The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

เอกสารประกอบการเรียนวิชาไอเอส 1

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by sutthasangarii, 2022-05-19 00:38:42

เอกสารประกอบการเรียนวิชาไอเอส 1

เอกสารประกอบการเรียนวิชาไอเอส 1

Keywords: ไอเอส,is1

51

5. ตรวจสอบความน่าเชือ่ ถอื ของแหลง่ ท่ีมาของข้อมูลได้
วิเคราะห์แหล่งท่ีมาท่ี 1
[ ] น่าเชอ่ื ถือ เพราะ
............................................................................................................................. .................................
[ ] ไมน่ า่ เช่ือถือ เพราะ
............................................................................................................................. .................................
วเิ คราะห์แหลง่ ทม่ี าที่ 2
[ ] นา่ เชอื่ ถือ เพราะ
............................................................................................................................. .................................
[ ] ไมน่ ่าเชอ่ื ถือ เพราะ
.............................................................................................................................................................
วเิ คราะหแ์ หล่งทม่ี าที่ 3
[ ] นา่ เชอ่ื ถือ เพราะ
................................................................................................................. .............................................
[ ] ไม่น่าเชอื่ ถือ เพราะ
............................................................................................................................. .................................
วเิ คราะหแ์ หลง่ ท่มี าที่ 4
[ ] น่าเชอ่ื ถือ เพราะ
............................................................................................................................. ...................................
[ ] ไม่นา่ เชื่อถือ เพราะ
............................................. ............................................................................................... ....................
วิเคราะห์แหล่งท่ีมาที่ 4
[ ] นา่ เชอ่ื ถือ เพราะ
........................................................................................... ................................................... ..................
[ ] ไมน่ า่ เชอื่ ถือ เพราะ
............................................................................................................................. ...................................

6. วเิ คราะห์ข้อคน้ พบด้วยสถิติทเ่ี หมาะสม
สถติ ทิ ี่ใช้
............................................................................................................................. ...................................
................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. ...................................
............................................................................................... .................................................................
............................................................................................................................. ...................................
.......................................................................................................................................................... ......

(ลงชือ่ ) ผ้ตู รวจสอบ
()

52

ใบความรทู้ ี่ 11
เรอื่ ง การจดั กระทาข้อมูล

ในการศึกษาจะมีการเกบ็ รวบรวมขอ้ มูลทีเ่ ปน็ ตวั เลขได้จานวนมาก การที่เราจะเสนอตอ่ ผู้อ่นื
วา่ ผลการศึกษาของเราเปน็ อย่างไร เราต้องนาขอ้ มลู (ทเ่ี รยี กวา่ “ขอ้ มูลดิบ” มาทาอยา่ งหนึง่
อยา่ งใด เพื่อให้ได้ข้อสรปุ จากข้อมูลนั้นๆ และนาเสนอให้ผอู้ ่นื เข้าใจไดใ้ นรูปแบบตา่ งๆ การทา
เชน่ นี้ เรารยี กว่า “การจดั กระทา และ การสื่อความหมายข้อมูล”

การจดั กระทา คอื การนาขอ้ มูลดบิ มาจัดลาดบั จดั จาพวก หาความถี่ หาความสมั พันธ์
หรือ คานวณใหม่

การส่ือความหมายขอ้ มูล เป็นการใช้วิธตี ่างๆ เพ่ือแสดงข้อมูลใหผ้ อู้ ่ืนเข้าใจ เช่น การ
บรรยาย ใชแ้ ผนภูมิ แผนภาพ วงจร กราฟ ตาราง สมการ ไดอะแกรม เปน็ ตน้

ทักษะการจัดกระทาและการส่อื ความหมายของข้อมูล
เป็นความชานาญในการนาเสนอข้อมลู ในรปู แบบต่าง ๆ เพ่อื ใหผ้ ู้อน่ื เขา้ ใจสิ่งทีต่ ้องการส่อื ได้

ชดั เจน ถกู ตอ้ งรวดเรว็ และง่ายตอ่ การแปลความหมาย
วธิ ีในการนาเสนอขอ้ มูล มีหลายวธิ ี เชน่ การใชภ้ าษาพดู ภาษาเขียน แผนภาพ แผนภมู ิ แผนท่ี

แผนผัง ตาราง กราฟ วงจรหรอื สมการ
เป็นความชานาญในการหาความสมั พนั ธ์เชงิ ปรมิ าณ โดยมีวธิ กี ารนบั การคิดคานวณโดยใช้วิธี

บวก ลบ คณู หาร การใชต้ ัวเลขคดิ สตู รทางวิทยาศาสตร์

ขน้ั ตอนการจดั กระทาและการสอ่ื ความหมายของหมายข้อมลู
1. เลือกรูปแบบในการจัดทานาเสนอใหเ้ หมาะสมกับข้อมลู
2. จัดกระทาข้อมูลตามรูปแบบทีไ่ ด้เลอื กไว้ โดยอาจทาได้ดังน้ี
2.1 จดั เรียงลาดับใหม่
2.2 หาความถ่ีเม่ือมีข้อมลู ซา้
2.3 แยกหมวดหมูห่ รือประเภท
2.4 คานวณหาค่าใหม่
2.5 บรรยายลกั ษณะส่งิ ใดส่งิ หนง่ึ หรอื สถานทด่ี ว้ ยข้อความกะทดั รดั เหมาะสมจนส่ือความหมาย

ให้ผู้อน่ื เข้าใจได้

@@@@@@@@@@@@@@

53

ใบงานท่ี 17
เรื่อง แบบฝึกกิจกรรมการจดั กระทาและส่อื ความหมายของข้อมูล

คาช้ีแจง จากสถานการณ์ทีก่ าหนดให้ ให้สมาชกิ กลุ่มคิดวิธีการจดั กระทาและสื่อความหมายข้อมลู
เสียใหมด่ ้วยวธิ ีการทีเ่ หมาะสมเพื่อใหผ้ อู้ ่ืนเข้าใจดีข้ึน (เขียนแยกแตล่ ะข้อในกระดาษ A4)

1. จงอ่านข้อความต่อไปน้ี
“แมลง ก เมอื่ เจรญิ เตบิ โตแล้วจะออกไขภ่ ายในเวลา 3 วัน เมอื่ ก เติบโตจากดักแดซ้ ึ่งใชเ้ วลา 4

วนั ตวั หนอนไดอ้ อกจากไขเ่ พียง 7 วันเท่านน้ั ตวั หนอนของดกั แด้จะกลายเป็นดักแดใ้ นเวลา 4 วัน”

2. ตาแช่มมีสวนขนัดหนึ่ง ซึ่งปลกู ต้นไม้ไวห้ ลายชนิด เชน่ ทุเรียน 150 ต้น มังคดุ 200 ตน้ ส้ม 100
ต้น ชมพู่ 350 ตน้ เงาะ 400 ตน้ และล้ินจ่ี 500 ต้น

3. น้าหนักของนักเรียน 40 คน ในหอ้ ง ป.6/3 เป็นกโิ ลกรัม ดังน้ี
40 35 38 52 54 65 60 72 55 37 39 49

48 41 38 54 38 40 49 36 47 42 45 69
42 50 35 47 43 41 50 70 43 35 41 36
53 37 66 52

4. คุณแม่ของสมพร บนั ทกึ อายุและส่วนสงู ของสมพรไวด้ ังนี้

อายุ 4 ปี สูง 102 ซม. อายุ 5 ปี สงู 105 ซม. อายุ 6 ปี สูง 111 ซม.

