจัย ได้แก่ ความรู้สึกมคี ุณค่าในตนเอง ภาวะสุขภาพ การเข้าร่วมกิจกรรมของชมรม การศึกษา อาชีพและ
อายุ โดยสามารถอธิบายคณุ ภาพชีวติ ด้านร่างกายได้ร้อยละ 30.5 ปัจจยั ทสี่ ามารถทำนายคณุ ภาพชวี ติ ด้านจิตใจ
4 ปัจจัย ได้แก่ ความรู้สึกมีคุณค่าในตนเอง ภาวะสุขภาพ การเข้าร่วมกิจกรรมของชมรม และสัมพันธภาพใน
ครอบครัว โดยสามารถอธิบายคุณภาพชีวิตด้านจิตใจได้ร้อยละ 21.5 บุคลากรสาธารณสุขควรส่งเสริมให้
ผู้สูงอายุมีความรู้สึกมีคุณค่าในตนเอง ส่งเสริมสัมพันธภาพในครอบครัว องค์กรท้องถิ่นควรร่วมให้การส่งเสริม
กจิ กรรมเหล่านีท้ ่สี อดคล้องกบั ความตอ้ งการของผู้สงู อายุ เพื่อคณุ ภาพชวี ติ ที่ดีข้ึนของผูส้ ูงอายใุ นชนบท

30

การเตบิ โตและลกั ษณะทางสรีรวิทยาบางประการของไม้ยูคาลิปตัส คามาลดูเลนซสิ ในแปลงทดสอบลูกไม้
รนุ่ ที่ 2 ณ สถานีฝกึ นิสิตวนศาสตร์วงั น้ำเขยี ว จังหวดั นครราชสมี า

Growth Performances and some Physiological Characteristics of Eucalyptus
camaldulensis Denh. In the Second Generation Progeny Test at Wang Nam Khiao

Forestry Student Training Station, Nakhon Ratchasima Province

ทิพวรรณ สงั ขท์ อง (2555)

บทคัดย่อ

การศึกษาการเติบโตและลักษณะทางสรีรวิทยาบางประการของยูคาลิปตัส คามาลดูเลนซิส
มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการผนั แปรทางพนั ธุกรรมของการเติบโตและลักษณะทางสรีสวิทยาที่มีอิทธิพลตอ่ การ
เติบโตของยูคาลิปตัส คามาลดูเลนซิส ในแปลงทดสอบลูกไม้ รุ่นที่ 2 ณ สถานีฝึกนิสิตวนศาสตร์วังน้ำเขียว
จังหวัดนครราชสีมา โดยศึกษาการเติบโตของยูคาลิปตัส คามาลดูเลนซิส ทั้งหมด 120 สายพันธุ์ จากการผสม
เกสรตามธรรมชาติ (half-sib family) จาก 23 ถิ่นกำเนิด (provenance) และศึกษาการแปรผันตามฤดูกาล
ของลกั ษณะทางสรีรวิทยา (อตั ราการสังเคราะห์แสงสทุ ธิสูงสุด การชกั นำของปากใบ การคายน้ำ ประสิทธิภาพ
ในการใช้น้ำของใบ ชลศักย์ของใบ และปริมาณคลอโรฟิลล์ในใบ) ของยูคาลิปตัส คามาลดูเลนซิส 10 สายพันธุ์
ทเี่ ป็นตัวแทนจากเขต (region) ตา่ งๆ ของการกระจายพนั ธตุ์ ามธรรมชาติ

