49
เมื่อพูดถึงแพทย์ผู้เสียสลุตนเองเพื่อผู้ป่วยนั้น คนไทยมักจะนึกถึง น.พ.ชไวท์เซอร์
และหากเป็นนางพยาบาลก็จะนึกถึง
ฟลอเรนซ์ ไนติงเกล แต่มีบุคคลหนึ่งที่โลกไม่น่าจะลืมเช่นกัน คือ น.พ.โนกุจิ ฮิเดโยะ
แพทย์ชาวญี่ปุ่นที่แม้จะไม่ได้เป็น
แพทย์ที่ดูแลผู้ป่วยโดยตรง แต่ก็มีความมุ่งมั่นที่จะทำการวิจัย เพื่อแสวงหาสาเหตุของ
โรค รวมทั้งวิธีการรักษาโรคติดเชื้อ
ที่คร่าชีวิตผู้คนไปเป็นจำนวนมากในอดีต เช่น กาฬโรค ซิฟิลิส ไข้เหลือง และโรคอื่น ๆ
จนตัวเองต้องเสียชีวิตด้วยไข้
เหลืองเช่นกัน ผลการวิจัยของท่านได้ปกป้องชีวิตผู้คนเป็นจำนวนมาก ซึ่งเป็นผลงาน
ที่ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าผลงานของ
น.พ.ชไวท์เซอร์ หรือ ฟลอเรนซ์ ไนติงเกล
50
โนกุจิ ฮิเดโยะ จากนักสู้ลูกชาวนาสู่ “คุณหมอผู้ยิ่งใหญ่ของโลก”
..........การที่บุคคลหนึ่งจะมีภาพปรากฏบนธนบัตร หรือบนเหรียญเงินสกุลของ
ประเทศต่างๆ นั่นหมายความว่าบุคคลผู้นั้นต้องมีชื่อเสียงเกียรติยศในคุณงามความดี
ที่ผู้คนให้การยอมรับและยกย่องนับถือ
หากพิจารณาอย่างที่ถ้วน คงไม่มีผู้ใดคิดว่า...เด็กชายผู้มือพิการ ลูกชาวนาอันต่ำต้อย
ในครอบครัวยากจนที่สุดในหมู่บ้าน ถูกผู้คนเหยียดหยามเสมอว่าเป็น คนโง่ เหลวไหล
ชีวิตต้องมีแต่ความล้มเหลว ไม่มีทางก้าวออกจากชีวิตอันต้อยต่ำ จะปรากฏภาพ
สะท้อนเกียรติยศ-พิมพ์อยู่บนธนบัตร
นี่คือตำนานอันยิ่งใหญ่ของ นายแพทย์ และนักวิจัยแบคทีเรียชาวญี่ปุ่นชื่อก้องโลก ผู้
มีความอดทน มุ่งมั่น ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค์
ไม่ยอมแพ้แก่ความล้มเหลวที่เกิดครั้งแล้วครั้งเล่า…
51
วานูอาตู ประเทศที่ได้รับการจัดอันดับว่ามีดัชนีความสุขสูงที่สุดในโลกคือประเทศบ้าน
เกิดของยาโน่ ซึ่งเกาะอันเป็นที่ตั้งของหมู่บ้านของยาโน่นั้นคือเกาะแอมบริม เกาะเล็กๆ
ที่ยังคงดำเนินวิถีชีวิตดั้งเดิม และยังรักษาขนบธรรมเนียมกับพิธีกรรมดั้งเดิมอยู่ เป็น
ที่ที่ไม่ได้วัดความมั่งคั่งด้วยคำว่า "มีมากเท่าไร" แต่วัดกันที่ "ให้ได้มากเท่าไร"
52
"เกาะที่มีความสุขที่สุดในโลก" เล่มนี้ นำเสนอโลกสมจริงเกี่ยวกับชีวิตของผู้คนบน
"เกาะแอมบริม" เกาะเล็ก ๆ เกาะหนึ่งของ "ประเทศวานูอาตู" หมู่เกาะใน "มหาสมุทร
แปซิฟิกใต้" ดำเนินเรื่องผ่านตัวละครคือ "เด็กชายยาโน่ บูบูหัวหน้าหมู่บ้าน เด็กชายโจ
ไมเคิล และชาวเกาะผู้ล้วนมีชีวิตเรียบง่าย ให้ความสำคัญต่อความสุขและการเป็นผู้ให้
มากกว่าสิ่งอื่นใด ชีวิตประจำวันของคนบนเกาะผูกพันอย่างลึกซึ้งต่อธรรมชาติอันยิ่ง
ใหญ่ ท้องทะเลใสสะอาดบริสุทธิ์ ภูเขาไฟอันทรงพลัง และความมหัศจรรย์ของสัตว์โลก
เป็นโลกอันเรียบง่ายแต่สง่างามของผู้คนที่มีชีวิต โดยคำนึงถึงความกล้าหาญและ
ความเสียสละ ห่วงใยปกป้องดูแลผู้อ่อนแอ เป็นชีวิตที่ต้องรับผิดชอบผู้อื่นก่อนตัวเอง
เสมอ จนโลกของชาวเกาะแทบจะเป็นเหมือนโลกอุดมคติในจินตนาการอันไม่มีอยู่จริง
สำหรับเรา ด้วยวิถีชีวิตของชาวเกาะ เรียบง่าย บริสุทธิ์ เบาสบาย แตกต่างอย่างตรง
ข้ามกับความเร่งรีบ เล่ห์กล หรือโลกวัตถุนิยมของชีวิตคนเมือง
"อ่านจบแล้วเหมือนได้ชำระกายชำระใจไปสู่โลกอันใสสะอาด อบอุ่น และอิ่มเอมใจ จน
ยังจดจำภาพต่าง ๆ ในเรื่องได้แจ่มชัดแม้เมื่อยามอ่านหนังสือจบลง"
53
โฮ่ง โฮ่ง ผมชื่อ "นิก" ครับ เป็นหมาพันธุ์บ๊อกเซอร์มาจากสวิตเซอร์แลนด์ แต่เจ้านาย
พามาอยู่ที่ป่าภูเขียวเมืองไทยนี่...
โฮ่ง โฮ่ง ผมชื่อ "พิม" ครับ เป็นหมาพูเดิลอยู่ที่ซูริชแบร์กในสวิตเซอร์แลนด์ เพื่อน
ผมเจ้านิกเมื่อก่อนเราเคยเจอกันบ่อยๆ เพราะนายของเราชอบออกไปเดินเล่นที่ปาร์ค
ด้วยกัน
ใช่...ใช่...แต่ตอนนี้ผมไม่ได้เจอพิมแล้ว ด้วยความคิดถึงมากกกก...ผมจึงตัดสินใจ
เขียนจดหมายไปหาเจ้าพิมดีกว่า เอ๊...แต่เจ้านายเราสองคนนี่ก็แปลก บางทีอ่าน
จดหมายของเราแล้วก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ แต่บางที่ก็ดูเศร้าซึม กังวลใจ เหมือนอยากจะ
เจอกันใจจะขาด พวกเขาจะได้เจอกันมั๊ยน้า...เพราะพวกผมก็อยากจะเจอกันเหมือนกัน
นี่นา สุดท้ายนี้ เอาเป็นว่าพวกผม 2 คน...เอ้ย 2 ตัว ขอกระดิกหางทักทายพวกคุณทุก
คนครับ
54
เรื่องราวของนิกกับพิม เริ่มต้นที่เมืองซูริค ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ขณะที่พิเชฐ หนุ่ม
ไทยนักเรียนนอก เพิ่งจะสำเร็จวิชาวิศวกรรมศาสตร์มาจากประเทศเยอรมัน เขากำลัง
อยู่ในร้านขายสัตว์เลี้ยง เพื่อจะมองหาซื้อลูกหมาบ็อกเซอร์สักตัวกลับไปเมืองไทยด้วย
ด้วยบุญพาวาสนาส่ง ทำให้เขาได้พบกับหญิงสาวไทยชื่อมนทิรา ซึ่งเธอก็กำลังมาเลือก
ซื้อหมาเช่นกัน ในที่สุดพิเชฐก็ได้ลูกหมาบ็อกเซอร์สีน้ำตาลสมใจชื่อนิก ส่วนมนทิราก็ได้
ลูกหมาพูเดิ้ลสีดำ เธอตั้งชื่อให้มันว่าพิม
ด้วยความที่เป็นคนไทยเหมือนกัน ทำให้พิเชฐและมนทิรารู้จักและสนทนากัน พิเชฐนั้น
ชอบและสนใจมนทิราตั้งแต่แรกพบ มนทิราเองก็ดูเหมือนจะพึงพอใจชายหนุ่มคนนี้
เหมือนกัน แต่ทั้งสองก็มิได้รู้จักเรื่องราวของกันและกันมากนัก ที่ล้ำหน้ามนุษย์ไปมาก
ก็คือความสัมพันธ์ฉันท์เพื่อนของหมาทั้งสองตัวมากกว่า อย่างไรก็ตาม จู่ๆวันหนึ่ง
ภาพเหตุการณ์ที่พิเชฐเห็น ทำให้เขาผิดหวังและรีบกลับเมืองไทยพร้อมนิกทันที โดยที่
มิได้ร่ำลากันทั้งคนและหมา
เวลาผ่านไปถึง 2 ปี มนทิราสามารถติดต่อกับพิเชฐได้อีกครั้ง จากจดหมายที่เขาเขียน
ถึงเธอส่งไปฝากไว้ที่สถานทูตไทยประจำประเทศสวิสเซอร์แลนด์ มนทิราจึงเขียนตอบ
ไป และยังเสนอให้เป็นสื่อกลางให้หมาทั้งสองตัวสานสัมพันธ์กันทางจดหมาย โดยมี
มนทิราและพิเชฐเป็นผู้เขียนให้ เรื่องราวของนิกกับพิมจึงได้กำเนิดขึ้น เรื่องราวจาก
บ้านภูเขียวที่พิเชฐไปทำงานเป็นนายช่างประจำโรงงาน ก็ถูกถ่ายทอดโดยนิก ส่วนเรื่อง
บนที่พักในเมืองซูริค ก็ถูกเล่าโดยพิม เป็นเรื่องราวที่สนุกสนานไม่แพ้คนเขียนจดหมาย
ถึงกัน และสุดท้ายเรื่องราวจะเป็นอย่างไร ความรักของพิเชฐจะสมหวังหรือไม่ ? มนทิร
าไปทำอะไรอยู่ที่เมืองซูริค ? แล้วนิกกับพิมจะได้กลับมาพบกันอีกครั้งหรือไม่ ?
