The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

เอกสารประกอบการเรียนวิชาไอเอส 1

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by sutthasangarii, 2022-05-19 00:38:42

เอกสารประกอบการเรียนวิชาไอเอส 1

เอกสารประกอบการเรียนวิชาไอเอส 1

Keywords: ไอเอส,is1

คานา

ชุดฝึกรายวิชาการศึกษาค้นคว้าและสร้างองค์ความรู้ รหัสวิชา I30201 ช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 4
สาระการเรียนรู้การศกึ ษาค้นควา้ ด้วยตนเอง โรงเรยี นลองวทิ ยา จ.เเพร่ จัดทาขน้ึ เพอ่ื เป็นแนวทาง
ในการจัดการเรียนรู้ ให้สอดคล้องตามแนวทางการจัดการเรียนการสอนในโรงเรียนมาตรฐานสากล
โดยได้ศึกษาเอกสารหลักสูตร ผังมโนทัศน์ โครงสร้างขอบข่ายสาระการเรียนรู้ มาตรฐานการเรียน
และตัวชี้วัด เพ่ือกาหนดกรอบการจัดกิจกรรมและระยะเวลาในการทากิจกรรม ให้สอดคล้องกับ
แผนการจัดการเรยี นรู้ และหลกั สตู รกลุ่มสาระการเรยี นรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี ซึ่งประกอบไป
ด้วย แบบทดสอบก่อนเรียน ใบความรู้ 15 ชุด และ ใบงาน 19 ชุด เพ่ือการจัดกิจกรรมการเรียนการ
สอนได้บูรณาการตามความเหมาะสม อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงสุดเป็นไปตามความมุ่ง
หมายของสถานศกึ ษาต่อไป

สารบญั

หน้า
ปกใน ................................................................................................................................................ ก
คา นา............................................................................................................................................... ข
สารบญั ............................................................................................................................................. ค
แบบทดสอบกอ่ นเรยี น ......................................................................................................................1
ใบความรู้เรอ่ื ง การศึกษาค้นคว้าดว้ ยตนเอง “Independent Study : IS” .................................2
ใบความรทู้ ี่ 1 เร่อื ง การต้ังประเดน็ ปัญหาหรือตัง้ คาถาม ...............................................................2
ใบงานท่ี 1 เรอ่ื ง การตั้งประเด็นปญั หาหรือตั้งคาถาม ....................................................................2
ใบงานที่ 2 เรื่อง การฝกึ ตั้งคาถาม...................................................................................................2
ใบงานที่ 3 เรื่อง การวิเคราะห์ / ตั้งคาถาม / ระบุปัญหาของตนเอง.............................................2
ใบงานที่ 4 เรอ่ื ง การวเิ คราะห์ / ตั้งคาถาม / ระบุปัญหาของชุมชน .............................................2
ใบงานที่ 5 เรื่อง การวิเคราะห์ / ตั้งคาถาม / ระบปุ ัญหาของประเทศ ..........................................2
ใบงานที่ 6 เรอ่ื ง การต้งั คาถาม / การระบุประเดน็ ปัญหา..............................................................2
ใบความรู้ที่ 2 เร่ือง การตั้งสมมติฐาน .............................................................................................2
ใบงานที่ 7 เรื่อง การต้งั สมมตฐิ าน..................................................................................................2
ใบงานที่ 8 เรือ่ ง การฝึกตง้ั สมมติฐาน .............................................................................................2
ใบความรทู้ ี่ 3 เรอื่ ง ประเด็นปญั หาและสมมติฐาน .........................................................................2
ใบงานท่ี 9 เรื่อง ประเด็นปัญหากับการต้งั สมมตฐิ าน.....................................................................2
ใบความรู้ที่ 4 เร่อื ง การออกแบบ วางแผน รวบรวมข้อมลู ...........................................................2
ใบงานที่ 10 เรอ่ื ง การออกแบบ วางแผน รวบรวมข้อมูล..............................................................2
ใบความรทู้ ี่ 5 เรื่อง การเก็บรวบรวมข้อมูล.....................................................................................2
ใบงานท่ี 11 เรือ่ ง การเกบ็ รวบรวมข้อมูล.......................................................................................2
ใบงานที่ 12 เรื่อง ออกแบบ วางแผน ใช้กระบวนการรวบรวมข้อมลู อยา่ งมปี ระสิทธิภาพ...........2
ใบความรู้ท่ี 6 เรอื่ ง วธิ ีการแสวงหาความรขู้ องมนุษย์................................................................. 34
ใบงานที่ 13 เรอ่ื ง วธิ กี ารแสวงหาความรู้ของมนุษย์ ......................................................................2
ใบความรู้ที่ 7 เรอ่ื ง แหลง่ เรียนรู้ .................................................................................................. 39
ใบงานท่ี 14 เรื่อง การระบุแหล่งที่มาของความรู้ ........................................................................ 41
ใบความรู้ที่ 8 เร่ือง การอา้ งทางบรรณานุกรม............................................................................. 42



สารบัญ (ต่อ)

หน้า

ใบความร้ทู ี่ 9 เร่อื ง เทคนคิ ในการคดิ หาวิธีแก้ไขปญั หา .............................................................. 44
ใบงานที่ 15 เรื่อง การเสนอแนวคดิ เทคนคิ วิธกี ารแกป้ ญั หา...................................................... 46
ใบความรู้ท่ี 10 เรื่อง ข้อมลู การตรวจสอบความน่าเชอ่ื ถอื ของข้อมูล...........................................2
ใบงานท่ี 16 เรอื่ ง แบบบนั ทึกผลการตรวจสอบขอ้ มลู ................................................................ 50
ใบความรทู้ ่ี 11 เรอื่ ง การจัดกระทาขอ้ มูล ................................................................................... 52
ใบงานท่ี 17 เรือ่ ง แบบฝึกกิจกรรมการจัดกระทาและส่ือความหมายของข้อมลู ...........................2
ใบความรู้ท่ี 12 เร่อื ง การนาเสนอข้อมูล...................................................................................... 54
ใบความรทู้ ่ี 13 เรอ่ื ง การวเิ คราะหข์ ้อมูลและการแปลความหมายข้อมูล ......................................2
ใบความรู้ที่ 14 เรอ่ื ง สถติ ิ ............................................................................................................ 59
ใบความรทู้ ี่ 15 เรอ่ื ง องคค์ วามรู้.................................................................................................. 64
ใบงานที่ 18 เรอ่ื ง องค์ความรู้ ...................................................................................................... 66
ใบงานที่ 19 เรื่อง ประโยชน์ของการศึกษาค้นควา้ และสร้างองค์ความรู้ .................................... 66
แบบทดสอบหลังเรียน.................................................................................................................... 68

5

ใบความรู้
เรอื่ ง การศึกษาค้นควา้ ด้วยตนเอง “Independent Study : IS”

นับเป็นวธิ กี ารท่ีมปี ระสิทธภิ าพวิธีหน่ึงที่ใช้กันอย่างกว้างขวางในการพัฒนาผู้เรียน เพราะเป็นการเปิด
โลกกว้างให้ผู้เรียนได้ศึกษาค้นคว้าอย่างอิสระในเรื่องหรือ “การศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง (Independent
Study : IS)”ซึง่ จัดเป็นสาระการเรียนรู้ 3 สาระ ประกอบดว้ ย

IS 1- การศึกษาค้นคว้าและสร้างองค์ความรู้ (Research and Knowledge Formation) เป็น
สาระทม่ี ุ่งให้ผเู้ รยี นกาหนดประเดน็ ปญั หา ตงั้ สมมุติฐาน คน้ คว้า แสวงหาความรู้และฝึกทักษะการคิดวิเคราะห์
สังเคราะหแ์ ละสร้างองค์ความรู้

IS 2- การส่ือสารและการนาเสนอ (Communication and Presentation)เป็นสาระท่ีมุ่งให้
ผู้เรยี นนาความร้ทู ีไ่ ดร้ บั มาพฒั นาวิธีการการถ่ายทอด/ส่ือสารความหมาย/แนวคิด ข้อมูลและองค์ความรู้ ด้วย
วธิ ีการนาเสนอทีเ่ หมาะสม หลากหลายรปู แบบ และมีประสทิ ธภิ าพ

IS 3- การนาองค์ความรู้ไปใช้บริการสังคม (Social Service Activity)เป็นสาระที่มุ่งให้ผู้เรียน นา/
ประยุกต์องค์ความรู้ไปสู่การปฏิบัติ หรือนาไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อสังคม เกิดบริการสาธารณะ ( Public
Service) โรงเรียนต้องนาสาระการเรียนรู้ การศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง(Independent Study : IS )ไปสู่
การเรียนการสอน ในลกั ษณะของหนว่ ยการเรยี นรู้ รายวชิ าเพิ่มเติม หรือกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน ตามแนวทางที่
กาหนด โดยพิจารณาให้สอดคล้องกับบริบทและพัฒนาการวัยของผู้เรียนซึ่งอาจแตกต่างกันในระดับประถม
มัธยมศกึ ษาตอนตน้ และตอนปลาย

การศึกษาอิสระ หรือ การค้นคว้าอิสระ (อังกฤษ: independent study หรือ directed study) เป็น
การศึกษารูปแบบหน่ึงที่ผู้เรียนศึกษา ค้นคว้า วิจัย อย่างอิสระในหัวข้อท่ีตกลงกัน นอกเหนือจากการเรียนใน
ชั้นเรยี นตามหลกั สูตรปกตขิ องสถานศึกษา

หัวข้อที่ศึกษาขึ้นอยู่กับการตกลงกันระหว่างผู้เรียนและอาจารย์ภายใต้กรอบที่สถานศึกษากาหนด ซึ่ง
มักกาหนดสาขาวิชาที่ให้ศึกษา ระยะเวลา ความยากง่าย ปริมาณเน้ืองานที่ต้องศึกษาและวิธีการประเมินผล
เอาไว้ โดยปกติก่อนเริ่มทาการศึกษาต้องมีอาจารย์ที่ปรึกษาหรืออาจารย์ประจาวิชาศึกษาอิสระรับรองหัวข้อ
นน้ั ก่อน ซ่งึ อาจการรับรองดังกลา่ วแตกต่างกนั ไปตามบริบท เชน่

 รบั รองว่าตนมีความรู้ ความเช่ยี วชาญทีจ่ ะใหค้ าปรึกษาในหัวข้อนั้น
 รับรองวา่ ผ้เู รียนมีความสามารถเพยี งพอทีจ่ ะศึกษาหัวข้อดงั กล่าวได้ด้วยตนเอง
 รบั รองวา่ หวั ขอ้ นน้ั มคี วามสาคัญเหมาะสมกับวิชาการศึกษาอิสระในระดับท่ีผเู้ รยี นศึกษาอยู่

เม่ือได้หัวข้อ ผู้เรียนทาการศึกษาในเรื่องท่ีได้รับอนุมัติให้ศึกษาด้วยตนเอง ภายใต้การกากับดูแลของท่ี
ปรึกษา ระดับของการกากับดูแลอาจมากน้อยต่างกันตามข้อกาหนดของวิชาการศึกษาอิสระในระดับที่ศึกษา
อยู่ โดยท่ัวไปในระดับมัธยมศึกษามักต้องการคาแนะนาอย่างใกล้ชิดจากที่ปรึกษา ในขณะที่ผู้เรียนระดับ
บัณฑิตศึกษาอาจได้รับคาปรึกษาที่ค่อนข้างจากัด เมื่อเสร็จสิ้นการศึกษามักมีการประเมินผลโดยให้ผู้เรียนทา
รายงานสรุปผลการศึกษาและ/หรือนาเสนอปากเปล่า ผลการเรียนของการศึกษาอิสระอาจเป็นคะแนนระดับ
ต่างๆ หรือ ให้แตเ่ พียงผา่ นหรอื ไมผ่ า่ นก็ได้

การศึกษาคน้ ควา้ ดว้ ยตนเองมคี วามมงุ่ หมายเกยี่ วกับการพัฒนาการเรียนรู้ของนักเรียน เพ่ือให้ผู้เรียน
ได้ศึกษาหาความรู้ด้วยตนเอง เกี่ยวกับประเด็นที่อยู่ในความต้องการและความสนใจ อย่างเป็นระบบ
ตระหนกั ถงึ ความสาคัญของกระบวนการและวิธกี ารของการศึกษาด้วยตนเอง และสามารถนาไปประยุกต์ใช้ใน
การเรียนรตู้ ลอดชวี ติ ได้

6

ใบความรู้ที่ 1
เรอื่ ง การตัง้ ประเด็นปญั หาหรอื ตงั้ คาถาม

การใช้คาถามเป็นเทคนิคสาคัญในการเสาะแสวงหาความรู้ท่ีมีประสิทธิภาพ เป็นกลวิธีการสอนท่ี
กอ่ ใหเ้ กดิ การเรยี นร้ทู ี่พฒั นาทักษะการคดิ การตคี วาม การไตร่ตรอง การถ่ายทอดความคิด สามารถนาไปสู่
การเปลย่ี นแปลงและปรบั ปรงุ การจดั กระบวนการเรยี นรู้ได้เปน็ อย่างดี

การถามเป็นส่วนหน่ึงของกระบวนการเรียนรู้ ช่วยให้ผู้เรียนสร้างความรู้ ความเข้าใจ และพัฒนา
ความคิดใหม่ ๆ กระบวนการถามจะช่วยขยายทักษะการคิด ทาความเข้าใจให้กระจ่าง ได้ข้อมูลป้อนกลับทั้ง
ด้านการเรียนการสอน ก่อให้เกิดการทบทวน การเชื่อมโยงระหว่างความคิดต่าง ๆ ส่งเสริมความอยากรู้
อยากเห็นและเกดิ ความท้าทาย

การสังเกต (Observation) วิธีการทางวิทยาศาสตร์มักจะเริ่มจากการสังเกตปรากฏการณ์ต่างๆ ที่อยู่
รอบๆ ตัวเรา เม่ือได้ข้อสังเกตบางอย่างที่เราสนใจจะทาให้ได้สิ่งที่ตามมาคือ ปัญหา (Problem) เช่น การ
สงั เกต ตน้ หญ้าใตต้ ้นไม้ใหญ่ หรือต้นหญา้ ท่อี ย่ใู ต้หลังคามกั จะไม่งอกงาม ส่วนตน้ หญ้าในบริเวณใกล้เคียงกันที่
ไดร้ บั แสงเจรญิ งอกงามดี

การตงั้ ปญั หา
"แสงแดดมีส่วนเก่ยี วขอ้ งกับการเจรญิ งอกงามของต้นหญา้ หรือไม"่
"แบคทเี รยี ในจานเพาะเชื่อเจริญชา้ ไม่งอกงามถา้ มีราสีเขยี วอย่ใู นจานเพาะเชอื้ น้นั "

"การต้ังปัญหานั้นสาคัญกว่าการแก้ปัญหา" เพราะ การต้ังปัญหาท่ีดีและชัดเจนจะทาให้ผู้ตั้งปัญหา
เกดิ ความเข้าใจและมองเห็นลู่ทางของการค้นหาคาตอบเพื่อแก้ปัญหาท่ีตั้งข้ึน ดังนั้นจึงต้องหมั่นฝึกการสังเกต
ส่งิ ที่สังเกตน้ันเปน็ อะไร? เกิดข้นึ เม่อื ไร? เกิดขึน้ ที่ไหน? เกดิ ขนึ้ ได้อย่างไร? ทาไมจึงเป็นเชน่ นั้น?

ระดบั ของการตงั้ คาถาม
การตั้งคาถามมี 2 ระดบั คือ คาถามระดับพื้นฐาน และคาถามระดับสงู ซึ่งมีรายละเอยี ดดงั นี้
1) คาถามระดับพน้ื ฐาน เป็นการถามความรู้ ความจา เปน็ คาถามท่ีใช้ความคิดท่ัวไป หรือความคิด
ระดับต่า ใชพ้ ื้นฐานความรู้เดิมหรือสง่ิ ท่ปี ระจกั ษใ์ นการตอบ เนือ่ งจากเปน็ คาถามที่ฝึกใหเ้ กิดความคล่องตัวใน
การตอบ คาถามในระดับน้ีเป็นการประเมินความพร้อมของผู้เรียนก่อนเรียน วินิจฉัยจุดอ่อน – จุดแข็งและ
สรปุ เนื้อหาที่เรยี นไปแลว้ คาถามระดบั พ้นื ฐานได้แก่

1.1) คาถามให้สังเกต เป็นคาถามที่ให้ผู้เรียนคิดตอบจากการสังเกต เป็นคาถามท่ีต้องการ
ให้ผเู้ รียนใช้ประสาทสมั ผสั ทงั้ หา้ ในการสบื ค้นหาคาตอบ คือ ใชต้ าดู มือสมั ผัส จมกู ดมกล่ิน ลิ้นชิมรส และ
หูฟงั เสียง ตัวอย่างคาถาม เช่น

- เม่ือนักเรยี นฟงั เพลงนแ้ี ล้วรสู้ กึ อยา่ งไร
- ภาพน้มี ีลกั ษณะอยา่ งไร
- สารเคมใี น 2 บีกเกอร์ ต่างกันอย่างไร
- พ้นื ผิวของวตั ถเุ ป็นอยา่ งไร
1.2) คาถามทบทวนความจา เป็นคาถามที่ใช้ทบทวนความรู้เดิมของผู้เรียน เพ่ือใช้
เช่อื มโยงไปสู่ความรใู้ หมก่ อ่ นเร่มิ บทเรยี น ตัวอย่างคาถาม เช่น
- วนั วสิ าขบชู าตรงกบั วันใด
- ดาวเคราะหด์ วงใดท่มี ีขนาดใหญท่ สี่ ดุ
- ใครเป็นผูแ้ ตง่ เรอื่ งอเิ หนา
- เม่อื เกดิ อาการแพ้ยาควรโทรศพั ทไ์ ปท่เี บอร์ใด

7

1.3) คาถามทใ่ี ห้บอกความหมายหรือคาจากัดความ เป็นการถามความเข้าใจ โดยการให้
บอกความหมายของขอ้ มลู ต่าง ๆ ตัวอยา่ งคาถาม เช่น

