The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

วิจัยในชั้นเรียน

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by sadadkran2, 2022-09-19 09:36:50

วิจัยในชั้นเรียน

วิจัยในชั้นเรียน





การพฒั นาทกั ษะการเขียนสะกดคำ มาตราตวั สะกดทมี่ ีตัวสะกดหลายตัว
ของนกั เรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนบา้ นหว้ ยพุน ดว้ ยชดุ กิจกรรม

Developing spell writing skills
of grade 4 students at Ban Huai Phun School with a set of activities

กนกวรรณ เฉียงพรหม

โรงเรยี นบา้ นห้วยพุน
สำนักงานเขตพื้นทีก่ ารศึกษาประถมศกึ ษาสรุ าษฎรธ์ านีเขต ๒

คณะกรรมการการศกึ ษาขัน้ พื้นฐาน
กระทรวงศึกษาธิการ

กค

กติ ตกิ รรมประกาศ

การวิจัยเร่ือง การพัฒนาทักษะการเขียนสะกดคำ มาตราตัวสะกดท่ีมีตัวสะกดหลายตัว ของ
นักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนบ้านห้วยพุน ด้วยชุดกิจกรรม ได้จัดทำขึ้นเพ่ือพัฒนาทักษะการ
เขียนสะกดคำมาตราตัวสะกดของนักเรียน ซ่ึงผู้วิจัยหวังเป็นอย่างย่ิงว่า การวิจัยครั้งน้ีจะเป็นประโยชน์ต่อ
ผ้ทู ่ศี ึกษา เพอ่ื เป็นแนวทางในการพฒั นาทางด้านทกั ษะการเขียนสะกดคำให้มีประสิทธิภาพมากยง่ิ ข้ึน

การวิจยั ครั้งน้ีดำเนินการด้วยกระบวนการวิจัยเชิงปริมาณ เพ่ือประเมินผลสัมฤทธิ์ทางด้านทักษะ
การเขียนสะกดคำของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที ๔ โรงเรียนบ้านห้วยพุน ประกอบด้วยการเก็บข้อมูล
หลังจากนักเรียนได้เรียนด้วยชุดแบบฝึกเสริมทักษะการเขียนสะกดคำมาตราตัวสะกด ส่งผลให้การวิจัย
สามารถน ำไป ใช้ป ระโยช น์ต่อการจัดการเรียน การสอน แล ะป รับป รุงแน วทางการสอน ของครูให้มี
ประสิทธภิ าพมากย่งิ ขึ้น

ผู้วิจัยขอขอบคุณผู้อำนวยการและคณะครูโรงเรียนบ้านห้วยพุนทุกท่านท่ีได้ให้คำแนะนำ ช้ีแนะ
ให้คำปรึกษา การตรวจสอบด้วยดีเสมอ และขอบใจนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี ๔ ท่ีให้ความร่วมมือใน
การทำวจิ ยั ในครงั้ นี้ จนทำให้งานวิจัยเลม่ น้ีสำเร็จลลุ ่วงไปไดด้ ้วยดี

คุณค่าและประโยชน์ใด ๆ ท่ีเกิดจากงานวิจัยฉบับน้ี ผู้วิจัยขอมอบแด่นักเรียนและครูบาอาจารย์
ทุก ๆ ทา่ น ทไี่ ดม้ สี ว่ นร่วมในการสนับสนนุ การทำวิจัยในคร้ังนี้

กนกวรรณ เฉียงพรหม

ช่ืองานวจิ ัย งข
ผ้วู ิจัย
การพัฒนาทักษะการเขยี นสะกดคำ มาตราตัวสะกดทม่ี ตี ัวสะกดหลายตัว
ของนักเรยี นชน้ั ประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนบ้านห้วยพุน ดว้ ยชุดกจิ กรรม
กนกวรรณ เฉียงพรหม

บทคดั ยอ่

การวิจัยคร้ังนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาชุดกิจกรรมพัฒนาทักษะการเขียนสะกดคำมาตรา
ตัวสะกดท่ีมีตัวสะกดหลายตัวให้มีประสิทธิภาพ พัฒนาทักษะการเขียนสะกดคำมาตราตัวสะกดท่ีมี
ตัวสะกดหลายตัวของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนบ้านห้วยพุน และเพื่อศึกษาความพึงพอใจ
ต่อการใช้ชุดกิจกรรมพัฒนาทักษะการเขียนสะกดคำมาตราตัวสะกดท่ีมีตัวสะกดหลายตัว การวิจัยครั้งนี้
เป็นการวิจัยและพัฒนา โดยมีตัวอย่างท่ีใช้ในการวิจัยคร้ังน้ี คือ เป็นนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี4/1
โรงเรียนบ้านห้วยพุน ท่ีกำลังศึกษาในภาคการศึกษาที่2 ปีการศึกษา 2564 จำนวน 10 คน ซึ่งได้มาจาก
การสุ่มอย่างด้วยวิธีการสุ่มแบบเจาะจง (Purposive sampling)เป็นการสุ่มกลุ่มตัวอย่างโดยการใช้
วิจารณญาณของผู้วิจัย โดยพิจารณาจากจุดมุ่งหมายของการวิจัยเป็นสำคัญ เคร่ืองมือท่ีใช้ในการวิจัย
ไดแ้ ก่ แผนการจดั การเรยี นรู้ ชดุ กจิ กรรมบ้านคำศัพท์ร่วมกบั เกมตะกร้าหรรษา แบบทดสอบ แบบประเมิน
และมีสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าเบ่ียงเบนมาตรฐาน ค่าคะแนนเฉลี่ยจากการทดสอบ
ผลการวิจัย พบว่า ๑) ชุดกิจกรรมพัฒนาการเขยี นสะกดคำ แกป้ ัญหาการเขยี นสะกดคำในมาตราตัวสะกด
ท่ีมีตัวสะกดหลายตัว ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่4 โรงเรียนบ้านห้วยพุนได้โดยผลสัมฤทธ์ิสูงกว่า
เกณฑ์มาตรฐาน 80/80 ที่กำหนดไว้ ๒) นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการเรียนโดยใชช้ ุดกิจกรรมพัฒนาการ
เขยี นสะกดคำในระดบั มาก สง่ ผลใหน้ ักเรียนมีความเข้าใจในเนอ้ื หามากข้นึ มคี วามสนุกสนานในการเรียนรู้
และนำความรไู้ ปใช้ในการเรียนไดม้ ากย่ิงข้นึ

คจ

Research Tittle Spelling writing skills development Multi-letter spelling section
Researcher of grade 4 students at Ban Huaiphun School with a set of activities
Chirawadi Somyim and team

Abstract

The purpose of this research was to develop a series of activities to develop
effective spelling skills in the multi-letter spelling section. Developing spelling skills in
multiple-letter spellings of Prathomsuksa 4 students at Ban Huai Phun School and to
study the satisfaction of using the multi-letter spelling skill development activity
package. This research is research and development. The samples used in this research
were grade 4/1 students. Ban Huai Phun School who are studying in the second
semester of the academic year 2021, of 10 people, which were obtained by random
sampling by means of purposive sampling. by considering the objectives of the research
as important Important tools used in the research were the learning management plan.
Vocabulary homework activity set together with fun basket game, quizzes, assessment
form, and statistics used in data analysis, namely standard deviation. The average score
from the test results showed that: 1) Spelling development activity set. Solve spelling
problems in the Spelling section with multiple spellings of students in grade 4 Ban Huai
Phun School has achieved higher than the standard 80/80 set. 2) The students were
satisfied with the learning by using the spelling development activity set at a high level.
As a result, students have a greater understanding of the content. Have fun in learning
and apply knowledge to learning even more.

สารบัญ งฉ
เร่อื ง
หน้า
กติ ติกรรมประกาศ
บทคดั ยอ่ ก
Abstract ข
สารบญั ค
สารบัญตาราง ง
บทที่ 1 บทนำ ช
1
1.1 ความเป็นมาและความสำคญั ของปญั หา 1
1.2 วัตถุประสงคก์ ารวิจัย 2
1.3 สมมติฐานการวจิ ัย 2
1.4 ขอบเขตการวิจัย 2
1.5 ประโยชน์ทค่ี าดวา่ จะได้รับ 3
1.5 นยิ ามศพั ทเ์ ฉพาะ 3
บทที่ 2 แนวคิด ทฤษฎี และงานวจิ ัยท่ีเกี่ยวขอ้ ง 4
โครงสร้างหวั ข้อของแนวคิดและทฤษฎที ีเ่ ก่ียวข้อง 4
แนวคิดและทฤษฎที เ่ี ก่ียวขอ้ ง 23
งานวิจยั ที่เกี่ยวขอ้ ง 24
บทที่ 3 วิธดี ำเนนิ การวจิ ยั 26
3.1 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 26
3.2 เครือ่ งมือทใ่ี ช้ในการวจิ ัย 26
3.3 การเก็บรวบรวมขอ้ มลู 33
3.4 สถติ ิทใี่ ช้ในการวิเคราะหข์ ้อมลู 34
บทที่ 4 ผลการวจิ ัย 35
4.1 สัญลักษณ์ท่ใี ช้ในการวเิ คราะห์ข้อมลู 35
4.2 ผลการวเิ คราะห์ข้อมูล 38
บทท่ี 5 อภิปรายผล 40
5.1 ผลการวิจยั 40
5.2 อภิปรายผล 41
5.3 ขอ้ เสนอแนะการวิจยั 41
บรรณานกุ รม 42

สารบัญ จช
เรือ่ ง
ภาคผนวก หน้า
43
ภาคผนวก ก เครอ่ื งมอื การวิจัย 44
ภาคผนวก ข คณุ ภาพของเคร่อื งมอื การวจิ ัย 69
ภาคผนวก ค รายช่อื ผทู้ รงคุณวฒุ ิ 74

ประวตั ผิ ู้วิจยั 75

สารบญั ตาราง ซ

ตารางที่ 1 ผลการวเิ คราะหห์ าประสทิ ธิภาพของชดุ กิจกรรมจากการเรียนคร้ังที่ 1 หน้า
ตารางที่ 2 ผลการวเิ คราะห์หาประสิทธภิ าพของชดุ กิจกรรมจากการเรยี นครัง้ ท่ี 2 36
ตารางที่ 3 ผลการวิเคราะห์หาประสทิ ธิภาพของชดุ กจิ กรรมจากการเรียนครั้งท่ี 3 36
ตารางที่ 4 ผลสัมฤทธทิ์ างการเรยี นเรอ่ื ง มาตราตัวสะกดที่มตี วั สะกดหลายตัว 37
37
ของนกั เรยี นชั้นประถมศึกษาปีท่ี 4 ผลสัมฤทธิร์ ะหว่างเรยี นคร้งั ท่ี1
คร้ังท2ี่ และครั้งท่ี3 38
ตารางที่ 5 ผลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี นเรอื่ ง มาตราตวั สะกดที่มตี วั สะกดหลายตวั
ของนกั เรียนชน้ั ประถมศกึ ษาปที ่ี 4 ผลสัมฤทธ์ิหลงั เรียนครงั้ ท1่ี ครั้งที่2 39
และคร้งั ที่3
ตารางที่ 6 ผลการประเมนิ ความพงึ พอใจของผ้เู รยี น

1

บทที่ 1
บทนำ

ความสำคัญและที่มาของปัญหา
ทักษะการเขียนสะกดคำในภาษาไทยเปน็ พนื้ ฐานสำคัญในการเรียนการสอนรายวชิ าภาษาไทย มี

ความจำเปน็ ต่อการดำรงชวี ติ และประกอบอาชพี การสอนภาษาไทยให้มปี ระสิทธิภาพตามจดุ มุง่ หมายของ
หลักสตู รน้นั นอกจากทักษะการฟงั การพูด และการอา่ นแล้ว ทักษะการเขยี นนบั เปน็ ทักษะหนง่ึ ท่ีมี
ความสำคัญต่อการเรยี นการสอนวิชาภาษาไทยและการสอ่ื สารในชีวติ ประจำวัน ซง่ึ สังคมปจั จบุ นั บุคคล
จำเป็นต้องติดตอ่ ส่ือสารกันมากขน้ึ ทกั ษะการเขียนจึงมีความจำเป็นเพ่ิมมากข้ึน เพราะการเขียนเป็นการ
ถา่ ยทอดความคิด ความร้สู ึกและความเข้าใจของตนเองออกมาเปน็ ลายลักษณ์อักษร หากผ้เู รยี นใชภ้ าษา
ไม่ถูกตอ้ ง หรือเขยี นสะกดไม่ถกู ต้อง นอกจากจะทำให้การสื่อสารมคี วามหมายไม่ตรงตามความต้องการ
แล้ว ยิง่ ส่งผลใหเ้ กดิ ปญั หาในการทำความเข้าใจของผ้เู รียนอกี ดว้ ย

ทักษะการเขียนสะกดคำของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 4 โรงเรียนบ้านห้วยพุน อำเภอไชยา
จังหวัดสุราษฎร์ธานี มีนักเรียนจำนวนหน่ึงที่เกิดปัญหาในด้านการเขียนสะกดคำท่ีมีตัวสะกดไม่ตรงตาม
มาตรา เกิดความสับสนกับตัวสะกดในมาตราและไม่เข้าใจหลักการใช้ตัวสะกด ส่งผลให้นักเรียนสื่อสารได้
ไม่ตรงตามที่ตนเองต้องการ มีปัญหาด้านการคิด และเกิดความล่าช้าในการเรียนรู้ จากการสัมภาษณ์
ครูผู้สอนรายวิชาภาษาไทยในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่4 พบว่า ปัญหาดังกล่าวเกิดจากการละเลย ขาด
การเอาใจใส่ของครู การเลือกใช้รูปแบบวิธีการและสื่อการสอนที่ไม่ตรงกับประสบการณ์ของผู้เรียน
เน่อื งจากการจัดการเรยี นการสอนในระดับช้ันประถมศกึ ษาปที ่ี 1-3 มลี ักษณะวิธีการสอนท่ีลา้ หลงั สอ่ื ท่ีใช้
จึงมีความน่าเบื่อ มีความสร้างสรรค์คอ่ นข้างน้อย อกี ทงั้ ปญั หาเหลา่ นี้นอกจากครแู ลว้ ตัวผู้เรียนเองยังเป็น
ส่วนหนึง่ ของการเกดิ ปญั หาการเขียนสะกดคำ นนั่ คือการไมม่ สี มาธิในการเรียน และการความกระตือรือร้น
ในการเรียน ซึ่งปัญหาที่เกิดขึ้นน้ันมีสาเหตุมาท้ังจากครูและตัวนักเรียน หากไม่เร่งแก้ไขจะส่งผลให้
นกั เรียนมพี ัฒนาการทล่ี า่ ชา้ จนกระท่งั นำไปใชใ้ นการดำรงชีวติ ได้ไม่ถูกต้อง

จากปัญหาดังกล่าวการท่ีผู้เรียนจะเกิดทักษะการเขียนสะกดคำได้อย่างมีประสิทธิภาพนั้น
ต้องปรับปรุงแก้ไขข้อบกพร่อง ครูภาษาไทยจำเป็นต้องปรับปรุงรูปแบบการจัดการเรียนการสอนและ
เลือกใช้ส่ือท่ีเหมาะสม ซึ่งจากการศึกษาพบว่าแนวคิดของ หทัย ตันหยง (2539) ท่ีกล่าวเก่ียวกับการ์ตูนไว้
ว่า หนังสือเรียนสำหรับเด็กประถมศึกษาต้องมีองค์ประกอบสำคัญทั้งด้านรูปภาพ โครงสร้างเนื้อหา แก่น
สาระ การจูงใจ การสร้างฉากและตัวละคร และที่สำคัญที่สุด คือ ภาพ ซึ่งภาพจะเป็นส่ือให้เกิดความเข้าใจ
ความสนใจ ความตื่นเต้น ความสวยสดงดงาม และผลการวิจัยของกนกวรรณ รอดคุ้ม ศิตา เย่ียมขันติถาวร
และอารีรักษ์ มีแจ้ง (2559) ได้ทำการศึกษา เรื่องผลของการใช้เกมที่มีต่อการเรียนรู้และความคงทนในการ
เรียนรู้คำศัพท์ภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 พบว่า การใช้เกมสอนคำศัพท์ภาษาอังกฤษ
ส่งผลให้ผลการเรียนรคู้ ำศพั ทภ์ าษาอังกฤษคะแนนหลงั เรยี นสูงกว่าคะแนนก่อนเรียน ทำให้คณะผู้วิจัย เลอื ก

2

วิธีการแก้ไขปัญหาโดยใช้ชุดกิจกรรมเป็นการใช้สื่อประสมร่วมกับการสอนโดยใช้เกม วิธีดังกล่าวเป็น
แนวทางท่ีช่วยกระตุ้นความสนใจให้เกิดความอยากเรียนมากขึ้นและช่วยสร้างความเพลิดเพลินในการเรียน
ให้แก่ผเู้ รยี น อีกท้ังยังช่วยให้ผู้เรียนเกิดความเข้าใจท่ีง่ายกว่าการทอ่ งจำหรือการเรียนท่ีเป็นเพียงการอ่านใน
หนงั สอื

ผู้วิจยั มีความสนใจที่จะศกึ ษาเกย่ี วกับการพฒั นาทกั ษะการเขียนสะกดคำมาตราตัวสะกดท่ีมี
ตัวสะกดหลายตัว ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี4 โรงเรียนบ้านห้วยพุน เพราะทักษะการเขียนสะกดคำ
เป็นพื้นฐานท่ีสำคัญสำหรับการเรียนภาษาไทย ท่ีจะทำให้การสื่อสารเป็นไปตามที่ตนเองต้องการ ดังน้ัน
ผูเ้ รยี นจำเป็นต้องพัฒนาทักษะการเขยี นสะกดคำใหม้ ีความถูกต้องและเป็นไปตามเกณฑ์ท่ีเหมาะสม

คำถามการวิจยั
1. ชุดกิจกรรมพัฒนาทักษะการเขียนสะกดคำมาตราตัวสะกดท่ีมีตัวสะกดหลายตัว มี

ประสทิ ธิ ภาพสูงกว่าเกณฑ์ท่กี ำหนดหรอื ไม่
2. ทกั ษะการเขยี นสะกดคำมาตราตวั สะกดท่ีมตี ัวสะกดหลายตัว หลังเรียนเปน็ ไปตามเกณฑ์

ทกี่ ำหนดหรอื ไม่
3. นักเรียนมีความพึงพอใจต่อชุดกิจกรรมพัฒนาทักษะการเขียนสะกดคำมาตราตัวสะกดท่ี

มีตวั สะกดหลายตัว อย่ใู นระดบั ใด

วตั ถปุ ระสงคก์ ารวิจัย
1. เพอ่ื พฒั นาชุดกจิ กรรมพัฒนาทกั ษะการเขียนสะกดคำมาตราตัวสะกดท่ีมีตัวสะกดหลาย

ตวั ให้มีประสิทธิภาพ
2. เพ่ือพฒั นาทกั ษะการเขียนสะกดคำมาตราตวั สะกดทมี่ ีตวั สะกดหลายตัว ของนักเรยี นช้ัน

ประถมศกึ ษาปีท่ี 4 โรงเรยี นบ้านหว้ ยพนุ
3. เพือ่ ศึกษาความพึงพอใจต่อการใช้ชดุ กิจกรรมพัฒนาทักษะการเขียนสะกดคำมาตรา

ตัวสะกดท่มี ตี วั สะกดหลายตวั

สมมติฐานการวจิ ัย
1. ชดุ กจิ กรรมพัฒนาทกั ษะการเขียนสะกดคำมาตราตัวสะกดที่มีตัวสะกดหลายตวั มี

ประสทิ ธภิ าพอยู่ในเกณฑท์ ี่กำหนด
2. พัฒนาทักษะด้านการเขยี นมาตราตัวสะกดของนักเรียน หลงั เรยี นเป็นไปตาม

เกณฑ์80/80
3. นักเรียนมีความพึงพอใจในการใช้ชดุ กิจกรรมพัฒนาทักษะการเขยี นสะกดคำมาตรา

ตวั สะกดท่มี ตี วั สะกดหลายตัวในระดบั มาก

3

ขอบเขตการวจิ ยั
1. ประชากร
ประชากรเป็น นักเรยี นชน้ั ประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนบา้ นห้วยพุน จำนวน 1 หอ้ ง

นักเรียนทง้ั หมด 10 คน ภาคเรยี นท่ี 2/2564
2. ตัวแปร
ตวั แปรตน้
- ชดุ กิจกรรมพฒั นาทักษะการเขยี นสะกดคำมาตราตวั สะกดทีม่ ีตัวสะกดหลายตัว
ตวั แปรตาม
- พัฒนาทักษะการเขยี นสะกดคำมาตราตวั สะกดท่ีมตี วั สะกดหลายตัว
3. สถานท/ี่ พน้ื ที่
โรงเรียนบ้านห้วยพนุ ตำบลตะกรบ อำเภอไชยา จงั หวัดสุราษฎรธ์ านี

ประโยชน์ทคี่ าดวา่ จะไดร้ ับ
1. นกั เรยี นช้ันประถมศกึ ษาปีที่ 4 โรงเรยี นบ้านห้วยพุน เกิดทกั ษะการเขียนสะกดคำท่มี ี

ประสทิ ธิภาพ
2. ครผู ู้สอนนำชุดกิจกรรมการเขยี นสะกดคำ ไปใชใ้ นกระบวนการเรียนการสอนภาษาไทยให้

เกดิ ประสิทธภิ าพ
3. ชดุ กจิ กรรมพฒั นาทกั ษะการเขยี นสะกดคำโดยใช้เทคนิคการสอนร่วมกบั สื่อประสม จะเปน็