ผลการศกึ ษา พบวา่ ความสูง เส้นผา่ นศูนยก์ ลางเพียงอก มวลชีวภาพเหนือพื้นดิน และความเพ่ิมพูนปี
ปัจจุบันของยูคาลิปตัส คามาลดูเลนซิส ทั้ง 120 สายพันธุ์ มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญยิ่งทางสถติ ิระหวา่ ง
ถิน่ กำเนดิ และระหวา่ งสายพนั ธุ์ (p<0.01) โดยสายพันธ์ุ 219 และ 227 เป็นสายพนั ธุท์ ม่ี คี วามเพิม่ พูนปปี ัจจุบัน
ของความสูง เส้นผ่านศูนย์กลางเพียงอก และมวลชีวภาพเหนือพื้นดิน มากที่สุดใน 120 สายพันธุ์ สำหรับ
การศึกษาลักษณะทางสรีรวิทยา พบว่า อัตราการสังเคราะห์แสงสุทธิสูงสุด การชักนำของปากใบ การคายน้ำ
ประสิทธภิ าพในการใช้นำ้ ของใบ และชลศกั ยข์ องใบ มคี วามแตกตา่ งอยา่ งมนี ยั สำคัญย่ิงทางสถติ ิระหว่างฤดูกาล
(p<0.01) แต่ไม่มีนัยสำคัญทางสถิติระหว่างสายพันธุ์ (p≥0.05) ยกเว้นปริมาณคลอโรฟิลล์ในใบซึ่งมีความ
แตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติทั้งระหว่างฤดูกาลและระหว่างสายพันธุ์ (p<0.05) ถึงแม้ลักษณะทาง
สรรี วทิ ยาในแต่ละสายพันธุ์มีความแตกตา่ งกนั อย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ แตจ่ ากผลการศึกษาสามารถจำแนก
การแปรผันของสายพันธุ์ในแต่ละฤดูกาลได้เป็น 3 ลักษณะ ได้แก่ ลักษณะที่ 1 เป็นกลุ่มของสายพันธุ์ที่มีการ
แปรผันมากระหว่างฤดูกาล ลักษณะที่ 2 เป็นกลุ่มของสายพันธุ์ที่มีการแปรผันน้อยระหว่างฤดูกาล และมี

31

ค่าเฉลี่ยปานกลางถึงค่อนข้างสูง และลักษณะที่ 3 เป็นกลุ่มของสายพันธุ์ที่มีการแปรผันน้อยระหว่างฤดูกาล
และมีค่าเฉลี่ยค่อนข้างต่ำระหว่างฤดูกาล อย่างไรก็ตาม เมื่อวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างการเติบโตและ
ลักษณะทางสรีรวิทยา พบว่า การเติบโตของยูคาลิปตัส คามาลดูเลนซิส มีความสัมพันธ์ทางบวกอย่างมี
นัยสำคัญทางสถิติกับค่าเฉลี่ยการชักนำของปากใบและการคายน้ำในฤดูฝนเท่านั้น ดังนั้น จึงจำเป็นต้องมี
การศึกษาเพื่อวิเคราะห์ความสัมพันธ์ของการเติบโต และลักษณะทางสรีรวิทยาอื่นๆ เช่น ดัชนีพื้นที่ใบ เป็นต้น
เพ่มิ เติมสำหรับการคัดเลอื กสายพันธ์ทุ ่ีสามารถเติบโตและปรบั ตวั ไดด้ ีในพื้นทป่ี ลกู ต่อไป

32

Abstract
The objective of this study was to determine the genetic variation in growth and some

physiological characteristics affecting the growth of Eucalyptus camaldulensis Dehnh. Half-sib
families in the second generation progeny test at Wang Nam Khiao Forestry Student Training
Station, Nakhon Ratchasima province. The growth measurements were undertaken in all 120
families derived from 23 provenances, while seasonal variation in some physiological
characteristics (light-saturated net photosynthesis, stomata conductance, transpiration, intrinsic
water-use efficiency, pre-dawn water potential and chlorophyll content) was determined in 10
selected families representing all regions in their natural distribution.

The results indicated that the differences in height, diameter at breast height (DBH),
aboveground biomass and current annual increment (CAI) were highly significant among
provenances and families (p<0.01). Among 120 families studied, family’s number 219 and 227
showed the most promising growth performance in terms of CAI in height, DBH and
aboveground biomass. The differences in all physiological characteristics were also highly
significant among seasons (p<0.01), but not among families (p≥0.05), except the difference in
chlorophyll content was significant among both seasons and families (p<0.05). Nevertheless,
the results indicated three seasonal trends of physiological characteristics: high values with
high seasonal variation; moderate to high values with low seasonal variation; and low values in all season.
In addition, the correlation analysis showed positive correlation between growth and stomatal conductance
and transpiration in the wet season. Therefore, a further study on the correlation between growth and other
physiological parameters such as leaf area index is recommended for the selection of E.
camaldulensis families that could grow and adapt well to the site.

