๔๕
นง่ั หวั เราะ อาตมาก็ถามวาหวั เราะอะไร ไมเหน็ มี
อะไร ทานบอกวา มองไปเห็นผูค นเดนิ ไปเดนิ มา
ทา ทางรูปรางเครื่องแตงกาย เส้อื ผา สสี นั ตางๆ กัน
คนนั้นเดนิ อยา งนี้ คนนเี้ ดนิ อยา งน้นั ดูแลว ขาํ
ทา นก็เลยหัวเราะ นีก่ ็เปน วิธีมองโลกอยา งหน่ึง
บางคนมองอะไรก็เห็นนาขําไปทั้งนั้น
บางคนมองเหน็ อะไรกร็ สู กึ ขดั หู ดขู ดั ตาไปทกุ อยา ง
บางคนไมมีอะไรก็นัง่ กังวล ไมส บายใจ ทุกขไป
หมด นเี้ ปนตวั อยางงายๆ ของการปรงุ แตงจติ ใจ
เราต้ังทาทีของจิตใจอยางไรก็สรางจิตใจใหเปน
อยา งนัน้ สุข-ทกุ ขก็เกิดตามมา
ในชีวติ ประจําวนั เม่ือทาํ งานทําการ เราก็
มองโลก เรากม็ องคนทีพ่ บเหน็ มาหาไปหา เชน
เปน แพทยเ ปน พยาบาลกม็ องคนไขไ ปดว ย เราตอ ง
๔๖
เกย่ี วขอ งกบั ผูคนทั่วไป กับผูรว มงาน เราจะตอ ง
หดั มองใหเ ปน อยา มองในแงท กี่ ระทบหกู ระทบตา
วิธมี องใหไ มเ กิดโทษมหี ลายอยาง อยาง
นอยก็ควรมองเห็นวาเปนประสบการณแปลกๆ
ในวนั หนึ่งๆ เราพบเหน็ ผูคนมกี ิรยิ าอาการตา งๆ
มากมาย คนนั้นลกั ษณะอยางน้ัน คนนล้ี ักษณะ
อยา งนี้ เราก็มองในแงที่วา เปน สงิ่ ทีไ่ ดรูไดเ ห็น
เปน ประสบการณห ลากหลาย เปนขอมูลความรู
อยา เก็บมาเปนอารมณ เราอาจจะสบายใจหรือ
พอใจวาน่ีเราไดรูเห็นรูจักโลกมากขน้ึ โลกเปน
อยางนี้ เมื่อเราทาํ ใจอยางนี้ สงิ่ ท่พี บเห็นก็ไม
กระทบหู ไมกระทบตา ไมกระทบใจ เราก็สบายใจ
แตไ มแคน ้ัน ยังดีกวา นัน้ อีกคอื เราไดความรดู ว ย
๔๗
พอเห็นงานและปญหาเปน เวทีพฒั นาตน
งานกย็ งิ่ ไดผล และคนกย็ ่ิงเปน สขุ
ยงิ่ กวาน้ันก็คือ เราไมใ ชไ ดค วามรขู อมลู
เฉยๆ ดงั ไดกลาวแลว วา มนษุ ยเราเปนสัตวท เี่ กง
ในการเรยี นรู และเราเปนสัตวประเสริฐไดด ว ยการ
เรียนรู เราจงึ ควรหัดมองใหไดป ระโยชนสงู ขน้ึ ไป
อีกระดับหนงึ่ คือ มองเปนการเรยี นรูที่จะไดฝกฝน
พัฒนาตน
เราอยใู นโลกน้ี ถาเรารูจักมอง เราก็ได
ตลอด การไดทีป่ ระเสริฐกค็ ือไดเรียนรูแลว จะได
นาํ ไปใชพฒั นาตน งานการทท่ี ํากเ็ ปน เวที
พัฒนาตวั เราเอง แมแตป ระสบการณท ่วั ๆไป
กเ็ ปนประโยชนใ นการพัฒนาชีวติ
งานการเปนเครื่องพัฒนาตัวเราอยางไร
คนเราน้ที ่ีไดพัฒนาความรูความสามารถ สว น
๔๘
มากกม็ าจากการงานท่ีทาํ นี่แหละ ไดพูดแลว วา
การงานที่เราทําเปน ชีวติ สวนใหญข องเรา คนเรา
แตละคนกวาจะโตมาก็ไดเรียนรูจากส่ิงทตี่ ัวเองได
ทาํ นแ่ี หละ ดงั นน้ั ถา เราตงั้ ใจฝก ตวั จากงาน เราก็
จะไดค วามรูค วามสามารถตลอดจนความชาํ นาญ
มากมาย
นอกจากน้ัน การพฒั นาทางจติ ใจเรากไ็ ด
ดว ย เพราะเมือ่ ทาํ งานไป เรากไ็ ดฝ กความขยัน
ความเพยี ร ความอดทน ความรูจ กั รับผดิ ชอบ ได
พฒั นาคุณธรรมตา งๆ ตลอดจนไดรจู ักการอยูรวม
กบั ผอู ืน่ รูจักทาํ งานรว มกัน และเรากพ็ ัฒนาสติ
ปญ ญาไปดว ย ไดท้งั ความรูในตัวงาน การรจู กั คดิ
แกไ ขปญ หา การจดั การหรอื ดาํ เนินงานตางๆ
ตลอดจนความรจู ักเขา ใจโลกและชีวติ ทุกอยา งนี้
๔๙
เราเรยี นรูและฝกหัดอยูต ลอดเวลา แตกจ็ ะใหได
ผลจริง เราจะตอ งต้ังใจ และทาํ ดว ยความรูเขา ใจ
ดวยวิธีน้ีเราก็ใชงานเปนเวทีฝกตัวเอง
แลว เราจะรูส ึกวา เราเดนิ หนากาวไปเรอื่ ยๆ พรอม
กนั นน้ั นอกจากสขุ จากการทํางานเพอ่ื ผลของมนั
เราก็จะมีความสขุ กับการพัฒนาตวั ของเราเอง
เพราะฉะนนั้ คนท่ีฉลาดกใ็ ชธรรมชาติ
ของชีวติ มนุษยใ หเ ปนประโยชน เขาจะมองในแง
ท่ีวา ตอ งใชงานเปนเวทีฝก ฝนพฒั นาตวั เอง หรอื
เปน เวทแี หง การเรยี นรู เม่ือเขามองงานเปนสนาม
ฝกชวี ติ หรอื เปน เวทพี ัฒนาตน กห็ มายความวา
เขาชอบพฒั นาตน หรืออยากฝก ตวั
เม่ือเขาทํางาน เขาก็ไดส นองความ
ตอ งการในการฝก ตนนั้น เมือ่ ความตอ งการใน
การฝก ตนนัน้ เมือ่ ความตอ งการไดร ับการสนอง
๕๐
เขาก็มคี วามสุข เพราะฉะนั้น เขากจ็ ะมคี วามสุข
ไปดวยในการทํางานท่ีทําใหเขาไดพัฒนาตัวเอง
ซ่ึงเปนความสขุ ท่ีมีไดตลอดเวลาในชวี ติ ประจําวนั
ยอนกลบั ไปถามวา ชวี ิตท่ดี ี คอื ชีวิต
อยางไร? ก็คอื ชวี ติ ท่มี โี อกาสไดฝกฝนตน
มากๆ คนทท่ี ํางานควรดีใจวาเราเปน คนทีม่ ี
โอกาสฝกตัวเอง เพราะฉะนนั้ จึงควรใชโ อกาส
นั้นใหเปนประโยชนดวยการฝกเรียนรไู ปเร่ือยๆ ซึ่ง
เปนการหาความสุขจากการทํางานไปดวยในตัว
เปน อันวา การทาํ งานโดยดําเนนิ ชีวติ ให
ถกู ตองตามกฎธรรมชาติ คือตองการผลทต่ี รง
ตามเหตซุ ง่ึ เปน ตัวงานแทๆ กท็ ําใหไ ดความสขุ
การมองงานเปนเวทที ี่พัฒนาชีวิตของตนเอง เปน
ทเ่ี รยี นรู ก็ทาํ ใหไ ดค วามสุข แมแ ตการพบเหน็ ผู
คน เชน เหน็ คนไขมา แลว มองในแงที่เปน การเรยี น
๕๑
รู วาผูค นตางๆ กนั บางคนมคี วามสขุ บางคนมี
ความทกุ ข แตละคนมีจริตนิสัยใจคอตางๆ กัน
เนื่องจากเขาฝกฝนอบรมหรือพัฒนาตัวเองมา
ตา งกัน หรอื มีประสบการณตา งๆ กนั มองเปน
