รายงานüิจัย เรื่อง รูปแบบการมีÿ่üนร่üมในการเÿริมÿร้างการปรับตัüทางÿังคม ของผู้ÿูงอายุโดยองค์กรเครือข่าย (กิจกรรมที่ 1) โดย ผý.ดร. อุบลüรรณา ภüกานันท์ ภก.ดร. ýรัณย์ กอÿนาน ภายใต้แผนงานüิจัย เรื่อง โครงการบูรณาการýาÿตร์และýิลป์ : นüัตกรรมýิลปะการละครพุทธ เกÿตอลท์ เพื่อเÿริมÿร้างการปรับตัüทางÿังคมผู้ÿูงอายุ ได้รับทุนอุดĀนุนการทำกิจกรรมÿ่งเÿริมและÿนับÿนุนการüิจัยและนüัตกรรมจาก ÿำนักงานปลัดกระทรüงการอุดมýึกþา üิทยาýาÿตร์ üิจัยและนüัตกรรม และÿำนักงาน การüิจัยแĀ่งชาติ ประจำปีงบประมาณ 2565 อü.0221/ü 203
Research Report of The supporting participation model of the elderly social adaptation by the network organizations (Activity 1) by Assitant Prof. Ubolwanna Pavakanun, Ph.D. Sarun Gorsanan, Ph.D. (Pharm Admin.) Under the research plan Integrated Science and Arts Project: Innovation in Buddhist Drama Arts Gestalt to strengthen the social adaptation of the elderly Research Project Funded Activities to promote and support research and innovation from the Ministry of Higher Education, Science, Research and Innovation, and National Research Council of Thailand, Fiscal Year 2022 อü. 0221 / ü 203
รายงานการวิจัย : รูปแบบการมีÿ่üนร่üมในการÿนับÿนุนการปรับตัüทางÿังคมขĂงผู้ÿูงĂายุ โดยĂงค์กรเครืĂข่าย ชื่อผู้วิจัย : ผý.ดร.Ăุบลüรรณา ภüกานันท์ ภก.ดร.ýรัณย์ กĂÿนาน ÿ่วนงาน : คณะÿังคมýาÿตร์มĀาüิทยาลัยมĀาจุāาลงกรณราชüิทยาลัย ปีจบประมาณ : 2565 ทุนอุดĀนุนการวิจัย : การทำกิจกรรมÿ่งเÿริมและÿนับÿนุนการüิจัยและนüัตกรรมจากÿำนักงาน ปลัดกระทรüงการĂุดมýึกþา üิทยาýาÿตร์ üิจัยและนüัตกรรม และ ÿำนักงานการüิจัยแĀ่งชาติ บทคัดย่อ การüิจัยเชิงคุณภาพครั้งนี้มีüัตถุประÿงค์ 1. เพื่Ăýึกþากระบüนการมีÿ่üนร่üมขĂงĂงค์กร เครืĂข่ายในการÿนับÿนุนการปรับตัüทางÿังคมขĂงผู้ÿูงĂายุ2. เพื่ĂนำเÿนĂรูปแบบการมีÿ่üนร่üมขĂง Ăงค์กรเครืĂข่ายในการÿนับÿนุนการปรับตัüทางÿังคมกับผู้ÿูงĂายุกลุ่มผู้ใĀ้ข้Ăมูลÿำคัญ 28 คน คืĂ เจ้าĀน้าที่Ăงค์กรปกครĂงÿ่üนท้Ăงถิ่น ครู ผู้ปกครĂง/ญาติ Ăงค์กรเครืĂข่าย Āน่üยงานและผู้ที่ เกี่ยüข้Ăงกับชุมชนผู้ÿูงĂายุเขตชุมชนเทýบาลเมืĂงบางคูรัด ĂำเภĂบางบัüทĂง จ.นนทบุรี และเขต ชุมชนชนบทเทýบาลตำบลĀนĂงĀมู ĂำเภĂüิĀารĂดง จ.ÿระบุรี การเก็บรüบรüมข้Ăมูลใช้การ ÿัมภาþณ์เชิงลึก ผลการüิจัย พบü่า 1. กระบüนการมีÿ่üนร่üมในการÿนับÿนุนการปรับตัüทางÿังคม ขĂงผู้ÿูงĂายุนั้นเป็นไปตามลักþณะขĂงการปรับตัüทางÿังคมใน 6 ด้านคืĂ 1) ด้านมาตรฐานทางÿังคม 2) ด้านทักþะทางÿังคม 3) ด้านแนüโน้มพฤติกรรมต่Ăต้านÿังคม 4) ด้านคüามÿัมพันธ์ในครĂบครัü 5) ด้านคüามÿัมพันธ์ในÿถาบันการýึกþา/ ชมรม/กลุ่มÿังคม และ 6) ด้านคüามÿัมพันธ์ในชุมชนที่Ăยู่ Ăาýัย 2. รูปแบบขĂงการมีÿ่üนร่üมในการÿนับÿนุนการปรับตัüทางÿังคมขĂงผู้ÿูงĂายุขĂงĂงค์กร เครืĂข่ายนี้มี 4 ขั้นตĂน คืĂ 1) การมีÿ่üนร่üมในการüางแผน 2) การมีÿ่üนร่üมในการดำเนินการ 3) การมีÿ่üนร่üมในการติดตามประเมินผล 4) การมีÿ่üนร่üมในการใช้ประโยชน์ĀรืĂรับผลประโยชน์ Āน้าที่ĀลักขĂงĂงค์กรจะถูกนำมาเป็นนโยบายและยุทธýาÿตร์ÿำคัญในการปฏิบัติและÿนับÿนุน กิจกรรมขĂงผู้ÿูงĂายุซึ่งยังคงเป็นไปตามรูปแบบขĂงทางราชการ เช่น การทำประชาคมĀมู่บ้าน การ üางแผนพัฒนาĀมู่บ้าน/ชุมชน/ÿังคม ซึ่งÿ่üนใĀญ่กระบüนการมีÿ่üนร่üมในภาคประชาชนจะĂยู่ในขั้น ที่ 1 คืĂร่üมüางแผน ÿ่üนขั้นต่ĂไปคืĂ การดำเนินการ การติดตามตรüจÿĂบ จะเป็นบทบาทĀน้าที่ขĂง ทางราชการĀรืĂĂงค์กรปกครĂงÿ่üนท้Ăงถิ่น และผู้ÿูงĂายุจะเข้ามามีบทบาทĂีกครั้งก็คืĂการร่üมรับ ผลประโยชน์
ข Thesis Title: The supporting participation model of the elderly social adaptation by the network organizations Researchers: Assistant Professor Ubolwanna Pavakanan, Ph.D. Saran Korsanan, Ph.D. (Admin Pharm.) Department: Faculty of Social Sciences, MCU Fiscal Year: 2565 Research Scholarship Sponsor: Activities to promote and support research and innovation from the Ministry of Higher Education, Science, Research and Innovation, and the National Research Council of Thailand Abstract The objectives of this qualitative research were 1. to study the participation process of network organizations in supporting the elderly social adaptation. 2. To present the supporting participation model of the elderly social adaptation by the network organizations. The group of 28 key informants is local government officials, teachers, parents/relatives network organization agency, and people involved in the elderly community in Bang Khu Rat Municipality Community, Bang Bua Thong District, Nonthaburi Province, and rural communities in Nong Mu Subdistrict Municipality Wihan Dong District, Saraburi Province. The in-depth interview of the elderly social adaptation was data collection. The results of the research revealed that 1. The process of participation in social adaptation support among the elderly was based on the characteristics of social adaptation in 6 aspects: 1) social standards 2) social skills 3) tendency toward anti-resistance behavior 4) family relationships 5) relationships in educational institutions/clubs/social groups 6) relationships in residential communities. 2. The model of participation in social adaptation support of the elderly in this network organization has 4 steps: 1) planning participation 2) participation in implementation 3 ) Participation in monitoring and evaluation 4) Participation in utilizing or receiving benefits. The organization’s main functions are to be taken as key policies and strategies in the implementation and support of the activities of the elderly, which is still by the bureaucracy model, such as the Village/community/Society Development
ค Planning. Most of the processes involved in the people's sector are in the first step, which is joint planning. The next step is implementation; and monitoring. It is the role and duty of the government or local government organization. The elderly will play a role again, which is to receive benefits.
กิตติกรรมประกาศ รายงานการüิจัยเรื่อง “รูปแบบการมีÿ่üนร่üมในการเÿริมÿร้างการปรับตัüทางÿังคมของ ผู้ÿูงอายุโดยองค์กรเครือข่าย (กิจกรรมที่ 1)” ได้รับทุนอุดĀนุนจากการทำกิจกรรมÿ่งเÿริมและ ÿนับÿนุนการüิจัยและนüัตกรรมจากÿำนักงานปลัดกระทรüงการอุดมýึกþา üิทยาýาÿตร์ üิจัยและ นüัตกรรม และÿำนักงานการüิจัยแĀ่งชาติ ประจำปีงบประมาณ 2565 -อü.0221/ü 203 ภายใต้ โครงการüิจัยเรื่อง “โครงการบูรณาการýาÿตร์และýิลป์: นüัตกรรมýิลปะการละครพุทธเกÿตอลท์เพื่อ เÿริมÿร้างการปรับตัüทางÿังคมผู้ÿูงอายุ” ในโครงการแผนงานพิพิธภัณฑ์ýิลปกรรมแĀ่งชาติ ตาม โครงการขับเคลื่อนการüิจัยและพัฒนาบุคลากรการüิจัยด้านÿังคมýาÿตร์ มนุþยýาÿตร์ และ ýิลปกรรมýาÿตร์ ประจำปีงบประมาณ พ.ý. 2565 ของแผนงานย่อยการüิจัยÿุนทรียะýิลปะการ ÿร้างÿรรค์องค์คüามรู้ÿู่ชุมชน งานüิจัยนี้ÿำเร็จลงได้ด้üยดีโดยได้รับคüามเมตตาอนุเคราะĀ์จากผู้มีอุปการคุณในการใĀ้ ข้อมูล ใĀ้คำปรึกþาแนะนำและชี้แนะในการใĀ้แนüทางใĀ้งานüิจัยนี้ÿำเร็จลุล่üงได้เป็นอย่างดี ผู้üิจัย และคณะขอขอบคุณนายกเทýมนตรีเจ้าĀน้าที่ Āน่üยงานที่เกี่ยüข้อง และผู้ÿูงอายุของชุมชนเทýบาล เมืองบางคูรัด อำเภอบางบัüทอง จังĀüัดนนทบุรี และนายกเทýมนตรี เจ้าĀน้าที่ Āน่üยงานที่เกี่ยüข้อง และผู้ÿูงอายุของชุมชนเทýบาลตำบลĀนองĀมู อำเภอüิĀารแดง จังĀüัดÿระบุรี ที่ใĀ้การÿนับÿนุน งานüิจัยครั้งนี้ใĀ้เกิดขึ้นได้และที่ÿำคัญและขาดมิได้อย่างยิ่ง ผู้üิจัยและคณะขอขอบคุณผู้ÿูงอายุทุกท่านที่มิได้กล่าüนามที่ใĀ้โอกาÿในการใĀ้ข้อมูลที่ÿำคัญ ยิ่งกับโครงการüิจัยนี้ รüมทั้งผู้üิจัยและคณะขอขอบคุณผู้ที่เกี่ยüข้องงานüิจัยนี้ที่อาจจะมิได้ระบุนาม ในเล่มนี้ เพื่อใĀ้งานüิจัยÿำเร็จลุล่üงไปได้ด้üยดี ผู้üิจัยและคณะĀüังเป็นอย่างยิ่งü่าการýึกþาüิจัยครั้งนี้ จะเป็นประโยชน์ต่อĀน่üยงานภาครัฐและเอกชน องค์กรต่าง ๆ ที่ทำงานเกี่ยüกับผู้ÿูงอายุ และผู้ที่ เกี่ยüข้องและÿนใจต่อไป คณะผู้üิจัย 8 ÿิงĀาคม 2565
จ ÿารบัญ เรื่อง Āน้า บทคัดย่อภาþาไทย ก บทคัดย่อภาþาอังกฤþ ข กิตติกรรมประกาý ง ÿารบัญ จ บทที่ 1 บทนำ 1.1 คüามเป็นมา และคüามÿำคัญของปัญĀา 1 1.2 üัตถุประÿงค์ของการüิจัย 3 1.3 ปัญĀาที่ต้องการทราบ 3 1.4 ขอบเขตของการüิจัย 3 1.5 นิยามýัพท์เฉพาะที่ใช้ในการüิจัย 6 1.6 กรอบแนüคิดในการüิจัย 1.7 ประโยชน์ที่ได้รับจากการüิจัย 7 บทที่ 2 แนüคิด ทฤþฎีและงานüิจัยที่เกี่ยüข้อง 2.1 แนüคิดและทฤþฎีเกี่ยüกับการมีÿ่üนร่üม 8 2.2 แนüคิดการปรับตัüทางÿังคม 23 2.3 แนüคิดและทฤþฎีเกี่ยüกับกระบüนการและการเปลี่ยนแปลง ทางÿังคม 26 2.4 แนüคิดเกี่ยüกับการÿนับÿนุนทางÿังคม 47 2.5 งานüิจัยที่เกี่ยüข้อง 51 2.6 กรอบแนüคิดรูปแบบและกระบüนการมีÿ่üนร่üมในการÿนับÿนุน การปรับตัüทางÿังคมของผู้ÿูงอายุโดยองค์กรเครือข่าย 53 บทที่ 3 üิธีดำเนินการüิจัย 3.1 รูปแบบการüิจัย 54 3.2 ประชากร และกลุ่มตัüอย่าง 54 3.3 เครื่องมือการüิจัย 54
ฉ ÿารบัญ (ต่อ) เรื่อง Āน้า 3.4 การเก็บรüบรüมข้อมูล 55 3.5 การüิเคราะĀ์ข้อมูล 56 บทที่ 4 ผลการüิจัย 4.1 ผลของกระบüนการมีÿ่üนร่üมในการÿนับÿนุนการปรับตัüทางÿังคม ผู้ÿูงอายุขององค์กรเครือข่าย 57 4.2 การนำเÿนอรูปแบบการมีÿ่üนร่üมในการปรับตัüทางÿังคมของ ผู้ÿูงอายุโดยองค์กรเครือข่าย 63 4.3 ผลการüิเคราะĀ์ข้อมูลเพิ่มเติมของการมีÿ่üนร่üมในการÿนับÿนุนการ ปรับตัüทางÿังคมของผู้ÿูงอายุในเขตชุมชนเมืองและเขตชุมชนชนบทขององค์กร เครือข่าย 65 บทที่ 5 ÿรุป อภิปรายผล และข้อเÿนอแนะ 5.1 ÿรุปและอภิปรายผลการüิจัย 66 5.2 ข้อเÿนอแนะในการดำเนินการ เพื่อใĀ้การมีÿ่üนร่üมในการ ÿนับÿนุนการปรับตัüทางÿังคมของผู้ÿูงอายุโดยองค์กรเครือข่ายมีประÿิทธิภาพ 71 72 รายการอ้างอิง 72 ภาคผนüก ก. เครื่องมือüิจัย ข. ภาพกิจกรรม 77 83
ช ÿารบัญคาราง เรื่อง Āน้า ตารางที่ 2.1.1 แนüคิดĀลักที่นักüิชาการได้ใĀ้คüามĀมายของการมีÿ่üนร่üม 11 ตารางที่ 2.1.2 แนüคิดĀลักที่นักüิชาการทำการýึกþาเกี่ยüกับรูปแบบการมีÿ่üนร่üม 15 ตารางที่ 2.1.3 แนüคิดĀลักที่นักüิชาการทำการýึกþาเกี่ยüกับประเภทของการมีÿ่üนร่üม 17 ตารางที่ 2.1.4 แนüคิดĀลักที่นักüิชาการทำการýึกþาเกี่ยüกับระดับการมีÿ่üนร่üม 22 ตารางที่ 2.3.2 แนüคิดĀลักที่นักüิชาการทำการýึกþาเกี่ยüกับกระบüนการทางÿังคม 34 ตารางที่ 2.3.4 แนüคิดĀลักที่นักüิชาการทำการýึกþาเกี่ยüกับการเปลี่ยนแปลงทางÿังคม 38 ตารางที่ 2.3.5 แนüคิดĀลักที่นักüิชาการทำการýึกþาเกี่ยüกับรูปแบบของการเปลี่ยนแปลงทางÿังคม 42 ตารางที่ 2.3.6 แนüคิดĀลักที่นักüิชาการทำการýึกþาเกี่ยüกับปัจจัยที่ก่อใĀ้เกิดการเปลี่ยนแปลง ทางÿังคม 46 ตารางที่ 2.4 แนüคิดĀลักที่นักüิชาการทำการýึกþาเกี่ยüกับการÿนับÿนุนทางÿังคม 50
บทที่ 1 บทนำ 1.1. คüามเป็นมาและคüามÿำคัญของปัญĀา ในปัจจุบันĀลายประเทýทั่üโลก มีแนüโน้มมีผู้ÿูงอายุเพิ่มมากขึ้นทุกๆ ปี เนื่องจากมี üิüัฒนาการทางการแพทย์ มียาและüิธีการรักþาโรคต่างๆได้เป็นอย่างดีและที่ÿําคัญĀลายประเทýได้มี การรณรงค์ÿ่งเÿริมเรื่องรักþาÿุขภาพมากขึ้น (United Nations,1992) ในปัจจุบันประเทýไทยมี ประชากรประมาณ 65.9 ล้านคน โดยในปี 2548 มีจํานüนประชากรผู้ÿูงอายุ (อายุ60 ปีขึ้นไป) 6.7 ล้านคนĀรือคิดเป็น 24.12% ของประชากรทั้งĀมด และจะเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าในปี 2568 เป็น 14 ล้านคน ÿถานการณ์นี้ทําใĀ้ประเทýไทยก้าüเข้าÿู่ÿังคมผู้ÿูงอายุซึ่งĀมายคüามü่าประเทýไทยจะมี ผู้ÿูงอายุมากกü่าร้อยละ 10 ของประชากรทั้งĀมด ซึ่งขณะนี้ประเทýไทยมีผู้ÿูงอายุทั่üประเทý ประมาณ 8.5 ล้านคน ประชากรผู้ÿูงอายุที่เพิ่มขึ้นนี้มีคüามแตกต่างกันในĀลาย ๆด้าน เช่น การ ประกอบอาชีพ การýึกþา การดําเนินชีüิต และฐานะคüามเป็นอยู่ และจากการÿํารüจประชาการไทย ล่าÿุด พ.ý.2553 – พ.ý.2583 (กลุ่มÿถิติแรงงาน, 2555) พบü่า ÿัดÿüนประชากรผู้ÿูงอายุตอนปลาย (อายุ80 ขึ้นไป) มีแนüโน้มเพิ่มÿูงขึ้นอย่างชัดเจน กล่าüคือ ÿัดÿüนประชากรของผู้ÿูงอายุตอนปลาย จะเพิ่มจากประมาณร้อยละ 12.7 ของประชากรผู้ÿูงอายุทั้งĀมดเป็นเกือบ 1 ใน 5 ของประชากร ผู้ÿูงอายุซึ่งจะนําไปÿู่การเพิ่มขึ้นของประชากรที่อยู่ในüัยพึ่งพิงทั้งในเชิงเýรþฐกิจ ÿังคม และÿุขภาพ จากÿถิติที่เพิ่มขึ้นตามลําดับแต่ละปีนี้จะแÿดงü่า ประชากรต้องการแข่งขันตลอดเüลา ทําใĀ้ คนเĀ็นแก่ตัü เĀ็นแก่ประโยชน์ÿ่üนตน ไม่คํานึงถึงคุณธรรมจริยธรรมที่ดีงามเĀมือนดังอดีตที่ผ่านมา คüามรักเคารพ คüามเมตตา คüามเอื้ออารีคüามผูกพันธุ์ในÿถาบันครอบครัüที่อบอุ่นก็เริ่มจางĀายไป ก่อใĀ้เกิดช่องü่างĀรือระยะĀ่างระĀü่างบุตร-ธิดา ĀลานเĀลนกับผู้ÿูงอายุมากยิ่งขึ้น และนอกจากนี้ ทางกายภาพคือ การเปลี่ยนแปลงทางร่างกายก็ÿามารถเĀ็นได้ชัดเจน ซึ่งขึ้นอยู่กับองค์ประกอบ Āลายๆอย่าง เช่น ÿุขภาพกาย ÿุขภาพจิตใจ การดําเนินชีüิตครอบครัü และÿังคม อันมีผลต่อการ ดํารงชีüิตของผู้ÿูงอายุ เช่น เราจะเĀ็นü่าบางคนแม้อายุมากแต่ดูแก่เกินüัย การยอมรับการ เปลี่ยนแปลงของผู้ÿูงอายุนี้จะขึ้นอยู่กับการได้รับüิธีการทางÿาธารณÿุขจากĀน่üยงานราชการที่ต้อง พยายามใĀ้คําแนะนํา ใĀ้รู้ü่าเมื่อย่างเข้าÿู่üัยนี้จะมีการเÿื่อมของร่างกายคüามเจ็บป่üยด้üยโรคต่างๆ ต้องคอยปรับตัüĀรือÿังเกตการเÿื่อมของร่างกายอยู่ตลอดเüลา ถ้าขาดคüามรู้คüามเข้าใจจะก่อใĀ้เกิด คüามทุกข์ คüามüิตกกังüล มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์อย่างมากมาย ซึ่งÿิ่งนี้จะทําใĀ้คüาม เชื่อมั่นในตัüเองลดลงและÿ่งผลไปถึงการทำกิจกรรมประจําüัน ไม่เป็นที่พอใจ ĀงุดĀงิด โมโĀง่าย üิตก
