Understanding
the Principles of
Kumon Instruction:
English as a Foreign Language
IPG-II-FL-03108
Typesetting and Book Design by Kumon Asia & Oceania Pte Ltd
Printed in Thailand First printing July 2020
© 2019 Kumon Institute of Education Co., Ltd.
First edition: October 2013 Revised edition: January 2020
ขอขอบคุณ
เอกสารฉบับนี้เกิดขึ้นได้จากการที่พนักงานคุมองซึ่งดูแลเรื่องการสอน และการผลิตแบบฝึกหัดจากทั่วโลกได้ให้ความคิดเห็นอย่างละเอียด เราขอขอบคุณพนักงานคุมองใน Kumon North America, Kumon South America, Kumon Asia & Oceania, Kumon China, Kumon Europe & Africa และ Kumon Institute of Education
คําอธิบยเกี่ยวกับกรพิมพ์หนังสือ Understanding the Principles of Kumon Instruction: English as a Foreign Language
ปัจจุบันหลักสูตรวิชาภาษาอังกฤษ EFL ของคุมองมีอยู่ในทุกภูมิภาคท่ีมีคุมอง และนักเรียน ทุกคนก็ได้ใช้แบบฝึกหัดที่มีมาตรฐานเดียวกัน ในปี 2014 หนังสือ Understanding the Principles of Kumon Instruction: Foreign Language Programs (UPI: FL) ได้ถูกจัดทําาขึ้นสองฉบับ ฉบบัหนง่ึสาําหรบัโปรแกรมภาษาองักฤษสาําหรบัคนญป่ีนุ่ และอกีฉบบัสาําหรบัโปรแกรมภาษาองักฤษ สําาหรับคนต่างชาติที่ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลักหรือ EFL แม้ว่าแบบฝึกหัดจากแต่ละ โปรแกรมจะมีความแตกต่างกัน แต่เน่ืองจากเป็นวิชาเดียวกัน ดังน้ัน UPI ทั้งสองฉบับจึงมีความ คลา้ ยกนั ไมม่ ากกน็ อ้ ย อกี ทง้ั ดว้ ยหลกั การสอนของคมุ องในแตล่ ะวชิ ามสี าระสาํา คญั เหมอื นกนั ดงั นน้ั การจัดเรียงเน้ือหาต่างๆ จึงต้องการให้เป็นรูปแบบเดียวกันกับ UPI: Maths áÅÐ UPI: Native Language
ในการปรับปรุงหนังสือ UPI: EFL ครั้งนี้ หลักการที่ใช้ในทุกวิชาจะยังคงไม่เปลี่ยนแปลง อย่างไรก็ตาม เนื่องจากมีีการใช้โปรแกรม EFL มากขึ้นในหลายประเทศ รูปแบบการสอนเฉพาะ สาํา หรบั วชิ าองั กฤษ EFL ไดถ้ กู นาํา มาขยายความมากขน้ึ ระหวา่ งการปรบั ปรงุ ครง้ั น้ี เพอ่ื ให้ Instructors สามารถนําาไปใช้ได้ง่ายขึ้น
ในการนําาเข้าของ UPI แต่ละวิชาจะมีการพูดถึงหลักการสอนที่สอดคล้องกับวิชานั้นๆ เช่น การพจิ ารณาจดุ เรม่ิ ตน้ และกาํา หนดเปา้ หมายการเรยี น การปรบั ใชเ้ วลามาตรฐานในการทาํา แบบฝกึ หดั (SCT) สาํา หรบั นกั เรยี นเปน็ รายบคุ คล การประเมนิ การสอน ทที่ าํา ใหเ้ กดิ การเรยี นท่ี “พอเหมาะพอด”ี เพอ่ื ทเ่ี ราจะสามารถใชเ้ วลามาตรฐานในการทาํา แบบฝกึ หดั กบั นกั เรยี นแตล่ ะคน และสามารถเขา้ ใจ เกย่ีวกบัการคน้หาศกัยภาพของนกัเรยีนไดม้ากขน้ึ จงึมบีทความเกย่ีวกบัการประเมนิสภาพการเรยีน ของนักเรียนได้อย่างเหมาะสมเพ่ิมเข้ามา (อ้างอิงจากแผนของหน้าถัดไป)
Understanding the Principles of Kumon Instruction: English as a Foreign Language l i
เม่ือทําาการปรับปรุง UPI: EFL พวกเราท่ี Kumon Toru Research Institute of Education (KTRIE)ไดน้ ําาฉบับปัจจุบันมาปรับและเพิ่มเติมคําาอธิบายเกี่ยวกับแนวคิดของเวลาSCTทักษะการ ทําางาน และเป้าหมายการเรียน จากมุมมองเฉพาะด้านการสอนของวิชาภาษาอังกฤษ EFL เพื่อ ทาําใหผ้อู้า่นเขา้ใจไดม้ากขน้ึ นอกจากนเ้ีรายงัไดม้กีารแยกแยะคาําอยา่ง“วธิกีารเรยีนทเ่ีหมาะสม” “ขั้นตอนการเรียน” และ “ทัศนคติในการเรียน” ออกจากกัน และปรับให้บางเร่ืองที่เก่ียวข้องกับ หลักการสอนเข้าใจง่ายขึ้นด้วย
ศูนย์คุมองแต่ละศูนย์มีการจัดการที่หลากหลายขึ้นอยู่กับว่าศูนย์น้ันเปิดท่ีไหนบนโลก ใบนี้ บ้างก็เปิดสองวิชา บ้างก็เปิดสามวิชา เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ส่ิงหนึ่งที่พบบ่อยก็คือความ สามารถด้านการสอนที่พัฒนาขึ้นผ่านการสอนหลายวิชา อีกทั้งจุดแข็งอีกจุดหนึ่งก็คือวิธีที่เรา พัฒนาทักษะภาษาอังกฤษผ่านวิธีการของคุมอง คุณโทรุ คุมองได้กล่าวเกี่ยวกับลักษณะเด่นของ โปรแกรมภาษาอังกฤษของคุมองไว้ดังน้ี
ลักษณะเด่นของโปรแกรมภาษาอังกฤษของคุมองไม่เพียงจะได้แค่ภาษาอังกฤษ เท่าน้ัน แต่ยังคงพัฒนาความสามารถอื่นได้จากการเรียนทั้งสามวิชาด้วย เนื่องจาก นักเรียนคุมองเรียนภาษาอังกฤษพร้อมทั้งพัฒนาความสามารถโดยรวมผ่าน การเรียนท้ังสามวิชา พวกเขาจะแสดงให้เห็นถึงประสิทธิผลในการเรียนอย่างชัดเจน ซ่ึงจะไม่ได้รับจากองค์กรการศึกษาอ่ืนหรือวิธีการเรียนแบบอื่นอย่างแน่นอน เราสามารถพูดแบบเดียวกันนี้ได้สําาหรับ Instructor นั่นคือ พวกเขาสามารถพัฒนา
ii l Understanding the Principles of Kumon Instruction: English as a Foreign Language
ทักษะการสอนและสามารถให้การสอนท่ีมีประสิทธิภาพมากขึ้นผ่านการสอน หลายวิชา แน่นอนว่าสองวิชาต้องดีกว่าหนึ่ง และสามวิชาก็ต้องดีกว่าสองน่ีเป็นเรื่อง ทเ่ี ขา้ ใจไดเ้ พราะวา่ การใหก้ ารสอนสามวชิ านน้ั Instructor สามารถทจ่ี ะสงั เกตเดก็ หนง่ึ คนจากหลากหลายมุมมองและหาวิธีการสอนที่เหมาะสมที่สุดสําาหรับเด็กคนน้ันได้ ดีกว่าการให้การสอนเพียงหน่ึงหรือสองวิชาเท่าน้ัน ย่ิงไปกว่านั้นทําาให้ Instructor ได้ เปิดมุมมองท่ีกว้างและลึกมากขึ้นอีกด้วย
(วารสาร ยามาบิโกะ ฉบับท่ี 130 ปี 1991)
ลกั ษณะเดน่ ของวธิ กี ารเรยี นแบบคมุ องคอื Instructor มปี ระสบการณก์ ารใหก้ ารสอนในวชิ า คณิตศาสตร์ และวิชาภาษาแม่ จะสามารถปรับใช้ทักษะการสอนนั้นในวิชาภาษาอังกฤษ EFL ได้ ในทางกลับกัน Instructor ที่มีประสบการณ์การให้การสอนในวิชาภาษาอังกฤษ EFL ก็สามารถ ปรับใช้ทักษะการสอนนั้นกับวิชาคณิตศาสตร์และวิชาภาษาแม่ได้เช่นกัน ด้วยเหตุนี้เราจึงขอ แนะนําาให้ท่านอ่านคําาแนะนําาในเล่มนี้ตามลําาดับจากบทที่หนึ่งถึงบทที่แปด และอ่าน UPI ¢Í§ วิชาอื่นด้วย เพื่อจะได้เข้าใจเนื้อหาอย่างถูกต้อง
เมื่อครั้งที่คุณโทรุ คุมองได้ตีพิมพ์ Instruction Principles and Guide ฉบับรวมเล่ม ครั้งแรกในประเทศญี่ปุ่นนั้น ท่านหวังไว้ว่า Instructor จะใช้เอกสารฉบับนี้ที่ศูนย์และจะได้มี นกั เรยี นกรณศี กึ ษาทห่ี ลากหลาย รวมทง้ั แสดงความคดิ เหน็ ใหค้ ณุ โทรไุ ดร้ บั ทราบอยา่ งเปน็ รปู ธรรม เพื่อที่ท่านจะได้นําาไปปรับปรุงเนื้อหาในเอกสารดังกล่าวให้ดียิ่งขึ้น
ในการคิดปรับปรุงหนังสือเล่มน้ี เราได้แรงบันดาลใจจากความปรารถนาของคุณโทรุ คุมอง โดยนําาความคิดเห็นต่างๆ ที่ได้จาก Instructor จําานวนมากมาปรับปรุงเนื้อหาให้ดียิ่งขึ้นและเรา หวังว่าส่ิงนี้จะช่วยพัฒนาความสามารถในการสอนของ Instructor และพัฒนาศูนย์ท่ัวโลก
เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่า Instructor จะใช้หนังสือ Understanding the Principles of Kumon Instruction: English as a Foreign Language (UPI: EFL) เล่มนี้ที่ศูนย์ในทุกๆ วัน และจะ ช่วยให้ Instructor สามารถส่ือสารและอธิบายถึงความคิดเบื้องหลังของวิธีการเรียนแบบคุมอง รวมท้ังประโยชน์ของการเรียนคุมองให้แก่ผู้ปกครองได้ง่ายยิ่งข้ึน
Kumon Toru Research Institute of Education ตุลาคม 2019
Understanding the Principles of Kumon Instruction: English as a Foreign Language l iii
สรบัญ
1. ลักษณะเด่นของวิชภษอังกฤษ EFL และกรเรียนรู้ด้วยตนเอง...................1
1.1 จุดเริ่มต้นของวิชาภาษาอังกฤษ EFL–การศึกษาที่คุณโทรุ คุมองต้องการสร้าง .....1
1.2 ลักษณะเด่นของวิชาภาษาอังกฤษ EFL ...................................................................3 1.2.1 การคิดค้นและวิวัฒนาการของวิชาภาษาอังกฤษ EFL ...............................3 1.2.2 แบบฝึกหัดคุมองเพื่อการเรียนรู้ด้วยตนเอง ................................................ 6 1.2.3 การเรียนเกินช้ันเรียนผ่านการเรียนรู้ด้วยตนเอง ......................................... 7 1.2.4 การทําาแบบฝึกหัดช่วยให้นักเรียนสามารถอ่านงานเขียนใหม่ได้ ............... 10
2. สิ่งสําคัญในกรสอนของระบบกรเรียนแบบคุมอง .........................................11
2.1 การทําาแบบฝึกหัดผ่านการเรียนรู้ด้วยตนเอง .........................................................11 2.1.1 การปฏิบัติตามข้ันตอนการเรียนท่ีเหมาะสมและพัฒนา
ลักษณะการเรียนที่ดี ................................................................................11 2.1.2 การตอบคําาถามนักเรียนในการทําาแบบฝึกหัดหรือแก้งาน ........................ 13
2.2 ทําาต่อเนื่องจนกว่าข้อผิดจะได้รับการแก้ไขท้ังหมด (การตรวจงานคือขั้นแรกของการสอน) .................................................................14
2.3 ใช้เวลาประมาณ 30 นาทีต่อวันในการเรียน EFL ................................................16 2.4ควรให้นักเรียนทาําแบบฝึกหัดเรียงตามลําาดับ.........................................................16 2.5 จับเวลาเมื่อทําาแบบฝึกหัด .....................................................................................17 2.6 บันทึกผลการเรียน .................................................................................................17
3. กรกําหนดจุดเริ่มต้นและเป้หมยกรเรียน ....................................................18
3.1 จุดเริ่มต้นสําาหรับนักเรียนใหม่ ...............................................................................18
3.2 เป้าหมายความก้าวหน้าสําาหรับนักเรียนใหม่ .........................................................19
3.3 วัตถุประสงค์ของการกําาหนดเป้าหมายการเรียน ...................................................20
3.4 ตั้งเป้าหมายการเรียนสําาหรับนักเรียนใหม่ และแจ้งให้นักเรียนใหม่และ
ผู้ปกครองทราบ .....................................................................................................21
iv l Understanding the Principles of Kumon Instruction: English as a Foreign Language
4. กรทําซ้ําและเวลมตรฐนในกรทําแบบฝึกหัด ...........................................23
4.1 ทักษะการทําางานและเวลา SCT ............................................................................23
4.2 ก่อนประเมินเวลาที่นักเรียนใช้ในการทําาแบบฝึกหัด ควรมั่นใจว่า
นักเรียนปฏิบัติตามขั้นตอนการเรียนที่เหมาะสม ...................................................25
4.3 จุดท่ีควรพิจารณาเม่ือเปรียบเทียบเวลาที่นักเรียนใช้ทําาแบบฝึกหัด
กับเวลา SCT .........................................................................................................26 4.3.1 ไม่ยึดติดกับจําานวนแบบฝึกหัดที่ได้คะแนนเต็มและจําานวนข้อผิด ............26 4.3.2 เวลา SCT เป็นจําานวนเต็ม จึงไม่จําาเป็นต้องเข้มงวดเกินไปกับ
การจับเวลาที่นักเรียนใช้ทําาแบบฝึกหัด .....................................................26 4.3.3 เวลา SCT เปน็ เวลาเฉลย่ี จากเวลาทง้ั หมดทใ่ี ชท้ าํา แบบฝกึ หดั 10 แผน่ ......27 4.3.4 การประเมินเวลาที่นักเรียนทําาแบบฝึกหัดในช่วง span ยาว ...................27
5. กรใช้เวล SCT กับนักเรียนเป็นรยบุคคล .......................................................28
5.1 ช่วง span ในการเรียนแตกต่างกันตามความสามารถของนักเรียน ....................28
5.2 หากไม่แน่ใจควรให้นักเรียนก้าวหน้าไปก่อน ..........................................................29
5.3 การสังเกตนักเรียนและการปรับแผนการเรียนของนักเรียนหลังจาก
ให้นักเรียนก้าวหน้าไปแล้ว ....................................................................................30
5.4 จงใจไม่ยึดติดกับเวลา SCT สําาหรับนักเรียนบางกรณี ..........................................30
6. กรประเมินสภพกรเรียนของนักเรียนและกรตระหนักถึงกรเรียน ในระดับที่ “พอเหมะพอดี” .....................................................................................33
6.1 เวลา SCT และระดับที่ “พอเหมาะพอดี” ของการเรียน .....................................34
6.2 การประเมินสภาพการเรียนของนักเรียนเป็นสิ่งสําาคัญ
ต่อการเรียนในระดับท่ี “พอเหมาะพอดี” ..............................................................36
6.3 การประเมินทัศนคติในการเรียนของนักเรียน ........................................................37 6.3.1 แรงจูงใจในการเรียน .................................................................................37 6.3.2 ความพยายาม ..........................................................................................38
6.4 การประเมินความสามารถ ....................................................................................38 6.4.1 การอ่านออกเสียง .....................................................................................39 6.4.2 ทักษะการเขียนเรียบเรียงประโยคภาษาอังกฤษ ........................................39 6.4.3 ทักษะการตรวจสอบคําาตอบและการแก้งาน .............................................40
Understanding the Principles of Kumon Instruction: English as a Foreign Language l v
7. กรสอนสําหรับกรฟังและกรอ่นออกเสียง ...................................................41
7.1 ความสําาคัญของการฟังและการอ่านออกเสียง .......................................................42 7.2 การสอนสําาหรับการฟังและการอ่านออกเสียง .......................................................42
8. กรประเมินกรสอน ..................................................................................................45
8.1 การประเมินเป้าหมายการเรียน .............................................................................45 8.1.1 เม่ือนักเรียนไม่ก้าวหน้าตามเป้าหมายการเรียนที่วางไว้ ............................46 8.1.2 เมื่อนักเรียนก้าวหน้าอย่างราบรื่นตามเป้าหมายการเรียนที่วางไว้ ............46
8.2 การประเมินเวลาที่ใช้ในการทําาแบบฝึกหัดและรอบการทําาซ้ําา ...............................47
8.3 การประเมินจําานวนแบบฝึกหัดและระยะเวลาในการเรียน .....................................47
8.4 การประเมินการบ้าน .............................................................................................48
8.5 การประเมินการสอนเมื่อนักเรียนทําาแบบฝึกหัดจบหนึ่งระดับ ...............................48
8.6 การประเมินและการศึกษาวิจัยด้านการสอน .........................................................49
ภคผนวก ............................................................................................................................52
vi l Understanding the Principles of Kumon Instruction: English as a Foreign Language
1.1 จ1ุดเริ่มต้นของวิชภษอังกฤษ EFL—กรศึกษที่คุณโทรุ คุมอง ต้องกรสร้ง
ตั้งแต่เริ่มก่อตั้งบริษัทฯ ในปี 1958 คุมองได้พัฒนาศักยภาพของเด็กผ่านการเรียนวิชา คณิตศาสตร์เพียงวิชาเดียวมามากกว่า 20 ปีจนถึงปลายทศวรรษที่ 1970 และประสิทธิผลของ ระบบการเรียนแบบคุมองในวิชาคณิตศาสตร์นี้เองได้สร้างความมั่นใจให้คุณโทรุ คุมองจนเกิด ความคิดที่ว่าระบบการเรียนแบบคุมองน่าจะสามารถนําามาปรับใช้กับวิชาอื่นได้ คุณโทรุ คุมอง เชื่อว่าศักยภาพของเด็กสามารถพัฒนาจนถึงขีดสุดได้ ถ้าพวกเขาได้ทําาแบบฝึกหัดวิชาอื่นโดยมี พื้นฐานจากระบบการเรียนแบบคุมอง ดังน้ันบริษัทฯ จึงได้เร่ิมพัฒนาโปรแกรมวิชาภาษาอังกฤษ ของคมุ อง* และในปี 1980 โปรแกรมวชิ าภาษาองั กฤษจงึ เรม่ิ ตน้ ขน้ึ ในประเทศญป่ี นุ่ หลายปตี อ่ มา ค ณุ โ ท ร ุ ค มุ อ ง ไ ด ก้ ล า่ ว ว า่ แ ต เ่ ด มิ ท า่ น ม คี ว า ม ค ดิ ท จ่ ี ะ เ ร ม่ ิ ต น้ ร ะ บ บ ก า ร เ ร ยี น แ บ บ ค มุ อ ง ด ว้ ย ว ชิ า ภ า ษ า อังกฤษและในช่วงเริ่มต้นท่านฝันที่จะให้มีการศึกษาวิชาภาษาอังกฤษโดยใช้แบบฝึกหัดของ คุมอง จริงๆ แล้วในช่วงเวลาที่ท่านเป็นครูโรงเรียนมัธยมปลาย ท่านก็ได้เชิญนักเรียนมาท่ีบ้าน เพ่ือที่พวกเขาจะได้เรียนภาษาอังกฤษและอ่านหนังสือร่วมกัน
*วิชาภาษาอังกฤษ EFL สําาหรับคนญี่ปุ่น หลายปีต่อมา โปรแกรมนี้ได้กลายเป็นพื้นฐานของวิชาภาษาอังกฤษ EFL ที่ถูกใช้ในหลายประเทศและภูมิภาค
ผมได้ตรวจสอบว่านักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่หนึ่งเหล่านี้ [ที่โรงเรียนของผม] จริงๆ แล้วพวกเขาเรียนอะไรในแต่ละวัน และพบว่าระยะเวลาในการเรียนของพวกเขานั้น นอ้ ยมากจนนา่ แปลกใจ ซง่ึ บง่ บอกถงึ ความกา้ วหนา้ ทช่ี า้ มากเมอ่ื เทยี บกบั ความสามารถ ของพวกเขา และพวกเขาเองก็ไม่รู้จะเรียนอะไร ผมรู้สึกว่าผมต้องทําาอะไรบางอย่าง กับพวกเขาจึงตัดสินใจที่จะเชิญนักเรียนห้าถึงหกคนมาเรียนท่ีบ้านของผม...