เรื่องของการไดเ รยี นรทู งั้ หมด พอไดรสู ึกวา เรยี นรู
แลวกส็ บายใจ และยงั เปนขอมลู แงคิดทีจ่ ะเอาไป
ใชประโยชนตอไปไดดวย
นอกจากน้ันกม็ องตามเหตุปจ จยั คอื ไม
มองเขา หาความชอบใจไมชอบใจของตวั เอง เรยี ก
วา ไมม องเขา มากระทบตน หรือไมส รางตวั ตนขนึ้
มารับกระทบ
คนเราที่มีทุกขสวนมากเปนเพราะ
คอยมองเขา หาตัวเอง พอมีอะไรเกิดข้นึ กร็ สู ึก
กระทบตัวเองไปหมด เพราะมีความชอบใจและ
ไมช อบใจเปนพ้นื ทจี่ ะใชตัดสินอยูขา งใน ถา เราไม
๕๒
มองแบบเอาเขามากระทบตวั ตนของเรา ไมวา จะ
เห็นภาพเห็นอาการท่ีนาชอบใจหรือไมนาชอบใจ
กม็ องแคเปนเรอ่ื งทีไ่ ดเ รยี นรทู ง้ั นัน้ แลว กม็ องไป
ตามเหตุปจจัย ตามเรือ่ งของมัน ตามหลักความ
จรงิ ทว่ี าส่ิงท้ังหลายเปนไปตามเหตุปจ จยั กม็ ีแต
ไดประโยชน และปญหากไ็ มเ กดิ ขน้ึ
คนไขหนาบ้งึ มา ก็มองใหเปน ไปตามเหตุ
ปจจัย อยา มองกระทบตัวเอง ถา มองกระทบตวั
เองก็คือมองตามชอบใจ ไมช อบใจ เมอื่ เหน็ คนไข
หนาบ้ึงมา มองแลวไมถ ูกตา ไมถ กู ใจก็จะเกดิ
ปฏกิ ริ ยิ าเชนโกรธเขา หรือแสดงกริ ยิ าวาจาโต
ตอบ เปน ปญ หาทันที
แตถ าเหน็ คนไขหนา บ้ึงมา เขาพูดไมด ี
เราไมมองเขามาหาตัวเราท่ีชอบใจหรือไมชอบใจ
แตมองตามเหตปุ จ จยั เราก็มองที่ตัวเขาตอไป
๕๓
แลวความคดิ เชงิ ปญ ญากจ็ ะตามมาวา โอ! คนไข
คนนี้อาจจะยากจนนะ เขาอาจจะมปี ญ หาครอบ
ครวั มเี รื่องทีบ่ าน อาจจะมีปญ หากับสามี หรือ
ภรรยา หรอื มปี ญ หาเปนหวงลกู หรอื เขาหว ง
กังวลเร่ืองการเงิน หรือเขามีเร่ืองลาํ บากทุกขใ จ
อยา งใดอยา งหนึง่ เหตปุ จ จยั ของการหนา บึง้ นนั้
อยูท ตี่ ัวเขาไมเ กย่ี วกับเรา เราตอ งพยายามคดิ คน
หาเพอ่ื ชวยเขาแกป ญ หา ถา สงสัยก็อาจสอบถาม
วา คณุ มปี ญหาอะไร มคี วามลําบาก หรอื กงั วลใจ
อะไรหรือเปลา เมอ่ื ถามก็จะไดค วามรู เมือ่ รแู ลว ก็
จะเกดิ ความสงสารเหน็ ใจเขา แลว กช็ วยเหลอื
ปลดเปลือ้ งบรรเทาทกุ ขใ หเขา
ถาไมม องแบบกระทบตนแลว นอกจาก
สบายใจ ก็ยงั กลายเปน วา จะสามารถชว ยแก
ปญ หาใหแกผ อู ื่น พรอมกบั ตัวเองกไ็ ดคณุ ธรรม
๕๔
คือเมตตากรุณาขึ้นมาดวย การมองอยา งนจ้ี งึ เปน
การศึกษาตลอดเวลา เม่อื ศึกษาก็ไดป ญญา เมอ่ื
ไดป ญ ญากแ็ กป ญหาได ปญหานั้นคูกับปญญา
ถา ใครไมรูจกั ปฏิบัติตอ ปญหา เขาก็ไดความทุกข
พอเจอปญหาก็หงุดหงิดงุนงานวาปญหามาแลว
กเ็ กดิ ความไมส บายใจ กก็ ลายเปน ความทกุ ขข นึ้ มา
คนทม่ี องวา ชีวิตของเราคือการฝก พอ
เจอปญหาแลวสูป ญ หาไมถอย กจ็ ะไดฝ กตน
เพราะการสูปญ หาทําใหเ กดิ ปญ ญา การสูปญ หา
คอื การมคี วามเพียรพยายามท่จี ะแกปญ หา ซง่ึ ทํา
ใหค ดิ คน ขวนขวาย เมอื่ คดิ หาทางแกป ญ หา ปญ ญา
ก็พัฒนาขน้ึ มา พอสูป ญหากเ็ กิดปญญา พอได
ปญ ญาก็หมดปญหา จึงเปน การพฒั นาตัวเอง
ยิ่งข้นึ
๕๕
คนที่ประสบความสําเร็จในชีวิตนั้นมัก
ประสบความสาํ เรจ็ จากการสปู ญ หา โดยเฉพาะ
การเผชิญปญหาที่ยากหรือสูส ่งิ ท่ยี าก เมอ่ื
พยายามแกไ ข เขากพ็ ัฒนาตัวเองใหมคี วาม
สามารถยงิ่ ขึน้ เขมแข็งยง่ิ ข้ึน รูเ ขา ใจเกิดปญ ญา
ย่งิ ขนึ้ จนกระทัง่ ประสบความสาํ เรจ็
ถาใครไมเคยประสบปญ หา ไมเ คย
พยายามแกปญ หา ชีวิตจะเจรญิ พัฒนาไดอยางไร
คนทค่ี ดิ จะเอาแตสบาย ไมส ูปญ หา ไมสูสง่ิ ทยี่ าก
ก็อยอู ยางเดมิ เทา น้นั แหละ อยา งคนทีช่ อบทําแต
งานงายๆ เขาจะพัฒนาตัวเองไดอ ยางไร เขาอยู
อยา งไรก็ไดแคน้ัน แตคนที่สูปญ หา สสู ิง่ ยาก จะ
ไดพัฒนาตวั เองตลอดเวลา
ฉะน้นั คนท่มี จี ิตสํานกึ ในการศึกษา หรือ
มีจิตสํานึกในการฝก ตน จะมองปญหาหรือสง่ิ ท่ี
๕๖
ยาก เปน เวทีฝก ตวั เอง ถาเราพยายามฝก ตวั อยา ง
น้ัน เราจะรูสึกวาเราไดจ ากปญหา ไดจ ากสง่ิ ที่
ยาก พอรูส ึกวา เราจะได เชนจะไดฝ ก ตัว จะได
ความรคู วามสามารถ จากปญหา หรือจากส่ิงท่ี
ยากน้ัน เราจะเกิดความพอใจ และยินดีทีจ่ ะ
เผชญิ ปญหาและสง่ิ ท่ยี ากนน้ั ใจทีย่ นิ ดีขึน้ มาก็จะ
ทําใหเ ต็มใจและต้งั ใจทํางาน จึงทําใหม ีความสุข
ดวย และการทาํ งานกไ็ ดผลดวย
แตค นที่ไมสูปญหา จะแย เขาจะเจอแต
ความทุกข พอเจอปญ หากท็ อใจ พอทอใจตวั เองก็
มคี วามทกุ ข ก็เลยจําใจฝน ใจทําสง่ิ น้ันดว ยความ
ทกุ ข และเมอ่ื จาํ ใจฝน ใจก็ทํางานนั้นไมไดผลดวย
ตรงขา มกบั คนทีส่ ปู ญ หา มจี ติ สํานกึ ในการฝกตน
พอเจอสิ่งที่ยากกบ็ อกวา เออ ดี คราวนเี้ ราจะได
มาก คาํ วา “ยิ่งยากย่งิ ไดมาก” เปน คตขิ องนัก
๕๗
ฝก ตน คนท่ฝี กตนบอกวา “ยิ่งยากยิ่งไดม าก” น่ี
เปนความจริง เพราะอะไรท่ียาก กวา จะทาํ ได
สําเรจ็ เรากไ็ ดพฒั นามากมาย
คนที่มคี ตวิ ายง่ิ ยากยิ่งไดมาก พอเจอสิ่งท่ี
ยากจะเกิดความชอบใจยินดีเพราะอยากจะเจอ
อยแู ลว เม่ือยินดที ่จี ะเจอกเ็ กดิ ความเต็มใจ แลวก็
เกดิ ความสขุ กลายเปน วา มคี วามสขุ ทไ่ี ดเ จอปญ หา