55
‘คนตัวจิ๋ว’ ซึ่งแปลจากเรื่อง The Borrowers มิใช่หนังสือธรรมดาของวงการ
หนังสือ เพราะเป็นเรื่องที่กล่าวขาน
และยกย่องชมเชยกันมากตลอดเวลา นับแต่พิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ.1952 ทีเดียว
แมรี่ นอร์ตัน เขียนเรื่องนี้ด้วยการใช้จินตนาการลึกซึ้งพิสดาร จนทำให้เรื่องที่ ‘ไม่น่า
เป็นไปได้’ ดูเหมือนกับ ‘เป็นไปได้’ ในความคิดของผู้อ่าน
จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่วรรณกรรมเยาวชนแสนสวยเรื่องนี้ได้รับรางวัลเหรียญคาร์เนกี้
จากสมาคมห้องสมุดอังกฤษในปีเดียวกับที่พิมพ์เล่มนั่นเอง
หนังสือพิมพ์ซันเดย์ไทม์ส์ กล่าวยกย่องหนังสือเรื่องนี้ได้ไว้ว่า ‘เป็นงานเขียนแสนสวย
งดงามราวบทกวี และตื่นเต้นเร้าใจตลอดเรื่อง
ฅนตัวจิ๋ว มีบางสิ่งที่ลึกลับ ชวนเศร้า และชวนให้สนุกสนานไปกับเรื่องราวเรานั้น’
แฟรงค์ แอร์ ได้เขียนไว้ในหนังสือชื่อ ‘หนังสือเด็กของอังกฤษในศตวรรษที่ยี่สิบ’ ว่า
จินตนาการเหนือจริงร่วมสมัยเรื่องฅนตัวจิ๋ว
56
ความคิดฝันและจินตนาการของเด็กๆ นั้น เป็นพื้นฐานสำคัญสำหรับพวกเขา ที่จะ
เติบโตขึ้นเป็นฅนหนุ่มฅนสาวและเป็นผู้ใหญ่ที่รู้จักใช้ความคิด
ยิ่งมีความนึกคิดที่แปลกๆ จากสิ่งจำเจมากเท่าใดในวัยเด็ก เมื่อเติบโตขึ้นก็จะรู้จักคิด
สร้างสรรค์มากขึ้นเท่านั้น
คงจะดีไม่น้อย หากจะช่วยกันสนับสนุน วางรากฐานของการรู้จักใช้ความคิดในทาง
สร้างสรรค์เสียแต่วันนี้
สำนักพิมพ์ผีเสื้อหวังว่า หนังสือเล่มนี้จะเป็นส่วนหนึ่งแม้เพียงส่วนเล็ก ๆ ที่จะช่วย
เสริมสร้างจินตนาการอันยิ่งใหญ่ให้แก่เยาวชนไทย
57
ขนำน้อยกลางทุ่งนา นับเป็นนวนิยายที่แสดงภาพชีวิตของเด็กๆ ในชนบทภาคใต้ โดย
เฉพาะในเขตจังหวัดนครศรีธรรมราชได้อย่างชัดเจนมีกลวิธีในการแต่งเรื่องที่งดงาม
ไปด้วยวรรณศิลป์ มีฉากและตัวละครที่สมจริงผู้อ่านจะได้รับคุณค่าทางด้านอารมณ์
ความรู้สึกต่างๆ จากตัวละครและได้สาระต่างๆ ในการดำรงชีวิตจากนวนิยายเรื่องนี้
อย่างสมบูณร์ นอกจากจะเสนอภาพเช่นที่่ว่าแล้ว ขนำน้อยกลางทุ่งนายังได้สอดแทรก
เรื่องราวให้เด็กๆ ได้รู้ถึงคุณธรรมด้านต่างๆ มากมายหลายด้านทำให้พวกเขาเข้าใจ
ชีวิตในแง่ที่ควรเข้าใจ และทำให้พวกเขาเห็นถึงความสำคัีญของการศึกษา ขนำน้อย
กลางทุ่งนาจึงนับเป็นนวนิยายสำหรับเยาวขนที่คารค่าแก่การอ่านอย่างยิ่ง
58
"นับแต่ออกจากหมู่บ้านเข้าเมืองไปเรียนหนังสือ เดินลึกเข้าเมืองหลวงใช้ชีวิตจ่อมจม
อยู่นาน ภาพท้องทุ่งน้ำท่วมนอง รวงข้าวแช่น้ำปริ่มๆ ไหวเอนตามแรงลม ตั๊กแตน
ตีปีกโผไปตามยอดหญ้าสดเขียว ปรากฏในคำนึงชายป่าละเมาะกลางทุ่งคนตีนกหนาว
ฝน ถ่อเรือแหวกดงหญ้าไปเงียบๆ นกอีลุ้ม นกเป็ดน้ำ นกกระยางแดง นกอีโก้ง อาจ
ซุ่มอยู่สัก ๒-๓ ตัว
เสียงตะโกนกู่มาจากอีกฟาก เมื่อฝูกนกกระจาบบินวน มองหานาข้าวยังไม่เก็บเกี่ยว
ตามด้วยเสียงเกราะเคาะปี๊ บดังรัวฝูกกระจาบกำลังจะฝังตัวกลางทุ่งรวงข้าวตกใจรีบ
โผนขึ้นฟ้าบินวนเวียนสักพักจึงบึ้งเป้าหมาย"
59
คุณพ่อขายาว (Daddy-Long-Legs) เป็นนวนิยายจดหมาย ประพันธ์โดย จีน เว็บส
เตอร์ ในปี พ.ศ. 2455เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับตัวละครเอก ชื่อ จูดี้ แอบบอตต์ ที่กำลัง
ศึกษาในวิทยาลัย เขียนจดหมายเล่าถึงชีวิตของเธอถึงผู้อุปการะเธอ ชายผู้ร่ำรวยที่
เธอไม่เคยเห็นหน้า
เจอรูชา 'จูดี้' แอบบอตต์ เติบโตในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าสถานเด็กกำพร้าจอห์น เกรี
ยมาตลอดชีวิต โชคดีได้เศรษฐีใจบุญรับอุปการะส่งเรียนต่อวิทยาลัย โดยมีเงื่อนไข
ต้องเขียนจดหมายถึงเขาเดือนละฉบับ เธอเรียกผู้อุปการะของเธอว่า คุณพ่อขายาว
เพราะเธอมีโอกาสได้เห็นเพียงเงาหลังของผู้อุปการะ ซึ่งเป็นชายที่ขายาวมาก เธอจึง
ตัดสินใจเรียกผู้อุปการะลึกลับคนนี้ว่า “คุณพ่อขายาว” และยึดถือเขาเป็นครอบครัว
เพียงหนึ่งเดียวที่เธอมี เมื่อก้าวออกไปสู่โลกภายในรั้ววิทยาลัย เธอเขียนจดหมายถึงผู้
อุปการะทุกเดือน แม้ว่าจะไม่ได้รับการตอบกลับซักฉบับเดียว
60
คุณพ่อขายาวเป็นวรรณกรรมที่มีลักษณะแตกต่างไปจากวรรณกรรมเรื่องอื่นๆ เพราะ
ใช้กลวิธีเขียนแบบจดหมาย กล่าวคือ ตลอดทั้งเรื่องนั้นได้ถูกถ่ายทอดออกมาผ่านมุม
มองสายตาของจูดี้ที่ส่งผ่านมาทางจดหมายที่เธอเขียนให้กับคุณพ่อขายาวตลอดทั้ง
เรื่อง แต่ถึงแม้ว่าจะเป็นเรื่องราวที่อ่านจากจดหมายของจูดี้ฝ่ายเดียว แต่กลวิธีการเล่า
เรื่องนั้นกลับเล่าออกมาได้อย่างครบถ้วน เปี่ ยมด้วยอารมณ์ขัน และมีอรรถรส ผู้อ่าน
อย่างเราสามารถมองเห็นความเป็นไปในเนื้อเรื่องได้อย่างดี ซ้ำยังชวนให้น่าติดตาม ผู้
อ่านสามารถเข้าถึงตัวละครอื่นๆ ในเรื่องได้แม้จะไม่มีบทพูดเลยสักประโยคก็ตาม
วรรณกรรมเรื่องนี้ยังสามารถถ่ายทอดอารมณ์ ความนึกคิดของตัวละครในเรื่องได้
อย่างน่ามหัศจรรย์ อาทิเช่น อารมณ์ความรู้สึกของจูดี้นั้นส่งผลต่อคุณพ่อขายาว
อย่างไร ผู้อ่านก็จะได้ทราบจากข้อความที่ปะปนอยู่ในจดหมายของจูดี้อย่างแนบเนียน
ทั้งยังแฝงด้วยความรักโรแมนติคในแบบฉบับเรียบง่ายแต่ก็สวยงามในแบบฉบับของ
ตนเอง
61
เรื่องราวความสัมพันธ์ของเด็ก 3 คน กับสวนลับ 1 แห่ง ที่ทั้งหมดค่อยๆ ช่วยเปลี่ยน
ชีวิตของกันและกันให้ดีขึ้น
มารี เลนน็อกซ์ เด็กหญิงอารมณ์ร้ายเอาแต่ใจต้องย้ายมาอยู่ในคฤหาสน์ของลุงซึ่งมี
ลูกชายขี้โรคหนึ่งคนชื่อคอลลิน เขาเอาแต่นอนอยู่บนเตียง เดินแทบจะไม่ได้ แล้ววัน
หนึ่งมารีก็เจอสวนลับที่ถูกปิดตายมานานโดยบังเอิญ และได้รู้จักกับ ดิคคอน เด็กหนุ่ม
ที่เข้ามาเปลี่ยนทัศนคติการใช้ชีวิตของมารีให้ค่อยๆ ดีขึ้น ทั้งสามคนกลายมาเป็นเพื่อน
กัน และใช้เวลาร่วมกันในสวนลับแห่งนั้น มารีนิสัยดีขึ้น อ่อนโยนลง ส่วนคอลลินก็แข็ง
แรง และร่าเริงขึ้นในที่สุด
....