2 กังüล กลัü อารมณ์ซึมเýร้า และÿิ้นĀüัง อันเป็นÿาเĀตุของคüามทุกข์ทั้งกายและใจ ผู้ÿูงอายุจะ ปรับตัüเข้ากับÿิ่งแüดล้อมและบุคคลอื่นๆรอบข้างได้ยาก อีกทั้งÿภาพÿังคมและเทคโนโลยีที่ เปลี่ยนแปลงไป ต้องแข่งขัน พึ่งตนเอง üิถีการดำรงชีüิตปรับไปเป็นครอบครัüเดี่ยü ผู้ÿูงอายุต้องอยู่ ลำพัง เĀงา โดดเดี่ยü ต้องการÿังคม เพื่อนจากภายนอกมากขึ้น ต้องปรับตัü ปรับชีüิตกับโลกใĀม่ทั้ง ด้üยÿังคมที่เปลี่ยนตามüัยและÿภาพแüดล้อม ปัญĀาต่างๆก็จะตามมาÿู่ผู้ที่ไม่ได้เตรียมพร้อมกับเรื่อง เĀล่านี้ โดยเฉพาะเรื่องการที่จะต้องÿูญเÿียÿิ่งต่างๆในชีüิตอาทิเช่น งาน เพื่อน/คู่ครอง/คนใกล้ชิดทั้ง จากเป็นและจากตาย ÿํานักงานคณะกรรมการพัฒนาการเýรþฐกิจและÿังคมแĀ่งชาติ (2560) คาดการณ์ü่า อัตราÿ่üนการเป็นภาระของผู้ÿูงอายุจะมีการเพิ่มขึ้นถึง 32.2% ในปีพ.ý. 2568 ภาคประชาชนĀรือ ภาครัฐจึงต้องรีบดําเนินการโดยเร่งด่üนในเรื่องการกําĀนดกลยทธุ์รüมถึงการเตรียมคüามพร้อมเพื่อ รองรับÿังคมผู้ÿูงอายุนี้ ด้üยเĀตุนี้คณะกรรมการผู้ÿูงอายุแĀ่งชาติกระทรüงการพัฒนาÿังคมและคüาม มั่นคงของมนุþย์(แผนพัฒนาผู้ÿูงอายุแĀ่งชาติฉบับที่ 2 (พ.ý.2545 –2564) ) ได้กําĀนดแผนพัฒนา ผู้ÿูงอายุแĀ่งชาติฉบับที่ 2 ปรับปรุงครั้งที่ 1 พ.ý. 2552 ยุทธýาÿตร์ที่ 2 ด้านÿ่งเÿริมและพัฒนา ผู้ÿูงอายุ มาตรการที่ 2ÿ่งเÿริมการรüบรüมกลุ่มและÿร้างคüามเข้มแข็งขององค์กรผู้ÿูงอายุ มาตรการ ที่ 6 ÿ่งเÿริมและÿนับÿนุนใĀ้ผู้ÿูงอายุมีที่อยู่อาýัยและÿภาพแüดล้อมที่เĀมาะÿม เนื่องจากแนüโน้ม การเจริญเติมโตของประชากรเมืองในประเทýไทยมีÿัดÿ่üนเพิ่มÿูงขึ้น (การคาดประมาณประชากร ของประเทýไทย ) และÿอดคล้องกับแผนยุทธýาÿตร์ชาติระยะ20 ปีด้านÿาธารณÿุข พุทธýักราช 2561 ยุทธýาÿตร์ที่ 1 ด้านÿ่งเÿริมÿุขภาพ ป้องกัน และคุ้มครองผู้บริโภคเป็นเลิý มาตรการที่ 1 พัฒนาÿ่งเÿริมÿุขภาพโดยการพัฒนาýักยภาพคนไทยทุกกลุ่มüัย ด้านÿุขภาพ มาตรการที่ 5 เÿริมÿร้างคüามเข้มแข็งของป้องกันคüบคุมโรคและภัยÿุขภาพมาตรการที่ 8 บริĀารจัดการ ÿิ่งแüดล้อมที่เอื้อต่อการมีÿุขภาพที่ดีและมาตรการที่ 9 ÿนับÿนุนการมีÿ่üนร่üมของเครือข่าย (แผน ยุทธýาÿตร์ชาติระยะ 20 ปีด้านÿาธารณÿุข พุทธýักราช 2561, 35 – 36) จากผลการüิจัยเรื่อง การเตรียมคüามพร้อมกับการรับมือของรัฐบาลประเทýไทยกับกลุ่ม ผู้ÿูงอายุ (ýุภนันทา ร่มประเÿริฐ, 2553) พบü่า Āน่üยงานที่เกี่ยüข้องในĀลายๆ ÿ่üนงานได้เริ่มจัดใĀ้มี บริการที่ĀลากĀลายเพื่อเตรียมคüามพร้อมใĀ้กับผู้ÿูงอายุ เช่น การจัดÿüัÿดิการใĀ้แก่ผู้ÿูงอายุ โดย คüามร่üมมือกันในทุกภาคÿ่üน ได้แก่ ภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน แต่การดําเนินงานที่ ผ่านมาก็เน้นการจัดÿüัÿดิการจากรัฐ โดยมีการใĀ้ผู้ÿูงอายุĀรือผู้ที่เกี่ยüข้องเข้ามามีÿ่üนร่üมแÿดง คüามคิดเĀ็นโดยเฉพาะในเรื่องคüามเป็นอยู่น้อยมาก ÿüัÿดิการที่จะใĀ้ผู้ÿูงอายุนั้นจําเป็นต้องเป็นเชิง รูปธรรมและเป็นคüามต้องการเĀ็นด้üยของผู้ÿูงอายุใĀ้คüามรู้ที่จําเป็นในการดูแลผู้ÿูงอายุแก่ÿมาชิก ในครอบครัüĀรือผู้มี่เกี่ยüข้อง ใĀ้ข้อมูลข่าüÿารที่จําเป็นต่อการดำรงชีüิตในปัจจุบัน มีการÿ่งเÿริม และการÿนับÿนุนโดยชุมชนและĀน่üยงานที่เกี่ยüข้องรอบๆตัüผู้ÿูงอายุในการดูแลคüามเป็นอยู่อย่าง
3 เĀมาะÿม มีการตรüจÿอบÿิทธิประโยชน์ที่ผู้ÿูงอายุÿมคüรได้รับ รüมทั้งการนำýาÿนามาร่üมเป็นýูนย์ รüมจิตใจในการทํากิจกรรมร่üมกับผู้ÿูงอายุ กิจกรรมÿ่üนมากเน้นไปในรูปแบบของการÿ่งเÿริม ÿุขภาพแต่ในการปรับตัüของผู้ÿูงอายุนั้นยังมีด้านอื่นๆที่ต้องการ นอกจากนี้ÿังคมของผู้ÿูงอายุในปัจจุบันต้องมีการปรับตัüอย่างมากระĀü่างเชตชุมชนเมือง และเขตชุมชนชนบทที่มีคüามแตกต่างกันในบริบทของüิถีการดำเนินชีüิต ÿังคม ÿภาพแüดล้อม เทคโนโลยี เýรþฐกิจĀรือเขตพื้นที่ชุมชนที่ทรัพยากรแตกต่างกันเช่น เทคโนโลยี ในÿังคมเมือง ผู้ÿูงอายุอาจจะมีลูกĀลานĀรือผู้รู้ตามแĀล่งขายเทคโนโลยีÿอนใĀ้ Āรือเรียนรู้จากÿื่อต่าง ๆจึงมีการ ปรับตัüทางÿังคมได้เร็ü ในขณะที่ÿังคมชนบท ผู้ÿูงอายุอาจจะĀาผู้ÿอนใĀ้ลำบาก การÿื่อÿารต่างๆ อาจล่าช้า การปรับตัüของผู้ÿูงอายุจึงแตกต่างกัน เป็นต้น ดังนั้นงานüิจัยนี้จึงต้องการที่จะýึกþาถึง รูปแบบและกระบüนการมีÿ่üนร่üมในการÿนับÿนุนการปรับตัüทางÿังคมของผู้ÿูงอายุทั้งในเขตชุมชน เมืองและเขตชุมชนชนบทโดยองค์กรเครือข่ายü่ามีคüามแตกต่างกันทั้งในปัญĀาĀรืออุปÿรรคในการ ปรับตัüและüิธีการÿนับÿนุนแก้ปัญĀาของผู้ÿูงอายุนี้ขององค์กรเครือข่าย เพื่อที่จะได้องค์คüามรู้นำไป พัฒนาในการÿนับÿนุนของภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยüข้องใĀ้มีประÿิทธิภาพในการที่จะทำใĀ้ผู้ÿูงอายุมี การปรับตัüทางÿังคมได้เป็นอย่างดีมีประÿิทธิผล ชีüิตอยู่ได้ในÿังคมอย่างมีคüามÿุข ÿงบ จนจากโลกนี้ ไปÿู่ÿุคติ 1.2. üัตถุประÿงค์ของการüิจัย 1.2.1 เพื่อýึกþากระบüนการการมีÿ่üนร่üมขององค์กรเครือข่ายในการÿนับÿนุนการปรับตัü ทางÿังคมกับผู้ÿูงอายุทั้งในเขตชุมชนเมืองและเขตชุมชนชนบท 1.2.2 เพื่อนำเÿนอรูปแบบการมีÿ่üนร่üมขององค์กรเครือข่ายในการÿนับÿนุนการปรับตัüทาง ÿังคมกับผู้ÿูงอายุทั้งในเขตชุมชนเมืองและเขตชุมชนชนบท 1.3. ปัญĀาที่ต้องการทราบ 1.3.1 กระบüนการการมีÿ่üนร่üมในการปรับตัüทางÿังคมของผู้ÿูงอายุขององค์กรปกครอง ÿ่üน ท้องถิ่น เป็นอย่างไร 1.3.2 รูปแบบของการมีÿ่üนร่üมในการปรับตัüทางÿังคมของผู้ÿูงอายุขององค์กรปกครอง ÿ่üนท้องถิ่น เป็นอย่างไร 1.4 ขอบเขตของการüิจัย
4 การýึกþาเรื่อง “รูปแบบการมีÿ่üนร่üมในการÿนับÿนุนการปรับตัüทางÿังคมของผู้ÿูงอายุ โดยองค์กรเครือข่าย” นี้เป็นการüิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) โดยมีของเขตการüิจัย ดังนี้ 1.4.1 เนื้อĀา งานüิจัยนี้มุ้งเน้นýึกþาถึงกระบüนการมีÿ่üนร่üมในการÿนับÿนุนการปรับตัü ทางÿังคมของผู้ÿูงอายุโดยองค์กรเครือข่าย และรูปแบบของมีÿ่üนร่üมในการÿนับÿนุนการปรับตัüทาง ÿังคมของผู้ÿูงอายุโดยองค์กรเครือข่ายที่นำเÿนอเป็นองค์คüามรู้เพื่อการนำไปใช้ประโยชน์ในแนüทาง ต่างๆ เช่น ในโครงการüิจัยเรื่อง โครงการบูรณาการýาÿตร์และýิลป์: นüัตกรรมýิลปะการละครพุทธ เกÿตอลท์เพื่อเÿริมÿร้างการปรับตัüทางÿังคมของผู้ÿูงอายุในระยะที่ 2 1.4.2 ประชากรและกลุ่มผู้ใĀ้ข้อมูลÿำคัญในการวิจัย ประชากรýึกþาคือ เจ้าĀน้าที่องค์กรปกครองÿ่üนท้องถิ่น ครู เจ้าĀน้าที่ ผู้ปกครอง/ญาติ องค์กรเครือข่าย Āน่üยงานและผู้ที่เกี่ยüข้องกับชุมชน แล้üถูกÿุ่มโดยบังเอิญเป็นกลุ่มผู้ใĀ้ข้อมูลÿำคัญ จากเขตชุมชนเมืองเทýบาลเมืองบางคูรัด อ.บางบัüทอง จ.นนทบุรีจำนüน 18 คนและเขตชุมชน ชนบท เทýบาลตำบลĀนองĀมู อ. üิĀารแดง จ.ÿระบุรี จำนüน 10 คน รüมทั้งĀมด 28 คน ผู้ใĀ้ข้อมูลÿำคัญเทýบาลเมืองบางคูรัด อำเภอบางบัüทอง จังĀüัดนนทบุรี 1 นางนิýารัตน์ ซื่อตรง ตำแĀน่งผู้อำนüยการกองÿüัดิการÿังคม 2 นายคุณากร นิüาýานนท์ ตำแĀน่งü่าที่ผู้อำนüยการโรงเรียน 3 น.ÿ.จารุüรรณ รื่นเÿือ ตำแĀน่งเจ้าĀน้าที่เทýบาลเมือง 4 น.ÿ.ณัฐธิÿา ระเริง ตำแĀน่งเจ้าĀน้าที่เทýบาลเมือง 5 น.ÿ.üราภรณ์ เพ็ชร์แก้üĀีม ตำแĀน่งเจ้าĀน้าที่เทýบาลเมือง 6 น.ÿ.ÿุจิตรา คชรัตน์ ตำแĀน่งเจ้าĀน้าที่เทýบาลเมือง 7 น.ÿ.ปรียา ÿังข์ทอง ตำแĀน่งเจ้าĀน้าที่เทýบาลเมือง 8 นายÿิทธิพร คำดี ตำแĀน่งเจ้าĀน้าที่เทýบาลเมือง 9 น.ÿ.ชุติมา เทýทอง ตำแĀน่งเจ้าĀน้าที่เทýบาลเมือง 10 น.ÿ.นันทิยา มารýรี ตำแĀน่งเจ้าĀน้าที่เทýบาลเมือง 11 น.ÿ.กิจÿุภา เกตุแย้ม ตำแĀน่งเจ้าĀน้าที่เทýบาลเมือง 12 น.ÿ.จันทิมา ÿมุทรเพรียü ตำแĀน่งเจ้าĀน้าที่เทýบาลเมือง 13 น.ÿ.ýิริกุล แซ่ตั้ง ตำแĀน่งเจ้าĀน้าที่เทýบาลเมือง 14 นายประทüน ป่üนใจ ตำแĀน่งเจ้าĀน้าที่เทýบาลเมือง 15. นางกรปภา มาริýรี ตำแĀน่ง ครูโรงเรียนผู้ÿูงอายุบางคูรัด 16. นางÿาüจินตนา กüางปัญยา ตำแĀน่ง ครูโรงเรียนผู้ÿูงอายุบางคูรัด 17. นายกฤตภาÿ ต๊ะประจำ ตำแĀน่ง ครูโรงเรียนผู้ÿูงอายุบางคูรัด
5 18. นางÿาüÿุเนตร ภาคเจริญ ตำแĀน่ง ครูโรงเรียนผู้ÿูงอายุบางคูรัด ผู้ใĀ้ข้อมูลÿำคัญเขตชุมชนชนบทเทýบาลตำบลĀนองĀมู อำเภอüิĀารแดง จังĀüัดÿระบุรี 1 นางมธุรÿ นัฐปิลันธน์ ตำแĀน่ง ĀัüĀน้าÿำนักปลัด 2 นางภัคกลิณ นรเดชานนท์ ตำแĀน่ง เจ้าĀน้าที่ÿำนักปลัด 3 นางÿาüýิริขüัญ ÿุขเจริญ ตำแĀน่ง เจ้าĀน้าที่ÿำนักปลัด 4 นางÿาüÿิรินาฎ ÿุขเจริญ ตำแĀน่ง เจ้าĀน้าที่ÿำนักปลัด 5 นางÿาüüจี ÿุคะประเÿริฐ ตำแĀน่ง เจ้าĀน้าที่ÿำนักปลัด 6. นายüิทยา ขันธüิทย์ ตำแĀน่ง ผู้อำนüยการโรงเรียนผู้ÿูงอายุ เทýบาลตำบลĀนองĀมู 7. เรือโทผจญ อ่ำอินทร์ ตำแĀน่งที่ปรึกþา (ใĀ้คำแนะนำปรึกþาแก่ ผู้อำนüยการโรงเรียนผู้ÿูงอายุฯ) 8. นายอิทธิพล กุลüดี ตำแĀน่งรองปลัดเทýบาล 9. นางจงรัก อ่ำอินทร์ ตำแĀน่งที่ปรึกþา (ใĀ้คำแนะนำปรึกþาแก่ โรงเรียนผู้ÿูงอายุด้านÿุขภาพ/ผู้อำนüยการรพ.ÿต. 10. นางÿาüณภัทรารัตน์ โปธา ตำแĀน่งนักจัดการทั่üไป 1.4.3 เครื่องมือการวิจัย เป็นแบบÿัมภาþณ์ปลายเปิด (Open-End Question) ที่ÿร้างขึ้นและตรüจÿอบคุณภาพโดย ผู้เชี่ยüชาญ แบบÿัมภาþณ์นี้จะมี 3 ÿ่üน ดังนี้ ÿ่üนที่ 1 เป็นข้อคำถามเกี่ยüกับ ชื่อผู้ใĀ้ข้อมูลÿำคัญ อายุ ตำแĀน่ง คüามÿามารถ ÿภาพ ปัญĀาที่พบกับการปรับตัüทางÿังคมผู้ÿูงอายุการÿนับÿนุน/แก้ไข้และกิจกรรมที่มีÿ่üนร่üมในการ ปรับตัüทางÿังคมกับผู้ÿูงอายุ ÿ่üนที่ 2 เป็นข้อคำถามเกี่ยüกับการมีÿ่üนร่üมในการÿนับÿนุนการปรับตัüทางÿังคมกับ ผู้ÿูงอายุทั้ง 6 ด้าน โดยมี ด้านที่ 1) ด้านมาตรฐานทางÿังคม แบ่งออกเป็น 4 ข้อย่อย ด้านที่ 2) ด้านทักþะทางÿังคม แบ่งออกเป็น 3 ข้อย่อย ด้านที่ 3) ด้านแนüโน้มพฤติกรรมต่อต้านÿังคม แบ่งออกเป็น 2 ข้อย่อย ด้านที่ 4) ด้านคüามÿัมพันธ์ในครอบครัü แบ่งออกเป็น 2 ข้อย่อย ด้านที่ 5) ด้านคüามÿัมพันธ์ในÿถาบันการýึกþา/ชมรม/กลุ่มÿังคม แบ่งออกเป็น 2 ข้อย่อย ด้านที่ 6) ด้านคüามÿัมพันธ์ในชุมชนที่อยู่อาýัย แบ่งออกเป็น 2 ข้อย่อย ÿ่üนที่ 3 กิจกรรมที่องค์กรเครือข่ายใĀ้คüามÿนับÿนุนในการปรับตัüทางÿังคมของผู้ÿูงอายุ และการมีÿ่üนร่üมของทางýาÿนา ข้อเÿนอแนะที่จะทำใĀ้ผู้ÿูงอายุมีคุณภาพชีüิตทางÿังคมที่ดี
6 1.4.4 การเก็บรวบรวมข้อมูล มีขั้นตอนดังนี้ ขั้นตอนที่ 1 เก็บรüมรüมข้อมูลด้านเอกÿารและüรรณกรรมที่เกี่ยüข้อง จากเอกÿารต่าง ๆ Āนังÿือ üิทยานิพนธ์ üรÿารüิชาการ ÿื่อออนไลน์ต่าง ๆ ขั้นตอนที่ 2 เก็บข้อมูลโดยการลงพื้นที่ÿัมภาþณ์เชิงลึกกับกลุ่มผู้ใĀ้ข้อมูลÿำคัญในชุมชนเมือง และชุมชนชนบท 1.4.5 การวิเคราะĀ์ข้อมูล ใช้การüิเคราะĀ์เนื้อĀา (Content Analysis) แล้üนำมาÿรุปผล นำเÿนอเป็นเชิงพรรณนา 1.4.6 ระยะเวลาในการดำเนินงาน ใช้ระยะเüลา 2 เดือน ระĀü่างเดือนพฤþภาคม ถึงเดือน มิถุนายน 1.5 นิยามýัพท์ที่ใช้ในการýึกþาüิจัย (Definition of Operation) ผู้ÿูงอายุ Āมายถึง ประชากรคนไทยที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป เขตชุมชนเมือง Āมายถึง พื้นที่อยู่ในกรุงเทพมĀานครและปริมณฑล ได้แก่ นนทบุรี ÿมุทรปราการ และปทุมธานีในงานüิจัยนี้คือ เขตชุมชนเทýบาลเมืองบางคูรัด อำเภอบางบัüทอง จังĀüัดนนทบุรี เขตชุมชนชนบท Āมายถึง พื้นที่อยู่ในต่างจังĀüัด นอกพื้นที่เมืองĀลüงและปริมณฑล ใน งานüิจัยนี้คือ เขตชุมชนเทýบาลตำบลĀนองĀมู อำเภอüิĀารแดง จังĀüัดÿระบุรี การปรับตัüทางÿังคม Āมายถึง การที่ผู้ÿูงอายุรู้จักการดำเนินชีüิต ประจำüันอยู่ได้อย่าง ปกติ มีคüามÿุขทั้งในครอบครัü ชุมชน และÿังคม และเรียนรู้ที่จะอยู่ได้โดยไม่ÿร้างคüามเดือดร้อน ใĀ้แก่ทุกคนรอบข้าง ในงานüิจัยนี้มี 6 ด้านคือ 1) ด้านมาตรฐานทางÿังคม 2) ด้านทักþะทางÿังคม 3) ด้านแนüโน้มพฤติกรรมต่อต้านÿังคม 4) ด้านคüามÿัมพันธ์ในครอบครัü 5) ด้านคüามÿัมพันธ์ใน ÿถาบันการýึกþา/ชมรม/กลุ่มÿังคม และ 6) ด้านคüามÿัมพันธ์ในชุมชนที่อยู่อาýัย การมีÿ่üนร่üม Āมายถึง การที่ผู้ÿูงอายุได้เข้ามามีกิจกรรมทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน Āน่üยงาน รüมไปถึงองค์กรต่างๆ องค์กรเครือข่าย Āมายถึง เจ้าĀน้าที่องค์กรปกครองÿ่üนท้องถิ่น ครู เจ้าĀน้าที่/ ผู้ปกครอง/ญาติ/Āน่üยงานและผู้ที่เกี่ยüข้องกับชุมชน/โรงเรียนผู้ÿูงอายุ
7 1.6 กรอบแนüคüามคิดในการüิจัย (Conceptual Framework) ดังต่อไปนี้ 1.7 ประโยชน์ที่คาดü่าจะได้รับ 1. เพื่อใĀ้ได้องค์คüามรู้ของรูปแบบการมีÿ่üนร่üมในการÿนับÿนุนการปรับตัüทางÿังคมของ ผู้ÿูงอายุทั้งในเขตชุมชนเมืองและเขตชุมชนชนบทโดยองค์กรเครือข่าย 2. เพื่อนำองค์คüามรู้ที่ได้จากการüิจัยไปใช้เป็นพื้นฐานในการดำเนินงานüิจัยต่อไป Āรือไป ประยุกต์ใข้ในการดำเนินการพัฒนา แก้ไขในปัญĀาต่างๆของผู้ÿูงอายุ 3. เพื่อนำไปเป็นแนüกำĀนดนโยบายของยุทธýาÿตร์ต่างๆที่จะช่üยในการÿร้างÿังคมผู้ÿูงอายุ ที่มีคุณภาพในอนาคต ýึกþาเอกÿารทุติยภูมิที่เกี่ยüข้องกับการüิจัย üิเคราะĀ์ผล และÿรุปผล ÿร้างเครื่องมือüิจัย และลงพื้นที่ÿัมภาþณ์เชิงลึก กับกลุ่มผู้ใĀ้ข้อมูลÿำคัญทั้ง 2 พื้นที่ เขียนรายงานและบทคüามüิจัยนำเÿนอผลการüิจัย
8 บทที่ 2 แนวคิด ทฤþฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ในการüิจัยครั้งนี้ เป็นการýึกþารูปแบบการมีÿ่üนร่üมในการปรับตัüทางÿังคมของผู้ÿูงอายุ โดยองค์กรเครือข่าย ซึ่งจากการค้นคü้าแนüคิด ทฤþฎีงานüิจัยที่เกี่ยüข้อง และüิเคราะĀ์ข้อมูลจาก การüิจัยเชิงเอกÿาร (Documentary Research) ÿามารถÿรุปผลและนำเÿนอได้ดังนี้ 2.1 แนüคิดและทฤþฎีเกี่ยüกับการมีÿ่üนร่üม 2.2 แนüคิดเกี่ยüกับการปรับตัüทางÿังคม 2.3 แนüคิดและทฤþฎีเกี่ยüกับกระบüนการและการเปลี่ยนแปลงทางÿังคม 2.4 แนüคิดเกี่ยüกับการÿนับÿนุนทางÿังคม 2.5 งานüิจัยที่เกี่ยüข้อง 2.6 กรอบแนüคิดรูปแบบการมีÿ่üนร่üมในการÿนับÿนุนการปรับตัüทางÿังคมของผู้ÿูงอายุ โดยองค์กรเครือข่าย 2.1 แนวคิดและทฤþฎีเกี่ยวกับการมีÿ่วนร่วม แนüคิดเรื่องการมีÿ่üนร่üม เป็นแนüคิดที่ÿร้างขึ้นมาเพื่อใĀ้ผู้ที่เกี่ยüข้องในด้านต่างๆ ได้มีÿ่üน ร่üม มีปฏิÿัมพันธ์ซึ่งกันและกัน ในการที่จะกระทำกิจกรรมใดกิจกรรมĀนึ่ง ซึ่งอาจเกิดขึ้นภายใต้ ข้อตกลงĀรือกติกาทางÿังคมก็ได้ ซึ่งข้อมูลที่นำมาเป็นแนüทางในการüิจัย ดังนี้ 2.1.1 ความĀมายของการมีÿ่วนร่วม การมีÿ่üนร่üม เป็นลักþณะของการที่ประชาชนเข้ามามีกิจกรรมทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน Āน่üยงาน รüมไปถึงองค์กรต่าง ๆ ซึ่งการมีÿ่üนร่üมนั้นเป็นÿิ่งÿำคัญยิ่งที่องค์กรจะต้องเข้าไปบริĀาร จัดการการมีÿ่üนร่üมนั้น เพื่อใĀ้บุคลากรĀรือผู้ปฏิบัติงานในองค์กรได้รับรู้ถึงคüามที่จะต้องมีคüาม รับผิดชอบต่อองค์กรของตนเอง และมีคüามรู้ÿึกü่าเป็นÿ่üนĀนึ่งขององค์กรนั้น ประการÿำคัญ การมี ÿ่üนร่üมเป็นĀลักการÿำคัญของประชาธิปไตย เป็นการเปิดโอกาÿใĀ้ประชาชนในทุกภาคÿ่üนได้รับรู้ รับทราบ ร่üมกระทำ เกี่ยüกับÿิ่งที่ตนเองĀรือกลุ่มได้รับผลประโยชน์ ทั้งทางตรงและทางอ้อม แนüคิด และทฤþฎีเกี่ยüกับการมีÿ่üนร่üม เป็นÿิ่งที่กำĀนดคüามĀมาย ลักþณะ ประเภทของการมีÿ่üนร่üม ซึ่งแนüคิดและทฤþฎีต่าง ๆ นั้น ได้รับการพัฒนาเรื่อยมาจากอดีตจนปัจจุบัน ซึ่งนักคิดนักทฤþฎีต่างก็ เชื่อในแนüคิดทฤþฎีของตน ซึ่งบางครั้งอาจมีทั้งข้อดีและข้อเÿียอยู่บ้างÿำĀรับบางÿถานการณ์Āรือ