33

การจดั การโลจสิ ติกสส์ ำหรับการทอ่ งเท่ียวในอำเภอวงั น้ำเขยี วจงั หวดั นครราชสีมา

Tourism Logistics Management for Wang Nam Khiew district
in Nakhon Ratchasima Province

เถกิงศกั ด์ิ ชยั ชาญ (2555)

บทคัดย่อ

การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาพฤติกรรมการท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวใน อำเภอวังน้ำเขียว
จงั หวัดนครราชสีมา เพอ่ื ศกึ ษาความพึงพอใจของนักท่องเทีย่ วทม่ี ีต่อองค์ประกอบและการจัดการโลจิสติกส์การ
ท่องเท่ียวท่ปี รับปรุงจากปัจจัยสว่ นประสมทางการตลาดสง่ ผลใหเ้ กิดการมาเทยี่ วซำ้ ในอำเภอวงั น้ำเขยี ว จังหวัด
นครราชสีมา และ เพื่อศึกษาแนวทางในการพัฒนาการจัดการโลจิสติกส์เพื่อการท่องเที่ยวในมุมมองของผู้ท่ี
เกี่ยวข้องโดยตรง 4 กล่มุ คือ นักทอ่ งเท่ยี ว ชุมชน ผ้ปู ระกอบการ และผู้นําชุมชน ในตำบลวังน้ำเขยี ว ตำบลไทย
สามัคคี ตำบลอุดมทรัพย์ ตำบลวังหมี ตำบลระเริง รวม 5 พื้นที่ รวมทั้งสิ้น 570 ตัวอย่าง โดยใช้
เครอื่ งมอื เป็นแบบสอบถามและแบบสมั ภาษณ์ ทำการวเิ คราะห์ ข้อมลู ด้วยสถิติเชิงพรรณนา

ผลการวิจัยพบว่า พฤติกรรมการท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวในภาพรวมมีอายุช่วง 30-34ปี ทางด้าน
พฤติกรรมการท่องเท่ียวส่วนใหญม่ าท่องเท่ยี วเปน็ ครั้งแรก ใช้เวลาทอ่ งเทยี่ ว 2 วนั วตั ถุประสงค์หลักของการ
เดินทางท่องเที่ยวคือเพื่อพักผ่อน กิจกรรมนันทนาการท่ีทำพร้อมกับการท่องเที่ยวคือชมทิวทัศน์ และเกือบ
ทั้งหมดต้องการกลับมาท่องเที่ยว ในอำเภอวังน้ำเขียวอีก สำหรับความพึงพอใจของนักท่องเที่ยวโดยภาพ
รวมอยู่ในระดับปานกลาง (ค่าเฉลี่ย 2.82) ต่อองค์ประกอบโลจิสติกส์การท่องเที่ยวในภาพรวม โดยด้านการ
ไหลทางกายภาพได้รับความพึงพอใจตำ่ สดุ ในระดบั น้อย (ค่าเฉล่ยี 2.20) ความคิดเห็นด้านความพร้อมและแนว
ทางการพัฒนาการจดั การโลจสิ ติกส์การท่องเท่ียวให้ดีขึ้น น้ันควรมีความพร้อมด้านการททำให้นักท่องเท่ียวเข้า
มาในแหล่งท่องเทีย่ วได้ง่าย สะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย นอกจากนี้ในพื้นที่ควรมกี ารรวมกลุ่มต่าง ๆ เพื่อทำ
หนา้ ทแี่ ละบทบาทดงั กลา่ วร่วมกัน

34

Abstract
This research aimed to study the behaviors of tourists visiting Wang Nam Khiew District

of Nakhon Ratchasima Province, their satisfactions with the factors and tourism logistics
improved upon market- mixed components that attracted them to come back again,
and methods to develop tourism logistics management. The study was conducted based
on the opinions of 5 7 0 samples from the four-related groups: tourists, community
people, entrepreneurs, and community leaders in five subdistricts of Wang Nam khiew
District: Thai Samakkhee, Udomsap, Wang Mee, and Rarerng. Research tools included a set of
questionnaires, interviews, and descriptive statistical analysis.

