The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

หน่วยที่ 6 การหมุนเวียนของน้ำและอากาศบนโลก

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by tramgang, 2022-09-12 01:03:04

หน่วยที่ 6 การหมุนเวียนของน้ำและอากาศบนโลก

หน่วยที่ 6 การหมุนเวียนของน้ำและอากาศบนโลก

หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 วิวฒั นาการของเอกภพและระบบสุริยะ
หน่วยการเรียนรู้ท่ี 2 เทคโนโลยอี วกาศ
หน่วยการเรียนรู้ท่ี 3 การเปล่ียนแปลงของธรณีภาค
หน่วยการเรียนรู้ที่ 4 ธรณีพิบตั ิภยั
หน่วยการเรียนรู้ท่ี 5 บรรยากาศและสมดุลพลงั งานของโลก
หน่วยการเรียนรู้ท่ี 6 การหมนุ เวยี นของน้าและอากาศบนโลก

การหมุนเวียนอากาศและน้า การหมุนเวยี นของอากาศบนโลก
ในมหาสมุทรส่งผลตอ่ ภมู ิอากาศ (ว 3.2 ม.6/8, 9, 10, 12)
การหมนุ เวยี นของน้าในมหาสมุทร
ลมฟ้าอากาศ ส่ิงมีชีวิต (ว 3.2 ม.6/11, 12)
และสิ่งแวดลอ้ มอยา่ งไร แผนท่ีอากาศ (ว 3.2 ม.6/14)

คาถามทา้ ยหน่วยการเรียนรู้

การหมุนเวียนอากาศบนโลกและการหมุนเวียนน้าในมหาสมุทรมีความสัมพนั ธ์กนั โดยกระแสลมทาให้เกิดการเคลื่อนที่
ของน้าในมหาสมุทร น้ามีการระเหยข้ึนไปในช้นั บรรยากาศ ควบแน่นเป็นเมฆแลว้ เกิดฝนตกกลบั ลงมายงั มหาสมุทร ท้งั อากาศ
และน้าในมหาสมุทรจึงมีการถ่ายเทพลงั งานระหวา่ งกนั

การหมนุ เวยี นของอากาศทาให้สภาพภูมิอากาศบนโลกแต่ละบริเวณแตกต่างกนั การหมุนเวียนของน้าในมหาสมุทรส่งผล
ตอ่ แหล่งอาหารและท่ีอยอู่ าศยั ของสตั วน์ ้า สภาพภูมิอากาศบริเวณชายฝ่ัง รวมถึงปรากฏการณ์เอลนีโญและลานีญา

1/90

การเคลื่อนที่ของอากาศเกิดจากความกดอากาศที่แตกต่าง
กนั ระหวา่ งสองบริเวณ เน่ืองจากพ้ืนผิวโลกในแต่ละบริเวณ
ได้รับพลงั งานจากดวงอาทิตยไ์ ม่เท่ากันจึงมีอุณหภูมิและ
ความกดอากาศแตกต่างกนั ส่งผลให้เกิดการหมุนเวียนของ

อากาศบนโลก
การหมุนเวียนของอากาศทาให้เกิดปรากฏการณ์ทาง

อุตุนิยมวิทยา เช่น ลม หยาดน้ าฟ้า รวมถึงการถ่ายโอน
พลงั งานไปยงั ส่วนตา่ ง ๆ ของโลกเพ่ือรักษาสมดุลของโลก

2/90

1.1 การเกดิ ลม ควาอมากกดาอศาเกยน็าศสูง ควาอมากกดาศอราก้อานศต่า
3/90
- ลม (wind) เกิดจากการเคล่ือนที่ของ
อากาศในแนวระนาบกบั พ้ืนผวิ ของโลก
- เม่ือเปรียบเทียบ 2 พ้ืนท่ีท่ีมีอุณหภูมิและ
ความกดอากาศแตกตา่ งกนั
- บริเวณท่ีมีอุณหภูมิสูง อากาศจะขยายตวั
ความหนาแน่นลดลง ความกดอากาศต่า
อากาศจะลอยตวั สูงข้ึน
- บริเวณท่ีมีอุณหภูมิต่า อากาศเย็นจะมี
ค ว า ม ห น า แ น่ น ม า ก ก ว่า แ ล ะ ไ ห ล เ ข้า ม า
แทนที่อากาศร้อน ทาให้เกิดการเคล่ือนท่ี
ของอากาศ

- การพดั ของลมเกิดไดท้ ้งั บริเวณกลางพ้นื ดินและกลางมหาสมทุ ร
- พ้ืนน้าและพ้ืนดินมีสมบตั ิดูดและคายความร้อนไดแ้ ตกตา่ งกนั จะทาใหเ้ กิดลมบกและลมทะเล
- ลมทะเล คือ ลมที่พดั จากทะเลไปยงั พ้ืนดิน

- ลมบก คือ ลมท่ีพดั จากพ้ืนดินไปยงั ทะเล

1 อากาศขยายตวั
และลอยข้ึน
1.5 km
T = 38 ºC T = 25 ºC
2 บนบก

3 T = 257 ºC
ทะเล

อากาศร้อนเหนือพ้ืนดินลอยตวั ข้ึนไปอจณุ ากหพภอ้ืนมู ณุ ดิเหินนภไืูมอปผิเยหวิงั นทือ้าะแพเล้นื ะอดพาินก้นื มาดีคศินเ่ายสมน็ ูีคงเา่หทเทนาใา่ือหกทนัอ้ ะาเอกลาจกศึงาเกคศิดลไมก่ือา่มนรีกตลาวั อรมยเคาตแลวั ท่ือนทต่ีวอั ากาศร้อนที่ลอยข้ึน เกิดเป็ นลมทะเล
4/90
**คลิกท่ี 1 - 3 เพ่ือใหข้ อ้ ความปรากฏหรือเปล่ียนขอ้ ความ

พารามิเตอร์
ที่ใชศ้ ึกษาเกี่ยวกบั ลม คือ
ทิศทางลมและความเร็วลม
มีหน่วยเป็ น นอต (knots) โดยความเร็วลม
1 นอต มีค่าเท่ากบั 1.852 กิโลเมตรตอ่ ชว่ั โมง
หรือ 0.514 เมตรต่อวนิ าที
ซ่ึงสามารถตรวจวดั ดว้ ยมาตรความเร็วลม

(anemometer) ดงั รูป

มาตรความเร็วลม 5/90

1.2 แรงทส่ี ่งผลต่อการเคลื่อนทข่ี องอากาศ maximum deNflPection at pole

แรงคอริออลสิ hnoemrthiseprhnere 60ºN
deflection to right 30ºN
- แรงคอริออลสิ (coriolis force : CF) เป็ นแรงบิด
ที่เกิดจากการหมุนรอบตัวเองของโลก ทาให้เกิด no deflection at equator equator
การเบี่ยงเบนทิศทางของกระแสลมท้งั ในซีกโลกเหนือ
และซีกโลกใต้ ดงั รูป shoeumthiseprhnere 30ºS
deflection to left
- ทิศทางการเคลื่อนท่ีของอากาศในซีกโลกเหนือ
จะเบ่ียงเบนไปทางขวา ส่วนซีกโลกใต้จะเบ่ียงเบน 60ºS
ไปทางซา้ ย
maximum deSflPection at pole
- แรงคอริออลิสมีอิทธิพลมาก ณ บริเวณละติจูดสูง
ใกลข้ ้วั โลกและลดนอ้ ยลงเมื่อเขา้ ใกลเ้ สน้ ศูนยส์ ูตร