แนวทางในการจัดการเรยี นรู้และพัฒนาทักษะการเขียนสะกดคำทม่ี ีประสทิ ธภิ าพ

นิยามศัพท์เฉพาะ
การเขยี นสะกดคำ หมายถึง การเขียนคำทเี่ กิดจากการเรยี งพยญั ชนะ สระและวรรณยุกต์ได้

ถกู ต้องตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พุทธศักราช 2554
ชุดกิจกรรมการเขยี นสะกดคำ หมายถงึ ชดุ กิจกรรมทผ่ี ู้วิจยั สร้างข้นึ เพื่อใหผ้ สู้ อนใชป้ ระกอบการ

สอนแก่ผเู้ รยี น เพ่ือใช้ในการพัฒนาการเขยี นสะกดคำสำหรบั นักเรียนชั้นประถมศกึ ษาปที ี่ 4 ชุดกจิ กรรม
ประกอบดว้ ย แผนการจัดการเรียนรู้ สอ่ื ประสม แบบทดสอบ

ประสิทธิภาพของชุดกิจกรรมการเขียนสะกดคำ หมายถงึ ความสามารถของชดุ กิจกรรมการเขยี น
สะกดคำท่ีชว่ ยให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ไดต้ ามจดุ ม่งุ หมาย โดยการประเมนิ ด้วยเกณฑ์มาตรฐาน 80/80

สื่อประสม หมายถึง การนำเอาสอื่ การสอนหลาย ๆ ชนิดมาสัมพันธก์ นั โดยท่ีสอ่ื จะมีคุณค่า
สง่ เสริมกนั และทำงานกันอยา่ งเป็นระบบเพ่อื ใหส้ ่อื มีความเรา้ ความสนใจแก่ผเู้ รียน

แผนการจดั การเรียนรู้ หมายถึง คำอธิบายรายละเอยี ดการจัดการเรียนการสอนหรอื วิธกี ารเรียนรู้
ในบทเรยี นนนั้ ๆ

4

บทท่ี 2
ทบทวนวรรณกรรมที่เก่ียวข้อง

การวิจยั คร้ังนีเ้ ปน็ การศึกษา การพัฒนาการเขยี นสะกดคำมาตราตวั สะกดที่มีตัวสะกดหลายตวั
ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 4 โรงเรยี นบ้านห้วยพุน ด้วยชดุ กิจกรรมพัฒนาทักษะการเขียนสะกดคำ
มาตราตัวสะกดท่ีมตี วั สะกดหลายตัว

ผู้วจิ ัยไดศ้ ึกษาคน้ ควา้ จากหนังสือ วารสาร บทความและงานวจิ ัยที่เกีย่ วขอ้ งดงั นี้
โครงสรา้ งหวั ข้อของแนวคดิ และทฤษฎที ีเ่ ก่ียวขอ้ ง

1. เอกสารเก่ยี วกับหลักสตู รการศกึ ษาข้นั พนื้ ฐาน
1.1 หลักสตู รแกนกลางการศึกษาขน้ั พืน้ ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 (ฉบบั ปรบั ปรุง พ.ศ. 2560)
1.2 หลกั สูตรกลุม่ สาระการเรียนรภู้ าษาไทย
1.3 การอ่านและเขยี น
1.4 การอา่ นและเขยี นสะกดคำ
1.5 แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้

2. ความรู้เกี่ยวกับการเขียนสะกดคำ
2.1 ความหมายของการเขียนสะกดคำ
2.2 ความสำคญั ของการเขียนสะกดคำ
2.3 หลกั การเขยี นสะกดคำ

3. ความรเู้ ก่ยี วกับส่อื ประสม
3.1 ความหมายของสอื่ ประสม
3.2 ประโยชนข์ องสอื่ ประสม
3.3 ประเภทของสือ่ ประสม
3.4 หลักการเลอื กใชแ้ ละผลติ สอื่ ประสม

4. ความรู้เกย่ี วกบั การวดั และประเมนิ ผล
5. งานวิจยั ทเ่ี ก่ียวขอ้ ง

5.1 งานวิจยั ในประเทศ
1. เอกสารเกี่ยวกบั หลกั สูตรการศึกษาขั้นพน้ื ฐาน

1.1 หลักสตู รแกนกลางการศึกษาขัน้ พืน้ ฐาน พุทธศกั ราช 2551 (ฉบับปรับปรงุ พ.ศ. 2560)
สาระการเรยี นรู้

ภาษาไทย
ความรู้ ทกั ษะและวัฒนธรรมการใชภ้ าษาเพ่อื การสอื่ สารความชื่นชมการแข่ง คุณค่าภูมิปัญญา
ไทยและภูมิใจในภาษาประจำชาติ

5

วิสยั ทัศน์
หลกั สตู รแกนกลางการศึกษาขน้ั พื้นฐานมุ่งพัฒนาผู้เรียนทุกคนซ่ึงเปน็ กำลังของ ชาติให้เป็นมนุษย์
ทม่ี ีความสมดุลทั้งทางด้านร่างกายความรู้คุณธรรมมีจิตสำนึกในความ เป็นพลเมืองไทยและเป็นพลโลกยึด
ม่ันในการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมี พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขมีความรู้และทักษะ
พน้ื ฐานรวมทั้งเจตคติท่ีจำเป็นต่อ การศึกษาต่อการประกอบอาชีพและการศึกษาต่อชีวิตโดยมุ่งเนน้ ผู้เรียน
เป็นสำคัญบน พื้นฐานความเชื่อว่าทุกคนสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้เต็มตามศักยภาพ
สมรรถนะสำคญั ของผู้เรียน
1 ความสามารถในการสอ่ื สาร
2 ความสามารถในการคิด
3 ความสามารถในการแก้ปญั หา
4 ความสามารถในการใช้ทกั ษะชีวิต
5 ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี
คุณลักษณะอันพงึ ประสงค์
1 รกั ชาติ ศาสน์ กษัตรยิ ์
2 ซอื่ สตั ยส์ จุ ริต
3 มวี นิ ัย
4 ใฝเ่ รยี นรู้
5 อยอู่ ยา่ งพอเพียง
6 มงุ่ มน่ั ในการทำงาน
7 รักความเปน็ ไทย
8 มจี ิตสาธารณะ

1.2 หลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน
พุทธศกั ราช 2551

1.2.1 สาระและมาตรฐานการเรยี นรู้
หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐานกำหนดสาระและมาตรฐานการเรียนรู้ของกลุ่มสาระการเรียนรู้
ภาษาไทยจำนวน 5 สาระและ 5 มาตรฐาน ดงั นี้
สาระท่ี 1 การอ่าน

มาตรฐาน ท 1.1 ใชก้ ระบวนการอา่ นสร้างความรู้และความคิดเพื่อนำไปใช้ตดั สนิ ใจ
แก้ปัญหาในการดำเนนิ ชวี ติ และมีนสิ ัยรักการอา่ น
สาระที่ 2 การเขยี น

6

มาตรฐาน ท 2.1 ใชก้ ระบวนการเขยี น เขยี นสอ่ื สาร เขยี นเรียงความ ย่อความ และเขียนเร่ืองราว
ในรูปแบบต่าง ๆ เขยี นรายงานข้อมูลสารสนเทศและรายงานการศึกษาค้นคว้าอย่างมี ประสทิ ธิภาพ
สาระท่ี 3 การฟัง การดู และการพดู

มาตรฐาน ท 3.1 สามารถเลอื กฟงั และดอู ยา่ งมวี จิ ารณญาณ และพูดแสดงความรู้ ความคิด
ความรู้สึกในโอกาสตา่ ง ๆ อย่างมีวจิ ารณญาณ และสร้างสรรค์

สาระที่ 4 หลักการใชภ้ าษาไทย
มาตรฐาน ท 4.1 เขา้ ใจธรรมชาติของภาษาและหลกั ภาษาไทย การเปลี่ยนแปลงของภาษา

และพลังของภาษา ภมู ิปญั ญาทางภาษา และรกั ษาภาษาไทยไวเ้ ป็นสมบัติของชาติ
สาระท่ี 5 วรรณคดแี ละวรรณกรรม

มาตรฐาน ท 5.1 เขา้ ใจและแสดงความคิดเห็น วิจารณ์วรรณคดีและวรรณกรรมไทยอยา่ งเหน็
คณุ ค่าและนำมาประยกุ ตใ์ ช้ในชวี ติ จริง

คณุ ภาพผูเ้ รียนกลุ่มสาระการเรียนรภู้ าษาไทย

จบชัน้ ประถมศึกษาปที ี่ 3
- อ่านออกเสียงคำ คำคล้องจอง ข้อความ เร่ืองสั้น ๆ และบทร้อยกรองง่าย ๆ ได้ ถูกต้อง
คล่องแคล่ว เข้าใจความหมายของคำและข้อความท่ีอ่าน ตั้งคำถามเชิงเหตุผล ลำดับเหตุการณ์คาดคะเน
เหตุการณ์ สรุปความรู้ข้อคิดจากเร่ืองท่ีอ่าน ปฏิบัติตามคำสั่ง คำอธิบายจากเรื่องที่อ่านได้ เข้าใจ
ความหมายของข้อมูลจากแผนภาพ แผนท่ีและแผนภูมิ อ่านหนังสืออย่างสม่ำเสมอ และมีมารยาทในการ
อา่ น
- มีทักษะในการคัดลายมือตัวบรรจงเต็มบรรทัด เขยี นบรรยาย บันทึกประจำวันเขียนจดหมายลา
ครู เขยี นเร่ืองเกย่ี วกบั ประสบการณ์ เขียนเรอื่ งตามจนิ ตนาการ และมีมารยาทในการเขยี น
- เล่ารายละเอยี ดและบอกสาระสำคัญ ตั้งคำถาม ตอบคำถาม รวมท้งั พูดแสดงความคดิ
ความรูส้ ึกเก่ยี วกับเรอ่ื งท่ีฟงั และดู พูดสอ่ื สาร เล่าประสบการณ์ และพดู แนะนำ หรือพดู เชญิ ชวน
ให้ผู้อ่ืนปฏิบัติตาม และมมี ารยาทในการฟัง ดู และพูด
- สะกดคำและเข้าใจความหมายของคำ ความแตกต่างของคำและพยางค์ หน้าท่ีของคำใน
ประโยค มีทกั ษะการใชพ้ จนานุกรมในการค้นหาความหมายของคำ แต่งประโยคงา่ ย ๆ แต่งคำ
คล้องจอง แตง่ คำขวัญ และเลอื กใช้ภาษาไทยมาตรฐานและภาษาถน่ิ ไดเ้ หมาะสมกับกาลเทศะ
- เข้าใจและสรุปข้อคิดท่ีได้จากการอ่านวรรณคดีและวรรณกรรม เพ่ือนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน
แสดงความคิดเห็นจากวรรณคดี วรรณกรรมทอี่ ่าน รจู้ ักเพลงพ้ืนบ้าน เพลงกลอ่ มเด็กซึ่ง เป็ น วัฒ น ธรรม

7

ของท้องถิ่น ร้องบทร้องเล่นสำหรับเด็กในท้องถิ่น ท่องจำบทอาขยานและบท ร้อยกรองท่ีมีคุณค่าตาม
ความสนใจได้

จบชัน้ ประถมศกึ ษาปที ่ี 6
- อ่านออกเสยี งบทรอ้ ยแก้วและบทร้อยกรองเปน็ ทำนองเสนาะไดถ้ ูกต้อง อธิบายความ
หมายโดยตรงและความหมายโดยนัยของคำ ประโยค ข้อความ สำนวนโวหารจากเรื่องที่อ่านเข้าใจ
คำแนะนำ คำอธิบายในคู่มือต่าง ๆ แยกแยะข้อคิดเห็นและข้อเท็จจริง จับใจความสำคัญของเรื่องท่ีอ่าน
และนำความรู้ความคิดจากเร่ืองที่อ่านไปตัดสินใจแก้ปัญหาในการดำเนินชีวิตมีมารยาทและมีนิสัยรักการ
อ่าน และเหน็ คุณคา่ ส่ิงทอ่ี ่าน
- มีทักษะในการคัดลายมือตัวบรรจงเต็มบรรทัดและคร่ึงบรรทัด เขียนสะกดคำแต่งประโยคและ
เขยี นขอ้ ความ ตลอดจนเขยี นส่ือสารโดยใช้ถ้อยคำชัดเจนเหมาะสม ใช้แผนภาพ
โครงเรื่องและแผนภาพความคิดเพ่ือพัฒนางานเขียน เขียนเรียงความ ย่อความ จดหมายส่วนตัว กรอก
แบบรายการตา่ ง ๆ เขียนแสดงความรู้สึกและความคดิ เห็น เขยี นเรื่องตามจินตนาการ
อยา่ งสร้างสรรค์ และมีมารยาทในการเขียน
- พูดแสดงความรู้ ความคิดเก่ียวกับเร่ืองที่ฟังและดู เล่าเรื่องย่อหรือสรุปจากเรื่องที่ฟังและดู ต้ัง
คำถาม ตอบคำถามจากเรื่องท่ีฟังและดู รวมท้ังประเมินความน่าเชื่อถือจากการฟังและดูโฆษณาอย่างมี
เหตุผล พูดตามลำดับข้ันตอนเร่ืองต่าง ๆ อย่างชัดเจน พูดรายงานหรือประเด็นค้นคว้าจาก การฟัง การดู
การสนทนา และพูดโน้มนา้ วไดอ้ ยา่ งมเี หตผุ ล รวมทงั้ มมี ารยาทในการฟัง ดู และพูด
- สะกดคำและเข้าใจความหมายของคำ สำนวน คำพังเพยและสุภาษิต รู้และเข้าใจชนิดและ
หน้าท่ีของคำในประโยค ชนิดของประโยค คำภาษาถ่ินและคำภาษาต่างประเทศในภาษาไทย ใช้คำราชา
ศัพท์และคำสุภาพได้อย่างเหมาะสม แต่งประโยค แต่งบทร้อยกรองประเภทกลอนส่ี กลอนสุภาพ และ
กาพยย์ านี 11
- เข้าใจและเห็นคุณค่าวรรณคดีและวรรณกรรมที่อ่าน เล่านิทานพื้นบ้าน ร้องเพลงพ้ืนบ้าน ของ
ทอ้ งถิน่ นำข้อคดิ เห็นจากเรอ่ื งท่อี ่านไปประยุกต์ใช้ในชีวติ จริง และทอ่ งจำบทอาขยานตามท่ีกำหนดได้

1.3 การอ่านและการเขียน
การอ่านมีความสำคัญมากในการเรียนรู้ ท้ังที่เป็นการเรียนรู้ทางวิชาการและการรับรู้ข่าวสาร
ข้อมูลตา่ งๆซึง่ เป็นจดุ มงุ่ หมายท่สี ำคญั ประการหน่งึ ของการจดั การศึกษาและ
การพฒั นาคุณภาพของประชากร
1.3.1 ความหมายของการอา่ น

8

ราชบัณฑิตยสถาน (2546 : 1364) การอ่านหมายถึง การแปลความหมายของตัวอักษรที่อ่าน
ออกมาเป็นความรู้ ความคิด และเกิดความเข้าใจเรื่องราวท่ีอ่านตรงกับเรื่องราวท่ีผู้เขียนเขียน ผู้อ่าน
สามารถนำความรู้ ความคิด หรอื สาระเรอื่ งราวทอี่ า่ นไปใช้ให้เกิดประโยชน์ได้

กรมวิชาการ (2544 : 5) ให้ความหมายของการอา่ นคือ ความคดิ ท่ีสามารถเขา้ ใจ ใน เร่ืองที่อ่านได้
ดี ย่อมนำไปสู่ความคิดท่ีดี เพราะผู้อา่ นจะได้ทราบแนวคิดต่างๆจากเรื่องที่อ่าน เกดิ ความรู้จากเรื่องที่อ่าน
แล้วนำมาจัดแยกแยะตคี วามหมายกอ่ นท่ีจะเกดิ เปน็ ความคดิ ของตนเอง

จากการให้ความหมายของนักการศึกษาและผู้เช่ียวชาญการอ่านดังกล่าวสรุป ได้ว่า การอ่านคือ
กระบวนการแปลความหมายของสัญลักษณ์ โดยผ่านกระบวนการทางความคิดไป สู่ความเข้าใจในส่ิงท่ี
อ่าน ซ่ึงตอ้ งอาศยั ทกั ษะการวิเคราะหค์ ำ ถอดความ ตีความ ขยายความและประสบการณเ์ ดมิ ของผู้อ่าน

1.3. 2 ประโยชนแ์ ละความสำคัญของการอ่าน
กรมวิชาการ (2544 :7) ได้กล่าวว่า การอ่านมคี วามสำคัญต่อชวี ิตมนษุ ย์ ตัง้ แต่ เกิ ด จ น โต แ ล ะ
จนกระท่ังถึงวัยชรา การอ่านทำให้ได้รับรู้ข้อมูลข่าวสารทั่วโลก ซึ่งปัจจุบันเป็นโลกของข้อมูล ข่าวสาร ทำ
ให้ผู้อ่านมีความสุข มีความหวังและมีความอยากรู้อยากเห็นอันเป็นความต้องการของมนุษย์ทุกคน การ
อ่านมีประโยชน์ในการพัฒนาตนเองคือ พัฒนาการศึกษา พัฒนาอาชีพ พัฒนาคุณภาพชีวิต ทำให้เป็นคน
ทันสมัยทันต่อเหตุการณ์และสนองความอยากรู้อยากเห็นนอกจากนั้นการพัฒนาประเทศให้เจริญรุ่งเรือง
กา้ วหน้าไดต้ อ้ งอาศัยประชาชนทีม่ คี วามรคู้ วามสามารถ ความรู้ต่างๆก็ได้มาจากการอ่านนน่ั เอง
ประโยชน์ทไี่ ดจ้ ากการอา่ น กรมวิชาการ (2544 : 8) กล่าวไวด้ ังน้ี
1.มคี วามรู้เพ่ิมเติม ชว่ ยใหค้ วามรู้กว้าง ไมแ่ คบอยู่เฉพาะเร่อื งรอบตัว
2.ประสบการณใ์ นการอา่ นจะชว่ ยเสริมความคิดให้พัฒนาขึ้น
3.เป็นผทู้ ่ีสงั คมยอมรับ เพราะผทู้ ีอ่ า่ นมากจะรจู้ ักปรับตัวใหเ้ ขา้ กับสังคมไดด้ ี
4.ชว่ ยใหเ้ ปน็ ผูส้ ำเร็จในการประกอบอาชพี
5.ช่วยใหไ้ ดร้ ับความบนั เทิงในชีวติ มากขน้ึ
6.เป็นการใชเ้ วลาวา่ งให้เปน็ ประโยชน์
7.ช่วยใหเ้ ป็นคนทน่ี ่าสนใจ เพราะผทู้ อี่ ่านหนังสือมากจะมีความคิดลึกซง้ึ กว้างขวาง สามารถแสดง
ความรูแ้ ละความคดิ ทดี่ ีได้เสมอ
จากประโยชน์และความสำคัญของการอ่านดังกล่าว สรปุ ได้วา่ การอ่านจะช่วยให้ผ้เู รยี นเรียนรไู้ ด้
ดีขึ้น และยังส่งผลต่อทักษะการฟัง พูด เขียน และการนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน ช่วยพัฒนาความรู้
ความคิด การแกป้ ญั หาและพฒั นาบุคลิกภาพการปรับตวั ในสังคมได้

1.4 การเขียน
กรมวิชาการ (2544 : 133) ได้ให้แนวคิดว่า การอ่านและการเขียน เป็นทักษะพ้ืนฐานท่ีมี
ความสัมพันธ์กัน เป็นทักษะพ้ืนฐานท่ีสำคัญของการเรียนรู้ภาษาทุกภาษา ทั้งในการเรียนระดับพื้นฐาน

9

และในระดับสูง การเรียนในระดับพื้นฐานจะเน้นในด้านการอ่านการเขียนได้ถูกต้อง มีความแม่นยำใน
หลักเกณฑ์ทางภาษา ซ่ึงเป็นเร่ืองสำคัญและเป็นความจำเป็นของนักเรียนทุกคน ครูผู้สอนระดับพ้ืนฐาน
จำเป็นต้องมีความรู้ในเรื่องของหลักและกฎเกณฑ์ของภาษาไทย ได้แก่ หลักการสะกดคำ คำควบกล้ำ
ไตรยางศ์ การผันเสียงวรรณยุกต์ อกั ษรนำ เป็นต้น

ครูผู้สอนในระดับพ้ืนฐานจะต้องสามารถจัดกระบวนการเรียนการสอนได้อย่างมีลำดับข้ันตอน
จากเร่ืองง่ายไปสู่เรื่องยาก ทำให้นักเรียนเรียนรู้ตามลำดับอย่างต่อเนื่องและไม่รู้สึกว่าการเรียน ภาษาไทย
เป็นเรื่องยาก การสอนหลักเกณฑ์ทางภาษาไทยให้แก่นักเรียนในระดับการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน ครูต้องใช้
เทคนิคการสอนท่ีหลากหลาย สอดแทรกหลักภาษาเข้าไปในกระบวนการสอนอ่านสอนเขียนอย่างผสม
กลมกลืนและสอนให้สนุกโดยการให้นักเรียนสังเกตการใช้ภาษาและสรุปเป็นกฎเกณฑ์ด้วยตนเอง จะไม่
ทำให้เบื่อหน่ายวิชาภาษาไทย หากนักเรียนรักและเห็นคุณค่าของภาษาไทยก็จะเป็นคนรักการอ่าน ซึ่ง
นับว่าเป็นคุณลักษณะท่ีพึงประสงค์สำคัญย่ิง อันจะเป็นประโยชน์ต่อการเรียนรู้เนื้อหาสาระวิชาอ่ืนๆของ
นักเรียนตอ่ ไป

