วรรณกรรมที่ควรอ่านก่อนโต
ชื่อหนังสือ : 50 วรรณกรรมที่ควรอ่านก่อนโต
ผู้เรียบเรียง : Thesan__k
ผู้ออกแบบ : Thesan__k
ปีที่เรียบเรียง พุทธศักราช 2564
1
"โต๊ะโตะจัง เด็กหญิงข้างหน้าต่าง" เล่มนี้ ถ่ายทอดมาจากประสบการณ์จริงของผู้
เขียน ที่เล่าออกมาในรูปของวรรณกรรมทำให้อ่านง่าย สนุก และชวนติดตาม โต๊ะโตะ
จัง ถูกไล่ออกจากโรงเรียนเก่าขณะเรียนอยู่ชั้นประถมหนึ่งเท่านั้นเอง! เพียงเพราะ
ความซุกซนตามประสาเด็ก ๆ แต่ครูกลับคิดว่าเป็นการรบกวนเพื่อนร่วมชั้น จึงเป็น
เหตุให้ต้องหาโรงเรียนใหม่
"โรงเรียนโทเมโอ" เป็นโรงเรียนที่ใช้ตู้โดยสารรถไฟเป็นห้องเรียน และมีครูใหญ่ที่
เข้าใจเด็กอย่าง "ครูบาโยชิ" ระบบการเรียนการสอนของโรงเรียนนี้จะแตกต่างจาก
โรงเรียนทั่วไป เด็กสามารถเลือกเรียนตามลำดับความชอบของแต่ละคน ที่นี่ทำให้โต๊ะ
โตะจัง กับ เพื่อน ๆ ของเธอ ได้ค้นพบความฝันและสามารถสร้างฝันนั้นให้เป็นจริงได้
เมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ พร้อมกับความใจดีของคุณครูใหญ่ที่แสนวิเศษ ซึ่งเธอไม่เคย
ลืมจนกระทั่งทุกวันนี้
2
ข้อคิดอีกข้อที่ได้รับจากหนังสือเล่มนี้คือ เราเชื่อว่าเด็กทุกคนมีความเป็นโต๊ะโตะ
อยู่ในตัว นั่นก็คือ หัวใจที่มีความคิดสร้างสรรค์ มีความถนัดและความชอบแบบที่ตัว
เองเป็น เหมือนเพชรที่รอการเจียระไนทุกคนมีความงดงามในตัวเองเพียงแต่หลาย ๆ
ครั้งที่สภาพแวดล้อมรอบข้างอาจจะทำให้ความงดงามนั้นถูกซ่อนอยู่ และไม่มีโอกาส
ได้ส่องประกายออกมา จึงต้องได้รับการสั่งสอน การเลี้ยงดูที่ดี และโอกาสที่ให้เด็ก
เหล่านี้ได้เติบโตอย่างอิสระ ได้โตในแบบที่เขาอยากโต หนังสือเล่มนี้ไม่เพียงแต่ให้เด็ก
หรือเยาวชน พ่อแม่ผู้ปกครอง คุณครูและผู้ใหญ่ทั้งหลายก็ควรได้อ่านหนังสือดี ๆ
แบบนี้เช่นกัน
3
หนังสือเล่มเล็กๆ พร้อมภาพประกอบสวยงามเล่มนี้จะพาคุณผู้อ่านไปสัมผัส
กับวรรณกรรมคลาสสิกระดับโลกผลงานของ "อองตวน เดอ แซงแตก-ซูเปรี" เนื้อหา
ของหนังสือง่ายๆ แต่เต็มไปด้วยความคิดฝันและแฝงไปด้วยปรัชญาอันยิ่งใหญ่
นับเป็นวิวาทะทางวัฒนธรรมอย่างลึกซึ้งระหว่างโลกตะวันออกกับโลกตะวันตก
งานประพันธ์ที่นำเสนอในท่วงทำนองผสมผสานระหว่างกวีนิพนธ์และงานแฟนตาซี
โดยอิงสารัตถะแห่งวัฒนธรรมตะวันตก จะนำพาคุณผู้อ่านไปเผชิญปัญหาพื้นฐาน
ไร้พรมแดน การเลือกเส้นทางเดินในชีวิต เป็นการเชิญชวนให้เข้าสู่การเจริญภาวนาใน
อีกรูปแบบหนึ่งเต็มไปด้วยความสุขและความประทับใจ ซึ่งจะตราตรึงอยู่ในดวงใจใคร
หลายคนอีกแสนนาน
4
ข้อคิดบางส่วนจาก เจ้าชายน้อย
ไม่ควรปิดบังความรู้สึกที่แท้จริง เพราะเราอาจสูญเสียสิ่งสำคัญไป
สถานการณ์นี้ ยกตัวอย่างเรื่องดอกไม้ของเจ้าชายน้อย ณ ตอนที่เจ้าชายน้อยบอกว่า
จะเดินทางออกจากดาวของตนเพื่อไปผจญภัย ดอกไม้เจ็บปวดและเสียใจ แต่ก็ไม่ยอม
บอกกับเจ้าชายน้อยตรงๆ ปล่อยให้เจ้าชายน้อยจากไป และทำให้ความรักของทั้งคู่
กลายเป็นเรื่องเจ็บปวด กว่าจะรู้ตัว ทุกอย่างก็สายเกินไปเสียแล้ว หลายๆ ครั้ง เรา
พยายามปกปิดความรู้สึกภายในใจ ไม่ยอมพูดออกไป ด้วยเหตุผลที่เราคิดเอาเองว่า
สมควรแล้ว และพอเวลาผ่านไป เรามักย้อนกลับไปเสียใจ... แต่ก็แก้ไขอะไรไม่ได้อยู่ดี
5
พบกับเรื่องราวของ "ลอร่า อิงกัลล์ส" เด็กหญิงตัวน้อย ที่เติบโตขึ้นมาเพื่อเล่า
เรื่องราวที่ผ่านมาในชีวิตของเธอลงในหนังสือกระท่อมน้อย ในช่วงปลายทศวรรษที่
1870 กลางป่าลึกแห่งมลรัฐวิสคอนซิล ประเทศสหรัฐอเมริกา ที่ซึ่งเต็มไปด้วยฝูง
สุนัขป่า เสือดำ และหมี และที่ตรงนั้นเอง หนูน้อยลอร่าได้อาศัยอยู่กับพ่อ แม่ แมรี่ พี่
สาว และแครี่ น้องสาววัยแบเบาะของเธอ ในกระท่อมไม้ซุงหลังน้อย ที่อบอุ่นสบาย
พ่อเข้าป่าล่าสัตว์ ส่วนแม่ทำเนยและชีส รับประทานกันเอง ตลอดคืนอันยาวนาน แม้
สายลมหนาว จะโบกโบย ส่งความรู้สึกเศร้าสร้อยเพียงใด พ่อก็ยังคงขับกล่อมด้วย
บทเพลงจากไวโอลินตัวน้อย เพื่อให้ทุกคนอบอุ่นใจและมีความสุข
ร่วมสัมผัสความสุขและความอบอุ่นของครอบครัวอิงกัลล์ส ท่ามกลางป่ากว้างใน
กระท่อมไม้ซุงหลังน้อยอันแสนสุขใน "บ้านเล็กในป่าใหญ่" ผลงานคลาสสิกจากนัก
เขียนระดับโลก "ลอร่า อิงกัลล์ ไวล์เดอร์" ที่สร้างความประทับใจแก่นักอ่านมาหลาย
ทศวรรษ และทำให้ได้รู้ซึ้งถึงสิ่งที่เรียกว่า "บ้าน" อย่างแท้จริง
6
หนังสือชุด ‘บ้านเล็กฯ’ ถือเป็นวรรณกรรมเยาวชนสำคัญของอเมริกาและอาจ
จะของโลกด้วย เพราะเขียนขึ้นด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย สนุก ด้วยเรื่องราวของเด็กหญิง
ตัวเล็กๆ คนหนึ่งที่เติบโตขึ้นในรอยต่อประวัติศาสตร์ของคนอเมริกันยุคบุกเบิกดิน
แดนตะวันตก ที่ต้องต่อสู้กับอะไรต่อมิอะไรหลายอย่าง ตั้งแต่โรคภัยไข้เจ็บ การย้าย
บ้านครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อแสวงหา ‘โอกาส’ ที่ดีกว่า ผ่านการจับจองที่ดิน ภัย
ธรรมชาติอันโหดร้าย สัตว์ป่า แทรกไว้ด้วยเกร็ดการทำอาหาร ชีวิตทางสังคม ความ
รัก และความอบอุ่นในครอบครัว จึงกลายเป็นหนังสือ ‘อันเป็นที่รัก’ ของผู้คน
มากมาย
7
ต้นส้มแสนรักเป็นเรื่องราวของเด็กชายคนหนึ่งนามว่า"เซเซ่"ผู้มี
จินตนาการเปี่ ยมไปด้วยความฝันที่สวยงามเป็นเด็กฉลาด เกิดในครอบครัวที่
ยากจน มีพี่น้องหลายคน ด้วยความที่เขาดื้อและซน ชอบก่อเรื่องไม่เว้นแต่ละ
วัน จึงทำให้เขาโดนทำโทษแรงๆ อยู่บ่อยครั้ง ทำให้เขาอดคิดไม่ได้ว่าไม่มีใครร
รักเขา เพราะเขาเป็นส่วนเกินของครอบครัว เขาจึงสร้างโลกส่วนตัวของเขาขึ้น
มาคือโลกแห่งความฝัน ที่ทำให้เขามีความสุขอยู่ตามประสาเขา เพราะเขาไม่ใช่
คนที่มีเพื่อนมาก ทุกคนต่างคิดว่าเขาคือเด็กแสบที่สร้างความเดือดร้อนให้กับ
เพื่อบ้าน ซึ่งทุกคนต่างก็เอือมระอา
ต่อมาครอบครัวของเซเซ่ได้ย้ายบ้านใหม่ จึงได้พบกับต้นส้มต้นหนึ่งซึ่งพูดได้
ทำให้เขาได้เพื่อใหม่ที่รู้ใจที่สามารถพูดคุยและเป็นเพื่อนเล่นกับเขาได้ยามที่ถูก
กักบริเวณไม่ให้ออกไปข้างนอก ทุกเรื่องได้ทำให้เขามีความสุขมาก โลกแห่ง
จินตนาการเปี่ ยมไปด้วยความสดใสแห่งชีวิตของวัยเด็ก แต่อีกไม่นานเมื่อเขา
ต้องรับรู้ว่าเพื่อนที่ดีที่สุดของเขาต้องจากเขาไปตลอดกาล โลกที่สดใดของเขา
พลันมืดสลัวลง เขารู้สึกเจ็บปวดและเสียใจมากกับการจากลาในครั้งนี้
8
โลกของเด็กนั้น ไม่มีคำว่าจนหรือรวย แต่เต็มไปด้วยความสนุกเมื่อได้เห็นสิ่งใหม่ๆ
เต็มไปด้วยจินตนาการที่ผู้ใหญ่ไม่มีวันเข้าใจ ดังเช่น เซเซ่ เด็กน้อยวัย 5 ขวบ ผู้มี “ต้น
ส้ม” เป็นเพื่อน เป็นสมบัติล้ำค่า และ เป็นความหวังสุดท้ายในชีวิตของเขา
“ต้นส้มแสนรัก” วรรณกรรมเยาวชนของ โจเซ่ วาสคอนเซลอส นักเขียนชาว
บราซิล ที่เขียนขึ้นในปี 1968 โจเซ่ บอกว่าเขาใช้เวลาเพียงแค่ 12 วันในการเขียน
วรรณกรรมเรื่องนี้ และเรื่องนี้คือเรื่องที่อยู่ในใจเขามานานถึง 20 ปี