- คาวา่ สทิ ธิมนุษยชนหมายความว่าอยา่ งไร
- ภาษเี งนิ ได้บุคคลธรรมดาคืออะไร
- สถิติ (Statistics) หมายความว่าอย่างไร
- บอกความหมายของ Passive Voice
1.4) คาถามบ่งชี้หรือระบุ เป็นคาถามท่ีให้ผู้เรียนบ่งชี้หรือระบุคาตอบจากคาถามให้
ถกู ต้อง ตัวอยา่ งคาถาม เช่น
- ประโยคทีป่ รากฏบนกระดานประโยคใดบ้างท่ีเป็น Past Simple Tense
- คาใดตอ่ ไปนเี้ ป็นคาควบกลา้ ไม่แท้
- ระบชุ ่อื สตั ว์ทม่ี ีกระดกู สันหลัง
- ประเทศใดบ้างทีเ่ ป็นสมาชิก APEC
2) คาถามระดับสูง เป็นการถามให้คิดค้น หมายถึง คาตอบท่ีผู้เรียนตอบต้องใช้ความคิดซับซ้อน
เป็นการส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์และกระตุ้นให้ผู้เรียนสามารถใช้สมองซีกซ้ายและซีกขวาในการคิดหา
คาตอบ โดยอาจใช้ความรู้หรือประสบการณ์เดิมมาเป็นพ้ืนฐานในการคิดและตอบคาถาม ตัวอย่างคาถาม
ระดบั สูงได้แก่
2.1) คาถามให้อธิบาย เป็นการถามโดยให้ผู้เรียนตีความหมาย ขยายความ โดยการให้
อธิบายแนวคดิ ของขอ้ มลู ต่าง ๆ ตวั อย่างคาถาม เช่น
- เพราะเหตใุ ดใบไมจ้ ึงมสี ีเขียว
- นักเรยี นควรมบี ทบาทหน้าท่ใี นโรงเรียนอยา่ งไร
- ชาวพทุ ธท่ดี คี วรปฏิบัติตนอย่างไร
- นักเรยี นจะปฏบิ ตั ิตนอย่างไรจงึ จะทาใหร้ ่างกายแขง็ แรง
2.2) คาถามให้เปรียบเทียบ เป็นการต้ังคาถามให้ผู้เรียนสามารถจาแนกความเหมือน –
ความแตกต่างของข้อมลู ได้ ตัวอยา่ งคาถาม เช่น
- พืชใบเล้ยี งคูต่ า่ งจากพชื ใบเล้ียงเดี่ยวอยา่ งไร
- จงเปรยี บเทียบวิถชี ีวิตของคนไทยในภมู ิภาคตา่ ง ๆ ของประเทศไทย
- DNA กับ RNA แตกตา่ งกนั หรือไม่ อยา่ งไร
- สงั คมเมอื งกับสงั คมชนบทเหมือนและต่างกันอยา่ งไร
2.3) คาถามให้วิเคราะห์ เป็นคาถามให้ผู้เรียนวิเคราะห์ แยกแยะปัญหา จัดหมวดหมู่
วิจารณแ์ นวคดิ หรือบอกความสมั พันธ์และเหตุผล ตวั อย่างคาถาม เชน่
- อะไรเปน็ สาเหตุท่ที าให้เกดิ ภาวะโลกรอ้ น
- วัฒนธรรมแบ่งออกเปน็ กปี่ ระเภท อะไรบ้าง
- สาเหตใุ ดทท่ี าให้นางวันทองถูกประหารชวี ิต
- การติดยาเสพติดของเยาวชนเกิดจากสาเหตุใด
2.4) คาถามให้ยกตัวอย่าง เป็นการถามให้ผู้เรียนใช้ความสามารถในการคิด นามา
ยกตวั อย่าง ตวั อย่างคาถาม เช่น
- รา่ งกายขับของเสยี ออกจากสว่ นใดบา้ ง
- ยกตัวอยา่ งการเคล่อื นที่แบบโปรเจกไตล์

8

- หนิ อัคนสี ามารถนาไปใช้ประโยชนไ์ ด้อยา่ งไรบ้าง
- อาหารคาวหวานในพระราชนพิ นธ์กาพย์เห่ชมเครื่องคาวหวานได้แก่อะไรบ้าง
2.5) คาถามให้สรุป เป็นการใช้คาถามเม่ือจบบทเรียน เพ่ือให้ทราบว่าผู้เรียนได้รับความรู้
หรือมีความก้าวหน้าในการเรียนมากน้อยเพียงใด และเป็นการช่วยเน้นย้าความรู้ท่ีได้เรียนไปแล้ว ทาให้
สามารถจดจาเนือ้ หาไดด้ ยี ง่ิ ขึ้น ตวั อย่างคาถาม เชน่
- จงสรปุ เหตผุ ลท่ที าใหพ้ ระเจา้ ตากสนิ ทรงยา้ ยเมืองหลวง
- เมอ่ื นกั เรียนอ่านบทความเรือ่ งนีแ้ ลว้ นักเรียนได้ข้อคดิ อะไรบา้ ง
- จงสรปุ แนวทางในการอนรุ ักษท์ รพั ยากรนา้ เพ่ือให้เกิดคุณคา่ สูงสุด
- จงสรปุ ขั้นตอนการทาผ้าบาติค
2.6) คาถามเพื่อให้ประเมินและเลือกทางเลือก เป็นการใช้คาถามท่ีให้ผู้เรียนเปรียบเทียบ
หรือใชว้ จิ ารณญาณในการตดั สินใจเลือกทางเลอื กท่หี ลากหลาย ตวั อยา่ งคาถามเช่น
- การว่ายน้ากบั การวิ่งเหยาะ อยา่ งไหนเปน็ การออกกาลังกายทีด่ ีกวา่ กนั เพราะเหตใุ ด
- ระหว่างนา้ อดั ลมกับนมอยา่ งไหนมปี ระโยชน์ต่อรา่ งกายมากกวา่ กัน เพราะเหตุใด
- ดินร่วนดนิ ทรายและดินเหนียวดินชนดิ ใดเหมาะแก่การปลูกมะมว่ งมากกว่ากันเพราะเหตุใด
- ไก่ทอดกบั สลดั ไก่ นักเรียนจะเลือกรับประทานอาหารชนดิ ใด เพราะเหตใุ ด
2.7) คาถามให้ประยกุ ต์ เปน็ การถามให้ผู้เรียนใช้พ้ืนฐานความรู้เดิมที่มีอยู่มาประยุกต์ใช้ใน
สถานการณ์ใหม่หรอื ในชีวิตประจาวนั ตัวอยา่ งคาถามเชน่
- นักเรียนมวี ิธกี ารประหยดั พลงั งานอย่างไรบา้ ง
- เม่ือนักเรียนเหน็ เพื่อนในหอ้ งขาแพลง นักเรียนจะทาการปฐมพยาบาลอยา่ งไร
- นกั เรียนนาปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพยี งไปประยุกต์ใช้ในการดาเนนิ ชีวิต
ประจาวนั อยา่ งไรบา้ ง
- นกั เรียนจะทาการส่งขอ้ ความผา่ นทางอีเมลลไ์ ด้อย่างไร
2.8) คาถามให้สร้างหรือคิดค้นส่ิงใหม่ ๆ หรือผลิตผลใหม่ ๆ เป็นลักษณะการถามให้
ผู้เรียนคิดสรา้ งสรรค์ผลงานใหม่ ๆ ท่ีไม่ซา้ กับผูอ้ ่ืนหรือทมี่ ีอย่แู ลว้ ตัวอย่างคาถามเช่น
- กระดาษหนังสือพมิ พท์ ่ีไม่ใชแ้ ล้ว สามารถนาไปประดิษฐ์ของเล่นอะไรไดบ้ ้าง
- กลอ่ งหรือลังไม้เก่า ๆ สามารถดดั แปลงกลบั ไปใชใ้ หเ้ กิดประโยชน์ไดอ้ ย่างไร
- เสอื้ ผ้าทไ่ี ม่ใช้แล้ว นักเรยี นจะนาไปดัดแปลงเป็นส่ิงใดเพอ่ื ใหเ้ กิดประโยชน์
- นกั เรียนจะนากระดาษทีใ่ ช้เพยี งหน้าเดียวมาประดษิ ฐ์เป็นส่งิ ใดบา้ ง
การตั้งคาถามระดับสูงจะทาให้ผู้เรียนเกิดทักษะการคิดระดับสูง และเป็นคนมีเหตุผล ผู้เรียนไม่
เพียงแต่จดจาความรู้ ข้อเท็จจริงได้อย่างเดียวแต่สามารถนาความรู้ไปใช้ในการแก้ปัญหา วิเคราะห์ และ
ประเมินส่ิงท่ีถามได้ นอกจากน้ียังช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจสาระสาคัญของเร่ืองราวที่เรียนได้อย่างถูกต้องและ
กระตุ้นให้ผู้เรียนค้นหาข้อมูลมาตอบคาถามด้วยตนเอง การตอบคาถามระดับสูง ผู้สอนต้องให้เวลาผู้เรียนใน
การคิดหาคาตอบเป็นเวลามากกว่าการตอบคาถามระดับพื้นฐาน เพราะผู้เรียนต้องใช้เวลาในการคิดวิเคราะห์
อย่างลึกซง้ึ และมวี ิจารณญาณในการตอบคาถาม ความผิดพลาดอย่างหน่ึงของการตั้งคาถามคือ การถามแล้ว
ตอ้ งการคาตอบในทันทโี ดยไมใ่ ห้เวลาผ้เู รยี นในการคิดหาคาตอบ

9

ใบงานท่ี 1
เรอื่ ง การต้งั ประเดน็ ปัญหาหรือตงั้ คาถาม

คาช้ีแจง ใหน้ ักเรยี นตอบคาถามลงในช่องว่างให้ไดใ้ จความถกู ต้องสมบรู ณ์
1. เทคนคิ สาคญั ในการเสาะแสวงหาความร้ทู ่มี ีประสิทธิภาพ เปน็ กลวธิ ีการสอนท่กี อ่ ให้เกดิ การเรียนรู้
ทพ่ี ฒั นาทกั ษะการคิด การตีความ การไตรต่ รอง การถา่ ยทอดความคิด คือ………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………….
2. กระบวนการเรียนรู้โดยการถาม ช่วยให้ผู้เรียนเปน็ อย่างไร………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………..…………………………
………………………………………………………………………………..……………………………………………………
การสงั เกต (Observation) เป็นวิธีการทางวิทยาศาสตร์ เมอ่ื ได้ขอ้ สงั เกตบางอย่างท่ีเราสนใจจะทาให้
ไดส้ ิ่งท่ีตามมาคือ ………………………………………………………………………………………..……………………
3. ทก่ี ลา่ ววา่ "การตัง้ ปญั หานั้นสาคัญกว่าการแกป้ ญั หา" เพราะเหตุใด
…………………………………………………………………………………………………………..…………………………
…………………………………………………………………………………………………………..…………………………
4. ระดบั ของการตัง้ คาถามมี ก่ี ระดับ อะไรบ้าง…………………………………………………………………………….
…………………………………………………………………………………………………………..…………………………
…………………………………………………………………………………………………………..…………………………
เป็นการถามความรู้ ความจา คาถามที่ใช้ความคิดท่ัวไป หรือความคิดระดับต่า ใช้พ้ืนฐานความรู้
เดมิ หรอื สิง่ ท่ปี ระจักษ์ในการตอบ เป็นการประเมินความพร้อมของผู้เรียนก่อนเรียน วินิจฉัยจุดอ่อน
– จุดแขง็ และสรุปเน้อื หาท่เี รยี นไปแลว้ เรยี กว่า……………………………………………………………………………
5. คาถามระดบั พน้ื ฐานไดแ้ ก่…………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………..…………………………
…………………………………………………………………………………………………………..…………………………
คาถามระดับสงู เป็นการถามให้คิดค้น หมายถึง ………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………..…………………………
…………………………………………………………………………………………………………..…………………………
6. ตัวอยา่ งคาถามระดบั สงู ได้แก่…………………………………………………………………………………………………….
…………………………………………………………………………………………………………..…………………………
…………………………………………………………………………………………………………..…………………………
7. ทาให้ผู้เรียนเกิดทักษะการคิดระดับสูง และเป็นคนมีเหตุผล ผู้เรียนไม่เพียงแต่จดจาความรู้
ข้อเท็จจริงได้อย่างเดียวแต่สามารถนาความรู้ไปใช้ในการแก้ปัญหา วิเคราะห์ และประเมินสิ่งท่ีถาม
ได้ เปน็ คาถามระดับใด………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………..…………………………
…………………………………………………………………………………………………………..…………………………

ช่ือ………………………...…………………………ชั้น………….เลขท…่ี ………..

10

ใบงานที่ 2
เรอื่ ง การฝกึ ตัง้ คาถาม

คาช้ีแจง ให้นักเรยี นฝึกตงั้ คาถามตามลักษณะคาถามทก่ี าหนดใหพ้ ร้อมเขียนตอบลงในช่องว่าง

ระดับการตั้งคาถาม ลกั ษณะคาถาม คาถาม

ขัน้ พืน้ ฐาน 1.ให้สังเกต

2.ทบทวนความจา

3.บอกให้ความหมายหรือคา
จากัดความ

4.บ่งชห้ี รอื ระบุ

ขน้ั สงู 1.ให้อธบิ าย

2.ให้เปรียบเทยี บ

3.ให้วิเคราะห์

4.ใหย้ กตวั อยา่ ง

5.ใหส้ รุป

6.ให้ประเมินและเลือก
ทางเลอื ก

7.ให้ประยกุ ต์

8.ให้สรา้ งหรือคิดคน้ สิ่ง
ใหมๆ่ หรือผลติ ผลใหม่ๆ

ชอื่ ………………………...…………………………ช้ัน………….เลขท…่ี ………..

11

ใบงานท่ี 3
เรอ่ื ง การวิเคราะห์ / ตั้งคาถาม / ระบปุ ัญหาของตนเอง

1. ปญั หาของตนเองคืออะไร
………………………………………………………………………………………………………….…......................................
………………………………………………………………………………………………………….…......................................
………………………………………………………………………………………………………….…......................................
………………………………………………………………………………………………………….…......................................

2. ปัญหาของตนเองน้นั มีสาเหตุ มาจากอะไรบา้ ง
………………………………………………………………………………………………………….…......................................
………………………………………………………………………………………………………….…......................................
………………………………………………………………………………………………………….…......................................
………………………………………………………………………………………………………….…......................................
………………………………………………………………………………………………………….…......................................
………………………………………………………………………………………………………….…......................................
………………………………………………………………………………………………………….…......................................
………………………………………………………………………………………………………….…......................................
………………………………………………………………………………………………………….…......................................
………………………………………………………………………………………………………….…......................................
………………………………………………………………………………………………………….…......................................

3. ควรมีวธิ ีการแกไ้ ขปัญหาของตนเองไดอ้ ย่างไรบ้าง
………………………………………………………………………………………………………….…......................................
………………………………………………………………………………………………………….…......................................
………………………………………………………………………………………………………….…......................................
………………………………………………………………………………………………………….…......................................
………………………………………………………………………………………………………….…......................................
………………………………………………………………………………………………………….…......................................
………………………………………………………………………………………………………….…......................................
………………………………………………………………………………………………………….…......................................
………………………………………………………………………………………………………….…......................................
………………………………………………………………………………………………………….…......................................

ชอ่ื ………………………...…………………………ชัน้ ………….เลขท…ี่ ………..

12

ใบงานท่ี 4
เร่ือง การวิเคราะห์ / ตั้งคาถาม / ระบุปัญหาของชุมชน

1. ปัญหาของชุมชนคืออะไร
………………………………………………………………………………………………………….…......................................
………………………………………………………………………………………………………….…......................................
………………………………………………………………………………………………………….…......................................
………………………………………………………………………………………………………….…......................................

2. ปัญหาชมุ ชนนัน้ มสี าเหตุ มาจากอะไรบา้ ง
………………………………………………………………………………………………………….…......................................
………………………………………………………………………………………………………….…......................................
………………………………………………………………………………………………………….…......................................
………………………………………………………………………………………………………….…......................................
………………………………………………………………………………………………………….…......................................
………………………………………………………………………………………………………….…......................................
………………………………………………………………………………………………………….…......................................
………………………………………………………………………………………………………….…......................................
………………………………………………………………………………………………………….…......................................
………………………………………………………………………………………………………….…......................................
………………………………………………………………………………………………………….…......................................

3. ควรมีวิธีการแก้ไขปัญหาของชุมชนไดอ้ ย่างไรบา้ ง
………………………………………………………………………………………………………….…......................................
………………………………………………………………………………………………………….…......................................
………………………………………………………………………………………………………….…......................................
………………………………………………………………………………………………………….…......................................
………………………………………………………………………………………………………….…......................................
………………………………………………………………………………………………………….…......................................
………………………………………………………………………………………………………….…......................................
………………………………………………………………………………………………………….…......................................
………………………………………………………………………………………………………….…......................................
………………………………………………………………………………………………………….…......................................

ชอื่ ………………………...…………………………ชั้น………….เลขท…่ี ………..

13

ใบงานที่ 5
เรือ่ ง การวเิ คราะห์ / ต้ังคาถาม / ระบปุ ัญหาของประเทศ

1. ปญั หาของประเทศชาตคิ ืออะไร
………………………………………………………………………………………………………….…......................................
………………………………………………………………………………………………………….…......................................
………………………………………………………………………………………………………….…......................................
………………………………………………………………………………………………………….…......................................

2. ปัญหาของประเทศชาตินั้นมสี าเหตุ มาจากอะไรบ้าง
………………………………………………………………………………………………………….…......................................
………………………………………………………………………………………………………….…......................................
………………………………………………………………………………………………………….…......................................
………………………………………………………………………………………………………….…......................................
………………………………………………………………………………………………………….…......................................
………………………………………………………………………………………………………….…......................................
………………………………………………………………………………………………………….…......................................
………………………………………………………………………………………………………….…......................................
………………………………………………………………………………………………………….…......................................
………………………………………………………………………………………………………….…......................................
………………………………………………………………………………………………………….…......................................

3. ควรมวี ธิ กี ารแก้ไขปัญหาของประเทศชาตไิ ด้อยา่ งไรบ้าง
………………………………………………………………………………………………………….…......................................
………………………………………………………………………………………………………….…......................................
………………………………………………………………………………………………………….…......................................
………………………………………………………………………………………………………….…......................................
………………………………………………………………………………………………………….…......................................
………………………………………………………………………………………………………….…......................................
………………………………………………………………………………………………………….…......................................
………………………………………………………………………………………………………….…......................................
………………………………………………………………………………………………………….…......................................
………………………………………………………………………………………………………….…......................................

ชือ่ ………………………...…………………………ชน้ั ………….เลขท…่ี ………..

14

ใบงานที่ 6
เร่อื ง การตัง้ คาถาม / การระบุประเดน็ ปญั หา

คาช้แี จง ใหน้ กั เรียนช่วยกนั คิดระดมพลังสมองตัง้ คาถาม/ขอ้ สงสยั และระบปุ ระเดน็ ปัญหาทีก่ ลมุ่ ตนเองสนใจ

ท่ี คาถาม/ข้อสงสัย ประเด็นปัญหา

1 …………………………………………………….. ……………………………………………………..
…………………………………………………… ……………………………………………………

2 …………………………………………………….. ……………………………………………………..
…………………………………………………… ……………………………………………………

3 …………………………………………………….. ……………………………………………………..
…………………………………………………… ……………………………………………………

4 …………………………………………………….. ……………………………………………………..
…………………………………………………… ……………………………………………………

5 …………………………………………………….. ……………………………………………………..
…………………………………………………… ……………………………………………………

6 …………………………………………………….. ……………………………………………………..
…………………………………………………… ……………………………………………………

7 …………………………………………………….. ……………………………………………………..
…………………………………………………… ……………………………………………………

8 …………………………………………………….. ……………………………………………………..
…………………………………………………… ……………………………………………………

9 …………………………………………………….. ……………………………………………………..
…………………………………………………… ……………………………………………………

10 …………………………………………………….. ……………………………………………………..
…………………………………………………… ……………………………………………………

ชอื่ ………………………...…………………………ชน้ั ………….เลขท…ี่ ………..

