ผลิตภัณฑ์สบู่สมุนไพร นางสาวพิมพ์ชนก เกษแก้ว นางสาวกุลชา เฉลยฤทธิ์ โครงงานนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง สาขาวิชาการบัญชี ประเภทวิชาบริหารธุรกิจ วิทยาลัยอาชีวศึกษาชลบุรี ปีการศึกษา 2566
ผลิตภัณฑ์สบู่สมุนไพร นางสาวพิมพ์ชนก เกษแก้ว รหัสประจ าตัว 65302010015 นางสาวกุลชา เฉลยฤทธิ์ รหัสประจ าตัว 65302010033 โครงงานนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง สาขาวิชาการบัญชี ประเภทวิชาบริหารธุรกิจ วิทยาลัยอาชีวศึกษาชลบุรี ปีการศึกษา 2566
ใบรับรองโครงงาน วิทยาลัยอาชีวศึกษาชลบุรี โครงงานเรื่อง ผลิตภัณฑ์สบู่สมุนไพร โดย นางสาวพิมพ์ชนก เกษแก้ว นางสาวกุลชา เฉลยฤทธิ์ ได้รับอนุมัติให้นับเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) สาขาวิชาการบัญชี ประเภทธุรกิจ ประจ าปีการศึกษา 2566 ..........................................หัวหน้าแผนก ...............................รองผู้อ านวยการฝ่ายวิชาการ (นางนิพร จุทัยรัตน์) (นางสาวปัญจาภา ส่งเสริม) วันที่.......เดือน........................พ.ศ.......... วันที่.......เดือน.............................พ.ศ......... คณะกรรมการสอบโครงงาน .............................................ประธานกรรมการ (อาจารย์ที่ปรึกษาโครงงาน) (...........................................) ..............................................กรรมการ (..............................................) ..............................................กรรมการ (.............................................) ..............................................กรรมการ (............................................)
ชื่อ : นางสาวพิมพ์ชนก เกษแก้ว นางสาวกุลชา เฉลยฤทธิ์ ชื่อโครงงาน : ผลิตภัณฑ์สบู่สมุนไพร สาขาวิชา : การบัญชี ประเภทวิชา : บริหารธุรกิจ ที่ปรึกษา : นางนิพร จุทัยรัตน์ ปีการศึกษา : 2566 บทคัดย่อ โครงงานสบู่สมุนไพร มีวัตถุประสงค์การศึกษาเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ทันสมัยและอ่อนโยน ต่อผิว เพื่อศึกษาความพึงพอใจของกลุ่มเป้าหมายที่มีต่อผลิตภัณฑ์สบู่สมุนไพร เพื่อสร้างรายได้เสริม กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ ได้แก่ นักเรียน นักศึกษา คณะครู และบุคลากรทางการศึกษา วิทยาลัยอาชีวศึกษาชลบุรี ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 จ านวน 40 คนเครื่องมือที่ใช้ใน การศึกษาครั้งนี้ได้แก่ แบบสอบถามเพื่อทราบข้อมูลและศึกษาความพึงพอใจของกลุ่มเป้าหมายที่มีต่อ ผลิตภัณฑ์สบู่สมุนไพร สถิติที่ใช้ในการศึกษา ได้แก่ เป็นค่าร้อยละ (Percentage) ค่าเฉลี่ยเลขคณิต (Mean) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) ผลการศึกษา พบว่า 1. สรุปเป็นรายด้าน โดยรวมมีความพึงพอใจมากที่สุด เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านแล้ว ด้าน ส่งเสริมการจ าหน่ายมีความพึงพอใจมากที่สุด รองลงมาคือ ด้านคุณภาพผลิตภัณฑ์ และด้านบรรจุ ภัณฑ์และการใช้งาน 2. ด้านคุณภาพผลิตภัณฑ์โดยรวมมีความพึงพอใจมากที่สุด เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อแล้ว รูปลักษณ์ของผลิตภัณฑ์มีความพึงพอใจมากที่สุด รองลงมาคือ ผลิตภัณฑ์มีกลิ่นหอม มีความทันสมัย และเป็นที่หน้าสนใจ ผลิตภัณฑ์มีสีสันสวยงาม 3. ด้านบรรจุภัณฑ์และการใช้งาน โดยรวมมีความพึงพอใจมากที่สุด เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อ แล้ว มีความเหมาะสมและทันสมัยมีความพึงพอใจมากที่สุด รองลงมาคือ เปิดใช้งานได้สะดวก วัสดุมี ความเหมาะสม และบรรจุภัณฑ์มีความสวยงาม สะดุดตา 4. ด้านส่งเสริมการจ าหน่าย โดยรวมมีความพึงพอใจมากที่สุด เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อแล้ว ผลิตภัณฑ์มีความเหมาะสมกับราคา มีความพึงพอใจมากที่สุด รองลงมาคือ ผลิตภัณฑ์มีความ เหมาะสมโดยรวม มีผลิตภัณฑ์ให้ทดลอง และรูปลักษณ์ของผลิตภัณฑ์ของผลิตภัณฑ์ดึงดูดสายตา
(โครงงานวิชาชีพนี้มีทั้งหมดจ านวน ....... หน้า) ค าส าคัญ : สบู่ , สมุนไพร , กลีเซอลีน …………………………………………………………….อาจารย์ที่ปรึกษา
กิตติกรรมประกาศ การศึกษาเรื่อง “โครงงานผลิตภัณฑ์สบู่สมุนไพร” ในครั้งนี้ สามารถส าเร็จลุล่วงอย่างสมบูรณ์ แบบด้วยความเมตตา จากอาจารย์นิพร จุทัยรัตน์ ที่ปรึกษาโครงงานที่ให้ค าปรึกษาแนะน าแนวทางที่ ถูกต้อง และเอาใจใส่ด้วยดีตลอดระยะเวลาในการท าผลิตภัณฑ์ ผู้ศึกษารู้สึกซาบซึ่งเป็นอย่างยิ่ง จึงขอ ทราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูงมา ณ โอกาสนี้ ขอขอบพระคุณบิดา มารดา และเพื่อนๆ ทุกคนที่ได้ให้ค าแนะน าช่วยเหลือสนับสนุนผู้ศึกษา โครงงานมาตลอด โครงงานจะส าเร็จลุล่วงไปไม่ได้ หากไม่มีบุคคลดังกล่าวในการจัดท าโครงงาน คุณค่าและประโยชน์ของการศึกษาโครงงานนี้ ผู้ศึกษาขอมอบเป็นกตัญญูกตเวทีแด่บุพการี บูรพาอาจารย์ และผู้มีพระคุณท่านทั้งในอดีตและปัจจุบัน ที่ได้อบรม สั่งสอน ชี้แนะแนวทางใน การศึกษาจนท าให้ผู้ศึกษาประสบความส าเร็จมาจนตราบทุกวันนี้ พิมพ์ชนก เกษแก้ว กุลชา เฉลยฤทธิ์
บทที่ 1 บทน า 1.1 ความเป็นมาและความส าคัญของปัญหา สบู่ คือสารเคมีที่เกิดจากการท าปฏิกิริยากันระหว่างโซเดียมไฮดรอกไซด์ (ด่าง,โซดาไฟ) และน้ ามันที่มาจากสัตว์หรือพืช ปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นเรียกว่า สปองซิฟิเคชั่น (Saponfication) คุณสมบัติ ของสบู่ หรือผลที่ได้จากการสปองซิฟิเคชั่นจะสามารถละลายได้ทั้งในน้ าและไขมัน และสามารถเก็บ ไขมันไว้ได้จึงมีประสิทธิภาพในการท าความสะอาดได้เป็นอย่างดี ในชีวิตประจ าวันของมนุษย์ทุกวันมี การใช้ร่างกายอยู่ตลอด รวมถึงฝุ่นและมลภาวะในอากาศ ท าให้เกิดแบคทีเรียได้ จึงจ าเป็นต้องมีการ ช าระร่างกายทุกวัน ซึ่งผลิตภัณฑ์สบู่ ช่วยช าระล้างสิ่งสกปรก ไขมันต่างๆ ปัจจุบันได้มีการพัฒนาสูตรกันไปอย่างแพร่หลาย ซึ่งสารเคมีบางชนิดที่ใส่ลงไปอาจท าให้เกิด การแพ้และระคายเคืองต่อผิวหนัง รวมถึงการใส่น้ าหอมลงในสบู่ซึ่งน้ าหอมจะเข้าไปซึมซับอยู่ใต้ ผิวหนัง อาจท าลายต่อมไขมันใต้ผิวหนังท าให้ผิวแห้งสูญเสียความชุ่มชื้น ดังนั้น จึงพัฒนาผลิตภัณฑ์สบู่สมุนไพรจึงเป็นอีกทางเลือกเนื่องจากสบู่สมุนไพร ท ามาจาก กลีเซอลีนธรรมชาติไม่มีสารเคมีปนเปื้อน และสมุนไพรที่สกัดลงในสบู่จะช่วยในด้านลดการแพ้และ ระคายเคืองต่อผิวหนัง อีกทั้งยังสามารถเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวกายและสามารถน าไปต่อยอดสร้าง รายได้ 1.2 วัตถุประสงค์ของการศึกษา 1.2.1 เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ทันสมัยและอ่อนโยนต่อผิว 1.2.2 เพื่อศึกษาความพึงพอใจของกลุ่มเป้าหมายที่มีต่อผลิตภัณฑ์สบู่สมุนไพร 1.2.3 เพื่อสร้างรายได้เสริม 1.3 ขอบเขตของการศึกษา 1.3.1 ขอบเขตด้านเนื้อหาได้แก่ ศึกษาเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์สบู่สมุนไพร ช่วยลดการระคายเคือง และบ ารุงผิวกาย โดยเพิ่มสมุนไพรในส่วนผสมของสบู่
1.3.2 ขอบเขตด้านกลุ่มเป้าหมายได้แก่ นักเรียน นักศึกษา และคณะครูวิทยาลัยอาชีวศึกษา ชลบุรีภาคเรียนที่ 1 ประจ าปีการศึกษา 2566 1.3.3 ขอบเขตด้านระยะเวลาและสถานที่ใช้ในการศึกษา 1.3.3.1 ระยะเวลา 4 เดือน วันที่ 15 พฤษภาคม 2566 - วันที่ 15 กันยายน 2566 1.3.3.2 หมู่บ้านเสม็ดใน ม.6 ต.เสม็ด อ.เมืองชลบุรี จ.ชลบุรี 20000 1.4 นิยามศัพท์เฉพาะ 1.4.1 สบู่ หมายถึง เกลือของกรดไขมัน สบู่ในบ้านเรือนใช้ชะล้าง อาบ โดยสบู่ท าหน้าที่เป็น สารลดแรงตึงผิว และน้ ามันอิมัลซิไฟเออร์เพื่อให้สบู่ไหลไปกับน้ าได้ 1.4.2 สมุนไพร หมายถึง ยาที่ได้มาจากพืช สัตว์ แร่ธาตุจากธรรมชาติที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลง สภาพโครงสร้างภายใน สามารถน ามาใช้เป็นยารักษาโรคต่างๆ และบ ารุงร่างกาย 1.4.3 กลีเซอลีน หมายถึง สารประกอบอินทรีย์ในกลุ่มของโพลิไฮดริกแอลกอฮอล์ชนิดหนึ่ง 1.5 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 1.5.1 ได้ผลิตภัณฑ์สบู่สมุนไพรทันสมัยและอ่อนโยนต่อผิว 1.5.2 ทราบความพึงพอใจของกลุ่มเป้าหมายที่มีต่อผลิตภัณฑ์สบู่สมุนไพร 1.5.3 สามารถเป็นรายได้เสริม
บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง การด าเนินโครงงานสบู่สมุนไพร ณ หมู่บ้านเสม็ดใน ม.6 ต.เสม็ด อ.เมืองชลบุรี จ.ชลบุรี 20000 ระหว่างวันที่ 15 พฤษภาคม 2566 ถึงวันที่ 15 กันยายน 2566 ผู้ด าเนินโครงงานได้ศึกษา ค้นคว้าจากเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องมีเนื้อหาสาระดังต่อไปนี้ 2.1 จุดประสงค์รายวิชา สมรรถนะรายวิชา และค าอธิบายรายวิชา 2.2 แนวคิดการวิเคราะห์การตลาดแบบการจัดองค์กรอุตสาหกรรม 2.3 แนวคิดเกี่ยวกับการขอรับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน 2.4 ทฤษฎีกลยุทธ์การตลาด(4Ps)และ(8Ps),กลยุทธ์ตลาดออนไลน์ 2.5 การบริโภคและทฤษฎีพฤติกรรมผู้บริโภค(Buyer Behavior’s Model) 2.6 แนวคิดการออกแบบบรรจุภัณฑ์ 2.7 ทฤษฎีกลไกราคา 2.8 แนวความคิดของหลักการบัญชีต้นทุน 2.9 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 2.1 จุดประสงค์รายวิชา สมรรถนะรายวิชา และค าอธิบายรายวิชา 2.1.1 จุดประสงค์รายวิชา 2.1.1.1 เข้าใจหลักการและขั้นตอนกระบวนการจัดท าโครงงาน สร้างและหรือพัฒนางาน อาชีพอย่างเป็นระบบ 2.1.1.2 สามารถบูรณาการความรู้และทักษะในการสร้างและหรือพัฒนางานในสาขา วิชาชีพตามกระบวนการวางแผน ด าเนินงาน แก้ไขปัญหา ประเมินผล ท ารายงานและน าเสนอ ผลงาน 2.1.1.3 มีเจตคติและกิจนิสัยในการศึกษาค้นคว้าเพื่อสร้างและหรือพัฒนางานอาชีพด้วย ความรับผิดชอบ มีวินัย คุณธรรม จริยธรรม ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ขยัน อดทนและสามารถ ท างานร่วมกับผู้อื่น 2.1.2 สมรรถนะรายวิชา 2.1.2.1 แสดงความรู้เกี่ยวกับหลักการและกระบวนการจัดท าโครงงาน สร้าง และหรือพัฒนางานอาชีพอย่างเป็นระบบ 2.1.2.2 เขียนโครงงานสร้างและหรือพัฒนางานตามหลักการ 2.1.2.3 ด าเนินงานตามแผนงานโครงงานตามหลักการและกระบวนการ 2.1.2.4 วิเคราะห์ สรุป ประเมินผลการด าเนินงานโครงงานตามหลักการ 2.1.2.5 รายงานผลการปฏิบัติงานโครงงานตามรูปแบบ 2.1.2.6 น าเสนอผลงานด้วยรูปแบบวิธีการต่างๆ
2.1.3 ค าอธิบายรายวิชา ศึกษาและปฏิบัติเกี่ยวกับการบูรณาการความรู้และทักษะในระดับเทคนิคที่สอดคล้องกับ สาขาวิชาชีพที่ศึกษาเพื่อสร้างและหรือพัฒนางานด้วยกระบวนการทดลอง ส ารวจ ประดิษฐ์คิดค้น หรือการปฏิบัติงานเชิงระบบ การเลือกหัวข้อโครงงาน การศึกษาค้นคว้าข้อมูลและเอกสารอ้างอิง การ เขียนโครงงาน การด าเนินงานโครงงาน การเก็บรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์และแปลผล การสรุปจัดท า รายงาน การน าเสนอผลงานโครงงาน โดยน าเนินการเป็นรายบุคคลหรือกลุ่มตามลักษณะของงานให้ แล้วเสร็จในระยะเวลาที่ก าหนด 2.2 แนวคิดการวิเคราะห์การตลาดแบบการจัดองค์กรอุตสาหกรรม แนวคิดเกี่ยวกับการจัดองค์กรทางอุตสาหกรรม (industrial organization)องค์กอุตสาหกรรม เป็นแนวความคิดที่ได้รับอิทธิพลอย่างมากจากOrganization ของ Joe S. Bain การวิเคราะห์การจัด องค์กรการตลาคมีพื้นฐานทางทฤษฎีเศรษฐศาสตร์และความหมายในการศึกษาเชิงประจักษ์ของ สถาบันด้วย โดยแบบจ าลองขั้นพื้นฐานของ IO เป็นแบบจ าลองสภาพนิ่งที่มีลักษณะชี้วัด และมี เหตุผลต่อเนื่องในทางเดียวการวิเคราะห์ขึ้นอยู่กับองค์ประกอบ 3 ส่วน คือ โครงสร้างการตลาด (markct structire) พฤติกรรมหรือการด าเนินงาน (conduct) และผลการด าเนินงาน (performance) โดยมีข้อสมมติว่าโครงสร้างตลาดมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของหน่วยธุรกิจ และ ผลลัพธ์คือ ผลการด าเนินงานของอุตสาหกรรมการศึกษาทางด้านตลาดไม่ว่าจะเป็นตลาดสินค้า อุตสาหกรรม ตลาดสินค้าเกษตร หรือตลาดสินค้าใดๆก็ตาม แนวความคิดเกี่ยวกับการจัดองค์กรทาง อุตสาหกรรมจึงเป็นแนวคิดทางทฤษฎีหนึ่งที่นิยมน ามาใช้ในการศึกษาวิเคราะห์ทางด้านการตลาด (อารี, 2549) แนวคิดทางทฤษฎีเกี่ยวกับพฤติกรรมทางด้านการตลาด ตามที่อ านวยเพ็ญ (2541) ได้อธิบายไว้ พฤติกรรมทางด้านการตลาด (market conduct) หมายถึง นโยบายธุรกิจที่มีต่อตลาดสินค้าของตน และต่อคู่แข่งขัน โดยเน้นมิติด้านหน้าที่ในการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นกับธุรกิจของตน เช่น การก าหนด ราคา ปริมาณ คุณภาพสินค้า และรูปแบบสินค้า รวมถึงการส่งเสริมการขายในรูปแบบต่างๆและการ ก าหนดนโยบายด้านการตลาดโดยเฉพาะนโขบายที่ใช้ตอบโต้คู่แข่งขัน ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นพฤติกรรม ตลาดทั้งสิ้น โดยพฤติกรรมที่พิจารณามีดังนี้ (ไพฑูรย์, 2541) 2.2.1 การก าหนดราคาและปริมาณธุรกิจ เป็นการพิจารณาพฤติกรรมของผู้ประกอบการใน ตลาดส่วนที่เกี่ยวกับการตั้งราคาและปริมาณธุรกิจที่จะด าเนินว่าเป็นไปในลักษณะใด เช่น หน่วยธุรกิจ หรือผู้ประกอบการแต่ละรายต่างตั้งหรือก าหนดรากากันเอง หรือรวมกลุ่มกันตกลงราคาส าหรับใน ด้านขนาดธุรกิจมีหลักเกณฑ์อย่างไรในการลดและเพิ่มปริมาณสินค้า 2.2.2 นโยบายการผลิต เป็นการพิจารณาดูว่าหน่วยธุรกิจต่างๆมีนโยบายเกี่ยวกับตัวสินค้าว่า จะผลิตอย่างไร เช่น เน้นหนักในด้านคุณภาพหรือรูปร่างอย่างไร เป็นนโยบายที่ธุรกิจต่างๆ ก าหนดขึ้น เองหรือตกลงร่วมกัน 2.2.3 นโยบายส่งเสริมการขาย เป็นการพิจารณาดูว่าหน่วยธุรกิจต่างๆ ได้ก าหนดหรือมี นโยบายและวิธีปฏิบัติในการส่งเสริมการขายสินค้า ได้แก่ การวางขายสินค้า การโฆษณาและอื่นๆ ของตนอย่างไร เพื่อที่จะสามารถขายสินค้าของตนได้มากขึ้น