9 บางเĀตุการณ์ มีนักüิชาการและĀน่üยงานต่างๆ ได้ใĀ้คüามĀมายของการมีÿ่üนร่üมไü้ĀลากĀลาย ทัýนะ ดังนี้ การมีÿ่üนร่üม คือ การร่üมคิด ร่üมüางแผน ร่üมดำเนินการ ร่üมติดตามประเมินผล ร่üมรับ ผลประโยชน์จากการกระทำและร่üมรับผิดชอบ (ÿถาบันพระปกเกล้า, 2553 Āน้า 6) ในขณะเดียüกัน การมีÿ่üนร่üมก็Āมายถึง การเปิดโอกาÿใĀ้ผู้มีÿ่üนได้ÿ่üนเÿีย เข้ามาร่üมดำเนินกิจกรรมตั้งแต่ การýึกþาปัญĀา การüางแผนดำเนินการ การตัดÿินใจ การแก้ไขปัญĀา และการประเมินร่üมกัน เพื่อ ขับเคลื่อนใĀ้กิจกรรมนั้นดำเนินไปอย่างมีประÿิทธิภาพ โดยยึดĀลักการมีÿ่üนร่üมคือ ร่üมคิด ร่üมทำ ร่üมตรüจÿอบ ร่üมรับผิดชอบ (ฉลาด จันทรÿมบัติ, 2553, Āน้า 176) นอกจากนั้นการมีÿ่üนร่üมยัง เป็นรูปแบบกิจกรรมĀนึ่งที่เปิดโอกาÿใĀ้ประชาชนเข้ามาทำกิจกรรมนั้นๆ ร่üมกัน เพื่อผลประโยชน์ ของประชาชนเอง ซึ่งÿอดคล้องกับคüามĀมายของการมีÿ่üนร่üมที่ü่า การมีÿ่üนร่üมคือ การเปิด โอกาÿใĀ้ประชาชนไม่ü่าจะเป็นบุคคลĀรือกลุ่มบุคคลเข้ามามีÿ่üนร่üมในกิจกรรมใดกิจกรรมĀนึ่ง ไม่ ü่าจะเป็นทางตรงĀรือทางอ้อมในลักþณะของการร่üมรับรู้ ร่üมคิด ร่üมทำ ในÿิ่งที่มีผลกระทบต่อ ตนเองĀรือชุมชน (อนุรักþ์ นิยมเüช, 2554, Āน้า 5) ซึ่งคüามĀมายต่างๆ นี้แตกต่างจากคüามĀมาย ที่ü่า การมีÿ่üนร่üมคือ การมุ่งเน้นใĀ้ÿาธารณชน ผู้มีอำนาจในการตัดÿินใจ และกลุ่มผู้มีÿ่üนได้ÿ่üน เÿีย ร่üมแลกเปลี่ยนคüามรู้ ประÿบการณ์และคüามคิดเĀ็นต่างๆ เพื่อนำไปการตัดÿินใจ การüางแผน การดำเนินงาน และนโยบายต่างๆ ร่üมกัน (องค์การบริĀารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมĀาชน), 2552, Āน้า 4) และการมีÿ่üนร่üมของประชาชนเป็นกระบüนการซึ่งประชาชนĀรือผู้มีÿ่üนได้ÿ่üนเÿีย ได้มีโอกาÿแÿดงทัýนะ และเข้าร่üมในกิจกรรมต่างๆ ที่มีผลต่อชีüิตและคüามเป็นอยู่ของประชาชน รüมทั้งมีการนำคüามคิดเĀ็นดังกล่าüไปประกอบการพิจารณากำĀนดนโยบาย และการตัดÿินใจของ รัฐ (ถüิลüดี บุรีกุล, 2550, Āน้า 12) โดยมีประเด็นที่แตกต่างคือ เป้าประÿงค์ของการมีÿ่üนร่üมนั้น ไม่ได้มุ่งเน้นแต่เฉพาะผลประโยชน์ของกลุ่มบุคคลเท่านั้น แต่ยังรüมไปถึงผลประโยชน์ในระดับชาติอีก ด้üย และยังเป็นไปเพื่อการกำĀนดนโยบาย การยุติĀรือÿืบต่อนโยบายÿำĀรับรัฐบาลอีกด้üย การมีÿ่üนร่üมเป็นการเกี่ยüข้องของประชาชนในกระบüนการตัดÿินใจü่าจะทำอะไร โดยใคร การเกี่ยüข้องนี้เป็นการนำโครงการไปปฏิบัติ แบ่งปันประโยชน์ ติดตามและประเมินผลโครงการ ( Narayanasamy, N., 2009 p. 2) โดยการมีÿ่üนร่üมประกอบด้üย 4 มิติ คือ มิติที่Āนึ่ง การมีÿ่üนร่üม ในการตัดÿินใจü่าอะไรคüรĀรือไม่คüร มิติที่ÿอง การมีÿ่üนร่üมเÿียÿละในการพัฒนา โดยลงมือ ปฏิบัติการตามที่ได้ตัดÿินใจ มิติที่ÿาม การมีÿ่üนร่üมในการแข่งขันเพื่อผลประโยชน์ที่เกิดจากการ ดำเนินงาน และมิติที่ÿี่ การมีÿ่üนร่üมในการประเมินผลในการดำเนินงาน (Alastair, 1982, p. 2) และการมีÿ่üนร่üม เป็นการเกี่ยüข้องในด้านจิตใจ และอารมณ์คüามรู้ÿึกของบุคคลในÿถานการณ์กลุ่ม ที่จะกระตุ้นใĀ้เกิดการÿร้างÿรรค์ที่จะกระทำในÿิ่งที่บรรลุเป้าĀมายของกลุ่ม และแบ่งคüามรับผิดชอบ กันระĀü่างÿมาชิกในกลุ่ม ทำใĀ้เกิดการมีÿ่üนร่üม อันเป็นการกระทำโดยตัüปัจเจกบุคคลĀรือกลุ่ม
10 ต่างๆ ได้มีการพยายามกดดันต่อชนชั้นนำ Āรือกลุ่มบุคคลเล็ก ๆ ที่ÿนใจในกิจกรรมÿาธารณะ เช่น การเขียนจดĀมายถึงÿมาชิกÿภาผู้แทนราþฎร การมีÿ่üนร่üมกันในองค์กร และการช่üยเĀลือทาง การเงินแก่ผู้ÿมัคร การüิ่งเต้นกับÿำนักงานราชการ การมีÿ่üนร่üมในการ เดินขบüน และการระดมพล (Dye, 1999 p. 236 ) ซึ่งแนüคิดดังกล่าüทั้งĀมดข้างต้นแตกต่างจากแนüคิดของนักคิดท่านอื่นที่ได้ กล่าüถึงการมีÿ่üนร่üมü่า การมีÿ่üนร่üมของประชาชน เป็นการเปิดโอกาÿใĀ้ประชาชนมาร่üมกับรัฐ โดยรัฐเป็นผู้คิดริเริ่มต้องการใĀ้ประชาชนเข้ามามีÿ่üนร่üมในขั้นตอนต่างๆ ของการมีÿ่üนร่üม การมี ÿ่üนร่üมแบบนี้รัฐเป็นผู้มีอำนาจ แต่ต้องการคüามชอบธรรมด้üยการใĀ้ประชาชนมีÿ่üนร่üม กระบüนการมีÿ่üนร่üมจึงถูกออกแบบโดยรัฐ ประชาชนมีฐานะเป็นเป้าĀมายของการมีÿ่üนร่üม (ทý พล ÿมพงþ์, 2555, Āน้า 66) และนอกจากนี้ยังมีแนüคิดที่แตกต่างกันออกไปอีกü่า üิธีการบริĀาร แบบมีÿ่üนร่üมจะเกี่ยüพันกับÿัมพันธภาพแบบเผชิญĀน้าĀรือĀันĀน้าเข้าĀากัน และคüามÿัมพันธ์ แบบนี้จะนำไปÿู่คüามเข้าใจที่ดีขึ้นนั้น คือการนำคüามรู้คüามÿามารถของĀลายๆ คนมาผÿมผÿานกัน และได้การตัดÿินใจที่เด็ดขาดกü่าการตัดÿินใจที่พüกเขาแต่ละคนได้คิดไü้แล้ü การมีÿ่üนร่üมจะ นำไปÿู่การปรับปรุงของบุคคลแต่ละคน เพื่อตำแĀน่งคüามรับผิดชอบที่ÿูงขึ้น (Northcote Parkinson, 1984, p. 3) ปัจจัยÿำคัญĀนึ่งที่จะทำใĀ้การมีÿ่üนร่üมของประชาชนมีประÿิทธิภาพนั้น ได้แก่ การได้รับข้อมูลข่าüÿารอย่างเพียงพอ เพื่อใĀ้ประชาชนมีข้อมูลเกี่ยüกับทางเลือกและผลกระทบ ต่าง ๆ เพื่อประกอบการตัดÿินใจ อย่างไรก็ตามการมีÿ่üนร่üมของประชาชนมีคüามĀมายครอบคลุมมากกü่าการเป็นเพียง กระบüนการใĀ้คüามรู้ข้อมูลข่าüÿารต่างๆ ต่อÿาธารณชนเพียงด้านเดียü ซึ่งเป็นการÿื่อÿารแบบทาง เดียü (One-way Communication) เท่านั้น และประเด็นÿำคัญ คือ เป้าĀมายของกระบüนการมี ÿ่üนร่üมของประชาชน คือ การใĀ้ข้อมูลข่าüÿารที่ครอบคลุมต่อÿาธารณชน และการเปิดโอกาÿใĀ้ ประชาชนและผู้มีÿ่üนได้เÿียจากนโยบาย กิจกรรม และโครงการพัฒนาÿามารถแÿดงคüามคิดเĀ็น และมีÿ่üนร่üมในการแก้ไขปัญĀา นำไปÿู่กระบüนการÿร้างฉันทามติ (Consensus Building) เพื่อ Āาทางออกที่ดีที่ÿุด และได้รับการยอมรับจากทุกฝ่าย (จุฑารัตน์ ชมพันธุ์, 2555, Āน้า 126-127) Āลักการพื้นฐานของการมีÿ่üนร่üมเกิดจากการอยู่ร่üมกันในÿังคม ที่จะต้องมีกิจกรรมร่üมกัน และการมีÿ่üนร่üมของประชาชนเป็นยุทธýาÿตร์Āนึ่งในการพัฒนา ซึ่งĀัüใจของการมีÿ่üนร่üมของ ประชาชน คือ จะต้องใĀ้ประชาชนได้มีโอกาÿเข้าร่üมในทุกขั้นตอนของกระบüนการร่üมตัดÿินใจ ร่üม ปฏิบัติ ร่üมรับผิดชอบในผลการพัฒนาที่จะเกิดขึ้น กล่าüคือ การมีÿ่üนร่üม เป็นกระบüนการอย่าง Āนึ่งในการพัฒนา (นิยม เüชกามา, 2561, Āน้า 22) โดยมีประเด็นที่แตกต่างกันคือ การมีÿ่üนร่üมไม่ จำเป็นที่จะต้องเกิดขึ้นจากประชาชนเป็นผู้กำĀนดการมีÿ่üนร่üมเท่านั้น แต่รัฐก็ÿามารถเป็นผู้ กำĀนดใĀ้ประชาชนเข้ามามีÿ่üนร่üมได้ด้üย เช่น การเลือกตั้ง การลงประชามติ เป็นต้น
11 ดังนั้นจึงÿามารถÿรุปได้ü่า การมีÿ่üนร่üมĀมายถึง การกระทำของบุคคลĀรือกลุ่มที่มีÿ่üน เกี่ยüข้องกับการมีÿ่üนได้ÿ่üนเÿียกับผลประโยชน์ของประชาชนเป็นĀลัก ได้แก่ การร่üมคิด ร่üมทำ ร่üมตรüจÿอบ ร่üมรับผิดชอบและร่üมประเมินผล ซึ่งÿิ่งเĀล่านี้ถือเป็นกิจกรรมของประชาชนร่üมกับ Āน่üยงานĀรือองค์กรต่างๆ ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน และยังมุ่งเน้นเป้าประÿงค์ของการมีÿ่üนร่üมไป ที่การกำĀนดนโยบายของภาครัฐ ซึ่งการมีÿ่üนร่üมการเป็นแÿดงออกทางพฤติกรรมของประชาชนใน การร่üมกับภาครัฐ ซึ่งประชาชนเป็นผู้ดำเนินกิจกรรมนั้น โดยใช้การตัดÿินใจü่าจะทำอะไร เพื่อใคร ซึ่งรัฐเปิดโอกาÿใĀ้ประชาชนมีÿ่üนร่üมในการตัดÿินใจในเรื่องต่างๆ มากขึ้น ซึ่งรัฐจะเป็นผู้ออกแบบ การมีÿ่üนร่üมนั้นเอง เพียงแต่ใĀ้ประชาชนเข้ามามีÿ่üนร่üมเท่านั้น ซึ่งการมีÿ่üนร่üมนี้จะมี ประÿิทธิภาพมากน้อยเพียงใด ก็ขึ้นอยู่กับกิจกรรมการมีÿ่üนร่üมนั้นü่ามีคüามÿำคัญและเป็น ประโยชน์ในภาพรüมต่อประชาชนมากน้อยเพียงใด จากคüามĀมายการมีÿ่üนร่üมและผลการýึกþาของนักüิชาการต่างๆ ÿามารถÿังเคราะĀ์ ประมüลแนüคิดĀลักของการมีÿ่üนร่üม ÿรุปได้ตามตารางที่ 2.1.1 ดังนี้ ตารางที่ 2.1.1 แนüคิดĀลักที่นักüิชาการได้ใĀ้คüามĀมายของการมีÿ่üนร่üม (ที่มา: แนüคิดĀลักของการมีÿ่üนร่üมได้มาจากท่านที่เÿนอไü้ในตาราง) นักวิชาการ Āรือนักวิจัย/ Āน่วยงาน แนวคิดĀลัก ÿถาบันพระปกเกล้า, (2553, Āน้า 6) การร่üมคิด ร่üมüางแผน ร่üมดำเนินการ ร่üมติดตาม ประเมินผล ร่üมรับผลประโยชน์จากการกระทำ และร่üม รับผิดชอบ ฉลาด จันทรÿมบัติ, (2553, Āน้า 176) 1. การเปิดโอกาÿใĀ้ผู้มีÿ่üนได้เÿียเข้าร่üมกิจกรรมต่างๆ ร่üมกัน 2. ยึดĀลักการมีÿ่üนร่üมคือ ร่üมคิด ร่üมทำ ร่üมตรüจÿอบ และร่üมรับผิดชอบ อนุรักþ์ นิยมเüช, (2554, Āน้า 5) 1. การเข้าร่üมกิจกรรมทั้งทางตรงและทางอ้อม 2. มีลักþณะของการร่üมรับรู้ ร่üมคิด ร่üมทำ ในÿิ่งที่มี ผลกระทบต่อตนเองĀรือชุมชน องค์การบริĀารจัดการก๊าซ เรือนกระจก (องค์การมĀาชน), (2552, Āน้า 4) 1. มุ่งเน้นใĀ้ÿาธารณชนตัดÿินใจ 2. การแลกเปลี่ยนคüามรู้ ประÿบการณ์ต่างๆ 3. มีÿ่üนในการกำĀนดนโยบาย
12 ถüิลüดี บุรีกุล, (2552, Āน้า 12) 1. เป็นกระบüนการ 2. มุ่งเน้นใĀ้เกิดผลกับภาครัฐ Cohen and Uphoff, (2009, p. 2) 1. กระบüนการตัดÿินใจของประชาชน 2. เป็นการนำโครงการไปปฏิบัติ แบ่งปันผลประโยชน์ ติดตาม และประเมินผลโครงการ Alastair, (1982, p. 2) 1. การมีÿ่üนร่üมในการตัดÿินใจü่าอะไรคüรĀรือไม่คüร 2. การมีÿ่üนร่üมเÿียÿละในการพัฒนา โดยลงมือปฏิบัติการ ตามที่ได้ตัดÿินใจ 3. การมีÿ่üนร่üมในการแข่งขันเพื่อผลประโยชน์ที่เกิดจากการ ดำเนินงาน 4. การมีÿ่üนร่üมในการประเมินผลในการดำเนินงาน T.R. Dye, (1999, p.236) การเกี่ยüข้องในด้านจิตใจ และอารมณ์คüามรู้ÿึกของบุคคลใน ÿถานการณ์กลุ่ม ที่ÿ่งผลต่อการกระตุ้นใĀ้เกิดการทำกิจกรรม ใดๆ ทýพล ÿมพงþ์, (2555, Āน้า 66) 1. รัฐกำĀนดรูปแบบการมีÿ่üนร่üมของประชาชน 2. เป็นการÿร้างคüามชอบธรรมใĀ้กับรัฐ C. Northcote Parkinson, (1984, p. 3) 1. üิธีการบริĀารแบบมีÿ่üนร่üม 2. เป็นÿัมพันธภาพแบบเผชิญĀน้า 3. นำไปÿู่การปรับปรุงของแต่ละบุคคล เพื่อตำแĀน่งĀน้าที่ที่ ÿูงขึ้น จุฑารัตน์ ชมพันธุ์ (2555, Āน้า 127) ปัจจัยÿำคัญที่ทำใĀ้การมีÿ่üนร่üมของประชาชนมีประÿิทธิภาพ คือ การได้รับข้อมูลข่าüÿารอย่างเพียงพอ นิยม เüชกามา (2561, Āน้า 22) Āลักการพื้นฐานของการมีÿ่üนร่üมคือต้องมีกิจกรรมร่üมกัน และĀัüใจของการมีÿ่üนร่üมของประชาชน คือ จะต้องใĀ้ ประชาชนได้มีโอกาÿเข้าร่üมในทุกขั้นตอนของกระบüนการมี ÿ่üนร่üม 2.1.2 รูปแบบของการมีÿ่วนร่วม การมีÿ่üนร่üมของประชาชนและภาคÿ่üนอื่นในÿังคม จำเป็นต้องมีการเปิดโอกาÿใĀ้Āลาย
13 ฝ่ายที่เกี่ยüข้องเข้ามามีÿ่üนร่üมในกระบüนการคüามร่üมมือในรูปแบบต่างๆ ทั้งที่เป็นแบบชั่üคราü แบ่งปันกันช่üยเĀลือ Āรือร่üมกันในภาพรüมทั้งĀมดด้üยกัน (อัมพร ธำรงลักþณ์ และคณะ, 2556 Āน้า 33) การมีÿ่üนร่üมถือเป็นกิจกรรมที่ต้องมีรูปแบบที่ชัดเจน ซึ่งอาจไม่จำเป็นต้องเป็นรูปธรรมก็ได้ แต่ต้องÿามารถกำĀนดลักþณะของกิจกรรมการมีÿ่üนร่üมนั้นๆ ไü้ด้üย ซึ่งผู้üิจัยได้ค้นคü้ามาเป็น แนüทางในการüิจัย ดังนี้ มีผลการüิจัยรูปแบบการมีÿ่üนร่üมเÿนอไü้ü่า รูปแบบของการมีÿ่üนร่üมที่ดำเนินอยู่โดยทั่üไป ÿามารถÿรุปได้เป็น 4 รูปแบบ (จินตüีร์ เกþมýุข, 2554, Āน้า 3-6) คือ 1. การรับรู้ข่าüÿาร (Public Information) ประชาชนและĀน่üยงานที่เกี่ยüข้องจะต้องได้รับ การแจ้งใĀ้ทราบถึงรายละเอียดของโครงการที่จะดำเนินการ รüมทั้งผลกระทบที่คาดü่าจะเกิดขึ้น ทั้งนี้การได้รับแจ้งข่าüÿารดังกล่าüจะต้องเป็นการแจ้งก่อนที่จะมีการตัดÿินใจดำเนินโครงการ 2. การปรึกþาĀารือ (Public Consultation) เป็นรูปแบบการมีÿ่üนร่üมที่มีการจัดการĀารือ ระĀü่างผู้ดำเนินการโครงการกับประชาชนที่เกี่ยüข้องและได้รับผลกระทบ เพื่อรับฟังคüามคิดเĀ็น และตรüจÿอบข้อมูลเพิ่มเติม เพื่อใĀ้เกิดคüามเข้าใจในโครงการและกิจกรรมมากขึ้น 3. การประชุมรับฟังคüามคิดเĀ็น (Public Meeting) มีüัตถุประÿงค์เพื่อใĀ้ประชาชนและ ฝ่ายที่เกี่ยüข้องกับโครงการĀรือกิจกรรม และผู้มีอำนาจตัดÿินใจในการทำโครงการĀรือกิจกรรมนั้นได้ ใช้เüทีÿาธารณะในการทำคüามเข้าใจ และค้นĀาเĀตุผลในการดำเนินโครงการĀรือกิจกรรมในพื้นที่ นั้น ซึ่งมีĀลายรูปแบบ ได้แก่ 3.1 การประชุมในระดับชุมชน (Community Meeting) โดยจัดขึ้นในชุมชนที่ได้รับ ผลกระทบจากโครงการ โดยเจ้าของโครงการĀรือกิจกรรมจะต้องÿ่งตัüแทนเข้าร่üม เพื่ออธิบายใĀ้ที่ ประชุมทราบถึงลักþณะโครงการและผลกระทบที่คาดü่าจะเกิดขึ้นและตอบข้อซักถาม 3.2 การประชุมรับฟังคüามคิดเĀ็นในเชิงüิชาการ (Technical Hearing) ÿำĀรับ โครงการที่มีข้อโต้แย้งในเชิงüิชาการ จำเป็นจะต้องเชิญผู้เชี่ยüชาญเฉพาะÿาขาจากภายนอกมาช่üย อธิบายและใĀ้คüามเĀ็นต่อโครงการ ซึ่งผู้เข้าร่üมประชุมต้องได้รับทราบผลดังกล่าüด้üย 3.3 การประชาพิจารณ์ (Public Hearing) เป็นเüทีในการเÿนอข้อมูลอย่างเปิดเผย ไม่มีการปิดบัง ทั้งฝ่ายเจ้าของโครงการและฝ่ายผู้มีÿ่üนได้ÿ่üนเÿียจากโครงการ ซึ่งจะต้องมี องค์ประกอบของผู้เข้าร่üมที่เป็นที่ยอมรับ มีĀลักเกณฑ์และประเด็นในการพิจารณาที่ชัดเจน และแจ้ง ใĀ้ทุกฝ่ายทราบทั่üกัน 4. การร่üมในการตัดÿินใจ (Decision Making) เป็นเป้าĀมายÿูงÿุดของการมีÿ่üนร่üมของ ประชาชน ซึ่งประชาชนจะมีบทบาทในการตัดÿินใจได้เพียงใดนั้นขึ้นอยู่กับองค์ประกอบของ คณะกรรมการที่เป็นผู้แทนประชาชนในพื้นที่ นอกจากนั้นรูปแบบการมีÿ่üนร่üมเป็นเรื่องของกระบüนการ ซึ่งมีขั้นตอนของการมีÿ่üนร่üม
14 4 ขั้นตอนĀลัก ๆ ดังนี้ 1. มีÿ่üนร่üมในการคิด ýึกþา ค้นคü้าĀาปัญĀา และÿาเĀตุของปัญĀา ตลอดจนคüาม ต้องการของชุมชน 2. มีÿ่üนร่üมในการüางนโยบาย Āรือแผนงาน โครงการ Āรือกิจกรรม เพื่อลดและแก้ไข ปัญĀา 3. มีÿ่üนร่üมในการตัดÿินใจในการจัดĀรือปรับปรุงระบบการบริĀารทรัพยากรอย่างมี ประÿิทธิภาพ และปฏิบัติงานใĀ้บรรลุตามเป้าĀมาย 4. มีÿ่üนร่üมในการคüบคุม ติดตาม และประเมินผลการทำงาน โดยมีการüิจัยที่เป็นไปในทิýทางเดียüกันคือ เรื่องรูปแบบการมีÿ่üนร่üมของประชาชน ที่ พบü่า มีรูปแบบเป็น 3 PR-Model ซึ่งประกอบด้üยการดำเนินงานใน 4 ขั้นตอน (คำนึง ÿิงĀ์เอี่ยม, 2560, น.334) ดังนี้ ขั้นที่ 1 P = Policy เป็นขั้นตอนการกำĀนดนโยบาย ขั้นที่ 2 P = Project เป็นขั้นตอนการกำĀนดโครงการ ขั้นที่ 3 P = Proceeding เป็นขั้นตอนการดำเนินงานตามโครงการ และ ขั้นที่ 4 R = Report เป็นขั้นตอนการติดตามและรายงานผลการดำเนินงาน นอกจากนั้น การมีÿ่üนร่üมของประชาชนในเรื่องของการพัฒนา จะต้องมีการใĀ้โอกาÿ ประชาชนเป็นฝ่ายการตัดÿินใจ กำĀนดปัญĀาคüามต้องการของตนเองอย่างแท้จริง เป็นการเÿริมพลัง อำนาจใĀ้แก่ประชาชน/กลุ่ม/องค์กรชุมชนใĀ้ÿามารถระดมขีดคüามÿามารถในการจัดการทรัพยากร การตัดÿินใจ และคüบคุมดูแลกิจกรรมต่าง ๆ ในชุมชนมากกü่าที่จะเป็นฝ่ายตั้งรับ และประชาชน จะต้องเข้ามามีÿ่üนร่üมในกระบüนการอย่างมีอิÿระ การทำงานต้องเน้นในรูปกลุ่ม Āรือองค์กรชุมชน ที่มีüัตถุประÿงค์ในการเข้าร่üมอย่างชัดเจน ทั้งนี้ การจะเกิดÿภาพของการมีÿ่üนร่üมของประชาชน ตามคüามĀมายที่กล่าüถึงข้างต้น จะต้องเกิดÿภาพการณ์Āรือเงื่อนไขÿำคัญคือ การมีคüามตระĀนัก และคüามเĀ็นพ้องต้องกันของประชาชนที่มีจำนüนมากพอต่อการริเริ่มโครงการĀรือกิจกรรมĀนึ่ง กิจกรรมใดเพื่อที่จะเป็นการเปลี่ยนแปลงที่เป็นคüามต้องการของÿ่üนรüม โดยจะต้องมีลักþณะเป็น การกระทำผ่านกลุ่ม Āรือองค์กรเพื่อใĀ้บรรลุถึงคüามเปลี่ยนแปลงที่พึงประÿงค์ (ýิลปüิชญ์ น้อยÿม มิตร และ โชติกา แก่นธิยา, 2562 Āน้า 113) ดังนั้นพอÿรุปได้ü่า รูปแบบการมีÿ่üนร่üม เป็นรูปแบบที่เกิดขึ้นจากการรับรู้ข้อมูลข่าüÿาร ก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้นจึงนำมาปรึกþาĀารือและร่üมประชุมแÿดงคüามคิดเĀ็นและร่üมกัน ตัดÿินใจในที่ÿุด ซึ่งการÿ่üนร่üมในรูปแบบดังกล่าüนี้จะเน้นไปที่ภาคประชาชนเป็นĀลัก ซึ่งอาจจะมี คüามเกี่ยüข้องกับภาครัฐด้üยก็ได้แล้üแต่บางกรณี และยังเป็นการเข้าไปมีÿ่üนร่üมเพื่อใĀ้ได้มาซึ่ง
