การออกแบบพ้ืนรองเทา้ คีน
ของบริษทั โรฟุ (ประเทศไทย) จากดั
ธญั ญาลกั ษณ์ คชวตั ร สาขาวชิ าออกแบบส่ือสาร
คณะนิเทศศาสตร์
มหาวทิ ยาลยั ศรีปทุม วิทยาเขตชลบุรี
ปี การศึกษา 2562
SPU CHONBURIการออกแบบพืน้ รองเท้าคนี ของบริษทั โรฟุ (ประเทศไทย) จากดั
KEEN INSOLE DESIGN OF ROFU THAILAND LTD.
ธัญญาลกั ษณ์ คชวตั ร
TANYALAK KOCHAWAT
รายงานฉบบั นีเ้ ป็ นส่วนหน่งึ ของการปฏิบตั ิงานสหกจิ ศึกษา
สาขาวชิ าออกแบบส่ือสาร
คณะนิเทศศาสตร์
มหาวทิ ยาลยั ศรีปทุม วทิ ยาเขตชลบุรี
ปี การศึกษา 2562
SPU CHONBURIการออกแบบพืน้ รองเท้าคนี ของบริษทั โรฟุ (ประเทศไทย) จากดั
KEEN INSOLE DESIGN OF ROFU THAILAND LTD.
ธัญญาลกั ษณ์ คชวตั ร
TANYALAK KOCHAWAT
ปฏิบตั งิ าน ณ บริษทั โรฟุ (ประเทศไทย) จากดั
เลขท่ี 507/2 หมู่ 11
ตาบล.หนองขาม อาเภอ.ศรีราชา จงั หวดั .ชลบุรี
รหัสไปรษณยี ์ 20230
II
วนั ท่ี 8 พฤษภาคม 2563
เร่ือง ขอส่งรายงานการปฏิบตั ิงานสหกิจศึกษา
เรียน อาจารยท์ ่ีปรึกษาสหกิจ สาขาออกแบบส่ือสาร
ผชู้ ่วยศาสตราจารย์ ดร.ชินวฒั น์ ประยรู รัตน์
ดิฉนั นางสาวธญั ญาลกั ษณ์ คชวตั ร นกั ศึกษาสาขาวิชาออกแบบส่ือสาร คณะนิเทศศาสตร์
มหาวทิ ยาลยั ศรีปทุม วทิ ยาเขตชลบุรี ไดป้ ฏิบตั ิงานสหกิจศึกษา ระหวา่ ง วนั ที่ 13 มกราคม 2563 ถึง
วนั ที่ 8 พฤษภาคม 2563 ในตาแหน่งการออกแบบ 3D Development ณ บริษทั โรฟุ (ประเทศไทย)
จากดั และไดร้ ับมอบหมายใหน้ าเสนอรายงานการปฏิบตั ิงานสหกิจศึกษา
SPU CHONBURI
บดั น้ี การปฏิบตั ิงานสหกิจศึกษาไดส้ ิ้นสุดลงแลว้ จึงขอส่งรายงานการปฏิบตั ิงานสหกิจศึกษา
ดงั กล่าวจานวน 2 เล่ม เพ่อื ขอรับคาปรึกษาต่อไป
จึงเรียนมาเพือ่ โปรดพิจารณา
ขอแสดงความนบั ถือ
(นางสาวธญั ญาลกั ษณ์ คชวตั ร)
IV
ชื่อหวั ขอ้ การออกแบบพ้ืนรองเทา้ คีนของบริษทั โรฟุ (ประเทศไทย) จากดั
ช่ือนกั ศึกษา นางสาวธญั ญาลกั ษณ์ คชวตั ร รหสั นกั ศึกษา 60708820
อาจารยท์ ี่ปรึกษา ผชู้ ่วยศาสตราจารย์ดร.ชินวฒั น์ ประยรู รัตน์
หลกั สูตร ศิลปกรรมศาสตรบณั ฑิต
สาขาวชิ า ออกแบบส่ือสาร
พ.ศ. 2563
SPU CHONBURI
บทคดั ย่อ
จากการที่ไดร้ ับการศึกษาเร่ือง “การออกแบบพ้ืนรองเทา้ คีนของบริษทั โรฟุ (ประเทศ
ไทย) จากดั ” โดยมีวตั ถุประสงคศ์ ึกษาปัญหาและอุปสรรค ในการออกแบบสื่อกราฟิ กมุ่งศึกษาการ
ออกแบบพ้ืนรองเทา้ คีนโดยใชโ้ ปรแกรม Autodesk Powershape โดยมีผลงานท้งั หมด 6 ชิ้นงาน
ไดแ้ ก่ 1) การออกแบบรองเทา้ คีน รุ่น Uneek Speed 2) การออกแบบรองเทา้ คีน รุ่น Balboa 3) การ
ออกแบบรองเทา้ คีน รุ่น Classic Newport 4) การออกแบบรองเทา้ คีน รุ่น Clearwater 5) การ
ออกแบบรองเทา้ คีน รุ่น ECO Flip 6) การออกแบบรองเทา้ คีน รุ่น KEEN FA โดยมีข้นั ตอน
ดงั ต่อไปน้ี 1) ข้นั ตอนการออกแบบร่างชิ้นงาน รับแบบมาจากทาง KEEN จากฝ่ าย Development
นามาทาการร่างแบบในรูปแบบของ 2 มิติ โดยใชโ้ ปรแกรม Autodesk Powershape เพอื่ ใหเ้ ห็นภาพ
ชดั เจนมากข้ึนก่อนจะทาการสร้างโมเดล 3 มิติ ต่อไป 2) ข้นั ตอนการสร้างชิ้นงาน เป็ นข้นั ตอนการ
ลงมือสร้างโมเดล 3 มิติ โดยโปรแกรม Autodesk Powershape ซ่ึงเป็นข้นั ตอนของการออกแบบ
โมเดล 3 มิติ 3) ข้นั ตอนการส่งมอบชิ้นงาน การส่งมอบไฟล์ 3 มิติ เพื่อนาไปผลิตพ้นื รองเทา้ ตวั อยา่ ง
ปัญหาและอุปสรรคในการออกแบบพ้ืนรองเทา้ คีน เนื่องจากตาแหน่งท่ีไดร้ ับมอบหมาย
อยู่ในส่วนของแผนก Development จึงมีการปรับเปลี่ยนพฒั นา และแกไ้ ขรูปแบบของดีไซน์
ตลอดเวลา ทาให้เกิดความล่าช้า ในการส่งมอบชิ้นงาน ดังน้ันผูจ้ ดั ทาโครงงานจึงศึกษาวิธีการ
ทางานและการเรียงลาดบั ความสาคญั ของงาน เพอ่ื งานที่มีความรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพมากข้ึน
III
กติ ติมาประกาศ
การท่ีผศู้ ึกษาไดม้ าปฏิบตั ิงานตามโครงการสหกิจศึกษา ณ บริษทั โรฟุ (ประเทศไทย) จากดั
ต้ังแต่ วันที่ 13 มกราคม 2563 ถึงวนั ที่ 8 พฤษภาคม 2563 ทาให้ผูศ้ ึกษาได้รับความรู้และ
ประสบการณ์ในการทางานจริง รวมท้งั ทกั ษะในการทางานดา้ นต่างๆที่มีประโยชน์ต่อสาหรับ
รายงานสหกิจฉบบั น้ีสาเร็จไดด้ ว้ ยดี เน่ืองจากการสนบั สนุนและความร่วมมือจากหลายฝ่ ายดงั น้ี
1. นายชลากร จงธรรมจินดา ผจู้ ดั การแผนก
2. นายคมสันต์ ขลุ าหลา้ 3D CAD Specialist
SPU CHONBURI
3. ผชู้ ่วยศาสตราจารย์ดร.ชินวฒั น์ ประยรู รัตน์ อาจารยท์ ี่ปรึกษาสหกิจ
นอกจากน้ียงั มีบุคคลท่านอ่ืน ท่ีมิไดก้ ล่าวไว้ ณ ท่ีน้ี ซ่ึงท่านเหล่าน้ีไดก้ รุณาใหค้ าแนะนาใน
การจดั ทารายงานฉบบั น้ี
ผูศ้ ึกษาขอขอบพระคุณทุกท่านที่ได้มีส่วนร่วมในการให้ขอ้ มูล คาแนะนา และเป็ นท่ี
ปรึกษาในการจกั ทารายงานฉบบั น้ีจนเสร็จสมบูรณ์
นางสาวธญั ญาลกั ษณ์ คชวตั ร
ผจู้ ดั ทารายงาน
วนั ท่ี 8 พฤษภาคม 2563
V
สารบญั
หนา้
ใบรับรองรายงานปฏิบตั ิฝึกงานสหกิจศึกษา.......................................................................................I
จดหมายนาส่งรายงานการปฏิบตั ิงานสหกิจศึกษา.............................................................................II
กิตติกรรมประกาศ...........................................................................................................................III
บทคดั ยอ่ ..........................................................................................................................................IV
สารบญั ..............................................................................................................................................V
สารบญั ภาพ.....................................................................................................................................VI
บทที่ 1 บทนา................................................................................................................................1
ประวตั ิความเป็นมาขององคก์ ร.........................................................................................2
การจดั รูปแบบองคก์ ร........................................................................................................2
ลกั ษณะทางธุรกิจ..............................................................................................................3
ตาแหน่งและลกั ษณะงานท่ีไดร้ ับมอบหมาย.....................................................................3
บทท่ี 2 แนวคิดและทฤษฎีท่ีเก่ียวขอ้ ง............................................................................................4
บทที่ 3 วิธีการศึกษา.....................................................................................................................52
สภาพการณ์ปัญหา...........................................................................................................52
วตั ถุประสงคข์ องโครงงาน..............................................................................................52
ขอบเขตของการดาเนินงานของโครงการ........................................................................52
เครื่องมือท่ีใชใ้ นการศึกษา...............................................................................................53
ผลท่ีคาดวา่ จะไดร้ ับจากการดาเนินโครงงาน...................................................................53
บทท่ี 4 ผลการดาเนินงานโครงงาน.............................................................................................54
บทท่ี 5 สรุปผลการศึกษา..............................................................................................................69
สรุปผลการดาเนินโครงงาน.............................................................................................69
ปัญหาและอุปสรรค..........................................................................................................69
บรรณานุกรรม.................................................................................................................71
ภาคผนวก........................................................................................................................73
SPU CHONBURI
VI
สารบญั ภาพ
ภาพท่ี หนา้SPU CHONBURI
1. ตราสญั ญาลกั ษณ์บริษทั โรฟุ (ประเทศไทย) จากดั ..............................................................1
2. แผนผงั แผนก Development.................................................................................................2
3. นายชลากร จงธรรมจินดา ผจู้ ดั การแผนก............................................................................3
4. จุดสาคญั ต่าง ๆ ของหุ่นเพ่ือการออกแบบ............................................................................6
5. ส่วนประกอบของกระดูกเทา้ ...............................................................................................7
6. ภาพวาดเสน้ แบ่งก่ึงกลางหุ่นท้งั ดา้ นหนา้ และดา้ นหลงั ......................................................10
7. จุดความสูงของหลงั เทา้ .....................................................................................................10
8. การพนั หุ่น.........................................................................................................................11
9. การวาดเน้ือท่ีหุ่นนอก-ใน ทบั กนั .......................................................................................12
10. รูปแสดงความยาวของหุ่น.................................................................................................14
11. รูปแสดงถึงความแตกต่างของความสูงสน้ .........................................................................14
12. รูปแสดงหุ่นรองเทา้ รูปแบบต่างๆ......................................................................................16
13. รูปแสดงหุ่นรองเทา้ ...........................................................................................................16
14. รูปแสดงใหเ้ ห็นถึง เทา้ เดียวกนั แต่รองเทา้ คนละแบบ........................................................18
15. รูปแสดงพ้ืนท่ีหนา้ ตดั สองพ้นื ที่ท่ีมีพ้ืนที่ใกลเ้ คียงกนั ........................................................19
16. แนวขอบหุ่น......................................................................................................................19
17. ความกวา้ งของขอบหุ่น......................................................................................................20
18. การวดั หุ่นรองเทา้ ..............................................................................................................21
19. ภาพโปรแกรม Autodesk Powershape...............................................................................43
20. หนา้ ต่าง Interface ของโปรแกรม Autodesk Powershape..................................................43
21. วตั ถุที่ใชใ้ นการข้ึนรูปโมเดล.............................................................................................45
22. วตั ถุ Solid..........................................................................................................................45
23. แถบเคร่ืองมือโหมด Solid.................................................................................................45
24. เคร่ืองมือ Solid ข้ึนจากเสน้ ................................................................................................46
25. เคร่ืองมือ Solid ผวิ สาเร็จรูป...............................................................................................46
26. เครื่องมือรวม solid............................................................................................................47
27. เคร่ืองมืดตดั solid..............................................................................................................47
SPU CHONBURI VII
สารบัญภาพ (ต่อ)
ภาพที่ หนา้
28. เคร่ืองมืดตดั solid เหลือชิ้นงานที่ทบั ซอ้ นกนั ....................................................................48
29. วตั ถุ Surface.......................................................................................................................48
30. แถบเครื่องมือโหมด Surface..............................................................................................48
31. เคร่ืองมือ Surface ผวิ สาเร็จรูป...........................................................................................49
32. คาสง่ั Fill-In.......................................................................................................................49
33. คาสง่ั From Separate..........................................................................................................50
34. คาสง่ั Drive Curve..............................................................................................................50
35. คาสง่ั From Network..........................................................................................................51
36. เคร่ืองมือการปรับแต่งและแกไ้ ขผวิ งาน surface.................................................................51
37. ภาพแบบดีไซน์พ้ืนรองเทา้ ที่ไดร้ ับมอบหมาย....................................................................55
38. นาไฟลร์ ูปภาพเขา้ มาในโปรแกรม.....................................................................................55
39. การร่างแบบจาก Design.....................................................................................................56
40. ภาพการข้ึนโครงสร้าง........................................................................................................56
41. วิธีหาเสน้ สูงสุดของรองเทา้ ...............................................................................................57
42. รูปตดั ต่างๆท่ีนามาข้ึนโครง................................................................................................57
43. การสร้างผวิ Surface..........................................................................................................58
44. โมเดล 3 มิติ........................................................................................................................58
45. วิธี Projected เส้น..............................................................................................................59
46. วิธี Offset Surface..............................................................................................................59
47. การ Extrusion Surface......................................................................................................60
48. การใชค้ าสง่ั Edit................................................................................................................60
49. การตดั แต่งผวิ Surface.......................................................................................................61
50. โมเดล 3 มิติ ที่สมบรูณ์.......................................................................................................61
51. วิธีใส่ลงบนสีพ้ืนรองเทา้ ....................................................................................................62
52. วธิ ี Export ไฟลท์ ่ีเสร็จสมบรูณ์...........................................................................................62
53. ชิ้นงานสมบรูณ์การออกแบบพ้ืนรองเทา้ คีนรุ่น Uneek Speed..........................................63
54. ชิ้นงานสมบรูณ์การออกแบบพ้ืนรองเทา้ คีนรุ่น Balboa.....................................................64
55. ชิ้นงานสมบรูณ์การออกแบบพ้ืนรองเทา้ คีนรุ่น Classic Newport......................................65
VIII
สารบญั ภาพ (ต่อ)
ภาพที่ หนา้
56. ชิ้นงานสมบรูณ์การออกแบบพ้ืนรองเทา้ คีนรุ่น Clearwater..............................................66
57. ชิ้นงานสมบรูณ์การออกแบบพ้ืนรองเทา้ คีนรุ่น ECO Flip...................................................67
58. ชิ้นงานสมบรูณ์การออกแบบพ้ืนรองเทา้ คีนรุ่น Keen FA………………………..……….68
SPU CHONBURI
SPU CHONBURI 1
บทท่ี 1
บทนำ
โครงการสหกิจศึกษาเนน้ การปฎิบตั ิงานในสถานประกอบการเป็ นกลไกลความร่วมมือ
ทางวิชาการระหว่างมหาวิทยาลยั และสถานประกอบการอย่างต่อเนื่องตลอดไปโดยเน้นความ
ร่วมมือ ทุกๆ ฝ่ ายท่ีเก่ียวขอ้ งเพื่อใหเ้ กิดประโยชน์สูงสุดและมีการดูแลอยา่ งไกลช้ ิดของพนกั งาน ที่
ปรึกษากบั นกั ศึกษาโครงการสหกิจน้ีดว้ ย
ภาพท่ี 1 ตราสัญญาลกั ษณ์บริษทั โรฟุ (ประเทศไทย) จากดั
ที่ต้งั : บริษทั โรฟุ (ประเทศไทย) จากดั
507/2 หมู่ 11 ต.หนองขาม อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี 20230
Tel: 038-480461-4
ประวตั คิ วำมเป็ นมำขององค์กร
บริษัท โรฟุ (ประเทศไทย) จากัด เป็ นบริษัท การออกแบบ การผลิต และส่งออก
ผลิตภณั ฑร์ องเทา้ ภายใตแ้ บรนด์ KEEN (คีน) เร่ิมประกอบกิจการและข้ึนทะเบียนจดชื่อเม่ือ 29 ก.ค.