เรื่องราวของ โจเซ่ หรือ เซเซ่ เด็กน้อยที่ฉลาดเกินวัย จินตนาการของเขาคือเกราะ
ป้องกันชั้นดีจากความทุกข์ยากรอบตัว แม้กระทั่งต้นส้ม ในบ้านหลังใหม่หลังจากที่ทั้ง
ครอบครัวต้องย้ายจากบ้านหลังเก่าที่ค้างค่าเช่ามานาน ก็กลายเป็นเพื่อนสนิทของเซเซ่
ได้ในเวลาไม่นาน และ ต้นส้ม ก็เปรียบเสมือนอีกหนึ่งลมหายใจของเด็กชายวัย 5 ขวบ
เนื้อหาของ “ต้นส้มแสนรัก” นั้นสามารถทำให้เราทึ่งและอมยิ้มไปกับความเฉลียว
ฉลาดของเซเซ่แต่ในบางครั้งเราก็ได้เห็นความโหดร้ายของการมีชีวิตอยู่กับความ
ยากจนที่ทำให้คนในครอบครัวกลายเป็นคนใจร้ายต่อกัน
ขณะเดียวกันเนื้อหาของ “ต้นส้มแสนรัก” ยังทำให้เห็นความจริงของการมีชีวิตอยู่
ว่าคนเราไม่สามารถสมหวังได้ทุกครั้งไป และเมื่อเราพลาดคิดไปว่าชีวิตเราจะมีความสุข
ความทุกข์จะมายืนเคาะประตูอยู่หน้าบ้านทันที
จากคำบอกเล่าของพี่ชาย เซเซ่รู้ว่า “พ่อตกงานมานานกว่า 6 เดือนแล้วแม่ต้องไป
ทำงานในโรงงานตลอดวันและต้องใช้เข็มขัดกันไส้เลื่อนเพราะยกลังหลอดด้ายหนักเกิน
ไปพี่สาวที่ขยันเรียนก็ต้องออกจากโรงเรียนเพื่อไปเป็นกรรมกรหาเงินมาช่วยที่บ้าน
เช่นเดียวกับพี่ชายก็ต้องช่วยทำงานเช่นกัน”
ครอบครัวที่เต็มไปด้วยความยากลำบาก และ ความยากจน ทำให้เซเซ่ ต้องเอาตัว
เองมาอยู่ในโลกแห่งจินตนาการจนกระทั่งเขาได้พบกับเพื่อนต่างวัย ที่ทำให้เซเซ่ รู้สึกว่า
ชีวิตของตนเองกำลังจะมีความหวังอีกครั้ง แต่ก็นั่นแหละ ชีวิตมักมีบททดสอบกับเรา
เสมอ เหมือนดังประโยคหนึ่งของ เซเซ่ หลังจากที่เขาฟื้ นจากไข้ “อีกสองสามวันต่อมา
มันก็จบลง ผมถูกตัดสินให้มีชีวิตอยู่ มีชีวิตอยู่อีก..”
ต้นส้มแสนรัก เป็นหนังสือที่ได้รับการตีพิมพ์มาหลายครั้ง และในบางช่วงของเวลา
“ต้นส้มแสนรัก” เคยเป็นหนังสืออ่านนอกเวลาของเด็กนักเรียนในหลายโรงเรียนของ
เมืองไทย หนังสือเล่มนี้ไม่เพียงแต่ใช้ภาษาอ่านที่เข้าใจง่าย และทำให้เห็นความยากแค้น
ในชีวิตจริงเท่านั้น แต่ “ต้นส้มแสนรัก” ยังทำให้คนอ่านได้เข้าใจด้วยว่า โลกแห่งความ
จริงนั้นไม่มีใครจะสมหวังไปได้ตลอด และ ไม่มีใครจะผิดหวังไปตลอดเช่นกัน
9
"ชาร์ล็อตต์ แมงมุมเพื่อนรัก" เป็นเรื่องราวมิตรภาพของสัตว์ระหว่าง วิลเบอร์
หมูสีขาวตัวน้อย อ่อนต่อโลก และชาร์ล็อตต์ แมงมุมผู้ที่ช่วยเหลือให้เขารอดพ้นจาก
ความตายจากการเป็นอาหารอันโอชะของมนุษย์ ทั้งสองได้ออกผจญภัยในโลกกว้าง
ด้วยกัน
เวลาผ่านไปเรื่อย ๆ หลังจากฤดูหนาวได้ผ่านพันไปก็ถึงช่วงชีวิตสุดท้ายของ
ชาร์ล็อตต์ วิลเบอร์ได้ถามชาร์ล็อตต์ว่า "ทำไมเธอถึงทำเพื่อฉันขนาดนี้ ฉันไม่ควรจะ
ได้รับสิ่งเหล่านี้ ฉันไม่เคยทำอะไรตอบแทนเธอเลย" ชาร์ล็อตต์ตอบว่า "เธอทำแล้ว
ก็เธอเป็นเพื่อนฉันไง นั่นเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ ฉันชักใยให้เธอเพราะฉันชอบเธอ ยิ่งไป
กว่านั้น ชีวิตคืออะไร เราต่างเกิดมามีชีวิตอยู่ในระยะเวลาอันสั้น ไม่ช้าก็ตายไป...การ
ที่ฉันได้ช่วยเธอ ทำให้ชีวิตของฉันมีค่าขึ้น...."
ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเพียงใด วิลเบอร์ไม่เคยลืมชาร์ล็อตต์ ถึงเขาจะรักลูก ๆ
หลาน ๆ ของชาร์ล็อตต์ทุกตัว แต่ไม่เคยมีตัวไหนแทนที่ชาร์ล็อตต์ในหัวใจของวิล
เบอร์ได้เลย ชาร์ล็อตต์ย่อมเหนือกว่าใคร ๆ ไม่บ่อยนักที่เราจะมีเพื่อนแท้ที่เป็นทั้ง
เพื่อน และเป็นนักเขียนชั้นเยี่ยม แต่ชาร์ลล็อตต์เป็นทั้งสองประการนั้น
10
ความสัมพันธ์ระหว่างวิลเบอร์กับชาร์ล็อตต์สอนเราเรื่องมิตรภาพอันงดงาม จริงใจ
ไม่มีข้อแม้ ชาร์ล็อตต์ชักใยดักแมลงและอาศัยอยู่ในคอกของวิลเบอร์ ในตอนแรกที่วิล
เบอร์เห็นชาร์ล็อตต์จับแมลงกิน มันคิดว่าชาร์ล็อตต์โหดร้าย แต่ในที่สุดก็ตระหนักว่า
แมงมุมตัวนี้มีจิตใจที่งดงาม ทั้งคู่สนิทกัน เป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน แมงมุมตัวเล็ก ๆ อย่าง
ชาร์ล็อตต์พยายามช่วยขีวิตวิลเบอร์ครั้งแล้วครั้งเล่า โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน ตรงข้าม
กับเทมเปิลตันที่จะช่วยก็ต่อเมื่อได้ผลประโยชน์เท่านั้น
ข้อคิดอีกอย่างที่ได้จากเรื่องนี้คือ งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา ถึงมิตรภาพจะงดงาม
เพียงใด ท้ายที่สุดการจากลาก็เป็นสิ่งที่หลีกหนีไม่พ้น เป็นสัจธรรมที่เกิดขึ้นกับสิ่งมีชีวิต
ทั้งหมดบนโลกใบนี้ แต่เราก็สามารถเก็บความทรงจำดี ๆ ไว้ในใจได้
ข้อคิดสำคัญอีกข้อคือ ชีวิตต้องดำเนินต่อไป แม้ว่าสิ่งที่เรารักจะจากเราไปก็ตาม
หลังจากผ่านเรื่องราวต่าง ๆ มากมาย ท้ายที่สุดแล้ววิลเบอร์ก็ต้องดำเนินชีวิตของตัว
เองต่อไป ในช่วงแรก ๆ อาจจะทำใจได้ยาก แต่สุดท้ายความทุกข์และความเศร้าจะผ่าน
ไป แล้วเราก็จะกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง
11
มนุษย์เราอาจมีเวลาในชีวิตไม่เท่ากัน บางคนสั้น บางคนยาว แต่ไม่ว่าจะยาวหรือสั้น
แค่ไหน เราทุกคนต่างก็มีเวลาจำกัดเท่ากับชีวิตของเรา และนั่นย่อมหมายความว่า ไม่ว่า
เราจะประหยัดเวลาสักแค่ไหน ไม่ว่าจะเร่งรีบทำการงานสักเพียงใด เวลาของเราก็ยังมี
จำกัดเท่ากับชีวิตของเราอยู่ดี มนุษย์จึงต้องตัดสินใจเอาเองว่าจะทำอย่างไรกับเวลาที่มี
อยู่อย่างจำกัดนั้น เพราะเวลาคือชีวิต และชีวิตสถิตอยู่ในหัวใจ
"โมโม่" เป็นเด็กหญิงเร่ร่อนคนหนึ่งที่ไม่มีครอบครัว ไม่มีญาติ บ้านของเขาคือโรง
ละครร้างๆ ในเมืองเล็กๆ ทุกคนในเมืองนั้นชอบมาหาโม่โม่ ผู้ใหญ่ชอบมาเล่าเรื่องนู้น
เรื่องนี้ให้ฟัง เด็กๆ ชอบมาจับกลุ่มเล่นกับโม่โม่ แต่เมื่อผู้ชายสีเทาเข้ามาในเมือง ทุกคน
รอบข้างโมโม่ก็เปลี่ยนไป ผู้ชายสีเทาเข้ามายุยงให้ผู้คนพักผ่อนน้อยๆ ทำงานหนักๆ เลิก
เสียเวลาติดต่อพูดคุยกับคนอื่น โมโม่ก็เลยโดดเดี่ยวขึ้นเรื่อยๆ เขารับรู้ถึงการ
เปลี่ยนแปลงว่ายิ่งมนุษย์พยายามจะประหยัดเวลามากเท่าไหร่ เราก็ยิ่งมีเวลาน้อยลง
เท่านั้น เขาเลยพยายามช่วยเหลือให้สภาพสังคมแบบเดิมกลับมา ก่อนที่โลกนี้จะไม่เหลือ
เวลาให้คนได้พูดคุยกันอีกเลย
12
ความดีงามของหนังสือเล่มนี้อาจจะประกอบด้วยเหตุผลหลายประการรวมกัน อย่าง
แรก คือตัวละครโมโม่ ซึ่งเป็นตัวเอกของเรื่อง โมโม่เป็นเด็กผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง แต่
สิ่งพิเศษของเธอคือความสามารถในการฟัง ฟังเผิน ๆ แล้วเหมือนเป็นความสามารถ
พิเศษที่แสนจะธรรมดา เพราะใคร ๆ ก็ฟังได้ แต่ความจริงนั้นไม่ใช่ทุกคนที่ฟังเป็น การ
ฟังที่แท้จริงไม่ได้เป็นเพียงการใช้หูฟังสิ่งที่อีกฝ่ายพูดเท่านั้น แต่คือการทำความเข้าใจ
ความคิดของอีกฝ่ายด้วย ผู้ฟังที่ดีจะสามารถเข้าใจสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการสื่อ รวมไปถึง
ความรู้สึกของผู้พูด ทั้งนี้ คนเราจะรับรู้ได้อย่างแท้จริงว่าการฟังแบบธรรมดา (ใช้หูฟัง)