Research results showed that majority of 30-34 years old tourists were first time visitors
who spent 2 days on the visit for relaxations and recreations while going sightseeing, and that
most of them wanted to come back to visit the place again. As regards their overall
satisfactions, the average was 2.82 for tourist logistic factors and 2.20 for the physical
flow. Their recommendations were made for easy, convenient, and fast access and
safety, and for joint efforts by different groups of people in performing needed duties
and roles.

35

ผลของโปรแกรมส่งเสริมการออกกำลังกายโดยการประยุกตใ์ ชท้ ฤษฎีความสามารถแห่งตนรว่ มกบั แรง
สนบั สนุนทางสงั คมในการบรรเทาความปวดของผูส้ งู อายทุ ีเ่ ปน็ โรคขอ้ เข่าเส่อื ม
อำเภอวังน้ำเขียว จงั หวดั นครราชสมี า

The Effects of Exercise Promotion Programs by the Applying of Self-efficacy and Social
Support for Pain Decreasing Among Elderly with Osteoarthritis Knees in
Wangnamkheaw District, Nakornratchasama Province

ธนบดี ชมุ่ กลาง (2555)

บทคดั ยอ่

โรคข้อเข่าเสื่อมเป็นโรคท่ีพบบ่อยในผูส้ ูงอายุ เพราะว่าผู้สงู อายมุ ีการสึกกร่อนของกระดูกออ่ นบริเวณ
ผวิ ขอ้ โรคขอ้ เข่าเสื่อมและ ทำใหผ้ ้ปู ว่ ยทุกข์ทรมาน การวิจยั ในครงั้ น้เี ป็นการวจิ ยั แบบกึง่ ทดลอง มวี ตั ถุประสงค์
เพื่อศึกษาผลของการประยุกต์ใช้ทฤษฎีความสามารถแห่งตนร่วมกับแรงสนับสนุนทางสังคม ในการบรรเทา
ความเจ็บปวดของผู้สูงอายุที่เป็นโรคข้อเข่าเสื่อม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา กลุ่มตัวอย่างจำนวน
66 คน และแบง่ ออกเป็นกลุ่มทดลองและกลุ่มเปรียบเทียบกลุ่มละ 33 คน กลุ่มทดลองได้ รับโปรแกรมการ
ออกกำลังกายเพื่อบรรเทาความเจ็บปวดของผู้สูงอายุโรคข้อเข่าเสื่อมโดยการประยุกต์ ใช้ทฤษฎีความสามารถ
แห่งตนร่วมกับการสนับสนุนทางสังคม กิจกรรมประกอบด้วยการบรรยายประกอบ สื่อ การฝึกปฏิบัติ การ
อภิปรายกลุ่มการเยี่ยมบ้าน เก็บรวมรวมข้อมูล โดยใช้แบบสอบถามก่อนและหลังการทดลอง 12 สัปดาห์
วิเคราะห์ขอ้ มูลโดยการใช้สถิติเชงิ พรรณนาได้แก่ จำนวน ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐานใช้สถิติ
เชิงอนุมานPaired t-test และ Independent t-test กำหนดระดับนัยสำคัญทางสถิติ 0.05 ผลการวิจัย
พบว่า ภายหลังการทดลองกลุ่มทดลองมีค่าเฉลี่ยของคะแนนความรู้ การรับรู้ความ สามารถตนเอง ความ
คาดหวังผลจากผลลพั ธ์ การปฏิบัติตัว สูงกว่าก่อนการทดลองสงู กว่ากลุม่ เปรียบเทียบอย่างมนี ัยสำคญั ทางสถิติ
(p-value < 0.001) ความปวดของข้อเข่าน้อยกว่าก่อนการทดลองและกลุ่มเปรียบเทียบอย่างมีนัยสำคัญทาง
สถิติ (p-value < 0.001)