อายุ 7 ปี สงู 117 ซม. อายุ 8 ปี สงู 119 ซม. อายุ 9 ปี สงู 123 ซม.

อายุ 10 ปี สูง 130 ซม.

@@@@@@@@@@@@@@

54

ใบความรู้ท่ี 12
เรอื่ ง การนาเสนอขอ้ มลู (Presentation of Data)

ในการรวบรวมข้อมลู สถิตินัน้ เราเก็บข้อมลู ได้แล้วกน็ าไปสู่การนาข้อมูลที่เรารวบรวมได้
นาเสนอหรอื แสดงให้ผูอ้ ืน่ ทราบและเขา้ ใจ ซึง่ เราอาจนะเสนอข้อมลู ได้ในหลายลกั ษณะด้วยกนั ซง่ึ
ขน้ึ อย่กู ับลกั ษณะของข้อมลู น้ัน ข้อมูลบางอยา่ งอาจจะไม่จาเป็นตอ้ งนาไปวเิ คราะห์ทางสถิติ อาจจะ
นาเสนอข้อมูลอย่างง่ายๆซึ่งจะทาให้นา่ สนใจมากขนึ้

1. การนาเสนอขอ้ มลู โดยบทความ ( Text Presentation )
การนาเสนอข้อมูลโดยบทความ จะมีลกั ษณะการเสนอเปน็ บทความส้ันๆ และมขี ้อมูล
ตวั เลขอยูด่ ้วย ซงึ่ ทาให้อา่ นเข้าใจง่าย อาจเป็นการนาเสนอบทความทางวิทยุ โทรทศั น์ หรืออาจจะ
เป็นบทความในหนังสอื พิมพ์ วารสาร และรายงานต่าง ๆ
ตวั อย่างท่ี 2.1 “ ในปี พ.ศ. 2537 มีจานวนผ้จู บการศึกษาระดับปริญญาตรจี ากมหาวิทยาลยั ของ
รัฐประมาณ
85,000 คน ซึ่งคาดวา่ ในปกี ารศึกษา 2538 เพม่ิ ข้นึ เป็น 110,000 ”
“ ในปี พ.ศ. 2536 ชาวสวนลาไย จังหวดั เชยี งใหม่ สามารถส่งลาไยออกสูต่ ลาดเป็น
จานวนเงนิ 10 ลา้ นบาท ซึ่งมากกว่าปี 2535 จานวน 2.5 ลา้ นบาท ”
2. การนาเสนอโดยบทความกึง่ ตาราง ( Seml – Tabular Presentation ) เป็นการ
นาเสนอข้อมูลโดยแยกตัวเลขออกจากขอ้ ความ หรือการนาเสนอบทความแต่มีการตงั้ แนวตวั เลขขึ้น
ในบทความ เพอ่ื ใหเ้ หน็ ตวั เลขชัดเจน และเปรียบเทียบสะดวกเมอื่ ต้องการ
ตวั อย่างที่ 2.2 ภมู ิลาเนาของนักศึกษาวิทยาลัยแห่งหน่ึงระหวา่ งปี 2534 – 2537

จานวน (คน)

ภมู ลิ าเนา 2534 2535 2536 2537

กรุงเทพฯ 2,540 2,590 2,556 2,618

ภาคเหนือ 350 244 310 287

ภาคกลาง 825 1,300 1,310 1,544

ภาคใต้ 408 325 368 387

ภาคตะวันออกเฉยี งเหนอื 520 458 488 481

รวม 4,643 4,917 5,032 5,317

3. การนาเสนอโดยตาราง ( Tabular Presentation )
คอื การนาเสนอข้อมูลโดยใช้ตาราง กรอกข้อมูลทีเ่ ป็นตัวเลขโดยแบง่ เป็นแถวตั้ง (Columns
) และแถวนอน ( Row ) เพอื่ จดั ข้อมลู ใหเ้ ป็นระเบยี บ ซ่ึงลกั ษณะของตารางขึน้ อยู่กบั จุดมุง่ หมาย
ของการนาเสนอข้อมูล สว่ นประกอบของตารางสถิติที่ควรมี
1. หมายเลขตาราง ( Table Number )
2. ชือ่ เรื่อง ( Title )

55

3. หมายเหตุ ควรมตี อ่ ทา้ ยใหท้ ราบแหลง่ ทม่ี าของข้อมลู พร้อมทั้งอธบิ ายให้ทราบว่าข้อมูล
ในตารางมาจากไหน เปน็ ขอ้ มูลประเภทใด เพื่อทาให้เขา้ ใจดีย่งิ ข้ึน

4. หัวเรอ่ื ง ( Caption ) เป็นส่วนประกอบของหัวขัว้ เพอื่ ใหไ้ ด้ความสมบรู ณ์ขนึ้ หรือเป็น
คาอธบิ ายตวั เลขในแนวนอน ( อาจมีหลายหวั เร่อื ง )

5. ตน้ ข้ัว ( Stub ) ประกอบด้วยหวั ขั้วและตน้ ขวั้ หวั ขว้ั เปน็ คาอธบิ ายเก่ยี วกบั ตวั เลขใน
แนวต้ัง อาจมหี ลายข้ัว

6. ตวั เร่ือง ( Body ) ประกอบดว้ ยขอ้ มลู ทีเ่ ป็นตัวเลข
- - - - - - - - - - หัวขวั้ ( Stup head ) - - - - - - - - - - - - - - - - - - หวั เรือ่ ง (Caption) - - - -
- - - - - - - ตน้ ขวั้ (Stup Entries) - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - ตัวเร่อื ง ( Body ) - - - -
4. การนาเสนอดว้ ยกราฟหรือแผนภูมิ ( Graphical Presentation )

เมื่อได้จัดข้อมูลที่จะนาเสนอแลว้ เราอาจจะพิจารณาในการนาเสนอข้อมูลดว้ ยกราฟหรือ
แผนภมู ิ ซงึ่ เป็นวิธที ่ีใช้ได้ดี เพราะรูปภาพทแ่ี สดงข้อมูลจะทาให้เกิดความน่าสนใจ ทาให้อา่ นเข้าใจ
ไดง้ ่าย และรวดเร็วกวา่ วิธีอน่ื ๆ การราเสนอดว้ ยกราฟหรอื แผนภมู ิมีหลายลกั ษณะดังน้ี

1. แผนภมู วิ งกลม ( Pie Chart )
2. แผนภมู แิ ทง่ หรือกราฟแท่ง ( Bar Chart )
3. กราฟเส้น ( Line Graphs )
4. แผนภมู ิภาพ ( Pictogram )