6/90

(หนงั สือเรียนหนา้ 160)

กจิ กรรมที่ 6.1 แรงคอริออลิส

สรุปผลการทดลอง

เม่ือปล่อยลกู แกว้ โดยที่ไม่หมุนแผน่ ไม้ ลูกแกว้ จะ

เคลื่อนท่ีเป็ นแนวเส้นตรง แต่เมื่อหมุนแผ่นไม้

ลกู แกว้ จะมีการเคล่ือนที่เบนไปจากแนวเดิม และถา้

หมุนแผ่นไมเ้ ร็วข้ึน ลูกแกว้ จะเบนไปจากแนวเดิม

มากข้ึน โดยเมื่อหมุนแผ่นไมใ้ นทิศตามเข็มนาฬิกา หมนุ แผน่ ไมใ้ นทิศตามเขม็ นาฬิกา หมุนแผน่ ไมใ้ นทิศทวนเขม็ นาฬิกา
ลูกแกว้ จะเบนไปทางซ้าย และเม่ือหมุนแผ่นไมใ้ น ลูกแกว้ จะเบนไปทางซา้ ย ลูกแกว้ จะเบนไปทางขวา

ทิศทวนเขม็ นาฬิกา ลูกแกว้ จะเบนไปทางขวา ดงั รูป

**คลิกท่ี เพื่อใหข้ อ้ ความปรากฏหรือซ่อนขอ้ ความ 7/90

ดงั น้นั การหมุนรอบตวั เองของโลกทาใหเ้ กิดแรงคอริออลิส
ส่งผลให้ทิศทางการเคลื่อนที่ของอากาศเบนไปจากแนวเดิม
โดยในบริ เวณซีกโลกเหนือจะเบนไปทางขวาของทิศทาง
การเคลื่อนที่ และบริ เวณซี กโลกใต้จะเบนไปทางซ้าย
ของทิศทางการเคล่ือนที่

8/90

แรงเสียดทาน กระแสอากาศ การป่ันป่ วนของอากาศ
ช้นั ของบรรยากาศ
- แรงเสียดทาน (frictional force) ท่ีอยใู่ กลพ้ ้ืนดิน
เป็ นแรงท่ีเกิดจากความขรุ ขระของ
ผิวโลก ทาให้เกิดความต้านทานต่อ 9/90
การเคล่ือนที่ของกลมุ่ อากาศ

- แรงเสียดทานท่ีกระทาต่ออากาศ
บริเวณใกลผ้ ิวดินทาให้เกิดการเคล่ือนท่ี
ของอากาศแบบอลวน (turbulent)

- แรงเสียดทานจะมีค่ามากหรือน้อย
ข้ึนกับลักษณะพ้ืนที่ โดยบริ เวณที่มี
วตั ถุต่าง ๆ เช่น ส่ิงก่อสร้าง ตน้ ไม้ ภูเขา
จะมีแรงเสี ยดทานมากกว่าบริ เวณท่ีโล่ง
เช่น ทุ่งหญา้ มหาสมุทร

เม่ือพิจารณาผลของแรงคอริออลิสและแรงเสียดทานที่กระทาตอ่ ลมจะจาแนกลมออกเป็ น 2 ประเภท ดงั น้ี
1. ลมช้ันบน (gradient wind) เป็ นการเคล่ือนที่ของกลุ่มอากาศช้นั บนในแนวราบ ไดร้ ับอิทธิพลจากแรงคอริออลิส
ในซีกโลกเหนือ อากาศรอบศูนย์กลางความกดอากาศสูงจะเคล่ือนท่ีในทิศตามเข็มนาฬิกา เรียกว่า แอนติไซโคลน
(anticyclone) และอากาศรอบศูนยก์ ลางความกดอากาศต่าจะเคล่ือนที่ในทิศทางทวนเขม็ นาฬิกา เรียกวา่ ไซโคลน (cyclone)
ส่วนซีกโลกใต้ ลมจะเคล่ือนที่ในทิศทางตรงขา้ มกบั ซีกโลกเหนือ

ซีกโลกเหนือ ซีกโลกใต้

แอนติไซโคลน ไซโคลน แอนติไซโคลน ไซโคลน

10/90

2. ลมผิวพื้น (surface winds) เป็ นการเคล่ือนที่ของกลุ่มอากาศบริเวณผิวพ้ืนในแนวราบท่ีระดับความสูงไม่เกิน
1,000 เมตร ไดร้ ับอิทธิพลจากแรงเสียดทานเน่ืองจากการปะทะกบั ส่ิงกีดขวาง ในซีกโลกเหนือ ลมจะพดั เขา้ หาศูนยก์ ลาง
ความกดอากาศต่าในทิศทวนเข็มนาฬิกา ส่วนลมจะพดั ออกจากศูนย์กลางความกดอากาศสูงในทิศตามเข็มนาฬิกา

ส่วนในซีกโลกใต้ ลมจะเคลื่อนที่ในทิศทางตรงขา้ มกบั ซีกโลกเหนือ

ซีกโลกเหนือ ซีกโลกใต้

แอนติไซโคลน ไซโคลน แอนติไซโคลน ไซโคลน

11/90

การเคล่ือนท่ีของลมผวิ พ้ืนและลมช้นั บนจะเก่ียวขอ้ งกบั การเคล่ือนที่ของอากาศในแนวด่ิง ดงั น้ี

บริเวณศูนย์กลางของความกดอากาศตสูงา่

ลมแผก่ ระจาย ลมพดั สอบ ลมช้ันบน ล ม ผิ ว พ้ื น จ ะ พแัดผ่สก อร ะบจ(าcยoอnvอeกrge(ndciev)erเgขe้าnหceา)
อากาศลอยตวั อากาศจมตวั ศจูนากยกศ์ ลูนายงข์กอลงาคงวขามอกงดคอวาากมาศกใดนอทาิศกทาวศนใเนขม็ทนิศาตฬาิกมา

เทขาม็ ในหา้ฬอิกากา าอศากยากศตจัวากแดลา้ ะนเบคนล่ืจอะนจทมี่ขต้ึวันลใงนมแาแนทวนดทิ่งี่