36

Abstract
Arthritis is often found in elderly because cartilages around of joint of the elderly are

corroded and causes them suffering from this disease. This quasi-experimental research aimed
to study the effects of exercise promotion programs by the application of Self-efficacy and
Social Support for decreasing pain among elderly with osteoarthritis knees in Wangnamkheaw
District, Nakornratchasama Province. The samples were 66 elderly and divided into two groups,
each group was 33 elderly. The experimental group was received an exercise promotion
program by the application of Self-efficacy and Social Support for decreasing pain of
osteoarthritis of the elderly. The activities comprised of lecture with media, demonstration,
training, group discussion, and home visit. Descriptive data were presented as frequency,
percentage, mean and standard deviation. For comparative analysis the Paired Sample t-test
and Independent t-test at 0.05 level of significance was applied. The results: after
experimented experimental group had mean score of knowledge, self efficacy, outcome
expectation, and practice of the experimental group were significantly higher than before
experiment and the comparison group (p< .001). Moreover, pain of knee was significantly lower
than before and comparison group significantly (p< .001).

37

การพัฒนาการท่องเที่ยวอำเภอวงั นำ้ เขยี ว จังหวดั นครราชสีมา
Wangnumkeow Tourism Development in NakornRatchasima

สทุ ศิ า รตั นวิชา (2555)
บทคัดย่อ

การวิจัยครัง้ นม้ี ีวัตถปุ ระสงคเ์ พ่ือศึกษาสถานภาพทั่วไปและแนวโนม้ ตลอดจนปจั จยั ท่ีเกี่ยวข้องกับการ
ท่องเที่ยวอำเภอวังน้ำเขียว ศึกษาปัจจัยด้านอุปสงค์และอุปทานของการท่องเที่ยวปัญหาและอุปสรรคต่าง ๆ
อันเกิดจากการพัฒนาการท่องเที่ยว ในอำเภอวังน้ำเขียว เพื่อกำหนดนโยบายแนวทางการพัฒนาของการ
ท่องเที่ยวในอำเภอวังน้ำเขียวให้ยั่งยืนต่อไปโดยใช้ข้อมูลทุติยภูมิ และข้อมูลปฐมภูมิ การสุ่มตัวอย่างแบบไ ม่
อาศัยความน่าจะเป็น โดยใช้วิธีเลือกตัวอย่างแบบบังเอิญ จำนวน 400 ตัวอย่าง การวิเคราะห์ใช้สมกา ร
ถดถอยโลจิสติค และประมาณค่าพารามิเตอร์ดว้ ยวิธคี วามน่าจะเป็นสูงสดุ

ผลการวิจัยพบว่า การท่องเที่ยวอำเภอวังน้ำเขียว ได้ดำเนินการมาระยะหนึง่ แต่ยังไม่สัมฤทธิผ์ ลดีพอ
หรือยังมีปัญหาด้านต่าง ๆ อยู่ เช่น ปัญหาด้านการบริการ ด้านการตลาด ด้านการประชาสัมพันธ์ ด้านภูมิ
ทัศน์ทางธรรมชาติ ด้านสิ่งแวดล้อม ระบบการกำจัดขยะ เป็นต้นด้านการศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อ
อุปสงค์ของการท่องเที่ยวในอำเภอวังน้ำเขียว พบว่า อายุ ภูมิลำเนา ระดับการศึกษา รายได้ การต้ัง
งบประมาณสำหรับการท่องเที่ยว มีความสัมพันธ์ทางบวก ส่วนอาชีพมีความสัมพันธ์กับอุปสงค์การท่องเที่ ยว
อำเภอวงั นำ้ เขียวทางลบ

38

Abstract
The purpose of this research is to study general aspects and trend, factors related to tourism
in Amphur Wangnumkeow, tourism demand and supply, problems, and obstacles arising from
tourism development. To set tourism development policies, secondary data and primary data
were used with nonprobability sampling from accidental sampling of 400 subjects. Data were
analyzed by binominal logit model and parameter value was estimated by maximum likelihood
estimation (MLE). The study found that tourism in Amphur Wangnumkeow has been operated
for a period of time with ineffective outcomes. Some problems still remain in various aspects,
for instance, service, marketing, public relations, natural scenery, environment, and garbage
disposal, etc.

The study revealed positive relationship between tourism demand in
AmphurWangnumkeow and variables like age, hometown, education, income, and tourism
budget. By contrast, negative relationship was indicated between tourism demand in
AmphurWangnumkeow and occupation.