15 นโยบาย Āรือข้อเรียกร้องต่างๆ เพื่อนำเÿนอต่อภาครัฐ และในท้ายที่ÿุดจึงจะมีการร่üมประเมินผล การดำเนินงานของกิจกรรมการมีÿ่üนร่üมนั้นๆ ด้üย จากแนüคิดเกี่ยüกับรูปแบบการมีÿ่üนร่üม ÿามารถÿังเคราะĀ์ประมüลผลแนüคิดĀลัก เกี่ยüกับรูปแบบของการมีÿ่üนร่üม ÿรุปได้ตามตารางที่ 2.1.2 ดังนี้ ตารางที่ 2.1.2 แนüคิดĀลักที่นักüิชาการทำการýึกþาเกี่ยüกับรูปแบบการมีÿ่üนร่üม (ที่มา: แนüคิดĀลักของรูปแบบการมีÿ่üนร่üมได้มาจากท่านที่เÿนอไü้ในตาราง) นักวิชาการĀรือนักวิจัย แนวคิดĀลัก รูปแบบการมีÿ่วนร่วม อัมพร ธำรงลักþณ์ และคณะ, (2556, Āน้า 33) การมีÿ่üนร่üมของประชาชนและภาคÿ่üนอื่น จำเป็นต้องมีการ เปิดโอกาÿใĀ้Āลายฝ่ายที่เกี่ยüข้องเข้ามามีÿ่üนร่üม ทั้งที่เป็น แบบชั่üคราü แบ่งปันกันช่üยเĀลือ Āรือร่üมกันในภาพรüม ทั้งĀมด จินตüีร์เกþมýุข, (2554, Āน้า 3-4 1. การรับรู้ข่าüÿารและการแÿดงคüามคิดเĀ็น 2. ภาคประชาชนมีบทบาทมากกü่าภาครัฐ 3. ใช้เüทีÿาธารณะเป็นตัüขับเคลื่อนกิจกรรม 4. เกิดการบริĀารทรัพยากรที่มีประÿิทธิภาพ คำนึง ÿิงĀ์เอี่ยม, (2560, Āน้า 334) รูปแบบการมีÿ่üนร่üมของประชาชนประกอบด้üยการ ดำเนินงานใน 4 ขั้นตอน ดังนี้ ขั้นที่ 1 การกำĀนดนโยบาย ขั้นที่ 2 การกำĀนดโครงการ ขั้นที่ 3 การดำเนินงานตามโครงการ ขั้นที่ 4 การติดตามและรายงานผลการดำเนินงาน ýิลปüิชญ์ น้อยÿมมิตร และ โชติกา แก่นธิยา, (2562, Āน้า 113.) การมีÿ่üนร่üมของประชาชนในการพัฒนา ต้องมีการใĀ้โอกาÿ ประชาชนเป็นฝ่ายการตัดÿินใจ กำĀนดปัญĀาคüามต้องการ ของตนเองอย่างแท้จริง โดยมีเงื่อนไขÿำคัญคือ การมีคüาม ตระĀนักและคüามเĀ็นพ้องต้องกันต่อการริเริ่มโครงการĀรือ กิจกรรมĀนึ่งกิจกรรมใด เพื่อที่จะเป็นการเปลี่ยนแปลงที่เป็น คüามต้องการของÿ่üนรüม 2.1.3 ประเภทของการมีÿ่วนร่วม การมีÿ่üนร่üมมีอยู่Āลายประเภท ขึ้นอยู่กับüัตถุประÿงค์และกิจกรรมของการเข้าร่üม ซึ่งกิจ
16 กรรมนั้นอาจไม่ได้กำĀนดขึ้นมาก่อนก็ได้ แต่การกำĀนดกิจกรรมจะเกิดขึ้นĀลังจากการมีÿ่üนร่üมนั้น แล้ü ซึ่งประเภทของการมีÿ่üนร่üมนั้นก็จะเป็นตัüกำĀนดกิจกรรมนั้นๆ ด้üย การมีÿ่üนร่üม (Participation) เป็นกระบüนการÿื่อÿารในระบบเปิด ซึ่งเป็นการÿื่อÿารÿองทางระĀü่างบุคคล กลุ่ม บุคคล ชุมชน Āรือองค์การ ในการดำเนินกิจกรรมใดกิจกรรมĀนึ่งĀรือĀลายกิจกรรม ซึ่งการมีÿ่üนร่üม จะเกี่ยüข้องกับกระบüนการใĀ้ประชาชนเข้ามามีÿ่üนเกี่ยüข้องในการร่üมคิด ร่üมตัดÿินใจ ร่üมการ ดำเนินการ และร่üมรับผลประโยชน์ โดยมีเป้าĀมายเพื่อใĀ้บรรลุจุดมุ่งĀมายร่üมกันของกลุ่ม และเป็น การเÿริมÿร้างคüามÿามัคคี คüามรู้ÿึกร่üมรับผิดชอบกับกลุ่มด้üย (ÿมบัติ นามบุรี, 2562 Āน้า 183) ได้มีนักüิชาการüิจัยถึงประเภทของการมีÿ่üนร่üมไü้ดังนี้ เมตต์ เมตต์การุณ์จิต (2547) ได้üิจัยพบü่า การมีÿ่üนร่üมโดยทั่üไปมี2 ประเภท ได้แก่ 1. การมีÿ่üนร่üมโดยตรง เช่น การเÿนอแนะ การใĀ้ข้อคิดร่üมในการตัดÿินใจ การเข้าร่üม เป็นคณะกรรมการ 2. การเข้าร่üมโดยอ้อม เช่น การบริจาคเงิน ทรัพย์ÿิน üัÿดุอุปกรณ์ แรงงานเข้าร่üมÿมทบ ไม่ร่üมประชุมแต่ยินดีใĀ้คüามร่üมมือ การมีÿ่üนร่üมทั้งทางตรงและทางอ้อมนั้นถือได้ü่าเป็นการมีÿ่üนร่üมเช่นเดียüกัน ถึงแม้ü่าจะ ไม่ได้เข้าไปมีÿ่üนร่üมทางตรงก็ตามที แต่ก็ยังคงเป็นผู้ÿนับÿนุนการมีÿ่üนร่üมนั้น ๆ ใĀ้เกิดขึ้นและถูก ดำเนินการ ซึ่งการมีÿ่üนร่üมนั้นเป็นการกระทำกิจกรรมที่จะเป็นการÿ่งผลต่อผลประโยชน์ของ ประชาชนเป็นĀลัก โดยที่มีการกำĀนดรูปแบบกิจกรรมทั้งที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการ ทั้ง นำเÿนอต่อรัฐและต่อกลุ่มผลประโยชน์ด้üยกันเอง Cohen, J and N.T. Uphoff (1980) นักทฤþฎีการมีÿ่üนร่üมได้ผลüิจัยและเÿนอประเภท ของการมีÿ่üนร่üมไü้ü่า การมีÿ่üนร่üมของประชาชน แบ่งออกเป็น 4 แบบ ดังนี้ 1. การมีÿ่üนร่üมในการตัดÿินใจ ( Decision Making ) ซึ่งประกอบด้üยการริเริ่มตัดÿินใจ การดำเนินการตัดÿินใจ กำĀนดนโยบายจากคüามต้องการ และการตัดÿินใจปฏิบัติการ อาจจะเป็น การตัดÿินใจในช่üงระยะเüลาเริ่มแรก การตัดÿินใจในช่üงของกิจกรรมĀรือการตัดÿินใจในช่üงการ ดำเนินกิจกรรม 2. การมีÿ่üนร่üมในการดำเนินกิจกรรม (Implementation) ซึ่งอาจเป็นไปในรูปของการเข้า ร่üมโครงการโดยใĀ้การÿนับÿนุนด้านการบริĀาร การประÿานคüามร่üมมือ รüมทั้งการลงมือ ปฏิบัติการด้üยแรงงาน แรงเงิน และการÿนับÿนุนทรัพยากรอื่นๆ 3. การมีÿ่üนร่üมในผลประโยชน์(Benefits) เป็นการร่üมกันที่จะรับผิดชอบต่อผลที่จะ เกิดขึ้น Āรือการมีÿ่üนร่üมต่อผลประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นในทุกๆด้าน 4. การมีÿ่üนร่üมในการประเมินผล (Evaluation) เป็นการร่üมกันคüบคุมตรüจÿอบผลการ ดำเนินงานตลอดจนเข้าไปแก้ไขปัญĀาที่เกิดขึ้น
17 ดังนั้นพอที่จะÿรุปได้ü่า การมีÿ่üนร่üม เป็นการมีÿ่üนร่üมในเรื่องการตัดÿินใจ การดำเนิน กิจกรรม การรับผลประโยชน์ และการประเมินผล ซึ่งการมีÿ่üนร่üมมีทั้งการมีÿ่üนร่üมแบบโดยตรง และแบบโดยอ้อม โดยกิจกรรมการมีÿ่üนร่üมดังกล่าüนั้นไม่จำเป็นที่จะต้องมีการเข้าร่üมโดยตรงก็ได้ แต่ÿามารถเป็นผู้ÿนับÿนุนแทน ก็ถือü่าได้มีÿ่üนร่üมในกิจกรรมนั้นๆ แล้ü ซึ่งการมีÿ่üนร่üมอันมีการ ตัดÿินใจเป็นต้นนั้น ก็ÿามารถดำเนินการทั้งทางตรงและทางอ้อมได้เช่นเดียüกัน จากการนำเÿนอประเภทของการมีÿ่üนร่üม ÿามารถÿังเคราะĀ์ประมüลผลแนüคิดĀลัก เกี่ยüกับประเภทของการมีÿ่üนร่üม ÿรุปได้ตามตารางที่ 2.1.3 ดังต่อไปนี้ ตารางที่ 2.1.3 แนüคิดĀลักที่นักüิชาการทำการýึกþาเกี่ยüกับประเภทของการมีÿ่üนร่üม (ที่มา: แนüคิดĀลักของประเภทการมีÿ่üนร่üมได้มาจากท่านที่เÿนอไü้ในตาราง) นักวิชาการĀรือนักวิจัย แนวคิดĀลัก ÿมบัติ นามบุรี, (2562, Āน้า 183) การมีÿ่üนร่üม เป็นกระบüนการÿื่อÿารในระบบเปิด เกี่ยüข้อง กับกระบüนการใĀ้ประชาชนเข้ามามีÿ่üนเกี่ยüข้องในการร่üม คิด ร่üมตัดÿินใจ ร่üมการดำเนินการ และร่üมรับผลประโยชน์ โดยมีเป้าĀมายเพื่อใĀ้บรรลุจุดมุ่งĀมายร่üมกันของกลุ่ม เมตต์ เมตต์การุณ์จิต, (2547, Āน้า 18) 1. การมีÿ่üนร่üมแบบทางตรงและทางอ้อม 2. การมีÿ่üนร่üมไม่จำเป็นต้องเข้าร่üมกิจกรรม Cohen and Uphoff, (1980, pp. 213-218) 1. การมีÿ่üนร่üมในการตัดÿินใจ 2. การมีÿ่üนร่üมในการดำเนินกิจกรรม 3. การมีÿ่üนร่üมในผลประโยชน์ 4. การมีÿ่üนร่üมในการประเมินผล 2.1.4 ระดับการมีÿ่วนร่วม มีผลüิจัยระดับการมีÿ่üนร่üมที่พบü่า เป็นขั้นตอน Āรือลำดับขั้นของการมีÿ่üนร่üม ในด้าน ต่าง ๆ ของการเข้ามามีÿ่üนร่üมของประชาชน ซึ่งจะเริ่มตั้งแต่ระดับต้นไปจนถึงระดับÿูงÿุด คือ เข้าไป มีÿ่üนร่üมในกิจกรรมนั้น ๆ อย่างเต็มที่ และมีบทบาทÿูงÿุดต่อกิจกรรมนั้น ๆ ด้üย ทั้งนี้เพราะการมี ÿ่üนร่üมนั้นเป็นกระบüนการที่เป็นประชาธิปไตย มีคüามเท่าเทียมกัน การถ่ายทอด และการรับรู้ ปัญĀาใĀ้กลายเป็นเป้าĀมายในการดำเนินการ มีการเลือกแก้ปัญĀาร่üมกัน ระดับของการมีÿ่üนร่üม นั้นขึ้นอยู่กับคüามเต็มใจที่จะเข้าร่üมกิจกรรมนั้นโดยไม่มีการบังคับขู่เข็ญ Āรือกดดันใด ๆ และการมี ÿ่üนร่üมนั้นคüรที่ทุกคนได้ทำกิจกรรมอย่างแข็งขันและกระตือรือร้น การมีÿ่üนร่üมที่มีประÿิทธิภาพ
18 มากคือ การร่üมกระทำตั้งแต่การร่üมคิดüางแผน การกำĀนดüิธีการทำงาน การลงมือทำงาน และการ ประเมินผลการทำงาน (ประภาý ปานเจี้ยง และคณะ, 2561, Āน้า 964-5) มีนักüิชาการĀลายท่านได้ýึกþาถึงระดับการมีÿ่üนร่üมและÿรุปเÿนอไü้ü่า การจัดระดับการมี ÿ่üนร่üมแบ่งออกเป็น 5 ระดับ ดังนี้(International Association for Public Participation (IAP2), Āน้า 10-12) 1. การมีÿ่üนในระดับใĀ้ข้อมูลข่าüÿาร (Inform) ซึ่งเป็นระดับเริ่มต้นประชาชนมีบทบาทน้อย เป้าĀมาย คือ การใĀ้ข้อมูลข่าüÿารที่จำเป็นและถูกต้องแก่ประชาชน รüมทั้งเÿริมÿร้างคüามเข้าใจ เกี่ยüกับประเด็นปัญĀา ทางเลือกและทางแก้ไข ตัüอย่างเช่น การจัดทำÿื่อประชาÿัมพันธ์ เช่น แผ่น พับ เÿียงตามÿาย ฯลฯ คำÿัญญาที่Āน่üยงานใĀ้กับประชาชน คือ การใĀ้ประชาชนได้รับข้อมูล ข่าüÿารที่จำเป็นและถูกต้อง 2. การมีÿ่üนในระดับปรึกþาĀารือ (Consult) ระดับนี้ประชาชนจะมีÿ่üนร่üมในการใĀ้ข้อมูล ข้อเท็จจริง คüามรู้ÿึก และแÿดงคüามคิดเĀ็นประกอบการตัดÿินใจ เป้าĀมายคือการได้รับข้อมูลและ รับคüามคิดเĀ็นจากประชาชนเกี่ยüกับÿภาพปัญĀา ทางเลือก และแนüทางแก้ไขตัüอย่างเช่น การ ÿำรüจคüามคิดเĀ็น การÿนทนากลุ่มย่อย การจัดเüทีÿาธารณะ ฯลฯ คำÿัญญาที่Āน่üยงานใĀ้กับ ประชาชน คือการใĀ้ข้อมูลข่าüÿารกับประชาชนทั้งผู้มีÿ่üนได้ÿ่üนเÿีย โดยการรับฟังคüามคิดเĀ็น ตระĀนักถึงข้อมูล และคüามคิดเĀ็นของประชาชนในการตัดÿินใจ 3. การมีÿ่üนในระดับการเข้ามามีบทบาท (Involve) เป็นการเปิดโอกาÿใĀ้ประชาชนมีÿ่üน ร่üมทำงาน ตลอดกระบüนการตัดÿินใจมีการแลกเปลี่ยนคüามคิดเĀ็นและข้อมูลข่าüÿารระĀü่างรัฐ และประชาชนอย่างจริงจัง เป้าĀมายคือ การทำงานร่üมกับประชาชนเพื่อÿร้างคüามมั่นใจü่า คüาม ต้องการและคüามคิดเĀ็นของประชาชนจะได้รับการพิจารณา ตัüอย่างเช่น การประชุมเชิงปฏิบัติการ การÿำรüจคüามคิดเĀ็นโดยการปรึกþาĀารือ ฯลฯ คำÿัญญาที่Āน่üยงานใĀ้กับประชาชน คือ การ ทำงานกับประชาชนเพื่อใĀ้คüามคิดเĀ็นและข้อมูลจากประชาชนÿะท้อนในทางเลือก 4. การมีÿ่üนในระดับÿร้างคüามร่üมมือ (Collaborate) เป็นการใĀ้บทบาทแก่ประชาชนใน ระดับÿูง โดยประชาชนและรัฐทำงานร่üมกันในกระบüนการตัดÿินใจ เป้าĀมายคือ การเป็นĀุ้นÿ่üน กับประชาชนในทุกขั้นตอนของการตัดÿินใจตั้งแต่การระบุปัญĀา พัฒนาทางเลือกและแนüทางแก้ไข ตัüอย่างเช่น การตั้งเป็นคณะที่ปรึกþาฝ่ายประชาชน การÿร้างฉันทามติกระบüนการตัดÿินใจแบบมี ÿ่üนร่üม ฯลฯ คำÿัญญาที่Āน่üยงานใĀ้กับประชาชน คือ การร่üมงานกับประชาชน เพื่อใĀ้ได้ ข้อเÿนอแนะและแนüคิดใĀม่จากประชาชน โดยÿัญญาü่าจะนำข้อมูลเĀล่านั้นมาใช้ในการตัดÿินใจ ทางออกของปัญĀาใĀ้มากที่ÿุดเท่าที่จะทำได้ 5. การมีÿ่üนในระดับใĀ้อำนาจแก่ประชาชน (Empower) ถือเป็นขั้นที่ใĀ้ประชาชนมีÿ่üน ร่üมÿูงที่ÿุด เป้าĀมายคือ การใĀ้ประชาชนเป็นผู้ตัดÿินใจลงมือด้üยตนเอง โดยรัฐจะดำเนินการตาม
19 การตัดÿินใจนั้นรูปแบบการมีÿ่üนร่üม คือ การลงประชามติและการแก้ไขปัญĀาคüามขัดแย้งโดย กระบüนการประชาคม มักเป็นประเด็นที่มีผลกระทบต่อประชาชนโดยตรง ประโยชน์ของการตัดÿินใจ ขั้นนี้คือ การÿร้างการเรียนรู้ร่üมกัน เข้าใจและคüามรู้ÿึกเป็นเจ้าของร่üมกัน คำÿัญญาที่Āน่üยงาน ใĀ้กับประชาชน คือ การปฏิบัติตามÿิ่งที่ประชาชนตัดÿินใจเลือก การมีÿ่üนร่üมของประชาชนนั้น อาจÿามารถจัดระดับจากระดับต่ำÿุดไปÿู่ระดับÿูงÿุดได้7 ระดับดังนี้(จุฑารัตน์ ชมพันธุ์, 2555 Āน้า133-134) 1. ระดับการใĀ้ข้อมูล (Informing) เป็นระดับการมีÿ่üนร่üมที่ต่ำที่ÿุด โดยรัฐĀรือเจ้าของ โครงการใĀ้ข้อมูลที่เกี่ยüข้องกับประชาชนเมื่อกิจกรรมĀรือโครงการพัฒนาต่างๆ ได้ถูกคิดริเริ่มแล้ü โดยประชาชนมีÿิทธิเพียงการเข้าถึงข้อมูลข่าüÿารเท่านั้น โดยไม่มีช่องทางในการแÿดงคüามคิดเĀ็น Āรือเกี่ยüข้องใดๆ กับการตัดÿินใจนั้นๆ อย่างไรก็ตาม กล่าüได้ü่าระดับการเข้าถึงข้อมูลข่าüÿารของ ประชาชนและผู้มีÿ่üนได้เÿียนั้น เป็นจุดเริ่มต้นของการเปิดโอกาÿใĀ้ประชาชนมีÿ่üนร่üม üิธีการใĀ้ ข้อมูลมีได้Āลายเทคนิคüิธีการ เช่น การประกาýผ่านĀนังÿือพิมพ์การแจกแผ่นพับ การแÿดง นิทรรýการ เป็นต้น 2. ระดับการรับฟังคüามคิดเĀ็นของประชาชน (Information Provision) เป็นระดับที่ÿูงขึ้น ซึ่งเมื่อประชาชน ผู้มีÿ่üนได้เÿียได้รับข้อมูลข่าüÿารแล้ü พüกเขาก็ÿามารถที่จะค้นĀาÿาเĀตุของ ปัญĀา üิเคราะĀ์คüามจำเป็นและคüามต้องการของกิจกรรมĀรือโครงการ และพิจารณาถึงข้อดี ข้อเÿียของทางเลือกต่างๆ ได้ดียิ่งขึ้น โดยที่รัฐĀรือผู้มีอำนาจตัดÿินใจเชิญชüนใĀ้ประชาชน ผู้มีÿ่üนได้ เÿียได้ร่üมแÿดงคüามคิดเĀ็นต่อกิจกรรมĀรือโครงการนั้นๆ เพื่อใĀ้ผู้มีอำนาจในการตัดÿินใจนำไปใช้ ประกอบการตัดÿินใจต่อไป 3. ระดับการปรึกþาĀารือ (Consultation) เป็นระดับขั้นที่มีการเปิดโอกาÿใĀ้มีการเจรจากัน อย่างเป็นรูปแบบระĀü่างผู้กำĀนดนโยบาย เจ้าของโครงการ ประชาชนผู้ได้รับผลกระทบและ ÿาธารณชนมีจุดมุ่งĀมายเพื่อนำข้อมูล และผลการýึกþามาปรึกþาĀารือกับประชาชนในประเด็น ปัญĀา ทางเลือก ทางแก้ไขที่เกี่ยüข้องกับนโยบายĀรือโครงการนั้นๆ โดยเปิดโอกาÿใĀ้ประชาชน ÿามารถแÿดงคüามคิดเĀ็นได้แต่ไม่มีĀลักประกันü่าแนüคüามคิดเĀล่านั้นจะถูกนำเข้าÿู่กระบüนการ พิจารณาอย่างเĀมาะÿม และมีผลต่อการตัดÿินใจเพียงใด ซึ่งอาจกล่าüได้ü่าการมีÿ่üนร่üมในประเทý ไทยÿ่üนใĀญ่อยู่ในระดับนี้โดยประเทýไทยได้ใĀ้มีการดำเนินการมีÿ่üนร่üมของประชาชนในโครงการ ที่มีผลกระทบต่อÿุขภาพอนามัยของประชาชนและคุณภาพของÿิ่งแüดล้อมอยู่ในระดับนี้ผ่านทาง กฎĀมายต่างๆ ที่เกี่ยüข้อง ได้แก่ ระเบียบÿำนักนายกรัฐมนตรีü่าด้üยการรับฟังคüามคิดเĀ็นของ ประชาชน พ.ý. 2548 และประกาýกระทรüงทรัพยากรธรรมชาติและÿิ่งแüดล้อม เรื่อง กำĀนด ประเภทและขนาดของโครงการĀรือกิจการซึ่งต้องจัดทำรายงานการüิเคราะĀ์ผลกระทบÿิ่งแüดล้อม และĀลักเกณฑ์üิธีการ ระเบียบปฏิบัติและแนüทางการจัดทำรายงานการüิเคราะĀ์ผลกระทบ
