ทําอยางไร
จะใหง านประสานกับความสุข
พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยตุ ฺโต)
ทาํ อยางไร จะใหงานประสานกบั ความสุข
© พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยตุ ฺโต)
ISBN 974-89505-7-3
พมิ พครง้ั แรก - กนั ยายน ๒๕๔๐ ๕,๒๑๐ เลม
พมิ พครงั้ ที่ ๑๐ - เมษายน ๒๕๕๓ ๑,๐๐๐ เลม
- พิมพใ นมงคลวารคลายวนั เกิดของ
ศ. น.สพ. ดร.อรรณพ คุณาวงษก ฤต
อายุครบ ๖๐ ป ๘ เมษายน ๒๕๕๓
แบบปก: พระอสิ รา ฐานสิ ฺสโร
พิมพท่ี:
สารบัญ
อนโุ มทนา (๑)
เกริน่ นํา ๑
ทาํ อยางไร จะใหงานประสานกบั ความสุข ๒
ทาํ งานใหถูกตามธรรมชาติ
ไมต องประสาน งานก็มาดว ยกันกบั ความสขุ ๒
สงิ่ ทตี่ อ งประสาน มใิ ชง านกบั ความสขุ แตต อ งประสาน
ตัวเรา ใหเ ขาถงึ ความจรงิ ของธรรมชาติ ๑๔
ถา เกง จรงิ ตอ งใหก ารพฒั นา ๒ ดา นมาประสาน
ขา งในกย็ ่งิ สุขไดง า ย ขา งนอกก็ยง่ิ หาไดม าก ๑๙
ถาไมล มื ธรรมชาติตวั เองของมนุษย
จะยง่ิ พบโอกาสทีจ่ ะพฒั นาความสุข ๓๒
สรางสรรคส่ิงประดษิ ฐภายนอกแลว
อยา ลมื สรา งสรรคค วามสุขภายในดวย ๔๐
พอเห็นงานและปญหาเปนเวทีพฒั นาตน
งานกย็ ิ่งไดผล และคนก็ย่งิ เปนสุข ๔๗
ทาํ งานคอื ไดส รางสรรคประโยชน
จงึ ย่งิ สุขทร่ี ูสกึ วา ชีวิตมคี ณุ คา ๖๐
รักษาอิสรภาพไวทั้งไดง านทง้ั มีภมู ิคมุ กนั ทกุ ข
และเปน ฐานใหสขุ ย่ิงงอกงาม ๖๖
ถา รผู ิดพลาด ปฏบิ ัติไมถ กู จะสันโดษหรือไมสนั โดษ
ก็ไมม ที างพฒั นา ๗๓
พอสนั โดษกบั ไมส นั โดษมาประสานเสรมิ กนั
จะมแี ตก ารพัฒนา ทใี่ ครๆ ไมอ าจกดี ก้ัน ๗๙
เกร่ินนาํ
ขอเจริญพร ขา ราชการ และพนักงานโรงพยาบาลตํารวจ
พรอ มทั้งทานผูส นใจใฝธรรมทกุ ทาน
วันนใี้ กลๆ กับที่บรรยายธรรมนม้ี ีเหตกุ ารณท่ี
ทําใหต่นื ตกใจ คือเรอ่ื งไฟไหมศูนยก ารคา ทําใหเ กิด
ความรอน รอ นทง้ั นอกท้ังใน คือ คนที่อยใู กลกบั ไฟจะ
รูส ึกรอนกาย พรอ มกนั นนั้ ก็เปนเหตกุ ารณท่นี าหวาด
กลัว เปน ภัยอันตรายก็ทาํ ใหเกิดการรอ นใจดว ย แต
ตอนนี้เรามาพักใจจากเร่ืองท่รี อ นหูรอ นใจ มาฟงธรรมะ
กนั ใหเย็นหูเย็นใจ แตจ ะเย็นแคไ หนยังไมรบั รอง
ทาํ อยางไร
จะใหงานประสานกับความสขุ *
ทํางานใหถ กู ตามธรรมชาติ
ไมต อ งประสาน งานกม็ าดว ยกนั กบั ความสขุ
ชื่อเร่อื งทพ่ี ูดนี้กต็ ้งั มารอ นๆ นเ้ี อง ช่ือวา
ทําอยางไรจะใหง านประสานกับความสขุ ความ
จรงิ กต็ งั้ ไปอยา งนัน้ เอง เมอ่ื ตัง้ แลว ก็ทําใหเ กดิ
ความรูส กึ คลา ยๆ วา งานกับความสขุ เปน คนละ
เรอื่ งคนละทาง เราจงึ ตอ งจับมาประสานกนั คือ
ทาํ อยา งไรจะใหงานกับความสขุ มาอยดู วยกัน
*
บรรยายที่โรงพยาบาลตาํ รวจ กรงุ เทพมหานคร ในวันที่ ๒๓ พฤศจิกายน
๒๕๓๘ เวลา ๑๓.๓๐ - ๑๕.๓๐ น.
๓
วา ทจ่ี รงิ งานกบั ความสขุ ไมใ ชข องแยกกนั
มันไมใชคนละพวก มันเปนพวกเดยี วกันได โดย
ธรรมชาตินั้นงานกับความสุขน้ีมันมาไดดวยกัน
งานมาไดท ง้ั กบั ความทกุ ขและความสขุ อยูท ่วี า
เราจะปฏิบัติถกู หรอื ผดิ ถา เราปฏิบัติถกู งานก็จะ
ทาํ ใหเ กิดความสขุ แตถา ปฏบิ ตั ผิ ดิ งานกจ็ ะทําให
เกดิ ความทกุ ข ท้ังนี้ก็อยทู ่เี หตุทป่ี จ จยั จะเขา มา
ประสานกนั ทพ่ี ดู คลา ยกบั วา จะจบั เขา มาประสาน
กันนน้ั จึงเปน เพยี งสํานวนภาษาเทา นนั้ เอง
ทําไมอาตมาจึงบอกวางานกับความสุข
เปน เรื่องเดยี วกัน โดยธรรมชาตเิ ราก็รกู นั วา สิ่งทัง้
หลายเปนไปตามเหตุปจจัยของมัน เร่ืองของ
ธรรมชาตินน้ั อยูท ่ีวาเราตองปฏบิ ัติใหถกู หมาย
ความวา ปฏบิ ตั ใิ หถ ูกตามเหตุปจจยั พูดงา ยๆ วา
ดาํ เนนิ ชีวิตใหถ ูกตอ งตามกฎธรรมชาติ ถา เรา
๔
ดาํ เนนิ ชวี ติ ถกู ตอ งตามกฎธรรมชาติ งานก็
สามารถมากบั ความสุข พูดอยา งนี้อาจจะฟง
ยากหนอย อาตมาจะยกตัวอยา ง
ธรรมดาคนเราทํางานก็ตองมีจุดมงุ หมาย
วา ทาํ งานไปทําไม คอื เราตอ งมคี วามตอ งการ
อยา งหนงึ่ กอ น แลวจึงจะทํางาน งานกค็ ือการ
กระทําใหบ รรลจุ ดุ มงุ หมายนั้น ยกตัวอยา งงายๆ
เราเรียกการทาํ สวนวาเปน งานชนิดหน่ึง คนทจ่ี ะ
ทาํ สวนกต็ อ งมีจุดมงุ หมายวา จะทาํ สวนทาํ ไม
งานคือการทําสวนน้ันเกิดข้ึนจากการมีความมุง
หมายกอ น ความมงุ หมายอะไร คอื ตองการใหั
ตน ไมเจรญิ งอกงาม เราตอ งการใหต น ไมเ จริญ
งอกงาม เราจงึ ไปทาํ สวน
ถาเราตองการใหตนไมเจริญงอกงาม
แลวเราจึงไปทาํ งานคือทําสวน พอตน ไมเ จริญ
๕
งอกงาม เรากบ็ รรลเุ ปา หมาย เมื่อเราบรรลุเปา
หมาย ความตอ งการของเราไดรบั การสนองแลว