39

Community-based Ecotorism Operation: Help or Hindrance of the External Forces
Nantira Pookhao (2014)

Abstract
Most community-based ecotourism (CBET) research omits the importance of external

forces and disregards various tourism stakeholders by solely emphasizing on the hosts.
Establishing long-term empowerment and participation in CBET requires in-depth knowledge
of ecotourism and operational management; CBET will beef festive only when hosts are truly
embedded with such knowledge and capability. Unlike in developed countries, local
communities in Thailand typically lack the necessary operational knowledge. Collaboration
with and assistance from external tourism stakeholders is, therefore, vital. Consequently, this
paper seeks to understand the dependent relationship of a CBET village with external agencies
in relation to the operation of CBET, and examines whether this relationship enhances the
quality of life of the local people. The findings reveal that without reinforcement from local,
national and international sectors, the CBET cannot be instituted at a local level and to achieve
quality of life via CBET operation, the conflict within the community needs to be solved,
otherwise, any external support is meaningless or internally infuses greater conflict. Yet, the
long-term involvement of these sectors tends to create tourism sustainability towards a better
quality of life.

40

บทคดั ย่อ
โดยส่วนมากการวิจยั เรือ่ งการท่องเที่ยวเชิงนิเวศโดยชุมชน จะมองข้ามความสำคัญของผู้มีส่วนได้ส่วน

เสยี จากภายนอก และมุง่ ให้ความสำคัญกับชุมชนเท่าน้นั การทช่ี มุ ชนท่องเทีย่ วเชิงนิเวศมีอำนาจและมีส่วนร่วม
ในการดำเนินการด้านท่องเที่ยวนั้น ต้องมีความรู้ด้านการท่องเที่ยวเชิงนิเวศและการจัดการในการดำเนินงาน
ความรู้และความสามารถดังกล่าวจะทำให้การท่องเที่ยวเชิงนิเวศโดยชุมชนมีประสิทธิภาพ ชุมชนในประเทศ
ไทยต่างจากประเทศที่พัฒนาแล้ว เนื่องจากชุมชนในประเทศไทยส่วนมากขาดความรู้ในการดำเนินงาน ความ
รว่ มมือและความช่วยเหลอื จากหน่วยงานภายนอกนนั้ สำคัญมาก ดงั นนั้ บทความน้ีจะทำใหเ้ ขา้ ใจความสัมพันธ์ที่
เน้นการพึ่งพาระหว่างชุมชนท่องเที่ยวเชิงนิเวศกับหน่วยงานภายนอก และพิสูจน์ว่าความสัมพันธ์ดังกล่าว
ก่อให้เกิดผลประโยชน์ต่อคุณภาพชีวิตของชุมชนท่องเที่ยวเชิงนิเวศอย่างไร งานวิจัยค้นพบว่า หากขาดความ
ช่วยเหลือจากหน่วยงานระดับท้องถิ่น ประเทศ และนานาชาติ การท่องเที่ยวเชิงนิเวศโดยชุมชนจะไม่สามารถ
เกิดข้ึนไดเ้ ลย อยา่ งไรก็ตามหากชมุ ชนท่องเท่ียวเชิงนิเวศ มีความขดั แย้งภายใน ความช่วยเหลือและร่วมมือจาก
หนว่ ยงานภายนอนจะไม่เกดิ ประโยชน์

41

แนวทางการพัฒนาการทอ่ งเท่ียวเชิงเกษตรโดยชุมชนมีส่วนร่วมในนคิ มเศรษฐกิจพอเพยี ง
อำเภอวงั น้ำเขยี ว จังหวดั นครราชสมี า

The Study of Community Participation in Agro-Tourism Development

in Wang Nam Khiao Sufficiency Economy Settlement, Nakhon Ratchasima Province

เยาวลักษณ์ แกว้ ยอด (2557)