ในชว่ งเวลานน้ั เปน็ เรอ่ื งยากทผ่ี มจะตดั สนิ ใจวา่ จะสอนเนอ้ื หาอะไรของวชิ าคณติ ศาสตร์ เพราะผมไดส้ อนเรอ่ื งพชี คณติ สองคาบตอ่ สปั ดาหท์ โ่ี รงเรยี นไปแลว้ ดงั นน้ั ผมจงึ ตดั สนิ ใจ ท่ีจะสอนภาษาอังกฤษที่บ้านของผม ผมวางแผนไว้ว่าจะให้นักเรียนทําาเนื้อหาของช้ัน
ลักษณะเด่นของวิชภษอังกฤษ EFL และกร เรียนรู้ด้วยตนเอง
Understanding the Principles of Kumon Instruction: English as a Foreign Language l 1
มัธยมศึกษาปีที่หนึ่งและสองที่โรงเรียนให้จบภายในเดือนธันวาคม จากนั้นในเดือน มกราคมจะใหพ้ วกเขาเรยี นนทิ านภาษาองั กฤษ ผมตง้ั ใจทจ่ี ะพฒั นาความสามารถใน การอ่านทําาความเข้าใจภาษาอังกฤษให้แก่พวกเขา
(วารสาร ยามาบิโกะ ฉบับท่ี 14 ปี 1965)
เมื่อคุณโทรุ คุมองเร่ิมให้มีการเรียนวิชาภาษาอังกฤษ ท่านได้ให้ความสําาคัญอันดับแรกไปท่ี การทาํา ใหน้ กั เรยี นสนกุ กบั การอา่ นภาษาองั กฤษ จากนน้ั จงึ คอ่ ยพฒั นาความรกั ตอ่ การเรยี นรภู้ าษา ดังนั้นท่านจึงเน้นไปที่การพัฒนาความสามารถในการอ่านทําาความเข้าใจซ่ึงเป็นหัวใจหลักของ วิชาภาษาอังกฤษของคุมอง ความสามารถนี้พัฒนาได้โดยที่นักเรียนรู้สึกสนุกกับการอ่านหนังสือ ภาษาอังกฤษหลากหลายรูปแบบ และได้เรียนรู้วัฒนธรรมรวมท้ังแนวคิดต่างๆ มากมาย “ความ สามารถในการอา่ นทาํา ความเขา้ ใจ” หมายถงึ “ความสามารถในการอา่ นประโยคหรอื บทความภาษา อังกฤษและเข้าใจถึงส่ิงท่ีบทความน้ันๆ ต้องการสื่อ” บทความในแบบฝึกหัดถูกคัดเลือกมาให้มี ความนา่ สนใจสาํา หรบั นกั เรยี นโดยมเี ปา้ หมายเพอ่ื “พฒั นาความสามารถในการอา่ นทาํา ความเขา้ ใจ ระดับสูง” ดังนั้นแบบฝึกหัดจึงมีเนื้อเรื่องมากมายที่เลือกมาจากงานวรรณกรรมที่มีชื่อเสียงจาก ประเทศตา่ งๆ ทง้ั นเ้ี พอ่ื ใหน้ กั เรยี นไดส้ นกุ กบั การอา่ นควบคไู่ ปกบั การพฒั นาความสามารถในการ อ่านทําาความเข้าใจ คุณโทรุ คุมองยังหวังด้วยว่าการเรียนวิชาภาษาต่างประเทศของคุมองน้ัน นักเรียนจะพัฒนาความสามารถด้านภาษาของพวกเขาได้นอกเหนือจากภาษาอังกฤษ เช่นภาษา ฝรั่งเศส ภาษาเยอรมัน เป็นต้น
[วิธีการเรียนท่ีกระตุ้นความสามารถในการอ่านและเข้าใจ]
ผมเองกม็ คี วามยากลาํา บากในการเขา้ ใจคาํา วา่ “ความสามารถในการอา่ นทาํา ความเขา้ ใจ” ไม่แน่ว่าถ้าผมถามพนักงานคนหนึ่ง ว่ามันคือ “ความสามารถที่จะอ่านและเข้าใจ” หรือไม่ เขาหรือเธออาจจะตอบว่า “ใช่” ก็เป็นได้ ความจริงแล้วมีนักเรียนที่อ่าน หนังสือสังคมศึกษาและหนังสือวิทยาศาสตร์ แต่ก็ไม่ได้เข้าใจอะไรเลยจากการอ่าน... คุณอาจไม่คุ้นเคยกับคําาว่า “ความสามารถในการอ่านทําาความเข้าใจ” เท่าไรนัก แต่ คําาน้ีอธิบายถึงความสามารถที่จะอ่านประโยคหรือบทความต่างๆ และเข้าใจถึงส่ิงที่ บทความเหล่าน้ีต้องการส่ือนั่นเอง
(การประชุมโต๊ะกลม ยามาบิโกะ เดือนมีนาคม ปี 1989) 2 l Understanding the Principles of Kumon Instruction: English as a Foreign Language
[การรวบรวมงานวรรณกรรมท่ีดึงดูดความสนใจของนักเรียน]
แมว้า่ผมจะไมไ่ดช้อบวชิาภาษาองักฤษมากนกั แตม่งีานวรรณกรรมบางเรอ่ืงในหนงัสอื เรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้นและตอนปลายที่สนุกและน่าอ่าน ดังนั้นผมจึงคิดว่า หากเราเลือกงานเขียนท่ีดึงดูดความสนใจของนักเรียนอาจทําาให้นักเรียนชอบ เรียนภาษาอังกฤษได้ การเลือกเน้ือหาที่นักเรียนสามารถเรียนรู้ได้น้ันสําาคัญ อีกทั้ง เนอ้ื หาท่ีเลือกมาต้องตั้งอยู่บนแนวคิดที่ว่านักเรียนจะชอบอ่านและสามารถเชื่อมโยง เข้ากับเรื่องราวในชีวิตได้ ดังนั้นแบบฝึกหัดของเราจึงมีงานวรรณกรรมที่น่าสนใจให้ นักเรียนอ่าน
(การประชุมโต๊ะกลม ยามาบิโกะ เดือนพฤศจิกายน ปี 1987) [คุมองเตรียมความพร้อมสําาหรับอนาคตให้แก่เด็ก]
ความปรารถนาของผมคือการพัฒนาระบบการเรียนแบบคุมองให้ดียิ่งขึ้นพร้อมกับ เพม่ิ จาํา นวนเดก็ ทไ่ี มไ่ ดเ้ รยี นเพยี งแคภ่ าษาองั กฤษเทา่ นน้ั แต่ยังเรียนภาษาต่างประเทศ อื่นๆ อีกหนึ่งหรือสองภาษาก่อนที่จะเข้าเรียนในมหาวิทยาลัย หากนักเรียนเรียน คณิตศาสตร์จบระดับมัธยมปลายและยังมีความเชี่ยวชาญด้านภาษาอังกฤษ ภาษา ฝร่ังเศสและภาษาเยอรมัน ผู้ปกครองก็ไม่จําาเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับอนาคตของพวก เขาเลยถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยที่เลือกไว้ก็ตาม
(การประชุมโต๊ะกลม ยามาบิโกะ เดือนมกราคม ปี 1982) 1.2 ลักษณะเด่นของวิชภษอังกฤษ EFL
1.2.1 กรคิดค้นและวิวัฒนกรของวิชภษอังกฤษ EFL
เช่นเดียวกับวิชาคณิตศาสตร์และวิชาภาษาแม่ แนวคิดเกี่ยวกับวิชาภาษาอังกฤษ EFL มี รากฐานมาจากแนวความคิดของคุณโทรุ คุมองเกี่ยวกับการศึกษาวิชาภาษาอังกฤษ ซึ่งเป็น แนวคิดท่ีได้รับการหล่อหลอมจากประสบการณ์การเรียนภาษาอังกฤษขณะท่ีท่านเป็นนักเรียน
[ประโยชน์ของการอ่านงานเขียนภาษาอังกฤษท่ีเป็นต้นฉบับ]
ระบบการศึกษาของโรงเรียนมัธยมปลายโคจิ (Kochi High School) ที่ผมเรียนใน ตอนน้ัน นักเรียนชั้น ม.4 จะเรียนวิชาภาษาอังกฤษ 9 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ และนักเรียน ชน้ั ม.5 จะเรยี นวชิ าภาษาองั กฤษ 7 ชว่ั โมงตอ่ สปั ดาห์ โดยในชว่ งสองปนี ้ี สง่ิ เดยี ว
Understanding the Principles of Kumon Instruction: English as a Foreign Language l 3
ที่พวกเราทําาคือการอ่านงานเขียนภาษาอังกฤษที่เป็นต้นฉบับ ผมจึงค่อนข้างกังวล เพราะเราไมไ่ ดเ้ รยี นไวยากรณแ์ ละการเขยี นเรยี งความภาษาองั กฤษเลย จนเมอ่ื ขน้ึ ชน้ั ม.6 เราจงึ ไดเ้ รม่ิ ฝกึ เขยี นเรยี งความภาษาองั กฤษและพบวา่ การเขยี นเรยี งความภาษา อังกฤษน้ันง่ายมาก
(Give it a Try–Yattemiyo ปี 1991) [วิชาภาษาอังกฤษ EFL ออกแบบมาเพ่ือช่วยให้นักเรียนสามารถอ่าน
งานเขียนภาษาอังกฤษท่ีเป็นต้นฉบับได้]
ผมเช่ือว่าจะเป็นประโยชน์แก่นักเรียนเป็นอย่างมาก หากพวกเขามีประสบการณ์การ อ่านงานเขียนภาษาอังกฤษจําานวน 200 ถึง 300 หน้า ภายในชั้น ม.5 ผมคิดมา ระยะหนึ่งแล้วว่าควรออกแบบวิชาภาษาอังกฤษ EFL ในลักษณะท่ีจะช่วยให้นักเรียน สามารถอ่านงานเขียนภาษาอังกฤษที่เป็นต้นฉบับได้
(Monthly Chairman’s Meeting in East Japan เดือนธันวาคม ปี 1982)
จากประสบการณ์การเรียนภาษาอังกฤษของตนเองทําาให้คุณโทรุ คุมองเชื่อว่าเราสามารถ คุ้นเคยกับไวยากรณ์และโครงสร้างประโยคพร้อมกับเพิ่มคลังคําาศัพท์ได้อย่างเป็นธรรมชาติ ผ่านการอ่านบทความภาษาอังกฤษขนาดยาวจําานวนมาก ดังนั้นคุณโทรุ คุมองจึงตัดสินใจที่จะ สรา้ งแบบฝกึ หดั ซง่ึ รวมเฉพาะไวยากรณท์ ส่ี าํา คญั เอาไวเ้ ทา่ นน้ั เพอ่ื ทว่ี า่ เมอ่ื นกั เรยี นเรยี นหลกั ไวยากรณ์ จบแล้ว พวกเขาจะสามารถอ่านงานเขียนภาษาอังกฤษได้โดยเร็วที่สุด ทั้งนี้แบบฝึกหัดวิชาภาษา อังกฤษจึงถูกออกแบบมาโดยมุ่งเน้นไปท่ีการพัฒนาความสามารถในการอ่านทําาความเข้าใจ
ในขณะที่ออกแบบแบบฝึกหัด ได้มีการตัดสินใจที่จะออกแบบโครงสร้างของวิชานี้ เพ่ือให้ นกั เรยี นเรยี นประโยคภาษาองั กฤษพน้ื ฐานอยา่ งเปน็ ขน้ั เปน็ ตอน จนคนุ้ เคยกบั ลาํา ดบั ของคาํา ภาษา อังกฤษก่อนท่ีจะเรียนรู้กฎต่างๆ ในภาษาอังกฤษ (ไวยากรณ์และโครงสร้างประโยค) นอกจากนี้ การเรม่ิเรยีนแบบฝกึหดัระดบัลา่งซง่ึมชีดุเนอ้ืเรอ่ืงสรปุ (SkitและStorySet)อยใู่นเนอ้ืหาแบบฝกึหดั จะชว่ ยใหน้ กั เรยี นสามารถเรยี นรแู้ ละสนกุ กบั การอา่ นบทความภาษาองั กฤษสน้ั ๆ จาํา นวนมากได้ และค่อยๆ คุ้นเคยกับการอ่านบทความท่ีมีขนาดยาวขึ้น ซึ่งเป็นลักษณะของวิชาภาษาอังกฤษที่ ใช้ในประเทศญี่ปุ่นในช่วงแรก
4 l Understanding the Principles of Kumon Instruction: English as a Foreign Language
แบบฝึกหัดภาษาอังกฤษท่ีใช้ในประเทศญี่ปุ่นในช่วงแรกนั้น นักเรียนมีความจําาเป็นต้อง พัฒนาคลังคําาศัพท์และการอ่านออกเสียงคําา (ความสามารถในการมองที่คําา แปลความหมาย และอ่านออกเสียงดังๆ) ก่อนท่ีจะเรียนรู้ประโยคภาษาอังกฤษพื้นฐาน ดังนั้นจึงได้มีการเพิ่มข้ัน การเรียนท่ีมีจุดประสงค์การเรียนรู้เกี่ยวกับการอ่านและการเขียนคําาศัพท์ท่ีคุ้นเคยเข้ามา
หลงั จากทร่ี ะบบการเรยี นแบบคมุ องไดก้ ลายเปน็ ทร่ี จู้ กั นกั เรยี นจาํา นวนมากเรม่ิ สมคั รเขา้ เรยี น วิชาภาษาอังกฤษ และนักเรียนที่สมัครเรียนนั้นก็เป็นนักเรียนที่อายุน้อยเช่นเดียวกับวิชาอื่นๆ ของคมุองอยา่งไรกต็ามเราพบวา่แมจ้ะเปน็คาําศพัทท์ค่ีนุ้เคยและใชใ้นชวีติประจาําวนั แตก่ย็งัยาก สําาหรับนักเรียนอายุน้อยที่จะอ่านและเขียนไปพร้อมๆ กัน ดังนั้น ขั้นการเรียนท่ีมีจุดประสงค์เพื่อ ให้นักเรียนได้พัฒนาความสามารถในการออกเสียงคําาจากการดูรูปภาพและคําาจึงถูกเพ่ิมเข้ามา ในแบบฝึกหัด ก่อนที่นักเรียนจะได้เรียนรู้วิธีการเขียน
หลงั จากนน้ั ไดม้ กี ารตระหนกั วา่ การฟงั เสยี งภาษาองั กฤษจากเจา้ ของภาษาในขณะทาํา แบบฝกึ หดั นั้นส่งผลดีต่อการเรียนของนักเรียน ไม่ว่าพวกเขาจะกําาลังเรียนการเขียนเบื้องต้นหรือเรื่องการ อา่ นทาํา ความเขา้ ใจระดบั มธั ยมปลาย และไมว่ า่ นกั เรยี นจะอายเุ ทา่ ไร ดงั นน้ั เสยี งภาษาองั กฤษจึง ถูกเพิ่มเข้ามาในทุกข้ันการเรียนของวิชาภาษาอังกฤษ EFL เพื่อเป็นการยกระดับคุณภาพของการ เรียนภาษาอังกฤษ
จากที่กล่าวมาข้างต้น แบบฝึกหัดจึงถูกประเมินโดยมองไปที่วิธีการเรียนของนักเรียน แบบฝกึ หดั ยงั คงไดร้ บั การพฒั นาอยา่ งตอ่ เนอ่ื งผา่ นการเรยี นรจู้ ากนกั เรยี น บางจดุ ประสงคก์ ารเรยี น ได้ถูกจัดเรียบเรียงใหม่ และมีการเพิ่มจุดประสงค์การเรียนใหม่เข้ามา การปรับปรุงแต่ละครั้ง ไดเ้ ปลย่ี นแบบฝกึ หดั ใหเ้ ปน็ ขน้ั เปน็ ตอนมากขน้ึ เพอ่ื ใหง้ า่ ยตอ่ การเรยี นรแู้ ละมปี ระสทิ ธภิ าพมากขน้ึ จนกลายเป็นแบบฝึกหัดที่ใช้ในประเทศญี่ปุ่นจนถึงปัจจุบัน นอกจากนี้ งานเขียนภาษาอังกฤษ ท่ีได้รับคัดเลือกมาอยู่ในแบบฝึกหัดนั้นก็อยู่บนพื้นฐานของความตั้งใจแน่วแน่ที่ต้องการช่วย ให้นักเรียนอ่านได้อย่างสนุกสนานและเสริมสร้างลักษณะนิสัยท่ีดีให้แก่นักเรียน ทว่าความสนใจ ของนักเรียนเปล่ียนไปตามกาลเวลา เราจึงทบทวนงานเขียนเหล่านี้อยู่เสมอและปรับเปล่ียนเมื่อ จําาเป็น
Understanding the Principles of Kumon Instruction: English as a Foreign Language l 5
ผมต้องการให้นักเรียนของผมอ่านในสิ่งที่พวกเขาสนใจมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เมอ่ื นกั เรยี นอา่ นบทความทน่ี า่ สนใจ พวกเขาจะอา่ นอยา่ งตอ่ เนอ่ื งแมว้ า่ จะยากขน้ึ กต็ าม ถ้าแบบฝึกหัดของพวกเราดูไม่น่าสนใจแล้ว นั่นคือหน้าที่ของเราที่จะเพิ่มเนื้อหาที่ น่าสนใจเข้าไปแทนเมื่อเรามีการปรับปรุงแบบฝึกหัด
(การประชุมโต๊ะกลม ยามาบิโกะ เดือนมกราคม ปี 1989)
เมื่อนักเรียนญี่ปุ่นเรียนวิชาภาษาอังกฤษ EFL ได้ผลดี ทําาให้ความต้องการวิชาภาษาอังกฤษ EFL ในต่างประเทศเพิ่มขึ้น เราได้คิดค้นวิชาภาษาอังกฤษ EFL ที่เหมาะกับเด็กที่มีภาษาแม่ แตกต่างกัน ในวิชาภาษาอังกฤษ EFL น้ี จะไม่มีคําาแปลภาษาแม่อยู่ในแบบฝึกหัด ซึ่งแบบฝึกหัด วิชาภาษาอังกฤษ EFL จะทําาให้นักเรียนในแต่ละประเทศหรือภูมิภาคได้เรียนรู้ภาษาอังกฤษด้วย วธิ กี ารเดยี วกนั เนอ่ื งจากจดุ เดน่ ของวชิ าภาษาองั กฤษนค้ี อื การทน่ี กั เรยี นเรยี นรภู้ าษาองั กฤษผา่ น ภาษาอังกฤษ หลังจากท่ีวิชาภาษาอังกฤษ EFL ถูกใช้ครั้งแรกที่ประเทศบราซิลในปี 2004 นับแต่ นั้นมาประเทศอื่นทั่วโลกก็เริ่มเปิดสอนวิชานี้
แม้ว่าแบบฝึกหัดวิชาภาษาอังกฤษ EFL จะมีต้นแบบมาจากแบบฝึกหัดวิชาภาษาอังกฤษ ที่ใช้ในประเทศญี่ปุ่นซึ่งสร้างบนพื้นฐานจากแนวคิดของคุณโทรุ คุมอง แต่วิชาภาษาอังกฤษ EFL ก็ได้รับการพัฒนาแยกออกมาเพื่อใช้สําาหรับทั่วโลกและยังคงพัฒนาปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง
1.2.2 แบบฝึกหัดคุมองเพื่อกรเรียนรู้ด้วยตนเอง
เป้าหมายของวิชาภาษาอังกฤษ EFL คือ การพัฒนาความสามารถในการอ่านทําาความ เข้าใจระดับสูงผ่านการเรียนรู้ด้วยตนเองเพ่ือให้เกิดประสิทธิภาพการเรียนสูงสุดในระยะเวลาท่ี ส้ันท่ีสุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ระดับความยากของแบบฝึกหัดจะเพิ่มขึ้นทีละน้อย เพื่อที่ว่านักเรียน จะสนุกกับการอ่านและสามารถเรียนรู้ด้วยตนเองได้แม้จะเป็นจุดประสงค์การเรียนรู้ใหม่ก็ตาม
ตวัอยา่งเชน่ เพอ่ืใหน้กัเรยีนสามารถอา่นไดด้ว้ยตนเองวชิาภาษาองักฤษEFLไดอ้อกแบบ มาโดยให้นักเรียนสามารถฟังเสียงภาษาอังกฤษจากเคร่ืองเล่นเสียงได้ในขณะท่ีดูเน้ือหาจาก หนังสือประกอบ CD ไปด้วย อีกท้ังจุดประสงค์การเรียนรู้ในแบบฝึกหัดเร่ิมต้นท่ีระดับคําา วลี และ ค่อยๆ ยาวขึ้นเป็นประโยค นอกจากนี้ ในระดับ G–I ที่นักเรียนเรียนเร่ืองไวยากรณ์ แบบฝึกหัด จะมีประโยคตัวอย่างและคําาอธิบายปรากฏอยู่ทุกครั้งเมื่อข้ึนจุดประสงค์การเรียนรู้ใหม่ จากการ อา้ งองิ กบั ประโยคตวั อยา่ งและคาํา อธบิ ายเมอ่ื ตอ้ งสรา้ งประโยคดว้ ยตนเอง นกั เรยี นจะไดเ้ รยี นรกู้ ฎ ไวยากรณอ์ ยา่ งเปน็ ธรรมชาติ และสรา้ งประโยคไดอ้ ยา่ งชาํา นาญ ดงั นน้ั แมจ้ ะมบี างเรอ่ื งทน่ี กั เรยี น
6 l Understanding the Principles of Kumon Instruction: English as a Foreign Language
จะได้พบเป็นครั้งแรก แต่สิ่งสําาคัญคือการไม่อธิบายหรือสอนนักเรียนตั้งแต่เริ่มต้น ควรพัฒนา พวกเขาให้เรียนรู้ด้วยตนเองผ่านการทําาแบบฝึกหัด เพ่ือให้นักเรียนเข้าใจเนื้อเรื่องท่ีกําาลังเรียนได้ อยา่ งเหมาะสมและสามารถอา่ นภาษาองั กฤษไดน้ น้ั อนั ดบั แรกพวกเขาควรทาํา ความเขา้ ใจความหมาย ของเน้ือหาโดยใช้คําาแปลที่ให้มาในหนังสือประกอบ CD ก่อนที่จะเริ่มต้นทําาแบบฝึกหัด