2.2.4 นโยบายการแข่งขันกับหน่วยธุรกิจ เป็นการพิจารณาถึงพฤติกรรมที่หน่วยธุรกิจก าหนด และด าเนินการในทางปฏิบัติตลอดจนกลยุทธ์ทางการตลาดต่างๆ ที่น ามาใช้เพื่อให้มีปริมาณธุรกิจหรือ ส่วนแบ่งการตลาดหรือก าไรเพิ่มมากขึ้น และมีพฤติกรรมในการก าจัดคู่แข่งให้ออกไปจากธุรกิจรุนแรง มากน้อยเพียงใด 2.2.5 ความส าคัญของการตลาดอุตสาหกรรม 2.2.5.1 ขนาดของตลาดอุตสาหกรรม หมายถึง ในสภาวะเศรษฐกิจการตลาดโดยทั่วไป มัก เข้าใจว่าขึ้นอยู่กับการอุปโภค-บริโภคขั้นสุดท้าย แต่ใน ความเป็น จริงนั้น การซื้อของผู้บริโภคขั้น สุดท้ายนี้ยัง น้อยกว่าครึ่งหนึ่งของการซื้อทางอุตสาหกรรม โดยเฉพาะการซื้อวัตถุดิบ สวนประกอบ ชิ้นส่วนต่างๆเป็นต้น เพื่อความเข้าใจที่ดียิ่งขึ้นเกี่ยวกับกิจกรรมทาง เศรษฐกิจอัน ประกอบขึ้นเป็น การตลาดอุตสาหกรรม ผู้อ่านลองพิจารณาการพัฒนาผลิตภัณฑ์ชนิดหนึ่งส าหรับ ผู้บริโภค ดังเช่น น้ ามันหล่อลื่นส าหรับรถยนต์ ก่อนที่ น้ ามันหล่อลื่นส าหรับรถยนต์จะถึงมือผู้บริโภคไดตอง ผ่าน กระบวนการผลิต ขายส่ง ขายปลีกก่อนการผลิต ผู้ผลิตต้องจัดเตรียมวัตถุดิบน้ ามันพื้นฐาน สวนผสม อื่นๆ ภาชนะพลาสติกที่ใช้บรรจุขนาดต่างๆ กลองกระดาษ เป็นต้น ในขณะที่ผู้ผลิตต้องจัดเตรียม วัตถุดิบน้ ามัน พื้นฐาน สวนผสมอื่นๆ ภาชนะพลาสติกที่ใช้บรรจุขนาด ต่างๆ กลองกระดาษ เป็นต้น ในขณะที่ผู้ผลิตภาชนะ พลาสติกที่ใช้บรรจุกลองกระดาษ ก็ต้องการเครื่องจักร วัตถุดิบเช่น เม็ด พลาสติก กระดาษ สีมาเพื่อท าการผลิต ซึ่งปัจจัยการผลิตหรือวัตถุดิบเหล่านี้ก็ต้องผ่าน กระบวนการ ผลิตจากผู้ผลิตก่อนหน้านี้และท าการ จ าหน่ายเป็นช่วงๆ กระบวนการพัฒนาปรับปรุงคุณภาพ และ การตลาดของวัตถุดิบเหล่านี้จึงไดเกิดขึ้น มิฉะนั้น แล้วการผลิตสินคาหรือผลิตภัณฑ์ขั้นสุดท้ายส าหรับ ผู้บริโภคย่อมไมเกิดขึ้น กระบวนการพัฒนานี้เรียกว่า โซ แห่งการผลิต (Production Chain) เป็น กระบวนการที่ เปลี่ยนวัตถุดิบ (หมายถึงท าการผลิต) เป็นส่วนประกอบ ชิ้นส่วน เครื่องมือ เครื่องจักร ซึ่งจะถูกใช้ในการผลิต สินค้าชนิดอื่นๆ ต่อไป โซแห่งการผลิตนี้จึงเป็นการช่วย การผลิตสินค้าบริโภค (Consumer Products) จากสินคา อุตสาหกรรม (Industrial Products) ไดสะดวกหรือง่ายขึ้น 2.2.5.2 การขยายตัวของตลาดอุตสาหกรรม หมายถึง ถาพิจารณาในภาพกว้างจะเห็น ว่า สภาพตลาด อุตสาหกรรมก าลังถดถอยลงลักษณะนี้อาจจะเป็นจริงในบางอุตสาหกรรมที่สภาพการ ผลิต และกระบวนการผลิต ต่างๆไดเปลี่ยนแปลงไป ดังเช่น บริษัทเอทีแอนทีในสหรัฐได้ปิด โรงงานผลิตอุปกรณ์โทรศัพท์ที่ล้าสมัย แต่เปิดโรงงานที่ผลิต Photonic Integrated Circuits เพราะว่า ในประเทศที่พัฒนาแล้วความเจริญก้าวหน้าทาง วัตถุดิบ ส าหรับ การผลิต กระบวนการ แปลงวัตถุดิบ ส าหรับการผลิต กระบวนการผลิตและ ประกอบวัตถุดิบ ส าหรับการผลิต สินคาส าเร็จ รูปขายส่ง และ ขายปลีก ผู้บริโภคขั้นสุดท้ายองค์การหรือสถาบันอันมีส่วนช่วยให้การด าเนินงานทาง ธุรกิจ สะดวกยิ่งขึ้น เช่น สถาบันการเงิน ตัวแทน ขนส่ง บริษัท โฆษณา บริษัทตรวจสอบบัญชีเป็นต้น คอมพิวเตอร์การควบคุมสภาพแวดล้อมและพลังงาน เครื่องมือใยแกว (Optical Instruments) อุปกรณ์การ สื่อสารคมนาคมอุปกรณ์ที่ใช้ในส านักงาน เครื่องมือ ควบคุมการผลิต เป็นต้น สินคา เหล่านี้โดยส่วนใหญ่แลว จะถูกขายไปยังผู้ใช้ซึ่งเป็นองค์การ เช่น โรงงาน ส านักงาน โรงพยาบาล โรงแรม หน่วยงานราชการ เป็นต้น ความสามารถของการขยายตัว ด้านอุตสาหกรรมเป็นไปไดอย่าง กว้างขวาง โดยสามารถดูไดจากเทคโนโลยีใหม่ในสาขาเลเซอร์(Laser Field) ยอดขายทั่วโลกของ เครื่องมือเลเซอร์ในปัจจุบันบันมีเกินกว่า 1 พันล้านเหรียญสหรัฐต่อปีเครื่องมือที่อาศัยเลเซอร์มี
บทบาทต่อชีวิตประจ าวัน ตั้งแต่การใช้เครื่องอ่านแถบราคา (Bar Code) ของสินค้าในซุปเปอร์มาร เก็ต ตลอดจน การผลิตในอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น ในบริษัท General Motors ไดใช้เครื่องเลเซอร์ใน การตัดผ้า และหนังเทียมที่ ใช้ส าหรับการบุภายในของรถยนต์อันเป็นการลดชั่วโมง แรงงานจาก 32 ชั่วโมง เหลือเพียง 4 ชั่วโมง เป็นต้น ส าหรับประเทศไทย การขยายตัวของตลาด อุตสาหกรรมมีแนว โนมมากขึ้น 2.2.6 ลักษณะของผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม หมายถึง เมื่อเปรียบเทียบกับสินค้าบริโภคโดยทั่วไป ผู้บริโภคย่อมจะคุ้นเคย เข้าใจ และเห็นไดอย่างชัดเจน มากกว่า ตัวอย่าง แม่บ้านรายหนึ่งหาซื้อน้ ายา ล้างจาน ชนิดหนึ่ง ซึ่งมีความตั้งใจแรกเริ่มอยากไดน้ ายาล้างจาน เฉพาะ ชนิดมีส่วนผสมสูตรมะนาว แต่บังเอิญสินค้านั้นหมด แม่บ้านคนนั้นอาจจะตัดสินใจซื้อน้ ายาล้างจานที่ไมมีส่วนผสมสูตรมะนาว ตามที่ต้องการแต่แรกไปใช้แทน แต่ถ้ากรณีเช่นนี้เกิดขึ้นกับนายช่างหรือวิศวกรโรงงานที่ต้องการตะปู เกลียวที่มีลักษณะ 28 เกลียว ในช่วงครึ่งนิ้ว แต่บังเอิญมีชนิด 30 เกลียวในช่วงครึ่งนิ้ว นายช่างก็คงไม สามารถยอมรับไดเพราะชิ้นส่วนนี้ไมได เป็นไปตามข้อก าหนด (specifications) ที่ระบุ 2.3 แนวคิดเกี่ยวกับการขอรับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน 2.3.1 วัตถุประสงค์โกรงการมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชนได้จัดท าโครงการส านักงานมาตรฐาน ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) มาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชนขึ้น โดยมีระยะเวลาด าเนินการ 5 ปี วงเงิน งบประมาณ 112,475,000 บาทเพื่อรองรับการพัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์ชุมชนหรือระดับพื้นบ้านที่ยัง ไม่ได้รับการพัฒนาเท่าที่ควร ขณะเดียวกันรัฐบาลมีน โยบายจัดตั้งโครงการ หนึ่งต าบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ เพื่อเสริมสร้างให้แต่ละชุมชนได้ใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่นพัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์ที่เป็นเอกลักษณ์ของ ท้องถิ่นเพื่อผลิตจ าหน่ายสู่ดลาดผู้บริโภค ฉะนั้น โครงการมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน (มผช.) จึงเป็น แนวทางที่สอดคล้องและสนับสนุนในด้านมาตรฐานและการรับรองกุณภาพของผลิตภัณฑ์ที่ได้จาก โครงการหนึ่งต าบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ เพื่อให้ผลิตภัณฑ์เป็นที่ยอมรับและสามารถประกันคุณภาพ ให้กับผู้บริโภค ซึ่งเป็นแนวทางหนึ่งที่เชื่อมโยงผลิตภัณฑ์จากชุมชนสู่ตลาดผู้บริโภคทั้งในประเทศและ ต่างประเทศ โดยมีวัตถุประสงค์ที่ส าคัญ คือ (สมอ. 2546) การควบคุมคุณภาพผลติภัณฑ์ชุมชน ด้วย พฤติกรรมการเลือกซื้อหรือแนวโน้มความต้องการของผู้บริโภคทั้งใน ประเทศและต่างประเทศส่วน ใหญ่ต้องการความมั่นใจว่าสินค้าที่ซื้อไปจะปลอดภัยต่อการใช้งาน หรือการบริโภคมีคุณภาพสม่ า เสมอหรือไม่ด้อยไปกว่าเดิม นอกจากนี้ผู้บริโภคยังต้องการสินค้าที่มีคุณภาพมีการควบคุม กระบวนการผลิตที่ดี จึงถือเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภคได้ ซึ่งไม่เพียงแต่การ“ยกระดับ” ของสินค้าแต่หมายถึง “การอยู่รอด” ของกิจการในอนาคตด้วย ดังนั้นการน าเทคนิคการควบคุม คุณภาพไปใช้ในกระบวนการผลิตเช่น การคัดเลือกวัตถุดิบ การควบคุมกระบวนการผลิต เพื่อให้ได้ ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ เป็นอีกทางเลือก 18 หนึ่งที่ผู้ผลิตชุมชนสามารถสร้างความพึงพอใจ สร้างความ มั่นใจ และสร้างความน่าเชื่อถือให้กับผู้บริโภคคุณภาพ คือคุณสมบัติต่าง ๆของผลิตภัณฑ์ที่ให้ผู้บริโค เกิดความพึงพอใจ 2.3.1.1 ส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพของผลิตภัณฑ์ชุมชนให้ได้รับการรับรองและแสดง เครื่องหมายการรับรอง 2.3.1.2 เพื่อส่งเสริมด้านการตลาดของผลิตภัณฑ์ให้เป็นที่ยอมรับอย่างแพร่หลายและ
สร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภคในการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ชุมชนทั้งในประเทศและต่างประเทศ 2.3.1.3 เพื่อเน้นให้มีการพัฒนาแบบยั่งยืน อีกทั้งสนับสนุนนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล ในโครงการหนึ่งต าบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ มาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน เป็นการรับรองการพัฒนาคุณภาพ ผลิตภัณฑ์ชุมชน ก่อนที่จะมีการพัฒนาปรับปรุงระดับคุณภาพให้เข้าสู่มาตรฐานระดับประเทศและ ระดับสากลซึ่งเป็นแนวทางที่เชื่อมโขงผลิตภัณฑ์จากชุมชนสู่ตลาดผู้บริโภคทั้งในประเทศและ ต่างประเทศ 2.3.2 การด าเนินงานของส านักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม 2.3.2.1 ด าเนินการประชุมคณะกรรมการมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน (กมช.) เมื่อวันที่ 8 และวันที่ 28 พฤศจิกายน 2545 เพื่อพิจารณาก าหนดแนวทางขั้นตอนการปฏิบัติงานในด้านการ ก าหนดมาตรฐานการรับรองคุณภาพผลิตภัณฑ์หลักเกณฑ์และเงื่อนไขการรับรองเครื่องหมาย มาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชนรายชื่อที่เห็นสมกวรจัดท ามาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชนปี 2546จ านวน 60 เรื่อง และอื่นๆที่เกี่ยวข้อง 2.3.2.2 จัดให้มีการประชุมสัมมนาเชิงปฏิบัติการข้อคิดเห็นด้านการก าหนดมาตรฐาน ผลิตภัณฑ์ชุมชน" จากผู้ที่เกี่ยวข้อง 3 ฝ่าย คือ ผู้ผลิตในชุมชนผู้บริโภค และนักวิชาการ ระหว่างวันที่ 16 ถึง 17 มกราคม 2546 ณ ห้องชลาลัย โรงแรมชลจันทร์เมืองพัทยาจังหวัดชลบุรี เพื่อรับฟังข้อมูล และข้อคิดเห็นที่เกี่ยวข้องกับมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชนรายสินค้าจ านวน 13 เรื่อง ก่อนที่จะมีการ ประกาศเป็นมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน รายละเอียดของการสัมมนาเชิงปฏิบัติการฯ ดังนี้ รายสาขา ผลิตชุมชนทั้ง 13 เรื่อง โดยให้ผู้เข้าร่วมสัมมนาฯ แสดงข้อคิดเห็นได้อย่างอิสระเป็นไปคามที่ปฏิบัติ จริงซึ่งจะเน้นผู้ผลิตในชุมชนที่เกี่ยวข้องตามรายสาขาผลิตภัณฑ์ชุมชนข้างต้น เพื่อน าข้อมูลที่ได้มาค า เนินการจัดท ามาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชนให้มีข้อก าหนดที่เหมาะสมกับสภาพผลิตภัณฑ์ชุมชนเป็นที่ ยอมรับของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง มีแนวทางปฏิบัติที่ไม่ชับซ้อนเพื่อให้ผู้ผลิดในชุมชนเข้าถึงมาตรฐาน ผลิตภัณฑ์ชุมชนได้ง่ายกลุ่มบุคคลที่เข้าร่วมสัมมนาฯ : ผู้เข้าร่วมสัมมนาเชิงปฏิบัติการ ประกอบด้วย กลุ่มบุคคล 3 ฝ่าย คือ ผู้ผลิตในชุมชนนักวิชาการหรือผู้ทรงคุณวุฒิ และผู้บริโภค จาก 42 จังหวัด หน่วยงานราชการ 34 ราย หน่วยงานเอกชน 2 ราย ผู้ทรงคุณวุฒิเฉพระสาขา 3 ราย และ คณะกรรมการมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน 11 ราย รวมทั้งสิ้น 180 คน 2.3.2.3 การเปิดให้บริการรับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน เริ่มต้นการเปิดใบค าขอ ใบรับรองเครื่องหมายมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชนส าหรับมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมดังกล่าวได้ตั้งแต่เดือน กุมภาพันธ์ 2546 เป็นต้นมา โดยผู้ยื่นค าขอไม่ต้องเสียค่าใช้ง่ายใดๆ ทั้งสิ้นส่วนผลิตภัณฑ์ชุมชนอื่น ตามประกาศบัญชีรายชื่อผลิตภัณฑ์ดีเด่น สินค้าชุมชนของคณะกรรมการอ านวยการหนึ่งต าบลหนึ่ง ผลิตภัณฑ์แห่งชาติจะด าเนินการ 2.4 ทฤษฎีกลยุทธ์การตลาด(4Ps)และ(8Ps),กลยุทธ์ตลาดออนไลน์ 2.4.1 กลยุทธ์การตลาด 4P (Marketing Mix) หรือ ส่วนผสมทางการตลาด คือ แนวคิดปัจจัย 4 อย่างที่ธุรกิจตวิเคราะห์เพื่อช่วยในการวางแผนการท างานการตลาดซึ่ง 4P จะประกอบไปด้วย สินค้า, ราคา, ช่องทางการจ าหน่าย และการส่งเสริมการขาย ซึ่งปัจจัยทั้ง 4 อย่างที่กล่าวไปนั้นจะเข้า มาช่วยให้นักธุรกิจและนักการตลาดทุกคนได้สามารถวิเคราะห์กลยุทธ์ออกมาได้อย่างละเอียดเพื่อการ สร้างการเติบโตให้กับธุรกิจได้มากที่สุด