บทคดั ย่อ

การศึกษาแนวทางการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงเกษตรโดยชุมชนมีส่วนร่วมในนิคมเศรษฐกิจพอเพียง
อำเภอวังนเขียว มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาบริบทชุมชน และการจัดการการท่องเที่ยวเชิงเกษตร ในพื้นที่นิคม
เศรษฐกิจพอเพียงอำเภอวังน้ำเขียว ศักยภาพของชุมชนด้านท่ีนำไปสู่การพัฒนาเป็นแหลง่ ท่องเที่ยวเชิงเกษตร
โดยชุมชนมีส่วนร่วม และแนวทางการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงเกษตรโดยชุมชนมีส่วนร่วม ในพื้นที่นิคม
เศรษฐกจิ พอเพียงอำเภอวงั น้ำเขยี ว การวจิ ยั น้เี ป็นการวิจยั เชิงคุณภาพ โดยใช้วธิ ีการประเมินสภาวะชนบทแบบ
มีส่วนร่วม (Participatory Rural Appraisal: PRA) การสัมภาษณ์เชิงลึก การสนทนากลุ่มย่อย และการใช้
SWOT เป็นเครื่องมือวิเคราะห์ จุดแข็ง จุดอ่อน โอกาส และข้อจำกัดของชุมชนในการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิง
เกษตร

ผลการศึกษา สรุปได้ว่า ชุมชนนิคมเศรษฐกิจพอเพียงอำเภอวังน้ำเขียว มีศักยภาพในการพัฒนาเป็น
แหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตร เนื่องจากพื้นที่ตั้งอยู่ในแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตร มีเส้นทางที่สามารถเชื่อมต่อไปยัง
แหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ เช่น อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ พื้นที่มีศักยภาพในการผลิตพืชผักที่หลากหลาย
โดยเฉพาะผักเมืองหนาว เกษตรกรสามารถผลิตพืชผักได้อย่างต่อเนื่องและปลอดภัยจากสารพิษ รวมถึงมีองค์
ความร้ใู นการประยกุ ตใ์ ชเ้ ศรษฐกจิ พอเพียงในการทำการเกษตรเพ่ือยังชีพ และสร้างรายได้
ทพ่ี ร้อมถา่ ยทอดใหก้ ับผู้สนใจ

แนวทางการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงเกษตรของชุมชน คือ การวางรูปแบบการท่องเที่ยวเชิงเกษตรใน
ลกั ษณะการศึกษาดงู าน การกำหนดตารางกิจกรรมการทอ่ งเทย่ี วเชงิ เกษตรภายในชุมชนแบบใช้เวลา 1 วนั
กิจกรรมหลักประกอบด้วย การจัดการเรียนรู้ด้านการผลิตพืชผักปลอดสารพิษ การเลี้ยงสัตว์ และการอนุรักษ์
และฟนื้ ฟสู ่งิ แวดล้อมของชุมชน การจดั จำหน่ายผลติ ภัณฑ์ผกั ปลอดสารพษิ และผลติ ภณั ฑ์ชุมชน การให้บริการ
อาหารสำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการค้างแรมมีการให้บริการเต็นท์ และพื้นที่สำหรับกางเต็นท์ ในอนาคตมี
แนวทางพฒั นาบ้านของเกษตรกรให้เป็นท่ีรองรับนักท่องเทยี่ วในรปู แบบโฮมสเตย์ (Homestay)

42

Abstract
The Study of Community Participation in Agro-Tourism Development in Wang Nam

Khiao Sufficiency Economy Settlement, Nakhon Ratchasima Province, is a qualitative type of
research. The research aims to study community potentials and to develop a participatory
Agro-tourism management guideline. The Participatory Rural Appraisal (PRA), focus group
discussion and in-depth interview were used for data collection. SWOT Analysis was applied as
a key tool for analysis of Strengths, Weaknesses, Opportunities and Threats of the community
for implementation of Agro-Tourism program. The finding shows that the community is able to
develop agro–tourism program because it is located in natural tourist attraction and agro–
tourism area of the province. This area is suitable for vegetable growing, which is found that
the farmers in this community can grow various species of non-toxic temperate vegetables
throughout the year. Moreover, since the philosophy of sufficiency economy has been
promoted in the area, the farmers have applied several activities based on the concept of such
philosophy, and presently, the community becomes the learning center for other communities.
The Agro–Tourism Study Program for this community has been formulated by farmers and
researcher during their participation in community forum. The program provides one day trip
for tourists which can be a guideline for agro-tourism in the community and surrounding areas.
The activities include in the program are sight-seeing and learning about a non-toxic vegetable
growing and harvesting, livestock production, environmental rehabilitation and conservation. In
addition, non-toxic vegetable and other local products from the community will be available
for tourist eating and shopping. Besides, the community has provided some area for tent
camping and has a future plan to develop homestays service.