แม้แต่แบบฝึกหัดการอ่านทําาความเข้าใจตั้งแต่ระดับ J ขึ้นไป การจัดเรียงของงานเขียน ภาษาอังกฤษก็ถูกพิจารณาตามลําาดับความยากท่ีส่งผลต่อการอ่าน (เช่น คําาศัพท์ และความยาว ของประโยค) ทั้งนี้หากนักเรียนทําาแบบฝึกหัดตามลําาดับ ก็จะง่ายสําาหรับพวกเขาในการอ่านงาน เขียนใหม่ๆ และเรียนก้าวหน้าได้ด้วยการเรียนรู้ด้วยตนเอง ในหนังสือประกอบ CD จะมีคาํา แปล สาํา หรบั คาํา ศพั ทใ์ หมไ่ วใ้ ห้ สว่ นในแบบฝกึ หดั กจ็ ะมคี าํา อธบิ ายและการแปลความของประโยคทเ่ี รยี นไว้ เพอ่ื ทน่ี กั เรยี นจะสามารถทาํา ความเขา้ ใจประโยคทย่ี ากๆ ได้ การอา้ งองิ จากคาํา แปลทม่ี อี ยใู่ นหนงั สอื ประกอบ CD น้ัน จะช่วยให้นักเรียนลดความถี่ของการเปิดพจนานุกรมลง และการอ้างอิงจาก การแปลความของประโยค ก็จะช่วยให้นักเรียนสามารถยืนยันความเข้าใจของตนเองอีกคร้ังจาก บทความที่พวกเขากําาลังเรียนอยู่
1.2.3 กรเรียนเกินชั้นเรียนผ่นกรเรียนรู้ด้วยตนเอง
วิชาภาษาอังกฤษ EFL ออกแบบมาเพื่อช่วยให้นักเรียนมีความสามารถในการอ่านทําาความ เข้าใจระดับสูงผ่านการเรียนรู้ด้วยตนเอง ดังนั้นจึงเป็นสิ่งสําาคัญที่ต้องให้นักเรียนพัฒนาทัศนคติ และทักษะสําาหรับการเรียนรู้ด้วยตนเอง เพื่อที่พวกเขาจะได้รับประโยชน์สูงสุดจากการเรียนใน ขณะที่เรียนก้าวหน้าไป
ลักษณะทั่วไปของกรสอน
1. ระบบการเรยี นแบบคมุ องเปน็ ระบบการศกึ ษาทบ่ี า้ น โดยมจี ดุ มงุ่ หมายในการ พฒั นาความสามารถทางวชิ าการของนกั เรยี น เพอ่ื ทพ่ี วกเขาจะไดเ้ ตบิ โตเปน็ บคุ ลากรทม่ี คี ณุ ภาพของสงั คม ในขณะเดยี วกนั ยงั มจี ดุ มงุ่ หมายทจ่ี ะสรา้ งเดก็ ใหม้ ที ศั นคตแิ ละทกั ษะทจ่ี ะเรยี นรดู้ ว้ ยตนเอง เพอ่ื ใหเ้ ขาพง่ึ พาตวั เองไดใ้ นอนาคต
นักเรียนไม่สามารถพัฒนาทัศนคติและทักษะการเรียนรู้ด้วยตนเองผ่านการเรียนรู้ส่ิงท่ีเคย
Œ
เรียนมาแล้วที่โรงเรียนซําาเท่านั้น พวกเขาจะสามารถพัฒนาทักษะนี้ได้ก็ต่อเมื่อได้เรียนรู้สิ่งท่ีพวก
เขาไม่เคยเจอที่โรงเรียนมาก่อนด้วยตนเอง และเนื้อหาที่เกินชั้นเรียนของตนเอง
Understanding the Principles of Kumon Instruction: English as a Foreign Language l 7
นอกจากนี้ ความสามารถของการเรียนรู้ด้วยตนเองยังพัฒนาขึ้นไปอีกได้เมื่อนักเรียนเรียน เกินชั้นเรียนของตนเองจากหนึ่งปีเป็นเกินชั้นเรียนสองปี และจากสองปีเป็นสามปี จุดมุ่งหมาย คอื เพอ่ื ใหน้ กั เรยี นเรยี นกา้ วหนา้ อยา่ งนอ้ ยไปถงึ เนอ้ื หาของระดบั มธั ยมตน้ หรอื มธั ยมปลาย ในขณะที่ กําาลังเรียนอยู่ชั้นประถม
[วชิ าภาษาองั กฤษของคมุ องพฒั นาศกั ยภาพของเดก็ ผา่ นการเรยี นภาษา อังกฤษ]
วิชาภาษาอังกฤษของคุมองมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาศักยภาพของเด็กนักเรียน ไม่เพียงแค่เรียนภาษาอังกฤษจากวิชานี้เท่านั้น แต่พวกเขายังได้พัฒนาศักยภาพผ่าน การเรยี นภาษาองั กฤษดว้ ย ผมหมายความวา่ อยา่ งไรเมอ่ื กลา่ วถงึ การพฒั นาศกั ยภาพ ของนักเรียน ผมขอยกตัวอย่างตอนท่ีลูกๆ ของผมเรียนคณิตศาสตร์ด้วยแบบฝึกหัด ที่ผมคิดค้นขึ้น ผมคอยดูว่าพวกเขาสามารถเรียนรู้เนื้อหาคณิตศาสตร์ที่ไม่เคยเรียน ในโรงเรยี นไดด้ ว้ ยตนเองจนถงึ ระดบั ใด ผมสงั เกตไดว้ า่ นอกจากวชิ าคณติ ศาสตรแ์ ลว้ พวกเขายังได้รับประสบการณ์การเรียนรู้เรื่องต่างๆ ด้วยตนเอง ไม่ว่าจะในวิชา คณิตศาสตร์หรือภาษาอังกฤษ พวกเขาจะพัฒนาทัศนคติที่จําาเป็นสําาหรับการเรียน รู้สิ่งต่างๆ ด้วยตนเอง
(Monthly Chairman’s Meeting in East Japan เดือนธันวาคม ปี 1984)
ทุกวิชาของคุมองได้ถูกออกแบบมาเป็นพิเศษ เพื่อช่วยให้นักเรียนได้พัฒนาความสามารถ ในการเรยี นรดู้ ว้ ยตนเองผา่ นการเรยี นเนอ้ื หาทไ่ี มเ่ คยเรยี นมากอ่ น คณุ โทรุ คมุ องไดก้ ลา่ วถงึ ประเดน็ น้ีใน ลักษณะเด่นของระบบการเรียนแบบคุมอง ข้อ 10 “กลยุทธ์ที่จะช่วยให้นักเรียนสามารถก้าว ไปเรียนเนื้อหาที่เกินชั้นเรียน”
[กลยุทธ์ที่จะช่วยให้นักเรียนสามารถก้าวไปเรียนเน้ือหาท่ีเกินช้ันเรียน]
สําาหรับการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เราเน้นความสามารถในการคําานวณ แต่วิชาภาษา องั กฤษ EFL เราเนน้ ทก่ี ารทาํา ใหน้ กั เรยี นเขา้ ใจสง่ิ ทอ่ี า่ น สว่ นวชิ าภาษาแม่ (ภาษาญป่ี นุ่ ) เราเน้นที่การอ่านหนังสือ เมื่อเรามุ่งเน้นสิ่งเหล่าน้ีแล้ว นักเรียนก็จะสามารถเรียนใน ระดับมัธยมต้นหรือมัธยมปลายได้ด้วยความเข้าใจ ไม่ใช่เพียงลอกสิ่งที่คุณครูเขียน บนกระดานในชว่ัโมงเรยีนเทา่นน้ั และเราควรชว่ยนกัเรยีนใหเ้รยีนเกนิชน้ัเรยีนในโรงเรยีน ได้สองชั้นปี สามชั้นปี สี่ชั้นปี หรือมากกว่านั้น เมื่อนักเรียนเรียนเกินชั้นเรียนใน โรงเรียนได้สองชั้นปีแล้ว เขาจะสามารถเรียนรู้สิ่งที่กําาลังเรียนในโรงเรียนขณะนั้นได้
8 l Understanding the Principles of Kumon Instruction: English as a Foreign Language
อยา่ งไมย่ ากลาํา บาก และเมอ่ื เขาสามารถเรยี นเกนิ ชน้ั เรยี นไดส้ ช่ี น้ั ปี เขาจะพบวา่ เนอ้ื หา ทเ่ี กนิ ชน้ั เรยี นของเขาสองชน้ั ปนี น้ั งา่ ย
(ลักษณะเด่นของระบบการเรียนแบบคุมอง ข้อ 10)
แบบฝึกหัดวิชาภาษาอังกฤษ EFL ครอบคลุมจุดประสงค์การเรียนรู้ท่ีจําาเป็นต่อการพัฒนา ความสามารถในการอ่านทําาความเข้าใจ ซึ่งจะช่วยให้นักเรียนสามารถเรียนเกินชั้นเรียนผ่านการ เรียนรู้ด้วยตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ เม่ือนักเรียนทําาแบบฝึกหัดที่เกินช้ันเรียน ความสามารถ ในการอา่ นทาํา ความเขา้ ใจของพวกเขากจ็ ะไดร้ บั การพฒั นาตอ่ ไป ทา้ ยทส่ี ดุ นกั เรยี นจะพฒั นาทกั ษะ ต่างๆ ทางภาษาอังกฤษ เช่น ทักษะการฟังและการเขียน และมีความมั่นใจในการเรียนภาษา อังกฤษ
ในวิชาภาษาอังกฤษ EFL นักเรียนจะพบคําาศัพท์และวลีใหม่ๆ เมื่อพวกเขาทําาแบบฝึกหัด กา้ วหนา้ ไปเรอ่ื ยๆ ซง่ึ คาํา ศพั ทแ์ ละไวยากรณท์ น่ี กั เรยี นไดเ้ รยี นรมู้ ากอ่ นหนา้ นจ้ี ะเปน็ พน้ื ฐานในการ อา่ นคาํา และประโยคใหมๆ่ นกั เรยี นสามารถทาํา ความเขา้ ใจถงึ สถานการณห์ รอื บรบิ ทของเนอ้ื หาท่ี อา่นได้โดยอา้งองิจากคาําแปลในหนงัสอืประกอบCDและคาําอธบิายทอ่ียใู่นแบบฝกึหดั ดว้ยวธินี้ี นักเรียนจะสามารถพัฒนาความสามารถในการอ่านทําาความเข้าใจได้ผ่านการเรียนรู้ เนื้อหาใหม่ อยา่ งตอ่ เนอ่ื งซง่ึ เปน็ การพฒั นาศกั ยภาพของพวกเขา การไดพ้ บกบั ประโยคภาษาองั กฤษทห่ี ลากหลาย นักเรียนไม่เพียงแค่ได้เรียนรู้เนื้อหาที่ไม่เคยเรียนมาก่อน และพัฒนาความสามารถของพวกเขา แตย่งัไดเ้พม่ิมมุมองและมคีวามรลู้กึซง้ึมากขน้ึ นกัเรยีนทค่ีมุองตอ้งการพฒันาไดถ้กูกาําหนดไวใ้น ข้อ 7 ของ “ลักษณะทั่วไปของการสอน” ใน IP
ลักษณะทั่วไปของกรสอน
7. เมื่อนักเรียนพัฒนาความสามารถทางวิชาการผ่านการเรียนรู้ด้วยตนเองจาก การเรยี นวชิ าใดๆ ของคมุ อง Instructor สามารถสง่ เสรมิ ใหน้ กั เรยี นมที ศั นคติ และมลี กั ษณะนสิ ยั ทด่ี ตี อ่ การเรยี น ซง่ึ ในทส่ี ดุ ไดพ้ ฒั นาความสามารถโดยรวม ของนักเรียน นักเรียนที่สามารถเรียนรู้ด้วยตนเองในเนื้อหาที่เกินชั้นเรียน สามชน้ั ปหี รอื มากกวา่ นน้ั ไมเ่ พยี งแตจ่ ะแสดงใหเ้ หน็ ถงึ การพฒั นาความสามารถ ทางวิชาการเท่านั้น แต่ยังมีพัฒนาการทางลักษณะนิสัยที่ดีอีกด้วย
Understanding the Principles of Kumon Instruction: English as a Foreign Language l 9
1.2.4 กรทําแบบฝึกหัดช่วยให้นักเรียนสมรถอ่นงนเขียนใหม่ได้
เปา้ หมายของวชิ าภาษาองั กฤษ EFL คอื การพฒั นาความสามารถในการอา่ นทาํา ความเขา้ ใจ ระดบั สงู ผา่ นการอา่ นงานเขยี นภาษาองั กฤษทห่ี ลากหลาย ซง่ึ แนวคดิ นป้ี รากฏชดั เจนในชดุ เนอ้ื เรอ่ื ง สรุป (Skit และ Story set)
แบบฝึกหัดตั้งแต่ระดับ 7A ถึง I แต่ละจุดประสงค์การเรียนรู้ประกอบด้วยแบบฝึกหัด 50 แผ่น โดยชุดสุดท้ายเป็นชุดเนื้อเรื่องสรุป (Skit หรือ Story set) จุดมุ่งหมายของแบบฝึกหัด 40 แผ่นแรกในจุดประสงค์การเรียนรู้คือเพื่อให้นักเรียนสามารถอ่านเนื้อเรื่องสรุปในชุดท้ายน้ีได้ กล่าวอีกนัยหน่ึงคือ นักเรียนจะได้พบกับเน้ือเร่ืองสรุปใหม่ทุกครั้งเมื่อก้าวขึ้นไปเรียนจุดประสงค์ การเรยี นรใู้ หม่ นกั เรยี นจะคอ่ ยๆ พฒั นาทกั ษะการฟงั และความสามารถในการทาํา ความเขา้ ใจเนอ้ื เรอ่ื ง สรุปท่ีพวกเขาจะได้เรียนในชุดสุดท้ายของแต่ละจุดประสงค์การเรียนรู้ ผ่านการฟังเนื้อเรื่องสรุป ทกุ ครง้ั ในการทาํา แบบฝกึ หดั ทา้ ยทส่ี ดุ ความตง้ั ใจของแตล่ ะจดุ ประสงคก์ ารเรยี นรคู้ อื เพอ่ื ใหน้ กั เรยี น ได้พัฒนาความสามารถในการอ่านออกเสียงเนื้อเรื่องสรุปในขณะท่ีต้องเชื่อมเสียงภาษาอังกฤษ กับความหมายของสิ่งท่ีอ่าน
นักเรียนยังคงฟังและอ่านชุดเนื้อเร่ืองสรุป (Skit และ Story set) อย่างต่อเนื่องตั้งแต่เริ่มต้น เพื่อท่ีพวกเขาจะสามารถอ่านเน้ือเร่ืองได้อย่างไม่ยากเมื่อก้าวข้ึนไปเรียนระดับ J ขึ้นไป จากการ ทําาแบบฝึกหัดเป็นประจําาทุกวัน
10 l Understanding the Principles of Kumon Instruction: English as a Foreign Language
ใ2นบทนี้จะกล่าวถึงวิธีการนําาธรรมชาติในการเรียนรู้ด้วยตนเองของระบบการเรียนแบบ คมุองในวชิาภาษาองักฤษEFLมาใชใ้หเ้กดิประโยชนส์งูสดุ รวมถงึวธิกีารใหก้ารสอนเพอ่ืเพม่ิระดบั ความสําาเร็จของนักเรียนให้ไปถึงขีดสุดเท่าท่ีจะเป็นไปได้
2.1 กรทําแบบฝึกหัดผ่นกรเรียนรู้ด้วยตนเอง
แบบฝึกหัดวิชาภาษาอังกฤษ EFL ได้ออกแบบมาเพ่ือให้นักเรียนสามารถเรียนรู้ด้วยตนเอง โดยการอ่านตัวอย่างและคําาอธิบายในแบบฝึกหัดเช่นเดียวกับวิชาอื่น ดังนั้น Instructor ควร หลกี เลย่ี งการใหก้ ารสอนนกั เรยี นทม่ี ากเกนิ ไป ควรคาํา นงึ ถงึ การพฒั นาความสามารถในการเรยี นรู้ ด้วยตนเองให้แก่นักเรียน และให้การสอนที่ช่วยให้พวกเขาสามารถทําาแบบฝึกหัดได้ด้วยตนเอง เพื่อบรรลุเป้าหมายดังกล่าว สิ่งสําาคัญคือ Instructor ควรแนะนําาวิธีการเรียนที่ถูกต้องแก่นักเรียน เพื่อที่พวกเขาจะสามารถพัฒนาลักษณะการเรียนที่เหมาะสมและทําาให้สามารถหาคําาตอบ ได้ด้วยตนเอง จากนั้น เม่ือนักเรียนสามารถหาคําาตอบได้ด้วยตนเองแล้ว ให้กล่าวชมพวกเขาโดย ลงรายละเอยี ดซง่ึ จะทาํา ใหพ้ วกเขามกี าํา ลงั ใจและรสู้ กึ สนกุ กบั การเรยี นรดู้ ว้ ยตนเอง อกี ทง้ั ยงั เปน็ การ สร้างแรงบันดาลใจให้พวกเขาอยากท่ีจะทําาแบบฝึกหัดระดับสูงด้วย
2.1.1 กรปฏบิ ตั ติ มขน้ั ตอนกรเรยี นและพฒั นวธิ กี รเรยี นทเ่ี หมะสม
การจะทาํา ใหน้ กั เรยี นสามารถทาํา แบบฝกึ หดั ไดด้ ว้ ยตนเองนน้ั Instructor ควรมน่ั ใจวา่ นกั เรยี น ปฏบิ ตั ติ ามขน้ั ตอนการเรยี นทเ่ี หมาะสมและทาํา ตามคาํา สง่ั ในแบบฝกึ หดั อยา่ งเครง่ ครดั ในแบบฝกึ หดั วิชาภาษาอังกฤษ EFL นั้น คําาส่ังท้ังหมดจะเป็นภาษาอังกฤษ เม่ือนักเรียนก้าวข้ึนไปเรียนในข้ัน การเรียนใหม่ โดยเฉพาะอย่างย่ิงนักเรียนเด็กเล็ก จะเป็นช่วงเวลาที่ดีที่เราจะได้ประเมินลักษณะ การเรียนของพวกเขา ตัวอย่างเช่น ดูและอ่านคําาสั่งไปพร้อมกับพวกเขา และตรวจสอบเพื่อให้ แน่ใจถึงวิธีการเรียนที่พวกเขาทําาอยู่ว่าเป็นอย่างไร
สิ่งสําคัญในกรสอนของระบบกรเรียนแบบ คุมอง
Understanding the Principles of Kumon Instruction: English as a Foreign Language l 11
ขั้นตอนการเรียนท่ีเหมาะสมสําาหรับวิชาภาษาอังกฤษ EFL คือ ให้นักเรียน 1) ฟังเสียงจากเครื่องเล่นเสียง และออกเสียงตาม
2) ทําาแบบฝึกหัด
3) อ่านออกเสียงกับคุณครู
นักเรียนจําาเป็นต้องพัฒนาความสามารถในการอ่านออกเสียงภาษาอังกฤษในแบบฝึกหัด เปน็ อนั ดบั แรกเพราะเปน็ พน้ื ฐานสาํา คญั ทจ่ี ะทาํา ให้พวกเขาสามารถทาํา แบบฝกึ หดั วชิ าภาษาองั กฤษ EFL และเรียนก้าวหน้าไปได้ผ่านการเรียนรู้ด้วยตนเอง และเพื่อเป็นการพัฒนาความสามารถใน การอ่านออกเสียงให้แก่นักเรียน สิ่งสําาคัญคือพวกเขาต้องฟังและออกเสียงตามเครื่องเล่นเสียง จนกว่าจะสามารถอ่านเน้ือเรื่องได้ด้วยตนเอง ดังนั้น เริ่มตั้งแต่สมัครเรียน สิ่งที่สําาคัญเป็นอันดับ แรกคือการพัฒนาให้นักเรียนมีวิธีการเรียนที่เหมาะสมโดยเร็วที่สุดเท่าท่ีจะเป็นไปได้ โดยการให้ พวกเขาฟังเสียงคําาและประโยคอย่างตั้งใจจากเคร่ืองเล่นเสียงจนเป็นนิสัย ทําาความเข้าใจบริบท และความหมายของคําาและประโยคโดยดูจากคําาแปล และรูปภาพ รวมทั้งออกเสียงตามหรืออ่าน ออกเสียงโดยเลียนเสียงจากเครื่องเล่นเสียง
นกั เรยี นควรตระหนกั ถงึ จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรใู้ นขณะทาํา แบบฝกึ หดั เพอ่ื ทพ่ี วกเขาจะสามารถ พฒั นาลกั ษณะการเรยี นและเพม่ิ พนู ความสามารถในการอา่ นทาํา ความเขา้ ใจไดอ้ ยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ ผา่ นการเรยี นรดู้ ว้ ยตนเอง เมอ่ื จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรเู้ ปน็ เรอ่ื งไวยากรณ์ นกั เรยี นควรอา่ นประโยค ตวัอยา่งและคาําอธบิายไวยากรณเ์ปน็อยา่งแรกกอ่นลงมอืทาําแบบฝกึหดั ในขณะเดยีวกนั เราควรสอน ให้นักเรียนอ่านและเรียนรู้ทุกอย่างที่แบบฝึกหัดมีมาให้ ด้วยการอ่านทุกอย่างที่แบบฝึกหัดพิมพ์ มาใหน้น้ั เมอ่ืนกัเรยีนไมส่ามารถตอบคาําถามไดท้นัทีพวกเขาจะรวู้า่จะสามารถตรวจสอบคาําแนะนาํา ได้จากที่ไหนโดยไม่ต้องมีใครบอก อีกท้ังเม่ือทําาแบบฝึกหัดชุดเน้ือเร่ืองสรุป (Skit และ Story set) ถา้ นกั เรยี นอา่ นเนอ้ื เรอ่ื ง คาํา แปลทอ่ี ยใู่ นหนงั สอื ประกอบ CD และคาํา อธบิ ายทอ่ี ยใู่ นแบบฝกึ หดั กอ่ น ตอบคาํา ถามในแบบฝกึ หดั พวกเขาจะมคี วามเขา้ ใจทม่ี ากขน้ึ และสามารถเขยี นคาํา ตอบโดยไมจ่ าํา เปน็ ตอ้งยอ้นกลบัไปดเูนอ้ืเรอ่ืงมากนกั ทาําใหเ้กดิประสทิธภิาพในการเรียนรู้
ในการเรยี นภาษาองั กฤษ การฝกึ เขยี นจะชว่ ยใหน้ กั เรยี นจดจาํา คาํา ศพั ท์ และเขา้ ใจโครงสรา้ ง ประโยค เม่ือตระหนักถึงเสียงของคําาศัพท์และประโยค นักเรียนจะทําาแบบฝึกหัดในส่วนการเขียน ได้ดียิ่งข้ึน ดังนั้นนักเรียนจึงควรอ่านออกเสียงไปด้วยขณะเขียนคําาตอบ