2558 เป็นบริษทั ในเครือสหพฒั น์ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี
จุดเร่ิมตน้ รองเทา้ KEEN ถูกก่อต้งั เมื่อปี 2003 ณ Portland, Oregon ประเทศสหรัฐอเมริกา
โดยนาย Martin Keen กบั Rory Fuerst โดยไดเ้ ริ่มตน้ จากคาถามที่ว่า “ทาไมรองเทา้ แตะจะป้องกนั
นิ้วเทา้ ไม่ได”้ จริงๆแลว้ ในทอ้ งตลาดมีแบรนดร์ องเทา้ ทางน้าเยอะมาก แต่วา่ กลบั ยงั ไม่มีแบรนด์
ไหนที่เจาะลึกไปถึงการป้องกันนิ้วเทา้ ที่ปลอดภยั จากสิ่งแปลกปลอม หรือ อาการบาดเจ็บจาก
2
อุบตั ิเหตุต่างๆ จึงไดม้ ีการออกแบบและวางจาหน่ายรองเทา้ แตะคู่แรกคือรุ่น “Newport” รองเทา้
แตะที่มียางป้องกนั นิ้วเทา้ อยูด่ า้ นหนา้ และโครงคลา้ ยกบั โครงกระดูกที่ช่วยทาให้ขยบั ไดค้ ล่องตวั
มากข้ึนและยงั ปลอดภยั กบั นิ้วเทา้ เวลาลุยน้า KEEN ถือเป็นเป็นรองเทา้ แตะที่ถูกออกแบบมาเพื่อคน
ที่ชื่นชอบการ Outdoor ผจญภยั ลกั ษณะอนั เอกลกั ษณ์ที่ออกแบบมาในทรงหุม้ นิ้วเทา้ และออกแบบ
มาใหใ้ ส่เตม็ เทา้ ไม่วา่ จะใส่ลุยหนา้ ร้อน หนา้ หนาว หนา้ ฝน กล็ ุยไดท้ ุกฤดูกาล
กำรจดั กำรองค์กำร
ภาพท่ี 2 แผนผงั แผนก Development บริษทั โรฟุ (ประเทศไทย) จากดั
SPU CHONBURI
3
ลกั ษณะทำงธุรกจิ
เป็นบริษทั การออกแบบ การผลิต และส่งออกผลิตภณั ฑร์ องเทา้ ภายใตแ้ บรนด์ KEEN
ตำแหน่งและลกั ษณะงำนทไี่ ด้รับมอบหมำย
ชื่อ : นางสาวธญั ญาลกั ษณ์ คชวตั ร
ตาแหน่ง : 3D Development
แผนก : Development
ลกั ษณะงาน : การออกแบบ การข้ึนโมลเดล 3 มิติ
SPU CHONBURI
บุคลำกรผู้นิเทศงำน
ชื่อ : นายชลากร จงธรรมจินดา
ตาแหน่ง : ผจู้ ดั การแผนก
แผนก : Development
ภาพที่ 3 บุคลากรผนู้ ิเทศงาน
SPU CHONBURI 4
บทที่ 2
แนวคดิ และทฤษฏที เ่ี กยี่ วข้อง
การศึกษาการออกแบบพ้นื รองเทา้ คีนของบริษทั โรฟุ (ประเทศไทย) จากดั มีแนวคิดและ
ทฤษฎีท่ีเก่ียวขอ้ งดงั น้ี
1. ทฤษฎีการออกแบบรองเทา้
2. ทฤษฎีสี
3. ทฤษฎีการสร้างภาพกราฟิ ก 3 มิติ
4. โปรแกรม Autodesk Powershape
ทฤษฎกี ารออกแบบรองเท้า
เม่ือพูดถึงการออกแบบรองเทา้ ไม่ว่าจะเป็ นรองเทา้ หรือผลิตภณั ฑอ์ ่ืนยอ่ มมีความ หมาย
อยา่ งเดียวกนั (สนนั่ เจริญข้ึน, 2538, หนา้ 21) ในการเตรียมความพร้อมเบ้ืองตน้ เพื่อการผลิต การ
ออกแบบรองเทา้ ออกแบบจะตอ้ งรู้จกั กบั รองเทา้ ในความหมายรวม และรองเทา้ ที่จะตอ้ งออกแบบ
วสั ดุ-อุปกรณ์ ที่ใช้ กรรมวิธีการผลิต เคร่ืองจกั ร เคร่ืองมือที่ใชท้ ี่มีอยู่ในหน่วยผลิตของตน ความ
ชานาญรอบ รู้ของผอู้ อกแบบจะทาให้รองเทา้ ตน้ แบบออกมาสอดคลอ้ งกบั ความตอ้ งการของผใู้ ช้
และสะดวกใน การผลิต การออกแบบท่ีดีจะทาใหม้ องเห็นความสาเร็จในการผลิตไดช้ ดั เจนตรงตาม
เป้าหมาย คือทารองเทา้ ใหเ้ สร็จตามเวลา ตามจานวนท่ีตอ้ งการ ไดค้ ุณภาพตามกาหนดทาใหร้ าคาท่ี
คานวณ ไวไ้ ม่ผดิ พลาด และเมื่อการออกแบบเป็นเสมือนหวั ใจของการผลิตเช่นน้ีจึงอยากแนะนาให้
ผอู้ อก แบบรองเทา้ ไดร้ ู้จกั กบั สิ่งต่าง ๆ ที่สาคญั ดงั น้ี
รองเทา้ แมว้ า่ ทุกท่านในที่น้ีจะรู้จกั กบั รองเทา้ เป็ นอยา่ งดี เพราะใชก้ นั อยเู่ ป็น ประจาแลว้
กต็ าม แต่เพ่ือใหค้ วามคิดเก่ียวกบั รองเทา้ เป็นไปโดยสมบูรณ์ จึงขอใหค้ าอธิบายได้ ดงั น้ีคือ รองเทา้
มีจุดประสงคห์ ลกั ในการป้องกนั เทา้ จากส่ิงระคายเคือง ของแขง็ ของมีคม ความร้อนหนาว เปี ยกช้ืน
ฯลฯ จึงตอ้ งมีความแข็งแรงให้เพียงพอกับสภาพการทางานและสามารถ คงสภาพอยู่ในอายุที่
เหมาะสม ไม่เกิดการฉีกขาดหรือสึกหรอไดโ้ ดยง่าย นอกจากน้ียงั เป็ นส่วน หน่ึงของเครื่องแต่งกาย
ที่มีความจาเป็น เช่นเดียวกบั เส้ือผา้ จึงทาใหต้ อ้ งมีการเปล่ียนแปลงแบบและวสั ดุตามสมยั นิยม
วสั ดุที่ใชท้ ารองเทา้ ที่ดีและเหมาะสมท่ีสุดก็คือ หนังสัตวท์ ่ีฟอกไดค้ วามนิ่มและความ
หนาที่เหมาะสม เพราะหนงั สตั วม์ ีเสน้ ใยท่ียดื หยนุ่ ไดส้ อดคลอ้ งกบั การเคล่ือนไหวของเทา้ เม่ือ เวลา
SPU CHONBURI 5
กา้ วเดินและมีรูขุมขนอยู่ตามธรรมชาติ ช่วยในการขบั และระบายเหงื่อไดต้ ลอดเวลา ฉะน้ันถา้ จะ
พิจารณาใชว้ สั ดุอื่นแทนหนัง จะตอ้ งคานึงถึงคุณสมบตั ิท่ีใกลเ้ คียงให้ไดม้ ากท่ีสุด เช่น ส่วนพ้ืน
จะตอ้ งยดื หยนุ่ ส่วนบน หนงั หนา้ จะตอ้ งมีคุณสมบตั ิพิเศษใหไ้ อร้อนผา่ นได้ และจะใหไ้ ดร้ องเทา้ ที่
ดี จะตอ้ งทาจากหุ่นที่ดีและการออกแบบท่ีถูกตอ้ งตามส่วนดว้ ย
รองเทา้ ท่ีมีถุงอากาศน้นั น่าจะเหมาะกบั คนที่มีสรีระเทา้ หรือการวิ่งที่เอียงเขา้ ดา้ นใน (cvercnators)
รองเทา้ ท่ีมีพ้นื ท่ีมีความแขง็ กจ็ ะช่วยป้องกนั การบิดตวั ของเคา้ ได้ เช่นกนั
รองเทา้ วิ่งหลายชนิด โฆษณาเร่ืองของการ ควบคุมการทรงตวั เป็ นจุดสาคญั ซ่ึง เน้นถึงจุด ท่ีหุ้ม
บริเวณสนเขา (hell counter) ซ่ึงยงั ไม่เป็นการแกป้ ัญหาได้ การแกป้ ัญหา ท่ีถูกตอ้ ง จะตอ้ งพิจารณา
ยงั เหตุผลต่อไปน้ี
ส้นเทา้ กระทบพ้ืน จุดท่ีกระทบคือพ้ืนรองเทา้ มุมดา้ นนอกตรงสันเขา ต่อมา น้าหนกั จะ
ถูกถ่ายไปดา้ นขา้ งมุมเดียวกนั ไปสู่บริเวณส่วนกลางเทา้ และส่งต่อไปยงั จุดรอยต่อของ กระดูก
metatarsals และ phalange ซ่ึงเป็นจุดที่มีการงอตวั ของเทา้ จากน้นั น้าหนกั กจ็ ะถูกถ่ายไปยงั บริเวณ
หัวแม่เทา้ ถา้ พ้ืนช้นั กลางอ่อนนุ่มมากจะทาให้การทรงตวั ขาดสมดุล ผลเสียอีกขอ้ ท่ีตามมาคืออายุ
การใชง้ านจะส้นั กวา่ พ้ืนที่มีความหนาแน่นมาก (สนนั่ เจริญข้ึน, 2538, หนา้ 21)
พืน้ ช้ันใน
วธิ ีประกอบพ้ืนช้นั ในเขา้ กบั ตวั รองเทา้ มี 2 วิธี
1. ทากาว ขณะเขา้ ทุน โดยใชแ้ ผน่ ไฟเบอร์บอร์ดอยรู่ ะหวา่ งหนา้ ผา้ และพ้ืนรองเทา้
2. เยบ็ ซิกแซกหนา้ ผา้ โดยเมื่อพ้ืนท่ีไว้ วิธีน้ีเรียกว่า (slip lasting) ซ่ึงจะไม่มีแผน่ "ไฟ
เบอร์บอร์ด" และวิธีน้ีจะมีความยดื หยนุ่ ตวั สูงกวา่ วธิ ีแรก
บนพ้ืนช้นั ในจะมีส่วนที่รองรับอุง้ เทา้ ท่ีกระฉบั พอดีเรียกวา่ (sock liner) เช่น โฟมยาง, ผา้ เทอร์ร่ี, ลด
การเสียดสี แรงกระแทก และทาใหส้ ะดวกสบายข้ึนในการถอดซกั ลา้ ง ซ่ึง SPENCO จะเป็นวสั ดุที่มี
ความสมบูรณ์ในคุณลกั ษณะต่าง ๆ มากท่ีสุด ARCH SUPPORT สวนเสริมถุงเทา้ (สนน่ั เจริญข้ึน,
2538, หนา้ 22)
หุ้มส้นเท้า (heel counter)
แผ่นพลาสติก หรือ ไฟเบอร์บอร์ด ที่อยู่หลงั สนเทา้ ของรองเทา้ ช่วยให้รองเทา้ กระชบั
รูปทรงกบั เทา้ ขณะวิ่งใหส้ บายข้ึน แต่ส่วนท่ีอยดู่ า้ นบนของส่วนเสริมหลงั เทา้ เป็ นวสั ดุ เช่น ฟองน้า
ไวนิล มีหนา้ ท่ีป้องกนั การฉีกของเอน็ ร้อยหวาย และช่วยในการใชน้ ิ้วมือเก่ียว เวลาใส่รองเทา้ ส่วน
หนา้ ผา้ ดา้ นบน (upper)
ทาจากวสั ดุหลายชนิด เช่น หนงั ในลอน แต่รองเทา้ กีฬาทวั่ ไปจะใช้ ไนลอน และ หนงั เป็นวสั ดุ
หลกั เพราะในลอนและวสั ดุน้าหนกั เบาราคา ถูกกว่าวสั ดุอ่ืนในกลุ่มเดียวกนั และยงั มีคุณสมบตั ิที่
6
นุ่มนวลไม่ระคายต่อเทา้ แต่ในลอนก็มีหลาย ชนิด ซ่ึงแต่ละชนิดก็มีคุณสมบตั ิแตกต่างกัน ท้งั
คุณภาพและราคา ในลอนท่ีมีราคาปานกลางและ มีคุณสมบัติท่ีดี คือ โพลีแพค (POLYPAC)
ลกั ษณะคือ ผา้ ไนลอนท่ีประกบกบั ฟองน้าหนาประมาณ 2-3 มิลลิเมตร ซ่ึงทาใหน้ ุ่มต่อเทา้ น้าหนกั
เบา แต่มีขอ้ เสียตรงท่ีการที่ประกบฟองน้าและ ไนลอน จะทาให้อากาศผ่านไม่สะดวกการระบาย
ความอบั ช้ืนจึงไม่ดีนกั (สนนั่ เจริญข้ึน, 2538, หนา้ 22)
วสั ดุทใี่ ช้ทารองเท้าทด่ี ีและเหมาะสมทสี่ ุด
คือ หนังสัตวท์ ี่ฟอกไดค้ วามน่ิมและความ หนาท่ีเหมาะสม เพราะหนังสัตวม์ ีเส้นใยท่ี
ยืดหยุ่นไดส้ อดคลอ้ งกบั การเคล่ือนไหวของเทา้ เม่ือ เวลากา้ วเดินและมีรูขุมขนอยู่ตามธรรมชาติ
ช่วยในการขบั และระบายเหง่ือไดต้ ลอดเวลา ฉะน้ัน ถา้ จะพิจารณาใช้วสั ดุอ่ืนแทนหนัง จะตอ้ ง
คานึงถึงคุณสมบตั ิท่ีใกลเ้ คียงใหไ้ ดม้ ากท่ีสุด เช่น ส่วนพ้ืน จะตอ้ งยดื หยนุ่ ส่วนบน หนงั หนา้ จะตอ้ ง
มีคุณสมบตั ิพิเศษใหไ้ อร้อนผา่ นได้ และจะใหไ้ ดร้ องเทา้ ที่ดีจะตอ้ งทาจากหนงั ที่ดี และการออกแบบ
ที่ถูกตอ้ งตามสวนดว้ ย (สนนั่ เจริญข้ึน, 2538, หนา้ 23)
หุ่นรองเท้า
สร้างข้ึนมาเพ่ือความสะดวกในการทารองเทา้ ซ่ึงตอ้ งผ่านกรรมวิธีต่าง ๆ แต่ท้งั น้ีตอ้ ง
คานึงถึงความเป็ นจริงของธรรมชาติของเทา้ เพ่ือให้ผูใ้ ชร้ องเทา้ มีความสบายตลอดเวลา และให้
รูปทรงที่สบาย สวยงาม โดยทาใหเ้ รียบตลอดมีขอบล่างคมโดยรอบ เพื่อใหต้ ิดข้ึน ไดง้ ่าย ส่วนบน
เลก็ กวา่ เพ่อื ความสะดวกในการดึงข้ึนรูปกบั หนงั หนา้
1. ส่วนสนเพือ่ ความสูงตามขนาดความสูงของตน้ ตามท่ีตอ้ งการ
2. ส่วนหวั ยกข้ึนสูง (ส่วนหวั มีสปริง) เมื่อวางเตม็ ความสูงของสนแลว้ เพ่อื - ช่วยในการ
เดิน ส่วนล่างเรียบ
3. ตรงเอวโคง้ ข้ึนรับกบั ถุงเทา้
4. มีความยาวกวา่ เทา้ เพ่อื ใหเ้ น้ือท่ีปลายเทา้ มีเคล่ือนที่ไปขา้ งหนา้ โดยไม่ชนกบั
หวั รองเหา
SPU CHONBURI
SPU CHONBURI 7
ภาพท่ี 4 จุดสาคญั ต่าง ๆ ของหุ่นที่จะตอ้ งใชเ้ พอ่ื การออกแบบ ยอ่ มสอดคลอ้ งกบั จุดสาคญั ของเทา้
และกระดูกส่วนต่าง ๆ ของเทา้ รวมถึงธรรมชาติในการเคล่ือนไหวของเทา้ และน้ีคือความคิด
พ้ืนฐานของผอู้ อกแบบรองเทา้ ที่สามารถนาไปดดั แปลงใหเ้ หมาะสมในการออกแบบรองเทา้ ตาม
สมยั นิยม โดยท่ีจะยงั คงไดร้ องเทา้ ที่สวมสบายดว้ ยเช่นเดียวกนั
ภาพที่ 5 ภาพโครงกระดูกเทา้ ชายดา้ นใน แสดงใหเ้ ห็นส่วนประกอบของกระดูกเทา้
เมื่อไดห้ ุ่นท่ีพอดีเหมาะสมกบั เทา้ แลว้ ผูอ้ อกแบบก็จะไดใ้ ชเ้ พ่ือออกแบบและผลิตรองเทา้ ไดด้ ว้ ย
ความมน่ั ใจ ถึงแมว้ า่ จะไดม้ ีการกาหนดความยาวของหุ่นเป็ นมาตรฐานเพ่ือกาหนด ความยาวแต่ละ
เบอร์ แต่กม็ ีการแยกขนาดของความยาว และเรียกเบอร์แตกต่างกนั หลายอยา่ ง เช่น
แบบองั กฤษ กาหนดความยาวเป็ นนิ้ว โดยใหค้ วามแตกต่างกนั ของเบอร์เท่ากบั 1/3 นิ้ว
และเร่ิมจากเบอร์ 0 ถึง 4 นิ้ว เมื่อนบั เป็นมิลลิเมตรจะไดค้ วามยาวระหวา่ งเบอร์ 8.46 มิลลิเมตร
แบบฝร่ังเศส วดั ความยาวเป็นมิลลิเมตร โดยเร่ิมเบอร์ 0 ท่ี 0 มิลลิเมตร แลว้ กาหนดความ
แตกต่างกนั ระหวา่ งเมอร์เท่ากบั 2/3 ซม. เท่ากบั 6.66 มิลลิเมตร
SPU CHONBURI 8
แบบญ่ีป่ ุน วดั ความยาวเป็นเซ็นติเมตร เมื่อเผอื่ เน้ือท่ีสวนสน้ ไว้ 3 มิลลิเมตรแลว้ จะวดั ข้ึน
ไปตามความที่วดั ไดเ้ ป็นเซ็นติเมตร เช่น เบอร์ 18 คือ 18.5 เซ็นติเมตร ความแตก ต่างระหวา่ งเบอร์
เป็น 1 และ 1/2 ซม.