15

ใบความร้ทู ่ี 2
เรื่อง การต้ังสมมติฐาน

1. สมมติฐาน หมายถึง ความเช่ือของบุคคลใดบุคคลหน่ึง หรือ ของกลุ่มใดกลุ่มหน่ึงหรืออาจกล่าวได้
ว่า สมมติฐานเปน็ สง่ิ ทบ่ี ุคคลหรอื กล่มุ บุคคลคาดว่าจะเกิดขึ้นโดยท่ีความเช่ือหรือส่ิงท่ีคาดนั้นจะเป็นจริงหรือไม่
กไ็ ด้ เชน่

- เจ้าของร้านค้าปลกี คาดวา่ จะมีกาไรสุทธิจากการขายสินคา้ ต่อปไี ม่ต่ากวา่ 500,000 บาท
- หัวหน้าพรรคการเมือง A …..คาดว่าการเลือกต้ังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ในคราวหน้า
พรรคอนื่ ๆ จะไดท้ นี่ ง่ั ในสภาตา่ กว่า 50% ของทัง้ หมด
- คาดว่ารายไดเ้ ฉลีย่ ตอ่ เดอื นของประชากรในจังหวัดพิษณุโลกเทา่ กับ 15,000 บาท
2. ความแตกตา่ งของสมมติฐานกบั การพยากรณ์
การต้ังสมมติฐาน คือ การทานายผลล่วงหน้าโดยไม่มีหรือไม่ทราบ ความสัมพันธ์เกี่ยวข้องระหว่าง
ข้อมลู
การพยากรณ์ คือ การทานายผลล่วงหน้าโดยการมีหรือทราบความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูลที่เก่ียวข้อง
ในการทานายลว่ งหน้า
3. หลักการต้งั สมมตุ ิฐาน
1) สมมตฐิ านต้องเปน็ ข้อความทีบ่ อกความสัมพันธ์ระหวา่ ง ตวั แปรตน้ กับ ตัวแปรตาม
2) ในสถานการณ์หน่ึง ๆ อาจต้ังหนึ่งสมมติฐานหรือหลายสมมติฐานก็ได้ สมมติฐานท่ีต้ังข้ึน
อาจจะถูกหรือผิดก็ได้ ดังนั้นจาเป็นต้องมีการทดลองเพ่ือตรวจสอบว่า สมมติฐานที่ตั้งข้ึนนั้นเป็นท่ียอมรับ
หรือไม่ซ่งึ จะทราบภายหลงั จากการทดลองหาคาตอบแล้วตวั อยา่ งการตัง้ สมมติฐาน
อะไรมผี ลต่อความเร็วรถ (ความเรว็ รถขึ้นอย่กู บั ปัจจัยอะไรบา้ ง)
สมมติว่า นักเรียนเลือกขนาดของยางรถยนต์ เป็นตัวแปรที่ต้องการทดสอบ ก็อาจ
ตัง้ สมมติฐานไดว้ ่าเมอ่ื ขนาดของยางรถยนต์ใหญ่ขน้ึ ความเร็วของรถยนตจ์ ะลดลง
(ตวั แปรตน้ : ขนาดของยางรถยนต)์ (ตัวแปรตาม : ความเร็วของรถยนต์)
4. การตง้ั สมมติฐานท่ดี ี ควรมีลกั ษณะดงั นี้
1) เปน็ สมมติฐานทเ่ี ขา้ ใจง่าย มักนิยมใชว้ ลี “ถ้า…ดงั น้ัน”
2) เปน็ สมมตฐิ านทแี่ นะลทู่ างท่จี ะตรวจสอบได้
3) เป็นสมมตฐิ านทตี่ รวจไดโ้ ดยการทดลอง
4) เป็นสมมตฐิ านทสี่ อดคลอ้ งและอยู่ในขอบเขตข้อเทจ็ จริงที่ได้จากการสังเกตและสัมพันธ์กับ
ปญั หาทตี่ งั้ ไว้
สมมตฐิ านทเ่ี คยยอมรบั อาจล้มเลิกไดถ้ ้ามีข้อมลู จากการทดลองใหม่ๆ มาลบล้าง แต่ก็มีบางสมมติฐาน
ที่ไมม่ ีข้อมลู จากการทดลองมาคดั คา้ นทาใหส้ มมติฐานเหล่านั้นเปน็ ท่ี
ยอมรับว่าถูกต้อง เช่น สมมติฐานของเมนเดลเกี่ยวกับหน่วยกรรมพันธ์ุ ซึ่งเปลี่ยนกฎการแยกตัวของยีน หรือ
สมมตฐิ านของอโวกาโดรซ่ึงเปล่ียนเปน็ กฎของอโวกาโดร

16

ตัวอยา่ งการต้ังสมมติฐาน

ขอ้ สงสัย/ขอ้ สังเกต/ปญั หา “ทาไมหญ้าบรเิ วณใตต้ ้นไม้จงึ ไมง่ อกงามเท่าหญา้ ท่ีอยู่กลางแจ้ง”
ประเดน็ ปัญหา “แสงแดดมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเจริญงอกงามของต้นหญ้า
หรือไม”่
สมมติฐาน “ถ้าแสงแดดมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเจริญงอกงามของต้นหญ้า
ดงั น้ัน
ต้นหญา้ บรเิ วณทีไ่ ม่ไดร้ ับแสงแดดจะไม่งอกงามหรือตายไป”
หรอื “ถ้าแสงแดดมีส่วนเก่ียวข้องกับการเจริญงอกงามของต้นหญ้า
ดงั นน้ั
ต้นหญา้ บรเิ วณท่ไี ด้รับแสงแดดจะเจริญงอกงาม”

ข้อสงสัย/ข้อสงั เกต/ปญั หา “ความเรว็ รถข้นึ อยูก่ บั ปจั จยั อะไรบ้าง”

ประเดน็ ปญั หา “ขนาดของยางรถยนตม์ ีผลตอ่ ความเร็วของรถยนต์หรือไม่”

สมมตฐิ าน “เม่ือขนาดของยางรถยนต์ใหญข่ นึ้ ความเรว็ ของรถยนต์จะลดลง”

ขอ้ สงสัย/ขอ้ สังเกต/ปัญหา “นักเรยี นชั้นมธั ยมศกึ ษาปีที่ 2/…..ชอบอา่ นหนงั สอื ประเภทใด”

ประเด็นปญั หา “ศึกษาพฤตกิ รรมการเลือกอ่านหนังสือของนกั เรียนชน้ั มัธยมศึกษาปที ี่ ...”

สมมตฐิ าน “ถ้านกั เรียนชัน้ มัธยมศึกษาปีท่ี ……. มนี ิสัยชอบเพ้อฝนั ดังน้นั นกั เรยี น

ชน้ั มัธยมศึกษาปีท่ี…..ชอบอ่านหนงั สอื นวนิยาย”

(การวจิ ัยเชงิ สารวจไม่ต้องตง้ั สมมติฐานก็ได้)

17

ใบงานที่ 7
เรือ่ ง การต้งั สมมติฐาน

คาชีแ้ จง ใหน้ ักเรียนตอบคาถามลงในชอ่ งว่างใหไ้ ด้ใจความถกู ต้องสมบรู ณ์

1. สมมตฐิ าน
……………………………………………………………………………………………........................................................
……………………………………………………………………………………………........................................................
……………………………………………………………………………………………........................................................

2. การตั้งสมมติฐาน คือ
……………………………………………………………………………………………........................................................
……………………………………………………………………………………………........................................................
……………………………………………………………………………………………........................................................

3. การพยากรณ์ คือ
……………………………………………………………………………………………........................................................
……………………………………………………………………………………………........................................................
……………………………………………………………………………………………........................................................

4. บอกหลักในการต้ังสมมติฐาน
……………………………………………………………………………………………........................................................
……………………………………………………………………………………………........................................................
……………………………………………………………………………………………........................................................

5. บอกลกั ษณะการตัง้ สมมตฐิ านทด่ี ี
……………………………………………………………………………………………........................................................
……………………………………………………………………………………………........................................................
……………………………………………………………………………………………........................................................
……………………………………………………………………………………………........................................................
……………………………………………………………………………………………........................................................

ช่อื ………………………...…………………………ช้นั ………….เลขท…ี่ ………..

18

ใบงานที่ 8
เร่ือง การฝกึ ตั้งสมมติฐาน

คาชีแ้ จง ใหน้ กั เรยี นต้ังสมมติฐานตามประเด็นปญั หาท่ีกาหนดให้ ดงั น้ี

ท่ี ประเด็นปญั หา สมมติฐาน

ตวั วธิ กี ารเลยี้ งดขู องผู้ปกครองมีผลต่อ วิธีการเล้ยี งดขู องผู้ปกครองมผี ลต่อพฤติกรรมการ

อย่าง พฤติกรรมการก้าวร้าวของเดก็ กา้ วร้าวของเด็ก

1 การสารวจพฤติกรรมการใชผ้ งชูรสในการ ……………………………………………………………………………
ประกอบอาหารของแม่คา้ โรงเรยี น…. ……………………………………………………………………………

2 การสารวจพฤติกรรมการใชโ้ ทรศัพทข์ อง ……………………………………………………………………………
นกั เรียน ……………………………………………………………………………

3 ผลกระทบท่เี กิดจากการท่ีไม่ได้อยูอ่ าศัยกับ ……………………………………………………………………………
บิดา-มารดาของนักเรียน ……………………………………………………………………………

4 การสกดั สีจากวสั ดธุ รรมชาติเพ่ือนามาใช้ ……………………………………………………………………………
แทนสนี า้ ……………………………………………………………………………

5 การศกึ ษาสมุนไพรที่มีผลตอ่ การดับกลน่ิ เท้า ……………………………………………………………………………

……………………………………………………………………………

6 สารวจพฤติกรรมเกย่ี วกับการบรโิ ภค ……………………………………………………………………………
เครือ่ งดื่มของนกั เรยี น ……………………………………………………………………………

7 ผลกระทบที่เกดิ จากสภาวะน้ามนั แพง ……………………………………………………………………………

……………………………………………………………………………

8 การสารวจการเลน่ เกมออนไลน์ของนักเรียน ……………………………………………………………………………

……………………………………………………………………………

9 การสารวจการประหยดั พลงั งานไฟฟ้าของ ……………………………………………………………………………
นกั เรยี น ……………………………………………………………………………

10 การศกึ ษาผลการจัดทาบญั ชีครวั เรอื นของ ……………………………………………………………………………
ครอบครัว ……………………………………………………………………………

ช่อื ………………………...…………………………ชนั้ ………….เลขท…่ี ………..

19

ใบความร้ทู ี่ 3
เรื่อง ประเดน็ ปัญหาและสมมติฐาน

การตง้ั ประเดน็ ปัญหา

การวจิ ยั เป็นการหาคาตอบทอี่ ยากรู้ ทสี่ งสัย ท่ีเป็นปัญหาข้องใจ แต่คาตอบนั้นต้องเช่ือถือได้ ไม่ใช่

การคาดเดา หรือคิดสรุปไปเองโดยใช้ความรู้สึก วิธีการหาคาตอบจึงต้องเป็นกระบวนการ ข้ันตอนอย่างเป็น

ระบบ ตัวอย่าง เช่น

- ถ้าต้องการทราบว่านักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 2/…..โรงเรียนลือคาหาญวารินชาราบ ชอบ
อ่านหนังสอื ประเภทใด

จะคาดเดาเองหรอื ไปสอบถามนักเรียนเพียงหนึง่ คน สองคน แลว้ มาสรุปว่านักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่

2/…..โรงเรียนลือคาหาญวารินชาราบ ชอบอา่ นหนังสอื ประเภทน้นั ประเภทนไ้ี มไ่ ด้

แต่ต้องทาแบบสอบถามให้นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 2/…..โรงเรียนลือคาหาญวารินชาราบ เป็น

ผู้ตอบแล้วนามาสรุปคาตอบข้อคน้ พบท่ไี ด้ เป็นตน้

ผลท่ีได้จากการทาวจิ ัย นอกจากจะได้คาตอบท่ีต้องการแล้ว ผู้วิจัยเองก็ได้ประโยชน์จาก

การทาวิจัย คือ การเป็นคนช่างคิด ช่างสังเกต ศึกษาค้นคว้าหาความรู้ และเขียนเรียบเรียง อย่างเป็นระบบ

นอกจากน้นั การวจิ ยั จะเกดิ ประโยชนใ์ นภาพรวม ดังนี้

1. การวจิ ยั ทาให้เกิดความรู้ทางวชิ าการใหม่ๆ

2. การวจิ ยั ทาให้เกิดนวตั กรรม ส่งิ ประดษิ ฐ์ แนวคดิ ใหมๆ่

3. การวิจัยช่วยตอบคาถามทอ่ี ยากรู้ ใหเ้ ขา้ ใจปัญหา และชว่ ยในการแก้ปญั หา

4. การวิจยั ชว่ ยในการวางแผนและตดั สนิ ใจ

5. การวจิ ยั ช่วยใหท้ ราบผลและขอ้ บกพร่องจากการดาเนินงาน

การค้นหาความรู้ ความจรงิ และตรวจสอบความถูกตอ้ ง ความรู้ ความจรงิ ของ ชาร์ล ดาร์วนิ

( Charles Darwin ) ซ่ึงปัจจุบันเรียกว่า วิธีการทางวิทยาศาสตร์ (Scientific Method) เป็นวิธีการหาความรู้

ความจริงท่ีน่าเช่ือถือที่สุดการวิจัยได้นาเอาวิธีการทางวิทยาศาสตร์นี้ขึ้นมาประยุกต์เป็นกระบวนการวิจัย

ประกอบดว้ ย 5 ข้ันตอน ดังน้ี

1. ขั้นปัญหา (Problem) เป็นข้ันตอนท่ีเราสังเกตพบปัญหาความต้องการความรู้ความจริงหน่ึงว่ามี

เหตุการณห์ รอื สภาพการณ์เปน็ อย่างไร มีเหตุหรือปัจจยั อะไรทีท่ าให้เกดิ เหตกุ ารณ์หรือสภาพเหตุการณ์นั้น

2. วิธีตั้งสมมติฐาน (Hypothesis) ในข้ันตอนนี้เราจะต้องศึกษาทบทวนความรู้เดิมมาประกอบการ

พิจารณาว่าคาตอบของปัญหาในขั้นท่ี1 นั้นจะเป็นอย่างไร ซ่ึงเรียกว่า การตั้งสมมติฐาน ซึ่งจะเป็นแนวในการ

ตรวจสอบวา่ สมมติฐานท่ีต้ังขึ้นจะเปน็ จริงหรอื ไม่

3. ข้นั รวบรวมข้อมลู (Gathering Data) ในขนั้ น้เี ราจะทาการเก็บรวบรวมข้อมูลท่ีเก่ียวข้อง มาอย่าง

เพียงพอและตรงกบั ส่งิ ท่ตี อ้ งการศกึ ษา

4. ขัน้ วเิ คราะหข์ อ้ มลู (Analysis) ในขัน้ น้จี ะเปน็ การนาข้อมูลท่ีรวบรวมมาทาการวิเคราะห์เพ่ือมาหา

ลกั ษณะร่วมหรอื สอดคลอ้ งกนั ของข้อมลู เหล่าน้ัน และพจิ ารณาวา่ ขอ้ มลู เหล่านม้ี ีกี่ลักษณะและแตกต่างอย่างไร

เป็นต้น

5. ขน้ั สรุป (Conclusion) ในขน้ั ตอนนนี้ าผลการวิเคราะห์มาแปลผลและตีความผลการวิจัยท่ีพบ อัน

เป็นการสรุปผลการวจิ ัย

20

กระบวนการและขนั้ ตอนการทาวจิ ัยอย่างง่าย

1. ขั้นปัญหา (Problem) เป็นขั้นตอนที่เราสังเกตพบปัญหาความต้องการความรู้ความจริงหนึ่งว่ามี
เหตกุ ารณ์หรือสภาพการณ์เปน็ อยา่ งไร มเี หตุหรือปัจจยั อะไรท่ีทาใหเ้ กิดเหตกุ ารณห์ รือสภาพเหตกุ ารณน์ ัน้
การต้ังประเด็นปัญหานั้นสาคัญกว่าปัญหา เพราะการตั้งประเด็นปัญหาที่ดีและชัดเจนจะทาให้ผู้ต้ังปัญหาเกิด
ความเขา้ ใจและมองเหน็ ลู่ทางของการคน้ หาคาตอบเพือ่ แก้ปัญหาท่ตี งั้ ข้ึน

การสังเกตและการตั้งปญั หา (Observation problem)
การสังเกต (Observation) วิธที างการวิทยาศาสตร์มกั จะเรมิ่ จากการสงั เกตปรากฎการณ์ต่างๆที

อยู่รอบตัวเรา เมื่อได้ข้อสังเกตบางอย่างที่เราสนใจจะทาให้ได้ส่ิงที่ตามมาคือ ปัญหา (Problem) เช่น การ
สงั เกต ตน้ หญ้าใต้ตน้ ไม้ใหญ่ หรือต้นหญ้าท่ีอยู่ใต้หลังคามักจะไม่งอกงาม ส่วนต้นหญ้าบริเวณใกล้เคียงท่ีได้รับ
แสงแดดเจริญงอกงามได้ดี

การต้ังปัญหา “แสงแดดมีสว่ นเกีย่ วข้องกับการเจรญิ งอกงามของตอ้ นหญา้ หรือไม่”
ดังน้ันการต้งั ประเด็นปัญหาตอ้ งหมั่นฝึกการสังเกตสิ่งที่สังเกตนั้น เป็นอะไร เกิดข้ึนเมื่อใด เกิดข้ึน
ท่ี
ไหน เกิดขึน้ ไดอ้ ย่างไร ทาไมถงึ เป็นเช่นนัน้
ข้นั ตอนแรกของการวจิ ยั มักจะเรมิ่ ตน้ จากผวู้ ิจัยอยากรู้อะไร มีปัญหาขอ้ สงสัยอะไร เป็นขน้ั ตอน
การกาหนดคาถามวิจัย/ปัญหาวิจัย
ตวั อยา่ งคาถามการวิจยั /ปญั หาการวจิ ยั (การต้งั ประเด็นปญั หา)
- นักร้องในดวงใจวัยรนุ่ คอื ใคร นกั การเมืองในดวงใจวัยร่นุ คอื ใคร
- วัยรุ่นใชเ้ วลาว่างทาอะไร
- การศึกษาผลการจัดบญั ชคี รัวเรือนของ…
- วธิ กี ารเล้ยี งดูของผปู้ กครองที่ลดพฤติกรรมของบตุ ร
- วธิ กี ารลดสภาวะโลกร้อนของนกั เรยี นในโรงเรียน..
- การสารวจความพงึ พอใจของนักเรียนโรงเรยี น..ในการใช้หอ้ งไอซีที-
- การใช้กระแสไฟฟ้าจากแบตเตอร่ีกบั แมแ่ รงเพ่ือกับลอ้ รถยนต์
- การผลติ เซลลพ์ ลังงานไฟฟ้าด้วยวิธีการหมักกลว้ ยหยวก
- การสารวจพฤติกรรมการใชโ้ ทรศัพทข์ องนกั เรยี นในโรงเรยี น..
- การสารวจพฤตกิ รรมการใหข้ องขวญั ของนกั เรียนในโรงเรยี น..
- การสารวจการเลอื กอ่านหนังสอื นอกเวลาของนกั เรียน..
- การสารวจการประหยัดพลังงานไฟฟา้ ของนกั เรยี น
- การสารวจพฤติกรรมการเข้าวัดของนกั เรยี น..
- ผลกระทบท่เี กิดจากสภาวะนา้ มันแพงของผปู้ กครองนักเรยี นโรงเรียน..
- ผลกระทบทเ่ี กิดจากการไม่ได้อาศัยกบั บิดามารดาของนักเรียน..
- สารวจความนิยมและเหตผุ ลของนกั เรียนมธั ยมศกึ ษาปที ี่1 ของโรงเรยี น..ตอ่ การเลอื กเรยี นใน
สถาบันกวดวชิ า
- ความคิดเห็นของนกั เรียนช้นั …ปีการศึกษา..ทม่ี ีโปรแกรมเรียนอังกฤษแบบเข้ม
- ศึกษาพฤติกรรมการบริโภคอาหารเสรมิ ดา้ นความงามของ..
- สารวจพฤติกรรมการบริโภคเครือ่ งด่มื ของนักเรียน
- ศึกษาสาเหตขุ องความเครียดและวธิ ีคลายเครียดของ..