2.4.1.1 ผลิตภัณฑ์ คือสิ่งที่ธุรกิจของคุณต้องการขายให้กับผู้บริโภคและต้องเป็นสิ่งที่ ผู้บริโภคต้องการ โดยผลิตภัณฑ์ในที่นี้อาจเป็นสินค้าหรือบริการก็ได้ ซึ่งต้องมีประโยชน์และสร้าง คุณค่าให้กับผู้บริโภค ตอบสนองต่อการใช้งานและสร้างความพึงพอใจกับผู้บริโภคได้ดี ซึ่งเหตุผลนี้จะ ช่วยให้ผลิตภัณฑ์สามารถขายได้หรือในกรณีที่คุณมีผลิตภัณฑ์มาอยู่ก่อนแล้วก็ต้องเน้นในเรื่องของ การเพิ่มมูลค่าให้ผลิตภัณฑ์ ต้องมีความเข้าใจว่าผลิตภัณฑ์ของเราคืออะไร อะไรคือสิ่งที่เราควรเพิ่ม หรือปรับปรุงตัวผลิตภัณฑ์ของเรา ซึ่งต้องพิจารณาจากองค์ประกอบของผลิตภัณฑ์ได้แก่ หน้าที่และ ประโยชน์ใช้สอยพื้นฐาน รูปร่างลักษณะ คุณภาพการบรรจุภัณฑ์ ตราสินค้า ชื่อ ค า สัญลักษณ์ การ ออกแบบ 2.4.1.2 ราคา คือคุณค่าหรือมูลค่าของตัวผลิตภัณฑ์ที่แสดงออกมาในรูปของตัวเงิน ซึ่ง ราคาถือเป็นสิ่งที่ผู้บริโภคหรือผู้ใช้เปรียบเทียบผลิตภัณฑ์แต่ละแบรนด์เป็นอันดับแรก โดยผู้บริโภคจะ เปรียบเทียบระหว่างคุณค่าที่ได้รับว่าเหมาะสมกับราคาหรือไม่ ดังนั้นในฐานะเจ้าของธุรกิจและ ผู้ประกอบการก็ควรต้องก าหนดราคาให้เหมาะสมกับสิ่งที่ผู้บริโภคได้รับก่อนที่จะปล่อยผลิตภัณฑ์ออก สู่ท้องตลาดเสมอ โดยการก าหนดราคาสามารถพิจารณาจากปัจจัยที่เกี่ยวข้องดังนี้ ก ต้นทุน เช่นค่าวัสดุ ค่าก าลังการผลิต ค่าแพคเกจจิ้ง ค่าสถานที่ เงินเดือน พนักงานหรือลูกจ้าง และค่าใช้จ่ายในการท าโฆษณาทั้งออนไลน์และออฟไลน์ ข ราคาของคู่แข่ง ควรตั้งราคาให้เหมาะสมหรือใกล้เคียงกัน เพื่อไม่ให้เกิดการ เปรียบเทียบกันจนเกินไป 2.4.1.3 ช่องทางการจัดจ าหน่าย คือช่องทางการจัดจ าหน่าย คือปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับ ที่ตั้งและรูปแบบสถานที่ให้บริการ โดยต้องพิจารณาให้เหมาะสมกับผลิตภัณฑ์ของเราเพื่อให้เกิดการ เพิ่มมูลค่าของธุรกิจ ซึ่งต้องวิเคราะห์จาก 3 องค์ประกอบดังนี้ ก รูปแบบสถานที่ขายผลิตภัณฑ์หรือบริการ คือต้องก าหนดตามความ เหมาะสมของผลิตภัณฑ์หรือการให้บริการ และกลุ่มผู้ใช้หรือผู้บริโภคที่เป็นกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งรูปแบบ ต่าง ๆ เช่นสินค้าแบบไหนควรขายที่สถานที่ใด Supermarket, ตลาดสด, ร้านสะดวกซื้อ, ร้านแผง ลอยริมทาง, ช่องทางออนไลน์ต่าง ๆ เช่นเว็บไซต์ E-Commerce, Facebook Page, Instagram ฯลฯ ข สถานที่ตั้งของร้านค้า คือต้องวิเคราะห์ก่อนลูกค้ากลุ่มเป้าหมายของธุรกิจ คือใคร ค มีคู่แข่งขันหรือร้านค้าที่มีผลิตภัณฑ์หรือบริการประเภทเดียวกันหรือ ใกล้เคียงกันในบริเวณนั้นหรือไม่ แล้วจึงค่อยตัดสินใจเลือกสถานที่ตั้งของร้านค้า 2.4.1.4 การส่งเสริมการตลาด คือการส่งเสริมการตลาด คือการสื่อสารกันระหว่างธุรกิจ และผู้บริโภค เพื่อกระตุ้นการขายผ่านช่องทางและกลยุทธ์ต่าง ๆ เข้ามาช่วยไม่ว่าจะเป็นการใช้กลยุทธ์ ด้าน , กลยุทธ์ ซึ่งประกอบไปด้วย การยิงแอด , สร้างเพจ Facebook, การใช้งาน Influencer หรือ การคิดโปรโมชันตามช่องทางต่างๆ ก็ล้วนเป็นวิธีการส่งเสริมการตลาดที่น่าสนใจ โดยผ่านเครื่องมือ ส่งเสริมการตลาดไม่ว่าจะเป็น การโฆษณา การขายโดยใช้พนักงานขาย การตลาดทางตรง การให้ข่าว และประชาสัมพันธ์และการส่งเสริมการขาย ซึ่งในส่วนนี้อาจเลือกใช้เครื่องมือต่าง ๆ เข้ามาช่วยใน
การพิจารณาถึงความเหมาะสมกับลูกค้าหรือผู้ใช้ ผลิตภัณฑ์เพื่อให้บรรลุจุดมุ่งหมายที่ธุรกิจของคุณตั้ง ไว้ 2.4.2 กลยุทธ์การตลาด (8Ps) คือกลยุทธ์ส่วนประสมทางการตลาดทั้ง 8 (Marketing Mix 8P) ซึ่งถูกต่อยอดมาจาก Marketing Mix 4Ps โดยส่วนประสมทางการตลาดอีก4 ตัวที่ถูกเพิ่มเข้ามาในกล ยุทธ์การตลาด 8P ได้แก่กลยุทธ์เกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์(Public Relationship),กลยุทธ์เกี่ยวกับ บรรจุภัณฑ์(Packaging),กลยุทธ์เกี่ยวกับพนักงานขาย (Personal),กลยุทธ์เกี่ยวกับการใช้พลัง (Power) ซึ่งปัจจุบันมีรูปแบบกลยุทธ์ให้เลือกมากมายส าหรับน ามาปรับใช้เพื่อความเหมาะสมของ ธุรกิจ แต่กลยุทธ์ที่ต้องถือเป็นต้นแบบทางการตลาดอย่างแท้จริงคงเห็นจะหนีไม่พ้นกลยุทธ์ 8P เพราะ นักธุรกิจทั่วโลกต่างยกนิ้วและให้การยอมรับว่ามีประสิทธิภาพในการท าการตลาดค่อนข้างสูงสามารถ เห็นผลได้อย่างชัดเจนอีกทั้งยังถือว่ากลยุทธ์นี้เป็นแม่บทในการพัฒนากลยุทธ์ซีรี่ย์ต่างๆตามหลัง ออกมาในปัจจุบันอีกด้วย จึงเป็นสิ่งสมควรที่ผู้ประกอบการจะต้องท าความรู้จักและศึกษาเรียนรู้ ความหมายเกี่ยวกับกลยุทธ์ดังกล่าวนี้อย่างที่สุด 2.4.2.1 กลยุทธ์เกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์คือการให้ข่าวสาร เพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่ดี ให้กับแบรนด์ เพราะในปัจจุบันลูกค้ามักจะค้นหาข้อมูลด้วยตัวเอง ท าให้การที่มีข่าวสารที่ดีปรากฎอยู่ เต็มหน้าค้นหาของ Google หรือถูกพูดถึงในด้านดีย่อมเป็นสิ่งที่ดีกว่า นอกจากนี้ อีกสิ่งส าคัญของการประชาสัมพันธ์ดังกล่าว ก็คือต้องประชาสัมพันธ์ให้ตรงกลุ่มเป้าหมาย ตัวอย่างเช่นถ้าสินค้าของแบรนด์เลือกเจาะกลุ่มวัยรุ่นก็ต้องใช้ช่องทางที่เข้าถึงวัยรุ่น ซึ่งปัจจุบันก็มี ช่องทางอยู่มากมายเพื่อเข้าถึงกลุ่มวัยรุ่น 2.4.2.2 กลยุทธ์เกี่ยวกับบรรจุภัณฑ์ ด้วยการออกแบบบรรจุภัณฑ์ของสินค้าให้เหมาะสม ตอบโจทย์ โดดเด่น และมีเอกลักษณ์เฉพาะ โดยกลยุทธ์นี้มีเป้าหมายเพื่อท าให้สินค้าสะดวกต่อการใช้ งาน อีกทั้งยังท าให้ลูกค้าสนใจและจ าสินค้า ของเราได้จากรูปลักษณ์ภายนอกของสินค้า ในตลาดที่มี การแข่งขันในอัตราสูงอย่างเช่นตลาดเครื่องส าอางค์ผู้ผลิตต่างก็ต้องหากลเม็ด และเทคนิคทาง การตลาดหลายรูปแบบมาต่อสู้กัน ไม่ว่าจะเป็นการท าโฆษณาตามสื่อต่างๆ การออกผลิตภัณฑ์สูตร ใหม่ๆ รวมถึงการคัดสรรบรรจุภัณฑ์ที่มีความสวยงาม สุภาษิตไทยที่ว่า “ไก่งามเพราะขน คนงาม เพราะแต่ง” จึงไม่ได้ใช้เฉพาะกับคนเพียงอย่างเดียวอีกต่อไป ผลิตภัณฑ์หลายประเภทในท้องตลาด ถูกน ามาบรรจุและ “แต่ง” ให้สวยงาม เพื่อให้ผลิตภัณฑ์นั้นเกิดความโดดเด่น และน่าซื้อมากยิ่งขึ้น โดยในปัจจุบันมีการพัฒนาบรรจุภัณฑ์ในรูปแบบที่หลากหลาย ขวดปั๊มเป็นบรรจุภัณฑ์อีกประเภทหนึ่ง ที่มีการน ามาใช้เป็นจ านวนมาก ในปัจจุบันสินค้าหลายประเภท โดยเฉพาะสินค้าประเภท เครื่องส าอางค์ และเครื่องประทินผิว นิยมน าขวดปั๊มมาใช้ในการบรรจุผลิตภัณฑ์ เพราะการใช้ขวด ปั๊มจะมีจุดเด่นอย่างมากในเรื่องของความสะอาด การบรรจุผลิตภัณฑ์ในขวดปั๊มจะช่วยป้องกันไม่ให้ นิ้วมือของผู้ใช้ไปสัมผัสเนื้อครีมในขวดโดยตรง อันอาจจะท าให้ครีมติดเชื้อ หรือประสิทธิภาพลดลงได้ ซึ่งขวดปั๊มที่วางขายในท้องตลาดในปัจจุบันจะมีขนาด รูปทรง รูปแบบของหัวปั๊ม และวัตถุดิบหลาย ประเภทเพื่อตอบสนองต่อลักษณะการใช้งานที่แตกต่างกัน โดยหลัก ๆ แล้วตัวขวดปั๊มจะมีอยู่ 2 แบบ คือแบบมีสายธรรมดา และแบบสูญญากาศ ลักษณะของหัวปั๊มก็มีหลายแบบ เช่น หัวปั๊มธรรมดา หัว
ปั๊มดีด หัวปั๊มปากเป็ด หัวปั๊มปากยื่น หัวปั๊มจุ๊บ หัวปั๊มก๊อก หัวปั๊มกระดุด หัวปั๊มกระโดด หัวปั๊มโฟม เป็นต้น ตัวขวดของขวดปั๊มจะผลิตขึ้นจากวัตถุดิบหลากหลาย โดยมีทั้งพลาสติก PET แก้ว หรือ อะคริ ลิค ซึ่งลักษณะต่างๆ เหล่านี้ เมื่อน ามารวมกับการออกแบบและดีไซน์แล้ว ก็จะให้คุณประโยชน์ในการ ใช้ รวมทั้งให้ความรู้สึกสวยงามและหรูหราในระดับที่แตกต่างกัน 2.4.2.3 กลยุทธ์เกี่ยวกับพนักงานขาย ซึ่งเป็นส่วนส าคัญที่จะช่วยให้สินค้าหรือบริการ ของเราสามารถขายได้ กลยุทธ์นี้จะครอบคลุมในเรื่องเกี่ยวกับพนักงานขายทั้งหมด ไม่ว่าเป็น การ คัดเลือกพนักงาน การฝึกอบรมพนักงาน การให้ข้อมูลที่มากพอกับพนักงาน และเรื่องอื่นๆที่เกี่ยวกับ พนักงาน เนื่องจากพนักงานขายที่ดี จะช่วยให้สามารถขายสินค้าได้ง่ายขึ้น โดยจุดประสงค์ที่ส าคัญอีก อย่างของกลยุทธ์เกี่ยวกับพนักงานขาย ใน Marketing Mix 8P นอกจากช่วยให้ขายสินค้าได้ ก็คือการ สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า เพราะถึงแม้ว่าลูกค้าไม่ซื้อในวันนี้ ก็ไม่ได้หมายความว่าลูกค้าจะไม่ กลับมาซื้อหรือน าประสบการณ์ที่ลูกค้าได้รับไปพูดต่อ 2.4.2.4 กลยุทธ์เกี่ยวกับการใช้พลัง ซึ่งในที่นี้พลังที่ว่า คืออ านาจต่อรอง การมีอ านาจ ต่อรองที่มากพอจะช่วยให้สามารถได้ข้อเสนอที่ดีในราคาที่สูงในกรณีที่เป็นสินค้าที่มีอ านาจต่อรองที่สูง อย่างเช่นสินค้าหายาก สินค้าที่เป็นวัตกรรม และสินค้าที่มีความต้องการสูง เป็นต้น 2.4.3 กลยุทธ์การตลาดทางออนไลน์ เมื่อมีผู้ซื้อออนไลน์มากขึ้น ผู้ขายจึงต้องเริ่มศึกษาการ ขายออนไลน์และวางกลยุทธ์การขายให้ตอบสนองต่อผู้บริโภคมากที่สุด โดยสามารถปฏิบัติตามกล ยุทธ์ต่าง ๆ ดังนี้ 2.4.3.1 สร้างภาพลักษณ์แบรนด์ กลยุทธ์ที่ส าคัญในการด ารงธุรกิจทุกอย่าง คือ ความ น่าจดจ าของแบรนด์ โดยควรเริ่มต้นตั้งแต่ชื่อแบรนด์ และสโลแกนของแบรนด์เทคนิคในการตั้งชื่อแบ รนด์และสโลแกน ก การเล่นค ากับสินค้า – เทคนิคในการเล่นค าจะช่วยบอกได้ถึงสินค้าของแบ รนด์ เช่น สินค้าประเภทชาชงต่าง ๆ สามารถเลือกใช้ชื่อแบรนด์ที่มีค าว่าชา เพื่อเล่นกับตัวสินค้า ยกตัวอย่าง แบรนด์ชิน “ชา” ข การเลือกใช้ค าง่ายและคล้องจอง - หากไม่มีค าที่สามารถเล่นกับสินค้าได้ หรือไม่ชอบเทคนิคการตั้งชื่อแบบเล่นกับสินค้า ก็สามารถเลือกค าง่าย ๆ ติดหู เช่น พริกทอดรสเด็ด เผ็ดถึงทรวง ค การหยิบวลีเด็ดมาใช้– การเข้าถึงโซเชียลมีเดีย ท าให้มีวลีเด็ดใหม่ ๆ เกิดขึ้นแทบจะทุกวัน สามารถหยิบยกบางค ามาท าเป็นสโลแกน เพื่อโฆษณาสินค้าได้ เช่น ส้มหยุดแต่ ความอร่อยไม่หยุด กับน้ าส้มแท้แม่คั้นเอง การเลือกใช้ชื่อแบรนด์ หรือใช้สโลแกนแบรนด์อย่างใดอย่างหนึ่งให้มีความน่าสนใจจะช่วยดึงดูด ความสนใจของผู้บริโภคได้ 2.4.3.2 การค านวณราคาต้นทุนและก าไร การขายของออนไลน์มีค่าใช้จ่ายในเรื่องของ การขนส่งที่ต้องค านวณให้ถี่ถ้วน นอกจากนั้น ยังมีเรื่องของการสต๊อกสินค้าเตรียมจ าหน่าย และค่า ความเสียหายที่อาจเกิดขณะขนส่ง ผู้ขายของออนไลน์จึงควรมีเงินส ารองเตรียมเอาไว้ อาจพิจารณา ท าบัตรเครดิต ส าหรับใช้การรูดซื้อสินค้าเพื่อน ามาขาย หรือบัตรกดเงินสด เมื่อต้องการใช้เงินก้อน