สดุ ทา้ ย การพยายามเขยี นอยา่ งประณตี และระมดั ระวงั โดยไมเ่ วน้ ชอ่ งวา่ งระหวา่ งตวั อกั ษร ในคาํา และเวน้ ระยะหา่ งระหวา่ งคาํา อยา่ งพอเหมาะจะทาํา ใหน้ กั เรยี นสามารถตรวจคาํา ตอบของตวั เองได้ งา่ ย และสง่ ผลใหเ้ ขยี นผดิ นอ้ ยลงรวมทง้ั งา่ ยตอ่ การทาํา ความเขา้ ใจจดุ ประสงคก์ ารเรยี นรนู้ น้ั ๆ
12 l Understanding the Principles of Kumon Instruction: English as a Foreign Language
2.1.2 กรตอบคําถมนักเรียนในกรทําแบบฝึกหัดหรือแก้งน
ในการตอบคาํา ถามนกั เรยี นขณะนกั เรยี นทาํา แบบฝกึ หดั และใหก้ ารสอนในการแกง้ าน เราตอ้ ง สอนดว้ ยวธิ กี ารทจ่ี ะชว่ ยพฒั นาความสามารถในการเรยี นรดู้ ว้ ยตนเองใหแ้ กน่ กั เรยี น ดงั นน้ั กอ่ นทจ่ี ะ ใหต้วัชว่ยหรอืสอนทนัทเีมอ่ืนกัเรยีนไมส่ามารถตอบคาําถามในแบบฝกึหดั หรอืแกข้อ้ผดิดว้ยตนเองได้ Instructor ควรพจิ ารณาวา่ ทาํา ไมนกั เรยี นจงึ ไมส่ ามารถทาํา ไดเ้ องแลว้ จงึ คอ่ ยใหก้ ารสอนทส่ี อดคลอ้ ง กบั สาเหตดุ งั กลา่ ว
ตัวอย่างเช่น เมื่อนักเรียนไม่เข้าใจประโยคที่เป็นจุดประสงค์การเรียนรู้ Instructor ควรให้ นักเรียนอ่านตัวอย่างและคําาอธิบายในแบบฝึกหัด รวมถึงอ่านคําาตอบที่ยังไม่ถูกต้องของตนเอง อกี ครง้ั จากนน้ั ควรสอนนกั เรยี นในลกั ษณะทช่ี ว่ ยใหพ้ วกเขาหาคาํา ตอบทถ่ี กู ตอ้ งไดด้ ว้ ยตนเอง สาํา หรบั นกั เรยี นทม่ี คี วามสามารถไมส่ งู นกั การใหพ้ วกเขาอา่ นออกเสยี งประโยคตวั อยา่ งหรอื ประโยคทผ่ี ดิ อาจช่วยให้พวกเขาทําาได้ดียิ่งขึ้น
ถ้านักเรียนทําาแบบฝึกหัดไม่ได้เพราะไม่เข้าใจความหมายของประโยคตัวอย่างหรือ เนื้อเร่ือง Instructor ควรให้นักเรียนอ่านคําาอธิบายในแบบฝึกหัดหรือคําาแปลภาษาไทยในหนังสือ ประกอบ CD อีกครั้ง
นอกจากนี้ ถ้านักเรียนไม่แน่ใจคําาตอบของตนเอง เช่น เมื่อขึ้นเรื่องใหม่ ให้ทําาการตรวจ แบบฝึกหัดก่อนและให้คําาแนะนําาเพื่อที่จะช่วยให้พวกเขาทําาแบบฝึกหัดต่อไปด้วยความม่ันใจ ในการตรวจแบบฝกึ หดั lnstructor สามารถตรวจทลี ะขอ้ หรอื ทลี ะแผน่ กไ็ ด้ ขน้ึ อยกู่ บั ความจาํา เปน็ สําาหรับนักเรียนแต่ละคน
แม้ Instructor จะให้ความช่วยเหลือนักเรียน แต่สิ่งสําาคัญคือ การทําาให้นักเรียนรู้สึกว่า พวกเขาเขียนคําาตอบได้ด้วยตนเองทุกครั้ง เมื่อนักเรียนได้รับประสบการณ์แห่งความสําาเร็จเช่นนี้ ซ้ําาๆ พวกเขาจะพัฒนาและเรียนรู้ถึงวิธีการเรียนรู้ด้วยตนเอง
ในกรณีที่นักเรียนไม่สามารถแก้ข้อผิดด้วยตนเอง Instructor สามารถบอกส่วนหนึ่งของ คําาตอบหรือคําาตอบท่ีถูกต้องท้ังหมดแก่นักเรียน หรือแม้กระทั่งให้นักเรียนดูหนังสือเฉลยคําาตอบ (Answer Book) ทว่า Instructor ต้องไม่ลืมที่จะให้นักเรียนตรวจสอบข้อผิดของตัวเองและให้คิด หาวิธีการที่จะได้มาซึ่งคําาตอบที่ถูกต้อง อย่างไรก็ตาม เมื่อให้นักเรียนดูหนังสือเฉลยคําาตอบ Instructor ควรใหน้ กั เรยี นอา่ นคาํา ตอบทถ่ี กู ตอ้ งแลว้ ปดิ หนงั สอื เฉลยคาํา ตอบเพอ่ื ทพ่ี วกเขาจะไมล่ อก คําาตอบขณะเขียนแต่จะเขียนคําาตอบด้วยตนเอง
Understanding the Principles of Kumon Instruction: English as a Foreign Language l 13
แนวคิดที่กล่าวมาข้างต้นนั้นได้ถูกสรุปไว้ในหนังสือ IP บทที่ 5.2 “การสอนพ้ืนฐาน (ใช้ได้ กับทุกวิชา)”
5.2 กรสอนพื้นฐน (ใชไ้ ดก้ ับทุกวิช)
5.2.1 ให้นักเรียนพยายามทําาแบบฝึกหัดด้วยตนเอง
5.2.2 ให้กําาลังใจนักเรียน
5.2.3 ให้การสอนในขั้นตอนที่จําาเป็น
5.2.4 ให้ความช่วยเหลือนักเรียนเม่ือพวกเขาไม่สามารถหาคําาตอบได้ด้วย
ตนเอง
(Instruction Principles)
2.2 ทําต่อเนื่องจนกว่ข้อผิดจะได้รับกรแก้ไขทั้งหมด (กรตรวจงน คือขั้นแรกของกรสอน)
แนวคิดเบื้องหลังของการตรวจงานในวิชาภาษาอังกฤษ EFL เหมือนกับวิชาคณิตศาสตร์ และภาษาแม่ กล่าวคือ การตรวจงานในระบบการเรียนแบบคุมองต่างจากการตรวจข้อสอบใน โรงเรียนตรงที่ไม่ได้มีไว้เพื่อประเมินความสามารถเชิงวิชาการของนักเรียน วัตถุประสงค์ของการ ตรวจงานในระบบการเรยี นแบบคมุ องไมใ่ ชก่ ารหกั คะแนน แตเ่ ปน็ การทาํา ใหน้ กั เรยี นมคี วามเขา้ ใจ ในจุดประสงค์การเรียนลึกซึ้งข้ึนผ่านการแก้งานจนกว่าจะได้คะแนนเต็ม
เม่ือทําาการตรวจแบบฝึกหัด Instructor ควรให้นักเรียนรู้ถึงข้อที่ผิดและให้พวกเขาได้คิดหา วิธีแก้ข้อผิดเหล่านั้นด้วยตนเอง ซึ่งจะช่วยให้พวกเขาเข้าใจจุดประสงค์การเรียนรู้ได้ลึกซึ้งขึ้น หลังจากตรวจงานเสร็จแล้ว คะแนนเต็มที่อยู่ในแบบฝึกหัดคือสิ่งที่ Instructor แสดงให้นักเรียน รวู้ า่ พวกเขาทาํา ไดด้ ี ซง่ึ เปน็ การสรา้ งกาํา ลงั ใจใหพ้ วกเขาอยากทจ่ี ะกา้ วไปทาํา แบบฝกึ หดั ในชดุ ถดั ไป ดว้ ยเหตผุ ลเหลา่ น้ี การตรวจในระบบการเรยี นแบบคมุ องจงึ มคี วามสาํา คญั และกลา่ วไดว้ า่ การตรวจงาน คือข้ันแรกของการสอน
ดังนั้น การตรวจงานจึงไม่ควรดูเพียงว่าคําาตอบของนักเรียนถูกต้องหรือไม่ แต่ Instructor ควรถือเป็นโอกาสในการประเมินสภาพการเรียนของนัักเรียน และพิจารณาถึงการสอนที่จําาเป็น สาํา หรบั นกั เรยี นแตล่ ะคน การสงั เกตวา่ นกั เรยี นทาํา ผดิ ในลกั ษณะใดจะชว่ ยให้ Instructor ทราบวา่ นักเรียนยังไม่เข้าใจจุดใด นอกจากนี้ ลายมือของนักเรียนยังบอกให้เราทราบถึงแรงจูงใจและ สภาพการเรียนของนักเรียนในวันนั้น อีกทั้ง Instructor จะทราบว่านักเรียนได้พัฒนาวิธีการ
14 l Understanding the Principles of Kumon Instruction: English as a Foreign Language
เรยีนทเ่ีหมาะสมแลว้หรอืไมจ่ากลกัษณะการเขยีนของนกัเรยีนเชน่ นกัเรยีนเขยีนตวัอกัษรตดิกนั โดยไมเ่ วน้ ชอ่ งวา่ งในหนง่ึ คาํา หรอื ไม่ และนกั เรยี นเวน้ ระยะหา่ งระหวา่ งคาํา ไดอ้ ยา่ งเหมาะสมหรือไม่ ดงันน้ั Instructorจงึสามารถรวบรวมขอ้มลูเกย่ีวกบันกัเรยีนรวมถงึวธิกีารเรยีนไดจ้ากการตรวจงาน
Instructor ควรตรวจแบบฝกึ หดั โดยทนั ทใี นขณะทน่ี กั เรยี นยงั มคี วามจาํา เกย่ี วกบั แบบฝกึ หดั อยู่ หากมีข้อผิด Instructor ควรให้นักเรียนแก้งานทันที และพยายามให้นักเรียนมีสมาธิจนกว่า จะได้คะแนนเต็ม ซึ่งจะช่วยเพิ่มความสามารถในการเรียนรู้ให้แก่นักเรียน เช่นเดียวกับการเรียน ในวิชาอื่น การเรียนวิชาภาษาอังกฤษ EFL จะมีประสิทธิภาพมากขึ้น เมื่อนักเรียนตรวจสอบ คําาตอบและแก้งานขณะที่ยังจําาเสียงภาษาอังกฤษจากการฟังและการฝึกการอ่านออกเสียงได้ดี
เปน็ทน่ีา่สงัเกตวา่ มคีวามเปน็ไปไดท้เ่ีราสามารถขอใหผ้ปู้กครองตรวจแบบฝกึหดัชดุการบา้น ให้นักเรียนที่บ้าน เพื่อที่จะสามารถแแก้งานได้ทันที อย่างไรก็ตาม Instructor จําาเป็นต้องอธิบาย และเนน้ ยาําŒ ใหผ้ ปู้ กครองเขา้ ใจถงึ วตั ถปุ ระสงค์ และแนวคดิ เบอ้ื งหลงั ของการตรวจงานทบ่ี า้ น แตใ่ น ความเป็นจริงแล้ว เนื่องจากระดับความร่วมมือของแต่ละครอบครัวในการดูแลเร่ืองการบ้านเป็น ปจั จยั สาํา คญั ตอ่ ความกา้ วหนา้ ของนกั เรยี น จงึ เปน็ สง่ิ ทส่ี าํา คญั ท่ี Instructor ควรสอ่ื สารกบั ผปู้ กครอง เกี่ยวกับสภาพการเรียนที่บ้าน (โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สภาพการเรียนของนักเรียนเมื่อพวกเขาต้อง ฟังเสียงจากเคร่ืองเล่นเสียงและการอ่านออกเสียง) เมื่อทําาการตรวจงานท่ีบ้าน Instructor ควร ตรวจสอบแบบฝกึหดัทผ่ีปู้กครองตรวจและเวลาทน่ีกัเรยีนทาําแบบฝกึหดัเสรจ็ และควรใหม้น่ัใจวา่ นักเรียนทําาตามขั้นตอนการเรียนถูกต้องหรือไม่ เพื่อท่ีจะได้ทราบถึงสภาพการเรียนของนักเรียน ทบ่ี า้ น เมอ่ื นกั เรยี นกา้ วหนา้ ไปถงึ แบบฝกึ หดั ระดบั ทส่ี งู ขน้ึ การตรวจงานทบ่ี า้ นอาจเปน็ ภาระสาํา หรบั ผู้ปกครอง หรือผู้ปกครองอาจไม่สามารถตรวจงานที่บ้านได้ กรณีนี้ Instructor ควรยกเลิกการ ตรวจงานท่ีบ้านทันทีและเปล่ียนมาตรวจงานท่ีศูนย์แทน
สําาหรับนักเรียนที่ได้รับการพัฒนาทัศนคติและทักษะการเรียนรู้ด้วยตนเองแล้วและมี แรงจูงใจสูง อาจพิจารณาให้นักเรียนใช้หนังสือเฉลยคําาตอบในการตรวจคําาตอบของตนเองได้ กรณีนี้ Instructor ต้องตรวจสอบแบบฝึกหัดท่ีนักเรียนตรวจอีกครั้งและประเมินสภาพการเรียน ของนักเรียน อย่างไรก็ตาม เช่นเดียวกับการตรวจงานที่บ้าน หากการให้นักเรียนตรวจงานเอง กลายเป็นภาระของนักเรียน Instructor ควรยกเลิกและเปลี่ยนมาตรวจงานที่ศูนย์
Understanding the Principles of Kumon Instruction: English as a Foreign Language l 15
2.3 ใช้เวลประมณ 30 นทีต่อวันในกรเรียน EFL
แบบฝึกหัดของคุมองได้รับการออกแบบมาเพื่อเสริมสร้างความสามารถทางวิชาการ และพฒั นาความสามารถในการเรยี นรดู้ ว้ ยตนเองผา่ นการเรยี นอยา่ งตอ่ เนอ่ื ง เพอื่ื ใหน้ กั เรยี นมสี มาธิ และแรงจูงใจในการทําาแบบฝึกหัดอย่างต่อเนื่องด้วยตนเองนั้น เวลาในการเรียนที่เหมาะสมควร อยู่ท่ีประมาณ 30 นาทีต่อวันต่อวิชา ถ้านักเรียนใช้เวลาเรียน 30 นาทีต่อวันและทําาแบบฝึกหัด เฉลี่ย 200 แผ่นต่อเดือน พวกเขาจะทําาแบบฝึกหัดได้ 2,400 แผ่นต่อปี ดังนั้นจึงมีความ เป็นไปได้ว่านักเรียนจะสามารถก้าวหน้าไปได้มากกว่าสี่ระดับในหนึ่งปี แม้ว่ารอบการทําาซŒําาเฉลี่ย จะอยู่ที่ 2.5 รอบก็ตาม
ด้วยการใช้เวลา 30 นาทีต่อวันเป็นเกณฑ์ Instructor ควรพิจารณาจําานวนแบบฝึกหัดทèÕ นักเรียนจะสามารถทําาได้และยังคงรักษาไว้ซึ่งวิธีการเรียนที่เหมาะสม เช่น การอ่านแบบฝึกหัด แต่ละแผ่นอย่างตั้งใจ การเขียนอย่างประณีตและระมัดระวัง นอกจากนี้ ยังต้องพิจารณาถึง จําานวนแบบฝึกหัดที่จะทําาให้นักเรียนรักษาสมาธิและแรงจูงใจในการเรียนด้วย
สาํา หรบั นกั เรยี นทม่ี แี รงจงู ใจในการทาํา แบบฝกึ หดั สงู เราไมจ่ าํา เปน็ ทจ่ี ะตอ้ งบงั คบั ใหเ้ ขาหยดุ ทาํา แบบฝึกหัดเมื่อครบ 30 นาที ในทางกลับกัน สําาหรับเด็กเล็กที่มีสมาธิและแรงจูงใจในการเรียนได้ เพยี ง 10 นาที เรากไ็ มจ่ าํา เปน็ ตอ้ งใหเ้ ขาทาํา แบบฝกึ หดั ใหค้ รบ 30 นาที
2.4 ควรให้นักเรียนทําแบบฝึกหัดเรียงตมลําดับ
จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรใู้ นแบบฝกึ หดั ไดอ้ อกแบบมาเพอ่ื พฒั นาความสามารถในการอา่ นทาํา ความเข้าใจของนักเรียน โดยถูกจัดเรียงไว้ตามลําาดับตั้งแต่ระดับล่างไปจนถึงระดับสูง แม้การจัด เรียงของจุดประสงค์การเรียนรู้จะแตกต่างจากในหนังสือเรียน ก็ไม่ควรให้นักเรียนทําาแบบฝึกหัด ข้ามชุด แต่ควรให้นักเรียนทําาแบบฝึกหัดตามลําาดับเพื่อให้พวกเขาพัฒนาความสามารถในการ เรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สําาหรับนักเรียนที่ขาดทักษะการใช้ดินสอ เราอาจใช้โปรแกรมทักษะการใช้ดินสอควบคู่ไป กับวิชาคณิตศาสตร์ วิชาภาษาแม่ หรือวิชาภาษาต่างเทศได้ อย่างไรก็ตาม Instructor ต้องมั่นใจ ว่าการใช้โปรแกรมทักษะการใช้ดินสอควบคู่กับการทําาแบบฝึกหัดสองหรือสามวิชาน้ันจะไม่เป็น ภาระที่หนักเกินไปสําาหรับเด็กเล็กที่มีทักษะการใช้ดินสอไม่เพียงพอ การพัฒนาทักษะการเขียน คือเป้าหมายของโปรแกรมทักษะการใช้ดินสอท่นี ักเรียนจําาเป็นต้องได้รับการพัฒนาเพ่ือใช้ใน การทาํา แบบฝกึ หดั วชิ าอน่ื ๆ ดงั นน้ั หากนกั เรยี นไดร้ บั การพฒั นาทกั ษะการเขยี นทเ่ี พยี งพอตอ่ การทาํา แบบฝกึหดัแลว้ กไ็มจ่าําเปน็ตอ้งใหพ้วกเขาทาําแบบฝกึหดัโปรแกรมทกัษะการใชด้นิสออกีตอ่ไป
16 l Understanding the Principles of Kumon Instruction: English as a Foreign Language
2.5 จับเวลเมื่อทําแบบฝึกหัด
เวลามาตรฐานในการทาํา แบบฝกึ หดั (StandardCompletionTime–SCT)มาจากความคดิ ของคุณโทรุ คุมอง ที่ว่าความสามารถในการเรียนรู้สามารถประเมินได้จากเวลาที่นักเรียนใช้ทําา แบบฝกึหดัจนเสรจ็ เวลาSCTไดน้าํามาใชเ้ปน็เกณฑใ์นการทาําซาํา้สาําหรบัวชิาคณติศาสตร์ตง้ัแตป่ี 1979 และเรม่ิ ใชใ้ นวชิ าภาษาองั กฤษ EFL เมอ่ื เรม่ิ มกี ารเรยี นการสอนในประเทศญป่ี นุ่ ตง้ั แตป่ ี 1980 เพอ่ื ประเมนิ ความชาํา นาญในการทาํา แบบฝกึ หดั และพจิ ารณาวา่ การทาํา ซาําŒ นน้ั จาํา เปน็ หรอื ไม่ และไดใ้ ช้ วิธีเดียวกันน้ีกับวิชาภาษาอังกฤษ EFL จนถึงปัจจุบัน
Instructor ตอ้ งแนใ่ จวา่ นกั เรยี นทาํา แบบฝกึ หดั ดว้ ยวธิ กี ารเรยี นทเ่ี หมาะสมกอ่ นจะเปรยี บเทยี บ เวลา SCT กับเวลาที่นักเรียนใช้ทําาแบบฝึกหัดจนเสร็จ ดังน้ันเราจึงต้องฝึกให้นักเรียนจับเวลาและ บันทึกเวลาที่ทําาลงในแบบฝึกหัดทุกคร้ังจนเป็นนิสัยไม่ว่าจะเป็นการทําาที่ศูนย์หรือที่บ้านก็ตาม
2.6 บันทึกผลกรเรียน
การบนั ทกึ ความกา้ วหนา้ ในการเรยี นของนกั เรยี นลงในสมดุ บนั ทกึ ผลการเรยี นเปน็ สง่ิ สาํา คญั สาํา หรบั การสอนในระบบการเรยี นแบบคมุ อง สมดุ บนั ทกึ ผลการเรยี นของนกั เรยี นเปน็ แหลง่ ขอ้ มลู สําาคัญสําาหรับ Instructor ในการประเมินความสามารถของนักเรียนได้อย่างถูกต้องเช่นเดียวกับ การสังเกตนักเรียนขณะเรียนที่ศูนย์และตรวจดูแบบฝึกหัดท่ีนักเรียนทําาเสร็จ
สมุดบันทึกผลการเรียนควรมีบันทึกของคะแนนและเวลาที่ใช้ในการทําาแบบฝึกหัด ครั้งแรก (สามารถบันทึกสิ่งที่สังเกตได้จากการอ่านออกเสียงกับคุณครูของนักเรียน) การบันทึก ผลการเรียนของนักเรียนมีประโยชน์ในการประเมินว่านักเรียนทําาแบบฝึกหัดอยู่ในระดับท่ี “พอเหมาะพอด”ี หรอื ไม่ รวมถงึ การพจิ ารณาความจาํา เปน็ ในการปรบั แผนการเรยี นและเปา้ หมาย การเรียน การเปรียบเทียบผลการเรียนที่บันทึกไว้กับสภาพการเรียนของนักเรียนในปัจจุบัน จะ ทําาให้ Instructor สามารถปรับแผนการเรียนของนักเรียนและประเมินการเปล่ียนแปลงในความ สามารถของนักเรียนได้อย่างแม่นยําามากข้ึน
Understanding the Principles of Kumon Instruction: English as a Foreign Language l 17