หรือเจอสงิ่ ท่ที ําไดย าก และเมื่อเตม็ ใจทาํ กท็ าํ ดว ย
ความสุข แลว ก็ทาํ ไดด ดี ว ย จงึ ประสบความสําเร็จ
เพราะทาํ ดวยความเตม็ ใจและต้ังใจทาํ พูดไดว า
ถาใครมีจิตใจอยา งน้ี งานก็ไดผล คนก็เปน สุข
ความสขุ ของคน กับความไดผ ลของงาน ประสาน
กลมกลนื อดุ หนุนกนั ไมข ดั แยง กันเลย
เพราะฉะน้นั คนเราจะตอ งมีจติ สํานึกใน
การฝก ฝนตนเอง ใฝใจศกึ ษาชอบพัฒนาตนเอง
๕๘
โดยถอื เปนหลกั ประจําใจไววา มนุษยเปน สัตวที่
ประเสรฐิ ดว ยการฝก เราจะอยูไปตามสัญชาต
ญาณเหมือนสตั วชนิดอ่ืนไมไ ด สัตวชนิดอนื่ อยูได
ดว ยสญั ชาตญาณ มนั ไมตอ งลงทนุ มันไมต อง
เรียนรู แตม นั กเ็ สยี เปรยี บ เพราะมนั มสี ัญชาต
ญาณอยา งไรจนตายกไ็ ดแคนนั้ ตางจากมนุษยซ่งึ
เร่มิ จากจุดทไ่ี มม อี ะไรเลย แตเพราะมีการเรยี นรู
ไดฝ ก ฝนพัฒนาตัวเอง กวา จะตาย จึงเปล่ยี น
แปลงไปมากมาย บางคนประสบความสําเรจ็ ยงิ่
ใหญ สามารถชว ยเหลอื ใหม นุษยอ นื่ พลอยมี
ความสุขไปดวย เปน จํานวนลา น จํานวนแสน แต
ถา ไมฝ กตน มนุษยน ้จี ะกลบั เปนโทษยงิ่ กวา สัตว
ชนดิ อืน่ เปนสตั วช นดิ เดยี วทีส่ ามารถสรางทกุ ข
และความเดือดรอนแกผูอื่นเปนแสนเปนลานหรือ
หลายสบิ ลานทเี ดยี ว
๕๙
ความเปนมนุษยนี้จึงอยูท่ีการฝก หรืออยู
ท่กี ารศึกษาแทๆ เราจงึ ควรนําเอาหลักการน้ซี ่ึง
เปนความจริงตามธรรมดาของธรรมชาติมาใชให
เปน ประโยชน โดยเอาการทาํ งานเปน เวทฝี ก ศกึ ษา
พฒั นาตน พรอมท้ังมองปญหาเปนท่ที ํางานของ
ปญ ญาวา ปญ หาคกู ับปญ ญา ถา เจอปญ หาเรา
ตอ งพลิกผนั มนั ใหเ ปนปญ ญา เราตอ งเปลี่ยน
ปญหาใหเ ปนปญ ญา คนผใู ดเปล่ียนปญหาให
เปนปญ ญาได คนนั้นเกงมาก เขาจะประสบความ
สําเร็จ เพราะคนไดป ญญาจากการสปู ญหาน้เี อง
สรุปวา เคลด็ ลับในการสรางความสุข
และความเจรญิ กาวหนากค็ ือ เราจะตอง
เปลย่ี นปญ หาใหเปนปญ ญา หลักขอน้ใี หจ าํ ไว
เลย เม่อื ถอื หลักน้แี ลว ตอไปเราจะเหน็ คณุ คา ของ
งานมากขึ้น
๖๐
ทาํ งานคือไดสรา งสรรคป ระโยชน
จึงย่งิ สขุ ที่รสู กึ วา ชีวิตมคี ณุ คา
งานสจุ รติ ทกุ อยางมคี ุณคา เพราะมีจดุ
หมายที่ดีงามเปนประโยชน เปน ธรรมดาวา งาน
ทกุ อยา งทมี่ ขี น้ึ ในสงั คม กเ็ พอ่ื แกป ญ หาของมนษุ ย
หรือเพอ่ื สรางสรรคอ ยา งใดอยา งหนง่ึ เชน มงี าน
ทาํ สวนก็เพ่อื ใหต นไมเ จริญงอกงาม สรางความ
รม รืน่ ใหสถานท่ีมีบรรยากาศดี ชว ยใหผูคนมี
ความสขุ เปนท่พี ักผอนหยอนใจ อยา งนอ ยกเ็ ปน
ปอดของชมุ ชน งานทุกอยา งมจี ุดหมายทีม่ ีคณุ คา
ฉะนั้นเวลาทํางานก็ควรมองงานดวยจิตสํานึกใน
คณุ คา
การมองเห็นคุณคาของงานทําใหรักงาน
อยากทาํ งาน และเมอ่ื ทําสําเร็จ มองเหน็ คณุ คา
หรอื ประโยชนเ กดิ ขนึ้ เราก็จะมคี วามสุข และจะรู
๖๑
สึกวาชีวิตของเรามีคุณคาซ่ึงทาํ ใหมีความสุขชนิด
ทลี่ กึ ซ้ึงยิง่ ข้นึ ไปอีก คนทีท่ าํ งานแลวเกิดผลสาํ เร็จ
ตามความมงุ หมายของงานและเหน็ คณุ คา แหง ชวี ติ
ของตวั เอง เวลาระลึกขึน้ มาเขาจะรูสกึ ไมอ า งวาง
ไมเหมือนคนที่มุงความสุขอยางเดียวจากการเสพ
วัตถุ เวลาทาํ งานไมไ ดนกึ ถงึ เลยวา เราจะทําชวี ิต
ใหมคี ุณคา อยางไร กวา จะนึกได เวลาผานไป
หลายสิบป พอนกึ ถึงชวี ิตของตนขน้ึ มา ก็จะรสู กึ
อางวา งวาเหว
ความสุขจากการเสพบริโภควัตถุน้ัน
พ่งึ ไดไมนาน ในทส่ี ุดแมก ระท่ังรางกายจะพ่ึง
ความสุขจากวัตถุเสพภายนอกก็ไมไดจริงจังยาว
นานอะไร เพยี งแคเวลาเจบ็ ไขไ ดปว ย อาหารที่
เคยอรอ ยก็ไมอรอย สิ่งทบ่ี ําเรอตาบําเรอหู ก็ไมมี
ความหมาย ยิง่ ถึงเวลาแกเฒาลงไป อนิ ทรียต า งๆ
๖๒
ทีเ่ คยเสพความสขุ จากวัตถุ ไมวาตา หู จมูก หรือ
ลิน้ ก็เสื่อมลงไป หมดความหมาย แลวถึงตอนนัน้
จะอยูเพ่อื อะไร
ถาไมพ ัฒนาจติ ใจใหมีความสุข ชนดิ
ท่เี ปนอสิ ระจากวตั ถุบาง จะมีชวี ิตท่งี อนแงน
มาก พอแกเ ฒา หรือเจบ็ ไข จะวา เหวอา งวางทุรน
ทุรายเตม็ ไปดวยความทุกข เพราะฉะนั้นตอนท่ียงั
หนุมยังสาวยงั ทาํ งานทําการได จงึ ควรรีบพฒั นา
ตวั เอง ทาํ ใหเ กดิ ความสขุ ภายในท่เี ปนอิสระ ซง่ึ มี
ทางพฒั นาไดหลายอยาง เรมิ่ จากใกลตวั คอื ใหม ี
ความสขุ ตลอดเวลาจากการทํางาน ตอจากนน้ั
เมื่อทํางานไปมองเห็นคุณคาของงานเกดิ ขึน้ รสู ึก
ขึ้นมาวาชวี ติ ของเรามคี ุณคา จากการทาํ งานนนั้ ก็
เกิดมปี ต มิ ีความสุขในการทาํ งานทีส่ าํ เรจ็ ผล เกดิ
คุณคาข้นึ มานัน้
๖๓
ยิ่งงานของแพทยพยาบาลและทานท่ี
เกี่ยวขอ งกับการบําบดั โรคน้ี เปนงานทม่ี ีคุณคา
อยา งยง่ิ เพราะมีความหมายเทา กบั ชีวิตของ
เพ่ือนมนุษย การทํางานคอื การไดชวยเหลือเพอ่ื น
มนษุ ย ไมว าจะชวยทางตรง หรือทางออมกต็ าม ก็
เปนการทําใหช ีวติ ของเพ่อื นมนุษยดีข้ึน ชว ยให
เขาหายปว ย หายทกุ ขทรมาน พรอมกนั นนั้ เม่อื
ชวยชีวติ หรือสขุ ภาพของคน กห็ มายถึงการชว ย
