The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

เด็กกลุ่มนี้ถือเป็นกลุ่มเด็กที่ถูกเบียดขับออกจากสังคม และถือเป็นชนกลุ่มน้อยที่มีโอกาสทางสังคมที่น้อยกว่าคนทั่วไป ทำให้โอกาสในชีวิตย่อมน้อยลงตามไปด้วย มีทางเลือกในการเรียนต่อที่ไม่มาก และมีทางเลือกในการทำงานที่ค่อนข้างจำกัด โดยคู่มือเล่มนี้ได้รวบรวมกระบวนการในการปฏิบัติงานคุ้มครองและวิธีการปฏิบัติกับเด็กไร้สัญชาติที่มีความถูกต้อง และเหมาะสม เพื่อนำไปสู่การคุ้มครองเด็กได้อย่างมีประสิทธิภาพ

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Napat Songnuy, 2023-04-10 14:16:36

คู่มือการปฏิบัติงานกับเด็กและเยาวชนที่ไร้สัญชาติ

เด็กกลุ่มนี้ถือเป็นกลุ่มเด็กที่ถูกเบียดขับออกจากสังคม และถือเป็นชนกลุ่มน้อยที่มีโอกาสทางสังคมที่น้อยกว่าคนทั่วไป ทำให้โอกาสในชีวิตย่อมน้อยลงตามไปด้วย มีทางเลือกในการเรียนต่อที่ไม่มาก และมีทางเลือกในการทำงานที่ค่อนข้างจำกัด โดยคู่มือเล่มนี้ได้รวบรวมกระบวนการในการปฏิบัติงานคุ้มครองและวิธีการปฏิบัติกับเด็กไร้สัญชาติที่มีความถูกต้อง และเหมาะสม เพื่อนำไปสู่การคุ้มครองเด็กได้อย่างมีประสิทธิภาพ

จัดทำโดย นางสาวเมวิการ์ ประระทัง นางสาวขวัญจิรา เสนาธรรม นางสาวณภัทร สงนุ้ย นักศึกษาฝึกภาคปฏิบัติ3 คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์ลำปาง สนับสนุนโดย: สถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนจังหวัดเชียงใหม่ มูลนิธิเครือข่ายสถานะบุคคล (คสบ.) และโครงการคุ้มครองสิทธิเด็กไร้รัฐไร้สัญชาติ (SCPP.)


เกริ่นนำ การปฏิบัติงานกับกลุ่มเด็กและเยาวชนที่ไร้สัญชาติในสถานพินิจและคุ้มครอง เด็กและเยาวชน ยังคงพบว่ามีปัญหาและอุปสรรคมากกว่าเด็กที่มีสัญชาติไทย เนื่องจากกลุ่มเป้าหมายหรือกลุ่มเด็กเหล่านี้ไม่มีสถานะทางทะเบียนที่ถือเป็น ใบเบิกทางสำคัญในการวางแผนอนาคตของเด็กและเยาวชน รวมทั้งการสื่อสารที่ต้อง ใช้ภาษาที่แตกต่างออกไป การขาดภาคีเครือข่ายในการประสานส่งต่อเด็กเพื่อส่งเสริม ด้านการศึกษา หรือการส่งเด็กเข้าสู่สถานประกอบการ หรือความไม่ต่อเนื่องใน กระบวนการปฏิบัติงานกับกลุ่มเด็กและเยาวชนที่ไร้สัญชาติ เนื่องจากเจ้าหน้าที่ยัง ขาดองค์ความรู้ในกระบวนการปฏิบัติงานกับกลุ่มเด็กและเยาวชนที่ไร้สัญชาติโดยตรง คณะผู้จัดทำจึงได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของการปฏิบัติงานกับกลุ่มเด็กและเยาวชนที่ ไร้สัญชาติ เพราะเด็กและเยาวชนกลุ่มนี้ถือเป็นกลุ่มเด็กและเยาวชนที่ถูกเบียดขับออก จากสังคมและเป็นชนกลุ่มน้อยที่มีโอกาสทางสังคมน้อยกว่าคนทั่วไป ทำให้โอกาสใน ชีวิตน้อยลงตามไปด้วย ทั้งด้านการศึกษาที่มีทางเลือกในการเรียนต่อที่ไม่มากและ ด้านการประกอบอาชีพที่มีทางเลือกในการทำงานค่อนข้างจำกัด โดยคู่มือเล่มนี้ได้ รวบรวมกระบวนการในการปฏิบัติงานคุ้มครองและวิธีการปฏิบัติกับเด็กและเยาวชน ที่ไร้สัญชาติเพื่อนำไปสู่การคุ้มครองเด็กและเยาวชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ คณะผู้จัดทำหวังเป็นอย่างยิ่งว่า คู่มือเล่มนี้จะเป็นเครื่องมือสำคัญในการ ปฏิบัติงานกับกลุ่มเด็กและเยาวชนที่ไร้สัญชาติในสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและ เยาวชน จังหวัดเชียงใหม่ ตลอดจนเป็นประโยชน์สูงสุดต่อเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานกับ เด็กและเยาวชนที่ไร้สัญชาติ คณะผู้จัดทำ


สารบัญ เรื่อง หน้า 1. นิยามความหมายของเด็กและเยาวชนที่ไร้สัญชาติ 1 2. เลขประจำตัวประชาชนและเอกสาร หรือบัตรประจำตัว 3 3. สิทธิพื้นฐานของเด็กและเยาวชนที่ไร้สัญชาติ 11 3.1 สิทธิด้านการรักษาพยาบาล 11 3.2 สิทธิด้านการศึกษา 19 3.3 สิทธิอาศัยในราชอาณาจักรไทย 22 3.4 สิทธิด้านการก่อตั้งครอบครัว 25 3.5 สิทธิด้านการประกอบอาชีพ 26 3.6 สิทธิของเด็กและเยาวชนที่เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม 30 (สำหรับการคุ้มครองแบบข้ามพรมแดน 15 ข้อ) 4. การได้รับสัญชาติ 32 4.1 การแจ้งเกิด 32 4.2 การเพิ่มชื่อในทะเบียนบ้าน 54 4.3 เด็กนักเรียนรหัส G 60 4.4 การแก้ไขรายการทางทะเบียน 63 5. การพัฒนาสถานะทางทะเบียนของเด็กและเยาวชนที่ไร้สัญชาติ 68 5.1 แนวทางการปฏิบัติต่อเด็กและเยาวชนที่ไร้สัญชาติ 69 ตามกระบวนการสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน ที่อยู่ในระหว่างการควบคุมตัว


เรื่อง หน้า 5.2 แนวทางการปฏิบัติต่อเด็กและเยาวชนที่ไร้สัญชาติ 76 ตามกระบวนการสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน ที่อยู่ในช่วงเตรียมความพร้อมก่อนปล่อย 6. หน่วยงานด้านการคุ้มครองคนไร้สัญชาติ (ภาคเหนือ) 78 กรณีศึกษา 81 บรรณานุกรม 84


1 1 นิยามความหมายของเด็กและเยาวชนที่ไร้สัญชาติ ไม่เคยจัดทำทะเบียนประวัติ ไม่มีเลข 13 หลัก ไม่มีหลักฐานทะเบียนราษฎร์ กับประเทศอื่น คนไร้รากเหง้า เด็กและเยาวชนที่มีที่อยู่ในประเทศไทย เป็นหลักแหล่ง


2 ลักษณะของการไร้สัญชาติ การไร้สัญชาติแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ 1) ไร้สัญชาติโดยนิตินัย (de jure stateless) ซึ่งเป็นกรณีที่บุคคลไม่มี รัฐใด นับว่าเป็นผู้ถือสัญชาติโดยผลของกฎหมายแห่งรัฐนั้น 2) ไร้สัญชาติโดยพฤตินัย (de facto stateless) เป็นกรณีที่บุคคลไม่ได้ อยู่ในรัฐที่ตนถือสัญชาติและไม่อาจรับความคุ้มครองจากรัฐที่ตนกำลังอาศัยอยู่นั้นซึ่ง อาจเป็นผลมาจากการเบียดเบียนของรัฐหรือการขาดความสัมพันธ์ทางทูตระหว่างรัฐ ทั้งสอง


3 2 เลขประจำตัวประชาชนและเอกสาร หรือบัตรประจำตัว ใครบ้างที่สามารถมีบัตรประจำตัวประชาชนได้? • ผู้ที่มีสัญชาติไทย • ผู้ที่มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน (ท.ร.14) • ผู้ที่มีอายุ 7 ปีบริบูรณ์ แต่ไม่เกิน 70 ปี บัตรประชาชนสำคัญอย่างไร ? เป็นเอกสารลำดับเเรกที่ทำให้เกิดสิทธิอื่น ๆ ตามมา ใช้พิสูจน์ให้ทราบและยืนยันตัวบุคคลในการให้สิทธิ หรือประกอบธุรกรรม ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับภาครัฐและเอกชน เป็นการสำแดงตัวตน “ความเป็นคนไทยหรือคนในประเทศไทย” สามารถ อาศัยอยู่ในประเทศไทย และใช้สิทธิอย่างถูกต้องตามกฎหมายได้


4 ความหมายของเลขประจำตัวประชาชน เลขประจำตัวประชาชน 13 หลัก แบ่งออกเป็น 5 ส่วน ดังต่อไปนี้ ส่วนที่ 1 หมายถึง ประเภทบุคคลซึ่งมี 10 ประเภทอยู่ในเลขตำแหน่งหลักแรก ยกเว้น แรงงานต่างด้าว 3 สัญชาติจะมี 2 หลัก ได้แก่ ประเภทที่ 1 คือ คนที่เกิดและมีสัญชาติไทย ได้แจ้งการเกิดภายใน กำหนดเวลาที่กฎหมายกำหนด (15 วัน) เลขหลักแรกของบัตรเป็นเลข 1 X X X X X X X X X X X X X ส่วนที่ 1 ส่วนที่ 2 ส่วนที่ 3 ส่วนที่ 4 ส่วนที่ 5 X X X X X X X X X X X X X ส่วนที่ 1 ส่วนที่ 2 ส่วนที่ 3 ส่วนที่ 4 ส่วนที่ 5


