The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

หนังสืออยุธยาศึกษา (บทที่ 4-6) บทเรียนออนไลน์ที่ 8

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by กศน.อำเภอบางบาล, 2021-05-12 02:37:30

หนังสืออยุธยาศึกษา บทเรียนออนไลน์ที่ 8

หนังสืออยุธยาศึกษา (บทที่ 4-6) บทเรียนออนไลน์ที่ 8

บทเรียนออนไลนท์ ่ี 8

คำนำ

เอกสารประกอบการเรยี น รายวิชา สค03128 อยธุ ยาศกึ ษา นบั ตง้ั แตป่ ี พ.ศ. 1893 เป็นต้นมา
ในครั้งสมัยอาณาจักรกรุงศรีอยุธยา มีความเจริญรุ่งเรืองทางวัฒนธรรม วิถีชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนมี
การสะสมถึงขนบธรรมเนียมประเพณี รวมถึงประวัติบุคคลสำคัญ ๆ ของจังหวัดพระนครศรีอยุธยาจน
กระทั้งได้รับการยกย่องให้เป็นเมืองแห่งมรดกโลกทางวัฒนธรรม สมควรที่ชนรุ่นหลังจะต้องศึกษา การ
เรยี นรู้เพ่ือใหต้ ระหนักถงึ พระคณุ ของบรรพบุรุษ และสามารถนำความรไู้ ปพฒั นาประเทศชาติ

คนไทยทุกคนควรจะต้องศึกษาเรียนรู้ ความเป็นมาของจังหวัดพระนครศรีอยุธยา คณะครู
กศน.ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยาได้ร่วมกัน ได้ศึกษา ค้นคว้าจากเอกสาร หนังสือต่าง ๆ และเว็บไซด์
เป็นจำนวนมากซึ่งทำให้เอกสารประกอบการเรียนรู้มีความสมบูรณ์ครบถ้วน ทั้งเนื้อหาสาระทางด้าน
ประวตั ศิ าสตร์ บุคคลสำคญั การเปน็ มรดกโลก และมหาอทุ กภยั ของจังหวดั พระนครศรีอยุธยา

สำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยจังหวัดพระนครศรีอยุธยา
หวังเป็นอย่างยิ่งว่า เอกสารประกอบการเรียนรายวิชา สค03128 อยุธยาศึกษา จะช่ วยให้ผู้สอน
นักศึกษา และผู้สนใจในการศึกษาค้นคว้า นำไปสู่การพัฒนากระบวนการเรียนรู้และกระบวนการคิด
วิเคราะห์ สมดงั เจตนารมณ์ของการปฏริ ปู การศกึ ษาอย่างครบถ้วนทกุ ประการ

สำนกั งาน กศน.จังหวดั พระนครศรอี ยธุ ยา
พฤศจกิ ายน 2558

รายวิชาอยธุ ยาศึกษา สค03128 1

สารบัญ หนา้
1
คำนำ 2
สารบญั 68
บทที่ 4 ภมู ปิ ัญญา ปราชญ์ชาวบา้ น และแหล่งเรียนรทู้ ีส่ ำคัญของจังหวัด
98
พระนครศรีอยธุ ยา 114
1. ความหมาย ความสำคัญของภมู ปิ ัญญา ปราชญช์ าวบ้าน แหล่งเรยี นรู้

2. ภมู ิปญั ญา ปราชญช์ าวบา้ น และแหล่งเรียนรู้ทีส่ ำคัญของจังหวัด
พระนครศรีอยธุ ยา
1.1 เกษตรกรรม
1.2 อตุ สาหกรรม
1.3 พาณชิ ยกรรม
1.4 คหกรรม
1.5 ศิลปหัตถกรรม

บทที่ 5 วัฒนธรรม ประเพณี วถิ ชี ีวิต และความเชื่อของชาวอยุธยา

1. ความหมายและความสำคัญของความเช่ือ วัฒนธรรม และประเพณี

2. วฒั นธรรมและประเพณขี องชาวจงั หวัดพระนครศรีอยธุ ยา

บทท่ี 6 บคุ คลสำคญั และศิลปนิ แหง่ ชาตขิ องจังหวัดพระนครศรีอยุธยา

1. ช่อื และผลงานของบคุ คลสำคัญในจังหวัดพระนครศรอี ยุธยา
1.1 บุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์
1.2 บุคคลสำคญั ในปจั จุบนั

2. ความหมายและการจำแนกสาขาของศิลปินแห่งชาติ

3. ชอ่ื และผลงานของศลิ ปนิ แห่งชาตใิ นจงั หวัดพระนครศรีอยธุ ยา

4. ระบแุ หล่งการเรียนรปู้ ระเภทส่อื นวัตกรรม และเทคโนโลยี

5. ระบแุ หลง่ การเรียนรปู้ ระเภทศิลปะ วัฒนธรรม และจารตี ประเพณี

รายวิชาอยธุ ยาศึกษา สค03128 2

บทที่ 4
ภูมิปัญญา ปราชญ์ชาวบา้ น และแหล่งเรียนรทู้ ี่สำคัญ

ของจงั หวดั พระนครศรีอยุธยา

แนวคดิ
ภมู ปิ ญั ญา ปราชญ์ชาวบา้ น และแหลง่ เรยี นรู้ เป็นคลังหรอื แหล่งความรู้ ท่ีกลนั่ กรอง เรียบเรียง

สืบทอด ไว้ให้คนในชุมชนศกึ ษาค้นคว้า องค์ความรูเ้ หลา่ น้มี ีคุณค่าตอ่ ผคู้ น ชมุ ชน อยา่ งยิง่
จงั หวัดพระนครศรีอยุธยา มภี มู ิปัญญา ปราชญ์ชาวบ้าน และแหล่งเรียนรู้ ท่หี ลากหาย พรอ้ มท่ี

จะใหผ้ สู้ นใจไปศึกษาค้นคว้า เพ่อื การพัฒนาตนเอง ท้องถิ่น และประเทศชาติ ให้ยง่ั ยืนม่นั คงตอ่ ไป

ตวั ช้ีวัด
1. ระบุภมู ปิ ญั ญา ปราชญช์ าวบ้าน และแหลง่ เรยี นร้ทู ี่สำคญั ของจงั หวดั พระนครศรีอยธุ ยา
2. บอกประโยชนจ์ ากการใช้ภมู ิปญั ญา ปราชญช์ าวบ้าน และแหลง่ เรียนรู้ ท่ผี ูเ้ รียนสนใจหรอื

เกยี่ วขอ้ ง

เนอ้ื หา
1. ความหมาย ความสำคัญของภูมิปัญญา ปราชญช์ าวบ้าน แหลง่ เรียนรู้
2. ภมู ปิ ัญญา ปราชญ์ชาวบ้าน และแหล่งเรยี นรทู้ ี่สำคญั ของจงั หวดั พระนครศรอี ยุธยา
2.1 เกษตรกรรม
2.2 อตุ สาหกรรม
2.3 พาณิชยกรรม
2.4 คหกรรม
2.5 ศิลปหัตถกรรม

รายวิชาอยธุ ยาศกึ ษา สค03128 68

4.1 ความหมาย ความสำคญั ของภมู ปิ ัญญา ปราชญช์ าวบ้าน และ แหลง่ เรยี นรู้

4.1.1 ความหมาย ของภูมิปัญญา ปราชญ์ชาวบา้ น และ แหลง่ เรียนรู้

4.1.1.1 ภมู ิปัญญา (wisdom)

คำว่า “ภูมิปัญญา” ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน หมายถึง “พื้นความรู้
ความสามารถ” ซึ่งเป็นความรู้ความสามารถขั้นพื้นฐานนี้เกิดจากจินตนาการและสติปัญญาอันชาญ
ฉลาดของคนในสังคมใดสังคมหนึ่งท่ีคดิ คน้ สร้างสรรค์องค์ความรู้ หรอื สิ่งประดษิ ฐ์ต่างๆอนั เป็นประโยชน์
เพอื่ ความอยู่รอดจากปัญหาอุปสรรคในการดำรงชวี ิต และเพอื่ การอยู่รว่ มกันอย่างสะดวกสบายในสังคม
โดยมกี ารถา่ ยทอดภูมิปัญญาเหล่านั้นส่งต่อกนั ผ่านกระบวนการเลือกสรรและพัฒนาจากรุ่นมาสู่รุ่นจนถึง
ปจั จุบนั

ภมู ิปญั ญาแบ่งเปน็ 2 ระดบั คือ

ภมู ปิ ัญญาท้องถน่ิ หรือ ภูมิปญั ญาชาวบา้ นหมายถึง ความรขู้ องชาวบ้านในท้องถ่ิน ซึ่งได้มาจาก
ประสบการณ์ และความเฉลียวฉลาดของชาวบ้าน รวมทั้งความรู้ที่สั่งสมมาแต่บรรพบุรุษ สืบทอดจาก
คนรุ่นหน่ึงไปสคู่ นอีกรนุ่ หน่ึง ระหว่างการสืบทอดมีการปรบั ประยกุ ต์และเปลีย่ นแปลง จนอาจเกิดเป็น
ความรู้ใหม่ตามสภาวะทางสังคมวัฒนธรรม และสิ่งแวดล้อม (2013-10-25_11-48-40_0.667385
เรียนร้เู ศรษฐกิจพอเพียง เคียงคกู่ ารทำนา โดยภมู ิปัญญาทอ้ งถิ่น)

ภมู ปิ ญั ญาไทย หมายถึง ความร้คู วามสามารถ วธิ กี าร ผลงาน ทคี่ นไทยได้ค้นคว้า รวบรวม และ
จัดเปน็ ความรู้ ถ่ายทอด ปรบั ปรงุ จากคนรุน่ หน่งึ มาส่คู นอกี รนุ่ หน่ึง จนเกิดผลติ ผลท่ดี ี งดงาม มคี ณุ ค่า มี
ประโยชน์ สามารถนำมาแก้ปัญหา และพัฒนาวิถีชีวิตจนเป็นที่ยอมรับและนำไปใช้กันโดยทั่วไปใน
ระดับชาติ (สารานุกรมไทยสำหรับเยาวชนฯ / เล่มที่ 23 / เรื่องที่ 1 ภูมิปัญญาไทย
http://kanchanapisek.or.th/)

4.1.1.2 ปราชญช์ าวบ้าน หมายถงึ บคุ คลผเู้ ป็นเจ้าของภูมปิ ัญญาชาวบ้าน และนำภูมิปัญญามา
ใช้ประโยชนใ์ นการดำรงชีวิตจนประสบผลสำเรจ็ สามารถถ่ายทอดเช่ือมโยงคุณค่าของอดีตกับปัจจุบันได้
อย่างเหมาะสม

รายวิชาอยุธยาศกึ ษา สค03128 69

4.1.1.3 แหล่งเรียนรู้ หมายถึง แหล่งข้อมูล ข่าวสาร ความรู้และประสบการณ์ทั้งหลายท่ี
สามารถทำให้ผู้เรียนเกิดการเรยี นรู้ได้ดว้ ยตนเอง จากการได้คิดเองปฏิบัติเอง และสร้างองค์ความรู้ด้วย
ตนเอง ตามอัธยาศัยและตอ่ เน่ือง จนเกดิ กระบวนการเรียนรู้ และสุดทา้ ยกจ็ ะเปน็ บุคคลแหง่ การเรียนรู้
(http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?)

4.1.2. ความสำคัญของภมู ปิ ญั ญา ปราชญ์ชาวบา้ น และแหล่งเรียนรู้

4.1.2.1. ความสำคัญของภมู ิปัญญา

ภมู ปิ ญั ญาเป็นพนื้ ฐานการประกอบอาชีพและเป็น รากฐานการพัฒนาทีเ่ ร่ิมจากการพัฒนา
เพื่อการพึ่งพาตนเอง การพัฒนาเพื่อการพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน และการพัฒนาที่เกิดจากการ
ผสมผสานองค์ความรู้สากลบนฐานภูมิปัญญาเดิม เพื่อเกิดเป็นภูมิปัญญาใหม่ที่เหมาะสมกับยุคสมัย
ดังนั้น ภูมิปัญญาจึงมีคุณค่าไม่เพียงต่อท้องถิ่นและผู้คนเท่านั้น แต่ยังเอื้อประโยชน์อย่างใหญ่หลวงต่อ
การวางแผนพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืนและม่ันคง

4.1.2.2 ความสำคญั ของปราชญ์ชาวบ้าน

ปราชญ์ชาวบ้านมคี วามสำคญั ต่อความยั่งยนื ของชุมชนและชาตบิ ้านเมืองในฐานะของผทู้ รง
คุณธรรมคือเป็นผูม้ ีคุณสมบัติเป็นคนดี เปน็ ผูท้ รงภมู ปิ ัญญามที ักษะความสามารถเชย่ี วชาญความรู้สาขา
ตา่ งๆและ มผี ลงานดา้ นการพัฒนาทอ้ งถนิ่ ของตน จนได้รบั การยอมรบั ของสังคมว่าเป็นคนเสียสละ
ทำงานเพื่อส่วนรวม เปน็ แบบอย่างท่ดี ีของชาวบา้ นท่ัวไป วา่ มปี ระสบการณ์และ มีเอกลักษณ์ของตนเอง
“ปราชญช์ าวบ้าน” จงึ อย่ใู นฐานะ “รากแกว้ ” ของชาวบา้ นท้งั ในระดับรากหญ้า

4.1.2.3 ความสำคญั ของแหล่งเรยี นรู้

แหล่งเรียนรเู้ ปน็ แหล่งท่รี วมขององค์ความรู้อันหลากหลายพร้อมทีจ่ ะให้ผู้เรียนเข้าไปศึกษา
ค้นคว้า ด้วยกระบวนการจัดการเรียนรู้ที่แตกต่างกันของแต่ละบุคคล และเป็นการส่งเสริมการเรียนรู้
ตลอดชวี ติ เปน็ แหล่งเชอื่ มโยงให้สถานศึกษาและชุมชนมีความสัมพนั ธใ์ กลช้ ดิ กัน ทำใหค้ นในชมุ ชนมีส่วน
ร่วมในการจัดการศึกษาแก่บุตรหลานของตน เป็นแหล่งข้อมูลที่ทำให้ผู้เรียนเกิดการการเรียนรู้อย่างมี
ความสุข เกิดความสนุกสนาน และมีความสนใจที่จะเรียน ไม่เกิดความเบื่อหน่ายทำให้ผู้เรียนเกิดการ
เรียนรจู้ ากการไดค้ ิดเองปฏิบตั ิเอง และสร้างความรูด้ ้วยตนเอง

(วารสารวิชาการ ปที ่ี 1 มกราคม - มนี าคม 2548: https://www.myfirstbrain.com/)

รายวชิ าอยธุ ยาศกึ ษา สค03128 70

4.2 ภูมิปัญญาและปราชญ์ชาวบ้าน แบ่งเป็น 5 ประเภท คอื

1. ประเภทเกษตรกรรม ได้แก่ วิธีการทำงาน และการประดิษฐ์เครื่องมือเครื่องใช้ต่าง ๆ ที่
นำมาใช้ในด้านเกษตรกรรม เช่น การทำไร่นาสวนผสมที่สอดคล้องกับแนวพระราชดำริใน
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเรื่อง “ทฤษฎีใหม่” การลงแขก การสร้างฝาย เครื่องมือเครื่องใช้ใน
การเกษตร เชน่ คนั ไถ ระหดั

2. ประเภทอุตสาหกรรม ได้แก่ กิจกรรมทีใ่ ช้ทุนและแรงงานจำนวนมาก เพื่อที่จะผลติ สิง่ ของ
หรือ จัดให้มบี รกิ าร เช่น อุตสาหกรรมส่งิ ทอ อุตสาหกรรมการท่องเทยี่ ว

