ธรณวี ถิ ีใหม่ นวัตกรรมไทย เพอ่ื การพัฒนาท่ยี ั่งยนื 23
การใชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศ (IT) ในงานธรณีวิทยาวศิ วกรรม
INFORMATION TECHNOLOGY APPLIED TO ENGINEERING GEOLOGY
ธนู หาญพัฒนพานชิ ย์
E-mail: [email protected]
บทคดั ย่อ
Information Technology - เทคโนโลยีสารสนเทศ หมายถึง วิธีการจัดการข้อมูลด้วยวิธีการท่ีเป็น
อัตโนมัติ โดยที่ “สารสนเทศ” ในที่น้ี จะหมายถึง สิ่งท่ีเพิ่มเข้าไปในฐานความรู้และความเข้าใจ และรวมถึง
ข้อมูล(ความจริง) และการแปลความหมายจากสารสนเทศนั้น ด้วยเหตุท่ีเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์มีการพัฒนา
ก้าวหน้าไปอย่างมาก วิธีจัดการด้วย IT จะช่วยให้มีโอกาสในการจัดการกับสารสนเทศในงานธรณีวิทยา
วิศวกรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะสารสนเทศสามารถทาการคานวณด้วยคอมพิวเตอร์ จึงทาให้มีโอกาส
ในการที่จะทาการวิเคราะห์ด้วยวิธีการเชิงปริมาณและทางสถิติได้อย่างละเอียด กว้างขวาง แล้วยังสามารถ
นาเสนอผลด้วยวิธีกราฟฟกิ ต่างๆ ได้อยา่ งชัดเจน
การจัดการและบริหารสารสนเทศ สามารถทาได้หลากหลาย ตั้งแต่ ความสามารถในการดึงย้ายหน่วย
ข้อมูลในภาพไปเก็บ และเกบ็ รักษาไว้ในระบบฐานข้อมลู ปริมาณท่มี ากๆ และเลือกดึงข้อมูลแยกตามประเภทที่
ตอ้ งการไดโ้ ดยง่าย
ดังนั้น เทคโนโลยีสารสนเทศจึงเข้ามามีบทบาทต่อการทางานของนักธรณีวิทยาวิศวกรรมอย่างมากใน
การสารวจศึกษาโลกรอบตัว ต่อการสื่อสาร ต่อส่ิงท่ีนักธรณีวิทยาฯรู้และคิด ซ่ึงสิ่งเหล่าน้ีจะช่วยนาไปสู่งาน
ด้านวทิ ยาศาสตรท์ ด่ี ีข้นึ ประหยดั ต้นทุน เพิ่มความรวดเรว็ และความยดื หย่นุ ในการเก็บรวบรวมข้อมูล การเก็บ
รักษา การดึงกลบั มาใช้ การวิเคราะห์ การสอ่ื สาร และการนาเสนอข้อมลู
การทางานด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศ ไม่เพียงแต่หมายถึงการแปลงข้อมูลและสารสนเทศไปอยู่ใน
รูปแบบของดจิ ติ อล แล้วจดั การด้วยซอฟแวรท์ ยี่ ุง่ ยากเท่าน้ัน ยังหมายถึง“การปฏิวัติทางดิจิตอล” ท่ีเป็นส่วน
สาคัญในการชว่ ยให้ทาส่งิ ตา่ งๆ ตามแนวคิดในรูปแบบของยุคอะนาล็อกให้ก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว แต่ถ้า
หากเรามคี วามประสงคท์ ีจ่ ะใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในงานธรณีวิทยาวศิ วกรรมใหเ้ ตม็ ศักยภาพแลว้ เรายังต้อง
ทาการปรับ “วิถีการคิด”ของเราเสียใหม่ด้วย ซ่ึงหมายถึงการเปลี่ยนแนวทางกระบวนการท่ีเราใช้ในการคิด
แก้ปัญหาเสียใหม่ด้วย โดยปกติแล้ว เราจะเร่ิมต้นการแก้ปัญหาหน่ึงๆ จากแนวคิดที่กว้างๆ แล้วใน
กระบวนการคิด เราก็จะขยายแนวคิด แล้วรวมเข้ากับองค์ความรู้ท่ีมีอยู่แล้วในสมองของเราและองค์ความรู้
จากแหล่งความรู้ต่างๆจากภายนอก แล้วก็จัดกระบวนข้อมูลและความรู้ที่เราคิดว่ามีส่วนสาคัญต่อเร่ืองน้ันๆ
โดยท่ีเราก็ไม่รู้ว่าเราเลือกข้อมูลและวิธีการที่เราเลือกทาแบบนี้ ออกมาจากสมองของเราได้อย่างไร ในการใช้
เทคโนโลยีสารสนเทศใหเ้ ตม็ ท่ีเพ่ือทาสง่ิ นี้แทนสมองเรา เน่ืองจากเราจะไม่สามารถใช้วิธีการคิดวิเคราะห์อย่าง
ที่เราใช้สมองของเรา เราจะต้องกาหนดวิธีการสาหรับการวิเคราะห์โจทย์ปัญหาของเราล่วงหน้าและอย่าง
ละเอยี ด ดังนน้ั จงึ ต้องทาการกาหนดรปู แบบของ “กระบวนการคดิ ด้วยเทคโนโลยสี ารสนเทศ”เสียใหม่
เอกสารชิ้นนี้ได้เสนอรายการส่ิงท่ีต้องมีพัฒนาปรับเปลี่ยนให้นาไปสู่ กระบวนการคิดและทางาน
ดว้ ยเทคโนโลยสี ารสนเทศ ซ่ึงเป็นเพยี งสว่ นหนงึ่ ของส่งิ ทตี่ อ้ งพฒั นาปรับเปล่ยี นเท่าน้ัน ซึง่ ประกอบดว้ ย
Standardization of engineering geological input data for use in IT
The (2D-, 3D-, 4D-) spatial model describing the engineering geological environment
Oral Session
24 การประชุมวชิ าการธรณไี ทย ประจาปี 2564
(Geothai Webinar 2021) วันที่ 4-6 สิงหาคม 2564
Databases for large engineering geological data sets 24
Geotechnical (numerical) modelling
Spatial data integration and 2D modelling with GIS
Visualization techniques
Public data exchange, data quality assurance and data accessibility
Access to newly developed knowledge
STANDARDISATION OF ENGINEERING GEOLOGICAL INPUT DATA FOR USE IN IT
การท่ีจะเอื้อให้ กระบวนการคิดและทางาน ด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศ ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
ข้อมูลสารสนเทศจะต้องครอบคลุมฐานข้อมูล องค์ความรู้ที่หลากหลาย กว้างขวางและลึก การเก็บรวบรวม
ข้อมูลสารสนเทศดังกล่าวจานวนมากเข้าสู่ระบบ จากแหล่งข้อมูลต่างๆ จากระบบการทางานที่แตกต่างกัน
จะต้องมีการกาหนดรูปแบบของข้อมูลให้มีมาตรฐานเดียวกัน เพ่ือที่จะสามารถนามาใช้ร่วมกันอย่างมี
ประสิทธภิ าพ ถกู ตอ้ ง และสะดวก เช่น ข้อมลู จากหลุมเจาะสารวจดนิ สารวจหิน รายงานการทดสอบ รายงาน
การสารวจธรณีวิทยาสาหรับงานประเภทต่างๆ ข้อมูลจากการสารวจเก็บข้อมูลจากภาคสนาม ให้มีระบบ
จัดเก็บที่ สนับสนนุ การคดั เลือก ดึงกลับมาใช้ได้อยา่ งกวา้ งขวางและสะดวก
THE (2D-, 3D-, 4D-) SPATIAL MODEL DESCRIBING THE ENGINEERING GEOLOGICAL ENVIRONMENT
สารสนเทศในด้านโมเดลของพ้ืนที่และสภาพทางธรณีเทคนิคของช้ันรากฐานท่ีอยู่ใต้และรอบๆ
โครงการทางวิศวกรรม ทั้งในแบบ 2มิติ 3มิติ และ 4มิติ เช่น อุโมงค์ และการขุดระดับลึกสาหรับงานฐานราก
ส่วนใหญจ่ ะเสนออยใู่ นรปู แบบของดจิ ติ อลโมเดลแบบ 3มิติ ด้วยเหตุที่การพัฒนาของดิจิตอลโมเดลของพื้นดิน
ได้ถูกพัฒนาไปมากทาให้สามารถแสดงข้อมูลของพ้ืนได้หลากหลาย เช่น การแสดงแนวขอบเขตได้อย่าง
อัตโนมัติ การใส่และแสดงข้อมูลจริงหรือข้อมูลแบบจาลองเพ่ือให้ทดลองปรับเปล่ียนกรณีวิเคราะห์ในลักษณะ
ต่างๆ และทส่ี าคญั ทสี่ ดุ คือการทสี่ ามารถแสดงและสง่ เครื่องมอื และรปู แบบและตัวแปรทางธรณีเทคนิค เข้าไป
ในโหมดตา่ งๆทางธรณเี ทคนิค
DATABASES FOR LARGE ENGINEERING GEOLOGICAL DATA SETS
ฐานข้อมูลขนาดใหญ่สาหรับชุดข้อมูลทางธรณีวิทยา จะทาให้หน่วยงานสารวจธรณีวิทยาต้องเผชิญ
กับความท้าทายในการเก็บและรักษา ตลอดจนการจัดการให้มีความสามารถในการเข้าถึง ของข้อมูลจานวน
มากมายของประเทศหรือเขตปกครอง หน่วยงานเหล่าน้ีจะต้องมีการปรับเปลี่ยนบทบาทจากผู้พิมพ์แผนท่ี
ธรณีวิทยา ไปเป็นผู้ให้บริการข้อมูลด้านธรณีวิทยาและธรณีเทคนิค ซึ่งเป็นการเปลี่ยนจากการให้บริการใน
รปู แบบอะนาล็อกไปเป็นดิจติ อล
GEOTECHNICAL (NUMERICAL AND STATISTICAL) MODELLING
การเพิ่มขึ้นของขีดความสามารถของคอมพิวเตอร์และการพัฒนาวิธีการวิเคราะห์คานวณแบบต่างๆ
เช่น FEM, FDM, DEM และ PFM ในด้านธรณีวิทยาวิศวกรรมและธรณีเทคนิค ทาให้สามารถดาเนินการกับ
รูปแบบทางธรณีวิทยาและวิศวกรรม ท่ีมีรูปแบบยุ่งยากและไม่สม่าเสมอ และในแบบ 3มิติ โดยมีรูปแบบของ
การวิเคราะห์ที่ใช้ความสัมพันธ์ระหว่างแรงกับการวิบัติที่ยุ่งยาก เสมือนจริงมากข้ึน แบบจาลองยังสามารถทา
ด้วยการเปลีย่ นสภาพของแรงไปตามเวลาไดด้ ว้ ย เป็นการเพม่ิ ตัวแปรด้านเวลาในกระบวนการวเิ คราะห์
Oral Session
ธรณวี ิถใี หม่ นวตั กรรมไทย เพือ่ การพัฒนาท่ียัง่ ยนื 25
ข้อจากัดของการวิเคราะห์จึงเปลี่ยนไปจากการมีข้อจากัดทางด้านฮาร์ดแวร์ และ ซอฟท์แวร์ ไปอยู่ท่ี
ข้อจากัดด้านคุณภาพของข้อมูลท่ีมีใช้ เพราะยังมีความไม่แน่นอนของการได้มา และการกาหนดข้อมูลทาง
ธรณีวิทยาจาก
การสารวจ ท่ยี งั คงมีขอ้ จากัด โดยเฉพาะในด้านความผันผวนของข้อมูลไปตามการเปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยา
เพื่อแก้ไขปัญหานี้ การบูรณาการข้อมูลทั้งหมดท่ีมีเข้าด้วยกันให้มากที่สุด เช่นข้อมูลท่ีได้ในระหว่างการ
ก่อสรา้ ง หรือแม้แตภ่ ายหลงั การก่อสร้างแล้วเสร็จ แล้วนามาใช้ในการวิเคราะห์ย้อนกลับในโมเดลคณิตศาสตร์
ประสบการณ์ทไ่ี ดน้ ี้ จะชว่ ยในการพัฒนาองค์ความรใู้ นการวเิ คราะหค์ านวณในปญั หาต่อๆ ไป
SPATIAL DATA INTEGRATION AND 2D MODELLING WITH GIS
ข้อมูลทางธรณีวิทยาเม่ือมีค่าพิกัดภูมิประเทศ จะสามารถใช้ร่วมกับระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ เพ่ือ
ผลิต แผนทธี่ รณีวทิ ยาดิจติ อล และใช้รว่ มกบั ขอ้ มลู แผนท่อี ะนาล็อก
VISUALISATION TECHNIQUES
ข้อมลู ธรณวี ทิ ยาวศิ วกรรม ปกตจิ ะแสดงในรปู แบบของแผนที่ รูปตดั หรือโมเดลรูปตัดสามมิติ หรือแผน
ที่แสดงโครงสร้างงานท่ีก่อสร้าง แต่ ITทาให้เกิดการเปล่ียนแปลงในการใช้คอมพิวเตอร์เพื่อช่วยนักธรณีวิทยา
วศิ วกรรม ในการนาเสนอข้อมลู ดบิ รว่ มกับการนาเสนอผลการแปลคา่ แปลความหมายทางธรณีวทิ ยาในรปู แบบ
2 และ 3 มติ ิ รวมถงึ การแปรผนั ตามเวลา ในโมเดลแสดงผลทางธรณวี ทิ ยาไดช้ ดั เจนยงิ่ ข้ึน
PUBLIC DATA EXCHANGE, DATA QUALITY ASSURANCE AND DATA ACCESSIBILITY
การพัฒนาของ IT ทาให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในการมี การเข้าถึงและการแลกเปลี่ยนข้อมูลด้าน
ธรณีวิทยาเป็นอย่างมาก หน่วยงานสารวจธรณีวิทยาจะต้องเปลี่ยนไปเป็นหน่วยรวบรวม จัดการ แลกเปล่ียน
ข้อมลู ระหวา่ งหน่วยงานและสาธารณะ
ACCESS TO NEWLY DEVELOPED KNOWLEDGE
การแลกเปล่ียนความรู้ ความคิด ระหว่างผู้ผลิตและผู้ใช้ข้อมูลด้านธรณีวิทยาเป็นเร่ืองปกติ แต่การ
เปลย่ี นรปู แบบของขอ้ มลู จากการพฒั นาของ IT ทาให้การดาเนินการดังกล่าวมีประสิทธิภาพมากขึ้น เม่ืออยู่ใน
รปู ของดิจิตอล และยงั ทาให้การเข้าถึงทาได้ง่ายและรวดเรว็ และกวา้ งขวางมากขน้ึ
สรุป นอกจากการพัฒนาในดา้ นกฎระเบียบ การมีมาตรฐาน การมีศักด์ิศรีความรับผิดชอบ การเป็นท่ี
ยอมรับของสังคม ในการประกอบวิชาชีพนักธรณีวิทยาวิศวกรรม ที่ได้เกิดข้ึนแล้วในปีพุทธศักราช 2563 การ
พัฒนาด้านเทคโนโลยีที่นามาใช้ในการปฏิบัติงาน ก็เป็นความจาเป็นท่ีจะทาให้วิชาชีพด้านธรณีวิทยา มีความ
ทันสมัย ความถูกต้องแม่นยา และมีขีดความสามารถสูงขึ้นเพ่ือรองรับการเปลี่ยนแปลงของโลก ของมนุษย์
และของสภาวะทางธรรมชาติ ให้เกดิ ความทนั กาล มน่ั คงและย่งั ยนื ต่อไป
บทความนี้ไดแ้ ปลและสรุปเรียบเรียงจากเอกสารวิชาการด้านล่าง เน่ืองจากเป็นการแปลสรุป เน้ือหา
จงึ ไม่ครบถ้วนตามตน้ ฉบับ ดังนั้นจงึ ขอแนะนาให้ติดตามอา่ นจากเอกสารตน้ ฉบบั เพ่อื ใหไ้ ดเ้ นอื้ หาทสี่ มบูรณ์
Information technology applied to engineering geology
เอกสารอา้ งองิ
Rengers, N., Hack, H. R. G. K., Huisman, M., Slob, S., & Zigterman, W. (2002). Information technology applied to
engineering geology : keynote. In Proceedings of the 9th congress of the International Association for
Engineering Geology and the Environment : Engineering geology for developing countries, 16-20 Septem-
ber 2002. pp. 121-143 (pp. 121-143). International Association for Engineering Geology and the Environ-
ment.
Oral Session
26 การประชมุ วิชาการธรณไี ทย ประจาปี 2564
(Geothai Webinar 2021) วนั ที่ 4-6 สงิ หาคม 2564
26
การเชอ่ื มโยงธรณีวทิ ยาและทรัพยากรธรณภี าคใต้สู่การนาเสนอในพิพิธภัณฑซ์ ากดกึ ดาบรรพ์
ธรณวี ิทยาและธรรมชาติวิทยา จังหวดั สรุ าษฎร์ธานี เพอื่ สรา้ งจิตสานกึ การอนรุ ักษ์
เด่นโชค มัน่ ใจ และ สถาพร มิตรมาก*
พพิ ธิ ภณั ฑซ์ ากดกึ ดาบรรพ์ ธรณวี ทิ ยา และธรรมชาตวิ ทิ ยา จงั หวดั สรุ าษฎรธ์ านี สานกั งานทรพั ยากรธรณี เขต 4 กรมทรพั ยากรธรณี
*E-mail: [email protected]
บทคดั ยอ่
กรมทรัพยากรธรณีได้จัดต้ังพิพิธภัณฑ์ซากดึกดาบรรพ์ ธรณีวิทยา และธรรมชาติวิทยา จังหวัด
จังหวัดสุราษฎร์ธานี โดยพิพิธภัณฑ์แห่งนี้มีชื่อที่ใช้ในการประชาสัมพันธ์ว่าพิพิธภัณฑ์ธรณีวิทยาพุนพิน
ตั้งอยู่บนเนื้อท่ีจานวน 10 ไร่ ริมฝั่งแม่น้าตาปี ณ ตาบลท่าข้าม อาเภอพุนพิน จังหวัดสุราษฎร์ธานี การ
จัดต้ังพิพิธภัณฑ์ฯแห่งนี้จะแล้วเสร็จสมบูรณ์ในปี พ.ศ.2566 แต่ได้ทดลองเปิดให้บริการเพื่อทดสอบระบบ
ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน พ.ศ.2563 วัตถุประสงค์ของพิพิธภัณฑ์ฯ เพ่ือเก็บรักษาวัตถุทางธรณีวิทยาที่
สาคัญชนิดต่างๆ ศึกษาวิจัยด้านธรณีวิทยาโดยเน้นศึกษาเกี่ยวกับทะเลโบราณและจดั แสดงเผยแพรอ่ งคค์ วามรู้
ทศี่ กึ ษาแลว้ แกส่ าธารณชน ปจั จบุ นั การจดั แสดงในพพิ ธิ ภณั ฑค์ รอบคลุมเร่ืองการกาเนิดโลก การกาเนิดสิ่งมีชีวิต
ความรู้ด้านหิน แร่และทรัพยากรธรณี การอนุรักษ์แหล่งท่องเที่ยวทางธรณีวิทยา และความรเู้ กยี่ วกบั แนว
ทางการรบั มอื กบั ธรณพี บิ ตั ภิ ยั ชนดิ ตา่ งๆ การใหบ้ รกิ ารของพพิ ธิ ภณั ฑฯ์ เนน้ การมสี ว่ นรว่ มของประชาชนในทอ้ งถน่ิ
ร่วมดาเนินการกับเจ้าหน้าที่ของพิพิธภัณฑ์ฯ เช่น การรวมกลุ่มของประชาชนในท้องถิ่นจัดตั้งกลุ่มอาสา
พิพิธภัณฑ์ธรณีวิทยาพุนพิน ร่วมต้อนรับและให้คาแนะนาเบ้ืองต้นแก่ ผู้มาเย่ียมชมพิพิธภัณฑ์ฯ การ
รับนักศึกษาฝึกงานจากสถาบันศึกษาต่างฯในจังหวัดสุราษฎร์ธานี โดยนักศึกษาจะได้ฝึกงานตาม
สาขาวิชาที่เรียนมา เช่น การฝึกงานด้านสาขาท่องเที่ยวจะฝึกการต้อนรับและการนาชมพิพิธภัณฑ์ฯ
สาขาคอมพิวเตอร์จะฝึกการดูแลบารุงระบบ IT ของพิพิธภัณฑ์ฯ สาขาธรณีวิทยาฝึกการจัดคลังตัวอย่าง
ธรณีวัตถุชนิดต่างๆ เป็นต้น นอกจากน้ีพิพิธภัณฑ์ฯยังมีการให้ความรู้ทางสื่อสังคมออนไลน์อีกด้วย ผู้ที่
เข้าเย่ียมชมพิพิธภัณฑ์ฯจะได้รับความรู้เก่ียวกับธรณีวิทยาด้านต่างๆ โดยเฉพาะกลุ่มเยาวชนนั้นเด็กๆมี
ความประทับใจและได้รู้ถึงคุณค่าของแหล่งท่องเที่ยวทางธรณีวิทยาที่หลากหลายในพ้ืนที่ภาคใต้ สร้าง
แรงบันดาลใจให้รักหวงแหนและอยากมสี ว่ นรว่ มในการอนรุ กั ษแ์ ละทอ่ งเทย่ี วทอี่ ยใู่ นทอ้ งถนิ่ สว่ นองคค์ วามรดู้ า้ น
ธรณพี บิ ตั ภิ ยั ทจ่ี ดั แสดงใน พพิ ธิ ภณั ฑฯ์ สามารถใหค้ วามรเู้ บอื้ งตน้ แกผ่ เู้ ขา้ ชมสามารถนาไปใชเ้ ปน็ แนวทางปฏบิ ตั ิ
เพอ่ื ลดความสญู เสยี เมอื่ ตอ้ งเผชิญกบั ธรณีพิบตั ิภยั ต่างๆ
คาสาคัญ : ทรัพยากรธรณี, พิพธิ ภัณฑ,์ การอนุรักษ์
Oral Session
ธรณีวิถใี หม่ นวตั กรรมไทย เพ่ือการพฒั นาทยี่ ัง่ ยืน 27
การคน้ พบซากดึกดาบรรพ์และการประเมินแหลง่ ซากดกึ ดาบรรพ์เพอ่ื บริหารจัดการตาม
กฎหมายในพนื ทจี่ งั หวดั สกลนคร
พรเพ็ญ จันทสิทธ์*ิ , ณสนนท์ ขาคมเขตร์, วันสริ ิ บญุ หล้า, ไปรยา จันต๊ิบ และ เกษฎาภรณ์ เครอื ภักดี
พิพิธภณั ฑส์ ริ ินธร สานกั งานทรพั ยากรธรณีเขต 2 กรมทรัพยากรธรณี, กาฬสนิ ธุ์ 46140
*E-mail: [email protected]
บทคดั ยอ่
แหล่งซากดึกดาบรรพ์ในพื้นที่จังหวัดสกลนคร มีพบรายงานไม่มากนัก จากฐานข้อมูลเดิมของกอง
คุ้มครองซากดึกดาบรรพ์ กรมทรัพยากรธรณี ระบุว่า ในพื้นที่จังหวัดสกลนครมีแหล่งซากดึกดาบรรพ์เพียง
1 แหล่ง ได้แก่ แหล่งซากดึกดาบรรพ์ภูพอก อาเภอภูพาน ซึ่งมีการค้นพบซากดึกดาบรรพ์ฉลามน้าจืด
ปลากระดกู แขง็ Siamamia naga จระเข้ Siamosuchus phophokensis เตา่ ไดโนเสาร์ เทอโรซอร์ และทสี่ าคญั
มกี ารคน้ พบไขข่ องสตั วเ์ ลอ้ื ยคลานเพยี งแหลง่ เดยี วในประเทศไทย ตอ่ มามีการค้นพบแหล่งซากดกึ ดาบรรพภ์ เู พ็ก
อาเภอพรรณานิคม ซ่ึงพบซากดึกดาบรรพ์หอยน้าจืดจานวนมาก ร่วมกับช้ินส่วนของกระดูกและฟันของ
ไดโนเสาร์ ในช่วงเวลา 2-3 ปี ท่ีผ่านมา มีการแจ้งพบซากดึกดาบรรพ์ โดยพิพิธภัณฑ์สิรินธร สานักงาน
ทรัพยากรธรณี เขต 2 ได้เข้าทาการตรวจสอบและสารวจเพ่ิมเติมในพ้ืนที่ตามพระราชบัญญัติคุ้มครอง
ซากดึกดาบรรพ์ พ.ศ.2551 ทาให้พบแหล่งซากดึกดาบรรพ์แหล่งใหม่ในพื้นท่ี อาเภอเมือง ได้แก่ แหล่ง
ซากดึกดาบรรพ์ภูสูง พบซากดึกดาบรรพ์ของจระเข้เกือบสมบูรณ์ ซากดึกดาบรรพ์เต่าอย่างน้อย 19 ตัว
นอกจากนี้ยังพบซากดึกดาบรรพ์ปลากระดูกแข็งและไดโนเสาร์ และอีกหนึ่งแหล่งอยู่ในพื้นท่ีอุทยานแห่งชาติ
ภูพาน อาเภอภูพาน ได้แก่ แหล่งซากดึกดาบรรพ์เหวน้อย ซ่ึงมีการค้นพบซากดึกดาบรรพ์ไดโนเสาร์ เต่า
จระเข้ และหอยสองฝา แหล่งซากดกึ ดาบรรพท์ ง้ั 4 แหล่ง พบซากดกึ ดาบรรพ์อยู่ในหินทรายแป้งและหินโคลน
สนี ้าตาลแดง ของหมวดหินเสาขัว กลมุ่ หนิ โคราช อายุครีเทเชยี สตอนตน้
ในปี 2564 พิพิธภัณฑ์สิรินธร จ.กาฬสินธุ์ ได้ดาเนินการประเมินแหล่งซากดึกดาบรรพ์ในพ้ืนท่ี
จังหวดั สกลนครเพ่ือบริหารจัดการตามกฎหมาย โดยใช้หลักเกณฑ์และการคานวณคะแนนตามที่กองคุ้มครอง
ซากดึกดาบรรพ์กาหนด ประกอบด้วย หลักเกณฑ์การข้ึนทะเบียนแหล่งซากดึกดาบรรพ์ตามประกาศ
คณะกรรมการคุ้มครองซากดึกดาบรรพ์ หลักเกณฑ์ด้านคุณสมบัติพ้ืนฐานเพื่อการจาแนกและจัดลาดับ
ความสาคัญของแหล่งซากดึกดาบรรพ์ และหลักเกณฑ์ด้านความเหมาะสมของการอนุรักษ์และพัฒนาแหล่ง
ซากดกึ ดาบรรพ์ ซง่ึ สรปุ ผลการประเมนิ ไดด้ งั นี้ แหลง่ ซากดกึ ดาบรรพ์ภพู อก อาเภอภูพาน แหล่งซากดึกดาบรรพ์