สงั คมดว ย เพราะประเทศชาติกอ็ าศัยทรัพยากร
มนษุ ย คอื พลเมืองที่มีสุขภาพดรี างกายแข็งแรง
จงึ เทา กบั ชว ยกันพัฒนาประเทศชาตดิ ว ย โดย
เฉพาะงานของคนท่ีอยูในวงการแพทยพยาบาล
รวมท้ังทานท่ีเปนพนักงานชวยเหลือเก่ียวกับการ
เจบ็ ไขน ้ี เปนงานทมี่ คี ุณคา สูงสุด เพราะไมม อี ะไร
จะมคี ณุ คา สูงสุดเทา ชีวติ คน
๖๔
เรามกั จะมองโลกในยคุ ปจจุบันน้ี เปน
เร่อื งของเงนิ ทอง จริงอยูเ งนิ ทองเปน ส่ิงมคี า มาก
จนกระทัง่ เราพูดกันวา เวลาเปนเงินเปน ทอง อนั
นน้ั ก็จริงอยสู ว นหนง่ึ แตท ี่จรงิ แทแ นน อนน้ัน
เวลามีคา ยงิ่ กวา เงินทอง เพราะเวลามีคา เปน
ชีวิตของเรา เพราะฉะนัน้ จะตองคิดใหมากวา
ชวี ิตทกุ ขณะทีผ่ านไป เราไดอ ะไรดีขน้ึ หรอื เปลา
ชีวิตของเราน้ีมคี วามสขุ แทที่มคี วามหมายมากขึ้น
หรอื ไม แตน อกจากน้ันมันยงั หมายถงึ ชีวิตของผู
อ่ืนดวย
โดยเฉพาะงานของแพทยพยาบาลและ
เจาหนาที่โรงพยาบาลเปนงานที่ชวยเหลือชีวิต
ของเพอ่ื นมนุษย เพราะฉะนัน้ เวลาจึงมคี า เปน
ชวี ิตของเพื่อนมนษุ ยด ว ย เม่อื ทํางานจึงตอ ง
ระลึกใหต ระหนักวา ทุกขณะท่ีผา นไปนีม้ คี วาม
๖๕
หมายเปนความอยูรอดหรือไมของเพ่ือนมนุษย
ถา เราทาํ งานไดด กี จ็ ะชว ยชวี ติ ของเขาได และชวี ติ
ของเราเองกไ็ ดพ ฒั นาไปดว ย เราจะไดท งั้ สองอยา ง
เมื่อมองลกึ ลงไปอยางนี้ งานของคนจึงมี
๓ ขนั้ คนประเภทที่ ๑ คิดถงึ แตเรือ่ งเงนิ ทองอยาง
เดียว บางทีกท็ ําลายทงั้ ชวี ิตของคนอนื่ และ
ทาํ ลายชีวิตของตนเองไปดวย เพราะย่งิ อยูไปๆ
ชวี ติ ก็ย่ิงหมดคณุ คา คนประเภทท่ี ๒ ไมค ิดอยูแค
เงนิ ทอง เขาเอาเงนิ ทองเปนสว นประกอบ แลว
มองลึกลงไปถงึ คุณคา ของชวี ติ เมอื่ เวลาผานไป ก็
พยายามทําชีวิตใหมีคุณคามีความหมายมากข้ึน
ตอ จากนน้ั พัฒนาอกี ข้นั หนง่ึ คนประเภทที่ ๓
นอกจากคํานึงถงึ ชีวติ ของตนเองแลว ยงั คดิ ถึง
ชีวติ ของเพอ่ื นมนษุ ยดวย ฉะน้นั เราจะตอ งทาํ
๖๖
การงานของเราซ่งึ ทงั้ คูและแขง กับกาลเวลา ใหม ี
คณุ คาอยางแทจริง
ถา เรามคี วามรูส กึ อยางน้ี เราก็จะมอง
เห็นความสาํ คญั ในงานอาชีพของเรา วามคี วาม
หมายเปน ชีวิตของเพ่ือนมนุษย เมื่อเราทาํ งานไป
เราก็ไดชวยเหลือชีวติ ของเพื่อนมนษุ ย และชว ย
เหลือสังคมใหเจริญงอกงามไปดวย เราจะมีความ
สขุ ความอมิ่ ใจจากการทํางาน ซึ่งเปน ทห่ี วังพ่งึ
ของสังคม
รกั ษาอสิ รภาพไวท ง้ั ไดง านทง้ั มภี มู คิ มุ กนั ทกุ ข
และเปนฐานใหส ุขยิ่งงอกงาม
ถาทาํ อยางท่กี ลาวมาขา งตน เราก็จะ
พฒั นาชวี ติ ของเราใหด งี ามยงิ่ ขนึ้ ซง่ึ หมายถงึ พฒั นา
ความสขุ ไปดว ย ทาํ ใหช อ งทางทจี่ ะมคี วามสขุ มมี าก
๖๗
ข้นึ ถึงตอนนค้ี วามสขุ ทางดา นวตั ถแุ ละความสุข
ทางดา นจติ ใจจะมาประสานกนั ประสานอยา งไร?
ความสุขทางวตั ถเุ ราก็ยังตอ งการอยู เรา
ไมป ฏเิ สธ แตค วามสขุ ทางวตั ถนุ นั้ ถา วางใจไมเ ปน
กอ็ ยางที่บอกเม่อื กแี้ ลว วา ตอไปความสามารถท่ี
จะมีความสุขของเราอาจจะลดนอ ยลงไป และ
เพื่อใหมีความสุขเทาเดิมเราจะตองมีวัตถุเสพ
บรโิ ภคใหมากข้นึ จนกระทงั่ ถึงขน้ั หนงึ่ เราอาจจะ
หมดความสามารถที่จะมีความสุข ซึ่งเมื่อถงึ เวลา
นน้ั ไมวาจะมวี ัตถเุ ทา ไรกไ็ มส ามารถมคี วามสุขได
ความสุขทางวัตถุนี้จะตองวางใจและ
ใชป ญญาใหถกู ถา วางใจเปน ไมวา จะมนี อย
มมี าก เรากม็ ีความสขุ ได เราจะตองฝกตวั ใหมี
ความสุขไดจ ากวัตถเุ สพทีน่ อยท่สี ุด ถาทําอยาง
นัน้ ได เราจะเกง แมแตม วี ตั ถนุ อ ยเรากย็ ังสขุ ได
๖๘
ถา มีวตั ถุมากเราจะสุขแคไหน แตคนทไี่ มฝ ก ตน
เองกจ็ ะกลายเปนวาถา จะใหเ ขามีสขุ เขาจะตอง
มวี ัตถมุ ากขึ้นๆ จนในทสี่ ุด มเี ทา ไรก็ไมม ีสขุ ก็เลย
หมดสขุ
คนที่จะทําสุขใหม มี ากขึน้ ได โดยท่ีวาแม
แตมวี ัตถุนอ ยทีส่ ุดก็มีความสขุ ไดนนั้ จะตอ งรูจัก
รักษาศักยภาพในการมคี วามสุข และสรา ง
ภมู คิ มุ กันทุกขเ อาไว อยา งทีพ่ ระพทุ ธเจาทรงสอน
ไว เคยสังเกตไหม บางทีทานใหร กั ษาศลี อโุ บสถ
หลายทานอาจจะรักษาอยกู ็ได แตทราบไหมวา
ศีลอุโบสถนั้นเรารกั ษาทําไม นน่ั แหละคอื วธิ ีการที่
จะรักษาอิสรภาพในทางความสขุ เอาไว ไมให
ปลอยความสุขไปข้ึนกบั วัตถเุ สียทัง้ หมด
เรามักจะมองวา เราจะสขุ เมื่อไดเสพทาง
ตา ทางหู ทางลน้ิ เชนไดกนิ อาหารอรอ ยๆ จึงจะมี
๖๙
ความสขุ ตอมาเรากเ็ พลินกับการหาอาหารอรอย
กิน จนกระท่งั วา ความสขุ ของเราเรม่ิ ไปอยกู ับล้ิน
ท่ีไดเสพ เลยลมื ตัวไป พระพทุ ธเจา จงึ ทรงสอนวา
ระวังนะ เธอตองรกั ษาอิสรภาพของตนเองไวบ าง
ลองดูซิวา ถาเราอยดู วยอาหารเพียงเทาที่จําเปน
ตอชวี ติ ใหร างกายของเรามีสุขภาพอยูไดแลว เรา
จะอยูอยางมคี วามสุขไดไ หม แปดวนั ใหลองดูวัน
หนงึ่ ทพี่ ระทานใหร ักษาศีล ๘ จงึ มคี วามหมายวา