1.1 กราฟวงกลมหรอื แผนภมู ิวงกลม ( Pie Chart ) เปน็ การนาเสนอข้อมลู ที่
รวบรวมไดใ้ นรปู วงกลม โดยมกี ารแบง่ พ้นื ทภ่ี ายในวงกลมออกเป็นสว่ น ๆ ในการเปรยี บเทียบ แต่มี
หลายลักษณะของกลุ่มประชากร เชน่ มีสถติ ิจานวนของนักศึกษา
มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ จาแนกตามคณะ หรือการทางานของบณั ฑิต
มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์ จาแนกตามประเภทของโครงการ การสรา้ งกราฟวงกลม

1. แผนภูมวิ งกลมจะแสดงถงึ ร้อยละของจานวนค่าทส่ี งั เกตซ่งึ เท่ากับค่าสังเกตในแต่ละชน้ั เมอ่ื
เทยี บกบั ข้อมูลทัง้ หมด

2. พืน้ ทว่ี งกลมท้งั หมดเป็น 100 สว่ น = 360 องศา หรอื 360 องศา = 100 % ( 1% = 3.6 องศา )
3. แบง่ พ้ืนที่ในวงกลมตามค่ารอ้ ยละท่ีคานวณได้ โดยเรยี งจากมากไปหาน้อย
4. ทาให้เห็นข้อแตกต่างในแต่ละส่วนเพอ่ื ความสะดวกในการเปรียบเทยี บ
ตัวอยา่ งที่ 2.3 ในการสารวจของอาชีพผปู้ กครองนักศกึ ษา 300 คน จาแนกเปน็ ทาธรุ กจิ ส่วนตัว
รัฐวิสาหกจิ รบั ราชการ บรษิ ทั เอกชน อนื่ ๆ ดังน้ี

อาชพี ผปู้ กครอง จานวน
40
ธรุ กจิ ส่วนตัว
30
รฐั วสิ าหกิจ
60
รับราชการ
160
บริษทั เอกชน
อน่ื ๆ 10
รวม 300

วธิ ที า 1. หาค่าร้อยละของความถี่แตล่ ะอาชีพ 56

อาชพี ผู้ปกครอง จานวน ร้อยละ องศา
15 54
ธุรกจิ สว่ นตวั 45 10 36
20 72
รฐั วสิ าหกจิ 30 50 180
5 18
รบั ราชการ 60 100 360

บริษัทเอกชน 150
อ่ืน ๆ 15
300
รวม

2. สร้างวงกลม และแบง่ เปน็ สว่ น ๆ โดยให้ 1% เทา่ กบั 3.6 องศา
ขอ้ สงั เกต

1. พ้นื ท่วี งกลมทั้งหมดคิดเปน็ รอ้ ยส่วน หรอื 100% และมมุ รอบ ๆ จดุ ศูนยก์ ลางของวงกลม
คอื 360 องศา

2. 360 องศา ถอื วา่ เป็น 100 ส่วน และ 1 ส่วน หรอื 1 % จะเทา่ กบั 3.6 องศา
1.2 แผนภูมริ ปู ภาพ ( Pictogram ) คอื แผนภมู ิท่ีใช้รูปภาพแทนค่าตวั เลขจานวนหน่ึง

ของขอ้ มลู ทนี่ าเสนอ เชน่ ภาพรถยนต์ 1 คนั แทนจานวนรถทน่ี าเสนอ 1,000 คน หรือภาพ
คน 1 ภาพแทนประชากรท่ีนาเสนอ 100 คน ซึ่งรปู ภาพนน้ั จะแทนของจรงิ จานวนเท่าไรก็
ได้ แล้วแต้ปรมิ าณมากน้อยของข้อมูลท่นี าเสนอ จะทาให้ผอู้ า่ นเข้าใจได้งา่ ย แปลความหมายได้ทนั
ทแ่ี ละน่าสนใจมากขนึ้

1.3 แผนภมู แิ ทง่ หรือกราฟแทง่ ( Bar Chart ) คอื แผนภูมทิ ปี่ ระกอบดว้ ยรปู
สเ่ี หลย่ี มผืนผ้าทีม่ ีความยาวของแตล่ ะรปู เปน็ ขนาดของข้อมลู มชี อ้ งไฟแต่ละช่องความกวา้ งของแงจะ
คงที่ จะใชก้ บั การเปรียบเทียบรายการข้อมูลท่ีแตกตา่ งกนั หลายรายการ หรอื ข้อมูลที่จาแนกตาม
ลักษณะคุณภาพ เวลา หรือความถ่ี ซึ่งทาให้ผู้คนเข้าใจงา่ ยด้วยตนเอง
ตัวอย่างที่ 2.4 แผนภมู ิแสดงการเปรียบเทยี บนักศึกษาชายหญิงของสถาบนั การศึกษาแห่งหน่ึงปี
2534 – 2537

1.4 กราฟเสน้ ( Line Graphs ) การนาเสนอโดยกราฟเส้นจะเป็นที่นอยมใชก้ ันมากใช้
กับข้อมลู อนุกรมเวลา ( Time Series Data ) ซง่ึ แสดงการเปล่ยี นแปลงลาดบั ก่อนหลงั ของเวลาที่
ขอ้ มลู นน้ั เกิดข้ึนและมจี านวนมาก เป็นการสรา้ งที่งา่ ย อาจเป็นเส้นตรงหรือเส้นโคง้ ก็ได้ ขึ้นอย่กู ับ
ลกั ษณะข้อมูลท่ีมีอยู่ ใช้เปรียบเทียบระหว่างหลายรายการในระยะยาว
ตวั อยา่ งที่ 2.5 กราฟเส้นแสดงขอ้ มลู ของนกั ศึกษาในมหาวทิ ยาลยั แห่งหนึง่ ระหว่างปี 2533 –
2537

2. แผนที่สถิติ ( Statistical Map ) คือ แผนท่ีนาเสนอข้อมลู โดยอาศยั หลกั ทาง
ภมู ิศาสตร์ เพ่ือทาการเปรยี บเทียบข้อมลู ท่ีอยูใ่ นพนื้ ที่ทางภูมศิ าสตร์เปน็ ไปได้โดยงา่ ย เปรียบเทียบ
ข้อมลู แตล่ ะพืน้ ท่ี เหมาะสาหรับสถติ ิท่จี าแนกตามภมู ภิ าคหรอื สภาพภูมิศาสตร์เชน่ แผนท่สี ถิติของ
เขตทท่ี าการปลูกข้าวในจงั หวัดหรือภาคใด ๆ

57

ใบความรทู้ ่ี 13
เรื่อง การวเิ คราะหข์ ้อมูล และการแปลความหมายขอ้ มลู

การวิเคราะห์ข้อมูล
หลงั จากท่ไี ด้รวบรวมขอ้ มูลมาเรยี บรอ้ ยแลว้ งานทีจ่ ะต้องปฏิบัตติ อ่ ไปกค็ ือ การวิเคราะห์ข้อมูล