3 กรกําหนดจุดเริ่มต้นและเป้หมยกรเรียน
เมื่อนักเรียนเริ่มเรียนคุมอง Instructor จะพิจารณาความสามารถในการเรียนรู้ของพวกเขา ในวนั ทม่ี าสมคั รเรยี น โดยใหท้ าํา แบบทดสอบวดั ระดบั (Diagnostic Test – DT) จากนน้ั จงึ กาํา หนด จดุ เรม่ิ ตน้ และวางเปา้ หมายการเรยี นในหนง่ึ ปี กอ่ นทน่ี กั เรยี นจะเรม่ิ เรยี นทศ่ี นู ยใ์ นวนั แรกสง่ิ สาํา คญั คือ Instructor ควรให้นักเรียนและผู้ปกครองดูแบบฝึกหัดและอธิบายเนื้อหาที่พวกเขากาํา ลงั จะ เรยีนเพอ่ืเปน็การยนืยนั จากนน้ัจงึพดูคยุกบัผปู้กครองและนกัเรยีนเกย่ีวกบัจดุเรม่ิตน้ และเปา้หมาย การเรียน
3.1 จุดเริ่มต้นสําหรับนักเรียนใหม่
เมื่อนักเรียนสมัครเรียน Instructor จะให้นักเรียนทําาแบบทดสอบวัดระดับที่เหมาะสมกับ นักเรียนแต่ละคน เพื่อประเมินความสามารถในการเรียนรู้อย่างเป็นรายบุคคล จากน้ันจึงกําาหนด จุดเร่ิมต้นของนักเรียนแต่ละคน แม้จะเป็นการกําาหนดจุดเริ่มต้นสําาหรับเด็กเล็ก เช่น เด็กก่อน วัยเรียน แต่ Instructor ก็ไม่ควรให้นักเรียนเร่ิมต้นท่ี 7A1 ทันทีโดยไม่พิจารณากราฟวิเคราะห์ หาจุดเร่ิมต้นก่อน และแม้ว่าโดยมาตรฐานจะต้องอ้างอิงกราฟวิเคราะห์หาจุดเริ่มต้น Instructor ก็ไม่ควรกําาหนดจุดเริ่มต้นโดยพิจารณาผลการทดสอบจากคะแนน เพียงอย่างเดียว แต่ Instructor ควรพิจารณาวิธีท่ีนักเรียนทําาแบบทดสอบและลักษณะคําาตอบท่ีนักเรียนเขียนร่วมกับการ ประเมินความสามารถด้านการอ่าน การเขียน และการอ่านออกเสียงควบคู่กันไป นอกจากนี้ Instructor ควรรวบรวมข้อมูล เช่น ลักษณะครอบครัวของนักเรียน หรือสภาพแวดล้อมในการ เรียนภาษาอังกฤษที่โรงเรียน เพ่ือกําาหนดเป้าหมายการเรียนได้อย่างเหมาะสมยิ่งขึ้น
จุดเร่ิมต้นในวิชาภาษาอังกฤษ EFL ท่ีสามารถเป็นได้คือระดับ 7A, 4A, A, D, G และ J ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับวิชาคณิตศาสตร์และวิชาภาษาแม่แล้ว จะมีจําานวนระดับที่น้อยกว่าและ อาจทําาให้ Instructor มีความลําาบากในการตัดสินใจที่จะให้จุดเริ่มต้น เมื่อกําาหนดเป้าหมาย การเรยี นจากจดุ เรม่ิ ตน้ เราอาจพจิ ารณาความกา้ วหนา้ และสภาพการเรยี นของนกั เรยี นในวชิ าอน่ื ท่ีกําาลังเรียนอยู่ไว้เป็นข้อมูลในการช่วยตัดสินใจ ตัวอย่างเช่น หากนักเรียนเรียนก้าวหน้าได้อย่าง รวดเร็วในวิชาอื่น อาจเป็นข้อมูลสําาหรับการตัดสินใจของ Instructor ในการกําาหนดเป้าหมาย การเรียนในวิชาภาษาอังกฤษให้มีความท้าทายมากขึ้น อย่างไรก็ตาม หาก Instructor รู้สึก
18 l Understanding the Principles of Kumon Instruction: English as a Foreign Language
ไม่แน่ใจและตัดสินใจให้จุดเริ่มต้นที่ต่ําากว่า เช่น ให้ 7A1 แทนที่จะเป็น 4A1 หรือ 4A21 Instructor กค็ วรวางแผนการเรยี นใหมอ่ ยา่ งเปน็ รายบคุ คล โดยพจิ ารณาถงึ ระยะเวลาและจาํา นวน แบบฝกึ หดั ทน่ี กั เรยี นจะไดท้ าํา เพอ่ื ทจ่ี ะทาํา ใหน้ กั เรยี นกา้ วขน้ึ ไปเรยี น 4A ไดเ้ รว็ ทส่ี ดุ เทา่ ทจ่ี ะเปน็ ไปได้
นกั เรยี นใหมจ่ ะเรม่ิ เรยี นในระดบั ทต่ี าํา่ กวา่ ความสามารถในการเรยี นรขู้ องตนเอง เพอ่ื ใหน้ กั เรยี น สามารถทําาคะแนนเต็มได้หลายครั้งจากการทําาด้วยตนเอง ซึ่งส่งผลให้นักเรียนมีความมั่นใจใน ตนเองเพิ่มขึ้น และเมื่อนักเรียนก้าวหน้าสู่ระดับการเรียนที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง พวกเขาจะมี ความสนใจและแรงจูงใจในการเรียนเพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้นักเรียนควรเร่ิมจากระดับที่สามารถ เรยี นไดด้ ว้ ยตนเองอยา่ งมคี วามสขุ ในระยะเวลาหนง่ึ โดยไมม่ ใี ครสอน ดว้ ยวธิ นี น้ี กั เรยี นจะไดพ้ ฒั นา ทักษะการทําางานของตนเองผ่านการทําาแบบฝึกหัดจําานวนมากและเสริมสร้างนิสัยการ ทําาแบบฝึกหัดด้วยตนเอง โดยพื้นฐานแล้วน่ีคือเหตุผลว่าทําาไมจุดเริ่มต้นที่นักเรียนสามารถทําาได้ คะแนนเต็มนั้นจึงถูกเลือกให้นักเรียน
3.2 เป้หมยควมก้วหน้สําหรับนักเรียนใหม่
โดยปกตแิ ลว้ นกั เรยี นใหมจ่ ะเรม่ิ เรยี นจากเนอ้ื หาทต่ี าํา่ กวา่ ระดบั ชน้ั เรยี นในโรงเรยี น (Kumon International Standard – KIS) แตเ่ ปา้ หมายของวชิ าภาษาองั กฤษ EFL คอื การใหน้ กั เรยี นพฒั นา ความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษระดับสูง ดังนั้นนักเรียนจึงจําาเป็นต้องเรียนเกินชั้นเรียน ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทําาได้และก้าวหน้าไปยังระดับท่ีเกินชั้นเรียน
เป้าหมายความก้าวหน้าในการเรียนสําาหรับนักเรียนใหม่ คือ การมุ่งให้นักเรียนเรียนทันชั้น เรียนในโรงเรียนภายในเวลาหนึ่งปีหลังจากสมัครเรียน หลังจากเรียนทันช้ันเรียนแล้ว เราจะมุ่งให้ นกั เรยี นเรยี นเกนิ ชน้ั เรยี น (Advanced Student Honor Roll – ASHR) จนกระทง่ั เรยี นเกนิ ชน้ั เรยี น ได้อย่างน้อยสามชั้นปีขึ้นไปโดยการทําาแบบฝึกหัดปีละสองระดับหรือมากกว่า สําาหรับเป้าหมาย การเรียนเราจําาเป็นต้องให้ความสําาคัญอย่างมากกับ คําาว่า “ภายในหนึ่งปี” และ “แบบฝึกหัด สองระดับหรือมากกว่า” คุณโทรุ คุมอง เคยกล่าวไว้ว่าวิชาภาษาอังกฤษของคุมองคือวิชาที่ นักเรียนจะรู้สึกสนุกกับการเรียนก้าวไปข้างหน้ามากท่ีสุด
ในมมุ มองดา้ นการสอน ถา้ ตอ้ งตดั สนิ วา่ วชิ าไหนพฒั นาความสามารถของนกั เรยี นงา่ ย ที่สุด แน่นอนผมเชื่อว่ามันเป็นวิชาภาษาอังกฤษ
(การประชุมโต๊ะกลม ยามาบิโกะ เดือนมีนาคม ปี 1989) Understanding the Principles of Kumon Instruction: English as a Foreign Language l 19
ลักษณะพิเศษอย่างหน่ึงของวิชาภาษาคือจุดประสงค์การเรียนท่ีอยู่ในแบบฝึกหัดน้ันจะ ไม่สอดคล้องกับหลักสูตรของโรงเรียนเสมอไป แม้เปรียบเทียบกับวิชาอื่น สิ่งท่ีคล้ายกันสําาหรับ นักเรียนก็คือการใช้เวลาในการเรียนน้อยกว่าในบางขั้นการเรียน ดังนั้นเมื่อกําาหนดเป้าหมาย การเรียน จึงเป็นเรื่องสําาคัญที่ต้องกําาหนดเป้าหมายอย่างเป็นรายบุคคลเพื่อที่จะดึงและพัฒนา ศกั ยภาพของนกั เรยี นแตล่ ะคนได้
(ในวชิ าภาษาตา่ งประเทศ หลงั จากทเ่ี รยี นทนั ชน้ั เรยี นแลว้ ควรตง้ั เปา้ หมายใหน้ กั เรยี นทาํา แบบฝกึ หดั ปลี ะสามระดบั หรอื มากกวา่ เพอ่ื ทจ่ี ะเปน็ นกั เรยี นทเ่ี รยี นเกนิ ชน้ั เรยี น หลงั จากนน้ั ยงั คงเรยี นกา้ วหนา้ อยา่ งตอ่ เนอ่ื งในขณะทค่ี งไวซ้ ง่ึ สถานะของการเรยี นเกนิ ชน้ั เรยี นอยา่ งนอ้ ยสามชน้ั ป)ี
3.3 วัตถุประสงค์ของกรกําหนดเป้หมยกรเรียน
การกําาหนดเป้าหมายการเรียนมีวัตถุประสงค์เพ่ือให้นักเรียนเรียนวิชาภาษาอังกฤษ EFL อยา่ งตอ่ เนอ่ื งและเรยี นจนจบระดบั สดุ ทา้ ยในทส่ี ดุ เพอ่ื ทจ่ี ะทาํา ใหน้ กั เรยี นเปน็ ไปตามเปา้ หมาย โดยเรว็ ทส่ี ดุ เทา่ ทจ่ี ะเปน็ ไปได้ Instructor ควรใหก้ ารสอนทส่ี อดคลอ้ งกบั เปา้ หมายการเรยี นทต่ี ง้ั ไว้
เป้าหมายการเรียนนั้นประกอบด้วยแผนการเรียนท่ีแสดงให้เห็นว่านักเรียนจะเรียน กา้ วหนา้ ไประดบั ถดั ไปไดอ้ ยา่ งไรในชว่ งเวลาสน้ั ๆ โดยการกาํา หนดเปา้ หมายระยะกลางและระยะยาว จากจดุ เรม่ิ ตน้ ในแผนการเรยี นจะมอี งคป์ ระกอบ 3 อยา่ ง คอื จาํา นวนแบบฝกึ หดั ทต่ี อ้ งทาํา จาํา นวน คร้ังที่ต้องทําาแบบฝึกหัดซŒําา และระยะเวลาในการเรียน
ในการกาํา หนดเปา้ หมายการเรยี น Instructor ควรตระหนกั ถงึ 2 สง่ิ ตอ่ ไปนอ้ี ยเู่ สมอ นน่ั คอื :
1. ความตั้งใจของInstructorกล่าวคือความต้ังใจที่จะให้นักเรียนคนนี้ก้าวหน้าไปแค่ไหน และภายในเม่ือไร
2. ระดับความเข้าใจของ Instructor ในศักยภาพของนักเรียนจากประสบการณ์และผล การเรียนก่อนหน้านี้
สิ่งสําาคัญคือ Instructor ต้องมีความเข้าใจในความสามารถของนักเรียนอย่างลึกซึ้งผ่าน การมีความเชื่อมั่นในระบบการเรียนแบบคุมอง จากประสบการณ์การสอนนักเรียนจําานวนมาก และจากประสบการณ์การสังเกตนักเรียนอย่างใกล้ชิด
การกําาหนดเป้าหมายการเรียนนั้นมีประโยชน์กับนักเรียน ผู้ปกครอง และ Instructor ดังต่อไปน้ี
20 l Understanding the Principles of Kumon Instruction: English as a Foreign Language
ÊíÒËÃÑo1Ñ¡àÃÕÂ1
1. นักเรียนมีประสบการณ์การเรียนในขณะที่มุ่งสู่เป้าหมายที่ตั้งไว้
2. นักเรียนมีแรงบันดาลใจในการเรียนมากขึ้น เพราะรับรู้ถึงเป้าหมายท่ีตั้งไว้
สําหรับผู้ปกครอง
1. ผู้ปกครองเข้าใจถึงความตั้งใจและเหตุผลของการเริ่มเรียนท่ีจุดเร่ิมต้นท่ีต่ําา
2. ผู้ปกครองรู้สึกสบายใจเพราะรู้ว่าเป้าหมายและความคืบหน้าเป็นอย่างไรรวมทั้ง บุตรหลานของเขาจะเรียนก้าวหน้าไปได้อย่างไร
ÊíÒËÃÑo Instructor
จากการกําาหนดเป้าหมายการเรียนที่ชัดเจน:
1. Instructorสามารถสอนนักเรียนด้วยความเชื่อมั่นและความต้ังใจโดยใช้แผนการเรียน ท่ีชัดเจนและพิจารณาว่าต้องการให้นักเรียนได้อะไรและเมื่อไร
2. Instructorสามารถหลกี เลยี่ งการใหก้ ารสอนได้โดยอยบู่ นพน้ื ฐานของการตดั สนิ ใจจาก สิ่งท่ีสะท้อนให้เห็นถึงผลของการสอนจากมุมมองระยะยาว
3. เปรียบเทียบแผนการเรียนกับผลการเรียนที่เกิดขึ้นจริงอยู่เป็นประจําาก่อนที่จะ ทบทวนการสอน ทั้งนี้จะช่วยให้ Instructor สามารถประเมินระดับ “ความพอเหมาะ พอดี” ของนักเรียนได้ชัดเจนมากขึ้นหลังจากที่ได้พัฒนาศักยภาพของพวกเขาได้มาก เทา่ทจ่ีะเปน็ไปได้(กลา่วอกีนยัหนง่ึคอื Instructorไดเ้พม่ิพนูความสามารถดา้นการสอน)
3.4 ตง้ั เป้ หมยกรเรยี นสํา หรบั นกั เรยี นใหมแ่ ละแจง้ ใหน้ กั เรยี นใหม่ และผู้ปกครองทรบ
Instructor ควรอธบิ ายใหน้ กั เรยี นและผปู้ กครองทราบวา่ เพราะเหตใุ ดการเรยี นในระบบการ เรียนแบบคุมองจึงให้นักเรียนเร่ิมต้นท่ีระดับต่ําากว่าช้ันเรียนในโรงเรียนและนักเรียนจะเรียนทัน ชนั้ เรยี นและเกนิ ชน้ั เรยี นเมอ่ื ใดเพราะจะชว่ ยคลายความวติ กกงั วลของผปู้ กครองเมอื่ พานกั เรยี น มาสมัครเรียน และช่วยเพิ่มแรงจูงใจให้นักเรียนตั้งแต่เริ่มเรียนในระบบการเรียนแบบคุมองได้
เปา้ หมายการเรยี นวชิ าภาษาองั กฤษ EFL ในการพฒั นาความสามารถดา้ นการอา่ นทาํา ความ เขา้ ใจระดบั สงู จะเปน็ จรงิ ไดก้ ต็ อ่ เมอ่ื นกั เรยี นกา้ วหนา้ สงู กวา่ ระดบั J ขน้ึ ไป ดว้ ยเหตนุ ้ี Instructor
Understanding the Principles of Kumon Instruction: English as a Foreign Language l 21
จึงต้องมุ่งมั่นที่จะให้นักเรียนเรียนก้าวหน้าไปจนถึงแบบฝึกหัดที่มีเนื้อหาที่เน้นการอ่านทําาความ เขา้ ใจไมว่ า่ นกั เรยี นจะเรม่ิ ตน้ เรยี นทร่ี ะดบั ใดกต็ าม กลา่ วคอื การวางเปา้ หมายการเรยี นไมไ่ ดเ้ ปน็ เพียงการคาดการณ์ความก้าวหน้าในการทําาแบบฝึกหัดเท่านั้น แต่ยังเป็นการสะท้อนความมุ่งม่ัน ของ Instructor อีกด้วย ดังนั้น Instructor จึงควรชี้แจงให้นักเรียนและผู้ปกครองทราบว่า เน้ือหาลักษณะใดที่นักเรียนจะสามารถอ่านได้และจะอ่านได้เมื่อใดโดยใช้แบบฝึกหัดจริง ประกอบการอธิบาย นอกจากนี้นักเรียน ผู้ปกครอง และ Instructor ควรมีเป้าหมายในใจ ร่วมกันอย่างชัดเจน ในขณะที่นักเรียนเรียนรู้จากแบบฝึกหัดอย่างต่อเน่ือง
Instructor ควรเปรียบเทียบความก้าวหน้าจริงของนักเรียนกับเป้าหมายการเรียนที่วางไว้ อย่างสม่ําาเสมอ เช่น ทุกเดือน หรือทุกสามเดือน และปรับแผนการเรียนเมื่อจําาเป็น การทบทวน วิธีการสอนเป็นประจําาจะช่วยให้ Instructor สามารถสอนนักเรียนอย่างเป็นรายบุคคลได้อย่าง เหมาะสมมากขึ้น และช่วยพัฒนาความสามารถด้านการสอนของตนเองได้อีกด้วย
22 l Understanding the Principles of Kumon Instruction: English as a Foreign Language
4 กรทําซ้ําและเวลมตรฐนในกรทําแบบฝึกหัด
จุดประสงค์ของการทําาซŒําาในระบบการเรียนแบบคุมองคือการเพิ่มระดับความชําานาญของ นักเรียน เพื่อให้นักเรียนสามารถเรียนได้ด้วยตนเองอย่างต่อเนื่องแม้จะก้าวไปเรียนในระดับสูง แลว้ กต็ าม การใหก้ ารทาํา ซาําŒ ตามระดบั ความชาํา นาญของนกั เรยี นและการปรบั อตั ราความกา้ วหนา้ อย่างเหมาะสมจะช่วยให้นักเรียนเรียนก้าวหน้าไปได้อย่างต่อเน่ืองและราบรื่นโดยไม่สูญเสีย ความสนใจหรือแรงจูงใจในการเรียน ในการตัดสินใจว่านักเรียนควรทําาซŒําาหรือไม่ อันดับแรกควร คําานึงถึงเวลาที่นักเรียนใช้ทําาแบบฝึกหัดกับเวลา SCT จากนั้นประเมินทัศนคติในการเรียนและ ความสามารถของนักเรียนดังท่ีจะกล่าวต่อไปในบทที่ 6 ท้ังน้ีเพื่อความเป็นไปได้ที่จะปรับอัตรา ความก้าวหน้าของนักเรียนได้อย่างเหมาะสม
ความสามารถที่แตกต่างกันของนักเรียนสามารถประเมินได้จากความเร็วในการทําา แบบฝกึหดั เรายงัสงัเกตไดจ้ากเวลาทน่ีกัเรยีนใชใ้นการทาําแบบฝกึหดัแตล่ะขอ้จนเสรจ็ ว่าแบบฝึกหัดนั้นเหมาะสมกับความสามารถของนักเรียนหรือไม่
(วารสาร ยามาบิโกะ ฉบับท่ี 71 ปี 1981) 4.1 ทักษะกรทํางนและเวล SCT
เวลา SCT เปน็ เกณฑห์ นง่ึ ในการประเมนิ วา่ นกั เรยี นไดพ้ ฒั นาทกั ษะการทาํา งานอยา่ งเพยี งพอ ทจ่ี ะกา้ วหนา้ ไปทาํา แบบฝกึ หดั ในระดบั ทส่ี งู ขน้ึ หรอื ไม่ การเปลย่ี นแปลงของเวลาทใ่ี ชท้ าํา แบบฝกึ หดั สะทอ้ นใหเ้ หน็ ถงึ การเปลย่ี นแปลงทกั ษะการทาํา งานของนกั เรยี น ดงั นน้ั เมอ่ื เปรยี บเทยี บเวลาทน่ี กั เรยี น ใช้ทําาแบบฝึกหัดกับเวลา SCT แล้ว Instructor จะสามารถประเมินได้ว่าทักษะการทําางานของ นักเรียนเพิ่มขึ้นหรือไม่
“ทักษะการทําางาน” เป็นแนวคิดที่มีลักษณะเฉพาะในระบบการเรียนแบบคุมอง ทักษะการ ทาํา งานสามารถวดั ในเชงิ ปรมิ าณไดโ้ ดยเชอ่ื มโยงปรมิ าณงาน (จาํา นวนแบบฝกึ หดั ทน่ี กั เรยี นทาํา ) กบั เวลาทน่ี กั เรยี นใชท้ าํา แบบฝกึ หดั จนเสรจ็ เมอ่ื ทกั ษะการทาํา งานของพวกเขาไดร้ บั การพฒั นา นกั เรยี นจะ สามารถจดจอ่ กบั แบบฝกึ หดั และทาํา เสรจ็ ไดอ้ ยา่ งราบรน่ื ตวั อยา่ งเชน่ นกั เรยี นทเ่ี รยี นเกนิ ชน้ั เรยี น และมีทักษะการทําางานสูงจะสามารถทําาแบบฝึกหัด 10 แผ่น*ได้ภายในเวลา SCT นักเรียน