เราเคยบํารงุ บาํ เรอลิน้ ปลอ ยตวั อยากกินอะไรก็
กนิ ตามชอบใจจึงจะมีความสุขมา ๖-๗ วัน พอถงึ
วนั พระก็มสี ตลิ องดูซิ กินอาหารเทา ทจี่ ําเปนตอ
รา งกาย จะไดเอาเวลาไปใชท าํ อยางอื่น ลองดูวา
แคนี้เราอยไู ดไหม จะมคี วามสขุ ไดไ หม
เราบอกวา ฉนั จะมีความสุขไดจ ะตองมี
ฟกู มหี มอนทีน่ อนสบาย พระทานก็แนะนาํ วาใน
๗๐
๘ วันลองดสู ักวันซิ ลองนอนโดยไมต องมฟี ูก เอา
แคนอนบนเส่ือบนกระดานดูซิจะมคี วามสขุ ไดไหม
พอลองพอฝกไปนานๆ เขา เราจะรสู กึ วา นอนพ้ืน
นอนกระดานกส็ บายอยไู ดเ หมือนกัน และจะรสู ึก
เปน อสิ ระมากขน้ึ ดว ย แถมยังดตี อสุขภาพอกี
คนท่คี วามสุขข้นึ ตอวตั ถุน้ี จะไปไหนๆ ก็
ยาก บางคนจะไปในท่ีทไี่ มม สี ่งิ อํานวยความ
สะดวกสบาย ก็ไปไมไ ด เทา กับสูญเสยี อสิ รภาพ
และเกิดมปี ญหา เนอื่ งจากเมอื่ ไมมีสง่ิ เสพเหลา
น้ันกจ็ ะทรุ นทรุ าย แตค นท่ีฝกตวั เองไวดจี ะบอกวา
ถา มวี ตั ถุภายนอก มีส่งิ เสพ มที ี่นอนฟกู หมอน ก็
สบาย มีก็ดี แตไ มมีก็ไดน ะ ถา เราฝก ไว ตอไปจะ
เปนอยางนีค้ ือ เราจะบอกวา “มกี ด็ ี ไมมกี ็ได”
ขอใหท ุกทานลองถามตัวเองดู เราเปน
อยา งนไี้ หม เราเปน คนชนดิ ทพี่ ดู วา “มกี ด็ ี ไมม กี ไ็ ด”
๗๑
หรือไม ถา เราพูดไดว า “มกี ็ดี ไมม ีก็ได” กแ็ สดงวา
เรายงั เปนคนท่ีมีอสิ รภาพอยู แตบางคนไมเปน
อยา งนนั้ ตอ งมจี งึ จะอยูได ถา ไมมีอยูไมได ถา ไม
มีแลวทุรนทรุ ายหมดความสุข ถา อยา งนี้กแ็ สดง
วาชีวิตหมดอสิ รภาพ เพราะชวี ติ ตองไปขึน้ กบั
วตั ถุภายนอกหมดแลว
เรอื่ งน้ีสําคญั พระพทุ ธเจาตรัสสอนใหฝก
รกั ษาศีล ๘ แปดวนั ครง้ั เดียว ทําไมจะทําไมได
ควรจะลองดู เราจะรกั ษาอสิ รภาพของเราไวไ ด
เราจะอยไู ดโ ดยมีความสุข ท่ีไมตอ งคอยบาํ เรอ
ดวยการกนิ การนอน และการดฟู งส่ิงบนั เทิงตา งๆ
เวนสกั วันในแปดวัน ดไี หม แลวเรากเ็ อาเวลาที่
จะบํารุงบําเรอตัวเองนั้นไปสรางสรรคพัฒนา
ชีวติ ดวยการทําส่งิ ทเ่ี ปน ประโยชน หรอื ทาํ
กจิ การอะไรทเี่ กอ้ื กลู เพ่อื นมนษุ ย ประโยชนก ็
๗๒
ไดดวย ชวี ติ กเ็ ปนอสิ ระดวย ความสขุ กม็ ไี ด
งา ยขนึ้ ดว ย นี่แหละเปนวิธกี ารของพระพทุ ธเจา
โลกปจจุบนั มคี วามโนม เอียง ในทางชกั
จงู และลอเราเราใหเอาชีวิตไปฝากไวกบั วตั ถเุ สพ
บรโิ ภค ถาเรามีความรเู ทาทนั เราก็จะฝก ตวั เพื่อ
รักษาอิสรภาพของชีวติ จิตใจไวใ หได ความสขุ
ของเราก็จะขน้ึ กบั วตั ถนุ อ ย และเรากจ็ ะไดค วาม
สขุ จากวตั ถเุ ทา ทม่ี นี นั้ เตม็ ที่ พรอ มทง้ั มชี วี ติ ทดี่ งี าม
ไมลุมหลงมัวเมาผิดพลาด พรอ มท้ังจะพฒั นาให
เกดิ มคี วามสขุ แบบอน่ื ทลี่ กึ ทส่ี งู ขนึ้ ไปเพม่ิ ขน้ึ อกี ดว ย
ตอนแรกน้กี ร็ ักษาฐานไวก อ น คือฝก ตน
ใหอยูใ นขัน้ ท่พี ดู ไดวา “มกี ด็ ี ไมม ีกไ็ ด” เมอ่ื ฝก ไปๆ
หลายคนจะเปน อยา งนจ้ี ริงๆ คือไมอยากนอนฟูก
และมองเหน็ วา นอนเส่อื นอนไมกระดานสบายดี
กวา และเปนผลดีตอ สุขภาพดว ย ถงึ ตอนน้หี ลาย
๗๓
คนบอกวา “มกี ็ได ไมมีกด็ ”ี หมายความวา ฟกู
หมอนเหลานั้นนะ มีกไ็ ด แตถ าไมมจี ะยิ่งดี ฉนั จะ
เบาสบาย
ถา รูผ ดิ พลาด ปฏบิ ตั ิไมถ กู
จะสนั โดษหรือไมสันโดษ ก็ไมม ีทางพฒั นา
พอฝก แลว ชวี ิตเราเองดขี นึ้ โลงเบาขน้ึ
เราก็เอาเวลาท่ีจะบํารุงบําเรอตาหูลิ้นกายไปใช
ประโยชนอ ยางอ่นื ตอนนจ้ี ะตรงกบั คําท่วี า ความ
สขุ อยูท่คี วามพอใจ เมื่อเรามคี วามพอใจ แมม ี
วัตถสุ งิ่ เสพไมต อ งมาก เรากม็ คี วามสุข การมี
ความสุขจากวัตถุสิ่งเสพบําเรอไดงายโดยไมตอง
มมี ากนี้ ทา นเรียกวา มคี วามสนั โดษ สนั โดษคอื
ความพอใจ ความสุขอยทู ค่ี วามพอใจ แมจ ะมี
วตั ถไุ มต องมาก กม็ ีความพอใจและมคี วามสขุ ได
๗๔
ทีนี้พอมีความสุขจากวัตถุไดโดยไมตองมี
มากแลว จะทาํ อยา งไร สนั โดษทาํ ใหเ รามคี วามสขุ
แตไมไดหมายความวาสันโดษเพื่อความสุขนะ
อยา เขาใจผดิ หลายคนเขา ใจวา สนั โดษเพือ่ จะได
มีความสขุ เมอ่ื เราเปนคนมีความพอใจงา ย ถึงจะ
มวี ตั ถไุ มม ากกม็ คี วามพอใจ เราก็มีความสุข แต
ถา สันโดษไมเ ปน จะกลายเปน วา ไมอ ยากไดไม
อยากดไี มอ ยากมอี ะไร ไมอ ยากมวี ัตถมุ าก ไม
อยากมเี งินมีทองรํา่ รวย แลว ก็เลยไปวาไมอยาก
ทํางานทาํ การ กลายเปน เกยี จครา นไป ถา อยา งน้ี
กไ็ มใชการปฏบิ ัติธรรมแลว แตกลายเปน ความสบั
สนปนเป ไมรอู ะไรเปนอะไร เพราะฉะนน้ั จะตอ ง
ใหช ัด ไมใ ชแควา สนั โดษคืออะไรเทานัน้ ตองชดั
ดวยวาสนั โดษในอะไร และสันโดษเพ่ืออะไร
๗๕
สนั โดษ คอื ความพอใจในวตั ถเุ สพบรโิ ภค
เทาทม่ี ีท่ไี ดเปน ของตน ไมโ ลภอยากไดของคนอ่นื
หรอื เกนิ เลยจากความชอบธรรม สนั โดษคืออะไร
ท้ิงไวเ ทาน้ีกอ น
ทนี ้ี สนั โดษเพ่อื อะไร สันโดษไมใ ชเพ่อื
ความสขุ ความสุขเปน ของพวงมากับสันโดษอยู
ในตวั แลว หรือวาสนั โดษพว งเอาความสุขมาดว ย