สรุปได้ว่า การสอนทักษะการเขียนควรเร่ิมจากการทดสอบพ้ืนฐานการเขียนของผู้เรียน แจ้ง
จุดประสงค์การสอนเขียนและฝึกให้ผู้เรียนตั้งจุดประสงค์ในการเขียน ให้แนวการเรียนรู้และฝึกปฏิบัติใน
เรื่องหลักการเขียน เช่นการฝึกคิด ฝึกวางโครงเรื่อง การถ่ายทอดความคิด ทั้งนี้ จะต้องเป็นกิจกรรมท่ีฝึก
เขียนจากระดับที่ง่ายไปสรู่ ะดับทยี่ าก จัดเน้ือหาใหเ้ หมาะสมกับวัยและสอนตามลำดับพัฒนาการ โดยการ
สอนที่ใช้ทักษะสัมพันธ์ นอกจากน้ีต้องมีการประเมินผลการเขียนเป็นระยะๆให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการ
ประเมนิ พรอ้ มทั้งการตชิ มผลงานและแจ้งให้ผเู้ รียน ทราบหรอื จดั แสดงผลงานตามโอกาส

1.4.1 การอ่านและเขยี นสะกดคำ
การอ่านและเขียนสะกดคำ หมายถึง การอ่านโดยนำเสียงพยัญชนะต้น สระ วรรณยุกต์ และ
ตัวสะกดมาประสมเปน็ คำอ่าน การอา่ นสะกดคำจะต้องให้นักเรยี นสงั เกตรปู คำพร้อมๆกบั การอ่านและการ
สอนอ่านคำจะนำคำที่มีความหมายมาสอน เมื่อสะกดคำจนจำคำได้แล้ว ต่อไปก็จะต้องไม่ใช้วิธีการสะกด
คำ เพราะการสะกดคำจะเป็นเคร่ืองมือการอ่านคำใหม่ จึงให้อ่านเป็นคำโดยไม่สะกดคำ มิฉะน้ันนักเรียน
จะ อ่านจับใจความไม่ไดแ้ ละอา่ นได้ช้า
การสะกดคำมีวิธีการสะกดคำหลายวิธี ถ้าสะกดคำเพ่ืออา่ นจะสะกดคำตามเสียง ถ้าสะกดคำเพ่ือ
เขียนจะสะกดคำตามรูป และการสะกดคำจะสะกดคำเฉพาะคำที่เป็นคำไทย ตัวสะกดตรงตามรูปคำ คือ
แมก่ ง ใช้ ง สะกด แมก่ น ใช้ น สะกด มีวธิ ีการสะกดคำ ดังน้ี
1.4.1.1 วิธีการสะกดคำตามรปู คำ

กา สะกดว่า กอ - อา - กา
ขา สะกดว่า ขอ - อา - ขา
คาง สะกดวา่ คอ - อา - งอ - คาง
คา้ ง สะกดวา่ คอ - อา - งอ - คาง - ไมโ้ ท - คา้ ง

10

1.4.1.2 วิธกี ารสะกดคำโดยสะกดแม่ ก กา ก่อน แลว้ จึงสะกดมาตราตวั สะกด
คาง สะกดวา่ คอ - อา - คา - คา - งอ - คาง
คา้ ง สะกดวา่ คอ - อา - คา - คา - งอ - คาง - คาง - โท - คา้ ง

1.4.1.3 วิธสี ะกดคำที่มตี วั สะกดไมต่ รงตามมาตราตัวสะกด มกั จะเป็นคำท่ีมาจากภาษาต่าง
ประเทศ เชน่ บาลี สนั สกฤต เขมร อังกฤษ เปน็ ตน้ วิธกี ารสอนอ่านและเขยี น มีดังนี้

- เหน็ รปู คำและอ่านออกเสยี งให้ถกู ต้อง
- จำรูปคำและรู้ความหมายของคำ
- รูห้ ลกั การสะกดคำ เชน่
แม่กง ใช้ ง สะกด
แม่กน ใช้ น ร ล ฬ ญ ณ สะกด
แม่กบ ใช้ บ ภ พ ป ฟ สะกด
คำท่ีสะกดไม่ตรงตามมาตราตัวสะกดจะไม่สะกดคำ แต่ใชห้ ลักการสังเกตรูปคำ จำคำใหไ้ ด้
โดยอ่านและเขียนคำนนั้ อยู่เสมอ รู้ความหมายของคำและรู้หลักการสะกดคำ เชน่ เหตุ ให้รู้ว่า ตุ
ออกเสยี ง ด เป็นเสียงท้าย
วิธีการสะกดคำอักษรควบ มีวิธีการสะกดคำ 2 วิธีคือ สะกดคำเพื่ออ่านจะมุ่งที่เสียงของคำด้วย
การอ่านอักษรควบก่อน เช่น กร ออกเสียง กรอ ปล ออกเสียง ปลอ แล้วนำเสียง กรอ ปลอ สะกดคำ
กรอ-ออ-งอ-กรอง ออกเสียงพยัญชนะต้นเป็นเสียงกล้ำก่อน วิธีน้ีนักเรียนจะออกเสียงกล้ำชัดเจน อีกวิธี
หน่ึงเป็นการสะกดคำแบบเรียงพยัญชนะต้น วิธีนี้จะใช้ในการสะกดคำเพ่ือเขียน เช่น กอ-รอ-อา-บอ-
กราบ ถ้าสะกดคำแบบเรียงพยัญชนะต้น นักเรียนจะออกเสียงเฉพาะพยัญชนะตัวแรก และทิ้งเสียง
พยัญชนะตวั ทีส่ อง ทำใหอ้ อกเสยี งควบไมช่ ดั

1.5 แผนการจดั การเรียนรู้
1.5.1 ความหมายของแผนการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้
วฒั นาพร ระงับทุกข์ (2543 : 1) กล่าวถึงความหมายของแผนการจดั กิจกรรมการเรยี นร้วู ่า เป็น
แผนการหรอื โครงการทจ่ี ัดทำเป็นลายลักษณ์อักษรเพ่ือใช้ในการปฏิบัติการสอนในรายวิชาใดวิชาหนึ่ง เป็น
การเตรียมการสอนอย่างมีระบบและเป็นเคร่ืองมือท่ีช่วยให้ครูพัฒนาการจัดการเรียนการสอนไปสู่
จุดประสงคก์ ารเรยี นรูแ้ ละจดุ มุ่งหมายของหลกั สตู รได้อย่างมปี ระสทิ ธิภาพ
วมิ ลรัตน์ สุนทรโรจน์ (2545 : 297 ) กลา่ วว่า แผนการจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้ คือ การนำวชิ า
หรือกลุ่มประสบการณ์ ทจี่ ะต้องทำแผนการจดั กิจกรรมการเรียนรูต้ ลอดภาคเรียนมาสร้างเปน็ แผนการจัด
กิจกรรมการเรียนการสอน การใชส้ ่ืออปุ กรณ์การสอน และการวดั ผลประเมินผล โดยจัดเนื้อหาสาระและ
จุดประสงค์การเรียนรูย้ ่อย ๆ

11

ให้สอดคลอ้ งกับวตั ถปุ ระสงค์หรือจุดเนน้ ของหลักสูตร สภาพของผเู้ รยี น ความพรอ้ มของโรงเรียนในด้าน
วสั ดอุ ุปกรณ์ และตรงกับชีวติ จรงิ ในห้องเรียน

สรุปได้ว่าแผนการจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้หรือแผนการสอน คือ แผนการหรือโครงสรา้ งที่
จัดทำเป็นลายลักษณ์อักษรเพื่อการปฏิบัติการสอนในวิชาหน่ึง ๆ เป็นการเตรียมการสอนอย่างเป็นระบบ
และเป็นเคร่ืองมือท่ีช่วยให้ครูผู้สอนได้พัฒนาการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนไปสู่จุดมุ่งหมายการเรียนรู้
และจุดมุ่งหมายของหลกั สตู รอยา่ งมปี ระสทิ ธิภาพ

1.5.2 ความสำคัญของแผนการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้
วิมลรตั น์ สุนทรโรจน์ (2545 : 298 ) กลา่ วว่า แผนการจัดกิจกรรมการเรยี นรเู้ ปรียบได้กับพิมพ์
เขียวของวิศวกรหรือสถาปนิกท่ีใช้เป็นหลักในการควบคุมงานก่อสร้าง วิศวกรหรือสถาปนิกจะขาดพิมพ์
เขียวไม่ได้ฉันใด ผู้เป็นครูก็ขาดแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ไม่ได้ฉันน้ัน ยิ่งครูผู้สอนได้ทำแผนการจัด
กิจกรรมการเรียนรู้ด้วยตนเอง ก็ย่ิงให้ประโยชน์แก่ตนเองมากเพียงน้ัน ดังนั้น ผลดีของการทำแผนการจัด
กิจกรรมการเรียนรู พอสรุปได้ดงั น้ี
1) ทำให้เกิดการวางแผนวธิ ีสอน วธิ ีเรยี นท่ีมีความหมายยิ่งขึ้น เพราะเป็นการ จั ด ท ำ อ ย่ า ง มี
หลกั การท่ีถูกต้อง
2) ช่วยให้ครูมีส่อื การสอนที่ทำด้วยตนเอง ทำให้เกิดความสะดวกในการจัดการเรียนการสอน ทำ
ใหส้ อนได้ครบถว้ นตรงตามหลกั สตู รและสอนได้ทันเวลา
3) เป็นผลงานวชิ าการท่สี ามารถเผยแพร่เป็นตวั อยา่ งได้
4) ช่วยใหส้ ะดวกแก่ครผู ูส้ อนแทนในกรณีที่ครูผู้สอนไม่สามารถเข้าสอนได้
1.5.3 องคป์ ระกอบของแผนการจัดการเรียนรู้
วมิ ลรตั น์ สนุ ทรโรจน์ (2545 : 298) กลา่ ววา่ องค์ประกอบของแผนการจัดกิจกรรม การเรียนรู้เกิดขึ้น
จากความพยายามตอบคำถามดังต่อไปน้ี
1) สอนอะไร (หนว่ ย หวั เรอ่ื ง ความคดิ รวบยอด หรอื สาระสำคญั )
2) เพอื่ จุดประสงคอ์ ะไร (จุดประสงค์เชงิ พฤตกิ รรม)
3) ตัวสาระอะไร (โครงร่างเนือ้ หา)
4) ใช้วิธีการใด (กิจกรรมการเรียนการสอน)
5) ใชเ้ คร่อื งมอื อะไร (สื่อการเรียนการสอน)
อาภรณ์ ใจเทย่ี ง (2546 : 213 – 214) กลา่ วว่าองค์ประกอบของแผนการจัดกิจกรรม
การเรยี นรู้ ประกอบด้วยหวั ขอ้ สำคญั ดงั ต่อไปน้ี
1) ส่วนนำ : รายวิชา หรือ กลุ่ม ช้ัน ช่ือหน่วยการเรียนรู้ หรือชื่อแผนการจัดการเรียนรู้
จำนวนเวลาทีส่ อน
2) จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้ หรือ ผลการเรยี นร้ทู ี่คาดหวัง
3) สาระการเรยี นรู้

12

4) กระบวนการจัดการเรยี นรู้
5) การวดั ผล ประเมินผลการเรยี นรู้
6) สือ่ /แหลง่ การเรียนรู้
7) บันทกึ ผลการจัดการเรียนรู้
จากองค์ประกอบดังกล่าว ในการเขียนแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ต้องเขียนให้ครบทุก
หัวขอ้ ดังกลา่ ว
1.5.4 ลกั ษณะของแผนการจดั กิจกรรมการเรยี นรทู้ ด่ี ี
อารี สณั หฉวี (2543 : 213) กล่าวว่าลักษณะของแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ดีจะชว่ ยให้
การเรียนการสอนประสบความสำเร็จได้ดี ดังนั้น ผู้สอนจึงควรทราบถึงลักษณะของแผนการจัดกิจกรรม
การเรยี นรู้ท่ีดี ดงั น้ี
1) สอดคลอ้ งกับหลักสูตรและแนวทางการสอนของกรมวชิ าการ กระทรวงศกึ ษาธกิ าร
2) นำไปใช้สอนไดจ้ รงิ และมปี ระสิทธภิ าพ
3) เขยี นอยา่ งถูกตอ้ งตามหลักวชิ า เหมาะสมกบั นกั เรยี น และเวลาท่กี ำหนด
4) มีความกระจา่ งชดั เจน ทำใหผ้ ้อู า่ นเขา้ ใจง่ายและเขา้ ใจไดต้ รงกัน
5) มรี ายละเอยี ดมากพอทที่ ำให้ผู้อา่ นสามารถนำไปใช้สอนได้
6) ทกุ หัวข้อในแผนการสอนมคี วามสอดคล้องสมั พนั ธ์กนั
วมิ ลรตั น์ สนุ ทรโรจน์ (2545 : 320) กล่าวว่า ลักษณะของแผนการจดั กจิ กรรมการเรยี นรทู้ ่ีดี
จะต้องช่วยให้การเรียนการสอนประสบผลสำเร็จได้ดี ดังน้ัน ครูผู้สอนจึงควรทราบถึงลักษณะของ
แผนการจดั กิจกรรมการเรียนรทู้ ่ดี ี ดงั น้ี
1) สอดคล้องกบั หลักสูตรและแนวทางการสอนของกรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ
2) นำไปใชส้ อนไดจ้ รงิ และมปี ระสิทธิภาพ
3) เขียนอยา่ งถกู ต้องตามหลกั วิชา เหมาะสมกับนักเรียน และเวลาทก่ี ำหนด
4) มคี วามกระจา่ งชัดเจน ทำให้ผู้อา่ นเขา้ ใจงา่ ยและเข้าใจได้ตรงกัน
5) มรี ายละเอียดมากพอทท่ี ำให้ผูอ้ ่านสามารถนำไปใช้สอนได้
อาภรณ์ ใจเท่ียง (2546 : 213) กล่าวถึงลักษณะของแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ดี
จะต้องช่วยใหก้ ารเรยี นการสอนประสบผลสำเรจ็ ได้ดี ดงั นน้ั ครูผสู้ อนจึงควรทราบถึงลกั ษณะของแผนการ
จดั กิจกรรมการเรียนรู้ทดี่ ี ดังนี้
1) สอดคลอ้ งกับหลักสตู รและแนวทางการสอนของกรมวชิ าการ กระทรวงศึกษาธกิ าร
2) นำไปใชส้ อนได้จรงิ และมปี ระสิทธิภาพ
3) เขยี นอยา่ งถกู ตอ้ งตามหลกั วชิ า เหมาะสมกับนักเรยี น และเวลาท่กี ำหนด
4) มีความกระจ่างชดั เจน ทำใหผ้ ้อู ่านเข้าใจงา่ ยและเข้าใจไดต้ รงกัน
5) มรี ายละเอียดมากพอท่จี ะทำให้ผู้อ่านสามารถนำไปใช้สอนได้

13

6) ทกุ หวั ขอ้ ในแผนการสอนมีความสอดคล้องสัมพันธ์กัน
สรปุ ได้ว่า แผนการจัดกิจกรรมการเรียนร้ทู ่ีดี เป็นแผนที่ให้แนวทางการสอนแก่ครูผู้สอนอย่าง
ชัดเจน ทั้งด้านจุดประสงค์การสอน เน้ือหาการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน การใช้ส่ือการสอน และ
การวัดผลประเมินผล โดยเฉพาะแนวทางการจัดกิจกรรม ควรเป็นกิจกรรมท่ีเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ให้
ผู้เรียนได้ปฏิบัติ ได้คิด ได้ทำ ได้แก้ปัญหาและได้เกิดทักษะกระบวนการสามารถนำไปใช้ใน
ชวี ิตประจำวนั ได้
1.5.5 การจัดทำแผนการจดั กิจกรรมการเรียนรู้
อาภรณ์ ใจเที่ยง (2546 : 216) กล่าวว่า ด้วยพระราชบญั ญตั ิการศกึ ษาแห่งชาติพุทธศักราช2542
และท่ีแกไ้ ขเพ่ิมเติม ( ฉบับท่ี 2 ) พ.ศ. 2545 กำหนดไว้ในมาตรา27 ท่ีว่า “ให้สถานศึกษาขั้นพ้ืนฐานมี
หน้าที่จัดทำสาระของหลักสูตรภาษาไทยในส่วนท่ีเกี่ยวกับสภาพปัญหาในชุมชนและสังคม ภูมิปัญญา
ท้องถิ่น คุณลักษณะอันพึงประสงค์เพ่ือเป็นสมาชิกท่ีดีของครอบครัว ชุมชน สังคม และประเทศชาติ”
ซึง่ มขี ัน้ ตอนการ จัดทำแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ดงั นี้
1) วเิ คราะห์คำอธิบายรายวชิ า รายปี หรือรายภาค และหนว่ ยการเรียนรู้ที่สถานศึกษาจัดทำข้ึน
เพอื่ ประโยชน์ในการเขียนรายละเอียดของแตล่ ะหวั ขอ้ ของแผนการจดั กิจกรรมการเรียนรู้
2) วิเคราะห์ผลการเรียนรู้ที่คาดหวังเพื่อนำมาเขียนเป็นจุดประสงค์การเรียนรู้โดยให้ครอบคลุม
พฤติกรรมท้ังดา้ นความรทู้ กั ษะหรือกระบวนการเจตคติและค่านยิ ม
3) วิเคราะห์สาระการเรียนรู้ โดยเลือก และขยายสาระท่ีเรียนรู้ให้สอดคล้องกับนักเรียน ชุมชน
และท้องถนิ่
4) วิเคราะห์กระบวนการจัดการเรียนรู้ โดยเลือกรูปแบบการจัดการเรียนรู้ท่ีเน้นนักเรียนเป็น
สำคญั
5) วิเคราะห์กระบวนการประเมินผล โดยเลือกใช้วิธีการวัดและประเมินผลที่สอดคล้ องกับ
มาตรฐานการเรยี นรู้
6) วิเคราะห์แหล่งการเรียนรู้ โดยคัดเลือกส่ือการเรียนรู้ และแหล่งการเรียนรู้ทั้งในและนอก
หอ้ งเรยี น ให้เหมาะสมสอดคล้องกบั กระบวนการเรยี นรู้

2. ความรู้เก่ยี วกบั การเขยี นสะกดคำ

2.1 ความหมายของการเขียนสะกดคำ
การเขียนเป็นทักษะทมี่ ีความสำคญั อยา่ งย่งิ ในวิชาภาษาไทย โดยเฉพาะการเขยี นสะกดคำ จดั เป็น
องคป์ ระกอบพน้ื ฐานทนี่ ำไปสกู่ ารพฒั นาการเขยี นในระดับทส่ี งู ขน้ึ มีผใู้ หค้ วามหมายของการเขยี นสะกดคำ
ไว้ ดงั นี้

14

ทวี ศรีจันทร์เอี่ยม (2535 : 5) ให้ความหมายไว้ว่า การเขียนสะกดคำ หมายถึง การเขียนโดยใช้
พยัญชนะ สระ วรรณยุกต์ และตัวการันต์ เรียบเรียงคำให้ถูกต้อง และมีความหมายพจนานุกรมฉบับ
ราชบณั ฑิตยสถาน

สนิท ตั้งทวี (2536 : 8) ให้ความหมายวา่ ไวด้ ังตอ่ ไปน้ี คือ
1. เขียนหนังสอื ใหช้ ัดเจน สวยงาม นา่ อา่ น มคี วามเปน็ ระเบียบและรวดเร็ว
2. เขยี นตัวหนงั สือไดถ้ ูกต้องตามอักขรวธิ ี
3. เลอื กคำได้ถูกต้องเหมาะสมกบั เน้ือหาและความนยิ ม
4. ถา่ ยทอดความรูส้ ึกนกึ คดิ อออกมาเป็นภาษาท่ีกะทัดรัด
5. สามารถแกส้ ำนวนภาษาที่ไม่ถกู ต้องให้ถูกตอ้ งตามหลักเกณฑ์ของภาษาได้
6. เขียนเลา่ เรอ่ื งต่างๆทตี่ อ้ งการได้
7. เขียนตอบคำถามไดต้ รงประเดน็
8. เขียนเรื่องโดยใช้ถ้อยคำชกั จูง โน้มนา้ วจิตใจ
9. ใช้เครือ่ งหมายวรรคตอนไดถ้ กู ตอ้ ง
10. เขียนได้ถูกตอ้ งตามแผนการเขยี นทุกประการ

วรรณี โสมประยรู (2539 : 542) ให้ความหมายไว้ว่า การเขยี นสะกดคำ หมายถงึ วิธเี ขียนคำโดย
เรียงลำดับอักษรภายในคำหนึ่ง ๆ เพ่ือออกเสียงได้ชัดเจนและสื่อความหมายได้ถูกต้องตามที่ผู้เขียน
ตอ้ งการ

วรรณา เครืองเนยี ม (2531 : 12) สรปุ การเขยี นสะกดคำไว้ว่า “การเขียนสะกดคำ
เปน็ การสอนใหน้ ักเรยี นรูจ้ กั หลักเกณฑใ์ นการเรยี งลำดบั ตวั อักษร พยัญชนะ สระ วรรณยุกต์
ประสมคำให้ถูกตอ้ งตามพจนานุกรม ฉบับราชบณั ฑติ ยสถาน พทุ ธศักราช 2525 และสอ่ื ความหมาย
กนั ได”้

จากความหมายของการเขียนสะกดคำข้างต้น สรุปได้ว่า การเขียนสะกดคำ คือ การเขียน
เรียงลำดับอักษร ได้แก่ พยญั ชนะ สระ วรรณยุกต์ ตัวสะกดและตวั การันตเ์ รียบเรียงเป็นคำไดถ้ ูกตอ้ งเขยี น
ถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิดของตนเอง เขียนตอบคำถาม เขียนเล่าเรื่องและใช้เคร่ืองหมายวรรคตอนได้
ถูกต้อง ออกเสียงได้ชัดเจน ส่ือความหมายได้อย่างมีประสิทธภิ าพ เป็นพ้ืนฐานของการศึกษาทุกระดับและ
ทุกสาขาวิชา เพ่อื สามารถนำไปใช้ในสถานการณ์ต่างๆได้อย่างเหมาะสม