และแบบพิเศษ (ใช้ใจฟัง) นั้นแตกต่างกันอย่างไร ก็ต่อเมื่อเราเป็นฝ่ายพูดเองนั่นแล
เพราะเมื่อใดที่เราได้เจอผู้ฟังแบบที่สองนั้นเราจะรับรู้ได้เอง เราจะรู้สึกราวกับว่ามีใครอีก
คนหนึ่งบนโลกที่เข้าใจเราจริง ๆ
เรื่องโมโม่ สะท้อนถึงยุคสมัยที่มีการพัฒนาเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมอย่างรวดเร็ว
จึงเกิดความคิดสองกระแสขึ้นมาคือ “เวลาเป็นเงินเป็นทอง” และ “เวลาคือชีวิต” ทั้งที่
หนังสือเล่มนี้ตีพิมพ์เมื่อราว ๆ 40 ปีที่แล้ว แต่เนื้อหาก็ไม่ได้เก่าตามกาลเวลาเลย กลับ
แต่จะเข้ากับยุคสมัยมากยิ่งขึ้นเสียอีก เพราะยุคปัจจุบันเป็นยุคที่มีการพัฒนาทาง
เทคโนโลยีที่รวดเร็วที่สุดแล้ว ทั้งนี้ การที่เทคโนโลยีก้าวไปไกล อาจทำให้อุปกรณ์
เทคโนโลยีแทรกซึมเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต จนทำให้มนุษย์เราเปลี่ยนวิถีชีวิต
ประจำวันไปโดยไม่รู้ตัว แต่หนังสือเล่มนี้ก็ไม่ได้ต่อต้านเทคโนโลยีแต่อย่างใด เพียงแต่
เตือนใจให้ผู้อ่านกลับมาทบทวนดูว่า ทุกวันนี้เราตั้งหน้าตั้งทำงาน และใช้ชีวิตในแต่ละวัน
อย่างเร่งรีบจนลืมที่จะแบ่งเวลาไว้ทำสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่อาจไม่สำคัญแต่ทำให้เรามี
ความสุขหรือเปล่า
13
เหตุการณ์ในเรื่องเกิดขึ้นในดินแดนที่ชื่อว่า "แฟนตาสติกา" ซึ่งอยู่ภายใต้การปกครอง
ของจักรพรรดินี ผู้ทรงมีลักษณะเหมือนเด็ก โลกแห่งนั้นกำลังถูกทำลายลงด้วย "ความ
ว่างเปล่า" ตัวละครเอกคนหนึ่งเป็นนักรบหนุ่ม ซึ่งองค์จักรพรรดินี - ขอร้องให้เขาหา
ทางช่วยเหลือโลกนั้นไว้ ส่วนตัวละครเอกอีกคนหนึ่ง คือเด็กชายจากโลกอันแท้จริง ซึ่ง
เป็นผู้อ่านนวนิยายที่มีชื่อเรื่องเดียวกันกับชื่อหนังสือ และได้พบว่าสิ่งที่เขากำลังอ่านอยู่
นั้นกลับกลายเป็นความจริงขึ้นเรื่อยๆ!
14
หนังสือเล่มนี้ ได้แสดงให้เห็นถึงพลังแห่งจินตนาการอันเป็นหนทางในการเยียวยาชีวิต
และสังคมในเชิง “ทวิลักษณ์” ของ โลกจริง และ โลกสมมุติ หรือที่เรียกว่าโลกแห่ง
จินตนาการซึ่งทับซ้อนเชื่อมโยงถึงกันและกัน อาจกล่าวได้ว่าความปรารถนาหรือ
จินตนาการนั้นเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อให้คนเราเติบโตและสามารถมองโลกความเป็นจริง
ภายนอกด้วยมุมมองที่แตกต่างออกไปได้ ในทางกลับกันมันก็เป็นสิ่งจำเป็นที่ช่วย
สะท้อนกลับมาให้ได้เรียนรู้และมองหารากเหง้าแห่งความงาม ความดี และความจริงแท้
ภายในตนเองซึ่งมีอยู่แล้วโดยไม่ต้องแสวงหาจากภายนอก เพียงแค่มองย้อนกลับเข้า
มาแล้วใคร่ครวญตัวเองอย่างลึกซึ้ง ยอมรับตัวตนทั้งข้อดีข้อด้อย แปรเปลี่ยนปรับปรุง
ตัวเองให้ดียิ่งขึ้น รวมทั้งดึงศักยภาพภายในนั้นออกมาแบ่งปันกับผู้คนรอบข้าง ย่อม
ทำให้การอยู่ร่วมกันในสังคม/สังฆะใดๆ ก็ตาม เป็นสังคมอุดมคติตามความปรารถนาได้
ไม่มากก็ไม่น้อย
15
“... มีเมล็ดพันธุ์อยู่ทั่วไปทุกหนทุกแห่ง ไม่ใช่เพียงในดินเท่านั้น
แต่มันมีอยู่บนหลังคาบ้านเอย บนขอบหน้าต่างเอย บนทางเดิน บนรั้วไม้ บนกำแพง
เมล็ดพันธุ์เหล่านั้นมีเป็นเรือนแสนเรือนล้าน ที่ไม่ได้ใช้ทำอะไรเลย มันอยู่ที่นั่นรอให้ลม
พัดผ่านมาเพื่อพาไปยังทุ่งหรือไปสู่สวน
มีอยู่บ่อยครั้งที่เมล็ดพันธุ์เหล่านั้นแห้งค้างอยู่ในซอกหินโดยไม่อาจกลายเป็นดอกไม้ได้
แต่หากนิ้วหัวแม่มือสีเขียวได้สัมผัสเมล็ดพันธุ์เหล่านี้เมล็ดเดียไม่ว่ามันจะอยู่ในที่ใด
ก็ตาม
ดอกไม้จะงอกขึ้นในทันทีทันใด ...”
16
ติสตูถูกตัดสินจากคุณครูว่า "ไม่เหมือนคนอื่น" เพราะไปโรงเรียนทีไร เขาจะง่วง
นอนจนเรียนไม่รู้เรื่อง พ่อแม่จึงต้องให้เขาเรียนที่บ้าน ทำให้เขารู้ว่าตัวเองมีพลัง
พิเศษ พลังนิ้วหัวแม่มือสีเขียว ที่ไม่ว่าจะเอาไปจิ้มตรงซอกไหมมุมไหน เพียงข้ามคืน
จุดที่จิ้มจะมีต้นไม้งอกขึ้นมาสูงใหญ่ ราวกับใช้เวลาปลูกมาเป็น 10-20 ปี
ติสตูได้ใช้พลังพิเศษนี้ปรับปรุงสิ่งที่เขาเห็นว่าไม่ถูกไม่ควร ทั้งมอบทัศนียภาพงาม
ตาให้นักโทษในคุก นำความมั่งคั่งมาสู่สลัมที่คนไม่เหลียวแล นำชีวิตชีวามาสู่เด็ก ๆ ที่
รักษาตัวในโรงพยาบาล คืนความเขียวขจีแก่บรรดาสัตว์ในสวนสัตว์ หรือแม้กระทั่ง
หยุดสงครามด้วยมวลดอกไม้
หนังสือหยิบเรื่องราวของคนชายขอบมาเล่า ผ่านทัศนคติของเด็กชายวัยกำลัง
เรียนรู้โลก เขาบริสุทธิ์ จิตใจสะอาด นึกเห็นใจกลุ่มคนที่ไร้ผู้คนเหลียวแล และลงมือ
ทำเท่าที่ตนเองทำได้และไม่เดือดร้อน ภาษาในเรื่องลื่นไหล ทั้งยังช่างเสียดสี
เหน็บแนม ตลกร้าย และเชิดชูเสรีภาพ
17
"หมีพูห์" เป็นที่รู้จักในบ้านเรา จากการ์ตูนของ "วอลท์ ดิสนีย์" ซึ่งนำเอาพูห์มาลงสี
สดใส เป็นเจ้าหมีตัวอ้วนกลมสีเหลืองใส่เสื้อสีแดง เรื่องราวของพูห์ก็เหมือนสังคมที่
เด็กๆ อยู่ร่วมกัน มีทั้งความสนุกสนานและเสียงหัวเราะ มีทั้งปัญหาและความขัดแย้ง
แต่ด้วยมุมมองและวิธีคิดแบบเด็กๆ ซึ่งหลายครั้งก็ง่ายและลึกซึ้งอย่างไม่น่าเชื่อ ก็ทำให้
ทุกอย่างผ่านพ้นไปด้วยดี นอกเหนือจากความสนุกสนานแล้ว วิธีคิดแบบง่ายๆ ซื่อๆ
แบบหมีพูห์ น่าจะสร้างแรงบันดาลใจและเป็นกำลังใจแก่ผู้อ่านได้ ไม่เพียงแต่เด็ก ๆ หาก
รวมถึงผู้ใหญ่ด้วย
"หมีสมองเล็ก" ตัวนี้ "เอ.เอ.มิลน์" เขียนเรื่องนี้เมื่อปี พ.ศ. 2469 จากนิทานที่เล่า
ให้ลูกชายฟังก่อนนอน เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับสัตว์ต่างๆ ในป่าร้อยเอเคอร์ ซึ่งแน่นอนว่า
มีเด็กอยู่เพียงคนเดียวในเรื่อง ก็คือ "คริสโตเฟอร์ โรบิน" ลูกชายของผู้เขียนนั่นเอง
18
“นายชอบทำอะไรมากที่สุดในโลก พูห์”
“เอ้อ” พูห์ตอบ “ที่ฉันชอบมากที่สุด…” มันจำต้องหยุดคิด เพราะถึงแม้การกินน้ำผึ้งจะ
เป็นสิ่งที่น่าทำมาก แต่ก็ยังมีชั่วขณะก่อนลงมือกินซึ่งดีกว่าตอนกำลังกินเสียอีก แต่มัน
ไม่รู้จะเรียกสิ่งนั้นว่าอะไร และแล้วมันจึงคิดว่าการอยู่กับคริสโตเฟอร์ โรบิน เป็นสิ่งที่น่า
ทำมาก และการมีพิกเลตอยู่ใกล้ ๆ ก็เป็นสิ่งที่อบอุ่นมาก ดังนั้น เมื่อคิดละเอียดดีแล้ว
มันจึงบอกว่า “ที่ฉันชอบมากที่สุดในโลกนี้ทั้งโลกก็คือ ฉันกับพิกเลตไปหานาย และนาย
พูดว่า ‘อะไรซักนิดหน่อยดีมั้ย’ และฉันพูดว่า ‘เอ้อ ฉันไม่รังเกียจอะไรนิดๆ หน่อยๆ
หรอก นายก็เหมือนกันใช่มั้ยล่ะ พิกเลต’ และวันนั้นก็เป็นวันแบบที่ว่ามีเพลงลอยอยู่ข้าง
นอก และนกกำลังส่งเสียงร้อง”
เคล็ดลับที่จะมีความสุขในทุกวันก็คือ รู้จักที่จะชื่นชมเรื่องราวดีๆ เล็กๆ น้อยๆในชีวิต
ประจำวันนั่นเอง เมื่อลองพิจารณาดู ความสุขอาจไม่จำเป็นต้องเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่เสมอไป
มันอาจเป็นเพียงสิ่งละอันพันละน้อยที่เราเจอในชีวิตประจำวัน ซึ่งเล็กมากเสียจนเราแทบ
ไม่ทันสังเกตเห็น ไม่ว่าจะเป็นกิจวัตรประจำวันอันคุ้นเคย ของกินอร่อยๆ งานอดิเรก