The Secret Garden ได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในหนังสือสำหรับเด็กที่ดีที่สุด
แห่งศตวรรษที่ 20
62
สิ่งแปลกอย่างหนึ่งในบรรดาหลาย ๆ สิ่งของการมีชีวิตของคนเราคือสิ่งที่เป็นประหนึ่ง
ปาฏิหารย์ที่เกิดขึ้นแก่คนที่ท้อถอยใน
ชีวิต ทำให้คนคนนั้นเกิดกำลังใจที่จะมีชีวิต มีกำลังที่จะต่อสู้ต่อไป และปาฏิหารย์ดัง
กล่าวไม่ได้เกิดขึ้นอย่างมหัศจรรย์ หรือ
อึกทึกครึกโครม
อาจจะมีสักวันหนึ่งที่คนซึ่งท้อถอยในชีวิต มีโอกาสได้ตื่นแต่เช้ามืดออกไปมองดู
ท้องฟ้าด้านตะวันออก ได้เห็นท้องฟ้าค่อย ๆ
เปลี่ยนสีจากสีซีดๆ เป็นเรื่องเรื่อขึ้น จนเกิดความรู้สึกเหมือนอยากจะร้องไห้ด้วยความ
เต็มตื้นที่เกิดได้คิด เป็นปาฏิหารย์ที่เกิด
จากการได้เห็นพระอาทิตย์ขึ้น ทั้ง ๆ ที่พระอาทิตย์ก็ขึ้นอยู่ทุกเช้านับเป็นพันเป็นหมื่นปี
มาแล้ว
คอลลินก็เช่นเดียวกัน เขาได้รับปาฏิหารย์เช่นนี้เมื่อได้เห็น ได้ยิน ได้รู้สึกถึงบรรยากาศ
ฤดูใบไม้ผลิเป็นครั้งแรกภายในกำแพง
สูงสี่ด้านของสวนลึ้ลับ บ่ายวันนั้นเองที่โลกทั้งโลกดูเหมือนจะทุ่มเทตัวเองเพื่อเป็นโลก
ที่สมบูรณ์แบบ สดสวยแจ่มใส เมตตา
ปรานีแก่เด็กชายคนหนึ่งราวกับว่าความงดงามของฤดูใบไม้ผลิจะถูกส่งจากสวรรค์
มายังสวนแห่งนี้เป็นพิเศษ
63
"เวลาในขวดแก้ว" เป็นการเก็บช่วงชีวิตของวัยรุ่น 5-6 คน ที่ได้ไปถึงทางแยก
สำคัญอันหนึ่งในช่วงก่อนและหลังเดือนตุลาคม 2518 แต่ละเส้นทางที่ "ป้อม" จ๋อม"
"ชัย" "เอก" "หนิง" และ "นัต" เลือกเดินนั้น ไม่มีใครตัดสินได้ว่าเขาเหล่านั้นถูกหรือ
ผิด เพราะนัตและเพื่อน ต่างคนต่างภูมิหลัง พื้นฐานด้านครอบครัว ปัญหาและ
ประสบการณ์ชีวิต รวมทั้งสภาพสังคมในขณะนั้น ซึ่งส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจแตก
ต่างกันออกไป...
หนังสือมีคุณค่าเล่มนี้ นอกจากจะให้อรรถรสทางวรรณกรรมแล้ว แนวเนื้อหายัง
ปลุกปลอบกำลังใจให้พร้อมเผชิญปัญหาที่แผ้วพานในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นปัญหา
มิตรภาพ ความรักของวัยหนุ่มสาว ปัญหาชีวิตครอบครัว ตลอดจนปัญหาเหตุการณ์
บ้านเมืองที่มีความระส่ำระสายคลอนแคลนในแต่ละยุคสมัย...
64
จุดเด่นของเรื่องข้อหนึ่งคือ ฉาก เหตุการณ์หลายๆ ฉากในเรื่อง เป็นภาพความทรงจำ
ซึ่งผู้คนที่เคยผ่านช่วงเวลาเก่าๆ มาแล้ว หากได้อ่านก็ต้องประทับใจตามไปด้วยแน่ๆ
หรือไม่ก็ทำให้หวนรำลึกนึกถึง เช่น ร้านหมาแหงนที่ขายขนมถั่วตัดและมีตู้เพลงหยอด
เหรียญ ถนนที่มีดอกชมพูพันธุ์ทิพย์เบ่งบาน บ้านที่ตั้งอยู่ริมน้ำ ชุมชนแออัดที่เป็น
แหล่งแอบสูบกัญชาของวัยรุ่น เหตุการณ์ที่นักศึกษารวมตัวกันประท้วงรัฐบาล หรือจะ
เป็นบทกวีของท่านอังคาร และหนังสือปีกหักของนักปรัชญา “คาลิล ยิบราน”
นอกจากนี้ ยังมีปัญหาครอบครัวแตกแยก ที่เข้ามาสร้างความเข้มข้นให้กับพล็อตเรื่อง
ด้วย ผู้เขียนใช้ภาษาง่ายๆ กระชับ ทว่ามีความคมคาย กินใจ และใช้กลวิธีเล่าเรื่องแบบ
ภาพยนตร์ คือ มีลักษณะตัดสลับเนื้อเรื่องแบบย้อนไปย้อนมา และวางปมให้เราต้อง
ลุ้นว่ามันเกิดอะไรขึ้น บางครั้งฉากและซีนค่อนข้างสั้น เหมือนการฉายภาพยนตร์เลย
แต่เรียงร้อยเรื่องได้เข้าใจและลงตัว ตัวละครแทบทุกตัวมีคาแร็คเตอร์ที่โดดเด่นและ
ชัดเจน ซึ่งส่งผลต่อความคิดและการกระทำของพวกเขาในเรื่อง เช่น
นัต เป็นคนห่วงใยเพื่อนและคนรอบข้าง แต่ลึกๆ แล้วแอบเป็นคนขี้เหงา ชอบที่จะเก็บ
ความรู้สึกไว้กับตัวมากกว่า รวมถึงเป็นคนชอบโหยหาอดีต แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็เรียนรู้
ที่ก้าวไปข้างหน้า ป้อม ลักษณะภายนอกเป็นสาวห้าว ชื่นชอบบทกวีและปรัชญา และ
ยึดถืออุดมการณ์ของเสรีชน
เอก เป็นลูกจีน เตี่ยทำร้านขายของชำ เอกเรียนเก่งกว่าเพื่อนและตั้งใจเรียนจนสอบ
ติดมหาวิทยาลัยตามความคาดหวังของครอบครัว
ชัย เป็นคนร่าเริง เฮฮา มีความฝันอยากเป็นทหารเหมือนพ่อ โชคร้ายที่ขาพิการหลังมี
เรื่องชกต้อยในการแข่งขนฟุตบอล ชีวิตของชัยเลยเหมือนไร้จุดหมายนับแต่ตอนนั้น
นิยายเรื่องนี้นับว่ามีหลากหลายแง่มุมให้คบคิด รวมทั้งมีให้ข้อคิดแทรกอยู่ทุกช่วง ที่
สำคัญอีกอย่างหนึ่ง คือ มุมมองของเด็กวัยรุ่นยุคก่อนที่มีอุดมการณ์ นึกถึงความ
ก้าวหน้าของชาติ แล้วกล้าลุกขึ้นมาต่อต้านความไม่เป็นธรรมในสังคม แต่ในเรื่องนี้ก็มี
คำสอนทิ้งท้ายไว้ค่อนข้างดี ซึ่งมาจากมุมมองของ ครูวาทิน ครูสอนไวโอลินของนัต
ความว่า
“ครูเข้าใจความหวังดีที่เธอมีต่อชาติและสังคม แต่ปัญหามันอยู่ที่พวกเธอมีไฟแต่ไม่มี
ฟืน มีความคิดแต่ขาดประสบการณ์ที่จะผลักดันให้ความคิดเหล่านั้นเป็นจริงขึ้นมาได้
เมื่อมันล้มเหลวขึ้นมา พวกเธอก็โทษระบบและคนแก่ ทั้งๆ ที่สิ่งเหล่านี้ก็มีอยู่ก่อนเธอ
แล้วเช่นกัน ครูอยากจะเตือนเธอว่า ลมที่แรงมักจะผ่านไปเร็ว สู้ลมที่ไม่แรงแต่พัดอยู่
เป็นประจำไม่ได้ และไม่มีที่ไหนในโลกจะมีความยุติธรรม หากมีคนหรือสัตว์อยู่ร่วมกัน
มากกว่าหนึ่ง ต่างคนต่างก็เรียกร้องให้ได้มากที่สุด”
65
"ความสุขของกะทิ" นวนิยายรางวัลวรรณกรรมสร้างสรรค์ยอดเยี่ยมแห่งอาเซียน
(ซีไรต์) ประจำปี 2549 เดินทางมาถึงวันที่พิมพ์ครั้งที่หนึ่งร้อย ด้วยยอดพิมพ์ กว่า
500,000 เล่ม ในวาระพิเศษนี้ ทางสำนักพิมพ์จึงทำการเปลี่ยนปก เปลี่ยนรูปประกอบ
เพื่อเฉลิมฉลองให้กับหนังสือรางวัลซีไรต์ที่มียอดขายสูงที่สุดในประวัติ ศาสตร์ ผู้ที่ไม่
เคยอ่านต้องซื้อ ผู้ที่เคยอ่านยิ่งต้องซื้อเก็บ สวยงาม ทรง คุณค่า น่าสะสม
เนื้อหาในเล่มจะพาคุณผู้อ่านไปรู้จักกับเด็กหญิงคนหนึ่งในสังคมแบบชนบทที่ดำเนิน
ไปอย่างเนิบช้าและสงบงาม เป็นชีวิตอย่างที่ผู้คนจำนวนมากในเมืองต่างก็โหยหา แต่
ลึกลงไปในใจของเด็กหญิง แม้จะมีทั้งตาและยายคอยให้ความรักและใส่ใจ เธอก็อดไม่
ได้ที่จะคิดถึงแม่ แม่ผู้เก็บความลับในชีวิตของเธอเอาไว้ แม่ผู้บอกเหตุผลได้ว่าทำไม
เธอจึงต้องมาอยู่กับตายาย แทนที่จะอบอุ่นในบ้านที่มีทั้งพ่อและแม่ แม่ผู้จะตอบ
คำถามในใจของกะทิได้หมด แม้ว่าบางคำถาม กะทิจะต้องเป็นผู้ตัดสินใจเองว่าต้องการ
จะรู้หรือไม่ก็ตาม... ถ่ายทอดด้วยสำนวนภาษาอ่านง่าย สละสลวย คมคาย เต็มไปด้วย
บรรยากาศที่ดูงดงามน่าอยู่ และเนื้อหาที่ลึกซึ้งกินใจ เป็นหนังสือดีอีกเล่มที่คุณไม่ควร
พลาด
66
“ความสุขของกะทิ” นวนิยายขนาดสั้น ของคุณงามพรรณ เวชชาชีวะ ได้รับรางวัล
วรรณกรรมสร้างสรรค์ยอดเยี่ยมแห่งอาเซียน (ซีไรต์) ของประเทศไทย ประจำปี พ.ศ.