Understanding the Principles of Kumon Instruction: English as a Foreign Language l 23
ที่มีทักษะการทําางานสูงจะมีลักษณะการเรียนดังนี้
● อ่านเนื้อเรื่องได้อย่างรวดเร็วและต่อเนื่องจนจบ
● เขียนประโยคอย่างต่อเนื่องโดยไม่หยุดกลางคัน
● พลิกจากหน้า a ไปหน้า b อย่างรวดเร็วและทําาแบบฝึกหัดแผ่นต่อไปทันที
● เขียนตัวอักษรที่มีขนาดเหมาะสม และเว้นช่องว่างระหว่างคําาอย่างเหมาะสม
● อ่านออกเสียงได้ทันเท่ากับ CD หรืออ่านออกเสียงตามได้อย่างราบร่ืนภายในเวลาที่ กําาหนด
● ฟัง CD ทําาแบบฝึกหัด และอ่านออกเสียงให้คุณครูฟัง โดยไม่หยุดระหว่างการเรียน โดยไม่จําาเป็น
*สําาหรับวิชาภาษาอังกฤษ EFL นักเรียนควรทําาแบบฝึกหัดให้ได้ 10 แผ่น แม้ว่าจะเรียนก้าวหน้า ไปในระดับสูง อยา่ งไรกต็ ามสง่ิ นอี้ าจเปน็ ไปไมไ่ ดเ้ นอื่ งจากอายขุ องนกั เรยี นหรอื ความยากของแบบฝกึ หดั อา้ งองิ จากลกั ษณะ การเรยี นขา้ งตน้ และแผนภมู ทิ จ่ี ะนาํา เสนอตอ่ ไปควรใหจ้ าํา นวนแบบฝกึ หดั แกน่ กั เรยี นในปรมิ าณทพ่ี วกเขายงั คงมี แรงจูงใจในการเรียนโดยประเมินทักษะการทําางานของนักเรียน ในขณะนั้นซึ่งอ้างอิงจากเวลา SCT อีกทั้งควร พจิ ารณาการใหก้ ารสอน (การใหท้ าํา ซาําŒ /การบา้ น) ทส่ี ามารถคอ่ ยๆ พฒั นานกั เรยี นอยา่ งเปน็ ขน้ั เปน็ ตอน เพอ่ื ใหม้ ที กั ษะการทาํา งานทจ่ี าํา เปน็ ในการทาํา แบบฝกึ หดั ได้ 10 แผน่ (ในระดบั D ขน้ึ ไป อาจแบง่ แบบฝกึ หดั ทีละ 5 แผ่น โดยขึ้นอยู่กับสถานการณ์)
แผนภูมิต่อไปน้ีแสดงให้เห็นว่าทักษะการทําางานเพ่ิมขึ้นอย่างไรผ่านการทําาแบบฝึกหัด แผนภูมิชี้ให้เห็นทักษะการทําางานของนักเรียนที่เพิ่มข้ึนเม่ือเวลาผ่านไปจากจุดเร่ิมต้นของ การเรียน (ตัวอักษรสีแดงนอกวงกลมบรรยายลักษณะของนักเรียนที่ได้รับการพัฒนาทักษะการ ทาํา งานอย่างสูง)
24 l Understanding the Principles of Kumon Instruction: English as a Foreign Language
4.2 ก่อนประเมินเวลที่นักเรียนใช้ในกรทําแบบฝึกหัด ควรมั่นใจว่ นักเรียนปฏิบัติตมขั้นตอนกรเรียนที่เหมะสม
หากจะเปรียบเทียบเวลาที่นักเรียนใช้ทําาแบบฝึกหัดกับเวลา SCT ต้องมั่นใจว่านักเรียนได้ ปฏิบัติตามขั้นตอนการเรียนที่เหมาะสมในขณะทําาแบบฝึกหัดแล้ว
เวลาท่ีนักเรียนใช้ทําาแบบฝึกหัดอาจน้อยลง หากพวกเขาข้ามขั้นตอนการฟังและออกเสียง ตามเครื่องเล่นเสียง ทําาแบบฝึกหัดโดยไม่ได้ตั้งใจอ่านเนื้อเรื่อง หรือเขียนคําาตอบอย่างรวดเร็ว จนทําาให้ลายมือไม่เรียบร้อย ถ้านักเรียนทําาแบบฝึกหัดอย่างรวดเร็วด้วยลักษณะการเรียนเช่นน้ี พวกเขาจะไม่ได้รับการพัฒนาความสามารถด้านวิชาการเลย ในกรณีน้ีการเปรียบเทียบเวลาที่ใช้ ในการทําาแบบฝึกหัดกับเวลา SCT ไม่ช่วยให้เราสามารถประเมินสภาพการเรียนของนักเรียนได้ ส่ิงที่สําาคัญที่สุดคือต้องม่ันใจว่านักเรียนได้ปฏิบัติตามข้ันตอนการเรียนและวิธีการเรียนท่ี เหมาะสมเพื่อที่จะประเมินสภาพการเรียนโดยใช้เวลา SCT ได้ Instructor และครูผู้ช่วยควร ทําางานร่วมกันเพ่ือสร้างศูนย์ให้มีสภาพแวดล้อมที่สามารถทําาให้นักเรียนเรียนได้อย่างราบรื่น
Understanding the Principles of Kumon Instruction: English as a Foreign Language l 25
แนวควมคิดหลักเรื่องเวล SCT
5) สาํา หรบั การสอนในวชิ าภาษาแมแ่ ละภาษาตา่ งประเทศนน้ั เพอ่ื ใหส้ ามารถใชเ้ วลา SCT ได้อย่างเหมาะสม Instructor ควรแน่ใจว่านักเรียนอ่านทุกอย่างที่มีใน แบบฝึกหัดและอ่านตามหรืออ่านออกเสียงอย่างตั้งใจ ความสามารถของ นักเรียนในการอ่านออกเสียงสามารถนําามาใช้เป็นข้อมูลอ้างอิงในการ ปรับระดับความก้าวหน้าของพวกเขาได้
(Instruction Principles, 2.5.2)
4.3 จุดท่ีควรพิจรณเม่ือเปรียบเทียบเวลที่นักเรียนใช้ทําแบบฝึกหัด กับเวล SCT
ในการพิจารณาความก้าวหน้าของนักเรียน Instructor ควรเปรียบเทียบเวลาที่นักเรียนใช้ ทาํา แบบฝกึ หดั กบั เวลา SCT และใหน้ กั เรยี นทาํา แบบฝกึ หดั ซาํา้ ตามความจาํา เปน็ เพอ่ื เพม่ิ ระดบั ความ ชําานาญให้เพียงพอก่อนที่จะก้าวไปทําาแบบฝึกหัดระดับที่สูงขึ้น ในหัวข้อนี้เราจะกล่าวถึงประเด็น สําาคัญที่ควรพิจารณาเม่ือเปรียบเทียบเวลาที่นักเรียนใช้ทําาแบบฝึกหัดกับเวลา SCT
4.3.1 ไม่ยึดติดกับจํานวนแบบฝึกหัดท่ีได้คะแนนเต็มและจํานวนข้อผิด
เวลาที่นักเรียนใช้ทําาแบบฝึกหัดจะรวมเวลาแก้งานด้วย หาก Instructor ประเมินเวลาท่ี นกั เรยี นใชใ้ นการแกง้ านได้ กไ็ มจ่ าํา เปน็ ตอ้ งกงั วลจนเกนิ ไปเกย่ี วกบั จาํา นวนแบบฝกึ หดั ทไ่ี ดค้ ะแนน เตม็ และจาํา นวนขอ้ ผดิ ในการทาํา ครง้ั แรก หากนกั เรยี นมขี อ้ ผดิ แตแ่ กไ้ ขไดอ้ ยา่ งรวดเรว็ กจ็ ะไมส่ ง่ ผล ตอ่ เวลาในการทาํา แบบฝกึ หดั มากนกั ในทางกลบั กนั หากนกั เรยี นพบความยากลาํา บากในการแก้ ขอ้ ผดิ เวลาทน่ี กั เรยี นใชท้ าํา แบบฝกึ หดั จะเพม่ิ ขน้ึ ดงั นน้ั Instructor จงึ ควรสงั เกตวา่ นกั เรยี นแกง้ าน อยา่ งไรและประเมนิ เวลารวมทน่ี กั เรยี นใชท้ าํา แบบฝกึ หดั
4.3.2 เวล SCT เป็นจํานวนเต็ม จึงไม่จําเป็นต้องเข้มงวดเกินไปกับ กรจับเวลที่นักเรียนใช้ทําแบบฝึกหัด
เวลา SCT ไดม้ าจากขอ้ มลู เชงิ สถติ ทิ ร่ี วบรวมจากนกั เรยี นคมุ อง ดงั นน้ั ชว่ งเวลาในขอ้ มลู ดบิ จงึ ไมใ่ ชจ่ าํา นวนเตม็ แตเ่ นอ่ื งจากเวลา SCT นน้ั เปน็ เพยี งแนวทางทว่ั ไปแนวทางหนง่ึ เวลา SCT ใน ทกุ ระดบั จงึ ถกู กาํา หนดใหเ้ ปน็ จาํา นวนเตม็ Instructor จงึ ไมจ่ าํา เปน็ ตอ้ งเขม้ งวดเกนิ ไปกบั การประเมนิ เวลาทน่ี กั เรยี นใชท้ าํา แบบฝกึ หดั
26 l Understanding the Principles of Kumon Instruction: English as a Foreign Language
4.3.3 เวล SCT เปน็ เวลเฉลย่ี จกเวลทง้ั หมดทใ่ี ชท้ ํา แบบฝกึ หดั 10 แผน่
ในแบบฝึกหัด 10 แผ่นของวิชาภาษาอังกฤษ EFL ประกอบด้วยเนื้อหาที่แตกต่างกัน เช่น การอา่ นออกเสยี ง แบบฝกึ หดั การเขยี นทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรใู้ นชดุ นน้ั ๆ หรอื แบบฝกึ หดั เกย่ี วกบั คาํา ศพั ท์ ดว้ ยเหตนุ เ้ี นอ้ื หาในแบบฝกึ หดั แตล่ ะแผน่ จะไมเ่ หมอื นกนั ทง้ั หมดแตจ่ ะแตกตา่ งกนั เลก็ นอ้ ย จงึ เปน็ เรอ่ื งปกตทิ น่ี กั เรยี นจะใชเ้ วลาไมเ่ ทา่ กนั ในการทาํา แบบฝกึ หดั แตล่ ะแผน่ ในหนง่ึ ชดุ สําาหรับเวลา SCT เป็นเวลาเฉล่ียสําาหรับแบบฝึกหัดหน่ึงแผ่น ซ่ึงคําานวณมาจากเวลารวมท่ีใช้ทําา แบบฝกึ หดั ทง้ั 10 แผน่ ดงั นน้ั แมเ้ นอ้ื หาของแบบฝกึ หดั วชิ าภาษาองั กฤษ EFL แตล่ ะแผน่ ในหนง่ึ ชดุ จะแตกต่างกัน แต่เมื่อประเมินเวลาที่นักเรียนใช้ทําาแบบฝึกหัดเปรียบเทียบกับเวลา SCT นั้น Instructor ควรประเมนิ เวลาเฉลย่ี ทน่ี กั เรยี นใชท้ าํา แบบฝกึ หดั แตล่ ะแผน่ จากเวลารวมทใ่ี ชท้ าํา แบบฝกึ หดั ทั้ง 10 แผ่นแล้วจึงเปรียบเทียบกับเวลา SCT
4.3.4 กรประเมินเวลที่นักเรียนทําแบบฝึกหัดในช่วง span ยว
วิชาภาษาอังกฤษ EFL ได้รับการออกแบบมาเพ่ือให้นักเรียนโดยทั่วไปไม่ต้องทําาซํา้าใน Span สน้ั แตส่ามารถเพม่ิความชาํานาญในเนอ้ืหาของแตล่ะชดุในจดุประสงคก์ารเรยีนรไู้ดจ้ากการไดเ้หน็ โครงสร้างประโยคที่คล้ายคลึงกันหลายโครงสร้างขณะเรียนก้าวหน้าไป ดังนั้น แม้ว่าความยาว ของช่วงการทําาซ้ําาจะแตกต่างกันตามความสามารถของนักเรียน แต่แนวปฏิบัติพ้ืนฐานคือ การ พิจารณาว่าจะให้ทําาซ้ําาหรือไม่โดยเปรียบเทียบเวลาในการทําาแบบฝึกหัดของนักเรียนที่เปลี่ยน ไปกับเวลา SCT ของจุดประสงค์การเรียนรู้หนึ่งหรือจุดประสงค์การเรียนรู้ใหม่ในเรื่องเดียวกัน (เช่น H121–190 เร่ือง Tenses 1–6) หรือเร่ืองใหม่ในชุดเดียวกันที่อยู่ภายใต้จุดประสงค์การ เรียนรู้เดียวกัน (เช่น H171–180 เป็นเรื่องของ present perfect tense หรือ H181–190 เป็นเร่ืองของ past perfect tense) ตัวอย่างเช่น เมื่อนักเรียนกําาลังเรียนชุดจุดประสงค์ การเรียนในครึ่งแรกของเรื่องนั้น เช่น ทําาแบบฝึกหัดชุด H131 เป็นเรื่องเกี่ยวกับ Present Perfect Tense ครั้งแรก ถ้าพวกเขายังอยากทําาอยู่ถึงแม้จะใช้เวลาเกิน Y Time ก็สามารถให้พวกเขา ก้าวหน้าต่อไปได้ หากนักเรียนเรียนก้าวหน้าไปจนถึงครึ่งหลังของจุดประสงค์การเรียนรู้ เช่น H171 หรือ H181 และยังคงใช้เวลาในการทําาเท่าเดิม ไม่จําาเป็นต้องย้อนให้นักเรียนกลับไปทําา ชุดแรกของเรื่องน้ีใหม่ (H121, 131 และอื่นๆ) ถ้านักเรียนยังมีแรงจูงใจในการเรียนสูงอยู่และ ให้การทําาซํา้าเม่ือพวกเขาสามารถทําาแบบฝึกหัดเสร็จภายในเวลา Y time ในทางกลับกันลอง พิจารณานักเรียนท่ีใช้เวลาไม่เกิน Y time ในช่วงครึ่งแรกของจุดประสงค์การเรียนรู้และใช้เวลา เกิน Y time คร่ึงหลัง หากสภาพการเรียนของนักเรียนไม่พัฒนาขึ้นแม้จะให้การทําาซํา้าในชุดเดิม และนักเรียนเริ่มจะสูญเสียกําาลังใจ หากเป็นเช่นนี้ Instructor อาจจะพิจารณาให้นักเรียนกลับไป ทําาซํา้าที่ชุดแรกของจุดประสงค์การเรียนรู้นี้อีกคร้ัง
Understanding the Principles of Kumon Instruction: English as a Foreign Language l 27
5 กรใช้เวล SCT กับนักเรียนเป็นรยบุคคล
ในบทที่ 4 เราได้กล่าวถึงการทําาซŒําาและการใช้เวลา SCT ในวิชาภาษาอังกฤษ EFL ไปแล้ว อย่างไรก็ตาม แทนที่เราจะใช้เวลา SCT ในรูปแบบเดียวกันกับนักเรียนทุกคน เราจําาเป็นต้อง ประเมินความสามารถที่เปลี่ยนแปลงไปของนักเรียนอย่างละเอียด และพิจารณาใช้เวลา SCT อย่างเป็นรายบุคคล ในบทนี้เราจะกล่าวถึงวิธีการนําาเวลา SCT ไปใช้อย่างเป็นรายบุคคลในการ สอนวิชาภาษาอังกฤษ EFL
5.1 ช่วง Span ในกรเรียนแตกต่งกันตมควมสมรถของนักเรียน
Span การเรียนและจําานวนรอบการทําาซ้ําาที่จําาเป็นจะแตกต่างกันตามความสามารถของ นกั เรยี นแตล่ ะคน นกั เรยี นทม่ี คี วามสามารถสงู จะกา้ วไปขา้ งหนา้ ไดโ้ ดยไมต่ อ้ งทาํา ซาํา้ หรอื เรยี นดว้ ย Span ที่ยาวกว่า ในขณะที่นักเรียนที่มีความสามารถน้อยอาจต้องเรียนด้วย Span ที่สั้นกว่า เพอ่ื ไมใ่ หพ้ วกเขาประสบความยากลาํา บากจนเกนิ ไป อยา่ งไรกต็ ามแมน้ กั เรยี นจะมคี วามสามารถ น้อย Instructor ก็ควรให้การสอนโดยพัฒนาความสามารถของนักเรียนให้ค่อยๆ สูงขึ้นและ สามารถเรียนก้าวหน้าด้วยแผนการเรียนที่ยาวขึ้นได้
ตัวอย่างเช่น Instructor ควรวางแผนการเรียนตามจุดประสงค์การเรียนรู้ในระดับ G ถึง I แต่ Instructor อาจใหน้ กั เรยี นทม่ี คี วามสามารถสงู เรยี นกา้ วหนา้ โดยเรยี นทง้ั จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ ก่อนแล้วจึงพิจารณาการทําาซ้ําา ในทางกลับกัน นักเรียนที่มีความสามารถน้อย Instructor อาจ พิจารณาวางแผนการเรียนเป็น Span ส้ันๆ เช่น ทีละ 10 หรือ 20 แผ่น
หลังจากท่ีนักเรียนเรียนก้าวหน้าไปแล้ว Instructor ควรเปรียบเทียบเวลาที่นักเรียนใช้ทําา แบบฝึกหัดกับเวลา SCT และตระหนักถึงเวลาที่ใช้ทําาแบบฝึกหัดว่าเพิ่มขึ้นหรือลดลง จากนั้น Instructor ควรปรบั แผนการเรยี นของนกั เรยี นแตล่ ะคนใหเ้ หมาะสมกบั ความสามารถ และพยายาม ให้การทําาซํา้าด้วยปริมาณที่เหมาะสม การให้ความสําาคัญกับแผนการเรียนของนักเรียนอย่างเป็น รายบุคคลจะทําาให้ Instructor สามารถคําานวณปริมาณแบบฝึกหัดท่ีนักเรียนจะใช้ต่อเดือนหรือ ระยะเวลาในการทําาแบบฝึกหัดท่ีให้ไป ดังนั้น Instructor จะสามารถกําาหนดเป้าหมายการเรียน ได้แม่นยําาขึ้น
28 l Understanding the Principles of Kumon Instruction: English as a Foreign Language
5.2 หกไม่แน่ใจควรให้นักเรียนก้วหน้ไปก่อน
Instructor ควรพิจารณาว่าจะให้นักเรียนที่ใช้เวลาทําาแบบฝึกหัดอยู่ระหว่าง X time และ Y time กา้ วไปขา้ งหนา้ หรอื ทาํา ซาําŒ โดยพจิ ารณาจากสภาพการเรยี นและความสามารถของนกั เรยี น แต่หาก Instructor ไม่แน่ใจก็ควรให้นักเรียนก้าวหน้าไปก่อน การให้นักเรียนก้าวหน้าไปก่อนจะ ชว่ ยใหเ้ ราสามารถประเมนิ ความสามารถของนกั เรยี นไดอ้ ยา่ งถกู ตอ้ ง คาํา กลา่ วทว่ี า่ “หากไมแ่ นใ่ จ ก็ให้นักเรียนก้าวหน้าไปก่อน” เป็นแนวคิดของคุณโทรุ คุมองที่ต้องการให้นักเรียนได้ลองทําาดู เพื่อค้นหาศักยภาพท่ีแท้จริงของนักเรียน
การสังเกตว่านักเรียนศึกษาแบบฝึกหัดอย่างไรเมื่อเรียนก้าวหน้าขึ้นไปจะช่วยให้ Instructor ประเมนิ ไดว้ า่ นกั เรยี นเขา้ ใจจดุ ประสงคก์ ารเรยี นรนู้ น้ั ๆ หรอื ไม่ และหลกี เลย่ี งการทาํา ซาํา้ ที่ไม่เหมาะสมได้ โดยเฉพาะนักเรียนที่ได้รับพิจาณาแล้วว่ามีความสามารถสูง Instructor ควรให้ พวกเขาก้าวหน้าไปด้วยการทําาซ้ําาที่น้อยที่สุด
อย่างไรก็ตาม หลักการ “หากไม่แน่ใจควรให้นักเรียนก้าวหน้าไปก่อน” นี้อยู่ภายใต้เง่ือนไข ที่ว่า Instructor ได้ให้การสอนแบบวันต่อวันเพ่ือพัฒนาทักษะการเรียนรู้ด้วยตนเองของนักเรียน ตราบใดท่ี Instructor ปล่อยให้นักเรียนเรียนก้าวหน้า “เม่ือไม่แน่ใจ” Instructor ควรให้ความ สําาคัญกับเวลาที่นักเรียนใช้ทําาแบบฝึกหัดและสังเกตสภาพการเรียนของนักเรียนอย่าง ใกล้ชิด คุณโทรุ คุมองกล่าวว่า “หากนักเรียนกําาลังประสบความยากลําาบาก นั่นเป็นเร่ืองของ การให้การทําาซ้ําา”
[ลองทาํา ด!ู มฉิ ะนน้ั คณุ อาจไมค่ น้ พบศกั ยภาพทแ่ี ทจ้ รงิ ของนกั เรยี นไดเ้ ลย]
นักเรียนแต่ละคนมีศักยภาพอันไร้ขีดจําากัดติดตัวมาต้ังแต่เกิดและท่ียังไม่ค้นพบ นักเรียนแต่ละคนสามารถเป็นผู้ท่ีมีความสามารถพิเศษได้ผ่านการพัฒนาความ สามารถของพวกเขาโดยการเรียนในระดับที่ “พอเหมาะพอดี” นี่เป็นเหตุผลที่ผม กล่าวว่า “ลองทําาดู! มิฉะนั้นคุณอาจไม่ค้นพบศักยภาพท่ีแท้จริงของนักเรียนได้เลย”
(Give it a Try–Yattemiyo ปี 1991)
Understanding the Principles of Kumon Instruction: English as a Foreign Language l 29