21

- การศกึ ษาการใชโ้ ปรแกรม Facbook ของนักเรยี น..
- การศกึ ษาและสารวจปญั หาดา้ นตัวนกั เรียนและดา้ นสภาพแวดลอ้ ม
- สารวจพฤติกรรมการเลน่ เกมออนไลนข์ องนักเรียน..
- ความพงึ พอใจต่อส่งิ อานวยความสะดวกของนกั เรียน..
- พฤติกรรมการบรโิ ภคอาหารที่เสยี่ งตอ่ การเกิดโรคมะเรง็ ของนกั เรียน
- วัฒนธรรมต่างชาติมีอทิ ธพิ ลต่อนักเรยี น
- การสารวจการมีมารยาทในการใชห้ อ้ งสมุดของนักเรยี น
- การสารวจพฤติกรรมการทาความสะอาดของนักเรียนระดับช้ัน….
- การผลติ น้ายาขัดรองเท้าจากเปลือกสม้
- การผลติ แชมพูสุนขั จากใบนอ้ ยหน่า
- การศกึ ษาสมนุ ไพรทีม่ ผี ลต่อการดบั กล่ินเทา้
- การสารวจพฤตกิ รรมการใช้ผงชรู สในการประกอบอาหารของแม่คา้ โรงเรียน…..
- การเปรยี บเทยี บวธิ กี ารบาบัดน้าเสียระหว่างการกรองด้วยผักตบชวา กับ การบาบัดด้วย EM ที่
มี
ประสิทธิภาพมากที่สดุ
- การศกึ ษาประสิทธภิ าพของสมนุ ไพรในการยบั ย้งั การเจรญิ เติบโตของเชอื้ ราในถั่วลิสง
- การศึกษาการชาร์จแบตเตอรรี่เคร่ือง MP 3 ด้วยมะนาว
- การเปรียบเทียบการปลูกผกั แบบไฮโดรโปนกิ สท์ ใี่ ชป้ ุ๋ยสารละลายธาตุอาหารกบั ปยุ๋ ชวี ภาพ
- การฟงั ดนตรคี ลาสสิค ปอ๊ ป และรอ็ คท่มี ีตอ่ ความสามารถในการจดจา
- การสกัดสจี ากวสั ดุธรรมชาติเพอ่ื นามาใชแ้ ทนสีน้า
- การศกึ ษาจติ สานกึ ในการอนรุ กั ษ์พลังงานและสงิ่ แวดล้อมของนักเรียนโรงเรยี น…
- การสารวจความคดิ เห็นเกีย่ วกับการจดั แขง่ ขนั กีฬาสีภายในโรงเรยี น….
- การสารวจความรู้และความคดิ เหน็ เกี่ยวกบั เทคโนโลยรี ะบบ 3 G ของนกั เรียน….
- การศึกษาความสดของดอกไม้ เม่ือปักไว้ในสารละลายตา่ งชนิดกนั
- การศึกษาการใช้เวลาว่างของนักเรียน…
- การศึกษาปัญหาการติดเกมของนักเรียน….

ฯลฯ

22

ใบงานที่ 9
เรอ่ื ง ประเด็นปัญหากับการตง้ั สมมตฐิ าน

คาช้แี จง ใหน้ ักเรียนแตล่ ะกล่มุ ศึกษาเน้ือหาจากใบความรู้ท่ี 3 เร่ือง ประเดน็ ปัญหาและสมมตฐิ าน
แลว้ ให้ระดมความคิดเหน็ จากสมาชกิ ในกลมุ่ ต้ังประเด็นปัญหาทส่ี นใจมาสกั 10 ประเดน็ (อาจเลือกประเดน็
จากในใบความรู้หรอื เลือกประเด็นอน่ื ตามทส่ี นใจได)้

1. ประเดน็ ปัญหาจากการระดมความคดิ เห็นของสมาชิกในกลุ่ม ทส่ี นใจ 10 ประเดน็ มีดังน้ี
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………

2. ใหแ้ ตล่ ะกลุ่มอภปิ รายเพื่อคัดเลือกประเด็น 3 ประเดน็ จากประเด็นในข้อท่ี 1 โดยบอกเหตุผล
ประกอบ
ประเด็นที่ 1……………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
เหตุผล……………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ประเด็นที่ 2……………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
เหตผุ ล……………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ประเดน็ ที่ 3……………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
เหตุผล……………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………

23

3. ใหน้ กั เรยี นแต่ละกลุ่มตงั้ สมมตฐิ านตามประเดน็ ปญั หาท่ีตั้งไว้ 3 ประเดน็

ประเดน็ ปญั หาท่ี 1…………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
สมมติฐาน………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ประเด็นปญั หาที่ 2…………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
สมมติฐาน………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ประเด็นปัญหาที่ 3…………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
สมมติฐาน………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
4. ใหน้ ักเรยี นแต่ละกลุม่ อภปิ รายเพ่อื คดั เลือกประเด็นเพ่ือทาการศึกษาค้นควา้ ให้เหลือเพยี ง 1 ประเดน็ พร้อม
อธิบายและใหเ้ หตุผลประกอบ
ประเดน็ ปญั หาท่เี ลือก………………………………………………………………………………….………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
สมมติฐาน………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
เหตุผลทเี่ ลือกประเดน็ นี้……………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………

ชื่อกลุ่ม……………………………………..
ชอื่ -สกุล.................................................................... ชนั้ ม.2/.......... เลขท่ี ...............
ช่ือ-สกุล.................................................................... ชัน้ ม.2/.......... เลขที่ ...............
ชอื่ -สกลุ .................................................................... ชั้น ม.2/.......... เลขท่ี ...............
ชอ่ื -สกุล.................................................................... ชน้ั ม.2/.......... เลขท่ี ...............

24

ใบความร้ทู ่ี 4
เร่ือง การออกแบบ วางแผน รวบรวมขอ้ มลู

การตรวจสอบสมมติฐาน จะต้องยึดข้อกาหนดสมมติฐานไว้เป็นเหลักเสมอ (เน่ืองจากสมมติฐานท่ีดี
ได้แนะลทู่ างการตรวจสอบและออกแบบการตรวจสอบไวแ้ ลว้ ) โดยการตรวจสอบสมมตฐิ านนี้ได้จากการสังเกต
และการรวบรวมข้อเทจ็ จริงต่างๆ ที่เกิดจากประสบการณธ์ รรมชาติ

การทดลอง เป็นกระบวนการปฏิบัติ หรือหาคาตอบหรือตรวจสอบสมมติฐานท่ีต้ังไว้โดยการทดลอง
เพอ่ื ทาการคน้ คว้าหาขอ้ มูลและตรวจสอบดวู ่าสมมติฐานข้อใดเป็นคาตอบที่ถูกต้องท่ีสุด ประกอบด้วยกิจกรรม
3 กระบวนการ คอื

3.1 การออกแบบการทดลอง คือการวางแผนการทดลองกอ่ นท่ีจะลงมือปฏบิ ัติจริงโดยใหส้ อดคล้อง
กบั สมมติฐานท่ตี ง้ั ไว้เสมอ และควบคุมปจั จัยหรือตวั แปรตา่ งๆ ทมี่ ผี ลตอ่ การทดลอง แบ่งไดเ้ ปน็ 3 ชนดิ คือ

3.1.1 ตัวแปรอิสระหรือตัวแปรต้น (Independent Variable or Manipulated Variable)
คือปัจจยั ทเ่ี ป็นสาเหตทุ าใหเ้ กิดผลการทดลองหรอื ตัวแปรท่ีต้องศึกษาทาการตรวจสอบดวู า่ เป็นสาเหตุทีก่ ่อให้
เกดิ ผลเช่นกัน

3.1.2 ตัวแปรตาม (Dependent Variable) คือ ผลที่เกิดจากการทดลอง ซึ่งต้องใช้วิธีการ
สงั เกตหรอื วดั ผลดว้ ยวิธกี ารตา่ งๆ เพอ่ื เก็บข้อมูลไว้ และจะเปลยี่ นแปลงไปตามตัวแปรอสิ ระ

3.1.3 ตัวแปรท่ตี อ้ งควบคมุ (Control Variable) คือปจั จยั อ่ืนๆ ท่ีนอกเหนือจากตัวแปรต้นที่
มีผลตอ่ การทดลอง และต้องควบคุมให้เหมือนกันทุกชุดการทดลอง เพื่อป้องกันไม่ให้ผลการทดลองเกิดความ
คลาดเคล่ือนในการตรวจสอบสมมติฐาน นอกจากจะควบคุมปัจจัยที่มีผลต่อการทดลองจะต้องแบ่งชุดการ
ทดลองออกเป็น 2 ชุด ดงั น้ี

ชุดทดลอง หมายถึง ชุดท่ีเราใช้ศึกษาผลของตัวแปรอสิ ระ

ชุดควบคุม หมายถึง ชุดของการทดลองท่ีใช้เป็นมาตาฐานอ้างอิง เพ่ือเปรียบเทียบ
ข้อมูลที่ได้จากการทดลอง ซ่ึงชุดควบคุมนี้จะมีตัวแปรต่างๆ เหมือนชุดทดลองแต่จะแตกต่างจากชุดทดลอง
เพียง 1 ตวั แปรเทา่ นน้ั คือตัวแปรทเ่ี ราจะตรวจสอบหรอื ตัวแปรอสิ ระ

3.2 การปฏิบัติการทดลอง ในกิจกรรมนี้จะลงมือปฏิบัติการทดลองจริงโดยจะดาเนินการไปตาม
ขั้นตอนที่ได้ออกแบบไว้ และควรจะทดลองซา้ ๆ หลายๆ ครั้งเพ่อื ให้แนใ่ จว่าได้ผลเช่นนัน้ จริง

3.3 การบันทึกผลการทดลอง หมายถึง การจดบันทึกท่ีได้จากการทดลองซ่ึงข้อมูลท่ีได้นี้สามารถ
รวบรวมไว้ใช้สาหรบั ยืนยันว่าสมมตฐิ านทต่ี ัง้ ไว้ถกู ตอ้ งหรอื ไม่

25
ในบางคร้ังข้อมูลอาจได้มาจากการสร้างข้อเท็จจริง เอกสาร จากการสังเกตปรากฏการณ์ หรือจาก
การซักถามผู้รอบรู้ แล้วนาข้อมูลที่ได้มาน้ันไปแปรผลและลงข้อสรุปในต่อไป ด้ังน้ัน การรวบรวมข้อมูลเป็น
สิง่ จาเปน็ ในวธิ ีการทางวทิ ยาศาสตร์ ตวั อย่าง

เมื่อคาดคะเนคาตอบว่า "แสงแดดทาให้ต้นหญ้าเจริญงอกงาม ดังน้ันต้นหญ้าท่ีถูกแสงแดด
จะเจรญิ งอกงาม สว่ นต้นหญ้าทไ่ี ม่ถกู แสงแดดจะไม่เจริญงอกงามหรอื เฉาตายไป" ดังนั้นในข้ันนี้จะเป็นขั้นที่จะ
ตรวจสอบวา่ คาตอบท่เี ราคาดคะเนไว้นี้จะถูกต้องหรอื ไม่ โดยอาจออกแบบการทดลองไดด้ ังนี้

นาต้นหญ้า (หรือพืชชนิดอื่นก็ได้เช่นถั่วเขียวท่ีต้องเหมือนกันท้ัง 2 กลุ่มชุดการทดลอง) ปลูก
ในทีมีแสงแดด ส่วนอีกหน่ึงกลุ่มปลูกใช้สังกะสีมาครอบไว้ไม่ให้ได้รับแสงแดด (จัดชุดการทดลองและชุด
ควบคุมให้เหมือนกนั ทกุ ประการยกเว้นการได้รับแสงแดด กับไม่ได้รับแสงแดด) ทาการควบคุมทั้งปริมาณน้า
ที่รดทง้ั 2 กลุ่มน้ีเทา่ ๆ กัน ประมาณ 2สัปดาห์ ทาการสังเกตและบันทกึ ผล

* ตวั แปรต้นหรอื ตวั แปรอสิ ระ คอื แสงแดด
* ตัวแปรตาม คอื ต้นหญ้าเจรญิ งอกงาม (หรอื การเจรญิ เติบโตของต้นหญ้า)
* ตัวแปรท่ีต้องควบคุม คือ ปริมาณน้า, ชนิดของดิน, ปริมาณของดิน, ชนิดของกระถางท่ีใช้
ปลกู , ชนดิ ของต้นหญา้
นาข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์หาค่าเฉลี่ยความสูงของต้นหญ้า หรือการนาจานวนใบของต้นหญ้า ซึ่งเรา
พบว่าต้นหญ้าท่ีได้รับแสงแดดจะเจริญเติบโตงอกงามดีส่วนต้นหญ้าท่ีไม่ได้รับแสงแดดจะมีสีเหลืองหรือสีขาว
ซดี และไมง่ อกงาม จากนัน้ ก็สรปุ ผลการทดลอง

ออกแบบการทดลอง

ทมี่ า http://e-learning.snru.ac.th/els/scilife/unit1/t2-33.htm
สบื คน้ เมื่อวันท่ี 7 กนั ยายน 2556

26

ใบงานที่ 10
เรื่อง การออกแบบ วางแผน รวบรวมขอ้ มูล

คาชีแ้ จง ใหน้ กั เรยี นออกแบบ วางแผน และรวบรวมขอ้ มูล

1. การตรวจสอบสมมติฐานต้องยึด……………………………………………………………..เป็นหลกั ในการตรวจสอบเสมอ
โดยการตรวจสอบสมมติฐานนไี้ ดจ้ าก ……………………………………………………………………………………………………
2. บอกคาจากดั ความของการทดลอง

………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
3. การทดลองประกอบด้วยกิจกรรม 3 กระบวนการ คือ
3.1………………………………………………………………………………………………………………………………………….
3.2…………………………………………………………………………………………………………………………………………
3.3…………………………………………………………………………………………………………………………………………
4. การออกแบบการทดลอง คือ………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
5. การออกแบบการทดลอง แบ่งไดเ้ ป็น 3 ชนดิ คือ
5.1………………………………………………………………………………………………………………………………………….
5.2…………………………………………………………………………………………………………………………………………
5.3…………………………………………………………………………………………………………………………………………
6. ตวั แปรอสิ ระหรอื ตัวแปรต้น (Independent Variable or Manipulated Variable) คอื
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
7. ตวั แปรตาม (Dependent Variable) คอื
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
8. ตวั แปรทต่ี อ้ งควบคมุ (Control Variable) คือ
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
9. ชดุ ทดลอง คือ…………………………………………………………………………………………………………………………………..
ชุดควบคมุ คือ………………………………………………………………………………………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
10. การบนั ทึกผลการทดลอง หมายถึง ………………………………………………………………………………………………..
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………

ชื่อ………………………...…………………………ช้ัน………….เลขท…ี่ ………..

27

ใบความรู้ท่ี 5
เรอื่ ง การเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล

ขั้นตอนสาคัญในการทาวิจัย หลังจากได้ปัญหา วัตถุประสงค์และสมมติฐานในการวิจัยแล้ว ขั้นตอนที่
สาคัญตามมา คือ การเก็บรวบรวมข้อมูล การตรวจสอบข้อมูลและการวิเคราะห์ข้อมูล การเก็บรวบรวมข้อมูล
คือการที่ผู้วิจัยพยายามรวบรวมหลักฐานต่างๆ นามาพิจารณา วิเคราะห์วิจารณ์ แล้วสรุปผลมาเป็นคาตอบ
ปัญหาการวิจัยว่าเป็นไปตามท่ีได้ตั้งสมมติฐานไว้หรือไม่ วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล มีวิธีการหลายอย่าง เช่น
เก็บรวบรวมข้อมูลโดยตรงจากผู้ให้ข้อมูล รวบรวมข้อมูลที่มีอยู่เดิมแล้ว หรือใช้ผู้สังเกตการณ์เก็บรวบรวม
ข้อมลู หรอื ใชว้ ธิ ีการหลาย ๆ วิธรี วมกนั

ขน้ั ตอนสาคญั ของการรวบรวมข้อมลู

การรวบรวมข้อมูลทางพฤติกรรมศาสตร์ ส่วนใหญ่เป็นการรวบรวมข้อมูลภาคสนาม แบ่งได้เป็น 6
ขน้ั ตอน ตามท่ีบุญธรรม กิจปรีดาบรสิ ุทธิ์ ( 2540 ) แบง่ ไว้ ดงั นี้

1. กาหนดตัวแปรที่ต้องการศึกษา ท่ีสาคัญ คือ ต้องทราบว่าอะไร คือตัวแปรอิสระ ตัวแปรตาม ตัว
แปรควบคมุ การวัดตัวแปรแต่ละตวั วัดอยา่ งไร มีระดับการวัดของตัวแปรคืออะไร ตัวแปรและตัวมีความหมาย
อยา่ งไร ตอ้ งนิยามความหมายเชงิ ปฏบิ ัตกิ ารใหช้ ัดเจนใหส้ ามารถวดั ได้

2. กาหนดขอ้ มลู หรือตวั ช้วี ดั จากตวั แปรที่ศึกษาจะต้องระบุข้อมูลและลักษณะของข้อมูลท่ีต้องการว่า
มีลักษณะอย่างไร ที่ตรงกับสภาพความเป็นจริง ควรสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ หรือปัญหาและขอบเขตของ
การวจิ ยั

3. กาหนดแหล่งขอ้ มลู ตอ้ งการขอ้ มลู หรอื รวบรวมขอ้ มลู มาจากท่ีไหนบ้างผู้ให้ข้อมูลเป็นใคร อยู่ที่ไหน
เปน็ แหล่งขอ้ มูลปฐมภูมหิ รอื ทตุ ยิ ภูมิ