แบบอเมริกนั กาหนดความแตกต่างระหวา่ งเบอร์เช่นเดียวกบั ขององั กฤษ แต่ เริ่มตน้ เบอร์
0 ที่ความยาว 3 นิ้ว โดยประมาณ แตกต่างจากองั กฤษคร่ึงนิ้ว (สาหรับของ อเมริกนั น้ีมีการกาหนด
ความยาวเร่ิมตน้ แตกต่างกนั ถึง 3 ชนิด)
ฉะน้นั เม่ือเทียบความยาวของเบอร์ที่ประเทศต่าง ๆ กาหนดให้ตรงกนั โดยประมาณไว้
ดงั น้ี
เบอร์องั กฤษ 7 = ฝรั่งเศส 41 = ญี่ป่ ุน 27 อเมริกนั 8 (สาหรับของ อเมริกนั น้ีตอ้ งเทียบ
กบั ขนาดซ่ึงเกี่ยวขอ้ งกบั การกาหนดความยาวของมาตรฐานของความยาวเบ้ืองตน้ ซ่ึงแตกต่างกนั อยู่
3 ขนาด เช่น เบอร์ 0 เร่ิมตน้ ที่ 3 นิ้ว หรือที่ 3 นิ้ว หรือที่ 3 นิ้ว
ดังน้ัน เมื่อมีผูต้ ้องการให้ทารองเท้า สาหรับชาวอเมริกันเป็ นเบอร์ของเขา ขอให้
ตรวจสอบให้ดีก่อนว่าใชค้ วามยาวเริ่มท่ีเท่าไรกนั แน่ ผอู้ อกแบบจะตอ้ งมีความรู้ในผลิตภณั ฑห์ รือ
ในการผลิต ตอ้ งรู้จกั ข้นั ตอนในการทา รองเทา้ เช่น การตดั เตรียมการเยบ็ หนงั หนา้ การประกอบ
เขา้ รูปติดพ้ืน และการตกแต่ง บรรจุ ฯลฯ
วสั ดุต่าง ๆ ท่ีจะนามาใช้ในการผลิตรองเท้า การยึดตัว การหดตวั หรือคงสภาพ ใน
อุณหภูมิต่าง ๆ ของวสั ดุ การคงทนต่อสภาพการเตรียมงานหรือเม่ือนาไปใชง้ าน เพ่อื นาเอา วสั ดุต่าง
ๆ เหล่าน้นั มาใชใ้ หถ้ ูกตอ้ ง
ความรู้ในด้านการทารองเทา้ จะช่วยให้การออกแบบสอดคลอ้ งกับขบวนการผลิตใน
หน่วยผลิต และถา้ การออกแบบคานึงถึงกาลงั การผลิตของเคร่ืองจักรเคร่ืองมือท่ีมีอยู่ และให้
สามารถนาไปใชใ้ นการผลิตไดเ้ ตม็ ความสามารถ จะช่วยเพิ่มผลผลิตและลดตน้ ทุนได้
การออกแบบท่ีมีประสิทธิภาพจะช่วยป้องกนั ปัญหาและพฒั นาการผลิต และเป็น
โครงสร้างในการลดตน้ ทุนอยา่ งมีระบบ (สนนั่ เจริญข้ึน, 2538, หนา้ 24-25)
การออกแบบรองเท้า
การออกแบบรองเทา้ มีอยดู่ ว้ ยกนั หลายวิธีดว้ ยกนั แต่ทุก ๆ วิธีจะตอ้ งคานึงถึงการ ทาให้
รองเทา้ น้นั พอดีกนั "
เครื่องมือและอุปกรณ์ที่ใชใ้ นการออกแบบ ทว่ั ๆ ไปมีดงั น้ี
1. มีด หรือ กรรไกร
2. ถา้ มีดตอ้ งมีแผน่ ยางรองตดั
9
3. ไมบ้ รรทดั (ถา้ เป็นเหลก็ จะดีกวา่ อยา่ งอ่ืน) ดินสอดา ยางลบ
4. เทปวดั หุ่น
5. วงเวยี นท่ีมีการยดึ แน่นไม่ขยบั ตวั เม่ือใชง้ าน
6. กระดาษแขง็ (สาหรับการออกแบบดว้ ยมีด) กระดาษออ่ นสีน้าตาลสาหรับห่อ
ของ (สาหรับออกแบบดว้ ยกรรไกร) หรือกระดาษลอกลาย (สาหรับออกแบบดว้ ยวธิ ีทาบหุ่น)
เพือ่ ใหเ้ กิดความเขา้ ใจโดยง่าย จะพดู ถึงการออกแบบโดยวธิ ีใชเ้ ทปพนั หุ่นและใช้ มีดกรีดตดั แบบ
โดยมีหลกั ใหญ่ ๆ ในการทาแบบ คือ
1. หาเน้ือท่ีของหุน้ ท้งั ดา้ นในและดา้ นนอก ลงไวใ้ นแผน่ เดียวกนั
2. ทาแม่แบบลงไปในเน้ือที่หุ่นที่หาได้
3. การแยกชิ้นส่วนออกมาจากแม่แบบ หรือการถอดแบบเพ่ือนาไปใชง้ าน
4. การตดั วสั ดุตามแบบเพ่ือทดลองทาตวั อยา่ งเพ่ือตรวจสอบวา่ แบบน้นั ถูกตอ้ งตาม
ตอ้ งการหรือไม่
5. การแกไ้ ขเพื่อใหเ้ กิดความสะดวกในการผลิต และเพื่อประหยดั วสั ดุ
6. การขยาย หรือยอ่ แบบเพือ่ ใหไ้ ดเ้ บอร์ครบตามตอ้ งการ
7. เม่ือทคลองและตรวจสอบดีแลว้ กจ็ ะสามารถนาไปใชเ้ พอื่ การผลิตได้ ถา้ ตอ้ งสง่ั มีด
หรือโมนล์ กส็ ามารถสง่ั ไดต้ ามแบบท่ีไดท้ ดลองเรียบร้อยแลว้ (สนนั่ เจริญข้ึน, 2538, หนา้ 26)
วธิ ีการออกแบบรองเท้าควยเทปกาว
1. การหาเน้ือท่ีของหุ่นท้งั ดา้ นนอก ดา้ นใน ใหใ้ ชเ้ ทปกาวพนั หุ่นจากหวั ไปทา้ ย จาก
ดา้ นล่างข้ึนดา้ นบน โดยใหเ้ ทปเกยกนั 1/3 ของเน้ือท่ีความกวา้ งของเทปและฟันใหท้ ว่ั เน้ือ ท่ี
ดา้ นขา้ งท้งั นอก-ใน แลว้ พนั ทบั อีก 1 ช้นั โดยพนั ขวางจากหวั จากหวั ไปทา้ ย และใหท้ บั กนั 1 ใน 3
เช่นเดียวกนั เสร็จแลว้ ตดั แต่งเทปท่ีเกินใหพ้ อดีขอบหุ่นท้งั บนและลา่ ง
(สนนั่ เจริญข้นึ , 2538, หนา้ 26)
SPU CHONBURI
SPU CHONBURI 10
ภาพที่ 6 ภาพวาดเสน้ แบ่งก่ึงกลางหุ่นท้งั ดา้ นหนา้ และดา้ นหลงั
ภาพท่ี 7 จุดความสูงของหลงั เทา้
กาหนดความสูงของส้นโดยใช้ 1/5 ของความยาวมาตรฐานและกาหนดจุดของช้นั หนา้ ที่จุดหักงอ
ของ 7/10 ของความยาวและหาจุดความสูงของหลงั เทา้ 1/2 ของความยาว (ถา้ วดั จากจุดความสูงของ
11
ส้นไปท่ีหลงั หุ่นเลื่อนลงไป 1 ซม. จุดหกั งอของส่วนหนา้ ใชเ้ ทปคาดจากจุดกวา้ งสุดของหุ่นดา้ น
นอก กบั ดา้ นในใหผ้ า่ นหลงั หุ่น กจ็ ะไดจ้ ุดความสูงของชิ้นหนา้ )
ภาพที่ 8 การพนั หุ่นรองเทา้
เม่ือไดจ้ ุดสาคญั ต่าง ๆ แลว้ ก็อาจใชว้ ิธีวาดแบบลงไปในหุ่น ตามรูปร่างของรองเทา้ ท่ี
ตอ้ งการ ซ่ึงวิธีน้ีผอู้ อกแบบสามารถมองเห็นสดั ส่วนของรองเทา้ ไดค้ ่อนขา้ งชดั เจน และ ไดร้ องเทา้
ที่แม่นยาและละเอียดอ่อนมากท่ีสุด
อีกวิธีหน่ึงกโ็ ดยถอดเน้ือที่หุนออกมา แลว้ วาดแบบลงในทางแบน วิธีน้ีเหมาะลาหรับผมู้ ี
ความชานาญและเขา้ ใจในรูปร่างของหุ่นน้นั ไดด้ ี จะช่วยใหท้ าแบบไดอ้ ยา่ งรวดเร็ว
และไม่ว่าจะวาดดว้ ยวิธีใดก็ตาม จะตอ้ งหาเน้ือที่ของหุ่นออกมาในทางแบน โดย ใชม้ ีด
กรีดไปตามรอยแบ่งคร่ึงหุ่นท้งั ดา้ นหนา้ และดา้ นหลงั ค่อย ๆ ลอกกระดาษกาวออกมาโดย เริ่มจาก
ทางดา้ นหัว แลว้ นาไปติดให้เรียบ บนแผ่นกระดาษแข็ง ตอ้ งระวงั ไม่ดึงให้ยืดหรือปล่อยให้ย่น
จนเกินไป ตามความโคง้ ของหวั หุ่น ถา้ ติดกระดาษอาจใชว้ ธิ ีขลิบริม โดยตดั ผา่ ใหเ้ ขา้ ไปช่วยใหแ้ บน
ลงได้ รีดให้เทปติดกบั กระดาษแขง็ ให้เรียบ ตดั ออกมาตามรูปแบบจะไดเ้ น้ือหุ่น ท้งั ดา้ นนอกและ
ดา้ นใน นาเน้ือท่ีหุ่นท้งั ดา้ นนอกและดา้ นในไปวาดทบั กนั ลงในกระดาน โดยให้ จุดความสูงของส้น
ตรงกนั และจุดความสูงของช้นั หนา้ อยใู่ นระดบั เดียวกนั ตดั แบ่งเฉล่ียเน้ือที่ ดา้ นบนและดา้ นหลงั ให้
อยตู่ รงกลางระหวา่ งดา้ นนอกและดา้ นใน โดยเหลือเน้ือท่ีดา้ นล่างไวต้ าม ที่เป็นจริง โดยใชป้ ลายมีด
ทาเสน้ ประเพือ่ ใหเ้ ห็นเสน้ ที่ทบั กนั ของ นอก-ใน เรียกวา่ มีนฟอร์ม
SPU CHONBURI
12
SPU CHONBURI ภาพท่ี 9 การวาดเน้ือท่ีหุ่นนอก-ใน ทบั กนั
การทาแม่แบบสแตนดาร์ดอาจทาไดโ้ ดยการถ่ายแบบจากท่ีวาดไวก้ บั เทปแบบหุ่นลง ในแม่แบบ
โดยใช้วิธีแต่งเส้นช่วย เป็ นวิธีท่ีนักออกแบบใหม่ ๆ ควรใช้มากท่ีสุด เพราะสามารถมองเห็น
ขอ้ ผดิ พลาดและแกไ้ ขไดง้ ่าย ทาใหเ้ กิดความชานาญไดร้ วดเร็ว
อีกวธิ ีหน่ึงกโ็ ดยคานวณหาตาแหน่งต่าง ๆ ของเสน้ แลว้ วาดลงไปในแม่แบบ และไม่วา่ จะเป็นวิธีใด
ก็ตามจุดประสงค์ก็คือ ตอ้ งการให้แบบออกมาถูกตอ้ งแม่นยา ตรงตามท่ีตอ้ ง การและถา้ ไดต้ าม
เป้าหมายน้นั ก็คือถือว่าถูกตอ้ ง การทาแม่แบบน้ีจะตอ้ งวาดชิ้นส่วนทุกชิ้นลงไป และเมื่อแยกแบบ
ออกมาเป็นชิ้นส่วนจะไดแ้ บบที่ถูกตอ้ งตามที่ต้งั ใจ
ส่วนที่จะตอ้ งวาดเพิ่มเติมในแม่แบบกค็ ือ การเผอ่ื เน้ือท่ีเพอ่ื การเขา้ หุ่น โดยทวั่ ไปกาหนดวสั ดุที่ใช้
ดงั น้ี
วสั ดุท่ีใช้ เพิม่ ส่วนหวั เพิม่ ส่วนสน้
หนงั 17มม. 19มม.
ผา้ ใบ 16มม. 18มม.
พวี ีซี 14มม. 16มม.
ปัจจุบนั การเพิ่มเน้ือท่ีเขา้ หุ่นน้ีไม่มีการเปล่ียนแปลงไปตามลกั ษณะของแบบ วสั ดุที่ ใช้
ในส่วนต่าง ๆ ซ่ึงผูอ้ อกแบบจะตอ้ งตรวจสอบและแก้ไขให้ตรงตามสภาพท่ีเป็ นจริง จากการ
ทดลองหาตวั อยา่ ง
นอกจากในการเผ่ือเน้ือท่ีในการเขา้ หุ่นแลว้ ยงั ตอ้ งมีการเผื่อเน้ือที่ในส่วนอ่ืน ๆ อีกเช่น
เมื่อเผอื่ การเยบ็ ต่อ เม่ือเพ่ือการพบั ริม เผอื่ ตามความหนาของวสั ดุท่ีใช้ หรือวสั ดุท่ี ขอ้ นกนั หลายช้นั
เป็ นตน้ ซ่ึงไม่เหมาะที่จะนามากล่าว เพราะจะทาให้เกิดความสับสน เพราะ ไม่ไดส้ ัมผสั กบั ความ
SPU CHONBURI 13
เป็ นจริง การเรียนรู้การออกแบบโดยละเอียดจะทาให้ไดผ้ ลดีจะตอ้ งใชเ้ วลา ในการเรียนรู้ ทดลอง
ฝึกฝน โดยลงมือทากนั จริง ๆ
ฉะน้นั ในที่น้ีจะกล่าวในแง่ของความเขา้ ใจท่ีว่าเราจะตอ้ งถอดแบบจากส่วนกวา้ ง และส่วนโคง้ ของ
หุ่นลงไปทางแบนเพ่ือสะดวกในการทางาน และหนงั หนา้ กจ็ ะประกอบจากชิ้นส่วน ท่ีแบนราบ แต่
ดว้ ยวิธีการหาเน้ือที่ของหุ้นไวอ้ ย่างแม่นยา รวมถึงวิธีการในการเผื่อเน้ือที่ของส่วนต่าง ๆ ทาให้
รองเทา้ ท่ีผลิตจากแบบในทางแบนราบสามารถดึงข้ึนรูปไดพ้ อดีกบั หุ่นที่มีส่วน โคง้ เวา้ เป็ นอย่าง
มากได้ และเพ่ือที่จะให้ผูท้ ่ีจะไปทางานเกี่ยวขอ้ งกบั การผลิต หรือการควบคุมผลิตจะไดเ้ ขา้ ใจถึง
ความสาคญั ในการผลิตส่วนต่าง ๆ ของรองเทา้ ท่ีสมั พนั ธก์ บั หุน จึงขอใหค้ านึง ถึงส่วนต่าง ๆ ดงั น้ี
1. จุดมาร์คหรือรอยมาร์คต่าง ๆ เพื่อให้ต่อชิ้นส่วนหนังหน้าจะตอ้ งต่อให้ตรงตาม
ตวั อย่าง และรอยมาร์คน้ันไม่ให้เกินหรือขาด เพราะจะทาให้เกิดปัญหาในแผนกประกอบ เมื่อ
นาไปข้ึนหุ่นจะทาใหส้ ดั ส่วนผดิ ไปจากที่กาหนดไว้
2. การพบั ขอบ (ถา้ มี) ถา้ แบบกาหนดไวอ้ ยา่ งไรกต็ อ้ งพบั ใหไ้ ดต้ ามแบบ เช่น 4.5 - 5 มม.
3. การเยบ็ กลบั ตะเขบ็ โดยเฉพาะดา้ นหลงั ตอ้ งใหต้ รงตามขอ้ กาหนด
4. การวาดรอยมาร์คลงตามส่วนต่าง ๆ ตอ้ งใหต้ รงตามแบบ
ถา้ การทาแบบน้นั ๆ ตรงตามการทดลองที่แลว้ และการทางานตามจุดต่าง ๆ ไม่ ผดิ พลาด
การทารองเทา้ กจ็ ะสาเร็จไดโ้ ดยง่าย (สนนั่ เจริญข้ึน, 2538, หนา้ 26-30)
ลกั ษณะเฉพาะของหุ่น (lost chorocteristics)
ลกั ษณะและรูปร่างของพ้ืนจะข้ึนอยู่กับประเภทของรองเทา้ รองเทา้ แต่ละประเภท มี
ลกั ษณะเฉพาะท่ีตอ้ งการสร้างหุ่นใหเ้ หมาะสม แตกต่างกนั ตวั อยา่ งเช่น รองเทา้ ฟุตบอล ถา้ ใชท้ ุน
ทวั่ ไปทา กจ็ ะไม่เหมาะสมกบั สภาพท่ีใชง้ านผใู้ ชห้ รือนกั กีฬากจ็ ะรู้สึกไม่สะดวกเวลาใชแ้ ละควบคุม
ทิศทางการเตะลูกบอลไดล้ าบาก (สนนั่ เจริญข้ึน, 2538, หนา้ 30)
ความยาวหุ่น (length)
หุ่นเบอร์เดียวกนั อาจมีลกั ษณะสวนหัวแตกต่างกนั ซ่ึงข้ึนอยู่กบั แบบของรองเทา้ แต่ละ
ประเภท ถา้ ส่วนหัวของรองเทา้ เป็ นแบบแหลม ความยาวของหุ่นก็ยิ่งตอ้ งยาวข้ึนเพ่ือการ สวมใส่
สบายข้ึน (ดูตามรูปขา้ งล่าง) และรองเทา้ ที่มีส้นสูง ความยาวของหุ่นจะส้ันกว่าปกติ โดยประมาณ
แลว้ ความยาวที่หดไปน้ีอาจหดถึง 2 เบอร์ของรองเทา้ (17 มม. ) สาหรับรองเทา้ ส้นสูง
(สนนั่ เจริญข้นึ , 2538, หนา้ 30)
SPU CHONBURI 14
ภาพท่ี 10 รูปแสดงความยาวของหุ่น ซ่ึงเปลี่ยนแปลงไปตามลกั ษณะหวั ของรองเทา้ คือ ถา้
หวั ของรองเทา้ ยง่ิ แคบและแหลม ความยาวของหุ่นจะเพิ่มข้ึน
ภาพที่ 11 รูปแสดงถึงความแตกต่างของความสูงสน้ รูปบนมีความสูงนอ้ ยกวา่ รูปล่างคร่ึงหน่ึง คือ
35 มม. กบั 70 มม. ทางความยาวของหุ่นจะประมาณ 10 มม. โดยหุ่นท้งั สองตอ้ งเป็น หุ่นที่ทา
สาหรับรองเทา้ แบบเดียวกนั
เส้นรอบรูป (joint girth)
เส้นรอบรูปของหุ่นใชเ้ ป็นส่วนที่วดั ความพอดี (fitting) ของเทา้ ซ่ึงจะเปลี่ยน แปลงไปไม่
คงที่ ข้ึนอยู่กับความพอดีที่ตอ้ งการ แบบของรองเท้าและชนิดของวสั ดุที่ใช้ วสั ดุที่ใช้ ถา้ แข็ง
กระดา้ ง หุ่นจะตอ้ งทาให้สวนของเส้นรอบรูปให้กวา้ งมากกว่า วสั ดุแบบที่ยึดตวั ได้ หุ่น สาหรับ
แบบหล่อ ( mould) โดยเฉลี่ยทวั่ ไปจะทาให้เส้นรอบรูปกวา้ งมากกว่า รองเทา้ แบบ ทากาวติดพ้ืน
ธรรมดาเพราะตอ้ งเผื่อการหดตวั ของวสั ดุรองเทา้ ท่ีมีพ้ืนใน (rocker) หนา เส้น รอบรูปควรให้สูง
15
เพ่ือความหนาพิเศษของ socks ดงั กล่าวดว้ ย และท่ีสาคญั เสน้ รอบรูปของเทา้ ตอนบน (instep girth)
กบั เสน้ รอบรูปของเทา้ ตอนล่าง ( joint girth) จะสมั พนั ธ์กนั คือ ถา้ รองเทา้ ฟิ ตพอดีท่ี Joint girth แลว้
โดยเฉลี่ยจะฟิ ตพอดีที่ Instep girth ดว้ ย (โดยเฉพาะรองเทา้ แบบป่ ุมสน้ ทวั่ ไป) เพ่ือป้องกนั เทา้ เล่ือน
ไถลไปขา้ งหนา้ (สนนั่ เจริญข้ึน, 2538, หนา้ 33)
สวนเงยหัวหุ่น ( toe spring)
ส่วนเงยของหวั หุ่นมากหรือนอ้ ยข้ึนอยูก่ บั หลายอย่าง เช่น ความสูงส้นแบบของรอง เทา้
วสั ดุที่ใชท้ ารองเทา้ และความสามารถในการหกั งอ (flexibility) ของรองเทา้ เป็น ส่ิงสาคญั หลกั
รองเทา้ ที่มีส้นสูงมาก ส่วนเงยของหัวหุ่นก็ยิ่งน้อยลง เพ่ือช่วยในการหักงอเวลา เดิน
SPU CHONBURI
(รองเทา้ ที่สันสูงมาก จะตอ้ งการหักงอน้อยกว่ารองเทา้ ส้นเต้ีย) รองเทา้ ที่ใชว้ สั ดุแข็ง กระดา้ งก็
ตอ้ งการส่วนเงยหัวหุ่นมากกว่ารองเทา้ ท่ีใชว้ สั ดุนุ่ม ๆ ดว้ ยเหตุผลเพ่ือช่วยในการเดิน ถา้ วสั ดุแขง็
กระดา้ งมีการหกั งอไปกระทบกบั หนงั เทา้ เขา้ จะหาใหห้ นงั เทา้ บาดเจบ็
ส่วนเงยของหวั หุ่นจะตอ้ งเหมาะสมกบั วตั ถุประสงคข์ องการใชร้ องเทา้ เช่น รอง เทา้ เดิน
(walking shoes) ตอ้ งมีส่วนเงยมากกวา่ รองเทา้ ใชง้ านทว่ั ไป ส่วนรองเทา้ นกั เตน้ บลั เล่ยจ์ ะไม่มีส่วน
เงยเลย รองเทา้ ที่พ้ืนแขง็ กระดา้ งไม่สามารถหกั งอไดเ้ ลย เช่น พ้ืนไม้ เกี๊ยะหรือไมค้ อร์ค ตอ้ งมีส่วน
เงยที่เพียงพอที่จะเดินไดส้ ะดวก แต่ถา้ รองเทา้ ทาจากวสั ดุที่สามารถหกั งอไดม้ าก ส่วนเงยดา้ นหนา้ ก็
มีความจาเป็นนอ้ ยลง (สนนั่ เจริญข้ึน, 2538, หนา้ 33)
ความสูงส้น ( heel pitch)
ความสูงสน้ ของรองเทา้ เป็นลกั ษณะของแฟชน่ั เม่ือหุ่นทาข้ึนดว้ ยความสูงสน้ ที่ตายตวั
แลว้ จะทาใหค้ วามสูงรองเทา้ เปล่ียนไปจากเดิมไมไ่ ด้ เพราะจะทาใหส้ มดุลของรองเทา้ เสียไป ส่วน
เงยดา้ นหนา้ เปล่ียนไป จุดรับน้าหนกั ของเทา้ เสีย รองเทา้ จะพงั ก่อนถึงเวลาอนั ควร
Fig. 11 Lasts are normally made out of dry beechwood,
Plastic (high density polyethylene) or metal.
Most popular last construction are:
a. hinged last d. The and heel plated
b. Sliding hinge e. Waist plated
c. Scoop block f. Full plated
g. Special plastic or metal lasts for direct injection.