อากกาาศศจะดข้ายนายลต่าวังอุณย่าหงภชูม้าิลดๆลงอาคกวามศชจ้ืนะสอมั ุ่นพขทั ้ึ นธ์

สมูีปงขร้ึนิมาจตึงรทลาดใหลง้เกคิดวเมามฆชแ้ืนละสฝัมนพไัทดธ้ ถ์ล้าดลลมงมทีคาวใาหม้

ลมพดั สอบ ลมแผ่ ลมผวิ พืน้ ทรุนอ้ งแฟร้างแมจา่มกใจสะกสล่วนายอเาปก็ นาศพชา้นัยุหบมนุนกลสุ่ม่วอนาอกากศจาศะ
กระจาย ชพ้นัดบสนอบกล(ุ่มcoอnาvกeาrgศeจnะcแeผ) ่กทราะใจหา้เยกอิดอกกา(รdหivมeุrนgเeวnียceน)

จขาอกงศอูนากยาก์ ศลเาชง่นขกอนังบริเวณความกดอากาศต่า

ไซโคลน แอนติไซโคลน

**คลิกท่ี - เพ่ือให้ขอ้ ความปรากฏหรือเปลี่ยนขอ้ ความ 12/90

1.3 แบบจาลองการหมนุ เวยี นของอากาศบนโลก 13/90

การหมุนเวียนของอากาศ (general circulation) คือ ลมที่พดั
ครอบคลมุ พ้ืนท่ีเป็ นบริเวณกวา้ งในระดบั โลก ปัจจยั สาคญั ท่ีทาให้
เกิดการหมุนเวยี นของอากาศมีดงั น้ี

1. ผิวโลกในแต่ละช่วงละติจูดไดร้ ับพลงั งานจากดวงอาทิตย์
ไม่เท่ากัน เนื่ องจากแกนโลกเอียง 23.5 องศาจากแนวด่ิง
ทาให้ตาแหน่งที่ได้รับพลังงานมากที่สุ ดอยู่ท่ีช่วงละติจูด
23.5 องศาเหนือ ถึง 23.5 องศาใต้ นอกจากน้ี พ้ืนผิวโลกระหวา่ ง
พ้นื น้าและพ้นื ดินมีสมบตั ิในการดูดและคายความร้อนแตกตา่ งกนั

2. การหมุนของโลกทาให้ทิศทางลมเบ่ียงเบนเน่ืองจาก
แรงคอริออลิส

3. แรงเสี ยดทานบริ เวณผิวโลกที่ แตกต่างกัน ทาให้
การเคล่ือนท่ีของมวลอากาศแตกตา่ งกนั

- เนื่องจากปัจจยั ที่มีผลต่อการเคล่ือนท่ีของอากาศ

มีหลายประการ การเคลื่อนท่ีของลมจึงมีความซบั ซอ้ น

- จอร์จ แฮดลีย์ (George Hadley) นกั อุตุนิยมวทิ ยา
ชาวองั กฤษจึงได้เสนอแบบจาลองการหมุนเวียนของ
อากาศอยา่ งง่าย เพ่ืออธิบายการเคลื่อนท่ีของมวลอากาศ

ระดบั โลก โดยมีขอ้ กาหนดดงั น้ี
1. ผิวโลกมีความเรี ยบสม่าเสมอ (ไม่มีผลของ

แรงเสียดทาน) และสมบตั ิในการดูดและคายความร้อน
ของพ้นื น้าและพ้นื ดินไมแ่ ตกตา่ งกนั

2. ดวงอาทิตย์อยู่คงที่บริเวณเหนือเส้นศูนย์สูตร
เท่าน้นั (มีเพยี งฤดูกาลเดียวตลอดปี )

3. โลกไมห่ มนุ รอบตวั เองหรือไม่มีแรงคอริออลิส

14/90

แบบจาลองการหมนุ เวยี นของอากาศแบบเซลล์เดยี ว (single cell model)

อาจเรียกว่า แฮดลีย์เซลล์ (hadley cell) แบบจาลองน้ี
จะพิจารณาเฉพาะผลจากการท่ีโลกได้รับพลังงานจาก
ดวงอาทิตยใ์ นบริเวณเส้นศูนยส์ ูตร ทาให้อากาศบริเวณ
เส้นศู นย์สู ตรขยายตัวและลอยตัวข้ึ น จึ งเป็ นเขต
ความกดอากาศต่า เม่ืออากาศเคล่ือนไปยงั บริเวณข้วั โลก
ทาใหม้ ีอณุ หภมู ิลดลงและจมตวั เป็ นเขตความกดอากาศสูง
จากน้นั เคลื่อนตวั ตามพ้ืนผิวจากข้วั โลกมายงั เสน้ ศูนยส์ ูตร
เกิดเป็ นวงจรของอากาศ

15/90

แต่ในความจริงเป็ นแลว้ โลกหมุนรอบตัวเอง มีพ้ืนผิวท่ีไม่สม่าเสมอ มีพ้ืนผิวน้าและพ้ืนดินที่มีสมบัติแตกต่างกัน
และปริมาณพลงั งานท่ีไดร้ ับจะแตกต่างกนั ในแต่ละช่วงเวลา ดงั น้ัน การหมุนเวียนของอากาศของโลกจึงไม่เป็ นไปตาม
แบบจาลองการหมุนเวียนของอากาศแบบเซลล์เดียว แต่แบบจาลองน้ีทาให้เกิดแนวคิดเบ้ืองตน้ เก่ียวกบั การหมุนเวียน
ของอากาศ

แบบจาลองการหมนุ เวยี นของอากาศแบบเซลลเ์ ดียว
ที่กล่าวมา ถา้ เพิ่มปัจจยั การหมุนรอบตวั เองของโลก

ทิศทางการเคลื่อนท่ีของอากาศจะเป็ นอยา่ งไร

16/90

แบบจาลองการหมนุ เวยี นของอากาศ โพลาร์เซลล์ ข้วั โลก
แบบทวั่ ไป (general circulation) เฟอร์เรลเซลล์
แฮดลียเ์ ซลล์
เม่ือพิจารณาปัจจัยท้งั หมดที่ทาให้
เกิดการหมุนเวียนของอากาศ จะอธิบาย แฮดลียเ์ ซลล์
การหมุนเวียนของอากาศได้โดยใช้ เฟอร์เรลเซลล์
แบบจาลองการหมุนเวียนของอากาศ
แบบทวั่ ไป ซ่ึงแบ่งการหมุนเวียนอากาศ
เ ป็ น 3 ส่ วน ไ ด้แ ก่ แ ฮด ลี ย์เ ซล ล์
(Hadley cell) เฟอร์เรลเซลล์ (ferrel cell)
และโพลาร์เซลล์ (polar cell) ดงั รูป

17/90

การหมุนเวียนของอากาศเป็ น
ระบบการเคลื่อนที่ของอากาศบน
ผิวโลก เกิดข้ึนจากการที่โลก
แต่ละบริ เวณได้รั บพลังงานจา ก
ดวงอาทิตยแ์ ตกต่างกนั โดยบริเวณ
ท่ีได้รับพลังงานมากที่สุ ด คือ