4. เลือกวิธีรวบรวมข้อมูล ต้องวางแผนในวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลอย่างรอบคอบรวมท้ังคานึงถึง
ขนาดของกลุ่มตัวอยา่ งท่ีเหมาะสม ซ่ึงวิธีการเก็บข้อมูลจาเป็นต้องเลือกเคร่ืองมือท่ีใช้ในการเก็บว่ามีอะไร ถ้ามี
แล้วก็สามารถนาไปปรับปรุงแก้ไขให้เหมาะกับงานวิจัยที่ทา ถ้าไม่มีก็ต้องสร้างเครื่องมือขึ้นมาใหม่ ซ่ึงต้อง
คานงึ ถึงหลักในการสร้างเครอื่ งมือทีด่ ี

5. นาเครือ่ งมือรวบรวมข้อมูลไปทดลองใช้ ในการใช้เคร่ืองมือรวบรวมข้อมูลไม่ว่าจะเป็นเครื่องมือที่มี
อยู่แล้วหรือเครื่องมือที่สร้างขึ้นเอง ควรมีการทดลองใช้กับกลุ่มท่ีใกล้เคียงกับกลุ่มตัวอย่างจานวนไม่มากก่อน
เพ่ือดูข้อบกพร่องต่างๆที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้เคร่ืองมือและผู้วิจัยเองต้องนาเครื่องมือไปปรับปรุงแก้ไขหรือ
อาจจะตอ้ งสรา้ งใหมเ่ พ่ือใหเ้ หมาะสมกบั งานวิจยั ทีท่ า เพื่อใหเ้ กดิ คุณภาพของเครื่องมือวิจัย ที่สาคัญ คือจะต้อง
มีความตรงและความเที่ยงของเครอื่ งมอื

28

6. ออกรวบรวมข้อมลู ข้ันตอนนเ้ี ปน็ การออกภาคสนาม ต้องมีการวางแผนเป็นอย่างดีว่าจะเก็บข้อมูล
อย่างไร คนเดียว หรือหลายคน ต้องมีการอบรมผู้เก็บข้อมูลในกรณีท่ีใช้ผู้เก็บหลายคน ที่สาคัญต้องมีการ
ประสานงานเพอื่ ใหแ้ หลง่ ที่ต้องการเกบ็ ข้อมูลยนิ ยอม

วธิ ีการเก็บรวบรวมขอ้ มลู

วิธีการเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล มหี ลายวิธีท่ใี ชก้ ันมากในทางพฤติกรรมศาสตร์ ได้แก่

• การสัมภาษณโ์ ดยตรง

ผู้วิจัยไปทาการสัมภาษณ์จากหน่วยทดลองโดยตรง วิธีน้ีใช้กันมากในการทาสามะโนและการสารวจ
จากตัวอย่าง วิธีน้ีเหมาะสาหรับงานวิจัยท่ีมีข้อคาถามเป็นจานวนมาก ข้อคาถามมีความซับซ้อนมีคาศัพท์
เฉพาะและมคี าจากัดความทีต่ อ้ งการคาอธิบาย แต่เป็นวธิ ที ีเ่ สยี คา่ ใช้จา่ ยสงู

• การสัมภาษณท์ างโทรศัพท์

ในกรณีท่คี าถามไม่มากและไม่ซบั ซอ้ น ปรมิ าณคาถามมีไม่มากนัก การสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์จะทาให้
ไดข้ อ้ มลู เร็วข้นึ แต่มีข้อเสียคือ สัมภาษณ์ได้เฉพาะหน่วยตัวอย่างที่มีโทรศัพท์เท่านั้น บางกรณีผู้ตอบอาจจะไม่
เกรงใจ หรือไมพ่ อใจทจ่ี ะตอบ หรอื อาจจะวางหูโทรศัพทก์ ไ็ ด้

• การตอบแบบสอบถาม

เป็นวิธีการรวบรวมข้อมูลโดยมอบแบบสอบถามพร้อมท้ังอธิบายวิธีบันทึกตลอดจนคาอธิบายศัพท์
ต่างๆ ให้แก่หน่วยตัวอย่างล่วงหน้า ผู้วิจัยจะกลับไปรับแบบสอบถามตามวัน เวลาท่ีนัดหมายไว้ ถ้าการบันทึก
แบบสอบถามไม่ถูกต้องหรือไม่เรียบร้อยก็จะได้มีการสอบถามหรือสัมภาษณ์เพิ่มเติมจนกระทั่งได้ข้ อมูลตามที่
ต้องการ

• การสง่ แบบสอบถามทางไปรษณีย์

ผู้เก็บรวบรวมขอ้ มูลส่งแบบสอบถามทางไปรษณีย์ วิธีน้ีเหมาะสาหรับการเก็บข้อมูลที่ไม่มีความสาคัญ
มากนัก เป็นข้อมูลง่ายๆ ที่ไม่ซับซ้อน ไม่มีศัพท์หรือคาจากัดความท่ีต้องการคาอธิบาย จานวนข้อคาถามมีไม่
มากนกั วธิ นี ้มี ขี อ้ ดคี ือ เสียค่าใช้จา่ ยน้อยแต่มขี ้อเสียคือ ได้รับแบบสอบถามกลับคืนมาน้อยหรือผู้บันทึกอาจจะ
เข้าใจข้อคาถามไม่ถูกต้อง หรือบันทึกอย่างขาดความรับผิดชอบ ข้อจากัดคือ วิธีนี้ใช้สาหรับหน่วยตัวอย่างที่
อ่านออกเขยี นไดเ้ ท่าน้นั

• การนบั และการวัด

ในการเก็บรวบรวมข้อมูลบางอย่างต้องใช้วิธีนับ เช่น การสารวจจานวนรถท่ีผ่านจุดท่ีต้องการศึกษา
และในเวลาที่สนใจศึกษา จานวนลูกค้าท่ีเข้าแถวเพื่อชาระเงินในคาบเวลาหนึ่งๆ จานวนผู้ป่วยที่เข้ารับบริการ
ในโรงพยาบาลในคาบเวลาหนงึ่ การเก็บข้อมูลโดยให้กลมุ่ ตัวอย่างทาแบบสอบ แบบวดั เป็นตน้

• การสังเกต วิธีนี้ใช้ในโครงการวิจัยต่างๆ ทางวิทยาศาสตร์ และทางสังคมศาสตร์ เช่น การสังเกตตาแหน่ง
ของดวงดาวบนท้องฟ้า การสังเกตพฤติกรรมของคนในชุมชนที่มีต่อผู้ป่วยเอดส์ เป็นต้น ข้อมูลท่ีได้จากการ
สังเกตอาจจะเป็นข้อมูลเชิงคุณลักษณะหรือปริมาณก็ได้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลผู้วิจัยต้องกาหนดขั้นตอนให้
รัดกุมต้ังแต่ การวางแผนการเก็บรวบรวมกาหนดวิธีการให้เหมาะสมกับกลุ่มตัวอย่าง กาหนดวิธีบันทึกข้อมูล
ถ้ามีผู้ชว่ ยในการเก็บขอ้ มูลตอ้ งอบรมวธิ กี ารเก็บใหม้ คี วามรู้ ความเขา้ ใจและชานาญเทา่ เทียมกัน จากน้ันจึงเก็บ
ข้อมูลตามท่ีวางแผนไว้ เม่ือได้ข้อมูลกลับมาต้องตรวจสอบความสมบูรณ์ของข้อมูลท่ีได้รับก่อนนาไปวิเคราะห์
ข้อมูลตอ่ ไป

29

( ตวั อย่าง )
แบบสอบถามความพงึ พอใจ / ไม่พึงพอใจต่อการให้บรกิ าร

สานักงาน.....................................................................
เดอื น.................................พ.ศ.2553

ขอ้ ช้ีแจง กรณุ าทาเครือ่ งหมายในขอ้ ท่ตี รงกบั ความเปน็ จริงและในช่องท่ตี รงกบั ความคดิ เห็นของทา่ นมากท่ีสดุ

ตอนท่ี 1 ขอ้ มูลทวั่ ไปของผูต้ อบแบบสอบถาม

1. เพศ  1) ชาย  2) หญิง

2. อายุ  1) ตา่ กวา่ 20 ปี  2) 21 - 40 ปี  4) 41 – 60 ปี  6) 60 ปขี ึน้ ไป

3. ระดบั การศึกษาสูงสุด  2) มัธยมศกึ ษาตอนต้น/ตอนปลาย/เทียบเทา่
 1) ประถมศึกษา  4) สงู กวา่ ปริญญาตรี
 3) ปริญญาตรี

4. สถานภาพของผ้มู ารบั บริการ

 1) เกษตรกร/องค์กรเกษตรกร  2) ผู้ประกอบการ

 3) ประชาชนผรู้ ับบริการ  4) องค์กรชมุ ชน/เครือข่ายองค์กรชมุ ชน

 5) อื่นๆ โปรดระบุ ……………………………………….

ตอนท่ี 2 ความพงึ พอใจ / ไม่พงึ พอใจต่อการใหบ้ รกิ าร

ประเดน็ /ด้าน ระดบั ความพึงพอใจ ระดบั ความไม่พงึ พอใจ
ไม่พอใจ ไม่พอใจมาก
1. ดา้ นเวลา พอใจมาก พอใจ พอใจ
1.1 การใหบ้ ริการเปน็ ไปตามระยะเวลาทก่ี าหนด น้อย
1.2 ความรวดเร็วในการใหบ้ รกิ าร

2. ด้านขน้ั ตอนการให้บรกิ าร
2.1 การตดิ ปา้ ยประกาศหรือแจง้ ขอ้ มลู เกยี่ วกับ

ขน้ั ตอนและระยะเวลาการใหบ้ ริการ

2.2 การจัดลาดบั ขัน้ ตอนการใหบ้ ริการตามทปี่ ระกาศไว้

2.3 การให้บรกิ ารตามลาดับก่อนหลัง เชน่ มาก่อนตอ้ ง
ได้รบั บรกิ ารก่อน

30

ประเดน็ /ด้าน ระดบั ความพึงพอใจ ระดับความไม่พงึ พอใจ
ไมพ่ อใจ ไม่พอใจมาก
3. ด้านบุคลากรทีใ่ ห้บริการ พอใจมาก พอใจ พอใจ
3.1 ความเหมาะสมในการแต่งกายของผู้ให้บริการ น้อย
3.2 ความเต็มใจและความพร้อมในการให้บริการอยา่ ง
สุภาพ
3.3 ความรูค้ วามสามารถในการให้บรกิ าร เชน่ สามารถ

ตอบคาถาม ชีแ้ จงขอ้ สงสัยให้คาแนะนาได้ เปน็ ตน้

3.4 ความซอ่ื สตั ย์สุจริตในการปฏิบัตหิ นา้ ท่เี ช่น ไม่ขอ
ส่งิ ตอบแทน, ไมร่ ับสนิ บน, ไม่หาผลประโยชน์
ในทางมิชอบ

3.5 การใหบ้ รกิ ารเหมือนกนั ทุกรายโดยไมเ่ ลือกปฏิบตั ิ

4. ด้านส่ิงอานวยความสะดวก
4.1 ความชัดเจนของป้าย สญั ลักษณ์ ประชาสัมพนั ธ์
บอกจุดบริการ
4.2 จดุ /ช่อง การใหบ้ ริการมีความเหมาะสมและเขา้ ถึง
ได้ สะดวก

4.3 ความเพยี งพอของส่งิ อานวยความสะดวก เช่น ที่นง่ั
รอรบั บริการ น้าดื่ม หนงั สอื พมิ พ์ ฯลฯ

4.4 ความสะอาดของสถานท่ีใหบ้ ริการ

5. ท่านมคี วามพึงพอใจ / ไม่พงึ พอใจต่อการใหบ้ ริการ
ในภาพรวม อยู่ในระดับใด

ตอนท่ี 3 ปญั หา / ขอ้ เสนอแนะ

ปัญหา 1. ............................................................................................................................. ....
ข้อเสนอแนะ 2. ......................................................................................................................... ........
1. .. ....................................................................................................................... ..........
2. .. .................................................................................................................................

ขอขอบคุณในความรว่ มมือที่ท่านไดเ้ สียสละเวลาให้ข้อมูลทเี่ ป็นประโยชนแ์ ก่ทางราชการในครง้ั น้ี

31

(ตวั อย่าง)
แบบแบบสมั ภาษณภ์ ูมิปญั ญาทอ้ งถน่ิ

รปู ภาพ

1. ช่อื ……………………………………..…….สกุล………..…………………..อายุ……………….ปี
2. อาชพี ………………………………………..สถานทปี่ ระกอบอาชีพ……………………………….
3. ทอ่ี ยู่……………………………………………………………………………………………………

………………………………………………………………………………………………………...
……………………………………………………………………โทรศพั ทใ์ ………………………...
4. ภมู ิปญั ญาด้าน………………………………………………………………………………………..
5. ข้อคิดเห็นจากการสมั ภาษณ์
………………………………………………………………………………………………………...
………………………………………………………………………………………………………...
………………………………………………………………………………………………………...
………………………………………………………………………………………………………...
………………………………………………………………………………………………………...

(ลงชื่อ) ผูใ้ ห้ขอ้ มลู
()
………./…………../………

(ลงช่ือ) ผู้สมั ภาษณ์
()
………./…………../………

32

ใบงานท่ี 11
เร่ือง การเกบ็ รวบรวมข้อมูล

คาช้แี จง ใหน้ กั เรยี นบอกข้ันตอนการเกบ็ รวบรวมขอ้ มูลดงั นี้

1. ขั้นตอนสาคญั ในการทาวิจยั หลงั จากไดป้ ญั หา วัตถปุ ระสงค์และสมมติฐานในการวิจยั แล้ว ข้ันตอน
ทีส่ าคญั ตามมา คือ………………………………………………………………………………………………………………………………

2. การเก็บรวบรวมขอ้ มลู คอื …………………………………………………………………………………………………….
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..

3. ขัน้ ตอนสาคญั ของการรวบรวมขอ้ มูล มี……………ขัน้ ตอน อะไรบ้าง
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

4. กาหนดตวั แปรทต่ี ้องการศึกษา ท่ีสาคัญ คอื ………………………………………………………………………..

…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

5. วิธกี ารเกบ็ รวบรวมข้อมูล มีหลายวธิ ีทใ่ี ชก้ นั มากในทางพฤติกรรมศาสตร์ ได้แก่
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

ชือ่ ………………………...…………………………ชนั้ ………….เลขท่ี…………..

33

ใบงานท่ี 12
เรื่อง ออกแบบ วางแผน ใช้กระบวนการรวบรวมข้อมูลอยา่ งมีประสทิ ธิภาพ

คาชแี้ จง ใหน้ กั เรยี นแต่ละกลมุ่ คดั เลอื กประเด็นปัญหาจาก 3 ประเดน็ ของกลมุ่ ตนสนใจเลอื กไว้ ใหเ้ หลอื 1
ประเดน็ ออกแบบ วางแผน ใชก้ ระบวนการรวบรวมข้อมูลอยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ

บันทกึ การวางแผนการทางาน (ID Plan)
สมาชิก

ชื่อ-สกุล.................................................................... ช้นั ม.2/.......... เลขท่ี ...............
ช่ือ-สกุล.................................................................... ชนั้ ม.2/.......... เลขท่ี ...............
ช่ือ-สกุล.................................................................... ชั้น ม.2/.......... เลขที่ ...............
ช่อื -สกุล.................................................................... ชั้น ม.2/.......... เลขที่ ...............

ครทู ีป่ รึกษาการทางาน

ชอื่ -สกลุ .................................................................... กลุ่มสาระการเรียนรู้……………………………………
ชอื่ -สกุล.................................................................... กลุ่มสาระการเรยี นรู้……………………………………

ครผู ้สู อน
..................................................................................................................

ประเด็นปญั หา
............................................................................................................................. ...................................
............................................................................................................................. ...................................
สมมติฐาน
................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. ...................................
การเกบ็ รวบรวมข้อมูล
............................................................................................................................. ...................................
................................................................................................................................................................
เครื่องมอื เก็บข้อมูล
............................................................................................................................. ...................................
............................................................................................................................. ...................................
(ให้แนบแบบฟอร์มทใ่ี ช้เกบ็ รวบรวมข้อมูล เช่น แบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์ ฯไวต้ อนทา้ ยใบงานนดี้ ้วย)
แหล่งเรยี นรูเ้ กยี่ วกับประเดน็ ปญั หา
............................................................................................................................. ...................................
................................................................................................................................................................

34

ใบความร้ทู ี่ 6
เรอ่ื ง วิธกี ารแสวงหาความรขู้ องมนษุ ย์
(Methods of acquiring knowledge)

ความรู้ต่างๆของมนุษย์ประกอบด้วยข้อเท็จจริงและทฤษฎีต่างๆ การแสวงหาความรู้ของ
มนุษย์เป็นกระบวนการที่ต้องอาศัยสติปัญญาและการฝึกฝนต่างๆ วิธีเสาะแสวงหาความรู้ของมนุษย์
จาแนกไดด้ ังนี้

1. การสอบถามจากผู้รู้ (Authority) เช่นในสมัยโบราณ เม่ือเกิดน้าท่วมหรือโรคระบาด
ผคู้ นก็จะ ถามผูท้ เ่ี กิดก่อนวา่ จะทาอยา่ งไร ซ่ึงในสมยั นนั้ ผทู้ ่เี กิดก่อนกจ็ ะแนะนาให้ทาพิธีสวดมนต์อ้อน
วอนสิ่งศักด์ิสิทธ์ิต่างๆ ปัจจุบันก็มีการแสวงหาความรู้ท่ีใช้วิธีการสอบถามจากผู้รู้ เช่น ผู้พิพากษาใน
ศาลเวลาตัดสินคดีเก่ียวกับการปลอมแปลงลายมือยังต้องอาศัยผู้เช่ียวชาญทางด้านลายมือให้ช่วย
ตรวจสอบให้ ข้อควรระมัดระวงั ในการเสาะแสวงหาความรู้โดยการสอบถามจากผู้รู้คือต้องมั่นใจว่าผู้รู้
นัน้ เป็นผรู้ ูใ้ นเร่อื งทจ่ี ะสอบถามอย่างแท้จริง

2. การศึกษาจากขนบธรรมเนียมประเพณี (Tradition) วิธีการเสาะแสวงหาความรู้ของ
มนุษย์อีกวิธีหน่ึงที่ใกล้เคียงกันกับการสอบถามจากผู้รู้ก็คือการศึกษาจากขนบธรรมเนียมป ผระเพณี
หรือวัฒนธรรมต่างๆ เช่น ในการศึกษาความรู้เก่ียวกับการแต่งกายประจาชาติต่างๆ ซึ่งผู้ใช้วิธีการ
แสวงหาความรู้แบบนี้ต้องตระหนักว่า สิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นในอดีตจนเป็นขนบธรรมเนียมนั้นไม่ใช่ว่าจะ
เป็นสิ่งที่ถูกต้องและเท่ียงตรงเสมอไป ถ้าศึกษาเหตุการณ์ต่างๆทางด้านประวัติศาสตร์จะพบว่ามีข้อ
ปฏิบัติหรือทฤษฎีต่างๆ ท่ีเป็นผลสืบเน่ืองมาจากวัฒนธรรมหรือขนบธรรมเนียมประเพณีนั้นซึ่งได้
ยึดถือปฏิบัติกันมาหลายปี และพบข้อเท็จจริงในภายหลังถึงความผิดพลาดข้อปฏิบัติหรือทฤษฎี
เหล่านั้นก็ต้องยกเลิกไป ดังน้ันผู้ท่ีจะใช้วิธีการเสาะแสวงหาความรู้โดยการศึกษาจากขนบธรรมเนียม
ประเพณนี นั้ ควรจะไดน้ ามาประเมินอยา่ งรอบคอบเสียก่อนทจี่ ะยอมรบั วา่ เป็นขอ้ เทจ็ จรงิ