SPU CHONBURI 16
ภาพท่ี 12 รูปแสดงหุ่นรองเทา้ รูปแบบต่างๆ
ภาพที่ 13 รูปแสดงหุ่นรองเทา้
17
หุ่น ( lasts )
คาศพั ทท์ ่ีน่าสนใจของหุ่นรองเทา้
1. Stick length เป็นความยาวของหุ่นขณะที่สน้ ของหุ่นวางแตะพ้นื และวดั ความ ยาว
ขณะน้นั ตามรูป
2. Joint girth เป็นเสน้ รอบรูปของหุ่นตรงตาแหน่งโดยประมาณขอ้ ต่อกลางเทา้
(metotorso-pholongeol joints)
3. Instep girth เป็นการวดั เสน้ รอบรูปของหุ่นดา้ นบนข้ึนไปจากตาแหน่ง เป็นตาแหน่ง
ประมาณขอ้ ตอ่ ของกระดูกหลงั เทา้ ดา้ นบน
4. Long heel girth เป็นเสน้ รอบรูปที่วดั จากจุด Instep joint ดา้ นบน ของหุ่นไปยงั ขอบ
หุ่นดา้ นหลงั แลว้ กลบั มาท่ีจุด Instep ใหม่ ตามรูป
5. Toe spring and heel pitch เป็นระยะความสูงของดา้ นหวั ของหุ่นสูงจากพ้นื ในขณะที่
หุ่นวาง อยใู่ นตาแหน่งถกู ตอ้ งของมนั โดยมีความสูงสน้ Heel pitch ท่ีถูกตอ้ งดว้ ย ตามรูป
6. Recede เป็นซอกแคบ ๆ ท่ีหวั รองเทา้ มกั จะมีพวกรองเทา้ ประเภทหวั แหลม
และแบน ตามรูป
ความสัมพนั ธ์ระหว่างหุ่น (last) กบั เท้า (soot)
ถา้ หล่อรูปเทา้ ดว้ ยปูนพลาสเตอร์แลว้ นามาใชเ้ ป็ นหุ่นทารองเทา้ จะพบว่ารองเทา้ ท่ีไดจ้ ะ
ใชส้ วมใส่ไม่ได้ เน่ืองจากรองเทา้ น้นั คบั เกินไป เพราะไม่ยาวพอที่จะให้เทา้ เคล่ือนไหว มาขา้ งหนา้
ได้ และที่สน้ เทา้ กจ็ ะหลุดง่าย ดา้ นหวั รองเทา้ ก็เป็นรูปบุ๋มรับรูปเทา้ ไม่เรียบเหมือนรองเทา้ ปกติ จาก
เหตุผลดงั กล่าวพอที่จะสรุปไดว้ า่ รูปร่างของหุ่นตอ้ งแตกต่างจากเทา้ คน ซ่ึงจะอธิบายความแตกต่าง
และเหตุผลดงั ต่อไปน้ี
ความยาว (length)
หุ่นตอ้ งยาวกวา่ เทา้ ปกติ เพอ่ื ป้องกนั ไม่ใหป้ ลายเทา้ ชนเขา้ กบั ปลายของรองเทา้ ทาใหเ้ กิด
การเสียดสีเขา้ กบั หนา้ ผา เจบ็ ปลายเทา้ และเลบ็ หกั ได้ และถา้ สวมใส่นาน ๆ หวั นิ้ว เคา้ กจ็ ะคอเสียรูป
อยา่ งถาวร ตามรูป (สนนั่ เจริญข้ึน, 2538, หนา้ 36)
SPU CHONBURI
SPU CHONBURI 18
ภาพท่ี 14 รูปแสดงใหเ้ ห็นถึง เทา้ เดียวกนั แต่รองเทา้ คนละแบบ ขา้ งซา้ ยส้นั เกินไป หวั นิ้วโป้งถูเบียด
ให้เฉเขา้ ขา้ งขวารองเทา้ ยาวพอดี นิ้วเทา้ สามารถวางในตาแหน่งท่ีถูกตอ้ ง ความยาวของรองเทา้ ท่ี
ตอ้ งเผอื่ ไว้ ยง่ิ รองเทา้ มลายแหลมยง่ิ ตอ้ งเพือ่ ใหย้ าวมากกวา่ ปกติตามรูปหนา้
เส้นรอบรูปของเท้า (joint girth )
สาหรับผชู้ ายและเด็กเส้นรอบรูปเทา้ จะใกลเ้ คียงกบั เส้นรอบรูปของหุ่น แต่ความพอดีน้ี
ข้ึนอยกู่ บั โครงสร้างและวสั ดุท่ีใชท้ ารองเทา้ ดว้ ย สาหรับรองเทา้ ผหู้ ญิงน้นั เส้นรอบรูปของหุ่นและ
รองเทา้ จะแตกต่างกนั มาก ต้งั แต่ 10 มม.ข้ึนไปจนถึง 20 มม. เนื่องจากเหตุผลที่วา่ หุ่นของผหู้ ญิงน้นั
นิยมทาให้แคบและลึกกว่าหุ่นผชู้ าย เพ่ือที่จะทาให้รองเทา้ มีน้าหนกั เบาและรูป ทรงเพรียวสวยงาม
และการทาให้รูปร่างของพ้ืนมีลกั ษณะเขา้ ใกลว้ งกลมมากกว่ารูปเหล่ียม ผูท้ าหุ่นจะตอ้ งรักษา
พ้ืนท่ีหนา้ ตดั ของหุ่น (cross section) ไวใ้ หเ้ ท่าเดิมในขณะท่ีเสน้ รอบรูปจะเลก็ ลง ถึงแมว้ า่ เทา้ จะตอ้ ง
ถูกบงั คบั ใหเ้ ป็นไปตามรูปร่างของหุ่นกต็ าม
SPU CHONBURI 19
ภาพที่ 15 รูปแสดงพ้ืนท่ีหนา้ ตดั สองพ้ืนท่ีที่มีพ้ืนที่ใกลเ้ คียงกนั แต่รูปกวา้ งมีความกวา้ งมากกว่า รูป
แคบประมาณ 20% และมีเสน้ รอบรูป ( joint girth) มากกวา่ รูปแคบประมาณ 5% (สนน่ั เจริญข้ึน,
2538, หนา้ 36-38)
แนวขอบหุ่น ( featherline )
แนวขอบของหุ่นดา้ นบนมาบรรจบกบั ขอบของทอ้ งหุ่น โดยปกติจะเป็ นขอบโอบรอบ
ทอ้ งหุ่น ยกเวน้ ดา้ นอุง้ เทา้ ดา้ นในรองเทา้ บางประเภทตอ้ งการโครงสร้างพิเศษ แนวขอบหุ่นจะถูก
สร้างข้ึนมามีลกั ษณะเป็ นสองมุมน้ัน และพ้ืนท่ีเรียบระหว่างสองมุมน้ัน เรียกว่า ชายหรือบงั ใบ
(bevel) ลกั ษณะพิเศษน้ีช่วยในขบวนการทารองเทา้ น้นั ดูไดจ้ ากรูปขา้ งล่าง (สนน่ั เจริญข้ึน, 2538,
หนา้ 39)
ภาพที่ 16 แนวขอบหุ่น
20
ความกว้างของด้านบน (top width)
ขอบบนของหุ่นโดยปกติจะทาใหแ้ คบกวา่ เทา้ ปกติที่บริเวณเหนือส่วนป่ องของสน้ เทา้ ข้ึน
ไป (ตามรูป) ดว้ ยเหตุผลท่ีวา่ ตอ้ งการใหร้ องเทา้ ไม่หลุดจากเทา้ และตอ้ งการใหข้ อบบน ของรองเทา้
กระชบั เทา้ ไมโ่ ป่ งเวลาสวมใส่ (สนนั่ เจริญข้ึน, 2538, หนา้ 40)
ภาพที่ 17 ความกวา้ งของขอบหุ่น
SPU CHONBURI
SPU CHONBURI 21
ภาพท่ี 18 การวดั หุ่นรองเทา้
SPU CHONBURI 22
การแบ่งกรุ๊ป (group) รองเทา้ แบ่งออกเป็น 8 กรุ๊ปดงั น้ีคือ
กรุ๊ป 0 หรือ Infant จะเริ่มต้งั แตเ่ บอร์ 2, 3, 4, 5, 5
กรุ๊ป 1 หรือ Chindren จะเริ่มตน้ ต้งั แต่เบอร์ 6, 6 , 7, , 8, 8
กรุ๊ป 2 หรือ Chindren จะเริ่มต้งั แต่เบอร์ 9, 9 , 10, 10 , 11
กรุ๊ป 3 หรือ Chindren จะเริ่มต้งั แต่เบอร์ 11 ,, 12, 12 ,, 13, 13 , 1 , 1
กรุ๊ป 4 หรือ Juniors จะเริ่มต้งั แต่เบอร์ 2, 2 , 3, 3 , 4, 4 , 5, 5
กรุ๊ป 5 หรือ Women จะเริ่มต้งั แต่เบอร์ 2, 2 , 3, 3 , 4, 4 , 5, 5 , 6, 6 , 7. 7 , 8 รองเทา้
กรุ๊ป 5 คือรองเทา้ ที่มีความสูงของส้นรองเทา้ ไม่เกิน 25 มม.
กรุ๊ป 6 หรือ Women จะเริ่มต้งั แต่เบอร์ 2-8 เช่นเดียวกบั รองเทา้ กรุ๊ป 5 แต่จะตอ้ ง เป็น
รองเทา้ ท่ีมีความสูงของสน้ ระหวา่ ง 26-50 มม.
กรุ๊ป 7 หรือ Women หรือท่ีเราเรียกวา่ รองเทา้ แฟชน่ั จะเร่ิมต้งั แต่เบอร์ 2-8 เซน เดียวกบั
รองเทา้ กรู๊ป 5, 6 แต่เป็นรองเทา้ ท่ีมีความสูงของสน้ ต้งั แต่ 51 มม. ข้ึนไป
กรุ๊ป 8 หรือ Men’s จะเริ่มต้งั แต่เบอร์ 6, 6 , 7, 7 , 8, 8 , 9, 9 , 10, 10 , 11, 11 , 12
(สนนั่ เจริญข้นึ , 2538, หนา้ 44)
เคร่ืองมือท่ีใช้ในการออกแบบรองเท้า
1. หุ่น (last)
2. เทปกาว 3/4" (scotch tape)
3. มีดตดั แบบ (knives hand cut)
4. ฟตุ เหลก็ (steel ruller)
5. กระดาษทาแบบ (paper pattern)
6. ดีไวเดอร์ (divider)
7. กบเหลาดินสอ (sharpening stone)
8. ดินสอ (pencil)
9. ยางลบ (rubber)
10. แผน่ ยางรองตดั (cutting matt)
11. เทปวดั หุ่น (pama-gpa shoe lasts) (สนนั่ เจริญข้ึน, 2538, หนา้ 45)
SPU CHONBURI 23
ส่วนเงยหน้าหุ่น (tee spring) และความสูงส้น ( heel pitch)
ปกติแลว้ หุ่นจะมีความสูงของสน้ ซ่ึงจะสูงเท่าใดข้ึนอยกู่ บั แบบรองเทา้ ยกเวน้ รอง เจา้ ของ
นกั เตน้ บลั เลยจ์ ะไม่มีความสูงสน้ ส่วนเงยหนา้ หุ่นจะทาข้ึนเพ่อื วตั ถุประสงคเ์ พอื่ ช่วยในการสวมใส่
ลดความแขง็ กระดา้ งของรองเทา้ และยงั ช่วยไม่ใหส้ ดุดพ้ืนเวลาเดิน ดงั น้นั หุ่นจึง ถูกทาข้ึนใหม้ ีส่วน
เงยดา้ นหนา้ ข้นึ เลก็ นอ้ ย
ความเรียบของผวิ และขอบหุ่น (smooth surface and Outline)
ปกติหุ่นจะถูกทาใหม้ ีผวิ และขอบเรียบ จะมีป่ ุมหรือส่วนโหนกนูนเหมือนเทา้ ปกติ เช่นดา้ นหนา้ ของ
พ้ืนรองเทา้ จะไม่ทาเป็นส่วนนูนและเวา้ เหมือนนิ้วเทา้ จริง
ส่วนโคง้ ของทอ้ งหุ่น ( bottom curvature)
ส่วนล่างของเทา้ (ฝ่ าเทา้ ) ในขณะที่รับน้าหนกั ตวั จะมีลกั ษณะแบนเรียบในส่วนท่ีถ่ายทอดน้าหนกั
ลงสู่พ้ืน แต่การทาหุ่นโดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ บริเวณดา้ นหนา้ จะทาเป็นสวนโคง้ เลก็ นอ้ ยเพื่อสะดวกใน
ขบวนการผลิต เมื่อเวลาเขา้ พ้นื หลงั จากหนา้ ผา้ เขา้ ไปติดกบั อิลโซลแลว้ จะตอ้ งมีการขดั ผวิ ของหนา้
ผา้ ส่วนน้นั ออกเพอ่ื ทากาวติดกบั พ้ืน ถา้ ผวิ ของทอ้ งหุ่นเรียบจะทาใหพ้ ้ืน ของรองเทา้ หลงั ติดแลว้ เวา้
ลงพ้ืนรองเทา้ ดูไม่สวย (สนนั่ เจริญข้ึน, 2538, หนา้ 45-46)
ความเปลยี่ นแปลงของความฟิ ตของรองเท้า ซ่ึงเกิดจากวสั ดุท่ีใชแ้ ละวธิ ีการของรองเทา้
ถา้ เราสุ่มตวั อยา่ งของหุ่นข้ึนมา 1 คู่แลว้ ใชท้ ารองเทา้ ดว้ ยวสั ดุหลาย ๆ ประเภท และดว้ ย
กรรมวิธีการผลิตต่าง ๆ กนั รองเทา้ ท่ีไดจ้ ะมีความฟิ ตในการสวมใส่ท่ีแตกต่างกนั ดว้ ย ซ่ึงแมว้ า่ จะทา
ข้ึนจากหุ่นเดียวกนั มีปริมาตรเท่ากนั ก็ตาม การเปลี่ยนแปลงจะเกิดข้ึนต้งั แต่ถอดรองเทา้ ออกจากหุ่น
ประกอบเป็นรองเทา้ ก่อนขายหรือขณะนาไปสวมใส่ (สนนั่ เจริญข้ึน, 2538, หนา้ 45)
นักออกแบบรองเท้ามักมีปัญหาในการตดั สินใจว่าวสั ดุชนิดไหน และกรรมวิธีการ
ประกอบรองเทา้ แบบใดจะมีผลต่อการสวมใส่อย่างไรบา้ ง ซ่ึงเป็ นไปไม่ไดถ้ า้ จะบอกดว้ ยการเห็น
วสั ดุเฉย ๆ ถึงแมจ้ ะแน่ใจวา่ วสั ดุน้นั เป็น พ.ี วี.ซี. พี.วี.ซี. ก็มีหลายชนิดแบบมีรูพรุนและ และแบบไม่
มีรูพรุน และผา้ ประกบดา้ นล่างเป็นผา้ แบบเสน้ ใยหรือแบบทอหรือแบบน๊ิตติ้ง สิ่งเหล่า น้ีจะมีผลต่อ
ความฟิ ตของรองเทา้ ท้งั สิ้น มีสิ่งท่ีน่าสังเกตง่าย ๆ บางอยา่ งเพื่อช่วยในการออกแบบรองเทา้ ให้ได้
ความฟิ ตท่ีตอ้ งการ (สนนั่ เจริญข้ึน, 2538, หนา้ 47)
หนงั ธรรมชาติ ( leather)
หนงั ธรรมชาติเป็นวสั ดุที่คนนิยมนามาใชท้ ารองเทา้ หนงั ธรรมชาติมีลกั ษณะโครงสร้างเป็นของวา่ ง
ช่วยในการดูดซับเหง่ือ ระบายความข้ึนออกให้แห้งและถ่ายเทอากาศได้ รองเทา้ ท่ีทาดว้ ยหนัง
ธรรมชาติบริเวณโหนกนูนของเทา้ ถา้ ไม่มากนกั หนงั ธรรมชาติจะยงั คงรักษารูปทรงเดิมไวไ้ ด้ แต่ถา้
มีแรงดนั มากหนงั ธรรมชาติกจ็ ะยดึ ตวั ออกรับกบั รูปทรงของรองเทา้ รองเทา้ ท่ีทาดว้ ยหนงั ธรรมชาติ
SPU CHONBURI 24
ถา้ พบว่าเส้นรอบรูปเทา้ มากกว่าปกติ ถา้ ไม่มากนกั ก็ไม่จาเป็ นตอ้ งเสริมเส้นรอบรูปให้มากตามไป
ดว้ ย เพราะหลงั การสวมใส่ หนงั ธรรมชาติจะปรับตวั ยดื รับกบั สน้ เทา้ ได้
หนงั สงั เคราะห์ (synthetic materials) or (poromerics)
มีหลายชนิดซ่ึงพยายามทาข้ึนมาเลียนแบบหนังธรรมชาติ สะดวกกับการใช้ผลิตรอง เท้า มี
ความสามารถถ่ายเทอากาศได้ ( permeability) แต่ไม่เหมือนหนงั ธรรมชาติท่ีว่า หนงั Poromerics มี
คุณสมบตั ิในการยดื หยนุ เม่ือสวมใส่จะยดึ ได้ แต่ถอดออกจะหดกลบั คืนรูป เมื่อนามาใส่อีกวสั ดุกจ็ ะ
ยดื ออกอีก ดงั น้นั ความคิดเริ่มแรกเป็ นสิ่งจาเป็ นมากและจะเปลี่ยนแปลงไปเม่ือสวมใส่นาน ๆ เขา้
ผอู้ อกแบบตอ้ งแน่ใจวา่ ตอนขายใหล้ ูกคา้ จะตอ้ งมีปริมาตรขา้ งในเพยี งพอกบั เทา้ ท่ีจะสวมใส่
P.V.C และ P.U coated fabrics
มีหลายคุณภาพ แบบนุ่มและแขง็ กระดา้ ง อากาศผา่ นไม่ได้ ทาให้ร้อนเวลาสวมใส่ มีคุณสมบตั ิใน
การยืดหย่นุ คลา้ ย Poromerics ผลิตรองเทา้ ปริมาณมาก ๆ ไดส้ ะดวก ตน้ ทุนต่ากว่าหนงั ธรรมชาติ
เหมาะกบั เมืองหนาว ความฟิ ตตอนทาตอ้ งพอดีท่ีจะทาให้สวมใส่สบายเทา้ แมว้ ่าหนงั ธรรมชาติจะ
เกิดรอยพบั เม่ืองอรองเทา้ แต่หนังพวก พีวีซี หรือ พียู ก็อาจเกิดรอยพบั ไดแ้ ละถา้ ลึกเกินไปก็จะ
ทาลายผวิ หนงั เทา้ ทาใหส้ วมใส่ไม่สบาย (สนนั่ เจริญข้ึน, 2538, หนา้ 47)
ผลของกรรมวธิ ีการผลติ ทจ่ี ะมีผลต่อความฟิ ตของรองเท้า
สิ่งแรกท่ีจะมีผลต่อความฟิ ตของรองเทา้ คือส่วนโคง้ ล่างดา้ นในรองเทา้ กรร วิธีผลิตแบบ
ทากาวติด (cold cemented) จะมีวสั ดุกนั อยรู่ ะหว่างพ้ืนกบั พ้ืนใน (insole) ซ่ึง เรียกวา่ Filler ถา้ แขง็
เกินไปจะทาใหส้ วมใส่ไม่สบาย รองเทา้ ประเภทหล่อ ( mould) ถึงแมจ้ ะไม่มีช่องว่างดงั กล่าวจะถูก
แทนท่ีดว้ ยวสั ดุของพ้ืนซ่ึงค่อนขา้ งแขง็ และไม่ยบุ ตวั ลงเวลาสวมใส่ ซ่ึงจะทาให้สวมใส่ไม่สบาย
เช่นกนั
ถา้ ส่วนโคง้ ทอ้ งรองเทา้ มีมากเกินไป เวลาสวมใส่และยนื บนพรมหนา ๆ จะไม่เป็น ไร แต่