3. ประเภทพาณิชยกรรม ได้แก่ การซื้อขายสินค้าและบริการ เช่น กว๋ ยเต๋ียวเรอื
4. ประเภทคหกรรม ได้แก่ วิธีการ และเครื่องมือเครื่องใช้ด้านการทำอาหาร งานบ้านงาน
เรอื น เชน่ การถนอมอาหาร อาหารพนื้ เมืองต่าง ๆ สมุนไพร
5. ประเภทศิลปหัตถกรรม ได้แก่ สิ่งประดิษฐ์ต่าง ๆ ที่ประดิษฐ์ด้วยมือ เช่น เครื่องจักสาน
เคร่อื งไม้ เคร่ืองทอ เครอ่ื งปน้ั ดนิ เผา เคร่ืองหนัง เครื่องโลหะ การวาดลวดลายบนเรือกอและ

4.2.1 ภมู ิปญั ญาชาวบา้ นของจงั หวดั พระนครศรีอยธุ ยา
จังหวดั พระนครศรีอยุธยา เปน็ ราชธานเี ก่าของไทย จึงมีภูมปิ ัญญาชาวบา้ นทีห่ ลากหลายมา

ยาวนาน ดงั น้ี
4.2.1.1. ประเภทเกษตรกรรม
ประชาชนส่วนใหญ่ในทุกอำเภอของจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ประกอบอาชีพ

ทางการเกษตร โดยเฉพาะการทำนาข้าว จึงมีภูมิปัญญาทางเกษตรกรรมอยู่ทั่วไป ไดแ้ ก่
1.1 การทำนาข้าว

อำเภอเสนา คือ นายทองใบ ยืง่ ยง และนายณรรงค์ กองการศรี
การทำนาขา้ วอินทรยี ์

อำเภอทา่ เรอื คอื นายสมเจตน์ โมราวงษ์
การผลิตขา้ วกลอ้ ง

อำเภอมหาราช คอื จ่าสิบเอกดำรง เฉลมิ ภตั ร์
1.2 การทำสวน
การทำสวนผลไม้

อำเภอเสนา สวนกล้วยไม้ คอื นายมานติ ย์ แยม้ ประยูร
1.3 การทำไรน่ าสวนผสม

หมูบ่ ้านเศรษฐกจิ พอเพียง

อำเภอวงั น้อย คือนายสมส่ง พ่วงอ่างทอง

รายวิชาอยุธยาศกึ ษา สค03128 71

1.4 การเลี้ยงปศุสตั ว์

การเลย้ี งวัว

อำเภอเสนา คือนายฮมี ไกรพนั ธุ์
1.5 การประมงน้ำจดื

4.2.1.2. ประเภทอุตสาหกรรม
ประชาชนจำนวนหนึ่งของจังหวัดพระนครศรีอยธุ ยา ใช้ภูมิปัญญาประกอบอาชีพ

ทางด้านอุตสาหกรรม ได้แก่

การทำมดี อรญั ญกิ การทำช้อนสแตนเลส
อำเภอนครหลวง

สร้างบ้านทรงไทย
อำเภอเสนา คือนายจิบ การสมทรัพย์
อำเภอบางปะหัน คือนายสมจติ ร สขุ มะโน

4.2.1.3. ประเภทพาณิชยกรรม
จังหวัดพระนครศรีอยุธยา มีภูมิปัญญาในการผลิตสินค้าเพื่อการค้าขายโดยตรง

ท่มี ีชือ่ เสียง ได้แก่
กว๋ ยเตี๋ยวเรอื

อำเภอเสนา คอื นางสำราญ สวนอยู่ และนางสำเริง แซ่ต้ัง

แปรรปู ปลา (ปลาร้า,น้ำปลา)
อำเภอผักไห่ คอื นางกิมซอ วงษเ์ พชร

ทอผา้ ขาวมา้
อำเภอภาชี คอื นางพสิ มยั ซอกดุล
4.2.1.4. ประเภทคหกรรม

ขนมกระยาสารท
อำเภอนครหลวง

ขนมไทยบา้ นเกาะ
อำเภอบางไทร

รายวชิ าอยุธยาศึกษา สค03128 72

ขนมบ้าบิ่น
อำเภอทา่ เรือ คอื นางทองสขุ พ่งึ เณร

ไข่เคม็
อำเภอท่าเรอื คือนางนพวรรณ พรหมนิมติ

ไขเ่ ค็มดินสอพอง
อำเภอมหาราช คือนางโสภา ศรฤี กษ์

สมุนไพรอายุวัฒนะ
อำเภอบางปะอิน คอื นางลำพูน พรรณไวย

4.2.1.5. ประเภทศิลปะหตั กรรม
การทำดอกไม้ประดิษฐจ์ ากตน้ โสนหางไก่

อำเภอบางปะอิน คอื นางนิศากร อิ่มสมบูรณ์
การทำงอบใบลาน

อำเภอบางปะหนั คือนายธาราวุฒิ จุลวงศ์
การป้ันหวั สตั ว์

อำเภอผักไห่ คือนางจินตนา พง่ึ ประยูร
การทำหัวโขนจิ๋ว

อำเภอผักไห่ คือนางสำราญ คำจนั ทร์
อำเภอภาชี คอื นางเจือจันทร์ เสาฤกษ์
การสานเขง่ ปลาทู
อำเภอมหาราช คอื นางสมศรี ชิรกุล
การทำไมค้ านหางหงส์
อำเภอมหาราช คือนายเท้ยี ม ผลภาค
การทำเรอื จำลองเล็ก
อำเภอท่าเรอื คือนายอนนั ต์ ชิงชยั
ไมด้ ดั สวนเปยี๊ ก
อำเภอทา่ เรอื คอื นายสุรสทิ ธิ์ สวุ รรณทรัพย์
ผลติ ภณั ฑ์จักสานไม้ไผ่
อำเภอทา่ เรอื คอื นายชาญ ศรสี วัสดิ์
ผลติ ภณั ฑ์จักสานหวาย
อำเภอเสนา คือนายเกษมศกั ดิ์ สทุ ธปิ ระเสริฐ

รายวิชาอยธุ ยาศกึ ษา สค03128 73

การทำกรอบพระ และแกะสลัก กำไลทอง แหวนทอง
อำเภอเสนา คือ นายประสาน นำ้ ใจดี

การเจยี ระไนพลอย
อำเภอเสนา คอื นายบุญส่ง ธนะสันต์

ช่างแกะสลักเครอื่ งดนตรไี ทย
อำเภอเสนา คือ นายสมยศ เกิดทรง นายแกน่ กลัน่ กล้า
นายทองสุข เกิดทรง นายวินัย บญุ สน่นุ
และ นายกิตติ เกตกุ ารณ์

การทำคอนโดดกั ปลา
อำเภอวังนอ้ ย คอื นายสนอง สาดบางเคยี น

ข้อมูลภมู ปิ ัญญาชาวบา้ นท่ีสำคญั

มีดอรญั ญิก

ประวตั คิ วามเปน็ มาของมีดอรญั ญกิ
ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 2 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ชาวลาวเวียงจันทน์ได้อพยพมาตั้งถิ่นฐาน อยู่
บริเวณบ้านต้นโพธิ์ และบ้านไผ่หนอง (ปัจจุบันคือพื้นที่ หมู่ที่ 6 และหมู่ที่ 7 ตำบลท่าช้าง อำเภอนคร
หลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา) ชาวลาวที่พากันอพยพมาส่วนใหญ่มีอาชีพทางช่าง มีช่างตีเหล็ก กับ
ชา่ งทำทอง
ลักษณะเด่นของมีดอรญั ญิก
ต้ังแตก่ ารเลือกวสั ดุ เชน่ เหล็ก ถ่านท่ีใช้ในการเผามีด การเผาเหล็กท่ีได้อุณหภูมิพอเหมาะที่จะ
ทำการตขี ้นึ รปู (หลาบ) หรอื (ซ้ำ) หรอื การใชค้ อ้ นตีเนื้อเหลก็ ทเี่ ปน็ รูปแล้วให้เรียบเป็นมันมเี น้อื แน่น (ไห่)
การแต่งให้ไดร้ ูปเล่มทส่ี วยงาม การทำคมใหเ้ หมาะสมกับชนดิ การใช้งานของมดี และการชุบคมให้แข็งซึ่ง
เป็นสตู รลับและภมู ิปญั ญาที่สบื ทอดและพัฒนากนั มา บางชนิดสามารถใชฟ้ นั ตะปูขาดโดยคมมีดไม่มีรอย
บน่ิ เลย

4.2.2.2. ปราชญ์ชาวบา้ นของจงั หวดั พระนครศรอี ยธุ ยา

จังหวัดพระนครศรีอยธุ ยา มีประวตั คิ วามเปน็ มายาวนาน ต้งั แต่เป็นราชธานเี ก่าของไทย จึง
มีปราชญ์แขนางตา่ ง ๆ ถา่ ยทอดภมู ิปัญญาจากรนุ่ สรู่ ุน่ มาจนถึงปจั จบุ นั ดังน้ี

รายวชิ าอยธุ ยาศกึ ษา สค03128 74

4.2.2.1. ประเภทเกษตรกรรม
ประชาชนส่วนใหญ่ในทุกอำเภอของจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ประกอบอาชีพ
ทางการเกษตร โดยเฉพาะการทำนาข้าว จึงมีปราชญ์ชาวบ้านด้านการทำนาอยู่ทั่วไป คนสำคัญที่
ปจั จุบันเป็นวิทยากรเผยแพรค่ วามรู้ดา้ นการทำนา ไดแ้ ก่
การทำนา และการทำป๋ยุ หมกั ชีวภาพ นายปฐพี พวงสวุ รรณ์ (อำเภอผักไห)่
4.2.2.2. ประเภทอุตสาหกรรม
ภูมิปัญญาที่ปราชญ์ชาวบ้านของจังหวัดพระนครศรีอยุธยา สืบทอดการผลิตจำหน่ายเป็น
อุตสาหกรรม ส่งตัวรุ่นต่อรุ่นจนถึงปัจจุบัน ได้แก่ การทำมีดอรัญญิก ที่อำเภอนครหลวง การทำมีด
อรัญญกิ
4.2.2.3. ประเภทพาณิชยกรรม
ปราชญ์ชาวบ้านของจังหวัดพระนครศรีอยุธยาที่ใช้ภูมิปัญญาอันสืบทอดและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
มาผลติ เปน็ สินค้าจำหน่ายมายาวนานจนมีชื่อเสยี งเป็นท่ีรู้จักของจงั หวัดพระนครศรีอยุธยา คือบุคคลท่ีมี
องคค์ วามร้ใู นการผลติ พัดสานจากอำเภอบา้ นแพรก นางระยอง แกว้ สิทธิ์
4.2.2.4. ประเภทคหกรรม
จังหวัดพระนครศรีอยุธยา มีปราชญ์ทางด้านการทำขนมไทย โดยเฉพาะขนมบ้าบิ่นต้นตำหรับ สืบ
ทอดมาจากรุน่ พ่อแม่ นางทองสขุ พึ่งเณร
4.2.2.5. ประเภทศลิ ปหัตกรรม ศิลปะการแสดง และศลิ ปทัว่ ไป
พระนครศรีอยธุ ยา เป็นกรุงเก่า จงึ มีปราชญ์ทางด้านศิลปะแขนงตา่ ง ๆ จำนวนมาก ได้แก่ การทำ
เมรุลอย นายไสว สนธิ อำเภอเสนา หมอทำขวัญนาค นายเฉลียว นกทอง อำเภอมหาราช ปี่พาทย์
นายวิชัย บุญพยัคฆ์ อำเภอเสนา ดอกไม้ไฟ นายสมใจ สุขสม อำเภอเสนา การแสดงลิเก นายเด่นชัย
อเนกลาภ นายสมพงษ์ ไตรหาญ (สมพงษบ์ ้านแพน) นายอำนาจ แสงออ่ น (แพทองเพชรรงุ่ เรือง)
นายชรูด กิจโชคดี (คณะรวมมิตรบ้านแพน) แตรวง นายบุญลือ ธนีรมย์ อำเภอเสนา ดนตรีไทย (วงป่ี
พาทย)์ นายวเิ ชียร จำปาทพิ ย์ อำเภอมหาราช การแสดงดนตรีไทย ดร.พินิจ ฉายสุวรรณ์ การดนตรี
ไทย (ระนาด) นายเฉลียว จำนงถ้อย นางพรวิไล ทรพั ย์สุจริต

รายวชิ าอยธุ ยาศึกษา สค03128 75

ข้อมูลปราชญ์ชาวบ้านท่ีสำคัญ
นางระยอง แก้วสิทธิ์
พดั สานบ้านแพรก

ปจั จบุ นั อยู่บา้ นเลขที่ 9/1 หมู่ท่ี 4 ตำบลบา้ นใหม่ อำเภอบา้ นแพรก จังหวดั พระนครศรอี ยุธยา
หมายเลข โทรศัพท์ 089 – 0863195 เกิดวันท่ี 23 เมษายน 2499 อายุ 56 ปี

นายไสว สนธิ
การทำเมรุลอย
สร้างครั้งแรกประมาณ ปี พ.ศ.2480 ในงานปลงศพโยมแม่ของ เจ้าอาวาสวัดประดู่โลกเชษฐ์
ผู้ออกแบบและควบคุมการสร้างคือพระอาจารย์เทียม พระสงฆ์จากวัดกษัตราธริ าช ซึ่งเป็นพระภิกษุทีม่ ี
ความสามารถด้านงานช่าง มีฝีมือหลายด้าน โดยเฉพาะงานก่อสร้าง ซึ่งช่างที่ร่วมสร้างเมรุลอย ในขณะ
นน้ั มีนายสาย ฤกษอ์ ุโฆษ รวมอยู่ดว้ ย สำหรบั พระอาจารยเ์ ทยี ม เคยสรา้ งเมรุลอยสามชั้น ยอดเดียวใชใ้ น
การเผาศพที่วัดกษัตราธิราช ในสมัยที่ยังไม่มีเมรุปูนถาวร แต่หลังจากที่สร้างเมรุถาวรขึ้นแล้ว วัด
กษัตราธริ าชจึงเลกิ ใชเ้ มรลุ อยในการเผาศพ เมรลุ อยทที่ ่านสรา้ งไวป้ จั จุบันไม่เหลือร่องรอยให้ศึกษา ส่วน
เมรุลอยหลังที่ พระอาจารย์เทียมสร้างขึ้นในวัดประดู่โลกเชษฐ์นั้น หลังจากเสร็จงานแล้ว ทางวัดจึงเกบ็
รักษาไว้ให้วัดต่างๆ ในอำเภอเสนา และอำเภอใกล้เคียงยืมใช้ในการเผาศพ โดยมี นายสาย ฤกษ์อุโฆษ
เปน็ ผูด้ แู ลรกั ษา

รายวชิ าอยธุ ยาศกึ ษา สค03128 76

ในปัจจุบันเมื่อสังคมไทยได้เห็นความสำคัญต่อการสืบสานมรดกทางวัฒนธรรมในเมรุลอย จึงมี
ช่างรุ่นใหม่เกิดขึ้น ได้รับการสืบทอดดังกล่าว ช่างที่มีบทบาทสำคัญในการฟื้นฟูพัฒนารูปแบบเมรุลอย
ของตำบลหวั เวยี งในปัจจบุ ัน ไดแ้ ก่ อาจารยเ์ ธนศ สนธิ บตุ รของนายไสว สนธิ (นายกเทศมนตรีตำบลหัว
เวยี ง) จบการศกึ ษาระดับปริญญาโท จากมหาวิทยาลยั ศิลปากร ได้นำความรใู้ นเร่ือง สถาปัตยกรรมไทย
และลายไทยมาปรับปรุง และพัฒนาเมรุลอยให้มีรูปแบบทางสถาปัตยกรรมและการใช้ลวดลาย อย่าง
ถูกตอ้ งและยงั ให้ความชว่ ยเหลอื เจ้าของเมรุลอย หลายๆ ราย ในการออกแบบลายเพื่อปรับปรงุ เมรุลอย
ของตนเอง