2549
“ความสุขของกะทิ” ได้รับการตีพิมพ์มาแล้วมากกว่า 100 ครั้ง ด้วยยอดพิมพ์ กว่า
500,000 เล่ม
ภาพยนตร์เรื่อง “ความสุขของกะทิ” ถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ในปี พ.ศ. 2552
โดยผู้กำกับ เจนไวยย์ ทองดีนอก
ความสุขของกะทิ เป็นวรรณกรรมที่ว่าด้วยเรื่องความสุข แรงบัลดาลใจ และการใช้
ชีวิต รวมไปถึงการรับมือกับความเศร้าและผิดหวัง ซึ่งนักอ่านจะได้เรียนรู้ในแบบฉบับ
ของกะทิ
"คนบางคนวิ่งไล่ตามความฝันไปเรื่อย ๆ จนไม่รู้จริง ๆ ว่า ความฝันที่ว่าอยู่ใกล้ตัว
นี่เอง"
บางส่วนจากหนังสือความสุขของกะทิ…
67
‘น้องแป้ง’ นับเป็นวรรณกรรมเยาวชนที่โด่งดังอีกเรื่องหนึ่งของ แอนน์ ไฟน์ ซึ่งเคย
มีชื่อเสียงและเป็นที่ยอมรับของนักวิจารณ์ นักอ่าน บรรณารักษ์ห้องสมุด และสถาบัน
วรรณกรรมสำคัญ ๆ มาแล้วหลายเรื่อง โดยที่เธอเคยได้รับรางวัลมากมายในช่วงเวลา
ไม่กี่ปีที่ผ่านมา
วรรณกรรมเยาวชนเรื่องนี้มีลักษณะน่าสนใจเป็นพิเศษคือเป็นเรื่องที่มีชีวิตชีวา มี
รสชาติ ได้ทั้งเนื้อหาและสาระ โดยผู้เขียนแทบจะไม่กล่าวถึงความถูกต้องดีงามทางศีล
ธรรมหรือคติสอนใจเลย แต่ทว่าผู้อ่านจะรู้สึกได้จากการแสดงออกและความคิดของ
ตัวละคร หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ตัวละครทุกตัวของเรื่องนี้มีชีวิต จนราวกับว่า ‘มี
ชีวิตจริง’ และนั่นเองที่ทำให้ผู้อ่านรู้สึกคล้อยตามไปกับความคิดที่ปรากฏออกมาใน
แต่ละบรรทัด ไม่ว่าความคิดนั้นจะเป็นการ ‘แก้ตัว’ ให้ตัวละครอีกตัวหนึ่ง หรือเป็น
ความคิดโต้แย้งที่ใครต่อใครเคยปักใจเชื่อว่าความคิดเช่นนั้นไม่ใช่เรื่องดี
68
พฤติกรรมของตัวละคร เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวละครทั้งตัวหลักและตัวประกอบ
ล้วนแล้วแต่สมจริงจนอาจพบเห็นได้จากผู้คนรอบข้างในสังคมทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นชาติ
ไหนภาษาใด นักเขียนคนนี้สามารถเขียนเรื่องของวัยรุ่นได้อย่างเป็นสากลจนน่าทึ่ง
ด้วยเหตุนี้เอง เรื่องของเธอแทบทุกเรื่องจึงถูกกำหนดเป็นหนังสืออ่านนอกเวลาของ
โรงเรียนมากมายในหลายสิบประเทศทั่วโลก
สำนักพิมพ์ผีเสื้อหวังว่า ผู้ที่มีลูกทั้งหลาย ผู้ที่เป็นลูกของพ่อแม่ หรือลูกที่ไม่มีพ่อ
ไม่มีแม่ รวมทั้งผู้ที่เกี่ยวข้องกับเด็กวัยรุ่น จะสนใจอ่านหนังสือเรื่องนี้ และแนะนำสิ่งที่
เป็นสารประโยชน์แก่ชีวิตนี้ต่อไปยังผู้อื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง วรรณกรรมเยาวชนเรื่อง
นี้กำลังสร้างเป็นภาพยนตร์ ผู้อ่านทั้งหลายก็อาจจะมีโอกาสได้เห็นภาพการตีความของ
คนอีกกลุ่มหนึ่งทำภาพเคลื่อนไหว
หนังสือเรื่องนี้นับเป็นผลงานที่สำนักพิมพ์ผีเสื้อภูมิใจเป็นพิเศษอีกเรื่องหนึ่งใน
บรรดาหนังสือที่เคยพิมพ์มาแล้วและกำลังจัดพิมพ์ ข้อที่ภูมิใจเป็นพิเศษนั้นก็ด้วยเห็น
ว่า เรื่องทำนองนี้น่าจะเป็นประโยชน์ทางความคิดแก่วัยรุ่นของไทยไม่น้อย—ถ้าหาก
พวกเขาได้อ่าน
69
เรื่องราวของเด็กหญิงสองพี่น้องที่เติบโตในสวนกาแฟ เป็นลูกชาวสวนที่ได้เรียนรู้วิถี
ชีวิตของบรรพบุรุษ ขณะเดียวกันก็สามารถใช้ชีวิตตามยุคสมัยและตามวัยของตนเอง
ได้อย่างเป็นธรรมชาติ ทุกข์-สุข ผ่านมา แล้วผ่านไป เช่นเดียวกับวัฏจักรของฤดูกาล
ในสวนกาแฟ เว้นแต่ความสูญเสียบางอย่างที่เกิดขึ้นโดยไม่คาดคิด และไม่อาจหลีก
เลี่ยง มันอยู่ที่ว่าแต่ละคนจะเผชิญกับความสูญเสียนั้นอย่างไร และใช่ว่าผู้ใหญ่จะ
ยอมรับมันได้ง่ายกว่าเด็กๆ...