และการแปลความหมายข้อมูล ซงึ่ ประกอบดว้ ยขั้นตอนดงั ตอ่ ไปนี้
1. การตรวจสอบข้อมูล
2. การจดั ทาข้อมูล
3. การวเิ คราะหข์ ้อมลู
4. การเสนอผลข้อมลู
5. การแปลความหมายข้อมลู
1. การตรวจสอบข้อมูล ควรทาทันทีหลังจากเกบ็ รวบรวมข้อมูลเสรจ็ เรียบร้อยแลว้ วัตถปุ ระสงค์

ของการตรวจสอบข้อมูล คือ
1. ตรวจสอบความสมบูรณข์ องข้อมูลขาดหาย และหรือลมื ตอบ
2. ตรวจความเป็นไปได้ของข้อมลู
3. ตรวจสภาพความเป็นเอกภาพของการไดม้ าซึง่ ข้อมลู

2. การจัดทาขอ้ มูล คอื การจัดเตรยี มข้อมลู ที่ไดร้ ับการตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว จดั ให้เป็นระบบ
สะดวกแก่การวิเคราะหข์ ้อมูลในขน้ั ต่อไป แบง่ เปน็ 2 กรณี

1.ไม่ใชเ้ คร่ืองคอมพิวเตอรใ์ นการวเิ คราะห์ขอ้ มูล คือการนาข้อมลู ที่ไดม้ าสร้างตารางแจกแจง
ความถหี่ รอื สร้างแผนภมู ิต่างๆ

2. ใช้เครอ่ื งคอมพวิ เตอร์ในการวิเคราะห์ คอื การนาขอ้ มลู ทีได้มาจดั เตรียมในลักษณะท่ีพร้อม
จะป้อนสูค่ อมพิวเตอร์

3. การวเิ คราะห์ข้อมูล สง่ิ ท่สี าคัญในการวิเคราะห์ข้อมูลก็คอื ผวู้ ิจัยตอ้ งเลือกใช้สถิตใิ หเ้ หมาะสม
สอดคล้องกบั วัตถปุ ระสงค์ในการวจิ ัย และลกั ษณะของข้อมลู สถติ ทิ ่ไี ด้รับความนิยมในการนาไปใช้
ไดแ้ ก่

3.1 สถิตอิ ธบิ ายคุณลกั ษณะหรือรายละเอียดของกลุ่มท่ีศึกษา ไดแ้ ก่
3.1.1 ร้อยละ
3.1.2 การวดั แนวโน้มเขา้ สู่ส่วนกลาง
3.1.3 การวดั การกระจาย

3.2 สถิติหาค่าความสัมพันธ์ระหวา่ งตัวแปร 2 ตวั ได้แก่
3.2.1 สหสัมพันธอ์ ยา่ งงา่ ย
3.2.2 สหสัมพนั ธร์ ะหวา่ งอนั ดบั

3.3 สถิตทิ ่ใี ชท้ ดสอบสมมตุ ิฐานเกีย่ วกับความแตกตา่ งระหวา่ งค่าเฉล่ยี ของ กลุ่มเดียวไดแ้ ก่ t-
test one-Group

3.4 สถติ ิท่ใี ชท้ ดสอบสมมุตฐิ านเก่ียวกับความแตกต่างระหวา่ งคา่ เฉลี่ยของ กลุ่ม 2 กลมุ่ ได้แก่
t-test

3.5 สถิติที่ใช้ทดสอบสมมุติฐานเกีย่ วกับความแตกตา่ งระหว่างคา่ เฉลย่ี ของกลุ่มมากกว่า 2 กลมุ่
ขนึ้ ไปไดแ้ ก่ Analysis of Variance (ANOVA)

58

3.6 สถิติท่ใี ชท้ ดสอบสมมติฐานเก่ยี วกับความแตกต่างและความสัมพนั ธ์ กรณี ข้อมูลอยูใ่ นรปู
ของความถ่ีไดแ้ ก่ Chi-Square

4. การเสนอผลการวิเคราะหข์ อ้ มูล
4.1 การเสนอผลการวเิ คราะห์ข้อมูลในลักษณะของการบรรยาย
4.2 การเสนอผลการวเิ คราะหข์ ้อมลู ในลักษณะต่าง ๆ เปน็ การนาเสนอข้อมูลทเ่ี ป็น ตัวเลข

อย่างมีระบบ โดยจัดเปน็ แถวตั้งและแถวนอนที่มคี วามสมั พันธ์กนั หรือตาราง
4.3 การเสนอผลการวิเคราะหข์ ้อมลู ในลักษณะแผนภูมิ
- แผนภมู ริ ูปภาพ (Pictogram)
- แผนภมู แิ ทง่ (Histogram)
- แผนภมู เิ ส้น (Line graphs)
- กราฟความถส่ี ะสม (Ogive Curve)
- แผนภมู วิ ง (Pie Chart)

5. การแปลความหมายขอ้ มูล หมายถึง การอธิบายผลของการวเิ คราะห์ข้อมูล สรุปผลที่ไดจ้ าก
การวิเคราะห์ขอ้ มูล ใหเ้ กยี่ วโยงกับวัตถปุ ระสงค์ของการวจิ ยั ขอ้ ผดิ พลาดในการแปลความหมายข้อมลู
ท่ผี ู้วิจยั มกั จะปฏิบตั ิบ่อย ๆ ก็คือ แปลความหมายข้อมลู โดยการอ่านคา่ จากตารางทเ่ี ป็นผลการ
วเิ คราะห์ข้อมูลเท่านัน้ โดยไม่อธิบายความหมายว่า ค่าทไี่ ด้นนั้ หมายถงึ อะไรซ่ึงผวู้ ิจัยควรจะนาตาราง
แสดงผลการวเิ คราะห์ขอ้ มูลและการแปลความหมายข้อมูลจากตารางน้นั ไว้ใตต้ ารางทนั ที

@@@@@@@@@

59

ใบความรทู้ ่ี 14
เร่อื ง สถติ ิ

สถติ พิ ้นื ฐานท่ใี ช้อธบิ ายคณุ ลักษณะของข้อมูลได้แก่
1. รอ้ ยละ (Percentage)
2. การวดั แนวโน้มเข้าสูส่ ่วนกลาง (Measures of Central Tendency)
3. การวดั การกระจาย (Measures of Variability)

4. การวดั ความสมั พนั ธ์ (Measures of Relationship)

1. ร้อยละ (Percentage) เป็นสถติ ทิ ี่นยิ มใช้กันมากในการวิจัยเพราะเป็นตัวเลขท่เี ข้าใจง่ายใน
การคานวณเป็นการเปรยี บทียบตวั เลขจานวนหนึง่ กบั ตัวเลขอีกจานวนหน่งึ ทีเ่ ทียบสว่ นเป็น 100
ดังนน้ั ในการคานวณหาคา่ ร้อยละจงึ ใช้ตัวเลขท่เี ราต้องการเปรียบเทยี บหารดว้ ยจานวนเต็มของสิง่ นน้ั