ถา้ ยืนบนพ้ืนแข็ง ๆ พ้ืนของรองเทา้ จะแบนข้ึนเพราะรับน้าหนักจากเทา้ จะทาให้เน้ือที่ภายใน
รองเทา้ ลดลง ทาใหส้ วมใส่ไม่สบาย (เกิดข้ึนเฉพาะรองเทา้ ท่ีพ้นื ไม่หนานกั )
หากสงั เกตดูที่เทา้ ของคนแต่ละคนไม่เท่ากนั ที่เดียว ถึงแมว้ า่ จะมีนิ้วเทา้ 5 นิ้ว เหมือนกนั
แต่รูปทรงก็จะแตกต่างกนั ดูง่าย ๆ จากส่วนอุม้ เทา้ เปี ยก ๆ ไปเหยียบลงพ้ืนปูนแห้ง ๆ จะไดภ้ าพ
พมิ พข์ องพ้ืนเทาซ่ึงแบ่งออกไดเ้ ป็น 3 ลกั ษณะ คือ
1. High arch มีอุง้ เทา้ โคง้ มาก
2. Normal arch มีอุง้ เทา้ โคง้ พอสมควรเรียกวา่ ปกติ
3. Low arch มีอุง้ เทา้ เวา้ นอ้ ยเกือบจะแบนราบติดกบั พ้ืน
SPU CHONBURI 25
เทา้ ท้งั 3 ลกั ษณะน้ีใช่ว่าจะไม่สาคญั แต่จะมีผลอยา่ งมากต่อการทรงตวั เช่น ว่าถา้ เทา้ มี
ลกั ษณะเป็นแบบ High arch และยง่ิ แขง็ ดว้ ยแลว้ ละก็ เท่าน้นั จะมีลกั ษณะท่ีคลา้ ย งออยทู่ าใหก้ ระทบ
กบั พ้ืนไดน้ อ้ ย น้าหนกั ตวั จึงลงไดไ้ ม่ทวั่ ทุกจุด แต่ถา้ ท่ีเทา้ แบบ Low arch กจ็ ะแบนติดสิ้น หากแบน
มากไปจะมีปัญหาต่อหัวเขาและเทา้ จึงควรใช้รองเทา้ แบบเสริมอุง้ เทา้ ให้สูงข้ึนหากมีเทา้ แบบ
Normal arch กน็ บั วา่ ปกติเหมือนคนปกติทว่ั ไป แต่เทา้ ปกติน้ีกไ็ ม่ สามารถใชร้ องเทา้ ไดท้ ุกประเภท
จะทดลองอีกวธิ ีหน่ึงคือประทบั รอยเทา้ ท้งั 2 ขา้ ง ดูท้งั ขณะนง่ั และยนื เพ่ือเปรียบเทียบกนั
ถา้ ตอนยืนน้นั แบนกว่าตอนนงั่ แสดงว่าเทา้ น้ันปรับตวั ยืดหยุน่ ไดด้ ีซ่ึงจะมีผลต่อการเลือกรองเทา้
ทาใหไ้ ม่มีปัญหามากนกั
เร่ืองของเทา้ ไม่ใช่เรื่องเลก็ ๆ ถึงแมว้ ่ามนั จะอยไู่ กลจากสายตา แต่ก็ไม่ควรปล่อยปละละ
ทิ้งเดด็ ขาด เพราะว่าโครงสร้างของเทา้ น้นั มีกระดูกชิ้นเลก็ ๆ อยถู่ ึง 26 ชิ้น พร้อมท้งั กลา้ มเน้ือและ
เน้ือเยอ่ื ท่ีตอ้ งคอยยดึ อีก (สนนั่ เจริญข้ึน, 2538, หนา้ 47)
เทา้ ของแต่ละคนนอกจากจะมีลกั ษณะอุง้ เทา้ ต่างกนั แลว้ การทิ้งน้าหนกั ยงั ไม่เหมือนกนั
คือ
ทิ้งลงท่ีสนั เทา้ (rearfoot striker)
กลางเทา้ (midfoot striker)
ปลายเทา้ (forfoot striker)
มนั จะมีผลต่อการใส่รองเทา้ ไม่เหมือนกนั รองเทา้ มีการออกแบบอย่างดีและถูกตอ้ งกบั
สรีระจะแบ่งไวเ้ ลยว่าแบบไหนสาหรับการทิ้งน้าหนักตวั อย่างไรจะตอ้ งมีเคร่ืองเสริมอะไร และ
ตรงไหนบา้ งเพ่ือจะเคลื่อนไหวไดอ้ ย่างคล่องตวั ไม่มีผลกระทบกระเทือนต่อหัวเขา นกั ออกแบบ
รองเทา้ จึงตอ้ งคานึงถึงจุดสาคญั คือ "การถ่ายน้าหนักความกระชบั นุ่ม การระบายอากาศ และ
ปฏิกริยาทางเคมีที่จะเกิดข้ึนกบั เทา้ " (สนนั่ เจริญข้ึน, 2538, หนา้ 52-53)
การถ่ายนา้ หนักและความยืดหยุ่นตวั ของรองเท้า
สาหรับนักกีฬาผูอ้ อกกาลังกายแต่ละบุคคลน้ัน มีผลสะท้อนอย่างสาคญั อย่างยิ่งต่อ
ประสิทธิภาพการเคลื่อนไหวร่างกายและสุขภาพของผอู้ อกกาลงั กาย โดยเฉพาะในระหว่างท่ีกาลงั
ปฏิบตั ิการเคลื่อนไหวเล่นกีฬา หรือออกกาลงั กายอยขู่ อ้ ต่อส่วนต่าง ๆ ท่ีสาคญั ของร่างกาย ไดแ้ ก่ขอ้
เทา้ ขอ้ ต่อหวั เข่า ซ่ึงเป็นส่วนที่ใชใ้ นการเคล่ือนไหวและรับน้าหนกั ของร่างกายมาก กว่าขอต่อส่วน
อื่น ๆ ท้งั หมด จะทาหนา้ ที่รับแรงกระแทกอยตู่ ลอดเวลาที่ทาการเคล่ือนไหวร่างกาย ท้งั น้ีจะมีความ
รุนแรงมากน้อยเพียงใดข้ึนอยู่กบั ลกั ษณะและจงั หวะของการเคล่ือนไหวร่างกาย เป็ นสาคญั หาก
เป็นการเคลื่อนไหวท่ีรวดเร็วฉบั ไวและมีการเปลี่ยนแปลงทิศทางอยเู่ สมอขอ้ เทา้ จะ ตอ้ งรับน้าหนกั
รวมท้งั แรงบิดหมุนและแรงปะทะจากภายนอกมากข้ึน ในขณะออกกาลงั การออกแรงยนั พ้ืนเพ่ือ
SPU CHONBURI 26
เปลี่ยนจงั หวะและทิศทางการเคล่ือนไหวดว้ ยเหตุน้ี แรงบิดหมุนและแรงกระแทกที่เกิดข้ึนกบั ขอ้
เทา้ และขอ้ เขา้ ขณะน้นั จึงมากกว่าปกติ ย่งิ ถา้ หากในการเคล่ือนไหวน้นั มีการกระ โดดข้ึนลงเขา้ มา
เก่ียวขอ้ งร่วมอยดู่ ว้ ยแรงกระแทกท่ีเกิดข้ึนกบั ขอ้ เทา้ และขอเขาก็จะยง่ิ เพิ่มมากข้ึน และถา้ ยงิ่ เป็นแรง
กระแทกที่เกิดข้ึนซ้าแลว้ ซ้าเล่าติดต่อกนั หลาย ๆ คร้ังเป็ นเวลานาน ๆ ก็จะยง่ิ มีผลทาให้เกิดการสึก
หรอชารุดเสียหายหรือเกิดการบาดเจบ็ เป็นอนั ตรายแก่ขอ้ ต่อส่วนท่ีรับ แรงกระแทกน้นั ไดม้ ากยง่ิ ข้ึน
การจดั ส่วนร่างกายหรือปรับอิริยาบทในขณะเคลื่อนไหวให้อยู่ในลกั ษณะสมดุล ก็นับว่าเป็ นทาง
หน่ึงท่ีจะช่วยลดแรงกระแทกที่จะเกิดข้ึนกบั ขอ้ ต่อ โดยเฉพาะที่ขอ้ เทา้ และขอ้ เขาไดบ้ า้ งไม่มากก็
นอ้ ย นอกจากน้ี รองเทา้ ท่ีใชส้ วมใส่ในขณะเคลื่อนไหวก็นบั ว่ามีบทบาทสาคญั ต่อการท่ีจะช่วยลด
แรงกระแทก และการบาดเจบ็ ที่อาจจะเกิดข้ึนเป็นอนั ตรายแก่ขอ้ เทา้ ลง ไดม้ ิใช่นอ้ ย อีกท้งั ยงั มีส่วน
ช่วยยืดระยะเวลาการทางานของขอ้ ต่อและกลา้ มเน้ือ ทาให้เกิดอาการเหน็ดเหน่ือยเม่ือยลา้ อนั
เนื่องมาจากการท่ีตอ้ งรับแรงกระแทกจากการเคลื่อนไหวแลว้ ซ้าอีกนอ้ ยกวา่ หรือชา้ กวา่ ที่มิไดส้ วม
ใส่รองเทา้ ที่สาคญั ก็คือ "รองเทา้ ที่เลือกสวมใส่จะตอ้ งมีคุณภาพ และคุณสมบตั ิเหมาะสมกบั การใช้
งานดว้ ย" (สนนั่ เจริญข้ึน, 2538, หนา้ 61)
ความหยุ่นตวั ของรองเท้า
นับได้ว่าเป็ นคุณสมบตั ิที่สาคญั อีกประการหน่ึง ในอนั ที่จะช่วยลดแรงกระแทก ซ่ึงมี
ผลกระทบกระเทือนในการฝึ กซอ้ มกีฬาหรือการออกกาลงั กายบนพ้ืนสนามท่ีแขง็ มาก ๆ เช่น การ
เล่นบาสเกตบอล วอลเลยบ์ อล เทนนิส แบดมินตนั หรือแมแ้ ต่กระโดดเชือกบนพ้ืนสนามที่เป็ น
คอนกรีต แรงกระแทกท่ีเกิดข้ึนจากการเคลื่อนไหวรับน้าหนกั ตวั ของขอ้ เทา้ และขอเข่า จะ มากกว่า
แรงกระแทกท่ีเกิดจากการเคลื่อนไหวบนพ้ืนสนามหญา้ หรือสนามที่ทาดว้ ยไมป้ าร์เก้ ดงั น้นั ความ
หยนุ่ ตวั ของรองเทา้ จึงมีส่วนสาคญั ในการช่วยผอ่ นแรงกระแทกและรักษาขอ้ เทา้ และขอ้ เข่า ไม่ให้
ตอ้ งรับแรงปะทะมากเกินควรซ่ึงอาจจะก่อใหเ้ กิดเป็นอนั ตรายแก่ขอส่วนน้นั ไดน้ อกจากน้ี การสวม
ถุงเทา้ ที่มีความหนาพอสมควร ก็จะย่ิงเพิ่มความหยนุ่ ตวั และลดแรงกระแทกท่ีจะเกิดข้ึนกบั ขอ้ เทา้
และขอเขาไดม้ ากย่ิงข้ึน ดว้ ยเหตุน้ีจึงอาจกล่าวไดว้ ่า "ท้งั รองเทา้ และถุงเทา้ ท่ีใชส้ วมใส่ในเวลา
ฝึ กซอ้ มกีฬาหรือออกกาลงั กายน้ันนอกจากจะช่วยป้องกนั อนั ตรายที่อาจจะเกิดข้ึนกบั เทา้ แลว้ ยงั
สามารถทาหนา้ ที่เปรียบเสมือนกนั ชนท่ีช่วยลดแรงกระแทกให้กบั ขอ้ เทา้ และขอ้ เขา้ ได้ อย่างดีอีก
ดว้ ย อยา่ งไรก็ตามรองเทา้ ที่เลือกใชค้ วรมีน้าหนกั เบานุ่มกระชบั เทา้ และมีความหยนุ่ ตวั พอสมควร
พ้ืนรองเทา้ จะตอ้ งไม่แขง็ หรือนิ่มจนทาใหเ้ สียรูปทรงในเวลาเคล่ือนไหว ท้งั น้ี เพราะความหยนุ่ ตวั
ที่มากหรือนอ้ ยเกินไป นอกจากจะไม่ช่วยป้องกนั รักษาและถนอมขอ้ เขา้ แลว้ ยงั กลบั จะมีผลช่วยเร่ง
ให้เกิดความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยลา้ และเกิดการบาดเจ็บเป็ นอนั ตรายแก่ขอ้ เทา้ ง่ายย่ิงข้ึนดว้ ย ที่เป็ น
เช่นน้ีเพราะรองเทา้ ท่ีมีพ้ืนแขง็ หรือนิ่มจนเกินไปน้นั นอกจากจะไม่ช่วยลดแรงกระแทกที่เกิดกบั ขอ้
SPU CHONBURI 27
เท้าแลว้ ยงั จะทาให้เสียการทรงตัวได้ง่ายในเวลาที่เปลี่ยนจังหวะหรือทิศทางการเคลื่อนไหว
โดยเฉพาะเวลาที่ตอ้ งหยุดอย่างรวดเร็วกะทนั หันเพ่ือกลบั ตวั หรือเปลี่ยนอิริยาบทของร่างกายใหม่
ลกั ษณะเช่นน้ีอาจจะเปรียบเทียบไดก้ บั ยางรถยนตท์ ่ีเติมลมมากจนแขง็ เกินไป เมื่อวิ่งบนผวิ พ้ืนถนน
ที่ขรุขระ กจ็ ะทาใหเ้ กิดการสน่ั สะเทือนมากกวา่ ปกติ เพราะยางซ่ึงเติมลมจนแขง็ เกินไปน้นั มิไดช้ ่วย
ยอ่ นหรือลดแรงกระแทกเวลาที่รถตกหลุมแต่อยา่ งใด ตรงกนั ขา้ มยง่ิ กลบั ทาใหเ้ กิดแรงกระแทกแก่
ลอ้ และเพลามากข้ึน มีผลทาให้เกิดการสึกหรอชารุดเสียหายแก่ ช่วงล่างของรถเร็วข้ึน และเม่ือ
จาเป็ นตอ้ งหยุดรถอย่างกระทนั หัน ก็จะทาให้รถเสียหลกั ลื่นไถลไม่หยุดน่ิงในระยะทางอนั ควร
เพราะยางที่แขง็ เกินไปจะทาให้ขาดคุณสมบตั ิในการยดึ เกาะถนน และเสียความหยุน่ ตวั ไปทานอง
เดียวกบั ยางที่อ่อนนิ่ม เพราะมีลมอยใู่ นยางนอ้ ยเกินไปน้นั ก็จะมีผลทาให้เกิดความหยนุ่ ตวั มากกว่า
ปกติ เม่ือรถวง่ิ ตกหลุมหรือ ตอ้ งรับแรงกระแทกมาก ๆ กไ็ ม่อาจท่ีจะช่วยผอ่ นความกระเทือนอนั เกิด
จากแรงกระแทกน้ันลง ได้ ผลก็คือ ทาให้เกิดการเสื่อมสภาพชารุดเสียหายแก่ช่วงล่าง ของรถเร็ว
กวา่ ปกติ เช่นกนั และจะทาใหเ้ สียการทรงตวั ไดง้ ่าย เม่ือจาเป็นตอ้ งหยดุ อยา่ งกระทนั หนั เพราะยางท่ี
อ่อนนิ่มเกินไปจะเสียรูปทรงไดง้ ่ายเม่ือตอ้ งรับแรงปะทะ อีกท้งั การยึดเกาะถนนก็จะไม่ดีเท่าที่ควร
พ้ืนรองเทา้ ก็เขา้ ลกั ษณะเช่นเดียวกนั หากมีความหยุน่ ตวั มากหรือนอ้ ยเกินไปก็จะบงั เกิดผลเสียต่อ
การเคล่ือนไหวและการทรงตวั ซ่ึงมีผลเก่ียวขอ้ งไปถึงการรับแรงกระแทกของขอ้ เทา้ และขอ้
เขา่ ดว้ ย
การเลือกใช้รองเทา้ ผิดประเภทหรือไม่เหมาะสมกบั ลกั ษณะของการเคลื่อนไหว ออก
กาลงั กายก็อาจก่อให้เกิดผลเสียต่อร่างกาย โดยเฉพาะกบั ขอ้ เทา้ และขอ้ เข่าเช่นกนั พ้ืนรองเทา้ ท่ีทา
จากยางดิบหรือยางแทจ้ ะมีความหยนุ่ ตวั ดีกว่าพ้ืนรองเทา้ ที่ทาจากวสั ดุเทียม แต่ความหนาทนทาน
ต่อการเสียดสีสึกหรอน้ัน พ้ืนรองเทา้ ที่ทาจากวสั ดุยางเทียม จะมีความทนทานดีว่าดงั น้ันในการ
เลือกใชร้ องเทา้ เพอ่ื การฝึกซอ้ มหรือเล่นออกกาลงั กาย จึงควรจะไดพ้ ิจารณาเลือกใชใ้ หเ้ หมาะสมกบั
ประเภทกีฬา
พ้ืนรองเทา้ ภายในของรองเทา้ กม็ ีความสาคญั ต่อความหยนุ่ ตวั และช่วยลดแรงกระแทก ได้
ดว้ ยเช่นกนั ดงั น้ันจึงควรเลือกใชร้ องเทา้ ท่ีมีพ้ืนรองเทา้ ช้นั ในซ่ึงทาจากยางเป็ นแผ่นบาง ๆ คลาย
ร่องน้าเป็ นเบาะ (cushion) อยภู่ ายในเหนือพ้ืนยางอีกช้นั หน่ึงจะเหมาะและทาใหร้ ู้สึกนุ่มสบายเทา้
มากกว่าไม่มี นอกจากหมอนหนุนที่ตรงบริเวณส่วนโคง้ ของฝ่ าเทา้ (planta arccushion) ซ่ึงปัจจุบนั
รองเทา้ กีฬาส่วนมากไดเ้ สริมเขา้ ไปในตวั รองเทา้ ดว้ ยน้นั ก็มีส่วนช่วยลด ความเม่ือยลา้ ท่ีเกิดกบั ฝ่ า
เทา้ ลงได้มากท้ังยงั ช่วยให้กระชับเท้ายิ่งข้ึนด้วย : สาหรับตวั รองเทา้ น้ัน ถึงแม้จะมีผลต่อการ
เคลื่อนไหวในดา้ นการยดึ เกาะและการทรงตวั นอ้ ยกว่าพ้ืนรองเทา้ ก็ตาม แต่สิ่งท่ีควรนามาประกอบ
ในการพิจารณาเลือกใชร้ องเทา้ ก็คือ "ตวั รองเทา้ ควรจะทาดว้ ยวสั ดุท่ีมีน้าหนักนอ้ ย แต่มีความ
SPU CHONBURI 28
ทนทานพอสมควร เวลาที่สวมใส่แลว้ รู้สึกเบาสบายมีความคล่องตวั ในการเคลื่อนไหว ซ่ึงจะทาให้
ความเมื่อยลา้ เกิดข้ึนชา้ กวา่ รองเทา้ ที่มีน้าหนกั มาก นอกจากน้ีท่ีตวั รองเทา้ ควรจะมีช่องหรือรูสาหรับ
การระบายอากาศ (ventilation) อยบู่ า้ งพอสมควรเพ่ือช่วยในการถ่ายเทและระบายความร้อน หรือ
การระเหยของเหง่ือท่ีเกิดข้ึนภายในรองเทา้ ออกสู่ภายนอกไดส้ ะดวกและรวดเร็วข้ึนป้องกนั การอบั
ช้ืนของรองเทา้ อนั จะมีผลต่อสุขภาพและการทางานของเทา้ ดว้ ยกนั ยิ่งไปกว่าน้ันรูปร่างของตวั
รองเทา้ ก็นบั ว่ามีส่วนสาคญั ที่จะทาใหผ้ ใู้ ชส้ วมใส่แลว้ เกิดความรู้สึกสบายเทา้ ไม่บีบรัดหรือหลวม
จนเกินไป หากสังเกตจะพบว่าตวั รองเทา้ กีฬาที่ผลิตจากประเทศในแถบตะวนั ออกกบั ตะวนั ตกมี
ความแตกต่างกนั โดย เฉพาะบริเวณส่วนหวั ของรองเทา้ จะมีลกั ษณะบานบา้ น กลมมนหรือเลก็ เรียว