เราจะไดรับผลอะไร เรากเ็ กดิ ความสุขขน้ึ ไมต อ ง
พูดถึงวา ตองรอใหบ รรลจุ ุดมุงหมายหรอก แมแ ต
ในระหวา งน้นั ถาทกุ อยา งเปน ไปดว ยดี งานเดนิ
คืบหนา ไปสูจุดมุง หมาย ใกลเขาไปๆ เรากจ็ ะมี
ความอิ่มใจ มีความสขุ ไปเรอ่ื ย
ทว่ี า นแ้ี สดงวา การทาํ งานตอ งมจี ดุ มงุ หมาย
และถางานนั้นตรงกับจุดมุงหมายท่ีตองการก็เปน
เรื่องของธรรมชาติ งานเปน เหตุ ผลคอื สําเรจ็ เปา
หมายท่ตี องการ เม่อื ตองการอะไร แลวไดอันน้นั
ความตอ งการไดรับการตอบสนอง เหตกุ บั ผลตรง
กัน กเ็ กิดความสุขความพึงพอใจขนึ้ น่เี ปน เรื่อง
ของธรรมชาติ
๖
แตม นษุ ยนน้ั มีปญหาเกิดขนึ้ ซ่ึงเปน เร่อื ง
ซบั ซอน คือเวลาเราทํางานไปๆ บางทเี ราลมื สนิท
วาเราไมไ ดดาํ เนินชีวติ ตามกฎธรรมชาติ คอื การ
ทํางานของเราไมเปนไปเพ่ือวัตถุประสงคของตัว
งานนนั้ เราก็ไดรับผลท่ีไมต รงกับความตองการ
ตอนนีแ้ หละกจ็ ะเกิดเรอื่ งเปนปญ หาขึน้
โลกปจ จบุ นั มีอารยธรรม เมอ่ื มนษุ ยเจริญ
ข้ึนมา มรี ะบบความเปนอยแู ละความสัมพนั ธใ น
สังคมท่ซี บั ซอน ก็จะมคี วามกาวหนา อยางหนง่ึ
เกิดข้ึน คือ การสมมติ
ตามเรอ่ื งเดมิ ของธรรมชาตนิ ั้น การทาํ
สวนเปน ตวั งาน ผลท่แี ทของมนั คอื ตนไมเจรญิ
งอกงาม เมอื่ เราทําเหตุคอื ทําสวน แลว ไดผ ลคือ
ตนไมเจรญิ งอกงาม เราก็มีความสขุ แตใ นโลก
ปจ จบุ ัน เมือ่ มนุษยเจรญิ ขึน้ มา กม็ ีการสรางเปน
๗
ระบบทางสังคมขนึ้ ในระบบทจ่ี ดั ต้ังในทางสังคม
น้ี กม็ สี งิ่ ซ่งึ ทางพระเรยี กวา สมมติ สมมตอิ ยา งไร
คือมีการกําหนดใหการทําสวนเปนงานชนิดหน่ึง
ในสงั คม เมอ่ื ทาํ ไปแลว จะไดร บั ผลตอบแทนคอื เงนิ
ทําใหเรามองวา การไดเงินเปนผลของการทาํ สวน
ตรงนี้ถามองใหดีจะเห็นวาไดมีผลเกิด
ซอนขึ้นมา ๒ ชนั้ หมายความวา ผลของงานนั้นมี
๒ อยาง ผลท่ี ๑ คือตนไมเจรญิ งอกงาม ซ่งึ เปน
ผลของการทาํ สวน ชนดิ ท่ีเปน ผลตามธรรมชาติ
แตคราวนมี้ ผี ลอกี อยา งหน่ึงเปนผลท่ี ๒ เกดิ ซอน
ขน้ึ มาดวย จากเหตุเดยี วกันน้ัน ซึ่งเปน ผลที่มนุษย
สมมตขิ น้ึ โดยบัญญตั จิ ัดตง้ั วางเปน ระบบข้นึ วา
ทําสวนแลว ไดเงนิ เหตคุ ือการทาํ สวน แตผ ลที่
ตองการคือเงิน
๘
ถึงตอนนี้เราก็เห็นแลววาจากเหตุเดียว
กนั คือการทําสวน มีผลเกดิ ขน้ึ ๒ อยา ง คอื การที่
ตนไมเตบิ โตเจรญิ งอกงาม เปน ผลตามธรรมชาติ
และการทค่ี นไดเงิน เปนผลตามสมมติของมนษุ ย
การทาํ สวนเปน เหตตุ ามธรรมชาติ ผลท่ี
แทข องการทาํ สวนคืออะไร ตอบไดเ ลยวา คือการ
ที่ตนไมเ จรญิ เติบโตงอกงาม
แตคนอาจจะทําสวนโดยไมตองการผล
ตามธรรมชาติ เขาอาจจะทาํ สวนเพราะตองการ
ไดเงิน ซ่ึงเปนผลตามบัญญัติ สมมติ เราจะตอ งรู
เทาทันวาผลตามบัญญัติตามสมมติของมนุษยน้ี
ไมเ ปนจรงิ ตามธรรมชาติ จริงไหมที่วา การทาํ
สวนเปนเหตุแลวไดเงนิ เปนผล ตอบวา จริง แต
เปนจริงตามสมมติของมนษุ ย ไมม ีความจริงแท
อยใู นธรรมชาติของตัวมันเอง
๙
สมมตแิ ปลวา อะไร สมมติ มาจากคาํ วา
สํ + มติ มติ แปลวา ขอ ตกลง การยอมรับ หรอื รู
กนั สํ แปลวา รวมกนั สมมติจึงแปลวา มตริ ว มกัน
หรอื ขอตกลงรวมกนั เราจงึ ตองตกลงรวมกนั วา
คณุ ไปทาํ สวนนะ แลวฉนั จะใหเ งินคุณ เดอื นละ
๕,๐๐๐ บาท หรือ ๓,๐๐๐ บาทกแ็ ลว แต เมื่อตก
ลงกนั อยา งน้แี ลว กเ็ กิดเปน กฎเกณฑข้นึ มา แต
เปนกฎเกณฑของมนุษยที่ไมเปนจริงตามธรรม
ชาติ คือมนั ขึ้นอยกู บั สมมติ หรือการตกลงกันน้ัน
ถา การตกลงหายไป กฎนก้ี ห็ มดความหมายไปดว ย
ถาเราไปทําสวนแลวเขาไมยอมรับขอตก
ลงน้ี ตัวสมมตหิ ายไป กฎเกณฑน นั้ กไ็ มเ ปนความ
จรงิ เมอื่ ทาํ เหตแุ ลว ผลก็ไมเกดิ คือทําสวนไปหนึ่ง
เดอื น เงนิ ไมมา กฎถูกยกเลกิ ไปแลว ฝายทีจ่ ะให
เงินก็ไมใ ห กฎสมมติจึงไมเ ปน ความจรงิ ทีแ่ ท
๑๐
เพราะเปน ของท่ีมนุษยต กลงกนั ขน้ึ มาซอนผลที่
แทจรงิ ของธรรมชาตอิ กี ทีหนง่ึ
ถา พูดกันตรงไปตรงมาตามธรรมชาติ เรา
ทําสวนเพอ่ื อะไร การทาํ สวนเปน เหตุ ผลท่ีแทจ ริง
ตามธรรมชาตกิ ค็ อื ตน ไมเจรญิ งอกงาม อนั นีแ้ น
นอน เปน ผลตามธรรมชาติ ถาเราตอ งการใหต น
ไมเ จริญงอกงาม เรากต็ อ งดูแลรดน้ําตน ไมท ่ีเรยี ก
วาทาํ สวน เมอ่ื ทําสวน ตนไมจึงจะเจรญิ งอก
งาม นีเ้ ปนเหตเุ ปนผลทีแ่ ทจ ริง เปนกฎเกณฑ
ของธรรมชาติทเี่ ปน จรงิ แนน อน ท่มี นุษยย ก
เลกิ ไมได และกห็ ลอกมนั ไมไ ดดวย
แตถาเปนเหตุผลของมนุษยท่ีตกลงกัน
สมมตเิ ปน กฎเกณฑขน้ึ มา วาการทําสวนเปนเหตุ