2.2 ความสำคญั ของการเขียนสะกดคำ
การเขียนสะกดคำ เปน็ ทักษะหนงึ่ ท่ีมีความสำคัญในการใชภ้ าษาเพื่อการสอื่ สาร ฉะน้นั จึงความจำ
เป็นอย่างย่ิงท่ีต้องการเขียนให้ถูกต้อง เพ่ือส่งสารและรับสาร ส่ือสารกันได้อย่างมีประสิทธิภาพซ่ึงมีผู้ให้
ความเห็นในด้านนี้ ไวด้ งั นี้

15

พธู ทั่งแดง (2534 : 10) ให้ความสำคัญของการเขียนสะกดคำไว้ว่า การเขียนสะกดคำมี
ความสำคัญต่อการเรียนทุกวิชาและเป็นแขนงหน่ึงในวิชาภาษาไทยซึ่งนักเรียนควรได้รับการฝึกฝนอย่าง
สม่ำเสมอ เพื่อให้เกิดทักษะและความสามารถทางด้านการเขียน ซ่ึงการเขียนเป็นการแสดงออกทางภาษา
เป็นการถ่ายทอดความคิดและความรู้สึกไปสู่ผู้อ่าน ผู้มีประสบการณ์มากจะสามารถรวบรวมความคิดจาก
การฟัง การพูดและการอ่าน แล้วถ่ายทอดสัญลักษณ์ในการส่ือความหมาย เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจในความคิด
ความรู้สกึ ตลอดจนเร่อื งราวต่างๆตรงกบั เจตนารมณข์ องผูเ้ ขียน

วรนันท์ อักษณพงษ์ และคณะ (2534 : 221) กล่าวไว้ว่า ในการสอนเขียนสะกดคำจะต้องให้
นกั เรียนสนใจท่ีจะเรียน นักเรียนได้ฝึกฝน จึงตอ้ งใช้กิจกรรมหลายๆอย่าง เพ่ือให้เดก็ เกิดความเพลิดเพลิน
จดจำคำต่างๆ ได้อย่างแม่นยำ และสามารถนำไปใช้ประโยชน์ในด้านอื่นๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพท้ังนี้
เพราะการเขียนสะกดคำให้ถูกต้องมีความสำคัญมาก ข้อความที่เขียนผิดไปอาจจะทำให้ความหมาย
คลาดเคล่อื น กอ่ ให้เกดิ ความเสยี หายได้

ทิพวรรณ นามแก้ว (2535 : 17) ได้ศึกษาเอกสารที่เก่ียวข้องกับการเขียนคำ และสรุปไว้ว่า การ
สะกดคำ เป็นแขนงหน่ึงของการเขียน เป็นพื้นฐานของการศึกษาทุกระดับชั้นและทุกสาขาวิชา การสอน
การเขียนสะกดคำ เป็นวิธีการท่ีจะช่วยให้นักเรียนรู้จักกฎเกณฑ์ของการเรียงลำดับของพยัญชนะ สระ
วรรณยุกต์ ตัวสะกดให้ถูกต้อง เพอ่ื จะไดอ้ อกเสียงให้ชัดเจนและเขียนคำน้ันได้ถกู ต้อง มีกระบวนการเขียน
คือ เรียนรู้คำ ฝึกออกเสียงคำ เรียนรู้ความสัมพันธ์ของตัวอักษรกับเสียง จำรูปร่างของคำและจำลำดับ
อักษรในคำนัน้ ๆ ได้

การเขียนสะกดคำ นับว่าเป็นทักษะที่สำคัญมาก การเขียนสะกดคำเป็นพื้นฐานท่ีสำคัญในการใช้
ภาษา การอา่ น การเขยี น และการสอื่ ความหมาย การเขียนสะกดคำเป็นทักษะท่มี ีความจำเป็นในการเรียน
วิชาอื่นๆ และการนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน ส่งผลให้ผู้เขียนเกิดความภาคภูมิใจและมีความมั่นใจในการ
เขียน ฉะนั้นครูจึงต้องฝึกฝนนักเรียน ให้สามารถเขียนสะกดคำให้ถูกต้อง และต้องฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ
เพือ่ ชว่ ยในการเรยี นวิชาอ่นื ๆและเกดิ ความมนั่ ใจในการเรยี น

ครูผู้สอนภาษาไทยทุกคนควรจะฝึกฝนให้นักเรียนเขียนสะกดคำให้ถูกต้อง จะต้องใช้กิจกรรม
กลายๆอย่างเพื่อให้เด็กเกิดความเพลิดเพลินและจดจำได้แม่นยำ นักเรียนต้องรู้จักกฎเกณฑ์ของการ
เรียงลำดับ พยัญชนะ สระ วรรณยุกต์ ตัวสะกด เพื่อออกเสียงได้ชัดเจนและเขียนคำน้ันได้ถูกต้อง
กวา้ งขวางและเปน็ ทักษะพน้ื ฐานท่มี ีความสำคัญมากในการการเขียนติดต่อสอื่ สารและการศึกษา นกั เรยี น
สามารถนำไปใช้ประโยชน์ในชีวติ ประจำวันได้อย่างมปี ระสทิ ธิภาพ

2.3 หลักการเขียนสะกดคำ
สุปราณี พฤตกิ ารณ์ (2531 : 5-6) ได้เสนอแนะการสอนเขียนสะกดคำไว้ว่า
1. ครตู ้องช้ีแจงใหน้ ักเรยี นเห็นความสำคัญของการเขยี นสะกดคำ
2. ครตู ้องอธบิ ายให้นักเรยี นจดจำการเขียนสะกดคำตา่ งๆโดยท่ีนักเรียนไมร่ ู้ตวั

16

3. สอนเรอ่ื งสะกดคำให้สัมพันธ์กบั การอา่ นและการฟงั
4. ควรใหโ้ อกาสนกั เรยี นได้ฝกึ เขียนให้มากที่สุดและครตู อ้ งตรวจแด้
5. ใหน้ ักเรยี นจดบันทึกตามคำสอน ครูควรเขยี นคำที่มกั สะกดผิดบนกระดาน
6. ครคู วรสอนความหมายของคำด้วย เพือ่ ช่วยให้นกั เรยี นจำไดด้ ยี ่ิงขึน้
7. ครคู วรบอกท่มี าของคำน้ัน ๆ เชน่ คำนวณ แผลงมาจาก คูณ จะตอ้ งใช้ ณ สะกด
8. แบ่งนักเรียนเป็นกลุ่มให้ค้นหาคำในเร่ืองที่เรียนแล้วนำมาแลกเปล่ียนกันบอกความหมาย
และเฉลย
9. ใหน้ กั เรยี นรวบรวมคำศัพท์ท่ีจดไว้ในสมุดแล้วเรยี บเรยี งเป็นหมวดหมู่
10. ครูรวบรวมคำผดิ จากหนงั สือพิมพ์ ป้ายโฆษณาตา่ งๆ มาให้นกั เรยี นแกไ้ ขใหถ้ กู ตอ้ ง
11. สอนคำทส่ี ะกดเหมือนกนั เปน็ กลุม่ เชน่ รมย์ ภิรมย์ รืน่ รมย์ เรงิ รมย์
12. สอนคำอ่อนออกเสยี งเหมอื นกนั ตัวสะกดตา่ งกนั และมคี วามหมายต่างกัน
13. ครใู ชว้ ธิ ีบอกให้เขยี นแล้วตรวจโดยใช้บตั รคำประกอบการสอน
14. ครูนำบัตรคำที่ใช้สอนเรื่องตัวสะกดมาติดไว้ที่ป้ายประกาศหน้าห้องหรือบริเวณท่ีนักเรียน
เห็นได้เสมอ
15. ครนู ำเกณฑ์การเขียนสะกดคำมาแตง่ เป็นคำประพนั ธเ์ พ่อื ใหจ้ ำงา่ ย
16. ครูนำคำทม่ี ักสะกดผิดมาแต่งคำประพันธ์ จะช่วยใหน้ กั เรียนเขียนไดถ้ ูกต้องยงิ่ ข้ึน
17. ใหน้ ักเรยี นเขียนสะกดคำยากบนกระดาน
18. ให้นักเรียนเขียนเรียงความแล้วตรวจการเขียนสะกดคำ โดยให้เปิดพจนานุกรมตรวจของ
ตนเองหรอื ของเพ่อื น
19. ครคุ วรหาประโยคหรอื ขอ้ ความสนั้ ๆใหน้ กั เรียนเตมิ คำศัพทล์ งในชอ่ งวา่ ง
20. ครูนำเนอื้ หาจากหลักภาษาไทย เชน่ คำสมาส คำควบกลำ้ มาแต่งเปน็ ประโยครวบรวมไว้
21. ครกู ำคำศพั ท์แลว้ ให้นักเรียนเขียนเป็นประโยค
หลักการเขียนสะกดคำมีหลากหลายวิธี ท่ีผู้สอนสามารถจะเลือกสอนให้เหมาะสมกับวัยของ
ผ้เู รียนได้ แต่ในการสอนเขียนสะกดคำควรยึดหลักทีส่ ำคญั ประกอบด้วย การให้นักเรียนรู้ความหมายของ
คำ การให้เห็นรูปของคำว่าประกอบด้วยพยัญชนะ สระ วรรณยุกต์ และตัวสะกดอะไร หลังจากนั้นก็ให้
นกั เรยี นเขียนเลยี นแบบคำน้นั หลายๆครงั้ เขียนไมด่ ูแบบ และการนำไปใชก้ บั สถานการณอ์ ่นื ที่ต่างกัน

3.ความรเู้ ก่ยี วกบั สื่อประสม
3.1 ความหมายของสื่อประสม
อีริคสนั (Erickson 1968:32) กล่าวว่า ประสม หมายถงึ การใช้โสตทัศนูปกรณ์และ ประสบการณ์

ต่างๆ สัมพันธ์กับวัสดุการเรียนการสอนอื่น ๆ ซ่ึงจะเป็นการเสริมซ่ึงกันและกันวัสดุบาง อันอาจจะใช้

17

กระตุ้นความสนใจ อีกอันอาจจะใช้บอกข้อเท็จจริงท่ีเป็นรากฐาน และอันอ่ืนๆ อาจจะใช้ แก้มโนมติท่ีผิด
และทำใหเ้ ข้าใจยงิ่ ขึน้

กู๊ด (Good, 1973;377) ได้ให้ความหมายว่า การใช้สื่อประสม คือ การใช้โสตทัศนูปกรณ์หลายๆ
อย่างให้เหมาะสมเพื่อนำมาสัมพันธ์เข้ากับการเรียน โดยใช้ส่ือมากกว่าหน่ึงอย่างเพื่อสอนเนื้อหาหรือสอน
ในเวลาหน่ึงคาบ

ชัยยงค์ พรหมวงศ์ (2523:115) กล่าวว่า สื่อประสมหมายถึง การนำสื่อการสอนหลาย อย่างมา
สมั พันธก์ นั เพื่อถ่ายทอดเนื้อหาสาระในลักษณะสอ่ื แต่ละชิ้นส่งเสริมสนับสนุนกนั และกัน ส่ือ การสอนอยา่ ง
หนึ่งอาจใช้เพ่ือเร้าความสนใจในขณะที่อีกอย่างหนึ่งใช้เพื่อก่อให้เกิดความเข้าใจท่ีลึกซึ้งและป้องกันการ
เข้าใจความหมายผิด การใช้ส่ือประสมจะชว่ ยใหผ้ ู้เรยี นมีประสบการณ์จากสัมผัสที่ ผสมผสานกันได้ค้นพบ
วธิ ีการท่ีจะเรยี นในส่ิงท่ตี อ้ งการไดด้ ว้ ยตนเองมากย่ิงขึ้น

สรุปได้ว่า สื่อประสม หมายถึง การนำเอาส่ือการสอนหลาย ๆ ชนิดมาสัมพันธ์กันโดยท่ีสื่อจะมี
คุณค่าส่งเสริมกันและทำงานกันอย่างเป็นระบบเพื่อให้สือ่ มีความเร้าความสนใจแกผ่ ูเ้ รียน

3.2 ประโยชนข์ องส่ือประสม
ชยั ยงค์ พรหมวงศ์ และคณะ (2521:195) ไดก้ ลา่ วถึงประโยชน์ของสือ่ ประสมดงั นี้
1. ผเู้ รยี นสามารถเรยี นไดด้ ว้ ยตนเองตามความต้องการ จากแหล่งความร้หู ลายแหลง่
2. ชว่ ยประหยดั เวลาไม่จำเป็นตอ้ งเรยี นส่งิ ทีผ่ ้เู รยี นเรียนรูแ้ ล้ว
3. ช่วยลดจำนวนนักเรียนสอบตก เพราะท้ังนักเรียนเก่งหรือนักเรียนอ่อนก็เรียนสำเร็จแม้จะใช้เวลา
ต่างกนั
4. สามารถวัดได้ว่าประสบการณ์ใดในส่ือการสอน ประสบผลสำเร็จและประสบการณ์ใดไม่ประสบ
ผลสำเร็จ เพอื่ แกไ้ ขให้ดีขึน้
3.3 ประเภทของสอื่ ประสม
สื่อประสมน้ันสามารถแบ่งออกได้เป็นหลายประเภท ซึ่งได้มีผู้แบ่งประเภทของส่ือประสม ออก
ตามลักษณะตา่ ง ๆ ดังน้ี
แพรวพรรณ ผลาผล (2526: 14-16) ได้จําแนกสื่อประสมออกตามลักษณะ การประชุมของส่ือ
และคณุ ลักษณะการใช้ได้เปน็ 3 ประเภทใหญๆ่ ดังน้ี
1. สื่อประสมที่เป็นวัสดุ อุปกรณ์และกระบวนการร่วมกัน โดยใช้สำหรับการเรียนการสอน ปกติ
ท่ัว ๆ ไป เช่น ชุดอุปกรณ์ ชุดการเรียนการสอน บทเรียนโปรแกรม โปรแกรมสำเร็จรูป สไลด์ ศูนย์การ
เรียน เป็นต้น ส่ือประสมแต่ละชนิดที่จัดอยู่ในประเภทน้ีมีหลักการและลักษณะเด่นแตกต่างกันออกไป
ไดแ้ ก่
1.1 สามารถให้ผู้เรียนได้ประสบการณ์ด้วยตนเอง คือ ได้ร่วมในการกระทำหรือร่วมใน กิจกรรม
เปน็ การเข้าใจแก่ผเู้ รียน เชน่ บทเรียนโปรแกรม ศูนยก์ ารเรยี น ๆ อปุ กรณ์ เป็นต้น

18

1.2 สามารถให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ตามความสามารถและความแตกต่างกันของแต่ละบุคคล เช่น
บทเรยี นโปรแกรม ชดุ การสอนรายบคุ คล เป็นตน้

1.3 สามารถให้ผู้เรียนใช้เรียนด้วยตนเองหรือสามารถใช้เมื่อขาดครูได้ เช่น บทเรียนโปรแกรม ชุด
การสอนรายบคุ คล เป็นตน้

1.4 สามารถให้ผู้เรียนได้รับผลตอบกลับทันทีและได้รับความรู้สึกภาคภูมิใจใน ความสำเร็จ เช่น
เชน่ บทเรียนโปรแกรม ศนู ยก์ ารเรียน เปน็ ตน้

1.5 สามารถใชช้ ่วยประกอบการศกึ ษาระยะไกลให้ดำเนนิ ไปอย่างมีประสิทธิภาพเช่น ชุดการสอน
ทางไกลสำหรับการศึกษามวลชน เปน็ ต้น

1.6 สามารถใช้สง่ เสรมิ สมรรถภาพของครู เช่น ชุดการสอนประกอบคำบรรยาย
1.7 สามารถให้ผู้เรียนได้ฝึกความรับผิดชอบและการทำงานเป็นกลุ่มศูนย์การเรียนกลุ่มสัมพันธ์
เป็นตน้
2. สื่อประสมประเภทฉาย เป็นการประสมโดยมีข้อจำกัดท่ีความสามารถและคุณสมบัติ เฉพาะตัว
ของอปุ กรณ์เครอื่ งฉายเป็นสำคัญ เช่น สไลด์ประกอบเสียง สไลด์และภาพยนตรป์ ระกอบ เสียง สไลด์และ
แผ่นใส เป็นต้น และอายบนายต้ังแต่ 2 ขอข้ึนไป โดยปกติจะนิยมฉายบนจอขนาด 3 จอเป็นสูงสุด การ
ฉายใช้กับผู้ชมเป็นกลุ่ม สื่อประสมประเภทฉายนี้แม้ว่าบางครั้งราคาการผลิตอาจสูง กว่าและการผลิตนก
ว่าสื่อประสมบางชนิดในประเภทแรก แต่ผลที่ได้รับจากการใช้สื่อประสม ประเภทฉายน้ี ให้ผลที่มี
คุณสมบัตเิ ฉพาะตวั ท่ีส่อื ประเภทอ่ืนไมส่ ามารถทำได้ คอื ผลในความรู้สกึ อารมณแ์ ละสนุ ทรแี ก่ผู้ชม ยังชว่ ย
ดึงดูดความสนใจให้ผู้ชมได้ติดตามอย่างต่ืนตาต่ืนใจ และมีประสิทธิภาพซ่ึงเป็นการช่วยในการเรียนการ
สอน
3. สื่อประสมระบบการสอ่ื สาร ระบบส่อื สารคมนาคมเปน็ ส่งิ สำคัญในการคำนงึ ถึง เช่น ระบบโทร
เลข โทรศัพท์ โทรภาพและการส่ือสารผ่านดาวเทียม เป็นต้น โดยใช้ร่วมกับอุปกรณ์อ่ืน ๆ เช่น โทรทัศน์
วิทยุ ส่ิงพิมพ์ไมโครคอมพิวเตอร์ เป็นต้น สื่อประสมประเภทน้ี เช่น Telex เป็นการรวมระบบ โทรศัพท์
และโทรพิมพ์เข้าด้วยกัน สามารถรับและส่งข้อความจากแท่นพิมพ์จากแห่งหน่ึงไปยังอีกแห่ง หน่ึงได้
Videotex เป็นการรวมสือ่ โทรทศั น์ คอมพวิ เตอร์และระบบสื่อสารทางโทรทัศน์
ชัยยงค์ พรหมวงศ์ (2529: 115-116) ได้แบ่งสื่อประสมตามจุดมุง่ หมายและลักษณะการใชด้ งั นี้
1. จําแนกตามจดุ ประสงค์ แบง่ เป็น 2 ประเภท คอื
1.1 ใช้เพื่อจุดมุ่งหมายหลายอย่าง สื่อประสมประเภทน้ีมักอยู่ในรูปของส่ือหลาย ๆ ชนิดมาอยู่
รวมกนั แล้วใช้สอนได้หลายเรื่อง เรยี กวา่ " ชุดอปุ กรณ์”
1.2 ใช้เพื่อจุดมุ่งหมายเฉพาะอย่าง สื่อประสมประเภทนี้มักอยู่ในรูปของส่ือหลายๆชนิดมาอยู่
รวมกนั แตใ่ ชส้ อนได้เพียงเร่อื งเดียว เรยี กวา่ “ชุดการสอน”
2. จาํ แนกตามลกั ษณะของสื่อและลักษณะการใช้ แบง่ เปน็ 2 ประเภท คือ
2.1 การสอนโดยใช้สอ่ื ประสม เป็นการสอนท่ใี ช้สื่อหลายอย่าง ท้งั สือ่ ท่เี ปน็ วัสดอุ ุปกรณแ์ ละวธิ ี

19

การประเภทฉาย เช่น สไลด์ ภาพยนตร์ ควบคู่กับสื่อเสียง เช่น แผ่นเสียงหรือเทปบันทึกเสียงโดยจะฉาย
บน

2.2 การเสนอสื่อประสมหรือ "multimedia presentation " เป็นการเสนอสื่อจอตั้งแต่สองจอ
ขึ้นไป

3.4 หลักในการเลือกใช้และผลติ สือ่ ประสม
ยุพิน พิพิธกุล (2523: 795) ได้กล่าวว่าการสอนโดยใช้สื่อประสมนั้น ครูควรจะได้คำนึงถึงเร่ือง
ตา่ ง ๆ ดงั ต่อไปน้ี
1. ตรวจสอบความสามารถของนักเรียนเสยี ก่อนโดยใหน้ กั เรยี นทำการทดสอบก่อน เรียนท้งั น้ีเพื่อ
ตรวจดูพ้นื ฐานความรูข้ องนักเรียน
2. กำหนดจดุ ประสงคเ์ ชงิ พฤตกิ รรมวา่ ใหน้ กั เรยี นเกิดการเรยี นรูอ้ ะไร
3. เลอื กเนอ้ื หาให้เหมาะสม และสอดคล้องกับจุดประสงค์ท่ตี ั้งไว้
4. เลือกวิธสี อน กลวิธี และเทคนิคการสอน พร้อมกับเลอื กส่ือท่ีจะนำมาใช้วา่ จะใช้ส่ือ อะไรจึงจะ
เหมาะกับเนื้อหา สอดคล้องกับวิธีสอนน้ันๆ ในการสอนแต่ละคร้ังท้ังวิธีสอนและการเลือกใช้สื่อประสม
จะต้องควบคู่กันไป ถ้าเราเน้นท่ีวิธีสอนก็จะตอบได้ว่าใช้วิธีสอนแบบไหนแต่ถ้าเรามองเน้นที่ สื่อการเรียน
การสอน กจ็ ะทราบวา่ ในแตล่ ะข้ันตอนน้ันใช้ส่ือการเรียนการสอนอะไร เช่น ในการนำเข้าสู่ บทเรียน ครูใช้
แผนภูมิประกอบการถามตอบก็จะกล่าวได้ว่า ใช้วิธีสอนแบบถามตอบ และใช้ส่ือคือ แผนภูมิ เมื่อถึงข้ัน
สอนครูก็อาจจะใช้วิธีสอนโดยการสาธติ และใช้ส่ืออยา่ งอน่ื ประกอบ เป็นต้น ดังนั้น จะเห็นไดว้ ่า การส่อื ใช้
สือ่ ประสมและการเลอื กใชว้ ิธสี อนน้นั สัมพนั ธก์ ันอย่างแยก ไม่ออก เพ่ือจะทำใหน้ กั เรียนเกดิ ความสนใจ ครู
ควรจะได้เลือกใช้วิธีสอนแบบผสม (Mixed Method)ผสมผสานกลมกลืนไปกับการใช้ส่ือประสม
(Multimedia) ซงึ่ จะทำใหก้ ารเรยี นการสอนมปี ระสิทธิภาพย่ิงขน้ึ
5. เมื่อตอนจบแล้ว ครูก็จะได้มีการประเมินผลการใช้ส่ือประสมว่าทำให้เกิดการ เรียนรู้ตาม
จุดประสงคท์ ่ีต้งั ไวห้ รือไม่