4.2.3 แหลง่ เรียนร้ทู ส่ี ำคัญของจงั หวดั พระนครศรีอยธุ ยา

พพิ ิธภัณฑส์ ถานแห่งชาติเจา้ สามพระยา

หลังจากพบเครื่องทองและโบราณวัตถุในกรุพระปรางค์วัดราชบูรณะ พระบาทสมเด็จพระ
เจ้าอยู่หัวพระราชทานคำแนะนำให้เก็บรักษาโบราณวัตถุเหล่านั้นแสดงไว้ในพื้นที่ และพระบาทสมเด็จ
พระเจ้าอยู่หัวได้เสด็จมาทรงทำพิธีเปิดพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเจ้าสามพระยาเมื่อวันที่ ๒๖ ธันวาคม
พ.ศ.๒๕๐๔

พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติเจ้าสามพระยามีอาคารจัดแสดง ๓ อาคาร อาคารที่ ๑ สิ่งที่จัด
แสดงไดแ้ กจ่ ดั เคร่ืองทองและวัตถุโบราณจากวัดราชบูรณะ พระบรมสารรี ิกธาตุจากวัดมหาธาตุ เศียร
พระพุทธรูปอ่ทู องจากวัดธรรมิกราช พระพุทธรูปศลิ ปะทวารวดจี ำหลักจากหินทรายขาวอายุกว่าพันปี
ซ่ึงเป็น ๑ ใน ๖ องค์ของโลก เคร่ืองไม้จำหลักอ่ืนๆ เช่น หนา้ บัน โขนเรอื ครุฑ บานประตูพระสถูป
วัดพระศรีสรรเพชญ์ อาคารที่ ๒ จัดแสดงเครื่องดนิ เผายุคก่อนประวตั ิศาสตร์จนถึงยุครัตนโกสินทร์
ส่วนอาคารที่ ๓ จัดแสดงนิทรรศการภาพเก่าของอยุธยารวมทั้งเคร่ืองใช้ในครัวเรือนของไทยโบราณ
ซ่ึงลว้ นน่าชมย่ิง

รายวิชาอยธุ ยาศึกษา สค03128 77

พระราชวงั หลวง

บรเิ วณพระราชวงั หลวงท่ีขยายไปอยู่ด้านแม่นำ้ ลพบุรี แบง่ เปน็ 3 ชั้น
เขตพระราชฐานชั้นนอก เป็นพื้นท่ีราชการหลายฝ่ายเช่น เช่น ศาลาลูกขุน โรงกษาปณ์ หอแปลพระ
ราชสาสน์ เป็นต้น
พระราชฐานชั้นกลาง มีทางพระฉนวนเชื่อมไปยังด้านเหนือของวัดพระศรีสรรเพชญ์และเป็นทาง
พระราชดำเนนิ ลงสทู่ า่ เทยี บเรือพระที่นงั่ ทีเ่ รียกว่าฉนวนนำ้ เปน็ พน้ื ทีพ่ ระราชฐานฝา่ ยหนา้ มีพระที่น่ัง
องคส์ ำคัญตา่ งๆคือ
พระที่นง่ั วหิ ารสมเด็จ
ตง้ั อยู่ทางตอนใต้สดุ เป็นปราสาทยอดปรางค์ มีมุขหน้าหลงั ยาวแตม่ ุขข้างสน้ั มกี ำแพงแกว้ ล้อม 2 ดา้ น
ตามพงศาวดารกลา่ วว่าสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง โปรดใหส้ ร้าง เม่ือ พ.ศ. 2186 เพ่ือแทนพระทน่ี ัง่ มัง
คลาภิเษกที่ถกู ฟ้าผา่ ไฟไหม้ ชาวบา้ นเรยี ก "ปราสาททอง" เนื่องจาก เป็นปราสาทปิดทององคแ์ รกท่ีสร้าง
ขน้ึ สำหรับประกอบพระราชพธิ ตี า่ งๆ
พระที่นง่ั สรรเพชญปราสาท
เปน็ ปราสาทยอดปรางค์ตัง้ อยู่ตรงกลาง สร้างแบบเดียวกันกับ พระท่ีนั่งวหิ ารสมเด็จ มีมุขเด็จยน่ื ออกมา
เพือ่ เสดจ็ ออกรบั แขกเมือง มีโรงชา้ งเผอื กกระหนาบอยู่ทั้งสองขา้ ง สมยั กรุงศรีอยุธยาเป็นสถานที่
รบั แขกเมืองและทูตานุทตู โดยเฉพาะทตู ฝรง่ั เศสในแผ่นดินสมเดจ็ พระนารายณ์มหาราช

พระท่นี ง่ั สุริยาสน์อมรินทร์
เป็นปราสาทจตุรมุขก่อด้วยศิลาแลง อยตู่ ิดกำแพงริมน้ำ เดิมชือ่ พระทนี่ ่ังสุริยามรนิ ทร์ ต่อมาเปลยี่ นเป็น
ชือ่ นี้เพื่อให้คล้องกบั ช่ือ พระท่นี ง่ั สรรเพชญปราสาท ก่อสร้างเปน็ ปราสาทจตุรมุขยกพืน้ สงู กว่าพระท่นี ่งั
องค์อ่ืนๆ ใช้เป็นท่ีสำหรับประทับทอดพระเนตรขบวนแหท่ างนำ้ เคยเปน็ ทป่ี ระดิษฐสถานพระบรมศพ
สมเด็จพระนารายณม์ หาราช

รายวิชาอยธุ ยาศึกษา สค03128 78

พระที่นัง่ จักรวรรดิไพชยนต์

สมเด็จพระเจ้าปราสาททองสร้างเม่ือ พ.ศ. 2175 เดิมพระราชทานนามวา่ "พระที่นัง่ สริ ิยโสธรมหาพมิ าน
บรรยงก์" ต่อมาจึงเปลี่ยนเป็น "พระท่นี งั่ จักรวรรดไิ พชยนต"์ ลักษณะเปน็ ปราสาทตรีมุข ต้ังอย่บู น
กำแพงช้ันใน หน้าพระราชวัง เปน็ ทส่ี ำหรบั ทอดพระเนตรกระบวนแห่ในพระราชพธิ ีออกสนามและการ
ฝกึ ซ้อมกระบวนรบ เหมือนพระท่ีนั่งสุทไธสวรรย์ทีพ่ ระบรมมหาราชวงั ในปจั จุบันท่กี รงุ เทพ

เขตพระราชฐานชนั้ ใน
พระทน่ี ั่งตรมี ุข
อยขู่ ้างหลังพระทนี่ ั่งสรรเพชญปราสาท ไม่ปรากฏปที ่ีสร้าง เข้าใจว่าเดมิ เปน็ พระท่นี ั่งฝา่ ยใน และเปน็ ท่ี
ประทับในอทุ ยาน

พระท่ีน่ังทรงปนื
อยรู่ มิ สระดา้ นตะวนั ตก ใกล้พระท่ีนั่งบรรยงก์รตั นาสน์ อาจใชเ้ ป็นทีฝ่ กึ ซอ้ มเพลงอาวุธ ในสมัยสมเด็จ
พระเพทราชาทรงใช้เปน็ ทีเ่ สด็จออกขุนนาง โดยเปดิ ทางให้เขา้ ทางด้านตะวันตก ตรงรมิ คลองฉะไกร
ใหญห่ รือคลองท่อในปจั จุบัน
พระท่ีน่ังบรรยงค์รตั นาสน์ (พระที่นัง่ ท้ายสระ)
เปน็ ปราสาทจตรุ มุข ตั้งอย่บู นเกาะกลางสระนำ้ สมเด็จพระเพทราชา โปรดใหส้ ร้างขนึ้ เป็นที่ประทบั
สำราญพระราชหฤทัย เมื่อ พ.ศ. 2231 และได้เสด็จประทบั ตลอดรัชกาล มพี ระแทน่ สำหรบั
ทอดพระเนตรปลาท่ีทรงเล้ียงไว้ในสระน้ันดว้ ย เคยตง้ั พระบรมศพสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั บรมโกศและพระ
มเหสคี อื สมเด็จพระพนั วษาน้อยพระราชมารดาสมเดจ็ พระเจา้ อุทมุ พรและสมเด็จพระเจ้าเอกทัศ

วงั จนั ทรเกษม

สรา้ งในสมยั สมเด็จพระมหาธรรมราชา พระราชทานสมเดจ็ พระนเรศวรมหาราช แตเ่ ดิม
เรยี กว่าวงั จนั ทร์หรือวังใหม่ มีเจา้ นายวงั หนา้ ครองอยู่ ๘ พระองค์ หลงั เจา้ ฟ้าธรรมาธเิ บศร์ (เจ้าฟ้า
กุ้ง) สนิ้ พระชนม์วงั รา้ งมาจนเสียกรงุ รัชกาลที่ ๔ โปรดให้ปฏิสงั ขรณ์ใหญ่เพ่ือเป็นทปี่ ระทับเม่ือเสด็จ
ประพาสอยุธยา ในรัชกาลที่ ๕ พระราชทานให้เปน็ ที่ตง้ั มณฑลกรงุ เกา่ ครัง้ พระยาโบราณราช
ธานนิ ทร์ได้รับราชการเป็นสมุหเทศาภบิ าลมณฑล ( รายละเอยี ดอยู่ในแหล่งท่องเท่ยี วบทท่ี 3)

รายวชิ าอยุธยาศึกษา สค03128 79

พระราชวงั บางปะอนิ
ตั้งอยู่ที่อำเภอบางปะอิน ซง่ึ อยหู่ ่างจากเกาะเมอื งมาทางทิศใตป้ ระมาณ 18 ก.ม. สามารถเดนิ ทางไป
ได้ท้งั ทางรถยนต์และรถไฟ ในสมัยอยธุ ยา สมเด็จพระเจา้ ปราสาททองสร้างพระทีน่ ง่ั ไอศวรรยท์ พิ ย
อาสน์ขึ้นในพื้นที่ใกลก้ ับวดั ชุมพลนิกายาราม ในบรเิ วณนวิ าสสถานเดมิ ของพระราชมารดา (แม่อิน) รมิ
แม่น้ำเจา้ พระยา ภายหลังการเสียกรงุ วังนรี้ กร้างอย่จู นถึงรัชกาลที่ 4 จึงโปรดให้ฟ้ืนฟูขึ้นใหม่ โดย
สร้างพระทีน่ ่ังวโรภาสพมิ านและพระท่ีนง่ั ไอศวรรยท์ พิ ยอาสน์ ในสมัยรัชกาลท่ี 5 ทรงสร้างพระท่นี ง่ั
และอาคารต่างๆ เพม่ิ เติมอกี ซ่ึงล้วนแต่มีรูปแบบจากประเทศต่างๆ ในยโุ รปท่ที รงพบเห็นจากการเสดจ็
ประพาสยุโรปครงั้ แรก
โบราณสถานที่นา่ สนใจในพระราชวงั บางปะอิน

พระทีน่ ง่ั ไอศวรรยท์ ิพยอาสน์
เป็นอาคารโถงทรงมณฑปจัตุรมขุ อยู่กลางสระ สรา้ งในสมัยรัชกาลที่ 5 ภายในประดิษฐานพระบรม

รปู ของพระองค์ แต่เดมิ สรา้ งด้วยไมท้ ง้ั องค์ ตอ่ มา รชั กาลท่ี 6 โปรดฯให้เปลย่ี นเสาและพ้นื เปน็
คอนกรีตเสริมเหลก็ ทั้งหมด

รายวิชาอยุธยาศกึ ษา สค03128 80

พระทีน่ ั่งอทุ ยานภมู ิเสถียร
อยู่ทางทิศตะวนั ออกตรงข้ามกับสระน้ำ เดิมเปน็ พระที่นัง่ ไม้ ท้งั ชนั้ บนและชั้นล่างมีเฉลียงตามแบบ

ชาเลตของสวิส ทาสเี ขยี วอ่อนแก่สลับกนั ดว้ ยงานชา่ งทีป่ ระณีต สง่ิ ประดบั ตกแตง่ ภายในเป็นเคร่ืองเรือน
ไม้มะฮอกกานสี ลักลายทองจากยุโรปท้งั สนิ้ และเคร่ืองราชบรรณาการจากหวั เมืองต่างๆ ทวั่
ราชอาณาจกั ร พระท่ีน่งั อุทยานภูมเิ สถียรได้เกิดเพลิงไหม้หมดทงั้ องค์ขณะทีม่ ีการซ่อมรกั ษาเม่ือวนั ที่ 9
ธันวาคม พ.ศ. 2481 คงเหลอื แตห่ อน้ำ ปัจจุบนั สมเด็จพระนางเจา้ พระบรมราชินีนาถทรงขอพระบรม
ราชานุญาต สรา้ งขึ้นใหมต่ ามแบบเดมิ ทุกประการ แต่เปล่ียนวัสดุจากไม้เปน็ อาคารคอนกรีตแทน

หอวิฑูรทัศนา
เป็นพระทีน่ ั่งหอสงู ยอดมน ตง้ั อย่กู ลางเกาะน้อยในสวนเขตพระราชวังช้นั ใน ระหว่างพระท่ีนั่ง

อทุ ยานภูมเิ สถียรกบั พระท่นี ่ังเวหาศนจ์ ำรูญ เป็นพระท่นี งั่ 3 ชนั้ มีบันไดเวียน เป็นหอส่องกล้องชมภมู ิ
ประเทศบ้านเมืองโดยรอบสร้างในรชั กาลท่ี 5 เมื่อปี พ.ศ.2424 บริเวณสนามหญา้ มีหมไู่ ม้ดัดรูปชา้ งเป็น
เครอื่ งเตือนให้ระลกึ วา่ พ้นื ท่บี างปะอนิ น้ีเคยมชี า้ งอาศยั อยูด่ ้วย

รายวิชาอยธุ ยาศกึ ษา สค03128 81

พระทีน่ ั่งเวหาศน์จำรูญ
ตงั้ อย่ทู างตอนเหนือของพระราชวงั ถัดจากหอวิฑรู ทัศนา พระทนี่ ั่งองค์นี้มีนามเป็นภาษาจนี ว่า

"เทียน เมง่ เต้ย" (เทยี น=เวหา, เมง่ =จำรญู , เตย้ =พระทนี่ ัง่ ) ประชาชนทัว่ ไปเรยี กว่า "เกง๋ จีน" เพือ่ เป็นท่ี
ประทับในฤดหู นาว โดยกลุม่ พ่อค้าชาวจนี ในไทยซงึ่ นำโดยพระยาโชดึกราชเศรษฐี (ฟัก โชติกสวัสด)์ิ
สรา้ งถวาย รชั กาลท่ี 5 ในปี พ.ศ. 2432 ลกั ษณะเปน็ พระที่น่งั ศลิ ปะแบบจนี ท่มี ลี ายแกะสลกั ได้งาม
วจิ ิตร โถงท้องพระโรงดา้ นหน้าพระทีน่ ง่ั ปดู ว้ ยกระเบือ้ ง แบบกังไส เขยี นภาพด้วยมือทุกช้ิน แม้ว่าภาพ
จะเหมอื นกันแต่เน่ืองจากเปน็ งานฝีมือ จึงชวนศกึ ษาชื่นชมความงดงามในรายละเอยี ดที่แตกต่าง กัน
สว่ นทที่ ้องพระโรงกลางเปน็ ท่ีประดษิ ฐานพระป้ายจารึกพระปรมาภไิ ธยภาษาจีน เรยี กวา่ เกสิน (หรอื เก
ซ้งิ ) คือพระป้ายพระปรมาภิไธยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกลา้ เจ้าอยู่หวั กบั สมเดจ็ พระเทพศริ ิน
ทราบรมราชนิ ี และพระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกล้าเจ้าอยู่หวั กบั สมเด็จพระศรพี ัชรินทราบรมราชนิ ี
นาถจดั พระราชพิธสี งั เวยในวนั แรกก่อนถึงวันตรุษจีนของทุกปี