แลวมีการไดเงินสามพันบาทหรือหาพันบาทเปน
ผล อนั น้เี ปน กฎเกณฑของมนุษยท ซี่ อนขน้ึ มา กฎ
๑๑
มนุษยท่สี มมติกันนี้ มนษุ ยยกเลกิ ได และก็
หลอกกนั ไดด ว ย เรอ่ื งมนั จงึ ยุง แลวกจ็ ะมีผล
ตอ ความสขุ ความทุกขข องเรา ชนิดทเ่ี ปน แบบซับ
ซอ นหลายช้นั หลายเชงิ และถา จับไมถ ูกจุด ก็จะ
นุงนังสบั สน วนุ กนั ไปหมด ทง้ั ตวั คน และสังคม
ถา เราดาํ เนนิ ชวี ติ ถกู ตอ งตามกฎธรรมชาติ
กห็ มายความวา เราตองการผลท่ตี รงตามเหตุ คือ
เราตอ งการใหต น ไมเ จรญิ งอกงาม แลว เราจงึ ทาํ สวน
ถาเราทําสวนโดยตองการผลตามกฎธรรมชาติ
เรยี กวา ดาํ เนินชีวิตตามกฎธรรมชาติ เราก็จะได
ความสขุ ตลอดเวลา เพราะวาการกระทําของเรา
นัน้ เปน เหตุนํามาซึ่งผลโดยตรง ทาํ สวนไป เห็น
ตน ไมเ จรญิ งอกงามไปกม็ ีความสขุ ไป และเรากร็ ู
ทันดวยวาการท่ีตกลงใหเราไดเงินสามพันบาท
หรือหา พนั บาทนัน้ เปน เร่อื งสมมตขิ องมนุษย เพ่ือ
๑๒
มาเสรมิ ขึ้นอีกชน้ั หนงึ่ ใหเราทําสวนไปไดด วยดี
คือเราจะไดต้ังหนาตั้งตาต้ังใจทําสวนไปไดอยาง
เตม็ ทีโ่ ดยไมตอ งมวั หว งกังวลเรื่องความเปน อยู
ถา เรารูเ ทาทันสมมติอยา งนี้ เรากม็ คี วาม
สุขข้ันพื้นฐานข้ึนมาจากความตองการผลตาม
ธรรมชาติ และเม่อื ไดร บั ผลตามสมมติดวยกจ็ ะได
ความสุขซอนข้ึนมาอีกชนั้ หนึง่ พดู อยา งทางพระ
วา อยดู ว ยความรเู ทา ทนั สมมติ แตถ า เราหลง
สมมตเิ ม่อื ไร กจ็ ะเกดิ ปญ หาเมอ่ื น้นั หมาย
ความวา ถา เราตอ งการแตผ ลตามสมมติ คือ
ตอ งการเงนิ แตไ มต อ งการผลตาม ธรรมชาติคือ
ไมต อ งการใหต น ไมเจรญิ งอกงาม ถา เปน อยา งนี้
เราจะทํางานดวยความทกุ ข เพราะตลอดเวลาทั้ง
หมด ซ่ึงเปน เวลาของการทํางาน เราไมไดนกึ ถึง
ความเจรญิ งอกงามของตน ไม มันจะเจรญิ งอก
๑๓
งามหรือไมเราก็ไมเ อาใจใส แตใ จเราไปรอทีเ่ งิน
ตลอดเวลาท่ที าํ งาน เราไมไ ดมองไมไ ดเ ห็นไมได
ความสุขจากผลตามกฎธรรมชาติท่ีเกิดอยูตลอด
เวลาน้นั แตไปคอยผลตามกฎของมนุษย ท่ีจะเกิด
ขน้ึ ครง้ั เดียวขา งหนา อีกนาน เมอ่ื ยงั ไมถ งึ เวลาได
เงนิ การทาํ งานก็เลยเหมือนกับเปนการทรมาน ท่ี
วา ยงั ไมไดเ งนิ สักที เมือ่ ไรหนอเงินจะมา ระหวาง
นี้เรากต็ อ งจําใจทําสวนไปเรื่อย การทําสวนอยา ง
นจ้ี งึ เปนความทุกขไปตลอดเวลา
นี่แหละโลกมนุษย ซึ่งมีความซับซอนท่ี
มนษุ ยท าํ ขน้ึ เอง เราสรา งระบบสงั คมขน้ึ มาเพอ่ื หนนุ
ผลตามกฎธรรมชาติ แตแ ลวเราก็ไปหลงตดิ มนั
เสยี แลว เราก็ทาํ ใหชวี ิตของเราเองหางเหนิ แปลก
แยกจากความเปน จรงิ ของธรรมชาติ ปญ หาขนั้
พื้นฐานอยตู รงนี้ เพราะฉะนน้ั คนผูใดสามารถ
๑๔
ดาํ เนนิ ชีวติ ใหตรงกบั กฎของธรรมชาติได คอื
ตองการผลท่ตี รงตามเหตุทเี่ ปน จรงิ เขาจะทาํ งาน
ดว ยความสขุ นี่เปน ขน้ั ทห่ี นึง่
สง่ิ ทต่ี อ งประสาน มิใชง านกบั ความสุข
แตต อ งประสานตวั เรา ใหเ ขา ถงึ ความจรงิ ของธรรมชาติ
ที่พูดมาน้ีเปนไปตามหลักความจริงท่ีวา
ความสขุ อยทู ี่การไดสนองความตอ งการ หรอื
ไดสนองความอยาก ถาเรามีความอยากหรือ
ความตองการทีส่ อดคลองกับความเปน จรงิ เราก็
จะมีโอกาสสนองความตองการนั้นไดด ขี ้ึน และก็
จะมคี วามสุขไปขนั้ หน่งึ ทีส่ าํ คัญ เปน ความสุขข้ัน
พ้ืนฐานเลยทีเดยี ว และเปนเรื่องของการทํางาน
โดยตรง เพราะฉะน้นั จงึ ควรทราบหลกั การไววา
ทางพระทานแยกความอยากหรือความตองการ
๑๕
เปน ๒ อยา ง และสอนใหคนเรามคี วามอยากหรือ
ความตอ งการใหถกู ตอง จะไดเกดิ ผลดที ง้ั แกชีวติ
และสังคมของตน ทานสอนวา ความอยากหรอื
ความตองการมี ๒ อยาง คือ
๑. ถา อยากไดผ ลทต่ี รงตามกฎธรรมชาติ
การดําเนินชีวิตก็เปนไปโดยสอดคลองกับธรรม
ชาติ ความตองการไดผลทต่ี รงตามกฎธรรมชาติ
เชน ทาํ สวนกต็ อ งการใหต น ไมเ จรญิ งอกงาม
ความอยากอยา งนท้ี า นเรยี กวา ฉนั ทะ ถา มฉี นั ทะ
แลวจะทํางานอยางมคี วามสขุ ไดต ลอดเวลา
๒. แตถาทํางานเพื่อตองการผลตามกฎ
สมมติของมนุษย คือทาํ สวนเพราะอยากไดเงนิ
ความอยากอยางน้ีทานเรยี กวา ตัณหา เปน ความ
อยากไดผ ลตามสมมตขิ องมนุษย ทเ่ี ปนเหตใุ หหา
ทางหลบเล่ยี งการทาํ เหตุตามกฎธรรมชาติ ถา
๑๖
เปนไปไดกต็ องการไดผ ลโดยไมต องทาํ เพราะ
ฉะน้นั จึงไมนกึ ถงึ การทํางาน แตนกึ ตลอดเวลาถงึ
การทีจ่ ะไดเ งนิ เวลาทาํ งานจงึ เปน เวลาแหง ความ
ทกุ ข การทาํ งานแบบนเ้ี ปน การขับไลหรอื วง่ิ ไล
ความสุข เพราะเราจะมองและโหยหาความสุขท่ี
อยูขางหนาตลอดเวลา