4. ความรู้เกี่ยวกบั การวดั และประเมนิ ผล
4.1 ความหมายของการทดสอบ การวัดผล และการประเมินผล
1. การทดสอบ (Testing)
1.1 ความหมายของการทดสอบ นักวิชาการไดใ้ ห้ความหมายของการทดสอบไว้ดังน้ี
บุญเชิด ภิญโญพงษ์อนันต์ (2545 :8) การทดสอบ เป็นวิธีการวัดชนิดหนึ่งท่ีมีการใช้อย่าง

กว้างขวางโดยใช้แบบทดสอบเป็นเครือ่ งมอื วัดโดยท่ีการทดสอบเป็นวิธกี ารท่ีมีระบบสำหรับ“วัดพฤตกิ รรม
ของผู้เรยี นและให้ผลการวัดแสดงออกมาเป็นคะแนน”

สมนึก ภัททิยธนี (2545 : 3)การทดสอบ เป็นส่วนหน่ึงของการวัดผล ในการวัดผลด้าน
วทิ ยาศาสตร์หรือดา้ นกายภาพมักจะใช้คำวา่ ทดสอบ ปนกับคําว่า วัดผล

20

ศิริชัย กาญจนวาสี (2552 : 9)การทดสอบ เป็นกระบวนการใช้แบบสอบสำหรับกำหนดหรือ
บรรยายคุณลักษณะหรือคุณภาพเฉพาะอย่างของบุคคลหรือกลุ่มบุคคลเพ่ือใช้เป็นสารสนเทศสำหรับการ
ตัดสินใจ

จากความหมายดังกล่าวข้างต้นสรุปได้ว่า การทดสอบเป็นการกำหนดสถานการณ์ เงื่อนไขหรือ
การใช้แบบทดสอบ เพื่อเป็นสิ่งกระตุ้นให้ผู้เรียนได้แสดงพฤติกรรมตามที่ต้องการออกมาเพ่ือท่ีจะสามารถ
วัดและสังเกตพฤติกรรมนน้ั ๆ ได้

2. การวดั ผล (Measurement)
2.1 ความหมายของการวดั ผล มนี ักวิชาการให้ความหมายของการวัดผลไว้หลากหลายดงั นี้
สมหวัง พิธิยานุวัฒน์ (2535: 111)การวัดผล เป็นกระบวนการเชิงปริมาณในการกำหนดค่าเป็น
ตวั เลขหรือสญั ลักษณ์ทม่ี ี ความหมายแทนคุณลักษณะของสง่ิ ที่วดั โดยใช้กฎเกณฑอ์ ย่างใดอย่างหนงึ่
บุญเชิด ภิญโญพงษ์อนันต์ (2545:8)การวัดผล เป็นกระบวนการกำหนดตัวเลขให้กับส่ิงท่ีวัดมี
กฎเกณฑ์ครูสามารถวัดคุณลักษณะ บางอย่างของผู้เรียนโดยใช้แบบทดสอบเขียนตอบลงบนกระดาษใช้
มาตรวัดน้ำหนักและส่วนสูงใช้การ ทดสอบปฏิบัติอาทิเด็กสามารถเตะลูกบอลได้ไกลเพียงไรและใช้วิธีการ
อ่นื
สรุปได้ว่า การวัดผลการศึกษา เป็นกระบวนการกำหนดตัวเลขให้แก่พฤติกรรมของบุคคลที่ได้
แสดงออกในการทดสอบตามเกณฑ์ที่กำหนด หรือ เกณฑ์มาตรฐาน เพ่ือท่ีจะรวบรวมผลทั้งหมดไป
พิจารณาตดั สนิ ใจ
3. การประเมินผล (Evaluation)
3.1 ความหมายของการประเมินผล ได้มีนักวิชาการให้ความหมายของการประเมินผลไว้
หลากหลายดังนี้
สมนึก ภัททิยธนี (2545 : 3)การประเมินผล เป็นการตัดสิน หรือวินิจฉัยสิ่งต่าง ๆ ท่ีได้จากการ
วัดผล โดยอาศัยเกณฑ์ การพิจารณาอย่างใดอย่างหน่ึง เช่น ผลการวัดความสูงของนายแดงได้ 180 ซม. ก็
อาจจะประเมนิ ว่าเป็นคนทีส่ งู มาก
ศิริชัย กาญจนวาสี (2552:9) การประเมินผล เป็นกระบวนการตัดสินคุณค่าของสิ่งต่าง ๆ ตาม
เกณฑ์มาตรฐาน โดยท่ัวไปการประเมนิ ต้องอาศยั ข้อมลู จากการวัดท่ีเป็นปรนัยแต่บางครั้งการประเมินต้อง
อาศยั การ สงั เคราะหข์ ้อมลู จากแหล่งตา่ ง ๆ เพอ่ื ตัดสินคณุ ค่าของสง่ิ นัน้
Wiersma and Jurs (1990: 8) การประเมินผลเป็นการพิจารณาตัดสินคุณค่าบนพ้ืนฐานของ
ข้อมูลที่เป็นจุดประสงค์การเรียนรู้ โดยการตีความหมายของคะแนนเพ่ือตัดสินว่าดีเย่ียม ดปี านกลาง หรือ
ต่ำ
สรุปได้ว่าการประเมินผล เป็นกระบวนการในการรวบรวมข้อมูลที่ได้จากการวัดพฤติกรรม ของ
บุคคลหรือผู้เรียน เพ่ือนําผลมาพิจารณาตัดสิน หรือประเมินค่า ตามเกณฑ์ท่ีกำหนดหรือเกณฑ์ มาตรฐาน

21

แล้วนําเสนอเป็นข้อมูลย้อนกลับให้แก่ผู้สอนท่ีจะสามารถนําไปใช้เป็นแนวทางในการพัฒนา ผู้สอนและ
ผู้เรยี น ตลอดจนการพัฒนาการจัดกจิ กรรมการเรียนการสอนต่อไป

4.2 ประเภทของการวดั และประเมินผล
ประเภทของการวัดผล นกั วิชาการได้จาํ แนกประเภทของการวดั ผลดังนี้
1. จำแนกตามคณุ ลกั ษณะของสิง่ ทวี่ ัด (ศริ ิชยั กาญจนวาส, 2552 :26)

1.1 การวัดทางกายภาพ (Physical Measurement) เป็นการวัด คุณลักษณะที่เป็น
รปู ธรรมสมั ผสั หรอื จบั ต้องไดโ้ ดยใชเ้ ครอ่ื งมอื การวัดที่มีมาตรฐานใหผ้ ลการวัดที่ นา่ เชอ่ื ถือไดอ้ าทีค่ วามยาว
ความสูงน้ำหนักเปน็ ตน้

1.2 การวัดทางจติ วิทยา (Psychological Measurement คุณลักษณะทางจติ วิทยาและ
การศึกษา ท่ีเป็นลักษณะภายในท่ีไม่สามารถวัดได้โดยตรงอาทิผลสัมฤทธ์ิ ทางการเรียนสมรรถภาพของ
สมองเจตคติค่านยิ มหรือบุคลกิ ภาพเป็นตน้ ดังน้ันในการวดั ลกั ษณะนี้จึงเป็นการวดั เปน็ การจัดทางออ้ มที่ใช้
แนวคิดเชิงสมบัตทิ ่ีแสดงออกในรูปของทฤษฎกี ารวัดทฤษฎกี ารทดสอบทจ่ี ะนำมาชว่ ยอธิบายความสัมพันธ์
ระหว่างคุณลักษณะภายในท่ีต้องการวัดกับพฤติกรรมที่แสดงออกท่ีจําแนกการวัดทางจิตวิทยาเพ่ือตอบ
คำถาม 2 คำถามคอื (1) ใครจะสามารถทำอะไรได้บ้าง และ (2)ใครจะทำอะไรต่อไปอยา่ งไร

2. จำแนกตามความหมายจากการเปรียบเทยี บ (Grohlurid, 1976 19)
2.1 การวัดแบบอิงกลุ่ม (Nort-reference Measurement ) เป็นการกำหนด ค่า

คุ ณ ลั ก ษ ณ ะ ท่ี ต้ อ งก า ร วั ด ท่ี มี ค ว าม ห ม าย ด้ ว ย ก าร น ำ ข้ า ที่ วั ด ไป เป รี ย บ เที ย บ กั บ ค่ าท่ี ได้ จ า ก ก า ร วั ด
คณุ ลักษณะเดยี วของกลมุ่ ที่เหมาะสมสำหรบั การประเมินผลสรุป Summative Evaluation)

2.2 การวัดแบบอิงเกณฑ์ (Criterion-referenced Measurement)เป็นการกำหนดค่า
คุณลักษณะท่ีต้องการจัดให้มีความหมายโดยการนำข้าวัดไปเปรียบเทียบหรือแปลความหมายกับคะแนน
เกณฑ์หรือคะแนนจุดตัดท่ีบ่งชี้มาตรฐานการปฏิบัติของเร่ืองน้ัน ๆ ที่กำหนดไว้ ที่เหมาะสมสำหรับการ
ประเมนิ ผลระหวา่ งเรียน (Formative Evaluation) หรอื เพ่ือวินิจฉยั

ประเภทของการประเมนิ ผล นกั วชิ าการไดจ้ าํ แนกประเภทของการประเมินผลดังนี้
1. จําแนกตามจุดประสงค์ของการประเมินจําแนกได้ 3 ประเภท ดังน้ี (สมชาย วรกิจเกษมสกุล
,2556:10-11)

1.1 การประเมินผลก่อนเรียน (Pre Evaluation) เป็นการประเมินเพื่อใช้ ตรวจสอบพ้ืน
ฐานความรู้หรือทักษะว่ามีอย่างพอเพียงที่จะเรียนรู้ในรายวิชาใหม่หรือไม่และหาวิธีการ เพ่ือปรับพ้ื น
ฐานความรนู้ ้ัน ๆ จนกระทัง่ ผู้เรียนมีความรอู้ ยา่ งพอเพยี งหรือเป็นการประเมนิ เพ่ือใช้ วินจิ ฉยั ผ้เู รียนในการ
นำข้อมลู มาใช้วางแผนการจัดการเรยี นการสอนหรอื เลือกเทคนิคการสอน ที่เหมาะสมกับผู้เรยี น

1.2 การประเมินผลระหว่างเรียน (Formative Evaluation) เป็นการ ประเมินเพ่ือให้
ตรวจสอบการบรรลุจุดประสงค์ย่อยที่กำหนดไว้ของผู้เรียนว่ามีจุดประสงค์ใดบ้างที่ ผู้เรียนไม่บรรลุ
จุดประสงค์เพื่อที่ครูผู้สอนจะได้จัดกิจกรรมการสอนซ่อมเสริมเพื่อให้ความช่วยเหลือ หรืออาจนำข้อมูล

22

ดังกล่าวไปใช้ในการปรับปรุงพัฒนาการเรียนการสอนในจุดประสงค์น้ัน ๆ ในอนาคต ให้มีประสิทธิภาพ
มากย่งิ ขึ้น

1.3 การประเมินผลสรุป (Suminative Evaluation) เป็นการประเมินเพื่อ ใช้สรุปผลสัมฤทธ์ิ
หรือตัดสินผลการเรียนเม่ือสิ้นสุดการเรยี นการสอนในแต่ละรายวิชาตามเกณฑ์ว่า ผู้เรียนสอบได้ตก. สอบ
ผ่าน ไม่ผ่านหรือควรได้ระดับผลการเรียนในระดับใดและอาจใช้ข้อมูลในการ ประเมินผลการจัดการเรียน
การสอนของครผู ูส้ อนในภาพรวมว่ามีประสทิ ธภิ าพหรือไม่

2. จำแนกตามเกณฑ์อา้ งอิงของผลการประเมนิ จำแนกได้ 2 ประเภทดงั น้ี
2.1 การประเมินผลแบบอิงกลุ่ม (Norm Reference Evaluation เป็น การประเมินตัดสิน

คุณค่าผลตามเกณฑ์อ้างอิงท่ีใช้ผลของผู้เรียนในกลุ่มเดียวกันตามแนวคิดของเน และไซมอน ที่ได้ระบุว่า
แบบทดสอบท่ีดีจะสามารถจำแนกผู้เรยี นท่ีมีความสามารถท่ีมากหรือหรือน้อย แตกต่างกันออกจากกันได้
ใช้ในการพิจารณาเพื่อจัดจำแนกหรือจัดลำดับก่อน-หลังของบุคคลในกลุ่ม นั้น ๆ ว่าเป็นอย่างไรอาทิการ
สอบคัดเลือกเข้าศึกษาต่อหรือการประกวดการคัดลายมือเป็นต้นแต่ จะต้องระมัดระวังว่าผลการประเมิน
ในระดบั ท่ีผ้เู รียนอาจมีความสามารถไม่ถงึ ระดับมาตรฐานและไม่ ทราบข้อบกพร่องท่ีเกดิ ข้ึน

2.2 การประเมินผลแบบอิงเกณฑ์ (Criterion Reference Evaluation) เป็นการประเมิน
ตัดสินคุณค่าของผลตามเกณฑ์อ้างอิงที่ใช้เกณฑ์ที่กำหนดข้ึนหรือเกณฑ์มาตรฐานตาม หลักการของการ
เรียนรู้แบบรอบรู้ (Master Learning) เพ่ือใช้ระบุสถานภาพของผู้เรียนเม่ือ เปรียบเทียบกับเกณฑ์ว่าผ่าน
เกณฑ์ในระดับน้ัน ๆ มากหรือน้อยเพียงใดอาการประเมินผลสัมฤทธ์ิ ทางการเรียนแบบอิงเกณฑ์ เป็นต้น
แตจ่ ะมคี วามยุ่งยากในการกำหนดจุดตัดหรือเกณฑ์มาตรฐาน

2.3 การประเมินผลแบบอิงตนเอง (Self Reference Evaluation) เป็น การประมวลผลท่ี
ตัดสินผลท่ีไม่เน้นการแข่งขันโดยการเปรียบเทียบระดับความรอบรู้ของบุคคลนั้นเมื่อ ได้เรียนรู้แล้วกับ
ระดับความรอบรู้เดิมท่ีมีอยู่ท่ีแสดงพัฒนาการในการเรียนรู้ของบุคคลน้ันผลการ ประเมินผู้เรียนแต่ละคน
จึงขึ้นอยู่กับระดับความรอบรู้ท่ีเพ่ิมขึ้นจากเดิมของบุคคลแต่จะต้องระมัดระวัง ว่าบุคคลมีความรู้
ความสามารถตามเกณฑม์ าตรฐานหรอื ไม่

4.3 หลักการเบ้อื งต้นของการวัดและประเมินผล
1. หลักการเบ้ืองต้นการวัดผล ในการดำเนินการวัดมีหลักการเบ้ืองต้นท่ีผู้อ่านจะต้องทำความ
เขา้ ใจอย่างชัดเจนเพือ่ ใหเ้ ป็น การวดั ที่มีประสทิ ธภิ าพดังนี้ (ศริ ิชยั กาญจนวาส, 2552 27)

1.1 สิ่งที่มุ่งวัดคืออะไรเป็นการพิจารณาแนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับคุณลักษณะ ของสิ่งที่มุ่งวัด
เพ่ือเช่ือมโยงความคิดรวบยอดเชิงนามธรรมของสิ่งของหรือเหตุการณ์น้ันสู่ความเป็น รูปธรรมของข้อมูล
หลกั ฐานทีจ่ ะต้องเก็บรวบรวมเพ่อื ใช้เป็นตัวบง่ ชี้คณุ ลักษณะของสิง่ ที่มุ่งวัดนัน้ ๆ

1.2 ควรจัดส่งของหรือเหตุการณ์นั้นอย่างไรโดยจะต้องพิจารณาว่าควรจะใช้ เครื่องมือวัด
ประเภทใดแนวคำถามอย่างไรจึงจะมีความสุขคล้องกับคุณลักษณะที่มุ่งวัดและมีความ เหมาะสมกับผู้ให้

23

ข้อมูลและจะต้องมีการกำหนดนิยามเชิงปฏิบัติการ (Operational Definition) ของ แต่ละคุณลักษณะใน
ลักษณะของพฤติกรรมท่ีจะนำไปใช้เป็นแนวทางกำหนดคำถามท่ีเป็นเคร่ืองมือไป ใช้ในการสังเกต
พฤตกิ รรมในสถานการณม์ าตรฐานเพ่อื ทจ่ี ะนำข้อมูลไปทำการวเิ คราะห์และสรปุ ผล คุณลักษณะทม่ี ุ่งศึกษา

2. หลักการเบ้ืองต้นการประเมนิ ผล การประเมินผลผ้เู รยี นมีหลกั การท่ีสำคัญดงั น้ี (สวุ ิมล ว่องวา
นชิ , 2546: 69)

2.1 เป็นการประเมินผลท่สี ะท้อนจดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้และการบรู ณาการ
2.2 การประเมินมคี วามต่อเนอ่ื งและเป็นประโยชน์กบั การสอน
2.3 ความคาดหวังผลจากการประเมินต้องกำหนดให้ชัดเจนต้ังแต่เริ่มต้นการประเมินพ่อ แม่
ผ้ปู กครองและผ้เู รียนต้องมีสว่ นรบั รู้จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้
2.4 การประเมินผลจะต้องยุติธรรมและเท่าเทียมกนั
2.5 การประเมินตอ้ งเปน็ การสร้างสรรค์ใหข้ ้อมลู ปอ้ นกลบั ท่เี ป็นประโยชน์ทางบวกสง่ เสริมการ
เรียนรูแ้ ละจุดเน้นทตี่ ้องการพฒั นา
2.6 การประเมินจะต้องสมดุลและครอบคลุมโดยหลักการประเมินควรจะต้องครอบคลุม
องค์ประกอบ 3 P ได้แก่ กระบวนการปฏิบตั ิ (Process) ผลงาน (Product) และความก้าวหนา้ (Progress)

แนวคิดและทฤษฎีทเ่ี กย่ี วข้อง
กิดานันท์ มลิทอง (2543) ได้กล่าวไว้ว่า การเรียนการสอนโดยใช้สื่อประสมคือการนำเอาส่ือหลาย

อย่างมาใช้รวมกันอย่างเป็นระบบ ในลักษณะเสริมคุณค่าซึ่งกันและกัน เช่น รูปภาพ เคร่ืองฉายแผ่นโปร่งใส
เทปบันทึกเสียง วีดีทัศน์ โดยส่ือท่ีหลากหลายน้ีก็ขึ้นอยู่ว่าครูผู้สอนจะเลือกใช้สื่ออะไรมาใช้ในการจัดการเรียน
การสอน โดยต้องคำนึงถึงเนื้อหาและความเหมาะสมนอกจากการใช้ส่ือสำหรับการเรียนการสอนแล้ว รูปแบบ
การเรียนการสอนยังมีความสำคัญต่อการจัดการศึกษา เพราะรูปแบบการสอนจะเป็นเสมือนแนวทางในการนำ
ทางการจดั กิจกรรมการเรียนการสอน

หทัย ตันหยง (2539) กล่าวเกี่ยวกับการ์ตูนไว้ว่า หนังสือเรียนสำหรับเด็กประถมศึกษาต้องมี
องค์ประกอบสำคัญทั้งด้านรูปภาพ โครงสร้างเน้ือหา แก่นสาระ การจูงใจ การสร้างฉากและตัวละคร และท่ี
สำคญั ทสี่ ดุ คือ ภาพ ซง่ึ ภาพจะเปน็ ส่ือให้เกดิ ความเขา้ ใจ ความสนใจ ความตนื่ เต้น ความสวยสดงดงาม
งานวิจัยท่ีเก่ยี วข้อง

สระศรี ภิรมย์โยธี (2547) จากการพัฒนาความสามารถด้านการอ่านภาษาอังกฤษโดยใช้ภาพ
การ์ตูนเป็นสื่อการเรียนรู้ ผลปรากฏว่าการสอนโดยใช้ภาพการ์ตูนเป็นสื่อการเรียนรู้ให้ผลสัมฤทธ์ิทางการ
เรยี นสูงกว่าการสอนตามปกติ

ผดุง อารยะวิญญู (2546) ได้กล่าวถึงงานเขียนท่ีดีว่า ผู้เขียนจะต้องนำคำในภาษามาร้อยเรียงกัน
อย่างเปน็ ระเบียบถูกตอ้ งตามหลักภาษาไทยตลอดจนเขียนสะกดคำได้ถกู ตอ้ ง หากสะกดผิดความหมายก็ผิด