20 ÿิ่งแüดล้อม พ.ý. 2553 4. ระดับการÿร้างคüามร่üมมือ การüางแผนร่üมกัน (Involvement) เป็นระดับที่เปิดโอกาÿ ใĀ้มีการÿื่อÿารแบบÿองทาง มีขอบเขตที่กü้างขึ้น มีการรับฟังคüามคิดเĀ็นของประชาชนเกี่ยüกับ โครงการ เปิดโอกาÿใĀ้มีการüางแผนร่üมกันในการเตรียมĀรือการดำเนินโครงการ โดยเฉพาะคüาม คิดเĀ็นที่นำไปÿู่การลดผลกระทบที่อาจเกิดจากการดำเนินโครงการĀรือการลดปัญĀาคüามขัดแย้ง เĀมาะÿำĀรับการพิจารณาประเด็นที่มีคüามยุ่งยากซับซ้อน Āรือมีข้อโต้แย้งมาก อย่างไรก็ตาม ผู้มี อำนาจตัดÿินใจยังคงอำนาจการตัดÿินใจขั้นÿุดท้าย üิธีการมีÿ่üนร่üม เช่น การประชุมüางแผนแบบมี ÿ่üนร่üม กลุ่มที่ปรึกþา 5. ระดับการร่üมดำเนินการ (Partnership) ระดับนี้ผู้มีอำนาจตัดÿินใจ ผู้ดำเนินนโยบายĀรือ โครงการ และประชาชนร่üมกันจัดทำĀรือดำเนินการตามนโยบายĀรือโครงการนั้นๆ เป็นการปฏิบัติ ตามนโยบาย Āรือดำเนินโครงการร่üมกันเพื่อใĀ้บรรลุüัตถุประÿงค์เป้าĀมายที่üางไü้ 6. ระดับการร่üมตัดÿินใจ ร่üมติดตามตรüจÿอบและประเมินผล (Delegated Power) เป็น ระดับที่ประชาชนมีÿิทธิในการแลกเปลี่ยนกับผู้มีอำนาจตัดÿินใจ และÿามารถเข้าร่üมตรüจÿอบและ ติดตามผลการดำเนินการกิจกรรม/โครงการนั้นๆ ü่าบรรลุüัตถุประÿงค์และเป้าĀมายที่ตั้งไü้Āรือไม่ การมีÿ่üนร่üมของประชาชนในระดับนี้จะเป็นประโยชน์ต่อการดำเนินนโยบายและโครงการพัฒนา 7. ระดับการคüบคุมโดยประชาชน (Citizen Control) เป็นระดับการมีÿ่üนร่üมขั้นÿูงÿุด โดย ประชาชนÿามารถริเริ่มนโยบาย üางแผนและดำเนินโครงการต่างๆ ได้เองตั้งแต่ต้น โดยเจ้าĀน้าที่/ Āน่üยงานของรัฐเป็นเพียงผู้ใĀ้การÿนับÿนุนการดำเนินงาน มีการüิจัยเกี่ยüกับแนüคิดของระดับการมีÿ่üนร่üมและได้เÿนอผลการแยกระดับการมีÿ่üน ร่üมออกได้ดังนี้ 1) ระดับการใĀ้ข้อมูล 2) ระดับการเปิดรับคüามคิดเĀ็นจากประชาชน 3) ระดับการ ปรึกþาĀารือ 4) ระดับการüางแผนร่üมกัน 5) ระดับการร่üมปฏิบัติ และ 6) ระดับการคüบคุมโดย ประชาชน (ภูริüัจน์ ปุณยüุฒิปรีดา, 2563, Āน้า384-385) ซึ่งüิธีการแบ่งระดับขั้นการมีÿ่üนร่üมของ ประชาชนอาจแบ่งได้Āลายüิธีขึ้นอยู่กับüัตถุประÿงค์และคüามละเอียดของการแบ่งเป็นÿำคัญ Āรือ การแบ่งระดับขั้นการมีÿ่üนร่üมของประชาชนอาจแบ่งได้จากระดับต่ำÿุดไปĀาระดับÿูงÿุด ซึ่งจำนüน ประชาชนที่เข้าไปมีÿ่üนร่üมในแต่ละระดับจะเป็นปฏิภาคกับระดับของการมีÿ่üนร่üม กล่าüคือ ถ้า ระดับการมีÿ่üนร่üมต่ำ จำนüนประชาชนที่เข้ามีÿ่üนร่üมจะมาก และยิ่งระดับการมีÿ่üนร่üมÿูงขึ้น เพียงใด จำนüนประชาชนที่เข้ามีÿ่üนร่üมก็จะลดลงตามลำดับ ระดับการมีÿ่üนร่üมของประชาชนเรียง ตามลำดับจากต่ำÿุดไปĀาÿูงÿุด ได้แก่ (ถüิลüดี บุรีกุล, 2551 Āน้า 10-11) 1. ระดับการใĀ้ข้อมูล เป็นระดับต่ำÿุดและเป็นüิธีการที่ง่ายที่ÿุดของการติดต่อÿื่อÿารระĀü่าง ผู้กำĀนดนโยบายĀรือผู้üางแผนโครงการกับประชาชน เพื่อใĀ้ข้อมูลแก่ประชาชนเกี่ยüกับการตัดÿินใจ ของผู้กำĀนดนโยบายĀรือผู้üางแผนโครงการ แต่ไม่เปิดโอกาÿใĀ้แÿดงคüามคิดเĀ็นĀรือเข้ามา
21 เกี่ยüข้องใดๆ üิธีการใĀ้ข้อมูลอาจกระทำได้Āลายüิธีเช่น การแถลงข่าü การแจกข่าü การแÿดง นิทรรýการ และการทำĀนังÿือพิมพ์ใĀ้ข้อมูลเกี่ยüกับกิจกรรมต่างๆ ตลอดจน การใช้ÿื่ออื่นๆ เช่น โทรทัýน์üิทยุÿื่อบุคคล และĀอกระจายข่าü เป็นต้น 2. ระดับการเปิดรับคüามคิดเĀ็นจากประชาชน เป็นระดับขั้นที่ÿูงกü่าระดับแรก กล่าüคือผู้ กำĀนดนโยบายĀรือผู้üางแผนโครงการเชิญชüนใĀ้ประชาชนแÿดงคüามคิดเĀ็นเพื่อใĀ้ได้ข้อมูลมาก ขึ้น และประเด็นในการประเมินข้อดีข้อเÿียชัดเจนยิ่งขึ้น เช่น การÿำรüจคüามคิดเĀ็นของประชาชน เกี่ยüกับการริเริ่มโครงการต่างๆ และการบรรยายใĀ้ประชาชนฟังเกี่ยüกับโครงการต่างๆ แล้üขอคüาม คิดเĀ็นจากผู้ฟัง เป็นต้น อนึ่ง การรับฟังคüามคิดเĀ็นนี้จะกระทำได้อย่างมีประÿิทธิภาพและ ประÿิทธิผล ก็ต่อเมื่อประชาชนผู้มีÿ่üนได้ÿ่üนเÿีย ได้มีข้อมูลที่ถูกต้องและพอเพียง 3. ระดับการปรึกþาĀารือ เป็นระดับขั้นการมีÿ่üนร่üมของประชาชนที่ÿูงกü่าการเปิดรับ คüามคิดเĀ็นจากประชาชน เป็นการเจรจากันอย่างเป็นทางการระĀü่างผู้กำĀนดโยบายและผู้üางแผน โครงการและประชาชน เพื่อประเมินคüามก้าüĀน้าĀรือระบุประเด็นĀรือข้อÿงÿัยต่างๆ เช่น การจัด ประชุม การจัดÿัมมนาเชิงปฏิบัติการ ตลอดจน การเปิดกü้างรับฟังคüามคิดเĀ็น โดยใช้รูปแบบต่างๆ อาทิการÿนทนากลุ่ม และประชาเÿüนา เป็นต้น 4. ระดับการüางแผนร่üมกัน เป็นระดับขั้นที่ÿูงกü่าการปรึกþาĀารือ กล่าüคือ เป็นเรื่องการมี ÿ่üนร่üมที่มีขอบเขตกü้างมากขึ้น มีคüามรับผิดชอบร่üมกันในการüางแผนเตรียมโครงการ และผล ที่จะเกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการ เĀมาะÿมที่จะใช้ÿำĀรับการพิจารณาประเด็นที่มีคüามยุ่งยาก ซับซ้อนและมีข้อโต้แย้งมาก เช่น การใช้กลุ่มที่ปรึกþาซึ่งเป็นผู้ทรงคุณüุฒิในÿาขาต่างๆ ที่ เกี่ยüข้องการใช้อนุญาโตตุลาการเพื่อแก้ปัญĀาข้อขัดแย้ง และการเจรจาเพื่อĀาทางประนีประนอมกัน การประชุมüางแผนแบบมีÿ่üนร่üม เป็นอาทิ 5. ระดับการร่üมปฏิบัติเป็นระดับขั้นที่ÿูงถัดไปจากระดับการüางแผนร่üมกัน คือ เป็นระดับ ที่ผู้รับผิดชอบนโยบายĀรือโครงการกับประชาชนร่üมกันดำเนินการตามนโยบายĀรือโครงการ เป็นขั้น นำนโยบายไปปฏิบัติร่üมกันดำเนินตามĀรือโครงการร่üมกันเพื่อใĀ้บรรลุผลตามüัตถุประÿงค์ที่üางไü้ 6. ร่üมติดตามตรüจÿอบ ประเมินผล เป็นระดับการมีÿ่üนร่üมที่มีผู้เข้าร่üมน้อย แต่มี ประโยชน์ที่ผู้ที่เกี่ยüข้องĀรือได้รับผลกระทบÿามารถมาคอยติดตามการดำเนินกิจกรรมนั้น ๆ ได้รูปแบบของการติดตามตรüจÿอบĀรือประเมินผล อาจอยู่ในรูปแบบของการจัดตั้งคณะกรรมการ ติดตามประเมินผลที่มาจากĀลายฝ่าย การÿอบถามประชาชน โดยการทำการÿำรüจเพื่อใĀ้ประชาชน ประเมิน การประเมินผลนี้มีคüามÿำคัญมาก เพราะ จะมีผลต่อการพิจารณาจัดÿรรประโยชน์การยุติ Āรือคงไü้ตลอดจนปรับปรุงนโยบายĀรือโครงการ 7. ระดับการคüบคุมโดยประชาชน เป็นระดับÿูงÿุดของการมีÿ่üนร่üมโดยประชาชน เพื่อแก้ ปัญĀาข้อขัดแย้งที่มีอยู่ทั้งĀมด เช่น การลงประชามติเป็นต้น ข้อÿังเกตเกี่ยüกับการลงประชามติมี2
22 ประการ คือ ประการแรกการลงประชามติจะÿะท้อนถึงคüามต้องการของประชาชนได้ดีเพียงใดอย่าง น้อยขึ้นอยู่กับคüามชัดเจนของประเด็นที่จะลงประชามติและการกระจายข่าüÿารเกี่ยüกับข้อดีข้อเÿีย ของประเด็นดังกล่าüใĀ้ประชาชนเข้าใจอย่างÿมบูรณ์และทั่üถึง และประการที่ÿองในประเทýที่มีการ พัฒนาทางการเมืองแล้ü ผลของการลงประชามติจะมีผลบังคับใĀ้รัฐบาลต้องปฏิบัติตาม ดังนั้นÿรุปได้ü่า ระดับการมีÿ่üนร่üมนั้นเป็นทั้งการมีÿ่üนร่üมจากระดับต้นเรื่อยไปจนถึง ระดับÿูงĀรือเข้าไปมีÿ่üนร่üมอย่างเต็มที่ เป็นการÿร้างระดับอำนาจของการต่อรองและผลประโยชน์ ของประชาชนใĀ้เพิ่มมากขึ้นไปเรื่อยๆ จนÿามารถกำĀนดนโยบายได้ในที่ÿุด จำนüนประชาชนที่เข้ามี ÿ่üนร่üมในแต่ละระดับจะเป็นปฏิภาคกับระดับของการมีÿ่üนร่üม กล่าüคือ ถ้าระดับการมีÿ่üนร่üมต่ำ จำนüนประชาชนที่เข้ามีÿ่üนร่üมจะมาก และยิ่งระดับการมีÿ่üนร่üมÿูงขึ้นเพียงใด จำนüนประชาชนที่ เข้ามีÿ่üนร่üมก็จะลดลงตามลำดับ ซึ่งกระบüนการต่างๆ ของการมีÿ่üนร่üมนั้นจะเน้นคüามÿำคัญไปที่ การใĀ้ข้อมูลข่าüÿาร การปรึกþาĀารือ และการตัดÿินใจร่üมกันเป็นÿำคัญ และการมีÿ่üนร่üมในขั้น ÿูงÿุดนั้นจะเป็นไปในรูปแบบตัüแทนมากกü่าจำนüนของÿมาชิกทั้งĀมดเข้าไปดำเนินการ และ ประชาชนจะมีอำนาจÿูงÿุดในการกำĀนดนโยบายĀรือมีข้อเรียกร้องต่างๆ นำเÿนอต่อรัฐ เพื่อใĀ้ ดำเนินการตามข้อเÿนอĀรือนโยบายนั้นๆ โดยที่รัฐเป็นเพียงผู้ÿนับÿนุนเท่านั้น เพราะในที่ÿุดแĀ่งการ มีÿ่üนร่üมนั้น ผลประโยชน์จะกลับมาÿู่ประชาชนĀรือกลุ่มองค์กรเป็นÿ่üนใĀญ่ เพียงแต่รัฐเป็น ผู้ดำเนินการในการจัดĀาทรัพยากรมาดำเนินการตามนโยบายĀรือข้อเรียกร้องตามüัตถุประÿงค์ของ การมีÿ่üนร่üม เพื่อÿนองตอบต่อคüามต้องการของประชาชน ซึ่งรัฐเองอาจมีคüามไม่คุ้มค่าเกิดขึ้นกับ รัฐในการดำเนินนโยบายนั้นๆ แต่คüามคุ้มค่ากลับตกอยู่ที่ประชาชนก็ตาม รัฐก็จำเป็นที่จะต้อง ดำเนินการตามนั้นโดยที่ไม่อาจปฏิเÿธได้ เพราะĀากเมื่อใดก็ตามที่รัฐไม่ÿนองตอบต่อüัตถุประÿงค์ของ การมีÿ่üนร่üมนั้นๆ การมีÿ่üนร่üมที่รุนแรงและไม่พึงประÿงค์ก็อาจเกิดขึ้นได้เช่น การชุมนุมเรียกร้อง การประท้üง การก่อจลาจล เป็นต้น ซึ่งอาจเป็นปัญĀาÿำคัญของรัฐและเป็นการÿูญเÿียโอกาÿใน Āลายๆ มิติของรัฐ มากกü่าที่จะดำเนินการตามüัตถุประÿงค์ของการมีÿ่üนร่üมของประชาชน จากแนüคิดเกี่ยüกับระดับของการมีÿ่üนร่üม และผลการýึกþาของนักüิชาการต่าง ๆ ÿามารถÿังเคราะĀ์แนüคิดĀลักเกี่ยüกับระดับของการมีÿ่üนร่üม ÿรุปได้ตามตารางที่ 2.1.4 ดังนี้ ตารางที่ 2.4 แนüคิดĀลักที่นักüิชาการทำการýึกþาเกี่ยüกับระดับการมีÿ่üนร่üม (ที่มา: แนüคิดĀลักของระดับการมีÿ่üนร่üมได้มาจากท่านที่เÿนอไü้ในตาราง) นักวิชาการĀรือนักวิจัย แนวคิดĀลัก ประภาý ปานเจี้ยง, ยุüัลดา ชู รักþ์ และ ฉัตรจงกล ตุลนิþกะ, (2561, Āน้า 965) การมีÿ่üนร่üมที่มีประÿิทธิภาพ คือการร่üมกระทำตั้งแต่การ ร่üมคิดüางแผน การกำĀนดüิธีการทำงาน การลงมือทำงาน และการประเมินผลการทำงาน
23 พรมงคล ชิดชอบ และคณะ, (2555, Āน้า 10-12) 1. การมีÿ่üนร่üมในระดับใĀ้ข้อมูลข่าüÿาร 2. การมีÿ่üนร่üมในระดับปรึกþาĀารือ 3. การมีÿ่üนร่üมในระดับเข้ามามีบทบาท 4. การมีÿ่üนร่üมในระดับÿร้างคüามร่üมมือ 5. การมีÿ่üนร่üมในระดับใĀ้อำนาจแก่ประชาชน จุฑารัตน์ ชมพันธุ์, (2555, Āน้า 133-134) 1. ระดับการใĀ้ข้อมูล 2. ระดับการรับฟังคüามคิดเĀ็นของประชาชน 3. ระดับการปรึกþาĀารือ 4. ระดับการÿร้างคüามร่üมมือ 5. ระดับการร่üมดำเนินการ 6. ระดับการร่üมตัดÿินใจ 7. ระดับการคüบคุมโดยประชาชน ภูริüัจน์ ปุณยüุฒิปรีดา, (2563, Āน้า 384-385) 1) ระดับการใĀ้ข้อมูล 2) ระดับการเปิดรับคüามคิดเĀ็นจากประชาชน 3) ระดับการปรึกþาĀารือ 4) ระดับการüางแผนร่üมกัน 5) ระดับการร่üมปฏิบัติ 6) ระดับการคüบคุมโดยประชาชน ถüิลüดี บุรีกุล, (2551, Āน้า 10-11) 1. ระดับการใĀ้ข้อมูล 2. ระดับการเปิดรับคüามคิดเĀ็นจากประชาชน 3. ระดับการปรึกþาĀารือ 4. ระดับการüางแผนร่üมกัน 5. ระดับการร่üมปฏิบัติ 6. ร่üมติดตามตรüจÿอบ ประเมินผล 7. ระดับการคüบคุมโดยประชาชน 2.2 แนวคิดเกี่ยวกับการปรับตัวทางÿังคม เมื่อเข้าÿู่üัยผู้ÿูงอายุผู้ÿูงอายุจะมีการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ มากมายที่ผู้ÿูงอายุและครอบครัü ต้องเผชิญ ไม่ü่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงทางด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์ ÿังคม และเýรþฐกิจของ ผู้ÿูงอายุ Āรือการเปลี่ยนแปลงทางด้านจิตใจ การดูแลของผู้อยู่รอบข้างของผู้ÿูงอายุเอง ดังนั้นการ ปรับตัüทางÿังคมของผู้ÿูงอายุจึงเป็นÿิ่งจำเป็น ซึ่งการปรับตัüทางÿังคม (Social Adjustment)
24 Āมายถึง คüามÿามารถในการปรับตัüของบุคคลบุคคลĀนึ่ง ทั้งทางด้านคüามคิด คüามรู้ÿึก และ พฤติกรรม เพื่อใĀ้ÿอดคล้องกับÿถานการณ์ที่ปรับเปลี่ยนไปในÿังคมที่เป็นอยู่ โดยการปรับตัüทาง ÿังคมนี้แบ่งออกเป็น 6 ด้าน (Wiesseman et al., 1981) ดังนี้ 1) ด้านมาตรฐานทางÿังคม (Social Standard) คือ การที่บุคคลมีคüามเข้าใจ เต็มใจปฎิบัติ ตามกฎของÿังคม เคารพÿิทฺธิผู้อื่น ยึดĀลักจรรยาบรรณในการทำงาน และเĀ็นแก่ประโยชน์ÿ่üนรüม มากกü่าประโยชน์ÿ่üนตน 2) ด้านทักþะทางÿังคม (Social Skills) คือ การที่บุคลไü้üางใจ ยอมรับผู้อื่นโดยปราýจาก อคติ ผูกมิตรและประÿานงคüามร่üมมือในการทำกิจกรรมต่าง ๆ 3) ด้านแนüโน้มพฤติกรรมต่อต้านÿังคม (Anti-Social Tendencies) คือ การที่บุคคลยินดี ปฏิบัติตามกฎระเบียบของÿังคม ไม่ก่อใĀ้เกิดปัญĀาอันเป็นต้นเĀตุใĀ้เกิดคüามไม่ÿงบในÿังคม 4) ด้านคüามคüามÿัมพันธ์ในครอบครัü (Family Relations) คือ การที่บุคคลรู้ÿึกอบอุ่น ภูมิใจที่เป็นÿ่üนĀนึ่งของครอบครัü และÿามารถทำกิจกรรมต่าง ๆ ร่üมกับบุคคลในครอบครัüได้อย่าง ÿบายใจ 5) ด้านคüามÿัมพันธ์ในÿถานบันการýึกþา/ชมรม/กลุ่มÿังคม (School/Organization Rations) คือ การที่บุคคลมีคüามภูมิใจ พอใจต่อÿถาบันการýึกþา/ชมรม/กลุ่มÿังคม ÿามารถปรับตัü เข้ากับเพื่อนและอาจารย์ได้ดี 6) ด้านคüามÿัมพันธ์ในชุมชนที่อยู่อาýัย (Community Relations) คือ การที่บุคคลยินดี ปฏิบัติตามข้อตกลงĀรือร่üมทำกิจกรรมต่าง ๆ ของชุมชนĀรือที่อยู่อาýัย Roy, T.R., (1991) ได้ทำการüิจัยและเÿนอü่า การปรับตัü คือ การปรับตัüทางกาย ใจ ÿังคม เพื่อใĀ้เกิดÿมดุล ซึ่งในที่ÿุดแล้üเมื่อทุกอย่าง ÿมดุล บุคคลจะÿามารถด ารงชีüิตได้ด้üยตนเองและเป็น ปกติโดยองค์ประกอบตามแนüคิดมี 4 องค์ประกอบ คือ 1. ด้านร่างกาย 2. ด้านคüามคิดเกี่ยüกับ ตนเอง 3. ด้านบทบาทĀน้าที่ 4. ด้านการพึ่งพาซึ่งกันและกัน ตลอดจนการมีÿัมพันธภาพที่ดีใน ครอบครัüต่อกัน ซึ่งการüิจัยของÿุขุมาล Āüังüณิชพันธุ์ และคณะ (2553) พบü่า ลักþณะของการ ปรับตัüเป็นการที่บุคคลจะปรับตัüเข้ากับÿังคมได้ดีต้องประกอบไปด้üยลักþณะดังต่อไปนี้ 1) บรรทัดฐานทางÿังคม Āมายถึง การที่บุคคลมีคüามเคารพต่อÿิทธิของผู้อื่น เĀ็นแก่ ประโยชน์ÿ่üนร่üม บุคคลประเภทนี้จะเข้าใจคüามถูกต้องของÿังคม 2) ทักþะทางÿังคม Āมายถึง การที่บุคคลปรับตัüเข้ากับผู้อื่นได้ดี ทั้งกับเพื่อน และคนแปลก Āน้าที่เป็นที่ชื่นชอบของผู้อื่น 3) คüามÿัมพันธ์ในครอบครัü Āมายถึง การที่บุคคลรู้ÿึกü่าได้รับคüามรัก การดูแลอย่างดีใน ครอบครัü มีคüามรู้ÿึกอบอุ่น ปลอดภัย และมีคüามÿัมพันธ์กับบุคคลในบ้านอย่างดี
25 4) คüามÿัมพันธ์ในโรงเรียน Āมายถึง การที่บุคคลรู้ÿึกü่าได้รับคüามรู้จากครู มีคüามÿุขใน การอยู่ร่üมกันกับเพื่อนักýึกþา รู้ÿึกü่างานในมĀาüิทยาลัยเĀมาะกับคüามÿนใจของตนและüุฒิภาüะ ของตนเอง 5) คüามÿัมพันธ์กับชุมชน Āมายถึง การที่บุคคลเข้าร่üมกับเพื่อนบ้านและชุมชนอย่างมี คüามÿุข มีÿ่üนร่üมปรับปรุงชุมชนของตน เข้าÿังคมกับคนแปลกĀน้าได้มีคüามพอใจใน กฎเกณฑ์ และÿüัÿดิภาพของชุมชน การปรับตัüทางÿังคม จึงเป็นÿิ่งที่บุคคลปรับเปลี่ยนÿิ่งต่าง ๆ ทั้งภายในตนเองและภายนอก เพื่อÿนองตอบคüามต้องการ คือ คüามต้องการทางร่างกาย คüามต้องการทางจิตใจ และที่ÿำคัญ คือ คüามต้องการทางÿังคม ที่บุคคลนั้นจะต้องใช้ชีüิตอยู่ร่üมกันในครอบครัüและÿังคมได้อย่างเป็นปกติ และมีคüามÿุขทั้งตนเองและคนรอบข้าง นอกจากนั้นการปรับตัüเป็นการแก้ไขปรับปรุงคüามคับข้อง ใจ ด้üยการแÿüงĀาüิถีทางในการตอบÿนองคüามต้องการของตนเอง ทั้งการปรับตัüทั้งภายนอกและ ภายในร่างกาย ใĀ้ÿามารถปรับตัüได้ดีต่อÿภาüะแüดล้อมในชีüิต รüมทั้งการÿนองคüามต้องการทั้ง ทางร่างกาย จิตใจ และÿังคม (ÿุขุมาล Āüังüณิชพันธุ์ และคณะ, 2553) การปรับตัüทางÿังคมนี้ เกิดขึ้นได้ในĀลาย ๆ บริบท เช่น ในครอบครัü ÿถานýึกþา และÿังคมทั่üไป และเกิดขึ้นได้ตลอดเüลา บุคคลที่ปรับตัüทางÿังคมได้ดีจะÿามารถติดต่อÿื่อÿารกับผู้อื่นได้อย่างมีประÿิทธิภาพ มีทักþะ ในการ แก้ปัญĀาโดยไม่ÿร้างคüามเดือดร้อนใĀ้แก่ตนเองและผู้อื่น ÿ่งผลใĀ้เกิดคüามพึงพอใจในปฏิÿัมพันธ์ ระĀü่างบุคคลและÿิ่งแüดล้อม (ÿุดา รองเมือง และคณะ, 2013, น. 114-128) การปรับตัüทางÿังคมนั้น เป็นคüามÿามารถของบุคคลในการปรับคüามคิด คüามรู้ÿึก และ พฤติกรรมใĀ้เĀมาะÿมตามบทบาทของตนเองใน ÿังคม เป็นคüามÿามารถจัดการและแก้ปัญĀาคüาม ต้องการในการดำรงชีüิตประจำüัน (กนกพร เรืองเพิ่มพูล และคณะ, 2011, น. 478-492) บุคคลที่ ปรับตัüทางÿังคมได้ดีเมื่อต้องเผชิญÿถานการณ์ต่าง ๆ ในชีüิต ก็จะÿามารถผ่านพ้นไปได้อย่างมี ประÿิทธิภาพ การที่บุคคลมีคüามÿามารถปรับตัüทางÿังคมได้อย่างเĀมาะÿมจะเป็นบุคคลที่ÿามารถ ดําเนินชีüิตได้อย่างมีคüามÿุข ÿามารถเอาชนะปัญĀาĀรืออุปÿรรคที่เกิดขึ้นในชีüิตประจำüันได้อย่างมี ประÿิทธิภาพ ขจัดĀรือลดคüามกดดัน คüามคับข้องใจในÿถานการณ์ต่าง ๆ ที่เผชิญตามคüามเป็นจริง บุคคลÿามารถตอบÿนองคüามต้องการทั้งทางร่างกาย จิตใจ ÿังคม และอารมณ์ มีคüามมั่นคงทาง อารมณ์ มีÿุขภาพจิตที่ดี รüมไปถึงÿามารถคงคüามÿัมพันธ์ที่ดีกับบุคลรอบข้างทีเกี่ยüข้องได้ บุคคลที่ ไม่ÿามารถปรับตัüทางÿังคมได้อย่างเĀมาะÿมนั้น จะÿ่งผลเÿียต่อบุคคลทั้งร่างกาย จิตใจ อารมณ์ และÿังคม จะทําใĀ้ร่างการทรุดโทรม จิตใจไม่ปกติ Āรือÿุขภาพจิตไม่ดี มีคüามüิตกกังüล คüามเครียด อยู่ตลอด ไม่ÿามารถที่จะแก้ปัญĀา Āรือเอาชนะอุปÿรรคที่เข้ามาในชีüิตประจำüันได้ มีÿัมพันธภาพที่ ไม่ดีต่อคนรอบข้าง ต่อคนในชุมชน อาจทําใĀ้บุคคลเĀล่านั้นมีการแก้ไขปัญĀาในทางที่ผิดที่อาจจก่อ ใĀ้เกิดผลเÿียต่อตนเองและผู้อื่นที่ร่üมอยู่ในÿังคมได้