แลว้ คูณดว้ ย 100 ดังตวั อย่างตอ่ ไปน้ี

จากการศึกษาพบว่า กลมุ่ ตัวอยา่ งเปน็ นักเรยี นชนั้ มธั ยมศึกษาปที ี่ 5 ของจังหวัดมหาสารคาม
จานวน 530 คน เป็นนกั เรยี น โรงเรียนสารคามพิทยาคม 135 คน ผดุงนารี 124 คน บรบอื 90
คน มหาชยั พิทยาคาร 50 คน มหาวิชานกุ ูล 75 คน สาธติ มหาสารคาม 56 คน อยากทราบว่า กล่มุ

ตวั อยา่ งจากโรงเรยี นต่าง ๆ คิดเป็นร้อยละเท่าไร จะหาได้ดังน้ี

ร้อยละของกลุ่มตัวอย่างจากโรงเรยี นสารคามพทิ ยาคม = 135/530 x100 = 25.47
ร้อยละของกลุ่มตัวอยา่ งจากโรงเรียนผดุงนารี = 124/530 x 100 = 23.39

รอ้ ยละของกล่มุ ตวั อย่างจากโรงเรียนบรบือ = 90/530 x 100 = 16.98

ร้อยละของกล่มุ ตวั อยา่ งจากโรงเรียนมหาชัยพทิ ยาคาร = 50/530 x 100 = 9.43

ร้อยละของกลุ่มตัวอยา่ งจากโรงเรยี นมหาวิชานกุ ลู = 75/530 x 100 = 14.15

ร้อยละของกลุ่มตวั อย่างจากโรงเรียนสาธิตมหาวทิ ยาลัยมหาสารคาม = 56/530 x 100= 10.56

ในการแปลความหมายร้อยละจะตอ้ งแปลโดยอาศัย 100 เปน็ เกณฑ์ ตัวอย่างการนาเสนอการ
วิเคราะห์ข้อมูลโดยใชส้ ถิติรอ้ ยละในรปู ตาราง

60

ตัวอย่างการวจิ ัยท่ใี ช้สถติ ิร้อยละ
ตารางท่ี 1 สถานภาพท่ัวไปของครูผู้สอนทเี่ ปน็ กลุม่ ตัวอยา่ งในการวิจัยเรื่อง ความต้องการในการ
จดั หาหลักสตู รทอ้ งถนิ่

สถานภาพทั่วไป จานวน ร้อยละ

เพศ
- ชาย 4 25.0
- หญิง 12 75.0

ระดับการศึกษา 12 75.0
- ปริญญาตรี 4 25.0
- ปริญญาโท
8 50.0
ประสบการณ์ในการสอน 3 18.7
- 1-5 ปี 5 31.3
- 6 – 10 ปี 3 18.7
- 10 ปขี ึ้นไป 5 31.3

ประสบการณ์ในการปฏิบัติการสอนท่ี ศบอ.โพน 14 87.5
ธาราม 2 12.5
- 1 – 5 ปี -
- 6 – 10 ปี -
- 10 ปขี ้นึ ไป - - 1
15 6.2
การไดร้ ับความร้เู กย่ี วกบั การพฒั นาหลักสตู ร 93.8
ทอ้ งถิ่น
- ไม่เคย
- เคย

จากตารางที่ 1 ขอ้ มูลทัว่ ไปของครูผู้สอน ครผู ้สู อนส่วนใหญเ่ ปน็ เพศหญิง (ร้อยละ 75) มี
ระดับการศึกษาปริญญาตรี (ร้อยละ 75) มีประสบการณ์ในการสอน 1 – 5 ปี (ร้อยละ 50) มี
ประสบการณ์ในการปฏบิ ตั ิการสอนท่ี ศบอ.โพธาราม 1 – 5 ปี (รอ้ ยละ 87) ซึง่ สว่ นใหญเ่ คยไดร้ บั
ความรู้เกีย่ วกับการพัฒนาหลักสูตรท้องถ่ิน (ร้อยละ 93.8)

61

ตารางที่ 2 ความคิดเหน็ ของครผู ู้สอนคณิตศาสตร์ วิชา ค.011 เกยี่ วกับเนื้อหาวชิ าเร่ือง “เซต”

มีปญั หา

เนือ้ หา ไมม่ ปี ัญหา น้อย ปานกลาง มาก

จานวน รอ้ ยละ จานวน รอ้ ยละ จานวน ร้อยละ จานวน รอ้ ยละ

การเขยี นเซตแบบบอก

เงื่อนไขของสมาชิก 112 56 48 24 24 12 16 8

สับเซต 90 25 64 52 28 14 18 9

เพาเวอรเ์ ซต 120 60 40 20 30 15 10 5

เอกภพสัมพัทธ์ 60 30 80 40 40 20 20 10

การเขียนแผนภาพของ 60 30 30 15 80 40 30 15
เวนน์-ออย 40 20 70 45 40 20 30 15
ยูเนียน 20 10 30 15 100 50 50 25
อนิ เตอร์เซกชัน 24 12 112 56 36 18 18 14
คอมพลเี มนต์ 120 60 30 15 20 10 30 15
ผลต่าง

การแก้โจทยป์ ญั หาโดยใช้ 20 10 28 14 52 26 100 50
ความรเู้ รื่องเซต

จากตารางที่ 2 แสดงให้เหน็ ว่าครูผูส้ อนคณติ ศาสตร์วิชา ค.011 มคี วามเห็นวา่ เนอื้ หาวชิ า เรือ่ ง
เซตในหัวข้อการเขยี นเซตแบบบอกเง่ือนไขของสมาชิก เพาเวอร์เซตและผลตา่ งเปน็ เน้ือหาที่ไม่มี
ปัญหาเนอ้ื หาในหวั ข้อสบั เซต เอกภพสัมพัทธ์ ยเู นียนและคอมพลีเมนต์ เป็นเน้ือหาทม่ี ีปัญหาในระดับ
น้อยเนื้อหาในหวั ขอ้ การเขียนแผนภาพเวนน์-ออยเลอร แ์ ละอินเตอร์เซกชนั เป็นเนอ้ื หาที่มปี ญั หาใน
ระดับปานกลางและเน้ือหาในหวั ขอ้ แก้ปัญหา โดยใชค้ วามรู้เรอื่ งเซตเปน็ เนื้อหาท่ีมปี ัญหาในระดบั มาก

ขอ้ ควรระวังในการใช้สถิติร้อยละ
รอ้ ยละเปน็ สถติ ิที่คานวณไดง้ ่ายและนยิ มใช้กนั มากในการวจิ ัย แต่การใชร้ อ้ ยละมสี งิ่ ที่ตอ้ ง

ระมดั ระวงั ดังนี้
1. เลขฐานทีใ่ ช้ในการคานวณก็คือ จานวนเตม็ ทีใ่ ชเ้ ทียบส่วนเปน็ 100 เชน่ นักเรยี น

โรงเรยี นพยฆั ภูมวิ ิทยาคาร ชั้น ม.4 จานวน 150 คน จาแนกเป็นนักเรยี นชาย 60 คน นักเรยี นหญงิ
90 คน สอบวิชาฟิสิกส์ปรากฏว่า นกั เรยี นชายทไ่ี ด้คะแนนสูงกวา่ คะแนนเฉล่ียมี 38 คน นักเรียนหญิง
ทไี่ ด้คะแนนสงู กว่าคะแนนเฉล่ียมี 70 คน การหาร้อยละทาได้ดงั นี้
รอ้ ยละของนักเรียนชายที่ได้คะแนนสงู กว่าคะแนนเฉล่ยี = 38/60 x 100 = 63.33
รอ้ ยละของนักเรียนหญิงที่ได้คะแนนสูงกวา่ คะแนนเฉล่ยี = 70/90 x 100 = 77.77
รอ้ ยละของนักเรียนท้งั หมดทไี่ ดค้ ะแนนสงู กวา่ คะแนนเฉลี่ย = 108/150 x 100 = 72

62

2. ร้อยละของเลขฐานต่างกนั จะนามาบวก ลบ หรอื หาคา่ เฉลยี่ ไม่ได้ เช่น รอ้ ยละในขอ้ 1 เมอื่
ตอ้ งการหารอ้ ยละของนักเรยี นทงั้ หมด ท่ีสอบได้คะแนนสูงกวา่ คะแนนเฉลีย่ จะนา 63.33% กบั
77.77% มาบวกกันหรือหาค่าเฉลย่ี ไม่ได้ เพราะมีเลขฐานที่ตา่ งกัน (63.33% มาจากเลขฐาน 60 และ
77.77% มีเลขฐานมากจาก 90)

3. ในการคานวณหาร้อยละจากตัวเลขท่นี ้อยเกินไป อาจทาให้การแปลความหมายผิด พลาดได้
เชน่ ภาควชิ าเคมีประกาศว่า “วทิ ยาศาสตร์บัณฑติ ที่จะเขา้ รบั พระราชทานปริญญา ปี พ.ศ. 2541 ได้
เกียรตนิ ยิ ม 100 %” ตามความจริงปรากฏวา่ บัณฑิตทีจ่ บจากภาควชิ าเคมีมีเพียง 2 คนเทา่ นน้ั ทาให้
เกดิ ความเขา้ ใจผดิ ได้ ดงั นัน้ ในการคดิ หาร้อยละจงึ ต้องคานึงถงึ เรื่องนีด้ ว้ ย

4. โดยทวั่ ไปทางปฏบิ ัติไม่นิยมใช้รอ้ ยละที่มีค่าเกิน 100 ถา้ อยใู่ นข่ายดงั กล่าวควรระบุ เปน็
จานวนเทา่ จะเหมาะสมกว่า เช่นภาษรี ถยนตน์ าเข้าจากตา่ งประเทศเป็น 250% ของราคาต้นทนุ ควร
จะระบวุ า่ ภาษีรถยนต์นาเขา้ จากตา่ งประเทศเปน็ 2.50 เท่าของราคาต้นทุน

5. ในการเลือกใช้ค่ารอ้ ยละจากการวเิ คราะห์โดยคอมพิวเตอร์ในการวเิ คราะห์ และประมวลผล
จากคอมพวิ เตอร์ ซึง่ ในปัจจบุ ันมีการใชก้ ันมากเน่ืองจากสะดวก รวดเร็วและแมน่ ยา ผู้วิจยั จะต้องรจู้ ัก
เลือกให้เหมาะสมกบั งานเน่ืองจากคา่ ร้อยละท่ีปรากฏใน Print-out อาจให้ค่าร้อยละ 2 ค่าในแต่ละ
Cell คือให้คา่ ร้อยละทัง้ ในแนวแถว (row) และแนวสดมภ(์ Colomn) เป็นหนา้ ทข่ี องผู้วิจยั จะตอ้ ง
เลอื กวา่ จะใช้ค่าใดจงึ จะถูกตอ้ ง และสอื่ ความหมายไดต้ รงกับประเด็นปัญหาทวี่ ิจยั เชน่ ตาราง

เปรยี บเทยี บความถีข่ องสิ่งทยี่ ึดเหนี่ยวทางจิตใจ ระหวา่ งกล่มุ ตวั อย่างที่มวี ยั ต่างกนั ซ่ึงจาแนกตามวัย

ตารางเปรยี บเทยี บความถี่ของสิ่งทยี่ ึดเหนีย่ วทางจิตใจ ระหว่างกลุม่ ตวั อย่างทม่ี วี ัยตา่ งกนั

ส่ิงยึดเหนยี่ วจิตใจ

วัย บดิ า-มารดา พระ ครู- สิ่งศกั ดิ์สทิ ธ์ิ ตนเอง โชค รวม

บรรพบรุ ษุ รตั นตรัย อาจารย์ ต่าง ๆ ลกู หลาน วาสนา

หน่มุ สาว 186 149 36 85 19 4 479

(38.83%) (31.11%) (7.51%) (17.75%) (3.97%) (0.83%) (100%)

กลางคน 211 184 45 102 13 5 560

(37.68%) (32.86%) (8.04%) (18.21%) (2.32%) (0.89%) (100%)
สงู อาย 141 145 43
90 8 4 431

(32.68%) (33.64%) (9.98%) (20.88%) (1.86%) (0.93%) (100%)

รวม 538 478 124 277 40 13 1,470
(36.60%) (32.52%) (8.44%) (18.84%) (2.72%) (0.88%) (100%)

2. การวดั แนวโนม้ เข้าสูส่ ่วนกลาง (Measure of Central Tendency)

ในการสรุปลักษณะของข้อมลู โดยทั่วๆ ไป จะคานงึ ถึงลกั ษณะคา่ ทเี่ ป็นตวั แทนของข้อมลู แต่ละ

ชดุ ซงึ่ การหาค่าสถิตทิ ีเ่ ปน็ ตัวแทนของข้อมูลแต่ละชุดคือ การวัดแนวโนม้ เขา้ สสู่ ว่ นกลางเปน็ การหา

ค่าเฉล่ีย (Average) เพือ่ ใช้เป็นตวั แทนของข้อมูลทั้งหมด ซ่ึงจะเป็นประโยชนใ์ นการเปรียบเทยี บ

ขอ้ มลู ตา่ ง ๆ โดยไม่จาเปน็ ต้องพิจารณาขอ้ มลู ทงั้ หมดของแต่ละชุด

63

การวดั แนวโน้มเขา้ สู่สว่ นกลางทีน่ ิยมใชก้ ันทว่ั ไปมี 3 วธิ ี คอื
1. ค่าเฉล่ยี เลขคณติ (Arithmetic Mean) หมายถึง ค่าท่ีได้จากการนาขอ้ มูลท้ังหมดมารวมกัน
แล้วหารด้วยจานวนขอ้ มูลทั้งหมด

2. มัธยฐาน (Median)
3. ฐานนยิ ม (Mode)