การทาํ งานกบั ความสขุ ทวี่ า มานี้ เปน ขัน้
พนื้ ฐาน เปนสง่ิ ธรรมดา เปนเรือ่ งทเ่ี ปน ไปตามกฎ
ของธรรมชาติ ซ่งึ จะตองทาํ ใหไดกอ น และธรรมะ
กอ็ ยูตรงน้ี คอื ตรงท่ถี ูกตองตามกฎธรรมชาติ
ถา ทาํ ไดต ามนี้ ธรรมะตัวจริงกม็ า แตถ าใครพลาด
ข้ันนี้ ก็เปนคนทอ่ี ยอู ยา งผดิ ธรรมชาติ กเ็ รียกวา
ผิดธรรมะ แลว ก็จะตองเกดิ ปญหาแนนอน ตวั คน
ก็จะทํางานอยา งไมม ีความสุข และงานนัน้ ก็จะไม
ไดผ ลดี สงั คมกจ็ ะเสอื่ มตามไป ถงึ จะสอนจรยิ ธรรม
๑๗
อะไรกันปากเปย กปากแฉะ ใหขยนั นะ รบั ผดิ ชอบ
นะ อดทนนะ กเ็ ปน จรยิ ธรรมแบบประแปงเทานัน้
ไมไ ดผลจริง
เพราะฉะนนั้ ผทู ่ที ํางานทุกคนจะตองมอง
ใหช ดั ตรงนกี้ อนวา ในการทาํ งานของตนนั้น เบ้อื ง
หลังผลที่สมมติคือตกลงกันในสังคมมนุษยวาได
เงินเดอื น หรือผลตอบแทนแลว ผลแทจ รงิ ตามกฎ
ธรรมชาติของงานของเราคอื อะไร เชน
- งานครเู ปนเหตุ ผลทต่ี องการตามกฎ
ธรรมชาติ คอื ชวยใหเ ดก็ มีความรู เจริญงอกงาม
พัฒนา มสี ติปญญาความสามารถ เปนคนดีของ
ครอบครวั และสังคม
- งานแพทยแ ละพยาบาลเปนเหตุ ผลที่
ตองการตามกฎธรรมชาติ คอื ชว ยใหผูคนหา งหาย
จากโรคภัยไขเ จ็บ มีสุขภาพแข็งแรง
๑๘
- งานตาํ รวจเปน เหตุ ผลทต่ี อ งการตาม
กฎธรรมชาติคือชวยใหประชาชนพนภัยจากการ
ทํารา ย หายหวาดผวา มคี วามมนั่ คงปลอดภัยใน
ชีวิตและทรพั ยสนิ จะไปไหนกป็ ลอดโปรง โลงใจรา
เริงแจม ใส อยกู ันในสงั คมทร่ี มเย็นเปนสขุ ฯลฯ
เม่ือจับผลแทจริงท่ีถูกตองตามธรรมชาติ
นไี้ ดแลว ก็จดั ปรบั ความอยากความตอ งการของ
ตนใหถ กู ตอ งตรงกัน ใหเปนความตอ งการผลตาม
กฎธรรมชาติ และอยากทําใหเ กิดผลอยางนน้ั
แลวความสุขขน้ั พน้ื ฐานของชวี ติ ชนดิ มตี ลอด
เวลาในการทาํ งานกจ็ ะเกิดขนึ้ แลวกใ็ หความสขุ
จากการไดผลตอบแทนตามกฎสมมติของมนุษย
เขามาเสรมิ เขา ไปอกี ชนั้ หนง่ึ กจ็ ะไดสุขเต็มที่สอง
ช้ันเลย แตถ าไมทําตามนี้ ก็มีหวังไดทกุ ขส องชัน้
๑๙
และก็จะทุกขไ ปดวยกนั ทงั้ ตวั คนและสงั คม น่ีเปน
ปญหาขอทีห่ น่ึง
ถา เกง จรงิ ตอ งใหก ารพฒั นา ๒ ดา นมาประสาน
ขา งในกย็ ง่ิ สขุ ไดง า ย ขา งนอกกย็ ง่ิ หาไดม าก
ตอ ไปเรอื่ งทส่ี อง ท่เี กย่ี วกบั การทํางาน
อยา งมคี วามสขุ กค็ อื ความเขา ใจเกย่ี วกบั ความสขุ
ความสุขนั้นมหี ลายข้ัน หลายอยาง หลายแบบ
คนจํานวนมากมองความสุขไปที่ไหน
ตอบวามองไปทกี่ ารไดเ สพไดบ รโิ ภค คอื ตาไดดู
สิ่งสวยงาม หูไดฟ ง เสยี งไพเราะ จมูกไดดมกลิน่
หอม ลน้ิ ไดล ้มิ รสอาหารท่ีเอร็ดอรอย กายได
สัมผสั ทีน่ ุมนวล ใจไดค ดิ ฝนในอารมณอยากได
อยากเสพที่เพลิดเพลิน คนเราท่ีตองการความสขุ
๒๐
มักจะมองไปที่วัตถุและสิ่งบริโภคดังที่กลาวมานี้
ความสขุ ของเขาจงึ ขนึ้ กบั วตั ถสุ ง่ิ เสพบรโิ ภคเหลา น้ี
แตถาเรามุงหาความสุขอยูแคส่ิงเหลานี้
แลว ความสุขของเรากจ็ ะมีจํากดั อยูอยา งเดยี ว
และท่ีสําคัญคือความสุขของเราจะข้ึนอยูกับวัตถุ
ภายนอกโดยที่เราไมเ ปน ตัวของตวั เอง พูดสัน้ ๆ
วา จะหมดอิสรภาพ ยิง่ อยูไ ปในโลกนานๆ ขน้ึ เรา
ก็ยิ่งเอาชีวิตและความสุขของตัวไปฝากไวกับสิ่ง
ภายนอก ผลทตี่ ามมาขน้ั ที่หน่งึ คือ พออยูไปนาน
เขา ๆ เราจะตองมปี รมิ าณวตั ถเุ สพและบรโิ ภค
มากขน้ึ ๆ จงึ จะมีความสุขได
แมว า เราอาจจะเกง ในการหาวตั ถเุ สพและ
ส่ิงบรโิ ภคเหลานั้น และเราก็นึกวาเราเกงจรงิ ๆ
สามารถหาความสขุ ไดมาก แตไ มรูตัวหรอกวา
อยไู ปๆ ความสขุ ของเรากเ็ ลยไปขึ้นอยูกบั วัตถุ
๒๑
เหลา น้ัน พอขาดวตั ถเุ หลานัน้ เราอยดู ีไมได เราไม
มีความสุข อยางน้เี รียกวาสญู เสยี อิสรภาพ เรานึก
วา เราเกง แตท จ่ี รงิ ชวี ติ ของเราหมดอสิ รภาพไปแลว
คนหลายคนอยใู นโลกนน้ี านๆ แลวหมด
อิสรภาพเพราะไมสามารถมีความสุขดวยตนเอง
ตองเอาความสุขไปข้ึนกับสง่ิ ภายนอก และนบั วัน
จะตองขนึ้ กบั วตั ถุที่เพิม่ มากขึ้นดวย แตก อ นนม้ี ี
วัตถุนดิ หนอยกม็ คี วามสุขได ตอมาพัฒนาความ
สามารถหาสง่ิ เสพสงิ่ บริโภคไดม ากขึ้น ตอนน้ีตอ ง
มีสงิ่ บรโิ ภคมาก ถามีนอ ยก็จะไมม คี วามสุข ทีนี้
เมือ่ ชวี ติ และความสุขไปขึน้ กับวัตถมุ ากเขา ก็
ลําบาก นอกจากพะรุงพะรังไปหมดแลว ก็ไมเ ปน
ตัวของตวั เองในการที่จะมีความสุข
การที่เราหวังจะมีความสุขในการเสพ
วตั ถนุ ้นั ทางพระทานไมห าม แตอ ยา ลมื วา เมื่อหา
๒๒
ความสุขไปจะตองรักษาอิสรภาพของตัวไวดวย
อิสรภาพก็คือการท่ีเรายังสามารถมีความสุขได