ภสู งู อาเภอเมอื ง เปน็ แหลง่ ซากดกึ ดาบรรพท์ ม่ี คี ุณสมบตั ขิ ้อใดขอ้ หนง่ึ ตามมาตรา 14 เปน็ แหล่งซากดกึ ดาบรรพ์
ท่ีมลี าดับความสาคัญสูงมาก และมีความเหมาะสมในการพัฒนาเป็นแหล่งเรียนรู้ แหล่งซากดึกดาบรรพ์ภูเพ็ก
เปน็ แหลง่ ซากดกึ ดาบรรพท์ มี่ ลี าดบั ความสาคญั สงู และแหลง่ ซากดกึ ดาบรรพเ์ หวนอ้ ย เปน็ แหลง่ ซากดกึ ดาบรรพ์
ท่ีมีลาดับความสาคัญท่ัว ๆ ไป ซึ่งท้ังสองแหล่งหลังน้ีไม่เป็นแหล่งซากดึกดาบรรพ์ท่ีมีคุณสมบัติข้อใดข้อหน่ึง
ตามมาตรา 14 อย่างไรกต็ าม ตวั อย่างซากดึกดาบรรพ์ท่พี บทงั้ 4 แหลง่ อยู่ในชั้นหินโผล่ท่ีมีความคงทนต่า เห็น
ควรให้มีการเข้าสารวจและเก็บตัวอย่างทุกปี เพ่ือเก็บตัวอย่างที่อาจจะสูญหายจากการผุพังที่เกิดจากน้าฝน
และความร้อน นอกจากน้ีเนื่องจากแหล่งท้ัง 4 แหล่งเป็นพ้ืนท่ีเปิดและมีการสัญจรผ่านของประชาชน ควร
สร้างความรู้ความเข้าใจให้หน่วยงานและประชาชนในพ้ืนท่ีเกี่ยวกับความสาคัญของการอนุรักษ์ซากดึกดา
บรรพแ์ ละดแู ลแหล่งซากดึกดาบรรพเ์ พือ่ ประโยชน์เชงิ วิชาการและการบรหิ ารจัดการตามกฎหมายในอนาคต
Oral Session
28 การประชมุ วิชาการธรณไี ทย ประจาปี 2564
(Geothai Webinar 2021) วนั ที่ 4-6 สิงหาคม 2564
28
การจัดเกบ็ ขอ้ มูลของซากดกึ ดาบรรพเ์ พอ่ื วเิ คราะห์การเปลย่ี นแปลงในอนาคตสาหรับการ
พฒั นาแหล่งเรียนรู้โดยเทคนคิ โฟโตแกรมมิตรี กรณศี กึ ษาไม้กลายเป็นหินขนาดยาวท่ีสุดในโลก
ณ อุทยานแหง่ ชาตดิ อยสอยมาลัย จังหวดั ตาก
คงกระพนั ไชยทองศรี* และ สรุ เวช สธุ ีธร
ภาควชิ าชวี วทิ ยา คณะวทิ ยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม อาเภอกนั ทรวชิ ยั จงั หวัดมหาสารคาม 44150
*E-mail: [email protected]
บทคัดยอ่
ซากดึกดาบรรพ์มีความสาคัญอย่างมากกับการศึกษาด้านบรรพชีวินวิทยา หน่ึงในความหลากหลาย
นั้นคือไม้กลายเป็นหิน ท่ีพบในหลายพ้ืนที่ท่ัวโลกรวมถึงไปประเทศไทยท่ีมีการค้นพบไม้กลายเป็นหินขนาด
ใหญ่และมีความยาวมากที่สุดในโลก ทว่าขนาดท่ีใหญ่น้ีจึงทาให้การจัดการกับข้อมูลเป็นไปได้ยากและปัญหาที่
พบมากของซากดกึ ดาบรรพ์คือการเสื่อมสภาพของตัวอย่าง ในปัจจุบันเทคโนโลยีการสร้างแบบจาลองสามมิติ
ได้เข้ามามีบทบาทมากข้ึนในงานด้านบรรพชีวินวิทยา เพ่ือการจัดเก็บฐานข้อมูลในรูปแบบดิจิทัล และ
สนับสนนุ การอนรุ ักษ์ตวั อยา่ ง
แบบจาลองท่ีมีความละเอียดและคุณภาพงานท่ีสูงสามารถนามาใช้ในงานได้จริง ไม้กลายเป็นหิน
ขนาดใหญ่มีการเส่ือมสภาพลงในแต่ละปีโดยมีอัตราอยู่ที่ 1.9 % ต่อปี ข้อมูลที่ได้นามาประยุกต์ใช้ในด้านการ
อนุรักษ์และทานายการเสื่อมสภาพของซากดึกดาบรรพ์ในอนาคตได้ การใช้เทคนิคโฟแกรมมิตรีเข้ามาช่วยใน
การศึกษาวจิ ัยเปน็ ตวั เลอื กที่เหมาะสมดว้ ยราคาที่ถูกและใช้เวลาในการบันทึกข้อมูลที่น้อย แบบจาลองสามมิติ
ทาใหเ้ ขา้ ถึงข้อมลู ได้งา่ ยและการแบ่งปันข้อมลู ท่รี วดเร็วในปจั จุบัน
คาสาคัญ: แบบจาลองสามมติ ,ิ โฟโตแกรมมิตรี, ดจิ ิทลั , บรรพชีวนิ วทิ ยา
Oral Session
ธรณวี ิถีใหม่ นวัตกรรมไทย เพ่อื การพัฒนาทย่ี งั่ ยนื 29
การจัดทาแผนทีเ่ สย่ี งอทุ กภยั จังหวัดสงิ ห์บุรี
สรุ ศกั ดิ์ บญุ ลอื 1*, ประภาพรรณ จนั ทมาศ1, พฒั นร์ ชั พงศ์ กมลยะบตุ ร1, ดารกิ า ฆารสะอาด1 และวสิ ทุ ธิ์ ศริ พิ รนพคณุ 2
1กรมทรพั ยากรธรณี
2มหาวิทยาลยั ราชภัฏสวนสนุ นั ทา
*E-mail: [email protected]
บทคดั ยอ่
การจัดทาแผนท่ีเส่ียงอุทกภัยจังหวดั สงิ ห์บุรีมีวัตถุประสงค์เพื่อสารวจสภาพน้าท่วมและความเสียหาย
เน่ืองจากเหตุการณ์มหาอุทกภัยปี พ.ศ. 2554 และใช้แบบจาลอง Nays2DFlood วิเคราะห์พื้นท่ีน้าท่วมและ
ความเสยี หายทจ่ี ะเกดิ ขน้ึ จากอทุ กภยั ทร่ี อบการเกดิ ซ้า 100 ปี พร้อมท้งั ดาเนนิ การหาพื้นทศี่ กั ยภาพในการจดั ตั้ง
เปน็ ศนู ยพ์ กั พงิ ผปู้ ระสบภยั และนาขอ้ มลู ทัง้ หมดมาจดั ทาเปน็ แผนทเ่ี ส่ยี งอุทกภัย ผลการศกึ ษาพบวา่ อทุ กภยั ปี
พ.ศ. 2554 ครอบคลมุ พนื้ ทปี่ ระมาณ 458 ตารางกิโลเมตร พื้นท่ีเกษตรกรรมถูกน้าท่วมไป 59.32% พื้นที่ชมุ ชน
และส่ิงปลูกสร้างถูกน้าท่วมไป 43.16% มีประชากรที่ต้องอพยพประมาณ 59,284 คน มีสถานท่ีที่มีอาคาร
สามารถจดั ตงั้ เปน็ ศนู ยพ์ กั พงิ ผปู้ ระสบภยั ได้ จานวน 113 แหง่ รองรบั ผู้ประสบภยั ได้ 22,735 คน ส่วนอทุ กภยั ท่ี
รอบการเกิดซ้า 100 ปี จะครอบคลุมพ้นื ท่ีประมาณ 540.36 ตารางกิโลเมตร พืน้ ทเี่ กษตรกรรมจะถูกน้าทว่ มไป
67.8 % พน้ื ทช่ี มุ ชนและสง่ิ ปลกู สรา้ งจะถกู น้าทว่ มไป 65.33% มปี ระชากรทจี่ ะตอ้ งอพยพประมาณ 107,273 คน
มสี ถานทท่ี มี่ อี าคารสามารถจดั ตง้ั เปน็ ศนู ยพ์ กั พงิ ผปู้ ระสบภยั ได้ จานวน 55 แหง่ รองรบั ผปู้ ระสบภยั ได้ 13,680 คน
และเสนอให้ใช้พื้นท่ีภายนอกอาคารรวมทั้งพ้ืนที่ริมถนนต่างๆ ท่ีน้าไม่ท่วมจัดทาเป็นสถานที่พักพิงช่ัวคราว
เพม่ิ เตมิ ใหเ้ พยี งพอกบั จานวนผูป้ ระสบภยั
คาสาคญั : อทุ กภยั , ศนู ยพ์ กั พงิ ผปู้ ระสบภยั , สงิ หบ์ รุ ี
Oral Session
30 การประชุมวชิ าการธรณไี ทย ประจาปี 2564
(Geothai Webinar 2021) วันที่ 4-6 สงิ หาคม 2564
30
การทาแผนทีซ่ ากดกึ ดาบรรพ์ และกาหนดเส้นทางท่องเทยี่ วแหลง่ มรดกธรณภี ูนาหยด
จังหวดั เพชรบูรณ์
จนั ทนี ดวงคาสวัสด*์ิ , ชัญชนา คาชา และ ทวิชากร ทะสี
สานักงานทรพั ยากรธรณี เขต 1, กรมทรพั ยากรธรณี
*E-mail: [email protected]
บทคดั ย่อ
แหล่งมรดกธรณีภูน้าหยด เป็นแหล่งธรณีวิทยาประเภทซากดึกดาบรรพ์ ตั้งอยู่อาเภอวิเชียรบุรี
จังหวัดเพชรบูรณ์ ลักษณะธรณีวิทยาเป็นหินกรวดมนเนื้อปูนอายุไทรแอสสิกตอนปลาย โผล่เป็นบริเวณ
กวา้ ง มีความโดดเดน่ ทางด้านธรณที ส่ี าคัญคอื พบซากดกึ ดาบรรพห์ ลากหลายชนดิ ในก้อนหินปูน เช่น ปะการัง
รูโกส ปะการังแบบกิ่ง ฟองน้า และฟิวซูลิดนิด ในขณะที่การสะสมตัวของหินกรวดมนเนื้อปูนจานวนมากใน
พื้นที่นี้ยังเป็นข้อถกเถียงถึงหินต้นกาเนิด และธรณีประวัติ ปัจจุบันแหล่งมรดกธรณีภูน้าหยดถูกพัฒนาเป็น
แหล่งท่องเท่ียวเชิงธรณี รวมทั้งใช้เป็นแหล่งศึกษาเรียนรู้ โดยการมีส่วนร่วมในท้องถิ่น และการสนับสนุนโดย
อุทยานธรณเี พชรบรู ณ์
เพื่อเป็นการสนับสนุนการท่องเที่ยวและการเรียนรู้ไปพร้อมกัน การทาแผนที่ซากดึกดาบรรพ์เพื่อ
กาหนดเสน้ ทางท่องเที่ยวภายในแหล่ง จะทาใหน้ กั ท่องเท่ียว หรือผู้สนใจสามารถเดินศึกษาซากดึกดาบรรพ์
ชนิดต่างๆ ที่สาคญั และหลากหลายได้อยา่ งครบถว้ น ในการทาแผนที่ เร่ิมจากการสารวจชนดิ ซากดกึ ดาบรรพ์
และจุดท่ีพบ จากนั้นคัดเลือกจุดและกาหนดเส้นทางท่องเที่ยวให้ผ่านซากดึกดาบรรพ์ครบทุกชนิด การวัด
ระยะระหว่างจุดทาได้โดยการประยุกต์ใช้เคร่ืองวัดระยะแบบเลเซอร์ และวัดมุมระหว่างจุดโดยใช้เข็มทิศ
ทาจนครบทัง้ เสน้ ทาง จะได้เส้นทางท่องเท่ียวพร้อมกับตาแหน่งซากดึกดาบรรพ์ที่สาคัญ และหลากหลายชนิด
อยา่ งครบถว้ น มรี ะยะเสน้ ทางความยาวรวมประมาณ 400 เมตร ผ่านซากดึกดาบรรพ์ 10 ประเภท รวม 32 จุด
โดยแผนท่ีแสดงตาแหน่งซากดึกดาบรรพ์และเส้นทางท่องเที่ยวนี้นอกจากจะใช้เป็นเส้นทางเดินศึกษา
ยังสามารถนาไปจัดทาสอ่ื ประชาสัมพันธ์และสื่อการเรียนรู้เก่ียวกับซากดึกดาบรรพ์เพ่ิมเติม รวมถึงช่วยใน
การกาหนดจุดติดต้ังป้ายส่ือความหมาย และวางแผนพัฒนาเส้นทางเดินให้น่าสนใจ สวยงาม เหมาะสม
และปลอดภยั กบั แหล่งมรดกธรณภี ูนา้ หยดต่อไป
คาสาคญั : แผนท่ีซากดกึ ดาบรรพ์ เสน้ ทางท่องเทยี่ ว ภนู ้าหยด อุทยานธรณเี พชรบูรณ์ แหลง่ มรดกธรณี
Oral Session
ธรณวี ิถีใหม่ นวตั กรรมไทย เพอ่ื การพฒั นาท่ยี ง่ั ยนื 31
การประเมินรปู แบบการวบิ ัติบรเิ วณฐานเขาตาปู
ศกั ดา ขนุ ดี1*, เสาวภาพ อทุ ยั รตั น์1, ธนวฒั น์ รักเฮงกุล1 และ นภัตสร ตัณฑ์สรุ ะ2
1 กองธรณีวทิ ยาสง่ิ แวดล้อม กรมทรัพยากรธรณี 75/10 ถ.พระรามท่ี 6 แขวงทุ่งพญาไท เขตราชเทวี กทม. 10400
2 นักศกึ ษาสหกิจศกึ ษา สาขาวิชาเทคโนโลยีธรณี สานักวชิ าวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยสี ุรนารี
*E-mail: [email protected]
บทคัดยอ่
เขาตาปู เป็นแหล่งท่องเที่ยวสัญลักษณ์อันโด่งดังของจังหวัดพังงา ลักษณะธรณีสัณฐานมีเอกลักษณ์
เฉพาะตวั แบบเกาะหนิ โดง่ (sea stack) อยู่ห่างจากหน่วยพทิ กั ษอ์ ุทยานแห่งชาติ ท่ี อพ.2 (เขาพงิ กัน) ประมาณ
112 เมตร มฐี านกวิ่ แคบกว่าสว่ นยอด เสน้ รอบวงของฐานวัดติดพนื้ ดนิ ยาวประมาณ 22.54 เมตร และมีความสงู
ประมาณ 35 เมตร ต้ังอยู่ในบริเวณน้าทะเล ขึ้นลง 2 คร้ังต่อวัน ตะกอนทะเลท่ีสะสมล้อมรอบฐานเขาตาปู
มีความหนาไม่น้อยกว่า 20 เมตร ประกอบด้วยดินเลนเป็นหลัก แทรกสลับด้วยเปลือกหอยชั้นบางๆ เขาตาปู
มอี งคป์ ระกอบเป็นหนิ ปนู เนอื้ โดโลไมต์ ยคุ เพอร์เมยี น ซง่ึ ในสว่ นฐานตอนลา่ งจนถงึ ตอนบนจดั เปน็ หนิ ชนั้ หนามาก
ได้รับอิทธิพลโดยตรงจากคลื่นกระแสน้าทะเล นับต้ังแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน โดยเฉพาะในระยะความสูงจนถึง
2.50 เมตรจากพ้นื ท้องทะเล ส่วนยอดเขาตาปูปดิ ทับด้วยหินชัน้ หนาปานกลาง ช้ันหินเอียงเทไม่เกิน 25 องศา
ไปทางทิศตะวันตกเฉยี งใตจ้ นถงึ ทศิ ใต้ เขาตาปผู ่านกระบวนการธรณีแปรสัณฐานอยา่ งน้อย 2 เหตุการณ์ อีกท้ัง
เปน็ เกาะทตี่ งั้ อยใู่ นเขตโซนรอยเลอื่ นคลองมะรยุ่ จงึ พบรอยแตก รอยแยก และรอยเลอ่ื นพาดตดั ผา่ นเขาตาปู อยา่ ง
น้อย 4 ทิศทางคือ NW-SE NE-SW N-S และ E-W เขาตาปูจึงนับเป็นส่วนหน่ึงที่หลงเหลือจากกระบวนการ
ธรณีวิทยารูปแบบต่าง ๆ ท้ังทางด้านเคมี ได้แก่ การละลาย การกัดกร่อนและการผุพัง และกระบวนการด้าน
กายภาพ โดยเฉพาะการเกิดหินแตกหักและร่วงถล่ม ซ่ึงส่งผลกระทบโดยตรงต่อเสถียรภาพของฐานเขาตาปู
ณ ปจั จบุ นั
การศึกษาครงั้ น้ีไดด้ าเนนิ การสารวจภาคสนามในขณะน้าลงต่าสดุ ชว่ งเวลา 18.00-19.30 น. ระหวา่ ง
เดอื นเมษายน 2564 ประกอบดว้ ย 6 กิจกรรมหลัก คือ 1) การบินสารวจและจดั ทาภาพออรโ์ ธโฟโต้จากอากาศ
ยานไร้คนขับ รวมท้ังการแปลความหมายด้วยสายตาเพ่ือกาหนดจาแนกขอบเขตธรณีสัณฐาน ธรณีโครงสร้าง
และประเภทหิน 2) การทดสอบความแข็งของหินโดยวัดค่ากระดอนกลับจากค้อนกระแทกแบบชมิดท์ใน
ภาพรวมโดยรอบฐานเขาตาปู และแปลงเป็นค่าความต้านทานแรงกดในแกนเดียว (Uniaxial Compressive
Strength: UCS) โดยใช้สมการที่นาเสนอโดย ดนุพล ตนั โยภาส (2537) 3) การจาแนกคุณภาพมวลหิน (Rock
Quality Designation: RQD) 4) การจัดอันดับคุณภาพมวลหิน (Rock Mass Rating: RMR) จากข้อมูลการ
ตรวจวัดความไม่ต่อเนื่องในมวลหินรอบฐานเขาตาปู จานวน 15 ตาแหน่ง ประกอบด้วย แนวทิศทาง มุมเท
ลกั ษณะรอยหยกั หรอื ความขรขุ ระ การผเุ ปลย่ี นสภาพ สงิ่ อดุ ฝงั ความยาว ระยะห่างระหวา่ งกัน สภาพน้าท่วมขงั
ชอ่ งโพรง รวมท้ังการวัดแนวทศิ ทางมุมหนา้ ลาดเอียงของผนังโดยรอบฐานเขาตาปู 5) การวิเคราะห์รูปแบบการ
วิบัติและแนวโน้มการเคล่ือนตัวของมวลหินในด้านทิศเหนือ ใต้ ตะวันออก และตะวันตกของเขาตาปู
6) การประเมนิ เสถียรภาพความลาดเอียงมวลหิน (Slope Mass Rating: SMR) ท้ัง สี่ทศิ ของฐานเขาตาปู และ
การเสนอแนวทางการเสรมิ สรา้ งปรบั ปรงุ เสถยี รภาพลาดมวลหนิ ดว้ ยวธิ ขี อง Romana (1985)
ผลการศึกษาประเมินในครั้งนี้พบว่า อันดับคุณภาพมวลหินโดยรอบฐานเขาตาปู แบ่งเป็น 2 กลุ่มคือ
ระดับปานกลาง (fair rock) มีค่า RMR อยู่ในช่วง 52-55 และระดับไม่ดี (poor rock) มีค่า RMR อยู่ในช่วง
Oral Session
32 การประชุมวิชาการธรณีไทย ประจาปี 2564
(Geothai Webinar 2021) วนั ท่ี 4-6 สิงหาคม 2564
32
46-50 โดยอัตราส่วนระหว่างคุณภาพระดับปานกลางต่อคุณภาพไม่ดมี ีค่าใกล้เคียงกันมากคือ 56 ต่อ 44 การ
วบิ ตั บิ รเิ วณรอบฐานเขาตาปมู รี ูปแบบท่แี ตกต่างกันไปตามลักษณะการวางตัวของรอยแตกและลักษณะของหน้า
ลาดเอียงของแต่ละทิศ ผลการวิเคราะห์สเตอริโอเน็ตโดยใช้โปรแกรม Dips 7.0 บ่งช้ีถึงรูปแบบการวิบัติที่มี
แนวโนม้ เกดิ ขน้ึ ไดม้ ากสดุ และเกดิ ไดท้ ง้ั สท่ี ศิ คอื แบบลม่ิ (wedge failure) และแบบ ลม้ คว่าชนดิ direct toppling
มคี ่าสูงสุดร้อยละ 25.74 และ 22.22 ของข้อมูลท่ีนามาวิเคราะห์เม่ือกาหนดให้มุมเสียดทาน มวลหิน เท่ากับ
30 องศา บริเวณโดยรอบฐานเขาตาปูท่ีมวลหินมีแนวโน้มเกิดการวิบัติมากคือ ด้านทิศตะวันตก ทิศใต้ และ
ทิศตะวนั ออก ซงึ่ โพรงขนาดใหญต่ งั้ อยู่ใน 3 ทิศนี้ โดยพบโพรงรูปทรงโคง้ เว้าอยู่ทางทิศตะวันตกและทศิ ใต้ และ
โพรงรูปทรงยาวเหลย่ี มเรขาคณิตอยูท่ างทศิ ตะวนั ออก ในขณะทีท่ างด้านทศิ เหนือมโี อกาสเกิดการวิบัติน้อยสุด
ในทุกบริเวณท่ีมีโอกาสเกิดการวิบัติแบบลิ่ม โดยเฉพาะรอยต่อระหว่างด้านทิศตะวันตกและทิศใต้ พบว่ามีค่า
SMR อยใู่ นระดบั ไมด่ ี (Bad) จนถึงไม่ดีมาก (very bad) และคาดวา่ จะเปน็ จดุ เร่ิมต้นเหตกุ ารณห์ นิ ร่วงถลม่ และ
เสาหินหักโค่นในส่วนที่สูงพ้นน้าขึ้นไป บริเวณที่มีแนวโน้มเกิดการวิบัติแบบล้มคว่าท้ังชนิด flexural และ
oblique ทงั้ สที่ ศิ รอบฐานเขาตาปู สว่ นใหญพ่ บวา่ มีค่า SMR อยใู่ นขัน้ ปานกลาง (normal) จนถึงดี (good) รอย
แยก รอยแตก รอยเล่ือน หรือเส้นที่เกดิ จากระนาบรอยแตกตัดกัน และมีขนาดมุมเทไม่สูง ซ่ึงพาดตัดได้ตลอด
ทงั้ มวลหนิ ในบริเวณฐานเขาตาปู จัดเป็นความไม่ตอ่ เน่ืองในมวลหนิ ท่ีลดทอนเสถียรภาพได้ในอนาคต ปัจจุบัน
พบเปน็ แนวเส้นจาง ๆ จาเปน็ ต้องใส่ใจเปน็ พิเศษและไม่ทาให้เกิดขยายเป็นร่องแนวขนาดใหญ่ การเสริมสร้าง
เสถียรภาพเพื่อลดโอกาสการวิบัติและป้องกันการเกิดหินร่วงถล่มหรือหักโค่นบริเวณฐานเขาตาปู จึงควร
ดาเนินการมุ่งเนน้ ทางด้านทิศตะวันตก ทิศใต้ ทศิ ตะวันออก และทิศเหนอื ตามลาดบั โดยใช้วธิ กี ารอดุ ประสาน
ด้วยสารต่าง ๆ (shotcrete) เพ่ือไมใ่ หน้ ้าฝนไหลผ่านและขงั ในช่องโพรงในมวลหิน การติดตงั้ กองวัสดุใต้น้าเพื่อ
ลดแรงปะทะจากกระแสคลื่นน้าทะเล และหากเปน็ ไปได้อาจมีการปรับแต่งหน้าลาดเอียงมวลหนิ หรือใช้หลาย
วิธรี ว่ มกนั กรณรี อยแตกอยหู่ า่ งกนั บนมวลหนิ ปนู ชนั้ หนา และสว่ นใหญม่ คี า่ SMR ปานกลางจนถึงดี ควรใช้เหลก็
สมอยดึ หนิ ผา (rock anchor) เหลก็ สลกั ยดึ หนิ (rock bolts) ขนาดเลก็ ยดึ ตรงึ มวลหนิ ไวด้ ว้ ยกนั
การประเมนิ รปู แบบการวบิ ตั บิ รเิ วณฐานเขาตาปใู นครง้ั นี้ เปน็ การวเิ คราะหเ์ บอ้ื งต้นโดยใชข้ อ้ มลู ความไม่
ตอ่ เน่อื งในมวลหนิ จากการสารวจภาคสนามเป็นหลกั ยงั ขาดขอ้ มลู คณุ สมบตั ขิ องหนิ เชงิ วศิ วกรรมธรณีอกี จานวน
มาก โดยเฉพาะข้อมลู การทดสอบในห้องปฏบิ ตั กิ าร รวมท้งั ตอ้ งศกึ ษาวเิ คราะหใ์ นสว่ นที่สงู ข้นึ ไปจากบริเวณฐาน
จนถงึ สว่ นยอดเขาตาปู ขอ้ มลู ดงั กลา่ วจาเปน็ อยา่ งยงิ่ ตอ่ การวเิ คราะหเ์ พอื่ กาหนดแนวทาง SAVE เขาตาปู
คาสาคญั : เขาตาปู การวิบัติ จงั หวัดพงั งา หินปูน
Oral Session
ธรณวี ิถีใหม่ นวตั กรรมไทย เพอื่ การพัฒนาท่ยี ง่ั ยืน 33
การประยกุ ตใ์ ชร้ ะบบสารสนเทศภมู ศิ าสตร์ เพื่อศึกษาระดับความสูญเสียเชงิ กายภาพ
บริเวณพนื ทท่ี ่ไี ดร้ บั ผลกระทบจากสนึ ามิ พืนทภ่ี าคใต้ฝ่งั อันดามัน
แพรวพรรณ คิดอา่ น* และ ภาวณิ ี ไมห้ อม
กองธรณวี ทิ ยาสงิ่ แวดลอ้ ม กรมทรพั ยากรธรณี ถนนพระรามที่ 6 แขวงทงุ่ พญาไท เขตราชเทวี กรงุ เทพฯ 10400
*E-mail : [email protected]
บทคัดย่อ
ในวันที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2547 ประเทศไทยและประเทศต่างๆ บริเวณรอบชายฝ่ังทะเลอันดามัน
และมหาสมุทรอินเดีย ได้ประสบภัยพิบัติทางธรรมชาติคร้ังร้ายแรงท่ีสุด คือ แผ่นดินไหวขนาด 9.1 จนทาให้
เกิดปรากฏการณ์คล่ืนยักษ์ที่เรียกว่าสึนามิ นามาซึ่งความสูญเสียท้ังชีวิตและทรัพย์สินต่อประเทศโดยรอบ
ชายฝั่งทะเลอันดามันและมหาสมุทรอินเดีย รวมถึงพื้นท่ี 6 จังหวัดภาคใต้ของประเทศไทย ได้แก่ จังหวัด
ระนอง พังงา ภูเก็ต กระบี่ ตรัง และสตูล ทาให้การดาเนินชีวิตของประชาชนในพ้ืนท่ีเปลี่ยนไป และมีการ
เปล่ียนแปลงการใช้ประโยชน์ที่ดินไปจากเดิม ดังน้ันการบริหารจัดการพื้นที่ชายฝ่ังทะเลให้มีความเหมาะสม
และมีประสิทธิภาพสูงสุด จึงจาเป็นต้องมีการศึกษาข้อมูลอย่างต่อเน่ืองให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน
นาไปสู่การวางแผนพัฒนาพื้นที่ชายฝ่ังทะเลเพ่ือลดผลกระทบจากเหตุการณ์ธรณีพิบัติภัยที่อาจเกิดขึ้นได้
ในอนาคต
การประยุกตใ์ ชร้ ะบบสารสนเทศภูมศิ าสตร์ เพ่ือศึกษาระดับความสญู เสยี เชิงกายภาพด้วยเทคนิคการ
วเิ คราะหแ์ บบจาลองดชั นีชนดิ ราสเตอร์ โดยใชข้ ้อมูลการใชป้ ระโยชน์ทด่ี ินร่วมกบั ชั้นข้อมูลระดบั ความสูงของ
พื้นท่ี นาเสนอในรปู แบบของแผนทจ่ี ดั ลาดบั พร้อมทง้ั แสดงตาแหนง่ การกระจายตัวของอาคารและส่ิงปลกู
สรา้ งท่ตี งั้ อยู่ในพืน้ ท่ี ผลการศกึ ษาสามารถจัดเรยี งจังหวัดทีไ่ ด้รบั ผลกระทบจากความสูญเสียเชงิ กายภาพมาก
ท่ีสดุ ไปน้อยทส่ี ดุ ได้แก่ จังหวดั พังงา ภูเกต็ กระบี่ สตลู ระนอง และตรัง ครอบคลุมพื้นที่ 95.63 ตาราง