ไม่เหมือนกนั ท้งั น้ี ข้ึนอยู่กบั การออกแบบให้เหมาะสมกบั โครงร่างเจา้ ของคนในประเทศซีกโลก
แถบน้ันเป็ นสาคญั ดังน้ันการเลือกใชร้ องเทา้ ท่ีมีขนาดรูปร่างเหมาะสมกบั เทา้ ของคนในแต่ละ
บุคคล จึงเป็ นสิ่ง สาคญั ท่ีส่งผลต่อเนื่องไปถึงประสิทธิภาพในการเคลื่อนไหวและสุขภาพความ
ปลอดภยั ของผสู้ วมใส่ดว้ ย
การเลือกใชร้ องเทา้ โดยมุ่งยดึ แต่เพียงความสวยงามของรูปร่าง ไม่คานึงถึงประโยชน์การ
ใชง้ านและผลท่ีจะเกิดข้ึนกบั ร่างกายในดา้ นสุขภาพความปลอดภยั ของขอ้ เทา้ บา้ เลยน้นั กน็ บั วา่ เป็น
การเสี่ยงต่อการจะมีโอกาสไดร้ ับอนั ตราย หรือการบาดเจ็บท่ีจะเกิดข้ึนกบั ขอ้ ต่อในส่วนดงั กล่าว
นอกจากน้ีพ้ืนรองเทา้ ที่หนาหรือสูงเกินควรก็เป็ นทางหน่ึงท่ีจะก่อให้เกิดความเมื่อยลา้ ข้ึนท่ีขอ้ ต่อ
ของเทา้ เร็วข้ึน และมีโอกาสนาไปสู่การพลิกแพลงท่ีเป็ นอนั ตรายแก่ขอ้ ต่อไดง้ ่ายดงั น้ันจึงควรมี
ความพิถีพิถนั ในการเลือกใชร้ องเทา้ บา้ งพอสมควรดว้ ยการเลือกใชเ้ หมาะสมกบั ประเภทการใชง้ าน
หรือการเคล่ือนไหวออกกาลงั กาย ท้งั ขนาดรูปร่างก็ควรเหมาะสมกบั เทา้ สวมใส่แลว้ รู้สึกสบาย
กระชับเทา้ ไม่มีบีบลดั หรือหลวมจนเกินไปน้าหนักเบาและมีความ หยุ่นตวั พอสมควร สามารถ
ระบายถ่ายเทอากาศไดส้ ะดวกทนทานและยดึ เกาะพ้ืนไดด้ ีไม่ลื่นเวลาเปลี่ยนทิศทางการเคล่ือนไหว
เร็ว ๆ อยา่ งไรกต็ ามนอกเหนือจากรองเทา้ แลว้ ลกั ษณะของการวางเทา้ ในขณะเคลื่อนไหวเล่นกีฬา
หรือออกกาลงั กายน้ันควรวางเทา้ โดยให้น้าหนักตวั อยู่บนฝ่ าเทา้ หรือทางดา้ นปลายเทา้ ดา้ นใน
(medial side) ตรงบริเวณฝ่ าเทา้ ใตห้ ัวแม่เทา้ (bal1 of great toes) ซ่ึงนอกจากจะช่วยผอ่ นแรง
กระแทกท่ีจะเกิดข้ึนกับขอ้ เทา้ และหัวเข่าลงได้บ้างพอสมควรแลว้ ยงั ช่วยให้สามารถทาการ
เคล่ือนไหวไดส้ ะดวกและรวดเร็วข้ึนดว้ ย
การถ่ายน้าหนกั จะเป็นเรื่องที่สาคญั ที่สุดโดยทว่ั ๆ ไปเวลาเรายนื น้าหนกั จะถ่ายลงท่ีปลาย
เทา้ และสนเทา้ แต่ถา้ ใหน้ ้าหนกั ลงท่ีหลงั เทา้ มากเวลาเคล่ือนท่ีเราจะตอ้ งถ่ายน้าหนกั มาท่ีปลายเทา้
มากจึงทาให้เสียเวลา ฉะน้นั จึงตอ้ งออกแบบให้ เลก็ นอ้ ยโดยการใชท้ ่ีรองอุง้ เทา้ ช่วยไม่ใหน้ ้าหนกั
SPU CHONBURI 29
ลงเต็มท่ีเวลาเล่นกีฬาจะเคลื่อนตวั เปล่ียนเทา้ ไดส้ ะดวกรวดเร็วและ ถา้ ไดเ้ ดินธรรมดาก็จะกระชบั
เทา้
อุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ช่วยให้ความนุ่มแก่เทา้ ก็เป็ นสิ่งจาเป็ นที่จะตอ้ งมีทุก ๆ อย่างคือที่จุดท้งั
ส่วนหวั ส่วนทา้ ย ส่วนขา้ ง ส่วนบน และ ล่าง เพ่ือให้เทา้ ไดว้ างอยา่ งสบายไม่ถูกกด หรือบีบซ่ึงจะ
เป็ นอุปสรรคต่อการเคลื่อนตวั
การระบายอากาศจะช่วยทาใหร้ องเทา้ ไม่อบั ซ่ึงโดยทว่ั ๆ ไปน้นั เหง่ือของคนเราจะออกที่
เทา้ ประมาณวนั ละ 0.07 กรัม แต่สาหรับรองเทา้ ท่ีไม่มีรูระบายอากาศ เหงื่อจะออกมามากกวา่ น้นั จึง
ทาให้เท่าอบร้อนผ่าว ก่อให้เกิดปัญหาของโรคฮองกงฟุตได้ แถมยงั มีกลิ่นดว้ ย ส่วนใหญ่แลว้
รองเทา้ ท่ีทาจากยางสงั เคราะห์ไม่ใช่หนงั แทจ้ ะประสบกบั ปัญหาเรื่องการระบายอากาศ
การดีไซน์รองเทา้ ผา้ ใบจะคานึงถึงการใชส้ อยเป็ นหลกั สาคญั รองเทา้ ผา้ ใบสาหรับเล่น
กีฬากย็ งั แบ่งออกตามประเภทของกีฬาแต่ละชนิดก็มีการใชร้ องเทา้ ไม่เหมือนกนั รองเทา้ สาหรับวิ่ง
จะออกแบบไม่เหมือนกบั รองเทา้ กีฬาอื่น ๆ เช่น เทนนิส ฟุตบอล ฯลฯ ท้งั น้ีเพราะ รองเทา้ วิ่งมีการ
เคลื่อนไหวไปขา้ งหนา้ เพยี งอยา่ งเดียว ไม่ไดเ้ คลื่อนไปขา้ ง ๆ เหมือนกีฬาชนิดอื่น ๆ(สนน่ั เจริญข้ึน,
2538, หนา้ 62-67)
ข้อเสียของการใช้รองเท้าทไ่ี ม่เหมาะสม
1. ความทนทานของรองเทา้ จะลดลง เนื่องเพราะรองเทา้ แต่ละประเภทของกีฬาได้
ออกแบบมาเพ่ือรับแรงเสียดสีในบริเวณใดบริเวณหน่ึงโดยเฉพาะ หากนาไปใช้เล่นกีฬาที่ผิด
ประเภทไป ส่วนที่ถูกการเสียดสีคงจะไม่มีการป้องกนั เอาไว้ ความทนทานของรองเทา้ จึงลดลง
2. อาจเกิดอาการบาดเจ็บต่อร่างกาย เช่น ขอ้ เทา้ แพลงได้ เช่น เมื่อนารองเทา้ วิ่งเพ่ือ
สุขภาพไปใส่เล่นกีฬาแบดมินตนั หรือเทนนิส เน่ืองจากรองเทา้ มีขอบสูงและไม่ไดอ้ อกแบบให้มี
ความคล่องตวั ทางดา้ นขา้ ง เมื่อใส่ลงมาเล่นในพ้ืนสนามที่ตอ้ งการสไลดต์ วั ไปทางขา้ ง ยอ่ มมีโอกาส
ที่จะเกิดขอ้ เทา้ พลิกไดม้ าก หรือในทางตรงขา้ มหากนารองเทา้ แบดมินตนั ไปใชใ้ นการวิ่งบนพ้ืน
สนามอาจจะเป็ นพ้ืนถนนหรือพ้ืนดินก็ตาม ส่ิงท่ีจะเกิดข้ึนก็คือรองเทา้ แบดมินตนั รับแรงกระแทก
ไดน้ อ้ ยกวา่ รองเทา้ วง่ิ เพือ่ สุขภาพ เกาะผวิ ขรุขระไดไ้ ม่ดีทาใหล้ ่ืนไถลไดง้ ่าย
3. ทาให้พ้ืนสนามเสีย โดยเฉพาะในกรณีของพ้ืนสนามแบดมินตนั ที่ราบเรียบ การใช้
รองเทา้ คู่เดียว เช่น รองเทา้ วิ่งมาใส่เล่นแบดมินตนั ที่พ้ืนรองเทา้ วิ่งมกั จะมีเศษดินเศษหินติดอยตู่ าม
ซอกเสมอ และจะติดมากบั รองเทา้ เศษหินท่ีติดมากบั รองเทา้ จะเป็ นตวั การในการทาให้พ้ืนสนาม
เสียไดอ้ ยา่ งง่ายดาย ซ่ึงไม่คุม้ กนั กบั ค่ารองเทา้ เพียงไม่กี่บาทเมื่อเทียบกบั พ้ืนสนาม (สนน่ั เจริญข้ึน,
2538, หนา้ 68)
SPU CHONBURI 30
ทฤษฎขี องสี
สี(colour) หมายถึง ลกั ษณะกระทบต่อสายตาให้เห็นเป็ นสีมีผลถึงจิตวิทยา (สมภพ จง
จิตตโ์ พธา, 2556, หนา้ 9) คือมีอานาจใหเ้ กิดความเขม้ ของแสงที่อารมณ์และความรู้สึกได้ การที่ได้
เห็นสีจากสายตาสายตาจะส่งความรู้สึกไปยงั สมองทาใหเ้ กิดความรู้สึก ต่างๆตามอิทธิพลของสี เช่น
สดช่ืน ร้อน ต่ืนเตน้ เศร้า สีมีความหมายอย่างมากเพราะศิลปิ นตอ้ งการใช้สีเป็ นสื่อสร้างความ
ประทบั ใจในผลงานของศิลปะและสะทอ้ นความประทบั ใจน้นั ใหบ้ งั เกิดแก่ผดู้ ูมนุษยเ์ ก่ียวขอ้ งกบั สี
ต่างๆ อยตู่ ลอดเวลาเพราะทุกสิ่งท่ีอยูร่ อบตวั น้นั ลว้ นแต่มีสีสันแตกต่างกนั มากมาย สีเป็ นสิ่งที่ควร
ศึกษาเพ่ือประโยชน์กบั ตนเองและ ผูส้ ร้างงานจิตรกรรมเพราะ เร่ืองราวองสีน้ันมีหลกั วิชาเป็ น
วิทยาศาสตร์จึงควรทาความเขา้ ใจวิทยาศาสตร์ ของสีจะบรรลุผลสาเร็จในงานมากข้ึน ถา้ ไม่เขา้ ใจ
เร่ืองสีดีพอสมควร ถา้ ไดศ้ ึกษาเรื่องสีดีพอแลว้ งานศิลปะกจ็ ะประสบความสมบูรณ์เป็นอยา่ งยง่ิ
คาจากดั ความของสี
1. แสงที่มีความถ่ีของคลื่นในขนาดที่ตามนุษยส์ ามารถรับสัมผสั ได้
2. แม่สีท่ีเป็นวตั ถุ ประกอบดว้ ย แดง เหลือง น้าเงิน
3. สีที่เกิดจากการผสมของแม่สี
คุณลกั ษณะของสี
สีแท้ (hug) คือ สีที่ยงั ไม่ถูกสีอ่ืนเขา้ ผสม เป็นลกั ษณะของสีแทท้ ่ีมีความสะอาดสดใส เช่น
แดง เหลือง น้าเงิน
สีอ่อนหรือสีจาง (tint) ใชเ้ รียกสีแทท้ ่ีถูกผสมดว้ ยสีขาว เช่น สีเทา, สีชมพู
สีแก่ (shade) ใชเ้ รียกสีแทท้ ่ีถกู ผสมดว้ ยสีดา เช่น สีน้าตาล
ประวัตคิ วามเป็ นมาของสี
มนุษยเ์ ริ่มมีการใชส้ ีต้งั แต่สมยั ก่อนประวตั ิศาสตร์ (สมภพ จงจิตตโ์ พธา, 2556, หนา้ 9) มี
ท้งั การเขียนสีลงบนผนังถ้า ผนังหิน บนพ้ืนผิวเคร่ืองป้ันดินเผา และที่อ่ืนๆภาพเขียนสีบนผนงั ถ้า
เร่ิม ทาต้งั แต่สมยั ก่อนประวตั ิศาสตร์ในทวีปยุโรป โดยคนก่อนสมยั ประวตั ิศาสตร์ในสมยั หินเก่า
ตอนปลาย ภาพเขียนสีท่ีมีช่ือเสียงในยุคน้ีพบที่ประเทศฝร่ังเศษและประเทศสเปนในประเทศ ไทย
กรมศิลปากรไดส้ ารวจพบภาพเขียนสีสมยั ก่อนประวตั ิศาสตร์บนผนงั ถ้า และ เพิงหินในท่ีต่างๆ จะ
มีอายรุ ะหวา่ ง 1500-4000 ปี เป็นสมยั หินใหม่และยคุ โลหะไดค้ น้ พบต้งั แต่ปี พ.ศ. 2465 คร้ังแรกพบ
บนผนงั ถ้าในอ่าวพงั งา ต่อมาก็คน้ พบอีกซ่ึงมีอยทู่ วั่ ไป เช่น จงั หวดั กาญจนบุรี อุทยั ธานี เป็นตน้ สีท่ี
เขียนบนผนงั ถ้าส่วนใหญ่เป็ นสีแดง นอกน้นั จะมีสีส้ม สีเลือดหมู สีเหลือง สีน้าตาล และสีดาสีบน
SPU CHONBURI 31
เครื่องป้ันดินเผา ไดค้ น้ พบการเขียนลายคร้ังแรกท่ีบา้ นเชียงจงั หวดั อุดรธานีเม่ือปี พ.ศ.2510 สีท่ี
เขียนเป็นสีแดงเป็นรูปลายกา้ นขดจิตกรรมฝาผนงั ตามวดั ต่างๆสมยั สุโขทยั และอยธุ ยามีหลกั ฐานว่า
ใชส้ ีในการเขียนภาพหลายสี แต่กอ็ ยใู่ นวงจากดั เพียง 4 สี คือ สีดา สีขาว สีดินแดง และสีเหลืองใน
สมยั โบราณน้นั ช่างเขียนจะเอาวตั ถุต่างๆในธรรมชาติมาใชเ้ ป็นสีสาหรับเขียนภาพ เช่น ดินหรือหิน
ขาวใชท้ าสีขาว สีดาก็เอามาจากเขม่าไฟ หรือจากตวั หมึกจีน เป็ นชาติแรกท่ีพยายามคน้ ควา้ เร่ืองสี
ธรรมชาติไดม้ ากกว่าชาติอื่นๆ คือ ใชห้ ินนามาบดเป็ นสีต่างๆ สีเหลืองนามาจากยางไม้ รงหรือรง
ทอง สีครามก็นามาจากตน้ ไมส้ ่วนใหญ่แลว้ การคน้ ควา้ เรื่องสีก็เพื่อที่จะนามาใช้ ยอ้ มผา้ ต่างๆ ไม่
นิยมเขียนภาพเพราะจีนมีคติในการเขียนภาพเพียงสีเดียว คือ สีดาโดยใชห้ มึกจีนเขียน
สีสามารถแยกออกเป็ น 2 ประเภทคือ
1. สีธรรมชาติ
2. สีที่มนุษยส์ ร้างข้ึน
สีธรรมชาติ เป็นสีที่เกิดข้ึนเองธรรมชาติ เช่น สีของแสงอาทิตย์ สีของทอ้ งฟ้ายามเชา้ เยน็
สีของรุ้งกินน้า เหตุการณ์ท่ีเกิดข้ึนเองธรรมชาติ ตลอดจนสีของ ดอกไม้ ตน้ ไม้ พ้ืนดิน ทอ้ งฟ้า น้า
ทะเล
สีที่มนุษย์สร้างขึน้ หรือไดส้ ังเคราะห์ข้ึน เช่น สีวิทยาศาสตร์ มนุษยไ์ ดท้ ดลองจากแสง
ต่างๆ เช่น ไฟฟ้า นามาผสมโดยการทอแสงประสานกนั นามาใชป้ ระโยชน์ในดา้ นการละคร การจดั
ฉากเวที โทรทศั น์ การตกแต่งสถานที่
แม่สี (primaries)
สีต่างๆน้ันมีอยู่มากมายแหล่งกาเนิดของสีและวิธีการผสมของสีตลอดจนรู้สึกท่ีมีต่อสี
ของมนุษยแ์ ต่ละกลุ่มย่อมไม่เหมือนกัน สีต่างๆท่ีปรากฎน้ันย่อมเกิดข้ึนจากแม่สีในลกั ษณะที่
แตกต่างกนั ตามชนิดและประเภทของสีน้นั
แม่สี คือ สีท่ีนามาผสมกนั แลว้ ทาใหเ้ กิดสีใหม่ ที่มีลกั ษณะแตกต่างไปจากสีเดิม
แม่สี มือยู่ 2 ชนิด คือ
1. แม่สีของแสง เกิดจากการหักเหของแสงผ่านแท่งแกว้ ปริซึม มี 3 สี คือ สีแดง สี
เหลือง และสีน้าเงิน อยู่ในรูปของแสงรังสี ซ่ึงเป็ นพลงั งานชนิดเดียวที่มีสีคุณสมบตั ิของแสง
สามารถนามาใช้ ในการถ่ายภาพ ภาพโทรทศั น์ การจดั แสงสีในการแสดงต่าง ๆ เป็นตน้
2. แม่สีวตั ถุธาตุ เป็นสีท่ีไดม้ าจากธรรมชาติ และจากการสังเคราะห์โดยกระบวนทางเคมี
มี 3 สี คือ สีแดง สีเหลือง และสีน้าเงิน แม่สีวตั ถุธาตุเป็นแม่สีที่นามาใช้ งานกนั อยา่ งกวา้ งขวาง ใน
SPU CHONBURI 32
วงการศิลปะ วงการอุตสาหกรรม ฯลฯแม่สีวตั ถุธาตุ เม่ือนามาผสมกนั ตามหลกั เกณฑ์ จะทาใหเ้ กิด
วงจรสี ซ่ึงเป็นวงสีธรรมชาติ เกิดจากการผสมกนั ของแม่สีวตั ถุธาตุ เป็นสีหลกั ท่ีใชง้ านกนั ทวั่ ไป ใน
วงจรสี
ระบบสี RGB
เป็ นระบบสีของแสง ซ่ึงเกิดจากการหักเหของแสงผ่านแท่งแกว้ ปริซึมจะเกิดแถบสีท่ี
เรียกวา่ สีรุ้ง ( spectrum ) ซ่ึงแยกสีตามท่ีสายตามองเห็นได้ 7 สี คือ แดง แสด เหลือง เขียว น้า
เงิน คราม ม่วง ซ่ึงเป็นพลงั งานอยใู่ นรูปของรังสี ท่ีมีช่วงคลื่นที่สายตา สามารถมองเห็นได้ แสงสี
ม่วงมีความถ่ีคล่ืนสูงที่สุด คล่ืนแสงท่ีมีความถี่สูงกว่าแสงสีม่วง เรียกว่า อุลตราไวโอเลต ( ultra
violet ) และคลื่นแสงสีแดง มีความถ่ีคลื่นต่าที่สุด คล่ืนแสงที่ต่ากวา่ แสงสีแดงเรียกว่าอินฟราเรด (
Infrared) คลื่นแสงท่ีมีความถ่ีสูงกว่าสีม่วง และต่ากว่าสีแดงน้นั สายตาของมนุษยไ์ ม่สามารถรับ
ได้ และเมื่อศึกษาดูแลว้ แสงสีท้งั หมดเกิดจากแสงสี 3 สี คือ สีแดง ( red ) สีน้าเงิน ( blue)และสี