5 ประเภทที่ 2 คือ คนที่เกิดและมีสัญชาติไทย ได้แจ้งเกิดเกินกำหนดเวลาที่ กฎหมายกำหนด (15 วัน) เลขหลักแรกของบัตรเป็นเลข 2 ประเภทที่ 3 คือ คนไทยและคนต่างด้าว ที่มีใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว และมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน ก่อนวันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2527 เลขหลักแรกของบัตรเป็นเลข 3 ประเภทที่ 4 คือ คนไทยและคนต่างด้าวที่มีใบสำคัญคนต่างด้าวแต่แจ้ง ย้ายเข้า โดยยังไม่มีเลขประจำตัวประชาชน (มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านเดิมอยู่ แล้ว แต่ยังไม่ทันได้เลขประจำตัวก็ขอย้ายบ้านไปเขตหรืออำเภออื่น ก่อนช่วง วันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2527) เลขหลักแรกของบัตรเป็นเลข 4 ประเภทที่ 5 คือ คนไทยและคนต่างด้าวที่มีใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวที่ ได้รับอนุมัติให้เพิ่มชื่อและรายการบุคคลเข้าในทะเบียนบ้าน หรือคนไทยที่ ได้รับอนุมัติให้เพิ่มชื่อเข้าไปในทะเบียนบ้านในกรณีตกสำรวจหรือกรณีอื่น ๆ เลขหลักแรกของบัตรเป็นเลข 5 ประเภทที่ 6 คือ ผู้ที่เข้าเมืองโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และผู้ที่เข้าเมืองโดย ชอบด้วยกฎหมายแต่อยู่ในลักษณะชั่วคราว รวมถึงบุตรที่เกิดก่อนการสำรวจ ได้รับการจัดทำทะเบียนประวัติเนื่องจากไม่มีสูติบัตร เลขหลักแรกของบัตร เป็นเลข 6 ประเภทที่ 7 คือ บุตรของบุคคลประเภทที่ 6 ซึ่งเกิดในประเทศไทย เลขหลักแรกของบัตรเป็นเลข 7 ประเภทที่ 8 คือ คนต่างด้าวที่เข้าเมืองโดยถูกต้องตามกฎหมาย ผู้ที่ได้รับ ใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวหรือคนที่ได้รับการแปลงสัญชาติเป็นสัญชาติ ไทย และคนที่ได้รับการให้สัญชาติไทย หลังวันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2527 เลขหลักแรกของบัตรเป็นเลข 8


6 ***คนทั้ง 8 ประเภทนี้ จะมีเพียงประเภทที่ 3, 4 และ 5 เท่านั้น ที่จะมีบัตรประชาชนได้เลย ส่วนประเภทที่ 1 และ 2 จะมีบัตรประชาชนได้ ก็ต่อเมื่อมีอายุถึงเกณฑ์ทำบัตรประจำตัวประชาชน คืออายุ 7 ปี แต่สำหรับ บุคคลประเภทที่ 6, 7 และ 8 จะมีเพียงทะเบียนประวัติเล่มสีเหลืองเท่านั้น จะไม่มีการออกบัตรประชาชนให้*** นอกจากนี้ ยังมีเอกสารแสดงตนเป็นบัตรประจำตัวคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทย ตามพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร พ.ศ. 2534 ได้แก่ ประเภทที่ 9 คือ บุคคลที่ไม่มีสถานะทางทะเบียน เลขหลักแรกของบัตร เป็นเลข 0 ประเภทที่ 10 คือ คนต่างด้าวที่ได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรไทย เป็นกรณีพิเศษ กลุ่มแรงงานต่างด้าวสัญชาติเมียนมา ลาว และกัมพูชาเลขสองหลักแรกของบัตรเป็นเลข 00


7 ส่วนที่ 2 หมายถึง รหัสของสำนักทะเบียนที่ท่านมีชื่อในทะเบียนบ้านในขณะให้เลข สำหรับเด็กเกิดใหม่จะหมายถึงถิ่นที่เกิดเลยทีเดียว มีทั้งหมด 4 หลัก หลักที่ 2 และ 3 หมายถึง จังหวัด หลักที่ 4 และ 5 หมายถึง อำเภอหรือเทศบาล ส่วนที่ 3 และส่วนที่ 4 รวมกันมี 7 หลัก หมายถึง กลุ่มที่ / ลำดับที่ของบุคคลแต่ละ ประเภทตามหลักแรก หรือ หมายถึงเล่มที่ของสูติบัตรแล้วแต่กรณี X X X X X X X X X X X X X ส่วนที่ 1 ส่วนที่ 2 ส่วนที่ 3 ส่วนที่ 4 ส่วนที่ 5 X X X X X X X X X X X X X ส่วนที่ 1 ส่วนที่ 2 ส่วนที่ 3 ส่วนที่ 4 ส่วนที่ 5


8 ส่วนที่ 5 หมายถึง หลักที่ 13 คือ ตัวเลขตรวจสอบความถูกต้องของเลขทั้งหมดใน 12 หลักแรก ประเภทบัตรประจำตัวบุคคลที่ยังไม่มีสัญชาติไทย 1. คนซึ่งไม่มีสัญชาติไทย บัตรสีชมพู เดิมเป็นบัตรสีต่าง ๆ จำนวน 22 กลุ่ม เลขประจำตัวจะขึ้นต้น ด้วยเลข 6 ต่อมาได้เปลี่ยนเป็นสีเดียวกัน คือ สีชมพู แต่จะจำแนกจากหมายเลข 13 หลัก และระบุชื่อบัตรเดิมในบัตรดังกล่าว และกลุ่มขึ้นต้นด้วยเลข 7 เป็นบุคคลที่ เกิดในประเทศไทยและเป็นบุตรของบุคคลที่ถือเลข 6 X X X X X X X X X X X X ส่วนที่ 1 ส่วนที่ 2 ส่วนที่ 3 ส่วนที่ 4 X ส่วนที่ 5


9 2. บุคคลที่ไม่มีสถานะทางทะเบียน บัตรเลข 0 เป็นบุคคลที่ได้รับการสำรวจและจัดทำทะเบียนประวัติตาม ยุทธศาสตร์การจัดการปัญหาสถานะและสิทธิของบุคคล 3. บุคคลที่ไม่มีสถานะทางทะเบียน จัดทำทะเบียน จัดทำประวัติตามมาตรา 38 วรรค 2 เลข 0 กลุ่ม 00 เป็นคนไร้รัฐไร้สัญชาติ มีภูมิลำเนาเป็นหลักแหล่งอยู่ใน ประเทศไทย


10 4. กลุ่มแรงงานต่างด้าว 3 สัญชาติ (พม่า กัมพูชา ลาว) และผู้ติดตาม รวมถึงบุตรของบุคคลดังกล่าวที่ได้แจ้งการเกิดต่อนายทะเบียนเลขประจำตัว จะขึ้นต้นด้วย 00 5. กลุ่มผู้หนีภัยการสู้รบจากพม่า เลขประจำตัวขึ้นต้นด้วย 000 ได้รับการจัดทำทะเบียนประวัติโดยองค์การ ระหว่างประเทศที่กระทรวงมหาดไทยกำกับ


11 (3.1) สิทธิด้านการรักษาพยาบาล ตามประกาศของกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยเรื่องการแก้ไขสถานะบุคคลและ สัญชาติ อนุมัติให้กระทรวงสาธารณสุขรับผิดชอบการรักษาพยาบาลให้กับคนไร้ สัญชาติ ดังนี้ กลุ่มที่รัฐบาลมีนโยบายแก้ไขปัญหา สถานะและสัญชาติ กลุ่มที่อยู่ระหว่างการพิสูจน์สัญชาติของ นายทะเบียนเพื่อการเพิ่มชื่อในทะเบียนบ้าน โดยรัฐบาลสนับสนุนงบประมาณเป็นค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล รายละ 2,240 บาท / คน / ปี 3 สิทธิพื้นฐานของเด็กและเยาวชนที่ไร้สัญชาติ


12 กลุ่มเป้าหมายในการให้บริการด้านสาธารณสุข ประเทศไทยเป็นส่วนหนึ่งในการเข้าร่วมเป็นภาคีอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก โดยรัฐบาลไทยได้ให้สิทธิการเข้าถึงการบริการสาธารณสุขแก่เด็กนักเรียนที่ไร้รัฐ ไร้สัญชาติจำนวนหลายพันคนทั่วประเทศ โดยเปิดโอกาสให้เข้าถึงระบบประกัน สุขภาพ ซึ่งครอบคลุมการป้องกันโรค การรักษาพยาบาล และการฟื้นฟูสมรรถภาพ นอกจากนี้เด็กนักเรียนยังได้รับเอกสารประจำตัวและสามารถพัฒนาสถานะทาง กฎหมายของตนเอง ซึ่งนำไปสู่การแก้ไขปัญหาไร้รัฐไร้สัญชาติได้ในที่สุด กลุ่มที่ 1 คือ กลุ่มที่คณะรัฐมนตรีรับรองสถานะให้อาศัยอยู่ถาวร ประกอบไปด้วย 1.1 กลุ่มที่มีเลขขึ้นต้นในบัตรประจำตัวบุคคล ที่เข้าเมืองโดยชอบ ได้สิทธิ อาศัยถาวร (พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ. 2552) ประเภททะเบียนราษฎร์ท.ร.14 1.2 กลุ่มที่เลขขึ้นต้นในบัตรประจำตัวบุคคล เลข 5 และ 8 เป็นคนต่างด้าวที่ เข้าเมืองโดยชอบด้วยกฎหมายมีสิทธิอาศัยถาวร ประเภททะเบียนราษฎร์ท.ร.14 สำหรับกลุ่มที่ 1 สามารถออกนอกพื้นที่ได้โดยไม่ต้องขอใบอนุญาตออกนอกพื้นที่ กลุ่มที่ 2 คือ กลุ่มที่ได้รับการผ่อนผันให้อยู่ชั่วคราวเพื่อรอกระบวนการแก้ปัญหา ประกอบไปด้วย 2.1 กลุ่มที่มีปัญหาการส่งกลับซึ่งได้รับการสำรวจทำทะเบียนประวัติและ บัตรสี/ บัตรประจำตัวผู้ไม่ใช่สัญชาติไทยเพื่อการควบคุมและอยู่ระหว่างการ แก้ปัญหา กลุ่มที่มีเลขขึ้นต้นในบัตรประจำตัวบุคคล เลข 6 เป็นคนต่างด้าวที่เข้าเมือง โดยชอบด้วยกฎหมายในลักษณะชั่วคราว (ม.12, 13, 34, และ 35 พ.ร.บ.คนเข้าเมือง


13 การยื่นคำขออนุญาตออกนอกพื้นที่ พ.ศ. 2552) และคนต่างด้าวที่เข้าเมืองโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย (ม.17 พ.ร.บ.คนเข้า เมือง พ.ศ. 2522) ประเภททะเบียนราษฎร์ท.ร.13 2.2 กลุ่มที่มีเลขขึ้นต้นในบัตรประจำตัวบุคคล เลข 7 เป็นบุตรคนต่างด้าวที่ เข้าเมืองโดยชอบด้วยกฎหมายในลักษณะชั่วคราวที่เกิดในประเทศไทย (ม.12, 13, 34, และ 35 พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ. 2522) และบุตรคนต่างด้าวที่เข้าเมืองโดยไม่ ชอบด้วยกฎหมายที่เกิดในประเทศไทย (ม.17 พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ. 2522) ประเภททะเบียนราษฎร์ท.ร.13 ในกลุ่ม 2.2 เลขประจำตัวหลักที่ 6 และ 7 จะต้องเป็นเลข 89 ตัวอย่างเช่น 0-5004 - 89022 - 45 - 3 และในการขอขึ้นทะเบียนจะต้องมีแบบสำรวจเพื่อจัดทำ ทะเบียนสำหรับบุคคลที่ไม่มีสถานะทางทะเบียน (แบบ 89) สำหรับกลุ่มที่ 2 กรณีออกนอกพื้นที่ต้องขอใบอนุญาตออกนอกพื้นที่ 1. ในเขตท้องที่กรุงเทพมหานคร ให้ไปแจ้งความจำนงโดยยื่นคำขอต่อ ปลัดกระทรวงมหาดไทย หรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย ณ กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ถนนอัษฎางค์เขตพระนคร กรุงเทพฯ 2. ในท้องที่จังหวัดอื่น (ก) กรณีออกนอกเขตจังหวัด ให้ไปแจ้งความจำนงโดยยื่นคำขอต่อนายอำเภอ หรือปลัดอำเภอ ผู้เป็น หัวหน้าประจำกิ่งอำเภอ หรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย ณ ที่ทำการปกครองอำเภอหรือกิ่ง อำเภอแล้วแต่กรณีและให้นายอำเภอหรือปลัดอำเภอ ผู้เป็นหัวหน้าประจำกิ่งอำเภอ เสนอความเห็นให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเพื่อพิจารณาต่อไป