กโิ ลเมตร ซ่งึ ส่วนใหญ่มีการใช้ประโยชนท์ ่ดี ินร้อยละ 25.98 เปน็ พน้ื ที่ชุมชนและสิ่งปลกู สร้าง และพื้นที่ร้อยละ
99.68 มีระดบั ความสูงนอ้ ยกวา่ 30 เมตร ซ่งึ จัดเปน็ ปัจจยั ทม่ี ีคา่ คะแนนมากท่ีสุด ท่ีสง่ ผลใหพ้ ้ืนที่มีความเส่ียง
ได้รับผลกระทบจากความสูญเสียเชิงกายภาพมากที่สดุ
คาสาคัญ: ความสญู เสยี เชิงกายภาพ, ภาคใต้ฝงั่ อนั ดามนั , สึนามิ, การใช้ประโยชนท์ ่ดี ิน, แผน่ ดนิ ไหว
Oral Session
34 การประชุมวชิ าการธรณไี ทย ประจาปี 2564
(Geothai Webinar 2021) วนั ท่ี 4-6 สงิ หาคม 2564
34
การพัฒนารปู แบบกิจกรรมการเรียนร้ไู ดโนเสารเ์ พ่ือรองรบั การเปน็ อุทยานธรณี :
กรณศี ึกษาแหลง่ ภูเวยี ง หอ้ งเรยี นท้องถ่ิน บทเรยี นจากมรดกทางธรณวี ิทยา
ศกั ดช์ิ ยั จวนงาม1*, ธีระพล อุตะมะชะ1 และ กมลลกั ษณ์ วงษโ์ ก2
1องคก์ ารพพิ ธิ ภณั ฑว์ ทิ ยาศาสตรแ์ หง่ ชาติ เลขท่ี 39 หมทู่ ี่ 3 ตาบลคลองหา้ อาเภอคลองหลวง จงั หวดั ปทมุ ธานี 12120
2พพิ ิธภณั ฑ์ซากดึกดาบรรพ์ ธรณีวทิ ยา และธรรมชาติวทิ ยา จงั หวดั ลาปาง สานกั งานทรัพยากรธรณี เขต 1
เลขท่ี 414 หมู่ 3 ตาบลศาลา อาเภอเกาะคา จังหวัดลาปาง 52130
* E-mail: [email protected]
บทคดั ยอ่
จากการค้นพบไดโนเสาร์ชนิดใหม่ สกุลใหม่ของโลกถึง 5 สายพันธุ์ ได้แก่ ภูเวียงโกซอรัส สิรินธรเน
สยามโมซอรสั สธุ ธี รนิ สยามโมไทรสั นสั อสิ านเอนซสิ กนิ รมี มิ สั ขอนแกน่ เอนซสิ และ ภเู วยี งเวเนเตอร์ แยม้ นยิ มมิ
นามาสกู่ ารขบั เคลอ่ื นการท่องเทีย่ วเชงิ ธรณี ในพืน้ ทีอ่ ทุ ยานธรณขี อนแก่น ใหเ้ ป็น “มหานครแห่งการท่องเที่ยว
และเรียนรู้ไดโนเสาร์ระดับโลก” เชื่อมโยงการพัฒนาเศรษฐกิจ และสังคมให้กับชุมชนท้องถิ่นก่อเกิดความ
ย่ังยืนได้ พร้อมท้ังได้จัดให้มีเส้นทางการท่องเท่ียวเชิงธรณี นั่นคือ อุทยานธรณีขอนแก่นสร้างให้ชุมชนมี
บทบาทสาคัญในการดูแล และให้ความรู้แกผ่ มู้ าเยอื น ซงึ่ การรวบรวมเอกสารท่ีเกี่ยวข้องพบว่าซากดึกดาบรรพ์
กลุ่มไดโนเสาร์ทาหน้าที่กระตุ้นการเรียนรู้และเป็นเครื่องมือนาเข้าสู่บทเรียนทางด้านบรรพชีวินวิทยาและ
ธรณีวิทยาได้เป็นอย่างดี และยังถูกนามาใช้เป็นเครื่องมือในการทาความเข้าใจเน้ือหาด้านวิทยาศาสตร์ เช่น
ทฤษฎีวิวัฒนาการ อย่างไรก็ตามการออกแบบกิจกรรมที่เหมาะสมสาหรับอุทยานธรณีน้ัน ต้องพิจารณา
ข้อจากัดเรื่องอายุ และระดับความเข้าใจของผู้เรียน คณะนักวิจัยพัฒนารูปแบบการบริการการศึกษาเป็น
กิจกรรมการเรยี นรู้แบบสืบเสาะ (inquiry learning) แบ่งกิจกรรมสาหรับการเรียนรู้ออกเป็น 3 ส่วน คือ การ
ฟังบรรยายสรุปและเข้าชมนิทรรศการเนื้อหาดา้ นธรณีวทิ ยาและซากดึกดาบรรพพ์ รอ้ มใบงาน การลงมือปฏิบัติ
ในห้องปฏิบัติการและออกสารวจภาคสนาม (หิน ซากดึกดาบรรพ์ ไดโนเสาร์ การอนุรักษ์ซากดึกดาบรรพ์)
และการเล่นกิจกรรมนันทนาการ โดยหากพิจารณาตามรายกิจกรรมการเรียนรู้พบว่า ผู้เรียนมีแนวโน้มสนใจ
กิจกรรมการลงมอื ปฏบิ ตั ใิ นหอ้ งปฏบิ ตั กิ ารและออกสารวจภาคสนามมากที่สุด เนื่องจากเป็นการเรียนรู้ท่ีมีการ
กระตนุ้ ให้เกิดการอยากเรยี นรู้จากการใช้เครื่องมือท่ีเหมือนนักบรรพชีวินวิทยา ส่วนที่สองคือการเล่นกิจกรรม
นันทนาการ โดยการประยุกต์ใช้เกม และดาเนินการตามกระบวนการ GD4+1 (group dynamic) ซ่ึง
จาเป็นต้องออกแบบให้เหมาะสมกับช่วงอายุของผู้เรียนรู้ และเหมาะสมกับเน้ือหาที่จะนาเสนอ การศึกษาใน
ส่วนนี้พบว่าเกมเดียวกันสามารถปรับรูปแบบให้เหมาะสมกับขนาดของกลุ่มผู้เรียนรู้ท่ีต่างกันได้ โดยการปรับ
ขนาดของอุปกรณ์ให้เหมาะสมกับขนาดของกลุ่มผู้เล่น ในขณะที่การปรับเปล่ียนเนื้อหาผู้นากระบวนการจะ
เป็นผู้ดาเนินการสอดแทรกเน้ือหาท่ีต้องการนาเสนอ ทั้งนี้ผู้นากระบวนการยังสามารถปรับกติกาให้มีความ
ซับซ้อนหรือมีระดับความยากง่ายที่แตกต่างกันตามลักษณะของผู้ร่วมกิจกรรม ในกระบวนการนี้ผู้นา
กระบวนการถือเป็นอีกส่วนสาคัญท่ีจะนาพาผู้เข้าร่วมกิจกรรมไปสู่เป้าหมายท่ีต้องการ สุดท้ายคือการฟัง
บรรยายและเขา้ ชมนทิ รรศการพรอ้ มใบงาน ควรเป็นการบรรยายส้ันๆ สรปุ เนือ้ หารวบยอดหลังจากเรียนรู้ผ่าน
การลงมือปฏิบัติในห้องปฏิบัติการ และการเล่นกิจกรรมนันทนาการ จึงจะเป็นประโยชน์ทางการศึกษาใน
อทุ ยานธรณีได้มากย่ิงขึน้
คาสาคญั : ไดโนเสาร์ นันทนาการ อทุ ยานธรณขี อนแก่น การท่องเทย่ี วเชงิ ธรณี
Oral Session
ธรณวี ถิ ใี หม่ นวัตกรรมไทย เพือ่ การพัฒนาทยี่ ่งั ยนื 35
การพัฒนาแหลง่ ท่องเทย่ี วทางธรณีวทิ ยานาตกวงั สายทอง อทุ ยานธรณีโลกสตูล จังหวดั สตลู
สทิ ธนิ นท์ กุลทักษยศ*, สันต์ อศั วพัชระ และ กฤตนนท์ แนวบญุ เนยี ร
ส่วนมาตรฐานและข้อมลู ธรณีวทิ ยา กองธรณวี ิทยา กรมทรัพยากรธรณี
*E-mail: [email protected]
บทคัดย่อ
น้าตกวังสายทองเป็นแหล่งท่องเที่ยงทางธรณีวิทยาต้ังอยู่ใน บริเวณเขตรักษาพันธ์สัตว์เขาบรรทัด
บ้านวังนาใน ตาบลน้าผุด อาเภอละงู จังหวัดสตูล มีลักษณะเป็นน้าตกหินปูนท่ีมีท้ังหมด 6 ชั้น แต่ละชั้นสูง
ประมาณ 50-800 เซนติเมตร น้าตกพอกด้วยคราบหินปูนเป็นแอ่งคล้ายสระน้าขนาดเล็กหรือทานบหินปูน
(Rimstone) ท่ีระดับความสูงต่างๆ ประกอบด้วยแร่แคลไซต์ (94.16%) แร่ควอตซ์ (2.35%) แร่มัสโคไวต์
(0.64%) และสารอินทรีย์อ่ืนๆ คราบหินปูนมีการพอกท่ีความหนาต่างๆกัน 1-5 มิลลิเมตร มีรูพรุนสูงทาให้มี
คุณสมบัติยึดเกาะท่ีดีช่วยให้เดินไม่ลื่น น้าตกวังสายทองประกอบด้วยหินปูนเนื้อปนทรายสีเทาเข้มปนน้าตาล
ขนาดผลกึ ละเอยี ดถงึ ปานกลาง ช้นั ปานกลางถึงชัน้ หนามาก แทรกด้วยชัน้ ดินและช้ันตะกอนขนาดเม็ดทราย มี
ซากดึกดาบรรพ์นอติลอยด์ แบรคิโอพอด แกสโตพอด ไครนอยด์ จากผลการศึกษาศิลาวรรณนาของตัวอย่าง
หินปูนบริเวณน้าตกวังสายทองจานวน 3 ตัวอย่าง พบว่าหินปูนมีลักษณะของจุลชุดลักษณ์ (Microfacies)
แบบ Dolosparite ประกอบด้วยผลึกจุลโดโลไมต์ (Microdolomite) ขนาด 60-200 ไมครอน มีขอบผลึก
ชัดเจน คละกนั ระหวา่ งผลกึ หนา้ สมบูรณ์ถึงไม่ปรากฏหน้าผลึก ขอบผลึกประสานกันสนิท ปนอยู่กับลักษณะท่ี
คล้ายกบั เม็ดกลมเล็ก (Pelloid) ทีเ่ ป็นมวลรวมคาร์บอเนต สามารถเทียบได้กับจุลชุดลักษณ์ของหน่วยหินที่ส่ี
หมวดหินรังนก กลุ่มหินทุ่งสง ที่เกาะแลตองบริเวณเกาะตะรุเตา (Wongwanich, 1990) ถัดลงมาทางใต้ของ
น้าตกวงั สายทองประมาณ 2 กโิ ลเมตร ทบี่ รเิ วณหนา้ ทางเขา้ สานกั สงฆว์ งั สายทองพบหินดินดานสลับชั้นหินทราย
แปง้ ทม่ี ซี ากดึกดาบรรพแ์ กรบโตไลต์บ่งชอ้ี ายุยคุ ไซลูเรยี น จดั อยูใ่ นหมวดหนิ ปา่ เสม็ด
น้าตกวังวังสายทองจัดว่ามีความสาคัญทั้งในด้านวิชาการธรณีวิทยา ระบบนิเวศตามธรรมชาติท่ีมี
สัตว์ป่าคุ้มครอง และเป็นแหล่งท่องเที่ยวท่ีสาคัญในจังหวัดสตูล กองธรณีวิทยาได้พัฒนาแหล่งท่องเท่ียวทาง
ธรณีวิทยาบริเวณน้าตกวังสายทอง โดยการจัดทาคู่มือผู้เล่าเร่ืองฉบับธรณีวิทยา แผ่นพับ และป้ายส่ือ
ความหมายข้อมูลธรณีวิทยาในพื้นที่แหล่ง รวมถึงการจัดประชุมเชิงปฏิบัติการและจัดทาแหล่งเรียนรู้ทาง
ธรณีวทิ ยาเพือ่ ใหค้ วามรูแ้ ก่กลมุ่ เป้าหมายนกั เรียนและบคุ ลากรในท้องที่ เพ่อื ใหค้ วามร้ดู ้านธรณีวิทยาและสร้าง
ความตระหนักรู้เก่ียวกับอนุรักษ์แหล่งธรณีวิทยาและธรรมชาติในท้องที่ รวมถึงการพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยว
เชงิ อนุรักษ์ต่อไป
เอกสารอา้ งอิง
Wongwanich, T 1990, Lithostratigraphy, sedimentology and diagenesis of the Ordovician Car-
bonates, Southern Thailand, PhD thesis, University of Tasmania.
Oral Session
36 การประชมุ วิชาการธรณไี ทย ประจาปี 2564
(Geothai Webinar 2021) วนั ท่ี 4-6 สงิ หาคม 2564
36
การพัฒนาแหล่งท่องเทยี่ วทางธรณีวทิ ยา ถาเจ็ดคต จงั หวัดสตูล
ชาญรตั น์ เมินขนุ ทด
ส่วนอนรุ ักษม์ รดกธรณแี ละอุทยานธรณี กองธรณวี ิทยา กรมทรัพยากรธรณี
E-mail: [email protected]
บทคัดยอ่
กรมทรัพยากรธรณมี แี นวคดิ และการดาเนนิ การผลักดนั แหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติเป็นแหล่งเรียนรู้
ทางธรณีวิทยา โดยการอนุรักษ์แหล่งธรณีวิทยาที่มีความโดดเด่นและมีคุณค่าทางวิชาการเพื่อเป็นมรดกของ
ประเทศพร้อมท้ังสร้างการมีส่วนร่วมระหว่างภาครัฐกับชุมชน เพื่อความย่ังยืนของทรัพยากรธรรมชาติให้
เป็นไปตามรูปแบบแนวทางของ UNESCO การพัฒนาแหล่งท่องเท่ียวทางธรณีวิทยา ประกอบไปด้วย 5
ข้ันตอน ไดแ้ ก่ 1. สารวจ จัดทาขอ้ มลู ธรณีวทิ ยาในพน้ื ที่ภาคสนาม 2. จัดทาแหล่งเรยี นรู้ทางธรณีวิทยาในพื้นที่
ดาเนนิ งาน 3. จัดการประชุมเชิงปฏิบัติการให้ความรู้แก่ผู้เก่ียวข้องในพ้ืนท่ีดาเนินงาน 4. จัดทาข้อมูลเอกสาร
สื่อเผยแพร่ ส่ิงพิมพ์ 5. ติดตามหรือประเมินผลการดาเนินงาน แหล่งท่องเท่ียวถ้าเจ็ดคตเป็นถ้าธารน้าลอดท่ี
ผสมผสานระว่าง การท่องเที่ยวแนวผจญภัย และความสวยงามมหัศจรรย์ทางธรรมชาติ เป็นส่วนหนึ่งของ
อุทยานธรณีโลกสตูล อยู่ในพ้ืนที่ของเขตรักษาพันธ์ุสัตว์ป่าเขาบรรทัด อ.มะนัง จ.สตูล มีความโดดเด่นด้วย
ลักษณะธรณีสัณฐานแบบคาสต์ เป็นเทือกเขาหินปูนยุคออร์โดวิเชียนที่หน้าผาสูงชันสลับกับพื้นที่หุบเขา
ประกอบด้วย หินปูนเนื้อดินสีเทาดา หินปูนเน้ือโดโลไมต์ พบซากดึกดาบรรพ์ เช่น นอติลอยด์ หอยฝาเดียว
จัดอยู่ในกลุ่มหินทงุ่ สง หมวดหินรงั นก สว่ นดา้ นเหนอื พบวางตวั อยบู่ นหนิ ทรายยคุ แคมเบรยี น และดา้ นใตม้ หี นิ โคลน
เนอ้ื ซลิ กิ ายคุ ไซลเู รยี น-ดโี วเนยี นวางตวั ปดิ ทบั อยู่ โครงสรา้ งแนวเส้นทางธรณีวิทยาเป็นแนวรอยแตกอยู่ในแนวหลัก
2 แนว คือ แนวตะวนั ออกเฉียงเหนอื -ตะวนั ตกเฉียงใต้ และแนวตะวนั ตกฉียงเหนอื -ตะวนั ออกเฉยี งใต้
ถ้าเจ็ดคตเป็นถ้าที่เกิดจากการละลายของหินปูน มีความยาว 761.3 เมตร กว้าง 18 - 47 เมตร มี
ความสูงของเพดานถ้า 3-50 เมตร ปากถา้ ทางเข้าอยู่ทางตะวันออกสูงจากระดับน้าทะเลปานกลาง 119 เมตร
ปากถ้าทางออกอยู่ทางตะวันตกสูงจากระดับน้าทะเลปานกลาง 93 เมตร เป็นการไหลของคลองลาโลนฝั่ง
ตะวันออก ลอดถ้าไปบรรจบกบั คลองละงฝู ่ังตะวันตก ภายในมีทางน้าไหลไปตามความคดเค้ียวของตัวถ้า และ
มีการสารวจจัดทาผังถ้าที่สารวจด้วยวิธี Tape and Compass Method (กรมทรัพยากรธรณี, 2560) ซึ่งจาก
การนาผังถ้ามาเทียบเคียงกับแนวรอยแตกของหินหลกั 2 แนวข้างต้น ที่ไดจ้ ากวิธี Contour Pot in Stereonet
ของ 48 ข้อมูลรอยแตกที่ทาการวัดบริเวณโดยรอบถ้าและในตัวถ้า พบว่ามีความสอดคล้องและไปในทิศทาง
เดียวกัน จึงสันนิษฐานได้ว่าความคตโค้งของตัวถ้าเกิดจากการตัดกันของแนวรอยแตกดังกล่าว นอกจากน้ี
ยังพบลักษณะเด่นของตะกอนถ้า (Speleothems) ได้แก่ หินน้าไหล (Flowstone), หลอดหินย้อย
(Soda straw), กอร์ (Gour), หินงอกหินย้อย (Stalagmite & Stalactite) และลักษณะสัณฐานภายในถ้า
(Cave features) ได้แก่ พื้นถ้าบรรพกาล (Fossil floor), รอยเว้าผนังถ้า (Cave notch), หน้าต่างถ้า
(Cave window) ซึ่งจากผลสารวจศึกษาสามารถนามาพัฒนาองค์ความรู้ตามแนวทางการพัฒนาแหล่งมรดก
ธรณีเปน็ แหล่งท่องเทย่ี วเชิงธรณีได้
จากการสืบค้นข้อมูลประวัติของพ้ืนที่บริเวณของอาเภอมะนัง มีอายุประมาณ 60 ปี ถ้าเจ็ดคตมี
ความสาคัญในการการขนส่งส่ิงของอุปโภค-บริโภค การคมนาคมทั้งทางเรือและทางเท้า ข้ามไปมาระหว่าง
มะนัง-ละงู จนกระทั่งมีการเข้ามาพัฒนาพื้นท่ีให้เป็นแหล่งท่องเทยี่ วโดยองคก์ ารบรหิ ารสว่ นตาบลปาลม์ พฒั นา
Oral Session
ธรณีวิถใี หม่ นวัตกรรมไทย เพื่อการพฒั นาทยี่ ง่ั ยนื 37
ในชว่ งปี พ.ศ.2540 มกี ารสรา้ งถนน ลานจอดรถ โรงเกบ็ เรอื และท่าลงเรอื ซงึ่ จุดเด่นของแหลง่ ท่องเที่ยวถ้าเจ็ดคต
คือ “ถ้าเจ็ดคต มีเจ็ดโค้ง ยาวเจ็ดร้อยเมตร” ชาวบ้านในพื้นที่มีการต้ังช่ือโค้งท้ัง 7 ตามความสวยงามของ
ประติมากรรมถ้าท่ีพบและผสานกับความรู้ทางธรณีวิทยาได้ดังน้ี คตท่ี 1 บัวคว่า เป็นบริเวณท่ีมีหินน้าไหล
(Flowstone) ลักษณะคล้ายบัวคว่า คตท่ี 2 หัวสิงโต พบเป็นหินน้าไหล (Flowstone) ลักษณะคล้ายหัวสิงโต
คตท่ี 3 ม่านเพชร เป็นม่านหินย้อย (Curtain) เม่ือสอ่ งแสงไฟไปกระทบจะเกิดประกายระยิบระยับเหมือนม่าน
เพชร คตที่ 4 ลานกุหลาบ เป็นนกอร์ (Gour) ที่สะสมตัวบริเวณพื้นถ้า คตท่ี 5 ส่องนภา เป็นหน้าต่างถ้า
(Cave window) ทาให้แสงแดดส่องผ่านลงมาเป็นลาแสง คตท่ี 6 ประติมากรรมพระพุทธรูป เป็นหินน้าไหล
(Flowstone) ลักษณะคล้ายพระพุทธรูป และคตที่ 7 แผนท่ีประเทศไทย เป็นปากทางออกถ้าซ่ึงมองเห็นเป็น
ชอ่ งแสงรปู รา่ งเหมอื นแผนทปี่ ระเทศไทย
คณะทางานได้ดาเนินงานพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวทางธรณีวิทยา ตามแนวทาง 5 ข้ันตอนข้างต้น
ออกมาเป็นรูปแบบ ดังนี้ 1.รายงงานวิชาการการพัฒนาแหล่งท่องเท่ียวทางธรณีวิทยา ถ้าเจ็ดคต จังหวัดสตูล
2.แหล่งเรียนรู้ธรณีวิทยาบ้านป่าพน ซึ่งมีการจัดบอร์ดให้ความรู้และสวนหิน 3.จัดการประชุมเชิงปฏิบัติการ
เรอ่ื ง “การเผยแพรอ่ งคค์ วามรแู้ หลง่ ธรณวี ทิ ยาในพน้ื ทห่ี นิ สา่ หรา่ ยปา่ พน น้าตกวงั สายทอง ถ้าเจด็ คต จงั หวดั สตลู ”
4.จดั ทาคมู่ อื เลา่ เรอ่ื ง “ถ้าเจด็ คต จงั หวดั สตลู ” เพอ่ื เผยแพรใ่ หแ้ กผ่ สู้ นใจในการนาเทย่ี วในพน้ื ที่ และจดั ทา
แผน่ พบั แนะนาการท่องเที่ยวถา้ เจ็ดคตให้แก่นักท่องเทย่ี วและผูท้ ่สี นใจ
คาสาคญั : แหลง่ ทอ่ งเที่ยวทางธรณีวิทยา, ถา้ เจ็ดคต, อุทยานธรณโี ลกสตูล
Oral Session
38 การประชมุ วิชาการธรณีไทย ประจาปี 2564
(Geothai Webinar 2021) วันท่ี 4-6 สิงหาคม 2564
38
การศึกษาแบบจาลองทางคณิตศาสตรเ์ พ่อื คาดคะเนผลกระทบการเกดิ ดนิ เค็ม นาเค็มบรเิ วณ
พนื ทโ่ี ครงการชลประทานนากา่ ตอนล่างอนั เนือ่ งมาจากพระราชดาริ จังหวัดนครพนม
กัมปนาท ขวญั ศริ ิกลุ
สานกั สารวจด้านวศิ วกรรมและธรณวี ิทยา กรมชลประทาน
E-mail : [email protected]
บทคัดยอ่
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงมีพระราชดาริเมื่อ พ.ศ. ๒๕๓๕ ให้กรม
ชลประทานพจิ ารณาโครงการและกอ่ สร้างโครงการพัฒนาลุ่มน้าก่า จังหวัดสกลนคร-นครพนม สาหรับกักเก็บ
น้าเพ่ือช่วยแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของราษฎร กรมชลประทานจึงได้ดาเนินการก่อสร้างประตูระบายน้า
รวมท้งั ระบบการชลประทาน ทบี่ ้านโนนสังข์ อาเภอธาตพุ นม จังหวัดนครพนม แต่เนื่องจากพ้ืนที่มีปัญหาเร่ือง
การแพร่กระจายของดนิ เค็มและน้าใต้ดินเค็มซึ่งเป็นผลมาจากลักษณะทางกายภาพของพ้ืนที่ ที่รองรับด้วยชั้น
หินทรายและหนิ โคลนแทรกสลับดว้ ยชน้ั เกลือหนิ ของหมวดหินมหาสารคาม ดังน้ันจึงต้องทาการสารวจ ศึกษา
วิเคราะห์สภาพธรณีวทิ ยาและอุทกธรณีวิทยาและปัจจัยที่เก่ียวข้องกับความเค็มของ น้าใต้ดิน รวมทั้งประเมิน
และวิเคราะห์ความสัมพันธ์ของน้าผิวดินและน้าใต้ดินโดยใช้แบบจาลองคณิตศาสตร์การไหลน้าใต้ดินและ
แบบจาลองการเคลื่อนที่ของมวลสาร เพื่อคาดคะเนการแพร่กระจายของน้าใต้ดินเค็ม ซ่ึงอาจจะส่งผลต่อการ
เกิดดินเค็มภายหลังการกักเก็บน้าของประตูระบายน้า ผลการสารวจพบว่าบริเวณพื้นท่ีศึกษามีช้ันน้าใต้ดิน
2 ช้ัน ได้แก่ช้ันน้าใต้ดินระดับต้ืน (ระดับความลึกไม่เกิน 40 เมตร) ประกอบด้วยตะกอนกรวด ทรายที่ยังไม่
แขง็ ตัวยคุ ควอเทอร์นารแี ละตะกอนกึง่ แขง็ ตัวของหมวดหินภูทอก เป็นช้ันน้าจืดที่มีคุณภาพดี และชั้นน้าใต้ดิน
ระดบั ลกึ ของหมวดหนิ มหาสารคามท่เี ป็นชน้ั นา้ เค็มวางตวั รองรบั ชนั้ น้าใต้ดินทเ่ี ป็นน้าจืดอย่ดู ้านล่าง ข้อมูลจาก
การสารวจธรณฟี ิสิกส์และการศกึ ษาการเรียงลาดับช้ันหิน พบว่าช้ันหินโคลนท่ีวางตัวปิดทับช้ันเกลือหินช้ันบน
ของหมวดหินมหาสารคามมีคุณสมบัติในการปิดกั้นการไหลขึ้นไปข้างบนของน้าเกลือในช้ันเกลือหินได้ แต่
สาเหตุท่ีทาให้เกิดความเค็มในพ้ืนที่เนื่องมาจากมีโครงสร้างทางธรณีวิทยาที่เป็นรอยแตก ตัดผ่านช้ันหินของ
หมวดหนิ มหาสารคามและหมวดหินภูทอกทาใหน้ า้ เค็มซึมผ่านรอยแตกดังกล่าวข้ึนมา ประกอบกับในฤดูแล้งมี
การใชน้ ้าใตด้ ินระดบั ต้ืนเปน็ ปริมาณมากทาให้ระดับแรงดันน้าใต้ดินระดับต้ืนลดลงต่ากว่าระดับแรงดันของน้า
ใตด้ ินระดับลึก เป็นสาเหตใุ ห้เกิดการแทรกดนั ตัวขน้ึ มาของนา้ เคม็ จากนา้ ใตด้ นิ ระดบั ลึกของชั้นน้ามหาสารคาม
เข้าสู่ชั้นน้าบาดาลระดับต้ืนจึงทาให้น้าใต้ดินระดับต้ืนมีค่าความเค็มสูง และเน่ืองจากมีการก่อสร้างประตู
ระบายนา้ รวมทั้งระบบการชลประทานในบริเวณพ้ืนทโ่ี ครงการซึ่งจะส่งผลกระทบเร่ืองการแพร่กระจายของดิน
เค็มและน้าใตด้ ินเคม็ จงึ จาเปน็ ต้องมีการศกึ ษาโดยใช้แบบจาลองทางคณิตศาสตร์เพื่อคาดคะเนผลกระทบการ
เกิดดนิ เคม็ น้าเค็มภายหลงั การกกั เกบ็ น้าของโครงการ ผลการศึกษาท่ีได้จากแบบจาลองแสดงให้เห็นว่าระบบ
การไหลของน้าใต้ดินในพ้ืนที่ส่วนใหญ่มีลักษณะการไหลแบบเฉพาะแห่งในชั้นน้าของตะกอนยุคควอเทอร์นารี
และช้ันน้าของหน่วยหินภูทอกท่ีเป็นช้ันน้าจืดท่ีได้รับน้าเพิ่มเติมลงสู่ช้ันน้าใต้ดินโดยตรงจากบริเวณตอนกลาง
ของพื้นท่ีศึกษา มีระยะทางการไหล 1-5 กิโลเมตร ลึกจากผิวดินน้อยกว่า 40 เมตร และมีระบบการไหลของ
น้าเค็มในช้ันเกลือหินของหมวดหินมหาสารคามเป็นบริเวณกว้างรองรับอยู่ด้านล่างของระบบการไหลเฉพาะ
แห่ง ในบริเวณพ้ืนที่บ้านพระซองที่พบการแพร่กระจายของน้าใต้ดินเค็มและดินเค็มสูงซ่ึงเป็นผลมาจากการ
ไหลของนา้ ใต้ดินจากบริเวณพ้ืนท่ีรับน้าที่อยู่ทางด้านตะวันตกของพื้นท่ีศึกษาไหลผ่านลงไปในชั้นเกลือหินของ
Oral Session
ธรณีวิถีใหม่ นวตั กรรมไทย เพอ่ื การพัฒนาท่ยี ัง่ ยืน 39
หมวดหินมหาสารคามท่ีรองรับชั้นน้าจืดอยู่ด้านล่างทาให้เกิดเป็นน้าใต้ดินเค็มและไหลย้อนข้ึนมาสู่บริเวณผิว
ดินอันเน่ืองมาจากพื้นท่ีดังกล่าวมีระบบการไหลของน้าใต้ดินแบบเฉพาะแห่งจึงเป็นสาเหตุที่ทาให้เกิดการ
แพรก่ ระจายของนา้ ใต้ดนิ เค็มและดนิ เค็มในบริเวณพ้ืนที่ดังกล่าว พ้ืนท่ีการแพร่กระจายของน้าเค็มท่ีปรากฏใน
ผลการศกึ ษาทีไ่ ด้จากแบบจาลองเปน็ พน้ื ท่ที ่มี กี ารแพร่กระจายของน้าเค็มอยู่ก่อนการก่อสร้างโครงการและผล
จากการคาดการณ์โดยใช้แบบจาลองการไหลของน้าใต้ดินรวมทั้งแบบจาลองการเคล่ือนท่ีของมวลสารสรุปได้
ว่า การก่อสรา้ งและกกั เก็บน้าของโครงการไม่ส่งผลกระทบพื้นท่ีดินเค็มที่มีอยู่เดิมให้มีความเค็มเพ่ิมข้ึนหรือทา
ให้เกดิ การขยายพ้นื ทด่ี ินเคม็ มากขน้ึ แต่อยา่ งใดเนื่องจากระบบการไหลของน้าเค็มในพ้ืนที่เป็นการไหลในระดับ
ลึกและกว้าง ในรอยแตกของหินแข็งและชั้นเกลือหินของหมวดหินมหาสารคามที่รองรับอยู่ด้านล่างโดยมีทิศ
ทางการไหลจากทางด้านทิศตะวันตกไปทางด้านทิศตะวันออกของพื้นที่ ส่วนระบบการไหลของน้าบาดาล
ระดบั ตืน้ ทเี่ ป็นช้ันนา้ จืดคุณภาพดี ท่พี บการกระจายตวั ของช้ันนา้ บาดาลครอบคลุมและรองรับบริเวณพื้นที่อ่าง
เก็บน้าของโครงการและพื้นท่ีข้างเคียงโดยรอบ เป็นการไหลของน้าบาดาลในระดับต้ืน หรือระบบการไหล
เฉพาะแห่งท่ีได้รับน้าเพ่ิมเติมลงสู่ช้ันน้าบาดาลจากน้าฝนและน้าผิวดินในบริเวณพ้ืนท่ีนั้นๆโดยมีการไหลซึม
ของนา้ จากนา้ ฝนและน้าผวิ ดนิ ลงไปเพิ่มเตมิ ดงั น้ันเมอื่ มกี ารก่อสร้างและกักเก็บน้าของโครงการจึงน่าจะส่งผล
ดีต่อระบบน้าใต้ดินระดับตื้นซึ่งเป็นชั้นน้าจืด เพราะเป็นการเพิ่มเติมปริมาณน้าจืดจากการกักเก็บน้าของ
โครงการลงสู่ชั้นน้าใต้ดินระดับตื้น และส่งผลทาให้เพ่ิมระดับแรงดันน้าของน้าใต้ดินชั้นตื้นให้สูงกว่าระดับ
แรงดนั น้าใต้ดินระดับลึกซึ่งจะทาให้ลด หรือไม่เกิดการการแทรกดันตัวขึ้นมาของน้าเค็มจากน้าใต้ดินระดับลึก
ของชนั้ น้ามหาสารคามเข้าสู่ชนั้ นา้ บาดาลระดบั ตน้ื ทเ่ี ป็นช้นั นา้ จดื คุณภาพดี
Oral Session
40 การประชมุ วิชาการธรณีไทย ประจาปี 2564
(Geothai Webinar 2021) วันที่ 4-6 สิงหาคม 2564
40
การศกึ ษาการกาหนดอายอุ ฐิ โบราณด้วยเทคนิค Optically Stimulated Luminescence
(OSL) เทียบกบั Thermoluminescence (TL) ด้วยเคร่อื ง TL/OSL reader
เฉลมิ พงษ์ โพธ์ลิ ี้ 1*, วรี ะชาติ วิเวกวนิ 2, นชิ ธมิ า เออื้ พนู ผล1 และ ศศิพนั ธ์ุ คะวีรัตน์1
1สถาบนั เทคโนโลยีนวิ เคลียรแ์ หง่ ชาติ (องคก์ ารมหาชน)
2กองธรณีวทิ ยาส่ิงแวดลอ้ ม กรมทรพั ยากรธรณี
*Corresponding Author: เฉลมิ พงษ์ โพธลิ์ ี้
*E-mail: [email protected]
บทคัดยอ่
การศึกษาเรื่องราวทางประวัติศาสตร์และโบราณคดีสามารถสืบค้นได้จากหลักฐานท่ียังคงเหลืออยู่ใน
ปัจจุบัน ได้แก่ โบราณสถาน โบราณวัตถุ และพยานแวดล้อมในอดีต การวิเคราะห์หลักฐานเหล่าน้ีจะทาให้
เข้าใจเรื่องราวและสามารถเชื่อมโยงประวัติศาสตร์ในแต่ละยุคแต่ละสมัยได้ อย่างไรก็ดีการอธิบายบริบททาง
ประวัติศาสตร์หรือเร่ืองราวของแต่ละยุคแต่ละสมัย ต้องใช้ศาสตร์หลายด้านมาประกอบกัน ทั้งศิลปะ
โบราณคดี และวทิ ยาศาสตร์ เพื่อให้การเปิดเผยข้อมลู ทซี่ อ่ นอยใู่ นวัตถุโบราณสะท้อนความจริง มีความถูกต้อง
และน่าเช่ือถือ การกาหนดอายุของโบราณสถาน หรือวัตถุโบราณ เป็นความสาคัญลาดับต้นๆ ในการสืบค้น
ข้อมูลในอดีตผ่านทางวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ทาใหเ้ กดิ หลกั ฐานเชงิ ประจักษ์ สร้างความเข้าใจในช่วงเวลา
ของวัฒนธรรมโบราณ สามารถเชื่อมโยงลาดับเหตุการณ์ และความสัมพันธ์ของบริบทต่าง ๆ ในแต่ละยุคสมัย
งานวิจัยนี้เป็นการศึกษาการกาหนดอายุของอิฐโบราณจานวน 3 ตัวอย่าง จาก โบราณสถาน บริเวณใต้ฐาน
พระธาตุ วัดป่าหมากหน่อ ตาบลจันจว้า อาเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย ด้วยเทคนิคการกาหนดอายุแบบเรือง
แสงความร้อน หรือ Thermoluminescence (TL) Dating เปรียบเทียบกับการกาหนดอายุแบบเรืองแสงโดย
กระตุ้นด้วยแสง หรือ Optically Stimulated Luminescence (OSL) Dating จากการศึกษาพบว่า ทั้ง
2 เทคนิค ให้ผลวเิ คราะหอ์ ายขุ องอิฐทงั้ 3 ตวั อยา่ งสอดคล้องกัน คือมคี ่าอยใู่ นช่วง 600-1,800 ปีมาแล้ว แสดง
ใหเ้ ห็นว่าเทคนิคการวิเคราะห์อายุทั้งแบบ TL และ OSL มีความเหมาะสม สามารถใช้ได้ดีกับการกาหนดอายุ
โบราณสถานท่ีสร้างด้วยอิฐ นอกจากนี้ ข้อมูลดังกล่าว สามารถใช้ในการพิสูจน์สมมติฐานการก่อสร้าง
โบราณสถานดังกล่าวท่ี ย้อนไปถึงสมัยเชียงแสน และอาจจะมีการบูรณะ ต่อเติม เรื่อยมาจนถึงสมัยอยุธยา
ตอนตน้
Oral Session
ธรณีวิถีใหม่ นวัตกรรมไทย เพื่อการพฒั นาที่ยง่ั ยืน 41
การศึกษาการกระจายตัวของร่องรอยดนิ ถลม่ ในพนื ที่จังหวดั อุตรดิตถ์ โดยการแปลความหมาย
ภาพถ่ายดาวเทียมโดยใชโ้ ปรแกรม Google Earth
ทัศนพร เรือนสอน*, น้าฝน คาพิลงั , นลนิ ี ธะนันต์, ภัคพงษ์ ศรบี วั ทอง และ ธีระชยั หน่อคาบตุ ร
สานักงานทรพั ยากรธรณี เขต 1 กรมทรพั ยากรธรณี
*E-mail: [email protected]
บทคัดย่อ
การแปลความหมายภาพถ่ายดาวเทียมในอดีตจนถึงปัจจุบัน เพื่อศึกษาการกระจายตัวและร่องรอย
การเกดิ ดนิ ถล่ม ด้วยสายตาโดยการใชโ้ ปรแกรม Google Earth ถือว่าเป็นวิธีที่งา่ ย สะดวก และช่วยเพิ่มความ
เข้าใจในกระบวนการของการเกิดดินถล่มในมุมมองแบบ 3 มิติมากย่ิงขึ้น ในหลายช่วงเวลาท่ีแตกต่างกันที่
ดาวเทียมสามารถบันทึกภาพไว้ได้ โดยทาการแปลภาพถ่ายดาวเทียมย้อนหลังเพื่อเป็นข้อมูลพ้ืนฐานในการ
วิเคราะห์แบบจาลองพ้ืนท่ีอ่อนไหวต่อการเกิดดินถล่มพ้ืนท่ีจังหวัดอุตรดิตถ์ จังหวัดอุตรดิตถ์ถือเป็นหน่ึงใน
จังหวัดทีไ่ ดร้ บั ผลกระทบดา้ นธรณีพิบัตภิ ยั ดินถล่มบ่อยคร้ัง สรา้ งความสูญเสียแก่ชีวิตและทรัพย์สินเป็นจานวน
มาก ลักษณะภมู ิประเทศมากกว่าครึ่งของจังหวดั เป็นเขตภูเขา และพ้ืนท่ีสูง ในด้านทิศเหนือและทิศตะวันออก
ของจังหวัด โดยเฉพาะในเขตอาเภอบ้านโคก อาเภอฟากท่า อาเภอน้าปาด อาเภอท่าปลา อาเภอลับแล และ
บางส่วนของอาเภอเมืองอุตรดิตถ์ จากการแปลภาพถ่ายดาวเทียมระหว่าง ปี พ.ศ. 2523 – 2562 จานวน
ทั้งสิ้น 10,534 ร่องรอย โดยสังเกตการเปลี่ยนแปลงของพ้ืนท่ี ความลาดชัน และทิศทางการไหล พบร่องรอย
ดินถล่มอยู่ตามภูเขาสูง และมขี นาดท่ีแตกตา่ งกนั บางพ้ืนที่พบร่องรอยดินถล่มเป็นจานวนมาก แต่บางพ้ืนท่ีไม่
ปรากฏร่องรอยดินถล่ม ผลการแปลความหมายภาพถ่ายดาวเทียมพบการกระจายตัวของร่องรอยดินถล่มมาก
ที่สุดในตาบลน้าหมัน อาเภอท่าปลา จานวน 5,789 ร่องรอย และรองลงมาในตาบลแม่พูล อาเภอลับแล
จานวน 1,965 ร่องรอย และปรากฏร่องรอยดินถล่มมากที่สุดในช่วงปี พ.ศ. 2550 และ ปี พ.ศ. 2549
ตามลาดบั
คาสาคัญ: Google Earth, ร่องรอยการเกิดดนิ ถลม่ , อตุ รดิตถ์
Oral Session
42 การประชมุ วิชาการธรณีไทย ประจาปี 2564
(Geothai Webinar 2021) วนั ที่ 4-6 สิงหาคม 2564
42
การศึกษารอยเลือ่ นทา่ แขกในพนื ท่ีภาคตะวนั ออกเฉียงเหนอื ประเทศไทย
รุ่งโรจน์ อาจเวทย์*, เจษฎารตั น์ รตั นวรรณ,ี สรุ ยิ ฉาย ฉายสรยิ า, วินจิ ยังมี,
สาคร แสงชมพู และ พจนป์ รีชา พรชัย
สาขาวชิ าเทคโนโลยีธรณี คณะเทคโนโลยี มหาวทิ ยาลัยขอนแกน่
*E-mail: [email protected]
บทคัดยอ่
กลุ่มรอยเลื่อนท่าแขกมีทิศทางการวางตัวในแนวตะวันตกเฉียงเหนือ-ตะวันออกเฉียงใต้ ประกอบด้วย
แนวรอยเลอ่ื นหลกั 3 แนว พาดผ่านประเทศลาวและตามแนวแม่น้าโขงตามขอบด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือ
ของทร่ี าบสงู โคราช อย่างไรกต็ ามไมป่ รากฏหลกั ฐานท่ีชัดเจนของแนวรอยเลื่อนพาดผ่านเข้ามาในประเทศไทย
การศึกษาระบุตาแหน่ง หาความยาว และแนวการวางตัวของรอยเล่ือนท่าแขกในพื้นท่ีจังหวัดบึงกาฬและ
จังหวดั นครพนม ด้วยการศึกษาข้อมูลโทรสัมผัสระยะไกล การสารวจธรณีวิทยา การสารวจธรณีสัณฐาน ระบุ
ตาแหน่งของรอยเล่ือนด้วยการวัดสภาพต้านทานไฟฟ้าแบบ 2 มิติ ขุดร่องสารวจเพื่อศึกษาธรณีวิทยา
การลาดับช้ันตะกอนและกาหนดอายุตะกอนด้วยวิธีการกระตุ้นด้วยแสง ผลการศึกษาพบรอยเล่ือนย่อยพาด
ผ่านจากประเทศลาวเข้าสู่จังหวัดบึงกาฬและจังหวัดนครพนมจานวน 3 แนว ได้แก่ 1) แนวบอลิคาไซ-นาทม
2) แนวบอลิคาไซ-ศรีสงคราม และ 3) แนวบ้านแพง-ศรีสงคราม มีความยาว 70, 120 และ 35 กิโลเมตร
ตามลาดับ วางตัวในแนวตะวันตกเฉียงเหนือ-ตะวันออกเฉียงใต้ ระบุตาแหน่งของรอยเล่ือนด้วยผลการสารวจ
วัดสภาพต้านทานไฟฟา้ ทพี่ บลักษณะคา่ ความผดิ ปกติในแนวดงิ่ แปลความได้เป็นตาแหน่งของรอยเล่ือนท่ีแสดง
ค่าความตา้ นทานไฟฟ้าต่าของช้ันหินโคลนและค่าความต้านทานไฟฟ้าสูงของชั้นตะกอน ผลการขุดร่องสารวจ
ทั้ง 2 ร่อง มีลักษณะธรณีวิทยาและการลาดับตะกอนในร่องสารวจ BK1 พบรอยเลื่อนย้อนท่ีชั้นหินโคลนปิด
ทับบนช้ันตะกอนท่ีเป็นกรวด และทราย มีระยะการเล่ือนตัวประมาณ 3.5 เมตร โดยช้ันตะกอนที่อายุน้อย
ท่ีสดุ ท่รี อยเล่ือนตัดผ่านมีอายุ 18,120±1,920 ปี และผลจากร่องสารวจ BK2 พบรอยเล่ือนย้อน 2 แนว ในช้ัน
หินโคลนปิดทับบนช้ันตะกอนทราย ซึ่งรอยเล่ือนย้อนเป็นรอยเลื่อนย่อยที่เกิดจากการเล่ือนตัวของรอยเล่ือน
หลักท่ีมีการเลื่อนตัวในแนวระดับ โดยชั้นตะกอนที่อายุน้อยที่สุดท่ีรอยเลื่อนตัดผ่านมีอายุ 36,960±2,780 ปี
ขนาดแผ่นดินไหวทเ่ี คยเกิดขึน้ ในอดตี มขี นาด M7.1 มีอัตราการเล่ือนตัวของรอยเล่ือน 0.0081 มิลลิเมตรต่อปี
จากเหตกุ ารณ์แผน่ ดนิ ไหวครัง้ ลา่ สดุ พบวา่ รอยเล่อื นทา่ แขกส่วนย่อยทพ่ี าดผา่ นเข้ามาในประเทศไทยมีแนวโน้ม
ที่จะเปน็ รอยเล่ือนมพี ลงั
เอกสารอา้ งอิง
Arjwech, R., Everett, M.E., Chaisuriya, S., Youngme, W., Rattanawannee, J., Saengchomphu, S.,
Thitimakorn, T., and Somchat, K., 2021. Electrical resistivity tomographic detection of the
hidden Thakek fault, Northeast Thailand. Near Surface Geophysics. 19(4), 1–13
Oral Session
ธรณวี ถิ ใี หม่ นวตั กรรมไทย เพ่ือการพัฒนาท่ยี ง่ั ยืน 43
การศกึ ษาอทุ กธรณีวทิ ยา วนอุทยานถาหลวง-ขนุ นานางนอน อาเภอแมส่ าย จงั หวดั เชียงราย
อัคปศร อคั ราช*, วนชั วรรณ ฮันเยก็ และ จีรทีปต์ ยศม้าว
กรมทรัพยากรนา้ บาดาล กระทรวงทรพั ยากรธรรมชาติและส่ิงแวดลอ้ ม จตุจักร กรุงเทพ 10900 ประเทศไทย
*E-mail: [email protected]
บทคัดยอ่
การศกึ ษาอทุ กธรณีวิทยา วนอทุ ยานถา้ หลวง-ขุนน้านางนอน อาเภอแม่สาย จังหวดั เชียงราย เพื่อเป็น
การจัดเตรียมข้อมูลพ้ืนฐานในการจัดทาแผนที่อุทกธรณีวิทยา การประเมินศักยภาพน้าบาดาล และการ
กาหนดแนวทางบริหารจัดการน้าบาดาลพื้นท่ีเขตเศรษฐกิจพิเศษ อาเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ในการ
จาแนกพื้นท่ีรับน้าและสูญเสียน้า จากผลการศึกษาพบว่า อาเภอแม่สาย มีพ้ืนที่รับน้า (Recharge Area)
ประมาณ 155 ตารางกิโลเมตร คิดเป็นร้อยละ 29 ครอบคลุมพ้ืนท่ีบริเวณฝั่งตะวันตก โดยมีรูปแบบอุทกธรณี
เคมนี า้ บาดาล เปน็ กล่มุ แคลเซยี ม-ไบคาร์บอเนต และแมกนีเซียมไบ-คาร์บอเนต สาหรับพื้นท่ีที่เป็นท้ังพ้ืนที่รับ
น้าและพื้นท่ีสูญเสียน้า (Transition Area) มีพ้ืนท่ีประมาณ 380 ตารางกิโลเมตร คิดเป็นร้อยละ 71
ครอบคลุมพื้นทีบ่ ริเวณฝงั่ ตะวนั ออก โดยมีรูปแบบอุทกธรณีเคมีน้าบาดาล เป็นกลุ่มโซเดียมซัลเฟต ตามลาดับ
ระบบการไหลของน้าบาดาล และธารน้าใต้ดิน จากการจัดทาแผนที่แสดงระบบการไหลของน้าบาดาล (ระดับ
น้าและทิศทางการไหลของน้าบาดาลในชั้นหินให้น้า) มีลักษณะเป็นแอ่งระหว่างภูเขา ด้านทิศตะวันตกเป็น
แนวภเู ขาสูง และด้านตะวันออกท่ีเป็นแนวเขา น้าบาดาลในช้ันหินให้น้าทั้งหมดส่วนใหญ่จะมีแนวโน้มของทิศ
ทางการไหลไปในทางเดียวกัน กล่าวคือ มีทิศทางการไหลจากบริเวณพ้ืนท่ีสูงหรือภูเขาด้านตะวันตกสู่ด้าน
ตะวันออก ซ่ึงเป็นพื้นท่ีลุ่มต่าลงสู่แม่น้าสายย่อย แม่น้ามะ และแม่น้าคา แล้วไหลลงสู่แม่น้าโขง ซ่ึงสอดคล้อง
กับการแผ่ขยายตัวของพื้นท่ีรับน้าและพ้ืนท่ีสูญเสียน้า สาหรับการจาแนกช้ันหินให้น้าบาดาล สามารถจาแนก
ชั้นหินให้น้าออกเป็น 7 กลุ่ม ประกอบด้วย ช้ันหินใหน้ ้าตะกอนลุ่มน้าหลาก (Flood Plain Deposits Aquifer:
Qfd) ช้ันหนิ ใหน้ ้าตะกอนตะพักลาน้ายุคใหม่ (Young Terrace Deposits Aquifer: Qyt) ช้ันหินให้น้าตะกอน
ตะพักลาน้ายุคเก่า (Old Terrace Deposits Aquifer: Qot) ความลึกระหว่าง 20-150 เมตร ชั้นหินให้น้าหิน
คารบ์ อเนตอายเุ พอรเ์ มยี น (Pc) ชัน้ หินให้น้าหินตะกอนก่ึงแปรอายุเพอร์เมียน-คาร์บอนิเฟอรัส (PCms) ชั้นหิน
ใหน้ ้าหนิ แปรอายุไซลูเรยี นถึงดโี วเนียน (SDmm) และชน้ั หนิ ให้น้ากลุ่มหินอัคนี พบเป็นชั้นหินให้น้าหินแกรนิต
ยุคไทรแอสซิก ทง้ั น้ี พน้ื ทส่ี ่วนใหญ่มีคณุ ภาพนา้ บาดาลดี สารละลายมวลรวมในนา้ ระหวา่ ง 200-500 มิลลิกรัม
ต่อลิตร หากจาแนกคุณภาพน้าแต่ละส่วน พบว่าพ้ืนท่ีศึกษาร้อยละ 80 มีปริมาณเหล็กสูง (Fe) ระหว่าง 1-20
มิลลิกรัมต่อลิตร ถือว่าเกินเกณฑ์มาตรฐานน้าอุปโภคบริโภค ในการพัฒนาน้าบาดาลข้ึนมาใช้จึงควรมีระบบ
ปรับปรุงคุณภาพน้าการกรองสนิม สาหรับจัดหาน้าสะอาด เพื่อการอุปโภคบริโภคให้แก่ชุมชนครอบคลุมทุก
ชุมชน รวมทัง้ ในพืน้ ทีเ่ ศรษฐกจิ พเิ ศษ และแหลง่ ท่องเที่ยวสาคัญตอ่ ไป
Oral Session
44 การประชมุ วชิ าการธรณไี ทย ประจาปี 2564
(Geothai Webinar 2021) วนั ท่ี 4-6 สิงหาคม 2564
44
การสร้างและออกแบบสื่อผสมออนไลน์สาหรับการเรียนการสอนวชิ าธรณีวิทยาภาคสนามและ
การท่องเทย่ี วเชิงธรณวี ิทยา
สคุ นธเ์ มธ จติ รมหันตกลุ 1,2* , ฐาสณิ ีย์ เจรญิ ฐิตริ ัตน์2 และ ปิยพงษ์ เชนรา้ ย1,2
1หนว่ ยปฏบิ ตั กิ ารวจิ ยั การวิเคราะหแ์ อ่งตะกอนและวิวฒั นาการทางธรณโี ครงสร้าง ภาควชิ าธรณวี ิทยา คณะวิทยาศาสตร์
จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย
2หลักสูตร วท.ม. ธรณศี าสตรป์ โิ ตรเลยี ม (นานาชาต)ิ ภาควชิ าธรณีวทิ ยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลัย
*E-mail: [email protected]
บทคดั ยอ่
จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเช้ือไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 ต้ังแต่เดือนธันวาคม
ปี พ.ศ.2562 ส่งผลให้กิจกรรมหลายอย่างถูกระงับหรือถูกแนะนาให้จัดในรูปแบบชีวิตวิถีใหม่ การเรียนการ
สอนในทุกระดับช้ันจาเป็นต้องจัดในรูปแบบออนไลน์ โดยเฉพาะสถาบันการศึกษาท่ีตั้งอยู่ในเขตพื้นท่ีเส่ียงต่อ
การแพร่ระบาด ซึ่งการเรียนในหลายวิชาสามารถทาได้ด้วยการบรรยายผ่านระบบประชุมทางไกล อย่างไรก็
ตาม การเรียนออนไลน์ของรายวิชาที่เก่ียวข้องกับการออกภาคสนาม เช่น วิชาวิธีการศึกษาธรณีวิทยา
ภาคสนาม หรอื วิชาธรณีสนาม ไมส่ ามารถทดแทนการเรยี นในภาคสนามจริงไดอ้ ย่างสมบรู ณ์ สิ่งที่ทาได้ขณะนี้
คือการปรับเปลี่ยนกิจกรรมและวิธีการประเมินผลการศึกษาตามความเหมาะสม แต่ด้วยความไม่แน่นอนของ
การกระจายเช้ือและการกลายพันธุ์ของเช้ือโควิด-19 ท่ีไม่มีทีท่าจะส้ินสุดในระยะปีถึงสองปีน้ี การเรียน
ออนไลน์ก็จะยังคงดาเนินต่อไป ดังนั้น ผู้สอนจาเป็นจะต้องเตรียมความพร้อมด้านส่ือการสอนและปรับปรุง
กิจกรรมให้ผเู้ รยี นมีสว่ นร่วมและใหผ้ ูเ้ รยี นไดม้ ปี ระสบการณใ์ กลเ้ คียงกับการฝกึ ฝนในภาคสนามมากที่สุด
หัวข้อน้ีจะนาเสนอเทคโนโลยีปัจจุบันที่สามารถนามาประยุกต์ใช้ในการจัดกิจกรรมออกภาคสนาม
แบบออนไลน์ พร้อมกับการเปรียบเทียบข้อดีข้อเสียของแต่ละเครื่องมือ และพูดถึงแนวคิดด้านการสร้างและ
ออกแบบส่ือผสมออนไลนส์ าหรับการเรียนการสอนวิชาธรณีวทิ ยาภาคสนาม โดยมีการยกตัวอย่างสื่อท่ีได้นาไป
ทดลองใช้ในชั้นเรียนออนไลน์ของภาควิชาธรณีวิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ
งานวิจัยท่ีมีการนาสื่อผสมออนไลน์ไปใช้ส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงธรณีวิทยา การนาเสนอคร้ังนี้ผู้ฟังจะได้
ข้อเสนอแนะและแนวทางการพัฒนาสื่อผสมสาหรับจัดกิจกรรมท่ีเกี่ยวข้องกับการออกภาคสนามในรูปแบบ
ออนไลนท์ ี่สามารถใช้ไดท้ งั้ ในสถานการณ์ปจั จุบันและในชว่ งหลังวกิ ฤตโควิด-19
Oral Session
ธรณีวิถใี หม่ นวัตกรรมไทย เพือ่ การพฒั นาที่ย่ังยนื 45
การสารวจ ตรวจสอบ และศึกษาซากดึกดาบรรพน์ อติลอยด์ และไทรโลไบต์ บา้ นทา่ กระดาน
อาเภอศรีสวัสดิ์ จังหวัดกาญจนบุรี
พงษ์พฒั น์ ประสงค์
พพิ ธิ ภัณฑสถานแหง่ ชาติธรณวี ทิ ยาเฉลิมพระเกยี รติ จังหวดั ปทมุ ธานี สานักงานทรัพยากรธรณี เขต 3 กรมทรัพยากรธรณี
E-mail: [email protected]
บทคดั ย่อ
รายงานมีวัตถุประสงค์เพื่อการสารวจ ตรวจสอบ และศึกษาแหล่งซากดึกดาบรรพ์นอติลอยด์ และ
ซากดึกดาบรรพ์ไทรโลไบต์ บ้านท่ากระดาน อาเภอศรีสวัสด์ิ จังหวัดกาญจนบุรี ผลการศึกษาซากดึกดาบรรพ์
2 แหล่ง คือ แหล่งซากดึกดาบรรพ์นอติลอยด์และแหล่งซากดกึ ดาบรรพ์ไทรโลไบต์ มีการกระจายตัวสะสมทั่ว
บริเวณบ้านท่ากระดาน ตาบลท่ากระดาน อาเภอศรีสวัสด์ิ จังหวัดกาญจนบุรี แหล่งท่ี 1 แหล่งนอติลอยด์
(Nautiloid) ทีส่ ารวจพบกระจายตวั ในพ้ืนทป่ี า่ ชมุ ชน ท่ากระดาน หมู่ท่ี 2 บา้ นท่ากระดาน ตาบลทา่ กระดาน
อาเภอศรีสวสั ดิ์ จงั หวัดกาญจนบรุ ี พบซากดกึ ดาบรรพ์นอติลอยดห์ นาแน่นบริเวณเขาเนินแดงและทร่ี าบเชิงเขา
เนนิ แดง ซง่ึ ซากดกึ ดาบรรพน์ อติลอยดส์ ่วนใหญท่ พี่ บในพ้นื ที่ มีลักษณะเปลือกภายนอกลาตวั เปน็ แทง่ ตรงคล้าย
กรวย ชนดิ Orthoceras sp. และพบอีก 3 ชนิด ประกอบด้วย Actinoceras sp., Sinocerus sp. และ Order
Tarphycerida การกระจายตัวของนอติลอยด์ในพื้นท่ีน้ีกระจายตัวดี มีปริมาณมากและมีขนาดเล็กถึงขนาด
ใหญ่ ความยาวตัง้ แต่ 1 เซนติเมตรถึงขนาดใหญ่ 50 เซนติเมตร การพบซากดึกดาบรรพน์ อติลอยด์หลากหลาย
ชนดิ สามารถบง่ บอกถงึ สภาพของสิง่ แวดล้อม ในอดีตบริเวณดังกล่าวเคยเป็นพ้ืนทะเลและมีความอดุ มสมบรู ณ์
สูงซ่ึงซากดึกดาบรรพ์ท่ีพบในพ้ืนท่ีสะสมตัวในชั้นหินปูนเนื้อดิน สีน้าตาลแดง และสีเทา ยุคออร์โดวิเชียน
หินปูนยุคน้ีกระจายตัวไปยังฝั่งตะวันออกและทางตอนใต้ของพื้นท่ีจังหวัดกาญจนบุรี และมักพบเป็นเทือกเขา
ระดับต่าและเนินเขา และแหล่งที่ 2 แหล่งซากดึกดาบรรพ์ไทรโลไบต์ (Trilobite) บริเวณหน้าตัดถนน
พ้ืนที่ชุมชนท่ากระดาน ซอย 6 หมู่ท่ี 2 บ้านท่ากระดาน ตาบลท่ากระดาน อาเภอศรีสวัสด์ิ จังหวัดกาญจนบุรี
มีการสะสมตัวในชั้นหินทรายแป้งสีม่วงแดง และหินดินดานสีน้าตาลเหลือง อายุคาร์บอนิเฟอรัส โดยพบ
หลกั ฐานซากดาบรรพ์ โพสโิ ดนิมย่า (Posidonomya) ไทรโลไบต์ (Trilobite)ไครนอยด์ (crinoid) แบรคโิ อพอด
(brachiopod) และซากดึกดาบรรพ์พวกหอยสองฝา (bivalve) ซ่ึงซากดึกดาบรรพ์ไทรโลไบต์ ท่ีพบในพื้นที่
จะพบส่วนลาตัวและหาง (Trilobite pygidium) ไม่ค่อยจะพบแบบเต็มตัว หรือโครงสร้างอ่อนอ่ืนๆ ขนาด
ไทรโลไบต์ท่ีพบมขี นาดเลก็ ถึงขนาดใหญ่ ความยาวโดยเฉลย่ี 0.5 - 2 เซนติเมตร กระจายตัวในพื้นท่ีสารวจพบ
เป็นหย่อมๆ และยังพบซากดึกดาบรรพ์อื่นๆ อีกหลายชนิด สามารถบ่งบอกถึงสภาพของส่ิงแวดล้อมบริเวณ
ดงั กล่าวในอดีตเปน็ พื้นทะเลทม่ี ีความอุดมสมบรู ณ์ของส่งิ แวดล้อม
รายงานเล่มน้ีเป็นการสารวจ ตรวจสอบ และศึกษาแหล่งซากดึกดาบรรพ์นอติลอยด์ และไทรโลไบต์
ทางกายภาพและศกึ ษาสภาพแวดลอ้ มของการสะสมตวั ในพน้ื ทบ่ี า้ นทา่ กระดาน ตาบลทา่ กระดาน อาเภอศรสี วสั ด์ิ
จังหวัดกาญจนบุรี เพ่ือเป็นฐานข้อมูลซากดึกดาบรรพ์อ้างอิงในการจาแนกเพ่ือนาเข้าฐานข้อมูลทะเบียน
ซากดกึ ดาบรรพ์ต่อไป
Oral Session
46 การประชุมวิชาการธรณไี ทย ประจาปี 2564
(Geothai Webinar 2021) วันที่ 4-6 สงิ หาคม 2564
46
การสารวจและจัดทาแผนผังถาในเขตอทุ ยานแหง่ ชาติ ภาคใต้
จริ ศกั ดิ์ เจรญิ มติ ร1*, อมุ าพร เจรญิ คณุ ธรรม1, ประสบสขุ ศรตี งั้ วงศ1์ , วภิ าวี เขยี มสนั เทยี ะ1 และ พรธวชั เฉลมิ วงศ2์
1 สานกั งานทรพั ยากรธรณี เขต 4 กรมทรพั ยากรธรณี
2 สว่ นฟื้นฟแู ละพัฒนาพนื้ ท่อี นุรกั ษ์ สานกั บริหารพืน้ ทอ่ี นรุ กั ษท์ ่ี 4 กรมอุทยานแห่งชาติ สตั ว์ปา่ และพันธ์ุพชื
*E-mail: [email protected]
บทคัดย่อ
ในอดีตถ้าถกู ใชเ้ ปน็ แหลง่ ทอี่ ยูอ่ าศัย สถานทป่ี ระกอบพิธกี รรมทางศาสนาและความเช่ือ นอกจากนี้ถ้า
ยังเป็นแหล่งจดบันทึกสภาพภูมิอากาศโบราณ ปัจจุบันถ้าที่มีประติมากรรมถ้าที่สวยงามหลายแห่งได้รับการ
พัฒนาใหเ้ ปน็ แหล่งทอ่ งเท่ียวนารายไดส้ ่ชู มุ ชน แหล่งเรียนรู้ และแหล่งศึกษาวิจัย การสารวจและจัดทาแผนผัง
ถ้า เพ่ือเป็นฐานข้อมูลทรัพยากรธรรมชาติสาหรับการบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน ดาเนิน
ภารกิจภายใต้ความร่วมมือตามแผนงานวิจัย การจัดการถ้าและภูมิประเทศเขาหินปูนในอุทยานแห่งชาติและ
พ้ืนท่ีเชื่องโยง จานวน 33 ถ้า ประกอบด้วย ถ้าบัวโบก และถ้าน้า อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะอ่างทอง ถ้าแก้ว
และถา้ พระ อุทยานแห่งชาตคิ ลองพนม ถา้ ประกายเพชร ถา้ น้าทะลุ และถ้าสรี่ ู อทุ ยานแห่งชาติเขาสก ถ้าขมิ้น
อุทยานแห่งชาตใิ ต้รม่ เย็น จงั หวัดสุราษฎรธ์ านี ถ้าหงส์ อุทยานแห่งชาติเขานัน จังหวัดนครศรีธรรมราช ถ้ามืด
ถ้าธารโบกขรณี และถา้ ผหี ัวโต อุทยานแหง่ ชาติธารโบกขรณี ถา้ ลอด ถา้ พระนาง และถ้าไวกิ้ง อุทยานแห่งชาติ
หาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี ถ้าเขาไม้แก้ว ถ้าคลองจาก และถ้าเสือ อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะลันตา
จังหวัดกระบี่ ถ้าเจ้าไหม-เจ้าคุณ และถ้ามรกต อุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม จังหวัดตรัง ถ้าแก้ว ถ้าโกงกาง
ถ้าค้างคาว ถา้ ปืน ถ้าไอศกรีม ถ้านาค ถ้าลอด และถ้าลอดใหญ่ อุทยานแห่งชาติอ่าวพังงา จังหวัดพังงา ถ้าสูง
อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะเภตรา ถ้าจระเข้ อุทยานแห่งชาติตะรุเตา จังหวัดสตูล ถ้าพระยานคร ถ้าไทร และ
ถา้ แกว้ อทุ ยานแหง่ ชาตเิ ขาสามร้อยยอด จังหวัดประจวบคีรขี ันธ์
คาสาคญั : แผนผังถา้
Oral Session
ธรณีวถิ ีใหม่ นวตั กรรมไทย เพ่ือการพฒั นาทยี่ ั่งยนื 47
การสารวจขุดคน้ ซากดึกดาบรรพว์ าฬ จากตาบลอาแพง อาเภอบ้านแพว้ จงั หวดั สมุทรสาคร
อดลุ ย์วทิ ย์ กาวรี ะ1* และ พรรณภิ า แซ่เทยี น2
1 สว่ นมาตรฐานและขอ้ มลู ซากดกึ ดาบรรพ์ กองคุ้มครองซากดกึ ดาบรรพ์ กรมทรัพยากรธรณี
2 สว่ นบริหารการคมุ้ ครองซากดึกดาบรรพ์ กองค้มุ ครองซากดกึ ดาบรรพ์ กรมทรัพยากรธรณี
*E-mail: [email protected]
บทคัดยอ่
ซากวาฬ บริเวณตาบลอาแพง อาเภอบ้านแพ้ว จังหวัดสมุทรสาคร ถือว่าเป็นซากดึกดาบรรพ์วาฬท่ีมี
สภาพสมบูรณ์ที่สุดในประเทศไทย และในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยค้นพบช้ินส่วนจานวนกว่า 142 ช้ิน
ประกอบไปด้วย กะโหลกและขากรรไกร กระดูกซี่โครง กระดูกสันหลัง กระดูกแขนและมือทั้งสองข้าง
กระดูกหน้าอก กระดูกเชฟรอน และชิ้นส่วนบาลีน การตรวจสอบพบว่ามีกระดูกบางช้ินท่ีมีลักษณะแบบ
ก่ึงซากดึกดาบรรพ์ (Subfossil) การจัดทาแผนผังโครงกระดูกพบว่าวาฬโบราณตัวนี้มีการตายในท่านอนคว่า
วางตวั ในแนวตะวันออก-ตะวันตก มีความยาวปรากฎ 12.5 เมตร คาดว่าหากพบสมบูรณ์ท้ังตัวจะมีความยาว
ประมาณ 14 เมตร ชิ้นส่วนกระดูกมีการกระจัดกระจายไม่มาก และวางตัวอย่างต่อเนื่อง แสดงถึงการตายใน
สภาพแวดลอ้ มท่สี งบน่งิ การศึกษาชน้ิ ส่วนกระดูกเบอื้ งตน้ พบว่ามลี กั ษณะของกระดูกท่ีแสดงถึงลักษณะเฉพาะ
ของวาฬบรูด้า (Balaenoptera edeni) ได้แก่ กระดูกซ่ีโครงซี่แรก และกระดูกบริเวณจมูก การหาอายุจาก
ชิ้นส่วนกระดูกด้วยวิธีการหาคาร์บอนกัมมันตรังสี (Radiocarbon dating) พบว่ามีอายุ 3,380 ± 30 ปี หรือ
ช่วงสมัยโฮโลซีนตอนปลาย (Late Holocene) นอกจากนี้ยังพบร่องรอยขีดข่วนบนกระดูกหลายชิ้น ซึ่งเป็น
รอยฟันของสัตว์กินซาก เช่น ปลาฉลาม ซึ่งพบชิ้นส่วนฟันปักอยู่หลายบริเวณ บ่งบอกว่าเม่ือสัตว์ตายลงได้มี
สัตว์กินซากเข้ามากินเป็นจานวนมาก การค้นพบส่วนบาลีน ซึ่งเป็นส่วนที่เปราะบางและย่อยสลายง่าย
แต่ยังคงเก็บรักษาไว้ได้ แสดงถึงสภาพแวดล้อมการสะสมตัวของตะกอนน้ันสะสมตัวอย่างรวดเร็ว การค้นพบ
เพรียงทะเลเกาะอยู่บริเวณกระโดงหลัง และกะโหลก เป็นแนวในระดับเดียวกัน บ่งบอกบริเวณดังกล่าวเป็น
ส่วนโผล่ขน้ึ เหนือชั้นตะกอนเปน็ ระยะเวลาหนงึ่ กอ่ นทีจ่ ะถูกปดิ ทับด้วยตะกอนในเวลาต่อมา การค้นพบซากดึก
ดาบรรพ์วาฬท่ีอยู่ห่างจากแนวชายฝั่งทะเลปัจจุบันประมาณ 12 กิโลเมตร เป็นอีกหน่ึงหลักฐานที่บ่งบอกว่า
พน้ื ทีน่ ้นั เคยมกี ารรุกล้าของน้าทะเลมากอ่ น และมีการเปล่ยี นแปลงของระดบั นา้ ทะเลจนมาถึงในปจั จุบัน
คาสาคญั : ซากดกึ ดาบรรพ์วาฬ, สภาพแวดลอ้ มบรรพกาล
Oral Session
48 การประชุมวชิ าการธรณไี ทย ประจาปี 2564
(Geothai Webinar 2021) วันท่ี 4-6 สิงหาคม 2564
48
การสารวจธรณีวทิ ยาควอเทอรน์ ารภี ายใตโ้ ครงการพฒั นาสระบ่อดินขาว พืนท่ีอาเภอตาคลี
จังหวัดนครสวรรค์
ภคั พงษ์ ศรบี วั ทอง*, นา้ ฝน คาพลิ งั , ทัศนพร เรือนสอน, ธรี ะชยั หน่อคาบุตร และ นลินี ธะนันต์
สานกั งานทรพั ยากรธรณี เขต 1 กรมทรัพยากรธรณี
*E-mail: [email protected]
บทคัดย่อ
โครงการพัฒนาสระบ่อดินขาว อาเภอตาคลี จังหวดั นครสวรรค์ มีวัตถุประสงค์เพ่ือให้ประชาชนได้ใช้
ประโยชนจ์ ากน้าเพอ่ื อปุ โภคบรโิ ภคและทาการเกษตร โดยเกบ็ น้าจากทั้งน้าฝนและน้าท่ีไหลจากทางธรรมชาตใิ น
ช่วงเวลาน้าหลาก ท้ังน้ีพื้นท่ีเขาวงซึ่งเป็นภูเขาหินปูนที่พบโพรงถ้าเป็นจานวนมาก ทางโครงการจึงมี
แนวความคิดเพิ่มระบบสารองน้าใต้ดินจากโพรงถ้าใต้ดิน จึงนามาซึ่งการสารวจข้อมูลทางธรณีวิทยาพื้นผิว
ธรณีวทิ ยาควอเทอรน์ ารี ธรณีวทิ ยาโครงสรา้ ง ข้อมูลธรณีวิทยาใตด้ ิน และตาแหนง่ โพรงถ้าใตด้ นิ เพ่อื สนบั สนุน
ขอ้ มลู สาหรบั การบรหิ ารจดั การโครงการพฒั นาสระบอ่ ดนิ ขาวตอ่ ไปการเจาะสารวจตะกอนตะกอนควอเทอร์นารี
ระดับตื้นเพื่อศึกษาธรณีวิทยาควอเทอร์นารีและสภาพแวดล้อมการตกตะกอน รวมถึงหาขอบเขตของดินมาร์ล
(Marl) และดนิ แทรร์ ารอสซา (Terra Rosa) ในบรเิ วณพน้ื ทเี่ ขาวง ตาบลชอ่ งแคและตาบลพรหมนมิ ติ อาเภอตาคลี
จงั หวัดนครสวรรค์ โดยวิธีการใช้ชุดสว่านมือ (Hand Auger Boring) มีการกาหนดหลุมเจาะจานวนรวมท้ังส้ิน
32 หลุมครอบคลมุ พน้ื ท่ศี ึกษา หลมุ เจาะมีความลึกเฉล่ยี 3.75 เมตรตอ่ หลมุ ผลการเจาะสารวจสามารถจัดทา
แผนทไ่ี ดเ้ ปน็ 2 แผนท่ี คอื แผนทธ่ี รณวี ทิ ยาควอเทอรน์ ารี และแผนทข่ี อบเขตของดินมาร์ลและดินแทรร์ ารอสซา
โดยแผนทธ่ี รณวี ทิ ยาควอเทอรน์ ารสี ามารถแบง่ กลมุ่ ตะกอนไดเ้ ปน็ 2 ชดุ ตะกอน ไดแ้ ก่ 1) ตะกอนทร่ี าบน้าทว่ มถงึ
(Qff) เปน็ ตะกอนขนาดละเอยี ดถูกพดั มาสะสมตวั ในฤดนู ้าหลากตามที่ราบน้าท่วมถงึ ลักษณะเป็นดินเหนยี วปน
ทรายสีน้าตาลอมดา ดินเหนียวสีดาอมน้าตาลถึงสีเหลืองด้าน บางช่วงพบเม็ดกรวดสีเทาขาวแทรกอยู่ในเนื้อ
ตะกอน ในชว่ งระดบั ความลกึ ที่ 1.5-3.0 เมตร พบดินมารล์ สีเทาขาว มีความเป็นเนื้อเดียวกันและลักษณะเน้ือ
ตะกอนร่วน 2) ตะกอนเศษหินเชิงเขา (Qc) พบตามท่ีราบเชงิ เขา เกิดจากหนิ แตกหกั ร่วงหล่นกลายเป็นตะกอน
แลว้ สะสมตัวบรเิ วณเชิงเขา มีลกั ษณะเป็นดินเหนียวสีน้าตาลแดง มคี วามเปราะ มเี ม็ดเหลก็ -แมงกานีสปรมิ าณ
น้อย พบเมด็ ปนู ปะปนอยเู่ ลก็ นอ้ ย และสาหรบั แผนทีข่ อบเขตของดนิ มารล์ และดนิ แทร์รารอสซา จากข้อมูลหลมุ
เจาะดินมาร์ลมีลักษณะเป็นดินเหนียวสเี ทาออ่ น เนื้อตะกอนมีความเหนียวดี พบเศษหินปูนขนาดเล็กปะปนอยู่
ซง่ึ บง่ บอกว่าดนิ มารล์ นา่ จะกาเนดิ มาจากการผพุ งั สลายตวั ของหนิ ปนู บรเิ วณใกล้เคยี ง พบกระจายตวั อยู่ทางทิศ
ตะวันตกของพื้นที่เขาวง และแผ่กระจายตัวลงมาทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของพ้ืนท่ี ส่วนดินแทร์รารอสซามี
ลกั ษณะเปน็ กรวดเป็นดนิ เหนียวสีน้าตาล เน้ือตะกอนมกี ารจบั เกาะตัวกนั อยา่ งหลวมๆ ซ่ึงเป็นดินท่ผี พุ ังมาจาก
หนิ ปนู มแี รธ่ าตทุ จี่ าเปนตอพชื อยหู่ ลายชนดิ พบกระจายตวั อยบู่ รเิ วณตรงกลางของหบุ เขา
คาสาคญั : ตะกอนควอเทอรน์ าร,ี ตะกอนทร่ี าบน้าทว่ มถงึ , ตะกอนเศษหนิ เชงิ เขา, ดนิ มารล์ ม, ดนิ แทรร์ ารอสซา
Oral Session
ธรณวี ิถีใหม่ นวัตกรรมไทย เพอ่ื การพัฒนาทย่ี งั่ ยนื 49
การศกึ ษาแนวทางการจดั การองค์ความร้เู พ่ือพฒั นาการทอ่ งเทีย่ วชุมชน กรณีศึกษา
แหลง่ เรยี นรรู้ อยตีนไดโนเสาร์ ตาบลพนอม อาเภอทา่ อุเทน จังหวัดนครพนม
อนุชิต สงิ หส์ ุวรรณ* และ ศรีสุดา ดว้ งโตด้
คณะศลิ ปศาสตร์และวิทยาศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยนครพนม
ตาบลนาราชควาย อาเภอเมอื ง จังหวดั นครพนม 48000
*E-mail: [email protected]
บทคัดย่อ
โครงการวิจัย “การศึกษาแนวทางการจัดการองค์ความรู้เพื่อพัฒนาการท่องเที่ยวชุมชน กรณีศึกษา
แหลง่ เรียนรูร้ อยตีนไดโนเสาร์ ตาบลพนอม อาเภอทา่ อเุ ทน จงั หวดั นครพนม” เปน็ งานวจิ ยั เชิงคุณภาพท่ีได้ใช้
วิธีการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วมกับชุมชน โดยมีวัตถุประสงค์ในการวิจัย ดังนี้ 1) ศึกษาและรวบรวม
องค์ความรู้เก่ียวกับแหล่งเรียนรู้รอยตีนไดโนเสาร์ท่าอุเทน 2) ศึกษาแนวทางการพัฒนาองค์ความรู้เพ่ือ
ส่งเสรมิ การทอ่ งเทยี่ วในแหลง่ เรียนรู้รอยตนี ไดโนเสารท์ ่าอุเทน 3) สร้างนวตั กรรมเพื่อสง่ เสริมการท่องเท่ียวใน
แหลง่ เรยี นรรู้ อยตนี ไดโนเสารท์ ่าอเุ ทน ผลการศกึ ษาพบวา่ ความโดดเดน่ ของแหล่งเรียนรู้รอยตีนไดโนเสาร์ท่า
อุเทนในมิติของการท่องเท่ียวมีอยู่ 2 ประการ คือ 1) เป็นแหล่งซากดึกดาบรรพ์ที่เป็นรอยทางเดินของ
ไดโนเสาร์ท่ีมีจานวนมากท่ีสุดในประเทศไทย โดยมีจานวนมากกว่า 200 รอย 2) เป็นสถานที่ท่องเที่ยวทาง
ธรรมชาติอันเป็นที่ตั้งของทรัพยากรทางธรณีอันทรงคุณค่า เป็นแหล่งเรียนรู้ทางวิทยาศาสตร์ธรรมชาติที่บอก
เล่าเรอ่ื งราวการเปลยี่ นแปลงของสภาพแวดล้อมบนพ้ืนผิวโลกในอดีต นอกจากน้ีพ้ืนที่อันเป็นที่ต้ังแหล่งเรียนรู้
รอยตีนไดโนเสารย์ งั ไดม้ ีความสาคัญในมิติทางสังคมและวัฒนธรรมของคนท้องถ่ิน ท้ังน้ีเน่ืองจากเป็นพ้ืนท่ีที่มี
ความสัมพันธ์กับประวัติศาสตร์ของชุมชนบ้านนากระเสริม จากความสาคัญดังกล่าวโครงการวิจัยจึงได้
พัฒนาการท่องเท่ียวบริเวณแหล่งเรียนรู้รอยตีนไดโนเสาร์ให้เกิดความย่ังยืน พร้อมทั้งได้ขับเคลื่อนกิจกรรม
ส่งเสริมการท่องเที่ยวอยา่ งสร้างสรรค์ ด้วยการเชื่อมโยงเส้นทางการท่องเท่ียวเข้ากับแหล่งเรียนรู้อ่ืนในชุมชน
การจัดทาหลักสูตรมคั คเุ ทศกท์ อ้ งถิ่น และการออกแบบสนิ คา้ และผลิตภัณฑ์เพื่อการท่องเท่ียว อันเป็นวิธีการ
ในการจดั การทรัพยากรทางธรณีใหเ้ กดิ ประโยชนท์ างเศรษฐกจิ สงู สดุ แกช่ มุ ชนท้องถ่ิน
Oral Session
50 การประชมุ วิชาการธรณีไทย ประจาปี 2564
(Geothai Webinar 2021) วนั ท่ี 4-6 สิงหาคม 2564
50
การศึกษาแนวทางการพัฒนากฎหมายถาไทย
พัลลภ กฤตยานวชั
ประธานคณะทางานศึกษากฎหมายการบรหิ ารจดั การถา้
E-mail: [email protected]
บทคัดยอ่
1. ถ้าเป็นทรัพยากรธรณีที่เป็นขุมทรัพย์ทรงคุณค่าและเป็นมรดกของชาติท่ีสาคัญ ไม่ว่าจะมองในมิติ
ของเศรษฐศาสตร์ ธรณีวิทยา อุทกวิทยา ชีววิทยา วนศาสตร์ นิเวศวิทยา ศาสนา ศิลปะ ประวัติศาสตร์
โบราณคดี หรือแหล่งท่องเทยี่ วทก่ี ่อประโยชน์ทางการศกึ ษา นนั ทนาการ และทางเศรษฐกจิ มหาศาล
2. แต่เนื่องจากถ้าโดยธรรมชาติใช้เวลานานนับพัน หมื่น แสน หรือล้านปี ในการก่อตัว กับทั้ง
ประตมิ ากรรมในถา้ เชน่ หินงอก หินย้อย มกั จะมคี วามเปราะบางแตกหักทาลายได้ง่าย หลายถ้ามีการขีดเขียน
หรือลักลอบนาออกไป ถ้าบางแห่งมีการใช้ประโยชน์ที่ไม่เหมาะสม บางแห่งก็มีการบริหารจัดการถ้าที่ขาด
หลักวิชา จนทาใหถ้ ้าเสียหาย หรือลดคณุ คา่ ลงไป
3. ด้วยเหตุนี้ หลายประเทศในโลกจึงให้ความสาคัญกับถ้า โดยการให้ความคุ้มครองและอนุรักษ์ถ้า
เพ่ือป้องกันความเสียหายและปัญหาต่าง ๆ ท่ีเกิดข้ึนเกี่ยวกับถ้าและทรัพยากรถ้าทั้งหลาย ท้ังโดยการออก
กฎหมายคมุ้ ครองถ้าโดยเฉพาะ หรอื โดยการออกกฎเกณฑ์ ระเบียบขอ้ บงั คบั ทแี่ ทรกอยูใ่ นกฎหมายต่าง ๆ
4. ประเทศไทย จึงควรสารวจตรวจสอบกฎหมายท่ีเก่ียวกับการคุ้มครองถ้า และทรัพยากรถ้าในบาง
ประเทศ เช่น ในยุโรป อเมริกาเหนือ (สหรัฐอเมริกา และแคนาดา) และในเอเชีย โดยเฉพาะอย่างย่ิงใน
ประเด็นหลักการและเหตุผลในการออกกฎหมายคุ้มครองถ้า เพ่ือเป็นข้อมูลและแนวทางเบ้ืองต้นสาหรับ
การศกึ ษาและพิจารณาความเหมาะสมในการปรบั ปรงุ หรือพัฒนากฎหมายถ้าในประเทศไทยต่อไป
Oral Session
ธรณีวถิ ีใหม่ นวตั กรรมไทย เพอื่ การพัฒนาทย่ี ั่งยนื 51
เขตรอยเลอ่ื นกลางแอ่งอนั ดามนั : ผลจากการเกดิ รอ่ งแยกหลายครงั
ธนญั ชัย มหัทธนชัย1*, C.K. Morley2, พิษณุพงศ์ กาญจนพยนต์3 และ ปัญญา จารุศริ ิ4
1 กรมเชอื้ เพลิงธรรมชาติ ถ.วิภาวดีรังสิต เขตจตจุ ักร กทม.
2 บรษิ ทั ปตท.สผ. ถ.วิภาวดรี งั สติ เขตจตจุ ักร กทม.
3 ภาควชิ าธรณวี ทิ ยา คณะวทิ ยาศาสตร์ จุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลยั
4 กรมทรพั ยากรธรณี ถ. พระราม 6 เขตราชเทวี กทม.