3. การใช้ประสบการณ์ (Experience) วิธีการเสาะแสวงหาความรู้ที่มนุษย์การใช้กันอยู่
บ่อยๆ คือ การใชป้ ระสบการณต์ รงของตนเอง เมือ่ เผชญิ ปัญหา มนุษย์พยายามที่จะค้นคว้าหาคาตอบ
ในการแกป้ ญั หาโดยใชป้ ระสบการณ์ตรงของตนเองที่เคยประสบมา เช่น เด็กมักจะมีคาถามมาถามครู
บิดา มารดา ญาติ ผทู้ ่ีมีอาวุโสมากกว่า บุคลเหล่านั้นมักจะใช้ประสบการณ์ตรงของตนเองในการตอบ
คาถามหรือแก้ปัญหาให้กับเด็ก การใช้ประสบการณ์ตรงน้ันเป็นวิธีการเสาะแสวงหาความรู้ แต่ถ้าใช้
ไมถ่ กู วิธีอาจจะทาใหไ้ ดข้ อ้ สรุปทไ่ี ม่ถกู ต้องได้

4. วิธีการอนุมาน (Deductive method) การเสาะแสวงหาความรู้โดยใช้วิธีการอนุมานนี้
เป็นกระบวนการคิดค้นจากเร่ืองท่ัวๆไป ไปสู่เร่ืองเฉพาะเจาะจง หรือคิดจากส่วนใหญ่ไปสู่ส่วนย่อย
จากสิ่งทีร่ ้ไู ปสสู่ ง่ิ ท่ีไมร่ ู้ วิธกี ารอนุมานน้ปี ระกอบด้วย

1. ข้อเทจ็ จรงิ ใหญ่ ซ่ึงเปน็ เหตุการณ์ทเี่ ป็นจริงอยู่แลว้ ในตัวมนั เอง
2. ข้อเท็จจรงิ ย่อย ซง่ึ มคี วามสัมพันธก์ ับกรณีของข้อเท็จจริงย่อย และ
3. ขอ้ สรปุ (Conclusion) ถา้ ข้อเทจ็ จริงใหญแ่ ละข้อเท็จจริงย่อยเป็นจรงิ ข้อสรปุ กจ็ ะตอ้ งเปน็

จรงิ เช่น สตั วท์ ุกชนิดตอ้ งตาย สนุ ขั เปน็ สตั วช์ นิดหนงึ่ ขอ้ สรปุ สนุ ขั ตอ้ งตาย

35

5. วธิ กี ารอุปมาน (Inductive method) จะเร่มิ จากสว่ นย่อยไปหาส่วนใหญ่ วิธีการ
อปุ มานน้ีอาจ จะจดั แยกเปน็ 2 ชนิด คือ

1) วิธีการอุปมานแบบสมบูรณ์ (perfect inductive method) เป็นวิธีการเสาะ
แสวงหาความรู้โดยรวบรวมข้อเท็จจริงย่อยๆ จากทุกหน่วยของกลุ่มประชากร จึงสรุปไปสู่ส่วนใหญ่
เช่นต้องการทราบว่าผทู้ อ่ี าศัยอยู่ในเขตกรงุ เทพมหานครนบั ถือศาสนาอะไร ก็ต้องมาถามจากผู้ที่อาศัย
อยู่ในกรุงเทพมหานครว่าทุกคนนับถือศาสนาอะไร แล้วจึงนามาสรุปรวมว่ าผู้ที่อาศัยใน
กรงุ เทพมหานครนับถอื ศาสนาอะไรบ้าง

2) วิธีการอุปมานแบบไม่สมบูรณ์ (Imperfect inductive method) เป็นวิธีการ
เสาะแสวงหาความรู้โดยรวบรวมข้อเท็จจริงย่อยๆจากบางส่วนของกลุ่มประชากรแล้วสรุปรวมไปสู่
ส่วนใหญ่ ในทางปฏิบัติเป็นไปได้ยากท่ีจะรวบรวมข้อเท็จจริงย่อยๆจากทุกๆหน่วยของกลุ่มประชากร
จึงใชว้ ธิ ีรวบรวมข้อเทจ็ จริงยอ่ ยๆจากกลมุ่ ตัวอยา่ งซงึ่ เป็นส่วนหนึ่งของกลมุ่ ประชากร

6. วิธีการทางวิทยาศาสตร์ (Scientific method) เป็นวิธีการแสวงหาความรู้โดยใช้
หลกั การของวิธกี ารอุปมานและวิธีการอนุมานมาผสมผสานกัน โดยมีข้ันตอนการเสาะแสวงหาความรู้
โดยเร่มิ จากการท่ีมนุษย์เร่ิมเรียนรู้ทีละเล็กทีละน้อยจากประสบการณ์ตรงความรู้เก่าๆและการสังเกต
เป็นต้นจนกระท่ังรวบรวมแนวความคิดเป็นแนวความรู้ต่างๆท่ีสมมติข้ึนมา ซ่ึงเป็นวิธีการอุปมานและ
หลงั จากนนั้ กใ็ ชว้ ิธีการอนุมานในการแสวงหาความรู้ทั่วไป โดยเริ่มจากสมมติฐานซ่ึงเป็นส่วนรวม แล้ว
ศึกษาไปถึงส่วนย่อยๆเพื่อท่ีจะศึกษาถึงการหาความสัมพันธ์ระหว่างส่วนย่อยกับส่วนรวม เพ่ือให้ได้
ขอ้ สรุปของความรตู้ า่ งๆ

วิธีการทางวิทยาศาสตร์ (Scientific method) เป็นวิธีการแสะแสวงหาความรู้ท่ีดีในการแก้
ปัญหาต่างๆ ไม่เพียงแต่ปัญหาที่เกิดข้ึนในห้องปฏิบัติการวิทยาศาสตร์เท่าน้ัน แต่ยังสามารถนามา
ประยกุ ต์ใช้ในการแก้ปัญหาทางการศกึ ษาได้ดว้ ย

ความหมายของการแสวงหาความรดู้ ้วยตนเอง
การแสวงหาความรู้ คือ ทักษะท่ีจะต้องอาศัยการเรียนรู้และวิธีการฝึกฝนจนเกิดความ

ชานาญ ช่วยทาให้เกิดแนวความคิดความเข้าใจท่ีถูกต้องและกว้างขวางยิ่งขึ้น เพราะผู้เรียนจะเกิด
ทกั ษะในการค้นคว้า สิ่งที่ตอ้ งการและสนใจใคร่รูจ้ ากแหลง่ เรยี นรตู้ า่ งๆ จะทาให้ทราบข้อเท็จจริง และ
สามารถเปรียบเทยี บขอ้ เท็จจริงท่ไี ด้มาวา่ ควรเช่อื ถือหรือไม่
ทักษะการสรา้ งปัญญา

ทักษะการสร้างปัญญาให้กับผู้เรียน เพ่ือนาไปสู่การแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง
มี 10 ขั้นตอน ดงั น้ี

ข้ันตอนที่ 1 ทักษะการสังเกต คือ การสังเกตส่ิงที่เราเห็น ส่ิงแวดล้อม หรือสิ่งท่ีเราจะ
ศึกษา โดยสังเกตเกี่ยวกับแหล่งท่ีมา ความเหมือน ความแตกต่าง สาเหตุของความแตกต่าง
ประโยชน์ และผลกระทบ วิธฝี กึ การสงั เกต คอื การฝกึ สมาธิ เพื่อให้มีสติ และทาให้เกิดปัญญา มี
โลกทรรศน์ มวี ธิ ีคดิ

ข้ันตอนท่ี 2 ทักษะการบันทึก คือ การบันทึกสิ่งท่ีต้องจาหรือต้องศึกษา มีหลาย
วิธี ได้แก่ การทาสรุปย่อ การเขียนเค้าโครงเรื่อง การขีดเส้นใต้ การเขียนแผนภูมิ การทาเป็น
แผนภาพ หรอื ทาเปน็ ตาราง เป็นต้น วธิ ฝี ึกการบันทึก คอื การบันทึกทุกครั้งท่ีมีการสังเกต มีการฟัง
หรือมกี ารอา่ น เป็นการพฒั นาปญั ญา

36

ขั้นตอนที่ 3 ทักษะการนาเสนอ คือ การทาความเข้าใจในเรื่องท่ีจะนาเสนอให้ผู้อ่ืนรับรู้ได้
โดยจดจาในส่ิงที่จะนาเสนอออกมาอย่างเป็นระบบ ซ่ึงสามารถทาได้หลายรูปแบบ เช่น การทา
รายงานเป็นรูปเล่ม การรายงานปากเปล่า การรายงานด้วยเทคโนโลยี เป็นต้น วิธีฝึกการนาเสนอ
คือ การฝึกตามหลักการของการนาเสนอในรูปแบบต่างๆ ดังกล่าวอย่างสม่าเสมอ จนสามารถ
นาเสนอ ได้ดีซึง่ เปน็ การพฒั นาปญั ญา

ขั้นตอนท่ี 4 ทักษะการฟัง คือ การจับประเด็นสาคัญของผู้พูด สามารถตั้งคาถามเร่ืองที่ฟัง
ได้ รู้จุดประสงค์ในการฟัง ผู้เรียนจะต้องค้นหาเร่ืองสาคัญในการฟังให้ได้ วิธีฝึกการฟัง คือ การทา
เค้าโครงเร่ืองท่ีฟัง จดบันทึกความคิดหลัก หรือถ้อยคาสาคัญลงในกระดาษบันทึกที่เตรียมไว้ อาจตั้ง
คาถามในใจ เช่น ใคร อะไร ที่ไหน เม่ือไร เพราะเหตุใด อย่างไร เพราะจะทาให้การฟัง มี
ความหมายและมปี ระสิทธภิ าพมากข้นึ

ขั้นตอนท่ี 5 ทักษะการถาม คือ การถามเรื่องสาคัญๆ การตั้งคาถามสั้นๆ เพ่ือนาคาตอบ
มา เชื่อมต่อใหส้ มั พันธก์ ับสงิ่ ทีเ่ รารู้แล้วมาเป็นหลักฐานสาหรับประเด็นท่ีกล่าวถึง ส่ิงที่ทาให้เราฟัง ได้
อย่างมีประสิทธิภาพ คือ การถามเก่ียวกับตัวเราเอง การฝึกถาม-ตอบ เป็นการฝึกการใช้เหตุผล
วเิ คราะห์ สังเคราะห์ ทาให้เข้าใจในเรอ่ื งนั้น ๆ อย่างชัดเจน ถา้ เราฟงั โดยไม่ถาม-ตอบ ก็จะเข้าใจ ใน
เรอ่ื งน้ัน ๆ ไมช่ ดั เจน

ข้ันตอนท่ี 6 ทักษะการตั้งสมมติฐานและตั้งคาถาม คือ การต้ังสมมติฐาน และตั้งคาถาม
สิ่งที่เรียนรไู้ ปแลว้ ได้ว่า คืออะไร มีประโยชนอ์ ยา่ งไร ทาอยา่ งไรจงึ จะสาเร็จได้ การฝึกตั้งคาถาม ที่มี
คุณค่าและมีความสาคัญ ทาให้อยากได้คาตอบ

ข้ันตอนที่ 7 ทักษะการค้นหาคาตอบจากแหล่งการเรียนรู้ต่างๆ เช่น จาก
หนังสือ อินเทอร์เน็ต คยุ กบั คนแก่ แล้วแต่ธรรมชาติของคาถาม การค้นหาคาตอบต่อคาถามท่ีสาคัญ
จะสนุก และทาให้ได้ความรู้มาก บางคาถามหาคาตอบทุกวิถีทางแล้วไม่พบ ต้องหาคาตอบต่อไปด้วย
การวจิ ัย

ข้ันตอนท่ี 8 ทักษะการทาวิจัยสร้างความรู้ การวิจัยเพื่อหาคาตอบเป็นส่วนหน่ึงของ
กระบวนการเรียนรู้ทุกระดับ การวิจัยจะทาให้ค้นพบความรู้ใหม่ ทาให้เกิดความภูมิใจ สนุก และมี
ประโยชนม์ าก

ขั้นตอนท่ี 9 ทักษะการเชื่อมโยงบูรณาการ คือ การเชื่อมโยงเรื่องที่เรียนรู้มา ให้เห็น
ภาพรวมท้งั หมด มองเหน็ ความงดงาม มองใหเ้ ห็นตัวเอง ไมค่ วรให้ความรูน้ ้นั แยกออกเปน็ ส่วน ๆ

ข้ันตอนท่ี 10 ทกั ษะการเขยี นเรียบเรยี ง คือ การเรียบเรียงความคิดให้ประณีตขึ้น โดยการ
ค้นคว้า หาหลักฐานอ้างอิงความรู้ให้ถ่ีถ้วน แม่นยาขึ้นการเรียบเรียงทางวิชาการจึงเป็นการพัฒนา
ปัญญาอย่างสาคญั และเปน็ ประโยชน์ในการเรยี นรขู้ องผูอ้ ื่นในวงกว้างออกไป

การพฒั นาทกั ษะการแสวงหาความรดู้ ้วยตนเอง (กรมสามัญศึกษา, 2545, หน้า 12-20)
การศึกษาหาความรู้มขี ้ันตอน ดังนี้
1. การกาหนดประเด็นค้นควา้ ประกอบดว้ ย
1.1 การตัง้ ประเด็นคน้ ควา้
1.2 การกาหนดขอบเขตของประเด็นค้นควา้
1.3 การอธบิ ายประเดน็ ค้นคว้าซึ่งเปน็ การนาเสนอรายละเอียดเก่ยี วกบั ประเดน็ คน้ ควา้
1.4 การแสดงความคิดเหน็ ต่อประเด็นค้นคว้า

37

2. การคาดคะเน ประกอบด้วย
2.1 การตัง้ ประเด็นคาดคะเน
2.2 การอธบิ ายรายละเอียดเกี่ยวกบั ประเด็นคาดคะเนผล
2.3 การแสดงความคดิ เหน็ ต่อประเดน็ คาดคะเนผล

3. การกาหนดวิธคี ้นควา้ และการดาเนนิ การ ประกอบด้วย
3.1 จาแนกวธิ กี ารค้นควา้ คือ การระบุแนวทางตา่ ง ๆ
3.2 เลอื กวธิ ีการค้นควา้ พร้อมระบเุ หตผุ ล
3.3 วางแผนค้นคว้าตามแนวทางท่ีได้แสดงขั้นตอนการดาเนนิ การคน้ ควา้
3.4 การคาดคะเนส่งิ ทจ่ี ะเปน็ อุปสรรคในการค้นควา้
3.5 ดาเนนิ การค้นควา้

4. การวเิ คราะห์ผลการคน้ ควา้ ประกอบดว้ ย
4.1 การจาแนก จัดกลุ่ม และจดั ลาดบั ข้อมูล
4.2 การพจิ ารณาองค์ประกอบและความสมั พนั ธข์ องข้อมลู โดยจัดลาดบั ความสาคญั

5. การสรปุ ผลการคน้ ควา้ ประกอบดว้ ย
5.1 การสงั เคราะหข์ อ้ มลู คือ การเรยี บเรยี งข้อมลู ท่ีค้นพบจากการคน้ คว้าและสรปุ เป็น

ประเด็น
5.2 การอภปิ รายผลการคน้ คว้า คอื การแสดงความเห็นอยา่ งมีเหตุผล เก่ียวกับประเดน็

ที่พบจากการคน้ ควา้ พร้อมท้ังแสดงใหเ้ ห็นความสมั พันธข์ องข้อมูลท่ีค้นพบทส่ี ามารถเรียบเรยี งไปถงึ
ประเด็นคน้ ควา้ ใหม่

5.3 การสรปุ กระบวนการในการค้นคว้า คือ การระบุขั้นตอนหลักของกระบวนการ
คน้ ควา้

5.4 การประเมินกระบวนการท่ใี ชใ้ นการคน้ คว้า คือ การวิเคราะห์ จุดอ่อน จุด
แขง็ และแนวทางแกไ้ ขกระบวนการคน้ ควา้ ที่กาหนดในการประเมินทักษะการแสวงหาความรู้

@@@@@@@@@@@@@@@

38

ใบงานท่ี 13 แผนผังความคิด (Mind Mapping)
เร่อื ง วธิ ีการแสวงหาความรขู้ องมนษุ ย์

คาชี้แจง ใหน้ ักเรยี นเขียนแผนผงั ความคิดวธิ ีการแสวงหาความรู้ของมนุษย์

ช่ือ………………………...…………………………ช้นั ………….เลขท่ี…………..