14 (ข) กรณีออกนอกเขตอำเภอ หรือกิ่งอำเภอ ให้ไปแจ้งความจำนงต่อนายอำเภอ หรือปลัดอำเภอ ผู้เป็นหัวหน้าประจำ กิ่งอำเภอ หรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย ณ ที่ทำการปกครองอำเภอหรือกิ่งอำเภอ แล้วแต่กรณีในการยื่นคำขอต้องมายื่นก่อนวันที่ต้องการจะขออนุญาตออกนอกพื้นที่ อย่างน้อย 3 วันทำการในวันเวลาราชการ พร้อมทั้งแนบรูปถ่ายขนาด 1 นิ้ว จำนวน 2 รูป พร้อมเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้องให้แก่เจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบเพื่อใช้ ประกอบการอนุญาต แนวทางการลงทะเบียนและการตรวจสอบสิทธิการรักษาพยาบาล ยื่นคำขอลงทะเบียนต่อหน่วยบริการตามทะเบียนบ้าน ภายในเขตอำเภอหรือเขตบริการ เท่านั้น เก็บหลักฐานเอกสารดังกล่าวไว้ที่หน่วยบริการเพื่อการตรวจสอบ (แบบคำขอลงทะเบียนสิทธิรักษาพยาบาลของผู้ที่มีปัญหาสถานะและสิทธิ) หน่วยบริการตรวจสอบสิทธิจากสำนักบริหารการทะเบียน (สน.บท.) หน่วยบริการส่งข้อมูลให้กลุ่มประกันสุขภาพเพื่อใช้เป็นฐานข้อมูลกลาง กรณีไม่มีชื่อปรากฏในฐานข้อมูล ของสำนักบริหารการทะเบียน กรณีมีชื่อปรากฏในฐานข้อมูล ของสำนักบริหารการทะเบียน สามารถตรวจสอบสิทธิได้จากเว็บไซต์กลุ่ม ประกันสุขภาพ สำนักงานปลัดกระทรวง สาธารณสุข http://state.cfo.in.th ลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์กลุ่มประกันสุขภาพ สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข http://state.cfo.in.th


15 หลักฐานที่ต้องใช้ในการลงทะเบียนและการตรวจสอบสิทธิการรักษาพยาบาล 1. แบบคำขอลงทะเบียนสิทธิรักษาพยาบาลของผู้ที่มีปัญหาสถานะและสิทธิ 2. บัตรประจำตัวบุคคล สูติบัตร หรือบัตรที่ทางราชการออกให้ซึ่งมีรูปถ่ายและ มีเลขประจำตัวบุคคล 13 หลัก 3. สำเนาทะเบียนบ้าน


16 สำหรับกลุ่มที่ได้รับการผ่อนผันให้อยู่ชั่วคราวเพื่อรอกระบวนการแก้ปัญหาที่ เลขประจำตัวบุคคลขึ้นต้นด้วยเลข 0 ให้ใช้หลักฐานเพิ่มเติม คือ แบบสำรวจเพื่อ จัดทำทะเบียนสำหรับบุคคลที่ไม่มีสถานะทางทะเบียน (แบบ 89)


17 สิทธิประโยชน์ด้านสาธารณสุขที่จะได้รับ 1. การสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค ครอบคลุมบริการด้านการแพทย์และ สาธารณสุขที่ให้โดยตรงแก่บุคคลเพื่อการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค 2. การตรวจวินิจฉัยโรค ครอบคลุมบริการตรวจเพื่อการวินิจฉัยรวมทั้งการตรวจ ยืนยันกรณีพบความผิดปกติจากการตรวจคัดกรองตามข้อบ่งชี้ทางการแพทย์ 3. การตรวจและรับฝากครรภ์ครอบคลุมบริการตรวจและการบริบาลเพื่อ เสริมสร้างสุขภาพของหญิงมีครรภ์ตามแนวทางของกรมอนามัย กระทรวง สาธารณสุข และ/หรือขององค์การอนามัยโลก 4. การบำบัดและบริการทางการแพทย์ ครอบคลุมบริการ ดังต่อไปนี้ 4.1 การบำบัดและการบริการทางเวชกรรม รวมถึงบริการการแพทย์ แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกตามกฎหมายว่าด้วยการประกอบโรคศิลปะ จนสิ้นสุดการรักษา 4.2 การบำบัดทดแทนไตในการรักษาผู้ป่วยไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย ด้วยการล้างช่องท้อง (Peritoneal dialysis) การฟอกเลือดด้วยเครื่องไต เทียม (Hemodialysis) 4.3 การบำบัดและการบริการทางทันตกรรม ได้แก่ การถอนฟัน การอุด ฟัน การขูดหินปูน การทำฟันปลอมฐานพลาสติก การรักษาโพรงประสาทฟัน น้ำนม และการใส่เพดานเทียมในเด็กปากแหว่งเพดานโหว่ 5. ยาและเวชภัณฑ์ตามข้อบ่งชี้ทางการแพทย์ โดยครอบคลุมยาตามกรอบบัญชี ยาหลักแห่งชาติและรวมการบริการยาต้านไวรัสเอดส์สำหรับผู้ติดเชื้อเอชไอวี และผู้ป่วยเอดส์ 6. อวัยวะเทียมและอุปกรณ์ทางการแพทย์


18 7. การคลอด ครอบคลุมการคลอดบุตรรวมกันไม่เกิน 2 ครั้ง กรณีที่บุตรมีชีวิต นับแต่มีมติครม. วันที่ 23 มีนาคม 2553 8. ค่าอาหารและห้องผู้ป่วยสามัญ 9. การบริบาลทารกแรกเกิด 10. ค่ารถพยาบาลรับส่งผู้ป่วยครอบคลุมเฉพาะกรณีเจ็บป่วยฉุกเฉิน และ การส่งต่อเพื่อการรักษาระหว่างสถานพยาบาล 11. ค่าใช้จ่ายอื่นที่จำเป็น เพื่อการบริการสาธารณสุขตามที่คณะกรรมการ กำหนด โดยบริการที่ไม่ครอบคลุม ได้แก่ กลุ่มบริการที่เกินความจำเป็น พื้นฐาน - การรักษาภาวะผู้มีบุตรยาก - การผสมเทียม - การเปลี่ยนเพศ - การกระทำใด ๆ เพื่อความสวยงาม โดยไม่มีข้อบ่งชี้ทางการแพทย์ - การตรวจวินิจฉัยและการรักษาใด ๆ ที่เกินความจำเป็นและข้อบ่งชี้ ทางการแพทย์ - การรักษาที่อยู่ระหว่างการค้นคว้าทดลอง - การบาดเจ็บจากการประสบภัยจากรถ ซึ่งอยู่ในความคุ้มครองตาม กฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ เฉพาะส่วนที่ บริษัทหรือกองทุนตามกฎหมายนั้นต้องเป็นผู้จ่าย - โรคเดียวกันที่ต้องใช้ระยะเวลารักษาตัวในโรงพยาบาลประเภท ผู้ป่วยในเกิน 180 วัน ยกเว้นกรณีที่จำเป็นต้องรักษาต่อเนื่องจาก ภาวะแทรกซ้อนหรือมีข้อบ่งชี้ทางการแพทย์ - การปลูกถ่ายอวัยวะ (Organ Transplantation


19 3.2 สิทธิด้านการศึกษา สิทธิทางการศึกษา หรือสิทธิในการเข้าถึงการได้รับการพัฒนาความรู้ ความสามารถตามวัยที่เหมาะสมถือเป็นสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานที่มนุษย์ทุกคนควร ได้รับ ซึ่งถือเป็นหลักการที่ได้รับการรับรองไว้ในกฎบัตรสหประชาชาติในอันที่ รัฐสมาชิกทุกรัฐจะต้องส่งเสริมสนับสนุนให้เกิดความเคารพสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน โดยไม่เลือกปฏิบัติในเรื่องเชื้อชาติ เพศ ภาษาหรือศาสนา และยังปรากฎในอนุสัญญา ว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติในทุกรูปแบบ ค.ศ. 1965 ข้อ 5 ฉ (5) กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม ค.ศ. 1966 ข้อ 13 และอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก ค.ศ. 1989 ข้อ 28 ซึ่งประเทศไทยได้ร่วมลง นามเป็นภาคีสมาชิกด้วยทั้งสิ้น ในประเทศไทย มีประชากรที่บิดามารดาเป็นคนต่างด้าวมีจำนวนรวมกว่า 2 แสนคน ซึ่งส่งผลให้เด็กจำนวนดังกล่าวมีข้อจํากัดในการเข้าถึงการบริการทางด้าน สังคม และการเข้ารับการบริการทางด้านการศึกษาจากรัฐ จึงก่อปัญหาให้รัฐบาลไทย ที่มีความจำเป็นที่จะต้องดูแลทางด้านสิทธิมนุษยชนแก่บุคคลดังกล่าว โดยเฉพาะการ ดูแลทางด้านสิทธิขั้นพื้นฐานในการเข้าถึง “การศึกษา” เพราะจากข้อมูลของเด็กไร้ สัญชาตินั้น มีเพียงบางพื้นที่เท่านั้นที่รัฐได้ดำเนินการจัดการศึกษาให้อย่างเป็น รูปธรรมโดยมีเพียงการจัดตั้งศูนย์การเรียนเด็กต่างด้าวขึ้นเพียง 61 ศูนย์ และ พยายามจัดระบบการเรียนให้เด็กต่างด้าวได้มีสิทธิเรียนดังเช่นเด็กผู้มีสัญชาติไทย โดยเฉพาะการกำหนดกลไกทางกฎหมายเพื่อสนับสนุนส่งเสริมให้เด็กไร้สัญชาติมีสิทธิ ในการศึกษา ดังต่อไปนี้