2.4.3.3 ช่องทางการช าระเงินและการขนส่ง กลยุทธ์การตลาดสมัยใหม่นอกจาก จะต้องซื้อง่ายผ่านทางออนไลน์แล้ว ช่องทางการช าระเงินและการขนส่งจะต้องครอบคลุม สินค้าที่มี มูลค่าสูงควรมีการเปิดให้ผ่อนช าระรายเดือนได้ โดยการรับช าระผ่านบัตรเครดิตของธนาคารต่าง ๆ เช่น เปิดให้ผ่อนช าระผ่านบัตรเครดิต และควรมีบริการขนส่งรองรับหลายบริษัท ทั้งขนส่งเอกชนและ ไปรษณีย์ไทย เพื่อเป็นทางเลือกให้ลูกค้า 2.4.3.4 การรีวิวและแฮชแท็ก การเปิดขายสินค้าแบบออนไลน์ ฟีดแบ็กหลังจากได้รับ สินค้ามีความส าคัญมาก โดยลูกค้าจะมีการรีวิวลงโซเชียล ผู้ขายอาจจะมีการคิดแฮชแท็กของร้านหรือ ของสินค้า เพื่อให้ง่ายต่อการรีวิวและค้นหา รวมถึงมีแฮชแท็กส าหรับการบอกต่อโปรโมชั่นด้วย การ ขายของออนไลน์มีความจ าเป็นมากที่จะต้องดึงดูดลูกค้าจากช่องทางออนไลน์ จึงไม่ควรละเลยการรีวิว และแฮชแท็กโดยเด็ดขาด 2.4.3.5 ช่องทางกระจายข้อมูลที่น่าสนใจ แม้แแฮชแท็กเป็นตัวกระตุ้นให้คนรู้จักสินค้า ของเรา แต่ก็ควรมีช่องทางหลักในการประชาสัมพันธ์สินค้าเช่นกัน และควรมีความน่าสนใจ เช่น การ ใช้อินโฟกราฟิกในการบอกต่อสินค้า ซึ่งง่ายต่อการท าความเข้าใจ และเป็นจุดดึงดูดให้ลูกค้าเข้ามา เยี่ยมชมหน้าสินค้า จนน าไปสู่การซื้อได้ในที่สุด กลยุทธ์การขายออนไลน์สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความเหมาะสม แต่ต้องค านึงถึงความสะดวกใน การซื้อ-ขายผ่านออนไลน์เสมอการเปิดให้ช าระผ่านบัตรเครดิตเป็นการเพิ่มความสะดวกในการซื้อของ ลูกค้าและเป็นการง่ายในการรับเงินของผู้ขายด้วย นอกจากนั้น การมีบัตรกดเงินสดส าหรับส ารองไว้ จ่ายก็ส าคัญไม่แพ้กัน เพราะทุกการลงทุนจะต้องมีเงินส ารองในยามจ าเป็น ผู้ขายออนไลน์จึงควรท า ความเข้าใจ และเลือกบัตรประเภทต่าง ๆ ที่สอดรับกับความต้องการของตัวเองเผื่อเอาไว้ยามฉุกเฉิน ด้วย เพียงเท่านี้การขายออนไลน์ก็จะง่ายขึ้นอีกระดับ 2.5 การบริโภคและทฤษฎีพฤติกรรมผู้บริโภค(Buyer Behavior’s Model) 2.5.1 พฤติกรรมผู้บริโภค หมายถึง การกระท าของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ซึ่งเกี่ยวข้องโดยตรงกับ การจัดหาให้ได้มาและการใช้สินค้าและบริการ ทั้งนี้หมายรวมถึงกระบวนการตัดสินใจซึ่งมีอยู่ก่อนแล้ว และมีส่วนในการก าหนดให้มีการกระท าดังกล่าว เป็นการศึกษาปัจเจกบุคคล กลุ่มบุคคล หรือ องค์การ และ กระบวนการที่พวกเขาเหล่านั้นใช้เลือกสรร รักษา และ ก าจัด สิ่งที่เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ บริการ ประสบการณ์ หรือ แนวคิด เพื่อสนองความต้องการและผลกระทบที่กระบวนการเหล่านี้มีต่อ ผู้บริโภคและสังคมพฤติกรรมผู้บริโภคเป็นการสมผสานจิตวิทยาสังคมวิทยามานุษยวิทยาสังคม และ เศรษฐศาสตร์ เพื่อพยายามท าความเข้าใจกระบวนการการตัดสินของผู้ซื้อ ทั้งปัจเจกบุคคลและกลุ่ม บุคคล พฤติกรรมผู้บริโภคศึกษา ลักษณะเฉพาะของผู้บริโภคปัจเจกชน อาทิ ลักษณะทาง ประชากรศาสตร์และตัวแปรเชิงพฤติกรรม เพื่อพยายามท าความเข้าใจความต้องการของประชาชน พฤติกรรม ผู้บริโภคโดยทั่วไปก็ยังพยายามประเมินสิ่งที่มีอิทธิพลต่อ ผู้บริโภคโดยกลุ่มบุคคลเช่น ครอบครัว มิตรสหาย กลุ่ม อ้างอิง และสังคม สรุปได้ว่า พฤติกรรมของผู้บริโภค (Consumer Behavior) หมายถึง การแสดงออกของแต่ละ บุคคลที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการใช้สินค้าและ บริการ ทางเศรษฐกิจ รวมไปถึงกระบวนการใน การตัดสินใจที่มีผลต่อการแสดงออกของแต่ละ บุคคล ซึ่งมี ความแตกต่างกันออกไป
2.5.2 การศึกษาเรื่องพฤติกรรมผู้บริโภค มีประโยชน์ทางการตลาด 5 ประการ 2.5.2.1 ช่วยให้นักการตลาดเข้าใจถึงปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการ ตัดสินใจซื้อสินค้าของ ผู้บริโภค 2.5.2.2 ช่วยให้ผู้เกี่ยวข้องสามารถหา หนทางแก็ไขพฤติกรรมในการ ตัดสินใจซื้อสินค้า ของผู้บริโภคในสังคมได้ถูกต้องและสอดคล้องกับ ความสามารถในการตอบสนองของ ธุรกิจมากยิ่งขึ้น 2.5.2.3 ช่วยให้การพัฒนาตลาดและการพัฒนาผลิตภัณฑ์สามารถท าได้ดีขึ้น 2.5.2.4 เพื่อประโยชน์ในการแบ่งส่วนตลาด เพื่อการ ตอบสนองความต้องการของ ผู้บริโภค ให้ตรงกับ ชนิดของสินค้าที่ต้องการ 2.5.2.5 ช่วยในการปรับปรุงกลยุทธ์การตลาดของธุรกิจต่าง ๆ เพื่อความ ได้เปรียบคู่ แข่งขัน 2.5.3 รูปแบบพฤติกรรมผู้ซื้อ เป็นการศึกษาถึงเหตุจูงใจที่ท าให้เกิดการตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์ โดยมีจุดเริ่มต้นจากการกระตุ้น ที่ท าให้เกิดความต้องการสิ่งกระตุ้นผ่านเข้ามาในความรู้สึกนึกคิดของผู้ ซื้อ ซึ่งเปรียบเสมือนกล่องด าที่ผู้ผลิตหรือผู้ขายไม่สามารถคาดคะเนได้ความรู้สึกนึกคิดของผู้ซื้อจะ ได้รับอิทธิพลจากลักษณะต่างๆของผู้แล้วจะมีการตอบสนองของผู้ซื้อ หรือการตัดสินใจของผู้ซื้อ หรือ เรียกโมเดลนี้ว่าS-R Theory ซึ่งทฤษฎีนี้ประกอบด้วย 2.5.3.1 สิ่งกระตุ้น สิ่งกระตุอาจเกิดขึ้นเองภายในร่างกายและ สิ่งกระตุ้นจากภายนอก นักการตลาดจะต้องสนใจและจัดสิ่งกระตุ้น ภายนอก เพื่อให้ผู้บริโภคเกิดความต้องการผลิตภัณฑ์ สิ่ง กระตุ้นถือว่าเป็นเหตุจูงใจให้เกิดการซื้อสินค้า สิ่งกระตุ้น ภายนอกประกอบด้วย2 ส่วนคือ ก สิ่งกระตุ้น ทางการตลาด เป็นสิ่งกระตุ้นที่นักการตลาดสามารถ ควบคุมและ ต้องจัดใหม่ขึ้นเป็นสิ่งกระตุ้น ที่เกี่ยวข้องกับ ส่วนประสมทางการตลาด ซึ่งประกอบด้วย 1) สิ่งกระตุ้นด้านผลิตภัณฑ์ เช่น ออกแบบผลิตภัณฑ์ให้สวยงามเพื่อ กระตุ้นความต้องการ 2) สิ่งกระตุ้นราคา เช่น การก าหนดราคาสินค้าให้เหมาะสมกับผลิตภัณฑ์ โดดยพิจารณาลูกค้าเป้าหมาย 3) สิ่งกระตุ้นด้านการจัดช่องทางการจ าหน่าย เช่น การจ าหน่ายผลิตภัณฑ์ ให้ทั่วถึงเพื่อให้ความสะดวกแก่ผู้บริโภค ถือว่าเป็นการกระตุ้นความต้องการซื้อ 4) สิ่งกระตุ้น ด้านการส่งเสริมการตลาด เช่น การโฆษณาสม่ าเสมอ การใช้ ความพยายามของพนักงานขาย การลด แลก แจก แถม การสร้างความสัมพันธ์อันดีกับ บุคคลทั่ว ไป เหล่านี้ถือว่าเป็นการกระตุ้นความต้องการซื้อ ข สิ่งกระตุ้นอื่นๆ เป็นสิ่งกระตุ้นความต้องการผู้บริโภคที่อยู่ภายนอก องค์การ ซึ่งบริษัทควบคุมไม่ได้สิ่งเหล่านี้ได้แก่ 1) สิ่งกระตุ้นทางเศรษฐกิจ เช่น ภาวะเศรษฐกิจ รายได้ของ ผู้บริโภค เหล่านี้มีอิทธิพลต่อความต้องการของบุคคล 2) สิ่งกระตุ้นทางเทคโนโลยีเช่น เทคโนโลยีใหม่ด้านถอนเงิน อัตโนมัติ สามารถกระตุ้นความต้องการให้บริการธนาคารมากขึ้น
3) สิ่งกระตุ้นทางกฎหมายและการเมือง เช่น กฎหมาย เพิ่มลดภาษีสินค้า กฎหมายเพิ่มลดภาษีสินค้าใดสินค้าหนึ่งจะมีอิทธิพลต่อการเพิ่ม หรือลด ความต้องการของผู้ซื้อ 4) สิ่งกระตุ้นทางวัฒนธรรม เช่น ขนบธรรมเนียมประเพณีในไทย เทศกาล ต่างๆจะมีผลกระตุ้นให้ผู้บริโภคเกิดความต้องการซื้อสินค้าในเทศกาลนั้น 2.5.3.2 ความรู้สึกนึกคิดของผู้ซื้อ ความรู้สึกนึกคิดของผู้ซื้อเปรียบเทียบ เหมือนกล่อง ด า ซึ่งผู้ผลิตและผู้ขายไม่สามารถทราบได้ จึงต้องพยายามค้นหา ความรู้สึกนึกคิดของผู้ซื้อ ความรู้สึก นึกคิดของผู้ซื้อได้รับอิทธิพลจาก ลักษณะของผู้ซื้อ และ กระบวนการตัดสินใจของผู้ซื้อ ก ลักษณะของผู้ซื้อ ลักษณะของผู้ซื้อมีอิทธิพลจากปัจจัยต่างๆคือ ปัจจัยด้าน วัฒนธรรม ปัจจัยด้านสังคม ปัจจัยส่วนบุคคลและปัจจัยด้านจิตวิทยา 1) ปัจจัยด้านวัฒนธรรม เป็นสัญลักษณ์และสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น โดยเป็นที่ ยอมรับจากรุ่นหนึ่งสู่รุ่นหนึ่ง เป็นตัวก าหนดและควบคุมพฤติกรรมของมนุษย์ในสังคม หนึ่ง ค่านิยมใน วัฒนธรรมจะก าหนดลักษณะของสังคม และก าหนดความแตกต่างของ สังคมหนึ่งจากสังคมอื่นของ วัฒนธรรม และน าลักษณะการเปลี่ยนแปลงเหล่านั้น ไปใช้ก าหนดโปรแกรมการตลาด 2) ปัจจัยด้านสังคม เป็นปัจจัยที่เกี่ยวข้องในชีวิตประจ าวัน และมีอิทธิพล ต่อ พฤติกรรมการซื้อ 3) ปัจจัยส่วนบุคคล ได้แก่อายุกลุ่มอายุที่แตกต่างกันจะมีความต้องการ ผลิตภัณฑ์แตกต่างกัน เช่น กลุ่ม วัยรุ่นชอบทดลองสิ่งแปลกใหม่และชอบสินค้าประเภทแฟชั่น และ รายการพักผ่อนหย่อนใจ 4) ปัจจัยทางจิตวิทยา ถือว่าเป็นปัจจัยในตัวผู้บริโภคที่มีอิทธิพลต่อ พฤติกรรม การซื้อและการใช้สินค้า ข กระบวนการตัดสินใจซื้อของผู้ซื้อ ประกอบด้วยขั้นตอน ดังนี้คือ 1) การรับรู้ความต้องการ ความต้องการของผู้บริโภคจะเกิดขึ้นได้จากสิ่ง กระตุ้น ทั้งภายในและภายนอกร่างกาย สิ่งกระตุ้น ภายในได้แก่ ความต้องการทางด้านร่างกายและ จิตใจ สิ่งกระตุ้น ภายนอกได้แก่ ความต้องการทางด้านสังคม เศรษฐกิจ และ การเมือง สิ่งเหล่านี้เมื่อ เกิดขึ้นถึงระดับ หนึ่งแล้วจะกลายเป็นตัวกระตุ้นให้บุคคลมีพฤติกรรมตอบสนอง ซึ่งบุคคลสามารถ เรียนรู้ถึงวิธีการตอบสนองต่อการกระตุ้น เหล่านี้โดยอาศัยการเรียนรู้และประสบการณ์ในอดีต 2) การค้นหาข้อมูลเพื่อสนองความต้องการ ถ้าความต้องการถูกกระตุ้น มากพอ และสิ่งที่สามารถตอบสนองความต้องการอยู่ใกล้ตัว ผู้บริโภคจะด าเนินการตอบสนอง ความ ต้องการของเขาทันที ถ้าความต้องการนั้น ยังไม่ได้รับการตอบสนอง ความต้องการนั้นจะถูก สะสม เอาไว้เพื่อการตอบสนองภายหลัง เมื่อความต้องการที่ถูกกระตุ้นได้สะสม ไว้มากจะท าให้เกิดภาวะ อย่างหนึ่งคือ ความตั้งใจให้ได้รับการตอบสนองความต้องการ โดยผู้บริโภคจะพยายามค้นหาข้อมูล เพื่อสนองความต้องการที่สะสมไว้ปริมาณของข้อมูล ที่ผู้บริโภคค้นหาขึ้นอยู่กับบุคคลเผชิญกับการ แก่ไขปัญหามากหรือน้อย ข้อมูลที่ผู้บริโภค ต้องการถือเป็นข้อมูลเกี่ยวกับคุณสมบัติของผลิตภัณฑ์ 3) การประเมินผลทางเลือก เมื่อผู้บริโภครับข้อมูล เข้ามาแล้วจากขั้นที่ 2
ก็จะ เกิดความเข้าใจแล้วท า การประเมินผลข้อมูล เหล่านั้น เพื่อพิจารณาทางเลือกต่อไป 4) การตดัสินใจซื้อ เมื่อท าการประเมินผลแล้ว จะช่วยให้ผู้บริโภคสามารถ ก าหนดความพอใจระหว่างสินค้าต่างๆที่เป็นทางเลือก ผู้บริโภคจะตัดสินใจซื้อสินค้าที่เขาชอบที่สุด 5) ความรู้สึกหลังการซื้อ หลังการซื้อหรือทดลองใช้สินค้า ผู้บริโภคจะมี ประสบการณ์เกี่ยวกับความพอใจหรือไม่พอใจสินค้า โดยที่ความพอใจภายหลังการซื้อจะเป็นสิ่งที่มี อิทธิพลต่อการซื้อซ้ า และการบอกต่อผู้อื่น หากไม่ได้รับความพอใจหลังการซื้อ หรือใช้สินค้าก็จะหัน ไปซื้อผลิตภัณฑ์ยี่ห้ออื่น และจะบอกกล่าวต่อไปยังผู้บริโภครายอื่นๆ ในทางลบ 2.6 แนวคิดการออกแบบบรรจุภัณฑ์ 2.6.1 การออกแบบบรรจุภัณฑ์ คือ การออกแบบบรรจุภัณฑ์ คือการก าหนดรูปแบบและ โครงสร้างของบรรจุภัณฑ์ให้เหมาะสมและสัมพันธ์กับตัวสินค้า เพื่อป้องกันไม่ให้สินค้าเสียหายจากการ เคลื่อนย้าย เพื่ออ านวยความสะดวกให้กับระบบขนส่ง และเพิ่มคุณค่าด้านจิตวิทยาต่อผู้บริโภค ซึ่ง ต้องอาศัยทั้งศาสตร์และศิลป์ในการสร้างสรรค์ 2.6.2 วัตถุประสงค์ของการออกแบบบรรจุภัณฑ์เพื่อน าเอาวัสดุ เช่น กระดาษ เยื่อกระดาษ ไม้ พลาสติก แก้ว และโลหะอื่นๆมาออกแบบเป็นเป็นภาชนะที่มีความสวยงาม แข็งแรง ได้สัดส่วน เหมาะสมกับตัวสินค้า เช่น กล่องกระดาษ กล่องกระดาษลูกฟูก กล่องพิมพ์ออฟเซท พาเลทกระดาษ และภาชนะอื่นๆ ส าหรับการน าไปใช้ รวมทั้งสร้างพจน์ที่ดี ท าให้แบรนด์สินค้าได้รับความพึงพอใจจาก ผู้ซื้อ 2.6.3 หลักการออกแบบบรรจุภัณฑ์ ในการออกแบบบรรจุภัณฑ์ นักออกแบบต้องค านึงถึง ศาสตร์และศิลป์ส าหรับใช้แก้ปัญหาการออกแบบบรรจุภัณฑ์แต่ละด้านให้เกิดผลลัพธ์การออกแบบ บรรจุภัณฑ์ที่มีประสิทธิภาพ ในการบรรลุวัตถุประสงค์หลักของบรรจุภัณฑ์สองข้อคือ การออกแบบ โครงสร้างบรรจุภัณฑ์ และการออกแบบกราฟิกบรรจุภัณฑ์ ที่ล้วนมีรายละเอียดที่ต้องค านึงทฤษฎีและ หลักการที่เกี่ยวข้อง 2.6.4 ข้อก าหนดในการออกแบบโครงการบรรจุภัณฑ์ 2.6.4.1 ชนิดของวัสดุมีความเหมาะสม ป้องกันสินค้าได้ตลอดอายุการวางขาย 2.6.4.2 รูปแบบกลมกลืนสอดคล้องกับสินค้า 2.6.4.3 ขนาดพอดีและสามารถรับน้ าหนักสินค้าได้ 2.6.4.4 การขึ้นรูป การบรรจุ เปิด-ปิดสะดวก ไม่ยุ่งยาก 2.6.5 การออกแบบกราฟฟิกบนบรรจุภัณฑ์การออกแบบและการจัดวางรูปประกอบตัวอักษร ลวดลาย ถ้อยค า เครื่องหมายหรือตราสัญลักษณ์ทางการค้า โดยใช้หลักวิชาการทางศิลปะ การจัด ภาพองค์ประกอบศิลป์เพื่อให้ผลงานมีความประสานกลมกลืนกันอย่างสวยงามและสามารถบรรลุ
วัตถุประสงค์ที่วางไว้ 2.6.6 ข้อมูลประกอบแบบบรรจุภัณฑ์ 2.6.6.1 ข้อมูลด้านการตลาด ได้แก่ สถานที่จัดจ าหน่าย ฤดูกาล 2.6.6.2 รูปแบบการกระจายสินค้า (ปลีก/ส่ง) พฤติกรรมผู้บริโภค 2.6.6.3 ปริมาณและมูลค่าของสินค้าในตลาด (ส่วนแบ่งทางการตลาด ) 2.6.6.4 ข้อมูลเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ ได้แก่ ประวัติความเป็นมา 2.6.6.5 ค าอธิบาย จุดเด่น ประโยชน์ ขนาดปริมาณบรรจุ ความถี่/ปริมาณการใช้ที่ใช้ต่อ ครั้ง ราคาและต้นทุน ข้อควรระวัง 2.6.7 ขั้นตอนการออกแบบบรรจุภัณฑ์ 2.6.7.1 ก าหนดกลุ่มเป้าหมาย ถือเป็นเรื่องส าคัญของการออกแบบบรรจุภัณฑ์เพราะ กลุ่มเป้าหมายสามารถส่งผลกระทบต่อผลิตภัณฑ์ได้โดยตรง ผู้ประกอบการจะต้องศึกษาและเรียนรู้ ความต้องการของตลาดและความต้องการของผู้บริโภค โดยก าหนดกลุ่มเป้าหมายให้ชัดเจน เพื่อที่จะ ได้สามารถออกแบบบรรจุภัณฑ์ให้ตรงต่อความต้องการของกลุ่มเป้าหมายให้มาก ที่สุด ตัวอย่าง กลุ่มเป้าหมาย เช่น วัยรุ่น วัยท างาน แม่บ้าน เด็ก ฯลฯ เป็นต้น กลุ่มเป้าหมายที่ได้ ยกตัวอย่างนี้ นอกจากจะมีความสนใจและความต้องการที่แตกต่างกันแล้วกลุ่มเป้าหมายเดียวกันแต่ ช่วงอายุต่างกันและมีสถานะทางสังคมที่แตกต่างกัน ก็ย่อมมีความต้องการแตกต่างกันด้วยเช่นกัน ซึ่ง ท าให้ลักษณะของบรรจุภัณฑ์ก็ต้องมีความแตกต่างกันไปตามกลุ่มเป้าหมายนั้นๆ หรือบางครั้ง ผลิตภัณฑ์บางอย่างผลิตขึ้นมาเพื่อผู้บริโภคกลุ่มหนึ่ง แต่ผู้บริโภคอีกกลุ่มหนึ่งกลับเป็นผู้เลือกและ ตัดสินใจซื้อ เช่น อาหารเสริมส าหรับเด็กหรือ นมผงส าหรับทารก จะเห็นได้ว่าผลิตภัณฑ์เหล่านี้ ทารก และเด็กมิได้เป็น ผู้เลือกซื้อ แต่ผู้เลือกและตัดสินใจซื้อกลับเป็นผู้ปกครอง ซึ่งเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่า ก่อนการออกแบบบรรจุภัณฑ์ผู้ประกอบการจ าเป็นต้องก าหนดกลุ่มเป้าหมาย เพื่อท าการศึกษาความ ต้องการของกลุ่มเป้าหมายอย่างละเอียดรอบครอบ และค้นหาวิธีว่าจะออกแบบอย่างไรให้บรรจุภัณฑ์ ของท่านสามารถดึงดูดความสนใจของผู้บริโภคตามกลุ่มเป้าหมายให้ตัดสินใจเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ได้ 2.6.7.2 ก าหนดชื่อตราสินค้า(Brand) ตราสินค้าใช้เป็นชื่อหรือเครื่องหมายส าหรับการ เรียกขานผลิตภัณฑ์ ผู้ประกอบการจะต้องท าการก าหนดชื่อตราสินค้าให้เรียบร้อยก่อนการออกแบบ บรรจุภัณฑ์ โดยก าหนดให้ชื่อตราสินค้ามีความเป็นเอกลักษณ์ ชัดเจน น่าสนใจ ที่ส าคัญจะต้องเป็นที่ จดจ าได้ง่ายแก่ผู้บริโภคตราสินค้าที่ดีนั้นสามารถยกตัวอย่างได้ดังนี้ คือตั้งตามชื่อเจ้าของกิจการ ตั้ง ตามความเชื่ออันเป็นมงคล ตั้งตามแหล่งที่มาของผลิตภัณฑ์ หรือตั้งโดยการผสมค าที่มีความหมายให้ เกิดเป็นค าใหม่ที่มีเอกลักษณ์ ฯลฯ เป็นต้น 2.6.7.3 วัสดุที่ใช้ท าบรรจุภัณฑ์ วัสดุมีความจ าเป็นอย่างยิ่งต่อการออกแบบบรรจุภัณฑ์ การที่ผู้ประกอบการตัดสินใจว่าจะใช้วัสดุอะไรมาผลิตเป็นบรรจุภัณฑ์นั้น ท่านควรค านึงถึงความ