24

ไปด้วย การเขียนให้ถูกต้องน้ันจะต้องใช้การฝึกฝนในการสะกดคำ เน่อื งจากการเขียนสะกดคำเป็นพื้นฐานที่
จำเปน็ ทีจ่ ะเขยี นให้เปน็ ประโยคหรือเรื่องราวน้นั ต้องเริ่มจากการฝกึ สะกดคำให้ถกู ต้องก่อน

งานวจิ ยั ท่ีเกย่ี วขอ้ ง
4.1 งานวจิ ัยในประเทศ
รัตน์วดี ทองมนตแ์ ละธรี วุฒิ เอกะกุล (2559 :บทคัดย่อ) การพัฒนาทักษะการเขยี นคำตามมาตรา

ตัวสะกด โดยการจัดการเรียนรู้ด้วยส่ือประสมกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทยนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี
1 ในโรงเรียนกลุ่มส่งเสริมประสิทธิภาพเมืองโพธ์ิศรี สังกัดสำนักงานเขตพื้นท่ีการศึกษาประถมศึกษา
อบุ ลราชธานีเขต 4 ผลการวิจัยพบวา่ สื่อประสมกลุม่ สาระการเรยี นรู้ภาษาไทยนักเรียนชั้นประถมศึกษาปี
ที่ 1 มีประสทิ ธิภาพเท่ากับ 83.27/81.92 ซ่งึ สงู กว่าเกณฑ์ทต่ี ั้งไว้ 80/80 ผลตา่ งหลังเรียนสงู กว่าก่อนเรยี น
อย่างมีนัยยะสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย 1) สื่อประสมมาตรา
ตัวสะกดจากคำพ้ืนฐานกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทยชั้นปีที่1 2) แบบทดสอบวัดผลการพัฒนาทักษะ
ทงั้ หมด 20 ขอ้ จำนวน 3 ตัวเลอื ก3) แผนการจัดการเรียนรมู้ าตราตวั สะกดจากคำพื้นฐาน

จุฑามาศ กันต๊ิบ (25541: บทคัดย่อ) การพัฒนาความสามารถในการเรียนรู้เรื่องการเขียนสะกด
คำ โดยใช้เทคนิคจ๊ิกซอว์2 ร่วมกับเกมการศึกษา ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 1 ผลการวิจัยพบว่า
คะแนนเฉลี่ยความสามารถเร่ืองการเขียนสะกดคำของนักเรียนค่าเฉลี่ยของคะแนนหลังการเรียนรู้ ( =
24.88 , S.D. = 2.87) สูงกว่าค่าเฉลี่ยของคะแนนก่อนเรียนรู้ ( = 17.98 , S.D. = 3.93) และความ
คิดเห็นของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 1 ท่ีมีต่อการเรียนรู้เร่ืองการเขียนสะกดคำ โดยภาพรวมพบว่า
นักเรียนมีความคิดเห็นในระดับมาก เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย 1) แผนการจัดการเรียนรู้วิชา
ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีท่ี 1 เร่ืองการเขียนสะกดคำโดยใช้เทคนิคจ๊ิกซอว์2 ร่วมกับเกมการศึกษา 2)
แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 3) แบบสอบถามความคิดเห็นของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่1
ท่ีมีต่อการเรียนรเู้ รอ่ื งการเขียนสะกดคำ โดยใชเ้ ทคนิคจ๊ิกซอว์2 ร่วมกบั เกมการศกึ ษา

ศศธร ผาทอง (2554) การพัฒนาความสามารถการเขียนสะกดคำศัพท์ภาษาอังกฤษโดยใช้เกม
ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 2 โรงเรียนศรีรัตนวิทยา ผลวิจัยพบว่านักเรียนมีคะแนนหลังเรียนสูงกว่า
คะแนนก่อนเรียน นักเรยี นมีคะแนนผลสัมฤทธิ์ก่อนเรียนเฉล่ียเท่ากับ 16.13 จากคะแนนเต็ม 30 คะแนน
ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐานเท่ากับ 3.78 ร้อยละของคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 54.33และคะแนนผลสัมฤทธิ์หลัง
เรียนเท่ากับ 23.97 จากคะแนนเต็ม 30 คะแนน ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 4.26 ร้อยละของคะแนน
เฉล่ียเท่ากับ 99.10 แสดงให้เห็นว่านักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่ดีขึ้นเม่ือได้รับการสอนโดยการใช้
เกม และการใช้เกม Word search สามารถพัฒนาทักษะการเขียนคำศัพท์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่
2/3 ได้

อัจฉรา เจตบุตร (2544) การพัฒนาบทเรียนสื่อประสม เร่ือง การเขียนสะกดคำสำหรับนักเรียน
ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ผลการวิจัยพบว่าผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนด้วยบทเรียนส่ือประสมมี

25

ค่าเฉลี่ยสูงผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนด้วยบทเรียนส่ือประสมและนักเรียนเห็นด้วยว่าการเรียนโดย
ใช้บทเรียนส่ือประสมมีประโยชนท์ ำให้มีผลการเรียนที่ดีข้ึนกวา่ เดิมเกิดความคิดสรา้ งสรรค์และจนิ ตนาการ
เกิดความเข้าใจในเนื้อหามากยิ่งข้ึนและเกิดความกระตือรือร้นมากขึ้น เคร่ืองมือที่ใช้ประกอบไปด้วย
แผนการจัดการเรียนรู้วชิ าภาษาไทย ช้ันประถมศึกษาปีท่ี4 เรื่องการเขียนสะกดคำ 2) บทเรียนส่ือประสม
3) แบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องการเขียนสะกดคำ 4) แบบสอบถามความคิดเห็นของ
นกั เรยี นท่ีมีตอ่ การเรียนโดยใช้บทเรยี นสือ่ ประสม

26

บทที่ 3
วิธดี ำเนินการวจิ ัย

การวิจัยครั้งนี้เป็นการศึกษาการพัฒนาทักษะการเขียนสะกดคำมาตราตัวสะกดที่มีตัวสะกด
หลายตวั ของนกั เรยี นชนั้ ประถมศึกษาปีท่ี4 โรงเรียนบา้ นห้วยพนุ ดว้ ยชุดกิจกรรม ซ่งึ ดำเนนิ การวิจยั ดังน้ี

ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง
1) ประชากร เป็นนกั เรยี นชัน้ ประถมศกึ ษาปที ่ี4 โรงเรียนบ้านหว้ ยพนุ ท่ีกำลงั ศึกษาในภาค

การศกึ ษาที2 ปกี ารศึกษา 2564 จำนวน 1 ห้อง รวมจำนวน 10 คน
2) กลุ่มตวั อยา่ ง เปน็ นักเรยี นชน้ั ประถมศึกษาปี4/1 โรงเรียนบา้ นห้วยพนุ ทก่ี ำลังศกึ ษาในภาค

การศกึ ษาที่2 ปกี ารศึกษา 2564 จำนวน 10 คน
ใช้วิธีการสุ่มกลมุ่ ตวั อยา่ งด้วยวิธีการสุ่มแบบเจาะจง (Purposive sampling) เป็นการสุ่มกลมุ่

ตวั อย่างโดยการใชว้ ิจารณญาณของผ้วู ิจัย โดยพิจารณาจากจุดมุง่ หมายของการวิจยั เป็นสำคญั

การออกแบบการวจิ ัย

การวิจัยครงั้ น้ีมแี บบแผนการทดลองโดยใชแ้ บบการศึกษา 1 กลุ่ม (One shot Experimental

case study) ดงั น้ี

Group Treatment Posttest

E X O2

สญั ลักษณ์ท่ีใช้ในแบบแผนการทดลอง
E แทน กลุ่มทดลอง (Experimental Design)
X แทน การทดลอง (Treatment) ใช้ชดุ กจิ กรรม
O2 แทน การทดสอบหลงั เรยี น (Posttest)

เครอ่ื งมอื และการหาคณุ ภาพเครอ่ื งมอื การวิจัย
เคร่ืองมอื ทใ่ี ชใ้ นการวจิ ยั ประกอบไปดว้ ย
1. แผนการจดั การเรยี นรู้
2. ชดุ กจิ กรรมบ้านคำศพั ท์รว่ มกับเกมตะกร้าหรรษา
3. แบบทดสอบ
4. แบบประเมนิ

27

1. การสร้างเครอ่ื งมอื การวิจัย ผวู้ ิจยั ไดด้ ำเนนิ การสร้างเครื่องมอื ท่ีใช้ในการวิจยั ดงั น้ี

1.1 แผนการจดั การเรยี นรู้ ไดด้ ำเนินการตามขนั้ ตอน ดังน้ี

1. ศึกษาเอกสารหลักสูตรการศึกษาข้ันพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 กลุ่มสาระการเรียนรู้

ภาษาไทยของกระทรวงศึกษาธกิ าร

2. นำคำในมาตราตวั สะกดทม่ี ีตวั สะกดหลายตัว แม่กน แม่กก และแม่กบ จำนวน 60 คำ

มาเขียนแผนการจัดการเรยี นรู้ สำหรับใช้สอนนักเรยี นท่ีมีปัญหาด้านการเขียนสะกดคำมาตราตวั สะกดท่ีมี

ตวั สะกดหลายตวั แผนการเรียนรู้ประกอบด้วยคำดงั นี้

ที่ คำศัพท์ ที่ คำศัพท์ ท่ี คำศัพท์

1 กระจก 21 ช้อน 41 โทรศพั ท์

2 หมวก 22 บนั ได 42 รปู

3 พกั 23 ยาสฟี นั 43 ธปู

4 กระติก 24 โลชน่ั 44 ทพั พี

5 เนคไท 25 บอล 45 ตลับ

6 สุนัข 26 การบา้ น 46 เทป

7 เมฆ 27 ตู้เย็น 47 ยรี าฟ

8 ดอกไม้ 28 ปฏทิ ิน 48 ชูชีพ

9 จ๊กิ ซอว์ 29 เหรยี ญ 49 ประทบั

10 แฝก 30 กรรไกร 50 ทะเลสาบ

11 จอ้ กแจ้ก 31 แจกนั 51 สุภาพ

12 จกั ตอก 32 ฝน 52 ลาภ

13 ชาดก 33 ผลไม้ 53 โลภ

14 ดอกบุก 34 ชุลมนุ 54 กราฟ

15 ทาก 35 ดหู ม่นิ 55 ศพ

16 นกเงอื ก 36 ต้นหว้า 56 เคารพ

17 ปักษา 37 ข้นึ แทน่ 57 อาชพี

18 พักตร์ 38 ชันษา 58 บีบ

19 มรดก 39 เล่น 59 อพยพ

20 วิตก 40 เณร 60 บาป

28

3. นำคำในมาตราตัวสะกดท่ีมีตัวสะกดหลายตัว แม่กน แม่กก และแม่กบมาจัดทำเป็น
เน้อื หาในการทำแผนการจัดการเรียนรู้

4. นำแผนการจัดการเรียนรูม้ ารว่ มกนั ตรวจสอบและแกไ้ ขข้อบกพร่อง
5. นำแผนการเรยี นรทู้ ่ปี รบั ปรงุ แกไ้ ขแล้วไปใชก้ ับกลุ่มตัวอย่างการวจิ ัย

1.2 แบบทดสอบวดั ทักษะการเขียนสะกดคำ ได้ดำเนนิ การดงั นี้

1. สร้างแบบทดสอบวัดความสามารถทางการเขียนสะกดคำ โดยนำคำในมาตราตวั สะกด

ท่มี ตี ัวสะกดหลายตวั แม่กน แม่กก แม่กบ และแมก่ ด จำนวน 20 ขอ้

2. นำแบบทดสอบท่ีสร้างขึ้นไปให้ผู้เช่ียวชาญ 3 ท่าน โดยเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการสอน

นักเรียนท่ีมีความบกพรอ่ งทางการเรยี นรู้ 1ท่าน ผู้เชี่ยวชาญด้านภาไทย 1 ท่าน ผู้เช่ียวชาญด้านการวดั ผล

การศกึ ษา 1 ท่านตรวจสอบ

3. กำหนดเกณฑ์การให้คะแนนของแบบทดสอบ วัดทักษะการเขียนสะกดคำข้อละ 1

คะแนน

4. กำหนดเกณฑ์การตัดสินในการประเมินผลรวมหลังเรียนจากคะแนนเต็ม 20 คะแนน

โดยมเี กณฑ์ ดังนี้

4.1 ตารางเกณฑก์ ารประเมิน

รอ้ ยละ ชว่ งคะแนน ความหมาย

80 ขึน้ ไป 16 ขนึ้ ไป ดมี าก

70 14 - 15 ดี

60 12 – 13 ปานกลาง

50 10 - 11 พอใช้

ตำ่ กว่า 50 ต่ำกวา่ 10 ควรปรบั ปรุง

5. นำแบบทดสอบที่ปรับปรุงแกไ้ ขไปทดลองกบั นกั เรียนกลุ่มตวั อยา่ ง
1.3 ชุดกิจกรรมบ้านคำศัพท์ร่วมกับเกมตะกร้าหรรษา ผู้วิจัยได้ดำเนินการสร้างตาม
ขน้ั ตอนตอ่ ไปน้ี
1. กำหนดองค์ประกอบของชุดกิจกรรมการเรียนรู้เร่ือง มาตราตัวสะกดท่ีมีตัวสะกด
หลายตัว สำหรับนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่4 โดยผู้วิจัยได้จัดทำเป็นรูปแบบบ้านคำศัพท์ร่วมกับเกม
ตะกร้าหรรษา โดยบ้านคำศัพท์จัดทำให้สามารถดึงกำแพงบ้านเพ่ือเปิดดูเนื้อหาด้านในได้ จำนวน 1 บ้าน
ซึง่ ประกอบไปด้วยเนือ้ หาดงั นี้
- ความหมายและลกั ษณะของมาตราตัวสะกดแตล่ ะมาตรา
- ตวั อยา่ งคำศพั ทท์ ่ีมตี ัวสะกดไมต่ รงตามมาตรา

29

- บทกลอนเกีย่ วกับมาตราตัวสะกดแต่ละแมส่ ำหรบั ทอ่ งจำ
เกมตะกร้าหรรษา ล่าตัวสะกด ผู้วิจัยจัดทำในรูปแบบเกมที่มีการกำหนดเวลา ซ่ึงการ
เรียน 1 มาตรา จะใชเ้ กมในการเลน่ 1 ครง้ั รปู แบบการเลน่ เกมมีดังน้ี
- ให้นักเรียนแบง่ กลุม่ ออกเปน็ 2 กลุ่ม กลุม่ ละ 5 คน เพือ่ ทำกจิ กรรม
- ก่อนเร่ิมเกมนักเรียนต้องยืน ณ ตำแหน่งร้านค้า ซึ่งเป็นตำแหน่งที่มีบัตรคำศัพท์ เป็น
คำศพั ทท์ ีม่ ีตัวสะกดแมก่ น แม่กก และแม่กบรวมกัน และรบั ตะกร้าใส่บัตรคำกลุม่ ละ 1 ใบ
- เมื่อนักเรียนพร้อมแล้ว ผู้วิจัยเริ่มจับเวลา 15 วินาที หลังจากน้ันนักเรียนมาเลือก
คำศพั ทท์ ่เี ปน็ ตัวสะกดที่เรียนในคร้งั นน้ั เพื่อนำไปใส่ในตะกร้า คร้งั ละ 1 คน / กลมุ่
- เม่ือครบเล่นครบทุกคนแล้ว นักเรียนและผู้วิจัยร่วมกันนับคะแนนและเฉลยบัตร
คำศพั ทท์ น่ี กั เรยี นหยบิ มาพรอ้ มอธบิ าย (บตั รคำท่หี ยบิ มาถูกต้องได้ 1 คะแนน ไมถ่ ูกต้องได้ 0 คะแนน)
2. ดำเนินการสร้างบ้านคำศัพท์ เรื่อง มาตราตัวสะกดที่มีตัวสะกดหลายตัว สำหรับนักเรียนช้ัน
ประถมศกึ ษาปีท่ี 4 ตามขั้นตอนดงั น้ี
2.1 ศึกษาวิเคราะห์ปัญหาในการเรียนการสอนกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ผู้วิจัยได้
วิเคราะห์ปัญหาพบว่า นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนต่ำกว่าเกณฑ์ที่สถานศึกษากำหนด และจากการ
วิเคราะห์ปัญหาพบว่า นักเรียนขาดความรู้ ความเข้าใจ และทักษะการเขียนสะกดคำ โดยเฉพาะเรื่อง
มาตราตัวสะกดที่มีตัวสะกดไม่ตรงตามมาตรา เน่ืองจากได้รับการฝึกฝนในด้านน้ีน้อย ซ่ึงเป็นปัญหาที่ควร
ได้รับการแก้ไขอยา่ งเร่งด่วน ผู้วิจัยได้ปรกึ ษาผู้เชี่ยวชาญและศึกษางานวิจัยหลายแหล่ง จึงได้ข้อเสนอแนะ
วา่ ควรจัดทำชุดกิจกรรมเพ่ือแกป้ ัญหาดังกล่าว
2.2 ศึกษาเน้ือหาหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 กลุ่มสาระ
การเรียนรู้ภาษาไทย คู่มือการจัดกิจกรรมกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ช้ันประถมศึกษาปีท่ี 4 แนวการ
จัดกิจกรรมการเรียนรู้ หนังสือเรียน วารสาร บทความ และเอกสารอื่น ๆ ท่ีเกี่ยวข้องกับเร่ือง มาตรา
ตวั สะกด เพ่อื ดำเนินการวิเคราะหห์ ลักสูตร พรอ้ มทัง้ ศกึ ษาเทคนิควธิ กี ารสรา้ งและการพัฒนาชดุ กจิ กรรม
2.3 ศึกษาหลักสูตรสถานศึกษาโรงเรียนบ้านห้วยพุน กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทยชั้น
ประถมศึกษาปีท่ี 4 มาตรฐานการเรียนรู้ ตัวช้ีวัด คำอธิบายรายวิชา เน้ือหาสาระในหน่วยที่ 1 มาตรา
ตวั สะกด
2.4 กำหนดวัตถุประสงค์การสร้างชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เร่ือง มาตราตัวสะกดสำหรับ
นกั เรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 4 โดยผู้วิจัยได้นำทฤษฎี หลักการ และงานวิจัยทเี่ กี่ยวข้องมาเป็นแนวทางใน
การกำหนดวัตถุประสงค์ในการจัดทำ กิจกรรมการเรียนรู้ เร่ือง มาตราตัวสะกด สำหรับนักเรียนชั้น
ประถมศกึ ษาปที ่ี 4
2.3 กำหนดรปู แบบและเรียบเรียงเน้ือหา ผู้วจิ ัยได้กำหนดรูปแบบของบ้านคำศัพท์ เร่ือง
มาตราตัวสะกด สำหรับนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 4 และเรียบเรียงเนื้อหาประกอบเป็นบ้าน 1 หลัง

30

โดยใช้เวลาในการเรยี นร้ดู า้ นละ 1 ชั่วโมง ดงั นี้
ด้านที่ 1 เรื่องมาตราตัวสะกดแม่ กน
ดา้ นท่ี 2 เรื่องมาตราตัวสะกดแม่ กก
ด้านที่ 3 เรอ่ื งมาตราตวั สะกดแม่ กบ
ด้านที่ 4 เรอ่ื งมาตราตวั สะกดแม่ กด

3. ดำเนินการสร้างเกมตะกร้าหรรษา ล่าตัวสะกด สำหรับนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 4 ตาม
ขน้ั ตอนดังนี้

3.1 ผู้วิจัยศึกษารูปแบบเกมการเรียนรู้สำหรับการจัดการเรียนรู้จากบทความ วารสาร
และแหลง่ เรียนรู้อ่ืน ๆ และพบวา่ ในการจัดการเรียนการสอนของนกั เรียนระดับชั้นประถมศึกษา กิจกรรม
ควรเป็นกิจกรรมที่มีการเคล่ือนไหวเป็นสำคัญ ดันน้ันผู้วิจัยจึงได้เสนอเป็นเกมตะกร้าหรรษา ล่าตัวสะกด
ขึ้นมา

3.2 กำหนดรูปแบบเกมให้มีความเหมาะสมกับเนื้อหาสาระ พัฒนาการของนักเรียนและ
ระยะเวลาท่กี ำหนด โดยเกมจะมอี ปุ กรณ์ดงั น้ี

- บัตรคำศพั ท์ 3 มาตรา จำนวน 120 ใบ
- ตะกรา้ ใส่บัตร จำนวน 2 ใบ
หลังจากน้ันจึงเริ่มจัดทำอุปกรณ์ในการเล่นเกมและนำอุปกรณ์ที่ได้ไปใช้กับนักเรียนกลุ่ม
ตัวอยา่ ง
1.4 แบบสอบถามความพงึ พอใจ ผวู้ ิจยั ไดด้ ำเนนิ การสร้างตามข้ันตอน ดังน้ี
1. ศึกษาเอกสารเกยี่ วข้องกับการสร้างแบบสอบถามความพึงพอใจ
2. กำหนดโครงสรา้ งและเนอ้ื หาและเกณฑ์การประเมิน ผวู้ ิจยั ไดก้ ำหนดโครงสร้างของ
แบบสอบถามความพงึ พอใจแบบปลายปดิ มลี ักษณะของแบบมาตราสว่ นประมาณ ดังน้ี
พึงพอใจมาก ให้คะแนน 3
พึงพอใจปานกลาง ใหค้ ะแนน 2
พึงพอใจน้อย ใหค้ ะแนน 1
และใชเ้ กณฑก์ ารแปลผลเพือ่ เป็นแนวทางการแปลความหมายของผลการตอบแบบสอบถามความพงึ
พอใจของนักเรียนที่มีต่อกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง มาตราตัวสะกดที่มีตัวสะกดไม่ตรงมาตรา สำหรับ
นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ดังน้ี
คะแนนเฉล่ีย 2.01 – 3.00 แปลว่า ความพงึ พอใจอย่ใู นระดับมาก
คะแนนเฉลี่ย 1.01 – 2.00 แปลว่า ความพงึ พอใจอยู่ในระดบั ปานกลาง
คะแนนเฉลย่ี 0.01 – 1.00 แปลว่า ความพึงพอใจอยู่ในระดบั น้อย
3. นำแบบประเมินไปให้ผู้เช่ียวชาญจำนวน 3 ท่าน ซึ่งเป็นชุดเดิมพิจารณาตรวจสอบ
ความเหมาะสมของคำถาม และความชดั เจนของข้อคำถาม