พระที่นัง่ วโรภาษพิมาน
สรา้ งสมยั รัชกาลท4ี่ อยู่ด้านเหนอื ของ "สะพานเสดจ็ " ซึ่งเป็นท่าน้ำสำหรบั เสดจ็ พระราชดำเนนิ ข้ึน

ลง เดิมเป็นพระที่นงั่ ไม้สองชั้น ใช้เปน็ ที่ประทับและท้องพระโรงร่วมกัน ต่อมารัชกาลที่5 โปรดฯใหร้ อื้
สร้างใหม่เป็นอาคารชั้นเดียวทรงวิหารกรีกแบบคอรินเธยี รออร์เดอร์ภาษาจนี เรียกว่า เกสิน (หรือ เกซิ้ง)
ใช้เป็นท้องพระโรงสำหรับเสด็จออก ขุนนางและในรชั กาลท่ี6 เคยเป็นสถานท่ปี ระกอบพระราชพิธี
อภิเษกสมรสพระบาทสมเจ้าพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีและเคยเป็นท่ี
รับรองแขกเมืองหลายคร้ัง เช่นปี พ.ศ. 2436 รบั รองพระเจ้าชาร์ลคลสั แห่งประเทศรัสเซีย ปี พ.ศ. 2436
รบั รองมองซเิ ออราวีร์ ทูตฝรง่ั เศส และปี พ.ศ. 2452 รบั รองดุ๊กและดัชเชสโยฮันเบรต แห่งเมืองบรัน
ทวที แหง่ ประเทศเยอรมัน ถึงในปัจจุบัน ก็ยังใช้เป็นที่รับรองแขกเมอื งสำคัญอยู่เสมอ ส่งิ สำคญั ในพระที่
นัง่ เป็นภาพชดุ พระราชพงศาวดาร กับภาพจากวรรณคดี พระทนี่ ่ังแห่งนยี้ งั เป็นท่ีประดิษฐานพระแทน่
เศวตฉัตรอนั แสดงความเป็นเขตพระราชฐาน ดว้ ย

รายวิชาอยธุ ยาศกึ ษา สค03128 82

หอเหมมณเฑียรเทวราช
ตั้งในเขตพระราชวังชั้นนอกริมสระใต้ตน้ โพธ์ิ ศาลเดิมชาวบ้านสรา้ งไว้ อทุ ศิ ถวายพระเจา้ ปราสาท

ทอง กษัตรยิ ์กรุงศรีอยธุ ยา สมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจ้าอยู่หัว ทรงสร้างใหม่เป็นพระปรางคศ์ ลิ า เพื่อ
ประดษิ ฐานเทวรูปสมเด็จพระเจา้ ปราสาททอง เพื่อ ใช้แก้บนตามทีท่ รงอธษิ ฐานไว้ในคราวเหตเุ รอื พระ
ประเทียบล่มทต่ี ำบลบางพดู เม่อื พ.ศ.2422 เพื่อขอให้พระราชโอรสคอื สมเด็จเจ้าฟ้าวชริ ุณหิศทรง
ปลอดภยั

อนุสาวรีย์สมเดจ็ พระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ (อนุสาวรีย์พระนางเรอื ล่ม)
ตั้งอยู่ทางดา้ นทิศตะวันออกของพระราชวงั ก่อสรา้ งด้วยหนิ ออ่ นก่อเป็นแท่ง 6 เหล่ียม สงู 3 เมตร

บรรจพุ ระสรริ ังคารของสมเด็จพระนางเจ้าสนุ ันทา กุมารรี ัตนพ์ ระมเหสีในพระบาท สมเด็จพระ
จุลจอมเกลา้ เจ้าอยู่หัวซึง่ สนิ้ พระชนม์ในอุบัติเหตเุ รอื พระประเทียบล่มพร้อมเจ้าฟ้ากรรณาภรณเ์ พชรัตน์
พระราชธิดาและพระโอรสในพระครรภ์

สภาคารราชประยูร
เป็นตกึ สองช้นั ศลิ ปะแบบฝรง่ั เศสตง้ั อยู่ริมน้ำตรงหนา้ พระทนี่ ั่งวโรภาษพิมาน ในเขตพระราชวงั

ช้นั นอกสรา้ งในรชั กาลที่ 5 สำหรับใช้เป็นทปี่ ระทบั ของเจ้านายฝา่ ยหน้าและขา้ ราชบริพาร

เกง๋ บปุ ผาประพาส
เป็นตำหนกั เล็กแบบเรอื นขนมปงั ขิงอยู่กลางสวนรมิ สระนำ้ เพ่ือเป็นทีป่ ระทบั สำราญพระอริยาบท

ของเจา้ นายฝา่ ยใน สรา้ งในสมัยรชั กาลที่5 และในเขตพระราชวังช้นั ในน้ียงั มีหมู่พระตำหนกั ของเจา้ นาย
ฝา่ ยในอกี หลายหลงั ท่ีมรี ูปแบบทางศลิ ปะตา่ งๆกนั เปน็ น่าศึกษาอย่างย่ิง

รายวชิ าอยธุ ยาศึกษา สค03128 83

วัดนิเวศธรรมประวตั ิ
วัดไทยในแบบฝร่งั ตง้ั อยูบ่ นเกาะกลางแมน่ ้ำเจ้าพระยา ฝง่ั ตรงขา้ มกบั พระราชวังบางปะอนิ
พระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยหู่ วั โปรดใหส้ รา้ งพระอโุ บสถศิลปะแบบโกธิค(Gothic)นี้ เม่อื พ.ศ.
2421 ภายในประดับตกแต่งด้วยกระจกสี อย่างสวยงาม อย่างโบสถฝ์ ร่ัง แมแ้ ต่ฐานชกุ ชีทป่ี ระดิษฐาน
พระประธาน คอื พระพุทธนฤมลธรรโมภาสและพระสาวก กท็ ำเหมือนทต่ี ั้งไม้กางเขนในโบสถค์ ริสต์
ชอ่ งหน้าต่างที่เจาะไวก้ เ็ ปน็ หน้าตา่ งโค้งที่ฝาผนงั โบสถด์ ้านหนา้ พระประธานจะเห็นภาพประดษิ ฐ์กระจก
สเี ป็นพระบรมฉายาลักษณ์ของรชั กาลที่ 5 ต่างไปจากภาพมารผจญตามคตินยิ มเดิม ถัดไปทางขวา
ของ พระอโุ บสถมีหอประดิษฐานพระคันธารราษฎร์ ซง่ึ เป็นพระพทุ ธรูปยืนปางขอฝนตรงข้ามกบั หอพระ
คนั ธารราษฎรเ์ ปน็ ทป่ี ระดิษฐานพระ พทุ ธรูปศิลาปางนาคปรกอายนุ บั พนั ปฝี มี ือช่างขอมโบราณ
ประดิษฐานอย่ใู ต้ต้นพระศรีมหาโพธใิ์ หญ่

พระราชานสุ าวรยี ส์ มเดจ็ พระสรุ โิ ยทยั

เปน็ พระอนสุ าวรีย์ของวรี สตรีสมัยอยุธยาคือสมเด็จพระสุริโยทยั ตั้งอยบู่ นเกาะกลางน้ำพ้ืนท่ี
แกม้ ลงิ บรเิ วณทุ่งมะขามหยอ่ ง ตำบลบ้านใหม่ อำเภอพระนครศรอี ยธุ ยา ซง่ึ มพี น้ื ทีป่ ระมาณ 250 ไร่ ตัว
อนสุ รณ์สถาน ประกอบด้วยพระราชานสุ าวรยี ส์ มเดจ็ พระสุรโิ ยทยั ทรงพระคชาธารเครอ่ื งม่ันซ่งึ ในพระ
ราชพงศาวดารกล่าวชอ่ื ว่าคือพลายทรงสรุ ยิ กษตั รยิ ์

รายวชิ าอยุธยาศึกษา สค03128 84

พระเจดยี ์ศรีสรุ โิ ยทยั

เจดยี พ์ ระศรีสรุ โิ ยทัยอยใู่ นเกาะเมอื งดา้ นทิศตะวนั ตก ตดิ กับสำนกั งานโบราณคดีและ
พิพธิ ภัณฑสถานแห่งชาตทิ ี่ 3 ถนนอู่ทอง ( รายละในบคุ คลสำคญั บทที่ 6 )

วดั พระศรสี รรเพชญ์

( รายละเอียดอยู่ในเร่ืองแหล่งทอ่ งเท่ียว บทที่ 3 )

รายวชิ าอยุธยาศกึ ษา สค03128 85

วัดพระมงคลบพิตร

http://www.gejisiam.com/board-784
ตัง้ อยทู่ างดา้ นทิศใต้ของวัดพระศรีสรรเพชญ์ วหิ าร พระมงคลบพิตรประดิษฐานพระพุทธรปู สำคญั
เป็นพระพุทธรปู บุสมั ฤทธ์ิปางมารวชิ ยั พระนามพระมงคลบพติ ร มขี นาดหน้าตกั กวา้ ง 9.55 เมตร และสูง
12.45 เมตร ไมม่ หี ลกั ฐานแน่ชดั ว่าสร้างในสมัยใด สนั นิษฐานวา่ สรา้ งในสมยั กรงุ ศรีอยุธยาตอนต้นราว
พ.ศ. 1991-2145 สมเด็จพระเจา้ ทรงธรรมโปรดเกล้าฯให้ย้ายจากทศิ ตะวันออกนอกพระราชวงั มาไว้
ทางด้านทิศตะวันตกทปี่ ระดษิ ฐานอยใู่ นปัจจบุ ันและโปรดเกลา้ ฯให้กอ่ มณฑปสวมไว้
ในคราวเสยี กรุงศรีอยธุ ยาครงั้ ที่ 2 พ.ศ. 2310 วิหารพระมงคลบพติ รถูกข้าศึกเผาเครอ่ื งบนโทรมลงมา
ตอ้ งพระเมาฬแี ละพระกรขวาของพระมงคลบพิตรหกั รัชกาลท่ี 5 โปรดเกล้าฯ ให้พระยาโบราณราช
ธานินทร์ทำการปฏสิ งั ขรณใ์ หม่

รายวชิ าอยธุ ยาศกึ ษา สค03128 86

วดั ใหญช่ ัยมงคล
( รายละเอยี ดอยูใ่ นแหล่งทอ่ งเทีย่ ว บทท่ี 3 )

วดั พนญั เชิงวรวิหาร
( รายละเอียดอยใู่ นแหล่งท่องเที่ยว บทที่ 3 )

รายวิชาอยุธยาศึกษา สค03128 87

วัดพระรามและบงึ พระราม

http://1millionacts.com.au/5http://www.oocities.org/capitolhill/congress/7905/watthai/
wth_ayt8.htm

วดั พระราม ตงั้ อยนู่ อกเขต พระราชวัง ทางด้านทิศตะวนั ออก ตำบลประตูชยั อำเภอพระนครศรีอยุธยา
ตรงข้ามกบั วิหารพระมงคลบพิตรและคุม้ ขุนแผน สมเด็จพระราเมศวรสรา้ งในท่ีถวายพระเพลิงพระบรม
ศพสมเดจ็ พระรามาธิบดที ่ี 1 (พระเจ้าอทู่ อง) เมื่อสมเดจ็ พระบรมราชาธิราชที่ 1 ทรงได้ราชสมบัตใิ นปี
ต่อมาคงชว่ ยเหลือให้สรา้ งจนสำเร็จหรืออาจจะสร้างเสรจ็ เมอ่ื สมเดจ็ พระราเมศวรเสวยราชย์ครง้ั ที่ 2 ก็
เปน็ ได้

ผังของสิ่งก่อสรา้ งในวดั เป็นแบบแนวแกนตะวนั ออกตะวันตก

พระวหิ ารอยู่ดา้ นหน้าพระปรางประธานอยู่ด้านหลังถดั ไปในแนวแกนเดยี วกนั โดยมุขหลังของพระวิหาร
อยู่ในขอบเขตของกำแพงแกว้ ที่ล้อมรอบองค์ปรางค์ประธานพระอุโบสถแมจ้ ะวางตัวในแนวเดยี วกันแต่
จะแยกออกไปนอกกกำแพงแก้ว

รายวิชาอยธุ ยาศึกษา สค03128 88

วดั มหาธาตุ

http://www.zthailand.com/place/wat-mahathat-ayutthaya/
วัดมหาธาตุ เปน็ วดั ท่ีเกา่ แกน่ ่าจะมีรากฐานเดิมมาก่อนการสถาปนากรุงศรีอยธุ ยา สันนิษฐานวา่ ได้
สถาปนาข้ึนใหม่ในรัชกาลสมเดจ็ พระราเมศวรและสมเด็จพระบรมราชาธิราชท่ี 1 อาจสร้างตอ่ มาจนแล้ว
เสร็จ ในสมยั สมเด็จพระเจา้ ทรงธรรม พระปรางค์เคยพังลงมาเกือบคร่ึงองค์ถงึ ชั้นครุฑ จนถงึ รัชกาล
สมเด็จพระเจ้าปราสาททองทรงบรู ณะใหม่ โดยกอ่ เสรมิ ให้สงู ข้นึ อีกจาก 19 วา เป็น 25 วา ก่อนเสีย
กรุงวดั น้ถี กู เพลิงไหม้ครง้ั ใหญ่ในคืนวันท่ี 3 มกราคม 2309 ซง่ึ ในขณะนั้นยงั มีพระศพพระสงั ฆราชถึง
2 พระองค์ ที่ต้ังรอการถวายพระเพลิงอยู่ท่ีวัดนี้ จนต้นรัชกาลที่ 6 กรงุ รัตนโกสินทร์ พระปรางคก์ ็
พังทลายลงมาอีกครง้ั ดังที่เห็นอยู่ในสภาพปัจจุบนั ต่อมาคนรา้ ยลักขดุ กรุพระปรางค์ทางราชการทราบ
จงึ เขา้ ทำการขดุ ต่อจนไดพ้ บพระบรมสารีรกิ ธาตุ

http://www.saveoursea.net/boardapr

รายวิชาอยุธยาศึกษา สค03128 89

วัดโลกยสุธาราม

http://www.skyscrapercity.com/showthread.php?
วัดโลกยสุธารามตั้งอยู่ที่ตำบลประตูชัย อำเภอพระนครศรีอยุธยา ตั้งอยู่ทางด้านหลังพระราชวัง

หลวง และโรงเรียนประตูชัย ใกล้กับวัดวรโพธิ์ และวัดวรเชษฐาราม เป็นพระอารามอยู่ใกล้พระราชวัง
หลวงสันนิษฐานพระพุทธไสยาสน์ ปางไสยาสน์สร้างในสมัยอยธุ ยาตอนกลาง ดว้ ยการก่ออิฐถือปูน พระ
พักตร์หันไปทางทิศเหนือ ที่พระเศียรมีดอกบัวรองรับ พระบาทซ้อนกันเป็นมุมฉาก นิ้วพระบาทยาว
เท่ากัน มีความยาว 42 เมตร และสูง 8 เมตร พระพุทธไสยาสน์องค์นี้ได้รับการบูรณะโดยโรงงานสุรา
ร่วมกับกรมศิลปากร เมื่อปี พ.ศ. 2497 และต่อมาในปี พ.ศ. 2532 คุณหญิงระเบียบ ธำรงนาวาสวัสด์ิ
และครอบครัว ได้บูรณะพระพุทธไสยาสน์องค์นี้จนช่วงอุทกภัยปี 2554 องค์พระร้าวและตรงส่วนข้อ
พระบาทหกั จงึ ต้องทำการบูรณะอกี คร้ัง