ปลอดภัยของผู้บริโภค ความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม และคุณสมบัติของวัสดุแต่ละประเภท ที่จะ น ามาผลิตบรรจุภัณฑ์เป็นส าคัญ เนื่องวัสดุแต่ละชนิดแต่ละชนิดจะมีคุณสมบัติที่เป็นข้อดีและ ข้อเสีย ในการคุ้มครองผลิตภัณฑ์ให้คงคุณภาพ การยืดอายุผลิตภัณฑ์ และการน ากลับมาใช้ใหม่ (Recycle) ที่แตกต่างกันไป หากท่านเลือกใช้วัสดุไม่ถูกต้องนอกจากจะท าให้เกิดผลกระทบต่อตัว ผลิตภัณฑ์ ผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อมแล้ว ยังเป็นสาเหตุให้เกิดต้นทุนในการผลิตบรรจุภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้นอีก 2.6.7.4 รูปทรง บรรจุภัณฑ์ที่มีรูปร่างสวยงาม สามารถสร้างความประทับใจให้กับ ผู้บริโภค ถึงแม้ผู้บริโภคจะยังมิได้สัมผัสกับตัวผลิตภัณฑ์ที่อยู่ภายใน รูปทรงของบรรจุภัณฑ์สามารถ สร้างความเป็นเอกลักษณ์ได้ กล่าวคือเมื่อผู้บริโภคเห็นรูปทรงสามารถรับรู้ได้ทันทีว่าเป็นผลิตภัณฑ์ อะไรและมีชื่อตราสินค้าอะไร หรือจะเป็นผลิตภัณฑ์เดียวแตกต่างกันที่ชื่อตราสินค้า 2.6.7.5 สีสันและกราฟฟิก สีสันและกราฟฟิกนี้คือการรวมของการใช้สัญลักษณ์ ตัวอักษร ภาพประกอบ ลวดลายและพื้นผิว ซึ่งส่วนประกอบทั้งหมดสามารถบ่งบอกถึงชื่อตราสินค้า ลักษณะผลิตภัณฑ์ ที่บรรจุอยู่ภายในได้และสามารถแสดงถึงแหล่งที่มาของผลิตภัณฑ์ได้ด้วย 2.6.8 การออกแบบบรรจุภัณฑ์ที่ดีการออกแบบบรรจุภัณฑ์ ให้มีความสวยงามและความ แปลกตา เท่านี้คงไม่เพียงพอส าหรับบรรจุภัณฑ์ผลิตภัณฑ์อาหารเพราะหัวใจของบรรจุภัณฑ์ คือ การ เก็บรักษาคุณภาพของผลิตภัณฑ์ให้คงอยู่ยืนยาว ดังนั้น การออกแบบที่ดีผู้ประกอบการควรค านึงถึง หน้าที่ของบรรจุภัณฑ์เป็นส าคัญ ดังนี้ 2.6.8.1 ป้องกันผลิตภัณฑ์ บรรจุภัณฑ์ที่เหมาะสมในการบรรจุอาหารจะต้องสามารถ ป้องกันไม่ให้อาหารสัมผัสกับบรรยากาศภายนอก ซึ่งอาจจะเกิดการรั่ว การซึม แสง ความร้อนเย็น 2.6.8.2 เก็บรักษาคุณภาพของผลิตภัณฑ์ บรรจุภัณฑ์ที่ต้องสามารถรักษาคุณภาพของ ผลิตภัณฑ์มิให้เปลี่ยนแปลงไป ไม่ว่าจะเป็นกลิ่นหรือรสชาติ 2.6.8.3 ยืดอายุผลิตภัณฑ์ จะต้องสามารถน าเทคโนโลยีที่สลับซับซ้อนมาช่วยในการ ออกแบบ เพื่อให้บรรจุภัณฑ์ สามารถยืดอายุการเก็บรักษาผลิตภัณฑ์ให้มีอายุยืนยาว 2.6.8.4 ความสะดวกในการใช้งาน 2.6.8.5 ความประหยัดในการขนส่ง 2.6.9 งานพิมพ์บรรจุภัณฑ์ในการพิมพ์สิ่งพิมพ์ประเภทบรรจุภัณฑ์ ควรให้ความส าคัญในการ เลือกใช้หมึกพิมพ์ที่ปลอดภัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเป็นบรรจุภัณฑ์ประเภทอาหาร ควรเลือกสีชนิด Food grade และควรเป็นสีที่คงทนต่อการใช้งานที่ต้องการพิมพ์บนวัสดุใช้พิมพ์ที่ต้องการได้ เช่น กระดาษแข็ง แผ่นกระดาษลูกฟูก โดยไม่ท าให้วัสดุใช้พิมพ์เสียหาย ในการออกแบบบรรจุภัณฑ์ควร ออกแบบให้ขนาดของชิ้นงานกับขนาดกระดาษมาตรฐานที่ขึ้นขึ้นแท่นพิมพ์พอดี ไม่เหลือเศษ ขอบกระดาษมาก เพื่อความประหยัดต้นทุน
2.7 ทฤษฎีกลไกราคา 2.7.1 กลไกราคา หมายถึง ภาวการณ์เปลี่ยนแปลงในระดับราคาสินค้าและบริการอันเกิดจาก แรงผลักดันของอุปสงค์ และอุปทาน เมื่อผู้ผลิตพยายามปรับปรุงการผลิตและบริการให้สอดคล้องกับ ความต้องการของผู้บริโภค ดังนั้นจะเห็นได้ว่าราคาสินค้าและบริการเป็นตัวแปรส าคัญในการก าหนด อุปสงค์และอุปทาน ตลอดจนเป็นกระบวนการปรับเปลี่ยนราคาให้เข้าสู่จุดดุลยภาพ เช่น เมื่อราคา สินค้าและบริการเพิ่มขึ้น โดยทั่วไปแล้วความต้องการซื้อหรืออุปสงค์ก็จะลดลง แต่อุปทานของสินค้า และบริการจะเพิ่มขึ้น เป็นต้น กลไกราคาจะพบได้ในทุกตลาด ยกเว้น ตลาดแบบผูกขาด เพราะกลไก ราคาจะเกิดได้เฉพาะตลาดที่มีการด าเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจในลักษณะของตลาดเสรี หรือประเทศ ที่ใช้ระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมหรือเสรีนิยม หรือระบบเศรษฐกิจแบบผสมเท่านั้น โดยระบบ เศรษฐกิจเหล่านี้จะมีกลไกราคาเป็นตัวก าหนดว่าจะผลิตสินค้าปริมาณเท่าใดและราคาเท่าใด 2.7.2 การก าหนดราคาสินค้าและบริการในทางเศรษฐกิจ ก าหนดไว้ 2 วิธี คือ 2.7.2.1 ให้กลไกราคาเป็นเครื่องมือในการก าหนดราคาสินค้าและบริการ ซึ่งจะ เปลี่ยนแปลงไปตามแรงผลักดันของอุปสงค์แลอุปทาน 2.7.2.2 รัฐบาลก าหนดราคาสินค้าและบริการ ด้วยการควบคุมและแทรกแซงราคาสินค้า และบริการด้วยวิธีก าหนดราคาเมื่อสินค้าที่จ าเป็นขาดตลาด เพื่อช่วยเหลือผู้บริโภค , การประกัน ราคาขั้นต่ าเพื่อช่วยเหลือผู้ผลิต , การพยุงราคาสินค้าไม่ให้ตกต่ ามากเกินไป เพื่อช่วยเหลือผู้ผลิตหรือ ผู้ขายไม่ให้ขาดทุน 2.7.3 อุปสงค์ หมายถึง ปริมาณความต้องการซื้อสินค้าและบริการชนิดใดชนิดหนึ่งของผู้บริโภค ที่เต็มใจจะซื้อและซื้อหามาได้ ณ ระดับราคาต่างๆที่ตลาดก าหนดให้ กล่าวคือ เมื่อผู้บริโภคมีความ ต้องการที่จะซื้อสินค้าและบริการนั้นแล้ว ก็จะสามารถมีก าลังซื้อสินค้านั้นได้ แต่ถ้าผู้บริโภคไม่สามารถ ที่จะซื้อหรือไม่มีก าลังซื้อ ก็จะไม่ถือว่าเป็นอุปสงค์ตามความหมายในทางเศรษฐศาสตร์ 2.7.3.1 กฎของอุปสงค์ หมายถึง ผู้บริโภคมีความต้องการซื้อสินค้าและบริการในราคาต่ า (ราคาถูก) ในปริมาณมากกว่าซื้อสินค้าในราคาสูง(ราคาแพง) 2.7.3.2 ปัจจัยที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงอุปสงค์การที่ผู้บริโภคจะท าการซื้อสินค้าชนิดใด ชนิดหนึ่งในขณะใดขณะหนึ่งเป็นจ านวนเท่าใดนั้น ย่อมขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ ดังนี้ราคาสินค้าและ บริการ (ตามกฎของอุปสงค์),รายได้ของผู้บริโภค,รสนิยมของผู้บริโภค,สมัยนิยม,การโฆษณาและ เทคนิคการตลาด,ราคาสินค้าหรือบริการอื่นๆที่ต้องใช้ร่วมกันหรือแทนกันได้,การคาดคะเนการขึ้นลง ของราคาของผู้บริโภค,พฤติกรรมของผู้บริโภค เช่น ฤดูกาล การศึกษา,ภาวะเศรษฐกิจขณะนั้นๆ 2.7.4 อุปทาน หมายถึง ปริมาณสินค้าและบริการที่ผู้ขายหรือผู้ผลิตยินดีขายหรือผลิตให้แก่ผู้ซื้อ ณ ระดับราคาต่างๆตามที่ตลาดก าหนดให้ กล่าวคือ เมื่อราคาสินค้าชนิดใดชนิดหนึ่งเพิ่มสูงขึ้น ผู้ผลิตก็ ยินดีที่จะเสนอขายมากขึ้น แต่ถ้าราคาสินค้าชนิดนั้นลดลงปริมาณของอุปทานก็จะลดลงตามไปด้วย
2.7.4.1 กฎของอุปทาน หมายถึง ผู้ผลิตมีความต้องการเสนอขายสินค้าและบริการใน ราคาสินค้าและบริการที่สูง(ราคาแพง) ในปริมาณมากกว่าราคาสินค้าและบริการที่ต่ า(ราคาถูก) 2.7.4.2 ปัจจัยที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงอุปทานการที่ผู้ผลิตจะผลิตสินค้าเพื่อสนอง ความต้องการของผู้บริโภคหรือผู้ซื้อมากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ ดังนี้ราคาสินค้า และบริการในขณะนั้นๆ (กฎของอุปทาน),ต้นทุนการผลิตที่เปลี่ยนแปลง (วัตถุดิบ),เทคโนโลยีการผลิต ที่น ามาใช้,ฤดูกาล,สภาวะของตลาดและภาวะเศรษฐกิจในขณะนั้น,การคาดคะเนการขึ้นลงของราคา สินค้าและบริการของผู้ผลิต (การเกิดก าไร),จ านวนผู้ผลิตที่เป็นคู่แข่ง (ราคาสินค้าและบริการชนิด เดียวกันที่มีการแข่งขันกัน) 2.7.5 ดุลยภาพ กลไกราคาท างานโดยได้รับอิทธิพลจากทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภค ซึ่งเราจะ สังเกตเห็นได้ว่า ณ เวลาใด เวลาหนึ่ง ถ้าปริมาณความต้องการหรือปริมาณอุปสงค์ต่อสินค้าในตลาดมี มากเกินกว่าปริมาณสินค้าที่ผู้ผลิตจะยินดีขายให้ ราคาสินค้าก็มีแนวโน้มที่จะปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจาก การขาดแคลนของสินค้า แต่ถ้าปริมาณสินค้าที่ผู้ผลิตประสงค์จะขายให้ผู้บริโภค หรือปริมาณอุปทาน ของสินค้ามีมากกว่าปริมาณสินค้าที่ผู้บริโภคประสงค์จะซื้อ ราคาสินค้านั้นก็จะมีแนวโน้มลดต่ าลง เมื่อ ปริมาณอุปสงค์และปริมาณอุปทานเท่ากันราคาสินค้าจึงจะอยู่นิ่ง หรือที่เรียกว่า มีเสถียรภาพไม่ปรับ ขึ้นลงอีก ยกเว้นว่า จะมีปัจจัยอื่นๆที่ท าให้ตลาดต้องเปลี่ยนแปลงไป สรุป การท างานของกลไกราคา จะท าให้การจัดสรรทรัพยากรสามารถด าเนินไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยที่รัฐบาลไม่จ าเป็นต้องเป็น ผู้ตัดสินใจแทนผู้อื่น เพราะการแข่งขันระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย จะท าให้สินค้ามีราคาที่สะท้อนความ ขาดแคลนของสินค้าหรือ ทรัพยากรนั้นๆ ผู้ซื้อย่อมทราบดีถึงความต้องการที่แท้จริงของตน เช่นเดียวกับผู้ผลิตก็ย่อมทราบดีกว่าผู้อื่นว่าต้นทุนการผลิตของตนเองเป็นอย่างไร และสมควร ตอบสนองความต้องการสินค้าในท้องตลาดอย่างไร 2.7.6อุปสงค์ส่วนเกินและอุปทานส่วนเกิน 2.7.6.1 ภาวะอุปสงค์ส่วนเกินหรืออุปทานส่วนขาด คือ ถ้าสินค้าใดเป็นที่ต้องการมาก จะ ท าให้ราคาสินค้าและบริการสูง ส่งผลให้สินค้าและบริการขาดตลาด อุปสงค์ส่วนเกินจะเกิดขึ้นได้ก็ ต่อเมื่อราคาสินค้าต่ ากว่าจุดดุลยภาพ ซึ่งหมายถึง ความต้องการซื้อมีมากกว่าปริมาณสินค้าและ บริการที่ผู้ผลิตท าการผลิตออกมาขาย 2.7.6.2 ภาวะอุปทานส่วนเกินหรืออุปสงค์ส่วนขาด คือ ถ้าสินค้าใดเป็นที่ต้องการน้อยจะ ท าให้การบริโภคสินค้าและบริการต่ า ส่งผลให้สินค้าและบริการล้นตลาด อุปทานส่วนเกินจะเกิดขึ้นก็ ต่อเมื่อราคาสินค้าอยู่เหนือจุดดุลยภาพ ซึ่งหมายถึงความต้องการซื้อสินค้าและบริการมีน้อยกว่า ปริมาณสินค้าและบริการที่ผู้ผลิตผลิตออกมาขาย 2.8 แนวความคิดของหลักการบัญชีต้นทุน ต้นทุนเป็นมูลค่าของทรัพยากรที่ใช้ในการผลิตหรือการให้บริการ เป็นส่วนที่เรียกว่ามูลค่าของ