@@@@@@@@@@@@@@@

64

ใบความรทู้ ี่ 15
เร่อื ง องค์ความรู้

องค์ความรู้ (อังกฤษ: body of knowledge) หมายถึงความรู้ที่อยู่ในศาสตร์ ได้แก่ ความคิด
รวบยอด หลักการ วิธีการ ที่อยู่ในตารา อยู่ในห้องสมุด ซ่ึงอยู่ภายนอกตัวบุคคล ที่สั่งสมกันมาเพื่อให้
คนร่นุ หลังไดเ้ รียนรู้ โครงสร้างความรู้ หมายถึง ความรู้ท่ีอยู่ภายในตัวบุคคล ท่ีเกิดจากการเรียนรู้ของ
บุคคลน้ันๆ ซึ่งไม่ได้ลอกเลียนมาจากองค์ความรู้ แต่ผู้เรียนต้องสร้างขึ้นมาด้วยตนเอง เป็นความรู้ที่
เกิดขนึ้ ใหม่ เมือ่ พัฒนาโครงสร้างความรตู้ ่อไปกส็ ามารถสร้างผลงานเป็นองคค์ วามรู้ให้คนอนื่ ค้นควา้ ได้

องค์ความรู้ เป็นความรู้ท่ีเกิดข้ึนต่อเรื่องใดเร่ืองหนึ่ง ซ่ึงอาจเกิดข้ึนจากการถ่ายทอดจาก
ประสบการณ์ หรอื จากการวเิ คราะห์และสงั เคราะห์ข้อมูล โดยความรู้เกิดข้ึนน้ันผู้รับสามารถนาไปใช้
ไดโ้ ดยตรง หรอื สามารถนามาปรับใช้ได้ เพ่อื ให้เหมาะกบั สถานการณ์หรอื งานที่กระทาอยู่เป็นความรู้ท่ี
เกิดข้ึนตอ่ เรือ่ งใดเรอื่ งหนง่ึ โดยความรู้ที่เกิดข้ึนน้ันผู้รับสามารถนาไปใช้ในลักษณะตา่ ง ๆ ได้
แหล่งกาเนดิ ขององคค์ วามรู้

1. ความรู้ทไ่ี ดร้ บั การถ่ายทอดจากบคุ คลอื่น
2. ความรเู้ กิดจากประสบการณ์การทางาน
3. ความรู้ทไ่ี ดจ้ ากการวิจยั ทดลอง
4. ความรจู้ ากการประดิษฐค์ ิดค้นสง่ิ ใหม่ ๆ
5. ความรทู้ ่ีมปี รากฏอยู่ในแหล่งความรู้ภายนอกองคก์ รและองคก์ รไดน้ ามาใช้
ประเภทขององค์ความรู้ แบ่งได้ เปน็ 2 ประเภท ดังน้ี

1. องคค์ วามร้ทู ่สี ามารถอธิบายได้เป็นองค์ความรู้ซึ่งทาความเข้าใจได้จากการฟัง การอธิบาย
การอ่าน และนาไปใช้ปฏิบัติ โดยจัดไว้อย่างมีแบบแผนมีโครงสร้างและอธิบายกระบวนการวิธี
ขัน้ ตอนท่ีสามารถนาไปใชไ้ ด้

2. องค์ความรู้ที่ไม่สามารถอธิบายได้หรืออธิบายได้ยาก เป็นองค์ความรู้ที่อธิบายได้ยากหรือ
ในบางคร้ังไม่สามารถอธิบายวา่ เกดิ ความรู้ เหล่าน้ันได้อย่างไร ไม่มีแบบแผน โครงสร้างแน่ชัด มักเกิด
ขน้ึ กับตัวบุคคล ผลของการถา่ ยทอดขน้ึ อยู่กบั ผู้ถา่ ยทอดและผู้รบั เป็นสาคัญ
การจดั การองค์ความรู้

การจัดการองค์ความรู้ คือ การรวบรวมองค์ความรู้ที่มีอยู่ ซ่ึงกระจัดกระจายอยู่ในตัวบุคคล
หรือเอกสาร มาพัฒนาให้เป็นระบบ เพื่อให้ทุกคนสามารถเข้าถึงความรู้ และพัฒนาตนเองให้เป็นผู้รู้
รวมทัง้ ปฏิบัตงิ านได้อย่างมีประสทิ ธภิ าพ อนั จะส่งผลให้องค์กรมีความสามารถในเชิงแข่งขันสูงสุดโดย
ท่ีความรู้มี 2 ประเภท คือ

1. ความรู้ท่ีฝังอยู่ในคน เป็นความรู้ท่ีได้จากประสบการณ์ พรสวรรค์หรือสัญชาตญาณของ
แต่ละบุคคลในการทาความเข้าใจในส่ิงต่างๆเป็นความรู้ท่ีไม่สามารถถ่ายทอดออกมาเป็นคาพูดหรือ
ลายลักษณ์อักษรได้โดยง่ายเช่น ทักษะการทางาน งานฝีมือหรือการคิดเชิงวิเคราะห์บางคร้ังเรียกว่า
เป็นความร้แู บบนามธรรม

2. ความรทู้ ่ีชัดแจง้ เป็นความรูท้ ส่ี ามารถรวบรวม ถ่ายทอดได้โดยผ่านวิธตี า่ งๆ เช่น การ
บนั ทกึ เป็นลายลักษณ์อกั ษร ทฤษฎีคู่มอื ต่างๆและบางครงั้ เรยี กวา่ เปน็ ความรู้แบบรูปธรรม
เครอื่ งมอื ในการจัดการความรู้

การจัดการความรู้ ประกอบด้วย กระบวนการหลักๆ ได้แก่ การค้นหาความรู้ การสร้างและ
แสวงหาความรใู้ หม่ การจัดการความรู้ให้เปน็ ระบบ การประมวลผลและกลน่ั กรองความรู้ การแบ่งปัน

65

แลกเปล่ียนความรู้ สุดท้าย คือ การเรียนรู้และเพ่ือให้มีการนาความรู้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อ
องคก์ รเคร่อื งมอื หลากหลายประเภทถกู สรา้ งขน้ึ มาเพ่ือนาไปใช้ในการถ่ายทอดและแลกเปล่ยี นความรู้
การสังเคราะห์องค์ความรู้