20 1. ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยหลักฐานในการรับนักเรียน นักศึกษาเข้าเรียนในสถานศึกษา พ.ศ. 2548 ระเบียบดังกล่าวกำหนดขึ้นเพื่อเป็นการปรับปรุงระเบียบเกี่ยวกับหลักฐานใน การรับนักเรียนนักศึกษาเข้าเรียนในสถานศึกษาให้สอดคล้องกับกฎหมายว่าด้วย การศึกษาแห่งชาติ และกฎหมายว่าด้วยการศึกษาภาคบังคับ เพื่อเป็นการเปิดโอกาส แก่บุคคลให้ได้รับการศึกษาอย่างทั่วถึง และถือเป็นกฎหมายที่ให้การรับรองและ ประกันสิทธิในการศึกษาของบุคคล ซึ่งหมายรวมถึงบุคคลไร้สัญชาติและกลุ่มคนที่ไม่มี หลักฐานทางทะเบียนราษฎร หรืออาจกล่าวได้ว่าเป็นกลุ่มคนไร้รัฐ เนื่องจากเป็นกลุ่ม คนที่ไม่มีเอกสารพิสูจน์ตนใดเลย ไม่มีสำเนาทะเบียนบ้าน ไม่มีใบรับรองการเกิด จึงไม่ สามารถพิสูจน์ได้ว่าตนมีสัญชาติใดหรือควรมีสิทธิอาศัยอยู่ในประเทศใด แสดงให้เห็น ว่า ในกรณีที่บุคคลใดประสงค์จะเข้าเรียนในสถานศึกษา แต่มิใช่บุคคลสัญชาติไทย บุคคลนั้นจึงไม่มีสูติบัตร หรือทะเบียนบ้านที่จะนำมาแสดงได้ แต่บุคคลนั้นก็สามารถ ใช้หลักฐานอื่นในการสมัครเข้าเรียนในสถานศึกษาได้ โดยหากเป็นกลุ่มบุคคลที่มีสิทธิ อาศัยในประเทศไทยก็สามารถนำเอกสารทางราชการอื่น ๆ มาแสดงได้ตามที่ กระทรวงศึกษาธิการกำหนด เช่น ทะเบียนสำรวจบุคคลในบ้านของกรมประชาสงค์เคราะห์ ทะเบียนประวัติบุคคลที่เข้าเมืองไม่ชอบด้วยกฎหมายที่อำเภอ หรือ จังหวัดจัดทำ หรือหนังสือรับรองการเกิด และหากเป็นกรณีทีเป็นบุคคลที่ไม่มีเอกสาร พิสูจน์ตนใด ๆ เลยก็สามารถเข้าเรียนได้เช่นเดียวกัน 2. พระราชบัญญัติการศึกษาภาคบังคับ พ.ศ. 2545 พระราชบัญญัติฉบับนี้กำหนดให้เด็กที่มีอายุย่างเข้าปีที่ 7 ต้องเข้าเรียนใน สถานศึกษาจนอายุย่างเข้าปีที่ 16 ซึ่งเป็นการศึกษาภาคบังคับ และเป็นบทบังคับให้ ผู้ปกครองต้องส่งเด็กเข้าเรียนในสถานศึกษา เพราะผู้ปกครองอาจได้รับโทษตาม กฎหมาย ดังนั้นผู้ปกครองของเด็กและเยาวชนที่ไร้สัญชาติที่เป็นราษฎรไทยจึงมี


21 หน้าที่ต้องส่งเด็กเข้าเรียนในสถานศึกษาเมื่ออายุถึงเกณฑ์ตามที่กำหนด เพื่อให้เด็กทุก คนมีโอกาสได้รับการศึกษาอย่างเสมอภาคกัน 3. พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 พระราชบัญญัติฯ ฉบับนี้เป็นกฎหมายหลักของรัฐในการจัดการศึกษาโดย เป็นกฎหมายที่ออกตาม ความที่กำหนดในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 มาตรา 81 ที่กำหนดหน้าที่ให้รัฐ ต้องจัดการศึกษาอบรมและต้องจัดให้มี กฎหมายเกี่ยวกับการศึกษาแห่งชาติซึ่งตามบทบัญญัติใน มาตรา 10 แห่ง พระราชบัญญัตินี้ได้บัญญัติว่า “รัฐต้องจัดการศึกษาให้แก่บุคคลทุกคนอย่างเท่าเทียม กันในการรับการศึกษาขั้นพื้นฐานไม่น้อยกว่า 12 ปี ที่รัฐจะต้องจัดให้อย่างทั่วถึงและ มีคุณภาพโดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย” และสิทธิในการศึกษาหมายความรวมทั้งสิทธิใน การศึกษาในระบบ การศึกษานอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัย ดังนั้นบุคคล ทุกคนรวมถึงเด็กและเยาวชนที่ไร้สัญชาติจึงมีสิทธิได้รับการศึกษาทั้งสามรูปแบบ ดังกล่าวในประเทศไทยเช่นเดียวกับบุคคลผู้มีสัญชาติไทย 4. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 เช่นเดียวกับ รัฐธรรมนูญของไทยหลายฉบับก่อนหน้านี้ รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันได้บัญญัติถึงสิทธิในการศึกษาไว้เช่นกันดังปรากฏใน หมวดสิทธิเสรีภาพของชนชาวไทยในมาตรา 49 ที่กำหนดให้บุคคลทุกคนมีสิทธิเสมอ กันในการรับการศึกษาไม่น้อยกว่าสิบสองปีที่รัฐจะต้องจัดให้อย่างทั่วถึงและมีคุณภาพ โดยไม่เก็บค่าใช้จ่ายและตามที่ปรากฏในหมวดแนวนโยบายของรัฐ มาตรา 80 ซึ่ง กำหนดให้มีการคุ้มครองและพัฒนาเด็กและเยาวชน สนับสนุนการอบรมเลี้ยงดูและ ให้การศึกษาปฐมวัย ส่งเสริมความเสมอภาคของหญิงและชายเสริมสร้างและพัฒนา ความเป็นปึกแผ่นของสถาบันครอบครัวและชุมชน รวมทั้งต้องสงเคราะห์และจัด สวัสดิการให้แก่ผู้สูงอายุ ผู้ยากไร้ผู้พิการหรือทุพพลภาพ และผู้อยู่ในสภาวะ


22 ยากลำบากให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นและพึ่งพาตนเองได้ ซึ่งจากกลไกทางกฎหมายทั้ง 4 ฉบับดังกล่าวแม้จะบัญญัติให้เห็นถึงการให้ความใส่ใจของภาครัฐต่อปัญหาสิทธิ มนุษยชนทางด้านการศึกษาแก่เด็กก็ตาม แต่ก็ยังมีปัญหาและอุปสรรคต่าง ๆ มากมายหลายประการถึงแม้จะมีบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติรับรองสิทธิในการศึกษาที่บัญญัติไว้ในมาตรา 49 ว่า “บุคคลย่อมมีสิทธิเสมอ กันในการรับการศึกษาไม่น้อยกว่าสิบสองปี ที่รัฐจะต้องจัดให้อย่างทั่วถึงและมี คุณภาพโดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย” (สิทธิพร, ม.ป.ป.) นอกเหนือจากการได้สถานะบุคคลหรือสัญชาตินั้น ด้านการศึกษาก็เป็น สิ่งจำเป็นต่อหลักสิทธิมนุษยชน โดยกำหนดให้โรงเรียนและสถานศึกษาทุกแห่งรับเด็ก ที่ไม่มีสัญชาติไทยทุกคนเข้าเรียนและเมื่อเรียนจบแล้วจะต้องออกหลักฐานรับรองผล การเรียนให้ทุกราย โดยรัฐบาลสนับสนุนงบประมาณเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับอุดหนุน การศึกษาชั้นอนุบาล (1,700 บาท/คน/ปี) ประถมศึกษา (1,900 บาท/คน/ปี) มัธยมศึกษาตอนต้น (3,500 บาท/คน/ปี) และมัธยมศึกษาตอนปลายหรือระดับ ประกาศนียบัตรวิชาชีพ : ปวช. (3,800 บาท/คน/ปี) (3.3) สิทธิอาศัยในราชอาณาจักรไทย ประเทศไทยมีชนกลุ่มน้อยที่อพยพหลบหนีเข้าเมืองมาอย่างผิดกฎหมายและ อาศัยอยู่ในประเทศไทยเป็นจำนวนมากที่ไม่สามารถเดินทางกลับประเทศต้นทางได้ และรัฐบาลมีนโยบายในการผ่อนผันให้อยู่ในราชอาณาจักรชั่วคราว บุคคลเหล่านี้ ประสบปัญหาสถานะตามกฎหมายในการอาศัยอยู่ในประเทศไทย ส่งผลกระทบต่อ การดำรงชีวิตและการเข้าถึงสิทธิมนุษยชนอย่างเหมาะสม นำไปสู่ปัญหาความมั่นคง โดยสิทธิอาศัยในราชอาณาจักรไทยของต่างด้าว สามารถสรุปได้เป็นกรณีดังต่อไปนี้


23 กรณีเข้าเมืองชอบด้วยกฎหมาย และ ได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักร เป็นการชั่วคราว ผู้อพยพสามารถอยู่ใน ราชอาณาจักรได้ตามสิทธิที่ได้รับ อนุญาตเท่านั้น กรณีเข้าเมืองชอบด้วยกฎหมาย และ ได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรเป็น การชั่วคราวแต่การอนุญาตให้อยู่ใน ราชอาณาจักรสิ้นสุดผู้อพยพไม่สามารถ อยู่ในราชอาณาจักรได้เป็นความผิดตาม พระราชบัญญัติคนเข้าเมือง กรณีลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายต้องพิจารณาว่ามีมติคณะรัฐมนตรี ผ่อนผันให้อยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวหรือไม่ กรณีเด็กที่เกิดในประเทศไทย ที่มีการจดทะเบียนการเกิด สิทธิอาศัยจะมีสิทธิตามสถานะ ของบิดาหรือมารดา เป็นสำคัญ แม้บิดามารดาผิดกฎหมายเด็กก็ยังมีสิทธิที่จะอยู่อย่าง ถูกกฎหมาย ภายใต้เงื่อนไขตามมาตรา 7 ทวิ วรรค 3 แห่งพระราชบัญญัติสัญชาติ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551 หากมี สามารถอยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราว ตามระยะเวลาที่คณะรัฐมนตรีกำหนด เช่น กลุ่ม แรงงานข้ามชาติ3 สัญชาติเมียนมา ลาว กัมพูชา (ถือบัตรประจำตัวบุคคลที่ไม่มีสัญชาติไทยเลข ประจำตัว 13 หลัก หลักที่ 1 เป็นเลข 00 ) หากเป็นกรณีลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายและไม่ มีมติคณะรัฐมนตรีผ่อนผันให้อยู่ในราชอาณาจักร เป็นการชั่วคราว ไม่มีสิทธิอาศัยในประเทศไทยและมี ความผิดตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง


24 กรณีบุคคลที่ถือบัตรประจำตัวที่รัฐบาลออกให้ (ไม่รวมบัตรประจำตัวที่ได้รับการจัดทำ เพราะมีสูติบัตรเกิดในประเทศไทยเมื่อเด็กอายุครบ 5 ปีบริบูรณ์) ผู้ลี้ภัยจากการสู้รบจากประเทศเมียนมาได้รับสิทธิอาศัยชั่วคราวในพื้นที่ที่กำหนด ตามประกาศกระทรวงมหาดไทย กลุ่มอื่น ๆ เช่น ผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ได้รับสิทธิอาศัยชั่วคราวตามประกาศ กระทรวงมหาดไทย ถือบัตรประจำตัวบุคคลที่ไม่มี ส ถ า น ะ ท า ง ท ะ เ บ ี ย น เ ล ข ประจำตัว 13 หลัก เลขหลักที่ 1 เป็นเลข 0 และ เลขหลักที่ 6 และ 7 เป็นเลข 00 แม้ไม่มี ประกาศรับรองสิทธิอาศัยใน ราชอาณาจักรแต่ด้วยเหตุที่ไม่มี ประเทศต้นทางให้ส่งกลับจึง ได้รับการปฏิบัติเสมือนมีสิทธิ อาศัยในราชอาณาจักรไทย ถือบัตรประจำตัวบุคคลที่ไม่มี สัญชาติไทยมีเลขประจำตัว 13 หลัก หลักที่1 เป็นเลข 6 ซึ่งมิได้ มีเลขหลักที่ 6 และ 7 เป็น 00 กลุ่มคนต่างด้าวเข้าเมือง ประกาศกระทรวงมหาดไทย ร ั บ ร อ ง ส ิ ท ธ ิ อ า ศ ั ย ใ น ราชอาณาจักร ถือบัตรประจำตัวบุคคลที่ไม่มี สถานะทางทะเบียนเลข ประจำตัว 13 หลัก เลขหลัก ที่ 1 เป็นเลข 0 และ เลขหลัก ที่ 6 และ 7 เป็นเลข 89 ประกาศกระทรวงมหาดไทย ร ั บ ร อ ง ส ิ ท ธ ิ อ า ศ ั ย ใ น ราชอาณาจักร


25 (3.4) สิทธิด้านการก่อตั้งครอบครัว คนที่ไร้สัญชาติสามารถจดทะเบียนรับบุตรบุญธรรมได้เช่นเดียวกับคนไทย โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้ กรณีที่เด็กไม่ได้สัญชาติไทย ผู้รับบุตรบุญธรรมซึ่งมีสัญชาติไทย อาจขอแปลง สัญชาติไทยให้แก่บุตรบุญธรรมที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะได้ในกรณีที่จดทะเบียนรับบุตร บุญธรรมมาแล้วไม่น้อยกว้าห้าปีและมีหลักฐานแสดงให้เชื่อได้ว่าเด็กเกิดใน ราชอาณาจักรไทย ทั้งนี้ การได้สัญชาติไทยหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับการพิจารณาของ กระทรวงมหาดไทยตามพระราชบัญญัติสัญชาติ พ.ศ. 2508 ผู้รับบุตรบุญธรรมชาวไทย อาจไม่สามารถนำเด็กที่ไม่ได้สัญชาติไทยเดินทาง ออกนอกราชอาณาจักรได้ ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของกระทรวงการต่างประเทศ ตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง (คู่มือการเตรียมความพร้อมผู้ ขอรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรมชาวไทย, ม.ป.ป.)


26 (3.5) สิทธิด้านการประกอบอาชีพ ตามข้อเสนอของคณะกรรมการพิจารณาการทำงานของคนต่างด้าวให้ คนไร้รัฐไร้สัญชาติที่รัฐบาลมีนโยบายแก้ไขปัญหาสถานะและสิทธิของบุคคลสามารถ ทำงานได้ทุกประเภทงานตามที่กฎหมายกำหนด โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้ 1. แรงงานต่างด้าวต้องเข้าทำงานตามระบบ MOU เท่านั้น มีขั้นตอนดังนี้ ยื่นเอกสาร DEMAND LETTER หรือคำร้องขอนำเข้าแรงงานต่างด้าวมาทำงานไปยังประเทศต้นทาง ตัวแทนประเทศต้นทางดำเนินการคัดเลือกแรงงานและจัดทำบัญชีรายชื่อส่งกลับมา ชำระค่าใบอนุญาตทำงาน 1,900 บาท กรณีนายจ้างยื่นเองจะต้องวางประกัน 1,000 บาท/แรงงาน 1 คน สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท นำหนังสือและเอกสารที่ได้จาก สจจ/สจก ยื่นส่งต่อที่กรมการจัดหางาน เพื่อออกหนังสือถึงสถานทูตไทยและสตม. แรงงานประทับตราวีซ่า (ประเภท NON L-A) ตรวจลงตราและประทับตราอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักร อบรมที่ศูนย์แรกรับและสิ้นสุดการการจ้าง ฯ รับใบอนุญาตทำงาน SMART CARD ยื่นบัญชีรายชื่อพร้อมแบบ ตท. 2 และเอกสารประกอบ ที่ สจจ/สจก.


27 ข้อควรปฏิบัติหลังจากได้รับใบอนุญาตทำงาน เอกสารและหลักฐานที่ต้องจัดเตรียม • แจ้งที่พักอาศัยแรงงานต่างด้าวภายใน 24 ชั่วโมง • แจ้งการเข้าทำงานของแรงงานต่างด้าวภายใน 15 วัน • ตรวจสุขภาพภายใน 30 วันและยื่นใบรับรองแพทย์ที่สำนักงานจัดหางาน สำหรับนายจ้าง • หนังสือรับรองบริษัท (กรณีนิติบุคคล) • บัตรประชาชน • ทะเบียนบ้าน • แผนที่สถานที่ทำงาน • รูปถ่ายสถานที่ทำงานและที่พัก • กรณีกิจการก่อสร้างต้องมีสัญญาว่าจ้าง ก่อสร้าง • รายละเอียดความต้องการสวัสดิการต่าง ๆ สำหรับลูกจ้าง • บัตรประชาชน • ทะเบียนบ้าน • ใบเกิด • พาสปอร์ต , ใบอนุญาตทำงาน (ฉบับเก่า) (กรณีคนเก่า)


28 สิ่งที่ควรรู้ก่อนทำงานและจ้างงานแรงงานต่างด้าว แรงงานจะต้องผ่านการอบรมและได้รับการตรวจสอบคัดกรองก่อนที่จะอนุญาตให้ เดินทางเข้ามาทำงานในประเทศไทย เมื่อผ่านการอบรมก็จะได้รับใบอนุญาตทำงาน หลังจากที่ได้รับอนุญาตทำงาน แรงงานต่างด้าวทุกคนจะต้องเข้าตรวจสุขภาพ ภายใน 30 วัน โดยแรงงานจะต้องไม่เป็นโรคเรื้อน วัณโรคในระยะอันตราย เท้าช้าง พิษสุราเรื้อรัง ซิฟิลิสในระยะที่ 3 และติดยาเสพติด แรงงานต่างด้าวที่เข้ามาทำงานต้องเสียค่าใช้จ่าย • ค่าหนังสือเดินทาง • ค่าตรวจสุขภาพ • ค่าใบอนุญาตทำงาน ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ เช่น ค่าประกันสังคม ค่าประกันสุขภาพ แรงงานต่างด้าวต้องมีอายุ 18 ปีขึ้นไป กรณีที่มีการอนุญาตให้ จ้างแรงงานที่อายุต่ำกว่า 18 ปี แรงงานต้องอายุไม่ต่ำกว่า 15 ปี ซึ่งแรงงานเหล่านี้สามารถทำได้ เฉพาะงานที่ไม่เป็นอันตราย แรงงานต่างด้าว MOU จะต้องทำประกันสังคมร่วมด้วยทุกคน หากทำประกันสังคม ครั้งแรก จะต้องซื้อประกันสุขภาพแบบ 3 เดือนก่อน เนื่องจากผู้ประกันตนต้องเป็น สมาชิกประกันสังคมเป็นเวลา 3 เดือน จึงจะสามารถใช้สิทธิ์ได้ แรงงานต่างด้าวต้องรายงานตัวทุก 90 วัน โดยต้องแจ้งที่พักอาศัยต่อพนักงานตรวจ คนเข้าเมืองก่อน 15 วัน หรือหลัง 7 วันนับจากวันครบกำหนด หากเกินกำหนดการ แจ้งที่พักอาศัยจะถูกดำเนินการเปรียบเทียบปรับเป็นเงิน 2,000 บาท แรงงานต่างด้าวต้องได้รับค่าแรงขั้นต่ำเท่ากับแรงงานไทย


29 อาชีพที่สงวนให้คนสัญชาติไทยเพียงเท่านั้น ห้ามคนที่ไม่ใช่คนสัญชาติไทยทำเด็ดขาด 1. งานแกะสลักไม้ 2. งานขับขี่ยานยนต์ 3. งานขายทอดตลาด 4. งานเจียระไนเพชร/พลอย 5. งานเสริมสวย 6. งานทอผ้าด้วยมือ 7. งานทอเสื่อ 8. ทำกระดาษสาด้วยมือ 9. ทำเครื่องเขิน 10. ทำเครื่องดนตรีไทย 11. ทำเครื่องถม 12. ทำเครื่องเงิน/ทอง/นาก 13. ทำเครื่องลงหิน 14. ทำตุ๊กตาไทย 15. ทำบาตร 16. ทำผ้าไหมด้วยมือ 17. ทำพระพุทธรูป 18. ทำร่ม 19. งานนายหน้า/ตัวแทน 20. งานนวดไทย 21. งานมวนบุหรี่ 21. งานมวนบุหรี่ 22. งานมัคคุเทศก์ 23. งานเร่ขายสินค้า 24. งานเรียงอักษร 25. งานสาวบิดเกลียวไหม 26. งานเลขานุการ 27. บริการทางกฎหมาย หากฝ่าฝืน จะมีโทษดังนี้ ㆍ แรงงานต่างด้าว มีโทษปรับตั้งแต่ 5,000 - 50,000 บาท และถูกผลักดันส่งกลับ ㆍนายจ้าง มีโทษปรับ 10,000-100,000 บาทต่อ ต่างด้าว 1 คน หากกระทำผิดซ้ำ มีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือ ปรับตั้งแต่ 50,000-200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และห้ามจ้างคนต่างด้าวทำงาน เป็นเวลา 3 ปี