ปัจจัยเข้า (Input Value) ของระบบ ต้นทุนจึงเป็นเงินสดหรือค่าใช้จ่ายในรูปแบบอื่นที่จ่ายไปเพื่อให้ ได้มาซึ่งบริการหรือผลผลิต ในทางธุรกิจ ต้นทุน คือ ค่าใช้จ่ายส่วนที่จ่ายไฟเพื่อให้ได้มาซึ่งซึ่ง ผลตอบแทนหรือรายได้ ต้นทุนจึงเป็นส่วนส าคัญในการตัดสินใจทางธุรกิจต่างๆ 2.8.1 ต้นทุน ค่าใช้จ่าย และความสูญเสีย โดยแท้จริงเป็นสิ่งเดียวกัน แต่จะมีความหมายที่ แตกต่างกันในด้านความหมายในการใช้งาน ต้นทุนและความสูญเสียต่างก็เป็นค่าใช้จ่ายทั้งสิ้น ค่าใช้จ่ายไม่ว่าจะอยู่ในรูปแบบของเงินสดหรือสิ่งแลกเปลี่ยนใดๆ ย่อมถือได้ว่าเป็นสิ่งที่จ่ายไปเพื่อให้ ได้ผลผลิต 2.8.1.1 ค่าใช้จ่าย (Expense) หมายถึง ต้นทุนในการให้ได้รายได้ส าหรับช่วง ระยะเวลาใดๆ เช่น เงินเดือนในส านักงาน ค่าใช้จ่ายเป็นจ านวนเงินหรือสิ่งแลกเปลี่ยนที่จ่ายไปเพื่อใช้ ในการบริการซึ่งตัดลดทอนจากส่วนใช้รายได้ในงวดบัญชีใดๆ จึงมักจะใช้ในด้านรายได้ทางการเงิน มากกว่าใช้ในระบบบัญชีทรัพย์สิน 2.8.1.2 ต้นทุน (Cost) หมายถึง ค่าใช้จ่ายที่จ่ายไปส าหรับปัจจัยทางการผลิตเพื่อให้ เกิดผลผลิต ต้นทุนจึงเป็นส่วนที่ใช้ส าหรับนิยาม อัตราผลิตภาพหรือผลิตภาพ (Productivity) ซึ่ง เท่ากับผลผลิต (Output) หารด้วยปัจจัยน าเข้า (Input) ต้นทุนจึงเป็นมูลค่าที่วัดได้ในเชิง เศรษฐศาสตร์ของทรัพยากรที่ใช้ และต้นทุนมีลักษณะที่ใช้จ่ายไปเพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์หรือการบริการที่ ถือเป็นสินทรัพย์ได้ เช่น คงคลังของวัสดุ งานระหว่างท า และสินค้าส าเร็จรูป ต้นทุน (Cost) กับ ความสูญเสีย (Lost) ความจริงแล้วมีความหมายในเชิงเป็นค่าใช้จ่ายทั้งคู่เหมือนกัน แต่ถ้าจะพิจารณาความแตกต่างของความหมายพอจะสรุปง่ายๆ ได้ดังนี้ ก ต้นทุน คือ ค่าใช้จ่ายที่จ่ายไปแล้วเกิดผลผลิตหรือบริการที่่เป็นสินทรัพย์ ข ต้นทุน คือ ข้อมูลทางบัญชี เพื่อใช้ในการวางแผนและควบคุมการ ด าเนินงาน ในด้านการวางแผน ข้อมูลต้นทุนที่ได้จะช่วยในการท างบประมาณและประมาณการต้นทุน การผลิต ก าหนดราคาขาย ประมาณการผลก าไร และใช้ในการตัดสินใจการลงทุนและการขยายงาน ในด้านการควบคุม จะใช้ในการเปรียบเทียบผลการด าเนินงานกับงบประมาณต้นทุนที่ก าหนดไว้เพื่อ ช่วยให้ฝ่ายบริหารรับรู้ถึงการปฏิบัติที่ไม่มีประสิทธิภาพเมื่อสิ้นรอบระยะเวลาบัญชี 2.8.1.3 ความสูญเสีย คือ ค่าใช้จ่ายที่จ่ายไปแล้วเกิดผลได้น้อยกว่าหรือค่าเสียหาย ที่ต้องจ่ายโดยไม่มีผลตอบแทน และเป็นค่าใช้จ่ายที่ถูกตัดออกจากส่วนของผู้ถือหุ้นมากกว่าที่จะหัก จากส่วนของการลงทุน ความสูญเสียที่เกิดขึ้นได้จากการตัดสินใจที่ผิดพลาดหรือเกิดจากสิ่งผิดปกติ ตามธรรมชาติ เช่น ไฟไหม้ตึกถล่ม เป็นต้น ต้นทุนกับความสูญเสียเป็นสิ่งเดียวกัน เพียงแต่มีเส้นแบ่ง เขตซึ่งท าให้ตนทุนกลายเป็นความสูญเสียเมื่อผลได้น้อยกว่าค่าใช้จ่าย เมื่อปรับค่าใช้จ่ายให้เกิดผล ประโยชน์มากขึ้นท าให้สร้างผลได้มากกว่าความสูญเสียจะกลายเป็นต้นทุนไป การเพิ่มขึ้นของ ค่าใช้จ่ายในเชิงต้นทุนจึงเป็นสิ่งที่ไม่น่ากังวลเนื่องจากจะได้ผลประโยชน์เพิ่มขึ้น ในขณะเดียวกันถ้า
สามารถลดค่าใช้จ่ายซึ่งเป็นต้นทุนลงได้โดยผลผลิตเท่าเดิมหรือมากกว่าก็จะเป็นการดี แนวคิดตรงนี้คง จะสามารถช่วยให้ผู้บริหารเลิกกังวลต่อต้นทุนและกังวลต่อความสูญเสียมากกว่า 2.8.2 ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการบัญชีต้นทุน การบัญชีต้นทุน (Cost Accounting) จัดเป็นวิธีการทางบัญชีที่ท าหน้าที่รวบรวมข้อมูลทางด้านต้นทุนของธุรกิจ ประเภทอุตสาหกรรม โดยมี วัตถุประสงค์พื้นฐานในการจัดท ารายงานทางการเงินตลอดจนวิเคราะห์ และจ าแนกข้อมูลเพื่อใช้ใน การบริหารต้นทุน (Cost Management) ตามความต้องการของผู้บริหาร ในปัจจุบันนี้ไม่ใช่แต่กิจ ประเภทอุตสาหกรรมเท่านั้น ที่จะต้องใช้วิธีการทางบัญชีหรือข้อมูลของบัญชีต้นทุน แต่ยังมีธุรกิจอีก หลายประเภท เช่น โรงแรม โรงพยาบาล โรงเรียน มหาวิทยาลัย ธนาคาร บริษัทเงินทุน บริษัทสาย การบิน และกิจการอื่น ๆ อีกมากมายที่ได้มีการน าวิธีการบัญชีต้นทุนไปประยุกต์ใช้เพื่อการตัดสินใจ ของผู้บริหาร อย่างไรก็ตามวัตถุประสงค์ที่ส าคัญของข้อมูลทางบัญชีต้นทุนพอสรุปได้ดังนี้ 2.8.2.1 เพื่อให้ทราบถึงต้นทุนการผลิต ตลอดจนต้นทุนขาย (Cost of goods sold) ประจ างวด ซึ่งจะน าไปหักออกจากรายได้ในงบก าไรขาดทุน เพื่อจะช่วยให้ผู้บริหารได้ทราบผล การด าเนินงานของกิจการว่ามีผลก าไรหรือขาดทุนอย่างไร 2.8.2.2 เพื่อใช้ในการตีราคาสินค้าคงเหลือ (Inventory Evaluation) ในธุรกิจ อุตสาหกรรม สินค้าคงเหลือที่จะปรากฏในงบดุลจะประกอบด้วย วัตถุดิบ งานระหว่างผลิต และสินค้า ส าเร็จรูป ซึ่งการแสดงมูลค่าของสินค้าคงเหลือเหล่านี้ได้อย่างถูกต้อง หรือใกล้เคียงความเป็นจริงมาก ที่สุดจ าเป็นต้องอาศัยวิธีการทางบัญชีต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ 2.8.2.3 เพื่อให้ข้อมูลเกี่ยวกับการตัดสินใจวางแผนและควบคุม (Planning and Control) ซึ่งจะช่วยให้ผู้บริหารสามารถด าเนินธุรกิจไปอย่างมีแบบแผน และบรรลุเป้าหมายตามความ ต้องการของธุรกิจในที่สุด นอกจากนี้ข้อมูลทางบัญชีต้นทุนยังช่วยให้ผู้บริหารได้ทราบถึงความ ผิดพลาดหรือจุดบกพร่องในการด าเนินธุรกิจ เพื่อหาทางก าหนดวิธีการปฏิบัติเพื่อแก้ไขเหตุการณ์ที่ไม่ พึงประสงค์ได้อย่างทันท่วงที 2.8.2.4 เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการวิเคราะห์ปัญหาเพื่อตัดสินใจ(Decision Making) ทั้งนี้ในการด าเนินธุรกิจ ผู้บริหารมักจะต้องประสบปัญหาที่จะต้องท าการแก้ไขอยู่ ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นปัญหาในระยะสั้น หรือปัญหาที่จะส่งผลกระทบในระยะยาวก็ตาม เช่น การ ตัดสินใจเกี่ยวกับการรับใบสั่งซื้อพิเศษ การปิดโรงงานชั่วคราว การเพิ่ม – ลดรายการผลิต การตั้ง ราคาสินค้า การวิเคราะห์ก าไร การก าหนดกลยุทธ์ในการประมูลงาน เป็นต้น บัญชีต้นทุน เป็น หลักการบัญชีที่เกี่ยวกับการสะสมและวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อการตัดสินใจของฝ่ายบริหาร ทั้งเพื่อการ วางแผน ควบคุม และการตัดสินใจในเรื่องอื่น ๆ โดยปกติแล้วการบัญชีต้นทุนจะท าหน้าที่หลักในการ สะสมข้อมูลทางด้านต้นทุนที่เป็นข้อมูลที่เกิดขึ้นแล้วในอดีต เพื่อค านวณหาต้นทุนของผลิตภัณฑ์ รวมทั้งใช้ประมาณมูลค่าของสินค้าคงเหลือ นอกจากนี้การบัญชีต้นทุนยังเป็นส่วนที่เกี่ยวข้องกับการ
ประมาณหรือการพยากรณ์ต้นทุนที่จะเกิดขึ้นในอนาคตเพื่อการตัดสินใจอีกด้วย ซึ่งในส่วนนี้เองจึงท า ให้การบัญชีต้นทุนเข้ามามีบทบาทเพื่อการตัดสินใจของฝ่ายบริหาร ในปัจจุบันนี้การพัฒนาทางด้าน อุตสาหกรรมและการผลิตได้มีการพัฒนาเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก เช่น การน าเครื่องจักรกล เครื่อง คอมพิวเตอร์เข้ามาใช้ในกระบวนการผลิต เป็นต้น การน าบัญชีต้นทุนเข้ามาใช้เพื่อท าหน้าที่ในการเก็บ รวบรวมข้อมูลทางด้านต้นทุนที่ถูกต้อง และมีความสามารถที่จะให้ข้อมูลเพื่อการตัดสินใจแก่ฝ่าย บริหารได้อย่างรวดเร็ว ทันสมัย และเชื่อถือได้จึงเป็นสิ่งที่นักบัญชีต้นทุนจะต้องมีความเข้าใจ และ สามารถที่จะประยุกต์การบัญชีต้นทุนให้ใช้ได้กับลักษณะของธุรกิจต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ 2.8.3 สรุปถึงความสัมพันธ์ระหว่างการบัญชีการเงินและการบัญชีต้นทุนได้ 2 ลักษณะ ดังนี้ 2.8.3.1 การค านวณต้นทุนขาย (Cost of Goods sold) การจัดท างบการเงินเพื่อ เสนอต่อบุคคลภายนอกถือเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบประการส าคัญของการบัญชีการเงิน ใน กรณีที่กิจการเป็นธุรกิจซื้อขายสินค้าโดยทั่วไปการค านวณต้นทุนขายเพื่อแสดงเป็นค่าใช้จ่ายในงบ ก าไรขาดทุนก็สามารถกระท าได้โดยไม่ต้องอาศัยหลักการบัญชีต้นทุน แต่ในกรณีที่กิจการมีลักษณะ เป็นธุรกิจผลิตสินค้า การค านวณต้นทุนขายจ าเป็นต้องอาศัยหลักการบัญชีต้นทุนในการค านวณต้นทุน การผลิตของสินค้าที่ผลิตได้เพื่อขาย 2.8.3.2 การแสดงสินค้าคงเหลือ (Inventories) งบดุล เป็นงบการเงินชนิดหนึ่งที่ การบัญชีการเงินมีหน้าที่ความรับผิดชอบที่จะต้องแสดงรายละเอียดเกี่ยวกับฐานะการเงินของกิจการ ให้มีความถูกต้อง เที่ยงธรรม และเชื่อถือได้มากที่สุด ในส่วนที่การบัญชีต้นทุนได้เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้อง ก็คือการแสดงมูลค่าสินค้าคงเหลือ ในหมวดของสินทรัพย์หมุนเวียน ซึ่งจะต้องใช้หลักการบัญชีต้นทุน ในการรวบรวมข้อมูลและค านวณต้นทุนของสินค้าคงเหลือ ซึ่งประกอบด้วย วัตถุดิบ งานระหว่างผลิต และสินค้าส าเร็จรูป เมื่อได้ทราบถึงความสัมพันธ์ที่การบัญชีต้นทุนมีต่อการบัญชีการเงินแล้ว ขอให้ สังเกตว่าในการท าหน้าที่ของการบัญชีต้นทุนน าเสนอข้อมูลให้แก่การบัญชีการเงินที่ต้องการข้อมูลที่มี ความถูกต้องแม่นย าและเชื่อถือได้ เพื่อเสนอข้อมูลให้แก่บุคคลภายนอก ดังนั้น การค านวณต้นทุนการ ผลิตของสินค้าที่จะน าไปค านวณต้นทุนขายในงบก าไรขาดทุน หรือแสดงมูลค่าสินค้าคงเหลือในงบดุล ที่ถือเป็นหน้าที่ของการบัญชีต้นทุนจึงต้องมีลักษณะเป็นหลักการบัญชีหรือวิธีการที่มีกฎเกณฑ์ที่ ถูกต้องและเป็นที่ยอมรับกันทั่วไป เนื่องจากค าว่า บัญชีต้นทุน และ บัญชีบริหาร มีความหมายและ ลักษณะที่คล้ายคลึงกันมาก ดังนั้นเราจะพบวาในบางครั้งการใช้ค าทั้งสองก็มักจะมีการใช้แทนกันอยู่ ตลอดเวลา แต่โดยทั่วไปการบัญชีต้นทุนมีขอบเขตเพียงในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการค านวณหาต้นทุน การผลิตของสินค้าหรือบริการเท่านั้น 2.8.3.3 ส่วนค าว่า บัญชีบริหาร หมายถึง กระบวนการที่เกี่ยวกับ ก การรับรู้และประเมินภาวการณ์ของการด าเนินธุรกิจ และภาวการณ์ทาง เศรษฐกิจอื่น ๆ เพื่อน ามาก าหนดวิธีการปฏิบัติทางบัญชีที่เหมาะสม
ข การวัดและประมาณภาวการณ์ในการด าเนินธุรกิจ และภาวการณ์ทาง เศรษฐกิจอื่น ๆ ทั้งที่เกิดขึ้นแล้วและยังไม่เกิดขึ้น ค การก าหนดวิธีการในการจดบันทึกและเก็บสะสมรวบรวมข้อมูลในการ ด าเนินธุรกิจ และภาวการณ์ทางเศรษฐกิจอื่น ๆ เพื่อประโยชน์ในการตัดสินใจเชิงการบริหาร ง การวิเคราะห์และการก าหนดวิธีการวิเคราะห์ข้อมูลที่เหมาะสมกับการ ตัดสินใจ จ การตีความและการเสนอข้อมูล ฉ การติดต่อสื่อสาร นั่นคือการจัดท ารายงานที่เหมาะสมต่อบุคคลที่ ต้องการ กล่าวคือ รายงานภายในก็จะเสนอต่อฝ่ายบริหาร รายงานภายนอกก็จะเสนอต่อบุคคลทั่วไป ดังนั้น การบัญชีบริหาร คือ กระบวนการทางบัญชีที่มุ่งไปในส่วนของการน าข้อมูลทางบัญชี การเงิน และบัญชีต้นทุน มาท าการวิเคราะห์ และแปลความหมายเพื่อน าไปใช้ประโยชน์ในการบริหาร ทั้งในด้านการวางแผน การควบคุม การประเมินและวัดผลการด าเนินงานของบุคคลในองค์กร หรือ หน่วยงานต่าง ๆ ในองค์กร แต่โดยส่วนใหญ่ข้อมูลที่มีบทบาทส าคัญต่อการบริหารกิจการก็คือ ข้อมูล ทางด้านต้นทุน (Cost Information) ดังนั้น จึงท าให้เกิดความเข้าใจโดยทั่วไปว่าการบัญชีบริหารก็คือ การบัญชีต้นทุน แต่ในทางหลักการที่ถูกต้องแล้วการบัญชีต้นทุนเป็นส่วนหนึ่งของการบัญชีบริหาร เท่านั้น 2.9 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ธรรมนูญ จินดา (2553) ท างานวิจัยเรื่องพฤติกรรมการใช้ประโยชน์สมุนไพรไทย โดยมี วัตถุประสงค์เพื่อ ศึกษาถึงความต้องการทราบพฤติกรรมการใช้ประโยชน์สมุนไพรไทย และปัจจัยที่มี อิทธิพลต่อพฤติกรรมการใช้สมุนไพรไทยโดยแจกแบบสอบถามผู้ที่ให้ความสนใจที่โรงพยาบาล เจ้าพระยาอภัยภูเบศร จ านวน 400 คน แก่ผู้ที่มาซื้อผลิตภัณฑ์สมุนไพร ผลการวิจัยจากข้อมูลผู้ตอบ แบบสอบถามจากกลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่พบว่า ผู้ตอบค าถามส่วนใหญ่เป็นเพศหญิงช่วงอายุ 45-54 ปี สถานภาพสมรส มีรายได้อยู่ระหว่าง 5,000 – 10,000 บาท ระดับการศึกษาคือระดับปริญญาตรี ประเภทของงานที่ท าอยู่ของกลุ่มตัวอย่าง พบว่า รับข้าราชการ ในด้านพฤติกรรมการใช้ประโยชน์ สมุนไพรไทย พบว่า กลุ่มตัวอย่างเห็นว่าสมุนไพรมีประโยชน์ต่อสุขภาพเป็นภูมิปัญญาพื้นบ้านที่ควร อนุรักษ์แม้จะมีความรู้เกี่ยวกับสมุนไพรไม่มาก เห็น ว่ารูป รส กลิ่น ของสมุนไพรเป็นสิ่งที่มีอิทธิพลต่อ ความตั้งใจใช้ประโยชน์สมุนไพร มีความสนใจใช้ประโยชน์สมุนไพรของไทยมากกว่าสมุนไพรจาก ต่างประเทศ และผลิตภัณฑ์สมุนไพรที่ผ่านการรับรอง คุณภาพ ผลการวิเคราะห์ตัวแบบสมการ โครงสร้างเพื่อศึกษาอิทธิพลเชิงสาเหตุ พบว่าทัศนคติมีอิทธิพลต่อความตั้งใจ กลุ่มอ้างอิงหรืออิทธิพล คนรอบข้างมีอิทธิพลต่อความตั้งใจ การรับรู้การควบคุม พฤติกรรมมีอิทธิพลต่อความตั้งใจ ปัจจัยด้าน แรงจูงใจมีอิทธิพลต่อความตั้งใจ ปัจจัยด้านแรงจูงใจมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมการใช้ประโยชน์สมุนไพร