39

ใบความรทู้ ่ี 7
เร่อื ง แหลง่ การเรียนรู้

ความหมาย
แหล่งการเรียนรู้ หมายถึง แหล่งข้อมูล ข่าวสาร ความรู้และประสบการณ์ทั้งหลายที่

สามารถทาให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง จากการได้คิดเองปฏิบัติเอง และสร้างความรู้ด้วย
ตนเอง ตามอัธยาศยั และต่อเน่ือง จนเกดิ กระบวนการเรียนรู้ และสดุ ท้ายก็จะเป็นบุคคลแห่งการเรียนรู้

ความสาคัญของแหล่งเรยี นรู้
พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 ได้ให้ความสาคัญของแหล่งการเรียนรู้เป็น

อยา่ งยงิ่ จงึ ไดก้ าหนดให้รัฐต้องส่งเสริมการดาเนินงานและการจัดตั้งแหล่งการเรียนรู้ ไว้ในมาตรา 25
ดังนี้
“มาตรา 25 รัฐต้องส่งเสริมการดาเนินงานและการจัดต้ังแหล่งการเรียนรู้ตลอดชีวิตทุกรูปแบบได้แก่
ห้องสมุดประชาชน พิพิธภัณฑ์ หอศิลป์ สวนสัตว์ สวนสาธารณะ สวนพฤกษศาสตร์ อุทยาน
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ศูนย์การกีฬาและนันทนาการแหล่งข้อมูลและแหล่งการเรียนรู้อ่ืนอย่าง
เพียงพอและมีประสิทธิภาพ”

ความสาคญั ของแหล่งการเรยี นรู้ สามารถสรปุ เปน็ ขอ้ ๆ ไดด้ ังน้ี
1. เป็นแหล่งท่ีรวมขององค์ความรู้อันหลากหลายพร้อมท่ีจะให้ผู้เรียนเข้าไปศึกษาค้นคว้า

ด้วยกระบวนการจัดการเรยี นรู้ที่แตกต่างกันของแต่ละบุคคล และเป็นการส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต
2. เป็นแหล่งเชื่อมโยงใหส้ ถานศึกษาและชุมชนมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกัน ทาให้คนในชุมชนมี

สว่ นร่วมในการจัดการศกึ ษาแกบ่ ตุ รหลานของตน
3. เป็นแหล่งข้อมูลท่ีทาให้ผู้เรียนเกิดการการเรียนรู้อย่างมีความสุข เกิดความสนุกสนาน

และมีความสนใจท่ีจะเรียนไม่เกิดความเบื่อหน่ายทาให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้จากการได้คิดเองปฏิบัติ
เอง และสร้างความรู้ด้วยตนเองและสร้างความรู้ด้วยตนเอง ขณะเดียวกันก็สามารถเข้าร่วมกิจกรรม
และทางานรว่ มกับผู้อน่ื ไดท้ าใหผ้ ู้เรียนได้รับการปลูกฝังให้รู้และรักท้องถ่ินของตน มองเห็นคุณค่าและ
ตระหนกั ถงึ ปัญหาในชุมชนของตน พร้อมท่ีจะเป็นสมาชกิ ทีด่ ขี องชมุ ชนท้ังในปจั จุบันและอนาคต

ประเภทของแหลง่ เรียนรู้
แหลง่ การเรียนรู้ แบง่ ตามประเภท สามารถแบ่ง ได้ 4 ประเภทคอื
1. แหล่งการเรียนรู้ประเภทบุคคล ได้แก่ บุคคลทั่วไปที่อยู่ในชุมชนซึ่งสามารถถ่านทอด

องค์ความรู้ให้กับผู้เรียนได้ เช่น ชาวนา ชาวสวน ชาวไร่ ช่างฝีมือ พ่อค้า นักธุรกิจ พนักงานบริษัท
ขา้ ราชการ ภิกษสุ งฆ์ ศลิ ปิน นักกฬี า

2. แหล่งการเรียนรู้ประเภทสิ่งท่ีมนุษย์สร้างข้ึน เช่น สถานที่สาคัญทางด้าน
ประวัติศาสตร์ โบราณสถาน สถานที่ราชการ สถาบันทางศาสนา พิพิธภัณฑ์ ตลอด ร้านค้า ห้างร้าน
บริษัท ธนาคาร โรงมโหรสพ โรงงานอุตสาหกรรม ห้องสมุด ถนน สะพาน เข่ือน ฝายทดน้า
สวนสาธารณะ สนามกีฬา สนามบนิ

40

3. แหล่งการเรียนรู้ประเภททรัพยากรธรรมชาติ เช่น ภูเขา ป่าไม้ พืช ดิน หิน แร่ ทะเล
เกาะ แมน่ า้ หว้ ย หนอง คลอง บึง นา้ ตก ทงุ่ นา สัตว์ป่า สตั ว์นา้

4. แหล่งการเรียนรู้ประเภทกิจกรรมทางสังคม ประเพณี และความเชื่อ ได้แก่
ขนบธรรมเนยี มประเพณีพ้ืนบ้าน การละเล่นพ้ืนบ้าน กีฬาพื้นบ้าน วรรณกรรมท้องถิ่น ศิลปะพื้นบ้าน
ดนตรีพื้นบา้ น วถิ ชี วี ิตความเป็นอย่ปู ระจาวนั

แหล่งการเรยี นรู้ แบ่งตามสถานท่ีตั้ง ก็สามารถแบ่งได้ 2 ประเภท คือ
1. แหลง่ การเรยี นรู้ในสถานศกึ ษา ไดแ้ ก่ หอ้ งสมุดโรงเรียน ห้องสมุดเคล่ือนที่ มุมหนังสือ
ในห้องเรียน ห้องพิพิธภัณฑ์ ห้องมัลติมีเดีย ห้องคอมพิวเตอร์ ห้องอินเทอร์เน็ต ศูนย์วิชาการ ศูนย์
วิทยบริการ ศูนย์โสตทัศนศึกษา ศูนย์ส่ือการเรียนการสอน ศูนย์พัฒนากิจกรรมการเรียนการสอน
สวนพฤกษศาสตร์ สวนวรรณคดี สวนสมุนไพร สวนสุขภาพ สวนหนังสือ สวนธรรมะ ฯลฯ
2. แหล่งการเรียนรู้ในชุมชน เช่น ห้องสมุดประชาชน พิพิธภัณฑ์ หอศิลป์ สวนสัตว์
สวนสาธารณะ สวนพฤกษศาสตร์ อุทยานวิทยาศาสตร์ ศูนย์กีฬา ศูนย์เยาวชน ภูมิปัญญาท้องถิ่น
ศูนย์วัฒนธรรม ศูนย์หัตถกรรม วัด มัสยิด ครอบครัว ชุมชน สถานประกอบการ องค์กรภาครัฐและ
เอกชน ฯลฯ

41

ใบงานท่ี 14
เรอ่ื ง การระบุแหล่งที่มาของความรู้

1. แหลง่ การเรยี นรู้ หมายถึง…………………………………………………………………….………….
…………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………
2.พระราชบญั ญัติการศึกษาแหง่ ชาติ พ.ศ. 2542 ได้ให้ความสาคญั ของแหล่งการเรยี นรู้ไวใ้ น
มาตรา 25ความว่า………………………………………………………………………………………………….....
………………………………………………………………………………………………………………………………..
……………………………………………………………………………………………………………………………….
…………………………………………………………………………………………………………………………………
3. บอกความสาคญั ของแหลง่ การเรียนรู้
…………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………..
4. แหล่งการเรียนรู้ แบ่งตามประเภท ได้…………ประเภท คอื
…………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………
5. แหลง่ การเรยี นรู้ แบ่งตามสถานทีต่ ้งั ได…้ …….ประเภท คอื
…………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………

ชือ่ ………………………...…………………………ชั้น………….เลขท่ี…………..

42

ใบความรู้ที่ 8
การอา้ งอิงทางบรรณานกุ รม

การอ้างอิงทางบรรณานุกรม หมายถึง รายการเอกสาร ส่ิงพิมพ์ หรือส่ืออ่ืนใด ที่ผู้ผลิต
ผลงานทางวิชาการใช้อ้างอิงในเอกสารผลงานของตน การแสดงรายการทางบรรณานุกรมไว้ท่ีผลงาน
ของท่านจึงนับเป็นการให้ความเคารพผลงานทางปัญญาที่ผู้อื่นได้แสดงไว้ อีกท้ังยังมีประโยชน์ในการ
แสดงท่ีมาที่ไปขององค์ความรู้ในเร่ืองน้ันๆ ทาให้ผู้สนใจสามารถติดตามพัฒนาการของเรื่องน้ันได้ ใน
โอกาสหน้า

การแสดงรายการทางบรรณานกุ รม
สามารถทาได้หลายรูปแบบ หลักสาคัญในการเลือกรูปแบบการลงรายการคือ การเลือกใช้

รูปแบบท่ีเป็นที่นิยมในแต่ละสาขาวิชา หรือสถาบัน การเลือกใช้รูปแบบใดรูปแบบหน่ึงนั้น ผู้เลือกใช้
ต้องเลอื กใชเ้ พยี งแบบใดแบบหนงึ่ เท่าน้ัน ไม่ควรนารูปแบบใดรูปแบบหน่ึงมาผสม หรือประยกุ ต์ใช้ปนกัน

การอา้ งองิ แหล่งท่ีมาของเอกสาร
สิ่งสาคัญอย่างหน่ึงท่ีบ่งบอกถึงการเป็นผลงานทางวิชาการคือ งานเขียนนั้นจะต้องมีการ

อ้างอิง ดังน้ันผู้วิจัยจะต้องทาการบันทึกรายการเอกสารท่ีอ้างอิงไว้ ในการบันทึกทุกครั้ง ต้องบันทึก
ข้อมูลประเภทของเอกสาร เช่น บทความ หนังสือ เว็บไซต์ และบันทึกรายละเอียดของเอกสารน้ันๆ
เชน่ หากเอกสารทท่ี า่ นนามาอ้างอิง เป็นต้น

สาหรับหนังสือ ข้อมูลท่ีต้องบันทึก ได้แก่ ช่ือผู้แต่ง ชื่อเร่ือง สถานที่พิมพ์ สานักพิมพ์ ปีท่ี
พมิ พ์ และหมายเลขหน้า เป็นต้น

สาหรับบทความ ข้อมูลท่ีต้องบันทึกไว้เช่นเดียวกับหนังสือ แต่จะมีข้อมูลเก่ียวกับหมายเลข
ฉบับ และหมายเลขปีของวารสารนนั้ ๆรปู แบบของรายการอ้างอิงและบรรณานุกรมจะมีความแตกต่าง
กันในแต่ละสาขาวชิ า เรยี กว่าเปน็ รปู แบบการอ้างองิ (citation style)

รปู แบบการลงรายการที่สาคัญๆ
ในทีน่ ้ีขอยกตัวอย่างการลงรายการทางบรรณานกุ รมรปู แบบทนี่ ิยมใช้กันทั่วไป ได้แก่ APA

(American Psychological Association) เป็นรูปแบบการลงรายการทางบรรณานุกรมท่ีเป็นที่
นิยมใช้ในสาขาวิชา จิตวิทยา การศึกษา และสาขาสังคมศาสตร์อื่นๆ การอ้างอิงมีข้อกาหนดตาม
แหล่งทมี่ าของเอกสารท่นี ามาใชอ้ ้างองิ ดังน้ี

การอ้างอิงจากบทความในวารสาร
ผู้แตง่ . (ปีที่พมิ พ์). ช่อื บทความ. ชือ่ วารสาร, ปที (ี่ ฉบบั ที่), เลขหน้า.
ตัวอย่าง
ชัยเสฏฐ์ พรหมศร.ี (2549). การเปน็ ผู้นาท่ีมีจริยธรรม, นักบรหิ าร, 26(3), 20-25.
Dubeck, L. (1990). Science fiction aids science teaching. Physics
Teacher, 28, 316-318.
(รายการตวั อยา่ งน้ี ไม่มีข้อมูลฉบบั ท่ี ใหล้ งรายการตามท่ปี รากฏ)

43

การอา้ งอิงจากบทความในฐานขอ้ มูล
ผแู้ ต่ง. (ป,ี เดือน). ชอ่ื บทความ. ชอื่ วารสาร, ปีท(่ี ฉบับที่), เลขหนา้ . สบื ค้นเม่ือ
เดือน วนั ,ป,ี จากฐานข้อมลู ชือ่ ฐานขอ้ มลู .
ตัวอยา่ ง
Mershon, D. H. (1998, November/December). Star trek on the brain:
Alien minds, human minds. American Scientist, 86(6), 585.
Retrieved July 29, 1999, from Expanded Academic ASAP database.

การอา้ งอิงจากบทความในหนังสือพมิ พ์
ผแู้ ตง่ . (ป,ี เดอื น วัน). ชือ่ บทความ. ชอื่ หนงั สอื พิมพ์. หนา้ .
ตัวอยา่ ง

สชุ าติ เผอื กสกนธ์. (9 มถิ นุ ายน 2549). ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง. ผูจ้ ดั การรายวนั , น.13.
Di Rado, A. (1995, March 15). Trekking through college: Classes explore

modern society using the world of Star trek. LosAngeles
Times, p. A3.
การอ้างองิ จากหนังสือ
ผู้แตง่ . (ปี). ช่ือเร่อื ง. สถานทีพ่ มิ พ์: สานกั พิมพ.์
ตัวอยา่ ง
Okuda, M., & Okuda, D. (1993). Star trek chronology: The history
of the future. New York: Pocket Books.
การอ้างองิ จากบท/ตอนในหนงั สอื
ผแู้ ตง่ . (ปีท)่ี . ช่อื บท/ตอน. ใน ชอ่ื บรรณาธกิ าร (บรรณาธกิ าร), ชื่อ
หนังสอื (หน้า). สถานทพ่ี ิมพ์: สานักพมิ พ์.
ตัวอยา่ ง
James, N. E. (1988). Two sides of paradise: The Eden myth according

to Kirk and Spock. In D. Palumbo (Ed.), Spectrum of the
fantastic (pp. 219-223). Westport, CT: Greenwood.
การอา้ งอิงจากบทความในหนงั สือประเภทสารานุกรม
ผ้แู ต่ง. (ปที ีพ่ ิมพ์). ชือ่ บทความ. ใน ชื่อสารานกุ รม (ฉบบั ท,ี่ หน้า). สถานที่
พิมพ์: สานักพิมพ์.
ตวั อย่าง
Sturgeon, T. (1995). Science fiction. In The encyclopedia
Americana (Vol. 24, pp. 390-392). Danbury, CT: Grolier.
การอา้ งอิงจากเว็บไซต์
ผู้แตง่ . (ป)ี . ชื่อเรื่อง. สืบค้นเมอ่ื วนั เดือน, ปี, จาก ชอ่ื เว็บไซต์: URL
ตัวอยา่ ง
Lynch, T. (1996). DS9 trials and tribble-ations review. Retrieved
October 8, 1997, from Psi Phi: Bradley's Science Fiction ClubnWeb site:
http://www.bradley.edu/campusorg/psiphi/DS9/ep/503r.html

44

ใบความรูท้ ี่ 9
เทคนิคในการคิดหาวิธีแกไ้ ขปญั หา

การคิดหาวิธีแก้ไขปัญหาน้ัน จะต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์อย่างเต็มท่ี เพื่อหาวิธีท่ีมีความ
แตกต่างและหลากหลาย โดยควรจะวิเคราะห์หาสาเหตุท่ีแท้จริง เสียก่อน แล้วพยายามใช้ความคิด
สรา้ งสรรค์เฟ้นหาวธิ แี กไ้ ขไว้มากๆ อยา่ งน้อย 20 วธิ ี ซ่ึงมหี ลกั ง่ายๆที่ชว่ ยให้เราคดิ ไดม้ ากขน้ึ ดงั น้คี อื

 พยายามคิดนอกกรอบประสบการณ์และความชานาญท่เี รามีอยู่
 ให้ความสาคัญกับทุกความคดิ หรือทุกๆ วิธีแกเ้ ท่าๆกัน
 หลีกเล่ียงการวพิ ากษ์วจิ ารณ์หรอื ตดั สนิ ความคดิ ใหมๆ่ ทีเ่ พิ่งคดิ ออก แต่ควรใช้ความคิดนั้นเป็น

ตัวกระต้นุ ใหเ้ กิด ความคิดสร้างสรรค์ เพอื่ หาวิธีแก้ทีส่ บื เน่ืองต่อมาจากความคิดน้ัน
 แม้วา่ จะคดิ หาทางแก้ได้ดที ี่สดุ แลว้ ก็ไมค่ วรหยดุ ความพยายามท่ีจะคิดหาวิธตี อ่ ไป
 พยายามทาความเข้าใจเก่ยี วกับวิธีแก้ทุกวิธีให้ชัดเจนเพราะจะช่วยทาให้เราเกิดความคิดใหม่ๆ

ข้นึ มาได้
Mind Mapping แผนภมู คิ วามคิดเพื่อแกไ้ ขปัญหา

การทาแผนภูมิความคิดหรือ Mind Mapping ถือเป็นการกระตุ้นสมอง ให้เกิดความคิดท่ี
เป็น อิสระจากปัญหาที่เป็นศูนย์กลาง ออกไปสู่วิธีแก้ปัญหาต่างๆ ที่แปลกและแตกต่างจากเดิม ซึ่ง
สามารถทาได้โดยเร่ิมจากการเขียนสาเหตุของปัญหาไว้กลางหน้ากระดาษ แล้วลากเส้นโยงออกมา
รอบๆ ถ้าคิดวิธีแก้ไขได้ ก็ให้เขียนวิธีน้ัน ไว้เหนือเส้นท่ีเพิ่งลากออกมา ถ้าความคิดไหนสัมพันธ์หรือ
สนับสนุนวิธีแก้ไขท่ีมีอยู่แล้ว ก็ให้เติมความคิดใหม่นั้น ต่ออกมาจากวิธีแก้เดิม ด้วยการลากเส้นแขนง
ออกจากเส้นหลัก แล้วเขียนความคิดใหม่กากับลงไป เมื่อเราได้ความคิดใหม่ๆท่ีหลากหลายแล้ว ก็
สามารถนาความคิดเหล่าน้นั ไปใช้ในขั้นตอนของ การวางแผนแก้ไขปัญหาไดค้ รับ
Brainstorming ระดมสมองเพ่ือแกไ้ ขปัญหา

การระดมสมอง หรือ Brainstroming คือการะดมความคิดจากหลายๆคน เพ่ือคิดหาสาเหตุ
และวิธีแก้ไขปัญหาที่ถูกต้อง เหมาะสม และได้ผลดี ซึ่งจาเป็นต้องมีการวางกฎพ้ืนฐานในการระดม
สมองไว้ เพื่อเป็นกรอบหรือแนวทางพื้นฐาน เช่น ไม่มีการวิพากษ์วิจารณ์ หรือตัดสินว่าความคิดใดดี
หรือไม่ดี ถ้าใครคิดวิธีการอะไรได้ต้องกล้าพูดอกมา และอย่าอายท่ีจะนาความคิดของคนอ่ืน มา
ผสมผสานกบั ความคดิ ของตน เพ่ือสร้างเป็นความคิดใหม่… นอกจากนี้ยังต้องมีการวางขั้นตอนในการ
ระดมสมองให้เป็นลาดับ เช่น กาหนดเวลาในการระดมสมอง กาหนดให้มีคนจดวิธีแก้ปัญหา เขียน
สาเหตุของปัญหาที่ต้องการจะแก้ให้เห็นชัดเจน และให้สมาชิกทุกคนแสดงความคิดเห็นเรียงกันไปที
ละคน ท่ีสาคัญต้องจดทุกความคิด ไม่ว่าจะแปลกประหลาดขนาดไหนก็ตาม เพ่ือนาไปประเมินและ
คัดเลอื กในภายหลงั ครบั ..
Modified Delphi...เทคนคิ เพ่ือแก้ไขปัญหา

เทคนิคโมดิฟายด์ เดลฟี เหมาะกับทีมงานท่ีมีสมาชิกไม่ค่อยชอบพูด หรือบางคนพูดมากจน
ไม่เปิดโอกาสให้คนอ่ืนพูด เทคนิคน้ีมีกระบวนการง่ายๆ ดังน้ีครับเร่ิมจากให้หัวหน้าทีมหรือผู้
ประสานงานแจ้งหรือทบทวนสาเหตุ ผลการวิเคราะห์ และข้อมูลต่างๆ เก่ียวกับปัญหาที่เกิดข้ึนให้ทุก
คนทราบ จากน้ันก็แจกกระดาษเปล่า เพื่อให้สมาชิกทุกคนเขียนวิธีแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ โดย
เขียนใหไ้ ดม้ ากทสี่ ดุ เมือ่ เขียนเสร็จแล้วก็เก็บกระดาษทั้งหมด มาจดลงบนกระดาน แล้วให้หัวหน้าทีม
อ่านให้ทุกคนฟังชัดๆ จากน้ันก็แจกกระดาษเปล่าอีกครั้ง ให้ทุกคนลาดับความสาคัญของวิธีแก้ไข ซึ่ง

45

อาจจะให้จัดมา 5 อันดับจาก วิธีแก้ไขท่ีอยู่บน กระดานทั้งหมด 20 วิธี จากข้อมูลน้ีเราก็นามาจัด
อันดบั ความสาคญั ของวิธีแกป้ ญั หาใหมอ่ ีกครั้ง และสุดท้ายก็คือ พิจารณาว่าควรมีการแก้ไขอันดับที่ได้
หรือไม่ แลว้ ร่วมกนั ลงมติเลือกกล่มุ วิธีแกท้ ด่ี ที ส่ี ดุ …น่ีล่ะครับ คืออีกหน่ึงวิธีคิดแก้ไขปัญหาด้วยเทคนิค
โมดฟิ ายด์ เดลฟ.ี ..