บริเวณศูนย์สูตร

18/90

60º แนวปะทะอากาศข้วั โลก โเแฟพฮอดลราล์เรยีร์เ์เลซซเลซลลล์ ์ล((ph์ (oafledarlrreecyleclclee)lll))
30º แถบความกดอากาศสูง
ลมตะวนั ออก ● อบารกิเวาณศศทจูนาี่แกยถขส์ บู้ัวตคโรวอลาุณกมเหกคภดลูมอ่ื สิานกูงลาคงศวมสาาูมงทก่ีลึงดะศอตูนาิกจยูาดส์ ศูต60ร่าจอะงพศดั า
ข้วั โลก ก่ึงศูนยส์ ูตร ● ขอม้ึีแนากรไงาปศคทรอ้าอรงิอนขอล้ัวลอโิสยลกตกรัวะมขที้แึนารดใง้าหคน้พอบดัรินอจาแอกลต้ิวสะคกววรนั บะอแทอนากใ่นไหปเป้พย็ นัดงั

ลมตะวนั ตก แถบความ จตเมาะฆกวตคนั ะิวตวมกนัูโเลตรนีกยกิไมปวบา่ยสั งัลตทมะาตวใะนหั วอเ้ันกอิอดกอฝกเนรขีฟย้ัวก้าโควลา่ะกนลอมงตใะนวแนั ถตบกน้ี
กดอากาศตา่
ก่งึ ข้วั โลก

● อเมา่ือกอปาปศะะททที่มะีคะกวกบั าับอมาชอก้ืนาานกศอ้าอศยุ่นจเทยะี่็พแนนดัจอวาปอกกะขจท้ัวาะโกอลแาถกบทาศ่ีลูนขะ้ยวั ตสโ์ ิจลูตูกดร
ไ6จ0ปะลยอองั งขยศ้ตวั าโวัเหลข้กึนืแอลลว้ อเคยลตื่อวั นสทูงขี่ก้ึลนบัแไลปว้ ยคงัวขบ้วั แโนล่กนเป็นเมฆ
ลมค้า ความกดอากาศต่า 0º แถบความกดอากาศต่า ● อทาใกหาเ้ศกเิดยพ็นาตยัุวและมีความกดอากาศสูงจมตัวลง
บริเวณเส้ นศูนย์สูตร บริเวณศนู ยส์ ูตร

ลมสงบ ● ทอ่ีลากะตาิจศูดที่3ม0ีคอวงาศมาชท้ืนาในห้อ้เกยิดพคัดวกามลแับหมง้ าแทลี่งเ้ สใน้นแรถุ้งบมน้า้ี
แเรลียว้กจวมา่ ตเสวั ้นลงรุ้งม้า
ลมค้า แถบความกดอากาศสูง

30º ก่ึงศูนยส์ ูตร ● อากาศส่วนหน่ึงพัดไปทางข้ัวโลก อีกส่วนหน่ึง

ลมตะวนั ตก แนวปะทะอากาศข้วั โลก พดั กลับมายงั ศูนยส์ ูตร มีแรงคอริออลิสกระทาให้
พดั จากตะวนั ออกไปยงั ตะวนั ตก เรียกวา่ ลมค้า
60º

**คลิกที่ - - เพ่ือใหข้ อ้ ความปรากฏหรือเปลี่ยนขอ้ ความ 19/90

แบบจาลองการหมุนเวยี นของอากาศแบบทว่ั ไปจะแบ่งการ 20/90
หมนุ เวยี นอากาศตามเขตละติจูดออกเป็ น 3 ส่วน ซ่ึงแต่ละส่วน

จะทาให้เกิดลกั ษณะภูมิอากาศที่แตกต่างกนั โดยมีรายละเอียด

ดงั น้ี

1. การหมุนเวียนของอากาศแถบเขตร้ อน (tropical
circulation) หรือ แฮดลีย์เซลล์ (Hadley cell) มีขอบเขตต้งั แต่
เส้นศูนย์สูตรไปยงั ละติจูด 30 องศาเหนือและใต้ โดยการ

หมุนเวยี นอากาศเริ่มจากบริเวณเส้นศูนยส์ ูตรซ่ึงไดร้ ับพลงั งาน
จากดวงอาทิตยม์ ากท่ีสุด ทาให้อากาศบริเวณน้ีมีอุณหภูมิสูง
มีความช้ืนมาก และมีความกดอากาศต่า จึงมีลมค่อนขา้ งสงบ
หรื อเบาบาง เรี ยกบริ เวณน้ีว่า ความกดอากาศต่าบริเวณ
ศูนย์สู ตร (equatorial low) หรื ออาจเรี ยกว่า เขตลมสงบ
(doldrums) ซ่ึงไมส่ ะดวกตอ่ การเดินเรือในสมยั โบราณ

อากาศร้อนช้ืนบริเวณน้ีจะลอยข้ึนไปควบแน่นเป็ นเมฆฝน
แลว้ เคลื่อนที่ไปยงั ละติจูดท่ี 30 องศาเหนือและใต้ จะมีอุณหภูมิ
ลดลงและความช้ืนต่า อากาศจะจมตวั ลง ทาให้พ้ืนท่ีน้ีเป็ นเขต
อากาศแห้งแล้ง เรี ยกว่า ความกดอากาศสู งก่ึงเขตร้ อน
(subtropical high) เป็ นบริ เวณที่เกิดทะเลทรายขนาดใหญ่
ของโลก เช่น ทะเลทรายซาฮาราในซีกโลกเหนือ ทะเลทราย
คาราฮารีในซีกโลกใต้ ถา้ กลุ่มอากาศน้ีพาดผ่านบริเวณทะเล
จะมีลมอ่อน แต่การเดินเรือในสมยั โบราณตอ้ งอาศยั ลมทาให้
เดินทางต่อไปไม่ได้ ตอ้ งฆ่ามา้ กินและทิ้งสินคา้ บางอยา่ งลงไป
ในทะเลจึงเรียกละติจูดน้ีวา่ เส้นรุ้งม้า (horse latitude)

21/90

จากเสน้ รุ้งมา้
อากาศส่วนหน่ึงจะเคลื่อนที่
ไปยงั ละติจูดสูงข้ึนและอีกส่วนหน่ึง
กลบั ไปยงั เสน้ ศูนยส์ ูตร โดยจะมี

แรงคอริออลิสพดั จากทิศตะวนั ออก
มายงั ทิศตะวนั ตก เรียกวา่ ลมสินค้า

หรือ ลมค้า (trade winds)
ซ่ึงช่วยในการเดินเรือ

22/90

2. การหมุนเวียนของอากาศแถบละติจูดกลาง (mid-latitude
circulation) หรือ เฟอร์เรลเซลล์ (ferrel cell) มีขอบเขตช่วงละติจูด

ที่ 30 องศา ถึง 60 องศาเหนือและใต้ กลุ่มอากาศท่ีมาจากละติจูด

30 องศา จะพดั จากทิศตะวนั ตกไปยงั ทิศตะวนั ออกเนื่องจากแรง

คอริออลิส เรียกว่า ลมตะวันตก เม่ือลมน้ีเคล่ือนที่ไปทางข้วั โลก
จะปะทะกับกระแสลมเย็นจากแถบข้ัวโลกที่ละติจูด 60 องศา
เรียกว่า แนวปะทะอากาศข้ัวโลก (polar front) หรื อ ความกด