อยแู ลว จึงไมต องสันโดษเพ่อื ความสขุ อกี แตกอ น
จะตอบวา สันโดษเพ่อื อะไร ขอทวนวาสนั โดษใน
อะไร เม่อื กีน้ ้ไี ดพูดแลว วา สันโดษ คือพอใจใน
วตั ถเุ สพบรโิ ภค ตรงน้ีจาํ กัดใหด ี ไมใชใ หส นั โดษ
ในความดใี นการทาํ หนาทีก่ ารงาน ในการบาํ เพญ็
ประโยชน เปนตน ตรงนส้ี าํ คญั นขี่ อหนง่ึ ละ เด๋ยี ว
จะพดู ตอ ไป
๗๖
ทีน้ี สนั โดษอยา งไร คนท่ไี มสนั โดษ ไม
พอใจในวตั ถุเสพบริโภค เทาทม่ี ที ไี่ ดเปน ของตน
โดยชอบธรรม จะเปนอยา งไรบาง
๑. เขาไมม คี วามสขุ กบั สง่ิ ทมี่ ที ไ่ี ด เพราะ
ไมรูจกั พอ และไมพอใจ ความสขุ ของเขาไปอยกู ับ
ส่งิ ทย่ี ังไมมียงั ไมไ ด (=ยังไมมีความสุข)
๒. เขามัววุนวายกับการหาสิ่งเสพมา
บาํ รุงบาํ เรอความสขุ เวลา แรงงาน และความคิด
ท่จี ะใชกบั การเสพบรโิ ภคบาํ รุงบําเรอตัวเองน้นั ก็
ยังไมพอ (=ไมม เี วลา แรงงานและความคดิ ทจ่ี ะ
เอามาทาํ หนา ทกี่ ารงาน สรางสรรคค วามดี หรือ
แมแ ตจ ะดูแลครอบครัว)
๓. เวลาทาํ การทํางาน ใจของเขาก็วา วุน
กระวนกระวายฟุงซาน ไมเปน อนั ตั้งใจทํา และไม
มีสมาธิ เพราะคิดถึงแตเ ร่อื งทจ่ี ะไปเสพไปบริโภค
๗๗
บํารุงบาํ เรอความสุขของตน และรอคอยเวลานัน้
(=ไมตง้ั ใจทํางาน และทาํ งานอยางไมมีความสุข)
๔. เมื่อเขาตองการเสพบริโภคบําเรอ
ความสุขมากข้นึ ๆ เวลาทจ่ี ะหาความสขุ ไมพอ ก็
ตองเบียดบงั เวลาทาํ งานไป เงนิ ทองทจ่ี ะจา ยซือ้
ส่งิ เสพและบริการ ไดไ มทนั ไดไ มพ อ ก็ตอ งกูหนี้
ยืมสนิ หรือทุจรติ
เมือ่ เปน อยา งน้ี ชวี ิตคนกเ็ สอื่ ม สังคมก็
โทรม ประเทศชาติจะพฒั นาแสนยาก หรอื วา ไมมี
ทางพฒั นาไดสาํ เร็จ ในสังคมของคนท่ีไมสนั โดษ
น้ี ท้ังราษฎรและประเทศชาติมวั แตกลมุ กังวลกับ
เรื่องหน้ที ีท่ ว มตัว เลยไมเ ปน อนั ทาํ อะไร
ถึงตอนนี้ก็หันกลับมาตอบคําถามวา
“สนั โดษเพอ่ื อะไร?” คาํ ตอบหาไดจากขางบน
โดยเฉพาะขอ ๒. คนไมสนั โดษ ตอ งใชเ วลา แรง
๗๘
งาน และความครนุ คดิ หมดไปกบั การวุนวายหา
ส่ิงเสพบาํ รงุ บําเรอความสขุ ของตน สวนคนท่ี
สันโดษ ซ่ึงตรงกนั ขาม ก็มเี วลา แรงงาน และ
ความคิดเหลืออยู ทนี ี้ จะเอาเวลา แรงงาน และ
ความคิดน้นั ไปทาํ อะไร ถา สนั โดษเพือ่ ความสขุ ก็
สบายแลว นอนเลย ก็ขเี้ กียจ เวลา แรงงาน และ
ความคดิ ท่ีออมไวไ ดกส็ ญู เสียเปลา อยางนีช้ ีวิตก็
เสื่อม สังคมก็โทรม เชน เดยี วกนั เพราะฉะนนั้
ตองตอบใหไดว า “สันโดษเพ่อื อะไร?”
ขอตอบเสยี เลยวา สนั โดษเพ่อื จะได
ออมเวลา ออมแรงงาน ออมความคิดเอาไว
แลว เอาเวลา แรงงาน และความคิดนนั้ ไปใช
ในการทําหนาท่ีการงาน ทําความดี ทาํ การ
สรางสรรคส ่งิ ท่เี ปนประโยชน พัฒนาตน และ
พัฒนาสังคม
๗๙
ดวยเหตุนี้แหละเมื่อก้ีน้ีจึงไดถามวา
สนั โดษในอะไร และทต่ี อบวาสันโดษในวตั ถุเสพ
บริโภคทจี่ ะบาํ รุงบําเรอตัวเอง เปน การจํากดั
ขอบเขตของสันโดษไว กเ็ พื่อจะไดเ ปด กวางตอน
เอาเวลา แรงงาน และความคดิ ไปใช คือเอาไปใช
ในเรอ่ื งทไี่ มต อ งสันโดษ หมายความวา เอาเวลา
แรงงาน และความคิดนั้นไปใชท ํางานการสรา ง
สรรคค วามดี บาํ เพ็ญประโยชนต อไป
พอสนั โดษกบั ไมส นั โดษมาประสานเสรมิ กนั
จะมีแตการพัฒนา ท่ใี ครๆ ไมอ าจกีดก้นั
อยากจะยา้ํ นิดหนึ่งวา คนทีส่ ุขไดง า ย มี
วัตถนุ ิดหนอยกส็ ุขนัน้ ดแี ลว ไดเปรียบแลว ทีนี้พอ
เราสันโดษแลว ผลทจ่ี ริงของมนั จะตามมา ผลท่ี
จริงคอื อะไร เราเคยใชเวลาแรงงานและความคิด
๘๐
วันหนึ่งๆ วุน วายหมดไปกบั การหาสง่ิ เสพหา
ความสุข แตเ มอ่ื สนั โดษแลว คนที่สนั โดษนนั้ ก็
จะเปนคนที่ไดเ ปรียบ คอื เปนคนทีม่ ีความสุข
ทางวตั ถุไดง า ย แลว ยังแถมมเี วลาแรงงาน
และความคดิ มากมาย ท่ีจะเอามาทุม ใหก บั
การทาํ งานไดเตม็ ที่
ถึงตอนนี้พระพุทธเจาก็ตรัสสําทับตอไป
อีกช้นั หนึง่ วาไมใ หสนั โดษ เรอื่ งน้ีจะตอ งสงั เกต
ใหด ี อยา สับสน พระพทุ ธเจา ตรัสไวค ูกัน ตองจาํ
ใหค รบวา
๑. ใหส นั โดษในส่งิ เสพ คอื เปน คนมี
ความสขุ งา ยดวยวัตถุนอ ย และ
๒. ใหไมส ันโดษในกศุ ลธรรม คอื ใหไ ม
อ่มิ ไมพอในการทําสิง่ ทีด่ ีงาม
๘๑
อะไรที่เปนความดีงามเปนประโยชนแลว
ทา นสอนใหไมยอมอมิ่ ไมใ หย อมพอ พระพทุ ธเจา
ตรัสวา พระองคน่แี หละเปนตัวอยางของผไู ม
สนั โดษ พระพุทธเจา ตรัสวา ท่ีพระองคต รัสรบู รรลุ
โพธิญาณไดก ็เพราะพระองคไมส ันโดษ แตอยา
พดู ทงิ้ ดวนไว ตอ งตอใหเ ต็มดวย คอื ตอ งพูดตอไป
วาพระองคต รสั รูเ พราะไมส ันโดษในกุศลธรรม
เมอื่ นึกถงึ งานทจ่ี ะทาํ นึกถึงกจิ การท่ี
ดงี าม นึกถงึ การชวยเหลือเพอ่ื นมนุษย นกึ ถึง
การพัฒนาชีวิตของตนตอไปท้ังพฤติกรรมจิต
ใจและปญ ญาแลว เราเกดิ ความพอใจทจ่ี ะ
ทาํ อยากทําใหม าก และใหดยี ิง่ ขน้ึ ไปๆ กวา
ทไ่ี ดทําอยู อยา งนเ้ี รียกวา เราไมส ันโดษใน
กศุ ลธรรม ทาํ ไดผ ลแคน้ยี งั ไมพอ ทําใหดียิ่งขึน้
ตอ งปรับปรุงยิ่งขน้ึ ไป คราวนแี้ หละงานกจ็ ะไดผ ล
๘๒
ดยี ่งิ ขนึ้ ๆ ฉะนนั้ สันโดษ และไมสนั โดษ จึงสง
เสรมิ ซงึ่ กนั และกนั พระพทุ ธเจา ตรสั ไวท ง้ั สองอยา ง
อยา จําอยางเดียว
ถาจาํ สันโดษดวนๆ ลอยๆ กผ็ ิดเลย อาจ
จะไดผ ลขน้ั หน่ึงคอื สขุ ไดง า ย ดวยวตั ถุนอ ยๆ แต
กลายเปน คนข้ีเกยี จ เสยี ไปเลย คนสนั โดษแบบนี้
จะพัฒนาประเทศชาติไมไ ด
ในสดุ ทางตรงขาม ถาไมสนั โดษในวัตถุ
เสพก็กลายเปนวาจะตองหมดเวลาไปกับกจิ กรรม
สนองความเห็นแกตัวและการเบียดเบียนแยงชิง
กัน ก็เดอื ดรอนอีก ซ่งึ ก็ไมพัฒนาหรอื พัฒนาแบบ
สรา งปญ หา
จึงเปน จดุ สําคัญทต่ี องจาํ วา ใหสนั โดษ
ในสิ่งเสพ และไมสนั โดษในกุศลธรรม แลว
ใหส นั โดษกบั ไมสนั โดษมาหนุนกนั คอื สันโดษ
๘๓
ในวตั ถุ มีความสุขงายดวยวตั ถุนอย แลวสงวน
เวลา แรงงานและความคดิ เอาไว และเอาเวลา
เร่ียวแรงและความคิดน้ันไปทุมใหกับการทํางาน
สรางสรรคสิ่งดงี าม พฒั นาตวั เอง และบาํ เพญ็
ประโยชนส ุขชวยเหลือเพือ่ นมนุษย เม่ือทาํ งานไป
กม็ ีความสุขในทางดานจิตใจยง่ิ ขึ้น เปนอันวา ได
สขุ ท้งั สองดา น สขุ ทางกายกไ็ ด สขุ ทางใจกไ็ ด
งานกไ็ ดผ ล มแี ตความดงี าม ชีวิตตวั เองก็งอกงาม
มีความสุข สงั คมกร็ มเย็นกาวหนา โลกนี้ก็เจรญิ
อยา งถูกตอง
ทพ่ี ดู มานีเ้ ปนหลักการงายๆ เปนเร่อื งที่
สอดคลองกับกฎธรรมชาติ แตคนมกั จะมองไม
ออก หลายคนไปมองวา ถาคนไทยสันโดษบาน
เมอื งจะไมพัฒนา ประเทศชาติกจ็ ะแย ทพ่ี ดู อยา ง
น้เี พราะจบั ไมถ กู กเ็ ลยหาทางพัฒนาประชากร
๘๔
ไทย ไมไดผลสกั ที คอื มองเหน็ แคส ดุ โตง ๒ ขาง
ที่ผิดทงั้ คู เมือ่ รังเกียจสันโดษในวัตถวุ า จะขี้เกียจ
ก็โดดไปตรงขามใหไมสันโดษในวัตถุน่ันแหละ
มองไดแ คน ้นั
เม่อื คนไมสันโดษในวตั ถุ มงุ จะเอาแต
วัตถุใหมาก ไมรจู ักพอ ความสขุ ในวัตถุตัวเองก็ไม
ไดแ ลว ยงั แยง ชิงกันกบั คนอน่ื สงั คมวุนวาย แลว ก็
อยากไดเ งนิ มาก แตไมอ ยากทํางาน คดิ แตจ ะให
ไดเงินทางลดั ทํางานดว ยความจาํ ใจ มองเห็นการ
ทํางานเปน เรอ่ื งทตี่ องทกุ ขทน เมอื่ เปน อยา งนีจ้ ะ
พัฒนาประเทศชาติไดอ ยา งไร สังคมจะมแี ตก าร
ทจุ ริตและการหาทางลัดตา งๆ เต็มไปดว ยปญ หา
ในการพฒั นา เพราะพัฒนาผดิ หลกั และเสยี ฐาน
มองอะไรตืน้ เกนิ ไป ถาขนื พัฒนาอยางน้ี อีก ๕๐๐
๘๕
ป เมอื งไทยกไ็ มมีทางฟน ตวั ยงิ่ พัฒนาไป ชาติ
ไทยจะยิง่ หมดตัว
มัวไปเขาใจวาสันโดษแลวประเทศชาติ
จะไมพ ัฒนา ตองใหไมส ันโดษในสง่ิ เสพ นกึ เอาวา
ฝรง่ั เจรญิ มาอยา งนน้ั ไมไ ดศ กึ ษาเขาใหช ดั ไมร ตู วั
วา จบั จุดผดิ แทนท่ีจะบอกวา ใหส นั โดษในวัตถุสิ่ง
เสพสาํ หรับตวั เอง และมคี วามสุขงาย แลว ก็ตอ
ดวยไมสันโดษในการทํางานสรางสรรคความดี
ถาจับไดอยางน้ีหลักการท่ีถูกตองก็จะหนุนซึ่งกัน
และกนั ประเทศชาตกิ จ็ ะพฒั นายงิ่ กวา ทคี่ าดหมาย
ขอสรปุ วา ความสันโดษในวตั ถุเสพ
บรโิ ภค ที่ประสานกับความไมสนั โดษในการ
สรา งสรรคส ่ิงดีงาม จะมีผลดที ่สี ําคญั คือ
๘๖
๑. คนทส่ี ันโดษในวัตถเุ สพ บรรลเุ ปา
หมายของการมคี วามสุขทางวตั ถไุ ดเ สมอ เพราะ
สุขงา ยดวยวตั ถุนอยเทาทีม่ เี ทาทีไ่ ด
๒. เขาไมตองเผาผลาญเวลา แรงงาน
และความครุนคิดใหหมดไปกับการทะยานหา
ความสุขจากการเสพ ก็ออมเวลา แรงงาน และ
ความคดิ น้ันไว เอามาทุม เทใชใ นการทาํ หนา ท่ี
การงาน พัฒนาชวี ติ ของตน และสรา งสรรคส ิง่ ทีด่ ี
งาม ไดอยา งเต็มที่
๓. ใจอยกู บั งาน ไมฟ งุ ซานวนุ วาย ต้งั ใจ
ทํางาน มีสมาธิ และมีความสุขในการทาํ งาน
ทะลุสมมติ ถงึ ตวั ธรรมชาติ สขุ จากวัตถเุ สพ
ก็มาประสานสขุ จากงานสรา งสรรค แมไมร าํ่
รองหา
๘๗
ชีวติ กด็ ีงาม สงั คมกพ็ ฒั นา
อาตมาไดพ ูดมามาก ใกลจะ ๓ ชัว่ โมง
แลว ก็เปน ขอ คดิ ตางๆ ที่นํามาฝากไวแ กท ป่ี ระชมุ
วา ถา เราดําเนนิ ชวี ติ เปนคือดําเนินชีวิตถูกตอง
แลว อะไรตา งๆ กจ็ ะเปนเหตุปจ จัยสงผลกันไปเอง
ตามธรรมชาติ เราเองกม็ ชี ีวติ ท่ดี งี าม มคี วามสุข
มากข้ึน และชองทางทจี่ ะมคี วามสขุ ก็มากขึ้น อกี
ทั้งความสุขนั้นก็สอดคลองเขากันไดกับความดี
งามดวย ไมใชค วามสุขทแ่ี ฝงความชว่ั รา ย หรอื
ความสุขบนความทกุ ข บนความเดอื ดรอนของผู
อน่ื แตเ ปน ความสุขที่สง เสรมิ ความดีงามและเปน
ประโยชนแ กส งั คม ชีวิตตนเองเปน สุขกช็ ว ยให
สังคมเปนสุขมากย่ิงขนึ้ และการทาํ งานก็กลาย
เปน เคร่อื งนาํ ความสขุ มาใหม ากยิง่ ขนึ้
๘๘
ในทางตรงขาม ถาจับหลักในการทาํ งาน
ไมถกู พอคนเริ่มแปลกแยกจากธรรมชาติ ความ
หมายของงานก็เร่มิ วปิ ลาส การทาํ งานกก็ ลาย
เปน แบบจาํ ใจทาํ ทเี่ ปนคตกิ ารทํางานของคนยคุ
ปจ จบุ ัน ในอารยธรรมแหง การสมมตอิ ยา งที่วา
เมอ่ื ก้ี ทีผ่ คู นหลงไปวาตัวงานเปน เหตุ การไดเงนิ