วดั หน้าพระเมรุ

( รายละเอยี ดอยู่ในแหล่งทอ่ งเทยี่ ว บทที่ 3 )

http://www.oknation.net/blog/KTW

รายวชิ าอยธุ ยาศึกษา สค03128 90

วัดพุทไธศวรรย์

http://www.bloggang.com/mainblog.php?
ตั้งอยู่ริมแม่นำ้ เจา้ พระยาฝั่งตะวันตก ในตำบลสำเภาล่ม อำเภอพระนครศรีอยุธยา วัดพุทไธศวรรย์
เคยเป็นพระอารามหลวงท่ใี หญแ่ ละมีความสำคัญมาก เพราะสมเด็จพระรามาธบิ ดีท่ี 1(พระเจา้ อู่ทอง)
ทรงสร้างข้ึนในบริเวณทตี่ งั้ พระตำหนกั ช่ัวคราวเม่ือทรงอพยพมารอการสร้างกรุงเป็นเวลาถงึ 3 ปี ที่
ตรงนี้มีชือ่ ปรากฏในพระราชพงศาวดารว่า "ตำบลเวยี งเลก็ หรอื เวยี งเหลก็ " เมอ่ื สถาปนากรุงศรีอยธุ ยา
แลว้ 3 ปี คอื พ.ศ. 1896 จงึ โปรดใหส้ รา้ งวัดพุทไธศวรรย์นข้ี ้นึ ณ ตำบลเวยี งเหลก็ ซ่ึงพระมหากษัตรยิ ์
องค์ต่อ ๆ มาก็ทรงทำนบุ ำรุงตลอดมา และคงมีการสรา้ งถาวรวตั ถุ เพม่ิ เตมิ ข้ึนอีกหลายอยา่ งซงึ่ เห็นได้
วา่ มคี วามหลากหลายในยุคสมัยทางศิลปะ

รายวิชาอยุธยาศึกษา สค03128 91

มขุ สว่ นหนา้ ของปรางคอ์ งคป์ ระธานเคยมี เทวรูปพระเจา้ อทู่ อง
ประดิษฐานอยู่ แต่ไดถ้ กู อญั เชิญลงไปกรุงเทพฯ ในสมยั พระบาทสมเด็จ
พระพทุ ธยอดฟา้ จฬุ าโลก โดยพระองคท์ รงใหห้ ลอ่ แปลงเทวรูปเดมิ ใหเ้ ป็น
พระพทุ ธรูปหมุ้ เงินทงั้ องค์ แลว้ นาไปประดษิ ฐานไวใ้ นวดั พระแกว้ ทงั้ นี้
รชั กาลที่ 1 ทรงใหห้ ลอ่ พระพทุ ะรูปยนื ทรงเคร่อื ง แลว้ นามาประดิษฐานไว้
ตรงมขุ ดา้ นขา้ งของปรางคป์ ระธานเป็นการทดแทน
(เรือ่ งวดั พทุ ไธศวรรย:์ สถาบนั อยธุ ยาศึกษา)

http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id
http://www.ayutthayastudies.aru.ac.th/content/view/212/116/

รายวชิ าอยธุ ยาศึกษา สค03128 92

วดั กษัตราธิราชวรวหิ าร

วัดกษัตราธิราชวรวิหาร เป็นวัดริมฝั่งแม่น้ำเจา้ พระยาอยู่นอกเกาะเมืองตั้งอยู่ตรงข้ามกับเจดีย์พระ
ศรีสุริโยทัย เดิมเรียกชื่อ "วัดกษัตรา" หรือ "วัดกษัตราราม" เป็นวัดเก่าแก่โบราณสร้างในสมัยกรุงศรี
อยุธยาเป็นราชธานี ในต้นรัตนโกสินทร์เกิดเหตุการณ์ที่พระราชพงศาวดารบันทกึ ว่า “...ปีขาลสัมฤทธิ
ศก จุลศักราช 1180 พ.ศ. 2361 วันเสาร์เดือน 6 ขึ้น 12ค่ำเวลาพลบ เกิดพายุใหญ่ที่กรุงเก่าฟ้าผ่ายอด
พระเจดีย์ วดั ภเู ขาทอง วดั เจ้าขรัว และพระปรางค์วัดกษัตรายอดหัก พระเจดยี ์วัดภูเขาทอง และวัดเจ้า
ขรัวใครปฏิสังขรณ์ปรากฏไม่ ได้ความแต่ว่าวัดกระษัตรานั้น เจ้าฟ้ากรมขุนอิศรานุรักษ์ทรงปฏิสังขรณ์”
(ตน้ ราชสกุลอศิ รางกลู ณ อยุธยา )วัดกษัตราธริ าชเปน็ วดั ทค่ี วามงามด้วยศลิ ปกรรม และทิวทศั นโ์ ดยรอบ
โดยเฉพาะพระอุโบสถที่ประดับด้วยหินอ่อนที่นำเข้าจากอิตาลีคราวเดียวกับการสร้างวัดเบญจมบพิตร
และคันทวยไมจ้ ำหลักที่อ่อนช้อยสวยงามที่หลงเหลอื มาจากสมยั อยุธยา

วดั ไชยวัฒนาราม

( รายละเอยี ดอยใู่ นแหลง่ ทอ่ งเที่ยว บทท่ี 3 )

รายวชิ าอยุธยาศึกษา สค03128 93

วัดมเหยงคณ์

สันนิษฐานวา่ ตั้งช่ือตามมหิยังคณะเจดีย์ในลงั กาทวีป ต่อมารัชกาลสมเด็จพระเจ้าอยูห่ ัวท้ายสระ ทรง
พระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ทำการปฏิสังขรณ์วัดมเหยงคณ์ ครั้งหนึ่งเมื่อ พ.ศ. 2252 โดยเสด็จมาตรวจ
ตราการปฏิสังขรณ์อยู่เนือง ๆ จึงโปรดให้สร้างพระตำหนักที่ประทับขึ้นบนพื้นท่ีทางด้านทิศใต้นอก
กำแพงวัดลักษณะเปน็ อาคารตึก 2 ชั้น แบบเดียวกับวดั กฎุ ีดาว และตำหนักพระพทุ ธโฆษาจารย์

วัดประดู่ทรงธรรม

https://www.gotoknow.org/posts/538018
ตั้งอยู่นอกเกาะเมอื งด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนอื ในกลุ่มวัดเขตเมืองอโยธยาเป็นวัดโบราณสร้างใน

สมัยอยุธยา แต่ไม่พบหลักฐานเกี่ยวกับการสร้างเพียงกล่าวในพงศาวดารปี 2163 ความว่าในคราวท่ี
พระภิกษุสงฆ์ของวัดประดู่ 8 รูป ได้ช่วยเหลือพระเจ้าทรงธรรม ให้หลบหนีจากการก่อกบฏของพวก

รายวชิ าอยธุ ยาศกึ ษา สค03128 94

ญี่ปุ่นที่หมายปลงพระชนม์ชีพ ซึ่งเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นที่พระที่นั่งจอมทองในวัดพระศรีสรรเพชญ์
นอกจากนี้ยังมี การกล่าวถึงในคราวที่พระเจ้าอยู่หัวอุทุมพร หรือที่เรียกกันว่า "ขุนหลวงหาวัด"
หลังจากทรงผนวชทีว่ ัดอโยธยาแล้วได้เสด็จมาพำนักทวี่ ัดประดู่ทรงธรรม เม่อื พม่าลอ้ มกรุงจึงเสด็จไป
พำนักที่วัดราชประดิษฐานก่อนถูกกวาดต้อนไปอังวะภายหลังการเสียกรุงศรีอยุธยาในปี พ.ศ. 2310

วดั ชมุ พลนิกายาราม

วัดชุมพลนกิ ายาราม เปน็ พระอารามหลวงช้ันโท ชนิดราชวรวหิ าร ตั้งอยูท่ ่ีหัวเกาะบางปะอิน ตำบล
บ้านเลน อำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ติดต่อกับเขตอุปจาระพระราชวังบางปะอิน มี
อาณาเขตโดยยาวประมาณ 4 เส้นเศษ ดา้ นเหนือกวา้ ง 1 เสน้ เศษ ด้านในยาวประมาณ 4 เสน้ เศษติดกับ
พระราชวงั บางปะอิน ด้านตะวนั ออกติดคลอง ด้านตะวนั ตกจรดลำน้ำเจา้ พระยา

ศูนยศ์ ลิ ปาชีพบางไทร

พ.ศ. 2523 สมเด็จพระนางเจา้ สิรกิ ิต์ิ พระบรมราชินนี าถ โปรดเกล้าฯ ให้จัดต้ังศนู ยฯ์ แหง่ นี้ขน้ึ ริมฝั่ง
แมน่ ำ้ เจา้ พระยา ตำบลช้างใหญ่ อำเภอบางไทร ( รายละเอยี ดอยใู่ น บทที่ 3 เรอื่ งแหล่งท่องเทยี่ ว )

รายวิชาอยุธยาศกึ ษา สค03128 95

หมูบ่ ้านโปรตเุ กส

http://www.holidaythai.com/browse_all.php?p=302
หมู่บ้านโปรตุเกส ตั้งอยู่ที่ตำบลสำเภาล่ม บริเวณริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาทางทิศตะวันตก อยู่ทางใต้
ของตัวเมือง ชาวโปรตุเกสเป็นชาวยุโรปชาติแรกที่เข้ามาติดต่อค้าขายกับกรงุ ศรีอยุธยาเมื่อปีพ.ศ. 2054
โดยอัลฟองโซ เดอ อัลบู- เคอร์ก ผสู้ ำเร็จราชการของโปรตุเกส ประจำเอเซยี ได้ส่งนายดอู าร์เต้ เฟอร์นัน
เดส เป็นทูตเข้ามาเจรญิ สัม พันธไมตรีกับสมเด็จพระรามาธบิ ดีที่ 2 แห่งกรุงศรีอยธุ ยา ชาวโปรตุเกสเข้า
มาต้ังหลกั แหลง่ คา้ ขายและ เป็นทหารอาสาในกองทัพสมเดจ็ พระไชยราชา เป็นตน้ มา สร้างโบสถ์ขนึ้ เพื่อ
เผยแพรศ่ าสนาและเปน็ ศนู ย์กลางของชุมชน

หมบู่ า้ นญ่ีปนุ่

หมู่บ้านญี่ปุ่น ตั้งอยู่ที่ตำบลเกาะเรียน สามารถเดินทางจากวัดพนัญเชิงไปอีกประมาณ 1 กิโลเมตร
ก็จะเห็นอาคารผนวกหมู่บ้านญี่ปุ่นตั้งอยู่ทางด้านขวามือ ในสมัยกรุงศรีอยุธยามีชาวต่างประเทศเข้ามา
ค้าขายเปน็ จำนวนมาก ญี่ปุน่ เปน็ ชนชาตหิ นงึ่ ที่เดินทางเขา้ มาในสมยั น้ัน

รายวิชาอยุธยาศึกษา สค03128 96

ค้มุ ขุนแผน

ตั้งอยู่ที่ถนนป่าโทน เป็นตัวอย่างของหมูเ่ รือนไทยภาคกลาง ในรูปแบบเรือนคหบดีไทยสมัยโบราณ
เดิมเป็นจวนสมุหเทศาภิบาล มณฑลกรุงเก่า พลตรีสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมขุนมรุพงศ์สิริพัฒน์
ทรงสร้างขึ้นในปีพ.ศ. 2437 ที่เกาะลอยบริเวณวัดสะพานเกลือซึ่งอยู่ตรงข้ามพระราชวังจันทรเกษม
ตอ่ มาในราวปพี .ศ. 2483 นายปรีดี พนมยงค์ รฐั บุรษุ อาวโุ สไดย้ ้ายจวนหลังนี้มาสรา้ งในบรเิ วณที่เคย
เป็นที่ตั้งคุกนครบาลสมัยกรุงศรีอยุธยา พร้อมทั้งสร้างเรือนไทยเพิ่มขึ้นอีกในปี พ.ศ. 2499 และให้ชื่อ
เรอื นไทยนี้ว่าค้มุ ขุนแผน ซง่ึ ในวรรณคดเี รอ่ื ง “เสภาขุนช้าง ขุนแผน”

เพนียดคล้องชา้ ง

http://www.weekendhobby.com/board/photo
ตั้งอยตู่ ำบลสวนพริก ทุ่งทะเลหญา้ ซ่ึงย้ายมาจากเพนียดวัดซอง บริเวณหวั รอในรัชกาลสมเด็จ
พระมหาจักรพรรดิและทำหน้าที่เป็นสถานที่คล้องช้างที่ต้อนมาจากป่าเขาใหญ่ดงพญาไฟ หรือดงพญา
เยน็ ในปจั จุบันข้ามแมน่ ้ำมาทต่ี ำบลทา่ ช้างและปากจนั่ และต้องเปน็ เพนียดเพ่ือใหห้ มอช้างเลือกคล้องช้าง
ลักษณะดไี ว้ใช้ในราชการ ไดช้ ำรุดทรุดโทรมในชว่ งเสียกรุง จนรชั กาลท่ี 1 ทรงโปรดใหม้ ีการซอ่ มแซม

รายวชิ าอยุธยาศกึ ษา สค03128 97

บทที่ 5
ความเช่ือ วัฒนธรรม และประเพณีของชาวอยุธยา

แนวคดิ
ความเชื่อ วัฒนธรรม และประเพณี เป็นสิ่งสำคัญที่เป็นระเบียบแบบแผน และแนวปฏิบัติ

ท่ีสืบทอดกันต่อ ๆ มา ประเพณีใดท่ีมีมูลฐานเข้ากับจิตใจและนิสัยของคน และไม่เป็นการเสียหายแล้ว
คนส่วนใหญ่ก็จะรักษาสืบทอดต่อเนื่องกัน เพราะถือว่ายังมีประโยชน์ต่อสังคม และถือเป็นสัญลักษณ์
หรอื บุคลกิ ลกั ษณะของชาตนิ ั้น ๆ

ความเชื่อ ก่อให้เกิดวัฒนธรรม และประเพณีที่สำคัญของชาวจังหวัดพระนครศรีอยุธยาอย่าง
มากมาย อาทเิ ชน่ ประเพณีวนั สงกรานต์ ประเพณีทิ้งกระจาดวัดพนัญเชิงวรวิหาร ประเพณีการแข่งเรือ
ยาว ประเพณกี ารลอยกระทง ฯลฯ

ตัวชวี้ ดั
1. อธบิ ายความหมายและความสำคัญของความเชื่อ วัฒนธรรม และประเพณขี องไทย
2. อธิบายวฒั นธรรมและประเพณที สี่ ำคัญของชาวจงั หวดั พระนครศรีอยธุ ยา

เนือ้ หา
1. ความหมายและความสำคญั ของความเช่อื วฒั นธรรม และประเพณี
2. วฒั นธรรมและประเพณีของชาวจังหวัดพระนครศรีอยุธยา