31

4. นำผลการแสดงความคดิ เหน็ ของผเู้ ชีย่ วชาญท้ัง 3 ท่าน มาวเิ คราะห์ขอ้ มลู หาคา่ เฉล่ยี
และค่าสว่ นเบย่ี งเบนมาตรฐาน แล้วบันทึกผลการศกึ ษา

5. นำแบบสอบถามความพึงพอใจไปใช้ศึกษากับนักเรียนกลุ่มเป้าหมายจำนวน 6 คน
เพ่ือหาค่าความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนด้วยกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่องมาตราตัวสะกดที่มี
ตวั สะกดไมต่ รงตามมาตรา สำหรบั นกั เรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 4 แลว้ บันทึกผลการศกึ ษา

2. การหาคณุ ภาพเครือ่ งมือ
ผู้วจิ ยั ได้ดำเนินการหาคณุ ภาพของเคร่ืองมือที่ใช้ในการวิจัย ดงั นี้

2.1 แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง มาตราตัวสะกด แม่กน แม่กก และแม่กบผู้วิจัยได้
ดำเนนิ การหาคุณภาพเครอ่ื งดงั นี้

1. นำแผนการจดั การเรยี นรู้ท่ผี วู้ จิ ยั สร้างขน้ึ ไปปรึกษาผเู้ ชยี่ วชาญเกี่ยวกบั เน้ือหาในแต่ละ
ตอนตรงกับองคป์ ระกอบและมีความเหมาะสมมากน้อยเพยี งใด แลว้ นำมาแก้ไขปรับปรุง

2. นำแผนการจัดการเรียนรู้ท่ีปรับปรุงแก้ไขแล้วให้ผู้เช่ียวชาญ 3 ท่าน พิจารณา
ตรวจสอบความเหมาะสม

3. นำแผนการจัดการเรียนรู้ที่ผู้เช่ียวชาญตรวจสอบแล้วมาปรับปรุงให้เหมาะสมตาม
คำแนะนำของผ้เู ชีย่ วชาญ

2.2 แบบทดสอบการเขียนสะกดคำที่มีตัวสะกดไม่ตามมาตรา ผู้วิจัยได้ดำเนินการหา
คุณภาพดงั นี้

1. นำแบบทดสอบหลังเรียนเสนอต่อผู้เช่ียวชาญ (ใช้ผู้เชี่ยวชาญชุดเดิมในข้ันของการ
ตรวจประเมินคุณภาพของแผนการจัดการเรียนรู้) พิจารณาตรวจสอบความถูกต้องและความสอดคล้อง
ระหว่างข้อคำถามของแบบทดสอบกับจุดประสงค์ การเรียนรู้เชิงพฤติกรรม (Index of item objective
congruence: IOC) ใชเ้ กณฑก์ ำหนดคะแนนความคิดเหน็ ดงั น้ี

คะแนน +1 หมายถงึ เม่อื แน่ใจว่าข้อสอบนั้นวัดได้สอดคล้องกับผลการเรยี นรทู้ ี่คาดหวัง
คะแนน 0 หมายถงึ เมอื่ ไม่แน่ใจวา่ ขอ้ สอบน้นั วัดได้สอดคล้องกบั ผลการเรียนท่คี าดหวัง
คะแนน -1 หมายถึง เม่อื แนใ่ จวา่ ขอ้ สอบนน้ั วดั ได้ไมส่ อดคลอ้ งกับผลการเรยี นรู้ทค่ี าดหวงั

2. นำผลการประเมินของผู้เช่ียวชาญ วิเคราะห์หาค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่างข้อ
คำถามของแบบทดสอบกับผลการเรียน โดยหาค่า IOC ซึง่ กำหนดเกณฑ์ไว้เท่ากับ .50 โดยได้ค่า IOC ของ
แบบทดสอบวัดผลการเรียน เทา่ กบั 1.00 ซง่ึ หมายถึงแบบทดสอบวัดผลการเรียนน้สี ามารถใช้ได้

3. นำแบบทดสอบท่ีผ่านการตรวจสอบจากผู้เช่ียวชาญและหาค่า IOC แล้วมาทดลองใช้
(Tryout) กับนกั เรียนกลมุ่ ตวั อย่าง

32

2.3 แบบสอบถามความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้ชุดกิจกรรมพัฒนาทักษะ
การเขียนสะกดคำ ผู้วิจัยไดด้ ำเนินการหาคุณภาพดังนี้

1. นำประเด็นการสอบถามความพึงพอใจให้อาจารย์ที่ปรึกษา ตรวจสอบความถูกต้อง
และเหมาะสมของเน้อื หาเบือ้ งตน้

2. ปรับปรงุ แบบสอบถามความพงึ พอใจ ตามคำแนะนำของอาจารยท์ ่ปี รึกษา
3. สร้างแบบประเมินความสอดคล้อง สำหรับแบบสอบถามความพึงพอใจต่อการเรียน
การเรียนรู้เรื่องมาตราตัวสะกดที่มีตัวสะกดหลายตัว ชั้นประถมศึกษาปีท่ี4 กับนิยามที่ต้องการวัดโดยมี
เกณฑค์ ะแนนดังนี้
ใหค้ ะแนน +1 เม่ือแน่ใจว่าข้อคำถามสอดคลอ้ งกบั นยิ ามทีตอ้ งการวัด
ให้คะแนน 0 เมอ่ื ไมแ่ น่ใจว่าขอ้ คำถามสอดคล้องกับนยิ ามทีต้องการวัด
ให้คะแนน -1 เมอื่ แน่ใจว่าข้อคำถามไมส่ อดคล้องกับนยิ ามทีต้องการวัด
4. ตรวจสอบคุณภาพด้านความตรงเชิงเนื้อหากับ นิยามทีต้องการวัดของแบบวัดเจตคติ
ต่อการจัดการเรียนรู้ภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที 4 ทีได้จัดทำข้ึนมาโดยเสนอต่อ
ผ้เู ช่ียวชาญ จำนวน 3 ท่าน พจิ ารณาตรวจสอบคุณภาพ นำผลประเมินของผู้เชี่ยวชาญมาคำนวณค่าความ
สอดคล้องของแบบวัดเจตคติด้วยดัชนีIOC โดยผู้วิจัยได้กำหนดเกณฑ์ทีจะใช้ในการตัดสินความตรงเชิง
เน้ือหาคอื ขอ้ คำถามนั้น จะมีความสอดคลอ้ งกบั เนื้อหาทีมุ่งวัดหรือนยิ ามเชิงปฏิบัติการ ต้องมีค่าดัชนีIOC
ต้งั แต่ 0.50 ขนึ้ ไปจงึ จะถือวา่ ขอ้ คำถามน้ันสอดคลอ้ งเนื้อหา
2.4 ชุดกิจกรรมการเรียนรู้บ้านคำศัพท์ร่วมกับเกมตะกร้าหรรษา ผู้วิจัยได้ดำเนินการ
หาคุณภาพดงั นี้
1. หาคุณภาพของชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง มาตราตัวสะกดท่ีมีตัวสะกดหลายตัว
สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 4 โดยนำชุดกิจกรรมท่ีสร้างข้ึน พร้อมทั้งแบบประเมนิ ความเหมาะสม
ของชุดกิจกรรม มีการให้ค่าประเมิน 5 ระดับ คือ 5, 4, 3, 2, 1 ไปให้ผู้เช่ียวชาญจำนวน 3 ท่านประเมิน
ความเหมาะสมของชุดกิจกรรมในด้านจุดประสงค์การเรียนรู้ด้านเน้ือหา ด้านกิจกรรมการเรียนรู้ ด้าน
รปู แบบ ดา้ นการใช้ภาษา ด้านการประเมนิ ผล ด้านแบบทดสอบ ผ้เู ช่ยี วชาญทง้ั 3 ท่าน
2. ผู้วิจัยนำผลการประเมินของผู้เชี่ยวชาญท้ัง 3 ท่าน มาหาค่าความเหมาะสม โดยการ
หาค่าเฉลยี่ และค่าสว่ นเบย่ี งเบนมาตรฐาน แลว้ บันทึกผลการศกึ ษา
3. ปรับปรุงแก้ไขชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เร่ือง มาตราตัวสะกดที่มีตัวสะกดหลายตัว
สำหรบั นกั เรยี นช้นั ประถมศึกษาปีที่ 4 เชน่ ด้านเนอ้ื หา ปรับปรุงเนอื้ หาไมใ่ ห้ยากเกินไป ด้านรปู แบบ
4. นำชุดกจิ กรรมการเรยี นรู้ทีป่ รับปรุงแกไ้ ขเรยี บรอ้ ยแล้วไปทดลองใช้

33

การเกบ็ รวบรวมข้อมูล
ในการวจิ ยั ครงั้ นี้ ผรู้ ายงานได้ดำเนินการทดลองและเกบ็ รวบรวมข้อมูล ดังน้ี

1. ผู้วิจัยไดจ้ ัดทำชุดกิจกรรมการเรยี นรู้ เพ่ือศกึ ษาผลของการใช้ชดุ กิจกรรมโดยใชบ้ า้ นคำศพั ท์
ร่วมกับเกมตะกรา้ หรรษา และนกั เรียนทีเ่ รียนโดยการใช้ชดุ กจิ กรรมมผี ลการทดสอบหลงั เรยี นเป็นไปตาม
เกณฑ์ทก่ี ำหนด นำชุดกิจกรรมที่สรา้ งข้นึ ไปทดลองกับกล่มุ ตัวอย่างในการวิจยั ได้แก่ นักนกั เรยี นใน
ระดบั ช้ันประถมศึกษาปีท่ี 4 หอ้ ง 1 ภาคเรยี นท่ี 2 ปีการศึกษา 2564 จำนวน 6 คน

2. ดำเนนิ การทดลองและเกบ็ รวบรวมข้อมลู การจดั การเรียนรู้โดยใช้ชดุ กจิ กรรม ตามข้นั ตอนดังนี้
2.1 ดำเนนิ การสอนกลมุ่ ตวั อย่าง ดว้ ยชุดกิจกรรมพัฒนาทักษะการเขยี นสะกดคำที่ผ้วู ิจัย

สรา้ งขนึ้ ซง่ึ ประกอบดว้ ย แผนการจัดการเรียนรู้ จำนวน 3 แผน บ้านคำศัพทจ์ ำนวน 1 บ้าน เกมตะกรา้
หรรษาจำนวน 1 ชดุ ผูว้ ิจัยจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้ตามแผนการจดั การเรียนรู้ เม่ือเรยี นด้วยชุดกิจกรรมจบ
แตล่ ะชุดแล้ว ให้ทำการทดสอบหลงั เรียนดว้ ยแบบทดสอบวัดผลการเรยี นประจำชดุ ฝกึ ชดุ นนั้ โดยผู้วิจยั จัด
กจิ กรรมการเรียนรูด้ ว้ ยชดุ กิจกรรมพฒั นาทกั ษะการเขยี นที่กลา่ วมา จนครบ 3 ชุด บนั ทึกคะแนนที่ได้เพื่อ
นำไปวิเคราะหข์ อ้ มูลตอ่ ไป

2.2 เม่อื จัดกจิ กรรมการเรียนร้เู สร็จส้ินแลว้ ทำการทดสอบหลงั เรยี นดว้ ยแบบทดสอบ
หลังเรียน จำนวน 10 ขอ้ และบนั ทกึ คะแนนที่ได้เพื่อนำไปวเิ คราะหข์ ้อมูลทางสถติ ติ ่อไป

สถิติและการวิเคราะหข์ อ้ มลู (แสดงสตู รในการวเิ คราะหค์ ณุ ภาพเครือ่ งมือแตล่ ะชนดิ )

1. สถิติสำหรบั การวเิ คราะห์คณุ ภาพเครอ่ื งมอื การวจิ ัยมีดังนี้

1.1. ค่าดชั นีความสอดคลอ้ งเชงิ เนือ้ หา IOC

IOC แทน R
N
เม่ือ IOC แทน ค่าดัชนคี วามสอดคล้องระหวา่ งขอ้ สอบกับจุดประสงค์

R แทน ผลรวมของคะแนนความคดิ เห็นของผู้เชยี่ วชาญ

N แทน จำนวนผเู้ ชีย่ วชาญ

1.2 การหาค่าอำนาจจำแนก (Discrimination) ของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทาง
การเรยี นโดยใชส้ ูตร r

สูตร r = RU − RL
f
เมือ่ r
RU แทน คา่ อำนาจจำแนก
RL
แทน จำนวนกลมุ่ สงู ท่ีตอบถูก

แทน จำนวนกลุม่ ต่ำที่ตอบถูก

34

f แทน จำนวนคนกลุ่มสูงหรอื กล่มุ ตำ่ ซ่ึงเทา่ กนั

1.3 การคำนวณหาประสิทธภิ าพ ใชส้ ตู ร

สูตรที่ 1 E1 = X

N  100
A
เมือ่ E1 แทน ประสทิ ธภิ าพของกระบวนการ
คะแนนรวมของการทำกจิ กรรม
X แทน คะแนนเต็มของการทำกจิ กรรม

A แทน

N แทน จำนวนผ้เู รยี น

สูตรท่ี 2 E2 = F

N  100
B
เมือ่ E2 แทน ประสทิ ธภิ าพของผลลพั ธ์
คะแนนรวมของผลลัพธ์หลงั เรียน
 F แทน คะแนนเตม็ ของการสอบหลงั เรียน

B แทน

N แทน จำนวนผูเ้ รียน

2. สถิตสิ ำหรบั การวเิ คราะหข์ ้อมูล
2.1 คา่ เบี่ยงเบนมาตรฐาน จากสตู ร

S.D = N  X 2 − ( X )2
N (N −1)

เม่อื S.D แทน คา่ เบ่ียงเบนมาตรฐาน
X แทน ผลรวมของคะแนนทง้ั หมด
X2 แทน ผลรวมของคะแนนแต่ละตัวกำลังสอง
N แทน จำนวนคน

2.2 ค่าคะแนนเฉลีย่ จากการทดสอบ คำนวณไดจ้ ากสตู ร

X=
N

เมื่อ X แทน คะแนนเฉล่ียของกลุ่มทดลอง
ΣX แทน ผลรวมของคะแนนท้ังหมด
N แทน จำนวนนักเรียนของกลุ่มทดลอง

35

บทท่ี 4
ผลการวิจยั

การศึกษาการพัฒนาทักษะการเขียนสะกดคำมาตราตัวสะกดที่มีตัวสะกดหลายตัว ของนักเรียน
ช้ันประถมศึกษาปีท่ี4 โรงเรียนบ้านห้วยพุน ด้วยชุดกิจกรรม ผู้วิจัยขอนำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูลการ
วิจยั เป็น 3 ตอนดงั นี้

ตอนที่ 1 ผลการวเิ คราะห์เพ่ือหาประสทิ ธภิ าพของชุดกิจกรรม
ตอนท่ี 2 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเร่ือง การเขียนสะกดคำมาตราตัวสะกดที่มีตัวสะกดหลายตัว
ของนกั เรียนชน้ั ประถมศกึ ษาปีท่ี 4 หลังใชช้ ุดกิจกรรม
ตอนท่ี 3 ผลการศกึ ษาความคดิ เห็นของนักเรียนช้นั ประถมศกึ ษาปีท่ี 4 ที่มีต่อชุดกิจกรรม

สัญลักษณ์ทใ่ี ชใ้ นการวเิ คราะหข์ ้อมลู
แทน ค่าเฉลยี่ ของข้อมูล

r แทน ค่าอำนาจจำแนก
S.D แทน คา่ เบี่ยงเบนมาตรฐาน
t แทน คา่ สถิตทิ ดสอบที
* แทน ระดับนัยสำคัญทางสถติ ิที่ .05
** แทน ระดบั นยั สำคัญทางสถติ ิท่ี .01
*** แทน ระดับนยั สำคญั ทางสถติ ิที่ .001

ผลการวเิ คราะหข์ ้อมลู
ผลการวิเคราะห์ข้อมูลการพัฒนาทักษะการเขียนสะกดคำมาตราตัวสะกดที่มีตัวสะกดหลายตัว

ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 4 โรงเรียนบ้านห้วยพุน ด้วยชุดกิจกรรม นำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล
มรี ายละเอยี ดดังน้ี

จากการวิจัยเร่ือง การพัฒนาทักษะการเขียนสะกดคำมาตราตัวสะกดที่มีตัวสะกดหลายตัว ของ
นกั เรยี นชั้นประถมศึกษาปีท่ี 4 โรงเรียนบ้านห้วยพนุ ด้วยชุดกิจกรรม ผู้วิจัยได้จดั ทำเครอ่ื งสำหรับการเก็บ
รวบรวมข้อมูลในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้เรื่องมาตราตัวสะกดแม่ กน แผนการจัดการ
เรียนรู้เร่ืองมาตราตัวสะกดแม่ กก แผนการจัดการเรียนรู้เรื่องมาตราตัวสะกดแม่ กบ ชุดกิจกรรม
ประกอบไปดว้ ย บ้านคำศัพท์จำนวน 1 บ้านและเกมตะกร้าหรรษา แบบทดสอบหลังเรียนมาตราตัวสะกด
แม่ กน แม่ กก และแม่ กบ แบบสอบถามความพึงพอใจท่ีมีต่อการใช้ชุดกิจกรรม ซึ่งนำไปใช้กับกลุ่ม
ตัวอย่างจำนวน 10 คน โดยทดสอบระหว่างเรียนด้วยเกมตะกร้าหรรษาและทดสอบหลังเรียนด้วย

36

แบบทดสอบหลังเรียนจำนวน 10 ข้อ เพื่อตอบวัตถุประสงค์ในการวิจัย ผู้วิจัยขอเสนอผลการวิเคราะห์
ขอ้ มลู ตามลำดบั ดังต่อไปน้ี

ตอนท่ี 1 ผลการวเิ คราะห์เพื่อหาประสิทธภิ าพของชดุ กิจกรรม

การวิเคราะห์หาประสิทธิภาพของชุดกิจกรรม ที่ใช้ในการพัฒนาทักษะการเขียนสะกดคำมาตรา
ตัวสะกดท่ีมีตัวสะกดหลายตัว ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 4 โรงเรียนบ้านห้วยพุน ผู้วิจัยได้วัดผล
สัมฤทธ์ิด้านการเขียนสะกดคำมาตราตัวสะกดที่มีตัวสะกดหลายตัวด้วยเกมตะกร้าหรรษา 20 คะแนน
และแบบทดสอบหลังเรียนจำนวน 10 ข้อ 20 คะแนน ผลการวเิ คราะห์ข้อมูลดังน้ี

ตารางที่ 1 ผลการวเิ คราะห์หาประสทิ ธิภาพของชุดกจิ กรรมจากการเรียนครงั้ ท่ี 1

คะแนนเต็ม S.D. ค่าประสิทธภิ าพ t sig

กระบวนการ(E1) 20 17.00 1.05 85.00 51.00 .000

ผลลัพธ์ (E2) 20 19.60 0.84 98.00 73.50 .000

จากตารางพบว่า นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนบ้านห้วยพุน ซึ่งเป็นกลุ่มตัวอย่าง
จำนวน 10 คน ทำการทดลองวัดผลสัมฤทธิ์ด้านการเขียนสะกดคำมาตราตัวสะกดท่ีมีตัวสะกดหลายตัว
ระหวา่ งเรยี น ด้วยกิจกรรมตะกรา้ หรรษา 20 คะแนน และทดสอบหลังเรียนโดยใช้แบบทดสอบจำนวน 10
ข้อ 20 คะแนน เพื่อหาประสิทธิภาพของชุดกิจกรรมและใช้เกณฑ์มาตรฐาน 80/80 ผลการหา
ประสทิ ธิภาพคอื 85.00/98.00 ซ่งึ เปน็ ไปตามเกณฑท์ ก่ี ำหนด

ตารางท่ี 2 ผลการวิเคราะหห์ าประสิทธิภาพของชุดกจิ กรรมจากการเรียนครงั้ ที่ 2

คะแนนเต็ม S.D. ค่าประสทิ ธิภาพ t sig

กระบวนการ(E1) 20 16.50 .53 82.50 99.00 .000

ผลลพั ธ์ (E2) 20 18.80 3.80 94.00 15.67 .000

จากตารางพบว่า นักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 4 โรงเรียนบ้านห้วยพุน ซึ่งเป็นกลุ่มตัวอย่าง
จำนวน 10 คน ทำการทดลองวัดผลสัมฤทธ์ิด้านการเขียนสะกดคำมาตราตัวสะกดที่มีตัวสะกดหลายตัว
ระหว่างเรียน ด้วยกิจกรรมตะกรา้ หรรษา 20 คะแนน และทดสอบหลงั เรียนโดยใช้แบบทดสอบจำนวน 10
ข้อ 20 คะแนน เพื่อหาประสิทธิภาพของชุดกิจกรรมและใช้เกณฑ์มาตรฐาน 80/80 ผลการหา
ประสิทธิภาพคอื 82.50/94.00 ซ่งึ เป็นไปตามเกณฑท์ กี่ ำหนด