ทาอย่างไร..ไม่ให้เส้นตายกลายเป็นปัญหา บ่อยครั้งท่ีเส้นตาย หรือ Deadline ท่ีเป็น
ตวั กาหนดเวลาแล้วเสร็จของงาน แต่ละชิ้นกลายเป็นจุดวิกฤติ และกลับมาเพ่ิมปัญหาให้กับตัวเราเอง
ฉะนัน้ ตอ้ งหาทางแกไ้ ขดว้ ยวิธตี ่างๆ ดังน้ี

ประเมินเวลาในการทางาน เพื่อกาหนดเวลาแล้วเสร็จให้ใกล้เคียงกับความเป็นจริงมากท่ีสุด
แล้วลองบวกเผ่ือไว้อีก 5-10 % เส้นตายใหญ่ๆ ของท้ังโครงการถือเป็นเร่ืองวิกฤติที่อาจทาให้เรา
เครียดไปตลอด ฉะนั้นควรหลีกเล่ียงจากความเครียดด้วย การแบ่งออกเป็นเส้นตายย่อยๆของ แต่ละ
งาน หรือแต่ละกจิ กรรม เร่ืองใหญ่ก็จะกลายเป็นเรื่องเล็กไปทันที อย่าเล่ือนกาหนดเส้นตายที่ได้ตกลง
กันไว้ออกไป เพราะถ้าลองได้เล่ือนแล้วจะติดเป็นนิสัย ต่อไปจะไม่มีใครเช่ือถือ และยังทาให้สูญเสีย
ศรทั ธาจากผ้คู นรอบขา้ งอีกดว้ ยครบั ...

46

ใบงานท่ี 15
เรื่อง การเสนอแนวคิด เทคนิควิธกี ารแกป้ ญั หา

คาชแี้ จง ให้นักเรยี นเขยี นเสนอแนวคิด เทคนคิ วธิ ีการแก้ปัญหาในการศึกษาค้นควา้
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………

ชือ่ ………………………...…………………………ชัน้ ………….เลขท่ี…………..

47

ใบความร้ทู ่ี 10
เรอื่ ง ข้อมลู การตรวจสอบความนา่ เชอ่ื ถือของข้อมูล

ขอ้ มูล หมายถึง ขอ้ เทจ็ จริงท่ีมกี ารรวบรวมไว้ละมคี วามหมายเกี่ยวกับบุคคล สถานที่ สิ่งของ
หรือเหตุการณ์ท่ีสนใจ อาจได้จาก การสังเกต สอบถาม การวัด การนับ ข้อมูลเป็นได้ทั้งตัวเลข และ
ไมใ่ ช่ตัวเลข เชน่ สญั ลกั ษณ์ เสียง ภาพนง่ิ ภาพเคลอื่ นไหว

ประเภทของขอ้ มลู
ประเภทของขอ้ มูลจาแนกไดห้ ลายแบบขน้ึ กับเกณฑ์ท่ีใช้ในการแบ่งถ้าใช้เกณฑ์ต่างกันจะแบ่ง

ประเภทของขอ้ มูลไดต้ ่างกันไปด้วย
2.1 แบ่งตามคุณสมบัติของค่าท่ีวัดได้ ข้อมูลแบ่งได้เป็น 2 ประเภทคือ ข้อมูลเชิงคุณภาพ

และขอ้ มูลเชงิ ปรมิ าณ ดงั นี้
2.1.1 ข้อมูลเชิงคุณภาพ เป็นข้อมูลที่วัดค่าออกมาในรูปของประเภท หรือชนิด เช่น เพศ

ของนักเรยี น อาชีพของผปู้ กครอง ขนาดของโรงเรียน ระดับการศึกษาท่ีเปดิ สอน
2.1.2 ข้อมูลเชิงปริมาณ เป็นข้อมูลท่ีวัดค่าออกมาในรูปของจานวน หรือขนาด โดย

สามารถบอกปรมิ าณความมากน้อยได้ เช่น คะแนนสอบระหว่างภาค และปลายภาค คะแนนสอบ O-
net, A-net คะแนน NT รายได้ของผ้ปู กครอง เงินเดอื นครู นอกจากนข้ี อ้ มูลเชิงปรมิ าณยังแบ่งออกได้
เปน็ 2 ลกั ษณะ คอื ขอ้ มูลเชงิ ปรมิ าณแบบตอ่ เนอื่ งและข้อมลู เชงิ ปรมิ าณแบบต่อไมเ่ นือ่ ง

(1) ข้อมูลเชิงปริมาณแบบต่อเนื่อง (continuous data) หมายถึง ข้อมูลที่มีค่าเป็น
จานวนจริงซง่ึ สามารถบอกหรือระบุไดท้ ุกคา่ ในช่วงที่กาหนดบนเส้นจานวน เชน่ จานวน 0 – 1 ซ่ึงมีค่า
มากมายนับไม่ถว้ น

(2) ข้อมลู เชิงปริมาณแบบไม่ต่อเน่ือง (discrete data) หมายถึงข้อมูลท่ีเป็นจานวนเต็ม
หรอื จานวนนับเชน่ 0, 1, 2, 3, 4, ... , 100 ฯลฯ

2.2 แบง่ ตามแหล่งท่ีมาของข้อมูล แบ่งได้เป็น 2 ประเภทคือ ข้อมูลปฐมภูมิ และข้อมูลทุติย
ภมู ิ ดงั น้ี

2.2.1 ข้อมูลปฐมภูมิ (primary data) หมายถึง ข้อมูลท่ีผู้ใช้เป็นผู้เก็บรวบรวมข้อมูลขึ้น
เองเช่น การเก็บขอ้ มูลจากแบบสอบถาม การทดลองในห้องทดลอง การทดสอบนกั เรียน 7 คน

2.2.2. ข้อมูลทุติยภูมิ (secondary data) หมายถึงข้อมูลที่ผู้ใช้นามาจากหน่วยงานอ่ืน
หรือผู้ใช้ผู้น้ันท่ีได้ทาการเก็บรวบรวมแล้วในอดีตเช่น รายงานประจาปีของโรงเรียน ข้อมูลท้องถ่ินซ่ึง
ชมุ ชนเก็บรวบรวมไว้

2.3 แบ่งตามมาตราการวัด แบ่งข้อมูลได้เป็น 4 ประเภท คือ ข้อมูลที่วัดในมาตรานาม
บัญญัติ ข้อมูลที่วัดในมาตราเรียงอันดับ ข้อมูลที่วัดในมาตราอันตรภาค และข้อมูลที่วัดในมาตรา
อตั ราส่วน ดงั น้ี

2.3.1 ข้อมูลที่ไดัในมาตรานามบัญญัติ (nominal scale) หรือมาตราจัดประเภท
(categorical scale) เป็นข้อมูลที่วัดออกมาเป็นกลุ่มเป็นพวก ข้อมูลท่ีมีคุณสมบัติเหมือนกันจะจัดอยู่
กลมุ่ เดียวกนั ขอ้ มูลทอ่ี ยู่ต่างกลุ่มกันจะมคี ณุ สมบตั ิตา่ งกนั การจาแนกกลมุ่ นี้ไม่มีความหมายเชิงปริมาณ
เชน่ เพศของนกั เรยี น จาแนก

48

เป็น นกั เรียนชาย นักเรียนหญิง อาชีพของผู้ปกครองจาแนกเป็น เกษตรกร รับจ้าง รับราชการ ข้อมูล
เชิงคุณภาพจะมีการวัดในมาตรานี้ ตัวแปรในการวิจัยที่วัดในมาตราน้ีเรียกว่า ตัวแปรเชิงคุณภาพ
(non - metric variables)

2.3.2 ข้อมูลท่ีวัดในมาตราเรียงอันดับ (ordinal scale) ข้อมูลท่ีวัดในมาตรานี้ครอบคลุม
ข้อมูลท่ีวัดในมาตรานามบัญญัติ และสามารถจัดเรียงอันดับระหว่างกลุ่ม ใหัอันดับลดหลั่นเป็นขั้นๆ
โดยบอกทิศทางความแตกต่างได้ว่ามากหรือน้อยกว่ากัน เช่น ระดับการศึกษา จาแนกเป็น
ประถมศกึ ษา มัธยมศกึ ษา อนุปริญญา ปริญญาตรี สูงกว่า ปริญญาตรี ขนาดของโรงเรียน จาแนกเป็น
เล็ก กลาง ใหญ่ และใหญ่พิเศษ ข้อมูลเชิงคุณภาพจะมีการวัดในมาตรานี้ ตัวแปรในการวิจัยท่ีวัดใน
มาตรานเ้ี รียกว่า ตัวแปรเชงิ คุณภาพ (non - metric variables)

2.3.3 ข้อมูลท่ีวัดไดัในมาตราอันตรภาค หรือ มาตราช่วง (interval scale) ข้อมูลท่ีวัดใน
มาตราน้ีครอบคลุมข้อมูลที่วัดในมาตราเรียงอันดับ และมีคุณสมบัติเพิ่มอีกประการหน่ึงคือ ความห่าง
ของแต่ละหน่วยที่วัดมีค่าเท่ากัน จึงสามารถบอกความแตกต่างระหว่างหน่วยท่ีอยู่เหนือกว่า หรือต่า
กวา่ ได แ้ ต่ข้อมลู ทวี่ ดั ในมาตราน้ีไม่มีศูนย์แท้ เช่น คะแนนสอบ อุณหภูมิ ข้อมูลเชิงปริมาณจะมีการวัด
ในมาตราน้ี ตัวแปรในการวิจยั ทีว่ ดั ในมาตราน้ีเรียกว่า ตวั แปรเชิงปริมาณ (metric variables)

2.3.4 ข้อมูลท่ีวัดได้ในมาตราอัตราส่วน (ratio scale) ข้อมูลที่วัดในมาตรานี้ครอบคลุม
ขอ้ มูลทว่ี ัดในมาตราอนั ตรภาค และมคี ณุ สมบตั เิ พ่ิมอกี ประการหน่ึงคอื ขอ้ มูลท่ีวัดในมาตราน้ีมีศูนย์แท้
เช่น รายได้ของผู้ปกครอง น้าหนักและส่วนสูงของนักเรียน ตัวแปรในการวิจัยท่ีวัดในมาตรานี้เรียกว่า
ตัวแปรเชิงปริมาณ (metric variables) ค่าของตัวแปรท่ีวัดได้ในมาตราอันตรภาคและมาตรา
อัตราส่วน หรือตัวแปรเชิงปริมาณ (metric variables) สามารถนามาคานวณทางคณิตศาสตร์ เช่น
นามาบวก ลบ คูณ หรือหารกันได ก้ ารตรวจสอบคุณภาพข้อมูลข้อมูลสถิติควรจะมีความสมบูรณ์
ครบถ้วน (Completeness) และความถกู ตอ้ ง(accuracy) มากพอสมควร เพื่อผู้ใช้ข้อมูลจะได้นาไปใช้
ในการวิเคราะห์วิจัยให้ได้ผลใกล้เคียงความจริงมากท่ีสุด การที่จะได้มาซ่ึงข้อมูลที่มีความสมบูรณ์
ถูกตอ้ งก็คอื ตอ้ งขจัดความคลาดเคลือ่ น ให้เหลอื นอ้ ยท่ีสดุ
วธิ ีการตรวจสอบคุณภาพของขอ้ มูล คอื

• ตรวจสอบความครบถ้วนของข้อมูล เป็นการตรวจสอบรายการต่างๆ วา่ ได้มกี ารบันทึก
ครบถ้วนทุกรายการที่กาหนดหรอื ไม่

• ตรวจสอบความถกู ต้องและความแนบนยั ของข้อมูล เปน็ การตรวจสอบข้อมลู ว่า มกี ารบนั ทึก
มาถกู ต้องแนบนยั หรอื ไม่ ดังนี้

• การตรวจสอบความแนบนัยภายใน (Internal consistency) คือ การตรวจว่าข้อมลู ทม่ี ี
ความสมั พนั ธก์ ัน มคี วามสอดคลอ้ งกนั หรือไม่

• การตรวจสอบความแนบนัยภายนอก (External consistency) เปน็ การตรวจสอบความ
ถูกต้องของข้อมลู โดยอาศัยความร้คู วามชานาญหรอื สถานการณ์ภายนอกมาชว่ ยในการพจิ ารณา
การตรวจสอบขอ้ มลู สถติ ิควรจัดทาในขั้นตอนของการดาเนนิ งานทางสถติ ิ ดงั น้ี
ขั้นการเก็บรวบรวมขอ้ มลู ( งานสนาม ) การเก็บรวบรวมข้อมูลสถิติ เป็นขน้ั ตอนหน่ึงที่สาคัญมาก
เนอ่ื งจากข้อมลู สถติ ิจะมีคุณภาพดหี รอื ไมแ่ ละมีความเชอื่ ถอื ไดม้ ากนอ้ ยเพยี งไร ขึน้ อยู่กบั คณุ ภาพ
ของขอ้ มลู ทีไ่ ด้จากการปฏิบัติงานเกบ็ รวบรวมข้อมูล ดงั นนั้ การตรวจสอบ ข้อมลู ในขน้ั นีจ้ ะต้อง
ตรวจสอบอยา่ งละเอียดรอบคอบ เพ่ือให้ได้ข้อมูลท่ีถูกต้องมากท่ีสดุ สาหรบั นาไปใช้ในขัน้ ตอนตอ่ ไป
โดยต้องทาการตรวจสอบ

49

- ความครบถ้วนของข้อมลู เป็นการตรวจสอบรายการต่างๆ ในแบบขอ้ ถามวา่ ได้มีการบนั ทกึ ครบถว้ น
ทุกรายการท่ีกาหนดหรือไม่ ในการบันทกึ หรือกรอกแบบข้อถามน้นั ถา้ มรี ายการหรอื ข้อถามใดที่
คาตอบวา่ งไวเ้ ฉยๆ กจ็ ะถือได้ว่า แบบขอ้ ถามน้นั ขาดความครบถ้วนของข้อมูลไป นอกจากอาจมีบาง
รายการทไี่ มต่ ้องทาการบนั ทึกข้อมลู เพราะเงอ่ื นไขบางประการ ตวั อย่าง เช่น สารวจประชากรใน
ชนบท

1. ช่ือ และ นามสกุล ………………… 2. เพศ ชาย หญิง
3. อายุ ………… ปี 4. การศึกษา …………………………………
5. อาชีพหลัก …………………………….…………..( ถ้าตอบว่ามีอาชพี ทาการเกษตร ใหถ้ ามขอ้ 6)
6. เน้ือท่ีถือครอบทาการเกษตร …………… ไร่
7. รายไดจ้ ากการประกอบอาชพี หลักในรอบปีทแ่ี ลว้ …………………….. บาท

จากตัวอย่างแบบข้อถามขา้ งต้นจะตอ้ งตรวจสอบว่า มีการบันทกึ ครบตามรายการหรอื ไม่ ในกรณี
ตวั อย่างนี้ถา้ ผู้ที่ถกู สารวจมีอาชีพรับราชการ ก็ไมต่ อ้ งบันทึก ข้อ 6 ข้ามไปบนั ทึก ข้อ 7 แต่ถา้ ผู้ตอบมี
อาชพี ทา การเกษตรก็ต้องบันทึกข้อมูลเนื้อท่ถี ือครองทาการเกษตร ( ข้อ 6) ด้วย ฉะนัน้ ในการ
ตรวจสอบความครบถ้วนผูต้ รวจสอบจะตอ้ งดทู ุกรายการว่าได้มีการบันทึกหรือไมบ่ ันทึกอยา่ งไร
- ความถูกต้องและความแนบนัยของข้อมลู เปน็ การตรวจสอบข้อมลู ทบ่ี นั ทึกอยู่ในแบบ ข้อถามว่ามี
ความถูกต้องหรือไม่ แบบข้อถามบางแบบอาจจะบนั ทึกมาครบถว้ นทกุ รายการท่กี าหนด แต่ขอ้ มูล ที่
บนั ทึกอาจไม่ถกู ต้อง เชน่ จากแบบสารวจขา้ งต้น ถ้าการบันทกึ แบบเปน็ ดังน้ี

สารวจประชากรในชนบท
1. ชอ่ื และ นามสกุล … นายดี มากหลาย … 2. เพศ ชาย หญิง
3. อายุ ……14…… ปี 4. การศกึ ษา … จบปรญิ ญาตรี ………………………………
5. อาชีพหลกั …… ทานา ……………………….…………..( ถา้ ตอบวา่ มอี าชีพทาการเกษตร ให้ถามข้อ
6)
6. เน้อื ทีถ่ ือครอบทาการเกษตร ……10……… ไร่ ได้ผลผลติ 20 เกวยี น
7. รายไดจ้ ากการประกอบอาชพี หลกั ในรอบปีท่ีแลว้ ………5,000…….. บาท

เมื่อตรวจสอบแบบข้างต้นอย่างละเอยี ดแลว้ จะพบความผิดในการบนั ทึกข้อมูลดังน้ี
1) ขอ้ 2 การบนั ทึกเคร่ืองหมาย 3 ทัง้ สองแห่ง ที่ถูกควรกา 3 ที่เพศชาย ไมใ่ ชก่ า 3 ทั้งสองเพศ
2) อายุ 14 ปี มกี ารศึกษาจบปรญิ ญาตรี ซึ่งจะเหน็ วา่ คนอายุ 14 ปี ยงั ไม่นา่ ทจ่ี ะจบปริญญาตรี ฉะนนั้
จะเห็นว่าการบันทึกข้อมลู ในขอ้ 3 และข้อ 4 น้ีไม่แนบนยั กัน
3) การบันทึกในข้อ 6 มที ่ีนา 10 ไร่ ไดผ้ ลผลติ ข้าว 20 เกวยี น ( เท่ากบั 2,000 ถัง ) เฉล่ีย ผลผลติ ต่อ

ไร่ = เทา่ กับ 200 ถงั ต่อไร่ ซ่ึงสูงผดิ ปกติ เพราะตามความเปน็ จรงิ นัน้ ผลผลติ ขา้ วเฉล่ีย 1 ไร่ จะ
ไมส่ งู ถงึ 200 ถงั ฉะนนั้ การบันทึกข้อมูลอาจจะผดิ ท่จี านวนทน่ี าหรอื จานวนผลผลิต ก็ได้

50

ใบงานท่ี 16
เรือ่ ง แบบบนั ทึกผลการตรวจสอบข้อมูล

ชื่อ-สกลุ ................................................................................. ช้ัน ม…….../....... เลขที่.............

ชอื่ ประเด็นปัญหา
............................................................................................................................. ...................................
................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. ...................................
.......................................................................................................................................... ......................

สิ่งท่ีไดจ้ ากการค้นควา้

วันเดอื นปี สิ่งที่ได้ แหล่งที่มา


Click to View FlipBook Version