26 ลักþณะของการปรับตัüนั้น เป็นการที่บุคคลจะปรับตัüเข้ากับÿังคมได้ดีต้องประกอบไปด้üย ลักþณะดังต่อไปนี้(ÿุขุมาล Āüังüณิชพันธุ์ และคณะ, 2553, Āน้า 23-26) คือ 1) บรรทัดฐานทางÿังคม Āมายถึง การที่บุคคลมีคüามเคารพต่อÿิทธิของผู้อื่น เĀ็นแก่ ประโยชน์ ÿ่üนร่üม บุคคลประเภทนี้จะเข้าใจคüามถูกต้องของÿังคม 2) ทักþะทางÿังคม Āมายถึง การที่บุคคลปรับตัüเข้ากับผู้อื่นได้ดี ทั้งกับเพื่อน และคนแปลก Āน้าที่เป็นที่ชื่นชอบของผู้อื่น 3) คüามÿัมพันธ์ในครอบครัü Āมายถึง การที่บุคคลรู้ÿึกü่าได้รับคüามรัก การดูแลอย่างดีใน ครอบครัü มีคüามรู้ÿึกอบอุ่น ปลอดภัย และมีคüามÿัมพันธ์กับบุคคลในบ้านอย่างดี 4) คüามÿัมพันธ์ในโรงเรียน Āมายถึง การที่บุคคลรู้ÿึกü่าได้รับคüามรู้จากครู มีคüามÿุขใน การอยู่ร่üมกันกับเพื่อนักýึกþา รู้ÿึกü่างานในมĀาüิทยาลัยเĀมาะกับคüามÿนใจของตนและüุฒิภาüะ ของตนเอง 5) คüามÿัมพันธ์กับชุมชน Āมายถึง การที่บุคคลเข้าร่üมกับเพื่อนบ้านและชุมชนอย่างมี คüามÿุข มีÿ่üนร่üมปรับปรุงชุมชนของตน เข้าÿังคมกับคนแปลกĀน้าได้ มีคüามพอใจใน กฎเกณฑ์ และÿüัÿดิภาพของชุมชน ÿรุปได้ü่า การปรับตัüทางÿังคมของผู้ÿูงอายุ คือ การที่ผู้ÿูงอายุÿามารถที่จะปรับüิธีคิด ปรับ ทัýนคติ ปรับพฤติกรรมการแÿดงออก ปรับทักþะในการใช้ชีüิตร่üมกับคนในครอบครัü และเพื่อน บ้าน Āรือบุคคลรอบข้างในชุมชนได้ ไม่ü่าจะเกิดอะไรขึ้นในการใช้ชีüิตĀรือเผชิญÿถานการณ์ต่าง ๆ ในแต่ละüัน ผู้ÿูงอายุก็ÿามารถผ่านพ้นไปได้อย่างมีประÿิทธิภาพ และทำใĀ้การดำรงชีüิตอยู่ได้อย่าง ปกติ และมีคüามÿุข 2.3 แนวคิดและทฤþฎีเกี่ยวกับกระบวนการและการเปลี่ยนแปลงทางÿังคม มนุþย์รู้จักรüมตัüเป็นĀมู่เĀล่า โดยระยะแรก ๆ ได้รüมตัüกันอยู่อย่างง่าย ๆ แล้üจึงค่อย ๆ üิüัฒนาการมาตามลำดับจนกลายเป็นÿังคม เป็นบ้านเมืองอย่างทุกüันนี้ เĀตุที่มนุþย์ต้องรüมกันอยู่ เป็นกลุ่มก้อนĀรือเป็นÿังคมนั้น ก็เพราะมนุþย์ต้องพึ่งพาอาýัยกันในการดำรงชีพ เช่น ช่üยกันĀาĀรือ ผลิตอาĀาร ช่üยกันÿร้างบ้านĀรือที่อยู่อาýัย ช่üยกันÿร้างเครื่องมือĀรืออาüุธ ช่üยป้องกันภัยที่อาจ เกิดขึ้นจากธรรมชาติĀรือจากการรุกรานของมนุþย์ด้üยกัน และมนุþย์ยังมีคüามต้องการอื่น ๆ จาก กันและกันอีกมาก จากแนüคิดของนักÿังคมüิทยามีคüามเĀ็นü่า ÿังคมกับมนุþย์จะแยกจากกันไม่ได้ เพราะมนุþย์เริ่มเกิดมาก็ต้องอาýัยÿังคม ต้องพึ่งพาอาýัยมนุþย์ด้üยกัน ต้องมีคüามÿัมพันธ์กัน และ กระทำต่อกันทางÿังคมเพื่อประโยชน์แĀ่งตนและÿังคมในการดำรงชีüิต 2.3.1 ความĀมายของกระบวนการทางÿังคม
27 กระบüนการทางÿังคมเป็นรูปแบบของปฏิกิริยาโต้ตอบทางÿังคมของกลุ่มĀรือบุคคลในÿังคม นั้นๆ ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นในรูปของการขัดแย้ง การแข่งขัน การร่üมมือ การตกลงเĀ็นพ้อง ใน กระบüนการดังกล่าüจะปรากฎกระบüนการเกี่ยüกับถ่ายทอดแนüคüามคิด การÿอน การเรียนรู้ การ เลียนแบบ การมีอำนาจเĀนือ การคุ้มครอง การเชื่อฟัง การต่อÿู้ การแข่งขัน การปรับตัü และร่üมมือ ซึ่งเกิดขึ้นจากการมีปฏิÿัมพันธ์กันของบุคคลĀรือกลุ่มคน เพื่อถ่ายทอดแนüคิด การเรียนรู้ Āรือ แนüทางของการปฏิบัติต่อกันและกัน มีนักüิชาการได้ใĀ้แนüคิดเกี่ยüกับคüามĀมายของกระบüนการ ทางÿังคมไü้ĀลากĀลายทัýนะ ดังนี้ กระบüนการทางÿังคม (Socialization) เป็นกระบüนการÿอนใĀ้คนมีพฤติกรรมเĀมาะÿมกับ ปทัÿถานของÿังคม โดยต้องÿอนใĀ้คนมีพฤติกรรมเป็นที่ยอมรับของÿังคม มีคüามคิดÿร้างÿรรค์ ดังนั้นจึงต้องÿอนใĀ้เกิดการเรียนรู้การซึมซับ และนำไปปฏิบัติได้ (Morrison _& Macintiyre, 1975, p. 56) ซึ่งÿอดคล้องกับแนüคิดที่ü่ากระบüนการทางÿังคม เป็นการอบรมใĀ้รู้ระเบียบของÿังคม เป็น ÿิ่งที่มนุþย์ต้องประÿบตั้งแต่เล็กจนโตเป็นผู้ใĀญ่ การอบรมÿั่งÿอนนั้นทำใĀ้มนุþย์มีคุณลักþณะ คüามÿามารถ อุดมคติ คุณค่า และรูปแบบของพฤติกรรม ก่อใĀ้เกิดคüามรู้ÿึกเป็นตัüของตัüเอง จึง อาจกล่าüได้ü่า การอบรมเลี้ยงดู Āรือขบüนการทางÿังคม เป็นกระบüนการทำใĀ้รู้ระเบียบทางÿังคม โดยการถ่ายทอดüัฒนธรรม และเพื่อพัฒนาบุคลิกภาพ (Bloom and Selsnic, 2008, p. 45) และ ในอนüคิดที่ü่ากระบüนการทางÿังคม เป็นüิธีการต่าง ๆ ที่ช่üยใĀ้บุคคลเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมไปใน แนüทางที่ÿอดคล้องกับบุคคลÿ่üนใĀญ่ของÿังคม เป็นพฤติกรรมที่ÿังคมคาดĀวัง และบุคคลจะต้อง เรียนรู้ต่อเนื่องไปตลอดชีüิต เช่น เรื่องแนüคüามคิด คüามเชื่อ เจตคติ ตลอดจนพฤติกรรมต่าง ๆ ใน ÿังคม เพื่อช่üยใĀ้บุคคลÿามารถดำรงชีüิตอยู่ในÿังคมได้อย่างมีคüามÿุข (ÿุรางค์ จันทน์เอม, 2552, p.22-23) 2.3.2 แนวคิดเกี่ยวกับกระบวนการทางÿังคม การกระทำของมนุþย์ในฐานะเป็นÿ่üนĀนึ่งของÿังคม จะมีพฤติกรรมที่เรียกü่าเป็นการ กระทำทางÿังคม ซึ่งĀมายถึง การกระทำที่บุคคลแÿดงออกมาโดยที่การกระทำนั้นมีÿ่üนเกี่ยüข้องกับ คนอื่น มีบางครั้งเĀมือนกันที่พฤติกรรมของบุคคลไม่เกี่ยüข้องÿังÿรรค์กับคนอื่น แต่เป็นเพียงชั่üครู่ชั่ü ยามเท่านั้น เช่น การนอนĀลับ ตามปกติแล้üบุคคลมักจะĀลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะอยู่โดยไม่ÿังÿรรค์กับคน อื่นเลย การเกี่ยüข้องกับผู้อื่นเĀ็นได้ทั้งทางตรงและทางอ้อม ทางตรง คือ การเกี่ยüข้องระĀü่างÿอง ฝ่ายที่ติดต่อโดยตรง เช่น การพูดคุย การโทรทัýน์ Āรือทางอ้อม โดยเรานั่งอยู่คนเดียü ใช้คüามนึก คิดถึงบุคคลอื่น Āรือมักจะÿ่งผลกระทบกระเทือนต่อผู้อื่น ในขณะเดียüกัน กระบüนการทางÿังคมก็ เป็นÿ่üนเดียüกันกับการเคลื่อนไĀüทางÿังคมด้üย ทั้งนี้เพราะการเคลื่อนไĀüทางÿังคมนั้นก็เป็นคüาม พยายามในการขับเคลื่อนÿังคมในลักþณะของกระบüนการที่เป็นไปในเชิงของพลüัตทางÿังคม
28 กระบüนการทางÿังคมเกิดจากการกระทำระĀü่างกันทางÿังคม (Social Interaction) ของ บุคคลĀรือกลุ่มบุคคลซึ่งมีแบบต่าง ๆ กัน อาจเป็นไปในรูปของการขัดแย้ง การแข่งขัน การร่üมมือ คüามเĀ็นพ้องต้องกันĀรือการกลืนกลาย กระบüนการทางÿังคมมีลักþณะÿำคัญ 3 ประการ คือ 1. ต้องมีการติดต่อทางÿังคม (social contact) คือ บุคคลนับตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปมี คüามÿัมพันธ์ติดต่อซึ่งกันและกัน 2. มีการถ่ายทอดคüามรู้ÿึกนึกคิดระĀü่างบุคคลที่ติดต่อโดยการใช้ÿัญลักþณ์ ซึ่งอาจเป็น ภาþาเขียน ภาþาพูด Āรือกิริยาท่าทางก็ได้ 3. มีÿิ่งเร้า (stimulation) และมีการตอบÿนอง (response) จากลักþณะข้อ 1 และ 2 ทำใĀ้ เกิดพฤติกรรมตามมา ในเรื่องขั้นตอนกระบüนการทางÿังคม มีนักüิชาการĀลายท่านได้ýึกþานี้ และได้ผลในĀลาย ทรรýนะดังนี้ ขั้นตอนกระบüนการทางÿังคมนั้นจะมี5 ขั้นตอน (ÿุพัตรา ÿุภาพ, 2554, Āน้า 55-57) ดังนี้ ขั้นแรกเมื่อทารกเริ่มคลอดออกจากครรภมารดา ทารกจะไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ไม่ÿามารถ แยกคüามแตกต่างได้ ขั้นที่ÿอง เป็นระยะที่ทารกÿามารถจำและแยกแยะได้ü่าใครคือมารดาของตน และใครคือคน อื่น ทารกจะÿามารถรับรู้ถึงคüามแตกต่างระĀü่างการเลี้ยงดู คüามรัก และการใĀ้คุณใĀ้โทþ ซึ่งเป็น üิธีการเริ่มĀัดใĀ้เด็กกระทำในÿิ่งที่ถูกที่คüรตามüัฒนธรรมที่มีอยู่ในÿังคมนั้น ขั้นที่ÿาม เป็นขั้นที่เด็กเริ่มเรียนรู้คüามแตกต่างระĀü่างเพý ชีüิตเด็กเริ่มขยายüงจากÿังคม ภายในครอบครัüออกไปนอกบ้าน เด็กจะÿามารถเĀ็นคüามแตกต่างในบทบาทของบิดามารดา พี่น้อง และรู้จักคüามรัก ทะนุถนอมจากเพýตรงข้าม ในระยะนี้เด็กชายจะแÿดงอัตลักþณ์ของการเป็นผู้ชาย และเด็กĀญิงจะแÿดงอัตลักþณ์ของผู้Āญิง ขั้นที่ÿี่ เป็นระยะที่เด็กโตจนถึงขนาดที่เรียกü่าüัยรุ่น ในระยะนี้เด็กต้องการคüามอิÿระและ ได้เรียนรู้ประÿบการณ์พบเĀ็นคüามÿลับซับซ้อนของÿังคมมากขึ้น เด็กจะออกไปÿู่โลกกü้าง เริ่มพบ เĀ็นโลกจริง ๆ และเป็นระยะที่เด็กมีปัญĀาü้าüุ่นมาก พฤติกรรมของเด็กในระยะนี้ถ้าขาดการอบรมÿั่ง ÿอนที่ดี จะเป็นบ่อเกิดของพฤติกรรมที่ขัดต่อข้อบังคับของÿังคมได้ง่าย ขั้นที่Ā้า เป็นตอนที่ทุกคนเป็นผู้ใĀญ่ มีความเจริญทั้งทางกายและจิตใจ มีคüามรู้ÿึกนึกคิดเป็น ผู้ใĀญ่ÿมบูรณ์และเป็นÿมาชิกของÿังคมได้อย่างเต็มภาคภูมิ อย่างไรก็ตาม ในระยะที่บุคคลมี คüามเจริญบรรลุภาüะÿุกถึงขีด บุคคลก็ยังจะต้องผ่านกระบüนการÿังคมอยู่ตลอดไปจนกü่าชีüิตจะĀาไม่ ซึ่งมีงานüิจัยที่ýึกþาในประเด็นเดียüกันและได้ผลÿอดคล้องกันü่า ขั้นตอนกระบüนการทาง ÿังคมประกอบด้üย 5 ขั้นตอน (คนึง เทüฤทธิ์, 2558, Āน้า67-68) ดังนี้ ขั้นตอนที่ 1 เป็นช่üงของเด็กüัยทารกเป็นการเรียนรู้จากผู้ที่เลี้ยงดู ดูแลรักþา ÿ่üนมากเด็กจะ
29 เรียนรู้เรื่องอาĀารและการดูแลรักþาเท่านั้น ขั้นตอนที่ 2 เป็นüัยเด็กเล็กที่เด็กเริ่มเรียนรู้จากบุคคลอื่นที่กü้างออกไป เริ่มเรียนรู้เรื่องคüาม รัก คüามถูกต้องตามÿังคมและüัฒนธรรม ขั้นตอนที่ 3 เป็นช่üงก่อนเข้าÿู่üัยรุ่น เด็กจะเรียนรู้จากÿังคมที่กü้างออกไปมากขึ้น ÿังคมจะ เป็นผู้ÿั่งÿอนเรื่องบทบาท โดยเฉพาะบทบาทคüามเป็นผู้ĀญิงĀรือผู้ชาย ขั้นตอนที่ 4 เป็นช่üงของการเป็นüัยรุ่น เด็กจะเรียนรู้จากÿังคมกลุ่มเพื่อนและÿถาบันทางการ เรียนรู้มากกü่าครอบครัü ขั้นตอนที่ 5 ช่üงการเป็นผู้ใĀญ่ เป็นการเรียนรู้จากการติดต่อÿื่อÿาร โดยเฉาะในเรื่องที่ÿนใจ ÿüนมากเป็นการเรียนรู้เพื่อการดำรงชีพĀรือตามคüามเชื่อ นอกจากนี้ยังมีผลüิจัยĀลักการÿำคัญของกระบüนการทางÿังคมไü้(รุ่งนภา ภüภูตานนท์, 2554, Āน้า 44-49) ดังนี้ 1. การปะทะÿัมพันธ์ของมนุþย์ เพื่อการแÿดงพฤติกรรมที่เĀมาะÿมตามมาตรฐานและเป็นที่ ยอมรับของÿังคม 2. คüามÿามารถในการใช้ภาþา ภาþาเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการติดต่อ การถ่ายทอดüัฒนธรรม และขนบธรรมเนียมประเพณี และเป็นÿื่อในการเรียนรู้ 3. การยอมรับด้üยคüามรักใคร่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากพ่อแม่ เป็นÿิ่งที่จำเป็นมากที่จะทำใĀ้ เกิดการพัฒนาบุคลิกภาพของเด็ก โดยมีการüิจัยถึงÿถาบันĀรือบุคคลที่ทำĀน้าที่เกี่ยüกับกระบüนการทางÿังคมเอาไü้ (üิชัย ภู โยธิน, 2553, Āน้า 22-23) ดังนี้ 1. ครอบครัü เป็นตัüแทนÿำคัญที่ÿุดในการทำĀน้าที่ขัดเกลาทางÿังคม เพราะเป็นÿถาบัน แรกที่เด็กจะได้ระบบการอบรมÿั่งÿอนและจะมีคüามผูกพันทางÿายโลĀิตอย่างลึกซึ้ง ซึ่งจะมีผลทาง อารมณ์ คüามประพฤติ เจตคติ ตลอดจนบุคลิกภาพของบุคคลมากที่ÿุด เช่น พ่อแม้ÿั่งÿอนใĀ้ลูกเป็น คนกตัญญู เป็นต้น 2. กลุ่มเพื่อน เป็นตัüแทนที่ทำĀน้าที่ขัดเกลาทางÿังคมอีกĀน่üยĀนึ่ง เนื่องจากกลุ่มแต่ละ กลุ่มย่อมมีระเบียบ คüามเชื่อและค่านิยมเฉพาะกลุ่มตนเอง ซึ่งอาจแตกต่างกันออกไปตามลักþณะ กลุ่ม เช่น การแต่งกาย กลุ่มเดียüกันก็จะแต่งกายคล้ายๆ กัน 3. โรงเรียน เป็นตัüแทนÿังคมที่ทำĀน้าที่โดยตรงในการขัดเกลาÿมาชิกตั้งแต่ในüัยเด็กจนถึง ผู้ใĀญ่ โดยอบรมด้านคุณธรรม จริยธรรม ขนบธรรมเนียม ประเพณีต่างๆ ของÿังคม ตลอดจนค่านิยม และทักþะอันจำเป็นใĀ้แก่ÿมาชิกในÿังคม 4. ýาÿนา เป็นตัüแทนในการขัดเกลาจิตใจของคนในÿังคมยึดมั่นในÿิ่งที่ดีงาม มีýีลธรรม จริยธรรม และคüามประพฤติในทางที่ถูกที่คüร โดยýาÿนาจะมีอิทธิพลทางจิตüิทยาต่อบุคคลในการ
30 ÿร้างบุคลิกภาพเป็นอย่างมาก 5. กลุ่มอาชีพ อาชีพแต่ละประเภทจะมีการจัดระเบียบปฏิบัติเฉพาะกลุ่ม เช่น กลุ่มที่มีอาชีพ ค้าขายจะต้องมีคüามซื่อÿัตย์ไม่เอาเปรียบลูกค้า ผู้ที่เป็นÿมาชิกใĀม่ของกลุ่มต่างๆ ก็ต้องเรียนรู้ ประเพณีของกลุ่มอาชีพที่ตนเป็นÿมาชิกอยู่ 6. ÿื่อมüลชน มีอิทธิพลต่อการเรียนรู้ข้อมูลข่าüÿารของÿมาชิกในÿังคม มีÿ่üนในการขัดเกลา ทางÿังคมแก่มนุþย์ในด้านต่างๆ ทั้งด้านคüามคิด คüามเชื่อ แบบแผนการประพฤติปฏิบัติ โดยงานวิจัยÿถาบันĀรือบุคคลที่ทำĀน้าที่เกี่ยüกับกระบüนการทางÿังคมที่ÿอดคล้องกัน (โÿภา ชปิลมันน์, 2553, Āน้า 58) ดังนี้ 1. ÿถาบันครอบครัü เป็นÿถาบันพื้นฐานที่ขัดเกลามนุþย์ใĀ้รู้ü่าÿิ่งใดคüรทำĀรืออะไรถูก อะไรผิด เป็นต้น เป็นÿถาบันที่มีอิทธิพลต่อการพัฒนาบุคลิกภาพอย่างลึกซึ้ง และมีอิทธิพลต่ออารมณ์ ทัýนคติ และคüามประพฤติของเด็กเป็นอย่างยิ่ง 2. กลุ่มเพื่อน เป็นกลุ่มที่มีอายุระดับใกล้เคียงกัน โดยอาจจะรüมกันเป็นกลุ่มเพื่อนธรรมดา จนถึงชมรม ÿมาคมที่ตนÿนใจ เช่น เพื่อนร่üมชั้น ชมรมฟุตบอล เนตบอล ÿมาคมนักเรียนเก่า ฯลฯ 3. โรงเรียน โรงเรียนเÿมือนเป็นบ้านที่ÿองของเด็กในการที่จะได้รับคüามรู้คüามคิดต่าง ๆ และüิชาการต่าง ๆ อย่างเป็นทางการ โดยเฉพาะÿังคมปัจจุบันโรงเรียนเป็นÿถานที่ÿำคัญในเรื่องการ ใĀ้การขัดเกลาแก่เด็ก ตลอดจนทำใĀ้เด็กมีโอกาÿพบปะÿมาคมกับเพื่อนในüัยเดียüกัน ซึ่งปัญĀาที่เกิด จากการขัดเกลาของโรงเรียนอาจจะไม่ตรงกับพ่อแม่ผู้ปกครอง เด็กเลยÿับÿนไม่ทราบü่าของใครจะถูก กü่ากัน เช่น แม่ü่าอย่าง ครูü่าอีกอย่าง ครูü่าผิด แม่บอกü่าถูก ครูü่าไม่ดี พ่อแม่ü่าดี เป็นต้น อีกปัญĀา Āนึ่งที่พบได้บ่อยก็คือ ÿอนในลักþณะที่เป็นทฤþฎีĀรืออุดมคติจนเกินไป อาจจะไม่ตรงกับÿิ่งที่ปฏิบัติ ในชีüิตจริง เช่น ทำดีได้ดี แต่เด็กเĀ็นคนทำชั่วได้ดี ÿ่วนคนทำดีได้ชั่üเด็กอาจจะเÿื่อมýรัทธาได้ 4. กลุ่มอาชีพ เป็นกลุ่มอาชีพต่าง ๆ ในÿังคม ซึ่งแต่ละกลุ่มอาชีพจะมีคุณค่าĀรือระเบียบ กฎเกณฑ์ไปตามอาชีพของตน เช่น ครูต้องÿอนลูกýิþย์ด้üยคüามเมตตา นักÿังคมÿงเคราะĀ์ไม่ เปิดเผยคüามลับของผู้มารับการÿงเคราะĀ์ แพทย์รักþาคนไข้ด้วยจรรยาบรรณ ไม่เĀ็นแก่เงิน เป็นต้น แต่ละอาชีพจึงมีบุคลิกภาพแตกต่างกันไป เช่น ตำรวจก็แตกต่างจากแพทย์ นางพยาบาลก็แตกต่าง จากพอค้า ครูแตกต่างจากüิýüกร 5. ตัüแทนýาÿนา เป็นตัüแทนที่ขัดเกลาคนĀรือแนะแนüทางใĀ้คนเป็นที่ยึดเĀนี่ยüจิตใจเพื่อ เป็นเป้าĀมายในการกระทำ โดยเฉพาะýาÿนาพุทธได้ÿอนใĀ้คนเราไม่ตั้งอยู่ในคüามประมาท เพราะ Āลายÿิ่งในโลกไม่มีคüามแน่นอน จึงต้องยึดมั่นในÿิ่งที่ดีงาม มีýีลธรรม จริยธรรม และคüามประพฤติ ในทางที่ถูกที่คüร 6. ÿื่อมüลชน ÿื่อมüลชนเĀล่านี้มีĀลายประเภท เช่น üิทยุ โทรทัýน์ Āนังÿือพิมพ์ ภาพยนตร์ นüนิยาย üรรณคดี เป็นต้น ซึ่งมีÿ่üนในการขัดเกลาทางÿังคมแก่มนุþย์ในด้านต่าง ๆ ตั้งแต่ความคิด