43

ความเสียหายต่อระบบนิเวศและพชื ผลทางการเกษตรโดยหมูป่า
(Sus scrofa) ในสถานีวิจัยสิง่ แวดล้อมสะแกราชและพ้ืนทโ่ี ดยรอบ

Damage to ecosystem and crops by Wild boar (Sus scrofa) in
and around Sakaerat Environmental Research Station

พงศเ์ ทพ สุวรรณวารี และคณะ (2557)

บทคดั ย่อ

หมูป่าเป็นสิ่งมีชีวิตรุกรานสำคัญที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อระบบนิเวศ และผลกระทบทางเศรษฐกิจต่อ
พืชผลทางการเกษตรในหลายๆ พ้ืนท่ีท่วั โลก การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการแพร่กระจายของหมูป่าและ
การทำลายระบบนิเวศในพื้นที่สถานีวิจัยสิ่งแวดล้อมสะแกราช และผลกระทบต่อการเกษตรในพ้ืนที่ใกล้เคียง
สถานวี ิจยั ดำเนินการศึกษาต้ังแต่เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2555 ถงึ กนั ยายน พ.ศ. 2556 โดยวิธีการติดต้ังกล้อง
ดักถ่ายภาพสัตว์ และการเดินสำรวจร่องรอยหมูป่าตามแนวเส้นในพ้ืนที่สถานีวิจัยสิ่งแวดล้อมสะแกราช และ
การสัมภาษณ์เกษตรกรที่อยู่โดยรอบสถานีฯ ผลการศึกษาจากการติดตั้งกล้องดักถ่ายภาพสัตว์สามารถ
บันทึกภาพของสัตว์ป่าได้ทั้งส้ิน 21 ชนิด ประกอบด้วยสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม 15 ชนิด นก 4 ชนิดและ
สัตว์เล้ือยคลาน 2 ชนิด โดยพบหมูป่าแพร่กระจายอยู่ทั่วไปในป่าปลูก ป่าดิบแล้ง และป่าเต็งรัง จากการเดิน
สำรวจพบความหนาแน่นของร่องรอยหมูป่าเท่ากับ 241 ร่องรอยต่อตารางกิโลเมตร ปัจจัยทางสิ่งแวดลอมที่มี
ความสัมพันธ์ต่อการเลือกใช้พื้นที่อยู่อาศัยของหมูป่ามากที่สุด คือ ระยะทางถึงแหล่งน้ำที่มนุษย์สร้างขึ้น
(ร้อยละ 40.3) รองลงมา คือ ประเภทป่า (ร้อยละ 24.7) และการปรากฎของมนุษย์(ร้อยละ 16.2) ระบบนิเวศ
ป่าที่มีความเสี่ยงต่อการถูกทำลายมากที่สุด คือ ป่าปลูก คิดเป็นร้อยละ 20 ของพ้ืนที่ทั้งหมด รองลงมาคือ
ป่าดิบแล้ง (ร้อยละ 11) และป่าเต็งรัง (ร้อยละ 5) จากข้อมูลการสัมภาษณ์พบพ้ืนที่การเกษตรที่ได้รับความ
เสียหายจากหมูป่ารวม 45 ไร่ 2 งาน พืชที่ถูกทำลายมากที่สุด คือ มันสำปะหลัง และเกษตรกรต้องสูญเสีย
รายได้ในช่วงปี พ.ศ. 2555-2556 คิดเป็นร้อยละ 10.6 ของรายได้โดยรวมตลอดท้ังปีดังนั้น สถานีวิจัย
สง่ิ แวดลอ้ มสะแกราช ควรมีมาตรการในการจดั การสัตว์ป่าและพื้นท่ีเพอ่ื ป้องกันการสญู เสยี รายได้ของเกษตรกร
ที่อยู่โดยรอบ และเพ่ือลดปัญหาความขดั แยง้ ระหว่างคนกับสตั ว์ปา่ ในอนาคต

44


Click to View FlipBook Version