30 3.6 สิทธิของเด็กและเยาวชนที่เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม (สำหรับการคุ้มครองแบบข้ามพรมแดน 15 ข้อ) 1. เด็กมีสิทธิที่จะได้รับการปฏิบัติที่เท่าเทียมและเป็นธรรมตลอดทั้ง กระบวนการ โดยไม่มีการแบ่งแยกสัญชาติ 2. มาตรการใดและการกระทำใด ๆ ต่อเด็กที่กระทำความผิดต้องคำนึงถึง ประโยชน์สูงสุดต่อเด็กเป็นหลัก 3. ความร่วมมือระหว่างชาติควรได้รับการส่งเสริมเพื่อเพิ่มการตรวจสอบ และเพิ่มประสิทธิภาพของการบังคับใช้กฎหมาย เพื่อขจัดการค้าเด็กและเยาวชน และ รับรองการปกครองสิทธิของเด็กอพยพ 4. เด็กที่ถูกลิดรอนเสรีภาพมีสิทธิที่จะได้รับทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับ กระบวนการคุ้มครองเด็ก 5. เด็กที่ถูกลิดรอนเสรีภาพมีสิทธิที่จะได้รับแจ้งข้อกล่าวหาโดยเร็ว 6. เด็กมีสิทธิที่จะได้รับการแปลการสื่อสารทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับคดี 7. กระบวนการบำบัดฟื้นฟูเด็กต้องออกแบบเพื่อความต้องการและระดับ พัฒนาการของเด็กแต่ละคนโดยเฉพาะ 8. หลีกเลี่ยงการกักขังเด็กอพยพ หากมีความจำเป็นต้องกักขังในฐานะ ผู้อพยพ เด็กต้องไม่ถูกกักขังแยกกับครอบครัว 9. เด็กมีสิทธิที่จะสื่อสารกับบุคคลที่สามหากถูกจำกัดเสรีภาพ ซึ่งเจ้าหน้าที่ ต้องแจ้งแก่ผู้ปกครองเด็กให้ทราบโดยเร็ว 10. หากถูกลิดรอนสิทธิเสรีภาพต้องแจ้งให้สถานกงสุลนั้น ๆ ทราบ 11. เด็กที่ถูกลิดรอนเสรีภาพมีสิทธิในการเข้าถึงทนาย 12. เด็กมีสิทธิได้รับการแปลเอกสารและสิทธิในการเข้าถึงข้อมูลที่เกี่ยวกับ การพิจารณาคดีตลอดทั้งการดำเนินคดี


31 13. เด็กมีสิทธิในความเป็นส่วนตัว โดยข้อมูลใด ๆ ก็ตามที่เกี่ยวข้องกับ การพิจารณาดี จะไม่มีการนำมาเปิดเผย แม้ว่าเด็กจะมีอายุครบ 18 ปีแล้วก็ตาม 14. คำตัดสินของศาลในประเทศนั้น ๆ ถือเป็นที่สิ้นสุด รัฐสามารถดำเนินการ ได้ โดยไม่ต้องคำนึงถึงความแตกต่างด้านกระบวนการยุติธรรมของแต่ละประเทศ 15. ในกรณีถูกควบคุมตัว เด็กมีสิทธิได้รับโปรแกรมบำบัดแก้ไขฟื้นฟูที่ เหมาะสม ซึ่งจะต้องมีการให้การศึกษา การฝึกอาชีพ กีฬา กิจกรรมยามว่าง และ การดูแลสุขภาพร่างกายและจิตที่เหมาะสม เด็กต้องสามารถที่จะร้องเรียนต่อ เจ้าหน้าที่ได้ และสถานควบคุมตัวต้องเป็นสถานที่เฉพาะที่แยกไปจากที่ควบคุมตัว ของผู้ใหญ่


32 การแจ้งเกิดภายในกำหนดระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด 4.1 การแจ้งเกิด 1) เด็กซึ่งเกิดในสถานพยาบาลของรัฐหรือเอกชน เด็กที่เกิดในสถานพยาบาลในประเทศไทยไม่ว่าจะเป็นของรัฐหรือเอกชน เช่น โรงพยาบาล โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) สถานบริการ สาธารณสุขชุมชน (สสช.) เป็นต้น ผู้แจ้ง ได้แก่ บิดา หรือมารดา หรือเจ้าบ้านที่เด็กเกิด หรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย จากบิดามารดา หรือเจ้าบ้าน ระยะเวลา จะต้องแจ้งการเกิดภายในระยะเวลา 15 วัน นับแต่วันเกิด สำนักทะเบียนที่แจ้งการเกิด สำนักทะเบียนอำเภอ หรือสำนักทะเบียน ท้องถิ่นแห่งท้องที่ที่เด็กเกิด หรือสำนักทะเบียนอำเภอ หรือสำนักทะเบียนท้องถิ่นแห่ง ท้องที่ที่บิดา มารดา หรือผู้ปกครองโดยชอบด้วยกฎหมายมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน ขั้นตอนการแจ้ง กรณีแจ้ง ณ สำนักทะเบียนแห่งท้องที่ที่เด็กเกิด ผู้แจ้งแสดงหลักฐานต่อนายทะเบียน ได้แก่ 1) บัตรประจำตัวผู้แจ้งและบัตรประจำตัวของบิดา มารดา (ถ้ามี) 2) สำเนาทะเบียนบ้าน หรือสำเนาทะเบียนประวัติของบิดา มารดา (ถ้ามี) 3) สำเนาทะเบียนบ้านฉบับเจ้าบ้านที่จะเพิ่มชื่อเด็กที่เกิด 4 การได้รับสัญชาติ


33 4) หนังสือรับรองการเกิดตามแบบ ท.ร.1/1 ที่ออกให้โดยโรงพยาบาล หรือสถานพยาบาลที่เด็กเกิด (ไม่ต้องผ่านกำนันหรือผู้ใหญ่บ้าน) 5) หนังสือมอบหมาย (ถ้ามี) การดำเนินการของนายทะเบียน 1) ตรวจสอบความถูกต้องของหลักฐานของผู้แจ้ง 2) ตรวจสอบรายการบุคคลของเด็กที่แจ้งเกิดกับฐานข้อมูลการทะเบียน ราษฎรว่าเด็กมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านแห่งอื่นหรือไม่ 3) ลงรายการในสูติบัตร (ท.ร.1 สำหรับคนซึ่งมีสัญชาติไทย ท.ร.3 สำหรับ บุตรของคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทย หรือท.ร.031 สำหรับคนต่างด้าว หลบหนีเข้าเมือง หรือท.ร.03 สำหรับบุตรของแรงงานต่างด้าว 3 สัญชาติ) 4) เพิ่มชื่อในทะเบียนบ้านและสำเนาทะเบียนบ้านฉบับเจ้าบ้านที่เด็กเกิด (ท.ร.14 หรือท.ร.13 แล้วแต่กรณี) หรือทะเบียนประวัติ (ท.ร.38 ก) กรณีบุตรของคนต่างด้าวหลบหนีเข้าเมือง หรือทะเบียนประวัติ (ท.ร.38) กรณีบุตรของแรงงานต่างด้าว 3 สัญชาติ 5) นายทะเบียนจะมอบสูติบัตรตอนที่ 1 และหลักฐานประกอบการแจ้ง คืนให้ผู้แจ้ง เมื่อแจ้งการเกิดต่อนายทะเบียนแล้ว นายทะเบียนจะออก สูติบัตรให้แก่ผู้ไปแจ้งการเกิด 2) เด็กซึ่งเกิดในบ้าน (อาคารหรือบ้าน ซึ่งมีบ้านเลขที่) ผู้แจ้ง ได้แก่ บิดา หรือมารดา หรือเจ้าบ้านที่เด็กเกิด หรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย จากบิดามารดา หรือเจ้าบ้าน ระยะเวลา จะต้องแจ้งการเกิดภายในระยะเวลา 15 วัน นับแต่วันเกิด


34 สำนักทะเบียนที่แจ้งการเกิด สำนักทะเบียนอำเภอ หรือสำนักทะเบียน ท้องถิ่นแห่งท้องที่ที่เด็กเกิด หรือสำนักทะเบียนอำเภอ หรือสำนักทะเบียนท้องถิ่นแห่ง ท้องที่ที่บิดา มารดา หรือผู้ปกครองโดยชอบด้วยกฎหมายมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน ขั้นตอนการดำเนินการ 1) บิดา หรือมารดา หรือเจ้าบ้าน สามารถแจ้งการเกิดต่อกำนัน / ผู้ใหญ่บ้านในฐานะนายทะเบียนประจำหมู่บ้านที่เด็กเกิด 2) เมื่อแจ้งการเกิดต่อกำนัน / ผู้ใหญ่บ้านในฐานะนายทะเบียนประจำ หมู่บ้านที่เด็กเกิดแล้วจะมีการออกหลักฐานรับแจ้งการเกิด ท.ร.1 ตอนหน้าให้ 3) จากนั้นจึงไปแจ้งการเกิดต่อนายทะเบียนอำเภอ หรือสำนักทะเบียน ท้องถิ่น เพื่อให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการออกสูติบัตรให้ (พร้อมเอกสารและ พยานบุคคลที่รู้เห็นการเกิดของเด็ก) ขั้นตอนการแจ้ง กรณีแจ้ง ณ สำนักทะเบียนแห่งท้องที่ที่เด็กเกิด ผู้แจ้งแสดงหลักฐานต่อนายทะเบียน ได้แก่ 1) บัตรประจำตัวผู้แจ้งและบัตรประจำตัวของบิดา มารดา (ถ้ามี) 2) สำเนาทะเบียนบ้าน หรือสำเนาทะเบียนประวัติของบิดา มารดา (ถ้ามี) 3) สำเนาทะเบียนบ้านฉบับเจ้าบ้านที่จะเพิ่มชื่อเด็กที่เกิด 4) ใบรับแจ้งการเกิดตามแบบ ท.ร.1 ตอนหน้า (กรณีแจ้งเกิดกับกำนัน หรือผู้ใหญ่บ้าน) 5) หนังสือมอบหมาย (ถ้ามี)


35 การดำเนินการของนายทะเบียน 1) ตรวจสอบความถูกต้องของหลักฐานของผู้แจ้ง 2) ตรวจสอบรายการบุคคลของเด็กที่แจ้งเกิดกับฐานข้อมูลการทะเบียน ราษฎรว่าเด็กมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านแห่งอื่นหรือไม่ 3) ลงรายการในสูติบัตร (ท.ร.1 สำหรับคนซึ่งมีสัญชาติไทย ท.ร.3 สำหรับ บุตรของคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทย หรือท.ร.031 สำหรับคนต่างด้าว หลบหนีเข้าเมือง หรือทร.03 สำหรับบุตรของแรงงานต่างด้าว 3 สัญชาติ) 4) เพิ่มชื่อในทะเบียนบ้านและสำเนาทะเบียนบ้านฉบับเจ้าบ้านที่เด็กเกิด (ท.ร.14 หรือท.ร.13 แล้วแต่กรณี) หรือทะเบียนประวัติ (ท.ร.38 ก) กรณีบุตรของคนต่างด้าวหลบหนีเข้าเมือง หรือทะเบียนประวัติ (ท.ร.38) กรณีบุตรของแรงงานต่างด้าว 3 สัญชาติ 5) มอบสูติบัตรตอนที่ 1 และหลักฐานประกอบการแจ้งคืนให้ผู้แจ้ง กรณีเด็กเกิดและได้รับสูติบัตร ท.ร.1 หรือท.ร.3 เป็นคนในท้องที่ ให้นายทะเบียนเพิ่มชื่อในทะเบียนบ้าน ท.ร.14 หรือท.ร.13 ของบิดามารดา หากบิดามารดาไม่มีชื่อในทะเบียนบ้านให้เพิ่มชื่อในทะเบียนบ้านกลางของสำนัก ทะเบียน แต่ถ้าเด็กที่เกิดเป็นคนต่างท้องที่ ให้เพิ่มชื่อในทะเบียนบ้านกลาง (ท.ร.14 หรือท.ร.13) ของสำนักทะเบียน แล้วแต่กรณีแล้วให้แนะนำผู้แจ้งดำเนินการแจ้ง การย้ายที่อยู่เด็กที่เกิดใหม่ไปยังภูมิลำเนาที่บิดา มารดา หรือผู้ปกครองโดยชอบด้วย กฎหมายอาศัยอยู่ ถ้าเด็กที่เกิดและได้รับสูติบัตร ท.ร.031 หรือท.ร.03 ให้นายทะเบียนเพิ่มชื่อในทะเบียนประวัติท.ร.38 ก หรือท.ร.38 ของบิดามารดา แต่ถ้าบิดามารดาไม่มีทะเบียนประวัติให้เพิ่มชื่อเด็กในทะเบียนประวัติของ สำนักทะเบียน