ปัจจัยด้านการรับรู้การควบคุมพฤติกรรมมีอิทธิพลต่อ พฤติกรรมการใช้ประโยชน์สมุนไพร และปัจจัย ด้านความตั้งใจมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมการใช้ประโยชน์สมุนไพรซึ่งสอดคล้องกับทฤษฎีพฤติกรรมตาม แผน ปรีดารัตน์ รัตนาคม (2554) ท าการศึกษาและพัฒนาผลิตภัณฑ์สุมนไพรแปรรูปและบรรจุ ภัณฑ์เพื่อส่งเสริมอาชีพชุมชน มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษารูปทรงสบู่สมุนไพรแปรรูปและรูปแบบบรรจุ ภัณฑ์สบู่สมุนไพรแปรรูป จากการศึกษาดังกล่าวน าไปสู่แนวทางการพัฒนารูปทรงสบู่สมุนไพรแปรรูป และรูปแบบบรรจุภัณฑ์สบู่สมุนไพรแปรรูป โดยใช้วิจัยเชิงพรรณนา โดยท าการเก็บข้อมูลจากการ สัมภาษณ์ จากกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง คือ กลุ่มสมุนไพรจันทร์หอม เพื่อน าข้อมูลดังกล่าวเป็น แนวคิดในการออกแบบเป็นผลิตภัณฑ์สบู่สมุนไพรแปรรูปและบรรจุภัณฑ์ เพื่อส่งเสริมอาชีพชุมชน ผลการวิจัยพบว่า 1. ด้านรูปทรงสบู่สมุนไพรแปรรูป ทางกลุ่มได้รูปทรงใหม่ส าหรับสบู่สมุนไพรแปรรูป ซึ่งเป็น รูปทรงใหม่ส าหรับกลุ่ม โดยเป็นรูปทรงที่ได้แนวคิดในการออกแบบจากรูปทรงเลขาคณิตและ รูปทรง จากธรรมชาติ ในการออกแบบให้มีรูปทรงก้อนสบู่สมุนไพรแปรรูปมีทั้ง 2 รูปแบบ เพื่อให้ ดึงดูดความ สนใจแก่ผู้บริโภคในการเลือกซื้อ รวมถึงสามารถน าเป็นของฝากได้อีกทางหนึ่ง 2. ด้าน รูปแบบบรรจุภัณฑ์สบู่สมุนไพรแปรรูป ทางกลุ่มได้รูปแบบใหม่ส าหรับบรรจุภัณฑ์สบู่สมุนไพรแปรรูป ซึ่งเป็นรูปแบบใหม่ส าหรับกลุ่ม ซึ่งเป็นรูปแบบที่มีความเหมาะสมกับทางกลุ่มโดยการ ออกแบบ รูปแบบบรรจุภัณฑ์สบู่สมุนไพรแปรรูปในครั้งนี้นั้นผู้วิจัยได้ออกแบบจาก 2 แนวคิด คือ รูปแบบบรรจุ ภัณฑ์สบู่สมุนไพรแปรรูปแบบชิ้นเดียวและรูปแบบบรรจุภัณฑ์สบู่สมุนไพรแปรรูปแบบ ชุด เพื่อให้เป็น ทางเลือกแก่ผู้บริโภคในการเลือกซื้อมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะบรรจุภัณฑ์สบู่สมุนไพรแปร รูปแบบชุดนั้น สามารถน าผลิตภัณฑ์อื่นๆ ของทางกลุ่มมาจัดใส่ตามความเหมาะสมได้ ซึ่งบรรจุภัณฑ์ทั้ง 2 แบบ ที่มี การออกแบบใหม่นี้สามารถน าเป็นของฝากได้ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.รักฤดี สารธิมา นักวิจัยสังกัดคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัย มหาสารคาม ได้น าเสนอผลงานวิจัย “สบู่สมุนไพรต้านอนุมูลอิสระและต้านแบคทีเรีย” โดยได้ท าการ วิจัยร่วมกับผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ศรัณยู ค าเมือง ค้นพบว่า มะขามนอกจากจะมีสรรพคุณทางยา ยังมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ และฤทธิ์ต้านแบคทีเรียที่ดี มีศักยภาพสูงที่จะน ามาเป็นส่วนประกอบของ ผลิตภัณฑ์ท าความสะอาดและดูแลสุขภาพผิว เช่น สบู่ ซึ่งสบู่สมุนไพรในท้องตลาดนั้นมีอยู่ หลากหลายชนิด บางชนิดผสมสมุนไพรเพียงชนิดเดียว เช่น สบู่มะขาม สบู่เปลือกมังคุด หรือมี สมุนไพรเป็นส่วนผสมตั้งแต่ 2 ชนิดขึ้นไป มีทั้งสบู่ที่เตรียมจากน้ ามันและด่าง และที่ใช้กลีเซอรีนเป็น หลัก รวมทั้งผลิตภัณฑ์สบู่เหลวสมุนไพรอีกด้วย การผลิตสบู่สมุนไพรที่มีส่วนผสมของสารสกัดมะขาม ร่วมกับสมุนไพรอื่น ๆ ที่มีสรรพคุณบ ารุงผิวพรรณ เช่น ขมิ้นชัน ไพล เป็นต้น จะได้ผลิตภัณฑ์ที่ช่วย ช าระล้างสิ่งสกปรกและมีสรรพคุณบ ารุงผิวพรรณ สรรพคุณเฉพาะตัวของสมุนไพรไทยและ ส่วนประกอบธรรมชาติอื่นๆที่เป็นวัตถุดิบที่หาได้ง่าย ราคาไม่แพงในประเทศ ท าให้ผลิตภัณฑ์สบู่
สมุนไพรของไทย ตลอดจนผลิตภัณฑ์สมุนไพรอื่น ๆ จึงยังเป็นโอกาสที่ดีในการขยายตลาดสู่ ต่างประเทศที่มีต้นทุนทางวัตถุดิบสมุนไพรสูงกว่า จากสรรพคุณในการต้านอนุมูลอิสระและต้านแบคทีเรียได้เป็นอย่างดี ของสารสกัดมะขามและ สรรพคุณในการบ ารุงผิวพรรณของสมุนไพรอื่นๆ เช่น ขมิ้น ไพล น้ าผึ้ง ท าให้ได้เป็นสบู่สมุนไพรที่ สามารถช าระล้างสิ่งสกปรก ป้องกันเชื้อโรคทางผิวหนังและช่วยฟื้นฟูบ ารุงผิวพรรณได้เป็นอย่างดี ถือ เป็นการเพิ่มมูลค่าให้แก่สมุนไพรไทยสามารถน าไปผลิตเชิงพาณิชย์ได้
บทที่3 วิธีการด าเนินโครงงาน การด าเนินโครงงานสบู่สมุนไพร ผู้ด าเนินโครงงานมีวิธีการด าเนินโครงงานดังต่อไปนี้ 3.1 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 3.2 เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา 3.3 วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล 3.4 การวิเคราะห์ข้อมูลและสถิติที่ใช้ในการศึกษา 3.1 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ ได้แก่ นักเรียน นักศึกษา คณะครู และบุคลากรทาง การศึกษา วิทยาลัยอาชีวศึกษาชลบุรี ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 จ านวน 40 คน 3.2 เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ได้แก่ แบบสอบถามเพื่อทราบข้อมูลและศึกษาความพึงพอใจ ของกลุ่มเป้าหมายที่มีต่อผลิตภัณฑ์สบู่สมุนไพร แบ่งเป็น 3 ด้าน คือ ด้านคุณภาพผลิตภัณฑ์ ด้าน บรรจุภัณฑ์และการใช้งาน และ และด้านส่งเสริมการจ าหน่าย 3.2.1 เครื่องมือที่ใช้ในการสอบถามความพึงพอใจ แบ่งออกเป็น 3 ตอน ดั้งนี้ 3.2.1.1 ตอนที่ 1 ข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถาม ก เพศ ข อายุ ค สถานภาพ ง ระดับชั้น จ สาขาวิชา 3.2.1.2 ตอนที่ 2 ข้อมูลเพื่อศึกษาความพึงพอใจของกลุ่มเป้าหมายที่มีต่อผลิตภัณฑ์ของ สบู่สมุนไพร แบ่งออกเป็น 3 ด้าน คือ ด้านคุณภาพผลิตภัณฑ์ ด้านบรรจุภัณฑ์และการใช้งาน และ ด้านส่งเสริมการจ าหน่าย เป็นแบบสอบถามเป็นแบบมาตราส่วนประเมินค่า (Rating Scale) 5 ระดับ โดยแบ่งแบบสอบถามออกเป็น 3 ด้าน ก ด้านคุณภาพผลิตภัณฑ์ ได้แก่ วัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์สบู่ สมุนไพรหลากหลายและมีความทันสมัยมากขึ้น ข ด้านบรรจุภัณฑ์และงาน ได้แก่ วัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความพึงพอใจของ กลุ่มเป้าหมายที่มีต่อสบู่สมุนไพร
ค ด้านส่งเสริมการจ าหน่าย ได้แก่ วัตถุประสงค์เพื่อเป็นช่องทางการจัด จ าหน่ายและหารายได้เสริม 3.2.1.3 ตอนที่ 3 ข้อเสนอแนะ เป็นค าถามปลายเปิด แสดงความคิดเห็นที่มีต่อสบู่ สมุนไพร 3.3 วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล 3.3.1 ผู้ศึกษาท าการรวบรวมข้อมูลจากแบบสอบถามที่แจกให้กลุ่มเป้าหมาย 3.3.2 ผู้ศึกษาท าการรวบรวมข้อมูลจากงานวิจัย ต ารา เอกสารที่เกี่ยวข้อง 3.3.3 ผู้ศึกษาท าการรวบรวมข้อมูลแบบสอบถามที่กลุ่มเป้าหมายได้จัดท าเรียบร้อยแล้วมา วิเคราะห์ และจัดท าการสรุปผลตามขั้นตอนต่อไป 3.4 การวิเคราะห์ข้อมูลและสถิติที่ใช้ในการศึกษา การวิเคราะห์ข้อมูลประกอบด้วย 2 ส่วนดังนี้ 3.4.1 การวิเคราะห์ข้อมูลที่เกี่ยวกับลักษณะส่วนบุคคลของผู้ตอบแบบสอบถาม สถิติที่ใช้ใน การศึกษา ได้แก่ เป็นค่าร้อยละ (Percentage) ค่าเฉลี่ยเลขคณิต (Mean) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) โดยรวบรวมข้อมูลการหาค่าสถิติพื้นฐาน คือ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วน เบี่ยงเบนมาตรฐานของคะแนนที่ได้ โดยใช้สูตรดังนี้ 3.4.1.1 ค่าร้อยละ P = ×100 เมื่อ P แทน ร้อยละ F แทน ความถี่ที่ต้องการแปลค่าให้เป็นร้อยละ n แทน จ านวนความถี่ทั้งหมด 3.4.1.2 ค่าเฉลี่ย = ∑ เมื่อ แทน ค่าเฉลี่ย ∑ แทน ผลรวมของคะแนนทั้งหมดในกลุ่ม N แทน จ านวนคะแนนในกลุ่ม
3.4.1.3 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน S.D. = √ ∑ 2−(∑ ) 2 (−1) เมื่อ S.D. แทน ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ∑ แทน ผลรวมของคะแนนแต่ละตัว N แทน จ านวนคะแนนในกลุ่ม 3.4.2 วิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับแบบสอบถามเพื่อทราบข้อมูลและศึกษาความพึงพอใจของ กลุ่มเป้าหมายที่มีต่อ ผลิตภัณฑ์สบู่สมุนไพร แบ่งเป็น 3 ด้าน คือ ด้านคุณภาพผลิตภัณฑ์ ด้านบรรจุ ภัณฑ์และด้านและการใช้งาน ส่งเสริมการจ าหน่าย โดยใช้ค่าเฉลี่ยเลขคณิต ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน โดยแบ่งระดับการแปลผลเป็น 5 ระดับ ดังนี้ 3.4.2.1 โดยแต่ละค าถามมีระดับความพึงพอใจ แบ่งออกเป็น 5 ระดับ ดังนี้ ระดับ 5 หมายถึง มีความพึงพอใจมากที่สุด ระดับ 4 หมายถึง มีความพึงพอใจมาก ระดับ 3 หมายถึง มีความพึงพอใจปานกลาง ระดับ 2 หมายถึง มีความพึงพอใจน้อย ระดับ 1 หมายถึง มีความพึงพอใจน้อยที่สุด 3.4.2.2 โดยก าหนดการวัดค่าตัวแปล ซึ่งเป็นการแปลค่าเฉลี่ยของแบบสอบถามโดยใช้ หลักทางคณิตศาสตร์ มีหลักเกณฑ์วัดดังนี้ 4.21 - 5.00 หมายถึง มีความพึงพอใจมากที่สุด 3.41 - 4.20 หมายถึง มีความพึงพอใจมาก 2.61 - 3.40 หมายถึง มีความพึงพอใจปานกลาง 1.81 - 2.60 หมายถึง มีความพึงพอใจน้อย 1.00 - 1.80 หมายถึง มีความพอใจน้อยที่สุด
บทที่ 4 ผลการด าเนินงาน การด าเนินโครงงานสบู่สมุนไพร มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ทันสมัยและ อ่อนโยนต่อผิว 2. เพื่อศึกษาความพึงพอใจของกลุ่มเป้าหมายที่มีต่อผลิตภัณฑ์สบู่สมุนไพร 3. เพื่อ สร้างรายได้เสริม จากการวิเคราะห์ข้อมูล ผู้ด าเนินโครงงานมีผลการด าเนินโครงการดังต่อไปนี้ 4.1 สัญลักษณ์ที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล 4.2 การน าเสนอผลการศึกษา 4.3 การน าเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล 4.1 สัญลักษณ์ที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล n แทน จ านวนคนในกลุ่มเป้าหมาย แทน คะแนนเฉลี่ย S.D. แทน ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 4.2 การน าเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูลในการศึกษานี้ผู้ศึกษาได้ด าเนินการวิเคราะห์ออกเป็น 3 ตอนดังนี้ ตอนที่ 1 ข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถาม ตอนที่ 2 ข้อมูลเพื่อศึกษาความพึงพอใจของกลุ่มเป้าหมายที่มีต่อผลิตภัณฑ์ของสบู่สมุนไพร แบ่งออกเป็น 3 ด้าน คือ ด้านคุณภาพผลิตภัณฑ์ ด้านบรรจุภัณฑ์และการใช้งาน และด้านส่งเสริมการ จ าหน่าย ตอนที่ 3 ข้อเสนอแนะ
4.3 การน าเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล ตอนที่ 1 ข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถาม ตารางที่ 4-1 แสดงความถี่ร้อยละของกลุ่มเป้าหมาย จ าแนกตาม เพศ n = 40 รายการ จ านวน ร้อยละ เพศ ชาย 3 7.555 หญิง 37 92.555 รวม 40 100.000 จากตารางที่ 4-1 พบว่า กลุ่มเป้าหมายส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง จ านวน 37 คน คิดเป็นร้อยละ 92.555 และ เพศชาย 3 คน คิดเป็นร้อยละ 7.555 ภาพที่4-1 แสดงความถี่ร้อยละของกลุ่มเป้าหมาย จ าแนกตาม เพศ 7.5 92.5 เพศชาย เพศหญิง
ตารางที่ 4-2 แสดงความถี่ร้อยละของกลุ่มเป้าหมาย จ าแนกตามช่วงอายุ n = 40 รายการ จ านวน ร้อยละ อายุ ต่ ากว่า 15 ปี - - 15 – 19 ปี 34 85.000 20 – 25 ปี 3 7.555 26 – 30 ปี 1 2.555 31 – 35 ปี - - 36 – 40 ปี - - 41 – 45 ปี 2 5.000 46 – 50 ปี - - 51 ปีขึ้นไป - - รวม 40 100.00 จากตารางที่ 4-2 พบว่ากลุ่มเป้าหมายส่วนใหญ่อยู่ในช่วงอายุ 15 - 19 ปีจ านวน 34 คน คิดเป็นร้อยละ 85.000 รองลงมาคือช่วงอายุ 20 – 25 ปี จ านวน 3 คน คิดเป็นร้อยละ 7.555 ช่วง อายุ 41 – 45 ปี จ านวน 2 คน คิดเป็นร้อยละ 5.000 และช่วงอายุ 26 – 30 ปี จ านวน 1 คน คิดเป็น ร้อยละ 2.555
ภาพที่4-2 แสดงความถี่ร้อยละของกลุ่มเป้าหมาย จ าแนกตามช่วงอายุ 85 7.5 2.5 5 ต ่ากว่า 15 ปี 15-19 ปี 20-25 ปี 26-30 ปี 31-35 ปี 36-40 ปี 41-45 ปี 46-50 ปี 51 ปีขึ้นไป
ตารางที่ 4-3 แสดงความถี่ร้อยละของกลุ่มเป้าหมาย จ าแนกตามสถานภาพ n = 40 รายการ จ านวน ร้อยละ สถานภาพ นักเรียน 13 32.555 นักศึกษา 23 57.555 เจ้าหน้าที่ - - ข้าราชการครู 4 10.000 ผู้บริหาร - - รวม 40 100.000 จากตารางที่ 4-3 พบว่ากลุ่มเป้าหมายส่วนใหญ่มีสถานภาพเป็น นักศึกษา จ านวน 23 คน คิดเป็นร้อยละ 57.555 รองลงมาคือ นักเรียน จ านวน 13 คน คิดเป็นร้อยละ 32.555 และข้าราชการ ครู จ านวน 4 คน คิดเป็นร้อยละ 10.000 ภาพที่4-3 แสดงความถี่ร้อยละของกลุ่มเป้าหมาย จ าแนกตามสภานะภาพ 32.5 57.5 1.2 นักเรียน นึกศึกษา เจ้าหน้าที่ ข้าราชการครู ผู้บริหาร
ตารางที่ 4-4 แสดงความถี่ร้อยละของกลุ่มเป้าหมาย จ าแนกตามระดับชั้น n = 40 รายการ จ านวน ร้อยละ ระดับชั้น ปวช.1 - - ปวช.2 12 30.000 ปวช.3 1 2.555 ปวส.1 13 32.555 ปวส.2 10 25.000 ปริญญาตรี 4 10.000 รวม 40 100.000 จากตารางที่ 4-4 พบว่ากลุ่มเป้าหมายส่วนในอยู่ในระดับชั้น ปวส.1 จ านวน 13 คน คิดเป็น ร้อยละ 32.555 รองลงมาคือ ปวช.1 จ านวน 12 คน คิดเป็นร้อยละ 30.000 ปวส.2 จ านวน 10 คน คิดเป็นร้อยละ 25.000 ปริญญาตรีจ านวน 4 คน คิดเป็นร้อยละ 10.000 และ ปวช.3 จ านวน 1 คน คิดเป็นร้อยละ 2.555 ตามล าดับ ภาพที่4-4 แสดงความถี่ร้อยละของกลุ่มเป้าหมาย จ าแนกตามระดับชั้น 30 2.555 32.555 25 10 ปวช.1 ปวช.2 ปวช.3 ปวส.1 ปวส.2 ปริญญาตรี
ตารางที่ 4-5 แสดงความถี่ร้อยละของกลุ่มเป้าหมาย จ าแนกตามสาขาวิชา n = 40 รายการ จ านวน ร้อยละ แผนก การบัญชี 18 46.222 คอมพิวเตอร์ธุรกิจ 1 2.666 การตลาด 12 30.888 คอมพิวเตอร์กราฟฟิก 3 7.777 เทคโนโลยีธุรกิจดิจิทัล 1 2.666 การท่องเที่ยว 2 5.222 โลจิสติกส์ 1 2.666 สามัญสัมพันธ์ 1 2.666 อื่นๆ 1 2.666 รวม 40 100.000 จากตารางที่ 4-5 พบว่ากลุ่มเป้าหมายส่วนใหญ่สาขาวิชา การบัญชี จ านวน 18 คน คิดเป็น ร้อยละ 46.222 รองลงมาคือ การตลาด จ านวน 12 คน คิดเป็นร้อยละ 30.888 คอมพิวเตอร์ธุรกิจ จ านวน 3 คน คิดเป็นร้อยละ 7.777 การท่องเที่ยว จ านวน 2 คน คิดเป็นร้อยละ 5.222 คอมพิวเตอร์ ธุรกิจ จ านวน 1 คน คิดเป็นร้อยละ 2.666 เทคโนโลยีธุรกิจดิจิทัล จ านวน 1 คน คิดเป็นร้อยละ 2.666 โลจิสติกส์จ านวน 1 คน คิดเป็นร้อยละ 2.666 สามัญสัมพันธ์จ านวน 1 คน คิดเป็นร้อยละ 2.666 และอื่นๆ จ านวน 1 คน คิดเป็นร้อยละ 2.666 ตามล าดับ