เล็กๆ น้อยๆ ผู้คนที่ใช้ชีวิตรอบตัวเรา แต่ถ้าขาดสิ่งเหล่านี้ไป เราก็จะรู้สึกว่ามีบางอย่าง
ผิดเพี้ยนไปไม่น่าเชื่อ
…. ข้อคิดบางส่วนจาก วินนีเดอะพูห์
19
บึงหญ้าป่าใหญ่เป็นเรื่องเกี่ยวกับมิตรภาพในวัยเด็กของสองตัวละครนั่นคือ “ผม”
และ “โทน” ทั้งผมและโทนต่างก็มีชีวิตที่ค่อนข้างจะแตกต่างกัน ผมเป็นเด็กดี เพราะ
มีพ่อแม่คอยให้ความรักความอบอุ่นอยู่ไม่ขาด ใคร ๆ ต่างก็ชื่นชนที่ผมสุภาพอ่อนน้อม
ในขณะที่โทนนั้นถูกผู้อื่นตัดสินว่าเป็นเด็กเกเร เพราะ โทนไม่ชอบไปโรงเรียน ชอบเข้า
ป่า และแสดงความก้าวร้าวออกมาในบางครั้ง ซึ่งสาเหตุที่โทนแสดงกิริยาก้าวร้าวออก
มา เป็นเพราะเขาเป็นคนที่โดดเดี่ยว เป็นเด็กกำพร้า ไม่มีพ่อแม่คอยดูแล อบรมสั่ง
สอน โทนจึงต้องดูแลตัวเอง หาเลี้ยงตัวเอง ทำให้ต้องแสดงออกในทางก้าวร้าวเพื่อ
เป็นกลไกในการป้องกันตัวเองไม่ให้ถูกใครรังแก ช่วงแรกผมพยายามอยู่ห่าง ๆ โทน
เพราะ ผู้ใหญ่เคยห้ามไว้และผมยังไม่ยอมรับในตัวโทน แต่เมื่อผมได้รู้จักกับโทน ก็
เหมือนเป็นการเปิดโลกอีกใบที่ผมไม่เคยรู้จัก ผมจึงเปิดใจยอมรับโทน เพราะ โทนได้
พาผมไปที่บึงหญ้าใหญ่ สถานที่ซึ่งผมเองก็สนใจและอยากจะไปดูให้เห็นด้วยตา ท้าย
ที่สุดในความแตกต่างนั้น ทั้งคู่ต่างก็เรียนรู้ซึ่งกันและกัน ก่อเกิดสายใยแห่งมิตรภาพ
ที่กาลเวลาไม่อาจทำให้สายใยนั้นขาดสะบั้นลงได้ เพียงแต่การดำเนินชีวิตของผม
เปลี่ยนไป จึงทำให้ทุก ๆ อย่างเปลี่ยนแปลงไปเท่านั้นเอง
20
เรื่องบึงหญ้าป่าใหญ่มีแนวคิดหลัก คือ มิตรภาพ ซึ่งเห็นได้ชัดจากมิตรภาพ
ระหว่าง “ผม” และ “โทน” ตัวละครซึ่งมีความแตกต่างกัน ทั้งทางด้านบุคลิกลักษณะ
นิสัย ภูมิหลังของครอบครัว การศึกษา ผู้เขียนแสดงให้เห็นว่า ถึงแม้จะมีความแตก
ต่างกันในด้านต่าง ๆ ก็สามารถเป็นเพื่อนกันได้ เกิดมิตรภาพที่ดีต่อกันได้โดยไม่มีข้อ
จำกัดใด ๆ สิ่งที่สำคัญคือ ความเข้าใจซึ่งกันและกัน ความเข้าใจในความแตกต่าง และ
เปิดใจยอมรับซึ่งกันและกัน นอกจากจะทำให้เรามีมิตรภาพที่ดีต่อกันแล้ว ยังทำให้เรา
ได้เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ แลกเปลี่ยนสิ่งใหม่ ๆ ให้กันและกันอีกด้วย เพราะฉะนั้น หากทุก
คนในสังคมพยายามทำความเข้าใจซึ่งกันและกัน เป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน เกิดมิตรภาพดี
ๆ ระหว่างกันและกันแล้วนั้น เราก็จะสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข เพราะคง
ไม่มีใครอยากทำให้ “เพื่อน” ของตัวเองเสียใจแน่นอน
นอกจากนี้ ผู้เขียนยังแฝงทัศนะอื่น ๆ อีก ได้แก่ ทัศนะของผู้แต่งที่มีต่อโลกและ
ชีวิตมนุษย์ ที่ว่า “ทุกสิ่งทุกอย่าง ย่อมมีความเปลี่ยนแปลงไม่ช้าก็เร็ว” เห็นได้จาก
ความเปลี่ยนแปลงในความสัมพันธ์ของ “ผม” และ “โทน” อันเกิดจากการใช้ชีวิตที่
แตกต่างกันของทั้งคู่ ซึ่งสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปแล้วนั้นยากที่จะเปลี่ยนกลับมาให้เป็น
อย่างเดิมได้ แต่ความเปลี่ยนแปลงนั้นก็ไม่ได้ลบบางอย่างออกไปอย่างทันที นั่นคือ
ความทรงจำที่มีระหว่างกันและกัน “อย่ามองคนที่ภายนอก”นั่นก็คือ การจะตัดสินว่า
บุคคลนั้น ๆ เป็นอย่างไร มีความดีหรือเลวอย่างไร สิ่งที่พึงกระทำคือ การทำความรู้จัก
การศึกษาจิตใจของบุคคลนั้น ๆ ให้ชัดเจน รู้ถึงแก่นแท้ หรือเรียกง่าย ๆว่า การมอง
กันที่จิตใจนั่นเอง
21
ขวัญสงฆ์ เด็กกำพร้าผู้น่าสงสาร ถูกนำมาทิ้งไว้ที่หน้าวัด หลวงตามาเห็นเข้า จึงเก็บ
ไปเลี้ยง โดยได้ฝากตาส่งกับยายหนูเลี้ยงไว้ก่อน เมื่อเติบโตพอรู้ความ จึงให้มาอยู่กุฏิ
กับหลวงตา และได้สร้างวีรกรรมต่าง ๆ มากมาย มักจะโดนหลวงตาทำโทษอยู่เสมอ
เมื่อขวัญสงฆ์อายุเจ็ดปี หลวงตาก็ส่งเข้าโรงเรียน โดยมีครูสุดาเป็นครูประจำชั้น ครู
สุดารักและเอ็นดูขวัญสงฆ์มาก จึงได้ขอขวัญสงฆ์ไปเลี้ยงเป็นลูก และดูแลเอาใจใส่
ขวัญสงฆ์เป็นอย่างดี หลังจากนั้นไม่นาน ครูสุดาก็แต่งงานและมีลูก ขวัญสงฆ์รู้สึก
น้อยใจ เพราะตนไม่ได้รับการเอาใจใส่เหมือนเดิมแล้ว จึงกลับไปอยู่วัดกับหลวงตา และ
ขอบวชทดแทนคุณ กระทั่งหลวงตามรณภาพ พระขวัญสงฆ์ก็ได้เป็นเจ้าอาวาส ดูแล
พัฒนาวัดต่อจากหลวงตา
22
แนวคิดที่ได้จากการอ่าน
คนเราเลือกเกิดไม่ได้ แต่เราเลือกที่จะเป็นคนดีของสังคมได้ เหมือนขวัญสงฆ์ที่แม้จะ
เป็นเด็กกำพร้า อาจจะทำผิด ซุกซนบ้างตามประสาเด็ก แต่เมื่อหลวงตาทำโทษและสั่ง
สอน เขาก็เชื่อฟังและปฏิบัติตาม จนประสบความสำเร็จในชีวิต มีคนเลื่อมใสศรัทธา
เพราะวัตรปฏิบัติที่งดงามและความกตัญญูของขวัญสงฆ์ที่ไม่ลืมผู้มีพระคุณ
ขวัญสงฆ์ เป็นวรรณกรรมเยาวชนที่อ่านได้ทุกเพศทุกวัย จากชื่อเรื่องก็เป็นชื่อ
เดียวกับชื่อตัวละครเอก เพราะในเนื้อเนื่องได้เล่าถึงชีวิตของขวัญสงฆ์ ตั้งแต่เกิดมา
เป็นเด็กกำพร้า จนกระทั่งเป็นเจ้าอาวาส การตั้งชื่อตัวละครสอดคบ้องกับชื่อเรื่อง
แสดงให้เห็นว่ส เกี่ยวข้องกับวัด เกี่ยวจ้องกับพระ การดำเนินเรื่อง เริ่มเล่าตั้งแต่
หลวงตามาพบเด็กทารกบริเวณหน้าวัด จนขวัญสงฆ์เป็นเจ้าอาวาส เป็นการเล่าเรื่อง
แบบเป็นลำดับ ไม่วกวน ทั้งยังมีการสอดแทรกคุณธรรมคำสอนต่าง ๆ เช่น ความ
กตัญญูกตเวที ความซื่อสัตย์ การยอมรับในสิ่งที่ตนกระทำ สัจธรรมของชีวิต การเกิด
ขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป กลวิธีของวรรณกรรมเรื่องนี้ แตกต่างจากเรื่องอื่น ๆ คือ
วรรณกรรมเรื่องนี้ ผู้เขียนได้ประพันธ์เป็นร้อยกรองทั้งเรื่อง ทำให้เวลาอ่านมีจังหวะ
น่าสนใจ และเป็นการปลูกฝังให้รักในท่วงทำนองการประพันธ์ร้อยกรองของไทย
ประโยคที่ประทับใจ
หน้า 158 "เขาเป็นเด็กรู้คุณจึงได้ดี" เพราะความกตัญญูกตเวทีเป็นเครื่องหมายของ
คนดี เมื่อเรารู้คุณคน ก็จะทำให้คนอื่น ๆ รักเรา เอ็นดูเรา และอยากช่วยเหลือเราอีก
และการรู้คุณคนจะทำให้เราประสบความสำเร็จในชีวิตทุก ๆ ด้าน
23
เรื่องราวมหัศจรรย์เหนือจริง ของ "เด็กชายชาร์ลี บั๊กเก็ต" ลูกชายฅนเดียวของ
ครอบครัวยากจนและหิวโหย อันประกอบด้วยเจ็ดชีวิตซึ่งอาศัยอยู่ใกล้ๆ โรงงานผลิต
ช็อคโกแล็ตแสนอร่อย และลือลั่นไปทั่วโลกของ "นายวิลลี่ วองก้า" ผู้คิดค้นสูตรช็อค
โกแล็ตชนิดพิเศษพิสดารมากมาย เรื่องราวเริ่มต้นเมื่อ "ชาร์ลี" บังเอิญมีโชค เขาเปิด
ห่อช็อคโกแล็ตพบตั๋วทอง และกลายเป็นเด็กคนหนึ่งของจำนวนห้าคนในโลก ที่จะได้มี
โอกาสเข้าไปเยี่ยมชม และล่วงรู้ความลับสุดยอดของโรงงานช็อคโกแล็ตมหัศจรรย์
พร้อมกับผู้ปกครองของตน พร้อมทั้งได้ช็อคโกแล็ตและขนมแสนอร่อยจากโรงงานไว้
กินตลอดชีวิต ความมหัศจรรย์เหนือเวทย์มนตร์ และความลึกลับที่เป็นปริศนามานับ
สิบห้าปี รอเขากับ "ปู่โจ" อยู่ในรั้วโรงงานของ "นายวิลลี่ วองก้า" ไม่มีใครทราบว่าเขา
เป็นใคร? มหาเศรษฐี? พ่อมด? หรือผู้วิเศษ? กันแน่!