ดว ยตนเองอยบู า ง หรอื เปน คนทสี่ ขุ ไดง า ยพอสมควร
ถาเราเอาความสขุ ไปฝากไวก ับวัตถุภายนอก ตอ
ไปเราจะตองพ่ึงพาอาศัยวัตถุมากข้ึนจึงจะสุขได
ถามวี ัตถุนอยๆ จะสขุ ไมได ถึงตอนนกี้ ็จะเกิด
ปญ หาขอท่สี อง คือจะกลายเปนวา เรายง่ิ อยใู น
โลกนานเขาเราก็ยิ่งกลายเปนคนท่สี ขุ ไดยากขึ้น
ขอใหส งั เกตวา คนในยคุ ปจจุบันนม้ี ี
ลกั ษณะอยางหนงึ่ คือเปน คนทสี่ ุขไดย าก และย่ิง
อยนู านไปๆ ก็ยง่ิ สขุ ไดย ากขึน้ ๆ แตก อนน้ตี อน
เปนเด็กยังสุขงา ยกวา ตอนน้ันมีอะไรนิดหนอยก็
สขุ แลว แตอ ยไู ปๆ ในโลกกลบั ยง่ิ หมดความสามารถ
ท่จี ะมคี วามสุข เพราะสุขยากขน้ึ ทกุ ที แสดงวาเรา
๒๓
พัฒนาผิดทาง ถาเราเกงจรงิ เราอยใู นโลก
นานเขา เราก็ยิ่งตอ งเปนคนทีส่ ุขไดง า ยขึ้น
เพราะฉะนัน้ เครอื่ งพสิ ูจนการพัฒนา
ของมนุษยอยางหนึ่งก็คือความสามารถท่ีจะ
มคี วามสุข ขอใหด ูวาเมือ่ เราอยูในโลกไปนานๆ
เขา เราสุขงา ยขน้ึ หรือสุขยากขน้ึ ถา ถามตวั เอง
แลว ตองตอบวา เราสขุ ยากขึน้ กแ็ สดงวา เดินผิด
ทางแลว เราสญู เสยี อสิ รภาพลงไปทกุ ทๆี เราไมเ กง
จรงิ เพราะถา เกง จรงิ เราตอ งเปน คนทสี่ ขุ ไดง า ยขน้ึ
ถาเราพัฒนาท้ังสองดาน คือ
๑. ขา งใน ก็รักษาความสามารถทีจ่ ะมี
ความสุขไวไ ด หรอื พัฒนาตนใหเปนคนทส่ี ุขได
งายยิ่งขนึ้
๒. ขา งนอก กพ็ ฒั นาความสามารถทจี่ ะ
หาสิ่งเสพบริโภคทีจ่ ะบาํ รงุ ความสุขไดเกงย่งิ ขน้ึ
๒๔
ถาพฒั นาพรอ มไปดวยกนั อยา งน้ี ทัง้ ขา ง
ในกส็ ุขงา ยขนึ้ และขา งนอกกห็ าวัตถุหรอื หาเงนิ
เกงข้ึน เราก็สขุ สองทาง เพราะวาส่งิ ทจี่ ะมาชว ย
เสรมิ ใหเ รามคี วามสขุ เรากห็ าไดมาก พรอมกัน
นั้นเราก็เปน คนสุขงา ยข้นึ ดว ย เรากส็ ุขเตม็ ท่ี แต
คนจํานวนมากไมเปน อยางนนั้ เพราะคนทว่ั ไปมัก
พัฒนาแตความสามารถในการหาส่ิงเสพภาย
นอก ทั้งท่ีขา งนอกหามาไดๆ แตข า งในหมดความ
สามารถทจี่ ะมคี วามสขุ หรอื สญู เสยี ความสามารถ
ท่จี ะมีความสขุ ก็เลยสุขยากขนึ้
พอสุขยากขนึ้ วตั ถุท่ีหามาเสพน้นั ถึงได
มาก กไ็ มพอและไมทนั กเ็ ลยตองการมากขน้ึ ทกุ ที
ไดวัตถุมามากก็ไดความสขุ เทา เดมิ เพราะอะไร
เพราะไดว ตั ถขุ า งนอกมาเพมิ่ ขนึ้ เสยี ดลุ ยภาพหนง่ึ
แตความสามารถท่ีจะมีความสุขขางในลดลงไป
๒๕
หนึ่ง แมจ ะไดของมากขึ้นแตส ขุ ก็เทาเดมิ เลย
กลายเปน กระบวนการวิ่งไลความสขุ ขางนอก
บวกหน่ึงขา งในลบหน่ึง ไดห น่งึ ลบหน่งึ เปน อยู
อยา งนี้ จนกระทงั่ ในทสี่ ดุ ความสามารถทจ่ี ะมี
ความสุขขางในหายไป อยา งทีบ่ างคนอยใู นโลก
นานๆ เขา ก็หมดความสามารถทจี่ ะมคี วามสขุ
ถึงตอนน้ีไดวตั ถมุ าเทา ไรๆ กไ็ มมคี วามสุข คน
อยางน้เี รยี กวาคนพฒั นาผดิ ทาง
ในการพฒั นาทีถ่ กู ทาง คนจะตองมี
ความสามารถในการมคี วามสขุ มากขน้ึ คอื
เปน คนทสี่ ขุ ไดง ายขน้ึ เพราะฉะนัน้ จะตองถาม
ตวั เองตลอดเวลาวา เราเปน คนทส่ี ขุ งา ยขนึ้ หรอื ไม
ถาอยูในโลกแลวเปนคนท่ีสุขงายขึ้น
พรอมทั้งมีความสามารถท่ีจะหาวัตถุบริโภคที่จะ
บาํ รงุ ความสขุ ไดมากข้นึ ตอมาวัตถบุ รโิ ภคเหลา
๒๖
นนั้ ก็จะเหลือเฟอเกินความจาํ เปน แลวเราจะทาํ
อยางไร เรากเ็ อาวตั ถุเหลานนั้ ไปเผ่อื แผชวยเหลอื
คนอืน่ ใหเ ขามีความสุขดว ย ถา อยา งน้ี ตัวเราเอง
ก็มีความสขุ มากข้ึน แลว เราก็เผอื่ แผค วามสขุ ให
แกเพือ่ นมนษุ ยไดดวย แลวยังแถมมีความสขุ
อยางใหมจากการทําใหคนอ่ืนมีความสุขอีกดวย
อยางน้กี ็เรยี กวา มเี มตตากรณุ า นี่เปนเรือ่ งหน่งึ ท่ี
สําคญั
เพราะฉะนน้ั เครอื่ งพสิ จู นค วามเกง หรอื
เครอื่ งวดั การพฒั นาของคนเราขนั้ ทสี่ อง กค็ อื
เมือ่ เราหาเรามีเงนิ ทองวัตถมุ ากขนึ้ เราพูดไดไ หม
วา เรามคี วามสขุ จนวัตถเุ หลาน้นั เกนิ จําเปน
สาํ หรับความสขุ ของเรา ถา ไดม ามเี ทาไรก็ไม
พอทีจ่ ะมีความสขุ สกั ที กเ็ รียกวาเราเปน คนที่ยัง
ไมพ ัฒนา เปน คนท่ีจดั วา อุตสา หว่งิ มาในหนทาง
๒๗
ชีวิตเสยี เวลาไปยาวไกล แตกลายเปน คนทพี่ าย
แพอ ยา งส้ินเชิง
ในการทํางาน ถาเรามองความสขุ ใน
ความหมายเดียววา ความสุขอยทู ี่การเสพวตั ถุ
เราจะเสียเปรียบ และจะเกิดปญ หา เพราะเรามี
ความสุขแบบเดียว และเปนไดแ คน ักหาความสขุ
อยางเดยี ว คนทีอ่ ยูใ นโลกไดดีน้ัน จะตอ งพัฒนา
ความสามารถที่จะมคี วามสุข ซ่ึงหมายถึงการที่
จะเปนคนทสี่ ุขไดงา ยขน้ึ และมคี วามสขุ ดา นอนื่
เพม่ิ ขึ้นดวย
ความสขุ อะไรอีกท่จี ะเกดิ มกี บั เรา อยาง