37

ตารางที่ 3 ผลการวเิ คราะห์หาประสทิ ธิภาพของชุดกิจกรรมจากการเรยี นครั้งท่ี 3

คะแนนเต็ม S.D. คา่ ประสทิ ธิภาพ t sig

กระบวนการ(E1) 20 18.50 .53 92.50 111.00 .000

ผลลัพธ์ (E2) 20 16.80 3.30 84.00 16.133 .000

จากตารางพบว่า นักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 4 โรงเรียนบ้านห้วยพุน ซึ่งเป็นกลุ่มตัวอย่าง
จำนวน 10 คน ทำการทดลองวัดผลสัมฤทธ์ิด้านการเขียนสะกดคำมาตราตัวสะกดท่ีมีตัวสะกดหลายตัว
ระหวา่ งเรียน ด้วยกจิ กรรมตะกร้าหรรษา 20 คะแนน และทดสอบหลงั เรยี นโดยใช้แบบทดสอบจำนวน 10
ข้อ 20 คะแนน เพ่ือหาประสิทธิภาพของชุดกิจกรรมและใช้ เกณฑ์มาตรฐาน 80/80 ผลการหา
ประสทิ ธภิ าพคือ 92.50/84.00 ซงึ่ เปน็ ไปตามเกณฑ์ทกี่ ำหนด

ตอนท่ี 2 ผลสัมฤทธิท์ างการเรียนเรื่อง มาตราตัวสะกดท่มี ีตัวสะกดหลายตัว ของนักเรยี นช้ัน
ประถมศกึ ษาปที ี่ 4 หลังใช้ชุดกิจกรรม

ผลการศึกษาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนเร่ือง มาตราตัวสะกดท่ีมีตัวสะกดหลายตัว ของนักเรียนช้ัน
ประถมศึกษาปีที่ 4 หลังใช้ชุดกิจกรรม นักเรียนกลุ่มตัวอย่างจำนวน 10 คน ทำแบบทดสอบโดยใช้เกม
ตะกรา้ หรรษาและแบบทดสอบปรนัยจำนวน 10 ขอ้ มีผลการวิเคราะหด์ งั น้ี

ตารางที่ 4 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่อง มาตราตัวสะกดที่มีตัวสะกดหลายตัว ของนักเรียนชั้น
ประถมศึกษาปีท่ี 4 ผลสัมฤทธร์ิ ะหวา่ งเรยี นครง้ั ที่1 คร้ังท2่ี และครัง้ ท3ี่

คะแนนเต็ม S.D. ค่าประสิทธิภาพ t sig
20 17.00
คะแนนระหว่าง 1.05 85.00 51.00 .000
เรยี นครงั้ ท่ี 1 20 16.50
คะแนนระหวา่ ง .53 82.50 99.00 .000
เรียนคร้ังที่ 2 20 18.50
คะแนนระหว่าง .53 92.50 111.00 .000
เรียนครั้งท่ี 3

จากตารางพบว่า การทดสอบผลสัมฤทธ์ิหลังการเรียนโดยใช้ชุดกิจกรรม ของนักเรียนชั้น
ประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนบ้านห้วยพุน ซึ่งใช้เกมตะกร้าหรรษาและแบทดสอบจำนวน 10 ข้อ เพื่อหา

38

ผลสัมฤทธิ์ระหว่างเรียน โดยใช้เกณฑ์มาตรฐาน 80 ผลการหาผลสัมฤทธิ์ระหว่างเรียนครั้งที่1 = 85.00
ครงั้ ท2่ี = 82.50 ครง้ั ท3่ี = 92.50 ซง่ึ เป็นไปตามเกณฑท์ ี่กำหนด

ตารางที่ 5 ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนเรื่อง มาตราตัวสะกดที่มีตัวสะกดหลายตัว ของนักเรียนชั้น
ประถมศกึ ษาปที ่ี 4 ผลสัมฤทธิ์หลงั เรยี นคร้ังท1ี่ ครงั้ ท2่ี และครง้ั ที่3

คะแนนเต็ม S.D. ค่าประสทิ ธิภาพ t sig
20 19.60
คะแนนระหว่าง 1.05 98.00 73.00 .000
เรียนครั้งที่ 1 20 18.80
คะแนนระหว่าง .53 94.00 15.67 .000
เรยี นคร้งั ท่ี 2 20 16.80
คะแนนระหวา่ ง .53 84.00 16.133 .000
เรียนคร้งั ที่ 3

จากตารางพบว่า การทดสอบผลสัมฤทธิ์หลังการเรียนโดยใช้ชุดกิจกรรม ของนักเรียนช้ัน
ประถมศึกษาปีท่ี 4 โรงเรียนบ้านห้วยพุน ซึ่งใช้เกมตะกร้าหรรษาและแบทดสอบจำนวน 10 ข้อ เพื่อหา
ผลสัมฤทธ์หิ ลังเรยี น โดยใช้เกณฑ์มาตรฐาน 80 ผลการหาผลสมั ฤทธิร์ ะหว่างเรียนครั้งที่1 = 98.00 คร้งั ที่2
= 94.00 ครั้งท3่ี = 94.00 ซึ่งเปน็ ไปตามเกณฑท์ ่กี ำหนด

ตอนท่ี 3 ผลการศกึ ษาความคดิ เห็นของนักเรียนช้นั ประถมศึกษาปีที่ 4 ท่มี ตี อ่ ชดุ กิจกรรม
การศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนต่อการเรียนรู้โดยใช้ชุดกิจกรรมเร่ือง มาตราตัวสะกดท่ี

ตัวสะกดหลายตัว ผู้วจิ ัยได้จดั ทำแบบสอบถามความพึงพอใจต่อกิจกรรมการเรยี นรแู้ ละแจกแบบสอบถาม
ความพึงพอใจให้กับกลุ้มเป้าหมาย ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 4/1 โรงเรียนบ้านห้วยพุน ภาค
เรยี นที่ 2 ปกี ารศกึ ษา 2564 จำนวน 10 คน ผลการวดั ความพึงพอใจของนักเรยี นตอ่ กิจกรรมการ
เรยี นร้เู ร่ืองมาตราตัวสะกดท่มี ีตวั สะกดหลายตวั ดังตารางตอ่ ไปนี้

39

ตารางที่ 6 ผลการประเมนิ ความพงึ พอใจของผู้เรยี น

รายการ S.D. ความพงึ พอใจ
2.70 .48 มาก
1. ปรมิ าณเนื้อหาในชดุ กจิ กรรมเหมาะสม
กบั นักเรยี น 2.90 .32 มาก

2. ระยะเวลาทีใ่ ช้ในการเรียนโดยใช้ชดุ กจิ กรรม 3.00 .00 มาก
มคี วามเหมาะสม 2.90 .32 มาก

3. ชุดกจิ กรรมมคี วามน่าสนใจ อยากเรยี นรู้ 2.70 .48 มาก
4. เน้ือหา ภาษา รูปแบบของชดุ กจิ กรรมตรงกบั
3.00 .00 มาก
ความสนใจและความต้องการของนักเรียน
5. นักเรียนมีปฏิสัมพนั ธ์ระหว่างเพ่ือนรว่ มห้อง 3.00 .00 มาก

มากขนึ้ จากการเรียนโดยใชช้ ดุ กิจกรรม 2.80 .42 มาก
6. นกั เรียนไดร้ ับความรู้เพม่ิ ข้ึนจากการเรยี น
2.88 .25 มาก
โดยใชช้ ดุ กิจกรรม
7. นกั เรยี นเกิดความสนุกสนานไมเ่ บ่ือหน่ายใน

การเรยี นโดยใชช้ ดุ กจิ กรรม
8. นกั เรยี นสามารถนำความรู้ที่ไดจ้ ากชุดกจิ กรรม

ไปใชป้ ระโยชนใ์ นการเรียนได้
รวม

จากตารางท่ี 6 พบว่า หลังจดั กิจกรรมการเรยี นรู้เรอื่ ง มาตราตวั สะกดที่มีตัวสะกดหลายตัว เสร็จ
ส้ินลงผวู้ ิจัยนำแบบสอบถามความพึงพอใจไปใชว้ ัดกับนักเรยี นช้ันประถมศึกษาปีท่ี 4/1 โรงเรียนบ้านห้วย

พนุ จำนวน 10 คน ที่เรียนด้วย ชดุ กิจกรรมเร่ือง มาตราตัวสะกดที่มตี ัวสะกดหลายตวั มคี า่ เฉลยี่ ( )
เท่ากับ 2.88 และมีค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.)เท่ากับ 0.25 หมายความว่า ความพึงพอใจต่อชุด
กจิ กรรมเรื่อง มาตราตัวสะกดทีม่ ตี วั สะกดหลายตัว มคี วามเหมาะสมอยู่ในระดบั มาก

40

บทท่ี 5
อภิปรายผลการวจิ ัย
การศึกษาการพฒั นาทกั ษะการเขียนสะกดคำ มาตราตวั สะกดท่ีมีตวั สะกดหลายตวั ของนักเรียน
ชน้ั ประถมศึกษาปที ่ี4 โรงเรยี นบ้านหว้ ยพุน ดว้ ยชุดกิจกรรม ผูว้ ิจยั มีการนำเสนอการอภิปรายผลการวิจยั
ดังน้ี
วัตถุประสงค์การวิจัย
1. เพื่อพัฒนาชุดกิจกรรมพัฒนาทักษะการเขียนสะกดคำมาตราตัวสะกดท่ีมตี ัวสะกดหลายตัวให้มี
ประสทิ ธภิ าพ
2. เพ่ือพัฒนาทักษะการเขียนสะกดคำมาตราตัวสะกดที่มีตัวสะกดหลายตัว ของนักเรียนชั้น
ประถมศกึ ษาปที ่ี 4 โรงเรียนบา้ นหว้ ยพุน
3. เพอ่ื ศึกษาความพึงพอใจต่อการใช้ชุดกจิ กรรมพัฒนาทักษะการเขียนสะกดคำมาตราตัวสะกดท่ี
มตี ัวสะกดหลายตวั
ผลการวิจัย
ในการวิจัยคร้ังนี้ผู้วิจัยมีจุดประสงค์เพื่อการพัฒนาทักษะการเขียนสะกดคำ เรอื่ ง มาตราตัวสะกด
ที่มีตัวสะกดหลายตัว สำหรับนักเรียนช้นั ประถมศึกปีท่ี 4 โรงเรียนบ้านห้วยพุน โดยใช้รูปแบบชดุ กิจกรรม
การเรียนรู้กับเกณฑ์ท่ีกำหนด (ร้อยละ 80) โดยมีประชากร คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 4โรงเรียน
บ้านห้วยพุน โดยมีกลุ่มตัวอย่างท่ีใช้ใน การวิจยั คร้ังนี้ คือนกั เรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 4 ภาคเรียนท่ี 2 ปี
การศึกษา 2564 โรงเรียนบ้านห้วยพุน จำนวน 10 คน ใช้วิธีการสุ่มกลุ่มตัวอย่างด้วยวิธีการสุ่มแบบ
เจาะจง (Purposive sampling) เป็นการสุ่มกลุ่มตัวอย่างโดยการใช้วิจารณญาณของผู้วิจัย โดยพิจารณา
จากจดุ มุ่งหมายของการวิจัยเป็นสำคญั มีเครื่องมือท่ีใช้ในการวัดทักษะการเขียนสะกดคำ สำหรับนักเรียน
ชน้ั ประถมศึกปีท่ี 4 โรงเรียนบ้านห้วยพุน ประกอบด้วย 1) แผนการจัดการเรียนรู้เรื่องมาตราตัวสะกดท่ีมี
ตัวสะกดหลายตวั 2) ชุดกิจกรรมพัฒนาทักษะการเขียนสะกดคำ มาตราตัวสะกดที่มีตัวสะกดหลายตัว ช้ัน
ประถมศึกษาปีท่ี 4 โรงเรียนบ้านห้วยพุน 3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิหลังเรียนจำนวน 10 ข้อ 4)
แบบสอบถามความคิดเห็นที่มีต่อการเรียนรู้โดยใช้ชุดกิจกรรม ผลการวิจัย เร่ือง การพัฒนาทักษะการ
เขยี นสะกดคำ มาตราตัวสะกดทม่ี ตี ัวสะกดหลายตัว ของนกั เรียนชั้นประถมศกึ ษาปที ่ี 4 โรงเรียนบ้านห้วย
พุน สามารถสรุปผลได้ดังน้ี 1) ชดุ กิจกรรมพัฒนาการเขียนสะกดคำ แก้ปัญหาการเขียนสะกดคำในมาตรา
ตัวสะกดที่มีตัวสะกดหลายตัว ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี4 โรงเรียนบ้านห้วยพุนได้ โดยผลสัมฤทธ์ิ
สูงกว่าเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 ที่กำหนดไว้ 2) นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการเรียนโดยใช้ชุดกิจกรรม
พัฒนาการเขียนสะกดคำในระดับมาก ส่งผลให้นักเรียนมีความเข้าใจในเนื้อหามากขึ้น มีความสนุกสนาน
ในการเรียนรแู้ ละนำความรู้ไปใช้ในการเรยี นได้มากยิง่ ข้ึน

41

อภปิ รายผล
การวิจัยในการพัฒนาทักษะการเขียนสะกดคำ มาตราตัวสะกดท่ีมีตัวสะกดหลายตัว สำหรับ

นกั เรียนชน้ั ประถมศึกษาปที ่ี 4 โรงเรียนบ้านห้วยพุนด้วยชุดกิจกรรม ผู้วจิ ัยสามารถอภิปรายผลการวิจัยได้
ดงั นี้

นกั เรียนมีความสามารถในการเขียนสะกดคำมาตราตัวสะกดที่มีตัวสะกดหลายตวั สำหรับนักเรียน
ช้นั ประถมศึกปีท่ี 4 โรงเรียนบา้ นห้วยพุน ปรากฏว่าการเรยี นรูค้ ร้ังท่ี1 มีคะแนนเฉลี่ยระหว่างเรียน ( ̅ =
17.00) คิดเป็นร้อยละ 85.00 และคะแนนเฉล่ียหลังเรียน ( ̅ = 19.60) คิดเป็นร้อยละ 98.00 การ
เรียนรู้ครั้งที่ 2 คะแนนเฉลี่ยระหว่างเรียน ( ̅ = 18.50) คิดเป็นร้อยละ 92.50 และคะแนนเฉลี่ยหลัง
เรียน ( ̅ = 16.80) คิดเป็นร้อยละ 84.00 การเรียนรู้คร้ังที่ 3 คะแนนเฉล่ียระหว่างเรียน ( ̅ = 16.50)
คิดเป็นร้อยละ 82.50 และคะแนนเฉลี่ยหลังเรียน ( ̅ = 19.60) คิดเป็นร้อยละ 98.00 มีค่าสูงกว่าเกณฑ์
มาตรฐาน 80/80 ท่ีกำหนดไว้ ซึ่งเป็นไปตามวัตถุประสงค์ท่ีวางไว้ ผลวิจัยดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า การ
เรียนรู้โดยใช้ชุดกิจกรรมการพัฒนาทักษะการเขียนสะกดคำ ทำให้ผู้เรียนสร้างกระบวนการเรียนรู้อย่าง
เป็นระบบ รูปแบบการสอนโดยชุดกิจกรรมการเรียนรู้ ท่ีผู้วิจัยจัดทำขึ้นน้ันเป็นส่ือนวัตกรรมการสอนใน
รายวิชาภาษาไทย ชว่ ยใหเ้ กิดการเรียนรู้อย่างมปี ระสิทธิภาพ เพราะช่วยให้นกั เรียนเข้าใจบทเรียน ไดแ้ จ่ม
กระจ่างยิ่งขึ้น ช่วยในการสอนนักเรียนท่ีมีความสามารถหรือสนใจแตกต่างกัน ช่วยรักษามาตรฐานการ
เรยี นรู้ เพราะผทู้ ่ีเรียนจากชุดกิจกรรมการเรียนรจู้ ะได้รับ ความรู้ในมาตรฐานเดียวกัน สร้างทศั นคติที่ดีต่อ
การเรยี นรู้แกน่ ักเรยี นเปดิ โอกาสใหน้ กั เรยี นได้แสดงความคดิ เห็นและฝกึ ฝนการตัดสินใจ

ขอ้ เสนอแนะการวิจัยครัง้ น้ี
จากการวิจัยครง้ั นี้ มขี ้อเสนอแนะ 2 ประการ คือ
1) ครูผู้สอนควรปลูกฝังนิสัยรักการเรียนแก่ผู้เรียน หม่ันทบทวนเน้ือหาที่เคยเรียนให้เพียงพอ

สำหรับการเรียนครั้งต่อไป
2) ครูผู้สอนควรหม่ันเอาใจใส่ผู้เรียน หาความรู้หรือเทคนิคใหม่ ๆ เพื่อนำมาประยุกต์ใช้ในการ

เรยี นการสอนในรายวิชาของตนเอง
ข้อเสนอแนะในการวจิ ยั คร้งั ตอ่ ไป

สำหรับการนำรูปแบบชุดกิจกรรมพัฒนาทักษะการเขียนสะกดคำ สำหรับนักเรียนช้ันประถม
ศึกปีท่ี 4 โรงเรยี นบา้ นหว้ ยพนุ สามารถใช้สอนเพ่อื สอดแทรกความรูห้ รือทบทวนความรูใ้ ห้แก่นักเรียนได้

ผลจากการศึกษาวิจัย เร่ือง การพัฒนาทักษะการเขียนสะกดคำ มาตราตัวสะกดท่ีมีตัวสะกด
หลายตัว สำหรบั นักเรียนช้ันประถมศึกษาปที ่ี 4 โรงเรยี นบา้ นห้วยพุน ดว้ ยชดุ กิจกรรม ทำให้คณะผู้วจิ ัยมี
ข้อเสนอแนะสำหรับการวิจัยต่อไป ดังน้ี สามารถนำชุดกิจกรรมการพัฒนาทักษะการเขียนสะกดคำ เรื่อง
มาตราตัวสะกดที่มีตัวสะกดหลายตัว ส่งผลให้เกิดความคิดเป็นของตัวเอง สามารถใช้ส่ืออ่ืนที่มีความ
ประสมรวมกับชุดกิจกรรม เร่ือง มาตราตัวสะกดที่มีตัวสะกดหลายตัว ในการพัฒนาทักษะพ้ืนฐานของ
นกั เรียนได้

42

บรรณานุกรม

ณฏัฐนาถ สกุ สี. (2558). การสร้างแบบฝึกรว่ มกับภาพการ์ตนู เพ่ือพัฒนาการเขียนสะกดคำทีม่ ีตัวสะกดไม่
ตรงตามมาตรา สำหรับนกั เรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3. วิทยานิพนธ์ สาขาวชิ าการสอน
ภาษาไทย ภาควิชาหลักสตู รและวิธสี อน บัณฑิตวิทยาลยั นครปฐม : มหาวทิ ยาลัยศิลปากร

ณปภชั สถติ ยานรุ ักษ์ และคณะ. (2559). การพัฒนาการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ภาษาไทยเพ่อื สง่ เสรมิ
ความสามารถด้านการเขยี นสะกดคำสำหรับนักเรียนชนั้ ประถมศกึ ษาปที ี่ 3. สาขาหลักสูตรและ
การจดั การเรยี นรู้ คณะครุศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยราชภฏั กาญจนบุรี

รัตนว์ ดี ทองมนต์และธรี วฒุ ิ เอกะกลุ . (2563). การพัฒนาทักษะการเขยี นคำตามมาตราตัวสะกดโดยการ
จัดการเรยี นรดู้ ว้ ยสือ่ ประสมกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทยนกั เรยี นชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ใน
โรงเรยี นกรมส่งเสริมประสทิ ธิภาพเมอื งโพธ์ิศรีสังกัดสำนักงานเขตพ้นื ที่การศึกษาประถมศึกษา
ในโรงเรียนกรมส่งเสริมประสทิ ธิภาพเมืองโพธศ์ิ รสี งั กัดสำนักงานเขตพ้นื ท่กี ารศึกษา
ประถมศึกษา อุบลราชธานีเขต 4. ครุศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาวจิ ยั และประเมนิ ผล
การศกึ ษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลยั ราชภัฏอบุ ลราชธานี

วนั วสิ า ทิแก้ว และคณะ. (2561). การใช้ชดุ การเรยี นด้วยสื่อประสม รว่ มกบั เทคนิคการร่วมมอื ในการอ่าน
และการเขยี น (CIRC) เพื่อพัฒนาการอ่านและการเขยี นคำทีม่ ีตัวสะกดสำหรบั นกั เรียนชนั้
ประถมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนบา้ นหว้ ยไคร้ อำเภอแมส่ รวย จงั หวัดเชียงราย. บณั ฑิตวจิ ยั
หลักสูตรศิลปศาสตรมหาบัณฑติ สาขาวิชาการสอนภาษาไทย คณะมนษุ ยศาสตร์

วสิ ารตั น์ ทองเพียร. (2563). การพฒั นาทกั ษะการอา่ น และการสะกดคำของนักเรียนช้ันประถมศึกษา
ปที ่ี 1โรงเรยี นวัดเสาธงนอก โดยใชก้ จิ กรรมเกมการศึกษาจับคู่ประสมคำกบั ภาพ.
คณะครุศาสตร์ สาขาวิชาการศึกษาปฐมวยั . มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั สวนสนนั ทา

สุภาวดี เรงิ ชัยภมู ิ และคณะ. (2558). การพฒั นาชดุ กจิ กรรมเกมฝกึ การเขยี นสะกดคำสำหรับนักเรยี นชน้ั
ประถมศึกษาปีที่ 2. หลักสตู รครศุ าสตรมหาบัณฑติ สาขาวิชาหลกั สตู รและการสอน
มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏสรุ าษฎรธ์ านี


Click to View FlipBook Version