อากาศต่ากึ่งข้ัวโลก (subpolar low) อากาศจะยกตัวสู งข้ึน
แลว้ ควบแน่นเป็ นเมฆฝนและเกิดพายุคล้ายกบั เขตร้อน จากน้ัน
อากาศช้ันบนบางส่วนจะเคล่ือนที่กลับมายงั ละติจูด 30 องศา
และบางส่วนเคล่ือนท่ีไปยงั เขตข้วั โลก

23/90

3.การหมุนเวยี นของอากาศแถบข้ัวโลก (polar circulation) มีขอบเขตพ้ืนที่ในช่วงละติจูดที่ 60 องศา ถึงข้วั โลกเหนือ
และใต้ เริ่มจากอากาศระดบั ผิวพ้ืนเคลื่อนที่มาจากบริเวณ ความกดอากาศสูงข้ัวโลก (polar high) จะถูกเบนทิศทางโดย
แรงคอริออลิสจากทิศตะวนั ออกไปยงั ทิศตะวนั ตก เรียกว่า ลมตะวันออกข้ัวโลก (polar easterlies) เมื่ออากาศเคล่ือนท่ี
มายงั ละติจูด 60 องศา จะปะทะกบั ลมตะวนั ตก ทาให้เกิด แนวปะทะอากาศข้ัวโลก (polar front) อากาศจะลอยสูงข้ึนและ
ไหลกลบั ไปยงั ข้วั โลกและจมตวั ลงอีกคร้ัง

24/90

(หนงั สือเรียนหนา้ 168)

25/90

1. ลมเกิดข้ึนไดอ้ ยา่ งไร
2. การหมุนเวยี นของอากาศส่งผลตอ่ ปรากฏการณ์ใดบนโลกบา้ ง
3. ความชนั ของอากาศทาใหเ้ กิดลมไดอ้ ยา่ งไร

26/90

4. แรงคอริออลิสเกิดข้ึนไดอ้ ยา่ งไร

5. บริเวณต่าง ๆ ของโลก เช่น เขตเมือง บริเวณภูเขา ทุ่งหญา้ มหาสมุทร ส่งผลต่อการเคลื่อนท่ีของอากาศหรือไม่
อยา่ งไร

6. การหมุนเวยี นของอากาศบนโลกส่งผลต่อส่งมีชีวติ หรือไม่ อยา่ งไร

27/90

7. การหมนุ เวยี นของอากาศเกิดข้ึนไดอ้ ยา่ งไร
8. ลมท่ีพดั จากเสน้ รุ้งที่ประมาณ 30 องศาใตม้ ายงั เสน้ ศูนยส์ ูตรคือลมชนิดใด
9. ลมตะวนั ออกข้วั โลกมีลกั ษณะอยา่ งไร

28/90

10. เขตลมสงบจะมีลกั ษณะภูมิอากาศเป็ นอยา่ งไร

29/90

ในมหาสมุทรเป็ นแหล่งรับพลังงานและ
มวลสารต่าง ๆ จากแผ่นดิน คลื่นและกระแสน้า
มีความสัมพนั ธ์กับบรรยากาศ เช่น การระเหย
และควบแน่น การถ่ายโอนพลงั งานซ่ึงกนั และกนั
ทาให้เกิดการหมุนเวียนพลงั งานอย่างต่อเนื่อง
เป็ นวัฏจักร ส่ งผลต่อลักษณะลมฟ้าอากาศ
ส่ิ ง มี ชี วิ ต ร ะ บ บ นิ เ ว ศ แ ล ะ ส่ิ ง แ ว ด ล้อ ม
ปรากฏการณ์หน่ึงที่แสดงถึงปฏิสัมพนั ธ์ระหวา่ ง
มหาสมุทรและบรรยากาศ คือ ปรากฏการณ์
เอลนีโญและลานีญาท่ีส่งผลกระทบไปทวั่ โลก

30/90

มหาสมุทรแต่ละแห่ งประกอบด้วย 180º 140º 100º 60º 20º 20º 60º 100º 140º 180º
80º Arctic Arctic Ocean 80º
ทะเลท้ังขนาดเล็กและใหญ่หลาย ๆ แห่ง
มาเชื่อมต่อกนั โดยแต่ละแห่งจะถูกแบ่งแยก 60º 60º
โดยภาคพ้ืนทวีปหรือแนวเส้นละติจูด เช่น ANmoerrtihca Europe Asia
การแยกมหาสมุทรแอตแลนติกและแปซิฟิ ก 40º AONtlcoaernatthnic 40º
ด้วยทวีปอเมริ กา ทวีปแอฟริ กาเป็ นทวีป 20º PONacoceriaftihnc Indian Ocean PONacoceriaftihnc 20º
ท่ี แ ย ก ม ห า ส มุ ท ร อิ น เ ดี ย กับ แ อ ต แ ล น ติ ก Africa 2,000 miles
หรื อขอบเขตของมหาสมุทรใต้เร่ิ มต้ังแต่ 0º 2,000 kilometers 0º
ละติจูด 60 องศาใต้ ลงไปถึงชายฝั่งทวีป ASmoeurtihca Oceania 20º
แอนตาร์ กติกา โดยการแบ่งเขตแต่ละ 20º Oceania AOStolcaeunatthnic
ม ห า ส มุ ท ร จ ะ มี ห น่ ว ย ง า น ส า ก ล เ ป็ น 40º
ผูพ้ ิจารณา คือ องค์การอุทกศาสตร์สากล 40º SouOthcpeaacnific Southern Ocean 0
(International Hydrographic Organization) 60º 0 60º

80º antarctica 80º
160º 120º 80º 40º 0º 40º 80º 120º 160º

31/90

ในธรรมชาติ มหาสมุทรและบรรยากาศมีปฏิสัมพันธ์ซ่ึงกันและกัน โดยการระเหยของน้าในมหาสมุทรจะคาย
พลังงานความร้อนเข้าสู่ช้ันบรรยากาศ จากน้ันไอน้าจะควบแน่นเป็ นเมฆ และเกิดหยาดน้าฟ้าตกกลับสู่มหาสมุทร
หมนุ เวยี นเป็ นวฏั จกั ร