*E-mail address: [email protected]
บทคัดย่อแบบขยาย (Extended Abstract)
การศกึ ษานี้ เราไดใ้ ชข้ อ้ มลู จากคลน่ื ไหวสะเทอื นท้งั แบบ 2 มติ ิ และแบบ 3 มิติ ในเขตน่านน้าอนั ดามัน
มาแปลผลเพ่ือตรวจหาลักษณะเฉพาะของรอยเลื่อน ผลการแปลความหมายแสดงให้เห็นเขตรอยเลื่อนกลาง
แอ่งอันดามัน (Andaman Basin Central หรือ ABC) ซึ่งเป็นรอยเล่ือนหลัก (รูป 1) รอยเล่ือนน้ีได้พัฒนาข้ึน
หลังจากท่ีสภาพการแปรสัณฐาน (tectonic setting) ได้เปลี่ยนจากโครงสร้างดึงออก (extension
structure) ท่ีมีทิศทางการดึงในทิศเกือบตะวันออก-ตะวันตก ในช่วงอนุยุคโอลิโกซีนถึงต้นสุดของอนุยุคไมโอ
ซีน (30-20 ล้านปี) ไปเป็นโครงสร้างเฉือนดึง (transtensional structure) ในทิศเกือบตะวันตกเฉียงเหนือ-
ตะวนั ออกเฉียงใต้ (NNW-SSE) (รปู 2 A)
ในการศึกษาน้ี เราได้ตคี วามว่า รอยเล่ือน ABC น่าจะเกิดขึ้นหลังจากการเล่ือนดึงออก (extensional
detachment) หนิ เปลอื กโลกส่วนบน จนเกิดเป็นรองแยกทางทิศตะวันตก ซึ่งผลทาให้รอยเลื่อน ABC พัฒนา
อยู่บนแผ่นเปลือกโลกส่วนล่างท่ีบางตัวลง (thinned lower plate) หรือเปลือกทวีปส่วนล่าง (lower
continental crust)
ด้วยเหตุนี้ เราจึงวินิจฉัยว่า รอยเลื่อน ABC มีพลังอยู่ในช่วงต้นถึงกลางยุคไมโอซีน (20-15 ล้านปี)
และจดั เป็นรอยเลอื่ นเฉือนแบบ R’ ในทิศเกือบตะวันออกเฉียงเหนือ-ตะวันตกเฉียงใต้ (ENE-WSW) ท่ีกว้างถึง
60 กม. และยาวเป็นร้อยกโิ ลเมตร ตามทิศเกอื บเหนือ-ใต้ (NNE-SSW) (รปู 2B ) ทาให้เกิดชุดรอยแตกเฉือนท่ี
มีระยะห่างเพยี ง 1 กิโลเมตรทั้งสองข้างของรอยเลื่อน ABC แรงเฉือน R ท่ีเกิดขึ้นนาน ๆ ครั้ง ปรากฏใกล้กับ
เขตรอยเล่ือน ABC น้ี รูปแบบโครงสร้างท่ีโดดเด่นและผิดปกติของรอยเฉือน R’ จึงถูกตีความว่ามาจาก
อิทธพิ ลของแรงดงึ ในแนวเกือบตะวันตกเฉียงเหนือ-ตะวันออกเฉียงใต้ (NNW-SSE) โดยสัมพันธ์กับการเคลื่อน
ตัวไปทางเหนือของแผ่นอนิ เดีย เมือ่ เทยี บกับผนื แผ่นดินเอเชยี ตะวนั ออกเฉยี งใต้
ต่อจากน้ัน จึงเกิดการยกตัวบริเวณกว้าง (regional uplift) ของมวลด้านตะวันออกของรอยเลื่อนท่ีมี
ความยาวประมาณ 100 กิโลเมตร (รูป 2C ) ดังน้ัน การยกตัวน้ี เกิดขึ้นในบริเวณที่เป็นโค้งดันยั้ง
(restraining bend) ทาให้ส่วนท่ีใกล้ที่สุดของรอยเล่ือนถูกเล่ือนแบบขวาเข้า (dextral) จนมีระยะเคล่ือน
50 กิโลเมตร โตรกเขา (canyons) ท่ีเกิดขวางรอยเลื่อน ABC และที่ราบสูงใต้ทะเล จึงถูกกัดลึก (incised)
เป็นร่องยาว จึงเป็นเส้นทางให้กับตะกอนจากแผ่นดิน เคล่ือนตัวลงมาด้วยแรงโน้มถ่วง ( gravity-driven
sediments) ไปยังพื้นที่ในเขตทะเลลึกได้ ท้ังรอยเล่ือน ABC ในทะเลอันดามันและรอยเล่ือนสะกายบนบกใน
ประเทศเมียนมาร์ จึงเกิดอยู่ร่วมกับแอ่งตะกอนใหญ่ที่มีแนวร่องสะสมตัว (depocenter) วางตัวขนานไปตาม
รอยเล่ือน แอ่งตะกอนใหญ่เหล่านี้แสดงถึง แอ่งเล่ือนแนวระดับ (strike-slip basin) อีกรูปแบบหน่ึงที่ต่างไป
จากแอ่งดึงออก (pull-apart basin) ปกติ เพราะมีขนาดใหญ่กว่ามาก ขอบของแอ่งอันดามันตะวันออกแสดง
ความหนาของเปลือกโลกที่เปล่ียนแปลงไปโดยมี เส้นชั้นความลึกในแนว เหนือ-ใต้ ท่ีสัมพันธ์กับแรงดึงในช่วง
Oral Session
52 การประชุมวิชาการธรณีไทย ประจาปี 2564
(Geothai Webinar 2021) วันท่ี 4-6 สงิ หาคม 2564
52
อายุโอลิโกซีน ส่วนรอยเลื่อน ABC ก็วางตัวไปตามแนวเแคบ ๆ ของเปลือกทวีป ด้วยเหตุน้ี จึงสรุปได้ว่ารอย
เลื่อน ABC บง่ บอกถึงการเปลี่ยนลักษณะและการสะสมตะกอนจากการเล่ือนตัวด้านข้างที่อาจพบได้ตามขอบ
ทวีปแบบดึงออกได้อย่างมากโดยพัฒนาจากการดึงออกโดยตรง (extension) ไปเป็นการดึงออกแบบเฉือน
(highly oblique transtension)
รูปที่ 1. A) แผนทพี่ นื้ ทะเลอันดามนั แสดงลักษณะการแปรสัณฐาน (tectonic features) หลกั ๆ; B) แผนที่
โครงสรา้ ง-เวลา ของแอง่ เมอรก์ ุย (Mergui Basin) และแอ่งเมอร์กุยตะวนั ออก (East Mergui Basin)
แสดงพ้นื ผิวด้านบนของหินฐาน จากขอ้ มูลคลนื่ ไหวสะเทอื นแบบ 2 มิติ; และ C) ภาพตัดขวางบริเวณ
กว้างในแนวตะวันออก-ตะวนั ตก(A-A’)ผา่ นทะเลอนั ดามนั และรอยเลือ่ นกลางแอง่ อนั ดามัน
(Andaman Basin Central)
Oral Session
ธรณวี ิถใี หม่ นวัตกรรมไทย เพอ่ื การพัฒนาทีย่ ง่ั ยนื 53
รปู ที่ 2 ภาพกง่ึ สามมติ แิ สดงขน้ั การพฒั นารอยเลอ่ื นกลางแอง่ อนั ดามนั (Andaman Basin Central หรอื ABC
fault zone) โดยมนี ยั การเลอื่ นแบบขวาเขา้ : A) ชว่ งตน้ - ปลายอนยุ คุ โอลโิ กซนี (30-20 ลา้ นป)ี มวลดา้ น
ตะวนั ออกของรอยเลอ่ื น ABC ถูกดึงออก; B) ช่วงกลาง- ตน้ อนุยุคไมโอซนี (20-15 ล้านป)ี ชุดรอยแตก
เฉือน R’ เรมิ่ มีการพฒั นาอย่างมากมายในทิศเกือบตะวนั ออก-ตะวันตก (WSW) เพ่ือตอบสนองต่อแรง
ดงึ ในทศิ เกือบเหนอื -ใต้ (NNW-SSE); และ C) ชว่ งสดุ ทา้ ย- ตอนตน้ ของกลางอนยุ ุคไมโอซีน (~15 ลา้ นป)ี
แอง่ สะสมตะกอน (depocenter)ของมวลดา้ นตะวนั ออกของรอยเลอ่ื นถกู ยกตวั ขน้ึ (ทส่ี าเหตยุ งั ไมแ่ นช่ ดั )
ผลจากการฉีกเฉือนทาให้เกดิ การเลื่อนตวั อย่างมากตามรอยเลือ่ นแบบขวาเข้าเปน็ ระยะทางกวา่ 50 กม.
เกดิ การกัดลึกตามพ้นื ทะเลจนเปน็ โตรกเขาใต้ทะเล (submarine canyon) ทว่ี างตวั ขวางแนวรอยเลอ่ื น
ABC และเกดิ การสะสมตัวของตะกอนนา้ ลกึ รูปพัด (turbidite fan deposits) ทข่ี อบดา้ นตะวันตกของ
รอยเลือ่ น
Oral Session
54 การประชมุ วชิ าการธรณีไทย ประจาปี 2564
(Geothai Webinar 2021) วันที่ 4-6 สงิ หาคม 2564
54
เครือข่ายการเตอื นภัยสึนามิจากนานาประเทศและ การสร้างความตระหนกั รูแ้ บบบรู ณาการ
เพือ่ ลดผลกระทบจากธรณีพิบัติภัยสึนามิ
วิศรุตา วีระสยั
สานักงานทรัพยากรธรณเี ขต 3 พพิ ธิ ภัณฑสถานแห่งชาติธรณวี ิทยาเฉลมิ พระเกียรติจังหวัดปทุมธานี
55 ม.5 ถ.เลียบคลองห้า ต.คลองห้า อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี 12120
E-mail: [email protected]
บทคดั ยอ่
สนึ ามิ เปน็ ธรณพี ิบตั ิภยั ที่สามารถสรา้ งผลกระทบไดเ้ ปน็ วงกว้างครอบคลมุ หลายประเทศ การเตือนภัย
ในระดับภูมิภาคเป็นความร่วมมือระหว่างนานาชาติ เพ่ือเตือนภัยให้ประชาชนในประเทศท่ีมีอาณาเขตติด
มหาสมุทรการเตือนภัยโดยใช้เทคโนโลยีต่างๆ เช่น การตรวจหาข้อมูลการเคลื่อนตัวของแผ่นดินใต้ทะเล
การเปล่ียนแปลงของระดับน้าทะเลที่ผิดปกติ ต้องมีการแลกเปล่ียนข้อมูลกันในระดับนานาชาติ การวิเคราะห์
ข้อมลู และการซักซ้อมปฏิบัติการจรงิ รวมถึงการสรา้ งเครอื ขา่ ยเพื่อสื่อสารแลกเปล่ียนข้อมูลเตือนภัยในภาวะที่
เกิดพิบัติภัย การเตือนภัยในระดับภูมิภาค จะมีประสิทธิภาพย่ิงขึ้น อย่างไรก็ตามการสร้างความตระหนักรู้ให้
ประชาชนในประเทศถงึ การรบั มือธรณพี บิ ตั ิภัยสนึ ามิ สามารถทาผา่ นการส่อื สารไดห้ ลายรปู แบบ
ภารกิจของกรมทรัพยากรธรณีในฐานะท่ีเป็นหน่วยงานวิชาการอีกทั้งมีแหล่งเรียนรู้ในรูปแบบ
พิพิธภัณฑ์จะสามารถส่งเสริมสร้างความเข้าใจ และการตระหนักรู้ถึงการเตรียมพร้อมในการป้องกันภัยพิบัติ
เพื่อลดผลกระทบจากธรณีพิบัติภัยสึนามิได้อย่างบูรณาการให้กับประชาชนในทุกระดับสามารถเข้าใจและ
นาไปประยกุ ตใ์ ชใ้ นชีวติ ให้ปลอดภัย เป็นส่ิงที่น่าศึกษาและพิจารณาโดยผ่านการสร้างการสื่อสารข้อมูลความรู้
ความเข้าใจทถ่ี ูกต้อง เพอ่ื ให้เตรียมพรอ้ มรบั มืออยา่ งไมป่ ระมาท จะชว่ ยให้ประชาชนปลอดภัย ก่อนท่ีภัยสึนามิ
จะเกดิ ขน้ึ น่ันคือ การป้องกันความเสียหายท่ีจะเกดิ ข้ึนจากสนึ ามิได้อยา่ งยงั่ ยนื
Oral Session
ธรณีวิถีใหม่ นวตั กรรมไทย เพื่อการพัฒนาที่ย่งั ยนื 55
ความหลากหลายของซากดึกดาบรรพ์แมลงในประเทศไทย
ประภาสริ ิ วาระเพียง1,2* และ อทุ มุ พร ดีศรี1,2
1ศนู ยว์ จิ ยั และการศึกษาบรรพชีวนิ วิทยา มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม ต.ขามเรยี ง อ.กันทรวิชัย จ.มหาสารคาม 44150
2คณะวิทยาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม ต.ขามเรียง อ.กันทรวชิ ยั จ.มหาสารคาม 44150
*E-mail : [email protected]
บทคดั ย่อ
แมลงจัดเป็นกลุ่มสัตว์ที่ไม่มีกระดูกสันหลังชนิดหน่ึงท่ีมีจานวนมากที่สุดในโลก อย่างไรก็ตาม แมลงก็
จัดเป็นสงิ่ มชี วี ิตที่เกิดการกลายเป็นซากดึกดาบรรพ์ได้ยาก เนื่องจากการมีร่างกายท่ีอ่อนนุ่ม และไม่มีโครงร่าง
แข็งภายในซากดึกดาบรรพแ์ มลงในประเทศไทยจัดได้ว่าเป็นซากดึกดาบรรพ์ที่หายาก และมีการศึกษาจานวน
น้อยมาก เมื่อเทียบกับซากดึกดาบรรพ์สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังชนิดอ่ืน ๆ การศึกษาซากดึกดาบรรพ์แมลงใน
ประเทศไทยในอดีต มีการค้นพบและศึกษาเพยี งสองครง้ั ไดแ้ ก่ ครงั้ แรกในปี พ.ศ. 2509 Endo และ Fujiyama
ได้รายงานซากดึกดาบรรพ์แมลงจากแอ่งแม่สอด สมัยไมโอซีน จากจังหวัดตาก สกุล Neuroctenus sp.
ซ่ึงเป็นแมลงท่ีอยู่ในวงศ์ Aradidae (แมลงแบน) และครั้งที่สองในปี พ.ศ. 2533 Heggemann และคณะ
ได้รายงานการค้นพบและศึกษาซากดึกดาบรรพ์แมลงจากยุคจูแรสซิกตอนกลาง จากหมวดหินพระวิหาร
ระหว่างจังหวัดแพร่และจังหวัดตาก โดยพบซากดึกดาบรรพ์ในอันดับ Blattodea (แมลงสาบ) และชนิด
Procercopina asiatica ในอันดับ Hemiptera ในการศึกษาครั้งน้ี เป็นการศึกษาและรายงานซากดึกดาบรรพ์
ของแมลงเพม่ิ เตมิ โดยมอี ายไุ มโอซนี ตอนกลางถงึ ตอนปลายซง่ึ พบในบรเิ วณชายแดนหมบู่ า้ นวงั แกว้ อาเภอแมส่ อด
จังหวัดตาก ผลการศึกษาเบ้ืองต้นพบอันดับดังนี้ Coleoptera (แมลงปีกแข็ง), Diptera (แมลงวัน, ยุง),
Hymenoptera (ผ้งึ , มด ,ตอ่ และแตน), Hemiptera (มวน), Orthoptera (ต๊ักแตน) และ Ephemeroptera
(แมลงชปี ะขาว) ความสาคัญของการศึกษาครั้งนี้นับเป็นการศึกษากลุ่มชีวินซากดึกดาบรรพ์ของแมลงคร้ังแรก
ในประเทศไทย ซึ่งจะทาให้ทราบถึงวิวัฒนาการของกลุ่มแมลงในประเทศไทย และสนับสนุนข้อมูลเพ่ือการ
ตคี วามสภาพแวดลอ้ มและสภาพภมู ิอากาศโบราณของพน้ื ท่ีศกึ ษาโดยอาศัยจากหลกั ฐานของกลมุ่ แมลง
คาสาคญั : Coleoptera; Diptera; Hymenoptera; Isoptera; Orthoptera
Oral Session
56 การประชมุ วิชาการธรณีไทย ประจาปี 2564
(Geothai Webinar 2021) วันที่ 4-6 สิงหาคม 2564
56
ความหลากหลายของซากดกึ ดาบรรพส์ ัตว์มกี ระดกู สันหลังยุคครเี ทเชยี สตอนตน้
จากแหล่งโคกผาส้วมจังหวดั อุบลราชธานี ประเทศไทย
ศิตะ มานิตกลุ 1,2*, อทุ มุ พร ดศี รี1,2 และ พรเพ็ญ จันทสทิ ธิ์3
1 ศนู ย์วิจัยและการศกึ ษาบรรพชีวนิ วิทยา มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม ต.ขามเรยี ง อ.กนั ทรวิชัย จ.มหาสารคาม 44150
2 คณะวิทยาศาสตร,์ มหาวิทยาลยั มหาสารคาม มหาวิทยาลยั มหาสารคาม ต.ขามเรยี ง อ.กันทรวิชยั จ.มหาสารคาม 44150
3 พิพธิ ภณั ฑส์ ริ นิ ธร ตาบลโนนบุรี อาเภอสหสั ขนั ธ์ จังหวดั กาฬสินธ์ุ 46140
*E-mail [email protected]
บทคัดย่อ
มีการค้นพบซากดึกดาบรรพ์สัตว์มีกระดูกสันหลังจานวนมากจากแหล่งโคกผาส้วม จังหวัด
อุบลราชธานี ประกอบด้วย ปลากระดูกอ่อน ปลามีก้านครีบ เต่าน้าจืด สัตว์กลุ่มจระเข้ สัตว์เล้ือยคลานบินได้
(Pterosaur) และไดโนเสาร์ แหล่งโคกผาส้วมเป็นที่รู้จักในชื่อ “บ้านหลังสุดท้ายของไดโนเสาร์ไทย” เพราะ
ช้ันหินที่ซากดึกดาบรรพ์สะสมตัวอยู่น้ันเป็นส่วนหนึ่งของหมวดหินโคกกรวด ยุคครีเทเชียสตอนต้น
(แอปเทียน-แอลเบียน) ซึ่งเป็นหมวดหินอายุอ่อนท่ีสุดของกลุ่มหินโคราชที่มีการสารวจพบซากดึกดาบรรพ์
ไดโนเสาร์ การศกึ ษาครง้ั นมี้ ุ่งเนน้ การบรรยายและเปรยี บเทียบชิ้นส่วนหลงั กะโหลกของไดโนเสาร์กินพืชสะโพก
คล้ายนก (Ornithischia) ในกลุ่มอิกัวโนดอนเทีย (Iguanodontia) จากแหล่งโคกผาส้วม ซากดึกดาบรรพ์
ของอิกวั โนดอนเทียจานวนมากถูกค้นพบในหมวดหนิ โคกกรวดของจังหวัดนครราชสีมาและได้รับการศึกษาจน
ตั้งเป็นชนิดใหม่ของโลกแล้วถึง 3 ชนิด แสดงถึงการเป็นกลุ่มไดโนเสาร์กินพืชท่ีโดดเด่นที่สุดท้ังในแง่
ความหลากหลายและจานวนในช่วงเวลาดังกล่าว นอกจากนี้คณะวิจัยยังได้เพิ่มเติมข้อมูลของกลุ่มชีวิน
ซากดึกดาบรรพ์ในพ้ืนท่ีโคกผาส้วม เปรียบเทียบกับซากดึกดาบรรพ์ในหมวดหินโคกกรวดท่ีพบจากแหล่งอ่ืน
ของประเทศไทย อันจะเป็นข้อมูลสาคัญในการทาความเข้าใจความหลากหลายทางชีวภาพของสัตว์มีกระดูก
สันหลังในหมวดหินโคกกรวดของประเทศไทย และการตีความด้านระนิเวศบรรพกาล ตลอดจนช่วยพัฒนา
องค์ความรู้ทางบรรพชีวินวิทยาเพ่ือยกระดับอุทยานธรณีผาชนั -สามพันโบกใหส้ งู ขึน้ ต่อไป
คาสาคัญ: ออร์นิทสิ เชยี ; แฮโดรซอรอยด;์ อกิ ัวโนดอนเทยี ; ครีเทเชยี สตอนต้น; แอปเทียน-แอลเบียน
Oral Session
ธรณวี ถิ ีใหม่ นวัตกรรมไทย เพ่อื การพัฒนาท่ยี ่งั ยนื 57
ธรณีแปรสัณฐานยุคใหมข่ องรอยเล่ือนพะเยาในพืนที่อาเภอวงั เหนอื จังหวดั ลาปาง
ระวี พ่มุ ซ่อนกลิ่น1*, วรี ะชาติ วเิ วกวิน1, จฑุ ามาศ จนั แปงเงนิ 1,2 และ ปยิ าภรณ์ หนิ แสง1,2
1 กองธรณวี ิทยาสิ่งแวดล้อม กรมทรัพยากรธรณี ประเทศไทย
2 กองธรณีวทิ ยา กรมทรพั ยากรธรณี ประเทศไทย
*E-mail: [email protected]
บทคดั ยอ่
รอยเลื่อนพะเยาในพื้นที่อาเภอวังเหนือ จังหวัดลาปาง มีแนวการวางตัวในทิศเหนือ-ทิศใต้ พบอยู่
บรเิ วณดา้ นทศิ ตะวนั ออกของขอบแอง่ ตะกอนวงั เหนอื มหี ลกั ฐานธรณีสณั ฐานทีบ่ ่งช้ีถงึ ความมพี ลังของรอยเล่อื น
พะเยา คือ ผารอยเล่ือน ผาสามเหลี่ยม หุบเขาเส้นตรง ธารเหลื่อม และสันก้ัน ปรากฏให้เห็นชัดเจนได้หลาย
พื้นท่ีโดยเฉพาะบริเวณขอบแอ่งด้านทิศตะวันออกของอาเภอวังเหนือตามแนวรอยเลื่อนพะเยา ธรณีสัณฐาน
เหล่าน้ีบง่ ชี้วา่ รอยเลอ่ื นพะเยามีการเล่อื นตัวแบบปกตเิ ปน็ หลักร่วมกับการเล่อื นตวั ในแนวระนาบ จากหลักฐาน
ของธรณีสัณฐานข้างต้น จึงกาหนดตาแหน่งร่องสารวจเพ่ือศึกษารอยเลื่อนที่บริเวณบ้านฮ่าง ตาบลวังแก้ว
อาเภอวังเหนอื จงั หวดั ลาปาง ผลการศึกษาพบตะกอนเชิงเขา ตะกอนน้าพา และตะกอนทางน้า ในร่องสารวจ
มีอายุการสะสมตัวตั้งแต่อายุ 61,000 ปีที่แล้วถึงปัจจุบัน จากการหาอายุด้วยวิธี Optically Stimulated
Luminescence (OSL) dating พบหลักฐานรอยเล่ือนตัดเข้ามาในช้ันตะกอนเชิงเขาและตะกอนน้าพา เมื่อ
ประมาณ 60,000 ปีท่ีแล้ว และ 9,000 ปีที่แล้ว การเล่ือนตัวของรอยเลื่อนคร้ังล่าสุดเป็นแบบรอยเลื่อนย้อน
ส่งผลให้ชนั้ ตะกอนนา้ พาเกิดการคดโค้ง ซึ่งรอยเลอื่ นยอ้ นนีเ้ ปน็ รอยเล่อื นขนาดเล็ก (minor fault) ท่ีเกิดขึ้นใน
ระบบรอยเล่ือนปกติในชว่ งธรณแี ปรสัณฐานยคุ ใหมข่ องรอยเล่อื นพะเยา อาศัยหลักฐานข้อมูลการเล่ือนตัวของ
รอยเลื่อนในร่องสารวจรอยเลื่อนพะเยาจึงจัดเป็นรอยเล่ือนมีพลัง สามารถทาให้เกิดแผ่นดินไหวได้และสร้าง
ความเสียหายให้กับสิ่งก่อสร้างในพื้นท่ีอาเภอวังเหนือ ดังจะเห็นได้จากมีรายงานเหตุการณ์แผ่นดินไหวขนาด
เล็กท่ีเกิดจากรอยเลื่อนพะเยาซึ่งเกิดขึ้นหลายคร้ังในพื้นท่ีอาเภอวังเหนือ เช่น เหตุการณ์แผ่นดินไหวขนาด
4.9 วันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2562 มีแผ่นดินไหวนาขนาด 2.0-3.3 จานวน 13 คร้ัง และมีแผ่นดินไหวตามขนาด
1.5-3.7 จานวน 52 ครง้ั และลา่ สุดเหตุการณแ์ ผน่ ดนิ ไหวขนาด 3.5 วนั ท่ี 18 มิถุนายน 2564
คาสาคัญ: รอยเลื่อนพะเยา ธรณแี ปรสณั ฐานยคุ ใหม่ รอยเล่อื นมพี ลงั อาเภอวังเหนอื จงั หวัดลาปาง
Oral Session
58 การประชมุ วิชาการธรณีไทย ประจาปี 2564
(Geothai Webinar 2021) วันที่ 4-6 สิงหาคม 2564
58
ธรณีประวตั ิของแหล่งภูนาหยดจากหลักฐานทางธรณวี ทิ ยา
ฐาสณิ ยี ์ เจรญิ ฐติ ริ ตั น1์ *, สคุ นธเ์ มธ จติ รมหนั ตกลุ 1, พิมลภทั ร์ อาจคา1, วารณุ ี มณรี ตั น1์ ,2 และ ศริ วชั ร์ อดุ มศักด1์ิ
1 ภาควชิ าธรณีวิทยา คณะวทิ ยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั กรงุ เทพ 10330
2 กรมทรพั ยากรธรณี ถนนพระราม 6 แขวงทุ่งพญาไท เขตราชเทวี กรุงเทพ 10400
*E-mail: [email protected]
บทคดั ย่อ
โครงการวิจัยหินกรวดมนในพื้นที่ภูน้าหยด จังหวัดเพชรบูรณ์ ได้รับการสนับสนุนเงินทุนวิจัยจาก
กองทนุ จัดการซากดึกดาบรรพ์ กรมทรัพยากรธรณี โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพ่ืออธิบายสภาพแวดล้อมการเกิด
และธรณีประวัติของพน้ื ที่ และเพ่อื ใช้ข้อมูลพืน้ ฐานสาหรับจัดอบรมมคั คุเทศก์ด้วยสื่อดิจิตัลในการเผยแพร่องค์
ความรูน้ ้สี ่สู าธารณะตอ่ ไป
การสารวจหนิ กรวดมนทง้ั พน้ื ทพ่ี บวา่ ขนาดของกอ้ นกรวดมคี วามหลากหลายมาก ตง้ั แตข่ นาดเม็ดกรวด
(gravel) จนถงึ ขนาดใหญม่ าก (มากกวา่ 2x3 เมตร) หนิ กรวดมนมีการคดั ขนาดทไ่ี มด่ ี ความกลมมนไมค่ ่อยดี หิน
กรวดมนสว่ นใหญเ่ ปน็ แบบชนดิ ทมี่ กี อ้ นกรวดเดน่ (grain-supported conglomerate) แตบ่ างแหง่ พบหนิ กรวดมน
ทมี่ เี นื้อพนื้ เดน่ (matrix-supported conglomerate) บรเิ วณทพ่ี บตะกอนขนาดทรายและกรวดขนาดเลก็ มักจะ
สงั เกตเหน็ โครงสรา้ งหินตะกอน เชน่ การเรียงช้ัน (bedding หรือ lamination) ชน้ั เฉยี งระดบั (cross bedding)
การคดั ขนาดแบบปกติ (normal grading) การสารวจเพอ่ื หาความสมั พนั ธข์ องหนิ กรวดมนและหนิ ปนู ในพน้ื ท่ี พบ
หลกั ฐานของระนาบเลอ่ื นยอ้ นหรอื รอยเลอ่ื นยอ้ น (reverse fault) ระหวา่ งหนิ กรวดมนและเทอื กเขาหนิ ปนู ซง่ึ จาก
หลกั ฐานในภาคสนามพบวา่ หนิ ปนู ถกู ระนาบเลอ่ื นยอ้ นพามาปดิ อยบู่ นหนิ กรวดมน นอกจากนกี้ รวดในพนื้ ทมี่ หี ลาย
ชนดิ ทาใหท้ ราบถงึ หนิ ตน้ กาเนดิ ทหี่ ลากหลายในสดั สว่ นทแ่ี ตกตา่ งกนั การศกึ ษาวเิ คราะหช์ นดิ ของหนิ ปนู และกรวด
หินปูนท่ีพบซากดึกดาบรรพ์ฟิวซูลินิด พบว่าก้อนกรวดหินปูนเกิดมาจากหินปูนที่สะสมตัวในสภาพแวดล้อมท่ี
แตกตา่ งกนั ในทะเลน้าตนื้ และแตล่ ะกอ้ นผพุ งั มาจากหนิ ปนู ตน้ กาเนดิ ทมี่ อี ายแุ ตกตา่ งกนั ตงั้ แตย่ คุ คารบ์ อนเิ ฟอรสั
จนถงึ เพอรเ์ มยี นตอนกลาง การวเิ คราะหอ์ ายธุ าตกุ มั มนั ตรงั สี U-Pb จากแรเ่ ซอรค์ อนในตะกอนเนอ้ื พนื้ จานวน 2 จดุ
ศกึ ษา พบวา่ ตวั อยา่ งท่ี 1 มอี ายขุ องแรเ่ ซอรค์ อนทน่ี อ้ ยทสี่ ดุ คอื 233 ลา้ นปี (ไทรแอสสกิ ตอนปลาย)และกลมุ่ อายทุ ่ี
นอ้ ยที่สดุ ของแร่เซอร์คอนคือ 242-245 ล้านปี และจากตัวอยา่ งที่ 2 พบวา่ อายุของแรเ่ ซอร์คอนท่ีน้อยท่ีสุดคือ
223 ลา้ นปี (ไทรแอสสกิ ตอนปลาย) และกลมุ่ อายทุ นี่ อ้ ยทสี่ ดุ ของแรเ่ ซอรค์ อนคอื 251-260 ลา้ นปี
จากหลกั ฐานทางธรณวี ทิ ยาทาใหอ้ ธบิ ายธรณปี ระวตั แิ ละธรณแี ปรสณั ฐานของแหลง่ ภนู ้าหยดวา่ อายกุ าร
สะสมตวั ของหนิ กรวดมนนา่ จะเรม่ิ จากยคุ ไทรแอสสกิ ตอนปลาย กรวดจากหนิ ตน้ กาเนดิ ทแ่ี ตกตา่ งกนั ทง้ั ชนดิ หนิ และ
อายนุ ้ี จากขอ้ มลู ตะกอนวทิ ยาพบวา่ การพดั พาของกระแสน้าเกดิ ในตะกอนทม่ี ขี นาดเลก็ เทา่ นน้ั กรวดขนาดใหญเ่ ปน็
อปุ สรรคตอ่ การพดั พาจงึ ไมพ่ บโครงสรา้ งทางตะกอน การเคลอ่ื นทข่ี องกรวดขนาดใหญจ่ งึ สณั นษิ ฐานวา่ เกดิ จากแรง
โนม้ ถว่ งหรอื การถลม่ ตามแนวลาดเอยี ง ภายหลงั จากการยกตวั ของแผน่ ดนิ ซง่ึ ปรากฏการณน์ อี้ าจมคี วามสมั พนั ธก์ บั
การเกิดภูเขา (Orogeny) นอกจากนี้อายุจากธาตุกัมมันตรังสีเช่ือมโยงได้กับเวลาการเกิดภูเขาอินโดไซเนียน 1
(Indosinian orogeny I) ซง่ึ เปน็ สาเหตทุ าใหเ้ กดิ รอยชนั้ ไมต่ อ่ เนอื่ งในชว่ งอายเุ พอรเ์ มยี นตอนปลายถงึ ไทรแอสสกิ โดย
มหี นิ กรวดมนทกี่ ระจายเปน็ บรเิ วณกวา้ งในแหลง่ ธรณวี ทิ ยาภนู ้าหยดและบรเิ วณใกลเ้ คยี ง เปน็ หลกั ฐานและลกั ษณะ
ปรากฏทางธรณวี ทิ ยาทพี่ บบนพน้ื ผวิ โลก
คาสาคญั : ธรณปี ระวตั ิ ภนู า้ หยด หนิ กรวดมน เพชรบรู ณ์
Oral Session
ธรณีวถิ ีใหม่ นวตั กรรมไทย เพ่ือการพฒั นาท่ยี งั่ ยืน 59
ธรณีวิทยาและลาดับชันหนิ บริเวณโครงการอนุรกั ษ์พนั ธกุ รรมพชื อนั เน่ืองมาจากพระราชดาริ
สมเดจ็ พระเทพรตั นราชสดุ าฯ สยามบรมราชกมุ ารี พนื ทโี่ คกภตู ากา อาเภอเวยี งเกา่ จงั หวดั ขอนแกน่
ประดษิ ฐ์ นูเล1* และ สุภาพร ศรรี าชา2
1 สานกั งานทรัพยากรธรณี เขต 2 กรมทรัพยากรธรณี
2 สาขาวิชาเทคโนโลยธี รณี สานักวชิ าวศิ วกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลยั เทคโนโลยสี รุ นารี
*E-mail: [email protected]
บทคดั ย่อ
โครงการอนรุ กั ษพ์ นั ธุกรรมพืชอนั เน่ืองมาจากพระราชดาริสมเดจ็ พระเทพรัตนราชสดุ าฯ สยามบรมราช
กมุ ารี พน้ื ทโ่ี คกภตู ากาเปน็ แหล่งอนุรกั ษ์พนั ธุกรรมพชื ทส่ี าคญั ของจังหวดั ขอนแก่น นอกจากนี้ยงั เปน็ แหลง่ มรดก
ทางธรณี ของอทุ ยานธรณขี อนแกน่ ซง่ึ มคี ณุ คา่ ตอ่ การศกึ ษาและอนรุ กั ษท์ รพั ยากรธรรมชาตใิ นทอ้ งถนิ่ แตท่ งั้ นี้
ยังขาดข้อมูลทางธรณีวิทยาบริเวณพื้นท่ีโครงการฯ การศึกษาครั้งนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพ่ือศึกษาธรณีวิทยาโดย
ละเอียด จัดทาข้อมูลทางด้านธรณีวิทยาและลาดับช้ันหิน อธิบายสภาพแวดล้อมโบราณของการสะสมตัวของ
ตะกอนบรเิ วณโครงการอนุรกั ษพ์ นั ธกุ รรมพชื โคกภตู ากา ผลการศกึ ษาพบวา่ ชน้ั หนิ บรเิ วณพน้ื ทศ่ี กึ ษามคี วามหนา
ประมาณ 45 เมตรและสามารถจาแนกหนว่ ยหนิ บรเิ วณโคกภตู ากา ไดเ้ ปน็ 6 หนว่ ยหนิ ยอ่ ย เรยี งลาดบั จากลา่ งขน้ึ
บนไดด้ งั นี้ หนว่ ยหนิ ท่ี I เป็นหนิ ทราย มคี วามหนา 6.4 เมตร เนอ้ื หินมลี กั ษณะสขี าวอมเหลอื งถงึ สเี ทา มีขนาด
เมด็ หยาบ การคดั ขนาดดี พบโครงสรา้ งชนั้ เฉยี งระดบั ทช่ี ดั เจน แตล่ ะ set มคี วามหนา 30 เซนตเิ มตร หนว่ ยหนิ ท่ี
II เปน็ หนิ ทรายปนกรวด ชน้ั หนิ มคี วามหนาประมาณ 5.5 เมตร หนิ ทรายมลี กั ษณะสขี าวอมเหลอื ง ถงึ สเี ทา ขนาด
เมด็ หยาบ การคดั ขนาดไม่ดี ส่วนเมด็ กรวดมคี วามกลมมนคอ่ นขา้ งสงู สว่ นใหญเ่ ปน็ กอ้ น quartz และหนิ ภเู ขาไฟ
ขนาด 0.2 - 5 เซนตเิ มตร พบโครงสรา้ งชั้นเฉียงระดับได้โดยท่วั ไป หนว่ ยหนิ ท่ี III เป็นช้ันหินทราย มคี วามหนา
5-10 เมตร เนอ้ื หนิ สนี ้าตาลแดง ขนาดเมด็ ละเอยี ด มกี ารคดั ขนาดทด่ี ี พบลกั ษณะโครงสรา้ งตะกอนแบบ parallel
lamination หน่วยหินท่ี IV เปน็ ช้ันหินทราย มีความหนา 10 เมตร ลักษณะเน้ือหินสีขาว สีเทา ขนาดเม็ดปาน
กลางถึงหยาบ มกี ารคัดขนาดปานกลาง พบโครงสร้างชนั้ เฉยี งระดบั ท่ีชดั เจน หน่วยหนิ ที่ V เป็นช้นั หนิ ทรายมี
ความหนา 10 เมตร สขี าวอมเหลอื ง มีขนาดเม็ดละเอียด มกี ารคัดขนาดท่ีดี พบลกั ษณะโครงสรา้ งชนั้ เฉยี งระดบั
หนว่ ยหนิ ท่ี VI เปน็ ช้ันหนิ ทรายปนกรวดและหนิ กรวดมน มคี วามหนาประมาณ 10 - 20 เมตร หนิ ทรายสนี ้าตาล
แดง เมด็ หยาบ การคดั ขนาดไมด่ ี พบเมด็ กรวด ขนาด 1- 2 เซนตเิ มตร ปนในเนอ้ื หนิ ทราย เมด็ กรวดมคี วามกลม
มนคอ่ นขา้ งสงู สว่ นใหญเ่ ปน็ กอ้ น quartz และหนิ ภเู ขาไฟ พบลกั ษณะโครงสรา้ งทางตะตอนแบบเมด็ ละเอยี ดเรยี ง
ขน้ึ ขา้ งบน และพบลกั ษณะโครงสรา้ งชนั้ เฉยี งระดบั ไดโ้ ดยทวั่ ไปในชนั้ หนิ ทรายและหนิ กรวดมน ชนั้ หนิ ทงั้ 5 หนว่ ย
หินวางตวั กนั อย่างต่อเนื่องในทศิ ตะวันออกเฉียงเหนือ-ตะวันตกเฉยี งใต้ ดว้ ยมมุ เอียงเท 20-30 องศา ไปทางทิศ
ตะวนั ตกเฉยี งเหนอื รองรบั หมวดหนิ โคกกรวดทวี่ างตวั อยดู่ า้ นบน ซงึ่ จากลกั ษณะปรากฎดงั กล่าวรว่ มกบั ลักษณะ
ลาดับช้ันหนิ สรุปได้ว่าช้ันหินบริเวณโครงการอนุรักษพ์ ันธกุ รรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดาริสมเดจ็ พระเทพ
รตั นราชสดุ าฯ สยามบรมราชกมุ ารี พน้ื ทโี่ คกภตู ากาเปน็ ชนั้ หนิ ของหมวดหนิ ภพู าน ซง่ึ เกดิ จากการพดั พาสะสมตวั
ของทางน้าท่ีมีพลังงานในการพัดพาค่อนข้างสงู โดยกระแสน้าโบราณไหลจากทิศตะวนั ออกเฉยี งเหนือไปยงั ทิศ
ตะวนั ตกเฉยี งใต้
คาสาคญั : ลาดับชัน้ หิน, หมวดหนิ ภูพาน, โคกภตู ากา, อุทยานธรณขี อนแก่น
Oral Session
60 การประชมุ วชิ าการธรณไี ทย ประจาปี 2564
(Geothai Webinar 2021) วันท่ี 4-6 สิงหาคม 2564
60
ธรณวี ิทยากับทุเรยี นหลง-หลินลับแล อาเภอลบั แล จงั หวดั อตุ รดิตถ์
ฉัตรพร ฉัตรทอง และ ฐาสณิ ยี ์ เจรญิ ฐิติรัตน์*
ภาควชิ าธรณีวทิ ยา คณะวทิ ยาศาสตร์ จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลยั กรงุ เทพ 10330
*E-mail: [email protected]
บทคดั ย่อ
ทุเรียนพันธุ์หลงลับแลและหลินลับแล เป็นพันธ์ุทุเรียนที่มีชื่อเสียงเกิดเฉพาะถิ่น และได้รับการขึ้น
ทะเบียนจาก กรมทรัพย์สินทางปัญญาให้เป็นส่ิงบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ของจังหวัดอุตรดิตถ์ ทุเรียนทั้งสองพันธ์ุนี้
ปลกู บรเิ วณอาเภอลับแล อาเภอเมอื งและอาเภอทา่ ปลา จังหวัดอุตรดิตถ์ ผลมีขนาดเล็กกว่าทุเรียนท่ัวไปโดยท่ี
พันธุ์หลงลับแล (1-2 กิโลกรัม) และ พันธุ์หลินลับแล (2-3 กิโลกรัม) เนื้อนุ่มเนียน เมล็ดลีบ กลิ่นละมุนและมี
รสไม่หวานจัด ด้วยเหตุผลที่ทุเรียนสองพันธุ์นี้ เป็นทุเรียนประจาถ่ิน มีรสชาติอร่อยแตกต่างกว่าทุเรียนพันธ์ุ
อ่ืนๆ การเก็บเกี่ยวจาเป็นต้องอาศัยความชานาญ และปริมาณผลผลิตทุเรียนในแต่ละปีมีน้อยกว่าความ
ต้องการในตลาด จึงทาให้ทุเรียนหลงลับแลและหลินลับแลมีราคาสูงเม่ือเปรียบเทียบกับทุเรียนที่มีขายท่ัวไป
งานวิจัยนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพ่ือหาอัตตลักษณ์ทางธรณีวิทยา และลักษณะเด่นทางภูมิศาสตร์ของพื้นท่ี ท่ีใช้
ปลกู ทุเรียนทั้งสองพนั ธ์นุ ี้ โดยต้ังอยบู่ นสมมุติฐานทว่ี า่ ทุเรยี นสองพันธน์ุ ้ปี ลกู ในพนื้ ท่ปี า่ เกษตรบนภูเขาท่ีมีความ
ชันโดยธรรมชาติ ดงั นั้นปริมาณแร่ธาตใุ นดินจงึ เกิดจากการผุพังจากหินต้นกาเนิดเป็นหลัก การศึกษาชนิดและ
วิเคราะห์องคป์ ระกอบทางเคมขี องดินและหนิ ต้นกาเนิดจึงมีความสมั พนั ธโ์ ดยตรงต่อปริมาณแร่ธาตุท่ีจาเป็นต่อ
ทุเรียน ซึ่งการวิเคราะห์นี้จะทาร่วมกับการวัดปริมาณความช้ืน ปริมาณฝน และแสงแดด ประกอบกับการ
สัมภาษณ์เกษตรกรที่มีความรู้ความชานาญในการปลูกทุเรียนในพื้นที่ศึกษา อน่ึง การประยุกต์ใช้ความรู้ทาง
ธรณีวิทยากับการปลูกทุเรียนสองสายพันธุ์ในพื้นที่นี้ จะช่วยให้เกษตรกรสามารถขยายหรือเลือกพ้ืนที่
เพาะปลูกได้อยา่ งเหมาะสม เพ่ือเพม่ิ ปรมิ าณการผลติ ต่อไปในอนาคต
จากการเก็บขอ้ มลู ธรณีวิทยา 26 จุดตัวอย่างในพื้นท่ี ร่วมกับผลการวิเคราะห์ทางเคมีของตัวอย่างดิน
และหิน และการรวบรวมข้อมูลโดยทั่วไป เพื่อหาลักษณะเด่นของทุเรียนพันธ์ุหลงและหลินลับแล สรุปได้ว่า
ทุเรียนพันธุ์หลงและหลินลับแลขยายพันธุ์โดยใช้วิธีเสียบยอดเข้ากับต้นทุเรียนป่าพันธุ์พ้ืนเมือง เนื่องจาก
ทุเรียนป่าพันธุ์พ้ืนเมืองมีรากที่แข็งแรงเหมาะสมต่อการเป็นต้นตอสาหรับดูดน้าและอาหารไปเล้ียงต้นได้
มีความคงทนต่อสภาพอากาศร้อนช้ืนและทนต่อโรคพืช เช่น โรครากเน่า โคนเน่า และเชื้อรา การศึกษาธรณี
สัณฐานวิทยาพบว่าพ้ืนท่ีปลูกทุเรียนหลง-หลินลับแลอยู่บนเขาสูงท่ีมีความชันมากกว่า 30 องศาและความสูง
มากกวา่ 200 เมตรจากระดบั น้าทะเล ปริมาณน้าฝนในพ้ืนท่ีศึกษามีค่าเฉลี่ยอยู่ในช่วงประมาณ 1,200-1,400
มิลลิเมตรต่อปี อุณหภูมิเฉล่ียของจังหวัดอุตรดิตถ์อยู่ที่ 27.7 องศาเซลเซียส ปริมาณความช้ืนสัมพัทธ์ร้อยละ
68-75 ชนิดหินในพ้ืนที่ปลูกทุเรียนหลง-หลินลับแล ประกอบด้วยหินโคลน (mudstone) หินดินดาน (shale)
หินทรายประเภท ลิทอะรีไนต์ (litharenite) และหินแปรประเภทหินฟิลไลต์ (phyllite) จากการวิเคราะห์
องค์ประกอบทางเคมีของดินและหินตัวอย่างพบธาตุองค์ประกอบหลักและรองซ่ึงเป็นธาตุอาหารจาเป็นที่
ทุเรียนต้องการในปริมาณดังน้ี แร่ประกอบออกไซด์หลัก ได้แก่ P2O5 ร้อยละ 0.03–0.18, K2O ร้อยละ
1.0–3.62, CaO ร้อยละ 0.03–0.49 และ MgO ร้อยละ 0.24–4.17 ธาตุรองได้แก่ Fe ร้อยละ 4.51-10.69,
Mn1-12 ,400 ppm, Cu 25.8-78.5 ppm และ Zn 19.6- 457.1 ppm
คาสาคญั : ธรณวี ทิ ยา ทเุ รียน หลงลบั แล หลินลับแล อตุ รดิตถ์
Oral Session
ธรณีวถิ ีใหม่ นวตั กรรมไทย เพือ่ การพฒั นาที่ยั่งยนื 61
ธรณวี ทิ ยาควอเทอรน์ ารี และตะกอนวทิ ยาพนื ทพ่ี บซากวาฬโบราณ ตาบลอาแพง อาเภอบา้ นแพว้
จังหวัดสมทุ รสาคร
วริศ นวมนิ่ม1*, ภเู บศร์ สาขา1 และ นริ นั ดร์ ชัยมณี2
1 กองค้มุ ครองซากดึกดาบรรพ์ กรมทรพั ยากรธรณี 75/10 ถ.พระราม 6 ราชเทวี กรงุ เทพมหานคร 10400
2 กรมทรพั ยากรทางทะเลและชายฝงั่ 120 ชัน้ ที่ 5-9 อาคารรัฐประศาสนภักดี ศนู ยร์ าชการฯ หลกั สี่ กรงุ เทพมหานคร 10210
*E-mail : [email protected]
บทคดั ย่อ
การค้นพบซากวาฬในบริเวณตาบลอาแพง อาเภอบ้านแพ้ว จังหวัดสมุทรสาคร (รูปที่ 1) ซึ่งห่างจาก
ชายฝั่งทะเลปัจจุบันเข้าไปทางแผ่นดินประมาณ 15 กิโลเมตรน้ัน เป็นการค้นพบหลักฐานทางธรณีวิทยาท่ีมี
ความสาคัญต่อการศึกษาการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมและสภาพภูมิอากาศโบราณของพ้ืนที่ที่ราบลุ่ม
เจ้าพระยาตอนล่างและบริเวณชายฝั่งอ่าวไทยตอนบน โครงการวิจัยน้ีมีวัตถุประสงค์เพ่ือ 1) ตรวจสอบข้อมูล
ธรณีวทิ ยาและตะกอนควอเทอรน์ ารใี นพืน้ ท่ี 2) วิเคราะห์สภาพการสะสมตัว และ 3) อธิบายการเปล่ียนแปลง
สภาพแวดล้อมทางธรณีวิทยา ดังน้ันในการศึกษาน้ีได้ทาการเจาะสารวจระดับต้ืน 16 หลุม จากผิวดินจนถึง
ระดับความลึก 13 ถึง 14 เมตร ผลการศึกษาทาให้จัดกลุ่มตะกอนเป็น 3 หมวด (รูปท่ี 2) ได้แก่ (1) หมวด
ตะกอนเขตน้าขึ้นลงโบราณ (old intertidal flat formation) ท่ีความลึก 30 เซนติเมตร จากระดับทะเลปาน
กลาง หนา 1.70 ถึง 2.75 เมตร (2) หมวดตะกอนทะเลน้าต้ืน (shallow marine formation) ที่ความลึก
2.0 - 2.5 เมตรจากระดับทะเลปานกลาง และหนาเฉลี่ย 10 เมตร และ (3) หมวดตะกอนดินเหนียวไพรสโตซีน
(Pleistocene stiff clay formation) พบที่ความลกึ 12-13 เมตรจากระดบั ทะเลปานกลาง ซึง่ มีชัน้ ดินบรรพกาล
(paleosol) หรือชั้นพีท (basal peat layer) สะสมตัวไม่ต่อเน่ืองคล้ายเลนส์ระหว่างชั้นตะกอนดินเคลย์เนื้อ
แน่นและชั้นตะกอนดินเคลย์สมุทร ซึ่งแสดงรอยช้ันไม่ต่อเนื่อง (unconformity) ท่ีมีการเปล่ียนระหว่างสอง
ชั้นนี้แบบฉับพลัน เป็นตัวบ่งชี้ว่าตะกอนสองหมวดน้ีมีระยะเวลาการสะสมตัวที่ห่างกัน โดยพบท่ีความลึก
ประมาณ 12-13 เมตร จากระดับทะเลปานกลาง ซ่ึสอดคล้องกับความหนาของตะกอนดินเคลย์สมุทร โดย
ความหนามากข้ึนไปทางด้านทิศตะวันออกหรือทิศของแนวชายฝ่ังปัจจุบันและเป็นหมวดตะกอนที่ซากวาฬ
สะสมตัวอยู่ท่คี วามลึก 6.3 เมตรจากระดับนทะเลปานกลางเนื่องจากพบซากเศษเปลือกหอยกระจายตัวอยู่ทั้ง
หมวดตะกอน บ่งบอกว่าวาฬสะสมตัวอยู่ในทะเลน้าต้ืน ซึ่งจากลักษณะเส้นชั้นความสูงของการสะสมตัว
ตะกอนหมวดดนิ เคลยเ์ นอ้ื แนน่ ทรี่ องรบั ขา้ งใตต้ ะกอนดนิ เคลย์สมุทรนัน้ สงั เกตได้วา่ บรเิ วณแนวท่ซี ากวาฬอาแพง
สะสมตัวอยู่มีลักษณะเป็นร่อง จึงอนุมานได้ว่าวาฬอาจเข้ามาในเขตน้าต้ืนผ่านร่องน้าหรือชะวากทะเล
(estuary) กอ่ นท่ีจะตายและสะสมตวั ในบรเิ วณดังกล่าว
ผลจากการศึกษาวิทยาตะกอนในยุคควอเทอร์นารีของพ้ืนท่ีน้ีทาให้มีหลักฐานทางธรณีวิทยาเพ่ิมมาก
ขึ้น และสามารถเช่ือมโยงสภาพแวดล้อมในอดีตของบริเวณซากวาฬกับการเปล่ียนแปลงสภาพแวดล้อมต้ังแต่
อดีตจนถึงปัจจุบันในพื้นท่ีท่ีราบลุ่มเจ้าพระยาตอนล่างได้ การเทียบเคียงข้อมูลหลุมเจาะจากงานวิจัยที่
เก่ียวข้องพบวา่ ตะกอนดินเคลยส์ มทุ รเอียงเทและหนาขนึ้ เมือ่ ใกลช้ ายฝั่งปัจจุบัน (รูปท่ี 3) สามารถนาผลข้อมูล
การเปลย่ี นแปลงสภาพแวดลอ้ มและสภาพอากาศในอดีตมาเช่ือมโยงกับปัจจุบัน เพ่ือช่วยสร้างความเข้าใจการ
เปลี่ยนแปลงดังกล่าวและช่วยในการเตรียมความพรอ้ มล่วงหนา้ เพือ่ รบั มือผลกระทบจากความเสียหายของการ
Oral Session
62 การประชุมวชิ าการธรณีไทย ประจาปี 2564
(Geothai Webinar 2021) วันที่ 4-6 สิงหาคม 2564
62
เปลย่ี นแปลงในอนาคต จึงควรนาขอ้ มูลการสารวจเทียบสมั พนั ธก์ ับข้อมูลธรณีฟิสิกส์ เพื่อให้ได้ข้อมูลท่ีสมบูรณ์
มากยง่ิ ขนึ้ ในอนาคต
คาสาคญั : ธรณวี ิทยา ตะกอนวทิ ยา ซากวาฬ อาแพง บ้านแพ้ว
เอกสารอา้ งองิ
ภาสกร ปนานนท์ และคณะ, 2560, การเปลย่ี นแปลงสภาพชายฝง่ั ทะเลโบราณในรอบ 2,000 ปี บรเิ วณพนื้ ที่
ราบลมุ่ ภาคกลางตอนลา่ งของประเทศไทยทมี่ ผี ลต่อการตงั้ ถ่นิ ฐาน และพฒั นาการทางสงั คมของมนุษย์
ตง้ั แตพ่ ทุ ธศตวรรษท่ี 6 จนถงึ ปจั จบุ นั
Di Geronimo, I., Sanfilippo, R., Chaimanee, N., 2002. The Quaternary Fauna from Ban Pak Bo
(Western Thailand). In: Mantajit, N. (Ed.), Proceedings of the Symposium on Geology
of Thailand. DMR, Bangkok, pp. 342–349
Sinsakul, S., 1992. Evidence of sea level change in the coastal areas of Thailand; a Review.
Journal of Asian Earth Sciences7, 23-27.
Sinsakul, S., 2000. Late Quaternary Geology of the Lower Central Plain, Thailand. Journal of
Asian Earth Sciences 18, 415-426.
S. Tanabe, Yoshiki Saito, Yoshio Sato, Yuichiro Suzuki, S. Sinsakul, Suwat Tiyapairach, N.
Chaimanee., 2003.Stratigraphy and Holocene Evolution of the mud-dominated chao
Phraya Delta, Thailand. Quaternary Science Reviews 22, 789-807.
Oral Session
ธรณีวถิ ีใหม่ นวัตกรรมไทย เพอ่ื การพฒั นาที่ยั่งยนื 63
รปู ท่ี 1 แผนทธี่ รณวี ทิ ยาควอเทอรน์ ารขี องลมุ่ น้าเจา้ พระยาตอนลา่ งแสดงตาแหนง่ ซากวาฬอาแพง ขอบเขตชายฝงั่
ทะเลโบราณเมอื่ สามพนั ปที แี่ ลว้ (Tanabe, 2003) และเขตรอยเลอ่ื น (เสน้ ประสแี ดง) ใหส้ งั เกตจุดพบวาฬ
อยู่ในเขตรอยเล่ือนเจดยี ส์ ามองค์
Oral Session
64 การประชุมวชิ าการธรณไี ทย ประจาปี 2564
(Geothai Webinar 2021) วนั ท่ี 4-6 สิงหาคม 2564
64
รูปที่ 2 ลาดับชั้นตะกอนควอเทอรน์ ารเี สดงตาแหนง่ พบซากวาฬกาแพง กระเบน และฉลามในชั้นตะกอนทะเล
นา้ ต้ืน
รปู ท่ี 3 ภาพตดั ขวางธรณีวทิ ยาแสดงลาดับชั้นตะกอนควอเทอร์นารแี ละตาแหน่งทพ่ี บวาฬอาแพง
Oral Session
ธรณีวถิ ใี หม่ นวัตกรรมไทย เพื่อการพฒั นาท่ียง่ั ยืน 65
แนวทางการแกป้ ัญหาหนิ ร่วงดว้ ยแบบจาลองโปรแกรมทางวศิ วกรรมความลาดเอยี งมวลหนิ
ศวิ โรฒม์ ศริ ิลกั ษณ์
วิศวกรรมเหมอื งแร่, คณะวิศวกรรมศาสตร,์ มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลล้านนา
E-mail: [email protected] หรอื [email protected]
บทคัดย่อ
หินร่วงหล่น (rock falls) ที่เคยเกิดขึ้นแล้ว 5 กรณีของประเทศไทย ได้ถูกทาการเก็บข้อมูลของชั้น
ความสูงท่ีสถานที่เกิด เพ่ือนามาสร้างแบบจาลองด้วยโปรแกรม ROCK fall โดยผลการจาลองจะถูกนามา
คานวณย้อนกลับ (back calculation) เพื่อให้ผลนั้นมีความใกล้เคียงกับทั้ง 5 เหตุการณ์ เพื่อทราบถึงตัว
แปรของสมการทางธรณีวิทยาของแบบจาลอง จากน้ันจะทาการศึกษาปัจจัยเหล่าน้ันเพ่ือเพิ่มค่าความ
ปลอดภัยของตัวแปรทางสภาพธรณีวิทยาตามกระบวนการทางวิศวกรรมความลาดเอียงมวลหิน
(rock slope engineering) เมื่อได้วิธีท่ีเหมาะสมแล้ว จะทาการปรับปรุงเสถียรภาพความลาดเอียง
ณ บริเวณ ซึ่งจะทาให้ปัจจัยของแบบจาลองในโปรแกรมเปลี่ยนไป จากน้ันจะทาการดาเนินการทดสอบ
แบบจาลองด้วยปัจจัยท่ีมีความเส่ียงอีกสถานท่ีละ 1,000 กรณี ซึ่งรูปแบบท่ีใช้ในการปรับปรุงเสถียรภาพ
ความลาดเอียงที่ใช้มี 3 รูปแบบ คอื การเสริมความแขง็ แรงของหิน (rock reinforcement) การร้ือถอนหิน
ท่ีมีความเส่ียง (rock removal) และ การสร้างโครงสร้างป้องกันหินร่วงหล่น (rock fall protection
structure) ผลการทดลองพบว่า หลังการปรับปรุงเสถียรภาพความลาดเอียงแล้วจะไม่เกิดการอุบัติของ
เหตุการณห์ นิ ร่วงหลน่ ท้ัง 5 สถานท่ีอีกต่อไป
คาสาคญั : เสถยี รภาพความลาดเอยี ง; ธรณพี ิบัติ; หินร่วง; การพงั ทลายของหน้าผา
Oral Session
66 การประชมุ วิชาการธรณไี ทย ประจาปี 2564
(Geothai Webinar 2021) วันท่ี 4-6 สงิ หาคม 2564
66
แนวทางการจดั กจิ กรรมส่งเสรมิ การเรียนรู้นอกห้องเรยี น
กรณีศกึ ษาพิพิธภัณฑ์วทิ ยาศาสตรแ์ หง่ ชาติ
Guideline of outdoor learning activities in National Science Museum
สุชาดา คาหา*, อรทยั สุราฤทธิ,์ สิรีพชั ร โกยโภไคยสวรรค์ และ ปพิชญา เตยี วกลุ
สานักวิชาการธรรมชาตวิ ิทยา องคก์ ารพิพธิ ภณั ฑ์วิทยาศาสตรแ์ ห่งชาติ (อพวช.)