รายวชิ าอยุธยาศกึ ษา สค03128 98

เร่ืองท่ี 1 ความหมายและความสำคญั ของความเชื่อ วฒั นธรรม และประเพณี

1.1 ความหมายของ “ความเชอื่ ”
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตสถาน (2554) ไดใ้ หค้ วามหมายของคำว่า เชื่อ ไว้ว่า การเห็นตาม
ด้วย มนั่ ใจ เชอื่ ถือ

ความจาํ เปนทีม่ นษุ ยตองผกู พนั อยกู ับความเชื่อ ที่สาํ คญั มอี ยู่ 5 ประการคอื
1. มนษุ ยไมอาจขาดความเชื่อหรอื ความคิดได เพราะหากขาดความเชอ่ื เสยี แลว มนษุ ยจะไมเข
าใจตนเอง และไมเขาใจโลกหรือสภาพสิ่งแวดลอมได ถาไมเขาใจสิ่งเหลานั้นแลว มนุษยก็ไมอาจ
ดํารงชีวิตอยูได ตัวอยางเช่น หากไมรูวาตนเปนใคร ชายหรือหญิง เด็กหรือผูใหญ ก็จะไมอาจติดตอกับ
ผูอื่นได หากไมมีความรูเกี่ยวกับสภาพแวดลอมก็ไมอาจใชประโยชน จากสิ่งแวดลอมหรืออาจถูก
ภยันตรายจากสภาพแวดลอมได การเขาใจหรอื มคี วามเช่ือในส่ิงเหลานี้ จงึ ทาํ ใหมนษุ ยสามารถดํารงชีวิต
อยูได
2. ชีวิตมนุษย มีทั้งสิ่งท่ีเห็นได พิสูจนได เขาใจได และสิ่งที่มองไม่เห็นหรือพิสูจน์ไม่ได้ หาก
มนุษยไมมีความคิดหรือความเชื่อเกี่ยวกับสิ่งเหลาน้ีเปนฐานไวบางแลว มนุษยก็จะไมสามารถประพฤติ
ปฏิบัตเิ กยี่ วกบั สิ่งเหลานั้นได เชน อนาคตเปนสิ่งที่ยงั มองไมถงึ ผหี รอื เทวดาเปนส่ิงท่ีมองไมเห็น ความรัก
ความชัง ความดีความชั่วก็วัดไมได มนุษยจะตองอาศัยความเชือ่ หรือสรางความคิดเกี่ยวกับส่ิงเหลานี้ไว
เปนทุน เพอื่ จะไดประพฤติปฏบิ ัติหรอื เสริมตอสิง่ เหลาน้ันได้ถกู ต้อง
3. ความเชื่อทําใหมนุษยเกิดความมั่นใจ เชน เมอ่ื มนษุ ยเ์ ช่ือว่าเคร่ืองบินสามารถบินในอากาศ
ได้ เช่อื ว่าตนมกี ําลงั กายทด่ี กี ็จะมีความมั่นใจในการตอสู เชื่อวาสัมมาอาชีพเปนการทาํ ไดแมยากลําบากก็
มกี าํ ลังใจฝาฟนทํา เปนตน
4. ความเชื่อทําใหเกิดความสบายใจ เชน เชื่อในเจตนาของพระเจาที่จะทดลองความอดทน
คนไขเชือ่ ความสามารถของหมอ จึงยอมใหผาตดั (ดวยความสบายใจ) เปนตน

รายวิชาอยุธยาศกึ ษา สค03128 99

1.2 ความหมายของ “วัฒนธรรม”
วัฒนธรรม โดยทั่วไปหมายถึง รูปแบบของกิจกรรมมนุษย์และโครงสร้างเชิงสัญลักษณ์ที่ทำให้
กิจกรรมนั้นเด่นชัดและมีความสำคัญ วิถีการดำเนินชีวิต ซึ่งเป็นพฤติกรรมและสิ่งที่คนในหมู่ผลิตสร้าง
ขึ้น ด้วยการเรียนรู้จากกันและกัน และร่วมใช้อยู่ในหมู่พวกของตน ซึ่งสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตาม
ยุคสมยั และความเหมาะสม
วัฒนธรรมในภูมิภาคต่าง ๆ อาจได้รับอิทธิพลจากการติดต่อกับภูมิภาคอื่น เช่น การเป็นอาณานิคม
การค้าขาย การย้ายถิ่นฐาน การสื่อสารมวลชนและศาสนา อีกทั้งระบบความเชื่อ ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง
ศาสนา มบี ทบาทในวัฒนธรรมในประวัติศาสตร์ของมนษุ ยชาติมาโดยตลอด
วัฒนธรรม หมายถึง ลักษณะที่แสดงถึงความเจริญงอกงาม ความเป็นระเบียบเรียบร้อย ความกลม
เกลยี วกา้ วหนา้ ของชาติ และศลี ธรรมอนั ดีของประชาชน

1. ลักษณะท่แี สดงถึงความเจรญิ งอกงาม
1.1 ความเจริญทางวตั ถุ
1.2 ความงอกงามทางจิตใจ

2. ลักษณะที่แสดงถงึ ความเปน็ ระเบยี บเรียบร้อย
2.1 ความเปน็ ระเบียบเรยี บร้อยในการแต่งกาย จรรยามารยาทในทส่ี าธารณะ
2.2 ความเป็นระเบียบเรยี บรอ้ ยในการปฏิบตั งิ านและการปฏบิ ตั ิต่อบ้านเมือง
2.3 ความเปน็ ระเบียบเรยี บร้อยในการประพฤตติ น อันเปน็ ทางนำมาซ่ึงเกยี รติของ
ชาตไิ ทยและพทุ ธศาสนา

รายวชิ าอยธุ ยาศกึ ษา สค03128 100

3. ลักษณะที่แสดงถงึ ความกลมเกลียวก้าวหน้าของชาติ
3.1 ความสามคั คขี องหมูค่ ณะ
3.2 ความเจริญกา้ วหนา้ ในทางวรรณกรรมและศิลปกรรม
3.3 ความนิยมไทย
4. ลักษณะที่แสดงถึงศลี ธรรมอันดขี องประชาชน
4.1 ทำตนใหเ้ ปน็ คนมีศาสนา
4.2 การปฏบิ ตั ติ นในหลักธรรมของพุทธศาสนา
4.3 การรักษาระเบียบประเพณีทางศาสนา
วัฒนธรรม แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
1. วัฒนธรรมทางวัตถุ คือ เครื่องมือ เครื่องใช้ ที่มนุษย์ใช้ในชีวิตประจำวันเพื่อความสุข

ทางกาย อนั ได้แก่ ยานพาหนะ ท่อี ยูอ่ าศยั ตลอดจนเครือ่ งปอ้ งกนั ตวั ใหร้ อดพ้นจากอันตรายทั้งปวง
2. วฒั นธรรมทางจติ ใจ เป็นเรอื่ งเก่ียวกับเครื่องยดึ เหนี่ยวจิตใจของมนุษย์ เพื่อให้เกิดปัญญา

และมีจิตใจที่งดงาม อันได้แก่ ศาสนา ศีลธรรม จริยธรรม คติธรรม ตลอดจนศิลปะ วรรณคดี และ
ระเบียบแบบแผนของขนบธรรมเนียมประเพณี

ความสำคญั ของวฒั นธรรม
1. วัฒนธรรมเป็นเครื่องกำหนดความเจริญหรือความเสื่อมของสังคม และเป็นเครื่องกำหนด
ชวี ิตความเป็นอยขู่ องคนในสังคม
2. การศกึ ษาวัฒนธรรมจะทำใหเ้ ขา้ ใจชวี ิตความเปน็ อยู่ คา่ นยิ มของสงั คม เจตคติความคิดเห็น
และความเชอื่ ถือของบคุ คลได้อยา่ งถูกต้อง
3. ทำให้มีความรสู้ กึ เปน็ พวกเดียวกนั และใหค้ วามร่วมมอื กันได้
4. ทำให้เกิดความสงบเรียบร้อยในสังคม เพราะวัฒนธรรมคือกรอบ หรือแบบแผนของการ
ดำรงชวี ติ
5. ทำใหม้ ีพฤติกรรมเปน็ แบบเดยี วกัน
6. ทำให้เขา้ กบั คนพวกอ่นื ในสงั คมเดยี วกนั ได้
7. ทำให้มนษุ ย์มีสภาวะทแ่ี ตกตา่ งจากสัตว์

1.3 ความหมายของ “ประเพณี”
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน ปี พ.ศ. 2542 ได้ให้ความหมายของคำว่า “ประเพณี” ไว้ว่า

หมายถึง สิ่งที่นิยมถือปฏิบัติสืบ ๆ กันมาจนเป็นแบบแผน ขนบธรรมเนียม หรือจารีตประเพณี ซ่ึง

ขนบธรรมเนียมในทน่ี ี้มีความหมายว่า แบบอย่างท่ีนิยมกันมา สว่ น จารีตประเพณี กค็ อื ประเพณีท่ีนิยม

และประพฤตกิ นั สบื มา ถ้าฝ่าฝืนถือว่าเปน็ ผิดเป็นชว่ั

รายวชิ าอยุธยาศกึ ษา สค03128 101

ในหนังสืองานนิพนธ์ชุดสมบูรณ์ของศาสตราจารย์พระยาอนุมานราชธน ในหมวดขนบธรรมเนียม
ประเพณี เลม่ 1 ได้อธิบายไว้สว่ นหน่ึงไว้ดังน้ี

ประเพณีใดก็ตามหากถือเป็นธรรมเนียมว่าสมควรประพฤติกันอย่างนั้นอย่างนี้ ไม่มีผิดถูกทาง
ศีลธรรมหรือทางระเบียบแบบแผน แต่ถือเป็นเพียงเครื่องหมายหรือสัญลักษณ์ แบบนี้เรียกว่า ธรรม
เนียมประเพณี หรือ ประเพณีนิยม เช่น การแสดงความเคารพต่อผู้ใหญ่ด้วยการยกมือไหว้ อย่างไรก็ดี
ประเพณีต่าง ๆ จะเป็นประเพณีขึ้นได้ ต้องเป็นสิ่งที่สืบต่อ ถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติกันมานาน หาก
เป็นอยู่ชั่วขณะ แม้จะนิยมปฏิบัติกันทั่วไป ก็มิใช่เป็นประเพณี เป็นแต่เพียง “แฟชั่น” ซึ่งนิยมกันสมัย
หน่ึงเทา่ นั้น พอหมดความนยิ มก็เลกิ กันไป
ประเพณีเกิดจากความประพฤติหรือการกระทำของใครคนหนึ่งหรือหลายคน ซึ่งเห็นประโยชน์และ
ความจำเปน็ ตามท่ีต้องการจากการกระทำเช่นนนั้ และเมอ่ื คนอื่นเห็นดีกเ็ อาอย่าง ทำตามเป็นแบบอย่าง
เดียวกัน และสืบต่อเป็นส่วนรวมมาช้านาน จนกลายเป็นส่วนสำคัญของวัฒนธรรมของชาติขึ้น
วัฒนธรรม คือวิถีแห่งชีวิต หรือความเป็นอยู่ของคนในส่วนรวม อันมีความเจริญงอกงามได้ ถ้า ผู้เป็น
เจ้าของรู้จักรักษาและปรับปรุงแก้ไขให้เหมาะสมกับสิ่งแวดล้อม เหมาะกับความเป็นไปของสมัย ซึ่งผู้ที่
จะรู้จักแก้ไขและปรับปรุงของเก่าให้เข้ากับสมัยได้ดี เป็นผู้ที่มีความสามารถริเริ่ม มีความคิด จิตใจที่
ทันสมัย รจู้ ักปรับแก้ของโบราณใหม้ คี วามแปลกใหม่ ซึง่ การปรับปรงุ แก้ไขนี้ทำได้ 2 แบบ คือ

1. ปรับปรุงและแก้ไขเก่าให้เปน็ ใหม่ โดยยังรักษาคติโบราณไว้ ไม่ให้สูญไปแบบทันทีทันใด แต่ทำ
อย่างค่อยเป็นค่อยไป เช่น สมัยก่อนคนมักทำบุญกับพระและวัด เพราะเชื่อว่าจะได้บุญมาก แต่ปัจจุบนั
คนเริ่มทำบุญในรูปแบบอื่น ๆ มากขึ้น เช่น สร้างโรงเรียนแทนโบสถ์วิหาร หรือบริจาคทรัพย์ สิ่งของ
ให้แก่ผู้ดอ้ ยโอกาสในสังคม ซ่ึงก็ยงั ได้ช่อื วา่ ทำบญุ และได้อานสิ งสไ์ ม่แพก้ นั

2. ปรับปรุงและแก้ไขเก่าให้เป็นใหม่ โดยวิธีพลิกหน้ามือเป็นหลังมือ คือเลิกของเก่ามาเป็น
ใหม่เลย เช่น การเลิกทาสในอเมรกิ า การสง่ั หา้ มกินหมากในสมัยก่อน เปน็ ตน้

รายวชิ าอยธุ ยาศกึ ษา สค03128 102

เรอ่ื งท่ี 2 วฒั นธรรมและประเพณีของชาวจังหวัดพระนครศรอี ยุธยา

วฒั นธรรมทเี่ กี่ยวข้องกับท่ีอย่อู าศัย

เรือนไทยนับว่าเป็นภูมิปัญญาของบรรพบุรษุ ไทย ที่ได้คิดสร้างทีอ่ ยูอ่ าศัยได้เหมาะสมกับสภาพ
ภมู ิประเทศ ภมู อิ ากาศ และประโยชนใ์ ชส้ อย คอื เป็นเรอื นยกพื้นสูง เพือ่ ปอ้ งกันนำ้ ท่หี ลากมาท่วมพ้ืนท่ี
ในช่วงปลายฤดูฝน หลังคาที่สูงชันช่วยเร่งให้น้ำฝนไหลลงมาได้รวดเร็ว โดยมีการวางกันสาดไว้ตรง
ชายคาเพื่อบรรเทาความแรงของลมฝน ยามฤดูร้อนอากาศจะไหลผ่านตัวเรือนได้ด้วยการวาง
ตำแหน่งที่ตั้งของเรือนให้รับลมในแนวเหนือใต้ และสามารถระบายลมผ่านระเบียงโล่งกว้างรวมทั้ง
หนา้ ต่างบานใหญ่จำนวนหลายบานท่ที ำหน้าทถ่ี ่ายเทอากาศให้เยน็ สบายดว้ ยลมธรรมชาติ ส่วนพน้ื ท่ี
ใต้ถุนเรือนยามปกติสามารถใช้เป็นที่ทำกิจกรรมต่างๆ นอกจากการตำข้าว จักสานและถักทอแล้วยังใช้
เก็บเครื่องมือทำนาและการประมง ทั้งจอบเสียม แอก ไถ ไม้คันฉาย กระบุง กระบาย คันเบ็ด และแห
อวน ฯลฯ เอกลักษณ์อีกอย่างของเรือนไทย คือมีชานบ้านซึ่งเป็นทีโ่ ล่งกลางบา้ น ซึ่งใช้ประโยชน์
เป็นที่พักผ่อนในครอบครัว ใช้นั่งทำงาน รับรองแขก และการสังสรรค์ร่วมกัน บ้านทรงไทยหรือเรือน
ไทยภาคกลางจะสร้างด้วยไม้ แบง่ เป็น 2 ประเภทคือ