32/90

2.1 การแบ่งช้ันนา้ ในมหาสมุทร

มหาสมุทรมีค่าเฉลี่ยความลึกประมาณ 4,000 เมตร มีการแบ่งช้นั ตามความหนาแน่น โดยน้าที่มีความหนาแน่นมากจะอยู่
บริเวณพ้ืนทะเล ส่วนน้าที่มีความหนาแน่นน้อยที่สุดจะอยใู่ กลก้ บั ผิวหนา้ น้า มวลน้าแต่ละช้นั จะมีอุณหภูมิและความเค็ม
แตกต่างกนั สามารถจาแนกได้ ดงั น้ี
1. น้ า ช้ั น บ น ( surface water) เ ป็ น บ ริ เ ว ณ ต้ัง แ ต่
surface greenland equator antarctica ผิวหน้าน้าจนถึงความลึก 200 เมตร มีความเค็มสูง มีการผสม
depth (m) mixed layer pycnocline คลุกเคลา้ ของน้าไดด้ ี อาจเรียกวา่ ช้ันผสม (mixed layer)
deep layer 2. น้าช้ันกลาง (central water) หรื อ ไพค์โนไคลน์
300 (pycnocline) มีความลึกแตกต่างกันข้ึนอยู่กับละติจูดโดยทัว่ ไป
600 จะอยทู่ ่ีความลึกประมาณ 200-1,000 เมตร
900 3. น้าช้ันลึก (deep water) มีความลึกประมาณ 1,000
1200

1500no6r0tºh 40º 20º lati0tuºde 20º 40º s6o0uºth เมตร ถึงพ้ืนทะเลที่ประมาณ 4,000 เมตร เป็ นช้ันน้ าท่ีมี
ความเสถียรคอ่ นขา้ งสูง

33/90

2.2 การหมุนเวยี นของนา้ ในมหาสมทุ ร 34/90

การหมุนเวียนของน้ าในมหาสมุทร
มีลักษณะคล้ายการหมุนเวียนของอากาศ
ในบรรยากาศ แต่การหมุนเวียนของน้ า
ในมหาสมทุ รจะมีอุปสรรคขวางก้นั เช่น เกาะ
ทวีป พ้ืนทะเลท่ีลึกไม่เท่ากนั การหมุนเวียน
ของน้าจึงไม่มีรูปแบบที่ชดั เจน

ปัจจัยที่มีผลต่อการหมุนเวียนของน้ า
คือ ลมท่ีพดั อยู่เหนือผิวน้าและค่าความเค็ม
ของน้าทะเล การหมุนเวียนของน้าจึงแบ่ง
ออกเป็ น 2 ประเภท ได้แก่ การหมุนเวียน
ขอ ง กระ แ สน้ าบ ริ เ วณผิ วห น้าน้ าแ ล ะ
การหมุนเวยี นของกระแสน้าลึก

การหมุนเวยี นของกระแสนา้ บริเวณผวิ หน้านา้
- การหมนุ เวยี นของกระแสนา้ บริเวณผวิ หน้านา้ (surface current) เป็ นการเคล่ือนท่ีของน้าบริเวณผวิ หนา้ น้าในแนวราบ
- มีอิทธิพลต่อน้าในมหาสมทุ รประมาณร้อยละ 10
- เกิดการขยายตวั ของน้าเนื่องจากอุณหภมู ิและความเสียดทานเนื่องจากลม
- เกิดข้ึนบริเวณผิวหน้าน้าท่ีความลึกประมาณ 1 กิโลเมตร เหนือช้ันไพค์โนไคลน์ซ่ึงเป็ นบริเวณที่มีการเปลี่ยนแปลง

ความหนาแน่นของน้าทะเลอยา่ งรวดเร็วตามระดบั ความลึก
- เน่ืองจากกระแสลมมีอิทธิพลต่อการหมุนเวียนของน้าในช้นั น้ี ลมสินคา้ ใกลเ้ ส้นศูนยส์ ูตรจะพดั ให้น้าในมหาสมุทร

เคล่ือนตวั ไปทางทิศตะวนั ตก และลมตะวนั ตกในบริเวณใกลข้ ้วั โลกจะพดั ใหน้ ้าในมหาสมทุ รเคลื่อนตวั ไปทางทิศตะวนั ออก

35/90

น้ าในมหาสมุทรจะไหลเวียนในทิ ศทางตามเข็มนาฬิกาในซี กโลกเหนื อและทิ ศทางทวนเข็มนาฬิกาในซี กโลกใต้
ซ่ึงอาจกล่าวไดว้ ่า ผลของแรงคอริออลิสทาให้กระแสน้ามีทิศเบนไปทางขวามือในซีกโลกเหนือและเบนไปทางซ้ายมือ
ในซีกโลกใต้

นอกจากน้ี ขอบทวีปและลกั ษณะทางภูมิประเทศของแอ่งมหาสมุทรทาให้กระแสน้าเกิดการไหลเวียนเป็ นวงรอบ
แอง่ มหาสมุทร

36/77

เน่ืองจากการหมุนเวียนของกระแสน้ าและอากาศ
มีความสัมพนั ธ์กนั การหมุนเวียนของน้าบริเวณผิวหนา้ น้า
จึงส่งผลต่อภูมิอากาศบริเวณชายฝ่ังทะเลดว้ ย ตวั อย่างเช่น
กระแสน้าอนุ่ กลั ฟ์ สตรีม (Gulf stream)

- กระแสน้าอุ่นไหลจากอ่าวเม็กซิโกไปยงั ชายฝ่ังทะเล
ทางตะวนั ออกของอเมริกา แคนาดา และทวีปยโุ รป แลว้ แยก
ออกเป็ น 2 ทิศทาง

- ทิศทางหน่ึงเคล่ือนไปทางเหนือของยุโรปเป็ น
กระแสน้าอ่นุ แอตแลนติกเหนือ (North Atlantic current)

- อีกทิศทางเคล่ือนไปทางทิศใต้เป็ นกระแสน้ าเย็น
แคนารี (Canary current) หมุนเวียนไปทางตะวนั ตกของ
ทวปี แอฟริกา

37/90

กระแสน้ าอุ่นกัลฟ์ สตรีมมีอิทธิพลต่อสภาพ
อากาศบริเวณชายฝั่งทะเลตะวนั ออกของทวีป
อเมริ กาเหนือและชายฝั่งตะวันตกของยุโรป
โดยยโุ รปตะวนั ตกและยโุ รปเหนือมีอากาศอุ่นกวา่
ที่ควรจะเป็ นเม่ือเทียบกับสถานที่อื่น และเป็ น
สาเหตุสาคัญในการก่อตัวของพายุหมุนในแถบ
พ้นื ที่น้ี ปัจจุบนั นกั วทิ ยาศาสตร์เช่ือวา่ กระแสน้าอุ่น
กลั ฟ์ สตรีมอาจมีการไหลเวยี นที่ชา้ ลง เนื่องมาจาก
การเปล่ียนแปลงสภาพอากาศ

38/90

อีกตวั อยา่ งหน่ึงท่ีแสดงกลไก

การพาความร้อนของกระแสน้าจากบริเวณ
เขตศูนยส์ ูตรไปยงั เขตละติจดู สูงของซีกโลกเหนือ