นี่คือวรรณกรรมเยาวชนแนวสมจริง ที่เขียนได้สนุก น่าติดตาม โดยไม่ต้องมี
อิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์หรือแฟนตาซีใดๆ มาช่วยให้เกิดความตื่นเต้น แม้จะดำเนินเรื่องไป
อย่างเรียบๆ ช้าๆ เช่นเดียวกับชีวิตในสวนกาแฟ แต่วิธีการเล่าเรื่องและการผูกโยง
ความสำคัญ กลับทำให้ผู้อ่านต้องติดตามไปทีละบรรทัดอย่างวางไม่ลง มารู้ตัวอีกที ก็
อาจจะหลั่งน้ำตาเสียแล้ว
70
เด็กหญิงสวนกาแฟ เป็นหนังสือที่ได้รับรางวัลเยาวชนรางวัลพิเศษนายอินทร์อะวอร์ด
ประจำปี 2546 แต่งโดย เม น้อยนาเวศ เป็นหนังสือ อีกเล่มที่หยิบมาอ่านซ้ำค่อนข้าง
จะบ่อย อาจจะเป็นเพราะเนื้อหาและภาษา ที่ใช้ หนังสือเล่มนี้บอกถึงวิถีชีวิตของชาวใต้ที่
เป็นชาวไร่ ชาวสวน และบางช่วงก็ทำให้อดที่จะคิดถึงชีวิตในวัยเด็กของตัวเองไม่ได้
เพราะด้วยความเป็นคนต่างจังหวัด อีกทั้งเคยมีประสบการณ์บางอย่างแบบตัวละครใน
เรื่อง ทั้งความประทับใจ ความสนุกสนาน และความสูญเสีย ที่สื่อผ่านตัวละครที่ชื่อน้อง
มุกซึ่งเป็นตัวเอกของเรื่อง น้องมุกเป็นเด็กที่เกิดกลางสวนกาแฟที่ใครหลายคนต่างว่า
แปลกโดยมี พ่อจา กับแม่น้อยเป็นพ่อแม่ นอกจากนี้น้องมุกก็ยังโตมากับสูตรยา
โบราณสารพัดสูตรของย่า ไม่ว่าจะเป็น เมื่อแรกเกิดย่าใช้จิ้งจกขาวตัวเมีย เอามาห่อดิน
เผาไฟ แล้วบดละเอียดคนให้เข้ากับน้ำนมแม่ แล้วก็โป๊ะลงบนกระหม่อมน้องมุกเพื่อ
รักษาขวัญ หรือการเอาเศษผ้าถุงแม่จุ่มน้ำแปะไว้กลางหน้าผากเพื่อกันสะอึก และอีก
สารพัดสูตรซึ่งเพื่อนๆอาจจะเคยได้ยินและไม่เคยได้ยินมาก่อน หรือแม้แต่บาง
ประเพณีที่เราอาจจะลืมเลือนกันไปโดยหันไปให้ความสำคัญกับเทศกาลของฝรั่งแทน
ผู้เขียนได้บรรยายให้เห็นถึงประเพณีขึ้นถ้ำว่าเป็นประเพณีที่ลูกหลานต้องกลับมาเยี่ยม
บ้าน ซึ่งทำให้อดที่จะคิดถึงประเพณีวันสารทเดือนสิบของที่บ้านไม่ได้ว่ามีบรรยากาศที่
คล้ายกับในเรื่อง นอกจากย่าแล้วน้องมุกยังมีพี่โมพี่สาวจอมแก่น ซึ่งเป็น ตัวแทนของ
คนรุ่นใหม่ที่มักจะมีความเห็นไม่ลงรอยกับคนรุ่นเก่าอย่างย่าอยู่เสมอ แต่ก็สามารถจู
นกันได้อย่างลงตัว
71
ปรัชญาชีวิต เป็นหนังสืออมตะของ คาลิล ยิบราน ซึ่งรู้จักกันแพร่หลายทั่วโลก โดย
เฉพาะในกลุ่มผู้สนใจปรัชญาและสาระลึกซึ้งนับตั้งแต่การพิมพ์ฉบับภาษาอังกฤษครั้ง
แรกเมื่อปี ค.ศ.1926 เป็นต้นมา ก็ได้พิมพ์ไปแล้วหลายสิบล้านเล่ม ทั้งยังมีการแปล
และพิมพ์เป็นภาษาต่างๆ มากกว่า 10 ภาษา ซึ่งจะทำให้รู้จักกับ "คาลิล ยิบราน" มาก
ยิ่งขึ้นอีกทั้งยังได้ข้อคิดหลักธรรมอันแฝงอยู่ในเล่มนี้เพื่อเป็นแนวทางในการดำเนิน
ชีวิตได้เป็นอย่างดี
72
"ปรัชญาชีวิต : The Prophet" เป็นหนังสืออมตะของ "คาลิล ยิบราน" ซึ่งรู้จัก
กันแพร่หลายทั่วโลก โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สนใจปรัชญาและสาระลึกซึ้ง นับตั้งแต่การ
พิมพ์ฉบับภาษาอังกฤษครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ.1926 เป็นต้นมา ก็ได้พิมพ์ไปแล้วหลาย
สิบล้านเล่ม ทั้งยังมีการแปลและพิมพ์เป็นภาษาต่างๆ หลายสิบภาษา กล่าวกันว่า การ
อ่านกวีนิพนธ์ "ปรัชญาชีวิต" ของ "คาลิล ยิบราน" นั้น ผู้อ่านมักจะนึกถึงท่วงทำนอง
ดนตรีไปพร้อมกับภาษาอันสวยงามด้วย ฉบับภาษาอังกฤษที่เริ่มพิมพ์ครั้งแรก ๆ จึง
ได้แบ่งวรรคตอนการคั่นจังหวะไว้เสมือนหนึ่งเป็นท่อนรับที่ว่างจากคำร้อง แต่แทรก
สอดด้วยดนตรีแทน หรือในอีกความรู้สึกหนึ่งก็คือ กวีนิพนธ์ของ คาลิล ยิบราน ควรที่
ผู้อ่าน จะดื่มด่ำช้า ๆ อย่างประณีต ค่อยๆ ซึมซับความละเอียดอ่อนหวานของภาษา
ลีลาการเขียน และความหมายอันลึกซึ้ง
ฉบับภาษาอังกฤษของ "The Prophet" จึงได้ถือปฏิบัติในการเว้นจังหวะโดยใช้
ช่องว่าง หรือมีเครื่องหมายคั่น ในแต่ละตอนไว้ และยึดถือกันเรื่อยมาแม้ฉบับที่พิมพ์
ครั้งล่าสุด การพิมพ์ภาษาไทยครั้งนี้ก็ยึดถือแบบแผนเดียวกัน โดยคงรูปแบบการจัด
รูปเล่มของสำนักพิมพ์กะรัตที่ได้ทำไว้ เมื่อ พ.ศ. 2530 นอกจากจะทำให้หนังสือมีรูป
เล่มสวยงามแล้ว ก็ด้วยเหตุผลดังกล่าวเป็นสำคัญ หนังสือเล่มนี้เป็นที่รู้จักกันใน
บรรดานักอ่านทั่วโลก และแม้แต่ในประเทศไทยก็ได้แพร่หลายมานาน มหาวิทยาลัย
ต่าง ๆ ในสหรัฐอเมริกา ยุโรป และประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษ กำหนดให้หนังสือนี้เป็น
คู่มือประกอบการศึกษาวิชาปรัชญา รวมทั้งมหาวิทยาลัยบางแห่งในประเทศไทยด้วย
73
พ.ศ. 2488 เรือเดินทะเลบรรทุกชาวจีนแผ่นดินใหญ่ ข้ามน้ำข้ามทะเลจากดินแดนที่
ความแร้นแค้นเริ่มกัดกิน มาเสี่ยงโชคกับชีวิตใหม่ที่พวกเขาต้องการกำหนดชะตาตัว
เองในบางกอก ด้วยเหตุที่ก่อนหน้านั้นชาวจีนจำนวนมากเริ่มอพยพเข้ามาตั้งรกราก
ทำการค้าจนประสบความสำเร็จ บ้างได้เป็นเจ้าของกิจการ บ้างก็ร่ำรวย บ้างก็เป็นนาย
อากรในระบบราชการของไทย หรืออย่างน้อยที่สุด การทำงานใช้แรงงานก็ยังผลให้
พวกเขาพอจะเก็บเงินส่งกลับไปให้ญาติพี่น้องที่บ้านเกิดเมืองนอนได้
ตันส่วงอู๋ คือคนจีนคนหนึ่งที่อยู่บนเรือลำนั้นด้วย
ตันส่วงอู๋ หนีออกจากบ้านมาโดยไม่ได้บอกลาแม่ผู้ให้กำเนิด ทว่าความกตัญญูรู้คุณที่
ยังมีอยู่ในตัว บวกกับที่แม่เคยพร่ำสอนให้รู้วิชารู้ภาษาตั้งแต่เด็ก ทำให้เขาตั้งใจเขียน
จดหมายส่งไปถึง ลิ้มเง็กฮ้วง ผู้เป็นแม่ บอกเล่าเรื่องราวในชีวิตทุกแง่มุมที่ประสบใน
เมืองไทย
จดหมายหนึ่งร้อยฉบับถูกส่งไปยังเมืองหน้าด่านของจีนแผ่นดินใหญ่ แต่ถูกเจ้าหน้าที่
ตรวจตราจดหมายจากต่างประเทศเก็บเอาไว้ก่อนจะไปถึงปลายทางเสียก่อน ด้วย
ความต้องการไม่ให้ประชาชนของตนได้รับข่าวชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีของญาติมิตรที่
ลี้ภัยไปอยู่ต่างแดน และจะเกิดอยากหนีระบบคอมมูนไปสู่แดนเสรีบ้าง การเซ็นเซอร์
จดหมายจึงทำให้ความเป็นไปของ ตันส่วงอู๋ ไม่เคยรับรู้ไปถึงผู้เป็นแม่ของเขาเลย
74
อย่างไรก็ตามเรื่องราวของ หลีบ้วนสุน ข้าราชการชั้นปัญญาชนที่ถือจดหมายหนึ่งร้อย
ฉบับนี้ กลับหลบหนีเข้ามาในไทยเสียเองใน พ.ศ. 2510 จึงถูกยึดจดหมายไป และได้มี
การถอดข้อความ เกลาสำนวนให้เป็นภาษาไทยที่ไม่ขัดหูขัดตานัก จนสุดท้ายได้ตีพิมพ์
เผยแพร่ใน สตรีสาร เมื่อปี พ.ศ. 2511-2512 จดหมายจากเมืองไทย โดย โบตั๋น ได้
รับรางวัลวรรณกรรมยอดเยี่ยมประเภทนวนิยายประจำ พ.ศ. 2512 และถูกรวบรวม
เป็นหนังสือเล่มในที่สุด
บางช่วงบางตอนในจดหมายของ ตันส่วงอู๋ วิจารณ์ถึงลักษณะนิสัยของคนไทย ที่หาก
มองในแง่ร้ายก็อาจเห็นว่าเป็นคำปรามาสดูถูก แต่หากคิดในแง่ดีก็ถือว่าเป็นกระจก
สะท้อนความจริง ซึ่งแน่นอนว่าถ้อยความที่เขาเล่าสู่มารดาเป็นการส่วนตัวนั้น ย่อมมี
ความจริงใจมากกว่าไปสัมภาษณ์ความเห็นของคนจีนคนอื่นๆ ในเมืองไทย
…ในเมืองไทยเขานับถือแผ่นกระดาษยิ่งกว่าความรู้ แผ่นกระดาษที่พ่อว่านี้คือใบรับ
รองว่าเจ้าเรียนจบมาจากสถานศึกษาแห่งใดแห่งหนึ่ง ถ้ามีของสถานศึกษาที่มีชื่อ เจ้า
ก็จะหางานง่าย…การเรียนหนังสือไทยนั้นก็เป็นการดีอยู่ดอก แต่อย่าให้ความคิดดูถูก
ผู้มีความหมั่นเพียรด้วยตัวเองเข้ามาครอบงำจิตใจ เขามักจะเข้าใจผิดว่า
ประกาศนียบัตรสำคัญยิ่งกว่าความรู้ ลูกต้องปรับตัวของลูกให้เข้ากับพวกนี้ให้ได้
ส่วนหนึ่งจากคำสอนของพ่อบุญธรรมที่พูดกับ ตันส่วงอู๋ ในระหว่างการเดินเรือ
75
นิยายสำหรับเยาวชนแนวสอนคุณธรรมเชิงเปรียบเทียบ จากเยอรมัน โดยนักเขียน
ชาวออสเตรีย ...