1. เรอื นเครอ่ื งสับ เป็นเรือนทีท่ ำด้วยไม้เน้ือแข็ง ฝาบา้ นและการประดบั ตกแต่งใช้วสั ดุตามฐานะ
และตามประโยชน์ใช้สอย เช่นเรือนครัวจะใช้ฝาขัดแตะ ใช้จั่วอาทิตย์เพื่อให้ระบายควันไฟได้รวดเร็ว
เรือนคหบดีมักใช้ฝาทำจากไม้เนื้อแข็งชิ้นเล็กๆ มาต่อเรียงกันเรียกว่าฝาปะกน ไม่ใช้ตะปูแต่ใช้ลิ่มสลัก
และการเข้าไม้แทน และนยิ มสร้างให้สำเร็จรูปไวล้ ว่ งหนา้ เป็นสว่ นๆ เม่อื จะปลูกก็จะลงเสาและนำเรือน
ส่วนที่ทำไว้แล้วนั้นมาปรุงเข้าดว้ ยกันซึ่งสามารถทำเสร็จได้ในวันเดียว หากเป็นเรือนหลังเดียวเช่นเรือน
หออย่างท่ีกลา่ วในเสภาขุนชา้ งขุนแผน เรอื นแพสว่ นใหญ่สร้างเป็นเรือนเครื่องสับ เพ่อื การอยู่อาศัยและ
การคา้ ทางนำ้

เรอื นไทย หนา้ ต่างและเชิงชาย เรอื นแพ

http://www.mscs.nu.ac.th/webmscs/?name=news&file=readnews&id=236

รายวิชาอยุธยาศกึ ษา สค03128 103

2. เรอื นเคร่ืองผูก เป็นเรือนที่ทำด้วยไม้ไผเ่ ปน็ ส่วนใหญ่ เอกลักษณ์ของคนไทย คือ ยกพ้นื สงู มี
ใตถ้ นุ เรอื น หลงั คาหนา้ จ่ัวทรงสูง มัดใหต้ ิดกนั ด้วยเถาวัลย์ ตอก และวธิ ีการเขา้ ไม้

เรอื นเครอ่ื งผกู
วฒั นธรรมทส่ี ืบเน่อื งจากการทำเกษตรกรรม

ชาวอยุธยามีวัฒนธรรมประเพณีที่สืบเนื่องจากการทำเกษตรกรรมมากมาย ทั้งวัฒนธรรมท่ี
เกี่ยวกับคน เช่น การลงแขกทำนา การละเล่นเพลงพื้นบ้าน เพลงเกี่ยวข้าว และวัฒนธรรมที่เกี่ยวกับ
ศาสนาและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตามธรรมชาติ เช่น การบูชาแม่โพสพ การขอฝน การทำขวัญลานการทำขวัญ
ยงุ้ ฉาง
ความเชอ่ื เรื่องแม่โพสพ

http://www.brrd.in.th/library/index.php?option=com
http://www.thairice.org/show_detail.php?

รายวชิ าอยธุ ยาศกึ ษา สค03128 104

คนไทยมคี วามเช่ือดั้งเดิมเร่ืองผีสางเทวดา ชีวติ ประจำวนั ท่ีผูกพันอยู่กบั อาชีพชาวนา ชาวนาจึง
เชื่อว่าในข้าวมีวิญญาณแม่โพสพ ซึ่งมีบุญคุณต่อชาวนาสิงสถิตอยู่ จึงมีการปฏิบัติพิธีกรรมเพื่อระลึกถึง
แม่โพสพ เช่นการสร้างศาลเพียงตาในทุ่งนา เรียกว่า "เรือนแม่โพสพ" หรือเมื่อข้าวตั้งท้องจะปักเสา
แขวนชะลอมเครื่องสังเวยทำขวัญข้าวบูชาแม่โพสพ ซึ่งได้แก่เครื่องแต่งตัวและของหอม กับอาหารซึ่ง
เป็นผลไมร้ สเปร้ียวสำหรับหญิงมีครรภ์ ในช่วงท่ีข้าวเรม่ิ ออกรวง ทเ่ี รยี กว่า"ข้าวต้ังทอ้ ง" คร้ันเมล็ดข้าว
เริม่ แก่เปน็ ข้าวน้ำนมชาวนาจะทำการปฐมเก็บเก่ียวรวงข้าวนั้นนำมาปรงุ เป็นข้าวยาคูไปถวายพระ ส่วน
ในประเพณีสารทเดือนสิบมีประเพณีการกวนกระยาสารทที่ประกอบด้วยข้าวเม่า ข้าวตอก ถั่ว งาและ
นำ้ อ้อย เป็นขนมท่จี ดั ทำขน้ึ เพ่ือทำบญุ อุทิศใหบ้ รรพบุรุษ เมื่อมีการเกบ็ เก่ียวขา้ วแลว้ ก่อนจะนำข้าวเก็บ
ยุ้งฉาง ก็จะมีพิธีบอกกล่าวแม่โพสพ นอกจากนี้ยังมีความเชื่อว่าข้าวเป็นสิง่ ที่มีบุญคุณต่อชีวิตมนุษย์ จึง
ได้รับการยกย่องโดยมีคำเรียกช่วงเวลาในสมัยโบราณเมื่อข้าวตั้งท้องว่า "ตะวันอ้อมข้าว" แสดงให้เห็น
ความสำคัญของ ข้าวว่า เมื่อตั้งท้องแม้แต่พระอาทิตย์ยังต้องอ้อมข้าว เป็นการปฏิบัติกันมาจนทุกวันนี้
คอื ไม่เหยียบขา้ ว ไม่ทง้ิ ข้าว เพราะถอื วา่ เปน็ บาปกรรมทไี่ ม่กตญั ญตู อ่ แมโ่ พสพ

วฒั นธรรมทเี่ กย่ี วข้องกบั อาหาร
พื้นทข่ี องจงั หวัดพระนครศรีอยธุ ยา เปน็ แหลง่ รับนำ้ ตามธรรมชาติในฤดนู ้ำหลาก โดยมแี ม่นำ้ 4 สาย พา
นำ้ และสตั ว์นำ้ ทัง้ หลายเข้ามาเพาะพันธ์ุในพืน้ ทน่ี ำ้ ทว่ มขงั จึงกลายเป็นวัตถุดบิ ในการประกอบอาหารจน
มคี ำกลา่ วติดปากวา่ กินขา้ ว กนิ ปลา อาทเิ ช่น ปลาเล็กปลานอ้ ย เอามาทำปลาเห็ด ปลาขนาดใหญ่ข้ึนใช้
หมักน้ำปลา ทำแกงฉู่ฉี่ ต้มยำ ห่อหมก ส่วนที่กินไม่ทันก็ใช้การถนอมอาหารเป็น ปลาร้า ปลาเจ่า ปลา
ส้ม ปลากรอบ ปลาแห้ง เอาไว้กินได้ตลอดปี อาหารหลักอีกอย่างคือ น้ำพริกกะปิ (ทำจากกุ้ง,เคย) กิน
กบั ผักพน้ื บา้ น ท้งั ผกั บนบก และผักในนำ้

รายวิชาอยธุ ยาศึกษา สค03128 105

นอกจากอาหารพืน้ บ้านที่กล่าวแลว้ เน่ืองจากพระนครศรอี ยุธยาเป็นเมืองเปดิ ท่ีคา้ ขายกับชาวตา่ งชาติทั้ง
ใกล้ และไกล จึงรับวัฒนธรรมอาหารมาจากต่างประเทศมากมาย เช่น จีน อินเดีย โปรตุเกส เปอร์เซีย
พม่า มอญ ฯลฯ โดยใชว้ ตั ถดุ บิ ในพื้นทแ่ี ละปรงุ ให้เข้ากับรสชาติทถ่ี ูกปากของคนไทย เราจึงมี แกงมัสม่ัน
แกงกระหรี่ ข้าวหมกแพะ ข้าวมันไก่ ฝอยทอง ทองหยิบ ทองหยอด โรตีสายไหม ฯลฯ สำหรับข้าวน้ัน
ในอดีตคนพื้นเมืองเดิมกินข้าวเหนียว และก็เปลี่ยนเป็นข้าวเจ้าตามความนิยมที่แพร่ออกจากราชสำนัก
อาหารของพระนครศรีอยุธยาได้เผยแพร่ความนิยมไปสู่ชุมชนในภาคกลางจนกลายเป็นอาหารประจำ
ชาติในที่สุด
วัฒนธรรมทเ่ี กี่ยวข้องกบั เพลงพน้ื บ้าน

เปน็ วัฒนธรรมท่ีเก่ียวข้องกบั วิถีชวี ิตเกษตรกรรม เพราะการสร้างสรรค์เพลงพ้ืนบ้านคือเพลง
เกี่ยวข้าว และเพลงเรือ ซึ่งเป็นเพลงพื้นบ้านของชาวอยุธยาโดยแท้นั้นเป็นสิ่งที่ชาวบ้านคิดขึ้น เพื่อเป็น
เครื่องผ่อนคลายจากการทำงานหนกั หรือในชว่ งวา่ งจากงานไรน่ า ทำใหเ้ กิดความสนุกสนานเพลดิ เพลิน
เกิดความสามัคคีของคนภายในหมู่บ้านและคนในตำบล หมู่บ้านใกล้เคียงที่ร่วมสายน้ำเดียวกัน ทั้งเป็น
การเปิดโอกาสให้หนุ่มสาวได้รู้จักได้พบปะพูดคุยกันโดยอยู่ในสายตาของผู้ใหญ่ ในปัจจุบันสภาพสังคม
และลักษณะการดำรงชีวติ ที่เปลีย่ นไป ทำใหเ้ พลงพื้นบ้านถูกละเลย และเกอื บจะสูญหายไปหมดแล้ว

http://www.infoforthai.com/forum/topic/29181

http://thailongboat.com/forum.php?mod=viewthread&tid=436&extra=&highlight=&page=8

รายวิชาอยธุ ยาศึกษา สค03128 106

คุณค่าของเพลงพนื้ บา้ น
เพลงพื้นบ้าน เกิดจากการที่ชาวบ้านเป็นผู้สร้างบทเพลงและขับร้องสืบทอดต่อกันมาปากต่อ

ปาก โดยส่วนมากเพลงพนื้ บ้านจะเป็นเพลงที่มีคำร้องงา่ ย ๆ เป็นเร่อื งราวท่ีเกดิ ข้ึนในท้องถ่ินนั้น ๆ ส่วน
ในภาคกลาง เพลงพื้นบ้านก็จะแต่งมาจากอิทธิพลของสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ โดยแยกเป็น
ประเภท ได้ดงั นี้

- เพลงท่รี ้องเล่นในฤดนู ้ำมาก ไดแ้ ก่ เพลงเรือ เพลงร่อยพรรษา เพลงรำภาขา้ วสาร เพลงหน้าใย
เพลงคร่งึ ทอ่ น เปน็ ตน้

- เพลงที่ร้องเล่นในฤดูเกี่ยวข้าวและนวดข้าว ได้แก่ เพลงเกี่ยวข้าว เพลงเต้นรำกำเคียว เพลง
จาก ซึ่งใช้ร้องเล่นระหว่างเกี่ยวข้าว สำหรับเพลงสงฟาง เพลงพานฟาง เพลงโอก เพลงสงคอลำพวน
เพลงเตะขา้ ว และเพลงชกั กระดานใช้รอ้ งเลน่ ระหว่างนวดข้าว

- เพลงที่ร้องเล่นในช่วงตรุษสงกรานต์ ได้แก่ เพลงสงกรานต์ เพลงหย่อย เพลงระบำบ้านไร่
เพลงช้าเจ้าหงส์ เพลงพวงมาลัย เพลงสันนิษฐาน เพลงคล้องช้าง เพลงใจหวัง เพลงฮินเลเล เพลงกรุ่น
เพลงย่วั เพลงชกั เยอ่ เพลงเขา้ ทรงตา่ ง ๆ เป็นต้น

- เพลงท่ีร้องเล่นได้ทุกโอกาส เพ่อื ความเพลิดเพลิน สนกุ สนาน และเกดิ ความสามัคคีในหมู่คณะ
มักจะร้องเล่นกนั ในโอกาสทำงานรว่ มกัน หรอื มงี านบุญและงานรื่นเรงิ ต่าง ๆ โดยเปน็ เพลงในลักษณะพ่อ
เพลงแม่เพลงอาชีพที่ใช้โต้ตอบกัน ได้แก่ เพลงเทพทอง เพลงปรบไก่ เพลงอีแซว เพลงฉ่อย เพลงลำตัด
เพลงทรงเครื่อง เปน็ ตน้
ท่ีมา http://travel.kapook.com/view47566.html

เพลงพ้นื บ้านของชาวอยธุ ยา
เพลงที่มีต้นกำเนดิ จากชาวอยุธยาแท้ๆ คือเพลงเรือและเพลงเกี่ยวข้าว เป็นบทร้อยกรองทีเ่ กดิ

จากวิถี“ความเป็นเจ้าบทเจ้ากลอน” ของคนอยุธยา ในท้องทุ่งคุ้งน้ำต่างๆ ที่นำถ้อยคำทำนองที่ร้องง่าย
เรียกว่า “กลอนหัวเดียว” นี้มาจัดจังหวะของคำ และใส่ทำนองเพื่อขับร้องในท้องถิ่นสืบทอดต่อกันมา
ดว้ ยวิธจี ดจำ นำมารอ้ งเลน่ ในยามวา่ งหรือระหวา่ งทำงานรว่ มกัน เพื่อผอ่ นคลายความเหน็ดเหนื่อย เพ่ือ
ความสนุกสนาน และเพื่อความสามัคคีในกลุ่มชน การใช้ถ้อยคำในเพลงพื้นบ้านนั้นมีลักษณะ
ตรงไปตรงมา นิยมใช้ภาษาพูด บางครั้งก็แฝงนัยให้คิดในเชิงสองแง่สองง่าม ให้เกิดความตลกขบขันได้
เต็มท่โี ดยไม่มีการถอื สาว่าเป็นการล่วงเกนิ กัน

เพลงเรือ จะมเี ครื่องดนตรใี ห้จังหวะคือกรบั พวงและฉง่ิ บทร้องมีเนื้อหาตอนตน้ คือการไหวค้ รู
กอ่ นแล้วจงึ จะร้องเลน่ โดยมเี นอื้ หา 6 แบบโดยลำดับคือ

1. เพลงปลอบ
2. เพลงประ
3. เพลงผกู รัก ลกั หาพาหนี

รายวชิ าอยธุ ยาศึกษา สค03128 107

4. ชิงชู้ (หงึ หวงฝ่ายชาย)
5. ตหี มากผวั (หึงหวงฝ่ายหญงิ )
6. เพลงจาก ใชอ้ ำลากนั ซงึ่ กวา่ จะเล่นถงึ สว่ นน้ีก็อาจจะถึงสว่าง
ท่ีมา:ศนู ยบ์ รู ณาการภูมิปญั ญาทอ้ งถิน่ จังหวดั พระนครศรีอยุธยา( http://ilwc.aru.ac.th/index.html)

เพลงเกี่ยวข้าว เพลงเกี่ยวข้าวใช้สำหรับร้องในขณะลงแขกเกี่ยวข้าว เนื่องจากการทำนาเป็น
อาชีพหลักของคนไทยมาชา้ นาน การขอแรงเพื่อนบ้านมาเกี่ยวข้าว ซึ่งเรียกวา่ "ลงแขก" นั้นเมื่อมีคนมา
ชุมนุมกันมากในขณะทำงานหรือหยุดพักผ่อน เพื่อบรรเทาความอ่อนล้า งเกิดการเล่นเพลงเกี่ยวข้าวขน้ึ
ซึ่งปกติมักเล่นกันในขณะเกี่ยวข้าว คำร้องจึงมักมีใจความไต่ถามถึงการทำนาและเกี้ยวพาราสีกัน การ
เล่นต่างจากเพลงเรือคือให้ลูกคู่ปรบมือให้จังหวะแทนเครื่องดนตรี ก่อนเล่นก็มีบทไหว้ครูแล้วตามมา
ด้วยบทปลอบเพื่อชักชวนไปตามลำดับจนจบที่บทลาเหมือนเพลงเรือ บางทีก็จะตัดทอนให้ส้ันลงเพราะ
เป็นการเล่นขณะทำงาน(เกี่ยวข้าว) ส่วนความสนุกตลกโปกฮาและการโต้ตอบในเชิงเกี้ยวพาราสีสองแง่
สองง่ามนนั้ ยังมีครบถ้วนตามแบบฉบบั เพลงของชาวอยุธยา