เขียว ( green )ท้งั สามสีถือเป็นแม่สีของแสง เม่ือนามาฉายรวมกนั จะทาใหเ้ กิดสีใหม่ อีก 3 สีคือ สี
แดงมาเจนตา้ สีฟ้าไซแอนและสีเหลือง และถา้ ฉายแสงสีท้งั หมดรวมกนั จะไดแ้ สงสีขาว จาก
คุณสมบตั ิของแสงน้ีเราไดน้ ามาใช้ประโยชน์ทวั่ ไป ในการฉายภาพยนตร์ การบนั ทึกภาพ
วดิ ีโอ ภาพโทรทศั น์ การสร้างภาพเพ่อื การนาเสนอทางจอคอมพิวเตอร์ และการจดั แสงสี
ในการแสดง เป็นตน้ (สมภพ จงจิตตโ์ พธา, 2556, หนา้ 60)
ระบบสี CMYK
เป็นระบบสีท่ีใชก้ บั เครื่องพิมพ์ CMYK ยอ่ มาจาก cyan (ฟ้าอมเขียว) magenta (แดงอม
ม่วง) yellow (เหลือง) key (สีดา - ไม่ใช้ B แทน black เพราะจะสับสนกบั blue) ซ่ึงเป็นช่ือสีที่
นามาใช้ การผสมสีท้งั ส่ีน้ี จะทาใหเ้ กิดสีไดอ้ ีกหลายร้อยสี นามาใชใ้ นการพิมพส์ ีต่าง ๆ ซ่ึงปกติการ
เลือกใชส้ ีน้นั จะมีดว้ ยกนั อยู่ 2 แบบคือ CMYK และ RGB สามารถแบ่งแยกประเภทการใชง้ านได้
ง่ายๆ น้ันก็คือ ถา้ เป็ นสีท่ีตอ้ งพิมพอ์ อกมา ไม่ว่าจะพิมพใ์ นรูปแบบใดก็ตาม จะตอ้ งใชค้ ่าสีของ
CMYK แต่ถา้ ตอ้ งการสีท่ีแสดงผลออกทางหนา้ จอ กจ็ ะเลือกใช้ RGB เท่าน้นั ซ่ึงหลกั การดงั กล่าว
ในปัจจุบนั ยงั มีผูม้ ีความเขา้ ใจในส่วนน้ีน้อยมาก เนื่องจากว่า นักออกแบบมือสมคั รเล่น หรือ
มือใหม่ เวลาตอ้ งการจะทางานประเภทส่ิงพิมพ์ ก็มกั ต้งั ค่าสีเป็ น RGB เพราะว่าค่าสีดงั กล่าวสีสด
กวา่ แต่เมื่อสง่ั พิมพแ์ ลว้ ทาใหค้ ่าสีท่ีออกมาผดิ เพ้ียน มากหรือนอ้ ย ก็ข้ึนอยกู่ บั สีที่เลือก เช่น เลือกสี
แดง อาจจะไดส้ ีชมพู เหลือสีม่วง อาจจะไดส้ ีน้าเงิน ดงั น้นั ผทู้ ่ีใชโ้ หมดสีควรจะทาความเขา้ ใจของ
งานใหม้ าก เพื่องานท่ีออกมาจะไดค้ ่าสีที่ตรงกบั ความตอ้ งการ (สมภพ จงจิตตโ์ พธา, 2556, หนา้ 63)
SPU CHONBURI 33
ทฤษฎกี ารสร้างภาพกราฟิ กแบบ 3 มติ ิ
ประเภทโครงสร้างของวตั ถุใน 3 มติ ิ
1. โครงสร้างแบบ Mesh : แสดงพ้ืนผวิ อยา่ งพ้ืนฐานของวตั ถุซ่ึงประกอบกนั ข้ึนจาก
พ้ืนผวิ
รูปสามเหล่ียมหรือส่ีเหลี่ยมเลก็ จนเป็นฯรูปสามมิติ สามารถแกไ้ ขรูปภาพไดโ้ ดยตรง
2. โครงสร้างแบบ Patch : นอกจากจะมีลกั ษณะคลา้ ยแบบ Mesh แลว้ ยงั มีส่วนท่ีเป็ น
Vertex และ Lattice Handle ซ่ึงใชค้ วบคุมรูปร่างของวตั ถุและใชส้ าหรับการคานวณพ้ืนผวิ สามมิติ
ของวตั ถุ
3. โครงสร้างแบบ Loft : ประกอบดว้ ยเสน้ 2 มิติ ไดแ้ ก่ Shape ซ่ึงเป็นภาคตดั ขวางของ
วตั ถุและ Path ซ่ึงเป็นเสน้ ทางในการดึง Shape เพ่อื สร้างเป็นภาพสามมิติ
4. โครงสร้างแบบ Nurbs : ประกอบดว้ ยเส้นรอบรูปของโครงร่างวตั ถุเม่ือเชื่อมเส้นรอบ
รูปแลว้ ก็จะไดภ้ าพสามมิติตามเส้น Nurbs ที่สร้างไว้ ในการสร้างวตั ถุดว้ ยโครงสร้างแบบใดน้นั
ข้ึนอยกู่ บั ความเหมาะสมของรูปร่างวตั ถุเอง (พนสั โภคทวี, 2554, หนา้ 17)
การสร้างภาพโมเดล 3 มิติและการเร็นเดอร์มีขอ้ ดีคือการสร้างเฉดสีใหก้ บั วตั ถุไดโ้ ดยง่าย
เรามักพบวิธีการสร้างภาพประเภทน้ีมักจะถูกใช้ในงานการสร้างโมเดลจาลอง และงานทาง
ภาพยนต์ การสร้างภาพชนิดน้ีเริ่มข้ึนดว้ ยการสร้างวตั ถุ 3 มิติ ซ่ึงมีวสั ดุที่ใชแ้ ละพ้ืนผิวของวตั ถุ
ตามท่ีเราตอ้ งการมาบรรจุอยใู่ นซีน หรือท่ีเรียกช่ือวา่ โมเดล ซ่ึงสามารถกาหนดแสงและมุมกลอ้ งได้
ตามท่ีเราตอ้ งการ หลงั จากจดั องคป์ ระกอบเสร็จ กจ็ ะทาการเร็นเดอร์ ซ่ึงจะไดภ้ าพแบบราสเตอร์ ที่มี
ความเหมือนจริงท้งั มุมมองและเฉดสีจุดเด่นของการสร้างภาพดว้ ยวิธีน้ีคือ เราสามารถสร้างวตั ถุใน
มุมมองอื่นไดง้ ่ายมากโดยการปรับแต่งแสง และคุณสมบตั ิต่างๆของวตั ถุหรือโดยการเคล่ือนท่ีวตั ถุ
ภายในซีน ซ่ึงทาให้สามารถสร้างภาพไดจ้ ากวตั ถุชิ้นน้ีในหลายๆรูปแบบไดง้ ่าย ในการสร้างงาน
กราฟิ กส์ 3 มิติน้นั มีความซบั ซอ้ นมาก เนื่องจากมีส่ิงที่ตอ้ งคานึงถึงมากกว่างาน 2 มิติโดยเฉพาะมิติ
ที่เพิ่มเขา้ มาเป็น 3 มิติ
ดงั น้ันจึงทาความเขา้ ใจกบั พ้ืนฐานของโลก 3 มิติ ก่อนในหัวขอ้ ต่อไปน้ีโพลีกอน
(polygon) แปลตรงตวั คือ รูปหลายเหลี่ยมซ่ึงถูกสร้างโดยการนาจุดหลายๆจุดมาเช่ือมต่อกนั โดยเสน้
ซ่ึงทาให้เกิดเป็นพ้ืนท่ีซ่ึงมีพ้ืนผวิ หากตอ้ งการส่วนโคง้ กราตอ้ งนาโพลีกอนมาต่อกนั เพื่อเลียนแบบ
ส่วนโคง้ ย่ิงโพลีกอนมีจานวนมากเท่าใด ก็ยิ่งทาให้ส่วนโคง้ ดูเรียบมากข้ึนเท่าน้ันระนาบ ใน
SPU CHONBURI 34
โปรแกรมกราฟิ กส์แบบเวกเตอร์ แกน x จะหมายถึงแนวนอน ในขณะที่แกน y จะหมายถึงแนวต้งั
เพ่ือใชใ้ นการกาหนดขนาดภาพ โปรแกรมในแบบ 3 มิติกเ็ ช่นกนั แต่จะเพิ่มแกน z ที่แสดงถึงแนว
ลึกเพิ่มข้ึนมา ทาใหภ้ าพที่สร้างข้ึนในแบบ 3 มิติจะมีท้งั กวา้ ง,ยาว และลึกภาพแบบ 2 มิติสามารถ
หมุนรอบแกน x และ y เท่าน้นั จึงไม่สามารถมองเห็นดา้ นขา้ งของวตั ถุได้ แต่ภาพแบบ 3 มิติ ยงั มี
ดา้ นอื่นๆที่สามารถแสดงออกมาใหเ้ ห็นได้ ภาพกในแบบ 3 มิติ จะมีขอบเขตของภาพทีแน่นอน เรา
จึงเรียกแต่ละภาพวา่ เป็น “วตั ถุ” หรือ “Object ” ซ่ึงเราสามารถปรับเปลี่ยนแต่ละวตั ถุไดอ้ ิสระ ไม่
ข้ึนกบั วตั ถุอื่นๆ
หลกั การทางานของการสร้างภาพโมเดล 3 มติ ิ
โปรแกรม 3 มิติ ทว่ั ไปมีหลกั การทางานดงั น้ี
1. Object : การสร้างวตั ถุ 3 มิติ ทาใหม้ องไดจ้ ากทกุ มุมครบ 360 องศา
2. Map : การใส่พ้ืนผวิ ใหก้ บั วตั ถุ 3 มิติ
3. Light : การใส่แสงใหก้ บั วตั ถุ ซ่ึงเป็นส่วนท่ีสาคญั ท่ีจะทาใหว้ ตั ถุดูสมจริง
4. Camera : การกาหนดมุมกลอ้ งเพอ่ื กาหนดมุมมองและสร้างภาพเคล่ือนไหว
5. Render : การประมวลผลภาพจากภาพโครงร่างใหเ้ ป็นภาพที่มีพ้นื ผวิ
6. Effects : การใส่เทคนิคพเิ ศษใหก้ บั วตั ถุและสภาพแวดลอ้ มเพอ่ื ใหม้ ีความน่าสนใจ
ยงิ่ ข้ึน (พนสั โภคทวี, 2554, หนา้ 18)
ความสามารถของ 3 มิติ
1. สร้างวตั ถุ 3 มิติได้
2. ทาภาพเคลื่อนไหวได้
3. ภาพนิ่ง ท่ีมีการใหแ้ สงเงา ลกั ษณะพ้นื ผวิ ท่ีคลา้ ยวตั ถุจริงๆมาก
4. สามารถ Import และ Export file ไดห้ ลายประเภท (พนสั โภคทว,ี 2554, หนา้ 18)
การสร้างภาพ 3 มิติ
ในการสร้างภาพ 3 มิติก็ยงั อาศยั พิกัดคาร์ท่ีเซียน (พนัส โภคทวี, 2554, หน้า 22-23)
เช่นเดียวกนั แต่มีแกน Z ซ่ึงเป็นแกนท่ีลากผา่ นจุดกาเนิด ทามุมฉากกบั แกน X และแกน Y บนแกน
Z กม็ ีมาตรแบ่งระยะท่ีเท่ากนั เช่นเดียวกบั แกนอื่นๆ ทิศทางของแกน Z+ จะช้ีเขา้ หาผชู้ ม อยา่ งไรก็ดี
มีความเป็นไปไดท้ ี่แกน Z+ อาจช้ีออกจากตวั ผชู้ มน้นั คือแกน X+ อาจจะช้ีไปทางซา้ ย และแกน อาจ
ช้ีลง และแกน Z+กอ็ าจจะช้ีออก เมื่อเป็นเช่นน้ี หากพิจารณาการวางแกน X,Y,Z ในทิศทางต่างๆกนั
กจ็ ะพบวา่ มีความเป็นไปได้ 8 แบบ ซ่ึงรูปแบบการวางแกนที่ส่ือต่อความเขา้ ใจรูปสามมิติมากท่ีสุด
SPU CHONBURI 35
คือ แกน X+ ช้ีขวา แกน Y+ ช้ีบน แกน Z+ ช้ีเขา้ หาผชู้ ม ซ่ึงเป็นรูปแบบท่ีนิยมใชก้ นั อยา่ งแพร่หลาย
นอกจากตาแหน่งจุดถูกกาหนดไดช้ ดั เจนบนพิกดั คาร์ทีเซียนแลว้ ยงั รวมถึงการแสดงค่าการหมุน
ซ่ึงเป็ นการหมุนรอบจุดหมุนท่ีวดั เป็ นองศา ตามแกนใดแกนหน่ึงในสามแกนของพิกดั คาร์ทีเซียน
ค่ามุมที่หมุนเป็ นบวกหมายถึงการหมุนทวนเขม็ นาฬิกาและค่าท่ีเป็ นลบหมายถึงการหมุนตามเขม็
นาฬิกา จากหลกั การน้ีจึงสามารถนาไปใชก้ บั การระบุตาแหน่งของวตั ถุ หรือเคลื่อนยา้ ยตาแหน่ง
ของตาแหน่งของวตั ถุไปในที่วา่ ง 3 มิติไดอ้ ยา่ งแม่นยา ระบบพิกดั อื่นท่ีใชแ้ สดงตาแหน่งของจุด
ไดแ้ ก่ ระบบพิกดั เชิงข้วั เป็นพ้ืนท่ีวงกลม 2 มิติ ที่มีศูนยก์ ลางของวงกลมเป็นจุดกาเนิด มีเสน้ รัศมีที่
ลากจากจุดกาเนิดในแนวต้งั ให้เป็ นมุมศูนยอ์ งศา ซ่ึงหากเส้นรัศมีกวาดไปรอบจุดศูนยก์ ลางจะ
สามารถกาหนดมุมบนเส้นรอบวงไดค้ รบ 360 องศา บนเสน้ รัศมีมาตรแบ่งระยะท่ีเท่ากนั หลกั การ
ของพิกดั ระบบน้ี คือ การแบ่งเส้นรอบวงกลมออกเป็ นส่วนเท่าๆกนั แลว้ ลาดบั ตวั เลขจากศูนยท์ ี่
จุดเร่ิมตน้ เร่ือยไปจนครบวงกลม ทาใหเ้ กิดเป็นมาตรฐานแสดงตาแหน่งของจุดได้ และหากพจิ ารณา
เสน้ รัศมีในระบบพกิ ดั จะพบวา่ ความยาวของเสน้ รัศมีจะใชแ้ สดงระยะห่างระหว่างจุดศูนยก์ ลางกบั
ตาแหน่งจุดพิกดั ทาใหส้ ามารถวดั หาตาแหน่งของจุดในพ้ืนที่วงกลมน้ีไดร้ ะบบพิกดั ทรงกลม เป็ น
การแสดงผลภายในรู ปทรงกลมสามมิติโดยวิธี ระบุตาแหน่ งและมุมจากจุดสังเกตการณ์ไปยงั
ตาแหน่งของวตั ถุ ระบบพกิ ดั น้ีมกั นามาใชก้ บั การหาตาแหน่งของวตั ถุท่ีปรากฏในท่ีวา่ งสามมิติ เช่น
ทอ้ งฟ้า ในคอมพิวเตอร์กราฟฟิ กส์มกั เก่ียวขอ้ งกบั มุมมองของผูช้ มหรือมุมกลอ้ ง รวมท้งั ตอ้ งการ
แสดงถึงขอบเขตการมองโดย ตาแหน่งของผูส้ ังเกตการณ์เป็ นตวั กาหนดผลของภาพท่ีปรากฏให้
เห็น การรับรู้รูปร่างสามมิติสามารถรับรู้เป็ นรูปวตั ถุสามมิติได้ เช่น รูปหกเหลี่ยมสองมิติ อาจถูก
มองเป็ นรูปลูกบาศกไ์ ดใ้ นลกั ษณะภาพสามมิติ ภาพดงั กล่าวง่ายต่อการมองไดท้ ้งั สองมิติและสาม
มิติ เนื่องจากเป็นภาพลายเสน้ ในขณะที่ภาพจิตรกรรมหรือภาพถ่ายเป็นวตั ถุสามมิติไดภ้ าพลายเส้น
ท่ีอาจมองเป็ นหกเหล่ียม หรือกล่องลูกบาศก์ ภาพลายเส้นที่ลบเส้นท่ีบงั กนั ออกทาใหม้ องเห็นเป็ น
ภาพบายเส้นสามมิติ ภาพวตั ถุสามมิติมีน้าหนกั เฉดสีให้ความสมจริงข้ึนการสร้างภาพสามมิติท่ีให้
ความเหมือนจริงข้ึนไปอีกคือการโยงเส้นระหว่างจุดพิกดั ต่างๆลงบนระนาบของแกน x,y,z แลว้ จึง
ลบจุดและเส้นท่ีถูกบงั คบั ออกจากกระบวนการมองเห็นภาพสามมิติบนระนาบสองมิติจึงมีความ
ซบั ซอ้ นมากซ่ึงนอกจากจะประกอบดว้ ยการมองเห็นภาพวตั ถุเป็นระบบ สเตริโอดว้ ยตาท้งั สองขา้ ง
แลว้ ยงั รวมถึงผลมาจากการรวมแสงของเลนซ์ลูกตาใหฉ้ ายภาพมากกว่าวตั ถุที่มีขนาดเลก็ กล่าวคือ
วตั ถุที่อยใู่ กล้ จะใชเ้ น้ือที่บนฉากรับภาพมากกวา่ วตั ถุท่ีอยใู่ กล้
SPU CHONBURI 36
การย่อขยายภาพ (scale)
การย่อขยายภาพสามารถเปลี่ยนขนาดของภาพได้ โดยการเปล่ียนขนาดหน้าต่างแสดง
ภาพ หรือเปลี่ยนขนาดของช่องแสดงภาพ เทคนิคน้ีไม่สามารถใชไ้ ดใ้ นบางกรณี เช่น ถา้ ตอ้ งการ
เปล่ียนขนาดของภาพภาพหน่ึงในหนา้ ต่างเท่าน้นั ถา้ ขยายหรือยอ่ ขนาดของหนา้ ต่างภาพท้งั หมดใน
หนา้ ต่างก็จะขยายหรือย่อไดด้ ว้ ย ในกรณีน้ี จะกล่าวถึงวิธีการเปล่ียนขนาดของภาพเฉพาะภาพใด
ภาพหน่ึงภาพวตั ถุภาพหน่ึงสามารถเปลี่ยนขนาดไดโ้ ดยการเปล่ียนระยะห่างระหว่างจุด โดยทวั่ ไป
สามารถเปลี่ยนขนาดของภาพหน่ึงในหนา้ ต่างเท่าน้นั ถา้ ขยายหรือยอ่ ขนาดของหนา้ ต่างห่างมากข้ึน
หรือทาใหร้ ะยะห่างลดลง ค่าน้ีเราเรียกว่า สเกลลิงแฟกเตอร์ ถา้ ค่าสเกลลิงแฟกเตอร์มากกว่า 1 ก็จะ
ไดภ้ าพขยาย ถา้ ค่าน้ีนอ้ ยกว่า 1 ก็จะไดภ้ าพยอ่ ถา้ เท่ากบั หน่ึงกห็ มายถึงไม่มีผลต่อภาพวตั ถุ เมื่อใดก็
ตามท่ีมีการยอ่ หรือขยายภาพ จะตอ้ งมีจุดๆหน่ึงมกั จะเรียกวา่ เป็นจุดประจาที่ (fixed point ) ของการ
ยอ่ ขยายภาพซ่ึงใชส้ าหรับเป็นจุดอา้ งอิงถา้ ใหจ้ ุดกาเนิดเป็นจุดประจาท่ี จุดใดๆของภาพก็จะสามารถ
ยอ่ หรือขยายไดโ้ ดยการคูณดว้ ยแฟกเตอร์ Sx สาหรับทิศทางในแกน X แฟกเตอร์ Sy สาหรับทิศทาง
ในแกน y กจ็ ะไดจ้ ุดใหม่ ดงั น้ี
x’ = x x Sx
y’ = y x Sy
Sx คือ สเกลลิงแฟกเตอร์ในแนวนอน
Sy คือ สเกลลิงแฟกเตอร์ในแนวด่ิง
ถา้ Sxไม่เท่ากบั Sy ผลกค็ ือภาพที่ไดจ้ ากการยอ่ หรีอขยายจะเกิดการผดิ เพ้ียนไปจากภาพเดิม ถา้ สเกล