แรกก็คอื ทีก่ ลา วมาแลว คือการดําเนนิ ชวี ติ ทถ่ี กู
ตองตามกฎธรรมชาติ โดยมีความตองการผลที่
แทจรงิ ซึง่ เปน ไปตามกระบวนการของเหตุปจจัย
ในธรรมชาติ เราทาํ งานไป เราก็สุขใจดวย เรามี
๒๘
ความสุขตลอดเวลา ดวยการสนองความตอ งการ
ผลที่แทของงานตามความจริงของธรรมชาติ
พรอมกันน้ันก็รูเทาทันวาเราตอ งการเงินเดอื นหรือ
คาตอบแทน เพ่อื ไปหาซ้ือวตั ถมุ าบรโิ ภค มาเสพ
หาความสขุ สะดวกสบายเปน สขุ ที่เสรมิ เขาไป สขุ
จากวตั ถเุ ราก็ไดดวย จงึ ไดทง้ั สองอยาง หมาย
ความวา ขณะทาํ งานเราก็มีความสขุ ไปดว ย และ
พอถึงเวลาสนิ้ เดือน ไดเงนิ เดือน เรากไ็ ดค วามสุข
ภายนอกมาสนบั สนนุ เราก็ไดทงั้ สองอยา ง แตถ า
เราไมพัฒนาความสุขดานในที่ไมตองข้ึนกับวัตถุ
เราจะมีความสุขแบบเดียวซ่ึงตองรอคอยตลอด
เวลา เมอื่ เปนเชนนี้ชีวิตสวนใหญของเราก็จะเปน
ชวี ิตทีม่ คี วามทุกขเ ปน ฐานยนื พ้นื
ทนี ล้ี องพิจารณาดูอีกทีจะเห็นวา กวา เรา
จะไดผ ลตอบแทนเปน เงนิ สักครั้งนั้น เราตองรอ
๒๙
เวลาตงั้ เดือน หรืออยางนอ ยก็หลายวนั แตง านที่
เราตองทาํ นัน้ เราตอ งอยกู ับมนั นานเหลอื เกิน ตง้ั
๓๐ วัน หรอื อยา งนอยก็ราวสัปดาหหนึง่ แลว ซอย
ออกไปอีก วันละไมร ูก ช่ี ั่วโมง แลวเราไดค วามสขุ
อยูตอนเดยี ว ตอนท่ีครบเดือนครบสัปดาห
ระหวางนั้นก็เปนเวลาแหงการรอคอยความสุขท่ี
ยังไมมาถึง และเปน เวลาแหง การอยกู บั ความ
ทุกขที่ตองฝนใจทนตลอดเวลา
ชวี ิตของเราจะเปนอยา งไร ถาดานหน่ึงก็
กระวนกระวาย รอคอยเงินท่ียงั ไมม า พรอ มกับที่
อกี ดานหน่ึง ก็ตอ งทนอยกู บั งานท่ตี อ งฝนใจทาํ
ตลอดเวลานานแสนนาน ถา ใครเปน อยา งทวี่ ามา
นี้ ชีวิตสว นใหญข องเขาจะเปน ชีวติ แหงความ
ทรมาน เปน การเดนิ ทางชวี ติ ท่ีผิด
๓๐
งานทํามาหาเล้ียงชีพนั้นเปนชีวิตสวน
ใหญของคน ในทางพระศาสนาถอื วาสาํ คญั มาก
ในเมื่องานการหาเล้ียงชีพครองเวลาสวนใหญใน
ชีวติ ของเรา เราจึงจะตอ งมคี วามสขุ จากการ
ทํางาน หรอื การทาํ มาหาเลยี้ งชพี น่แี หละใหไ ด
ชีวิตสว นใหญข องเราจงึ จะมคี วามสุข ถาเราไม
สามารถใหการงานทีท่ าํ มีความสุขได ก็หมาย
ความวาชวี ติ สว นใหญของเราเปน ทกุ ข นเ้ี ปน
เคล็ดลบั สําคญั
เปน อันวา ส่ิงทเ่ี ราจะตอ งทําใหไดใ น
ตอนน้ี คือ ทําใหก ารงานเปนแหลงทมี่ าแหง
ความสุขตลอดเวลาของเรา และทาํ งานใหมี
ความสุขดวยการดําเนินชีวิตใหถูกตองตามกฎ
ธรรมชาติ พรอ มกันน้นั กพ็ ัฒนาตวั เองใหรจู ัก
ความสขุ หลายๆ แบบ โดยไมทิ้งความสุขภายในที่
๓๑
เปนอสิ ระไมข ้ึนกับการเสพวตั ถุ ซึง่ มีไดตลอดเวลา
เปนหลักยืนพืน้ เรมิ่ ดวยสขุ จากการที่วา เม่ือ
ทํางานไปเห็นผลของงานเกิดขึ้นตรงตามกฎธรรม
ชาติกเ็ กดิ ปติความอม่ิ ใจ เปน สุขอยเู รอ่ื ย แลว ให
ไดความสุขท้งั สองอยา ง มคี วามสุขทั้งขา งนอกท้งั
ขางใน ไดท ัง้ สุขจากวตั ถุ ไดท ง้ั สขุ จากการทําการ
ทํางาน ไดท ง้ั สุขจากการอยูรว มกนั ดวยไมตรีจติ
มติ รภาพกบั เพ่ือนรวมงาน เปน ตน และทําจิตใจ
ใหด ี มองอะไรตา งๆ ในแงท ี่จะทําใหดี จนมีความ
สขุ ไดต ลอดเวลา เรากจ็ ะทาํ ชวี ติ ของเราใหส มบรู ณ
โดยเฉพาะจุดสําคัญท่ีทา ทาย กค็ อื การ
ทํางานทําการที่เปนชีวิตสวนใหญของเราให
มีความสุข ซึง่ เราจะตองทาํ ใหไ ด
การทาํ ชวี ติ ใหม ีความสขุ น้ัน ไดบ อกแลว
วาใหด ําเนนิ ชีวิตใหถ ูกตองตามกฎธรรมชาติ ตอง
๓๒
ถามตัวเองวาเวลาทาํ งาน เราตองการผลตรงกบั
จดุ มงุ หมายของงานแนหรอื เปลา งานทกุ ชนดิ ท่ี
ทํามจี ุดหมายของมันแนน อน เราตองถามตัวเอง
วา เราตองการผลอยา งนัน้ ไหม ถา เราสรา งความ
ตอ งการผลของงานทต่ี รงตามเหตุได ก็สาํ เร็จไป
ขนั้ หนึง่ แลว เราก็จะไดค วามสุขข้นั หนึ่ง แตเ รื่อง
ยังไมจบเทาน้ัน
ถา ไมลืมธรรมชาตติ ัวเองของมนษุ ย
จะยิ่งพบโอกาสที่จะพฒั นาความสุข
ลกึ เขาไปอีก เรามาดูธรรมชาติของมนุษย
สกั ดา นหน่งึ ธรรมชาตขิ องมนษุ ยน เ้ี กยี่ วกบั เรอ่ื ง
ความสขุ ดวย ถาเราไมป ฏบิ ัตใิ หถ กู ตองตามธรรม
ชาติของมนษุ ย เราก็จะพลาด เมื่อก้ีไดพ ดู ถึงธรรม
ชาตขิ องกิจกรรมการงานของมนุษยวา การ
๓๓
ทํางานไมวา งานอะไรก็ตองมจี ุดหมาย ทีน้มี องลกึ
ลงไปถงึ ธรรมชาติของมนษุ ย ธรรมชาติของมนษุ ย
คืออยางไร
พระบอกไวว า มนษุ ยเ ปนสตั วท ่ตี องฝก
และฝก ได ทาํ ไมพระจงึ วา อยา งน้ี
สัตวม หี ลายชนดิ มากมาย สตั วชนดิ อ่ืน
อยใู นโลกไป เขาอยไู ดด วยสิง่ ทีเ่ ราเรียกวาสัญ
ชาตญาณ คอื มีชีวติ เปนอยไู ด เดินเหิน หากนิ ตอ
สู หนีภัย ทําอะไรตางๆ ไดโดยสญั ชาตญาณ ไม
ตองเรยี นรมู าก สัตวหลายชนดิ ทเี ดยี ว พอออก
จากทองแมก เ็ ดนิ ไดแ ทบจะทนั ที เชน หาน พอออก
จากไข กเ็ ดนิ ไดวันนนั้ ทนั ที วิ่งไดท ันที วายนา้ํ ได
ทันที และตามแมไ ปหากินไดทนั ที แตมนุษยน ้ีพอ
ออกจากทองแมย ังชว ยตวั เองไมไ ดเลย ตองมผี ู
๓๔
อ่ืนคอยดูแล ปหนึ่งก็แลว สองปก็แลว สามสหี่ าป
ก็แลว ยังชวยตัวเองใหอ ยรู อดไมได
มนษุ ยน้วี าโดยสัญชาตญาณ เปนสัตวท ี่
เสยี เปรียบและดอย ระหวา งเวลานานปท ยี่ ัง
ดําเนนิ ชวี ติ เองไมไ ดน้ันทาํ อยางไร มนษุ ยกต็ อง
เรยี นรู ฝก ฝนพฒั นาตนเอง ตัง้ แตเ กิดมามนษุ ย
ตอ งเรียนรูทุกอยาง ไมว า จะกิน จะนอน จะยนื จะ
เดนิ จะขบั ถา ย ก็ตอ งเรียนรูท้ังนน้ั ตองฝกฝนหัด
มาจงึ จะอยูไ ด
รวมความวา การดาํ เนนิ ชวี ิตของมนุษยนี้
แปลกจากสัตวท ้ังหลายอ่นื ๆ มนษุ ยไ มไ ดม า
เปลาๆ แตต อ งลงทนุ ดว ยการเรยี นรฝู ก หดั เอา ซึ่ง
ตองใชเ วลามาก มนุษยจึงเสียเปรียบทวี่ า สัตวทั้ง
หลายอน่ื มสี ญั ชาตญาณชวยตัวเองได ไมต องลง
ทุนมาก แตมนษุ ยต องลงทนุ ดวยการเรยี นรู ฝก
๓๕
ฝนตัวเอง แตม องอีกดานหนง่ึ ขอ เสียเปรียบของ
มนุษยนี้ ก็กลายเปนขอ ไดเปรยี บ กลาวคอื การ
ฝกฝน เรยี นรู พัฒนาตวั เองไดน่ีแหละ ที่ทํา
ใหม นษุ ยก ลายเปนสตั วท ีป่ ระเสริฐเลศิ ที่สดุ
พอมนุษยรูจักเรียนรูและฝกฝนตัวเอง
แลว ไมว า อะไรก็จะทําไดหมด จนกระทั่งสัตวท ง้ั
หลายอนื่ ไมม ชี นดิ ไหนสูได สัตวท้ังหลายอื่นอยไู ด
ดว ยสญั ชาตญาณ แตม ันมีสญั ชาตญาณอยา งไร
ก็ไดแคนน้ั เกิดมาอยา งไร จนกระทงั่ ตายกไ็ ป
อยางนน้ั หรือเกิดมาอยา งไรกต็ ายไปอยางน้ัน มี
ขีดจํากัดแคส ญั ชาตญาณ แตมนุษยน ้พี อเกดิ แลว
กวาจะตาย สามารถฝกขึน้ ไป ไมรูจกั จบ ตา งจาก
สตั วอ่ืนๆ ทเี่ กิดมาอยางไรก็ตายไปอยา งน้นั แต
มนุษยฝก อยางไรไดอยางนัน้ อยูทีว่ าจะตอ งการ
ฝก หรือไม นแ่ี หละความสามารถของมนุษย
๓๖
เราจะเห็นวา มนุษยไดพฒั นาสตปิ ญญา
ความสามารถขน้ึ มาจนปรงุ แตง สรา งสรรคป ระดษิ ฐ
สงิ่ ตางๆ ไดม ากมาย มีวตั ถอุ ปุ กรณเ ทคโนโลยี
สารพดั จนกระทัง่ โลกมนษุ ยกลายเปนโลกพเิ ศษ
ตางหากจากธรรมชาติ แลว มนุษยก ็ดําเนินชวี ิต
อยูในโลกของมนษุ ยน้ัน จนบางทกี เ็ ลยหลงลมื
โลกเดิมของธรรมชาติไป ดงั เชน บางคนอยใู นโลก
มนุษยไ ปตลอดวันๆ โดยไมเ หน็ โลกธรรมชาตเิ ลย
วันหนงึ่ ๆ ออกจากบา นนัง่ รถยนตผ า นถนนตกึ
อาคารไปทาํ งาน กลบั จากทท่ี าํ งานก็นง่ั รถยนตไป
บาน เขานอนในหองปรบั อากาศ ดูทวี ี อยูก ับ
เทคโนโลยี ทีเ่ ปนโลกมนษุ ยโ ดยไมเ หน็ ธรรมชาติ
เลย จนไปๆ มาๆ กเ็ ลยไมรตู ัววาไดแ ปลกแยกไป
จากโลกธรรมชาติ
๓๗
ความสามารถพิเศษของมนุษยอยูท่ีวา
เราฝกฝนตนเองเรียนรูแลวสามารถสรางสรรค
อะไรตา งๆ ได มนุษยเ ปน สตั วประเสรฐิ ดว ย
การฝก แตถ ามนุษยไ มมกี ารฝก ไมมกี ารเรยี นรู
แลวจะเปนสตั วท ีแ่ ยท ่ีสุด
เรามักพูดกันวามนุษยเปนสัตวประเสริฐ
แตพ ระทานวาไมถ กู หรอก เปน การพดู ไมค รบ คํา
พูดทถี่ ูกตอ ง คือ “มนุษยเปนสตั วท ี่ประเสริฐดวยการ
ฝก ถา ไมฝ กแลวหาประเสรฐิ ไม” จะสสู ัตวอะไรอน่ื
ไมไดเลย เพราะฉะนั้น ถา วาโดยสัญชาตญาณ
แลว มนษุ ยเ ปน สตั วท ด่ี อ ยทสี่ ดุ มนษุ ยจ ะดเี ลศิ
จะประเสรฐิ ไดก อ็ ยูทก่ี ารฝกฝนเรียนรเู ทานั้น
เมื่อเรารูธรรมชาติของมนุษยอยางนี้แลว
ถา เราตองการมชี วี ิตที่ดงี ามประเสริฐ เราก็ตอ งฝก
ตนเอง ตอ งสรางจติ สาํ นึกข้ึนมาเลยวา เราจะตอ ง
๓๘
เปน อยูด วยการเรยี นรฝู กฝนตลอดเวลา ถาเรา
เรยี นรู ฝก ฝนพัฒนาตัวเองอยางไมยอมหยดุ ละก็
เราจะเลิศประเสรฐิ กวานีอ้ ีกมาก คนจาํ นวนมาก
ไ ม ใ ช ห ลั ก ธ ร ร ม ช า ติ ข อ ง ม นุ ษ ย อั น น้ี ใ ห เ ป น
ประโยชน ก็เลยฝกหัดอะไรๆ ดว ยความจําใจ จํา
เปน เทา ท่ีตวั พออยไู ด
คนจํานวนมากฝกตัวพอใหมีชีวิตอยูได
เทา นน้ั เอง พอกินได พอพดู ได พอหากนิ ได กห็ ยดุ
แลว ไมฝ ก ตอ แตค นท่รี หู ลักอยางนี้แลว จะฝกไม
หยดุ เมื่อเราเรียนรู พฒั นาตวั เองอยเู สมอ ก็จะมี
ชีวิตทด่ี ีงามประเสรฐิ คนทีเ่ ขาประสบความสําเร็จ
มากมายนนั้ บางทเี ขากไ็ มม ีพ้ืนเดมิ อะไรดกี วาเรา
หรอก แตเขาฝกตวั เองไมหยุด เรยี นรูพัฒนาเรือ่ ย
ไป เขากเ็ ปน เลศิ ได นเี่ ปน เรอ่ื งธรรมชาตขิ องมนษุ ย
๓๙
จําหลกั ของพระไวใ หด ีวา มนุษยเปน สัตว
ที่ประเสริฐดว ยการฝก ฝก แลวมิใชวา จะประเสริฐ