36 3) เด็กซึ่งเกิดนอกบ้าน (อาคารที่ไม่มีบ้านเลขที่ หรือสถานที่อื่น ๆ เช่น ศาลาพัก ผู้โดยสารบนแท็กซี่ เป็นต้น) ผู้แจ้ง ได้แก่ บิดาหรือมารดา หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากบิดา หรือมารดา ระยะเวลา จะต้องแจ้งการเกิดภายในระยะเวลา 15 วัน นับแต่วันเกิด แต่กรณีที่มีเหตุจำเป็นให้แจ้งภายหลังได้ แต่ต้องไม่เกิน 30 วันนับแต่วันเกิด สำนักทะเบียนที่แจ้งการเกิด สำนักทะเบียนอำเภอ หรือสำนักทะเบียน ท้องถิ่นแห่งท้องที่ที่เด็กเกิด หรือสำนักทะเบียนอำเภอ หรือสำนักทะเบียนท้องถิ่นแห่ง ท้องที่ที่บิดา มารดา หรือผู้ปกครอง ของเด็กที่เกิดมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน ขั้นตอนการดำเนินการ 1) บิดาหรือมารดาสามารถแจ้งการเกิดต่อกำนัน / ผู้ใหญ่บ้านในฐานะ นายทะเบียนประจำหมู่บ้านที่เด็กเกิด 2) เมื่อแจ้งการเกิดต่อกำนัน / ผู้ใหญ่บ้านในฐานะนายทะเบียนประจำ หมู่บ้านที่เด็กเกิดแล้ว จะมีการออกหลักฐานรับแจ้งการเกิด ท.ร.1 ตอนหน้าให้ 3) จากนั้นจึงไปแจ้งการเกิดต่อนายทะเบียนอำเภอ หรือสำนักทะเบียน ท้องถิ่นเพื่อให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการออกสูติบัตรให้ (พร้อมเอกสารและ พยานบุคคลที่รู้เห็นการเกิดของเด็ก) ขั้นตอนการแจ้งกรณีแจ้ง ณ สำนักทะเบียนแห่งท้องที่ที่เด็กเกิด ผู้แจ้งแสดงหลักฐานต่อนายทะเบียน ได้แก่ 1) บัตรประจำตัวของผู้แจ้ง และบัตรประจำตัวของบิดา มารดา (ถ้ามี) 2) สำเนาทะเบียนบ้านหรือสำเนาทะเบียนประวัติของบิดา มารดา (ถ้ามี) 3) สำเนาทะเบียนบ้านฉบับเจ้าบ้านที่จะเพิ่มชื่อเด็กที่เกิด


37 4) ใบรับแจ้งการเกิดตามแบบ ท.ร.1 ตอนหน้า (กรณีแจ้งเกิดกับกำนัน หรือผู้ใหญ่บ้าน) 5) หนังสือมอบหมาย (ถ้ามี) การดำเนินการของนายทะเบียน 1) ตรวจสอบความถูกต้องของหลักฐานของผู้แจ้ง 2) ตรวจสอบรายการบุคคลของเด็กที่แจ้งการเกิดกับฐานข้อมูลการ ทะเบียนราษฎร 3) ลงรายการในสูติบัตร (ท.ร.1 สำหรับคนมีสัญชาติไทย หรือท.ร.3 สำหรับคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทย หรือท.ร.031 สำหรับบุตรของคนต่างด้าว หลบหนีเข้าเมือง หรือท.ร.03 สำหรับบุตรของแรงงานต่างด้าว 3 สัญชาติ) 4) เพิ่มชื่อในทะเบียนบ้านและสำเนาทะเบียนบ้านฉบับเจ้าบ้าน (ท.ร.14 หรือท.ร.13) หรือทะเบียนประวัติ (ทร.38 หรือทร.38 ก) โดยปฏิบัติ เช่นเดียวกับกรณีเด็กเกิดในบ้าน 5) มอบสูติบัตรตอนที่ 1 และหลักฐานประกอบการแจ้งคืนให้ผู้แจ้ง 6) กรณีเด็กที่เกิดเป็นคนต่างท้องที่ ให้แนะนำผู้แจ้งการเกิดให้แจ้งย้ายที่อยู่ เด็กเกิดใหม่ไปยังภูมิลำเนาที่บิดา มารดา หรือ ผู้ปกครองโดยชอบด้วย กฎหมายอาศัยอยู่


38 ข้อควรรู้เพิ่มเติม 1. หนังสือรับรองการเกิด (ท.ร.1/1) ที่โรงพยาบาลออกให้และใบรับแจ้ง การเกิด (ท.ร.1 ตอนหน้า) ที่กำนัน / ผู้ใหญ่บ้านออกให้ไม่ใช่ใบเกิด หรือสูติบัตร 2. ในการแจ้งการเกิดจะต้องแจ้งชื่อเด็กในคราวเดียวกันเพื่อจะได้จดบันทึก ในใบเกิดหรือสูติบัตร และเมื่อได้รับใบเกิดหรือสูติบัตรแล้วให้ตรวจสอบข้อมูลเพื่อ ความถูกต้องอีกครั้ง 3. สูติบัตรที่นายทะเบียนออกให้จะมีความแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริง ของเด็กแต่ละคน ดังนี้ กรณีที่ 1 เด็กที่มีสัญชาติไทยจะได้รับสูติบัตรประเภท ท.ร.1 กรณีที่ 2 เด็กที่ไม่มีสัญชาติไทย (ชนกลุ่มน้อย หมายถึง กลุ่มที่บิดาหรือ มารดามีบัตรประจำตัวคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทย / กลุ่มชาติพันธุ์/ คนต่างด้าวที่มีหนังสือ เดินทางและวีซ่าที่อยู่ในประเทศไทย แต่ไม่รวมถึงกลุ่มแรงงาน 3 สัญชาติ(เมียนมา กัมพูชา และลาวที่ขึ้นทะเบียนและผ่านการพิสูจน์สัญชาติแล้ว) จะได้รับสูติบัตร ประเภท ท.ร.3 กรณีที่ 3 เด็กที่ไม่มีสัญชาติไทย (กลุ่มบุคคลที่ไม่มีสถานะทางทะเบียน / เด็กในค่ายพักพิง) จะได้รับสูติบัตรประเภท ท.ร.031 กรณีที่ 4 เด็กที่ไม่มีสัญชาติไทย (กลุ่มแรงงานต่างด้าวที่ขึ้นทะเบียนแล้ว) จะได้รับสูติบัตรประเภท ท.ร.03


39 กระบวนการจดทะเบียนการเกิดของประเทศไทย (การแจ้งเกิดภายในระยะเวลาที่กำหนดของกฎหมาย) พระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร พ.ศ. 2534 เด็กเกิดในประเทศไทย ในบ้าน (อาคาร / บ้านที่มีเลขที่) ในสถานพยาบาล รัฐ / เอกชน นอกบ้าน (อาคารที่ไม่มีบ้านเลขที่ / สถานที่ต่าง ๆ) สถานพยาบาลออกหนังสือ รับรองการเกิด (ท.ร.1/1) ได้รับใบรับแจ้งการเกิด (ท.ร.1 ตอนหน้า) แจ้งการเกิดต่อกำนัน / ผู้ใหญ่บ้าน แจ้งเกิดต่อสำนักทะเบียนอำเภอ หรือ สำนักทะเบียนท้องถิ่น ภายใน 15 วัน (เฉพาะกรณีเกิดนอกบ้าน กรณีมีเหตุจำเป็น ขยายเป็น 30 วัน) เด็กมี สัญชาติไทย เด็กไม่มีสัญชาติไทย (ชนกลุ่มน้อย / กลุ่มชาติพันธุ์/ ต่างด้าว Visa) สูติบัตร ประเภท ท.ร.1 เด็กไม่มีสัญชาติไทย (กลุ่มบุคคลผู้ไม่มี สถานะทางทะเบียน) เด็กไม่มีสัญชาติไทย (กลุ่มแรงงานข้ามชาติ ขึ้นทะเบียน) เด็กไม่มีสัญชาติไทย (กลุ่มไร้เอกสาร แสดงตน / เด็กใน ค่ายพักพิง) แจ้งการเกิดต่อกำนัน / ผู้ใหญ่บ้าน ได้รับใบรับแจ้งการเกิด (ท.ร.1 ตอนหน้า) สูติบัตร ประเภท ท.ร.3 สูติบัตร ประเภท ท.ร.031 สูติบัตร ประเภท ท.ร.03 สูติบัตร ประเภท ท.ร.031


40 หมายเหตุ : 1) เด็กไม่มีสัญชาติไทย (ชนกลุ่มน้อย / กลุ่มชาติพันธุ์) หมายถึง กลุ่มที่บิดา หรือมารดามีบัตรประจำตัวคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทย เลขประจำตัวขึ้นต้นด้วย 6 หรือ 7 รวมถึงกลุ่มคนต่างด้าวทั่วไปที่มี Visa อยู่ในประเทศไทย 2) กลุ่มต่างด้าว ถือ Visa หมายถึง กลุ่มบุคคลต่างด้าวทั่วไปที่มี Passport และ Visa ที่อยู่ในประเทศไทย ไม่รวมกลุ่มแรงงานข้ามชาติ 3 สัญชาติ ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนและพิสูจน์สัญชาติ 3) กลุ่มแรงงานข้ามชาติขึ้นทะเบียน ระบบการจัดการ และการออกเอกสาร การจดทะเบียนการเกิดในแต่ละช่วงเวลามีความแตกต่างกัน กล่าวคือ ในอดีตก่อนมีการพิสูจน์สัญชาติเด็กที่เกิดในประเทศไทยจะได้รับสูติบัตร ประเภท ทร.03 แต่หากบิดาหรือมารดาพิสูจน์สัญชาติแล้วและได้รับ Visa ให้อยู่ในประเทศไทยเพื่อทำงาน บุตรที่เกิดจะได้รับ ทร.3 แต่นับจากวันที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2561 มีการออกระเบียบฯ กำหนดให้เด็กที่เกิดจากกลุ่ม แรงงานข้ามชาติทุกกรณีได้รับ ทร.03 ยกเว้นแรงงานข้ามชาติที่ไม่ปรากฏ เอกสารพิสูจน์ตนใด ๆ เลย หากมีบุตรจะได้รับ ทร.031