วฒั นธรรมท่ีเก่ียวข้องกบั ประเพณแี ละพิธกี รรมในพระพทุ ธศาสนา
ประเทศไทยเปน็ ประเทศพระพุทธศาสนาคนไทยสว่ นใหญน่ บั ถือศาสนาพุทธ ดังน้ันพทุ ธศาสนาจงึ มี

อทิ ธิพลต่อวฒั นธรรมไทยมากมาย เช่น
1. อิทธพิ ลตอ่ ลักษณะนิสัยจิตใจ คนไทยมนี สิ ยั เยือกเย็น โอบอ้อมอารี เมตตากรณุ า เคารพ

อ่อนน้อม ถ่อมตน กตัญญูกตเวที ขยัน อดทน สุภาพ และไมเ่ หน็ แก่ตวั เป็นตน้ เพราะหลกั ธรรมทาง
พทุ ธศาสนา

2. อิทธพิ ลต่อศลิ ปกรรมและสถาปัตยกรรม ศลิ ปกรรมและสถาปตั ยกรรมของไทย
เจริญกา้ วหนา้ เพราะพระพุทธศาสนา เชน่ ภาพเขยี นฝาผนงั โบสถ์ แบบกอ่ สร้างโบสถว์ ิหาร การหล่อ
พระพทุ ธรูป เจดีย์ รูปทรงต่างๆ ศลิ ปกรรมและสถาปัตยกรรมของไทยวิจิตรงดงาม เพราะ
พระพุทธศาสนาเป็นแรงบันดาลใจ

3. อิทธิพลตอ่ ภาษา คนไทยรบั พระพทุ ธศาสนาท้ังเถรวาทและมหายานจากอินเดีย จึงรับเอา
ภาษาบาลหี รือมคธและภาษาสันสกฤตมาใช้ในภาษาไทยมากมาย เชน่ บปุ ผา - บุษบา, ปญั ญา -
ปรชั ญา วชิ า – วทิ ยา มณฑป บณั ฑิต เกษตรศาสตร์ ธรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ เป็นต้น

4. อิทธิพลตอ่ วรรณกรรม วรรณกรรมต่าง ๆ ของไทยท่สี ำคัญและดีเดน่ เข้าขั้นวรรณคดี
สว่ นมากมาจากเร่ืองทางพระพทุ ธศาสนา เช่น ไตรภูมิพระร่วง มหาชาติคำหลวง สมทุ รโฆษคำฉันท์

รายวชิ าอยุธยาศึกษา สค03128 108

ปณุ โณวาท คำฉันท์ พระมาลัยคำหลวง ปฐมสมโพธิกถา สามัคคเี ภทคำฉนั ท์ และกาพย์เหเ่ รือ พระกฐิน
หลวง เปน็ ตน้ แม้เรอ่ื งของไทยแท้ ๆ เช่น ลลิ ติ พระลอ กย็ งั มีหลกั ธรรมทางพระพุทธศาสนาแทรกอยู่
5. อิทธพิ ลต่อจารีตประเพณี ประเพณีท่สี ำคัญ ๆ ของไทย ส่วนมาสืบเนื่องมาจากพระพุทธศาสนา เช่น
มาฆบูชา วสิ าขบชู า อาสาฬหบูชา เข้าพรรษา แห่เทียนพรรษา ตักบาตรเทโว ทำขวญั นาค ลอย
กระทง

6. อิทธพิ ลต่อขนบธรรมเนยี ม ขนบธรรมเนียมตา่ ง ๆ ของไทยสืบเน่ืองมาจากพระพุทธศาสนา
ได้อาศัยหลกั ธรรมทางพระพุทธศาสนาเป็นแนวปฏิบัติ เชน่ การตอ้ นรับแขก การเขา้ พบผู้ควรเคารพ
การใหเ้ กยี รติแก่ผู้อนื่ มารยาทสภุ าพ อ่อนโยน ไม่ลุอำนาจฝ่ายต่ำ เช่น โลภ โกรธ หลง

7. อทิ ธพิ ลต่อการศึกษาเล่าเรียน สมัยโบราณวัดเปน็ ศนู ยก์ ลางการศึกษา พระเปน็ ครสู อน
ศีลธรรมและอบรมจรรยามารยาทแล้วยังสอนวิชาการต่างๆ เชน่ คณิตศาสตร์ แพทยศ์ าสตร์ ดารา
ศาสตร์ โหราศาสตร์ แม้กระท่ังวิชากระบีก่ ระบอง ฟนั ดาบ มวย พระกเ็ ปน็ ครูสอน ปจั จบุ ันวดั ยังเปน็
สถานศึกษาและอบรมจติ ใจ

8. อทิ ธพิ ลตอ่ ดุรยิ างคศิลป์ ในพธิ ีทางพระพทุ ธศาสนา เช่น ทำบุญเลีย้ งพระในโอกาสต่างๆ
บวชนาค เทศน์ ทอดกฐนิ ทอดผ้าปา่ มักจะมีการบรรเลงเพลงเสมอ เชน่ เพลงสาธกุ าร เหเ่ รอื เพลงพญา
โศก เป็นต้น
ทมี่ า http://www.mcu.ac.th/site/bud09.php
ประเพณี วิถีชีวติ และความเชื่อของชาวอยุธยา
ประเพณีความเช่อื ของชาวอยุธยาในรอบปี

มกราคม ฤดูเก็บเก่ียวตรงกับเดือนยี่ เม่ือการเกบ็ เกย่ี วข้าวในนาเเละนวดข้าวเสร็จส้ินลง เเละ
เก็บข้าวขึ้นใส่ยุ้งฉางเรียบร้อยเเล้ว คือการสิ้นสดุ วงรอบของการเพาะปลูก ก็ร่วมกันทำขวัญยุ้งตักข้าวไป
หงุ ต้มทำบญุ อทุ ิศแก่แม่โพสพ เรยี กพิธีทำขวญั ลาน บางแห่งเรียกวา่ บญุ คนู ลาน

รายวชิ าอยุธยาศึกษา สค03128 109

กุมภาพันธ์ เดือนมาฆะ "มาฆะ" คือกลุ่มดาวในเดือน 3 รัชกาลที่ 4 ทรงมีพระราชดำริว่า
วันนี้พระจันทร์เสวยมาฆฤกษ์มีเหตุการณ์สำคัญยิ่ง จึงได้พระกรุณาโปรดเกล้าให้บำเพ็ญพระราชกุศล
และเวียนเทียน สมัยรัตนโกสนิ ทร์ได้เลิกพระราชพิธธี านยเฑาะห์เผาซังข้าวตอ่ มาแม้จะไมได้ทำพิธีแล้ว
ชาวอยุธยาก็ยังเผาตอซังในนากันเรื่อย เพื่อให้ไถนาได้ง่าย ปัจจุบันส่วนมากก็เลิกไปเพราะทราบกันว่า
แท้จริงแลว้ ทำให้ดินเสยี ชาวนาที่ปลกู ข้าวเหนียวจะเอาข้าวเหนียวไปปิ้งไฟถวายพระเรยี ก บญุ ข้าวจ่ี

มีนาคม วันตรุษสน้ิ ปี พธิ ีทำบญุ วนั ตรษุ เดือน 4 หรอื ประเพณกี ารทำบญุ วนั ตรุษส้นิ ปี เริ่มต้งั เเต่
วันเเรม 14 ค่ำ เดือน 4 ไปจนถึง วันข้นึ ค่ำ ชาวอยุธยาจะกวนกาละแม ขา้ วเหนียวแดง คนในครอบครัว
จะเดินทางกลบั มาบา้ นเกดิ เพื่อทำบญุ อทุ ศิ กศุ ลให้บรรพบุรุษ

เมษายน รดน้ำวันสงกรานต์ วันเวลาที่พระอาทิตย์โคจรยกขึ้นสู่ราศีเมษในเดือน 5 เป็นวันขึ้น
จุลศักราชใหม่คือ วันที่ 13 เป็นวันต้นคือวันสงกรานต์ วันที่ 14 วันกลางคือวันเนา เเละวันที่ 15 วัน
สุดทา้ ยคอื วันเถลิงศก วันสงกรานต์ มีประเพณีสรงน้ำพระพทุ ธรูปและพระสงฆ์ มีการนำผา้ ใหม่ ดอกไม้
เครื่องหอม ไปมอบให้ผู้ใหญ่ที่เคารพของครอบครัวและนิยมแต่งกายด้วยเสื้อผ้าชุดใหม่ไปทำบุญ
ประเพณีสงกรานตน์ อ้ี าจรับมาจากชาวมอญทม่ี ีฐานะเทยี บเทา่ คนสยาม

รายวชิ าอยธุ ยาศึกษา สค03128 110

พฤษภาคม วิสาขบูชา "วิสาขะ" เเปลว่า เดือนที่ 6 หรือ เรียกว่า "วิสข

มาส" พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ทรงโปรดเกล้าให้ทำพิธีเนื่องในวันวิสาขบูชาเป็นครั้ง

เเรกเมื่อ พ.ศ. 2360 ในวันเพ็ญ เดือน 6 นี้ ตามวัดต่างๆ ชาวบ้านร่วมกันกวนข้าวทิพย์อันเป็นมงคล

ถวายพระ

มิถนุ ายน หลอ่ เทียนพรรษา กอ่ นเข้าพรรษา 1 เดอื น ประมาณเดอื น 7 ชาวบ้านจัดการเรี่ยไรข้ึ
ผง้ึ เเละรว่ มกันทำพธิ ีหล่อเทยี นตกแต่งหรือจำหลักลายอย่างสวยงาม ตง้ั ขบวนรอ้ งรำสนุกสนานแห่แหน
ต้นเทยี นและปัจจัยไปถวายวัดในชุมชน

กรกฎาคม เข้าพรรษา พรรษาหรือวรรษา เเปลว่า ฤดูฝน เริ่มต้นพรรษาในวันเเรม 1 ค่ำ
เดือน 8 จนถึงวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 รวมเป็นเวลา 3 เดือน เรียกว่า ไตรมาส ชาวบ้านนิยมให้
ลูกหลานทอ่ี ายคุ รบบวชไดบ้ วชเรยี นตามประเพณี

รายวชิ าอยุธยาศกึ ษา สค03128 111

สงิ หาคม โกนจกุ "โกนจกุ " เป็นประเพณีไทยเเต่โบราณ เมอ่ื เด็กอายุครบเดือนได้ทำขวัญเดือน
โกนผมไฟแล้ว จะเกล้าจุกไว้ป้องกันตรงกระหม่อมที่ยังประสานไม่สนิททั้งหญิงเเละชาย จนเด็กผู้หญิง
อายไุ ด้ 11 ปี เเละ เด็กผู้ชาย 13 ปี บิดามารดาจึงทำพิธตี ดั ผมจุก

กันยายน สารท "สารท" หมายถึงฤดูใบไม้ร่วง ในเดือน 10 ชาวบ้านจะกวนกระยาสารทไป
ทำบุญ และส่วนที่เตรียมแจกแก่เพื่อนบ้าน เดือนนี้เป็นระยะที่ต้นข้าวออกรวงเป็นน้ำนมจึงทำการปฐม
เกบ็ เกีย่ วรวงขา้ วมาทำ ข้าวยาคถู วายพระสงฆอ์ ทุ ศิ บญุ แกแ่ มโ่ พสพ

ตลุ าคม เทศกาลทอดกฐนิ การทอดกฐินหรือการถวายผา้ กฐินเป็นกาลทานตามคมั ภรี ์พระวินัย
ปิฎก ซึ่งทำได้ในชว่ งภายหลังวันออกพรรษาแล้วหนง่ึ เดือน คือไม่เลยจากวนั ขน้ึ 15 คำ่ เดือน 12 ในชว่ ง
นี้ก็จะมีการแขง่ เรือยาว ตามวดั ทว่ั ไปท่ีต้งั อยู่ริมแม่น้ำ

รายวชิ าอยธุ ยาศึกษา สค03128 112

พฤศจิกายน ลอยกระทง ที่มาแต่เดมิ ของพระราชพิธีคอื การบูชาพระอิศวร พระนารายณ์
พระพรหม ตามศาสนาพราหมณ์ แต่เม่ือพระเจา้ แผ่นดนิ ทรงนบั ถอื พระพทุ ธศาสนาจงึ ถือว่าเปน็ การบชู า
พระเขย้ี วในพระเจดีย์จฬุ ามณีบนสวรรค์ดาวดึงส์ และบูชารอยพระพุทธบาท ณ รมิ หาดทรายแมน่ ำ้ นัม
มทานที ในความหมายเดิมอาจเปน็ การขอขมาตอ่ ดนิ และน้ำ

ธันวาคม ในอดีต ตรุษเลี้ยงขนมเบื้อง พิธีเลี้ยงขนมเบื้องเดือนอ้าย นับเป็นตรุษอย่างหนึ่ง
ขนมเบ้ืองคืออาหารชนิดหนง่ึ ท่ีใส่ใส้ดว้ ยกุ้ง ในชว่ งฤดูหนาวเป็นเวลาทีน่ ้ำลดมีกุ้งชุกชุมเเละกุ้งมีมันมาก
เหมาะจะทำขนมเบ้ืองไส้กุ้ง และมีพิธเี ล่นวา่ ว บางที่เรียกพิธีขอลมเพื่อให้ลมพัดแรง ๆ เพอ่ื ให้น้ำลด จะ
ได้เกีย่ วขา้ วเสียที

รายวิชาอยธุ ยาศึกษา สค03128 113

บทที่ 6
บุคคลสำคัญ และศลิ ปนิ แห่งชาตขิ องจงั หวัดพระนครศรีอยธุ ยา

แนวคิด
การที่ประเทศไทยของเราสามารถดำรงอยู่ได้อย่างน่าภาคภูมิใจในสังคมโลกปัจจุบันนี้ได้นั้นก็

เพราะว่าแต่ละยุคสมัยที่ผ่านมาเราคนไทยมีบรรพบุรุษที่มีความกล้าหาญเสียสละในการปกป้องและ
สร้างสรรค์สิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติและสังคมมาโดยตลอด ซึ่งในที่นี้จะกล่าวถึง
พระมหากษัตริย์และบุคคลสำคัญต่างๆ ที่ทำประโยชน์ต่อบ้านเมือง อันสมควรที่เยาวชนคนไทย
ทั้งหลายจะยกย่องสรรเสรญิ และยึดถอื เปน็ แบบอยา่ ง
ตัวชว้ี ดั

1. บอกชื่อและผลงานของบุคคลสำคญั ในจังหวดั พระนครศรีอยธุ ยา
2. บอกชอื่ และผลงานของศลิ ปินแหง่ ชาติในจงั หวัดพระนครศรีอยธุ ยา
เนอื้ หา
1. ชอื่ และผลงานของบุคคลสำคัญในจงั หวดั พระนครศรีอยธุ ยา

1.1 บคุ คลสำคัญในประวตั ศิ าสตร์
1.2 บุคคลสำคญั ในปจั จุบนั
2. ความหมายและการจำแนกสาขาของศิลปนิ แหง่ ชาติ
3. ชือ่ และผลงานของศลิ ปินแหง่ ชาติในจังหวดั พระนครศรีอยุธยา

รายวิชาอยธุ ยาศกึ ษา สค03128 114


Click to View FlipBook Version