*E-mail: [email protected]
บทคัดยอ่
ปัจจบุ นั พิพธิ ภณั ฑส์ มยั ใหม่ มบี ทบาทหน้าทีท่ ่ีเปล่ียนแปลงไป และมีอิทธิพลต่อสังคมมากข้ึน ความท้า
ทายของคนทางานพิพิธภัณฑ์ จะต้องสื่อสารและถ่ายทอดข้อความจากพิพิธภัณฑ์สู่สังคมในบทบาทท่ีแตกต่าง
จากเดิม เน้นการส่งเสริม สนับสนุน เชื่อมโยงกับการเปล่ียนแปลงของสังคมอย่างทันเหตุการณ์ สร้างการรับรู้
และความตระหนักรู้คุณค่าในบางสิ่ง สร้างบทสนทนาและสื่อสารกับคนท่ัวไป สร้างโอกาสและสนับสนุนให้ผู้
เขา้ ชมสารวจตรวจสอบและสัมผัสกบั ส่ิงท่ตี ้องการส่ือสารอยา่ งลกึ ซึ้งและเห็นคุณคา่
งานวิจัยนมี้ วี ตั ถุประสงค์เพ่อื ศึกษาการออกแบบกจิ กรรมการเรียนรู้ ภายใต้ทฤษฎีการสร้างองค์ความรู้
ด้วยตนเอง (Constructivism) ทฤษฎีการสร้างองค์ความรู้เชิงสังคม (Social Constructivism) และแนวคิด
การเรียนรู้ด้วยการปฏิบัติ (Learning by Doing) กรณีศึกษา โปรแกรมการเรียนรู้และกิจกรรมท่ีเน้นการให้
ความรู้ด้านบรรพชีวินวิทยา ธรณีวิทยา โดยจัดข้ึนในพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติวิทยา และพิพิธภัณฑ์พระรามเก้า
องคก์ ารพพิ ิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ ผ่านกระบวนการสังเกตแบบมีส่วนร่วม (Participant observation)
และสงั เกตแบบไม่มสี ว่ นร่วม (Non-observation)
ผลการศึกษาพบว่า ผู้เข้าร่วมกิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้ในพิพิธภัณฑ์ผ่านกิจกรรม Research show
by naturalist และกิจกรรม คุย คิด (ด้วย) กัน Talk Thought Together มีความพึงพอใจเนื้อหาและรูปแบบ
กิจกรรมในระดับมาก กิจกรรมดังกล่าวยังกระตุ้นความสนใจให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมอยากจะเข้าร่วมกิจกรรม
สง่ เสรมิ การเรยี นรรู้ ปู แบบอน่ื ของพพิ ธิ ภณั ฑอ์ กี ดว้ ย จากการสังเกตและประเมนิ ผู้เขา้ ร่วมกจิ กรรมพบว่ากิจกรรม
ดงั กล่าว เป็นกิจกรรมที่ส่งเสริมทักษะกระบวนการเรียนรู้ทางวิทยาศาสตร์ สามารถสร้างแรงบันดาลใจในการ
เรียนรู้แบบก้าวหน้า สร้างแบบจาลองและความท้าทายในการเรียนรู้ สร้างแรงบันดาลใจ ความคิดสร้างสรรค์
กระตนุ้ จดุ พลงั แหง่ ความอยากรู้ในการเรยี นรสู้ ง่ิ ใหม่ ๆ และสรา้ งความเพลดิ เพลนิ ให้กบั ผเู้ ขา้ รว่ มกจิ กรรม
จากผลการศึกษาน้ีทาให้เสนอแนะได้ว่า พิพิธภัณฑ์ควรมีกิจกรรมเชิงโต้ตอบท่ีส่งเสริม discovery
learning process ผ่านกิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้ในพิพิธภัณฑ์ ซ่ึงจะสร้างภาพลักษณ์ใหม่ให้กับพิพิธภัณฑ์
ทาให้พิพิธภัณฑ์กลายเป็นแหล่งเรียนรู้ท่ีน่าร่ืนรมย์ โดยเฉพาะเด็กและเยาวชน นอกจากนี้พิพิธภัณฑ์ควรมี
ภัณฑารักษ์ นักวิชาการ นักพิพิธภัณฑ์ นักการศึกษา ร่วมพัฒนารูปแบบการเรียนรู้ในพิพิธภัณฑ์ โดยนาเสนอ
ความคิดและหัวข้อเก่ียวกับปรากฏการณ์ทางวิทยาศาสตร์ ธรรมชาติวิทยา ธรณีวิทยา งานวิจัย ให้น่าสนใจ
อย่างต่อเน่ืองและสม่าเสมอ เพื่อให้การเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เป็นไปอย่างสนุกสนานยิ่งข้ึน สร้างปฏิสัมพันธ์
ระหว่างนิทรรศการและผู้เข้าชม ซ่ึงเป็นประสบการณ์การเรียนรู้นอกเหนือจากสาระองค์วามรู้ท่ีนาเสนอผ่าน
นทิ รรศการ
คาสาคัญ: การจัดการองค์ความรู้ พิพิธภัณฑ์ พิพิธภัณฑ์รูปแบบใหม่ พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ การเรียนรู้
นอกหอ้ งเรยี น
Oral Session
ธรณีวิถีใหม่ นวัตกรรมไทย เพือ่ การพัฒนาที่ย่ังยืน 67
แนวทางการบริหารจัดการพนื ทปี่ นเปอ้ื นสารหนูตามธรรมชาติ อาเภอบ้านไร่ จังหวัดอทุ ัยธานี
และการพฒั นาระบบธรณีวทิ ยาอจั ฉริยะ (Smart Geology) เพ่อื คุณภาพชีวิตท่ดี ขี อง
ประชาชนอย่างยั่งยืน
อัปสร สอาดสุด
กองวิเคราะห์และตรวจสอบทรัพยากรธรณี กรมทรพั ยากรธรณี
E-mail: [email protected]
บทคดั ยอ่
กรมทรัพยากรธรณี ไดก้ าหนดแผนการปฏบิ ตั ิการโดยประมวลแนวทางและนโยบายของประเทศ ตาม
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 ในหมวดท่ี 5 และ 16 ซึ่งกาหนดให้หน้าท่ีของรัฐ มีการบริหาร
จัดการให้มีการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติสิ่งแวดล้อมอย่างสมดุลและยั่งยืน ประชาชนมีความสุข
มีสุขภาพชีวิตที่ดี มีการนาเทคโนโลยีท่ีเหมาะสมมาประยุกต์ใช้ในการบริหารราชการแผ่นดิน และให้มีการบูร
ณาการฐานข้อมูลของหน่วยงานรัฐ และได้ถูกถ่ายทอดเป็นแผนประเทศระดับท่ี 1 ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี
แผนระดับประเทศระดับท่ี 2 แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 12 จนถึงแผนระดับท่ี 3
แผนปฏิบัติการระดับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อม และแผนปฏิบัติการกรมทรัพยากรธรณี
ปี 2563-2565 โดยสรุปรวมแผนระดับต่างๆมีวัตถุประสงค์และเป้าหมายสอดคล้องกับรัฐธรรมนูญในการใช้
ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อมอย่างสมดุลม่ังค่ังและย่ังยืน เพื่อคุณภาพชีวิตท่ีดีของ
ประชาชน ดังกล่าว และจากภารกิจหลักด้านการวิเคราะห์ทรัพยากรธรณีของกรมทรัพยากรธรณี ในปีงบประ
มาน พ.ศ. ๒๕๖๑ จนถึงปัจจบุ ัน ในกรณีการขอความอนุเคราะห์จากกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุขให้
ดาเนินการวิเคราะห์การปนเปื้อนของน้าจากปัญหาท่ีประชาชนมีค่าการปนเปื้อนสารหนูในปัสสาวะสูงเป็น
ระยะเวลานานโดยไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริง ในพ้ืนที่ท่ีมีประเด็นปัญหาการปนเปื้อนของสารพิษ อาเภอบ้านไร่
จังหวัดอุทัยธานี โดยกรมทรัพยากรธรณีดาเนินการวิเคราะห์การปนเป้ือนสารพิษในน้าร่วมกับการที่กรม
ควบคุมโรค ดาเนินการตรวจค่าสารหนูในปัสสาวะให้กับประชาชนในพื้นท่ีเป็นตั้งแต่ปี พ.ศ. 2552 เป็นเวลา
กว่าสิบปี จึงได้มีการริเริ่มนาภารกิจดังกล่าว มาทดลองวางแนวทางปฏิบัติและเป็นกรณีศึกษา เพ่ือตอบสนอง
และบรรลุวัตถุประสงค์ตามรัฐธรรมนูญและแผนระดับต่างๆของประเทศมากย่ิงขึ้น โดยใช้หลักการบริหาร
จัดการและการวิเคราะห์เชิงนโยบายและวิสัยทัศน์ ตามหลักของข้อเสนอการเปล่ียนแปลง (Blueprint for
Change) และห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain) มากาหนดแนวทางในการดาเนินงานอาทิเช่น การสารวจข้อมูล
การปนเปอื้ นสารพิษท่วั ประเทศ การวิเคราะหว์ ิจัยขอ้ มลู รายละเอียด การจัดทาแผนที่แสดงขอบเขตพื้นท่ีเสี่ยง
สารพิษได้ การบูรณาการข้อมูลระหว่างหน่วยงานที่เก่ียวข้อง การจัดทาฐานข้อมูลระดับต่างๆ การให้ความรู้
ข้อมูลกับหน่วยงานและประชาชนที่เก่ียวข้อง การพัฒนาระบบธรณีวิทยาอัจฉริยะ (Smart Geology) ซึ่งจะ
กาหนดแนวทางการดาเนินการในระยะส้ันระยะกลาง และระยะยาว ผลที่ได้รับสามารถกาหนดขอบเขตพื้นท่ี
เสี่ยงภัยสารหนูในพื้นท่ีเป้าหมายได้ และได้มีการนาไปส่ือสารให้ประชาชนและหน่วยงานท่ีเก่ียวข้องไปใช้
ประโยชนไ์ ด้จรงิ ถอื เป็นการหลีกเลีย่ งและลดผลกระทบความเส่ยี งในด้านการสาธารณสขุ และเพ่ิมคุณภาพชีวิต
ที่ดีให้ประชาชนอย่างย่ังยืนได้ อาจกล่าวได้ว่า แผนท่ีธรณีวิทยามีดีท่ี 3H คือสามารถทาให้ประชาชนมี
1) Health Security สร้างความม่ันคงม่ันใจต่อความปลอดภัยทางสุขภาพ 2) Health มีสุขภาพที่ดีลด
ผลกระทบความเสี่ยงเป็นโรค และ 3) Happiness เม่ือมีความมั่นใจและสุขภาพท่ีดีย่อมทาให้เกิดความสุขได้
Oral Session
68 การประชมุ วิชาการธรณไี ทย ประจาปี 2564
(Geothai Webinar 2021) วันท่ี 4-6 สิงหาคม 2564
68
รวมท้ังในแนวทางท่ีจัดทานี้ ยังมุ่งพัฒนาระบบฐานข้อมูลธรณีวิทยาอัจฉริยะ (Smart Geology) ที่ประยุกต์ใช้
เทคโนโลยี Artificial Intelligence (AI) และ Internet of Things (IoT) โดยศึกษาจากต้นแบบท่ีมีการ
ดาเนินการแล้วในต่างประเทศต่อไปให้สาเร็จในอนาคต ตามแนวทางการดาเนินงานในระยะยาว เพื่อนามาใช้
ประโยชน์ในการประมวลผลตรวจสอบ ติดตามและเฝ้าระวังให้กับหน่วยงานของรัฐและประชาชนต่อไป
นอกจากนี้ยังได้วางแนวทางที่จะใช้ กรณีศึกษาสารพิษอุทัยธานี หรือ”อุทัยธานีโมเดล”นี้ เป็นต้นแบบด้าน
การบูรณาการซงึ่ ไดม้ ีการจัดทา MOU รว่ มกับกรมควบคุมโรคไปแล้ว รวมทั้งใช้เป็นแนวทางขยายขอบเขตการ
ดาเนินการดังกล่าวพัฒนาเป็นระบบธรณีวิทยาอัจฉริยะ (Smart Geology) เพื่อเป็นการบูรณาการข้อมูล
พ้ืนฐานธรณีวิทยาด้านต่างๆ มาใช้ประกอบการตัดสินใจในการบริหารจัดการประเทศของหน่วยงานรัฐบาล
และประชาชน ตลอดจนใชเ้ ปน็ เครื่องมอื ในการพจิ ารณาวางแนวทางการเฝ้าระวัง หลีกเลี่ยงและลดผลกระทบ
ด้านต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับธรณวี ทิ ยาใหก้ ับประชาชนและหนว่ ยงานที่เก่ียวข้องอย่างย่ังยืน โดยเฉพาะผลักดันให้
มีการใช้ในการบริหารจัดการที่เก่ียวข้องกับการพัฒนาและเติบโตเชิงพ้ืนท่ีของประเทศ อาทิเช่น ระบบ
สาธารณูปโภค ด้านสาธารณสุขอื่นๆ ด้านการบริหารจัดการแร่ ด้านการเกษตร พ้ืนท่ีเพื่อการท่องเท่ียวเชิง
อนุรักษ์และอุทยานธรณีโลก ธรณีพิบัติภัย ธรณีวิทยาส่ิงแวดล้อมและอ่ืนๆ เพื่อให้การบริหารจัดการและการ
เติบโตประเทศเป็นไปบนพื้นฐานของข้อมูลและใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างเหมาะสม สมดุลและย่ังยืน โดย
การศึกษาคร้ังนี้ ได้วิเคราะห์เพ่ือจัดทาแนวทางพัฒนาระบบธรณีวิทยาอัจฉริยะ (Smart Geology) มาใช้เป็น
เคร่ืองมือทาให้เกิดการบริหารการเติบโตของประเทศได้อย่างถูกต้อง ทาให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
อยา่ งยั่งยืนตอ่ ไป ทงั้ นีเ้ พ่ือตอบโจทยข์ องรฐั ธรรมนูญ ยุทธศาสตร์ และแผนระดับต่างๆ ดงั กลา่ วขา้ งตน้
คาสาคัญ: สารหนูตามธรรมชาติ อุทัยธานี คุณภาพชีวิตท่ีดีของประชาชน ธรณีวิทยาอัจฉริยะ ( Smart
Geology)
รูปท่ี 1 แสดงแหล่งน้าเพื่อสาธารณะประโยชน์แห่งใหม่ตาม โครงการอนุรักษ์ฟื้นฟูแหล่งน้า บ้านหนองไม้แก่น
ตาบลหนองจอก อาเภอบา้ นไร่ จังหวดั อทุ ยั ธานี พบสายแรอ่ าร์เซโนไพไรต์ในเนื้อหนิ
Oral Session
ธรณวี ถิ ีใหม่ นวตั กรรมไทย เพื่อการพฒั นาที่ย่งั ยนื 69
รูปที่ 2 แสดงข้อเสนอแนวทางการบริหารจัดการพ้ืนที่ปนเปื้อนสารหนูตามธรรมชาติ อาเภอบ้านไร่ จังหวัด
อุทัยธานี และการพัฒนาระบบธรณีวิทยาอัจฉริยะ (Smart Geology) จากการวิเคราะห์บันไดการ
เปล่ยี นแปลง Blueprint for Change (ดัดแปลงจาก havardasia conculting co. ; Ltd.)
รูปท่ี 3 แสดงตัวอย่างตัวอย่างระบบ AI ที่ถูกออกแบบมาเป็น Application ที่ช่ือว่า Rockd สามารถแสดง
ข้อมูลธรณีวิทยาในขณะท่ีใช้งานในบริเวณประเทศสหรัฐอเมริกาและทั่วโลก ซ่ึงสามารถนามาเป็นแนวทาง
พัฒนาระบบ Smart Geology ของไทยต่อไปได้
Oral Session
70 การประชมุ วิชาการธรณีไทย ประจาปี 2564
(Geothai Webinar 2021) วันท่ี 4-6 สงิ หาคม 2564
70
บรรพประสาทวทิ ยาของไดโนเสาร์ซอโรพอด จากหมวดหนิ เสาขวั ในประเทศไทย
สริ ภิ ัทร กายแก้ว1*, สุรเวช สธุ ธี ร1, วราวธุ สุธธี ร2 และ รัฐ สอนสุภาพ3
1ภาควิชาชวี วิทยา คณะวทิ ยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม อาเภอกนั ทรวชิ ัย จังหวัดมหาสารคาม 44150
2ศนู ย์วจิ ัยและการศกึ ษาบรรพชวี ินวทิ ยา มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม อาเภอกันทรวชิ ยั จังหวดั มหาสารคาม 44150
3คณะแพทยศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม อาเภอเมืองมหาสารคาม จังหวดั มหาสารคาม 44000
*E-mail: [email protected]
บทคดั ยอ่
การศึกษากล่องสมองไดโนเสาร์ซอโรพอดจากแหล่งบ้านนาไคร้และภูกุ้มข้าว หมวดหินเสาขัวของ
จังหวัดกาฬสินธ์ุ ในช่วงครีเตเชียสตอนต้น ด้วยเทคนิคคอมพิวเตอร์โทโมกราฟี ( CT scanned) และ
ประมวลผลเป็นแบบจาลองสมอง 3 มติ ิ พบวา่ ลกั ษณะของสมองเหมอื นกับไดโนเสาร์ซอโรพอดทั่วไป กล่าวคือ
สมองมีรูปร่างเป็นกระเปาะ มีต่อมใต้สมองขนาดใหญ่ แต่จานวนเส้นประสาทและหูช้ันในของกล่องสมอง
แสดงลักษณะทแี่ ตกต่างกนั ภายในกลุ่มของไดโนเสารซ์ อโรพอด และจากความแตกต่างน้ีเป็นไปได้ว่าไดโนเสาร์
แต่ละชนิดมีกลไกทางชีววิทยาที่แตกต่างกันไปด้วย ดังนั้นจึงสามารถอนุมานได้ว่า ไดโนเสาร์ซอโรพอดท้ัง
3 ชนิด ทอี่ ยใู่ นสภาพแวดล้อมเดียวกนั มกี ารใช้ทรัพยากรแตกต่างกนั เพื่อลดการแก่งแยง่ ก็เปน็ ได้
คาสาคญั : กล่องสมอง, ครเี ตเชียส, ไดโนเสารซ์ อโรพอด, แบบจาลองสมอง, หูชน้ั ใน
Oral Session
ธรณวี ถิ ใี หม่ นวตั กรรมไทย เพอ่ื การพฒั นาที่ย่งั ยนื 71
ปรากฏการณห์ ินถลม่ ในพืนทีภ่ าคใต้ : ธรณวี ทิ ยา สาเหตุ ผลกระทบ และแนวทางการเฝา้ ระวงั
ปรชั ญา บารุงสงฆ์*, รัฐ จติ ตร์ ตั นะ, ประสบสขุ ศรตี ้ังวงศ,์ สถาพร มิตรมาก, ชุตาภา โชตริ ตั น,์
วภิ าวี เขยี มสนั เทยี ะ, ภรณท์ พิ ย์ กอ่ สนิ วฒั นา, ภานชุ นารถ มติ รศรสี าย, สรุ เชษฐ์ แสงสวา่ ง และ ประภาพรรณ จนั ทมาศ
สานักงานทรัพยากรธรณี เขต 4 กรมทรัพยากรธรณี
*E-mail : [email protected]
บทคดั ย่อ
หินถลม่ เปน็ ธรณพี บิ ตั ภิ ยั อยา่ งนงึ ทส่ี รา้ งความเสยี หายตอ่ ชวี ติ และทรพั ย์สินของประชาชนในพนื้ ที่ตา่ ง ๆ
จากเหตุการณ์ท่ีผ่านมาเกิดหินถล่มข้ึนในหลายพื้นที่อย่างต่อเน่ือง สภาพอากาศของโลกที่แปรปรวนมากข้ึน
ประกอบกับการรบกวนของมนุษย์ เช่น การขยายตัวเข้าไปต้ังถิ่นฐานในพื้นที่เส่ียงภัย การเปล่ียนแปลงการใช้
ประโยชน์ท่ีดิน ซึ่งปัจจัยเหล่าน้ีเป็นตัวกระตุ้นที่ทาให้เกิดหินถล่มท่ีมีความรุนแรงมากข้ึนและเกิดบ่อยครั้ง
ในปี 2563 – 2564 ในพื้นท่ี 14 จังหวัดภาคใต้ เกิดหินถล่ม จานวน 4 ครั้ง โดยแบ่งเป็น ในเขตจังหวัดสตูล
2 ครั้ง จังหวัดกระบ่ี 1 ครั้ง และจังหวัดนครศรีธรรมราช 1 ครั้ง โดยท้ัง 4 คร้ัง เป็นหินปูนถล่ม มีรอยแตก
หลายทิศทางเป็นจานวนมาก และมีปริมาณน้าฝนเข้ามาเกย่ี วข้อง
1. หินถลม่ เขาไฟไหม้ หมู่ 10 ตาบลควนโดน อาเภอควนโดน จังหวัดสตูล พิกัดอ้างอิง 617273 เมตร
ตะวันออก 754115 เมตร เหนอื วันท่ี 31 พฤษภาคม 2563 เวลาประมาณ 12.30 น. ชะง่อนผาสูงจากพื้นดิน
20 เมตร ได้ถล่มลงมาทับท่ีดินของชาวบ้าน สร้างความเสียหายแก่ต้นปาล์ม ต้นยาง บ่อเล้ียงปลา และศาลา
สาหรับพักผ่อน ก่อนเกิดเหตุมีฝนตกหนัก ครอบคลุมพ้ืนท่ีไกลจากหน้าผา 45 เมตร ยาว 75 เมตร หรือ
ประมาณ 2 ไร่ ก้อนหินท่ีแตกและร่วงลงมามีลักษณะเป็นทรงสี่เหล่ียม ขนาดต้ังแต่ 3 - 15 เมตร ปริมาณ
น้าฝนสะสมต้ังแตว่ นั ที่ 27 - 31 พฤษภาคม 25623 เทา่ กบั 113.3 มลิ ลิเมตร (สถานีอุตุนิยมวิทยาจังหวัดสตูล,
2563) การถล่มของหินเป็นการถล่มแบบล้มคว่า (topple) ลักษณะธรณีวิทยา เป็นภูเขาหินปูน กลุ่มหินทุ่งสง
ยุคออร์โดวิเชียน (485 – 444 ล้านปี) วางตัวในแนวทิศเหนือ – ใต้ มีรอยแตกตัดกันหลายทิศทาง สาเหตุการ
เกิดหินถล่ม ภูเขาหินปูนท่ีเป็นชะง่อนผา มีรอยแตกตัดกันหลายแนว เม่ือผิวของหินได้สัมผัสกับอากาศและ
น้าฝนที่มีฤทธิ์เป็นกรดอ่อนๆ ทาให้เกิดการละลายสารละลายแคลเซียมคาร์บอเนตออกไป ทิ้งเศษดินไว้ตาม
ระนาบรอยแตก และพัฒนารอยแตกให้กว้างขึ้นเร่ือย ๆ จนเป็นโพรง ประกอบกับก่อนเกิดเหตุมีฝนตกหนัก
เปน็ เวลานาน ทาใหห้ นิ สูญเสยี เสถยี รภาพในการยดึ เหน่ยี ว ส่งผลให้ชะงอ่ นผาหนิ รว่ งลงมาตามระนาบรอยแตก
ตามแรงโนม้ ถ่วงของโลก
2. หินถล่มเกาะแม่อุไร (เกาะทะลุ) หาดนพรัตน์ธารา ตาบลอ่าวนาง อาเภอเมือง จังหวัดกระบี่ พิกัด
อ้างองิ 476867 เมตร ตะวันออก 879404 เมตร เหนือ วันที่ 15 ตุลาคม 2563 หินทถ่ี ลม่ ออกจากเกาะแมอ่ ุไร
ถลม่ แตกออกเปน็ 2 สว่ น มรี ะยะห่างระหว่างก้อน 5 เมตร ไปทางทศิ เหนือ ส่วนท่แี สดงให้เหน็ เหนอื น้าส่วนที่ 1
สงู 9.7 เมตร ส่วนที่ 2 สูง 10 เมตร และความสูงของหินจากยอดถึงพน้ื ทะเลเฉล่ีย 25 เมตร การถล่มของหิน
เป็นการถลม่ แบบลม้ ควา่ (topple) เป็นการเคลือ่ นที่โดยมกี ารหมุน หรือลม้ คว่าลงมาตามลาดเขา ลักษณะทาง
ธรณีวิทยา เป็นหินปูนเนื้อโดโลไมต์ (dolomitic limestone) อายุยุคเพอร์เมียน (251-299 ล้านปี) มีสีเทา
เนื้อแน่น เป็นมวลหนา ไม่แสดงชั้นหิน สาเหตุการเกิดหินถล่ม หินปูนเน้ือโดโลไมต์มีรอยแตกรอยร้าวเป็น
จานวนมาก เปราะแตกหักง่าย พบรู โพรง ถ้า นอกจากนี้ พ้นื ทีด่ งั กลา่ วอยใู่ นภูมภิ าคเขตมรสมุ อากาศรอ้ นช้นื
Oral Session
72 การประชุมวชิ าการธรณไี ทย ประจาปี 2564
(Geothai Webinar 2021) วันที่ 4-6 สิงหาคม 2564
72
มีปริมาณน้าฝนมาก ซ่ึงเป็นปัจจัยในการเร่งการผุกร่อนของหินอย่างรวดเร็ว ปริมาณน้าฝนสะสมตั้งแต่วันท่ี
10 – 14 ตุลาคม 2563 คอื 212.5 มิลลิเมตร (สถานีอตุ ุนยิ มวทิ ยาจังหวัดกระบ่,ี 2563)
3. หินถล่มบ้านวังยวน หมู่ 8 ตาบลท่ีวัง อาเภอทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช พิกัดอ้างอิง 579960
เมตร ตะวันออก 891200 เมตร เหนือ กลางดึกวันที่ 13 ธันวาคม 2563 ก้อนหินขนาดใหญ่ (3x10x6เมตร)
ขนาดเล็ก และเศษหิน ถล่มลงมาทับบ้าน โรงล้างรถ และ เล้าไก่ของนายพยุงศักด์ิ จันทร์สุวรรณ เสียหาย
ทั้งหมด ไมม่ ีผบู้ าดเจ็บหรอื เสียชวี ิต เศษหินกระเด็นออกมาระยะทางไกลสุด 30 เมตรจากตีนเขา การถล่มของ
หินเป็นการถล่มแบบลม้ ควา่ (topple) ลักษณะธรณวี ทิ ยา ภเู ขาหินปนู สูงประมาณ 60 เมตร กลุ่มหินทุ่งสง ยุค
ออร์โดวิเชียน (485 – 444 ล้านปี) แสดงชั้นหนาสลับช้ันบาง สีเทา ดา และน้าตาล ชั้นหินเอียงเทไปทางทิศ
ตะวันออกเฉียงใต้ (ทิศทางลงมายังตีนเขา) สาเหตุการเกิดหินถล่ม หินปูนมีการละลายและผุพังตามธรรมชาติ
ปรากฏโพรง แนวรอยเลื่อน และแนวรอยแตกหลายทิศทาง
4. หินถล่มปราสาทหินพันยอด พ้ืนท่ีอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะเภตรา จังหวัดสตูล พิกัดอ้างอิง
576808 เมตร ตะวันออก 757569 เมตร เหนือ ซึ่งเป็นส่วนหน่ึงของอุทยานธรณีสตูล เกิดหินถล่มเม่ือวันท่ี
21 กมุ ภาพนั ธ์ 2564 มวลหินจานวน 2 ก้อน มีขนาดประมาณ 10 x 10 x 10 เมตร และ ขนาด 5 x 10 x 10
เมตร ได้แตกหักจากแนวหน้าผา และเล่ือนไถลลงสู่ทะเล เป็นการถล่มแบบการร่วงหล่นของหิน (rock fall)
ลักษณะธรณีวิทยาในพื้นที่ เป็นหินปูนเน้ือโดโลไมต์ กลุ่มหินทุ่งสง ยุคออร์โดวิเชียน (485 – 444 ล้านปี)
ได้เกิดถล่มในบริเวณซ่ึงเป็นจุดตัดกันระหว่างรอยแตกแนวทิศทางตะวันออกเฉียงเหนือ -ตะวันตกเฉียงใต้
(45 องศาจากทิศเหนือ) และแนวทิศทางเกือบตะวันออก-ตะวันตก (110 องศาจากทิศเหนือ) สาเหตุการเกิด
หินถล่ม การแตกหักพังทลายของเสาหินปูนด้านล่างท่ีรองรับน้าหนักมวลหินจานวนมหาศาลท่ีอยู่ด้านบน
น้าทะเลขึน้ ลงอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะกรณนี ้าลดระดบั ลงมาก จะทาให้เกิดการสูญเสียแรงค้ายันอย่างฉับพลัน
น้า และอากาศจากคล่นื ลมทะเลเมื่อซัดกระหนา้ เขา้ โพรงถ้าและรอยแตกรา้ วในมวลหินปูน จะก่อให้เกิดแรงอัด
มหาศาลท้าให้รอยแตกหินขยายตัวมากข้ึนกว่าเดิม มวลหินจึงแยกออกจากกัน ในขณะเดียวกันน้าเป็นปัจจัย
หนึ่งท่ีท้าให้แรงเสียดทานระหว่างพื้นผิวหินลดลง ประกอบกับน้าหนักของมวลหินท่ีมาก ทาให้สูญเสีย
เสถียรภาพ และในทส่ี ุดนาไปสู่การเคลือ่ นตวั และเกดิ การถล่มของมวลหนิ ลงสูท่ ะเล
แนวทางการเฝ้าระวัง กรมทรัพยากรธรณีควรดาเนินการเร่งสารวจตรวจสอบและประเมินสถานภาพ
ของธรณีพบิ ตั ภิ ยั ประเภทหินถลม่
คาสาคัญ: หนิ ถล่ม ภาคใต้
Oral Session