ลิงแฟกเตร์มากกว่า1 ภาพที่ถูกขยายแลว้ จะถูกเคลื่อนยา้ ยห่างออกไปจากจุดประจาที่ ถา้ สเกลลิง
แฟกเตอร์นอ้ ยกวา่ 1 ภาพที่ถูกยอ่ แลว้ จะถูกเคล่ือนยา้ ยเขา้ มาใกลก้ บั จุดประจาที่มากข้ึน ดงั รูปแสดง
ปรากฏการณ์ดงั น้ี
จุดประจาที่สาหรับการยอ่ ขยายภาพอาจจะไม่ใช่จุดกาเนินกไ็ ด้ ถา้ เป็นจุดใด ๆ จะตอ้ งใช้
3 ข้นั ตอน ดงั น้ี
1. ยา้ ยจุดประจาท่ี ( xp ,yp ) ไปยงั จุดกาเนิด จุดอื่น ๆ ของภาพ ( x,y )กจ็ ะถูกยา้ ยท่ีจุด
ใหม่ ( x,’y’)
2. จดั การยอ่ ขยายภาพโดยที่จุดประจาท่ีอยทู่ ี่จุดกาเนิด กจ็ ะไดจ้ ุดที่ใชน้ ิยามภาพจุดใหม่
เป็น ( x”,y” )
3. ยา้ ยจุดประจาที่ จากจุดกาเนิดไปยงั จุดท่ีจุดเดิม ( xp, yp )
SPU CHONBURI 37
สมการน้ีคือสมการสาหรับการยอ่ หรือขยายภาพ โดยที่จุดประจาที่อยทู่ ่ีจุด ( xp,yp ) (พนสั โภคทวี,
2554, หนา้ 23)
การหมุนภาพ (rotate)
การหมุนภาพเป็ นการแปลงอีกแบบหน่ึง สาหรับหมุนภาพน้ีจะตอ้ งกาหนดว่า จุดใดเป็ น
จุดหมุนเสมอ หลงั จากที่ภาพหมุนไปแลว้ ระยะห่างระหว่างจุดหมุนกบั ภาพจะยงั คงมีค่าเท่าเดิม
รูปร่าง ลกั ษณะของภาพก็ยงั คงเดิม แต่ภาพจะมีการจดั วางท่ีต่างไปจากเดิมอนั เน่ืองมาจากการหมุน
นนั่ เอง การหมุนภาพน้ีอาจจะหมุนทีละหลาย ๆ ภาพก็ได้ จะหมุนแบบทวนเขม็ นาฬิกาหรือตามเขม็
นาฬิกากไ็ ด้ และหมุนที่ใชก้ อ็ าจจะอยภู่ ายในภาพหรืออยภู่ ายนอกภาพกไ็ ด้
การอา้ งถึงจุดพิกดั ( x,y ) น้นั นอกจากใชร้ ะบบพิกดั ฉากแลว้ ( คือ กาหนดตาแหน่งจุด โดยบอก
ระยะทางในแนวนอนและในแนวด่ิง ) อาจจะใชร้ ะบบพิกดั โพลาร์กไ็ ด้ ( ระบบพิกดั โพลาร์ คือ การ
บอกตาแหน่งจุดโดยใชเ้ วกเตอร์ )
ในทางปฏิบตั ิเราอาจจะตอ้ งหมุนภาพรอบจุดใดๆกไ็ ด้ ซ่ึงไม่ใช่จุดกาเนิด สาหรับในกรณีน้ีจะตอ้ งใช้
3 ข้นั ตอนดงั น้ี
1. ยา้ ยจุดหมุน ไปยงั จุดกาเนิด เม่ือยา้ ยแลว้ ทุกๆจุดท่ีใชน้ ิยามภาพกจ็ ะถูกยา้ ยไปยงั จุด
ใหม่ดว้ ย ในตอนน้ี จุดหมุนกจ็ ะถูกยา้ ยไปยงั จุดกาเนิด
2. จดั การหมนุ ภาพรอบจุดกาเนิด
3. ยา้ ยจุดหมุนจากจุดกาเนิด (0,0) กลบั ไปยงั จุดเดิม
การย้ายภาพ (translate)
จุดใดๆตามในระบบพกิ ดั โลกจะถูกเคลื่อนยา้ ยไปท่ีตาแหน่งอื่นๆไดโ้ ดยการเปลี่ยนคา่
พกิ ดั เช่น ถา้ ตอ้ งการยา้ ยจุดไปยงั จุดซ่ึงอยขู่ า้ งบน 10 หน่วย และไปทางซา้ ยอีก 5 หน่วย พกิ ดั ของจุด
ใหม่ท่ีไดก้ ค็ ือ การยา้ ยจุด นน่ั เอง
โดยทวั่ ไปการยา้ ยจุดจากจุดหน่ึงไปยงั จุดหน่ึง โดยยา้ ยในแนวนอน H หน่วยและยา้ ยในแนวต้งั V
หน่วย สามารถเขียนแทนดว้ ยสูตรทางคณิตศาสตร์ ดงั น้ี
x’ = x + H
y’ = y + v
ในทางปฏิบตั ิจริงๆน้นั จะตอ้ งยา้ ยทุกๆจุดที่ใชส้ าหรับนิยามภาพ จึงจะสามารถยา้ ยภาพท้งั หมดไปยงั
จุดท่ีตอ้ งการได้ ดงั รูป แสดงการยา้ ยภาพเคร่ืองบินจากตาแหน่งหน่ึงไปยงั อีกตาแหน่งหน่ึง จุดทุก
SPU CHONBURI 38
จุดที่ใชส้ าหรับนิยามภาพจะถูกยา้ ยไปยงั ตาแหน่งทีตอ้ งการก่อนแลว้ จึงทาการวาดภาพน้ันใหม่ที
ตาแหน่งน้นั
แสงของภาพ 3 มติ ิ
ในการมองสิ่งต่างๆจุไม่สามารถมองเห็นส่ิงสวยงามวิจิตรพิสดารในโลกน้ีได้ หาก
ปราศจากซ่ึงแสง (พนสั โภคทว,ี 2554, หนา้ 192) ท้งั น้ี เพระการมองเห็นของมนุษยจ์ าเป้ฯตอ้ งอาศยั
แสงสว่าง แสงมีอิทธิพลต่องานศิลปะในดา้ นต่างๆ ท้งั น้ี เพระสรรพส่ิงต่างๆท่ีมองเห็น ลว้ นอยู่
ภายใตอ้ ิทธิพลจากตวั แปรของแสง เช่น ตาแหน่งแสง อุณหภูมิแสง ความสว่าง ประเภทของแสง
เป็ นต้น สามารถกาหนดเงื่อนไขตัวแปรเหล่าน้ีได้ด้วยการจัดแสง ซ่ึงเป็ นศิลปะที่มีความ
ละเอียดลออตอ้ งอาศยั ประสบการณ์จากการสงั เกตร่วมกบั ความไวในความรู้สึกและจินตนาการของ
ศิลปิ นของผชู้ ม การจดั แสดงในคอมพวิ เตอร์กราฟฟิ กส์มีความคลา้ ยคลึงกบั การจดั แสงบนเวทีละคร
สตูดิโอและโรงถ่าย ซ่ึงมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับความงามและบรรยากาศที่เกิดกับ
สิ่งแวดลอ้ มภายใตอ้ ิทธิพลของแสง
น้ันการมองเห็นวตั ถุสิ่งของรอบตวั ไดเ้ กิดจากแสงที่ส่องออกจากจุดกาเนิดแสง เช่น ดวงอาทิตย์
หรือหลอดไฟ แลว้ มีปฏิสัมพนั ธ์ร่วมกบั ผิวหน้าวตั ถุ ทาให้วตั ถุแสดงคุณสมบตั ิท่ีผิวหน้าออกมา
รวมท้งั การปรากฏของเงา ซ่ึงเป็นพ้นื ที่ของช่องงวา่ งท่ีปราศจากแสงสวา่ ง ในการจดั แสงน้นั เราอาจ
แบ่ง
ลกั ษณะของแสงออกได้เป็ น 6 ประเภท คือ
แสงปฐมภูมิ ( primary light ) เป็ นลาแสงท่ีสว่างท่ีสุด และมกั เป็ นแสงท่ีสาดส่องจาก
แหล่งกาเนิดแสง เช่น ดวงอาทิตย์ หรือหลอดไฟที่ใหแ้ สงสวา่ งจา้ เป็นรัศมีทุกทิศทาง ทาใหว้ ตั ถุท่ีอยู่
ใตอ้ ิทธิพลของแสงประเภทน้ี ปรากฏเงาอยา่ งชดั เจน หากเป็ นการจกั ฉากภายในสตูดิโอมกั เป็นการ
สร้างแสงอาทิตยเ์ ทียม การสร้างแสงชนิดน้ีทาไดด้ ว้ ยการติดต้งั หลอดไฟที่สว่างที่สุดไวใ้ นบริเวณ
น้นั โดยมกั วางสูงเหนือหุ่นทามุมประมาณ 45 องศา
แสงเสริม ( fill light ) เป็ นแสงทีมีกาลงั นอ้ ย ไม่ค่อยกระดา้ ง มกั เป็นแสงที่เกิดจากการ
สะทอ้ น เช่น แสงจากโคมไฟท่ีส่องข้ึนบนเพดานหอ้ งแลว้ สะทอ้ นลงมาสู่พ้ืน ทาใหห้ อ้ งสวา่ ง
นุ่มนวล
แสงหลงั ( Back light )เป็นการจดั แสงใหส้ ่องจากดา้ นหลงั ของหุ่นโดยกลอ้ งจะวางอยู่
หนา้ หุ่น ทาใหภ้ าพวตั ถุปรากฏเป็นเงาดาของร่างวตั ถุน้นั หรือที่เรียกวา่ ภาพโครงทึบ (silhouette)
เช่นเดียวกบั การแสดงหนงั ตะลุง
SPU CHONBURI 39
แสงฉาย ( projector light ) เป็นแสงท่ีเกิดจากการฉายไปยงั วสั ดุโปร่งแสง ทาใหเ้ กิดสีสัน
รูปร่างของวตั ถุท่ีแสงน้นั ผ่านไปตกลงบนฉาก ตวั อย่างเช่น แสงอาทิตยท์ ี่ส่องผา่ นกระจกแกว้ สีท่ี
หนา้ ต่าง ไปกระทบลงบนพ้นื ภายในอาคาร หรือภาพที่ปรากฏจากเครื่องฉายภาพ
แสงส่องเฉียง ( grazed light ) เม่ือจุดกาเนิดแสงอยใู่ กลก้ บั วตั ถุมาก จะทาใหว้ ตั ถุแสดง
ระดบั ที่ต่างกนั ของผวิ หนา้ ออกมา เช่น พ้ืนท่ีผวิ ของอิฐเปลือย จะปรากฏร่างเงาท่ีเป็นรอยต่อของอิฐ
อยา่ งชดั เจน แสงประเภทน้ี มกั ข้ึนกบั พ้ืนท่ีของผวิ ของวตั ถุท่ีมีความสากหรือหยาบรวมท้งั บมั พแ์ มป
โดยหากจุดกาเนิดแสงทามุมกบั ผวิ หนา้ ไม่เกิน 45 องศา จะปรากฏเงาบนตวั ผวิ วตั ถุที่สวยงาม (พนสั
โภคทว,ี 2554, หนา้ 192)
คุณสมบตั ขิ องแสง
แสงมีคุณสมบตั ิเป็ นของตวั เองหลายประการ ไดแ้ ก่ การมีจุดกาเนิดแสงและมีตาแหน่ง
ที่ต้งั ซ่ึงแสดงในลกั ษณะของค่าพิกดั x,y และ z บนที่วา่ งพิกดั คาร์ทีเซียนเช่นเดียวกบั วตั ถุจุดกาเนิด
แสงอาจถูกวางอยูใ่ นตาแหน่งที่ไกลในระยะอนนั ต์ เช่น ตาแหน่งของดวงอาทิตยซ์ ่ึงเป็ นจุดกาเนิด
แสงท่ีเป็นเพยี งจุดสวา่ งเลก็ ๆ ในอวกาศท่ีมืดมิด หรือจุดกาเนิดแสงอาจวางอยใู่ นตาแหน่งที่ใกล้ เช่น
หลอดไฟบนโตะ๊ ทางาน และเนื่องจากแสงเป็นพลงั งานอยา่ งหน่ึงท่ีใหค้ วามสวา่ งแก่สรรพสิ่ง
การหักเหของแสง และตัวกลางแสง
แสงไม่เพียงแต่จะมีปฏิสมั พนั ธ์กบั ผวิ หนา้ วตั ถุ แต่ยงั รวมไปถึงปริมาตรที่มีอยใู่ นตวั วตั ถุ
ไดเ้ ช่น การหักเหของแสง เป็ นการเปล่ียนเส้นทางเดินของแสงท่ีส่องผา่ น เช่น แสงส่องผา่ นอากาศ
ลงในน้า ทาใหม้ องเห็นตาแหน่งวตั ถุใตน้ ้าต่างไปจากเดิม รวมท้งั การกระเพ่ือมหรือคล่ืนท่ีผวิ น้าทา
ให้แสงส่องผ่านไปไดแ้ ตกต่างกนั ในการจาลองการหักเหของแสงจะอาศยั ขอ้ มูลดชั นี การหักเห
แสงของวตั ถุแต่ละชนิด ซ่ึงส่งผลถึงอตั ราการเปลี่ยนแปลงเส้นทางของแสง รวมท้งั ความเร็วของ
แสงที่เดินทางผ่านตวั กลางที่ต่างกันออกไป ตวั แปรเหล่าน้ีถูกนามาใช้คานวณโดยโปรแกรม
คอมพิวเตอร์กราฟฟิ กส์ ซ่ึงจะให้ภาพที่เป็ นผลจากการกระทาของแสงกบั วตั ถุใส เช่น แกว้ เลนส์
กอ้ นเพชรเจียระไน หรือแกว้ ผลึกที่มีแสงส่องระยบิ ระยบั สวยงาม และน่าต่ืนตา
ตวั กลาง และการส่องผ่านของแสงแสงแสดงอิทธิพลใหเ้ ห็นเม่ือส่องผา่ นตวั กลางท่ีมีปริมาตร เช่น
น้า อากาศ รวมท้งั เน้ือของวสั ดุแขง็ ใสบางประเภท ไดแ้ ก่ แกว้ หินบางชนิด เช่น หินเข้ียวหนุมาน
เป็ นตน้ ซ่ึงจะเห็นอิทธิพลของแสงและบรรยากาศในชีวิตประจาวนั จากเมฆ หมอก ฝ่ ุนละออง
บรรยากาศทาให้เกิดแสงสีสวยงามข้ึนในทอ้ งฟ้า รวมท้งั การมองเห็นความชดั เจนของสิ่งต่างๆ ใน
ธรรมชาติเรียกอิทธิพลของแสงกบั บรรยากาศน้ีวา่ ทศั นียภาพในบรรยากาศ ( aerial perspective )
SPU CHONBURI 40
ทศั นียภาพในบรรยากาศ ( aerial perspective )สาหรับคอมพิวเตอร์กราฟฟิ กส์แลว้ ผลของตวั กลางท่ี
มีอิทธิพลต่อการสร้างความสมจริงในภาพสามมิติ คือ บรรยากาศ ซ่ึงเกิดข้ึนจาก หมอกแดด เมฆ ฝน
ฝ่ ุน ละออง ควนั สิ่งเหล่าน้ีมีคุณสมบตั ิบดบงั แสงในบรรยากาศไดไ้ ม่เท่ากนั ทาให้เรามองเห็น
รูปร่างในส่ิงแวดลอ้ มไดเ้ ลือนรางอีกดว้ ย นอกจากน้ีระดบั ของแสงท่ีส่องผ่านตวั กลางท่ีมีความ
หนาแน่นต่างกนั ทาใหค้ วามเขม้ ของเงาท่ีปรากฏออกมาแตกต่างกนั ไปดว้ ย ถึงแมว้ ่าแสงจะสามารถ
ส่องผา่ นตวั กลางเหล่าน้ีได้ แต่หากมีการวางซอ้ นกนั หนามากข้ึน กอ็ าจจะบดบงั การมองเห็นได้ เช่น
แสงอาทิตยท์ ่ีส่องผา่ นบรรยากาศในยามเชา้ และเยน็ จะผา่ นช้นั บรรยากาศท่ีหนากว่าในเวลาเท่ียงวนั
จึงทาใหส้ ีสนั ของทอ้ งฟ้าแตกต่างไปตามกาลเวลา
เงา (shadows)
เป็นบริเวณท่ีแสงสว่างถูกบดบงั เงาเป็นตวั การสาคญั ท่ีทาใหภ้ าพวตั ถุแลดูมีระยะ เกิดมิติ
ความลกั และนูนของวตั ถุ เงาเกิดข้ึนจากการที่มาวตั ถุทึบแสงไปบดบงั แสงสวา่ งท่ีส่องจากจุดกาเนิด
ซ่ึงหากมีจุดกาเนิดแสงหลายๆดวงส่องไปยงั วตั ถุน้นั จะปรากฏเงามากกวา่ หน่ึงเงา และเงาจะมีสีดา
สนิทเมื่อวตั ถุน้นั มีคุณสมบตั ิทึบแสง แต่ในวตั ถุท่ีมีความโปร่งแสงเงาจะมีสีดาท่ีจางลงหรืออาจมีสี
ของของวตั ถุน้นั เจืออยใู่ นเงาได้ เช่น แสงแดดที่ส่องผา่ นใบไมส้ ีเขียวจะสร้างเงาของใบไ้ มท้ ี่อาจมีสี
เขียวท่ีแก่จดั จนดาเหมือนกบั แสงแดดที่ส่องผา่ นกระจกแกว้ สี จากการคน้ พบกฎฟิ สิกส์เก่ียวกบั แสง
ทาใหส้ ามารถเลียนแบบลกั ษณะของแสงเงาใหเ้ กิดข้ึนในภาพคอมพิวเตอร์กราฟฟิ กส์ได้ โดยใชก้ าร
คานวณของโปรแกรมซ่ึงสามารถสร้างสรรคเ์ งาไดอ้ ยา่ งอิสระ ข้ึนอยูก่ บั องคป์ ระกอบท่ีใชเ้ ป็ นตวั
แปรหลายตวั ไดแ้ ก่ ลกั ษณะของจุดกาเนิดแสงระยะทาง และตาแหน่ง เป็น
ตน้ (พนสั โภคทวี, 2554, หนา้ 193-194)
ในภาพคอมพิวเตอร์กราฟฟิ กส์ศิลปิ นอาจสร้างเงาข้ึนมาเฉพาะสาหรับวตั ถุแต่ละตวั หรือ
อาจกาหนดเงื่อนไขที่ใชท้ วั่ ไปท้งั ภาพก็ได้ ท้งั น้ีข้ึนอยกู่ บั การกาหนดจานวนของจุดกาเนิดแสงท่ีมี
ในภาพน้นั วิธีหน่ึงท่ีนิยมทาคือการกาหนดจุดกาเนิดแสงดว้ ยไฟสปอตซ่ึงจะเปิ ดโอกาสให้ศิลปิ น
สามารถควบคุมรูปร่างและตาแหน่งของเงาไดอ้ ยา่ งอิสระ ในขณะที่การเลือกใชแ้ สงออมนิซ่ึงเปล่ง
ออกมารอบทิศทางจะใหค้ วามสว่างในบริเวณโดยรวม และหากจุดกาเนิดแสงมีการเคล่ือนท่ีก็ยอ่ ม
ทาให้รูปร่างและทิศทางของเงาเปล่ียนแปลงไปดว้ ย เช่นเดียวกนั กบั การเปลี่ยนแปลงของแสงแดด
ในเวลาต่างๆโดยเฉพาะเมื่อมีวตั ถุอยูใ่ นภาพมากข้ึนก็ย่อมทาให้การสร้างเงามีความซบั ซอ้ นย่ิงข้ึน
เงาของวตั ถุบางชิ้นอาจไปพาดทบั กบั วตั ถุชิ้นอื่นได้ ในกรณีน้ีจาเป็ นตอ้ งหาแนวลาแสงที่ส่องผ่าน
จากจุดกาเนิดแสงไปยงั วตั ถุ การตามรอยรังสี หรือ Ray tracing เป็นการหาแนวเส้นลาแสงเพ่ือ