คือ กระแสนา้ อุ่นคโุ รชิโอ (Kuroshio Currents)
เป็ นกระแสน้าที่ไหลออกจากชายฝ่ังทวปี เอเชียกลบั คืน
สู่มหาสมทุ รแปซิฟิ กท่ีประเทศญ่ีป่ ุน ทาใหบ้ ริเวณดงั กลา่ ว
เป็ นแหล่งที่มีปลาชุกชุม ดงั น้นั ชาวประมงจึงสามารถ
จบั ปลาไดเ้ ป็ นจานวนมาก เป็ นปรากฏการณ์คลา้ ยกบั

กระแสน้าอ่นุ กลั ฟ์ สตรีมที่เคลื่อนท่ีในมหาสมุทร
แอตแลนติกเหนือ

39/90

การหมุนเวยี นของกระแสนา้ ลกึ

การหมุนเวียนของกระแสนา้ ลึก (deep current)
มีอิทธิพลต่อน้าในมหาสมุทรประมาณร้อยละ 90
ซ่ึงเกิดจากน้าทะเลในแต่ละส่วนของโลกมีความเคม็
และความหนาแน่นไม่เท่ากัน โดยน้ าทะเลที่มี
ความหนาแน่นสูงจะไหลไปแทนที่น้ าทะเลท่ีมี
ความหนาแน่นต่า

เนื่องจากการหมนุ เวยี นของกระแสน้าลึกมปี ัจจยั
ท่ีสาคัญ 2 ประการ คือ ความร้อน (thermo) และ
เกลือ (haline) รวมกนั เรียกวา่ การหมุนเวียนน้าแบบ
เทอร์โมฮาลนี (thermohaline)

40/90

การหมนุ เวยี นของกระแสน้าลึกในมหาสมุทรอาจเรียกวา่ แถบสายพานยกั ษ์ (great conveyor belt) ดงั รูป

1 ยโุ รป เอเชีย อเมริกา
เหนือ
อเมริกา แอฟริกา
เหนือ มหาสมทุ ร มหาสมทุ รแปซิฟิ ก
มหาสมุทร อินเดีย
2 แอตแลนติก

3 อเมริกาใต้ ออสเตรเลยี

4 กระแสน้าเยน็

นกจา้รกทะนแะ้สเันลนกท้าร่ีมจะีคะแวไสาหมนลห้าไนจปะายแแงนั บม่น่งหสตเปาู่ง็สแนอลมุณ2ะุทอหสรณุ ภแ่วูมหอนิตภ่สาแมู ่จลวิสะนูงจจหตมะิกนตไเ่ึงวหั ไลลนหงจือสลาแู่ทกผลอม้่าะงนหมามีคหสหวามาสุทสมมรเมุทคแุท็มรปรแมซอาิฟินตกิ กแขเด้ลผึนียนา่ เนตอ่ืมอิีกหงเสหจา่วนาสนกือมกหุทไานรห่ึองรลไินะลหเงหดลทียไาขลงปอใงยตงมงั น้าตแท้าลอาปว้นงเรมบเหะหนกนาไอสือปบมขทกุทอาับรง
แตกมอาะหรวตาเนัสแดลอินมนอุทกตรางิกแเปใขตซา้ ้ใิฟกิ กลจข้ ะ้วั มโีอลณุกทหาภใมูหิสอ้ ูงุณขห้ึนภแูมลิตะล่าลองยตกวัรขะ้ึแนสน้าจะจมตวั ลงอีกคร้ังจึงครบวงจร ซ่ึงใชเ้ วลาประมาณ 500-2,000 ปี

**คลิกที่ 1 - 4 เพ่ือให้ขอ้ ความปรากฏหรือเปล่ียนขอ้ ความ 41/90

ความรู้เพม่ิ เตมิ

ปรากฏการณ์การหมุนเวียนของน้ าอีกรู ปแบบหน่ึ ง
คือ นา้ ผุด (upwelling) เป็ นการเคลื่อนท่ีของน้าจากที่ลึก
เข้ามาแทนที่ผิวน้ า ซ่ึงเกิดจากลมท่ีพัดพาน้ าบริ เวณ
ผิวหน้าออกจากฝ่ัง น้ าท่ีมีอุณหภูมิต่ากว่าจากที่ลึก
จะเคล่ือนเขา้ มาแทนที่ การเคล่ือนที่ของน้าในลกั ษณะน้ี
มวลน้าจะนาเอาธาตุอาหารที่อยดู่ า้ นล่างข้ึนมาสู่ดา้ นบน
ในระดับท่ีได้รับแสงอาทิตย์ ทาให้แพลงก์ตอนและ
พืชน้ าเจริญเติบโตได้ดี เกิดเป็ นแหล่งท่ีอยู่อาศัยและ
เป็ นแหล่งอาหารของสตั วท์ ะเล

42/90

ความรู้เพมิ่ เตมิ
ในทางกลบั กนั การไหลของน้าอีกรูปแบบท่ีตรงขา้ ม

กบั น้าผุด คือ น้ามุด (downwelling) เกิดจากการมุดตัว
ของน้าช้นั บนลงดา้ นล่าง ซ่ึงมีลกั ษณะการเกิดตรงขา้ ม
กับน้ าผุด โดยเมื่ อมี ลมพัดผ่านผิวน้ าในทิ ศทาง
ขนานกับชายฝั่ง จะทาให้น้าช้ันบนถูกพดั เขา้ สู่ชายฝ่ัง
ในแนวต้งั ฉากกบั ทิศทางลมแลว้ จมตวั ลง

43/90

พ้ืนท่ีที่มีน้าผดุ ขนาดใหญข่ องโลก คือ ชายฝั่ง
ของมลรัฐแคลิฟอร์เนียและชายฝ่ังของประเทศ
เปรู เป็ นแหล่งท่ีมีปลาชุกชุมมากท่ีสุดในโลก
ส่งผลให้พ้ืนที่น้ีเป็ นแหล่งอาหารของนกและ
สัตว์อื่น ๆ จานวนมาก จึงเกิดมูลสัตว์ ซากพืช
และซากสัตว์ซ่ึงเป็ นแร่ธาตุหมุนเวียนต่อไป

ถา้ กระบวนการน้าผดุ ไมเ่ กิดข้ึน ธาตอุ าหารตา่ ง ๆ
จะตกตะกอนอยู่ที่ท้องทะเล น้ าผุดจึงเป็ น
กระบวนการทางธรรมชาติท่ีช่วยรักษาสมดุล
ของระบบนิเวศทางทะเลท่ีดี

44/90

ประโยชน์ของมหาสมทุ รและการหมนุ เวยี นของนา้

1. มีอิทธิพลตอ่ ภูมิอากาศและช่วยรักษาอณุ หภูมิ
ของโลกใหค้ งท่ี

2. มีความสาคญั ตอ่ การเกิดเมฆและหยาดน้าฟ้า
3. เป็ นแหล่งที่อยู่อาศยั ของพืชและสัตวน์ ้าที่มี
ความสาคญั ตอ่ ระบบนิเวศ
4. เป็ นเสน้ ทางในการคมนาคมและขนส่งสินคา้
5. บริเวณชายฝ่ังทะเลเป็ นพ้นื ท่ีพกั ผอ่ นหยอ่ นใจ
เป็ นแหลง่ เศรษฐกิจและอาชีพ
6. เป็ นแหล่งที่อยขู่ องส่ิงมีชีวติ ขนาดเลก็ จานวน
มากท่ีสามารถนาแกส๊ คาร์บอนไดออกไซดไ์ ปใชไ้ ด้