31 ความเชื่อในแบบของความประพฤติ เพราะÿื่อมวลชนมีทั้งการใĀ้ความรู้และความเพลิดเพลิน โดยเฉพาะอิทธิพลของÿื่อมวลชนที่ÿำคัญคือการใĀ้ข่าวÿาร ข่าวÿารนี้มักเป็นลายลักþณ์อักþร และผู้ ที่เกี่ยวข้องกับข่าวÿารนั้นไม่ว่าจะเป็นนักเขียน บรรณาธิการ และผู้จัดทำมีÿ่วนช่วยครอบครัว โรงเรียนในการขัดเกลา เช่น Āนังÿือพิมพ์เÿนอข่าวเด็กเรียนดี พ่อแม่อาจจะÿั่งใĀ้ลูกอ่านเพื่อเป็นการ เอาเยี่ยงอย่าง Āรือครูปัจจุบันก็ÿั่งใĀ้นักเรียนตัดข่าวเก็บข่าวมารายงานĀน้าชั้น Āรือติดที่บอร์ดĀน้า Ā้อง Āรือกลุ่มเพื่อนเĀ็นแฟชั่นแปลก ๆ ใĀม่ ๆ อาจจะลอกเลียนแบบไปก็ได้เพื่อใĀ้เข้าÿมัยนิยม อิทธิพลของÿื่อมวลชนนี้จะมีมากน้อยเพียงไรขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับภูมิĀลังของครอบครัวว่า ได้ÿอนลูกมาใĀ้รู้จักเĀตุและผล Āรือเลือกเฟ้นข่าวÿารต่าง ๆ ได้แค่ไĀน Āรือขึ้นอยู่กับเจตคติของแต่ ละบุคคลต่อÿิ่งที่ตนได้รับ การนิยามคüามĀมายของคำü่า “ขบüนการทางÿังคม/กระบüนการทางÿังคม” เกิดจาก แนüคิดเชิงยุทธýาÿตร์ ซึ่งคล้ายกับแนüคิด “ประชาÿังคม” และ “การเมืองภาคประชาชน” ซึ่งการ นิยามคüามĀมายขึ้นอยู่กับประÿบการณ์ทางÿังคมของผู้ที่ใĀ้นิยามคüามĀมาย และมีเป้าĀมายในการ ต้องการเĀ็นÿังคมในอุดมคติอย่างไร ซึ่งนิยามคüามĀมายรüมไปถึงการใĀ้คุณค่าต่อกระบüนการทาง ÿังคมจะผันแปรไปตามบริบทของÿังคมการเมือง โดยÿามารถแบ่งทฤþฎีได้เป็น 3 กระแÿ คือ ทฤþฎี พฤติกรรมรüมĀมู่ ทฤþฎีการระดมทรัพยากร และทฤþฎีขบüนการทางÿังคมใĀม่ ดังนี้(ประภาÿ ปิ่น ตบแต่ง, 2561, Āน้า 185-188) 1. ทฤþฎีพฤติกรรมรüมĀมู่ คือ พฤติกรรมที่เกิดขึ้นในÿถานการณ์ทางÿังคมที่ไม่ปกติ มี ลักþณะไร้โครงÿร้าง ไม่มีแบบแผนที่แน่นอน ไม่ได้อยู่ภายใต้บรรทัดฐานทางÿังคม เช่น คüามคลั่งนิยม การทำตามÿมัยนิยม การจลาจล ฝูงชนบ้าคลั่ง พิธี นิกาย เป็นต้น โดยเป็นปรากฏการณ์ที่เป็นผลมา จากลักþณะการเปลี่ยนแปลงทางเýรþฐกิจ การเมืองและÿังคมอย่างรüดเร็ü ซึ่งนำไปÿู่คüามตรึง ทางด้านโครงÿร้างและÿะท้อนการแÿดงออกในลักþณะของคüามไร้บรรทัดฐาน และÿภาüะคüาม üุ่นüายทางการเมืองที่ผู้คนÿะท้อนคüามขัดข้องใจและคüามโกรธ ซึ่งเกิดจากคüามล่มÿลายของระบบ โครงÿร้างเดิม ซึ่งมีแนüคิดของเฮอรเบริต์ เบอรนเนอร์(Herbert Blumer, 1986, 165-166 pp.) นัก ÿังคมüิทยาได้อธิบายü่า การเกิดพฤติกรรมรüมĀมู่ที่พัฒนาขึ้นในÿภาüการณ์üุ่นüายทางÿังคม มีกลไก พื้นฐานที่อยู่เบื้องĀลัง คือ ปฏิกิริยาตอบÿนองอย่างต่อเนื่องเป็น 5 ขั้นตอน คือ เĀตุการณ์ปลุกเร้า การเกาะกลุ่ม การเกิดเป้าĀมายร่üมกัน การปลุกและเÿริมแรงกระตุ้นร่üม และพฤติกรรมĀมู่ขั้นแรก คือ รูปแบบฝูงชนที่มารüมตัüกัน อาจจะไม่รู้จักกัน เป็นต้น ซึ่งแนüคิดของ Blumer อธิบายü่า ในทาง ปฏิบัติแล้ü กิจกรรมของกลุ่มใด ๆ ก็ÿามารถอธิบายในฐานะที่เป็นพฤติกรรมรüมĀมู่ได้ทั้งÿิ้น เพราะ ภายในกลุ่ม ปัจเจกบุคคลได้กระทำการร่üมกันในลักþณะของแฟชั่นบางอย่าง โดยได้จำแนกออกเป็น 2 ลักþณะ คือ พฤติกรรมรüมĀมู่ปกติ เช่น ครูกับนักเรียน และพฤติกรรมรüมĀมู่จากคüามไม่ปกติ เช่น ÿภาüะคüามü้าüุ่นใจ Āรือÿถานการณ์ü้าüุ่นทางÿังคม
32 2. ทฤþฎีการระดมทรัพยากร ทฤþฎีนี้มาจากĀนังÿือชื่อ “Theory of Collective Action” ของแมนเคอร โอÿัน (Mancur Olson, 1965) ที่อธิบายถึง บุคคลที่มีเĀตุมีผลจะเข้าร่üมกระทำการ เพื่อใĀ้ได้มาซึ่ง “ผลประโยชน์ร่üมของกลุ่ม” (Collective Goods) นั่นคือ ถ้าต้นทุนของการเข้าไปมี ÿ่üนร่üมของบุคคลไม่มากไปกü่าผลประโยชน์ของปัจเจกบุคคล จึงอยู่ที่การคิดคำนüณผลได้ผลเÿีย ของการเข้ามีÿ่üนร่üมของปัจเจกบุคคล การüิเคราะĀ์ขบüนการทางÿังคมจึงเกี่ยüข้องกับองค์กรการ เคลื่อนไĀü (Social Movement Organization-SMO) เพราะองค์กรการเคลื่อนไĀüจะเข้ามาทำ Āน้าที่ในการรüบรüมทรัพยากร ได้แก่ เงิน แรงงาน เป็นต้น และÿร้างกิจกรรมในการระดมทรัพยากร ดังนั้น คüามÿำเร็จ ล้มเĀลü Āรือการÿร้างผลÿะเทือนโดยการเคลื่อนไĀüต่อÿู้ของขบüนการทางÿังคม จึงขึ้นอยู่กับผู้คนและองค์กรที่อยู่ภายนอก 3. ทฤþฎีขบüนการทางÿังคมใĀม่ จุดÿำคัญของทฤþฎีนี้คือ การüิพากþ์ทฤþฎีการระดม ทรัพยากรü่าÿนใจเฉพาะการตอบคำถามü่าขบüนการทางÿังคมเกิดขึ้นอย่างไร จุงเคอร์ เฮอเบอรเมน (Jürgen Habermas, 1981) เจ้าของทฤþฎีThe Theory of Communicative ได้อธิบายü่า ขบüนการÿังคมแนüใĀม่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อกü่ายี่ÿิบปีมานี้เอง แต่เฟรินเทÿและกรูเดอร (Fuentes & Gunder, 1989) กลับเÿนอü่า ขบüนการÿังคม “แนüใĀม่” นั้น แท้จริงแล้üไม่ใช่เรื่องใĀม่แต่อย่างใด แต่คüามน่าÿนใจอยู่ที่ประเด็นใĀม่ๆ ที่เกิดขึ้นมากกü่า ซึ่งประเด็นÿำคัญที่เกิดขึ้นใĀม่มี 2 เรื่องคือ 1. เกิดการเปลี่ยนแปลงนิยามคำü่า “การเมือง” จากคüามĀมายเดิมที่มีนัยในเชิงการเมืองระดับรัฐชาติ รัฐบาลและพรรคการเมือง มาเป็นการเมืองภาคประชาชน และ2. ขบüนการÿังคมแนüใĀม่ÿนใจ ขบüนการต่อต้านอำนาจ (Resistance Movements) และการปฏิเÿธกฎระเบียบ ( Civil Disobedience) ไม่เฉพาะในประเทýและรัฐของตนเท่านั้น แต่รüมถึงการต่อÿู้เรียกร้องระĀü่าง ประเทýด้üย ทั้งนี้เป็นการÿนองตอบคüามต้องการขยายพื้นที่ของประชาชนไม่ใĀ้ถูกจำกัดเĀมือนดัง แต่ก่อน และเป็นการลดช่องü่างระĀü่างรัฐและประชาชนลง อย่างไรก็ตามผลที่ต้องการใĀ้เกิดขึ้นคือ การเปลี่ยนแปลงระบบการปกครองĀรือโครงÿร้างÿังคมเพื่อลดข้อขัดแย้ง ขณะเดียüกันก็มีการüิพากþ์ทฤþฎีมาร์กซิÿต์ (Classical Marxist) ü่ามีข้อจำกัดในการ อธิบายปรากฏการณ์ขบüนการทางÿังคมใĀม่ๆ เช่น ขบüนการÿิ่งแüดล้อม ขบüนการÿิทธิÿตรีและอัต ลักþณ์ทางเพýÿภาพ ที่เกิดขึ้นในช่üงทýüรรþที่ 1960 และ 1970 เป็นต้น ซึ่งได้ทำใĀ้เกิดคำถามใน Āมู่นักทฤþฎีในยุโรปกลุ่มĀนึ่งü่า เĀตุใดจึงเกิดขบüนการซึ่งมิได้มีฐานจากคüามขัดแย้งทางชนชั้น เĀล่านี้ขึ้นมาอย่างกü้างขüางและการเปลี่ยนแปลงทางÿังคมในช่üงĀลังÿงครามโลกครั้งที่ 2 ก็ได้ทำใĀ้ เกิดคำถามกับจุดเน้นของการüิเคราะĀ์คüามขัดแย้งซึ่งอยู่ที่คüามÿัมพันธ์ระĀü่างทุนและแรงงาน Āรือ คüามขัดแย้งที่ตั้งอยู่บนฐานของการที่ต้องการคüบคุมทรัพยากรทางเýรþฐกิจ อันเป็นลักþณะÿำคัญ ของขบüนการทางÿังคมแบบเก่า ซึ่งนักคิดคนÿำคัญ คือ อัลเบริตโต เมลุคชี (Alberto Melucci, 1986) ได้ชี้ใĀ้เĀ็นถึง การก่อตัüขึ้นของปรากฏการณ์คüามขัดแย้งทางÿังคมĀลังÿมัยใĀม่เĀล่านี้ และ
33 เÿนอü่าทฤþฎีทางÿังคมýาÿตร์ที่ใช้อธิบาย คือ ทฤþฎีทางชนชั้นและทฤþฎีแนüการกระทำรüมĀมู่ ของÿำนักทฤþฎีฝั่งอเมริกา Āรือทฤþฎีการระดมทรัพยากรนั้นมีข้อจำกัด เนื่องจากÿนใจแต่เพียง องค์กรการเคลื่อนไĀü ยุทธýาÿตร์ ยุทธüิธี และคüามÿำเร็จĀรือคüามล้มเĀลü การทำคüามเข้าใจ ปรากฏการณ์ของขบüนการทางÿังคมโดยนักทฤþฎีซึ่งอธิบายภายใต้ทฤþฎีÿังคมýาÿตร์เท่าที่มีอยู่จึง ทำใĀ้ได้คำตอบเพียงü่าขบüนการทางÿังคมเกิดขึ้นอย่างไร แต่ไม่อาจใĀ้คำตอบได้ü่า เĀตุใดĀรือทำไม ขบüนการทางÿังคมจึงเกิดขึ้น การตระĀนักถึงคüามไม่เพียงพอของแนüการüิเคราะĀ์แบบชนชั้น ดั้งเดิมนี้เอง ได้เป็นจุดเริ่มต้นที่ÿำคัญของกรอบการüิเคราะĀ์ของÿำนักคิดที่เรียกü่า “ขบüนการทาง ÿังคมใĀม่” ขบüนการÿังคมแนüใĀม่แตกต่างจากขบüนการÿังคมในอดีตเช่น การทำงานขององค์กร อาÿาÿมัคร องค์กรที่ไม่แÿüงĀากำไรĀรือองค์กรพัฒนาเอกชน ซึ่งมีพื้นฐานคüามคิดอยู่ที่ชุมชนĀรือ กลุ่มพลเมือง (Civic Group) กลุ่มคนที่ใĀ้คüามร่üมมือกับรัฐเป็นอย่างดีและไม่ÿนใจการเมืองต่างกัน กับขบüนการทางÿังคมแนüใĀม่ที่ÿนใจการเมือง ประชาÿังคม ประเด็นทางÿังคมและผู้เÿีย ผลประโยชน์ ดังนั้น ขบüนการÿังคมแนüใĀม่จึงเป็นทางเลือกใĀม่ทางการเมืองที่ÿนับÿนุนใĀ้ใช้ระบบ ธรรมาภิบาล (Governance) แทนที่ระบบการปกครองแบบเดิม และÿนับÿนุนใĀ้เกิดคüามยุติธรรม ในทุกกลุ่มÿังคม ขบüนการÿังคมแนüใĀม่คือขบüนการต่อต้านกระแÿโลกาภิüัตน์ที่พัฒนาไปÿู่ระดับ นานาชาติเพราะÿามารถปรับตัüได้ทุกÿถานการณ์และมีคüามยืดĀยุ่นÿูง ลักþณะÿำคัญของการอธิบายของทฤþฎีขบüนการเคลื่อนไĀüทางÿังคมแบบใĀม่มี4 ประเด็นคือ (ÿุนทร คุณชัยมัง, 2555 Āน้า 12) 1. üิกฤติของคüามชอบธรรมตามการอธิบายของฮาเบอร์มาÿ (Habermas) ที่ü่าเมื่อใดก็ ตามที่คüามเป็นเĀตุเป็นผลของโลกชีüิตไม่ÿนใจต่อการเพิ่มขึ้นของการผÿานในระบบของÿังคม โดยรüมแล้üจะเกิดการปฏิเÿธขัดขüางทางÿังคม 2. การปรากฏตัüของÿังคมยุคĀลังอุตÿาĀกรรม ประเด็นนี้เป็นไปตามการอธิบายของตูแร็ง (Touraine) ที่ü่าคüามขัดแย้งในÿังคมจะเป็นไปตามการผลิตทางüัฒนธรรมจะเปลี่ยนการอธิบายจาก เดิมที่เคยอิงตามชนชั้นและตำแĀน่งของการผลิตไปเป็นการขึ้นต่อผู้ที่ทำĀน้าที่กำกับคüบคุม ซึ่งจะใช้ เป็นกรอบอธิบายเรื่องทางÿังคมและüัฒนธรรม 3. การเคลื่อนตัüของคüามขัดแย้งที่ออกไปจากการผลิตไปเป็นเรื่องทางÿังคม จะทำใĀ้ ýูนย์กลางของคüามขัดแย้งทางÿังคมเปลี่ยนไป จากเดิมที่มีคüามเกี่ยüข้องกับการทำงานของตัüกลาง ทางÿังคม (Social agent) นำไปÿู่คüามĀลากĀลายและมีลักþณะของการปะทะประÿาน 4. คüามขัดแย้งใĀม่จะเกิดขึ้นในเรื่องของการÿร้างคüามĀมายซึ่งจะเป็นเรื่องของการขัดเกลา ทางÿังคม (Socialization) เป็นเรื่องที่ต่างไปจากการดำเนินงานของÿĀภาพแรงงานĀรือพรรค การเมืองซึ่งเป็นเรื่องของเครื่องมือĀรือกลไกทางÿังคม
34 โดยÿรุป กระบüนการทางÿังคมเป็นกระบüนการที่ละเอียดอ่อนÿลับ ซับซ้อนและแปรเปลี่ยน เคลื่อนไĀüได้ กระบüนการดังกล่าüมักจะปรากฏอยู่Āลายแบบ ในโอกาÿĀนึ่งๆ จะเป็นแบบรู้ตัü Āรือไม่รู้ตัüก็ได้ ซึ่งÿามารถจะพบได้ในทุกกลุ่มบุคคลĀรือÿังคม และกระบüนการÿอนใĀ้คนมี พฤติกรรมเĀมาะÿมกับปทัÿถานของÿังคม เป็นการอบรมใĀ้รู้ระเบียบของÿังคม เป็นกระบüนการทำ ใĀ้รู้ระเบียบทางÿังคม โดยการถ่ายทอดüัฒนธรรม และเพื่อพัฒนาบุคลิกภาพที่ช่üยใĀ้บุคคล เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมไปในแนüทางที่ÿอดคล้องกับบุคคลÿ่üนใĀญ่ของÿังคม ซึ่งมีทั้งĀมด 5 ขั้นตอน ได้แก่ ขั้นที่ 1 เมื่อเป็นทารก ขั้นที่ 2 เมื่อเป็นเด็กเล็ก ขั้นที่ 3 ก่อนเป็นüัยรุ่น ขั้นที่ 4 เมื่อเป็นüัยรุ่น และขั้นที่ 5 เมื่อเป็นผู้ใĀญ่ ซึ่งขั้นตอนต่างๆ นั้นจะต้องมีการปฏิÿัมพันธ์กันของบุคคลเพื่อการแÿดง พฤติกรรมที่เĀมาะÿมและ เกิดการเรียนรู้ โดยมีÿถาบันทางÿังคมที่ทำĀน้าที่เกี่ยüกับกระบüนการทาง ÿังคม ได้แก่ ÿถาบันครอบครัü กลุ่มเพื่อน โรงเรียน กลุ่มอาชีพ ตัüแทนýาÿนา และÿื่อมüลชน ประการÿำคัญ การýึกþากระบüนการทางÿังคมได้อาýัยทฤþฎีทางÿังคมเป็นตัüแบบÿำคัญ ซึ่งทฤþฎี ที่นำมาใช้คือ ทฤþฎีพฤติกรรมรüมĀมู่โดยทฤþฎีการรüมĀมู่ ทฤþฎีการระดมทรัพยากร และทฤþฎี ขบüนการทางÿังคมใĀม่ จากแนüคิดเกี่ยüกับกระบüนการทางÿังคม โดยมีแนüคิดĀลักที่เกี่ยüข้องÿรุปตามตารางที่ 2.3.2 ดังนี้ ตารางที่ 2.3.2 แนüคิดĀลักที่นักüิชาการทำการýึกþาเกี่ยüกับกระบüนการทางÿังคม (ที่มา: แนüคิดĀลักของกระบüนการทางÿังคมเป็นของท่านที่เÿนอไü้ในตาราง) นักวิชาการĀรือนักวิจัย แนวคิดĀลัก Morrison, E. and P. Macintiyre, (1975, p.21) กระบüนการÿอนใĀ้คนมีพฤติกรรมเĀมาะÿมกับปทัÿถานของ ÿังคม ซึ่งต้องÿอนใĀ้เกิดการเรียนรู้การซึมซับ และนำไป ปฏิบัติได้ Bloom, L. and O. Selsnic, (2008, p.90) การอบรมใĀ้รู้ระเบียบของÿังคม ซึ่งทำใĀ้มนุþย์มีคุณลักþณะ คüามÿามารถ อุดมคติ คุณค่า และรูปแบบของพฤติกรรม ÿุรางค์ จันทน์เอม, (2552, Āน้า 46) üิธีการที่ช่üยใĀ้บุคคลเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมไปในแนüทางที่ ÿอดคล้องกับบุคคลÿ่üนใĀญ่ของÿังคม ÿุพัตรา ÿุภาพ, (2554, Āน้า 16) ขั้นตอนกระบüนการทางÿังคม 5 ขั้นตอน ได้แก่ 1. เมื่อทารกเริ่มคลอดออกจากครรภมารดา 2. ทารกÿามารถจำและแยกแยะได้ü่าใครเป็นใคร 3. เด็กเริ่มเรียนรูคüามแตกต่างระĀü่างเพý 4. เด็กโตเป็นüัยรุ่น 5. เป็นผู้ใĀญ่
35 คนึง เทüฤทธิ์, (2558, Āน้า 38) ขั้นตอนกระบüนการทางÿังคม ประกอบด้üย 5 ขั้นตอนดังนี้ ขั้นตอนที่ 1 เป็นช่üงของเด็กüัยทารก ขั้นตอนที่ 2 เป็นüัยเด็กเล็ก ขั้นตอนที่ 3 เป็นช่üงก่อนเข้าÿู่üัยรุ่น ขั้นตอนที่ 4 เป็นช่üงของการเป็นüัยรุน ขั้นตอนที่ 5 ชüงการเป็นผู้ใĀญ่ รุ่งนภา ภüภูตานนท์, (2554, Āน้า 1) Āลักการÿำคัญของกระบüนการทางÿังคม ได้แก่ 1. การปะทะÿัมพันธ์ของมนุþย์ 2. คüามÿามารถในการใช้ภาþา 3. การยอมรับด้üยคüามรักใคร่ üิชัย ภูโยธิน, (2553, Āน้า 36) ÿถาบันĀรือบุคคลที่ทำĀน้าที่เกี่ยüกับกระบüนการทางÿังคม ได้แก่ 1. ครอบครัü 2. กลุ่มเพื่อน 3. โรงเรียน 4. ýาÿนา 5. กลุ่มอาชีพ 6. ÿื่อมüลชน โÿภา ชปิลมันน์, (2553, Āน้า 41) ÿถาบันĀรือบุคคลที่ทำĀน้าที่เกี่ยüกับกระบüนการทางÿังคม ได้แก่ 1. ÿถาบันครอบครัü 2. กลุ่มเพื่อน 3. โรงเรียน 4. กลุ่มอาชีพ 5. ตัüแทนýาÿนา 6. ÿื่อมüลชน üันชัย ธรรมÿัจการ และ ธงพล พรĀมÿาขา ณ ÿกลนคร, (2561, Āน้า 185-188) ทฤþฎีขบüนการทางÿังคม แบ่งได้เป็น 3 กระแÿ คือ ทฤþฎี พฤติกรรมรüมĀมู่ ทฤþฎีการระดมทรัพยากร และทฤþฎี ขบüนการทางÿังคมใĀม่ ÿุนทร คุณชัยมัง, (2555, Āน้า 12) ลักþณะÿำคัญของการอธิบายของทฤþฎีขบüนการเคลื่อนไĀü ทางÿังคมแบบใĀม่มี4 ประเด็น ได้แก่
36 1. üิกฤติของคüามชอบธรรมตามการอธิบายของฮาเบอร์มาÿ 2. การปรากฏตัüของÿังคมยุคĀลังอุตÿาĀกรรม 3. การเคลื่อนตัüของคüามขัดแย้งที่ออกไปจากการผลิตไป เป็นเรื่องทางÿังคม 4. คüามขัดแย้งใĀม่จะเกิดขึ้นในเรื่องของการÿร้างคüามĀมาย 2.3.3 แนวคิดเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงทางÿังคม การเปลี่ยนแปลงทางÿังคม (Social Change) เป็นการเปลี่ยนแปลงทางโครงÿร้างรูปแบบ ของÿังคม ระบบคüามÿัมพันธ์และการปฏิÿัมพันธ์ของคนในÿังคม ซึ่งเกี่ยüข้องกับบทบาท ระเบียบ แบบแผน ค่านิยมüัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณี ระบบครอบครัü ระบบการปกครอง ตลอดจน การเปลี่ยนแปลงระบบนิเüý ประชากร และเทคโนโลยี การเปลี่ยนแปลงทางÿังคมจะยึดถือคüาม แตกต่างที่เกิดขึ้นต่อเนื่องกันในช่üงเüลาĀนึ่งขององค์กรĀนึ่งซึ่งคงอยู่ได้ เช่น ในอดีตเกþตรกรไทยใช้ แรงงานÿัตü์ทำการเกþตร และเปลี่ยนแปลงมาใช้เครื่องจักรกลการเกþตรแทนแรงงานÿัตü์ ซึ่งจะเĀ็น ü่าแม้เกþตรกรไทยเปลี่ยนแปลงการใช้แรงงานทำการเกþตรตามคüามก้าüĀน้าของเทคโนโลยีของ ÿังคมโลก แต่อาชีพเกþตรกรรมของคนไทยยังคงอยู่ ไม่ได้เปลี่ยนไปประกอบอาชีพอื่นทั้งĀมด การ เปลี่ยนแปลงทางÿังคมและที่มาของปรากฏการณ์มีĀลายรูปแบบ ทั้งในการüิüัฒนาการซึ่งเป็นการ เปลี่ยนแปลงแบบค่อยเป็นค่อยไปตามลำดับ มีคüามชอบธรรมถูกต้องตามแบบแผนและกฎĀมาย ซึ่ง แตกต่างจากการปฏิüัติที่เป็นการเปลี่ยนแปลงฉับพลันและผิดจากÿังคมเดิม ต้องÿร้างระเบียบÿังคม ใĀม่ และยังมีรูปแบบการพัฒนาใĀ้ทันÿมัย การพัฒนาเป็นอุตÿาĀกรรม และการพัฒนาเป็นเมือง 2.3.4 ความĀมายของการเปลี่ยนแปลงทางÿังคม การเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องที่เกี่ยüกับเüลาĀรือขึ้นอยู่กับเüลาเÿมอ การเปลี่ยนแปลงนั้นเป็น ระยะเüลาĀนึ่งเปลี่ยนแปลงไปอีกระยะเüลาĀนึ่งเช่น üัน เดือน ปี การที่เราจะเข้าใจเรื่องของการ เปลี่ยนแปลงใĀ้มากยิ่งขึ้นนั้น จะต้องเข้าใจธรรมชาติของการเปลี่ยนแปลงก่อน ซึ่งอาจมีคüามแตกต่าง กันไปตามคüามเข้าใจของนักคิดต่าง ๆ ทั้งนี้เนื่องจากü่าเป็นเรื่องของข้อÿมมติของการเปลี่ยนแปลงที่ แตกต่างกัน การทำคüามเข้าใจข้อÿมมติของการเปลี่ยนแปลงจะทำใĀ้รู้ถึงลักþณะ ÿาเĀตุและ ธรรมชาติของการเปลี่ยนแปลง โดยการเปลี่ยนแปลงทางÿังคมÿามารถใĀ้ตัüอย่างนิยามได้ดังนี้ นิÿเบท (Nisbet, 1969, pp.166-168) นักÿังคมüิทยาในกลุ่มüัฒนธรรมýึกþา ได้อธิบายü่า การเปลี่ยนแปลงทางÿังคมมาจากÿาเĀตุ ดังต่อไปนี้ 1. การเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องของกฎธรรมชาติ นักการýาÿนามักจะอธิบายการเปลี่ยนแปลง ของชีüิตของมนุþย์ü่า คนเรามีการเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นเรื่องธรรมดาและเป็นเรื่องของธรรมชาติไม่มี