5.3 กรสังเกตนักเรียนและกรปรับแผนกรเรียนหลังจกให้นักเรียน ก้วหน้ไปแล้ว
แมเ้ วลาทน่ี กั เรยี นใชจ้ ะอยปู่ ระมาณ Y time แตถ่ า้ เขาเรยี นรไู้ ดด้ ว้ ยตนเองอยา่ งกระตอื รอื รน้ Instructor กค็ วรใหน้ กั เรยี นกา้ วหนา้ โดยไมต่ อ้ งทาํา ซาํา้ และคอยสงั เกตวา่ สภาพการเรยี นของพวกเขา เปน็ อยา่ งไร เมอ่ื เขา้ สเู่ นอ้ื หาในจดุ ประสงคก์ ารเรยี นรใู้ หม่ นกั เรยี นบางคนอาจใชเ้ วลานานเนอ่ื งจาก ศกึ ษาเนอ้ื หาใหมด่ ว้ ยความกระตอื รอื รน้ และพยายามทาํา ความเขา้ ใจหวั ขอ้ นน้ั ๆ อยา่ งลกึ ซง้ึ แตเ่ มอ่ื นักเรียนเหล่านี้เข้าใจจุดประสงค์การเรียนรู้แล้ว พวกเขามักใช้เวลาในการทําาแบบฝึกหัดแผ่นท่ี เหลือน้อยลง เราจึงไม่ควรตัดสินนักเรียนจากการทําาแบบฝึกหัด 10 แผ่นแรกของจุดประสงค์ การเรยีนรนู้น้ั แตค่วรใหพ้วกเขากา้วหนา้ไปทาําแบบฝกึหดัจนถงึชดุสดุทา้ยในจดุประสงคก์ารเรยีนรู้ และสังเกตว่าสภาพการเรียนของนักเรียนเป็นอย่างไร ซึ่งจะช่วยให้ Instructor หลีกเล่ียงการให้ การทําาซํา้าที่ไม่เหมาะสมกับนักเรียนได้
ในทางกลบั กนั หากเวลาทน่ี กั เรยี นใชใ้ นการทาํา แบบฝกึ หดั เพม่ิ ขน้ึ จนเกนิ Y time Instructor ต้องทบทวนข้อมูลในสมุดบันทึกผลการเรียน และสังเกตสภาพการเรียนของนักเรียนอย่างใกล้ชิด โดยสงั เกตวา่ นกั เรยี นมแี รงจงู ใจในการเรยี นขณะทาํา แบบฝกึ หดั หรอื ไม่ ยงั คงปฏบิ ตั ติ ามวธิ กี ารเรยี นท่ี เหมาะสมหรอื ไม่ และอา่ นออกเสยี งไดด้ เี หมอื นทเ่ี คยเปน็ หรอื ไม่ นอกจากน้ี Instructor ควรสงั เกต วิธีการที่นักเรียนใช้ทําาแบบฝึกหัดและพิจารณาว่าส่วนใดที่นักเรียนใช้เวลานานเป็นพิเศษ เช่น การสงั เกตวา่ นกั เรยี นใชเ้ วลานานในการทาํา ความเขา้ ใจจดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ หรอื การอา่ นทาํา ความ เขา้ ใจเนอ้ื เรอ่ื งในแบบฝกึ หดั หรอื การตอบคาํา ถามในแบบฝกึ หดั เมอ่ื ทราบสาเหตแุ ลว้ Instructor จะ สามารถให้การสอนท่ีเหมาะสมกับนักเรียนแต่ละคนได้ ดังท่ีระบุไว้ในบทที่ 2.2 และบทที่ 5.2 “การสอนพ้ืนฐาน (ใช้ได้กับทุกวิชา) ของหนังสือ IP
หลังจากให้การสอนที่เหมาะสมและพบว่านักเรียนใช้เวลาทําาแบบฝึกหัดอยู่ในช่วง Y time แล้ว Instructor อาจให้นักเรียนก้าวหน้าโดยไม่มีการทําาซํา้า อย่างไรก็ตามหากให้การสอนแล้ว แต่นักเรียนยังไม่มีพัฒนาการที่ดีขึ้น Instructor ก็ควรพิจารณาให้การทําาซ้ําา
5.4 จงใจไม่ยึดติดกับเวล SCT สําหรับนักเรียนบงกรณี
คุณโทรุ คุมอง ยึดเวลา SCT เป็นเกณฑ์ในการตัดสินรอบการทําาซ้ําาในวิชาคณิตศาสตร์ที่ นําามาจาก IPG ฉบับปรับปรุงปี 1979 คุณโทรุ คุมองได้กล่าวถึงแนวความคิดต่อไปนี้ใน ÅÑ¡É3Ð เด่นของระบบการเรียนแบบคุมอง
30 l Understanding the Principles of Kumon Instruction: English as a Foreign Language
[เกณฑ์การทําาซ้ําา]
ส่ิงสําาคัญที่สุดคือการให้นักเรียนทําาซ้ําาก่อนที่นักเรียนจะประสบความยากลําาบากใน การเรยี น การทจ่ี ะพจิ ารณาวา่ นกั เรยี นประสบความยากลาํา บากในการเรยี นหรอื ไม่ สามารถ พิจารณาได้จากเวลา x time ~ y time ในการทําาแบบฝึกหัดแต่ละชุด ถ้านักเรียน สามารถทําาแบบฝึกหัดได้ภายใน x time ให้นักเรียนก้าวต่อไปข้างหน้า ถ้านักเรียน ทําาเกิน y time ควรให้นักเรียนทําาซ้ําา (ให้ย้อนกลับไปทําาแบบฝึกหัดชุดที่ต่ําากว่า) ถ้านักเรียนทําาแบบฝึกหัดอยู่ในช่วงระหว่าง x time และ y time Instructor ต้อง พจิ ารณาวา่ จะใหน้ กั เรยี นกา้ วหนา้ ไปหรอื จะใหก้ ารทาํา ซาํา้ สาํา หรบั นกั เรยี น 90 เปอรเ์ ซน็ ต์ เราสามารถใชต้ ารางเวลา SCT ในการพจิ ารณาการทาํา ซาํา้ ได้ แตน่ กั เรยี นอกี 10 เปอรเ์ ซน็ ต์ การพิจารณาการทําาซ้ําาอาจขึ้นอยู่กับลักษณะนิสัยของนักเรียน สภาพการเรียนของ นักเรียนในอดีต และอื่นๆ
(ลักษณะเด่นของระบบการเรียนแบบคุมอง ข้อ 13)
‘นักเรียน 10 เปอร์เซ็นต์’ ที่คุณโทรุ คุมองได้เคยกล่าวไว้นี้ หมายถึง เวลา SCT เป็นเกณฑ์ ในการทําาซ้ําาที่ไม่สามารถนําามาใช้กับนักเรียนทุกคนได้ ตัวอย่างเช่น หากนักเรียนที่ยอดเยี่ยม หรือนักเรียนท่ีมีแรงจูงใจสูงใช้เวลาในการทําาแบบฝึกหัดเกิน Y time Instructor ไม่ควรยึดเวลา SCT กับนักเรียนกลุ่มน้ี เน่ืองจากนักเรียนมีเป้าหมายการเรียนท่ีสูงอยู่แล้ว คุณโทรุ คุมองเช่ือว่า Instructor จะไดร้ บั การพฒั นาทกั ษะการสงั เกตผา่ นการมนี กั เรยี นกรณศี กึ ษาจาํา นวนมากจนทาํา ให้ สามารถใหก้ ารสอนนกั เรยี นทม่ี คี วามสามารถทห่ี ลากหลายได้ และวธิ กี ารแบบคมุ องเองกจ็ ะไดร้ บั การพัฒนาต่อไป
ในวชิ าภาษาองั กฤษ EFL นน้ั Instructor ควรลองใช้ “การสอนสาํา หรบั นกั เรยี น 10 เปอรเ์ ซน็ ต”์ กับนักเรียนท่ีใช้เวลาทําาแบบฝึกหัดเกิน Y time หากนักเรียนมีแนวโน้มต่อไปน้ี
● เข้าใจเนื้อหาในจุดประสงค์การเรียนรู้ และทําาแบบฝึกหัดถูกต้องแต่เขียนคําาตอบช้า เพราะอายุยังน้อย
● ใช้เวลาในการเขียนอย่างประณีต
● เลียนแบบเสียงให้เหมือนใน CD มากที่สุดโดยฟังและฝึกอ่านออกเสียงหลายครั้ง
● ฝึกอ่านออกเสียงซ้ําาๆ ด้วยตนเองก่อนอ่านออกเสียงให้ครูฟัง
Understanding the Principles of Kumon Instruction: English as a Foreign Language l 31
ความสามารถในการเรยี นและความสามารถดา้ นอน่ื ๆ ของนกั เรยี นเหลา่ นจ้ี ะไดร้ บั การพฒั นา เมื่อ Instructor ให้พวกเขาก้าวหน้าไปแม้ว่าจะใช้เวลาเกิน Y Time ก็ตาม
ในทางตรงข้าม สําาหรับนักเรียนที่มีวิธีการเรียนที่ไม่เหมาะสม หากให้ก้าวหน้าไปโดยยึด เวลา SCT นักเรียนอาจทําาแบบฝึกหัดได้ไม่ดีและเริ่มที่จะประสบความยากลําาบากในการทําางาน ดังนั้นควรให้การทําาซ้ําาจนกว่านักเรียนจะชําานาญและเวลาที่ใช้ในการทําาแบบฝึกหัดจะลดลงมา อยู่ในเวลา X time จะช่วยให้นักเรียนเหล่าน้ีมีความก้าวหน้าที่ดีขึ้นในระยะยาว
การยกเว้นเกณฑ์การใช้เวลา SCT เมื่อจําาเป็นทําาให้ Instructor สามารถพัฒนานักเรียน ที่ยอดเยี่ยมและมีความเข้าใจที่ดีขึ้นเกี่ยวกับความสามารถที่แตกต่างกันของนักเรียน รวมถึงการ พัฒนาความสามารถด้านการสอน อย่างไรก็ตามสิ่งสําาคัญคือ Instructor ต้องประเมินสภาพ การเรียนของนักเรียนได้อย่างแม่นยําาเนื่องจากไม่ได้ใช้เวลา SCT ในการพิจารณาว่าจะให้นักเรียน ก้าวหน้าหรือทําาซ้ําา แม้เราจะพูดถึงการไม่ยึดเวลา SCT กับนักเรียน 10 เปอร์เซ็นต์ แต่ศูนย์ ควรใช้เวลา SCT ในการสอนกับนักเรียนอีก 90 เปอร์เซ็นต์์ตามปกติ
32 l Understanding the Principles of Kumon Instruction: English as a Foreign Language
ค 6ํา า ว ่ า “ พ อ เ ห ม า ะ พ อ ด ี ” เ ป ็ น ค ํา า ส ํา า ค ั ญ ท ี ่ ส ุ ด ค ํา า ห น ึ ่ ง เ ช ่ น เ ด ี ย ว ก ั บ “ ก า ร เ ร ี ย น ร ู ้ ด ้ ว ย ต น เ อ ง ” และ “การเรียนเกินชั้นเรียน” ที่ช่วยให้เข้าใจแนวคิดและปรัชญาของคุณโทรุ คุมอง คําาเหล่านี้ ไดร้ บั การกลา่ วถงึ บอ่ ยครง้ั ในบทความทเ่ี ขยี นโดยคณุ โทรุ คมุ อง ครง้ั หนง่ึ ทา่ นไดก้ ลา่ วถงึ หลกั การ ของความ “พอเหมาะพอดี” ไว้ดังนี้
[การค้นหาการเรียนรู้ที่ “พอเหมาะพอดี” และศักยภาพของนักเรียน]
เป้าหมายของคุมองคือการค้นหาการเรียนรู้ท่ี “พอเหมาะพอดี” และศักยภาพของ นกั เรยี น แบบฝกึ หดั และวธิ กี ารสอนของคมุ องนน้ั ใชว้ ธิ เี รยี นรแู้ บบ “พอเหมาะพอด”ี สําาหรับนักเรียนแต่ละคน และคุณค่าสูงสุดของการดําารงอยู่ของคุมองคือการพิสูจน์ ให้โลกเห็นว่านักเรียนสามารถเรียนก้าวหน้าได้อย่างน่าท่ึงผ่านการเรียนรู้ด้วยตนเอง
(วารสาร ยามาบิโกะ ฉบับท่ี 87 ปี 1984)
ลกั ษณะทว่ั ไปของการสอนขอ้ 6 จากหนงั สอื IP ไดก้ ลา่ วถงึ ความสาํา คญั ของการเรยี นรแู้ บบ “พอเหมาะพอดี” ไว้ดังนี้
กรประเมนิ สภพกรเรยี นของนกั เรยี นและกร ตระหนกั ถงึ ตอ่ กรเรยี นในระดบั ท่ี “พอเหมะพอดี”
ลักษณะทั่วไปของกรสอน
6. เพื่อที่จะทําาให้นักเรียนเรียนก้าวหน้าได้อย่างราบรื่น สิ่งสําาคัญเหนืออื่นใดคือ Instructor ควรสรา้ งแรงจงู ใจใหแ้ กน่ กั เรยี นอยเู่ สมอ ในการทาํา เชน่ น้ี Instructor ควรค้นหาความ “พอเหมาะพอดี” ทางการเรียนสําาหรับนักเรียนแต่ละคน โดยการกําาหนดจุดเริ่มต้นที่เหมาะสม กําาหนดเป้าหมายทางการเรียน รวมทั้ง การให้ทําาแบบฝึกหัดในจําานวนและปริมาณรอบการทําาซ้ําาที่เหมาะสม นอกจากนี้การสื่อสารที่ดียังเป็นสิ่งสําาคัญในการรักษาไว้ซึ่งแรงจูงใจในการ เรียนของนักเรียนอีกด้วย
Understanding the Principles of Kumon Instruction: English as a Foreign Language l 33
เพื่อที่จะค้นหาระดับที่ “พอเหมาะพอดี” สําาหรับนักเรียนแต่ละคน สิ่งแรกที่ Instructor ต้องทําาคือ กําาหนดจุดเร่ิมต้นในการเรียนที่เหมาะสม ตั้งเป้าหมายการเรียน และจัดแบบฝึกหัด ในปริมาณที่เหมาะสมรวมถึงรอบการทําาซ้ําาท่ีเหมาะสม ดังที่ได้กล่าวไปในลักษณะทั่วไปของการ สอนข้อ 6 รวมทั้งการยึดติดกับเกณฑ์เวลา SCT อย่างเดียวนั้นไม่เพียงพอดังที่กล่าวไว้ในบท กอ่ นหนา้ นอกจากการสงั เกตสภาพการเรยี นของนกั เรยี น การประเมนิ ทศั นคตแิ ละความสามารถ ของนักเรียนแล้ว Instructor จําาเป็นต้องใช้เวลา SCT กับนักเรียนอย่างเป็นรายบุคคล และปรับ จําานวนแบบฝึกหัดรวมทั้งรอบการทําาซ้ําา เพื่อที่จะสร้างและรักษาไว้ซึ่งแรงจูงใจของนักเรียน บทความต่อไปนี้จะอธิบายถึงความ “พอเหมาะพอดี” ในการเรียนท่ีเช่ือมโยงกับเวลา SCT
6.1 เวล SCT และระดับท่ี “พอเหมะพอดี” ของกรเรียน
ขอ้ ความตอ่ ไปนย้ี กมาจาก ลกั ษณะเดน่ ของการเรยี นคมุ อง ขอ้ 7 คณุ โทรุ คมุ องไดก้ ลา่ วถงึ การเรียนในระดับที่ “พอเหมาะพอดี” ซึ่ง Instructor ต้องให้ความสําาคัญ เพื่อประเมินว่า นักเรียนก้าวหน้าไปข้างหน้าอย่างเหมาะสมหรือไม่
[การเรียนในระดับที่ “พอเหมาะพอดี”]
เราจะทราบระดับที่ “พอเหมาะพอดี” กับความสามารถของนักเรียนได้ ก็ต่อเมื่อ คําานึงถึงระดับที่ “พอเหมาะพอดี” ของความเข้าใจ (จุดสูงสุดที่นักเรียนสามารถ ทาํา ความเขา้ ใจเนอ้ื หาทเ่ี รยี นได)้ ระดบั ท่ี “พอเหมาะพอด”ี ของทกั ษะการทาํา งาน (จดุ ทน่ี กั เรยี นสามารถทาํา งานไดอ้ ยา่ งไมย่ ากลาํา บาก) และระดบั ท่ี “พอเหมาะพอด”ี ของการพฒั นาทศั นคตทิ ด่ี ตี อ่ การเรยี น
(ลักษณะเด่นของระบบการเรียนแบบคุมอง ¢ŒÍ 7)
สาํา หรบั ระดบั ท่ี “พอเหมาะพอด”ี ของการเรยี นนน้ั อนั ดบั แรกจะกลา่ วถงึ ระดบั ท่ี “พอเหมาะ พอด”ี ของทกั ษะการทาํา งาน และระดบั ท่ี “พอเหมาะพอด”ี ของความเขา้ ใจกอ่ น เพราะระดบั ที่ “พอเหมาะพอด”ี ทง้ัสองประการนส้ีามารถทาําความเขา้ใจไดโ้ดยเปรยีบเทยีบเวลาทน่ีกัเรยีนใชใ้น การทาํา แบบฝกึ หดั กบั เวลา SCT “ระดบั ทพ่ี อเหมาะพอดขี องทกั ษะการทาํา งาน” คอื จดุ ทน่ี กั เรยี น สามารถทําาแบบฝึกหัดเสร็จในเวลา SCT ได้อย่างราบรื่น ส่วน “ระดับท่ีพอเหมาะพอดีของความ เขา้ ใจ” คอื จดุ ทน่ี กั เรยี นสามารถรกั ษาแรงจงู ใจในการเรยี นรดู้ ว้ ยตนเองแมจ้ ะใชเ้ วลาเกนิ Y time สําาหรับวิชาภาษาอังกฤษ EFL นักเรียนที่ใช้เวลานานในการอ่านเนื้อเรื่องภาษาอังกฤษและ ประโยคตัวอย่างในแบบฝึกหัด แต่สามารถทําาแบบฝึกหัดจนเสร็จได้ด้วยตนเองคือตัวอย่างของ นักเรียนที่กําาลังเรียนอยู่ใน “ระดับที่พอเหมาะพอดีของความเข้าใจ”
34 l Understanding the Principles of Kumon Instruction: English as a Foreign Language
นอกจากระดับที่ “พอเหมาะพอดี” ของทักษะการทําางานและความเข้าใจแล้ว บ่อยครั้งท่ี คณุ โทรุ คมุ องไดก้ ลา่ วถงึ “ระดบั ทพ่ี อเหมาะพอดขี องการพฒั นาทศั นคตทิ ด่ี ตี อ่ การเรยี น” อยา่ งไร ก็ตาม คาํา จําากัดความนี้ยากที่จะอธิบายได้อย่างชัดเจน เพราะคุณโทรุ คุมองไม่ได้เขียนเกี่ยวกับ เรื่องนี้ไว้มากนัก
คุณโทรุ คุมองได้กล่าวถึง “ระดับที่พอเหมาะพอดีของการพัฒนาทัศนคติที่ดีต่อการเรียน” โดยใชต้ วั อยา่ งของนกั เรยี นมธั ยมศกึ ษาตอนตน้ ทเ่ี รยี นจบวชิ าภาษาองั กฤษภายใน 49 วนั จากการ เริ่มเรียนในระดับ E นักเรียนคนนี้ตัดสินใจทําาแบบฝึกหัด 100 แผ่นต่อวัน ตัวอย่างนี้แสดงให้ เห็นว่าเมื่อนักเรียนมีแรงจูงใจสูงที่อยากจะเรียนวิชาภาษาอังกฤษจนจบ พวกเขาสามารถทําา แบบฝึกหัดได้มากกว่าเกณฑ์มาตรฐาน ใช้เวลาเรียนได้นานกว่า และบรรลุเป้าหมายการเรียน ที่ตั้งไว้ได้ดีกว่านักเรียน 90 เปอร์เซ็นต์ กล่าวอีกนัยหนึ่ง จากมุมมองของการค้นหาศักยภาพ ของนักเรียน แนวคิดของ “ระดับที่พอเหมาะพอดีของการพัฒนาทัศนคติที่ดีต่อการเรียน” นั้น แตกตา่ งจาก ระดบั ท่ี “พอเหมาะพอด”ี ของทกั ษะการทาํา งานและความเขา้ ใจโดยสน้ิ เชงิ เนอ่ื งจาก ไมส่ ามารถใชเ้ กณฑเ์ วลา SCT ประเมนิ ทศั นคตขิ องนกั เรยี นในการมาเรยี นทศ่ี นู ยไ์ ด้ (ในบทตอ่ ไป จะกล่าวถึงการประเมินทัศนคติของนักเรียนที่มีต่อการเรียน ซึ่งเขียนจากมุมมองของการใช้ ชว่งเวลาX–YtimeในเวลาSCTกบันกัเรยีนอยา่งเปน็รายบคุคลมากขน้ึ มมุมองนไ้ีมไ่ดเ้กย่ีวขอ้ง โดยตรงกับ “ระดับที่พอเหมาะพอดีของการพัฒนาทัศนคติที่ดีต่อการเรียน”)
คุณโทรุ คุมองได้ทบทวนความคิดของตัวเองเกี่ยวกับเร่ือง “ความพอเหมาะพอดี” อยู่เสมอ โดยใช้ตัวอย่างจริงจากนักเรียนที่ค้นหาศักยภาพของตนเอง ซึ่งนําาไปสู่ “ระดับที่พอเหมาะพอดี ของการพัฒนาทัศนคติที่ดีต่อการเรียน” ในขณะให้การสอนนักเรียน Instructor ไม่จําาเป็นต้อง ถูกครอบงําาด้วยความคิดที่จะมุ่งพัฒนา “ระดับที่พอเหมาะพอดีของการพัฒนาทัศนคติที่ดีต่อ การเรียน” เน่ืองจากไม่ได้ถูกกล่าวไว้ในหนังสือ IP แต่ก็เป็นเร่ืองสําาคัญที่ควรพึงระลึกไว้อยู่เสมอ ถึงคําาพูดของคุณโทรุ คุมอง เมื่อเราค้นหาศักยภาพของนักเรียน
[ขอบเขตของศักยภาพและระดับที่ “พอเหมาะพอดี” ของการเรียน]