24
เด็กทั้ง 5 ที่เป็นผู้โชคดีได้ตั๋วทองจากห่อช็อกฯ เป็นตัวละครที่สะท้อนรูปแบบ นิสัย
และการเลี้ยงดูของพ่อแม่ที่ต่างกัน . .
ออกัสตัส เด็กจอมตะกละ ผู้ไม่รู้ว่าเวลาไหนสำหรับการกิน เวลาไหนสำหรับทำอะไร
ชีวิตที่ใช้ลิ้นเป็นแหล่งของความสุข การได้กินคือทุกสิ่งของชีวิต ย่อมพบกับเส้นทางที่
ระหกระเหินเพราะการ "กิน" นั่นล่ะ
ไวโอเล็ต สาวน้อยผู้พิชิตและทุบสถิติเคี้ยวหมากฝรั่งยาวนาน เคี้ยวมัน เคี้ยวเพลิน
เกินห้ามใจ เคี้ยวเข้าไป พ่อแม่ก็มิได้ห้ามปรามแต่อย่างใด การทำอะไรแต่เพียงพอดี
ย่อมสร้างความสุข มากกว่าการทำอะไรที่เกินกว่าความพอดีไปมากโข
ไม้ค์ การติดทีวี ทำให้คำพูดคำจาของไม้ค์กระโชกโฮกฮาก พูดจาอู้อี้ ดูเหวี่ยงๆ
ฉุนเฉียวตลอดเวลา การไม่รู้จักแบ่งเวลา และใช้เวลากับหน้าจอมากเกินไป ทำให้โลก
แคบของตัวเราเองบอกว่า "เรานี่ล่ะเจ๋งที่สุดล่ะ"
เวรูก้า สาวน้อยผู้อยากได้อะไรเป็นต้องได้ พ่อแม่มีหน้าที่เพียงสนองตอบทุกความ
ต้องการ ทั้งที่จำเป็นและไม่จำเป็น ใช้ชีวิตโดยไม่รู้จักความผิดหวัง ได้ ได้ ได้และจน
เคยชิน ผลสุดท้ายคือการได้รับผลกระทบจากการอยากได้ของตัวเอง และพ่อแม่ก็เช่น
กัน การให้ลูกทุกอย่าง ไม่ได้แปลว่า "รัก" แต่บางครั้ง มันคือการ "ทำร้าย" ลูก
ชาร์ลี เด็กชายตัวน้อย ผอมกระหร่อง ร่างกายอาจขาดสารอาหารเพราะความอด
ยาก แต่หัวใจกลับอบอุ่นด้วยความรักจากทุกคนในครอบครัว อ่านแล้วเห็นภาพ
Extended Family ชัดเจน ข้อดีของการมีและอยู่ร่วมกันกับปู่ย่าตายาย . . อ่านจบได้
ทั้งความสนุกและแง่คิดหลากหลาย
25
เป็นชุด นวนิยาย แฟนตาซีและถูกจัดเป็นวรรณกรรมด้วยมีจำนวนเจ็ดเล่ม ประพันธ์
โดยนักเขียนชาวอังกฤษชื่อว่า เจ. เค. โรว์ลิง เป็นเรื่องราวการผจญภัยของพ่อมด
วัยรุ่น แฮร์รี่ พอตเตอร์ กับเพื่อนสองคน รอน วีสลีย์ และ เฮอร์ไมโอนี เกรนเจอร์
ซึ่งทั้งหมดเป็นนักเรียนของ โรงเรียนคาถาพ่อมดแม่มดและเวทมนตร์ศาสตร์ฮอก
วอตส์ โครงเรื่องหลักเกี่ยวกับภารกิจของแฮร์รี่ในการเอาชนะพ่อมดศาสตร์มืดที่ชั่ว
ร้าย ลอร์ดโวลเดอมอร์ ผู้ที่ต้องการจะมีชีวิตเป็นอมตะ มีเป้าหมายเพื่อพิชิต มักเกิ้ล
หรือประชากรที่ไม่มีอำนาจวิเศษ พิชิตโลกพ่อมดและทำลายทุกคนที่ขัดขวาง โดย
เฉพาะอย่างยิ่ง แฮร์รี่ พอตเตอร์
26
ข้อคิดบางส่วนจากหนังสือแฮร์รี่พอตเตอร์
เราสามารถเปลี่ยนแปลงวัตถุได้ แต่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงลิขิตฟ้าได้
ในต้นเรื่องของหนังแฮร์รี่ พอตเตอร์ กับศิลาอถรรพ์ หลังจากพ่อแม่ของแฮร์รี่ได้
เสียชีวิตไป แฮร์รี่ได้พักอยู่บ้านเดียวกับลุงเวอร์นอลและป้าเพ็ตทูเนีย เดอร์สลีย์
เป็นญาติคนเดียวที่แฮร์รี่หลงเหลืออยู่ ลุงเวอร์นอลและป้าเพ็ตทูเนีย เดอร์สลีย์ รู้
อยู่แล้วว่าแฮร์รี่เป็นพ่อมด แต่ปิดบังมาโดยตลอด เนื่องจากลุงเวอร์นอลและป้า
เพ็ตทูเนีย เดอร์สลีย์ไม่สนับสนุนและไม่ชอบพ่อมด เมื่อถึงเวลาที่ต้องเข้าปีหนึ่ง มี
จดหมายจาก ฮอกวอตส์ ซึ่งเป็นจดหมายแรกของแฮร์รี่ เพื่อเรียกตัวแฮร์รี่เข้าไป
เรียนในโรงเรียนเวทมนต์ชั้นปีที่ 1 ลุงเวอร์นอล ก็ได้พยายามที่จะกีดกั้นไม่ให้แฮร์รี่
ได้อ่านจดหมาย แกได้พยายามทุกวิธีทางเพื่อไม่ให้จดหมายของแฮร์รี่ถูกส่งมายัง
บ้าน แต่ความพยายามดูเหมือนจะสูญเปล่า เพราะในเช้าตรู่ของวันหยุด มีฝูงนกฮูก
จำนวนมากได้มาส่งจดหมาย จนทำให้ลุงเวอร์นอลสกัดกั้นไม่อยู่ จึงทำให้แฮร์รี่ได้
รับรู้ว่าเป็นจดหมายเรียกเข้าเรียนที่ฮอกวอตส์
จากเนื้อเรื่องข้างต้นทำให้เรารู้ว่า เราทุกคนสามารถเปลี่ยนแปลงวัตถุได้ แต่ไม่
สามารถเลี่ยงลิขิตฟ้าได้
27
"เมื่อคุณตาคุณยายยังเด็ก" เล่มนี้ เป็นหนังสือที่มีประโยชน์และมีคุณค่ายิ่งใน
ทางสะท้อนภาพชีวิตความเป็นอยู่และวัฒนธรรมเดิมในสังคมไทยให้คนรุ่นปัจจุบัน
ได้รับทราบ เป็นการเล่าเกร็ดความรู้ที่น่าสนใจของชีวิตครอบครัวไทยในสมัยรัชกาล
ที่ 6 ถึงรัชกาลที่ 7 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ สารจารีตนิยมสมัยในรูปแบบการเขียน
แบบสนทนา เล่าสู่กันฟังในสำนวนการเขียนที่ใช้คำง่ายๆ จนผู้อ่านสามารถที่จะมอง
และมีวิสัยทัศน์จากตัวอักษรออกมาเป็นภาพได้อย่างชัดเจน เหมาะสำหรับนักเรียน
นิสิต นักศึกษา ตลอดจนบุคคลทั่วไปที่สนใจ
28
ยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงอาจทำให้ความเชื่อ ความคิด และการดำเนินชีวิตของผู้คนแตก
ต่างกันออกไป ทั้งการพูด การกิน และธรรมเนียมปฏิบัติต่างๆ ซึ่งเราในฐานะที่เป็นคน
สมัยใหม่ หากลองเปิดใจเรียนรู้สิ่งที่คนสมัยก่อนทำก็จะได้เห็นอีกแง่มุมที่น่าสนใจและ
อาจนำไปประยุกต์ใช้ได้ เช่น ในเรื่องของการเลี้ยงดูลูกหลาน สมัยคุณตาคุณยายยัง
เด็ก เนื่องจากมีไฟฟ้าจำกัดและยังไม่มีเครื่องใช้ไฟฟ้าอย่างวิทยุโทรทัศน์ ทำให้ต้องเข้า
นอนกันตั้งแต่หัวค่ำ ก่อนนอนผู้ใหญ่ก็จะเล่านิทานกล่อมเด็กๆ ให้หลับกันไป ซึ่งต่าง
กับสมัยนี้ที่เด็กๆ นอนค่อนข้างดึก และใช้เครื่องใช้ไฟฟ้ากันเยอะ หากเราลองลดการ
ใช้ไฟในยามค่ำคืนและลองหันมาเล่านิทานให้เด็กๆ ฟังบ้าง ก็น่าจะเป็นสิ่งที่ดีไม่น้อย
29
เรื่องราวที่ผู้เขียนบันทึกไว้ในเล่มนี้ อ่านสนุกเหมือนกับอ่านนิยายความสามารถใน
การใช้ถ้อยคำภาษาที่สละสลวย ให้ความรู้สึกและภาพพจน์แจ้มชัดของพิบูลศักดิ์ ทำให้
งานเขียนชิ้นนี้ของเขามีเสน่ห์น่าอ่านมากประกอบกับประสบการณ์ในวัยเด็กของเขามี
เรื่องราวสนุกๆ แปลกๆ ที่น่าสนใจ น่าประทับใจหลายเรื่อง จึงทำให้ วัยฝันวัยเยาว์ ของ
เขาเป็นหนังสือที่ชวนอ่านชวนติดตาม
30
วัยฝันวันเยาว์ โดยเนื้อหาของหนังสือนับเป็นซีกเสี้ยวชีวิตวัยเด็ก และจำเพาะเลือกมาแต่ด้านที่
งดงามของผู้เขียน นำเสนอแก่ผู้อ่านในรูปแบบของบันเทิงคดี อย่างที่เรียกว่าเรื่องสั้นชุด ที่ครั้นพอ
เขียนร้อยเรียงเรื่อยกันไปจนจบชุดแล้ว ก็กลับกลายเป็นนิยายเรื่องหนึ่ง และให้บังเอิญอีกว่านิยาย
เรื่องนี้ ในอีแง่มุมก็มองได้ว่าเป็นเสมือนหนึ่งอัตชีวประวัติผู้เขียน เพียงแต่นักเขียนเมื่อเขียนเรื่อง
ของตัวเอง ก็ไม่ค่อยเห็นมีใครเรียกงานทำนองนี้ว่าอัตชีวประวัติ เช่นเดียวกับพิบูลศักดิ์ ละครพล
พิบูลศักดิ์ ละครพล ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในตำนานของสี่นักเขียนมือทอง ที่ร่วมยุคสร้างงานเขียนด้วย
กันมาอย่างกรณ์ ไกรลาศ ที่ปัจจุบันคือ ปกรณ์ พงศวราภา บอสใหญ่ในเครือจีเอ็มกรุ๊ป นิเวศ กัน
ไทยราษฎร์ นักเขียนผู้มากมายบทบาท และก็มกุฎ อรดี หรือนิพพานฯ ที่ปัจจุบันเป็นบรรณาธิการ
สำนักพิมพ์ผีเสื้อ
นอกจากตำนานดังว่า ดูเหมือนพิบูลศักดิ์ ละครพล ยังจะเป็นหนึ่งในตำนานของนักเขียนผู้มีบทบาท
ที่เป็นต้นแบบและเป็นแรงบันดาลใจอะไรบางอย่างให้กับคนหนุ่มสาวหลายคน ได้ก้าวเดินเข้ามาเป็น
นักเขียน กวี แม้แต่คนทำหนังสือ ทั้งนี้ก็เนื่องจากผลงานอันหลากหลายของเขา อาทิ ถนนสีแดง
หุบเขาแสงตะวัน ขอความรักบ้างได้ไหม ชูมาน บทกวีแห่งความรัก ความรักจะอยู่กับเรา ดอกไม้ถึง
คนหนุ่มสาว และโดยเฉพาะนิตยสารสู่ฝัน ที่เขาก่อตั้งขึ้นเมื่อปี ๒๕๒๖ นับเป็นนิตยสารกวีนิพนธ์
เพียงเล่มแรกและเล่มเดียวที่ส่งผลถึงคนหนุ่มสาวในยุคนั้น
ขณะที่ลักษณะงานวรรณกรรมของพิบูลศักดิ์ ละครพลมีจุดเด่นอยู่ที่การใช้ภาษาและอารมณ์เรื่อง
อันสอดคล้องกับแก่นเรื่องที่มักนำเสนอเรื่องของความรัก ความผูกพันและการจากพราก ความ
เหงาและโดดเดี่ยว อีกทั้งยังมีแก่นแกนที่เป็นสังคมในอุดมคดีอันสะท้อนจากปัญหาทางสังคมที่
ปรากฏอยู่ โดยพิบูลศักดิ์ ละครพล จะมีวิธีการเขียยนเรื่องที่ไม่เน้นพล็อตเรื่อง หากเลือกขับเน้นแต่
สีสันบรรยากาศเรื่อง หรือให้รายละเอียดของฉากเรื่องที่เปลี่ยนแปลงไปตามฤดูกาล จนพิบูลศักดิ์
ละครพลได้ชื่อเขียนเรื่องเหมือนเขียนรูป หรือเหมือนจิตรกรใช้พู่กันแต่งแต้มสีสันต่างๆ ลงไปใน
ภาพ จนภาพหรือเรื่องที่เขียนโดดเด่นเป็นที่ประทับใจของผู้อ่าน ดังเรื่อง "วัยฝันวันเยาว์" ที่ท่านจะ
ได้อ่าน
31
ตำนานแห่งนาร์เนีย เป็นเรื่องของเด็กที่เข้าไปผจญภัยใน ดินแดนแห่งนาร์เนีย และ
เรื่องของเด็กที่อยู่ในดินแดนใกล้เคียงกับ ดินแดนแห่งนาร์เนีย ซึ่งสัตว์สามารถพูด
ภาษามนุษย์ เต็มไปด้วยเวทมนตร์และสัตว์ประหลาดในเทพนิยาย ตัวเอกในหนังสือ
แต่ละเล่มจะแตกต่างกันไป แต่ทุกเล่มจะจับความตามช่วงเวลาในอาณาจักร์นาร์เนีย
โดยมีสิงโต อัสลาน เป็นตัวละครสำคัญ
32
ลิวอิสได้แรงบันดาลใจมาจากชีวิตวัยเด็กของเขา ประกอบกับความเชื่อในตำนานและ
คริสต์ศาสนา เขายังเป็นผู้นำกลุ่ม อิงคลิงส์ อีกด้วย ตัวละคร ฟอน เซนทอร์ หรือ
คนแคระ นำมาจาก เทพนิยายกรีก และ นอร์ส มีผู้วิเคราะห์ว่า ลิวอิสอาจได้รับแรง
บันดาลใจทางการเมืองจากความขัดแย้งในประวัติศาสตร์ระหว่างอังกฤษและ
ไอร์แลนด์ด้วย (ในฉบับแปลภาษาไทย บทความท้ายเล่มที่แนะนำหนังสือชุดนี้และตัวผู้
ประพันธ์ ก็กล่าวถึงความเป็นไปได้ข้อนี้) ในการสร้างตัวละครมนุษย์ฝ่ายที่มิใช่ฝ่ายดี
(หรือฝ่ายพระเอกนางเอก) คือเผ่าพันธุ์ คาร์โลเมน มีผู้เห็นว่าลิวอิสได้ใช้ภาพต้นแบบที่
เจือปนด้วยอคติของชาวยุโรปผิวขาวที่มีต่อชนผิวสี โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาพลักษณ์
ของชาวอาหรับ หรือตะวันออกกลาง หรือชาวมุสลิม ด้วยเหตุนี้จึงมีผู้วิจารณ์ว่างาน
ชุดนาร์เนียของลิวอิสมีลักษณะเหยียดผิวและมีอคติทางเชื้อชาติศาสนา
33
“ผีเสื้อและดอกไม้” เป็นชื่อนิยายขนาดสั้นของ “นิพพานฯ” ตีพิมพ์ครั้งแรกในปี
พ.ศ. 2521 และได้รับรางวัลจากการประกวดหนังสือแห่งชาติในปีเดียวกัน อีกทั้ง
กรมวิชาการ ในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ ก็ยังเลือกให้เป็นหนังสืออ่านนอกเวลาใน
วิชาภาษาไทย ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ซึ่งต้องบอกว่าเป็นเรื่องน่าทึ่ง และพร้อมๆ
กันนั้น ก็ต้องปรบมือให้กับวิสัยทัศน์ของหน่วยงานราชการที่ทั้งเปิดกว้างและน่า
ยกย่องชื่นชม-โดยเฉพาะเมื่อคำนึงว่า นี่ไม่ได้เป็นหนังสือจำพวกสั่งสอนศีลธรรม หรือ
สะท้อนวิธีคิดแบบอนุรักษ์นิยมหรือคร่ำครึโบราณ หากแต่เป็นการตั้งคำถามกับหลาย
สิ่งหลายอย่างในสังคม (การปฏิบัติตามกฎหมาย, ความถูกต้อง, ความดีงาม, ความ
ยากดีมีจน) และในหลายกรณี วิพากษ์วิจารณ์ทั้งระบบเศรษฐกิจ สังคม และการศึกษา
ณ ดินแดนที่ห่างไกลความเจริญ
นับเนื่องจนถึงปัจจุบัน (พ.ศ. 2557) นิยายเรื่อง “ผีเสื้อและดอกไม้” ได้รับการตี
พิมพ์สิริแล้ว 19 ครั้ง ได้รับการแปลเป็นภาษาต่างประเทศอย่างน้อยสองภาษา อัน
ได้แก่ ญี่ปุ่นและจีน นอกจากนี้ ในปี พ.ศ. 2543 “ผีเสื้อและดอกไม้” ยังได้รับเลือกให้
เป็นหนังสือหนึ่งในร้อยเล่มที่เด็กและเยาวชนควรอ่าน โดยโครงการของสำนักงาน
กองทุนสนับสนุนการวิจัย
34
ความพิเศษที่มองเห็นได้อย่างชัดแจ้งที่สุดของหนังเรื่อง “ผีเสื้อและดอกไม้” ได้แก่
การที่มันเป็นหนังไทยหนึ่งในน้อยเรื่องมากๆ ที่บอกเล่าเรื่องราวของชาวมุสลิม ณ
จังหวัดชายแดนภาคใต้ และถึงแม้ว่าสถานการณ์ความเป็นไปของบ้านเมืองในตอนที่
หนังเรื่องนี้ไปปักหลักถ่ายทำ (อันน่าจะได้แก่ในช่วงราวๆ ต้นปี 2528) จะไม่คุกรุ่นและ
เดือดพล่านเหมือนกับช่วงหลังจากเดือนมกราคม ปี 2547 ซึ่งเป็นเสมือนจุดเริ่มต้น
ของความรุนแรงระลอกใหญ่ที่บานปลายมาจนกระทั่งถึงปัจจุบัน แต่ถึงกระนั้น-ก็ใช่ว่า
เราจะมองไม่เห็นรากเหง้าของปัญหา อย่างน้อยที่สุด-มันก็ได้แก่เรื่องของความ
ยากจน ซึ่งกลายเป็นเงื่อนไขสำคัญที่ไม่เพียงตัดอนาคตของเด็กหนุ่มที่เส้นทางการ
ศึกษาของเขาน่าจะทอดไปข้างหน้าอย่างยาวไกล หากยังผลักไสไล่ส่งให้เขาต้องลงเอย
ด้วยการเป็นคนที่ทำตัวนอกกรอบและกฎเกณฑ์ของสังคม และเหนืออื่นใด มีชีวิตที่สุ่ม
เสี่ยงต่อการถูกจับกุม ตลอดจนอันตรายนานัปการทั้งจากผู้คนที่แวดล้อมและจาก
อุบัติเหตุไม่คาดฝันซึ่งสามารถจะเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา
35
"สี่แผ่นดิน" อมตะนิยายอิงประวัติศาสตร์เพชรน้ำเอกแห่งวรรณกรรม
รัตนโกสินทร์ ในช่วงสมัยรัชกาลที่ 5 ถึงรัชกาลที่ 8 หนังสือดี 1 ใน 100 เล่มที่คนไทย
ควรอ่าน ผลงานอันทรงคุณค่าของ "หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช" อดีตนายก
รัฐมนตรีคนที่ 13 ของไทย นับเป็นนวนิยายที่มีชื่อเสียงมากที่สุดเล่มหนึ่งของไทย ได้
รับการยกย่องให้เป็น "วรรณกรรมแห่งกรุงรัตนโกสินทร์" เป็นเรื่องราวของพลอย
(ในละครเรียกว่า "แม่พลอย" ) สาวชาววังที่เผชิญกับความสุข ความทุกข์ ความ
ผันผวนของครอบครัว จนถึงความผันแปรของชาติบ้านเมือง เนื้อหาในเล่มให้ทั้ง
ความบันเทิงและความรู้เกี่ยวกับขนบธรรมเนียมประเพณี ตลอดจนประวัติศาสตร์ของ
ไทย ซึ่งบรรยายถึงรายละเอียดของชีวิตคนในวังได้เกือบทุกแง่มุม และยังคงความ
ใหม่เอี่ยมอยู่ชั่วนิรันดร์ เป็นนวนิยายอมตะที่อ่านได้ทุกเพศทุกวัยและนับวันจะจรัสแสง
ยิ่งขึ้น
"สี่แผ่นดิน" ได้รับการยกย่องจากบรรดาผู้ทรงภูมิปัญญาทั้งทางภาษาศาสตร์
ประวัติศาสตร์ รวมถึงนักวิจารณ์และนักอ่านทุกระดับว่า "เป็นยอดนวนิยายอิง
ประวัติศาสตร์ที่ยังไม่มีเรื่องใดดีเท่าตราบจนปัจจุบัน" ในแนวทางแสดงภาพชีวิตทาง
วัฒนธรรมและขนบธรรมเนียมประเพณีไทยที่งดงาม อีกทั้งในด้านวรรณศิลป์ก็ถือได้
ว่าแต่งได้ดีถึงขั้น "วรรณคดีที่เยี่ยมยอด" และแม้แต่นานาทัศนะของคนต่างชาติ ยัง
ได้ยกย่องให้เป็น "วรรณกรรมชั้นเยี่ยมของไทย" รวมทั้งเป็น "มาสเตอร์พีช" ของผู้
เขียนอีกด้วย
36
- "สี่แผ่นดิน" เป็นนวนิยายของ "หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช" มีเนื้อหาอิง
ประวัติศาสตร์ไทยในช่วงรัชกาลที่ 5 ถึงรัชกาลที่ 8 (ที่มาของคำว่า "สี่แผ่นดิน") นับ
เป็นนวนิยายที่มีชื่อเสียงมากที่สุดเล่มหนึ่งของไทย เป็นเรื่องราวของ "พลอย" โดย
เขียนทีละตอนลงหนังสือพิมพ์สยามรัฐ เคยถูกนำมาสร้างเป็นละครโทรทัศน์มาแล้ว 6
ครั้ง ละครเวที 2 ครั้ง และละครวิทยุ 2 ครั้ง (ข้อมูลจาก วิกิพีเดีย)
- หนังสือเล่มนี้เป็น 1 ในวรรณกรรม 50 เรื่องที่ต้องอ่านก่อนโต สนับสนุนโดยสำนัก
เฝ้าระวังทางวัฒนธรรมและประชาสัมพันธ์ กระทรวงวัฒนธรรม และกองทุนสนับสนุน
การสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)
- หนังสือเล่มนี้เป็น 1 ในหนังสือดี 100 เล่มที่คนไทยควรอ่าน สนับสนุนโดยสำนัก
กองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.)
37
หนังสือที่ดีไม่จำเป็นต้องสอนศีลธรรมให้ท่องจำอย่างนกแก้วนกขุนทอง เพราะ
หนังสือก็เหมือนโลก มีหลายด้านหลายมุม มีทั้งแง่ดีและเลว หนังสือจึงสะท้อนความ
หลากหลายของชีวิต และบอกเล่าความเป็นไปของมนุษยชาติอย่างไม่รู้จบสิ้น
"ลิตเติ้ลทรี" เป็นวรรณกรรมเล่มหนึ่ง ที่ได้เล่าขานชะตากรรมของชนเผ่าเชโรกี อัน
เป็นชนกลุ่มน้อยในอเมริกา ซึ่งถูกรุกรานโดยคนขาวที่มีวิธีคิด "อัตนิยม" นั่นคือความ
ถูกต้องมีเพียงหนึ่งเดียว และตัดสินคนอื่นที่แตกต่างไปจากตนว่า เลวร้าย โง่งม
นอกรีต ฉะนั้นจงเชื่อฟังและเดินตามอย่างเชื่อง ๆ แล้วท่านจะเจริญเหมือนพวกเรา
เอง นี่คือชะตากรรมของผู้ต่ำต้อย ซึ่งปรากฏขึ้นทั่วโลก และแม้แต่ในเมืองไทย ชนก
ลุ่มน้อยหลายเผ่าพันธุ์ หรือแม้แต่คนจน ก็ได้รับการปฏิบัติอย่างไม่เท่าเทียม ราวกับว่า
ไม่ใช่มนุษย์ที่มีศักดิ์ศรีเสมอภาคกัน
38
สรรพสิ่งรับรู้การมาถึงของเขา ทั้งป่าไม้และสายลมป่า บิดาขุนเขาต้อนรับด้วยเสียง
เพลง พวกเขาไม่กลัวลิตเติ้ลทรี ด้วยรู้ซึ้งว่าเขามีหัวใจเมตตา ต่างพากันขับร้องเพลง
'ลิตเติ้ลทรีไม่เดียวดาย' แม้แต่เลน่าห์น้อยจอมทึ่ม ก็เริงระบำผ่านขุนเขาอย่างร่าเริง
ด้วยเสียงสายน้ำช่างจำนรรจาของเธอ ‘โอ ฟังฉันขับร้องเพลงถึงน้องชายคนหนึ่ง
ที่มาอยู่กับเรา ลิตเติ้ลทรีเป็นน้องชายของเรา ลิตเติ้ลทรีอยู่ที่นี่แล้ว'
อาวีอัสดี เจ้ากวางน้อย และมินอีลี นกคุ่ม แม้แต่เจ้ากาคากูก็ประสานเสียงเพลง
"ความกล้าหาญคือหัวใจของลิตเติ้ลทรี ความเมตตาเป็นพลัง ลิตเติ้ลทรีจะไม่มีวัน
เดียวดาย"
39
หนังสือภาพยนตร์! ฟังดูแปลกแต่อยากให้ทุกคนได้ลองสัมผัสการนำเสนอแนวใหม่ ที่
ให้ความสำคัญกับตัวหนังสือและภาพประกอบของเนื้อเรื่องไปพร้อมๆ กัน คุณไม่
สามารถเปิดข้ามภาพประกอบไปโดยไม่อ่าน เพราะภาพเป็นส่วนหนึ่งของเนื้อเรื่องทำ
หน้าที่เล่าเรื่องแทนถ้อยคำที่เป็นตัวหนังสือ แต่ต่างจากการ์ตูนตรงที่ในภาพประกอบ
จะไม่มีบทสนทนาหรือความคิดของตัวละคร ภาพทำหน้าที่เหมือนเป็นเลนส์ของกล้อง
ซึ่งคอยติดตามตัวละคร และคุณผู้อ่านก็กลายสถานะเป็นผู้ชมว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป
จนกว่าภาพจะตัดกลับมาที่ตัวหนังสือ และเมื่อนั้นผู้ชมก็กลับไปเป็นผู้อ่านอีกครั้ง สลับ
กันไปมาระหว่างภาพในจินตนาการกับภาพจริงบนหน้ากระดาษจึงถือเป็นประสบการณ์
ใหม่ที่น่าลองมิใช่น้อย!
40
อูโก้ กาเบรต์ เป็นเด็กชายซึ่งอาศัยอยู่ในกำแพงของสถานี เขาไม่มีตัวตนในสายตา
ของคนทั่วไป ไม่มีจุดหมายในชีวิต แม้แต่ตัวเองก็ยังไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร ทั้งที่
สิ่งที่เขาทำอยู่อย่างลับๆ นั้นคือส่วนสำคัญ ซึ่งทำให้สถานีรถไฟแห่งนั้นดำเนินไปได้
อย่างราบรื่น อู้โก้จะต้องใช้ชีวิตอย่างไม่รู้อนาคตอยู่เช่นนั้น หากไม่บังเอิญเข้าไป
เกี่ยวข้องกับเรื่องลึกลับบางเรื่อง ซึ่งนำเขาเข้าไปเกี่ยวพันกับชายชรา หุ่นกลซึ่งถูกไฟ
ไหม้ ภาพยนตร์ที่เป็นแรงบันดาลใจของพ่อ เด็กหญิงแปลกๆ ที่ผูกพันกันโดยไม่รู้ตัว
รวมทั้งชายหนุ่มตาเดียวผู้เข้ามาช่วยเสมอในยามคับขัน เรื่องราวทั้งหมดค่อยๆ
เผยออกทีละน้อย คล้ายฟันเฟืองของหุ่นกลที่ค่อยๆ ขับเคลื่อน เมื่อเจอชิ้นส่วนที่เข้า
กันได้ และเมื่อหุ่นกลทำงานได้ ปริศนาต่างๆ ก็คลี่คลาย ไม่ใช่แค่ปริศนารอบตัวอูโก้
แต่รวมทั้งปริศนาเกี่ยวกับตัวเองที่เขาเฝ้าสงสัยมาตลอดด้วย!
41
"ความสุขแห่งชีวิต : The Human Comedy" เล่มนี้ จะทำให้ผู้อ่านเห็นความ
ดีงามของมนุษย์ ได้เห็นความเลวร้ายของสงครามที่ก่อให้เกิดความสูญเสีย และความ
ตาย ได้เห็นความจริง ความดี ความงาม ความรักต่อเพื่อนมนุษย์ และความเข้าใจชีวิต
เนื้อหาในเล่มไม่ได้เหมาะสำหรับเยาวชนเท่านั้น ยังเหมาะสำหรับผู้ใหญ่ด้วย สำหรับผู้ทื่
ต้องประสบกับความสูญเสียและความไม่เข้าใจต่อเหตุการณ์หลายๆ อย่างในชีวิต
หนังสือเล่มนี้อาจช่วยให้มีกำลังใจที่จะดำเนินชีวิตต่อไปอย่างไม่ทุกข์จนเกินไปนัก
สำหรับเยาวชนที่ได้อ่านจะได้เรียนรู้ทัศนคติอันดีงาม รู้จักการรัก การให้ และการใช้
ชีวิตอย่างไรให้มีความสุข
42
แม่ครับ,
ผมไม่แน่ใจนักว่าเราจะมีเวลาอยู่ด้วยกันอีกมากน้อยแค่ไหน แต่อยากให้แม่มั่นใจว่า
เราทั้งคู่จะไม่มีวันหายไปจากชีวิตของกันและกัน สิ่งดี ๆ ในตัวแม่จะแวดล้อมอยู่รอบ
ตัวผมเสมอ ในโลกที่ผมอาศัย ในทัศนคติที่ผมมองโลกใบนี้ ในทุกคนที่ผมปฏิสัมพันธ์
ด้วยคำสอนอันอ่อนโยนของแม่ แม่จะปรากฏอยู่ทุกที่ที่มีความรัก เพราะความรักที่แม่
ปลูกไว้ในตัวผมย่อมงอกงามผลิดอกออกใบไปรอบตัวทุกสิ่งเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
แต่เราจะอยู่ด้วยกัน เราจะไม่เปลี่ยนแปลงมากจนเกินไป
ส่วนหนึ่งจากหนังสือ ความสุขแห่งชีวิต
43
"ขุมทรัพย์สุดปลายฝัน" เป็นงานเขียนชิ้นเยี่ยมของ "เปาโล" ที่โด่งดังมาแล้วทั่ว
โลก เป็นเรื่องราวของเด็กหนุ่มเลี้ยงแกะคนหนึ่ง ที่ฝันถึงขุมทรัพย์ในพีระมิดที่อียิปต์
และตัดสินใจออกเดินทางตามฝันของตัวเอง ตลอดการเดินทางเด็กหนุ่มได้พบกับ
อุปสรรคต่างๆ มากมาย ในที่สุดเขาได้เผชิญกับเรื่องราวลี้ลับอันยิ่งใหญ่ของมนุษย์ ที่
ไม่ว่าใครก็สามารถหยั่งถึง หากเดินทางไปตามรอยฝัน และพร้อมที่จะฟังเสียงเรียก
ร้องในหัวใจของตนเอง เนื้อหาในเล่มอาจเป็นทางลัดด้านความคิดให้หลายคนได้เดิน
ทางไปสุดปลายฝัน สู่ขุมทรัพย์ที่ถวิลหามาเนิ่นนาน...
44
"มนุษย์ทุกคนมีหน้าที่เพียงหนึ่ง นั่นคือการสร้างเส้นทางชีวิตแห่งตน"
เรื่องราวของซานติอาโก เด็กหนุ่มเลี้ยงแกะคนหนึ่งในท้องทุ่งของประเทศสเปน เขา
ฝันถึงขุมทรัพย์ในพีระมิดที่อียิปต์ 2 ครั้งจนเกิดความสงสัยใคร่รู้ นึกอยากทราบ
ความหมายของฝัน เขาจึงได้พบกับผู้ทำนายฝันชาวยิปซีและชายชราลึกลับผู้อ้างว่า
ตนเป็นกษัตริย์ ทั้งสองคนทำให้เด็กหนุ่มเริ่มต้นการเดินทางที่เปลี่ยนชีวิตของเขาไป
ตลอด เส้นทางที่นำเด็กหนุ่มไปสู่ขุมทรัพย์ยากประเมินค่านั้นทั้งลำบากและน่าอัศจรรย์
ทำให้เขาได้เรียนรู้พรสวรรค์ที่ซุกซ่อนอยู่ภายในตัวเองและเรียนรู้ภาษาสากลของโลกที่
สรรพสิ่งรอบตัวได้สื่อสารกัน และนี่เองที่เป็นลายแทงกับเข็มทิศ นำพาเขามุ่งหน้าไป
พบกับนักเล่นแร่แปรธาตุปริศนาผู้เผยความลับของขุมทรัพย์แก่เด็กหนุ่มและมนุษย์
ทุกคน
45
หนังสือเล่มนี้จะพาคุณผู้อ่านไปรู้จักกับ "ประมวล เพ็งจันทร์" และ 66 วันอันทรง
คุณค่าของการเดินทาง เขาออกเดินทางไกลนับพันกิโลเมตร เพื่อค้นหาสิ่งล้ำค่าที่ถูก
กลืนหายไปในกระแสสังคมปัจจุบัน เขาใช้วิธีการที่คนอื่นไม่เคยทำ คือไม่ร้องขออาหาร
หรือที่พักจากใคร ถ้าจะเป็นการเบียดเบียนผู้อื่น และไม่พกเงิน ไม่ใช้เงิน เขาไม่ได้
พึ่งพาอำนาจเงินตราหรือเครื่องแต่งกายภายนอก แม้แต่หน้าที่การทำงานหรือระดับ
การศึกษาในการเดินทางครั้งนี้ แม้จะตกอยู่ภายใต้ความหิวโหยจนเกือบหายใจต่อไปไม่
ไหว เขาก็เดินต่อไปอย่างไม่ลดละ เดินไปหาบางสิ่งที่ตั้งใจในใจ เพื่อให้ทุกๆ คนได้รับรู้
ด้วยกัน เขาอาศัยเพียงเมตตาจิตและน้ำใจของคนในสังคม ช่วยต่อชีวิตเขาให้มีกำลัง
กายและใจ เพียงพอที่จะก้าวเดินต่อไปให้ถึงจุดหมาย
ระหว่างทางเขาหลอมละลายใจทุกดวงให้เป็นหนึ่งเดียวกัน เขาทำให้รู้ซึ้งว่าความคิด
ต่างๆ ของเราในปัจจุบัน กลบเกลื่อนความงดงามของชีวิตไปมากแค่ไหน แต่ความ
งดงามเกิดขึ้นได้ โดยไม่ต้องใช้เงินเลยก็ได้ เขาบอกเล่าเรื่องนี้ด้วยหัวใจเปี่ ยมรักและ
อย่างอ่อนน้อมถ่อมตนที่สุด และยอมเสี่ยงชีวิตทั้งชีวิตเพื่อค้นหาสิ่งที่เราได้ลืมมันไป
แล้ว เต็มไปด้วยความอบอุ่น สนุก เบิกบานใจ เรื่องราวการเดินทางอันน่าอัศจรรย์
ของเขาจะนำพาคุณไปค้นหาและรู้จักกับ "ความหมายอันงดงามของชีวิต"
46
อาจารย์ประมวล เพ็งจันทร์เกิดที่เกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี เรียนจบชั้น ป.4 ก็
เดินทางออกมาจากเกาะมารับจ้างกรีดยางพาราเป็นกรรมกรรับจ้างสารพัด ในช่วงปี
2514 ที่มีการปราบปรามผู้ก่อการร้าย ครูโกมล คีมทอง และเพื่อนของอาจารย์
ประมวลหลายคนเสียชีวิตลงด้วยความกลัวตายที่เกิดขึ้นใกล้ตัวทำให้เด็กหนุ่มวัย 18
ปีตัดสินใจบวชเพราะเชื่อว่าน่าจะพาเขาออกจากความกลัวได้ จากเด็กหนุ่มที่ทำงาน
หามรุ่งหามค่ำ เขาก็เปลี่ยนมาท่องตำราอย่างหนักแทน เขาเริ่มต้นเรียนรู้จากการ
ท่องจำ แม้กระทั่งหน้าคำนำหรือเชิงอรรถท้ายหน้า เพราะเขาไม่รู่ว่าอะไรสำคัญไม่
สำคัญ เมื่อพระอาจารย์เห็นว่าเขามีพรสวรรค์ในการท่องจำหนังสือทั้งเล่มได้ภายใน
เวลาแค่ไม่กี่วัน จึงส่งเสริมทุกทางให้เขาเป็นนักบวชที่ดีให้ได้…
47
วันที่ 12 มิ.ย. 1942 แอนน์ แฟรงค์ เด็กหญิงชาวยิววัย 13 ปี ได้รับสมุดบันทึกเป็น
ของขวัญวันเกิดจากพ่อของเธอ แอนน์ตั้งชื่อมันว่า คิตตี้ และเริ่มแบ่งปัน
ประสบการณ์ของเธอกับสมุดสีแดงขาวเล่มนี้เรื่อยมา
"ออกจะแปลกไม่น้อยที่คนอย่างฉันเขียนสมุดบันทึก ไม่ใช่เพราะฉันไม่เคยทำ แต่รู้สึก
ว่าแม้แต่ตัวฉันหรือใครก็ตามคงไม่สนใจเรื่องความในใจของเด็กผู้หญิงอายุ 13 ปี"
เธอเขียนในบันทึก 8 วันหลังจากนั้น
ไม่มีใครคาดคิดในวันนั้นว่า สมุดบันทึกของเธอจะกลายมาเป็นหนังสือที่สำคัญต่อ
ประวัติศาสตร์และประทับใจผู้อ่านทั่วโลกที่ได้รับการแปลแล้วมากกว่า 70 ภาษาและมี
ยอดขายมากกว่า 30 ล้านเล่ม
48
บันทึกอันยอดเยี่ยมของแอนน์ ได้รับยกย่องไปทั่วโลกว่าเป็น วรรณกรรมอมตะ ถ้า
เธอมีชีวิตอยู่ต่อไปจนหลังสงครามและได้รับอิสรภาพ ไม่อาจคาดเดาได้ว่า สาวน้อยผู้นี้
จะกลายเป็นบุคคลดีเด่นระดับโลกเพียงใด สงครามโลกครั้งที่สองทำให้เธอจบชีวิตลง
ขณะอายุเพียง 15 ปี กระนั้นก็ตาม ผลงานในวัยเยาว์ก็ได้กลายเป็นวรรณกรรมลือ
เลื่อง มิใช่ด้วยเหตุว่า เป็นผลงานของเด็กหญิงคนหนึ่งที่ต้องเสียชีวิตในสงคราม แต่
ด้วยความสามารถและอัจฉริยภาพด้านการประพันธ์โดยแท้ ความจริงข้อนี้เป็นที่
ประจักษ์และยอมรับกันมาเนิ่นนานกว่าครึ่งศตวรรษ นับตั้งแต่บันทึกส่วนหนึ่งได้เปิด
เผยต่อสาธารณะ แม้สิ่งที่เผยแพร่นั้นจะเก็บงำข้อความสำคัญส่วนใหญ่ไว้
สถิติการพิมพ์เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ยืนยันว่า มีผู้ประทับใจหนังสือเรื่องนี้มากเพียงใด ดัง
ที่ปรากฏการพิมพ์ฉบับตัดทอนภาษาอังกฤษ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า จำนวนมากกว่า 30 ล้าน
เล่ม ไม่นับการแปลเป็นภาษาต่าง ๆ มากกว่า 55 ภาษา เล่มนี้เป็นฉบับเพิ่มเติมบันทึก
ที่พบล่าสุด ไม่เคยตีพิมพ์ หลังจาก ใน ค.ศ.1998 ได้ค้นพบส่วนที่บันทึกซึ่งยังไม่เคย
มีใครรับรู้เลยอีก 5 หน้า มูลนิธิแอนน์ แฟรงค์ ได้อนุญาตให้นำข้อความตอนยาวตอน
หนึ่ง มาเพิ่มเติมลงในตอนท้ายของตอนที่มีอยู่แล้วของบันทึกในวันที่เดียวกัน เพื่อให้
ได้ข้อมูลเพิ่มเติมขึ้นอีก