41 การแจ้งเกิดเกินกำหนดของผู้ซึ่งไม่มีสัญชาติที่เกิดในราชอาณาจักร หากปรากฏว่าเด็กนั้นเกิดในประเทศไทยแต่ไม่ได้แจ้งการเกิดภายใน ระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด กล่าวคือ กรณีเกิดที่สถานพยาบาล หรือในบ้านต้องดำเนินการภายใน 15 วัน นับแต่เด็กเกิด และกรณีเกิดนอกบ้านต้องดำเนินการภายใน 15 วัน หรือหากมีเหตุ จำเป็นอาจขอขยายต่อไปได้อีกไม่เกิน 30 วันนับแต่เด็กเกิด จะต้องดำเนินการ ดังนี้ ผู้แจ้ง 1) บิดา มารดา หรือผู้ปกครองโดยชอบด้วยกฎหมาย กรณีบุคคลที่จะแจ้งการ เกิดยังไม่บรรลุนิติภาวะ 2) ผู้ที่ยังไม่ได้แจ้งการเกิดแจ้งด้วยตนเอง กรณีบรรลุนิติภาวะแล้ว ระยะเวลาการแจ้ง ตั้งแต่วันพ้นกำหนด 15 วัน นับแต่วันที่เกิด สำนักทะเบียนที่แจ้งการเกิด 1) สำนักทะเบียนอำเภอ หรือสำนักทะเบียนท้องถิ่นที่เกิด 2) สำนักทะเบียนอำเภอ หรือสำนักทะเบียนท้องถิ่นอื่นที่บิดา มารดา หรือ ผู้ปกครองโดยชอบด้วยกฎหมายมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน ขั้นตอนการแจ้ง ผู้แจ้งแสดงหลักฐานต่อนายทะเบียน ได้แก่ 1) บัตรประจำตัวของผู้แจ้ง (กรณีที่ไม่ได้แจ้งการเกิดให้กับตัวเอง) 2) บัตรประจำตัว หรือใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวของบิดา มารดา หรือ ผู้ปกครองของเด็ก (ถ้ามี) 3) สำเนาทะเบียนบ้าน (ท.ร.14) ที่มีชื่อบิดา มารดา หรือผู้ปกครองของเด็ก (ถ้ามี) 4) รูปถ่ายของเด็กขนาด 2 นิ้ว จำนวน 2 รูป


42 5) หนังสือมอบหมาย (ถ้ามี) 6) หนังสือรับรองการเกิดตามแบบ ท.ร.1/1 (กรณีเด็กเกิดในสถานพยาบาล) 7) ผลการตรวจดีเอ็นเอ (กรณีแจ้งเกิดต่างสำนักทะเบียนและไม่มีหนังสือรับรอง การเกิด) การดำเนินการของนายทะเบียน 1) ตรวจสอบหลักฐานต่าง ๆ ของผู้แจ้ง 2) กรณีนายทะเบียนที่รับแจ้งมิใช่นายทะเบียนแห่งท้องที่ที่บุคคลนั้นเกิด ให้นายทะเบียนตรวจหนังสือรับรองการเกิด (ท.ร.1/1) หรือผลการตรวจ ดีเอ็นเอที่ตรวจพิสูจน์จากหน่วยงานของรัฐ หรือสถาบันที่มีความน่าเชื่อถือ ซึ่งแสดงความสัมพันธ์การเป็นบิดาหรือมารดาของบุคคลที่เกิด และสำเนา ทะเบียนบ้านที่ปรากฏชื่อบิดา มารดา หรือผู้ปกครองของคนที่เกิดซึ่งต้องเป็น ทะเบียนบ้านในเขตท้องที่สำนักทะเบียนที่แจ้งเกิด 3) ตรวจรายการบุคคลในฐานข้อมูลการทะเบียนราษฎรว่ามีการแจ้งการเกิด และมีรายการบุคคลของคนที่เกิดในทะเบียนบ้านแห่งอื่นหรือไม่ 4) เปรียบเทียบปรับ กรณีการแจ้งเกิดภายใน 1 ปีนับแต่วันที่พ้นระยะเวลาที่ กฎหมายกำหนดให้แจ้ง (15 วัน หรือ 30 วัน แล้วแต่กรณี) 5) ออกใบรับแจ้งการเกิด (ท.ร.100) ให้กับผู้แจ้งการเกิด 6) ถ้าเด็กที่ขอแจ้งเกิดมีอายุตั้งแต่ 7 ปีขึ้นไปให้รวบรวมหลักฐาน และเสนอ ความเห็นไปยังนายอำเภอท้องที่ภายใน 60 วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งการเกิด เพื่อพิสูจน์สถานะการเกิดและสัญชาติโดยให้สรุปความเห็นพร้อมระบุเหตุผล ประกอบว่า บุคคลที่ขอแจ้งการเกิดเป็นผู้เกิดในราชอาณาจักรหรือไม่และ เป็นผู้มีสัญชาติไทย หรือไม่ได้สัญชาติไทย หรือไม่สามารถยืนยันสถานะการ เกิดและสัญชาติของผู้ที่เกิด


43 7) กรณีการแจ้งการเกิดสำหรับเด็กที่มีอายุไม่เกิน 7 ปีบริบูรณ์ในวันที่ยื่นคำร้อง ให้นายทะเบียนอำเภอหรือนายทะเบียนท้องถิ่นพิสูจน์สถานะการเกิดและ สัญชาติของเด็กที่เกิดแทนนายอำเภอ 8) ถ้าผลการพิจารณาสถานะการเกิดและสัญชาติปรากฏว่า บุคคลที่แจ้งการเกิด เป็นผู้ที่เกิดในราชอาณาจักรและเป็นผู้มีสัญชาติไทย ให้นายทะเบียนออก สูติบัตร (ท.ร.2) ให้แก่ผู้แจ้ง 9) เพิ่มชื่อบุคคลที่เกิดเข้าในทะเบียนบ้าน (ท.ร.14) หรือ ทะเบียนบ้านกลาง (ท.ร.14) แล้วแต่กรณี 10) ถ้าผลการพิจารณาปรากฏว่าบุคคลที่แจ้งการเกิดไม่ได้เกิดในราชอาณาจักร และไม่ได้สัญชาติไทย หรือไม่อาจพิสูจน์สถานะการเกิดและสัญชาติของ บุคคลดังกล่าวได้ให้นายทะเบียนจัดทำทะเบียนประวัติ (ท.ร.38 ก) ให้บุคคล นั้นเป็นบุคคลประเภท 0 โดยใช้เลขที่บ้านของบิดา มารดา หรือผู้ปกครอง 11) กรณีแจ้งต่อนายทะเบียนแห่งท้องที่อื่นซึ่งมิใช่ท้องที่ที่บุคคลนั้นเกิด ให้เรียก เก็บค่าธรรมเนียมการแจ้งการเกิดต่างท้องที่ฉบับละ 20 บาท


44 กระบวนการจดทะเบียนการเกิดของประเทศไทย การแจ้งเกิดเกินกำหนดของผู้ซึ่งไม่มีสัญชาติที่เกิดในราชอาณาจักร พระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร พ.ศ. 2534 เด็กเกิดในประเทศไทย ในบ้าน (อาคาร / บ้านที่มีเลขที่) ในสถานพยาบาล รัฐ / เอกชน นอกบ้าน (อาคารที่ไม่มีบ้านเลขที่ / สถานที่ต่างๆ) แจ้งการเกิดต่อกำนัน / ผู้ใหญ่บ้าน แจ้งเกิดต่อสำนักทะเบียนอำเภอ / สำนักท้องถิ่น เกินกว่า 15 วัน หลังเด็กเกิด (เกิดนอกบ้านและมี เหตุจำเป็น แต่แจ้งเกินกว่า 30 วันหลังเด็กเกิด) เด็กมี สัญชาติไทย เด็กไม่มีสัญชาติไทย (ชนกลุ่มน้อย / กลุ่มชาติพันธุ์/ ต่างด้าว Visa) สูติบัตร ประเภท ท.ร.1 เด็กไม่มีสัญชาติไทย (กลุ่มบุคคลผู้ไม่มี สถานะทางทะเบียน) เด็กไม่มีสัญชาติไทย (กลุ่มแรงงานข้ามชาติ ขึ้นทะเบียน) เด็กไม่มีสัญชาติไทย (กลุ่มไร้เอกสาร แสดงตน / เด็กใน ค่ายพักพิง) แจ้งการเกิดต่อกำนัน / ผู้ใหญ่บ้าน สูติบัตร ประเภท ท.ร.3 สูติบัตร ประเภท ท.ร.031 สูติบัตร ประเภท ท.ร.03 สูติบัตร ประเภท ท.ร.031 เข้าสู่กระบวนการสอบสวน (ระยะเวลาดำเนินการ 90 วัน) กระบวนการสอบสวนข้อเท็จจริง 1. ตรวจสอบพยานเอกอสารต่าง ๆ 2. สอบพยานบุคคลรับรองข้อเท็จจริง ได้แก่ บิดา มารดา ผู้ทำคลอด กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน หรือผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน 3. พยานหลักฐานอื่น ๆ สถานพยาบาลออกหนังสือ รับรองการเกิด (ท.ร.1/1) ได้รับใบรับแจ้งการเกิด (ท.ร.1 ตอนหน้า) ได้รับใบรับแจ้งการเกิด (ท.ร.1 ตอนหน้า)


45 หมายเหตุ : 1) เด็กไม่มีสัญชาติไทย (ชนกลุ่มน้อย / กลุ่มชาติพันธุ์) หมายถึง กลุ่มที่บิดา หรือมารดามีบัตรประจำตัวคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทย เลขประจำตัวขึ้นต้นด้วย 6 หรือ 7 รวมถึงกลุ่มคนต่างด้าวทั่วไปที่มี Visa อยู่ในประเทศไทย 2) กลุ่มต่างด้าว ถือ Visa หมายถึง กลุ่มบุคคลต่างด้าวทั่วไปที่มี Passport และ Visa ที่อยู่ในประเทศไทย ไม่รวมกลุ่มแรงงานข้ามชาติ 3 สัญชาติ ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนและพิสูจน์สัญชาติ 3) กลุ่มแรงงานข้ามชาติขึ้นทะเบียน ระบบการจัดการและการออกเอกสาร การจดทะเบียนการเกิดในแต่ละช่วงเวลามีความแตกต่างกัน กล่าวคือ ในอดีตก่อนมีการพิสูจน์สัญชาติเด็กที่เกิดในประเทศไทยจะได้รับสูติบัตร ประเภท ทร.03 แต่หากบิดาหรือมารดาพิสูจน์สัญชาติแล้วและได้รับ Visa ให้อยู่ในประเทศไทยเพื่อทำงาน บุตรที่เกิดจะได้รับ ทร.3 แต่นับจากวันที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2561 มีการออกระเบียบฯ กำหนดให้เด็กที่เกิดจากกลุ่ม แรงงานข้ามชาติทุกกรณีได้รับ ทร.03 ยกเว้นแรงงานข้ามชาติที่ไม่ปรากฏ เอกสารพิสูจน์ตนใด ๆ เลย หากมีบุตรจะได้รับ ทร.031 1)


Click to View FlipBook Version