เรากาํา หนดขอบเขตของศกั ยภาพของนกั เรยี นเพอ่ื ใหก้ ารศกึ ษาทด่ี ี การคน้ หาศกั ยภาพ ของนักเรียนทําาให้เราได้ทบทวนและปรับเปล่ียนความคิดเกี่ยวกับว่าอะไรคือ “ความ พอเหมาะพอดี”
(ลักษณะเด่นของระบบการเรียนแบบคุมอง ข้อ 16) Understanding the Principles of Kumon Instruction: English as a Foreign Language l 35
6.2 กรประเมินสภพกรเรียนของนักเรียนเป็นส่ิงสําคัญต่อกรเรียน ในระดับที่ “พอเหมะพอดี”
สง่ิ สาํา คญั สาํา หรบั Instructor คอื การศกึ ษาเนอ้ื หาและโครงสรา้ งของแบบฝกึ หดั เพอ่ื นาํา มา ปรบั ใชก้ บั ความกา้ วหนา้ ของนกั เรยี นอยา่ งเหมาะสม นอกจากนก้ี ารสงั เกตสภาพการเรยี น การ สื่อสารกับผู้ปกครอง และการประเมินจากบันทึกผลการเรียน จะช่วยให้ Instructor เข้าใจถึง ทัศนคติที่มีต่อการเรียนและความสามารถของนักเรียนแต่ละคน จากนั้นจึงปรับใช้เวลา SCT อยา่ งเปน็ รายบคุ คลและมเี ปา้ หมายสาํา หรบั นกั เรยี นแตล่ ะคนใหเ้ รยี นในระดบั ท่ี “พอเหมาะพอด”ี วิธีการ และสิ่งที่ต้องสังเกตในการประเมินสภาพการเรียนของนักเรียนสามารถสรุปได้ดังน้ี
วิธีกรและสิ่งที่ต้องสังเกตในกรประเมินสภพกรเรียนของนักเรียน
วิธีกรสังเกต สิ่งท่ีต้องสังเกต
a) การสังเกตพฤติกรรม การเรียน
● นักเรียนฟังเสียงจากเครื่องเล่นอย่างไร
● นักเรียนทําาแบบฝึกหัดอย่างไร (มีแรงจูงใจ สมาธิ ความพยายาม และ
ความอดทนในการเรียน หรือไม่)
● ความถี่ในการถามคําาถามของนักเรียนขณะเรียน
● ขั้นตอนการเรียน
b) การสังเกตนักเรียนขณะทําา แบบฝึกหัด
● การอ่านออกเสียง
● ความจําาระยะสั้น
● ทักษะการเขียนเรียบเรียงประโยคภาษาอังกฤษ ● ทักษะการตรวจคําาตอบ
● ทักษะการแก้งาน
● ทักษะการใช้ดินสอ
c) การประเมินแบบฝึกหัดที่ทําา เสร็จแล้ว (รวมทั้งการตรวจ แบบฝึกหัด)
d) การประเมินบันทึกผลการ เรียน
● เวลาและคะแนนที่ผ่านมา รวมทั้งความเปลี่ยนแปลงของนักเรียน ● การบันทึกเกี่ยวกับการบ้าน
e) การพูดคุยกับนักเรียนและ ผู้ปกครอง
● คลังคําาศัพท์ในภาษาแม่
● แรงจูงใจที่จะทําาให้ถึงเป้าหมาย
● ทัศนคติที่ดี
● ประวัติการเรียนภาษาอังกฤษ
● สภาพการเรียนที่บ้าน
● สภาพแวดล้อมในการเรียน (การเปิดรับภาษาที่บ้าน/โรงเรียน) ● ผลการเรียนที่โรงเรียน
● ความสนใจในการอ่าน
● ความสามารถพิเศษ
36 l Understanding the Principles of Kumon Instruction: English as a Foreign Language
6.3 กรประเมินทัศนคติในกรเรียนของนักเรียน
คุณโทรุ คุมองคิดว่าความสามารถทางวิชาการของนักเรียนนั้นไม่ได้ถูกกําาหนดจากความ สามารถเพียงอย่างเดียว แต่ได้รับอิทธิพลมาจากทัศนคติในการเรียนมากกว่า เมื่อพวกเขาเรียน ก้าวหน้าไปในระดับท่ีสูงข้ึน
[ความแตกต่างด้านความสามารถ + ความแตกต่างด้านทัศนคติ = ความ แตกต่างด้านความสามารถทางวิชาการ]
ความแตกต่างด้านทัศนคติในการเรียนของนักเรียนน้ันมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นเมื่อ พวกเขาเรยี นกา้ วหนา้ ในโรงเรยี น ความแตกตา่ งดา้ นทศั นคตนิ เ้ี กดิ จากความแตกตา่ ง ของระดับแรงจูงใจของนักเรียนและความเอาจริงเอาจังในการเรียน ดังน้ัน ในมัธยม ศกึ ษาตอนปลาย เราจะสามารถเหน็ ความแตกตา่ งนไ้ี ดม้ ากทส่ี ดุ เราจงึ ควรชว่ ยนกั เรยี น ในการพัฒนาทัศนคติการเรียนท่ีดีตั้งแต่พวกเขายังเด็ก
(วารสาร ยามาบิโกะ ฉบับที่ 21 ปี 1973)
ดังนั้น เพื่อที่จะประเมินความสามารถทางวิชาการของนักเรียน นอกจากการประเมิน ความสามารถแล้ว ยังต้องสังเกตทัศนคติในการเรียนด้วย ความแตกต่างในทัศนคติต่อการเรียน แสดงให้เห็นถึงความแตกต่างในลักษณะการเรียนและมีผลกระทบต่อการเรียนอย่างมาก
ทัศนคติที่ดีของนักเรียนที่มีต่อการเรียนน้ันประเมินได้จากการสังเกตพฤติกรรมการเรียน ของนักเรียน รวมทั้งการพูดคุยกับนักเรียนและผู้ปกครอง หัวข้อน้ีจะกล่าวถึงทัศนคติที่มีต่อการ เรียนท่ีสําาคัญที่สุดสองประการซ่ึงส่งผลต่อการเรียนก้าวหน้าไปด้วยการเรียนรู้ด้วยตนเอง นั่นคือ แรงจูงใจและความพยายามในการเรียน
6.3.1 แรงจูงใจในกรเรียน
โดยทั่วไปนักเรียนที่ยอดเยี่ยมมีแนวโน้มที่จะใฝ่รู้ ชอบทําาสิ่งที่ท้าทาย และมีทัศนคติที่ดี ต่อการทําาแบบฝึกหัดในจุดประสงค์การเรียนรู้ใหม่ เมื่อ Instructor เข้าไปสังเกต จะเห็นว่า นักเรียนที่ยอดเย่ียมจะมีลักษณะดังนี้
● ไม่ถามทันที แต่จะพิจารณาแบบฝึกหัดอย่างถี่ถ้วนและคิดด้วยตนเองก่อน ● เต็มใจที่จะแก้งาน
● อยากทําาแบบฝึกหัดเพิ่มขึ้นทั้งที่ศูนย์และที่บ้าน
● อยากทําาแบบฝึกหัดชุดถัดไป
Understanding the Principles of Kumon Instruction: English as a Foreign Language l 37
● ชอบอ่านและเรียนรู้จากเนื้อเรื่องสรุป
● ชอบฟังและอ่านออกเสียง
นักเรียนที่มีลักษณะเช่นนี้ จะเรียนก้าวหน้าโดยไม่ต้องทําาซŒําาหรือเรียนด้วยแผนการเรียน แบบ Span ยาว แม้จะใช้เวลาทําาแบบฝึกหัดใกล้เคียงหรือเกิน Y time เล็กน้อยก็ตาม ดังน้ัน การสร้างให้นักเรียนมีทัศนคติท่ีดีต่อการเรียนผ่านการเรียนรู้ในแต่ละวันจึงเป็นสิ่งสําาคัญ เพราะ จะทําาให้พวกเขาสามารถเรียนแบบฝึกหัดตั้งแต่ระดับ J ข้ึนไปได้ด้วยการเรียนรู้ด้วยตนเอง
6.3.2 ควมพยยม
นักเรียนท่ีมีความพยายามมักจะไม่ค่อยขาดเรียนในวันที่มีเรียนที่ศูนย์ พวกเขาจะพยายาม อย่างเต็มที่ในการทําาแบบฝึกหัดให้เสร็จแม้จะต้องใช้เวลาค่อนข้างมาก และในขณะที่ทําาการบ้าน นักเรียนท่ีมีความพยายามจะทําาแบบฝึกหัดโดยไม่ข้ามขั้นตอนการฟัง CD และอ่านออกสียง แต่ จะปฏบิ ตั ติ ามขน้ั ตอนการเรยี นและหาคาํา ตอบดว้ ยตวั เองอยเู่ สมอ แมจ้ ะประสบปญั หาบา้ งระหวา่ ง เรียน แต่เมื่อเรียนอย่างต่อเน่ือง พวกเขาจะสามารถเรียนรู้จากแบบฝึกหัดและก้าวหน้าไปได้ด้วย การทําาซ้ําาเพียงเล็กน้อยหรือไม่ซํา้าเลย นักเรียนท่ีมีความพยายามจะไม่สูญเสียแรงจูงใจ แม้ว่า พวกเขาจะเรียนก้าวหน้าโดยใช้เวลาทําาแบบฝึกหัดเกิน Y time
6.4 กรประเมินควมสมรถ
Instructor สามารถประเมินความสามารถของนักเรียนและสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลง หรอื พฒั นาการไดจ้ ากการสงั เกตสภาพการเรยี น แบบฝกึ หดั ทท่ี าํา เสรจ็ แลว้ และบนั ทกึ ผลการเรยี น (“ความสามารถ” ทก่ี ลา่ วถงึ นไ้ี มใ่ ชค่ วามสามารถทว่ั ไปแตเ่ ปน็ ทกั ษะภาษาองั กฤษทไ่ี ดจ้ ากการเรยี น วิชาภาษาอังกฤษ EFL ของคุมอง ซึ่งสามารถประเมินได้จากการสังเกตอย่างใกล้ชิดระหว่าง การเรียนและการตรวจคาํา ตอบในแบบฝกึ หดั ) เมอ่ื ประเมนิ ความสามารถของนกั เรยี นแลว้ Instructor จะสามารถปรับความก้าวหน้าของนักเรียนแต่ละคนได้โดยใช้เวลา SCT อย่างเหมาะสม และเป็น รายบุคคล การประเมินความสามารถของนักเรียนเป็นส่ิงสําาคัญสําาหรับ Instructor ที่ต้องการ ให้นักเรียนมีระดับการเรียนรู้ที่ “พอเหมาะพอดี” แต่ก็มีความยากลําาบากที่จะสังเกตนักเรียน ทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน ดังนั้น Instructor ควรพิจารณาว่าจะเลือกสังเกตนักเรียนคนไหน ในแตล่ะวนั เชน่ นกัเรยีนทใ่ีชเ้วลาในการทาําแบบฝกึหดัแตกตา่งอยา่งชดัเจน นกัเรยีนทข่ีน้ึเรอ่ืง ใหม่ นักเรียนที่ก้าวหน้าไปแม้ Instructor จะไม่แน่ใจนัก หรือนักเรียนใหม่
หัวข้อนี้จะกล่าวถึงสิ่งที่สามารถสังเกตได้ร่วมกับเวลาในการทําาแบบฝึกหัด เพื่อที่จะให้ นักเรียนมีความสามารถในการอ่านและเข้าใจประโยคภาษาอังกฤษ
38 l Understanding the Principles of Kumon Instruction: English as a Foreign Language
6.4.1 กรอ่นออกเสียง
ความสามารถในการอ่านออกเสียงในวิชาภาษาอังกฤษ EFL ของคุมองสามารถประเมินได้ จากการอ่านออกเสียงของนักเรียน โดยดูว่านักเรียนเลียนเสียงภาษาอังกฤษจากเน้ือเร่ืองที่เรียน อยู่ได้ดีแค่ไหน เนื่องจากความสามารถในการอ่านออกเสียงของแต่ละคนนั้นแตกต่างกัน การที่ นักเรียนจะอ่านออกเสียงได้ดีน้ันขึ้นอยู่กับจําานวนคร้ังท่ีนักเรียนฟังเสียงจากเครื่องเล่น และการ ฝึกอ่านออกเสียง ดังนั้น ความแตกต่างของความสามารถในการอ่านออกเสียงยังแสดงถึงความ แตกต่างของเวลาท่ีนักเรียนใช้ทําาแบบฝึกหัดอีกด้วย ย่ิงไปกว่านั้น การอ่านออกเสียงยังทําาให้เห็น ถึงความแตกต่างของความทรงจําาระยะสั้นของนักเรียนอีกด้วย
นักเรียนที่มีความสามารถในการอ่านออกเสียงสูงจะสามารถเลียนแบบเสียงภาษาอังกฤษ ไดเ้ หมอื นกบั เจา้ ของภาษา อา่ นออกเสยี งวลแี ละประโยคไดอ้ ยา่ งชดั เจน หยดุ ในตาํา แหนง่ ทเ่ี หมาะสม และอ่านด้วยความเร็วที่เหมาะสมด้วย Instructor สามารถประเมินความเข้าใจเร่ืองคําาศัพท์ของ นกั เรยี นไดจ้ ากวธิ ที น่ี กั เรยี นอา่ นออกเสยี ง ดงั นน้ั เนอ่ื งจากมคี วามเปน็ ไปไดท้ ่ี Instructor สามารถ ประเมนิ ความเขา้ ใจเนอ้ื เรอ่ื งทน่ี กั เรยี นอา่ น ผา่ นการประเมนิ ความสามารถทางดา้ นการอา่ นออกเสยี ง จึงไม่มีความจําาเป็นท่ีจะต้องตรวจสอบความเข้าใจอีกครั้งผ่านการแปล
6.4.2 ทักษะกรเขียนเรียบเรียงประโยคภษอังกฤษ
ในวชิ าภาษาองั กฤษ EFL ไมม่ โี จทยท์ ใ่ี หน้ กั เรยี นแปลจากภาษาองั กฤษเปน็ ภาษาไทย นกั เรยี น เริ่มเรียนจากการเขียนตัวอักษรตามตัวอย่าง และเม่ือทักษะการเขียนประโยคภาษาอังกฤษได้รับ การพฒันาความสามารถในการเขยีนประโยคภาษาองักฤษกเ็พม่ิขน้ึ โครงสรา้งวชิาภาษาองักฤษ EFLออกแบบมาเพอ่ื ใหน้ กั เรยี นเรยี นรจู้ ากประโยคตวั อยา่ งและเรยี นรไู้ ดด้ ว้ ยตนเองเมอ่ื ขน้ึ เรอ่ื งใหม่ ด้วยเหตุนี้ นักเรียนที่มีทักษะการเขียนเรียบเรียงประโยคภาษาอังกฤษสูงสามารถที่จะเข้าใจ โครงสรา้ งของประโยคตัวอย่างที่ตนเองอ่านและหาคําาตอบที่ถูกต้องได้
คําาตอบของแบบฝึกหัดวิชาภาษาอังกฤษ EFL สามารถหาได้จากคําาหรือประโยคท่ีปรากฏ ในเนื้อเรื่อง เมื่อเข้าไปสังเกตสภาพการเรียนของนักเรียนที่เข้าใจคําาถามและเขียนคําาตอบที่ ถกู ตอ้ งได้ Instructor จะสงั เกตไดว้ า่ นกั เรยี นสามารถคาดคะเนการใชค้ าํา ทเ่ี หมาะสมและประมาณ จําานวนของคําาโดยพิจารณาจากความยาวของช่องว่างที่มีให้และคิดเรียบเรียงคําาตอบในใจ อีกทั้งเมื่อคัดลอกคําาศัพท์และประโยคจากเนื้อเรื่องมาเขียนตอบ พวกเขาจะไม่ย้อนกลับไปดู เนอ้ืเรอ่ืงหลายครง้ั แตม่กัเขยีนคาําตอบไดห้ลงัจากดเูพยีงครง้ัเดยีวนกัเรยีนทส่ีามารถเขยีนคาําตอบ ไดใ้ นเวลาอนั สน้ั คอื นกั เรยี นทม่ี ที กั ษะการเขยี นเรยี บเรยี งประโยคภาษาองั กฤษระดบั สงู ตวั อยา่ งเชน่
Understanding the Principles of Kumon Instruction: English as a Foreign Language l 39
นักเรียนที่ทําาแบบฝึกหัดในระดับ G H I แผ่นที่ 8 9 และ 10 ในหน้า b ถ้านักเรียนสามารถ เขียนคําาตอบได้ทันทีด้วยการกลับไปมองแผ่นก่อนหน้าอย่างรวดเร็ว อาจบอกได้ว่านักเรียนมี ความเข้าใจในหลักไวยากรณ์ที่เป็นจุดประสงค์การเรียนน้ันๆ ได้อย่างรวดเร็ว
6.4.3 ทักษะกรตรวจสอบคําตอบและแก้งน
นกั เรยี นทม่ี คี วามสามารถสงู จะสงั เกตเหน็ จดุ ผดิ ของตนเอง เชน่ จดุ ผดิ ในโครงสรา้ งประโยค และ Tense ในขณะเขยี นคาํา ตอบและแกค้ าํา ตอบไดท้ นั ที นอกจากนน้ี กั เรยี นยงั รไู้ ดว้ า่ อาจมคี าํา ตอบ ที่เขียนผิดไปก่อนหน้านี้และย้อนกลับไปแก้จุดที่ผิดได้ นักเรียนที่เห็นจุดผิดของตัวเองขณะเขียน คําาตอบหรืออ่านทวนคําาตอบที่เขียนไปได้นั้นถือว่าเป็นนักเรียนที่มีความสามารถในการ ตรวจสอบคําาตอบด้วยตนเองระดับสูง
Instructor สามารถประเมินทักษะในการแก้งานของนักเรียนได้โดยการสังเกตว่านักเรียน แก้งานอย่างไร นักเรียนท่ีมีทักษะในการแก้งานที่ดีจะไม่ลบคําาตอบที่ผิดทันที แต่จะอ่านคําาตอบ ท่ีผิดอีกครั้งเพื่อหาจุดผิดด้วยตนเอง จากนั้นจึงแก้จุดผิดโดยใช้ตัวช่วยจากประโยคตัวอย่างหรือ เนื้อเร่ือง และหากจําาเป็นพวกเขาจะอ่านออกเสียงคําาตอบที่เขียนเพื่อหาว่าส่วนใดผิด
ด้วยลักษณะเช่นนี้ นักเรียนที่สามารถตรวจสอบคําาตอบด้วยตนเองก็จะสามารถแก้งานได้ อยา่ งรวดเรว็ แมว้ า่ จะทาํา ผดิ พวกเขาสามารถทาํา แบบฝกึ หดั และแกง้ านโดยใชเ้ วลาไมเ่ กนิ จากเวลา มาตรฐานมากนัก
40 l Understanding the Principles of Kumon Instruction: English as a Foreign Language
7 กรสอนสําหรับกรฟังและกรอ่นออกเสียง
เพ่ือพัฒนาความสามารถในการอ่านทําาความเข้าใจภาษาอังกฤษผ่านการเรียนรู้ด้วย ตนเอง นักเรียนจําาเป็นต้องอ่านออกเสียงเนื้อหาในแบบฝึกหัดภาษาอังกฤษ EFL ระหว่างทําา แบบฝึกหัดเป็นประจําา ดังนั้น Instructor จึงควรสร้างให้นักเรียนมีลักษณะการเรียนท่ีเหมาะสม ในการฟังและการอ่านออกเสียงตั้งแต่เริ่มเรียน
[การอ่านออกเสียงจะช่วยให้นักเรียนก้าวหน้าในการเรียนอย่างมี ประสิทธิภาพ]
ผมคิดว่าการอ่านออกเสียงและการเรียนรู้ภาษามีความเก่ียวข้องกันอย่างใกล้ชิด ตอนทผ่ี มเรยี นภาษาฝรง่ั เศสดว้ ยตวั เอง ผมไมไ่ ดใ้ หค้ วามสาํา คญั กบั การฝกึ อา่ นออกเสยี ง ซง่ึ เหน็ ไดช้ ดั ในเวลาตอ่ มาวา่ เปน็ เรอ่ื งทไ่ี มถ่ กู ตอ้ ง การอา่ นออกเสยี งอาจฟงั ดไู มเ่ กย่ี วขอ้ ง กบั การพฒั นาความสามารถในการอา่ นทาํา ความเขา้ ใจ แตถ่ า้ ไมฝ่ กึ อา่ นออกเสยี งและ ฝกึ เขยี นคาํา ทไ่ี ดย้ นิ อยา่ งตอ่ เนอ่ื ง จะทาํา ใหใ้ นทา้ ยทส่ี ดุ ตอ้ งใชเ้ วลานานขน้ึ ในการพฒั นา ความสามารถในการอ่านทําาความเข้าใจ
(การประชุมโต๊ะกลม ยามาบิโกะ เดือนมีนาคม ปี 1983) [พัฒนลักษณะกรเรียนที่ดีในกรฟังผ่นกรอ่นออกเสียง]
การให้ความสําาคัญกับการอ่านออกเสียงอาจดูเหมือนต้องใช้เวลาและความพยายาม อยา่ งมาก แตค่ วรตระหนกั วา่ ความจรงิ ไมไ่ ดเ้ ปน็ เชน่ นน้ั การใหน้ กั เรยี นอา่ นออกเสยี ง ไมเ่ พยี งชว่ ยใหน้ กั เรยี นไดพ้ ฒั นาการอา่ น แตย่ งั ชว่ ยใหพ้ วกเขาไดเ้ รยี นรวู้ ธิ กี ารทเ่ี หมาะสม ในการฟังอีกด้วย
(การประชุมโต๊ะกลม ยามาบิโกะ เดือนมีนาคม ปี 1993)
Understanding the Principles of Kumon Instruction: English as a Foreign Language l 41