เปนผล ซ่ึงเปน การติดในโลกสมมติ ทไี่ มตรงตาม
กฎธรรมชาติ เพราะฉะนั้นงานในความหมายของ
คนสวนมากเหลา น้ีจงึ เปนการฝนใจทํา หรือทํา
ดวยความจาํ ใจ แลว กต็ อ งหันไปเนน เร่อื งเวลาพัก
ผอ นหยอนใจ เพราะเวลาทาํ งานเปน เวลาแหง
ความทกุ ขจ งึ ตองไปหาความสขุ ภายหลงั แต
ความสุขในการพกั ผอนหยอนใจ ๖-๗ วนั จงึ จะมี
สกั ครง้ั การทํางาน ๕ วนั กลายเปนเวลาของ
ความทุกขไป หมายความวาใน ๗ วนั เปน ทุกข ๕
๘๙
วัน สขุ ๒ วนั และสุข ๒ วันก็ยังไมแ นเสยี ดวย
บางทที าํ งานทงั้ ปตองหาเวลาชดเชยเสยี ๑๐ วัน
โดยใช ๑๐ วันนัน้ ในการหาความสขุ ดวยการเสพ
วตั ถุไปกินเหลา เมายา
แ ม แ ต ค น ที่ ไ ป ป ฏิ บั ติ เ จ ริ ญ ส ม า ธิ ทํา
กรรมฐานก็เหมือนกัน อยา นึกวา พน บางคน
ทาํ งานไมม ีความสขุ นานๆ กไ็ ปเขา กรรมฐานทํา
สมาธิหาความสขุ ทีหน่งึ กลายเปนการชดเชย แต
กย็ ังดีในแงหนงึ่ ทว่ี า ทาํ งานผดิ พลาดไปกลายเปน
ทกุ ขแ ลวก็ยังมีทางออกทจี่ ะชดเชย จดุ ที่พลาดอยู
ทต่ี วั การทํางาน ถาทาํ งานถูกตอง มีความสขุ ใน
การทํางานแลว วนั หยุดกไ็ มใ ชเปน เวลาชดเชย
แตเ ปนเวลาเสริมสุข คือทาํ ใหเ ขาไดเปลี่ยน
บรรยากาศ มีเวลาทาํ กจิ สว นตวั สลับบาง พรอ ม
๙๐
ท้ังไดมีโอกาสพัฒนาชีวิตในดานอ่ืนท่ีจะเสริมชีวติ
ใหส มบรู ณ
ง า น คื อ โ อ ก า ส ท่ี ดี ท่ี สุ ด ใ น ก า ร ฝ ก ฝ น
พฒั นาตนเอง และเปน โอกาสของการสรางสรรค
ถาปฏิบัตถิ กู ตอง เราก็จะไดค วามสุขท้ัง ๒ ดา น
ท้งั สขุ จากการทํางาน และสุขจากการพกั ผอน
เม่ือพระพุทธเจาทํางานพระองคมีความ
สุขตลอดเวลา ไมม ที ุกขส กั นิด การทีเ่ สด็จไปชวย
เหลือสงั่ สอนผูคนนัน้ พระองคก ท็ รงมคี วามสุข
พอเหนื่อยพระองคทรงพักผอนดวยการเขาฌาน
การเขา ฌานน้ันกม็ คี วามสุขอกี เพราะฉะนัน้ พระ
องคจ ึงสขุ ตลอดเวลา ขอใหใ ชวธิ ีทํางานแบบนี้
แลวงานการของเราก็จะเปนสัมมาอาชีวะหรือ
สมั มาชพี จรงิ ๆ
๙๑
อาชีวะทีถ่ กู ตอง หรือสัมมาชีพ กค็ ือ การ
ทํามาหาเล้ยี งชพี ของเรานั้น นอกจากไมเบียด
เบยี นกอความเดือดรอ นแกสงั คมแลว ยงั เปนเรอื่ ง
สรา งสรรค หรอื ชวยแกปญ หาของสังคม และเปน
โอกาสในการพัฒนาชวี ติ ของตัวเราเองดว ย
งานท่ีดีก็ยิ่งเปนโอกาสในการพัฒนาชีวิต
ของตวั เองมากข้นึ อยางทา นที่ทํางานในวงการ
แพทยและพยาบาลนี้ เม่อื เทยี บกบั งานการอ่นื จะ
เหน็ วาเปนผทู ไ่ี ดเปรยี บ เพราะมโี อกาสในการ
พัฒนาชวี ิตมาก และไดทาํ ในส่งิ ทมี่ ีคณุ คา นา
อนุโมทนาเปนอยางยงิ่ จงึ เปนเรื่องที่นา ปติยนิ ดี
ขอใหทานมคี วามอมิ่ ใจในงานท่ีทํา ซง่ึ ไดชวย
เหลือชีวิตของเพื่อนมนุษยและพัฒนาตนเองไป
ดวยพรอมกัน
๙๒
เพราะฉะนั้นเราจะตองรูทันโลกมนุษยที่
ไดส รางอารยธรรมขนึ้ มา เปน เรอ่ื งของสมมติ เรา
ปรุงแตง โลกสมมตขิ ึ้นมา ใหมรี ะบบสมมติท่วี า
ทาํ งานทําการแลวมีเงนิ เปนผลตอบแทน จน
กระทั่งตัวมนุษยเองก็มาติดหลงอยูกับสมมติท่ีตัว
สรา งข้ึนน้ี คนใดไมหลงติดในสง่ิ เหลาน้ี จะหา
ความสขุ ไดไ มยาก
คนทส่ี ุขแทจ ริง คอื คนท่ียังเขาถงึ
ธรรมชาติ และโยงธรรมชาตกิ บั สมมตขิ อง
มนษุ ยใ หถ งึ กนั และประสานเสรมิ กนั ได
ตราบใดที่เรายังสามารถเขาใจถึงความ
จรงิ ของธรรมชาติ และมองทะลสุ มมติได ชวี ติ ก็
จะไมขาดความสขุ
๙๓
ยงิ่ ในโลกปจจุบนั น้ที ี่เจริญมาก เตม็ ไป
ดวยสงิ่ สมมติ มอี ารยธรรมปรุงแตง มาก เราจะ
ตอ งมีปญ ญารูเทา ทันความจรงิ อยูเ สมอ
คนทปี่ ระสบความสาํ เรจ็ แทจ ริง คือคนที่
ไมห าง ไมข าดลอยไปจากความเปน จริงของธรรม
ชาติ คนผูใดสามารถเขาถึงความจริงของธรรม
ชาตไิ ด ชวี ิตของเขาไมแปลกแยกจากธรรมชาติ
เขารูเทาทันสมมติและทําใหมันมาเสริมความสุข
ของตนเองได แตถ าเราไมรูเ ทา ทนั ความจริง และ
หลงสมมตไิ ป ชีวิตจะยิง่ ลอยหางจากความสขุ
ออกไป มีแตความทุกขท ี่ซบั ซอ นเพมิ่ ขนึ้
ธรรมกค็ อื ความจรงิ ของธรรมชาติ คน
ที่รูธรรมก็ตอ งรจู กั ความจรงิ ท้ังสองขน้ั คือความ
จริงแทของธรรมชาติ กบั ความจรงิ ตามสมมติ
๙๔
การสมมติน้ันไมใ ชเ ร่อื งเลอื่ นลอย มนุษย
ผมู ีปญญาทําการสมมตขิ ้นึ มาดว ยเหตุผล เพื่อ
การสรางสรรคอยางใดอยางหนึ่งในโลกมนุษย
โดยตั้งอยูบนฐานของความจริงของธรรมชาติ
เหมือนอยางเร่ืองท่ีวาเราสมมติใหเงินเดือนคนทาํ
สวน กเ็ พื่อใหค นทําสวนตง้ั ใจทําเหตตุ ามธรรม
ชาติ คือปลูกและบาํ รุงตน ไมใหเจริญงอกงาม ถา
คนหางจากความจรงิ ของธรรมชาติ เอาแคท ําสวน
ไดเงนิ คนนน้ั จะไมมีความสขุ จากการทาํ งาน และ
สงั คมก็จะไมไดผลงานทดี่ ดี ว ย แตถาเมือ่ ใดคนทํา
สวนทาํ ดว ยความรูเ ทา ทนั สมมติ มองทะลุไปถงึ
ความจรงิ ของธรรมชาติ แลว ตอ งการผลตามกฎ
ธรรมชาติ ใหตนไมเจรญิ งอกงาม โดยไดผลตาม
สมมติ คอื ไดเงินเดอื นมาหนนุ ดว ยอกี ขนั้ หนึ่ง เขา
กจ็ ะไดค วามสขุ เต็มสองข้ัน