คุณป้า บาร์โทลอตตี้ เป็นตัวแทนของคนสมัยใหม่ที่มีชีวิตอยู่ท่ามกลางสังคมการ
บริโภค ซึ่งทุกคนต้องตกเป็นทาสของ การโฆษณา ขายสินค้าพร้อม ของแจกของแถม
เรื่องตลก มากที่วันหนึ่งคุณป้าของเราเกิดได้รับสินค้า เด็กคอมพิวเตอร์ มาทาง
ไปรษณีย์ ซึ่งเป็นเด็กที่ทางโรงงานที่ผลิตได้บรรจุโปรแกรมของ สมบัติทางคุณธรรม
ที่วิเศษ ๆ ทั้งนั้นมาแล้ว เป็นต้นว่า ขยัน มีวินัย เจ้าระเบียบ ซื่อสัตย์ และฉลาดอย่าง
เยี่ยมยอด ทุกอย่างกำลังเข้ารูปเข้ารอย ถ้าวันหนึ่งทางโรงงานไม่มีจดหมายมาถึงคุณ
ป้าว่า ได้ส่งสินค้ามาให้ผิด ทางโรงงานจะมาตามสินค้า เด็กคอมพิวเตอร์คืนในเร็ววัน
คุณป้าต้องเดือดร้อนกันยกใหญ่ เพราะได้ตกหลุมรักเด็กแสนดีคนนี้จนถอนตัวไม่ขึ้น
คุณป้าจึงเตรียมแผนการ "ทำให้เด็กเสีย" ทั้งนี้เพื่อไม่ให้ทางโรงงานจำเด็กได้ จะได้ไม่
มาเอาเด็กไป แล้วอะไรจะเกิดขึ้น เมื่อ เด็กดี ต้องมากลายเป็น เด็กเสีย เช่นนี้
76
77
จดหมายจากเด็กชายช่างฝัน เล่าเรื่องของเด็กชาย ลีห์ บอทท์ส
ซึ่งได้ลงมือเขียนจดหมายส่งถึงนักเขียนในดวงใจของเขา .. คุณแฮนชอว์
คุณแฮนชอว์ได้จุดประกายความรักหนังสือขึ้นในใจของลีห์ บอทท์ส
นอกจากนี้ การเขียนจดหมายโต้ตอบกับเขาไปเรื่อยๆ อย่างตกกะไดพลอยโจน
ก็ทำให้เด็กชายเริ่มที่จะรักการเขียนไปด้วย ..
จากจดหมาย กลายเป็นสมุดบันทึก
และกลายเป็นงานเขียนเพื่อส่งเข้าประกวดที่โรงเรียนในตอนสุดท้าย
78
หนังสือเริ่มต้นด้วยจดหมาย และเล่าเรื่องให้เราอ่านด้วยจดหมายทั้งเล่ม
เป็นจดหมายฝ่ายเดียวจากเด็กชายไปถึงนักเขียนคนโปรดของเขา
ซึ่งในเรื่องนั้น คุณแฮนชอว์ก็ได้ตอบจดหมายเขากลับมาด้วย
เพียงแต่บีเวอร์ลี เคลียรีไม่ได้เขียนจดหมายตอบเหล่านั้นให้เราอ่าน
ปล่อยให้เราใช้จินตนาการ และเดาเอาจากจดหมายของลีห์เพียงฝ่ายเดียว
แม้จะมีเบาะแสเพียงแค่นั้น
แต่แล้วเรื่องราวและตัวตนของ ลีห์ บอทท์ส
ก็ค่อยๆ ถูกถ่ายทอดออกมาจากจดหมายและสมุดบันทึกส่วนตัวของเขา
และผู้เขียนก็ค่อยๆ เปลี่ยนเรื่องราวสนุกๆ ธรรมดาๆ
ให้กลายเป็นเรื่องซึ้ง และเรื่องเศร้าไปได้ยังไงก็ไม่รู้
หนังสือเล่มนี้เป็นผลงานในช่วงท้ายๆ ของบีเวอร์ลี เคลียรี
ซึ่งเธอได้รวบรวมเอาความประทับใจจากจดหมายที่ถูกส่งมากจากเด็กๆ นับพันๆ ฉบับ
กลั่นกรอง และถ่ายทอดออกมาเป็นหนังสือเล่มนี้
มันสนุก น่ารัก และน่าประทับใจ
79
"นางนวลกับมวลแมวผู้สอนให้นกบิน" ผลงานของ "หลุยส๎ เซปุล๎เบดา" เป็นเรื่อง
ราวของแม่นกนางนวลที่โดนคราบน้ำมันจากมหาสมุทรตัวหนึ่งที่กำลังจะตาย ซึ่งได้
ฝากฝังสั่งเสียไข่ใบน้อยๆ ไว้กับแมวดำตัวใหญ่และอ้วนพีนามว่า "ซอร์บาส" โดยมี
ข้อแม้ว่าจะต้องไม่เขมือบไข่ใบนี้ ต้องดูแลรักษาไข่จนฟักออกเป็นตัว และสุดท้ายต้อง
สอนให้นกนางนวลตัวน้อยนั้นบินได้ ซอร์บาสจะทำได้หรือไม่? แมวจะเลี้ยงลูกนกได้
อย่างไร? ติดตามร่วมลุ้นไปพร้อมกันได้ในเล่ม
80
“นางนวลกับมวลแมวผู้สอนให้นกบิน” (The Story of A seagull and The Cat
Who Taught Her To Fly) เป็นเรื่องราวแห่งการเล่าขานในเชิง “นิทานแห่ง
คุณธรรม” (Moral Fable) ของ “หลุยส์ เซปุล์เบดา” นักเขียนเชื้อสายชิลี ที่ใช้ภาษา
สเปนในการเขียนถ่ายทอดอุดมคติของการมองโลก... อุดมคติที่เต็มไปด้วยข้อสังเกต
ที่เน้นย้ำให้มนุษย์ได้ตระหนักรู้ถึงภยันตรายอันเจ็บปวดและขมขื่นที่ตนเองเป็นผู้สร้าง
ในวิถีของผู้ทำลายโดยปราศจากจิตสำนึกแห่งการรักโลกหรือภาวะสำคัญของการรักษ์
โลก หลายสิ่งที่มนุษย์กระทำคือภาพปรากฏที่แสดงถึงก้นบึ้งแห่งกมลสันดานอัน
ปราศจากความรับผิดชอบที่น่าชิงชังรังเกียจ และนั่นคือปริศนาสำคัญของเรื่องเล่าใน
เชิงวรรณกรรมเพื่อสำนึกแห่งการรับรู้เรื่องนี้ ที่จะก่อผลอันมีค่าต่อวารวัยของเด็ก
น้อย... วารวัยแห่งความเป็นเยาวชนนับแต่อายุ 8 ปี จนก้าวล่วงสู่วิถีท้ายสุดแห่งการ
ดำรงอยู่ในฐานะมนุษย์คือ 88 ปี... ภาวะดังกล่าวนี้คือปณิธานของการสร้างสรรค์ผล
งานที่เต็มไปด้วยเจตจำนงและความหวังอันจริงจังที่จะทำให้ผู้อ่านได้ตระหนักและ
ประจักษ์ว่า... บทเริ่มต้นของการสื่อสารและรับรู้ในสถานะแห่งการเป็นชีวิตที่อยู่ร่วมกัน
ทั้งหมดทั้งมวล จะต้องถูกวิพากษ์ถึงวิถีของความขัดแย้งและผิดบาปนั้นๆอย่างตรงไป
ตรงมาเท่านั้น
81
ประคำลูกโอ๊ค ซึ่งเป็นนวนิยายที่แสนจะประทับใจของเยาว์วัยอันอ่อนหวาน
ประคำลูกโอ๊ค เป็นสื่อบอกให้ผู้อ่านได้รับรู้พลังความสามารถของเด็กพิการ ได้สะท้อน
ความรู้สึก ความกล้าหาญ ความสดชื่น และความสุขของเด็กพิการ ทำให้ผู้คนทั่วไปได้รู้
ว่าเด็กพิการนั้นต้องการการเติบโตทางด้านร่างกาย สติปัญญา และจิตใจเช่นเดียวกับ
เด็กปกติทั่วไป
82
83
แมวน้อยตัวหนึ่งเกิดเป็นแมวมาแล้วร้อยหมื่นชาติ ทุกชาติมันมีเจ้าของที่รักมัน
เจ้าของทุกคนร้องไห้เมื่อมันตาย แต่มันไม่เคยร้องไห้เลย จนมาถึงชาตินี้มันเกิดเป็น
แมวข้างถนน ไม่มีเจ้าของ มันรักตัวเองมากที่สุด แต่เมื่อมันได้อยู่กับแมวขาว มันกลับ
รักแมวขาวและลูกๆ มากกว่าตัวเอง จนเมื่อแมวขาวตาย แมวน้อยจึงได้ร้องไห้เป็น
ครั้งแรก แล้วมันก็ไม่กลับมาเกิดอีกเลย
84
นี่คือเรื่องราวแสนน่ารักของแมวน้อยลายเสือตัวหนึ่ง เด็กๆ ล้อมวงกันเข้ามาได้เลย
แมวน้อยลายเสือตัวหนึ่งเคยเกิดมาเป็นแมวแล้ว 100 หมืน่ ชาติ ทุกชาติแมวน้อยมี
ทาสที่รักและคอยดูแล และเมื่อมันตาย เจ้าของแมวน้อยต่างร้องไห้โศกเศร้าเสียใจ
แต่แมวน้อยกลับไม่เคยร้องไห้เสียใจเลยสักครั้ง
จนมาถึงชาตินี้มันเกิดเป็นแมวข้างถนน ไม่มีเจ้าของ ไม่มีคนที่รักมัน แต่มันกลับชอบ
และรักตัวเองมากที่สุด
และในชาตินี้แมวน้อยได้เจอกับแมวขาว ความรักครั้งแรกในรอบ 100 หมื่นชาติของ
แมวน้อย
ท่ามกลางชั้นหนังสือที่ถูกแปะป้ายไว้ว่า ‘สำหรับเด็ก’ คงจะมีผู้ใหญ่น้อยคนที่คิดว่าใน