45/90

2.3 ปรากฏการณ์เอลนีโญและลานีญา 46/90

ปรากฏการณ์เอลนีโญและลานีญาเป็ นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่ส่งผลกระทบ
ต่อสภาวะอากาศในซีกโลกใต้บริ เวณมหาสมุทรแปซิฟิ กด้านตะวันออก
และดา้ นตะวนั ตก ซ่ึงก่อให้เกิดฝนตกหนกั บริเวณมหาสมุทรแปซิฟิ กด้านหน่ึง
และเกิดสภาวะแหง้ แลง้ บริเวณมหาสมุทรแปซิฟิ กอีกดา้ นหน่ึง

ในสภาวะปกติ ลมสินคา้ จะพดั จากชายฝ่ังทวีปอเมริกาใต้ (เช่น ประเทศเปรู
เอกวาดอร์ ชิลี) ซ่ึงอยบู่ ริเวณมหาสมุทรแปซิฟิ กดา้ นตะวนั ออกไปดา้ นตะวนั ตก
ทาให้มวลน้ าอุ่นถูกพัดไปสะสมทางชายฝ่ังด้านตะวันตกบริ เวณประเทศ
อินโดนีเซียและออสเตรเลียตอนเหนือ อากาศอุ่นจะยกตวั ข้ึนและกลน่ั ตวั เป็ น
เมฆฝน ทาให้มีฝนตกมากบริเวณประเทศอินโดนีเซีย เอเชียตะวนั ออกเฉียงใต้
และออสเตรเลียตอนเหนือ ส่วนบริเวณมหาสมุทรแปซิฟิ กดา้ นตะวนั ออกจะเกิด
น้าผดุ โดยมีมวลน้าเยน็ จากใตม้ หาสมุทรลอยตวั ข้ึนมาแทนที่ มวลน้าเยน็ จะพดั พา
ธาตุอาหารข้ึนมาบนผวิ น้า ทาใหบ้ ริเวณชายฝั่งของประเทศเปรูมีปลาชุกชุม

1. ปรากฏการณ์เอลนีโญ (El niño) เกิดข้ึน

เม่ือกระแสลมสินคา้ อ่อนกาลงั ลงจึงไม่สามารถ

พดั น้าอุ่นไปยงั ฝ่ังตะวนั ตกได้ น้าในมหาสมุทร อากาศร้อนยกตวั สูงข้ึน
แปซิฟิ กฝ่ังตะวนั ออกมีอุณหภูมิสูงข้ึน มีเมฆ ก่อให้เกิดเมฆ

ก่อตัวมาก มีฝนตกมากกว่าปกติ มวลน้าเย็น ลมสินคา้ อ่อนกาลงั ลง
ใต้มหาสมุทรไม่สามารถลอยตัวข้ึนมาได้ เส้นศนู ยส์ ูตร น้าอุ่นข้นึ กวา่ ปกติ
น้าเยน็ ลงกวา่ ปกติ อเมริกาใต้
จึงขาดการหมุนเวียนธาตุอาหาร ทาให้ปลาตาย ออสเตรเลีย ฝนตกนอ้ ยลง
เป็ นจานวนมากเน่ืองจากขาดอาหารและ

อุณหภูมิของน้ าท่ีเปล่ียนแปลง ส่วนน้ าใน
มหาสมุทรแปซิฟิ กฝั่งตะวนั ตกจะมีอุณหภูมิ
ลดลง เมฆก่อตวั ไดน้ อ้ ยลง จึงเกิดความแห้งแลง้ ช้นั น้าเทอร์มอไคลน์
มวลน้าเยน็
มากกวา่ ปกติ
47/90

2. ปรากฏการณ์ ลานีญา (La niña) เป็ น

ปรากฏการณ์ตรงข้ามกับเอลนีโญ มีลกั ษณะ

เดียวกบั สภาวะปกติแต่มีความรุนแรงมากกว่า อากาศร้อนยกตวั สูงข้นึ
ก่อใหเ้ กิดเมฆ
เกิดข้ึนเม่ือกระแสลมสินคา้ มีกาลงั แรงกวา่ ปกติ

มวลน้าอุ่นถูกพดั ไปสะสมบริเวณมหาสมุทร น้าอุ่นข้ึน ลมสินคา้ มีกาลงั แรงข้ึน
แปซิฟิ กด้านตะวนั ตกมากกว่าปกติ ส่งผลให้ เสน้ ศูนยส์ ูตร กวา่ ปกติ น้าเยน็ ลงกวา่ ปกติ
อเมริกาใต้
ฝนตกหนัก ส่วนบริ เวณมหาสมุทรแปซิฟิ ก ออสเตรเลีย ฝนตกเพิ่มข้นึ
ดา้ นตะวนั ออกจะเกิดน้าผดุ ทาให้บริเวณชายฝั่ง 48/90
ทวีปอเมริกาใตม้ ีปลาชุกชุม และอุณหภูมิผิวน้า
ลดต่าลงกวา่ ปกติทาให้มีอากาศหนาวเย็นและ

แหง้ แลง้ มากกวา่ ปกติ ช้นั น้าเทอร์มอไคลน์ มวลน้าเยน็ ลอยตวั ข้ึน

การสั่นพ้องในซีกโลกใต้ ดาร์วนิ นิวซีแลนด์ ตาฮิตี

นัก วิ ท ย า ศ า ส ต ร์ ไ ด้ศึ ก ษ าข้อ มู ลจ า กส ถ า นี ออสเตรเลีย มหาสมทุ รแปซิฟิ ก
ตรวจอากาศทวั่ โลกและพบความสมั พนั ธ์ระหวา่ ง
ความกดอากาศเหนือเกาะตาฮิตีกลางมหาสมุทร มหาสมุทรอินเดีย 49/90
แปซิฟิ กกบั เมืองดาร์วินทางตอนเหนือของทวีป
ออสเตรเลีย เม่ือความกดอากาศเหนือเกาะตาฮิตี
ลดต่าลง ความกดอากาศในเมืองดาร์วินจะเพ่ิมข้ึน
สูงอยา่ งมาก ท้งั ท่ีสถานีตรวจอากาศท้งั สองแห่ง
อยู่ห่างไกลกันมากกว่า 6,000 กิโลเมตร ดังรูป
เซอร์กิลเบิร์ต โธมัส วอล์คเกอร์ (Sir Gilbert
Thomas Walker) นักอุตุนิยมวิทยาชาวอังกฤษ
เรี ยกสภาพความผันแปรกลับไปกลับมาน้ีว่า
การสั่นพ้องในซีกโลกใต้ (southern oscillation)


Click to View FlipBook Version