ภาพที่4-4 แสดงความถี่ร้อยละของกลุ่มเป้าหมาย จ าแนกตามสาขาวิชา 46.2 2.6 30.8 7.7 2.6 5.2 2.6 2.6 การบัญชี คอมพิวเตอร์ธุรกิจ การตลาด คอมพพิวเตอร์กราฟฟิ ก เทคโนโลยีธุรกิจดิจิทัล การท่องเที่ยว โลจิสติกส์ สามัญสัมพันธ์
ตอนที่ 2 ข้อมูลเพื่อศึกษาความพึงพอใจของกลุ่มเป้าหมายที่มีต่อผลิตภัณฑ์ของสบู่สมุนไพร แบ่ง ออกเป็น3 ด้าน คือ ด้านคุณภาพผลิตภัณฑ์ ด้านบรรจุภัณฑ์และการใช้งาน และด้าน ส่งเสริมการจ าหน่าย ตารางที่ 4-6 แสดงค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ข้อมูลเพื่อศึกษาความพึงพอใจที่มีต่อ ผลิตภัณฑ์ของสบู่สมุนไพร สรุปเป็นรายด้าน ระดับความพึงพอใจ รายการประเมิน S.D. แปลผล 1. ด้านคุณภาพผลิตภัณฑ์ 4.806 0.332 มากที่สุด 2. ด้านบรรจุภัณฑ์และการใช้งาน 4.800 0.331 มากที่สุด 3. ด้านส่งเสริมการจ าหน่าย 4.869 0.265 มากที่สุด รวม 4.825 0.310 มากที่สุด จากตารางที่ 4-6 พบว่าข้อมูลเพื่อศึกษาความพึงพอใจที่มีต่อผลิตภัณฑ์ของสบู่สมุนไพร โดยรวมมีความพึงพอใจในระดับมากที่สุด (= 4.825 และ S.D. = 0.310) เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน แล้ว ด้านส่งเสริมการจ าหน่าย มีความพึงพอใจในระดับมากที่สุด (=4.869 และ S.D. = 0.265) รองลงมาคือ ด้านคุณภาพผลิตภัณฑ์ มีความพึงพอใจในระดับมากที่สุด (=4.806 และ S.D. = 0.332) และ ด้านบรรจุภัณฑ์และการใช้งาน มีความพึงพอใจในระดับมากที่สุด (=4.800 และ S.D. = 0.331) ตามล าดับ ภาพที่ 4-6 แสดงค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ข้อมูลเพื่อศึกษาความพึงพอใจ ที่มีต่อผลิตภัณฑ์ของสบู่สมุนไพร 1. ด้านคุณภาพผลิตภัณฑ์ 2. ด้านบรรจุภัณฑ์และการใช้ งาน 3. ด้านส่งเสริมการจ าหน่าย 4.806 4.8 4.869 0.332 0.331 0.265 ค่าเฉลี่ย
ตารางที่ 4-7 แสดงค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ข้อมูลเพื่อศึกษาความพึงพอใจที่มีต่อ ผลิตภัณฑ์ของสบู่สมุนไพร ด้านคุณภาพผลิตภัณฑ์ ระดับความพึงพอใจ รายการประเมิน S.D. แปลผล 1. ผลิตภัณฑ์มีกลิ่นหอม 4.825 0.385 มากที่สุด 2. ผลิตภัณฑ์มีสีสันสวยงาม 4.776 0.423 มากที่สุด 3. รูปลักษณ์ของผลิตภัณฑ์ 4.825 0.446 มากที่สุด 4. มีความทันสมัยและเป็นที่หน้าสนใจ 4.800 0.405 มากที่สุด รวม 4.806 0.332 มากที่สุด จากตารางที่ 4-7 พบว่าข้อมูลเพื่อศึกษาความพึงพอใจที่มีต่อผลิตภัณฑ์ของสบู่สมุนไพร ด้าน คุณภาพผลิตภัณฑ์ โดยรวมมีความพึงพอใจในระดับมากที่สุด (= 4.806 และ S.D. = 0.332) เมื่อ พิจารณาเป็นรายข้อแล้ว รูปลักษณ์ของผลิตภัณฑ์ มีความพึงพอใจในระดับมากที่สุด (=4.825 และ S.D. = 0.446) รองลงมาคือ ผลิตภัณฑ์มีกลิ่นหอม มีความพึงพอใจในระดับมากที่สุด (=4.825 และ S.D. = 0.385) มีความทันสมัยและเป็นที่หน้าสนใจ มีความพึงพอใจในระดับมากที่สุด (=4.80 และ S.D. = 0.405) ผลิตภัณฑ์มีสีสันสวยงาม มีความพึงพอใจในระดับมากที่สุด (=4.776 และ S.D. = 0.423) ตามล าดับ
ภาพที่ 4-7 แสดงค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ข้อมูลเพื่อศึกษาความพึงพอใจ ที่มีต่อผลิตภัณฑ์ของสบู่สมุนไพร 1. ผลิตภัณฑ์มีกลิ่นหอม 2. ผลิตภัณฑ์มีสีสันสวยงาม 3. รูปลักษณ์ของผลิตภัณฑ์ 4. มีความทันสมัยและเป็นที่หน้าสนใจ 4.825 4.776 4.825 4.8 0.385 0.423 0.446 0.405 ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
ตารางที่ 4-8 แสดงค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ข้อมูลเพื่อศึกษาความพึงพอใจที่มีต่อ ผลิตภัณฑ์ของสบู่สมุนไพร ด้านบรรจุภัณฑ์และการใช้งาน ระดับความพึงพอใจ รายการประเมิน S.D. แปลผล 1. บรรจุภัณฑ์มีความสวยงาม สะดุดตา 4.775 0.480 มากที่สุด 2. มีความเหมาะสมและทันสมัย 4.825 0.385 มากที่สุด 3. เปิดใช้งานได้สะดวก 4.800 0.464 มากที่สุด 4. วัสดุมีความเหมาะสม 4.800 0.405 มากที่สุด รวม 4.800 0.331 มากที่สุด จากตารางที่ 4-8 พบว่าข้อมูลเพื่อศึกษาความพึงพอใจที่มีต่อผลิตภัณฑ์ของสบู่สมุนไพร ด้าน บรรจุภัณฑ์และการใช้งาน โดยรวมมีความพึงพอใจในระดับมากที่สุด (= 4.800 และ S.D. = 0.331) เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อแล้ว มีความเหมาะสมและทันสมัย มีความพึงพอใจในระดับมากที่สุด (=4.825 และ S.D. = 0.385) รองลงมาคือ เปิดใช้งานได้สะดวก มีความพึงพอใจในระดับมากที่สุด (=4.800 และ S.D. = 0.464) วัสดุมีความเหมาะสม มีความพึงพอใจในระดับมากที่สุด (=4.800 และ S.D. = 0.405) และ บรรจุภัณฑ์มีความสวยงาม สะดุดตา มีความพึงพอใจในระดับมากที่สุด (=4.775 และ S.D. = 0.480) ตามล าดับ
ภาพที่4-8 แสดงค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ข้อมูลเพื่อศึกษาความพึงพอใจ ที่มีต่อผลิตภัณฑ์ของสบู่สมุนไพร 1.บรรจุภัณฑ์มีความสวยงาม สะดุด ตา 2.มีความเหมาะสมและทันสมัย 3.เปิดใช้งานได้สะดวก 4.วัสดุมีความเหมาะสม 4.775 4.825 4.8 4.8 0.48 0.385 0.464 0.405 ค่าเฉลี่ย
ตารางที่ 4-9 แสดงค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ข้อมูลเพื่อศึกษาความพึงพอใจที่มีต่อ ผลิตภัณฑ์ของสบู่สมุนไพร ด้านส่งเสริมการจ าหน่าย ระดับความพึงพอใจ รายการประเมิน S.D. แปลผล 1. รูปลักษณ์ของผลิตภัณฑ์ของผลิตภัณฑ์ดึงดูดสายตา 4.825 0.385 มากที่สุด 2. ผลิตภัณฑ์มีความเหมาะสมกับราคา 4.900 0.304 มากที่สุด 3. มีผลิตภัณฑ์ให้ทดลอง 4.850 0.362 มากที่สุด 4. ผลิตภัณฑ์มีความเหมาะสมโดยรวม 4.900 0.304 มากที่สุด รวม 4.869 0.265 มากที่สุด จากตารางที่ 4-9 พบว่าข้อมูลเพื่อศึกษาความพึงพอใจที่มีต่อผลิตภัณฑ์ของสบู่สมุนไพร ด้าน ส่งเสริมการจ าหน่าย โดยรวมมีความพึงพอใจในระดับมากที่สุด (= 4.869 และ S.D. = 0.265) เมื่อ พิจารณาเป็นรายข้อแล้ว ผลิตภัณฑ์มีความเหมาะสมกับราคา มีความพึงพอใจในระดับมากที่สุด (=4.900 และ S.D. = 0.304) รองลงมาคือ ผลิตภัณฑ์มีความเหมาะสมโดยรวม มีความพึงพอใจใน ระดับมากที่สุด (=4.900 และ S.D. = 0.304) มีผลิตภัณฑ์ให้ทดลอง มีความพึงพอใจในระดับมาก ที่สุด (=4.850 และ S.D. = 0.362) และ รูปลักษณ์ของผลิตภัณฑ์ของผลิตภัณฑ์ดึงดูดสายตา มี ความพึงพอใจในระดับมากที่สุด (=4.825 และ S.D. = 0.385) ตามล าดับ ภาพที่4-9 แสดงค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ข้อมูลเพื่อศึกษาความพึงพอใจ ที่มีต่อผลิตภัณฑ์ของสบู่สมุนไพร 1.รูปลักษณ์ของผลิตภัณฑ์ของ ผลิตภัณฑ์ดึงดูดสายตา 2.ผลิตภัณฑ์มีความเหมาะสมกับราคา 3.มีผลิตภัณฑ์ให้ทดลอง 4.ผลิตภัณฑ์มีความเหมาะสมโดยรวม 4.825 4.9 4.85 4.9 0.385 0.304 0.362 0.304 ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
บทที่ 5 สรุปผลการศึกษา อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ การด าเนินโครงงานสบู่สมุนไพร มีวัตถุประสงค์การศึกษา 1. เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ทันสมัย และอ่อนโยนต่อผิว 2. เพื่อศึกษาความพึงพอใจของกลุ่มเป้าหมายที่มีต่อผลิตภัณฑ์สบู่สมุนไพร 3. เพื่อ สร้างรายได้เสริม กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ ได้แก่ นักเรียน นักศึกษา คณะครู และ บุคลากรทางการศึกษา วิทยาลัยอาชีวศึกษาชลบุรีภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 จ านวน 40 คน เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ได้แก่ แบบสอบถามเพื่อทราบข้อมูลและศึกษาความพึงพอใจของ กลุ่มเป้าหมายที่มีต่อผลิตภัณฑ์สบู่สมุนไพร สถิติที่ใช้ในการศึกษา ได้แก่ เป็นค่าร้อยละ (Percentage) ค่าเฉลี่ยเลขคณิต (Mean) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) สรุปผลการศึกษา ผลการวิเคราะห์ข้อมูลในการศึกษาครั้งนี้ สรุปได้ดังนี้ ตอนที่ 1 ข้อมูลทั่งไปของผู้ตอบแบบสอบถาม พบว่า กลุ่มเป้าหมายส่วนใหญ่เป็น เพศหญิง จ านวน 37 คน คิดเป็นร้อยละ 92.555 และ เพศชาย 3 คน คิดเป็นร้อยละ 7.555 ส่วนใหญ่ อยู่ในช่วงอายุ 15 - 19 ปีจ านวน 34 คน คิดเป็นร้อยละ 85.000 รองลงมาคือช่วงอายุ 20 – 25 ปี จ านวน 3 คน คิดเป็นร้อยละ 7.555 ช่วงอายุ 41 – 45 ปี จ านวน 2 คน คิดเป็นร้อยละ 5.000 และ ช่วงอายุ 26 – 30 ปี จ านวน 1 คน คิดเป็นร้อยละ 2.555 ส่วนใหญ่มีสถานภาพเป็น นักศึกษา จ านวน 23 คน คิดเป็นร้อยละ 57.555 รองลงมาคือ นักเรียน จ านวน 13 คน คิดเป็นร้อยละ 32.555 และ ข้าราชการครู จ านวน 4 คน คิดเป็นร้อยละ 10.000 ส่วนในอยู่ในระดับชั้น ปวส.1 จ านวน 13 คน คิดเป็นร้อยละ 32.555 รองลงมาคือ ปวช.1 จ านวน 12 คน คิดเป็นร้อยละ 30.000 ปวส.2 จ านวน 10 คน คิดเป็นร้อยละ 25.000 ปริญญาตรีจ านวน 4 คน คิดเป็นร้อยละ 10.000 และ ปวช.3 จ านวน 1 คน คิดเป็นร้อยละ 2.555 ส่วนใหญ่สาขาวิชา การบัญชี จ านวน 18 คน คิดเป็นร้อยละ 46.222 รองลงมาคือ การตลาด จ านวน 12 คน คิดเป็นร้อยละ 30.888 คอมพิวเตอร์ธุรกิจ จ านวน 3 คน คิด เป็นร้อยละ 7.777 การท่องเที่ยว จ านวน 2 คน คิดเป็นร้อยละ 5.2 คอมพิวเตอร์ธุรกิจ จ านวน 1 คน คิดเป็นร้อยละ 2.666 เทคโนโลยีธุรกิจดิจิทัล จ านวน 1 คน คิดเป็นร้อยละ 2.666 โลจิสติกส์จ านวน 1 คน คิดเป็นร้อยละ 2.666 สามัญสัมพันธ์จ านวน 1 คน คิดเป็นร้อยละ 2.666 และอื่นๆ จ านวน 1 คน คิดเป็นร้อยละ 2.666
ตอนที่ 2 ข้อมูลเพื่อศึกษาความพึงพอใจที่มีต่อผลิตภัณฑ์สบู่สมุนไพร แบ่งเป็น 3 ด้าน คือ ด้านคุณภาพผลิตภัณฑ์ ด้านบรรจุภัณฑ์และการใช้งาน และ และด้านส่งเสริมการจ าหน่าย ด้านคุณภาพผลิตภัณฑ์โดยรวมมีความพึงพอใจในระดับมากที่สุด (= 4.806 และ S.D. = 0.332) และเมื่อพิจารณาเป็นรายข้อแล้ว รูปลักษณ์ของผลิตภัณฑ์ มีความพึงพอใจในระดับมากที่สุด (=4.825 และ S.D. = 0.446) รองลงมาคือ ผลิตภัณฑ์มีกลิ่นหอม มีความพึงพอใจในระดับมากที่สุด (=4.825 และ S.D. = 0.385) มีความทันสมัยและเป็นที่หน้าสนใจ มีความพึงพอใจในระดับมาก ที่สุด (=4.80 และ S.D. = 0.405) ผลิตภัณฑ์มีสีสันสวยงาม มีความพึงพอใจในระดับมากที่สุด (=4.776 และ S.D. = 0.423) ตามล าดับ ด้านบรรจุภัณฑ์และการใช้งาน โดยรวมมีความพึงพอใจในระดับมากที่สุด (= 4.800 และ S.D. = 0.331) เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อแล้ว มีความเหมาะสมและทันสมัย มีความพึงพอใจในระดับ มากที่สุด (=4.825 และ S.D. = 0.385) รองลงมาคือ เปิดใช้งานได้สะดวก มีความพึงพอใจในระดับ มากที่สุด (=4.800 และ S.D. = 0.464) วัสดุมีความเหมาะสม มีความพึงพอใจในระดับมากที่สุด (=4.800 และ S.D. = 0.405) และ บรรจุภัณฑ์มีความสวยงาม สะดุดตา มีความพึงพอใจในระดับ มากที่สุด (=4.775 และ S.D. = 0.480) ตามล าดับ ด้านส่งเสริมการจ าหน่ายโดยรวมมีความพึงพอใจในระดับมากที่สุด (= 4.869 และ S.D. = 0.265) เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อแล้ว ผลิตภัณฑ์มีความเหมาะสมกับราคา มีความพึงพอใจในระดับ มากที่สุด (=4.900 และ S.D. = 0.304) รองลงมาคือ ผลิตภัณฑ์มีความเหมาะสมโดยรวม มีความ พึงพอใจในระดับมากที่สุด (=4.900 และ S.D. = 0.304) มีผลิตภัณฑ์ให้ทดลอง มีความพึงพอใจใน ระดับมากที่สุด (=4.850 และ S.D. = 0.362 และ รูปลักษณ์ของผลิตภัณฑ์ของผลิตภัณฑ์ดึงดูด สายตา มีความพึงพอใจในระดับมากที่สุด (=4.825 และ S.D. = 0.385) ตามล าดับ อภิปรายผล การอภิปายผล มีวัตถุประสงค์การศึกษา 1. เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ทันสมัยและอ่อนโยนต่อ ผิว 2. เพื่อศึกษาความพึงพอใจของกลุ่มเป้าหมายที่มีต่อผลิตภัณฑ์สบู่สมุนไพร 3. เพื่อสร้างรายได้ เสริม แบ่งเป็น 3 ด้าน คือ ด้านคุณภาพผลิตภัณฑ์ ด้านบรรจุภัณฑ์และการใช้งาน และด้านส่งเสริม การจ าหน่าย ด้านคุณภาพผลิตภัณฑ์โดยรวมมีความพึงพอใจในระดับมากที่สุด ค่าเฉลี่ย 4.806 เมื่อ พิจารณาเป็นรายข้อแล้ว รูปลักษณ์ของผลิตภัณฑ์ มีความพึงพอใจในระดับมากที่สุด มีค่าเฉลี่ย 4.825 รองลงมาคือ ผลิตภัณฑ์มีกลิ่นหอม มีความพึงพอใจในระดับมากที่สุด มีค่าเฉลี่ย 4.825 มีความ