การสังเคราะห์ (อังกฤษ: Synthesis) มาจากคาว่า syn- แปลว่า ร่วม และคาว่า thesis
แปลว่าปรากฏการณ์ใหม่ มีรากศัพท์มาจากภาษากรีกโบราณ มีความหมาย คือประชุม) การ
สงั เคราะห์ เป็นกระบวนบูรณาการปัจจัยต่างๆตั้งแต่สองปัจจัยข้ึนไปซ่ึงอาจเป็นได้ทั้งคน สัตว์ สิ่งของ
รวมท้ังเหตุการณ์และส่ิงที่อยู่ในรูปของแนวคิดเข้ามาเป็นองค์ประกอบร่วมกันเพ่ือให้เกิดสิ่งใหม่หรือ
เกิดปรากฏการใหม่ท่ีอาจเรียกได้ว่าเป็นการ บูรณาภาพ โดยปัจจัยหรือองค์ประกอบต่างๆที่เข้ามาสู่
กระบวนบูรณาการในการสังเคราะห์นั้นบางปัจจัยอาจจะได้ผ่านการวิเคราะห์แยกแยะสืบค้นมาก่อน
แล้ว ขณะท่ีบางปัจจัยก็อาจจะยังไม่ได้ผ่านการวิเคราะห์แยกแยะสืบค้นมาก่อน สภาวะรูปของปัจจัย
และองค์ประกอบต่างๆที่นามาเป็นปัจจัยและองค์ประกอบในการสังเคราะห์นั้นอาจเป็นไปได้ทั้งแบบ
รูปธรรมและนามธรรม ซ่ึงบูรณภาพที่เป็นปรากฏการณ์ใหม่หรือส่ิงใหม่อันเกิดขึ้นจากการสังเคราะห์
นนั้ กเ็ ปน็ ไปไดท้ ัง้ แบบรูปธรรมและนามธรรมเชน่ กัน
ขน้ั ตอนการสงั เคราะห์

1. กาหนดหวั เรอ่ื งและจุดประสงคท์ จ่ี ะสงั เคราะห์ใหช้ ดั เจนวา่ ตอ้ งการสงั เคราะห์เพ่ือใหเ้ กดิ
บรู ณาภาพหรอื ปรากฏการณใ์ หมใ่ นรูปแบบใด เช่นเพอ่ื ให้เกิดผลผลติ เพื่อให้เกดิ ขอ้ สรุป หรือ เพื่อให้
เกิดการทานายเหตุการณใ์ นอนาคตโดยกาหนดวตั ถปุ ระสงคใ์ ห้ชัดเจนด้วยว่าจะสังเคราะหเ์ พื่อนาผล
การสังเคราะหท์ ไี่ ดไ้ ปดาเนินการในส่งิ ใดต่อ

2. จัดเตรียมปจั จัยและองค์ประกอบต่างๆทจ่ี ะนาเข้าส่กู ระบวนการสังเคราะห์ซง่ึ อาจเปน็ คน
สัตว์ ส่งิ ของ หรอื เปน็ ประเดน็ นามธรรมตา่ งๆ คัดกรอง คดั เลอื กให้ได้ข้อมลู หรอื ปัจจยั วตั ถดุ บิ ตา่ งๆที่มี
คณุ ภาพเพ่อื นาสูก่ ระบวนการสังเคราะห์

3. สังเคราะห์ปัจจัยและองค์ประกอบต่างๆที่เตรียมไว้ตามจุดประสงค์ท่ีกาหนด โดยให้
กระบวนการสังเคราะห์มุ่งท่ีการนาปรากฏการใหม่หรือบูรณาภาพที่ได้จากการสังเคราะห์ไปใช้ให้เกิด
ประโยชน์ตามทไ่ี ดก้ าหนดไวใ้ นวัตถปุ ระสงค์ของการสงั เคราะห์

4. ตรวจสอบและประเมินผลการสังเคราะห์ท่ีได้ว่าน่าจะมีความแม่นยา ความเที่ยง และ
ความเปน็ ไปได้มากน้อยเพียงใดเพื่อเตรยี มนาไปใช้ตามวัตถปุ ระสงค์

4.1 ผลการสังเคราะห์ท่ีมีคุณภาพ มีความแม่นยาน่าเช่ือถือและมีความเป็นไปได้สูง
สามารถนาผลของการสังเคราะหด์ าเนินการนาไปใช้ในขน้ั ตอ่ ไปได้ตามวัตถุประสงค์

4.2 ผลของการสังเคราะห์ท่ีไม่มีคุณภาพ ให้นาผลของการสังเคราะห์น้ันเข้าสู่
กระบวนการวิเคราะหเ์ พ่อื ดาเนินการแยกแยะตรวจสอบหาที่มาของปัจจัยและองค์ประกอบต่างๆท่ีได้
นาเข้าสู่กระบวนการสังเคราะห์รวมทั้งตรวจสอบคุณภาพของผู้ทาการสังเคราะห์เพื่อสืบค้นหาท่ีมา
และเหตปุ ัจจัยที่ทาให้ผลของการการสังเคราะหเ์ ป็นผลการสังเคราะห์ทไ่ี ม่มีคุณภาพ และเม่ือวิเคราะห์
หาเหตุปัจจัยต่างๆนั้นได้แล้วให้แก้ไขปรับปรุงหรือเปล่ียนแปลงเพื่อพัฒนาข้อมูลหรือองค์ประกอบ
ปจั จยั ตา่ งๆนนั้ ใหม้ ีคณุ ภาพตอ่ ไปเพ่อื นาเขา้ สู่กระบวนการสงั เคราะหใ์ หม่อีกครัง้ หน่งึ

5. นาผลการสังเคราะห์ไปใช้ประโยชน์ตามจุดมุ่งหมายโดยจะนาเสนอต่อสาธารณะหรือเก็บ
เป็นข้อมูลสังเคราะห์ส่วนตัวก็แล้วแต่จุดประสงค์ของผู้ทาการสังเคราะห์ เช่น สังเคราะห์สถานการณ์
ปัจจบุ ันเพือ่ นาไปใช้ประกอบการคาดเดาโอกาสของเหตุการณ์ที่อาจจะเกดิ ขึ้นได้ในอนาคต

@@@@@@@@@

66

ใบงานท่ี 18 เร่ืององคค์ วามรู้

1. องคค์ วามรู้ ตรงกบั ภาษาอังกฤษว่า…………..………………………………………………………………
หมายถงึ …………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………

2. บอกถงึ แหล่งกาเนิดขององคค์ วามรู้
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………

3. บอกประเภทขององค์ความรมู้ ี………………..ประเภท อะไรบา้ ง
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………

4. การจัดการองค์ความรู้ คือ……………………………………………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………

5. อธบิ ายความรู้แบบนามธรรม
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………

6. อธบิ ายความรู้แบบรปู ธรรม
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………

7. การจดั การความรู้ ประกอบด้วย กระบวนการหลักๆ ไดแ้ ก่…………..……………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………

8. การสังเคราะห์ หมายถึง…………………………………………………………………………………………..
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………

9. บอกขัน้ ตอนการสงั เคราะห์
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………

ช่อื ………………………...…………………………ชัน้ ………….เลขท่ี…………..

67

ใบงานท่ี 19
เร่ือง ประโยชนข์ องการศกึ ษาค้นคว้าและสร้างองคค์ วามรู้

คาชแี้ จง ให้นกั เรยี นแต่ละกลุ่มไปศึกษาคน้ ควา้ จากหนังสือ/อนิ เตอร์เน็ตเขยี นสรุปตามหัวข้อต่อไปน้ีส่ง

ประโยชน์และคุณค่าของการศกึ ษาคน้ ควา้ ด้วยตนเอง
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………

ชือ่ กลุ่ม………………………...…………………………………….ห้อง…………..


Click to View FlipBook Version