ชั้นหนังสือนี้ จะมีหนังสือเด็กที่เหมาะกับตัวเอง แต่กับ แมวน้อย 100 หมื่นชาติ นิทาน
สำหรับเด็กเล่มนี้ เป็นหนังสือจากชั้นหนังสือเด็กอีกเล่มที่เหมาะสำหรับผู้ใหญ่ทุกคน
เพราะผู้ใหญ่คนไหนที่เคยอ่านแล้วคงพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า นี่มันนิทานสำหรับเด็ก
แน่เหรอ
85
จุดเริ่มต้นของโฮล์มส์และหมอวัตสัน ตัวเอกทั้งสองคนในเรื่อง เมื่อหมอวัตสันได้พบว่า
โฮล์มส์เป็นนักสืบที่ปรึกษา ทำงานร่วมกับตำรวจนักสืบเพื่อช่วยเหลืองานข้าราชการ
และในขณะเดียวกันก็เป็นนักสืบที่รับจ้างงานจากบุคคลทั่วไปอีกด้วย ทั้งสองคนช่วย
กันสืบคดีที่เกี่ยวข้องกับศพของชายคนหนึ่ง ซึ่งถูกพบในบ้านร้างโดยมีคำว่า RACHE
เขียนด้วยเลือดบนกำแพงข้างๆ กันกับศพ
หนังสือเล่มแรกที่คุณจะได้รู้จักเชอร์ล็อก โฮล์มส์ และหมอวัตสัน ที่เป็นต้นเหตุความดัง
ของเชอร์ล็อก โฮล์มส์จวบจนปัจจุบัน
86
เชอร์ล็อก โฮมส์ ตอนแรกที่ลงตีพิมพ์ใน Beeton's Christmas Annual คือ
ตอน แรงพยาบาท (A Study in Scarlet) โดยบทแรกเล่าถึงการพบกันครั้งแรกระ
หว่างโฮมส์กับวอตสัน ทั้งสองมาเช่าห้องพักร่วมกันที่บ้านเลขที่ 221 บี ถนนเบเกอร์
ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1881 แต่เนื้อเรื่องใน แรงพยาบาท เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1884
เวลานั้นโฮมส์เป็นนักสืบอยู่แล้ว ส่วนหมอวอตสันเพียงต้องการพักผ่อนหลังจาก
เกษียนตัวเองจากสงครามอัฟกานิสถาน ในช่วงแรกหมอวอตสันรู้สึกว่าโฮมส์ช่างเป็น
คนแปลกประหลาด แต่ต่อมาเมื่อคุ้นเคยขึ้น วอตสันจึงเข้าใจและมองเห็นความสำคัญ
ของสิ่งที่โฮมส์ทำ นับแต่นั้นหมอวอตสันได้ร่วมในการสืบสวนคดีของโฮมส์หลายต่อ
หลายครั้ง และเขียนเป็นบันทึกเก็บไว้อ่าน เนื้อเรื่อง เชอร์ล็อก โฮมส์ ที่โคนัน ดอยล์
ประพันธ์นั้น สมมติขึ้นว่าเป็นการเล่าเรื่องจากสมุดบันทึกของหมอวอตสัน ซึ่งเขาส่งให้
หนังสือพิมพ์ตีพิมพ์บ้างบางตอน เพราะต้องการเผยแพร่กิตติคุณความสามารถของ
โฮมส์ให้โลกรู้
87
ลอร์ด ออฟ เดอะ ริงส์ (ฉบับครบรอบ 60 ปี) เป็นการฉลองครบรอบ 60 ปีของ
วรรณกรรม ที่รวมเนื้อหาของทั้ง 3 ภาค (มหันตภัยแห่งแหวน/หอคอยคู่พิฆาต/
กษัตริย์คืนบัลลังก์) มาไว้ในเล่มเดียว (บทแปลเหมือนกับฉบับแยกเล่ม 1-3 ที่แพรว
เยาวชนเคยวางจำหน่ายเมื่อปี 2012) พร้อมภาพประกอบ 4 สี จาก อลัน ลี ศิลปิน
เพียงคนเดียวที่ได้รับสิทธิให้วาดภาพประกอบของเรื่อง ลอร์ด ออฟ เดอะ ริงส์ อย่าง
เป็นทางการ
88
เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ เป็นชิ้นงานที่ขยายผลมาจากโครงเรื่องต่าง ๆ ก่อนหน้านี้
เป็นชิ้นงานที่มีความซับซ้อน และยังเป็นเหตุการณ์ในลำดับสุดท้ายของปกรณัมของโท
ลคีนที่ได้บรรจงสร้างมาเนิ่นนานตั้งแต่ พ.ศ. 2460 (ค.ศ. 1917) ผลงานเรื่อง
เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ และงานเขียนชิ้นอื่น ๆ ของเขาได้แสดงให้เห็นถึงความลุ่ม
ลึกทางด้าน ภาษา ด้านโครงตำนาน ด้านแนวคิดเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสู่
อุตสาหกรรม และด้าน ศาสนศาสตร์ จนส่งผลต่อวงการวรรณกรรม แฟนตาซี ยุค
ต่อมาเป็นอย่างมาก ผลกระทบจากงานของโทลคีนต่อสังคมทำให้คำว่า "แบบโทลคีน"
("Tolkienian" และ "Tolkienesque") ถูกบรรจุลงใน พจนานุกรมภาษาอังกฤษ
ฉบับออกซฟอร์ด
89
ฮารี เชลดอน ผู้ก่อตั้งคณะวิทยาศาสตร์แห่งอนาคตประวัติศาสตร์ มองเห็นว่าใน
อนาคตจักรวาลจะเต็มไปด้วยสงครามแย่งชิงอ านาจ จึงรวบรวมนักปราชญ์และนักวิ
ทยาศาสตร์จ านวนหนึ่งไปสร้างรากฐานที่ดาวดวงใหม่ตรงสุดขอบจักรวาล แต่พวก
เขาไม่อาจหนีเงื้อมมือของอาณาจักรกาแลกติกที่พยายามฟื้ นตัวจากการล่มสลายด้วย
การเข้าครอบครองทรัพยากรทั้งหมดที่มีอยู่ให้ได้
90
เนื้อเรื่องภายใน
The Psychohistorians
The Encyclopedists
The Mayors
The Traders
The Merchant Princes
เนื้อหาของชุดนิยายเป็นเรื่องในช่วงเวลาที่มนุษยชาติได้กระจายอาศัยอยู่ทั่วไปใน
จักรวาล เนื้อเรื่องบอกเล่าถึงการล่มสลายของจักรวรรดิ และความพยายามของนัก
วิทยาศาสตร์กลุ่มหนึ่ง ที่ต้องการจะช่วยให้มนุษยชาติ กลับจากภาวะล่มสลายให้ได้เร็ว
ที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ โดยการรวมรวบความรู้ต่าง ๆ เก็บไว้ในสานานุกรม ซึ่งจัดทำโดย
สถาบันสถาปนา
91
"ลูกอีสาน" ผลงานประพันธ์ยอดเยี่ยมของ "คำพูน บุญทวี" ได้รับรางวัล
วรรณกรรมสร้างสรรค์แห่งอาเซียน (ซีไรต์) เมื่อพ.ศ.2522 ทางสำนักพิมพ์ได้จัด
พิมพ์ "ลูกอีสาน" ใหม่โดยปรับปรุงให้รับกับสมัย พร้อมทั้งเพิ่มภาคผนวกและภาพ
ประกอบเพื่อให้ผู้อ่านได้รับอรรถรสและซึมซับความเป็นลูกอีสานได้อย่างเต็มอิ่ม เช่น
เดียวกับการนำเพชรมาประดับบนตัวเรือนใหม่ให้สมค่าและศักดิ์ศรี
92
ลูกอีสาน เป็นหนังสือนวนิยายของ คำพูน บุญทวี ได้รับ รางวัลวรรณกรรม
สร้างสรรค์ยอดเยี่ยมแห่งอาเซียน ประจำปี พ.ศ. 2522 และได้รับการนำมาสร้างเป็น
ภาพยนตร์เรื่อง ลูกอีสาน ในปี พ.ศ. 2525 รวมทั้งยังได้รับการจัดให้เป็น หนังสือดี
100 เล่มที่คนไทยควรอ่าน อีกด้วย การเขียนของผู้เขียนสามารถสะท้อนวิถีชีวิตของ
ชาวอีสานและบรรยายภาพได้สมจริงจนเกิดเป็น มโนภาพ
93
เพชรพระอุมา เป็น นวนิยาย แนวผจญภัยที่มีขนาดความยาวมากที่สุดใน ประเทศไทย
และนับว่าเป็นนวนิยายที่มีความยาวมากที่สุดใน โลก บทประพันธ์โดย พนมเทียน ซึ่ง
เป็นนามปากกาของ นายฉัตรชัย วิเศษสุวรรณภูมิ ตีพิมพ์เป็นตอน ๆ ใน หนังสือพิมพ์
รายสัปดาห์ และตีพิมพ์ต่อเนื่องในหนังสือพิมพ์รายวัน ใช้ระยะเวลาในการประพันธ์
ยาวนานกว่า 25 ปี โดยพนมเทียนเริ่มต้นการประพันธ์เพชรพระอุมาในวันที่ 19
พฤศจิกายน พ.ศ. 2507 และสิ้นสุดเนื้อเรื่องทั้งหมดในวันที่ 21 มิถุนายน พ.ศ.