กวา สัตวเดรจั ฉานเทา นั้น มนุษยท ฝ่ี กดีแลว
ประเสริฐย่ิงกวาเทวดาและพระพรหมเสยี อีก ฝก
ไดจนกระท่ังวาแมแตเทวดาและพระพรหมก็กลับ
มากราบไหวมนษุ ย พระพุทธเจาเปนใคร พระ
พุทธเจา ก็เปน มนษุ ยน ้ีแหละ แตพ ระพุทธเจาทรง
เรยี นรู ฝกฝนพฒั นาพระองคม าตลอดเวลา แลว
พระองคก ็กลายจากมนุษยธรรมดา เปนพระพทุ ธ
เจา พอเปนพระพทุ ธเจา ก็เปนบุคคลสูงสุด หรอื
แมแตพระอรหันตท้ังหลายกเ็ ปน มนุษยทป่ี ระเสรฐิ
เทวดาท่มี นษุ ยเ คยกราบไหว ก็ตอ งหันกลบั มาก
ราบไหวมนุษย
ฉะนั้น เราเปน มนุษย อยามวั หลงเพลิด
เพลินหรอื ทอใจ ตองตัง้ ใจฝกฝนพฒั นาตนใหด ที ่ี
๔๐
สดุ แลว เราจะมคี วามประเสรฐิ เปน เลศิ จนกระทง่ั
เทวดาและพรหมก็หนั มากราบไหว และในความ
เลิศความประเสริฐน้ันก็จะมีความสุขสูงข้ึนไป
ดวย เมอื่ มนุษยเรยี นรูฝกฝนพฒั นาชีวติ ของตน
ข้ึนไปนั้น เขากพ็ ฒั นาความสุขขึ้นไปดว ย
สรา งสรรคส ่งิ ประดิษฐภายนอกแลว
อยาลมื สรางสรรคความสุขภายในดว ย
พระพุทธศาสนาเปดเผยความจริงวา
ความสุขมีมากมาย ความสุขมีหลายแบบ ความ
สุขมหี ลายช้ันหลายระดับ ทั้งความสุขภายนอก
ภายใน ท้งั ความสขุ แบบแบงแยกและความสขุ
แบบประสาน ทงั้ ความสุขทอ่ี าศัยวตั ถุและไม
อาศัยวตั ถุ ทั้งความสขุ ทางรา งกายและความสุข
ทางจิตใจ ท้งั ความสขุ ระดับจติ และความสขุ ระดบั
๔๑
ปญ ญา ทง้ั ความสุขแบบมวั เมาตดิ จมและความ
สุขแบบโปรงโลง ผอ งใส
ความสามารถของมนุษยอยางหนึ่งก็คือ
ความสามารถในการปรงุ แตง สรางสรรคคิดคน ซึ่ง
สัตวอ ืน่ ไมม ี การท่ีมนุษยเ จรญิ ข้ึนมามีเทคโนโลยี
มีสิ่งประดษิ ฐตางๆ มากมาย ก็เกิดจากความ
สามารถของมนุษยในการปรุงแตงสรางสรรคน่ี
แหละ แตก วา จะออกมาเปน วัตถปุ รุงแตง สราง
สรรคไ ด ตนเดิมมันมาจากไหน มนั ก็มาจากในใจ
ของเรา คอื ใจทม่ี สี ติปญญา เรมิ่ ดว ยใชปญญา
คิดปรุงแตงขางในแลวจึงแสดงออกมาเปนการ
ปรุงแตงประดิษฐว ตั ถุ สรา งสรรควัตถุขา งนอกได
จนกระท่งั เปนคอมพิวเตอรแ ละดาวเทยี ม กเ็ กิด
จากความคิดในใจเปน จดุ เร่ิม
๔๒
ทีน้ีความคดิ ของเรานน่ี ะ นอกจากปรงุ
แตงสรางสรรควัตถุขางนอกแลว อีกอยา งหนง่ึ ก็
คอื ปรุงแตงสุขปรุงแตง ทุกขข างใน เราไมร ตู วั หรอ
กวา เราใชความสามารถนีต้ ลอดเวลา ดวยการ
ปรุงแตง ความสุข และปรงุ แตง ความทกุ ข จรงิ ไหม
วาทเ่ี ราทกุ ขเราสขุ กนั น้ี สว นมากเปนสขุ และทุกข
ท่ีเราปรงุ แตง ขนึ้ เอง ไมเ หมือนกับสัตวอื่น
สัตวอ่ืนนั้นไมรูจักความทุกขความสุข
มากเหมอื นมนษุ ย มนั มคี วามสขุ ความทุกขท เี่ กิด
จากทางกาย ไดกินอาหาร ไดห ลับนอนพกั ผอน
หรือตอสหู นภี ัยอะไรๆ กต็ ามประสา แตค วามสุข
ความทุกขทางใจที่เกิดจากการคิดปรุงแตงมันไม
มี เราจะเหน็ วาสตั วกลุมใจไมเ ปน สัตวมันเครียด
ไมเ ปน เครียดไดแ ตเ รอื่ งท่ีสืบเนอ่ื งจากทางกาย
ไมเ หมอื นมนษุ ย
๔๓
มนุษยน้ีปรุงแตงสขุ ทกุ ขในใจกนั มากมาย
พสิ ดาร ปรงุ แตง ทกุ ขใ หก ลมุ ใหก งั วลใหเ ครยี ดจน
กระท่ังเสียจิตไปเลย สัตวอ่นื ปรุงแตง ใจใหเ ปน
บา ไมได แตมนษุ ยป รุงแตงจติ ใจจนกระทัง่
กลายเปนบาไปก็มี มนษุ ยมคี วามสามารถน้อี ยู
มากมายนกั แตนา เสียดายทม่ี นษุ ยใชค วาม
สามารถนี้ไปในการปรุงแตงทุกขม ากกวาปรงุ
แตงสขุ มอี ะไรมากระทบตากระทบหู ไมส บายใจ
นดิ หนอ ย ก็เก็บเอามาปรุงแตง ตอ เสียยดื ยาวใหญ
โต เวลาอยูว า งๆ แทนทจี่ ะปรุงแตงสขุ ก็ปรุงแตง
ทุกข เอาเรือ่ งทีไ่ มดมี าวาดเปน ภาพ ทาํ ใหเกดิ
ความรสู กึ กลมุ ใจกงั วล มคี วามโกรธเคยี ดแคน ตา งๆ
ทาํ ใหม คี วามทกุ ขม ากมาย แสดงวา มนษุ ยส ว นมาก
ใชความสามารถไมถ กู ทาง จงึ เปน โทษแกตนเอง
๔๔
ทีนี้ถามนุษยฝกตัวใหใชความสามารถน้ันใหถูก
เขากจ็ ะปรงุ แตง ความสุขไดมากมายมหาศาล
ในทางพระพุทธศาสนาทานแนะนํา
ใหเราปรงุ แตงความสขุ ทา นสอนวธิ ที าํ ใจหรอื
ฝก จติ ฝกใจ และบอกวิธีใชป ญ ญามากมาย อยาง
เชน การบาํ เพ็ญสมาธติ า งๆ กค็ ือวิธปี รงุ แตงจติ ใจ
นั่นเอง แตเ ปน การปรงุ แตงใหเ ปน สุข ในการมอง
โลก แมแตส งิ่ เดยี วกัน ถาเรามองไมเ ปน ก็เปน
เร่อื งรายเกดิ ทุกข แตถา มองเปน ก็กลายเปน ดี
เปนสุขไปได
ขอเลาเร่ืองพระทานหน่ึงที่เปนเพ่ือนกัน
ตอนเรยี นหนงั สือทม่ี หาจฬุ าฯ ในวัดมหาธาตุ ทา
พระจนั ทร เวลาชั่วโมงวา งไมไ ดเรยี นหนังสือ ทาน
จะมองไปที่ทาพระจันทรซ่ึงมีผูคนเดินผานไปผาน
มาขวักไขวจํานวนมาก ทา นมองไปมองมา แลวก็