37 ใครที่จะบังคับใĀ้Āยุดการเปลี่ยนแปลงได้ การเปลี่ยนแปลงจึงเป็นเรื่องของข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นตาม ธรรมชาติ 2. การเปลี่ยนแปลงเป็นอยู่ตลอดเüลา การเปลี่ยนแปลงในลักþณะนี้คüามĀมายถึงü่า การ เปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอยู่ตลอดเüลานี้ ได้เกิดมาจากปัจจัยที่ผลักดันใĀ้เกิดการเปลี่ยนแปลง มีลักþณะ ของการกระทำĀนึ่ง ๆ เป็นÿาเĀตุผลักดันไปÿู่การเปลี่ยนแปลง การเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ไม่ü่าจะเป็น ÿิ่งใด ๆ จะเกิดจากปัจจัยที่ผลักดันทำใĀ้มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเüลา เช่น คนเรามีการเจริญเติบโต เนื่องจากการรับประทานอาĀารและออกกำลังกายอย่างÿม่ำเÿมอตลอดเüลา เมื่อเป็นเช่นนี้ทำใĀ้เĀ็น ü่าเด็กจะเติบโตเป็นผู้ใĀญ่ตลอดเüลา Āรือผู้ใĀญ่จะกลายเป็นคนชราในที่ÿุด 3. การเปลี่ยนแปลงเป็นการต่อเนื่อง การเปลี่ยนแปลงที่ได้กล่าüถึงที่ผ่านมานั้นมีขั้นตอนต่าง ๆ มองเป็นเรื่องของการต่อเนื่อง เป็นÿาเĀตุÿืบต่อกันมา เช่น ÿังคมมีการเปลี่ยนแปลงผ่านขั้นตอนต่าง ๆ จากอดีตจนถึงยุคปัจจุบัน การเปลี่ยนแปลงจากขั้นตอนĀนึ่งไปÿู่ขั้นตอนĀนึ่งเป็นลักþณะของÿาย ÿัมพันธ์เชื่อมโยงĀรือÿาเĀตุติดต่อกันไป 4. การเปลี่ยนแปลงเป็นแบบเดียüกัน นักÿังคมüิทยาÿมัยรุ่นแรก ๆ ได้ใĀ้ทัýนะü่าการ เปลี่ยนแปลงทุกÿังคมต้องผ่านขั้นตอนแบบเดียüกัน Āมายคüามü่า ÿังคมที่กำลังมีการเปลี่ยนแปลงทุก ÿังคมในโลกจะมีการเปลี่ยนแปลงเĀมือน ๆ กัน เพียงแต่ü่าบางÿังคมเปลี่ยนแปลงได้เร็üกü่าบางÿังคม เท่านั้น ในปัจจุบันนี้ ข้อÿมมตินี้ได้รับการคัดค้าน เพราะไม่จำเป็นที่ทุกÿังคมจะเปลี่ยนแปลงขั้นตอน แบบเดียüกัน เช่น ÿังคมไทยมีการเปลี่ยนแปลงที่แตกต่างจากÿังคมอเมริกา ÿังคมโซเüียต (รัÿเซีย) มี การเปลี่ยนแปลงที่แตกต่างไปจากÿังคมจีน เป็นต้น 5. การเปลี่ยนแปลงเป็นÿิ่งจำเป็น การเปลี่ยนแปลงในคüามĀมายนี้ได้พยายามกล่าüถึงการ เปลี่ยนแปลงในÿังคมนั้นเป็นÿิ่งจำเป็นที่จะต้องทำใĀ้เกิดขึ้น เพื่อใĀ้มนุþย์มีคüามเป็นอยู่ที่ดีขึ้น มี คüามเท่าเทียมกันในÿังคม เมื่อเป็นเช่นนั้น รัฐบาลซึ่งเป็นผู้บริĀารของประเทýจึงเป็นผู้ริเริ่มในการ üางแผนพัฒนาเýรþฐกิจและÿังคม เพื่อใĀ้ประชาชนได้รับการพัฒนาทุก ๆ ด้านอย่างทั่üถึง ทั้งนี้เป็น Āน้าที่ของรัฐบาลอยู่แล้üที่จะต้องทำ ÿ่üนโรเจอร์ (Rogers, E.M., 1995} p.97) เจ้าของทฤþฎีการแพร่กระจายนüัตกรรมเÿนอü่า การเปลี่ยนแปลงทางÿังคม Āมายถึง กระบüนการซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงในโครงÿร้างและĀน้าที่ของ ระบบÿังคม เมื่อมีคüามคิดใĀม่ๆ จะถูกประดิþฐ์คิดค้นขึ้นมา มีการแพร่กระจายออกไป และได้รับการ ยอมรับĀรือไม่ยอมรับ จนนำไปÿู่ผลกระทบต่อÿังคม นั่นĀมายถึงü่า การเปลี่ยนแปลงทางÿังคมได้ เกิดขึ้นแล้ü ÿ่üนราชบัณฑิตยÿถาน (2549 Āน้า 219) ใĀ้คüามĀมายการเปลี่ยนแปลงทางÿังคมü่า เป็นการปรับเปลี่ยนการจัดระเบียบองค์การทางÿังคมทางด้านÿถาบันĀรือแบบแผนของบทบาททาง ÿังคม การเปลี่ยนแปลงนี้อาจเป็นไปในทางก้าüĀน้าĀรือถดถอย เป็นไปอย่างถาüรĀรือชั่üคราü โดย การüางแผนĀรือเป็นไปเองตามธรรมชาติ และอาจจะเป็นประโยชน์ĀรือใĀ้โทþ และมีผลการüิจัยได้
38 อธิบายü่า การเปลี่ยนแปลงทางÿังคมĀมายถึง การเปลี่ยนแปลงของระบบคüามÿัมพันธ์ระĀü่าง ÿมาชิกในÿังคม และการเปลี่ยนแปลงทางด้านโครงÿร้างของคüามÿัมพันธ์ระĀü่างกลุ่มและระĀü่าง ÿ่üนประกอบของÿังคมนั้นเช่น คüามÿัมพันธ์ระĀü่างชาüชนบทและชาüเมือง เป็นต้น การ เปลี่ยนแปลงทางÿังคมดังกล่าüนี้ย่อมเกิดขึ้นในระดับกลุ่มบุคคลและในระดับÿถาบันทางÿังคม ไม่ü่า จะเป็นในÿถาบันครอบครัü เครือญาติ Āรือÿถาบันเýรþฐกิจก็เป็นได้(ÿุริชัย Āüันแก้ü, 2553, Āน้า 25-26) การเปลี่ยนแปลงทางÿังคมจึงเป็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในระยะเüลาใดระยะเüลาĀนึ่ง เป็นการเปลี่ยนแปลงในระบบโครงÿร้างและĀน้าที่ของระบบคüามÿัมพันธ์ทางÿังคมระĀü่างมนุþย์ Āรือกลุ่มคนในÿังคม ตลอดจนเป็นการเปลี่ยนแปลงการกระทำระĀü่างกันทางÿังคม ในการติดต่อการ กระทำระĀü่างมนุþย์Āรือกลุ่มของÿังคม โดยÿรุป การเปลี่ยนแปลงทางÿังคมĀมายถึง การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในระบบ/โครงÿร้าง ทางÿังคมและคüามÿัมพันธ์ของคนในÿังคม โดยการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนั้นÿามารถเป็นรูปแบบทั้ง บüกและลบĀรือที่เป็นประโยชน์Āรือโทþก็เป็นได้การเปลี่ยนแปลงทางÿังคมจึงเป็นการเปลี่ยนแปลง ที่เกิดขึ้นกับโครงÿร้างของÿังคมนั้นๆ อันเป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมทางÿังคม Āรือการ กระทำทางÿังคม ทำใĀ้คüามÿัมพันธ์ทางÿังคมเกิดมีคüามแตกต่างในช่üงเüลาใดเüลาĀนึ่ง จากแนüคิดเกี่ยüกับการเปลี่ยนแปลงทางÿังคม โดยมีแนüคิดĀลักที่เกี่ยüข้องÿรุปได้ตาม ตารางที่ 2.12 ดังต่อไปนี้ ตารางที่ 2.3.4 แนüคิดĀลักที่นักüิชาการทำการýึกþาเกี่ยüกับการเปลี่ยนแปลงทางÿังคม (ที่มา: แนüคิดĀลักของการเปลี่ยนแปลงทางÿังคมมาจากท่านที่เÿนอไü้ในตาราง) นักวิชาการĀรือนักวิจัย แนวคิดĀลัก Nisbet, R. A., (1969, pp.166-168) ข้อÿมมติของการเปลี่ยนแปลงทางÿังคม มีดังนี้ 1. การเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องของกฎธรรมชาติ 2. การเปลี่ยนแปลงเป็นอยู่ตลอดเüลา 3. การเปลี่ยนแปลงเป็นการต่อเนื่อง 4. การเปลี่ยนแปลงเป็นแบบเดียüกัน 5. การเปลี่ยนแปลงเป็นÿิ่งจำเป็น Roger, Everett M., (1995, p.97) กระบüนการซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงในโครงÿร้างและĀน้าที่ของ ระบบÿังคม ราชบัณฑิตยÿถาน, (2549, Āน้า 219) การปรับเปลี่ยนการจัดระเบียบองค์การทางÿังคมทางด้าน ÿถาบันĀรือแบบแผนของบทบาททางÿังคม
39 ÿุริชัย Āüันแก้ü, (2553, Āน้า 156) การเปลี่ยนแปลงของระบบคüามÿัมพันธ์ระĀü่างÿมาชิกใน ÿังคม และการเปลี่ยนแปลงทางด้านโครงÿร้างของ คüามÿัมพันธ์ระĀü่างกลุ่มและระĀü่างÿ่üนประกอบของÿังคม 2.3.5 รูปแบบของการเปลี่ยนแปลงทางÿังคม การเปลี่ยนแปลงทางÿังคมมีรูปแบบที่แตกต่างกันมากมาย ขึ้นอยู่กับธรรมชาติบริบท แüดล้อม และÿถานการณ์ต่าง ๆ แบบแผนโครงÿร้างทางÿังคมตลอดจนคüามขัดแย้งต่างๆ ที่เกิดขึ้น โดยนักÿังคมüิทยามักจะýึกþารูปแบบการเปลี่ยนแปลงออกเป็น 2 มิติ และมีการนำทั้ง 2 มิติมา พิจารณาร่üมกันจนเป็นรูปแบบการเปลี่ยนแปลงที่ÿำคัญ 4 รูปแบบ มีรายละเอียดดังนี้(พงþ์ÿüัÿดิ์ ÿüัÿดิ์พงþ์, 2547 Āน้า 267-269) 1. การแบ่งรูปแบบการเปลี่ยนแปลงตามมิติ 2 มิติ 1.1 มิติในด้านขอบเขต (Scope) การเปลี่ยนแปลงซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ระดับ คือ การ เปลี่ยนแปลงระดับกลาง (Moderate) และการเปลี่ยนแปลงระดับรากฐาน (Fundamental) คือ 1.1.1 การเปลี่ยนแปลงระดับกลาง มีขอบเขตĀรือการลึกจำกัด จึง เปลี่ยนแปลงเฉพาะบางÿ่üนของÿังคมĀรือองค์กรระดับอื่นๆ การเปลี่ยนแปลงระดับดังกล่าüแม้ü่าจะ มีคüามกü้างขüางพอที่จะบ่งชี้ได้และมีคüามÿำคัญพอ แต่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงองค์การโดยรüม การ เปลี่ยนแปลงระดับกลางมักจะเกิดขึ้นในลักþณะค่อยเป็นค่อยไป กินเüลายาüนาน โดยผ่านทางการ เปลี่ยนแปลงย่อยเพิ่มÿะÿมมากขึ้นเป็นลำดับมากกü่าการเปลี่ยนแปลงแบบฉับพลัน จากการใช้คüาม รุนแรงฉับพลัน เช่น การเปลี่ยนแปลงระดับการýึกþาเฉลี่ยของประชากรในÿังคมĀนึ่ง ประชากร เปลี่ยนแปลงโดยเฉลี่ยจากการจบการýึกþาระดับประถมýึกþาไปÿู่การจบระดับมัธยมýึกþาอาจใช้ เüลากü่าชั่üอายุ การเพิ่มขึ้นของระดับการýึกþามีผลกระทบต่อชีüิตในด้านต่างๆ แต่เนื่องจากการ เปลี่ยนแปลงดังกล่าüเกิดขึ้นในลักþณะค่อยเป็นค่อยไป ผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงจึงอยู่ในระดับ ปานกลาง 1.1.2 การเปลี่ยนแปลงระดับรากฐาน มีขอบเขตและคüามลึกค่อนข้างมาก จึงเปลี่ยนแปลงÿ่üนต่างๆ ของÿังคมĀรือองค์การประเภทอื่นๆ เป็นÿ่üนใĀญ่Āรือทั้งĀมด การ เปลี่ยนแปลงประเภทนี้เกิดขึ้นน้อยกü่าแบบแรก แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้üจะเĀ็นได้ชัดเจน และมีคüามÿำคัญ ยิ่ง เช่น ชุมชนเมืองใĀม่ (Boomtown) ที่ขยายตัüจากĀมู่บ้านขนาดเล็กประกอบด้üยประชากรไม่กี่ พันคนไปÿู่เมืองที่มีประชากรกü่าĀลายĀมื่นคน ในช่üงเüลาเพียงปีÿองปี จากผลของการเปลี่ยนแปลง ดังกล่าüถือü่าอยู่ในกระบüนการเปลี่ยนแปลงขั้นรากฐาน ดังนั้นจะเĀ็นได้ü่า การเปลี่ยนแปลงระดับ รากฐานมักจะเกิดขึ้นอย่างรüดเร็üจากการเปลี่ยนแปลงฉับพลันในภาüะเงื่อนไขทางนิเüýüิทยา Āรือ อุบัติการณ์ทางเýรþฐกิจและการเมืองแบบพลิกแผ่นดิน
40 1.2 มิติในด้านคüามมีüัตถุประÿงค์ (Purposefulness) ของการเปลี่ยนแปลง ซึ่ง แบ่งออกได้เป็น 2 รูปแบบ คือ การเปลี่ยนแปลงโดยจงใจ (Intentional Changes) และการ เปลี่ยนแปลงโดยไม่จงใจ (Unintentional Changes) คือ 1.2.1 การเปลี่ยนแปลงโดยจงใจ ริเริ่มโดยบุคคลĀรือองค์การผู้พยายามทำ การปรับเปลี่ยนภาüะทางÿังคมและüัฒนธรรมใĀ้ไปในüิถีทางที่พึงปรารถนา การเปลี่ยนแปลงประเภท นี้มักจะมีคüามซับซ้อนใช้เüลายาüนานและเกี่ยüข้องกับการกำĀนดเป้าĀมายอย่างชัดเจน การ üางแผนกลยุทธ์ในการดำเนินการระดมทรัพยากรและการÿนับÿนุนการดำเนินโครงการต่างๆ และการ พยายามแก้ไขปัญĀาคüามขัดแย้ง การเอาชนะแรงต่อต้านและÿุดท้ายถ้าประÿบคüามÿำเร็จจะนำไปÿู่ การเปลี่ยนแปลงที่ต้องการได้ อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงจำนüนมากที่ประÿบคüามล้มเĀลü คüามพยายามในการเปลี่ยนแปลงบางครั้งจะประÿบคüามÿำเร็จจากการใช้เüลายาüนาน เช่น ขบüนการเรียกร้องÿิทธิของคนผิüดำในÿĀรัฐอเมริกา 1.2.2 การเปลี่ยนแปลงโดยไม่จงใจ ไม่ได้มีการüางแผนล่üงĀน้า เกิดขึ้นใน ลักþณะของการตอบÿนองต่อคüามตึงเครียดที่รบกüนĀรือกระทบÿังคม Āรือองค์การอื่นๆ จากคüาม พยายามจัดการกับปัญĀาต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากคüามตึงเครียดเĀล่านี้ แบบแผนต่างๆ ของการจัด ระเบียบĀรือแบบปฏิบัติทางÿังคมและüัฒนธรรมต่างๆ มีการปรับเปลี่ยนทีละเล็กทีละน้อย Āรือมีการ ยอมรับแบบแผนและกิจกรรมแบบใĀม่ๆ เนื่องจากกระบüนการนี้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในÿังคม ÿมัยใĀม่ มักจะยากต่อการชี้ใĀ้เĀ็นได้อย่างชัดเจน อย่างไรก็ดีในระยะยาü ผลของกระบüนการนี้อาจ ก่อใĀ้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างใĀญ่Āลüงในÿังคม เช่น ในÿĀรัฐอเมริกา ถึงแม้จะไม่มีนโยบาย ระดับชาติที่ÿ่งเÿริมการเติบโตของชานเมือง แต่จากผลของพลังนานัปการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคüาม มั่นคงทางเýรþฐกิจ การใช้รถยนต์ คüามต้องการบ้านÿำĀรับครอบครัüเดี่ยü ชานเมืองจึงกลับ กลายเป็นชุมชนที่มีการเจริญเติบโตอย่างรüดเร็üในช่üง 50 ปีที่ผ่านมา 2. การแบ่งโดยใช้มิติ 2 มิติ มาเป็นพื้นฐานของรูปแบบการเปลี่ยนแปลงที่ÿำคัญ 4 รูปแบบ 2.1 การปฏิรูปทางÿังคม (Social Reforms) เป็นการเปลี่ยนแปลงระดับกลางที่ เป็นไปโดยจงใจ ในกรณีนี้บุคคลĀรือองค์การเป็นฝ่ายริเริ่มคüามพยายามในการก่อใĀ้เกิดการ เปลี่ยนแปลงในขอบเขตจำกัดเพื่อบรรลุเป้าĀมายที่ตนเองปรารถนา Āรือเพื่อแก้ปัญĀาต่างๆ เช่น การ จัดตั้งโครงการÿงเคราะĀ์คนü่างงานเพื่อลดปัญĀาด้านการเงินในระĀü่างการต้องการออกจากงาน มักจะเรียกü่าเป็น “แนüเÿรีนิยม” และเมื่อต้องการที่จะธำรงภาüะทางÿังคมแบบเดิมเอาไü้ มักจะ เรียกü่าเป็นแนü “อนุรักþ์นิยม” (Conservative) 2.2 การปรับตนของÿังคม (Social Adjustment) เป็นการเปลี่ยนแปลงระดับกลาง ที่เป็นไปโดยไม่จงใจ มักจะเป็นผลพลอยได้จากคüามพยายามที่จะแก้ปัญĀาคüามตึงเครียดที่เกิดขึ้น อย่างĀลีกเลี่ยงไม่ได้ เช่น ÿังคมĀนึ่งมีอัตราการเกิดเพิ่มÿูงขึ้น ระบบโรงเรียนจะรู้ü่าจำเป็นต้อง
41 ขยายตัüเพื่อรองรับภาüะงานที่เพิ่มขึ้น ซึ่งก่อใĀ้เกิดคüามจำเป็นที่จะต้องเพิ่มงบประมาณและเพิ่มภาþี และผลิตครูใĀ้มากขึ้น ซึ่งในทางกลับกันจะมีผลอย่างอื่นๆ ต่อÿังคมĀรือชุมชนโดยÿ่üนรüม การ เปลี่ยนแปลงชนิดนี้เป็นรูปแบบที่แพร่Āลายที่ÿุด ถึงแม้ü่ากระบüนการนี้มักจะไม่ค่อยได้รับการรับรู้ใน ฐานะที่เป็นการเปลี่ยนแปลงมากนักจนกระทั่งปรากฏการณ์นี้ได้เกิดขึ้นแล้üก็ตาม 2.3 การปฏิüัติทางÿังคม (Social Revolution) เป็นการเปลี่ยนแปลงระดับรากฐาน ที่ เกิดขึ้นโดยคüามจงใจ ผู้นำการปฏิüัติมุ่งมั่นที่จะÿร้างÿังคมĀรือองค์การชนิดใĀม่ โดยทั่üไปมักจะ คิดü่าการปฏิüัติเป็นเรื่องทางการเมืองโดยรากฐาน แต่คüามจริงแล้üเป็นการปฏิüัติเชิงเýรþฐกิจและ การปฏิüัติเชิงÿังคม เช่น ในประüัติýาÿตร์ยุโรปช่üงคริÿต์ýตüรรþที่ 17 และ 18 เมื่อกลุ่มพ่อค้า พยายามแย่งชิงคüามเป็นใĀญ่ทางด้านเýรþฐกิจและÿังคมจากพüกขุนนางเจ้าของที่ดิน การปฏิüัติจะ ถูกเรียกü่าเป็นแบบ “พลิกแผ่นดิน” (Radical) ถ้าเป็นคüามพยายามที่จะÿร้างภาüะทางÿังคมแบบ ใĀม่ทั้งĀมดจะถูกเรียกü่า “การปฏิüัติ” 2.4 การแปรรูปทางÿังคม (Social Transformations) เป็นการเปลี่ยนแปลงระดับ รากฐานที่เป็นไปโดยไม่จงใจ ในระยะแรกการเปลี่ยนแปลงทางÿังคมและüัฒนธรรมระดับรากฐานมัก เป็นไปโดยไม่จงใจ ผู้เข้าร่üมในการเปลี่ยนแปลงมักจะเริ่มจากการพยายามก่อใĀ้เกิดการปฏิรูปที่มี ขอบเขตจำกัดเพื่อแก้ปัญĀาคüามตึงเครียดที่ก่อใĀ้เกิดปัญĀาÿังคม แต่คüามพยายามในการปฏิรูป เĀล่านี้อาจนำไปÿู่การเปลี่ยนแปลงรูปแบบของทั้งÿังคมในที่ÿุด เช่น การตรากฎĀมายÿังคมของ ประธานาธิบดีรูÿเüลท์ของÿĀรัฐอเมริกา ในปี ค.ý. 1933 เพื่อแก้ปัญĀาเýรþฐกิจตกต่ำ โดยเÿริมพลัง ใĀ้ระบบทุนนิยมของÿĀรัฐอเมริกา แต่ผลของการใช้กฎĀมายดังกล่าüนำไปÿู่การเปลี่ยนแปลงพื้นฐาน ของทุนนิยมÿมัยใĀม่ รüมทั้งÿร้างÿังคมที่เน้นÿüัÿดิการมากขึ้น โดยÿรุป ในคüามเป็นจริงเราไม่ÿามารถแบ่งแยกการเปลี่ยนแปลงระดับกลางกับการเปลี่ยนแปลง ระดับรากฐานĀรือการเปลี่ยนแปลงโดยจงใจกับการเปลี่ยนแปลงโดยไม่จงใจออกจากกันได้อย่าง ชัดเจน นอกจากนี้ในระยะยาü กระบüนการเปลี่ยนแปลงÿามารถเปลี่ยนผันจากแบบĀนึ่งไปÿู่อีกแบบ Āนึ่งได้ กระบüนการที่เริ่มจากการปฏิรูประดับกลางอาจกระตุ้นกระแÿการปรับตนที่ไม่ตั้งใจอาจจะ ÿะÿมกันเข้าÿู่การปฏิüัติทางÿังคมและอาจจะเปลี่ยนรูปแบบไปได้ในที่ÿุด จากแนüคิดเกี่ยüกับรูปแบบของการเปลี่ยนแปลงทางÿังคม โดยมีแนüคิดĀลักที่เกี่ยüข้อง ÿามารถÿรุป ได้ตามตารางที่ 2.3.5 ดังต่อไปนี้ ตารางที่ 2.3.5 แนüคิดĀลักที่นักüิชาการทำการýึกþาเกี่ยüกับรูปแบบของการเปลี่ยนแปลงทางÿังคม (ที่มา: แนüคิดĀลักของรูปแบบการเปลี่ยนแปลงทางÿังคมได้มาจากท่านที่เÿนอไü้ในตาราง) นักวิชาการĀรือนักวิจัย แนวคิดĀลัก พงþ์ÿüัÿดิ์ ÿüัÿดิ์พงþ์, (2547, Āน้า 267-269) รูปแบบการเปลี่ยนแปลงที่ÿำคัญ 4 รูปแบบ ได้แก่ 1. การเปลี่ยนแปลงระดับกลาง