2533 รวมระยะเวลาในการประพันธ์ทั้งสิ้น 25 ปี 7 เดือน กับ 2 วัน
94
เพชรพระอุมาเป็นนวนิยายที่มีความยาวทั้งสิ้น 48 เล่ม 12 ตอน แบ่งออกเป็นสอง
ภาคคือภาคแรกและภาคสมบูรณ์ ภาคละ 24 เล่ม จำนวน 6 ตอน ซึ่งภาคแรกของ
เพชรพระอุมาได้แก่ ไพรมหากาฬ, ดงมรณะ, จอมผีดิบมันตรัย, อาถรรพณ์นิทรานคร,
ป่าโลกล้านปีและแงซายจอมจักรา สำหรับภาคสมบูรณ์ได้แก่ จอมพราน, ไอ้งาดำ, จิต
รางคนางค์, นาคเทวี, แต่ปางบรรพ์และมงกุฎไพร
95
สำหรับ ไบรซ์ ลอสกี : จูลี เบเกอร์ เป็นตัวประหลาด น่ารำคาญ ที่เขาไม่อยากเข้าใกล้
สำหรับ จูลี เบเกอร์ : ไบรซ์ ลอสกี คือเทพบุตร ที่เธออยากอยู่ใกล้ๆ ตลอดเวลา
ทั้งคู่เจอกันครั้งแรกตอนอยู่ ป.2 เมื่อไบรซ์ย้ายมาอยู่บ้านฝั่ งตรงข้ามจูลี และเรยี น
ห้องเดียวกัน จูลีเฝ้าวนเวียนทำดีกับไบรซ์ตลอดระยะเวลาหลายปี ขณะที่ไบรซ์ก็หนีเป็น
พัลวันตลอดเวลา ไบรซ์มองว่าจูลีชอบทำอะไรแปลกๆ เช่น ปีนขึ้นไปอยู่บนต้นซิคามอร์
ตรงป้ายรอรถเมล์ทุกเช้า เลี้ยงไก่ในสวนหลังบ้านซึ่งดูสกปรกมาก และนำไข่มาให้
ครอบครัวไบรซ์ทุกอาทิตย์เป็นเวลา 2 ปี ซึ่งไบรซ์ทิ้งไข่ทั้งหมดเพราะกลัวเชื้อโรค จน
กระทั่งวันหนึ่งต้นซิคามอร์ที่จูลีรักถูกตัดทิ้ง และเธอพบความจริงเรื่องไบรซ์ทิ้งไข่ การ
มองโลกบางมุมของจูลีจึงเปลี่ยนไป เธอรู้แล้วว่าภายในตัวไบรซ์ไม่ใช่เทพบุตรเหมือน
ภายนอกที่เห็น ส่วนไบรซ์ก็เริ่มรู้สึกว่าจูลีไม่ใช่ตัวประหลาด เขาต่างหากที่เป็นฝ่ายไม่ได้
เรื่องได้ราว เรื่องราวของพวกเขาทั้งคู่จะเป็นอย่างไรต่อไป? ติดตามร่วมลุ้นไปพร้อม
กันได้ในเล่ม
96
เวลาที่เราหลงรักใครสักคน บางทีมันช่างไร้เหตุผลที่เหมาะสม
อาจแค่เห็นหน้าแล้วตกหลุมรัก เหมือนเวลาที่ไม่ชอบใครสักคน
อาจเพราะแค่รู้สึกไม่ถูกโฉลกขึ้นมาเฉยๆ ทั้งที่เราก็รู้กันอยู่ว่า
คนที่เราไม่ชอบ อาจเป็นคนที่ดีมากๆ คนหนึ่ง
และคนที่เราตกหลุมรักอย่างจัง ก็อาจไม่ได้ดีเลิศกว่าใครในโลกนี้
บางทีชีวิตเราก็พลาดสิ่งที่ดีที่สุดหรือคนที่ดีที่สุดไป
เพียงเพราะความคิดแรกพบเหล่านี้เอง
ส่วนหนึ่งจากหนังสือ ต้นไม้ ไข่ไก่และหัวใจหกคะเมน
97
“พันธุ์หมาบ้า” เป็นนวนิยายขนาดยาวที่เขียนโดย “ชาติ กอบจิตติ” ศิลปินแห่งชาติ
สาขาวรรณศิลป์ปี 2547 และเป็นนักเขียนที่มีชื่อเสียงจากนวนิยายเรื่อง คำพิพากษา
ซึ่งได้รับรางวัลซีไรต์ประจำปี พ.ศ.๒๕๒๕
เรื่องพันธุ์หมาบ้าตีพิมพ์ครั้งแรกในนิตยสาร “ลลนา” โดยทยอยตีพิมพ์ตั้งแต่ปักษ์
แรกของเดือนสิงหาคม 2528 ถึงเดือนธันวาคม 2530 มีการตีพิมพ์รวมเล่มครั้งแรก
เมื่อปี 2531 และได้ตีพิมพ์ซ้ำอีกหลายครั้งจนถึงครั้งล่าสุดซึ่งเป็นครั้งที่ 23 ในปี
2551
98
นวนิยายเรื่องนี้เปิดเรื่องโดยตัวละครที่ชื่อว่า ชวนชั่ว เขาเดินทางไปหาเพื่อนที่จังหวัด
แถบชายทะเลแห่งหนึ่ง โดยตั้งใจจะไปหาแรงบันดาลใจในการเขียนนวนิยายเรื่องใหม่
ด้วย ชวนชั่วไปหาเพื่อนชื่อ อ๊อตโต ซึ่งเปิดร้านขายของที่ระลึกอยู่ที่นั่น อ๊อตโตเปิดร้าน
ค้าเพราะมีจุดประสงค์คือ ต้องการเริ่มต้นชีวิตใหม่ และเพื่อเป็นสถานที่รวมตัวของบร
รดาเพื่อนๆ อ๊อตโตกับชวนชั่วไปนั่งสังสรรค์กันที่ร้านแห่งหนึ่ง พวกเขาพูดคุยกันถึง
เรื่องราวในอดีต รวมถึงเพื่อนๆ ได้แก่ ทัย แก่ ล้าน สำลี เล็กฮิป และอีกหลายคน ที่มี
นิสัยและพฤติกรรมแบบเดียวกันจนเรียกได้ว่าเป็นพันธุ์เดียวกัน แต่ละคนล้วนเคยใช้
ชีวิตร่วมสุขร่วมทุกข์มาด้วยกันที่เมืองพัทยา ไม่ว่าพวกเขาจะทุกข์ สุข สนุกสนาน โศก
เศร้า เฮฮา หรืออยู่ในอารมณ์ใดก็ตาม สิ่งที่ขาดไม่ได้เมื่อเจอหน้ากันคือเหล้า และ
กัญชา ซึ่งมีความสำคัญประดุจดังเป็นญาติพี่น้องท้องเดียวกับพวกเขา
เรื่องราวดำเนินไปโดยการเล่าเรื่องราววีรกรรมต่างๆ ทั้งความสนุกสนาน ความทุกข์
การกระทำ การดำเนินชีวิต การเรียนรู้ และประสบการณ์ต่างๆของพวกเขา แต่เมื่อมี
เพื่อนคนหนึ่งเดินทางไปต่างประเทศ เพื่อนๆที่เหลือจึงแยกย้ายกันไปตามวิถีชีวิตของ
ตน
ตัวละครในเรื่องนี้ล้วนเป็นชื่อจริง และมีชีวิตอยู่จริง เรื่องราวต่างๆแสดงให้เห็นถึง
มิตรภาพระหว่างเพื่อนในช่วงชีวิตวัยรุ่น ซึ่งเป็นวัยแห่งความคึกคะนอง และสามารถ
กระทำสิ่งใดๆก็ได้ภายในอารมณ์ชั่ววูบ โดยการกระทำนั้นอาจทำให้ชะตาของพวกเขา
หักเหไปทั้งชีวิตได้ เป็นหนังสือที่ทำให้ผู้อ่านหันกลับมาคิดใคร่ครวญถึงชีวิตของตนเอง
และคนรอบข้าง เพื่อจะได้ก้าวเดินไปบนเส้นทางชีวิตได้อย่างมีสติ เพราะมีตัวอย่างของ
คนที่ล้มเหลวในชีวิตปรากฏอยู่ในเนื้อเรื่อง มีทั้งผู้ที่สามารถกลับตัวกลับใจได้ในภาย
หลัง และผู้ที่ไม่มีโอกาสที่จะกลับตัวอีกต่อไป ซึ่งเป็นตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจน