The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

แผนการจัดการเรียนรู้ ส32101 สังคมศึกษา ม.5

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by prijit banlao, 2020-05-19 23:48:46

แผนการจัดการเรียนรู้ส32101สังคมศึกษาม.5

แผนการจัดการเรียนรู้ ส32101 สังคมศึกษา ม.5

49

10. ถ้าวัดระยะทางในแผนทมี่ าตราสว่ น 1:250,000 ได้ 27.5 เซนตเิ มตร แสดงวา่ ในภูมปิ ระเทศจริงมีระยะทาง

เท่าไร

1 67.5 กิโลเมตร 2 68.5 กโิ ลเมตร

3 67.75 กโิ ลเมตร 4 68.75 กโิ ลเมตร

11. เส้นชันความสงู ในแผนท่ีภมู ิประเทศนยิ มใชเ้ ส้นสีใด

1 สดี า 2 สีแดง

3 สีเขียว 4 สนี าตาล

12. ส่ิงใดทสี่ ามารถใชส้ ญั ลักษณท์ ี่เป็นจุดแทนลงในแผนท่ีได้

1 บึง 2 ทุ่งนา

3 ทีต่ ังจังหวดั 4 อาณาเขตประเทศ

13. ข้อใดไม่ใชว่ ธิ กี ารจัดการคุณภาพดนิ

1 การปรับปรุงบารงุ ดิน

2 การปลูกพืชหลากชนดิ

3 การปลูกพชื แบบ

ขนั บนั ได

4 การปลกู พชื ชาซาก

14. ลักษณะเสน้ ชนั ความสูงทเี่ รยี งอยชู่ ดิ กันบริเวณยอดแล้วค่อย ๆ ขยายออกห่างบรเิ วณฐานมีลกั ษณะภมู ิ

ประเทศเปน็ แบบใด

1 ลาดเว้า 2 ลาดชนั 3 ลาดนูน 4 ลาดสมา่ เสมอ

15. ในพืนท่ีท่ลี าดเทมาก ลักษณะของเส้นลายขวานสับจะเปน็ เชน่ ไร

1 ขีดยาว บาง อยชู่ ดิ กัน 2 ขีดสัน หนา อยู่ชิดกัน

3 ขีดยาว บาง อยหู่ ่างกัน 4 ขีดสัน หนา อยู่ห่างกัน

16. การแรเงาเพือ่ แสดงความสูง–ตา่ ของภมู ิประเทศมักแรเงาใหเ้ หมือนกับว่ามแี สงทามุมอยู่กี่องศา

1 45 องศา 2 90 องศา 3 135 องศา 4 180 องศา

17. แถบสีขาวมักใชแ้ ทนภเู ขาที่มีลักษณะเปน็ อย่างไร

1 ภเู ขาหินปูน 2 ภูเขายอดปา้ น

3 ภูเขายอดแหลม 4 ภเู ขามหี มิ ะปกคลมุ

18. เข็มบอกทิศของเข็มทศิ จะแกวง่ ไกวอย่างอสิ ระ โดยทาปฏสิ ัมพนั ธก์ บั ส่งิ ใด

1 ชว่ งเวลาทใ่ี ชง้ าน 2 แรงเหวีย่ งของผู้ใชง้ าน

3 การหมนุ รอบตวั เองของโลก 4 แรงดงึ ดูดของขวั แมเ่ หล็กโลก

19. ก้อนถ่วงนาหนักของเครือ่ งมอื วัดพืนทีม่ ีไวเ้ พื่ออะไร

1 ถ่วงไมใ่ หจ้ ุดทีว่ างเคลือ่ นท่ี

2 ใชเ้ ปรียบเทียบค่าทวี่ ัดไดจ้ ากแผนท่ี

3 ช่วยเคล่อื นแขนของเลนส์ขยายได้สะดวก

4 ใชล้ ากมาตรวัดพืนที่ไปยังจุดทต่ี อ้ งการวดั

50

20. บารอกราฟและบารอมเิ ตอร์แบบแอนริ อยด์มคี วามแตกต่างกันอย่างไร

1 บารอกราฟสามารถวัดคา่ อุณหภมู ิได้ แตบ่ ารอมิเตอรแ์ บบแอนิรอยด์วัดไม่ได้

2 บารอกราฟมีหน้าปดั ขนาดใหญ่ไว้บอกค่าท่ีวดั ได้แตบ่ ารอมเิ ตอรแ์ บบแอนิรอยด์ไมม่ ีหน้าปัดบอกค่า

3 บารอกราฟมีแขนปากกาใช้ขีดค่าท่วี ัดได้ลงกระดาษกราฟ แตบ่ ารอมิเตอร์แบบแอนิรอยดม์ ีเพยี ง

หนา้ ปัดบอกคา่ ท่วี ดั ได้

4 บารอกราฟมีตลับโลหะบาง ๆ ทส่ี ูบอากาศออก เกอื บหมด แต่บารอมเิ ตอร์มเิ ตอร์แบบแอนริ อยด์ไมม่ ตี

ลบั โลหะ

21. เทอร์โมมิเตอรแ์ บบใดทสี่ ามารถใช้วัดอณุ หภมู ขิ องดินได้

1 เทอรโ์ มกราฟ 2 เทอร์โมมเิ ตอรส์ งู สุด

3 เทอรโ์ มมเิ ตอรธ์ รรมดา 4 เทอร์โมมเิ ตอร์แบบซกิ ซ์

22. เคร่ืองมือชนิดใดกับชนดิ ใดท่สี ามารถนามารวมกันได้

1. ไฮโกรมิเตอร์กบั มาตรวัดลม 2 ไฮโกรมเิ ตอร์กับเคร่ืองวัดฝน

3 เทอรโ์ มมิเตอร์กับไฮโกรมิเตอร์ 4 เทอร์โมมเิ ตอร์กับไซโครมเิ ตอร์

23. ไซโครมเิ ตอรใ์ ชส้ าหรับวดั อะไร

1 ความเร็วลม 2 ความกดอากาศ

3 ความชืนในอากาศ 4 จุดนาคา้ งในอากาศ

24. เครอ่ื งมอื ใดท่ีอยู่ในขนั ตอนการรับสัญญาณข้อมูลของระบบการรบั รจู้ ากระยะไกล

1 แผนท่ี 2 คอมพิวเตอร์

3 เครอื่ งกราดภาพ 4 ภาพจากดาวเทียม

25. ฟลิ ม์ ชนิดใดที่นิยมนามาใช้บันทกึ ภาพทางอากาศเพื่อทาแผนทแี่ ละการรงั วัดพืนท่ี

1 ฟลิ ์มสีธรรมชาติ 2 ฟิล์มขาว–ดาธรรมดา

3 ฟลิ ์มออร์โทโครเมตกิ 4 ฟิล์มขาว–ดาอินฟราเรด

26. ดาวเทยี มธอี อสของประเทศไทยถกู ส่งขนึ สอู่ วกาศเพ่ือจุดประสงคใ์ ด

1 พยากรณ์อากาศ 2 สารวจทรพั ยากร

3 ตรวจสภาพการเกิดพายุ 4 วิเคราะหค์ วามเสียหายจากภัยธรรมชาติ

27. ขอ้ มลู ที่ใช้นาเข้าสรู่ ะบบสารสนเทศภมู ิศาสตร์ไมค่ วรมลี ักษณะอย่างไร

1 เชื่อถือได้ 2 มีราคาแพง 3 มีความถกู ต้อง 4 เปน็ ปจั จบุ ันมากท่ีสุด

28. ฮารด์ แวรห์ มายถึงองค์ประกอบใดของระบบสารสนเทศภมู ิศาสตร์

1 อปุ กรณ์คอมพิวเตอร์ 2 ขนั ตอนการดาเนินงาน

3 ชุดคาสง่ั หรอื โปรแกรม 4. ข้อมลู ภาพจากดาวเทยี ม

29. ขอ้ ใดกลา่ วถงึ ข้อมูลแบบเวกเตอรไ์ ดถ้ กู ตอ้ ง

1 เปน็ ข้อมลู ที่อยใู่ นเชงิ ตวั เลข 2 เป็นขอ้ มูลทีม่ ลี กั ษณะเปน็ จุดภาพ

3 เป็นข้อมูลที่เป็นจุด เสน้ และบริเวณ 4 เป็นขอ้ มูลที่ได้จากการรบั รู้จากระยะไกล

51

30. ในระบบกาหนดตาแหนง่ บนโลก ดาวเทยี มทาหนา้ ทีส่ ง่ สัญญาณอะไร

1 สญั ญาณภาพ 2 สัญญาณไฟฟา้ 3 สญั ญาณคลนื่ วิทยุ 4 สญั ญาณคล่ืนแม่เหลก็

31. ชนั ไซอลั ได้ช่ือเช่นนเี พราะมีอะไรเปน็ สว่ นประกอบ

1 ซลิ กิ าและอะลูมินา 2 ซลิ ิกาและแมกนีเซยี ม

3 แมกนเี ซยี มและอะลมู ินา 4 แมกนเี ซียมและแมงกานีส

32. ข้อใดเปน็ ขอ้ สันนิษฐานของนกั วิทยาศาสตร์ถงึ ลักษณะของหินในชนั เนือโลก

1 เปน็ หนิ ตา่ งชนิดกันทังชัน 2 เป็นหนิ ชนิดเดียวกันทังชัน

3 เป็นหนิ ทีม่ ีส่วนผสมของแร่เหล็ก 4 ไม่มขี ้อถกู

33. โครงสรา้ งส่วนใดของโลกที่มคี วามหนาแนน่ มากท่ีสุด

1 ชนั ไซมา 2 ชันเนอื โลก

3 ชันแก่นโลกชันใน 4 ชนั แกน่ โลกชนั นอก

34. ชนั มอฮอ หมายถึงชนั ใดของโครงสรา้ งโลก

1 ชันไซอัล 2 ชันเนือโลก

3 ชันทีม่ ีหินบะซอลต์ 4 ชนั ทีเ่ ป็นแนวกนั ชันไซมาและชนั เนือโลก

35. ความสมั พนั ธ์ในขอ้ ใดเปน็ ความสมั พันธท์ ี่ถูกต้อง

1 พนื ที่ที่อยู่ด้านหลังเทือกเขาจะมฝี นตกหนกั

2 พนื ที่ที่อยู่บนยอดเขามีอากาศอบอุ่นน่าอยู่อาศยั

3 พืนท่ีทะเลทรายมีมนุษย์มาตังถน่ิ ฐานจานวนมาก

4 พืนที่ท่ีเป็นทีร่ าบมกี ารเพาะปลูกพืชอยา่ งกว้างขวาง

36. เทือกเขาหิมาลยั มีลักษณะของสณั ฐานที่เกิดจากกระบวนการใด

1 การผพุ ังอยู่กบั ที่ 2 การเกิดรอยเลือ่ น

3 การปะทุของภูเขาไฟ 4 การคดโคง้ ของเปลือกโลก

37. หนา้ ผาท่มี ีโอกาสจะเกดิ การถลม่ ลงมาไดง้ ่ายมักเกิดจากรอยเล่ือนในทศิ ทางใด

1 รอยเลอื่ นย้อน 2 รอยเลื่อนปกติ

3 รอยเลอื่ นในแนวนอน 4 รอยเลือ่ นในแนวระดับ

38. ข้อใดคือลักษณะภมู ิประเทศท่เี กิดจากรอยเล่อื นในแนวด่งิ

1 แก่ง 2 เขาโดด 3 แอ่งกราเบิน 4. ภเู ขาหินโค้งรูปประทนุ

39. ข้อใดเป็นลักษณะการเกดิ ภูเขาไฟฟุจิ ในประเทศญีป่ ุ่น

1 เกดิ จากเถ้าถ่านเย็นตัวอยา่ งรวดเร็วกองทับกนั เปน็ ชนั สูงขึน

2 เกดิ จากหินหนืดท่ีออกมาจากปล่องมอี ตั ราการไหลท่ีเร็วมาก

3 เกดิ จากเถ้าถา่ นท่ีพ่นออกมาจากปากปล่องขยาย แผ่กว้างออกไปไกลมาก

4 เกดิ จากหนิ หนดื ทถ่ี ูกดันออกมาทางดา้ นขา้ ง ของปล่องมีความหนืดสูงไหลไปได้ไม่ไกล

40. กระบวนการปรบั ระดบั ผิวแผน่ ดินกระบวนการใดที่มีการกระทาของตน้ ไม้และแบคทเี รยี เข้ามาเก่ยี วข้อง

1 การกร่อน 2 การพัดพา

3 การทบั ถม 4 การผุพังอยู่กับท่ี

52

41. เพราะเหตุใดจึงมักพบถาหรือโพรงใตด้ นิ ในบริเวณทเ่ี ป็นหนิ ปนู

1 หนิ ปูนเกิดการผพุ งั ไปตามสภาพอายุหนิ

2 หินปนู เกิดการละลายโดยนาฝนและนาใตด้ ิน

3 หนิ ปูนถูกออกซิเจนในอากาศทาปฏกิ ริ ิยาจนผุพังลง

4 หินปูนถูกธารนาแข็งกดั เซาะจนลกั ษณะทางเคมีภายในเสือ่ มสภาพ

42. แม่นาในวัยใดที่มลี ักษณะภูมิประเทศที่เปน็ แกง่ หรอื นาตกเกิดขึนได้

1 วยั ชรา 2 วัยออ่ น

3 วยั หนุ่ม 4 เกิดได้ทุกวยั

43. ขอ้ ใดอธบิ ายถึงลักษณะภูมิประเทศในบรเิ วณแม่นาวยั ชราไดถ้ ูกตอ้ ง

1 มีหุบเขากวา้ งขวาง 2 มเี กาะแก่งและนาตก

3 มหี ุบเขาที่มหี นา้ ผาชนั รูปตวั วี 4 มีทะเลสาบรูปแอกบนท่รี าบนาทว่ มถงึ

44. บริเวณท่มี กี ารเปลี่ยนระดับทางนาจากหบุ เขาชนั ลงสู่ทีร่ าบจะมีลกั ษณะภมู ิประเทศเป็นอย่างไร

1 ท่ีราบนาท่วมถึง 2 ทะเลสาบรปู แอก

3 เนินตะกอนนาพารปู พัด 4 ดนิ ดอนสามเหลย่ี มปากแมน่ า

45. พืนที่ใดท่เี กดิ จากการกระทาของธารนาแขง็ จนเกดิ ยอดเขาแหลมรูปพีระมิดสูง

1 แอ่งไฟยุม 2 แอร์สรอ็ ก

3 แมตเตอร์ฮอร์น 4 คาบสมุทรแลบราดอร์

46. ท่งุ หญา้ ปัมปสั ในประเทศอารเ์ จนตินา มีลกั ษณะภมู ิประเทศเปน็ อย่างไร

1 ท่ีราบดินลมหอบ 2 แอง่ ในทะเลทราย

3 เขาโดดในทะเลทราย 4 เนินทรายหรอื สนั ทราย

47. ทารน์ เกดิ จากการกระทาของธารนาแข็งจนมีลักษณะเปน็ อย่างไร

1 เป็นสนั เขาหยกั และแหลม 2 เป็นแอง่ นาขงั คลา้ ยทะเลสาบ

3 เป็นแอ่งลกึ อยรู่ ะหวา่ งหุบเขา 4 เปน็ ยอดเขารูปพรี ะมิดทรงสงู

48. ทะเลสาบนาเค็ม เกดิ มาจากอะไร

1 พนื ที่กลางทรี่ าบชายฝัง่ ที่ยบุ จมลงไปในทะเล

2 สนั ดอนบรเิ วณปากอ่าวทับถมกนั จนปิดปากอ่าว

3 ทรี่ าบชายฝง่ั ทม่ี นี าทะเลท่วมถงึ และขงั อยภู่ ายในเปน็ เวลานาน

4 สนั ดอนท่ีเกิดขึนนอกชายฝั่งและเกดิ การทับถมจนถึงชายฝ่งั ทะเล

49. ช่วงเดอื นใดเป็นชว่ งทีแ่ ห้งแล้งที่สดุ ของทุ่งกุลารอ้ งไห้ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย

1 มนี าคม–เมษายน 2 กนั ยายน–ตลุ าคม

3 ธันวาคม–มกราคม 4 พฤษภาคม–มิถุนายน

50. ทะเลทรายใดท่ีไม่ไดร้ ับอิทธพิ ลจากลมค้า

1 ทะเลทรายธาร์ 2 ทะเลทรายโกบี

3 ทะเลทรายนามบิ 4 ทะเลทรายอาตากามา

53

51. เซเรยี ร์ เป็นชอ่ื เรียกทะเลทรายในประเทศอยี ปิ ต์และประเทศลเิ บียท่ีมลี กั ษณะอยา่ งไร

1 เปน็ ทะเลทรายทป่ี กคลมุ ด้วยเศษหนิ และกรวด

2 เป็นทะเลทรายที่มกี ารทับถมกนั ของเนนิ ทรายแบบต่าง ๆ

3 เปน็ ทะเลทรายที่มรี ่องธารและหบุ เหวขนาดใหญ่กวา้ งและลกึ

4 เปน็ ทะเลทรายที่เป็นภูเขาหรือท่ีราบสูงที่ถกู นาคา้ งแขง็ กดั กร่อน

52. กิจกรรมใดของมนุษย์ที่จะยง่ิ ทาให้เกดิ เหตุการณ์แผ่นดนิ ถลม่ มากยิ่งขนึ

1 การทาฝนเทยี ม 2 การทาไรเ่ ล่ือนลอย

3 การสรา้ งเขอื่ นกันนา 4 การเพาะเลยี งสตั วน์ า

53 อทุ กภยั ประเภทใดทจ่ี ะทาให้เกดิ โรคระบาดในพนื ที่ท่ีเกดิ มากทีส่ ุด

1 นาท่วมขัง 2 นาลน้ ตลงิ่

3 นาท่วมฉับพลนั 4 นาป่าไหลหลาก

54. ข้อใดเป็นวิธกี ารป้องกนั ความเสียหายจากอุทกภยั ทดี่ ีท่ีสุด

1 วง่ิ หนใี หเ้ รว็ ที่สดุ 2 อพยพไปอยใู่ นที่สูง

3 พายเรือออกจากฝง่ั ทนั ที 4 ตอ่ เตมิ อาคารให้แข็งแรง

55. ขอ้ ใดคือผลกระทบด้านสงั คมท่ีเกดิ ขนึ จากปัญหาภยั แล้ง

1 ทดี่ ินถูกทิงร้าง 2 สินคา้ มีราคาสูงขึน

3 ประชากรละทงิ ถิ่นฐาน 4 ผลผลติ ไม่เพียงพอต่อการบริโภค

56. ถา้ เกดิ แผ่นดินไหวอยา่ งรุนแรงในขณะท่นี ักเรยี นยนื อยู่กลางห้องโล่ง นกั เรียนจะปฏิบตั ติ นอย่างไร

1 วิ่งไปที่ประตูห้องให้เร็วท่ีสุด

2 ยืนอยู่กลางห้องไมต่ ้องขยับไปไหน

3 ยนื ชิดเสาบรเิ วณมุมห้องใหม้ ากที่สุด

4 ว่งิ ไปรอบ ๆ ห้องเพอื่ หลบสิง่ ที่จะพังลงมา

57. ตามมาตรการ 14 ขอ้ ในการป้องกนั ภัยจากคลนื่ สึนามิของกรมอุตนุ ิยมวทิ ยา ถา้ เราอยใู่ นเรอื ทจี่ อดอยูใ่ นทา่ เรือ

หรอื อ่าวรมิ ฝ่ังทะเล เราควรทาอยา่ งไรจงึ จะปลอดภัยท่สี ุด

1 ทิงเรือแลว้ ว่งิ หนีขึนฝงั่

2 รบี นาเรือออกจากฝ่ังทนั ที

3 ลากเรอื ขนึ ฝัง่ แลว้ หลบอยใู่ นเรอื

4 ไม่ต้องทาอะไรเพราะเรือจะเปน็ เกราะป้องกันใหเ้ ราได้

58. ในปจั จุบนั วิธีปอ้ งกันภัยจากภเู ขาไฟระเบดิ ที่ดีท่ีสุดทีส่ ามารถทาได้คือวิธใี ด

1 การจากดั เขตภูเขาไฟระเบดิ

2 การอพยพผคู้ นและทรัพยส์ ิน

3 การหาวิธปี ดิ ปากปล่องภูเขาไฟ

4 การใช้สารเคมดี บั ไฟจากเถ้าถา่ นลาวา

54

59. พายุหมนุ เขตร้อนจากแหลง่ กาเนิดที่อา่ วเบงกอลหรอื ทะเลอันดามนั จะเคล่อื นตัวเข้าสปู่ ระเทศไทยเฉพาะชว่ ง

เดอื นใดเท่านนั

1 มีนาคม 2 เมษายน

3 มิถนุ ายน 4 พฤษภาคม

60. ในวันท่ี 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2532 ท่ีอาเภอปะทิว จังหวัดชมุ พร ไดร้ ับความเสียหายอย่างมากจากพายหุ มนุ

เขตรอ้ นชนดิ ใดทีเ่ คล่ือนตัวเข้าสู่ประเทศไทย

1 พายุไต้ฝุ่น 2 พายุไซโคลน

3 พายุโซนร้อน 4 พายดุ เี ปรสชัน

เฉลย

1. 2 2. 2 3. 2 4. 3 5. 4 6. 1 7. 1 8. 2 9. 2 10. 4

11. 4 12. 3 13. 1 14. 1 15. 3 16. 1 17. 4 18. 4 19. 1 20. 3

21. 1 22. 3 23. 4 24. 3 25. 2 26. 2 27. 2 28. 1 29. 3 30. 3

31. 1 32. 2 33. 3 34. 4 35. 4 36. 4 37. 1 38. 3 39. 4 40. 4

41. 2 42. 2 43. 4 44. 3 45. 3 46. 1 47. 2 48. 2 49. 3 50. 2

51. 1 52. 2 53. 1 54. 2 55. 3 56. 3 57. 2 58. 2 59. 4 60. 1

55

ใบควำมรู้
เรอ่ื ง เครือ่ งมือและกำรใช้เครือ่ งมอื ในกำรศึกษำทำงภูมิศำสตร์

แผนทแ่ี ละเครือ่ งมือทำงภูมิศำสตร์
ควำมหมำยของแผนท่ี
พจนำนุกรมศัพท์ภูมิศำสตร์ ฉบับรำชบณั ฑติ ยสถำน ให้ควำมหมำยของแผนท่ไี ว้วำ่ “แผนท่ี คือ ส่ิงทแ่ี สดง
ลักษณะของพ้ืนผิวโลกทั้งท่ีมีอยตู่ ำมธรรมชำตแิ ละท่ีปรงุ แตง่ ขึ้น โดยแสดงลงในพื้นแบนรำบ ดว้ ยกำรย่อให้
เลก็ ลงตำมขนำดทต่ี ้องกำรและอำศัยเครอื่ งหมำยกับสัญลักษณ์ท่ีกำหนดขน้ึ ”
แผนท่ี หมำยถงึ กำรนำเอำรูปภำพสงิ่ ตำ่ งๆ บนพืน้ ผวิ โลก (Earth’ surface) มำยอ่ ส่วนให้เล็กลง แล้วนำมำ
เขียนลงกระดำษแผน่ รำบ สิ่งตำ่ งๆ บนพืน้ โลกประกอบไปด้วยสง่ิ ท่เี กิดข้นึ เองตำมธรรมชำติ (nature) และสิ่ง
ทม่ี นุษย์สรำ้ งขึ้น (manmade) สง่ิ เหล่ำนแ้ี สดงบนแผนที่โดยใชส้ ี เส้นหรือรปู ร่ำงตำ่ งๆ ที่เป็นสญั ลกั ษณ์แทน
กำรจำแนกชนิดของแผนท่ี
ปัจจุบนั กำรจำแนกชนดิ ของแผนที่ อำจจำแนกไดห้ ลำยแบบแล้วแตจ่ ะยึดถอื สิ่งใดเป็นหลักในกำรจำแนก เชน่
1. กำรจำแนกชนิดของแผนท่ีตำมลักษณะท่ีปรำกฏบนแผนที่ แบง่ ได้เป็น 3 ชนดิ คือ

1.1 แผนทล่ี ำยเส้น (Line Map) เป็นแผนที่แสดงรำยละเอียดในพ้นื ทด่ี ว้ ยเสน้ และองคป์ ระกอบของ
เส้น ซงึ่ อำจเป็นเส้นตรง เส้นโคง้ ทอ่ นเสน้ หรอื เสน้ ใดๆ ทปี่ ระกอบเป็นรปู แบบตำ่ งๆ เชน่ ถนนแสดงดว้ ยเส้น
คู่ขนำน อำคำรแสดงดว้ ยเสน้ ประกอบเปน็ รปู สีเ่ หลยี่ ม สัญลักษณท์ แ่ี สดงรำยละเอียดเป็นรปู ท่ีประกอบด้วย
ลำยเส้น แผนที่ ลำยเส้นยังหมำยรวมถงึ แผนทแ่ี บบแบนรำบและแผนที่ทรวดทรง ซ่ึงถ้ำรำยละเอยี ดทแ่ี สดง
ประกอบด้วยลำยเสน้ แล้วถือว่ำเป็นแผนทลี่ ำยเส้นท้ังสิน้
ตัวอย่างแผนทีล่ ายเส้น

1.2 แผนทภ่ี ำพถำ่ ย (Photo Map) เปน็ แผนท่ซี ่งึ มีรำยละเอียดในแผนทีท่ ไี่ ดจ้ ำกกำรถ่ำยภำพดว้ ย
กลอ้ งถ่ำยภำพ ซง่ึ อำจถำ่ ยภำพจำกเครื่องบนิ หรือดำวเทียม กำรผลติ แผนที่ทำด้วยวธิ ีกำรนำเอำภำพถ่ำยมำทำ
กำรดดั แก้ แลว้ นำมำตอ่ เป็นภำพแผ่นเดยี วกันในบรเิ วณทตี่ ้องกำร แล้วนำมำใสเ่ สน้ โครงพิกัด ใส่รำยละเอียด
ประจำขอบระวำง แผนท่ีภำพถ่ำยสำมำรถทำได้รวดเร็ว แตก่ ำรอำ่ นค่อนข้ำงยำกเพรำะต้องอำศยั เครอื่ งมอื
และควำมชำนำญ
ตัวอย่างแผนท่ีภาพถา่ ยดาวเทียม ภาพถ่ายทางอากาศ

1.3 แผนท่ีแบบผสม (Annotated Map) เป็นแบบทผี่ สมระหวำ่ งแผนท่ลี ำยเส้นกบั แผนทภี่ ำพถำ่ ย
โดยรำยละเอียดท่ีเป็นพื้นฐำนสว่ นใหญ่จะเปน็ รำยละเอยี ดทไ่ี ด้จำกกำรถ่ำยภำพ ส่วนรำยละเอียดท่ีสำคญั ๆ
เชน่ แม่นำ้ ลำคลอง ถนนหรือเส้นทำง รวมทั้งอำคำรทีต่ อ้ งกำรเน้นให้เหน็ เดน่ ชดั กแ็ สดงด้วยลำยเสน้ พิมพ์
แยกสใี ห้เหน็ เด่นชดั ปัจจุบันนิยมใช้มำก เพรำะสะดวกและง่ำยแก่กำรอ่ำน มีท้ังแบบแบนรำบ และแบบพิมพ์
นูน ส่วนใหญม่ ีสมี ำกกวำ่ สองสีขึน้ ไป

56

ตวั อย่างแผนทแี่ บบผสม

ตวั อย่างแผนท่ี
2. กำรจำแนกชนิดของแผนทีต่ ำมขนำดของมำตรำสว่ น ประเทศต่ำง ๆ อำจแบ่งชนิดของแผนที่ตำมขนำด
มำตรำสว่ นไม่เหมอื นกนั ทกี่ ล่ำวตอ่ ไปน้ีเป็นกำรแบ่งแผนทีต่ ำมขนำดมำตรำส่วนแบบหนง่ึ เทำ่ น้นั

2.1 แบง่ มำตรำส่วนสำหรบั นกั ภมู ศิ ำสตร์
2.1.1 แผนทมี่ ำตรำสว่ นเล็ก ไดแ้ ก่ แผนท่ีมำตรำสว่ นเลก็ วำ่ 1:1,000,000
2.1.2 แผนทมี่ ำตรำสว่ นกลำง ไดแ้ ก่ แผนทีม่ ำตรำสว่ นต้งั แต่ 1:250,000 ถงึ 1:1,000,000
2.1.3 แผนท่ีมำตรำส่วนใหญ่ ได้แก่ แผนทมี่ ำตรำสว่ นใหญ่กว่ำ 1:250,000

2.2 แบ่งมำตรำสว่ นสำหรับนกั กำรทหำร
2.2.1 แผนทม่ี ำตรำส่วนเล็ก ได้แก่ แผนทีม่ ำตรำส่วน 1:600,000 และเล็กกว่ำ
2.2.2 แผนทม่ี ำตรำส่วนกลำง ไดแ้ ก่ แผนท่มี ำตรำสว่ นใหญ่กว่ำ 1:600,000 แต่เล็กกวำ่

1:75,000
2.2.3 แผนที่มำตรำส่วนใหญ่ ไดแ้ ก่ แผนที่มำตรำสว่ นต้งั แต่ 1:75,000 และใหญ่กว่ำ

3. กำรจำแนกชนดิ แผนท่ตี ำมลักษณะกำรใช้งำนและชนิดของรำยละเอียดท่แี สดงไวใ้ นแผนที่
3.1 แผนทท่ี ั่วไป (General Map) เป็นแผนท่พี ้นื ฐำนที่ใชอ้ ยู่ทั่วไปหรือทีเ่ รยี กวำ่ Base map

3.1.1 แผนทแี่ สดงแบนรำบ (Planimetric Map) เปน็ แผนทแ่ี สดงรำยละเอยี ดทปี่ รำกฏบนผวิ
โลกเฉพำะสัณฐำนทำงรำบเท่ำน้ัน

57

ตวั อย่างแผนทแี่ บนราบ
3.1.2 แผนทีภ่ มู ปิ ระเทศ (Topographic Map) เป็นแผนทีแ่ สดงรำยละเอียดทั้งทำงแนวรำบและแนวดิ่ง หรอื
อำจแสดงใหเ้ หน็ เป็น 3 มติ ิ

ตัวอย่างแผนท่ภี ูมปิ ระเทศ
3.2 แผนท่พี ิเศษ (Special Map or Thematic Map) สรำ้ งข้นึ บนแผนทพี่ ื้นฐำน เพ่ือใชใ้ นกิจกำรเฉพำะอย่ำง
4. กำรจำแนกตำมมำตรฐำนของสมำคมคำร์โตกร๊ำฟฟ่ีระหว่ำงประเทศ (ICA) สมำคมคำรโ์ ตกรำ๊ ฟฟรี่ ะหว่ำง
ประเทศ ไดจ้ ำแนกชนิดแผนท่ีออกเป็น 3 ชนดิ

4.1 แผนทภ่ี ูมปิ ระเทศ (Topographic map) รวมท้งั ผังเมืองและแผนท่ภี มู ศิ ำสตร์ เป็นแผนที่ที่ให้
รำยละเอียด โดยทั่วๆ ไป ของภมู ปิ ระเทศ โดยสร้ำงเปน็ แผนที่ภมู ปิ ระเทศ มำตรำสว่ นขนำดเลก็ กลำง และ
ขนำดใหญ่ และไดข้ อ้ มูลมำจำกภำพถำ่ ยทำงอำกำศ และภำพถำ่ ยดำวเทยี ม แผนท่ีมำตรำสว่ นเล็กบำงที
เรียกว่ำเป็นแผนทีภ่ ูมศิ ำสตร์ (Geographical map) แผนทท่ี วั่ ไป (General map) และแผนที่มำตรำสว่ นเลก็
มำกๆ ก็อำจอย่ใู นรปู ของแผนทีเ่ ลม่ (Atlas map)
4.2 ชำร์ตและแผนทีเ่ ส้นทำง (Charts and road map) เป็นแผนทท่ี ่สี รำ้ งข้นึ เปน็ เครอ่ื งมือประกอบกำร
เดินทำง โดยปกติจะเปน็ แผนทม่ี ำตรำส่วนกลำง หรอื มำตรำสว่ นเล็ก และแสดงเฉพำะส่ิงที่เป็นท่ีนำ่ สนใจของ
ผ้ใู ช้ เชน่ ชำร์ตเดินเรอื ชำรต์ ด้ำนอุทกศำสตร์ เป็นตน้

58

ตวั อย่างแผนท่เี ส้นทาง

4.3 แผนทพี่ เิ ศษ (Thematic and special map) ปจั จุบันมคี วำมสำคญั มำกขึน้ เพรำะสำมำรถใช้ประกอบกำร
ทำวจิ ยั เชิงวิทยำศำสตร์ กำรวำงแผนและใช้ในงำนด้ำนวศิ วกรรม แผนท่ชี นดิ นีจ้ ะแสดงขอ้ มูลเฉพำะเรอ่ื งลงไป
เช่น แผนที่ดิน แผนท่ปี ระชำกร แผนท่ีพชื พรรณธรรมชำติ แผนท่ธี รณีวทิ ยำ เปน็ ตน้

ตัวอย่ำงแผนท่ีพิเศษ

องค์ประกอบของแผนท่ี
องคป์ ระกอบของแผนท่ีท่ีจะกลำ่ วต่อไปนี้ หมำยถึงส่งิ ต่ำง ๆ ที่ปรำกฏอยู่บนแผ่นแผนท่ี ซ่งึ ผู้ผลิตแผนทจี่ ดั
แสดงไว้ โดยมีควำมม่งุ หมำยทจ่ี ะให้ผใู้ ชแ้ ผนทไ่ี ดท้ รำบข่ำวสำรและรำยละเอียดอย่ำงเพยี งพอสำหรบั กำรใช้
แผนทนี่ น้ั แผนทีท่ ่จี ดั ทำขึ้นก็เพ่อื แสดงพื้นที่ใดพ้ืนทหี่ นึ่งซึ่งเรียกวำ่ “ระวำง” (Sheet) และในแผนทีแ่ ต่ละ
ระวำงจะพิมพ์ออกมำเป็นกี่แผ่น (Copies) กไ็ ด้ วัสดุที่ใช้ พิมพแ์ ผนท่ีควรมลี ักษณะสำคัญ คือ ยดื หรือหดน้อย
ทีส่ ดุ เมอื่ สภำวะอำกำศเปลยี่ นแปลง องคป์ ระกอบแผนที่แตล่ ะ ระวำง ประกอบดว้ ย 3 สว่ นใหญ่ ๆ คือ
1. เส้นขอบระวำง ตำมปกติรูปแบบของแผนที่ท่ัวไปจะเป็นรปู สเี่ หลย่ี มจตรุ ัสหรือสเ่ี หล่ียมผนื ผ้ำ หำ่ งจำกรมิ ท้ัง
ส่ดี ำ้ นของแผนท่เี ข้ำไปจะมีเสน้ กน้ั ขอบเขตเป็นรูปสเ่ี หล่ยี ม ซ่ึงเรยี กว่ำเส้นขอบระวำงแผนท่ี ( Border ) เส้น
ขอบระวำงแผนท่ีบำงแบบ ประกอบด้วยขอบสองช้นั เพื่อใหเ้ กิดควำมสวยงำม สำหรับแผนทภี่ ูมปิ ระเทศ
โดยท่วั ไป เส้นขอบระวำงมเี พียงดำ้ นละเส้นเดียว บำงชนดิ มีเส้นขอบระวำงเพียงสองด้ำนเทำ่ น้ัน ทีเ่ ส้นขอบ
ระวำงแต่ละด้ำนจะมีตวั เลขบอกค่ำพกิ ัด และค่ำพกิ ดั ภูมิศำสตร์ (ค่ำของละตจิ ดู และลองติจูด) หรืออย่ำงใด
อย่ำงหนึง่ ดงั น้นั ในแผนทีแ่ ผ่นหนงึ่ เส้นขอบระวำงแผนที่จะกน้ั พ้ืนที่ บนแผ่นแผนทีอ่ อกเป็นสองสว่ นด้วยกนั
คอื พื้นท่ภี ำยในขอบระวำงแผนท่ี และพน้ื ทน่ี อกขอบระวำงแผนที่
2. องคป์ ระกอบภำยในขอบระวำง หมำยถงึ ส่ิงทั้งหลำยท่ีแสดงไวภ้ ำยในกรอบ ซึ่งล้อมรอบด้วยเส้นขอบ
ระวำงแผนที่ ตำมปกติแลว้ จะประกอบดว้ ยสิ่งต่ำง ๆ ต่อไปน้ี คือ
- สัญลกั ษณ์ ( Symbol) ได้แก่ เคร่ืองหมำยหรือส่ิงซ่งึ คดิ ขนึ้ ใช้แทนรำยละเอียดท่ปี รำกฏอยบู่ นพื้นผิวภมู ิ
ประเทศ หรอื ใหแ้ ทนขอ้ มูลอ่ืนใดท่ตี อ้ งกำรแสดงไวใ้ นแผนทีน่ ้ัน

59

- สี ( Color) สที ใ่ี ช้ในบริเวณขอบระวำงแผนท่จี ะเป็นสีของสัญลกั ษณ์ท่ใี ชแ้ ทนรำยละเอยี ดหรือข้อมูลต่ำง ๆ
ของแผนที่
- ช่อื ภมู ศิ าสตร์ ( Geographical Names) เปน็ ตวั อักษรกำกับรำยละเอียดต่ำง ๆ ท่แี สดงไว้ภำยในขอบระวำง
แผนที่ เพื่อบอกใหท้ รำบว่ำสถำนทน่ี ั้นหรือสง่ิ น้ันมชี ื่อเรียกอะไร
- ระบบอา้ งองิ ในการกาหนดตาแหน่ง ( Position Reference Systems) ไดแ้ ก่ เส้นหรอื ตำรำงท่ีแสดงไวใ้ น
ขอบระวำงแผนที่ เพ่ือใช้ในกำรกำหนดคำ่ พิกัดของตำแหน่งตำ่ งๆ ในแผนที่นั้น ระบบอ้ำงอิงในกำรกำหนด
ตำแหน่งมหี ลำยชนดิ ทน่ี ยิ มใช้ในแผนทที่ ว่ั ไปมี 2 ชนิด คือ
- พิกดั ภมู ิศาสตร์ (Geographic Coordinates) ไดแ้ ก่ เสน้ ขนำนและเส้นเมอริเดียนทบี่ อกคำ่ ละติจดู และลองติ
จดู อำจแสดงไว้เปน็ เส้นยำวจรดขอบระวำงแผนที่ หรอื อำจแสดงเฉพำะสว่ นที่ตัดกันเปน็ กำกบำท (graticul)
อยำ่ งเชน่ แผนท่ีมำตรำส่วน 1:50,000 หรอื อำจแสดงเปน็ เสน้ สั้นๆ เฉพำะทข่ี อบ
- พกิ ัดกรดิ (Rectangular Coordinates) ไดแ้ ก่ เส้นขนำนสองชุดที่มีระยะห่ำงเท่ำๆ กัน ตัดกนั เปน็ รูป
ส่เี หล่ียมมุมฉำก เส้นตรงขนำนทงั้ สองชดุ ดงั กล่ำวอำจแสดงไว้เปน็ แนวเสน้ ตรงยำวจรดขอบระวำง หรอื อำจ
แสดงเฉพำะส่วนทต่ี ัดกันกไ็ ด้แล้วแตค่ วำมเหมำะสม
3. องคป์ ระกอบภำยนอกขอบระวำง หมำยถึง พนื้ ท่ีต้งั แต่เสน้ ขอบระวำงไปถึงริมแผ่นแผนทีท่ ้ังสด่ี ำ้ น บรเิ วณ
พ้นื ที่ดังกลำ่ วผผู้ ลติ แผนทจี่ ะแสดงรำยละเอียดอนั เปน็ ขำ่ วสำรหรือขอ้ มลู ท่ีผ้ใู ชแ้ ผนท่ีควรทรำบ และใชแ้ ผนท่ี
นน้ั ไดอ้ ย่ำงถูกตอ้ งตรงตำมควำมมุ่งหมำยของผู้ผลติ แผนที่ รำยละเอียดนอกขอบระวำงจะมีอะไรบำ้ งขน้ึ อยกู่ ับ
ชนดิ ของแผนที่
กำรหำระยะบนแผนท่ี
ก่อนอนื่ ต้องทำควำมเข้ำใจกอ่ นวำ่ ระยะบนแผนท่ี คอื ระยะรำบ (Horizontal Distance) เพรำะแผนทคี่ อื กำร
ฉำย (Project) รำยละเอยี ดภมู ปิ ระเทศจริงลงบนพน้ื ระนำบหรือพ้นื รำบ ฉะนน้ั แผนท่ีจะมีมำตรำส่วนเดยี วกัน
หมดทั้งระวำง กำรหำระยะทำงบนแผนทีจ่ ึงสำมำรถกระทำได้ 2 วธิ ีคอื
1. กำรหำระยะโดยอำศยั มำตรำส่วนของแผนที่ เชน่ เรำวัดระยะบนแผนทีม่ ำตรำส่วน 1: 50,000 ได้ 3
เซนตเิ มตร เพรำะฉะนนั้ ระยะรำบในภมู ิประเทศจรงิ คือ 3 X 50000 = 150,000 ซ.ม. หรือ 1,500 เมตร หรือ
1.5 ก.ม.
2. กำรหำระยะโดยอำศยั มำตรำสว่ นแบบบรรทัด
2.1 ให้กระทำโดยนำขอบบรรทดั หรือขอบกระดำษเรียบๆ วำงทำบใหผ้ ่ำนจดุ สองจดุ ที่ต้องกำรหำระยะทำงบน
แผนทแ่ี ลว้ ทำเครอื่ งหมำยไว้ทีข่ อบกระดำษแสดงตำแหน่งของจดุ ท้งั สอง
2.2 นำขอบกระดำษไปวำงทำบทีม่ ำตรำส่วนเส้นบรรทัด อนั มีหน่วยวัดระยะตำมต้องกำรแล้วอ่ำนระยะบน
มำตรำสว่ นเส้นบรรทัด ระยะที่ได้จะเป็นระยะรำบในภูมปิ ระเทศจรงิ
สูตรกำรหำระยะทำง

Scale  MD
GD

MD = ระยะทำงบนแผนท่ี (Map Distance)
GD = ระยะทำงในภูมิประเทศจรงิ (Ground distance)

60

ตัวอย่ำง สมมตุ ิวำ่ แผนที่มำตรำสว่ น 1: 50,000 วัดระยะระหวำ่ งจุด ก. ถงึ จุด ข. ได้ 3.5 เซนตเิ มตร จงหำ
ระยะทำงในภูมิประเทศจำกสูตร

1  3.5
50000 GD

GD  500003.5 175000Cm

 175000  1.75Km
100000

ตอบ นนั่ คอื ระยะในแผนที่ 3.5 เซนติเมตร แทนระยะทำงในภูมปิ ระเทศจรงิ 1.75 กโิ ลเมตร
การอา่ นและแปลความในแผนท่ี
กำรอำ่ นและแปลควำมหมำยของแผนท่ีใหเ้ ข้ำใจ จำเปน็ ต้องรู้ข้อมลู เบือ้ งตน้ ท่เี ปน็ องคป์ ระกอบของแผนท่ี
และทำควำมเข้ำใจใหถ้ ูกต้องเสียกอ่ น เพอื่ ท่จี ะแปลควำมหมำยและใชป้ ระโยชน์จำกแผนท่ไี ดอ้ ย่ำงสมบรู ณ์
โดยเฉพำะแผนทีภ่ ูมิประเทศแบบลำยเสน้ ซ่งึ เป็นแผนท่ีพ้ืนฐำนท่ีใช้อยแู่ พร่หลำยในโลก
ปจั จบุ ันนักวิชำกำรไดค้ ิดหำระบบและสัญญลกั ษณ์ทีเ่ ป็นสำกล ในกำรกำหนดตำแหน่ง เชน่ พกิ ัดภมู ิศำสตร์
(Geographic Coordinates) เปน็ ระบบอำ้ งองิ บนผิวพภิ พ ตำแหน่งของจุดใดๆ บนพื้นผิวพภิ พสำมำรถ
กำหนดด้วยคำ่ ละติจูด (Latitude) หรือทเี่ รยี กว่ำ เสน้ ขนำน และเสน้ ลองจิจดู (Longitude) หรือท่เี รียกว่ำ เส้น
เมอรเิ ดียน
แผนท่แี สดงลักษณะภูมปิ ระเทศ นอกจำกแสดงให้ทรำบถึงตำแหน่งท่ีตั้ง ระยะทำง และทิศทำง ส่ิงสำคญั ของ
แผนที่ชนิดน้ีคือ แสดงควำมสงู ตำ่ และทรวดทรงแบบต่ำงๆ ของภมู ิประเทศ กำรแสดงลกั ษณะภูมิประเทศบน
แผนที่ มหี ลำยวิธี เช่น
1. แถบสี ใชแ้ ถบสีแสดงควำมสงู ตำ่ ของภูมปิ ระเทศที่แตกตำ่ งกัน เช่น สเี ขียวแสดงพ้ืนท่ีรำบ สีเหลืองจนถงึ สี
สม้ แสดงบรเิ วณทเี่ ป็นท่สี ูง สีนำ้ ตำลเป็นบริเวณทเ่ี ปน็ ภูเขำ
2. เงำ กำรเขียนเงำนน้ั ตำมธรรมดำนัน้ จะเขียนในลักษณะทีม่ ีแสงสอ่ งมำจำกทำงด้ำนหนึ่ง ถำ้ เปน็ ทส่ี ูงชนั
ลกั ษณะเงำจะเข้ม ถำ้ เป็นทีล่ ำดเงำจะบำง วิธีเขียนเงำจะทำใหจ้ ินตนำกำรถงึ ควำมสูงตำ่ ไดง้ ำ่ ยข้ึน
3. เส้นลำดเขำ เปน็ กำรเขยี นลำยเสน้ เพือ่ แสดงควำมสูงตำ่ ของภูมิประเทศ ลักษณะเส้นจะเปน็ เสน้ สัน้ ๆ ลำก
ขนำนกนั ควำมหนำและชว่ งห่ำงของเส้นมคี วำมหมำยต่อกำรแสดงพ้นื ท่ี คอื ถำ้ เส้นหนำเรยี งค่อนขำ้ งชิด
แสดงภมู ิประเทศที่สูงชนั ถำ้ หำ่ งกนั แสดงวำ่ เป็นท่ีลำด
4. แผนที่ภำพนูน แผนทช่ี นดิ นถี้ ้ำใช้ประกอบกบั แถบสี จะทำให้เหน็ ลกั ษณะภูมปิ ระเทศได้ชดั เจนยงิ่ ข้ึน
5. เส้นช้ันควำมสงู คือเสน้ สมมตุ ิทลี่ ำกไปตำมพ้นื ผิวโลกทคี่ วำมสูงจำกระดบั น้ำทะเลปำนกลำง เท่ำกนั เส้นช้ัน
ควำมสงู แต่ละเส้นจึงแสดงลักษณะและรูปตำ่ งของพ้ืนที่ ณ ระดบั ควำมสูงหน่งึ เทำ่ น้ัน
ประโยชน์ของแผนที่
1. ดำ้ นกำรเมืองกำรปกครอง เพอ่ื รกั ษำควำมมั่นคงของประเทศชำติ ให้คงอยู่ จำเปน็ จะตอ้ งมคี วำมรใู้ นเร่ือง
ภมู ศิ ำสตร์กำรเมือง หรือทีเ่ รียกกันวำ่ "ภมู ริ ัฐศำสตร์" และเครื่องมือทส่ี ำคัญของนักภูมริ ัฐศำสตร์ กค็ อื แผนท่ี
เพ่อื ใชศ้ ึกษำสภำพทำงภูมศิ ำสตรแ์ ละนำมำวำงแผนดำเนินกำรเตรยี มรับหรือแก้ไขสถำนกำรณท์ ีเ่ กดิ ขนึ้ ได้
อยำ่ งเชน่ แนวพรมแดนระหวำ่ งประเทศ จำเปน็ ต้องอำศัยแผนที่ในกำรวำงแผนดำเนินกำร เตรียมรับหรอื
แก้ไขสถำนกำรณท์ ่อี ำจเกิดข้นึ อยำ่ งถกู ต้อง แผนท่ีในกจิ กรรมทำงกำรเมืองนอกจำกแผนท่แี นวเขตแดนซึง่
สำคญั แลว้ ยงั ตอ้ งเก่ียวข้องกบั แผนท่ตี ่ำง ๆ มำกมำย

61

2. ด้ำนกำรทหำร ในกำรพิจำรณำวำงแผนทำงยทุ ธศำสตร์ของทหำร จำเปน็ ตอ้ ง หำข้อมลู หรือขำ่ วสำรท่ี
เก่ยี วกบั สภำพภมู ิศำสตร์ และตำแหนง่ ทำงส่ิงแวดล้อมที่ถกู ต้องแน่นอนเกย่ี วกบั ระยะทำง ควำมสงู เสน้ ทำง
ลกั ษณะภมู ิประเทศท่ีสำคัญ
3. ดำ้ นเศรษฐกิจและสงั คม ด้ำนเศรษฐกจิ เปน็ เครื่องบ่งชค้ี วำมเป็นอยู่ ของประชำชนภำยในชำติ เพรำะฉะนนั้
ทกุ ประเทศก็มุ่งทจี่ ะพัฒนำเศรษฐกจิ ของตนเพอื่ ควำมมัง่ คัง่ และม่นั คง กำรดำเนินงำนเพอ่ื พัฒนำ เศรษฐกิจ
ของแต่ละภูมภิ ำคทผี่ ่ำนมำ แผนท่ี เป็นสงิ่ แรกท่ตี ้องผลิตข้ึนมำเพือ่ กำรใชง้ ำนในกำรวำงแผนพฒั นำเศรษฐกจิ
และสังคมแห่งชำติ ก็ต้องอำศยั แผนที่เป็นขอ้ มูลพ้ืนฐำนเพอ่ื ใหท้ รำบ ทำเลทต่ี ้ัง สภำพทำงกำยภำพแหล่ง
ทรัพยำกร และ แผนท่ียังช่วยใหเ้ ข้ำใจเกี่ยวกับภำพรวมและควำมสัมพนั ธร์ ะหวำ่ งพน้ื ทไี่ ด้มำกข้ึน ทำให้
วำงแผนและพัฒนำเป็นไปไดอ้ ย่ำงสะดวกและมีประสทิ ธภิ ำพ
4. ดำ้ นสงั คม สภำพแวดล้อมทำงสังคมมกี ำรเปล่ยี นแปลงอย่เู สมอ ทเี่ ห็นชดั คือสภำพแวดล้อมทำงภมู ิศำสตร์
ซงึ่ ทำให้สภำพแวดลอ้ มทำงสังคมเปล่ียนแปลงไปกำรศกึ ษำสภำพกำรเปล่ยี นแปลงต้องอำศัยแผนทีเ่ ปน็ สำคญั
และอำจชว่ ยใหก้ ำรดำเนนิ กำรวำงแผนพัฒนำสังคมเป็นไปในแนวทำงทีถ่ ูกต้อง
5. ด้ำนกำรเรียนกำรสอน แผนท่ีเป็นตวั ส่งเสริมกระตุ้นควำมสนใจ และกอ่ ใหเ้ กดิ ควำมเขำ้ ใจในบทเรยี นดีข้ึน
ใชเ้ ปน็ แหลง่ ข้อมลู ท้ังทำงดำ้ นกำยภำพ ภูมภิ ำค วฒั นธรรม เศรษฐกจิ สถิติและกำรกระจำยของส่งิ ตำ่ ง ๆ
รวมทั้งปรำกฏกำรณ์ทำงธรรมชำติ และปรำกฏกำรณ์ต่ำง ๆใช้เป็นเคร่ืองช่วยแสดงภำพรวมของพื้นท่ีหรือของ
ภมู ิภำค อันจะนำไปศกึ ษำสถำนกำรณ์และวเิ ครำะห์ควำมแตกตำ่ ง หรอื ควำมสมั พันธ์ของพื้นที่
6. ดำ้ นสง่ เสริมกำรท่องเที่ยว แผนท่ีมีควำมจำเปน็ ต่อนักทอ่ งเท่ียวในอันทจ่ี ะทำใหร้ ้จู ักสถำนท่ที ่องเท่ยี วไดง้ ่ำย
สะดวกในกำรวำงแผนกำรเดินทำง หรอื เลือกสถำนที่ทอ่ งเทย่ี วตำมควำมเหมำะสม
ระบบสำรสนเทศภมู ิศำสตร์
ความหมายของ Remote Sensing
ในอดตี ที่ผำ่ นมำเทคโนโลยีภำพถ่ำยทำงอำกำศ (Aerial Photograph) และทำงภำพถำ่ ยดำวเทียม (Satellite
Imagery) เปน็ คำทใ่ี ชแ้ ยกจำกกนั ต่อมำได้มีกำรกำหนดศัพทใ์ หร้ วมใช้เรียกคำท้ังสองรวมกัน ตลอดจนถงึ
เทคโนโลยตี ำ่ งๆ ทเ่ี กีย่ วกบั ข้อมลู ซึ่งได้จำกตัวรับสญั ญำณระยะไกลท่เี รียกว่ำ Remote Sensing
คำวำ่ รีโมทเซนซ่ิง (Remote Sensing) เปน็ ประโยคทปี่ ระกอบข้นึ มำจำกกำรรวม 2 คำ ซ่งึ แยกออกไดด้ ังน้ี
คือ Remote = ระยะไกล และ Sensing = กำรรบั รู้ จำกกำรรวมคำ 2 คำเขำ้ ด้วยกัน คำวำ่ "Remote
Sensing" จึงหมำยถึง "กำรรับรู้จำกระยะไกล" โดยนยิ ำมควำมหมำยนไี้ ด้กล่ำวไว้ว่ำ “เปน็ กำรสำรวจ
ตรวจสอบคณุ สมบตั ิส่ิงใดๆ กต็ ำม โดยท่ีมไิ ด้สัมผัสกับส่ิงเหล่ำนนั้ เลย”
ดงั น้ันคำว่ำ "Remote Sensing" จึงมคี วำมหมำยทีน่ ิยมเรียกอย่ำงหน่ึงว่ำ กำรสำรวจจำกระยะไกล โดย
ควำมหมำยรวม รีโมทเซนซิ่ง จึงจัดเปน็ วิทยำศำสตร์ และศิลปะกำรได้มำซ่ึงข้อมูลเกี่ยวกบั วตั ถุ พืน้ ที่ หรือ
ปรำกฏกำรณ์จำกเครอ่ื งมอื บันทึกขอ้ มูล โดยปรำศจำกกำรเขำ้ ไปสมั ผสั วัตถเุ ปำ้ หมำย ทั้งน้ี อำศัยคณุ สมบตั ิ
ของคลนื่ แม่เหล็กไฟฟ้ำเป็นส่ือในกำรได้มำของข้อมูลใน 3 ลกั ษณะ คอื
- คลน่ื รังสี (Spectral)
- รูปทรงสัณฐำนของวัตถุบนพืน้ ผวิ โลก (Spatial)
- กำรเปลยี่ นแปลงตำมช่วงเวลำ (Temporal)

62

ปจั จุบนั ข้อมูลด้ำนนไ้ี ดน้ ำมำใชใ้ นกำรศกึ ษำและวิจยั อยำ่ งแพร่หลำย เพรำะใหผ้ ลประโยชน์หลำยประกำร อำทิ
เช่น ประหยดั เวลำ ค่ำใช้จ่ำยในกำรสำรวจ เก็บข้อมลู ควำมถูกต้อง และรวดเร็วทันต่อเหตกุ ำรณ์
อยำ่ งไรกต็ ำม กำรรบั รจู้ ำกระยะไกลกไ็ ด้รับกำรพัฒนำให้ก้ำวหน้ำโดยมีกำรประดิษฐ์ คดิ ค้นเครือ่ งมอื รบั
สญั ญำณทมี่ ีประสิทธิภำพสูง เทคนิคทน่ี ำมำใช้ในกำรแปลตีควำม ก็ได้รบั กำรพัฒนำควบค่กู นั ไปให้มีควำม
ถูกต้อง แม่นยำ และรวดเร็วยิ่งขนึ้ จึงปรำกฏว่ำมกี ำรนำข้อมูลทั้งภำพถ่ำยทำงอำกำศ และ ภำพถำ่ ยดำวเทียม
มำใช้ประโยชน์เพื่อสำรวจหำข้อมลู และทำแผนที่เกี่ยวกับทรัพยำกรธรรมชำตกิ ันอย่ำงกว้ำงขวำงในปจั จุบัน
องคป์ ระกอบของการสารวจระยะไกล

องคป์ ระกอบของกำรสำรวจระยะไกล ประกอบดว้ ย
- แหลง่ กำเนิดพลงั งำน (Source of Energy)
- วัตถแุ ละปรำกฏกำรณต์ ำ่ งๆ บนพนื้ ผิวโลก (Earth Surface Features)
- เคร่ืองมอื หรืออุปกรณใ์ นกำรบนั ทึกขอ้ มลู (Sensor)
หลกั กำรสำรวจข้อมูลระยะไกล
กำรสำรวจจำกระยะไกล ( Remote sensing) เป็นวทิ ยำศำสตร์และเทคโนโลยแี ขนงหนึง่ ทใี่ ชใ้ นกำร บ่งบอก
จำแนก หรอื วิเครำะห์คณุ ลักษณะของวัตถุตำ่ ง ๆ โดยปรำศจำกกำรสัมผัสโดยตรง
Remote sensing เปน็ ศพั ทเ์ ทคนคิ ท่ีใชเ้ ป็นครง้ั แรกในประเทศสหรฐั อเมรกิ ำ ในปี พ.ศ. 2503 ซงึ่ มี
ควำมหมำยรวมถึง กำรทำแผนท่ี กำรแปลภำพถำ่ ย ธรณวี ทิ ยำเชิงภำพถำ่ ย ฯลฯ
กำรใชค้ ำรโี มตเซนซิงเรม่ิ แพร่หลำยนับตง้ั แต่ไดม้ กี ำรส่งดำวเทยี ม LANDSAT-1 ซง่ึ เป็นดำวเทียมสำรวจ
ทรพั ยำกรธรรมชำตดิ วงแรกขนึ้ ในปี พ.ศ.2515 พลงั งำนแมเ่ หลก็ ไฟฟ้ำทสี่ ะท้อน หรอื แผ่ออกจำกวัตถุ เปน็ ต้น
กำเนดิ ของข้อมูลทส่ี ำรวจจำกระยะไกล
นอกจำกนต้ี วั กลำงอืน่ ๆ เช่น ควำมโน้มถ่วง หรือสนำมแม่เหล็ก ก็อำจนำมำใช้ในกำรสำรวจจำกระยะไกลได้
เชน่ กัน เรำสำมำรถหำคณุ ลกั ษณะของวัตถไุ ด้ จำกลกั ษณะกำรสะท้อนหรือกำรแผพ่ ลังงำนแมเ่ หลก็ ไฟฟ้ำ จำก
วตั ถุนน้ั ๆน้นั คือวตั ถุแตล่ ะชนิดจะมลี กั ษณะกำรสะท้อนแสงหรอื กำรแผร่ ังสีทเี่ ฉพำะตัวและแตกตำ่ งกันไป ถ้ำ
วัตถหุ รอื สภำพแวดล้อมเป็นคนละประเภทกนั กำรสำรวจจำกระยะไกลจงึ เป็นเทคโนโลยีทใี่ ช้ในกำรจำแนก
และเขำ้ ใจวัตถุ หรือสภำพแวดล้อมต่ำงๆ จำกลักษณะเฉพำะตวั ในกำรสะท้อนแสงหรือแผ่รงั สี

63

เคร่ืองมอื ที่ใช้วัดค่ำพลังงำนแมเ่ หลก็ ไฟฟ้ำท่ีสะท้อนหรอื แผอ่ อกจำกวัตถุ เรียกวำ่ เครอ่ื งวดั จำกระยะไกล
(Remote sensor) หรอื เครอื่ งวดั (sensor) ตวั อย่ำง เช่น กลอ้ งถ่ำยรูป หรือ เคร่ืองกวำดภำพ (scanner)
สำหรบั ยำนพำหนะท่ีใชต้ ิดต้ังเครอื่ งวัด เรียกว่ำ ยำนสำรวจ (platform) ได้แก่ เคร่อื งบิน หรือ ดำวเทียม
สำหรบั ขอ้ มลู ทส่ี ำรวจจำกระยะไกลนน้ั จะผ่ำนกระบวนกำรวเิ ครำะห์แบบอตั โนมตั ด้วยเครื่องคอมพิวเตอรแ์ ละ/
หรือ กำรแปลด้วยสำยตำ แลว้ จงึ นำไปประยกุ ต์ใช้ในดำ้ นเกษตร กำรใช้ท่ดี ิน ป่ำไม้ ธรณวี ทิ ยำ อุทกวิทยำ
สมทุ รศำสตร์ อุตนุ ิยมวทิ ยำ และสภำวะแวดล้อม ฯลฯ
การวเิ คราะหภ์ าพถ่ายดาวเทียม

การวเิ คราะห์ภาพจากดาวเทียมด้วยคอมพวิ เตอร์
- กำรเตรยี มภำพ (Data Preparation)
- กำรเตรียมข้อมูลกอ่ นกำรวิเครำะห์ (Pre-Processing)
- กำรปรบั ปรงุ คุณภำพของข้อมูล (Image Enhancement)
- กำรกำหนดประเภทขอ้ มูล (Nomenclature)
- กำรจำแนกประเภทข้อมูล (Classification)
- กำรวิเครำะห์หลังกำรจำแนกประเภทขอ้ มูล (Post-Classification)
- กำรวิเครำะหค์ วำมถกู ต้อง
การวิเคราะห์ข้อมลู ดาวเทียม (Data Analysis)
- กำรแปลภำพดว้ ยสำยตำ
- กำรวิเครำะหภ์ ำพจำกดำวเทียมด้วยคอมพิวเตอร์

64

ดาวเทยี มสารวจทรพั ยากร

ดำวเทียม THEOS (Thailand Earth Observation Satellite) ดำวเทียมสำรวจทรัพยำกรดวงแรกของประเทศ
ไทย
- กำหนดขึน้ สวู่ งโคจร ปี พ.ศ.2550
- รำยละเอียดภำพ
1) 2 เมตร (แบบช่วงคล่นื เดยี ว) ควำมกวำ้ งแนวภำพ 22 กม.
2) 15 เมตร (แบบหลำยช่วงคลืน่ ) ควำมกว้ำงแนวภำพ 22 กม.

ประโยชน์ของรโี มตเซนชิ่ง
1.กำรพยำกรณ์อำกำศ กรมอุตุนิยมวทิ ยำใช้ข้อมูลจำกดำวเทยี มเพือ่ พยำกรณ์ปรมิ ำณ และกำรกระจำยของฝน
ในแตล่ ะวัน โดยใช้ข้อมูลดำวเทยี มทโี่ คจรรอบโลกด้วยควำมเร็วเทำ่ กบั กำรหมนุ ของโลก ทำให้คล้ำยกับเป็น
ดำวเทียมคงท่ี(Geostationary) เช่น ดำวเทียม GMS(Geostationary Meteorological Satellite) และ
ดำวเทียมโนอำ NOAAทโ่ี คจรรอบโลกวันละ 2คร้งั ทำให้ทรำบอตั รำควำมเร็ว ทศิ ทำง และควำมรนุ แรงของ
พำยุท่จี ะเกดิ ขน้ึ ล่วงหน้ำ หรือพยำกรณ์อำกำศควำมแห้งแล้งทจี่ ะเกิดขน้ึ ได้
2.สำรวจกำรใชป้ ระโยชนท์ ด่ ิน
3. สำรวจดนิ
4.สำรวจดำ้ นธรณวี ทิ ยำและธรณสี ัณฐำนวทิ ยำ
5. กำรเตือนภัยจำกธรรมชำติ
6.ดำ้ นกำรจรำจร
7. ด้ำนกำรทหำร
8.ดำ้ นสงิ่ แวดล้อม
9. ด้ำนสำธำรณสุข

65

ระบบ GPS

ความหมาย
GPS เป็นระบบดำวเทยี มที่ออกแบบและจัดสรำ้ งโดยกองทพั สหรัฐอเมริกำ เพื่อใชใ้ นกำรนำทำง (Navigation)
GPS คือ ระบบบอกพิกัดบนพนื้ โลกโดยใช้ดำวเทียม กำรรบั สญั ญำณจำกดำวเทียมท่โี คจรอยู่เตม็ ท้องฟ้ำ 24
ดวงรบั สัญญำณอย่ำงน้อยต้อง 3 ดวง
GPS เปน็ เครอ่ื งมือหำตำแหนง่ พิกัดภูมศิ ำสตรบ์ นพนื้ ผวิ โลกโดยอำศยั สัญญำณอำ้ งอิงจำกระบบดำวเทียม ทำ
หนำ้ ทสี่ ง่ สญั ญำณจพี ีเอส โดยเฉพำะ มีชอ่ื เรียกอย่ำงเปน็ ทำงกำรวำ่ “เครอื่ งมือหำพิกัดดว้ ยดำวเทียม”
องค์ประกอบหลกั ของระบบ GPS

1. ระบบดำวเทียมในวงโคจรรอบโลก (The Space segment)
2. สถำนีควบคมุ (The Control segment)
3. ผ้ใู ชง้ ำนสัญญำณจีพเี อส (The User segment)
หลกั การทางานของระบบ GPS

66

GPS บอกพิกัดบนพน้ื โลกโดยใชด้ ำวเทียม กำรรบั สัญญำณจำกดำวเทยี มทีโ่ คจรอย่เู ต็มท้องฟำ้ 24 ดวง รับ
สัญญำณอยำ่ งนอ้ ยต้อง 3 ดวง GPS เปน็ เครอ่ื งมือหำตำแหนง่ พิกัดภมู ศิ ำสตรบ์ นพน้ื ผวิ โลก โดยอำศยั สญั ญำณ
อ้ำงอิงจำกระบบดำวเทยี ม ที่ทำหนำ้ ท่สี ง่ สัญญำณจีพีเอสโดยเฉพำะ มชี ่ือเรยี กอยำ่ งเป็นทำงกำรว่ำ “เครื่องมอื
หำพิกดั ดว้ ยดำวเทียม” GPS ในปจั จบุ ันมีหลำยรูปแบบ
ประเภทของเครื่องรับ GPS
ประโยชนข์ องระบบ GPS
1.บอกตำแหน่งว่ำตอนนเี้ รำอยู่ที่ไหน
2.บันทกึ เส้นทำงวำ่ เรำไปไหนมำบำ้ ง
3.ระบบนำรอ่ งนำทำงไปจุดหมำยทกี่ ำหนด (เคร่ืองบิน)
4.ระบบตดิ ตำมยำนพำหนะ
5.ใชใ้ นกำรกำหนดจดุ พิกัดผิวโลก เพอ่ื งำนด้ำนระบบสำรสนเทศภมู ศำสตร์ หรอื ข้อมลู คำวเทยี ม
6.ใช้ในกำรสำรวจรังวดั ที่ดนิ กำรสำรวจพืน้ ท่ี และกำรทำแผนท่ี
7.ใชใ้ นกิจกรรมทำงทหำร
8.ใช้ในกำรศกึ ษำด้ำนภมู ิศำสตร์ทรพั ยำกรธรรมชำติและสิง่ แวดล้อม
9.กำรสำรวจพนื้ ที่ และกำรทำแผนท่ี
10. ใช้ตดิ ตำมกำรเคล่ือนทีข่ องคน สง่ิ ของ
11. ใช้ในกำรควบคมุ เคร่ืองจักร เชน่ เคร่อื งจกั รทำงกำรเกษตร
12. ใชใ้ นกำรขนสง่ ทำงทะเล
13. ตรวจวดั กำรเคลือ่ นตวั ของเปลือกโลกและสิ่งกอ่ สรำ้ ง
14. ใช้อำ้ งอิงในกำรวดั เวลำท่เี ท่ยี งตรงท่สี ดุ ในโลก
15. ใช้ในกำรออกแบบเครือข่ำยคำนวณตำแหนง่ ท่ีต้งั เชน่ โรงไฟฟำ้ ระบบนำ้ มนั
16. ใช้ติดตำมควำมปลอดภัยด้ำนส่งิ แวดลอ้ ม
17. ใช้ในกำรตดิ ตำมอนุรกั ษ์และควบคมุ สตั ว์
18. ประยกุ ตใ์ ชด้ ้ำนกีฬำ
19. ใช้ในกำรเดนิ ทำงทอ่ งเท่ียว
20. ใช้ในดำ้ นควำมมั่นคงทำงทหำร
21. ใช้สำรวจรงั วดั ทำแผน

67

ระบบ GIS ควำมหมำยและหลกั กำร

ระบบสำรสนเทศภูมศิ ำสตร์ (Geographic Information System: GIS) หมำยถึง เครื่องมอื ทใี่ ช้ระบบ
คอมพิวเตอร์เพื่อใช้ในกำรนำเข้ำ จดั เกบ็ จดั เตรียม ดดั แปลง แก้ไข จดั กำร และวิเครำะห์ พรอ้ มทั้งแสดงผล
ขอ้ มูลเชิงพ้ืนที่ ตำมวตั ถปุ ระสงค์ตำ่ งๆ ทไ่ี ดก้ ำหนดไว้
ดงั นน้ั GIS จึงเปน็ เครื่องมือที่มีประโยชน์เพ่อื ใชใ้ นกำรจัดกำร และบริหำรกำรใชท้ รพั ยำกรธรรมชำตแิ ละ
ส่งิ แวดล้อม และสำมำรถติดตำมกำรเปลยี่ นแปลงขอ้ มูลด้ำนพ้ืนท่ี ใหเ้ ปน็ ไปอยำ่ งมปี ระสิทธิภำพ เน่ืองจำกเปน็
ระบบทเี่ ก่ียวข้องกบั ระบบกำรไหลเวียนของข้อมูลและกำรผสำนข้อมลู จำกแหลง่ ข้อมูลต่ำงๆ เชน่ ข้อมลู ปฐม
ภูมิ (primary data) หรือข้อมูลทตุ ิยภมู ิ (secondary data) เพ่อื ใหเ้ ป็นขำ่ วสำรทม่ี ีคณุ คำ่
องค์ประกอบของระบบสำรสนเทศภูมศิ ำสตร์

ระบบสำรสนเทศภูมิศำสตร์ มอี งค์ประกอบทสี่ ำคญั หลำยอย่ำง แต่ละอยำ่ งล้วนเป็นองคป์ ระกอบทส่ี ำคญั ท้ังส้ิน
แต่ทส่ี ำคญั ประกอบด้วย 4 ส่วน คือ
1. ขอ้ มูล (Data/Information) ข้อมลู ท่จี ะนำเข้ำสู่ระบบสำรสนเทศภูมศิ ำสตร์ ควรเปน็ ข้อมูลเฉพำะเร่อื ง
(theme) และเปน็ ข้อมูลที่สำมำรถนำมำใชใ้ นกำรตอบคำถำมต่ำงๆ ไดต้ รงตำมวตั ถุประสงค์ เป็นขอ้ มลู ทม่ี ี
ควำมถกู ต้องและเช่ือถือได้ และเป็นปัจจุบันมำกทสี่ ุด อน่ึง ข้อมูลหรือสำรสนเทศสำมำรถแบง่ ออกได้เปน็ 2
ประเภท คอื
1. ข้อมูลทีม่ ีลกั ษณะเชิงพน้ื ท่ี (spatial data)
ขอ้ มูลเชงิ พื้นท่ี เป็นข้อมูลท่ีแสดงตำแหนง่ ที่ต้ังทำงภูมิศำสตร์ (geo-referenced data) ของรปู ลกั ษณข์ องพ้ืนท่ี
(graphic feature) ซึง่ มี 2 แบบ คอื
1.1ข้อมูลทีแ่ สดงทศิ ทำง (vector data)
ประกอบดว้ ยลกั ษณะ 3 อย่ำง คือ
- ขอ้ มลู จุด (Point) เชน่ ทีต่ ั้งหมู่บำ้ น โรงเรยี น เป็นต้น
- ข้อมูลเสน้ (Arc or line) เชน่ ถนน แมน่ ้ำ ท่อประปำ เป็นตน้
- ขอ้ มลู พื้นที่ หรอื เส้นรอบรูป (Polygon) เช่น พืน้ ทปี่ ่ำไม้ ตัวเมือง เปน็ ต้น

68

ดังภำพท่ี 2

- ข้อมลู ทีแ่ สดงเปน็ ตำรำงกริด (raster data)
จะเปน็ ลกั ษณะตำรำงสเี่ หลยี่ มเลก็ ๆ (Grid cell or pixel) เทำ่ กนั และต่อเนือ่ งกนั ซึ่งสำมำรถอ้ำงอิงคำ่ พกิ ดั ทำง
ภูมิศำสตรไ์ ด้ ขนำดของตำรำงกรดิ หรือควำมละเอียด (resolution) ในกำรเก็บข้อมูล จะใหญ่หรือเลก็ ขนึ้ อยู่
กับกำรจดั แบง่ จำนวนแถว (row) และจำนวนคอลัมน์ (column) ตวั อยำ่ งข้อมลู ท่จี ัดเก็บโดยใช้ตำรำงกรดิ
เช่น ภำพถ่ำยดำวเทยี ม Landsat หรอื ขอ้ มูลระดับคำ่ ควำมสงู (digital elevation model: DEM) เปน็ ตน้
.2 ขอ้ มลู อธบิ ำยพื้นที่ (non-spatial data or attribute data)
ฐำนขอ้ มูล (Database) เป็นโครงสร้ำงของสำรสนเทศ (information) ท่ีประกอบด้วยขอ้ มลู เชิงพืน้ ท่ี (spatial
data) และขอ้ มูลอธิบำย (non-spatial) ที่มคี วำมสัมพนั ธก์ ัน ซง่ึ กำรจดั กำรหรอื กำรเรียกใช้ฐำนข้อมูลจะถกู
ควบคมุ โดยโปรแกรม GIS
2. เครอ่ื งคอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์ตำ่ งๆ เครื่องคอมพิวเตอร์ รวมกันเรยี กวำ่ ระบบฮำรด์ แวร์ (hardware) จะ
ประกอบด้วย คอมพิวเตอร์ อปุ กรณน์ ำเขำ้ เชน่ digitizer scanner อปุ กรณ์อำ่ นข้อมูล เกบ็ รักษำข้อมูล และ
แสดงผลข้อมูล เชน่ printer plotter เปน็ ตน้ ซง่ึ อุปกรณ์แตล่ ะชนิดจะมีหน้ำทีแ่ ละคุณภำพแตกตำ่ งกันออกไป
3. โปรแกรม หรอื ระบบซอฟต์แวร์ (software) software หมำยถงึ โปรแกรมทีใ่ ชใ้ นกำรจดั กำรระบบ และสัง่ งำน
ต่ำงๆ เพื่อให้ระบบฮำร์ดแวรท์ ำงำน หรอื เรยี กใช้ขอ้ มลู ทจี่ ัดเก็บในระบบฐำนขอ้ มลู ทำงำนตำมวัตถุประสงค์
โดยทวั่ ไปชุดคำส่งั หรอื โปรแกรมของสำรสนเทศภมู ศิ ำสตร์ จะประกอบด้วย หน่วยนำเขำ้ ขอ้ มูล หน่วยเก็บข้อมลู
และกำรจัดกำรขอ้ มลู หนว่ ยวิเครำะห์ แสดงผล หน่วยแปลงข้อมลู และหนว่ ยโตต้ อบกบั ผู้ใช้
4. บคุ ลำกร (human resources) ประกอบด้วย ผใู้ ชร้ ะบบ (analyst) และผูใ้ ช้สำรสนเทศ (user) ผใู้ ช้ระบบ
หรอื ผู้ชำนำญกำร GIS จะต้องมีควำมชำนำญในหน้ำท่ี และได้รบั กำรฝึกฝนมำแลว้ เป็นอยำ่ งดี พร้อมทีจ่ ะ
ทำงำนได้เต็มควำมสำมำรถ โดยท่วั ไปผใู้ ชร้ ะบบจะเปน็ ผเู้ ลือกระบบฮำร์ดแวร์ และระบบซอฟแวร์ เพ่ือให้ตรง
ตำมวัตถปุ ระสงค์ และสนองตอบควำมตอ้ งกำรของหนว่ ยงำน
ส่วนผใู้ ชส้ ำรสนเทศ (User) คือนกั วำงแผน หรือผู้มีอำนำจตดั สนิ ใจ (decision-maker) เพื่อนำข้อมลู มำใชใ้ น
กำรแก้ไขปัญหำตำ่ งๆนอกจำกองคป์ ระกอบท่ีสำคัญทง้ั 4 สว่ นแล้ว องคก์ รทร่ี องรบั (organization) ก็นับวำ่ มี
ควำมสำคญั ตอ่ กำรดำเนนิ งำนระบบสำรสนเทศภมู ิศำสตร์ ทง้ั น้เี พรำะองค์กรทีเ่ หมำะสม และมวี ตั ถุประสงค์ท่ี
สอดคลอ้ งกบั ระบบงำนสำรสนเทศภมู ศิ ำสตร์ จะสำมำรถรองรบั และให้กำรสนบั สนุนกำรนำระบบสำรสนเทศ
ภมู ิศำสตร์ เขำ้ มำใช้ในแผนงำนขององคก์ รได้อยำ่ งมปี ระสิทธิภำพ โดยไดร้ บั กำรสนบั สนุนงบประมำณ
อุปกรณ์ และบคุ ลำกรที่เหมำะสมกับหนำ้ ที่

69

กำรวเิ ครำะห์ขอ้ มลู ในระบบ
สำรสนเทศภมู ิศำสตร์ (GIS) มคี วำมสำมำรถในกำรนำข้อมลู เชิงพน้ื ทหี่ ลำยๆ ชนั้ ข้อมูล (layers) มำซอ้ นทับกัน
(overlay) เพือ่ ทำกำรวเิ ครำะห์ และกำหนดเงื่อนไขตำ่ งๆ โดยใชค้ อมพิวเตอร์ตำมวัตถุประสงค์ หรือตำม
แบบจำลอง (model) ตำ่ งๆ ซ่ึงอำจเป็นกำรเรยี กคน้ ข้อมูลอย่ำงง่ำย หรือซับซ้อน เช่น โมเดลทำงสถิติ หรอื
โมเดลทำงคณติ ศำสตร์ เปน็ ตน้
ทัง้ นี้ เน่ืองจำกชั้นข้อมูลต่ำงๆ ถกู จดั เก็บโดยอ้ำงอิงค่ำพิกัดทำงภมู ศิ ำสตร์ และมีกำรจดั เก็บอยำ่ งมรี ะบบ และ
ประมวลผลโดยใชเ้ ครอ่ื งคอมพวิ เตอร์ ผลท่ไี ดร้ ับจำกกำรวเิ ครำะห์ จะเปน็ ช้นั ข้อมลู อีกลักษณะหนึ่งทแี่ ตกตำ่ ง
ไปจำกชัน้ ข้อมูลเดิม
ประโยชนข์ อง GIS
GIS เปน็ ระบบสำรสนเทศท่ีรวบรวมข้อมูลเชงิ พื้นท่ี (spatial data) และข้อมูลอธบิ ำยต่ำงๆ (attribute data)
ดังนั้น จงึ มีประสทิ ธภิ ำพในกำรวิเครำะห์ และตอบคำถำมเกี่ยวกับควำมสัมพนั ธด์ ้ำนพนื้ ท่ไี ด้หลำยประกำร ซ่งึ
สำมำรถแบง่ ออกได้เปน็ 5 ประเภท คอื
1. Location what is at …? มอี ะไรอยู่ท่ีไหน คำถำมแรกที่ GIS สำมำรถตอบได้ คือ มีอะไรอยู่ทไี่ หน หำกผู้ถำม
รตู้ ำแหน่งท่ีแน่นอน เชน่ ทรำบชือ่ หมูบ่ ำ้ น ตำบล หรืออำเภอแต่ตอ้ งกำรรูว้ ่ำทต่ี ำแหน่งน้นั ๆ ทีร่ ำยละเอยี ด
ขอ้ มูลอะไรบ้ำง
2. Condition Where is it? ส่งิ ท่ีอยำกทรำบอยู่ท่ไี หน คำถำมน้จี ะตรงกนั ขำ้ มกับคำถำมแรก และต้องมกี ำร
วิเครำะห์ขอ้ มูล ยกตัวอย่ำงเช่น เรำต้องกำร ทรำบวำ่ บรเิ วณใดมีดนิ ทเี่ หมำะสมตอ่ กำรปลกู พืช อยใู่ กล้แหลง่
น้ำ และไม่อยูใ่ นเขตป่ำอนุรกั ษ์ เป็นต้น
3. Trends what has changed since…? ในช่วงระยะท่ีผ่ำนมำมอี ะไรเปลีย่ นแปลงบ้ำง คำถำมท่ีสำมเป็นกำร
วเิ ครำะหก์ ำรเปลี่ยนแปลงในระยะช่วงเวลำใดเวลำหนึง่ ซ่ึงคำถำมน้จี ะเกย่ี วข้องกับ คำถำมท่ีหนึง่ และคำถำมที่
สอง ว่ำตอ้ งกำรทรำบกำรเปลีย่ นแปลงของอะไร และส่ิงทไ่ี ด้เปล่ียนแปลงอยู่ทไ่ี หน มีขนำดเทำ่ ไร เปน็ ตน้
4. Patterns what spatial patterns exist? ควำมสัมพันธด์ ้ำนพืน้ ที่เป็นอยำ่ งไร คำถำมนคี้ ่อนขำ้ งจะซบั ซ้อน
กวำ่ คำถำมที่ 1-3 ตัวอย่ำงของคำถำมนี้ เช่นเรำอยำกทรำบวำ่ ปัจจัยอะไร เป็นสำเหตุของกำรเกดิ โรคทอ้ งร่วง
ของคนที่อำศยั อย่เู ชงิ เขำ หรือเชือ้ โรคมำจำกแหล่งใด กำรตอบคำถำมดังกลำ่ ว จำเป็นต้องแสดงทตี่ ้ังแหล่ง
มลพิษต่ำงๆ ท่ีอยใู่ กลเ้ คียง หรืออย่เู หนอื ลำธำร ซ่ึงลักษณะกำรกระจำย และตำแหน่งท่ีต้ังของสถำนที่ดงั กลำ่ ว
ทำใหเ้ รำทรำบถึงควำมสมั พันธ์ของปญั หำดงั กล่ำว เป็นต้น
5. Modeling What if…? จะมอี ะไรเกดิ ขน้ึ หำก คำถำมน้ีจะเก่ียวขอ้ งกบั กำรคำดกำรณว์ ำ่ จะมีอะไรเกิดขน้ึ หำก
ปัจจัยอิสระ (Independence factor) ซงึ่ เปน็ ตัวกำหนดกำรเปลี่ยนแปลงไป ยกตัวอยำ่ งเชน่ จะเกิดอะไรข้ึน
หำกมีกำรตดั ถนนเขำ้ ไปในพน้ื ทีป่ ่ำสมบรู ณ์ กำรตอบคำถำมเหลำ่ น้บี ำงครง้ั ตอ้ งกำรข้อมลู อ่ืนเพม่ิ เติม หรือใช้
วธิ กี ำรทำงสถติ ิในกำรวเิ ครำะห์ เป็นต้น

70

หนว่ ยกำรเรียนรูเ้ รื่อง ปฏสิ มั พันธเ์ ชิงภูมิศำสตร์ในประเทศไทย

1 ปฏสิ ัมพนั ธข์ องมนุษยก์ ับลักษณะธรณีสัณฐำนในประเทศไทย
ลกั ษณะธรณสี ัณฐำน ที่ปรากฏอยู่ในปจั จบุ นั เปน็ เพียงส่งิ ที่คงเหลืออยจู่ ากกระบวนการเปล่ียนแปลง ทงั จาก
แรงดนั ภายในเปลือกโลกอนั มหาศาลและกระบวนการทีก่ ระทาอยบู่ นพนื ผิวอนั เนื่องมาจากบรรยากาศของโลก
ดงั นันปฏิสมั พันธ์ของมนุษย์กับลักษณะธรณสี ณั ฐานแบบต่างๆ นนั มนุษยค์ วรจะใชป้ ระโยชน์จากธรรมชาตอิ ย่างมี
ความรู้ความเข้าใจ หรือรู้จกั ดัดแปลงให้เกดิ คุณคา่ โดยระมดั ระวังมใิ หเ้ กิดผลกระทบยอ้ นกลับเปน็ อันตรายต่อ
มนษุ ยเ์ อง
ปฏสิ ัมพนั ธ์ของมนษุ ย์กับลักษณะธรณสี ณั ฐำนของภูมิภำคตำ่ งๆ ทีส่ ำคญั ดังน้ี
1) ภำคเหนอื ลกั ษณะภูมิประเทศมคี วามสัมพันธ์กับประชากรในภูมิภาค ดงั นี

1.1) เขตทิวเขำและหุบเขำ ภูเขาสงู ท่ีวางตัวในแนวเหนือ-ใต้ เปน็ ทิวเขาสลบั ซบั ซ้อนนนั แต่ก่อนประกอบ
ไปดว้ ยปา่ ไม้ สัตว์ป่านานาชนิด และมีสายนาเป็นลาธารไหลลงไปหล่อเลยี งแมน่ าในบรเิ วณหบุ เขา ผลของความ
เปน็ ธรรมชาตทิ มี่ ีระบบนเิ วศที่สมดุล เป็นเสนห่ ์ใหผ้ ู้คนเขา้ ไปตังถิ่นฐานเพ่ือถือกรรมสทิ ธ์ิในทรัพยากร แล้ว
ปรบั เปลี่ยนสภาพแวดล้อมดังเดมิ จนระบบนิเวศที่เคยสมดลุ ถูกตดั วงจรไป

ปรากฏการณ์ที่เหน็ ได้ชัดเจนในปัจจุบัน คอื สภาพปา่ ไม้ลดจานวนลงจนหมดสนิ ไปในบางพนื ที่ การชะลา้ งพง
ทลายของหน้าดินจะเกิดขนึ สูงเมอื่ มฝี นตกและบางครังกเ็ กิดแผน่ ดินถล่มดว้ ย และนอกจากนียงั มีการใช้สารเคมีใน
การเพาะปลูกพืช สง่ ผลใหบ้ รเิ วณท่ีราบมสี ารพิษท่ีเจือปนมากบั นา อีกทงั เมื่อมฝี นตกหนักนาปา่ จะไหลจากที่สงู ลงสู่

1.2) บรเิ วณท่ีรำบและแอ่ง ภาคเหนือมีทร่ี าบหบุ เขาแคบๆ ท่เี กิดจากลาธรไหลกดั เซาะบริเวณภเู ขา เป็นทีร่ าบ
ผนื เล็กๆ กระจายอยทู่ ่วั ไป และมีทร่ี าบซึ่งเกิดขึนในแอ่งแผ่นดนิ มีการทบั ถมของโคลนตะกอนเปน็ บรเิ วณกว้าง
และมแี มน่ าสายใหญ่ไหลผา่ น เชน่ แอ่งเชียงใหม่ตังอยู่บนฝง่ั แม่นาปงิ แอง่ แม่ฮ่องสอนตังอยู่บนฝง่ั แม่นาปาย แอ่ง
ลาปางตังอยู่บนฝ่ังแมน่ าวงั แอง่ เชียงรายตงั อย่บู นฝ่ังแม่นากก แอ่งพะเยาตังอยูบ่ นฝง่ั กว๊านพะเยาซ่ึงเชื่อมต่อกับ
แม่นาอิง เปน็ ตน้ สภาพพืนท่ีจงึ เหมาะสาหรบั ใช้เปน็ ทตี่ งั ถิ่นฐานและใชป้ ลกู พชื ชนดิ ต่างๆ เชน่ ถั่วชนดิ ต่างๆ
กระเทียม ยาสบู ลินจ่ี ลาไย สว่ นบรเิ วณท่รี าบสองฝ่ังแมน่ าจะใชป้ ลกู ขา้ ว

71

2) ภำคตะวนั ตก ลกั ษณะภูมิประเทศมคี วามสัมพันธ์กับประชากรในภมู ิภาค ดังนี

2.1) เขตทิวเขำและหุบเขำ มที วิ เขาทอดแนวมาจากภาคเหนอื และเป็นพรมแดนธรรมชาติกันประเทศไทยกบั
สหภาพพม่า ในบริเวณนีจะมีการบกุ รกุ ทาลายป่าไมเ้ พื่อนาพืนที่มาใชเ้ พาะปลกู พชื ไร่ สวนผลไม้ และสรา้ งเป็นท่ีพัก
บรกิ ารแก่นักท่องเทีย่ วเชน่ เดียวกับในภาคเหนือ โดยในด้านการทอ่ งเทย่ี วภาคจะวนั ตกจะมที าเลที่ตังดีกว่า
ภาคเหนอื ในด้านระยะทาง แต่ยังขาดโครงขา่ ยเสน้ ทางคมนาคมที่เช่ือมต่อกันทาใหก้ ารเดนิ ทางต้องใชเ้ วลามาก

2.2) บริเวณที่รำบและที่รำบเชงิ เขำ ในภาคตะวนั ตกมีทรี่ าบแคบๆ อยรู่ ะหว่างเขตภูเขา มีการเขา้ ไปจับจอง
พืนที่ทานาและปลูกพืชจานวนมาก เชน่ ออ้ ย เป็นตน้

2.3) บรเิ วณทร่ี ำบชำยฝ่ังทะเล ภาคตะวันตกมท่ี ี่ราบชายฝงั่ ทะเลยาวตงั แต่จังหวดั เพชรบรุ ีซ่งึ เปน็ หาดเลน
ต่อเนือ่ งไปยงั บริเวณหาดชะอาซ่ึงเป็นหาดทรายลงไปจนถึงจังหวดั ประจวบครี ขี นั ธ์ โดยประชาชนมีกจิ กรรมทาง
เศรษฐกจิ ทังทางดา้ นการประมงชายฝัง่ ปลกู พชื เชน่ สับปะรด และบริการนักท่องเที่ยวเนื่องจากชายฝั่งด้าน
จงั หวดั เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ มีชายหาดท่ีสวยงามจึงเหมาะแกก่ ารพักผ่อนหย่อนใจ
3) ภำคกลำง ลกั ษณะภมู ปิ ระเทศมคี วามสมั พนั ธ์กับประชากรในภมู ภิ าค ดังนี

3.1) บริเวณท่รี ำบลุม่ น้ำตอนบน คอื บรเิ วณท่รี าบลมุ่ นาเหนอื จงั หวดั นครสวรรค์ขนึ ไป มีลักษณะเปน็ ทร่ี าบลุ่ม
นาที่มขี นาดแคบลงเรื่อยๆ เมื่อขนึ ไปทางภาคเหนอื และมรี ะดบั สูงกว่าท่ีราบภาคกลางตอนล่าง สภาพพืนทจ่ี ะใช้
ประโยชนใ์ นดา้ นการเพาะปลูกพชื ไรแ่ ละทานาข้าว แตบ่ ริเวณลุ่มนายม จงั หวัดสุโขทัยและพษิ ณโุ ลก จะมีปัญหานา
ทว่ มรุนแรงเกือบทุกปเี นอ่ื งจากมลี ักษณะเปน็ ท่รี าบนาท่วมถึงและเมือ่ มฝี นตกต่อเน่ืองยาวนานเกิน24ช่ัวโมง จะเกิด
นาไหลบา่ อย่างรวดเร็ว หากจะบรรเทาอุทกภยั ได้ต้องลดการตัดไมท้ าลายปา่ สร้างเข่ือนหรืออ่างเกบ็ นาไว้ในช่วงฤดู
ฝนและนามาใช้ในฤดูแล้ง

3.2) บรเิ วณท่รี ำบบริเวณขอบของภำค คือ ทรี่ าบบริเวณขอบท่ีติดต่อกับภาคเหนือภาคตะวันตกและภาค
ตะวนั ออกเฉียงเหนอื สภาพเป็นเนนิ และทรี่ าบเชงิ เขา ใชป้ ระโยชน์เป็นพนื ทปี่ ลูกพืชไร่ เชน่ ออ้ ย ขา้ วโพด ข้าวฟ่าง
มันสาปะหลงั เป็นต้น

72
3.3) บรเิ วณแอง่ เพชรบูรณ์ ในบรเิ วณที่ราบลมุ่ นาปา่ สักใช้ประโยชนใ์ นการเพาะปลกู ข้าว ขา้ วโพด ถั่ว และผลไม้
ปจั จบุ ันมีการโคน่ ทาลายป่าธรรมชาติ เพ่อื ใชด้ ินในการปลูกพชื และสรา้ งสถานท่ีพักบริการแกน่ ักท่องเท่ยี ว ส่งผลให้

3.4) บรเิ วณทรี่ ำบลุ่มน้ำตอนลำ่ ง คอื บรเิ วณท่ีราบลุ่มนาเจา้ พระยาตงั แต่จงั หวัดนครสวรรค์ลงมา เปน็ ท่ีราบ
ลมุ่ นาท่วมถงึ สภาพพืนท่จี ะใชป้ ระโยชน์ดา้ นการปลกู ขา้ ว มีการตงั ถิน่ ฐานเปน็ ชมุ ชนขนาดใหญ่หลายพืนท่ี ปัจจบุ นั
มกี ารเปลย่ี นแปลงการใช้ทดี่ นิ ให้เป็นพนื ที่เมือง และมีการสร้างโรงงานอตุ สาหกรรมในพืนท่ที ี่เคยเป็นนาข้าวเดิม
สว่ นบรเิ วณปากนาของแมน่ าแม่กลอง แมน่ าทา่ จีน และแม่นาเจ้าพระยา สภาพพนื ทีด่ นิ ใหม่และชายเลน มีป่าชาย
เลนเป็นแหลง่ อนุบาลสัตวน์ า
4) ภำคตะวันออก ลักษณะภมู ิประเทศมคี วามสัมพนั ธ์กับประชากรในภมู ภิ าค ดังนี

4.1) เขตเขำและทิวเขำ คือ ทิวเขาสนั กาแพงและพนมดงรัก บริเวณขอบของภาคท่ตี ิดต่อกับภาค
ตะวันออกเฉียงเหนือ ใช้ประโยชนจ์ ากพนื ท่เี ปน็ สวนผลไม้และปลูกพืชไร่ ในพืนทบ่ี รเิ วณลาธารตน้ นาใช้ทากจิ กรรม
การท่องเทย่ี วและจัดเป็นสถานทพ่ี กั นักท่องเทย่ี ว

73

4.2) บริเวณทรี่ ำบลุ่มแมน่ ำ้ บำงปะกง อยู่ในพนื ทจี่ ังหวดั ปราจีนบรุ ีและฉะเชิงเทรา ในชว่ งฤดูฝนมกั จะเกิดนาทว่ ม
เสมอเนื่องจากนาป่าไหลมาจากทิวเขาทางตอนบนอย่างรวดเร็ว ประกอบกับลานาตนื เขิน ก่อใหเ้ กิดความ

4.3) เขตพืน้ ท่ีเนนิ แบบลูกฟกู อยตู่ อนในของภาคตะวันออก ใชพ้ ืนทีเ่ ป็นทีป่ ลูกพืชไร่และพืชสวน
4.4) ท่รี ำบชำยฝ่งั ทะเล เป็นสถานท่ีตากอากาศ และแหล่งท่องเทยี่ วทังบรเิ วณเมืองพทั ยา จังหวดั ชลบุรี และ
จงั หวดั ระยอง จันทบรุ ี ตราด
4.5) เกำะและหมเู่ กำะชำยฝั่ง เป็นเกาะใกล้ชายฝ่งั ท่มี ีปะการงั สวยงาม เป็นแหล่งท่องเท่ียวทางทะเลที่ใกลแ้ ละ
สวยงามจึงเป็นที่นิยมของผู้คนทังไทยและต่างชาติ จนมีแนวโนม้ จะทาให้แหล่งท่องเทย่ี วที่สวยงามเสอื่ มโทรมไป
5) ภำคตะวันออกเฉียงเหนอื ลักษณะภูมิประเทศมีความสัมพันธก์ บั ประชากรในภูมิภาคดังนี
5.1) เขตทิวเขำด้ำนทิศตะวันตก เป็นบรเิ วณท่มี ภี เู ขายกตวั ขึนแยกจากท่ีราบภาคกลาง โดยธรณสี ัณฐานหลกั
เปน็ ภเู ขาหนิ ทรายทีม่ ียอดราบ เช่น ภูกระดงึ พนื ท่ีบริเวณนีใช้ประโยชนด์ า้ นการปลกู พืชไรจ่ าพวกอ้อย มัน
สาปะหลงั ข้าวโพด ถวั่ และปลกู ขา้ วในบริเวณทลี่ มุ่ อกี ทังในฤดูหนาวภูมทิ ศั นข์ องพนื ทีจ่ ะมีความสวยงาม อากาศ
เย็นและมีไม้ดอกมาก จงึ เปน็ จุดเด่นสาหรบั การท่องเทยี่ ว
5.2) ทวิ เขำดำ้ นทศิ ใต้ เปน็ แนวทวิ เขาหนิ ทรายท่ีมดี า้ นลาดอยู่ในประเทศไทยและมีด้านชนั ไปในกัมพชู าทาง
ทศิ ใต้ ภมู ิสณั ฐานหลกั เปน็ “เขารปู อีโตห้ รือเกวสตา” คล้ายกบั ”เขาอีโต้” ท่ีจงั หวดั ปราจนี บรุ ี สภาพของเขาท่ีทอด
แนวตลอดจะมชี ่องแคบทส่ี ามารถเดินทางระหว่างประเทศได้ดงั นนั พนื ท่บี รเิ วณนีผู้คนของทังสองประเทศจะมี
ความสมั พนั ธต์ ดิ ต่อค้าขายแลกเปล่ียนสนิ ค้าจาพวกอาหาร ของป่า และไม้ซุงซ่ึงกันและกัน นอกจากนยี ังปรากฏหนิ
ภูเขาไฟเกือบตลอดแนวจึงทาให้บรเิ วณดังกล่าวมสี ภาพดินท่ีเหมาะตอ่ กรปลกู พชื และผลไม้ตา่ งๆ เชน่ ทอ่ี าเภอ
กันทรลกั ษณ์ อาเภอขนุ หาญ และอาเภอนายืน จังหวัดอุบลราชธานที ีเ่ ริ่มมีการปลกู ยางพารา เงาะ ทเุ รียน ซง่ึ ได้ผล

74

ผลติ ดไี มต่ ่างจากจังหวัดในภาคตะวันออก
5.3) แอ่งโครำช ประกอบด้วยทร่ี าบลุ่มนาชี-มลู บริเวณท่ีราบล่มุ นาเปน็ แหล่งปลกู ข้าวใหญ่ที่สุดของไทย และ

เป็นแหลง่ ตงั ถ่นิ ฐานท่ีมปี ระชากรเกนิ 1 ลา้ นคนในเกือบทุกจงั หวัด โดยสภาพพนื ที่เป็นที่ลมุ่ ในชว่ งฤดฝู นที่มีพายุ
จงึ เกิดนาท่วมขนึ เสมอ แตเ่ ม่ือสนิ ฤดูฝนไปสภาพการขาดแคลนนาจะปรากฏเป็นระยะเวลายาวนาน ทังนเี นอ่ื งจาก
สภาพพน้ ทเ่ี ปน็ ดนิ ทรายไม่อุ้มนา และไม่มีพนื ท่ีสาหรบั กักเก็บนาไวใ้ ช้ในฤดแู ล้งได้ และบางพนื ท่เี ปน็ ดนิ เค็มมคี ราบ
เกลือสินเธาว์ขนึ มาตกผลกึ
5.4) แอ่งสกลนคร ประกอบด้วยท่ีราบลุม่ นาสงคราม หนองหาน และลมุ่ นาโขงอีสานสกลนคร โดยพนื ทีบ่ รเิ วณ
หนองหานสกลนครเป็นแอ่งต่าทเ่ี กดิ จากการทรุดตัวของแผ่นดิน เนอ่ื งจากโครงสร้างของเกลอื และหนิ ละลาย

75

ด้านทิศใตข้ องแอ่งสกลนครมีทิวเขาภูพานทอดแนวจากทศิ ตะวันตกเฉียงเหนอื ถึงทิศตะวนั ออกเฉยี งใต้
บรเิ วณพืนทเ่ี นินและภูเขาท่ีกระจายอยู่ทั่วไปเปน็ สว่ นท่ีเหลืออยู่จากการกรอ่ น เชน่ ภผู าเทิบ ที่อทุ ยานแห่งชาติ
มกุ ดาหาร เป็นแหล่งท่องเทย่ี วทส่ี าคัญ เปน็ ตน้
6) ภำคใต้ ลักษณะภมู ปิ ระเทศมคี วามสมั พันธ์กับประชากรในภูมิภาค ดงั นี

6.1) คำบสมุทร ลกั ษณะธรณีสณั ฐานคาบสมุทรมีทะเลอนั ดามันอย่ทู างด้านทิศตะวนั ตก สว่ นอ่าวไทยจะอยู่
ทางดา้ นทิศตะวันออก ภายในแผน่ ดินมีทวิ เขาเปน็ แกนของคาบสมทุ ร มีท่รี าบ เนนิ และที่ราบล่มุ แม่นาซึ่งใชป้ ลูก
ขา้ ว ส่วนบรเิ วณเนินเป็นพนื ท่ีปลูกไมผ้ ลชนดิ ตา่ งๆ เชน่ เงาะ ทุเรียน ลองกอง มงั คดุ พืชสวน เช่น ยางพารา ปาลม์
นามัน กาแฟ เปน็ ต้น

ในปัจจบุ ันได้มีการปรับเปลยี่ นพืนทปี่ ่าไมเ้ ปน็ พนื ทีเ่ พาะปลกู ปาล์มนามันและยางพาราสรา้ งทอี่ ยู่อาศยั
และสรา้ งถนน สง่ ผลใหน้ าป่าทเี่ กิดจากฝนท่ีตกอยา่ งต่อเน่ืองในทิวเขาไหลบา่ ลงสพู่ ืนท่ีราบอย่างรวดเรว็ ประกอบ
กับการไหลของนาถูกสกัดเสน้ ทางด้วยพืนท่ีทาการเกษตร สงิ่ กอ่ สร้างถนน และทางรถไฟ ทาให้การระบายนาลง
คลองที่ตืนเขินช้าลงและเมือระบายลงสคู่ ลองแลว้ นากจ็ ะลน้ ฝง่ั อยา่ งรวดเร็ว ปรากฏการณด์ ังกลา่ วจึงเปน็ ส่ิงที่ต้อง
แก้ไขโดยเร็วเพ่ือลดความเสยี หายต่อชวี ิตและทรัพย์สนิ ของประชาชน

6.2) บริเวณทร่ี ำบลมุ่ น้ำ ภาคใต้แม้จะมีแม่นาสายสันๆ แต่นบั ว่ามีความสาคญั มากทงั ในดา้ นการบรโิ ภค การ
ใช้เปน็ เสน้ ทางคมนาคมขนส่ง การตังถิน่ ฐาน การทอ่ งเท่ยี ว และเปน็ แหล่งอาหาร นอกจากนีแม่นาสายต่างๆ ท่ีไห
ออกสทู่ ะเลจะนาดนิ ตะกอนออกไปสู่ปากนา พนื ทเ่ี ช่อื มตอ่ ระหว่างปากแมน่ ากับชายฝ่งั ทะเลจึงมสี ภาพเปน็ ชายเลน
มปี ่าชายเลนเปน็ แนวกาบงั ลม และเปน็ แหล่งอนุบาลลกู กงุ้ หอย ปู ปลา

6.3) เกำะและหมเู่ กำะ ภาคใต้มเี กาะและหมูเ่ กาะขนาดเล็กใหญเ่ ป็นจานวนมาก มีภูมิทศั นแ์ ละหาดทรายท่ี
สวยงาม เป็นแหล่งทอ่ งเที่ยวทีผ่ ู้คนทงั ชาวไทยและชาวต่างชาตนิ ยิ มไปพักผอ่ น เช่น เกาะภเู ก็ต เกาะสมยุ เกาะพะ
งนั หมูเ่ กาะอา่ งทอง หม่เู กาะสุรินทร์ หมู่เกาะพังงา หมเู่ กาะสิมิลนั เปน็ ตน้
3.2 ปฏิสมั พนั ธข์ องมนุษย์กับลกั ษณะอุทกภำคในประเทศไทย

1) ปรำกฏกำรณ์จำกอุทกภำคในประเทศไทย ท่ีสำคัญ มีดังนี้
1.1) ฝนตกหนกั หรือฝนตกต่อเนอื่ งเปน็ เวลานาน มสี าเหตุ ดังนี
(1) ลมมรสมุ ตะวันตกเฉียงใต้ ลมมรสมุ เริ่มพัดเขา้ สู่ประเทศไทยตงั แตก่ ลางเดือนพฤษภาคม และ

มีกาลงั แรงเป็นระยะๆ หลงั จากเดอื นกรกฎาคมไปแล้ว เนือ่ งจากลมมรสมุ นีพัดผา่ นแหลง่ นาขนดใหญ่ คือ ทะเลอัน
ดามันและอ่าวไทยเข้าสูแ่ ผน่ ดิน จงึ นาความชนื เขา้ ไปยังแผ่นดิน และหากลมมรสมุ มีกาลงั แรงจะทาให้เกดิ ฝนตก
หนักในทกุ ภาค โดนเฉพาะจังหวดั ตามชายฝัง่ ทะเลที่มภี เู ขาหนั เขา้ รบั ลมท่ีพดั นาความชุ่มชนื และฝนมาตก หรือท่ี

76

เรยี กว่า “ด้านต้นลม” (windward)

(2) ลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนอื ลมมรสมุ เร่มิ พัดเข้าสปู่ ระเทศไทยตงั แต่กลางเดือนตุลาคม โดย
เปน็ ลมที่พดั มาจากไซบเี รยี และประเทศจนี ลกั ษณะทว่ั ไปจะทาให้ทว่ั ทกุ ภมู ิภาคมอี ากาศหนาวเย็นและแห้ง แตเ่ มือ่
มกี าลงั แรงขึนตงั แต่เดือนพฤศจิกายนและพัดผา่ นอา่ วไทยเข้าส่ภู าใตฝ้ ่ังอา่ วไทย จะทาให้ภาคใตฝ้ ่งั ตะวนั ออกหรือ
ฝั่งอา่ วไทยมฝี นตกหนักมากกวา่ ภาคใต้ฝง่ั ตะวนั ตกหรือฝง่ั อันดามนั ซง่ึ ในบริเวณนเี ป็นดา้ นปลายลม (leeward)
ของลมมรสมุ ตะวนั ออกเฉยี งเหนอื

(3) พำยุหมุนเขตรอ้ น ระยะทพ่ี ายหุ มนุ มีอิทธพิ ลต่อปรมิ าณนาฝนในประเทศไทยมี 2 ระยะ คือ
ช่วงต้นเดือนพฤษภาคม จะมีพายุหมนุ ก่อตวั ขนึ ในอา่ วเบงกอล เรยี กว่า “ไซโคลน” แลว้ เคลื่อนตวั เขา้ สู่ประเทศบงั
กาลาเทศและสหภาพพมา่ ทาให้ประเทศไทยได้รบั ผลกระทบในชว่ งก่อนเข้าสู่ฤดฝู นบ้าง ส่วนชว่ งปลายเดือน
สิงหาคม-พฤศจิกายน จะมีพายหุ มนุ กอ่ ตวั ขึนในมหาสมุทรแปซิฟิกด้านตะวันตกของประเทศฟลิ ปิ ปินส์ แลว้ พายุ
หมนุ จะเคลื่อนตัวสู่ทะเลจนี ใต้เข้าสู่ประเทศเวยี ดนาม ลาว กมั พูชา ไทย และมาเลเซยี หรอื อาจเคล่ือนตัวจาก
ประเทศฟิลปิ ปนิ สไ์ ปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือเข้าสปู่ ระเทศจนี เกาหลีเหนือ เกาหลีใต้ และญปี่ ่นุ พายหุ มุนจะทา
ใหเ้ กดิ ลมแรง ฝนตกหนกั และนาท่วมฉบั พลันในบรเิ วณทีร่ ัศมขี องพายหุ มนุ พดั ผา่ น

77

1.2) นำ้ หลำกจำกภเู ขำ บรเิ วณเชิงเขาและท่ีราบเชงิ เขาท่ีมีชุมชนตงั อยู่ จะไดร้ ับกระแสนาที่หลาก
ไหลจากภเู ขาสงู ลงมาอยา่ งวดเร็ว เนอ่ื งจากการตัดไม้ในบรเิ วณตน้ นาลาธาร การเปลีย่ นแปลงพืนทปี่ า่ เป็นพนื ท่ี
เพาะปลูกและฝนทต่ี กอยา่ งหนกั ตอ่ เน่ืองยาวนานจนลาห้วยไม่สามารถรบั ปรมิ าณนาได้ เชน่ การเกดิ แผน่ ดนิ ถล่ม
และอุทกภัยท่ีอาเภอวงั ชิน จงั หวัดแพร่ เมอื่ วันที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ 2544 ทาให้มผี เู้ สียชีวิต 32 ราย สญู หาย 5
ราย บา้ นเรอื นพังทังหลงั 193 หลงั และเสยี หายบางสว่ น 1,458 หลงั

1.3) น้ำทะเลหนนุ บริเวณท่รี าบใกล้ปากแม่นา เม่อื แมน่ าไหลออกทะเลจะเกิดปรากฏการณ์นาทะเล
หนนุ ทาใหเ้ กิดนาทว่ มได้ เชน่ พนื ที่เขตพระโขนง เขตบางนาของกรงุ เทพมหานคร และตาบลสาโรง อาเภอพระระ
แดง อาเภอเมือง จังหวดั สมุทรปราการ โดยวนั ที่มีปรากฏการณ์นาเกิดขึนนนั ระดบั นาทะเลจงึ ขึนสูงท่ีสดุ นาทะเล
จะหนุนทาใหร้ ะดับนาในแม่นาสงู ขึนไหลช้าลงจนเกิดภาวะนาล้นตล่งิ โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ เม่อื เกิดในพืนทีท่ ี่มรี ะดับ
การทรดุ ต่าลงของแผ่นดนิ กจ็ ะทาให้เกดิ นาท่วมขงั พืนท่รี ิมฝั่งแม่นาได้

นอกจากนีการปล่อยนาของเข่ือน เข่ือนพัง และการสร้างถนนกีดขวางทางนา ทาให้ไม่สามารถระบาย
นาไดท้ นั กเ็ ป็นสาตุท่ีทาเกิดปรากฏการณ์อทุ กภัยในประเทศไทยไดเ้ ชน่ เดยี วกัน

2) ปฏิสัมพันธ์ของมนษุ ยก์ ับแหล่งนำ้ ในประเทศไทย แหล่งนาในประเทศไทยมีทังแหลง่ นาเคม็ และแหลง่
นาจดื ทส่ี าคญั ดังนี

2.1) แหล่งน้ำเค็ม ประเทศไทยมีอาณาเขตทีต่ ิดต่อกับทะเลและมหาสมุทรอยู่ 2 แหง่ ประกอบด้วย
(1) อำ่ วไทย เป็นสว่ นหนึ่งของทะเลจนี ใตใ้ นมหาสมุทรแปซิฟิก ดนิ แดนทม่ี อี าณาเขตตดิ ต่อกับ

แหล่งนาเคม็ ส่วนนี คอื ภาคตะวันออก ภาคกลาง ภาคตะวันตก และภาคใต้ฝ่ังตะวันออก ปฏิสมั พนั ธ์ของ
ประชาชนกบั พืนที่อา่ วไทย ท่ีสาคญั มีดังนี

1. การประมง ประชาชนทุกจงั หวดั ทม่ี ีชายทะเลจะประกอบอาชีพกรประมง ทังกรประมง
ชายฝ่ังท่ใี ชเ้ รือขนาดเล็กและการประมงนาลึกท่ีมเี รอื ขนาดใหญอ่ อกไปจบั สตั ว์นาในระยะทางไกลและใช้เวลาหลาย
วนั โดยจะจับสตั วน์ าประเภทปลา กุ้ง หมกึ และหอยชนิดต่างๆ

2. การทานาเกลือสมทุ ร โดยใช้นาทะเลจากอา่ วไทย จะมใี นบางจงั หวัดเทา่ นัน ไดแ้ ก่ จงั หวัด
สมุทรสาคร สมทุ รสงคราม และเพชรบรุ ี

3. การคมนาคมขนส่ง บริเวณอ่าวไทยมีเรือขนสง่ สินค้าจากต่างประเทศใชเ้ ป็นเส้นทางเดนิ เรือ
และเข้าจอดขนถ่ายสนิ ค้าในท่าเรือสาคัญ คือ ท่าเรือกรุงเทพ (คลองเตย) ท่าเรอื แหลมฉบัง จงั หวดั ชลบุรี และ
ท่าเรือมาบตาพุด จังหวัดระยอง

(2) ทะเลอนั ดำมนั เป็นสว่ นหนง่ึ ของมหาสมทุ รอนิ เดยี โดยมดี นิ แดนภาคใต้ฝั่งตะวันตกเทา่ นนั ท่มี ี
อาณาเขตติดต่อ ใช้ประโยชน์ในด้านการประมงและเป็นสถานทที่ อ่ งเทย่ี วทสี่ าคัญ มีท่าเรือสาคัญ เชน่ ท่าเรือ
สงขลา ทา่ เรอื กระบ่ี เป็นต้น

2.2) แหลง่ นำ้ จดื ประเทศไทยมีพืนท่ีแหล่งนาจืดทังนาผวิ ดนิ และนาใตด้ ิน ดังนี

78

(1) น้ำผวิ ดนิ แหลง่ นาผิวดินที่สาคญั อยู่บรเิ วณลมุ่ นาของแม่นาสายต่างๆ โดยพนื ท่ีลุม่ นาหลัก
ของประเทศท่ีสาคัญ เชน่ แมน่ าโขง ชี มูล ในภาคตะวันออกเฉยี งเหนือ แมน่ าปิง วงั ยม น่าน ในภาคเหนือ แม่

นาตาปี แมน่ าปัตตานี ในภาคใต้ เป็นตน้
ปฏิสัมพนั ธ์ของประชากรกับแหลง่ นาผวิ ดนิ ในประเทศไทยทีเ่ ห็นชดั เจนกลา่ วคือ ในปจั จุบันนา

ผิวดินมีแนวโน้มลดลงทงั ทางดา้ นปรมิ าณและคุณภาพ จากสาเหตตุ ่างๆ เช่น ปรมิ าณนาฝนเฉล่ียรายปีลดลง จาก
อณุ หภมู ขิ องโลกท่ีสงู ขนึ และความชืนในบรรยากาศลดลงจากกจิ กรรมต่างๆของมนษุ ย์ และพายหุ มนุ เขตร้อนที่
เคลอื่ นทผ่ี า่ นบริเวณประเทศไทยลดนอ้ ยลง แต่ประชากรกลับมีความต้องการใชน้ าเพ่มิ มากขนึ โดยในภาคเหนือ
ประชาชนมีความต้องการใช้นาเพ่ือการเกษตรเพิม่ มากขึนตังแต่ตอนตน้ ของลานา แตเ่ น่ืองจากบริเวณตน้ ลานามี
การตัดไมท้ าลายป่าเพ่ือใชท้ ด่ี ินในการปลกู ผลไมช้ นิดตา่ งๆ จึงทาใหป้ ริมาณนาฝนที่ตกลดน้อยลงและเมอ่ื ฝนตกลง
มาชาวสวนผลไม้บรเิ วณตน้ ลานาจะกักเก็บนาเอาไว้ ทาใหน้ าทจ่ี ะไหลลงสกู่ ลางและปลายลานานันไมเ่ พียงพอ
สง่ ผลกระทบต่อการเพาะปลูกพืชในภาคกลางเปน็ อยา่ งมากและเม่อื ใดทเ่ี กิดฝนตกหนัก นาจากบรเิ วณภเู ขาสงู จะ
ไหลลงพนื ล่างอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะบริเวณลมุ่ แมน่ าวังในฤดูฝนนาจะเอ่อลน้ ฝง่ั ทาลายพืนทีก่ ารเกษตรและทีอ่ ยู่
อาศยั ของประชาชนในจังหวดั พิษณุโลก สุโขทยั และพิจติ รอยเู่ สมอ แต่เม่ือหมดฤดูฝน นาในแม่นาก็จะแห้งอยา่ ง
รวดเร็วในเวลาเพียงหน่งึ เดอื น ทาให้ประชาชนตอ้ งกลบั มาขาดแคลนนา ดังนัน การสร้างเขอ่ื นจงึ อาจเป็นแนวทาง
หนง่ึ ที่สามารถบรรเทาปญั หานไี ด้

สาหรับลานาสายหลักในภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื ก็ระสบปัญหาเก่ียวกับปรมิ าณนาเช่นกนั คือ
ในช่วงปลายฤดฝู นจะมีพายุนาฝนมาตกทาให้เกดิ นาท่วม แต่เมอื่ ย่างเขา้ ฤดหู นาวแมน่ าสายต่างๆ จะมีปริมาณนา
ลดลง ส่งผลกระทบต่อการดาเนินชีวิตของคนในบริเวณลุม่ นาชี-มลู เนื่องจากสภาพดนิ ทราย ดินเคม็ และไม่มีแหล่ง
นาทเ่ี หมาะสม ดังนัน จงึ ควรพัฒนาแหลง่ นาผวิ ดินขนาดเล็กในภาคตะวนั ออกเยงเหนือใหม้ นี าใชเ้ พ่ือการเกษตรได้
ตลอดปหี รือนานาจากแมน่ าโขงมาเก็บในอ่างที่มีอยู่ โดยการนานาเข้ามาในชว่ งฤดูฝนทรี่ ะดับนาในแม่นาโขงสงู
เพ่ือใช้ในฤดูแลง้ รวมถึงในอนาคตอาจต้องใชร้ ะบบท่อสง่ นาให้ทั่วถึงทังภูมภิ าค เพ่ือลดการสูญเสียจากการซมึ ลงใต้
ดินและการระเย เพ่ือสามารถทาการเกษตรและเลยี งสัตว์ ซง่ึ จะเป็นแหล่งผลิตอาหารทสี่ าคญั ของประเทศได้

(2) นำ้ ใตด้ ินและน้ำบำดำล ภมู ิภาคที่นานาใต้ดนิ และนาบาดาลมาใช้มากได้แก่ ภาค
ตะวนั ออกเฉียงเหนอื ซึ่งมแี หลง่ นาจดื บนพนื ทีล่ ่มุ หลายบริเวณ แต่แหลง่ นาใต้ดินหลายแหง่ มคี ณุ ภาพนาตา่ รองลง

79

ไปคือ ภาคเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันตกตามลาดบั โดยในภาคตะวันออกและภาคใต้มีแหล่งนาใต้ดินน้อย
และมกี ารใชน้ อ้ ย ซึ่งปฏสิ ัมพันธข์ องประชาชนกับการนานาใตด้ ินและนาบาดาลในประเทศไทยมาใช้ ดงั นี

1. นาใชใ้ นด้านเกษตรกรรม เน่ืองจากการขาดแคลนนาผวิ ดนิ ตามแหล่งนาตา่ งๆ และฝนที่ไม่ตก
ต้องตามฤดูกาล ทาใหต้ ้องขุดเจาะนาใต้ดินและนาบาดาลขึนมาใช้ เชน่ การปลูกผักในชว่ งฤดแู ลง้ ของเกษตรกรของ
จังวดั เพชรบรู ณ์ สโุ ขทัย นครปฐม เพชรบุรี เปน็ ต้น

2. นาใช้ภายในครวั เรอื น กาท่ีต้องนานาใต้ดนิ และนาบาดาลขนึ มาใชใ้ นครัวเรอื น เนื่องจากเป็น
พืนท่ที ีร่ ะบบการส่งนาประปายังไมถ่ ึง และนาฝนท่ีเคยนามาใช้มกี ารปนเป้ือนสารพิษ อีกทงั ผลจากการขยายตวั
ของท่อี ยู่อาศยั บริเวณปรมิ ณฑลของกรุงเทพมหานคร และเมอื งใหญต่ า่ งๆ ทาให้การบริการนาประปาไม่สามารถ
ใหบ้ รกิ ารได้ทันและทั่วถึงกับการเพ่ิมอยา่ งรวดเรว็ ของหมบู่ ้าน จึงทาให้ตอ้ งนานาใต้ดินและนาบาดาลมาใช้

3. นาใชใ้ นโรงงานอุตสาหกรรม การนานาใต้ดินและนาบาดาลขนึ มาใช้ในโรงงานอุตสาหกรรม มี
เหตผุ ลคล้ายกับการนามาใชใ้ นครัวเรอื น แต่เหตผุ ลสาคัญที่โรงงานอุตสาหกรรมนยิ มนานาใต้ดนิ และนาบาดาลมา
ใช้ เนอื่ งจากเป็นนาท่ีสะอาดและราคาถูก

ผลจากการนานาใตด้ นิ และนาบาดาลมาใชใ้ นพืนที่ปริมณฑลและเมืองใหญ่ทาให้เกดิ แผ่นดิน
ทรดุ และส่งผลกระทบต่อสภาพพนื ท่หี ลายประการ เช่น ถนนและพนื อาคารบา้ นเรือนทรุด นาท่วม นาขัง เปน็ ตน้
โดยเขตพืนท่ีท่มี ปี ญั หาวิกฤตการณ์แผ่นดินทรดุ จากการใช้นาใต้ดินและนาบาดาล จาแนกได้ 3 เขตวิกฤต ดังนี

1. เขตวกิ ฤตระดบั รุนแรง หมายถึง บรเิ วณทแี่ ผน่ ดนิ มีการทรดุ ตวั มากกวา่ 3 เซนตเิ มตรต่อปี และ
มีระดบั นาใต้ดินและนาบาดาลลดมากกวา่ 3 เมตรตอ่ ปี ได้แก่ กรุงเทพมหานคร ในพนื ท่ีเขตมนี บุรี บางเขน ดอน
เมอื ง ลาดพร้าว บึงก่มุ ห้วยขวาง คลองเตย ประเวศ พระโขนง และลาดกระบงั จงั วดั ปทุมธานี ในพืนท่ีอาเภอ
ธัญบุรี และลาลูกกา จงั หวัดสมุทรปราการในพืนทอ่ี าเภอเมืองบางพลี และพระประแดง

2. เขตวกิ ฤตระดับปานกลาง หมายถงึ บริเวณท่แี ผน่ ดินมีการทรุดตัวระหว่าง 1-3 เซนติเมตรต่อปี
และมีระดบั นาใต้ดนิ และนาบาดาลลดลงระหว่าง 2-3 เมตรต่อปี ได้แก่ กรุงเทพมหานคร ในเขตพนื ท่ีบางขนุ เทียน
หนองแขม หนองจอก และบางซือ่ จังหวดั นนทบรุ ี ในพืนท่ีอาเภอเมืองและปากเกร็ด จังหวดั สมุทรสาครในพืนที่
อาเภอเมือง บา้ นแพว้ และกระทมุ่ แบน จังหวดั ปทุมธานใี นพืนท่ีอาเภอเมือง สามโคก หนองเสือ และคลองหลวง
จงั หวัดนครปฐมในพืนทอ่ี าเภอสามพราน และนครชัยศรี

3. เขตวิกฤตระดบั นอ้ ย หมายถงึ บรเิ วณทแ่ี ผน่ ดินมกี ารทรุดตวั นอ้ ยกวา่ 1 เซนติเมตรต่อปี และมี
ระดบั นาใต้ดินและนาบาดาลลดลงน้อยกว่า 2 เมตรตอ่ ปี ได้แก่ บรเิ วณจงั หวดั อ่นื ท่อี ยโู่ ดยรอบสองเขตวกิ ฤต
ข้างต้น และพบในท่ีราบดินตะกอนของเมืองใหญ่
3.3 ปฏสิ มั พันธข์ องมนุษย์กับลักษณะชวี ภำคในประเทศไทย

1) ควำมหลำกหลำยของชนิดพรรณพืชในประเทศไทย ปา่ ไม้ทีเ่ กิดขึนตมธรรมชาติ จาแนกตามลักษณะ
วงจรชวี ิตได้ 2 ประเภท คือ ป่าไมผ่ ลดั ใบ และปา่ ผลัดใบ ดงั นี

1.1) ปำ่ ไม้ผลดั ใบ เป็นป่าท่มี เี รือนยอดเขยี วชอุ่มตลอดทงั ปี เน่ืองจากมีฝนตกไม่ต่ากว่า 2,000 มิลลเิ มตร
ต่อปี และมชี ว่ งแลง้ ฝนน้อยกว่า 3 เดอื น ป่าไม่ผลัดใบกระจายอยูท่ งั ในบริเวณหบุ เขาท่ีมีความช่ืนสูงและรมิ ฝง่ั ทะเล
ตามภมู ิภาคต่างๆ จาแนกได้ 6 ชนดิ ดงั นี

(1) ปำ่ ดิบชน้ื พบในภาคใต้และภาคตะวันออกในพนื ท่ซี ่งึ มีความสงู จากระดับทะเลปานกลางจนถึง
1,000 เมตร มภี มู ิอากาศแบบปา่ ฝนเมืองร้อน ซึ่งมฝี นตกเกือบตลอดทังปี และมีปริมาณมากวา่ 2,500 มิลลเิ มตร

80

ต่อปี มีชว่ งเวลาความแหง้ แลง้ สนั มาก คือ ไม่เกนิ 2 เดือน อากาศมีความชนื สงู ตลอดทงั ปี พันธไ์ุ ม้ท่ีพบ เช่น ยาง
ขาว ยางแดง ตะเคียน มะเด่ือ หมาก หวาย เฟิน เปน็ ตน้

(2) ป่ำดิบแล้ง พบตามภมู ภิ าคตา่ งๆ ในพนื ที่ซงึ่ มีความสงู จากระดบั ทะเลปานกลางจนถึง 700 เมตร มี
ปรมิ าณนาฝนเฉลีย่ 1,500-2,000 มลิ ลเิ มตรตอ่ ปี ระยะความแห้งแลง้ 2-3 เดือน พนั ธไุ์ ม้ทพี่ บ เชน่ ยางชนดิ ตา่ งๆ
ตะเคียน มะค่า ไผ่ หวาย กระวาน เป็นตน้
(3) ป่ำดิบเขำ พบในพนื ทภ่ี ูเขาท่มี ีความสงู ตังแต่ 1,000 เมตร มคี วามชืนสงู ตลอดปีจากไอนาและฝน มีปริมาณ
นาฝนมากกวา่ 1,500 มลิ ลิเมตรต่อปี พนั ธไ์ุ มส้ าคญั เชน่ ก่อชนดิ ต่างๆ มะขามปอ้ มดง สนใบเลก็ พญาไม้ สนแผง

เป็นต้น โดยตามลาต้นของตน้ ไม้จะมพี ชื เกาะอาศัยอยู่ เช่น เฟิน มอสส์ เปน็ ต้น

(4) ป่ำสน พบในบางพนื ที่ท่ีมีอากาศหนาวเย็นได้แก่ ภาคเหนอื ภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนือ ภาคตะวนั ตก
และภาคกลางตอนบน พบในพืนท่ีความสูงตังแต่ 200-1,600 เมตร พนื ดนิ เป็นดนิ ทรี่ ะบายนาได้ดี เช่น ดินทราย
พันธ์ุไม้สาคัญ เช่น สนสองใบ สนสามใบ และไมท้ ี่ขนึ ปะปนอยู่ เชน่ เหียง พลวง กายาน กอ่ ต่างๆ สารภดี อย เป็น
ตน้

(5) ปำ่ พรุ ปา่ ไมท้ เี่ กดิ ในพนื ทลี่ มุ่ ต่ามนี าทว่ มขงั ช่ัวคราว พนั ธ์ไุ มส้ าคัญ ได้แก่ ชมุ แสง กก กนั เกรา
ปรงทะเล เสมด็ ลาพู ประสัก เหงือกปลาหมอ โกงกาง และจาก

(6) ป่ำชำยหำด พบบรเิ วณชายฝง่ั ทะเลและสันทรายชายฝั่งทะเล พนั ธ์ไุ ม้สาคญั ไดแ้ ก่ เตยทะเล จกิ
ทะเล และผักบุง้ ทะเล

1.2) ป่ำผลัดใบ เป็นปา่ ทต่ี ้นไม้มีการทิงใบเปน็ ระยะเวลายาวนานในช่วงฤดูแล้ง พบในพนื ท่ีที่มชี ว่ งแล้งฝน
มากกวา่ 5 เดอื น โดยป่าผลดั ใบกระจายอยูใ่ นภาคเหนือ ภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวนั ตก ป่า
ผลดั ใบมี 3 ชนิด ได้แก่

(1) ปำ่ เบญจพรรณ พบในพนื ทซ่ี ่งึ มีความสงู จากระดับทะเลปานกลางจนถึง1,000 เมตร และมี
ฝนตกปริมาณเฉล่ีย 1,000-1,500 มลิ ลเิ มตรตอ่ ปี พันธุไ์ มส้ าคญั ไดแ้ ก่ สกั ยาง แดง ประดู่ มะค่าโมง งิวปา่ พชื ชนั
ลา่ ง ได้แก่ ไผ่ และรวก

81

(2) ป่ำเตง็ รงั หรอื เรยี กว่า ปา่ แดง ป่าโคก ปา่ แพะ เป็นปา่ ท่ีขนึ ไดใ้ นพนื ที่ดนิ ลกู รังสีแดง อยสู่ งู
จากระดับทะเลปานกลางไม่เกนิ 1,000 เมตร พันธไุ์ มส้ าคัญ ไดแ้ ก่ พลวง เต็ง รงั พะยอม รกฟ้า กระบก
มะขามปอ้ ม ส่วนพืชชนั ลา่ ง ไดแ้ ก่ ปรง และหญ้าเพ็ก

(3) ปำ่ หญ้ำหรอื ป่ำละเมำะ เปน็ ป่าทเี่ กิดขนึ เองตามธรรมชาตภิ ายหลังจากปา่ ดังเดิมถูก
ทาลายหมด พนั ธไุ์ ม้สาคัญ ได้แก่ กระโถน สเี สยี ด หญา้ คา หญ้าพง และแฝก

มนษุ ยใ์ ช้ประโยชนจ์ ากปา่ ไม้และทงุ่ หญา้ เช่น เพ่อื การก่อสร้าง ใชฟ้ นื เปน็ พลังงาน เป็นแหลง่ อาหาร
และยารกั ษาโรค เป็นแหล่งท่องเทยี่ ว แตใ่ นปัจจบุ ันพืนท่ปี ่าไม้ในประเทศไทยไดล้ ดลงอย่างมากจากกจิ กรรมตา่ งๆ
ของมนษุ ย์ ซง่ึ สง่ ผลให้สภาพแวดล้อมเสยี สมดุลและเกดิ ปรากฏการณห์ ลายประการ ไดแ้ ก่

1. การเกิดนาท่วมฉบั พลนั เมื่อฝนตกต่อเน่ืองหลายวัน ทงั นเี พราะป่าไม้บนภูเขาถูกทาลาย นาฝนจงึ

ไหลบ่าลงจากภเู ขาสู่พนื ราบอยา่ งรวดเร็ว
2. การขาดแคลนนาบรเิ วณแหลง่ ต้นนาลาธารเน่อื งจากนาฝนจะไหลลงหว้ ย ลาธาร โดยไม่มีป่าไม้

ชะลอการไหล จึงปรากฏเสมอว่า นาตกท่ีเคยมีนาไหลตลอดปีกลับแห้ง ไม่มีนาในชว่ งหมดฤดฝู น
3. การเกดิ แผ่นดินถลม่ เมอ่ื มฝี นตกต่อเนื่องหลายวนั ดินทช่ี ุ่มนามากและขาดพืชช่วยยดึ เหนีย่ วจะ

เคลอื่ นไถลลงมาตามความลาดของภเู ขา
4. การเพิม่ ขนึ อยา่ งรวดเรว็ ของตะกอนท้องนา เนือ่ งจากขาดพืชปกคลมุ ดนิ นาจงึ ชะลา้ งดนิ สู่ท้องนา

ทาใหล้ านาตนื เขนิ และสามารถรับปริมาณนาไดน้ ้อยลง เม่ือฝนตกนาจึงลน้ ฝ่ัง เกดิ ภาวะนาทว่ มพืนที่สองฝง่ั แม่นา
5. นาทะเลหนนุ เข้าไปในลานาในระยะทางไกลขึน เพราะการตัดไม้ทาลายปา่ ทาใหฝ้ นตกน้อยลง

ปริมาณนาจดื ในลานาที่จะผลักดันนาเค็มจากทะเลลดน้อยลง โดยนาเคม็ จากทะเลจะส่งผลเสียต่อการดารงชีวติ
ของพชื และสตั ว์นาในเขตนาจืด

2) ควำมหลำกหลำยของชนิดพันธ์สุ ตั ว์ในประเทศไทย ในประเทศไทยพบสัตวเ์ ลยี งลกู ด้วยนม 283
ชนดิ โดยเป็นค้างคาวถงึ 108 ชนิด (ค้างคาวกนิ ผลไม้ 18 ชนดิ ค้างคาวกินแมลง 89 ชนดิ และค้างคาวกินสัตวอ์ น่ื
เป็นอาหาร 1 ชนดิ ) ส่วนสัตวอ์ นื่ ๆ ได้แก่ นกชนดิ ตา่ งๆ พบมากถึง 917 ชนดิ สัตว์เลือยคลาน 298 ชนดิ โดยเปน็ งู
ถึงร้อยละ 54 กงิ ก่า จิงเหลน ตุ๊กแกร้อยละ 35 นอกจากนันเปน็ จระเข้และเต่า สตั วค์ รงึ่ บกครงึ่ นาพบ 107 ชนดิ
เช่น กบ เขยี ด อ่งึ อ่าง คางคก เปน็ ต้น

82

นอกจากนี ยังมีความหลากหลายในทะเลไทยที่สาคญั คือ ปะการงั ทีส่ วยงามหลายสายพนั ธ์ุ เป็น
แหลง่ ท่องเทยี่ วดานา ชมความสวยงามของปะการังและปลาสวยงาม

สตั วป์ ระเภทปลาและสตั วน์ าพบ 917 ชนิด ปลานาจืดท่พี บมาก เชน่ ปลาตะเพยี น ปลาหมู ปลาดกุ
ปลาเสือ ปลาสวาย ปลาเนืออ่อน ปลากัด สว่ นปลาทะเล และปลานากร่อยที่พบมาก เชน่ ปลากะพงขาว
ปลากระบอก ปลาตนี ปลาไส้ตนั ปลากระเบน และสัตวท์ ะเลอนื่ ๆ เชน่ ปู แมงดา หอย หมึก เป็นต้น

สตั วป์ ระเภทแมลงท่ีพบและมีการตงั ช่ือแล้ว 7,000 ชนิด คิดเป็นร้อยละ 10 ของแมลงทังหมดใน
ประเทศ สว่ นที่เหลอื อีกร้อยละ 90 ยังไม่ได้วินิจฉัยหรือวนิ จิ ฉยั ไม่ได้

ปัจจบุ นั สตั ว์ป่าในประเทศไทยมีจานวนลดลง สาเหตจุ ากการลดลงของพนื ทีป่ ่าไม้ที่เป็นท่ีอยอู่ าศยั
และแหลง่ อาหารของสตั ว์ป่ารวมถงึ จากการล่าของมนุษย์ ผลกระทบท่ีเกดิ ขึน คอื สัตว์เข้าไปหาอาหารในเขต
เกษตรกรรม พชื ผักผลไม้จงึ ถูกทาลาย นอกจากนียังเกิดภาวะขาดสมดลุ โดยแมลงชนิดท่ีทาลายพชื ผลทางการ
เกษตรมีจานวนเพ่ิมมากขึน

กลำ่ วโดยสรุป ระบบของธรรมชาตบิ นพืนผวิ โลกท่ปี ระกอบไปดว้ ยบรรยากาศ ธรณีภาค อุทกภาค และชีว
ภาค ลว้ นแลว้ แตม่ คี วามสัมพันธก์ ันในลกั ษณะการปรับหรือมีพลวัตเพ่ือความสมดุลเชิงระบบ นิเวศวทิ ยา ดงั นนั
มนษุ ยจ์ ึงควรศึกษาหาความรูเ้ ก่ียวกับธรรมชาติ เพื่อการปรับตัวหรอื าศัยอยู่ร่วมกนั กบั ธรรมชาตดิ ้วยการพงึ่ พาซ่ึง
กนั และกันมากกว่าการตกั ตวงผลประโยชนจ์ ากธรรมชาตแิ ต่เพยี งฝา่ ยเดยี ว โดยไม่มกี ารฟ้นื ฟสู ภาพธรรมชาติทีเ่ สยี
หายไปใหก้ ลับดีดังเดมิ อนั จะส่งผลเสียตอ่ การดารงชวี ติ ของมนษุ ยเ์ อง

83

บทท่ี 3 ภยั พบิ ัตทิ ำงธรรมชำตแิ ละกำรเปลยี่ นแปลกทำงธรรมชำติในโลก

การเปล่ียนแปลงทางสภาวะแวดล้อมของโลก อาจเกดิ ขนึ เน่ืองจากปจั จยั ธรรมชาติหรอื จากการกระทาของ
มนุษย์ ไดส้ ่งผลให้เกิดปญั หาทางกายภาพหรอื ภยั พิบตั ติ า่ งๆ ทังในประเทศไทยและภูมิภาคต่างๆของโลก อาทิ
แผ่นดินไหว สนึ ามิ อุทกภยั ตลอดจนภยั พิบตั ิอื่นๆ ก่อใหเ้ กิดผลกระทบทังโดยตรงและโดยออ้ มต่อมวลมนุษย์
ลักษณะการเปลยี่ นแปลงมีตังแต่การเกิดขนึ อย่างชา้ ๆไปจนถงึ การเกิดอย่างฉบั พลนั และรุนแรง ซง่ึ เป็นอันตรายตอ่
ชวี ติ และความเปน็ อยู่ของสงิ่ มีชีวติ จึงมคี วามจาเปน็ ท่จี ะตอ้ งศกึ ษาหาความรูเ้ กีย่ วกับภยั พิบตั ิทางธรรมชาติและ
การเปล่ียนแปลงทางธรรมชาตใิ นโลกตา่ งๆ เพ่ือจะได้ปรบั วิถชึ วี ิตให้สอดคลอ้ งกับสภาวะในขณะนี
3.1 ภยั พิบัตทิ ำงธรรมชำติ

ภยั พิบัตทิ ำงธรรมชำติ เปน็ เหตกุ ารณท์ เ่ี กิดขึนตามธรรมชาติ เมือ่ เกิดขนึ แลว้ จะส่งผลใหเ้ กิดอันตราย
และเกิดความสูญเสยี ทังชีวติ และทรพั ยส์ ินต่างๆ ภยั พบิ ัติทางธรรมชาติเกดิ ขนึ ใน 3 ลักษณะ คือ ภยั พิบตั ทิ ่ีเกิดขึน
เนื่องจากสาเหตุภายในโลก เช่น แผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด ภัยพบิ ัติที่เกิดขนึ บนผวิ โลก เช่น การเกิดแผน่ ดนิ ถล่ม
อทุ กภัย ภยั แล้ง ไฟป่า และภัยพิบตั ทิ ่ีเกดิ ขนึ ในบรรยากาศ เช่น วาตภัย ภาวะโลกร้อน ลกู เหบ็ ฟา้ ผ่า เปน็ ตน้
1.1 แผน่ ดนิ ไหว

แผ่นดินไหว (Earthquake) เปน็ ปรากฏการณ์ธรรมชาตทิ ีแ่ ผน่ ดนิ มีการสัน่ สะเทือน ซ่ึงเกดิ จากอทิ ธิพล
ของแรงบางอยา่ งที่อยใู่ ต้พืนโลก เมือ่ เกดิ แผ่นดินไหวคลน่ื ของแผ่นดนิ ไหวจะกระจายไปสู่บริเวณส่วนต่างๆ ของโลก
และถ้าการส่นั สะเทือนของแผ่นดนิ ไหวเปน็ ไปอยา่ งรนุ แรง อุปกรณต์ รวจจับคลื่นที่อยู่ห่างออกไปไกลนับหมื่น

กโิ ลเมตรกส็ ามารถรบั คลน่ื แผ่นดนิ ไหวได้
1) ปัจจัยท่ีทำให้เกิดแผน่ ดนิ ไหว แผ่นดนิ ไหวเกิดจากการสนั่ สะเทอื นของแผน่ ดนิ ทรี่ ้สู ึกได้จุดใดจดุ หนน่ึ บน

ผวิ โลก แผ่นดินไหวส่วนใหญเ่ กดิ จากการคลายตวั อย่างรวดเรว็ ของความเครยี ดภายในเปลือกโลกในรูปแบบของ
การเล่ือนตัวของแผน่ ดนิ ไหวไดเ้ ช่นกัน

2) สถำนกำรณ์เกดิ แผน่ ดนิ ไหว ในปจั จบุ ันได้เกดิ ปรากฎการณแ์ ผน่ ดนิ ไหวในภูมิภาคต่างๆ ของโลก
บอ่ ยครังขนึ และรุนแรงมากขึน โดยมีศูนย์กลางการเกดิ ตามพืนทเี่ ส่ยี งภยั ตา่ งๆ โดยเฉพาะตามแนวรอยต่อของแผ่น
เปลือกโลกทงั หลาย

84

ในประเทศไทยการเกิดปรากฎการณ์แผน่ ดนิ ไหวค่อนข้างน้อยและได้รับผลกระทบไม่รุนแรงมากนัก
เนื่องจากประเทศไทยตังอยู่ห่างไกลจากแนวแผ่นเปลอื กโลกและแนวภูเขาไฟ แม้ประเทศไทยจะมีรอยต่อเล่อื นมี
พลงั ในภาคเหนือ ภาคตะวนั ตก และภาคใต้ แตเ่ ป็นรอยเลอ่ื นขนาดเลก็ สว่ นใหญศ่ ูนย์กลางแผน่ ดนิ ไหวจะอยู่
บรเิ วณหมู่เกาะอันดามนั ประเทศอินเดีย ประเทศพมา่ ทางตอนใต้ของประเทศจนี และตอนเหนือของประเทศลาว

3) ผลกระทบจำกกำรเกิดแผ่นดนิ ไหว เมือ่ มีแผน่ ดนิ ไหวขนาดเล็กหรอื ปานกลางเกิดขนึ (ขนาดปานกลาง 4-6
รกิ เตอร์ ขนาดเลก็ 1-3 รกิ เตอร)์ จะเกดิ รอยรา้ วของอาคารและสง่ิ ของตกลงพนื หรือแกว่ง แตถ่ า้ ขนาดของ
แผน่ ดนิ ไหวขนาดใหญ่ คอื ตงั แต่ 7 ริกเตอร์ขึนไปจะเกิดความรุนแรงมาก คือ อาคารทีไ่ ม่แข็งแรงจะพังทรุดถล่ม มี
ผู้เสยี ชวี ติ มาก กรณีทเี่ กิดแผ่นดินไหวในพนื ท่ีทีเ่ ป็นเกาะ และมีขนาดตงั แต่ 7.5 ริกเตอร์ขึนไป ส่งผลใหเ้ กดิ คลื่นสึนา
มนิ อกจากนีการเกดิ แผ่นดินไหวขนาดใหญ่อาจจะทาใหพ้ นื ท่บี รเิ วณเชงิ เขาท่ีลาดชันเกดิ ดินถลม่ ลงมาทับบ้านเรือน
แถบเขาและอาจเกิดแผน่ ดินแยกกัน

พ้ืนท่เี สยี่ งภยั แผ่นดินไหวในประเทศไทย
กรมทรัพยากรธรณีไดจ้ ัดทาแผนทแ่ี สดงบริเวณเส่ียงภยั แผน่ ดินไหวในประเทศไทยและแสดงความเสยี่ ง
ของโอกาศการเกิดแผน่ ดนิ ไหวท่จี ะเกิดความเสียหายตามมาตราอันดบั ขนั รนุ แรงของแผ่นดนิ ไหว เรยี กวา่ ”มาตรา
เมรก์ ลั ปล์ ี”(Mercalli scaie) ดังนี
1. เขตควำมรุนแรงน้อย สภาพของแผน่ ดินไหวจะสามารถตรวจจับความสนั่ สะเทือนระดับ I-II เมร์กลั ป์ลี
โดยเครอื่ งตรวจรับความส่ันสะเทือน คนไม่สามารถรู้สึกได้ พบได้บริเวณพืนที่ส่วนใหญ่ของถาคตะวนั ออกเฉีงเหนือ
และภาคตะวันออก
2. เขตควำมรุนแรงพอประมำณ สภาพของแผน่ ดนิ ไหวคนสามารถรูส้ ึกได้ และเคร่ืองตรวจจับความ
สน่ั สะเทือนจะอยู่ในระดับ III-IV เมรก์ ลั ปล์ ี พบได้บรเิ วณภาคตะวันออกฉียงเหนือตอนบนภาคตะวนั ออก และ
ภาคใต้ฝัง่ อา่ วไทยตังแตน่ ครศรธี รรมราชลงไป
3. เขตที่มีควำมรนุ แรงน้อย-ปำนกลำง สภาพของแผ่นดนิ ไหวคนร้สู ึกได้ ระดบั ความสัน่ สะเทือน V-VI เมร์
กลั ปล์ ี บ้านสัน่ สะเทือน ตน้ ไม่ส่ัน สง่ิ ปลูกสร้างที่ออกแบบไม่ดอี าจพังได้ พบบรเิ วณภาคเหนอื ขอบภาคกลางด้าน

85

ทิศตะวันตก กรุงเทพฯ และปรมิ ณฑล ภาคตะวนั ตกตอนล่างและภาคใต้

4. เขตทม่ี ีควำมรุนแรงปำนกลำง สภาพของแผน่ ดนิ ไหวคนรู้สึกได้ สง่ิ ของในห้องตกหล่น ตึกรา้ ว ระดบั
ความสั่นสะเทือน VII-VIII เมร์กลั ป์ลี ทาใหส้ งิ่ ก่อสรา้ งเสยี หาย บรเิ วณท่อี าจเกิดขนึ ได้ ไดแ้ ก่ ภาคเหนือและภาค
ตะวนั ตกที่มชี ายแดนตดิ ต่อกับสหภาพพม่าจนถึงจงั หวัดกาญจนบุรี
4) กำรระวังภัยจำกแผน่ ดนิ ไหว การเกิดแผ่นดินไหวไม่สามารถทราบลว่ งหนา้ ได้ แต่บริเวณใดท่ีเปน็ จุดเส่ียงต่อ
การเกดิ แผ่นดนิ ไหวจึงเป็นเพียงการลดความสูญเสยี เทา่ นัน

ขอ้ ปฎบิ ัตใิ นกำรปอ้ งกันตนเองจำกภยั แผน่ ดนิ ไหว มีดงั นี
1. บคุ คลท่ีอยบู่ ริเวณจุดเสย่ี งต่อการเกิดแผน่ ดนิ ไหว ควรจดั เตรียมเครื่องอปุ โภคบรโิ ภค ยารกั ษาโรคไว้ให้
พรอ้ ม
2. ขณะเกดิ เหตหุ า้ มใช้ลิฟต์เพราะไฟฟ้าอาจดับได้ และควรมุดลงใตโ้ ตะท่ีแขง็ แรง เพือ่ ป้องกนั ส่งิ ของรว่ งหล่น

86

3. หากอยภู่ าคนอกอาคารให้หลีกเลย่ี งการอยู่ใกล้เสาไฟฟ้า กาแพง และอาคารสูง หายอยู่ใกลช้ ายฝัง่ ทะเลให้
รบี ขนึ ทีส่ งู ทห่ี า่ งจากชายฝ่ัง เพราะอาจเกิดคลน่ื สนึ ามิได้

4. ควรออกแบบอาคารและส่ิงก่อสร้างให้สามารถรับแรงแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ได้
5. ควรมีการฝกึ ซอ้ มการหลบภัยแผน่ ดนิ ไหวแตล่ ะชุมชนหรอื หนว่ งงานทอ่ี ยู่ในพนื ที่เสีย่ งแผน่ ดนิ ไหว
1.2 ภเู ขำไฟปะทุ
ภเู ขำไฟ (Volcano) เปน็ ภูเขาไฟท่เี กิดขนึ จากการปะทุของหินหนดื แกส๊ และเถ้าธลุ ี ภูเขาไฟจากใต้เปลอื กโลก
แลว้ ปรากฎตัวเป็นสภาพภมู ิประเทศ ภเู ขาไฟมที ังท่ีดับแล้วและท่ยี ังมีพลงั อยู่ ภเู ขาไฟทีด่ ับแล้วเปน็ ภเู ขาไฟที่
เกิดขึนนานมาก อาจเป็นหลายแสนล้านปี หินหนืดท่ีไหลออกมาแขง็ ตัวกลายเปน็ หนิ ภูเขาไฟบนพนื โลก ส่วนภเู ขา
ไฟที่ยังมีพลังเป็นภูเขาไฟที่มีการปะทุ หรอื ดับชัว่ คราว ซ่งึ เป็นภเู ขาไฟทม่ี อดแล้วนานนบั พันปี อาจจะปะทใุ หมไ่ ด้
อกี ปจั จุบนั นที วั่ โลกมีภเู ขาไฟทม่ี ีพลงั อยู่ประมาณ 1.300 ลกู และมีภเู ขาไฟทด่ี บั แลว้ จานวนมากท่ีกลายเป็นภูเขาที่
สาคัญ
1) ปจั จัยท่ีทำใหเ้ กิดกำรปะทุของภูเขำไฟ ดงั นี

1.1) กำรปะทุของแมกมำ แกส๊ และเถ้ำถ่ำนจำกได้เปลอื กโลก การปะทุมักมีสัณญาณบอกเหตุให้รู้
ล่วงหนา้ เช่น แผ่นดนิ ไหวในบรเิ วณรอบๆ ภูเขาไฟเกิดการสั่นสะเทอื น มีเสยี งคลา้ ยฟ้ารอ้ ง เสยี งทีด่ งั นนั เกดิ จาก
การเคลือ่ นไหวของแมกมา แกส๊ ตา่ งๆ และไอนาท่ีถูกอัดไว้ เมือ่ เกดิ การปะทุ ลาวา เศษหิน ฝนุ่ ละออง เถา้ ถ่านภูเขา
ไฟ จะถูกพน่ ออกมาทางปล่องภูเขาไฟหรือออกมาทางช่องด้านข้างของภูเขาไฟ หรอื ตามรอยแตกแยกของภเู ขาไฟ
แมกมาเมื่อขึนส่ผู ิวโลกจะเรยี กวา “ลาวา” (Lava) ลาวาทีอ่ อกสูพ่ นื ผวิ โลกมีอุณหภมู ิสูงถงึ 1.200 ⁰C ไหลไปตาม

ความลาดเอียงของพืนท่ี
1.2) กำรปะทขุ องหนิ หนดื หรอื แมกมำ ภายในแมกมาจะมีแกส๊ อยู่ เม่ือแมกมาเคลื่อนขึนมาใกล้ผวิ โลกตาม

ชอ่ งเปิดแกส๊ ต่างๆ ท่ลี ะลายอยู่จะแยกตวั ออกเปน็ ฟองแกส๊ จะเพ่ิมจานวนมากขนึ และขยายตัวอยา่ งรวดเรว็ ความ
หนืดของแมกมาตรงท่ีเกดิ ฟองจะเพ่ิมสูงขนึ ตามไปด้วย จนเกดิ การแตกรา้ วของฟองแกส๊ พรอ้ มๆ กับการขยายตัว
แลว้ เกิดปะทุออกอย่างรนุ แรง
2) สถำนกำรณ์กำรเกดิ ภูเขำไฟปะทุ ในย่านภูเขาไฟของโลกยงั มีปรากฏการณ์ภเู ขาไฟปะทุอยู่ตอ่ เน่ือง ซึง่ เปน็ ส่ิง
ที่ชีชดั ว่าภายในเปลือกโลกยงั มมี วลหนิ หนืดหลอมละลายอยู่อกี และพยายามหาทางระบายความรอ้ นดังกลา่ ว
ตวั อย่างการปะทุของภเู ขาไฟใน พ.ศ.2552-2553 ทเ่ี กิดขึนในประเทศต่างๆ เชน่ ภูเขาไฟมาโยนในประเทศ
ฟิลปิ ปินส์ได้พน่ เศษเถ้าถ่านสทู่ อ้ งฟา้ ตังแต่วนั ท่ี 24 ธนั วาคม พ.ศ. 2552 ไดม้ ีการอพยพประชาชนออกนอกพืนที่

87
แต่ปรากฏวา่ เขาไฟไม่ปะทุ เม่ือวันที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2553 ภูเขาไฟเตอรเ์ รยี ลบาในประเทศคอสตาริกา ได้พน่
หมอกควันและปะทลุ าวาร้อนทาให้เกดิ ไฟไหมป้ า่ ขนึ ส่งผลใหป้ ระขาขนจานวนมากต้องอพยพออกจากพืนทเี่ สยี่ ง
ภัย และนบั ตังแต่วนั ท่ี 26 ตลุ าคม พ.ศ. 2553 ภเู ขาไฟเมราปี บนเกาะชวา ประเทศอินโดนีเซีย ได้ปะทุอย่าง
รุนแรงหลายครัง สง่ ผลใหม้ ผี ู้เสียชวี ติ มากกวา่ 300 คน ตอ้ งมีการอพยพประชาชนราว 90.000 คนออกพนื ท่ีเส่ยี ง
ภยั และมีทรพั ยส์ นิ เสยี หายจานวนมาก

ภเู ขาไฟกระจดั กระจายยอยใู่ นทุกภมู ภิ าคของโลก บ้างก็เปน็ ภูเขาไฟท่ดี บั สนทิ แล้วบา้ งกเ็ ป็นภูเขาไฟที่รอ
วันปะทุ จากข้อมูลทางดา้ นธรณีวิทยาระบุว่าโลกมีภูเขาไฟขนาดใหญท่ ่ีมีความสงู กว่า 4.500 เมตร อยู่ถงึ 14 แห่ง

ดังต่อไปนี
สว่ นในประเทศไทยมีภูเขาไฟอยู่ในทุกภมู ิภาค ลักษณะของภูเขาไฟในประเทศไทยสว่ นใหญ่เปน็ ภเู ขาไฟ

รูปโล่ (Shield Volcano) ซ่ึงเป็นภเู ขาไฟทีม่ ีความลาดชนั น้อยประมาณ 4-10 องศา ภเู ขาไฟแบบนีเกดิ เน่ืองจาก
การไหลลามของลาวาแบบบะซอลตซ์ งึ่ ค่อนข้างเหลวและไหลงา่ ย จึงไหลแผอ่ อกไปเปน็ บริเวณกว้าง หากมีการปะทุ
ขนึ ก็จะไม่รนุ แรง
ภเู ขาไฟในหลายภูมิภาคของไทยเป็นภเู ขาไฟท่ดี ับแล้ว พบไดใ้ นจงั หวดั ดังตอ่ ไปนี

88

3) ผลกระทบทเ่ี กดิ จำกกำรปะทขุ องภเู ขำไฟ
1. ทาให้เกิดแรงสนั่ สะเทอื น มที งั การเกดิ แผ่นดินไหววเตือน แผน่ ดนิ ไหวจริง และแผ่นดนิ ไหวติดตาม

ถา้ ประชาชนไปตังถนิ่ ฐานอยู่ในเชิงภเู ขาไฟอาจหนีไม่ทนั และอาจเกดิ ความสูญเสยี แกช่ ีวติ และทรัพย์สนิ ได้
2. การเคลื่อนที่ของลาวา อาจไหลมาจากปากปล่องภูเขาไฟและเคล่ือนทีเ่ ร็วถึง 50 กิโลเมตรต่อชัว่ โมง

มนษุ ย์และสัตว์อาจหนีภัยไม่ทันและเกดิ ความสูญเสียอย่างใหญห่ ลวง
3. การเกดิ ฝนุ่ ภูเข้าไฟ เถา้ มลู ภูเขาไฟ ปะทขุ ึนส่บู รรยากาศครอบคลุมอาณาบริเวณใกล้ภเู ขาไฟ

และลมอาจพดั พาไปไกลจากแหล่งภเู ขาไฟปะทุหลายพันกิโลเมตร ทาใหเ้ กดิ มลภาวะทางอากาศและทางนา ใน
แหลง่ นากนิ นาใชข้ องประชาชน เม่อื ฝนตกหนักอาจจะเกิดนาทว่ มและโคลนภล่มตามมาจากฝุ่นและเถา้ ภูเขาไฟ
เหล่านนั

4. เกิดคล่ืนสึนามิ ขนาดเกิดการปะทุของภเู ขาไฟ โดยเฉพาะภูเขาไฟใต้ท้องทะเล คลื่นนีอาจโถมเขา้
ฝ่งั สูงขนาดตกึ 3 ชันขึนไป

4) กำรระวังภัยทเี่ กิดจำกภเู ขำไฟปะทุ สามารถทาได้ดงั นี
1. ต้องมกี ารพยากรณว์ า่ ภเู ขาไฟจะเกิดปะทุขนึ และอาจเปน็ อนั ตรายกับประชาชนหรือไม่ โดย

การประชาสมั พันธ์ การพยากรณแ์ ละเตือนภยั ภเู ขาไฟปะทุทางวิทยโุ ทรทศั น์ใหป้ ระชาชนรับรอู้ ย่างทั่วถึง ใหช้ ัดเจน
จะเกิดขนึ เมื่อไร จะตอ้ งมกี ารอพยพหรอื ไม่ เพราะอาจมีบางคนไม่อยากอพยพจนกว่าจะมกี ารปะทุ และผู้คนจะ
กลบั มาอยบู่ ้านของตนไดเ้ รว็ ท่ีสดุ เมื่อใด

2. การพยากรณ์ควรเร่ิมต้นด้วยการสงั เกต เกบ็ ข้อมลู และวิเคราะหข์ ้อมูลโดยนักภูเขาไฟวทิ ยาทีม่ ี
ประสบการณ์อย่าจรงิ จงั เพราะภูเขาไฟไมป่ ะทุบ่อยนกั ประชาชน 2-3 พันล้านคนของโลกอาจไม่รู้ว่าไดต้ ังถิ่นฐาน
อยบู่ นเชงิ ภเู ขาไฟที่ดบั หรือไม่ดบั กต็ าม ดังนันการเตือนภัยลว่ งหน้าจะชว่ ยลดจานวนคนทตี่ กเป็นเหยอ่ื ของภเู ขาไฟ
กไ็ ด้ ดงั นนั จึงควรให้ความรูว้ ่าภเู ขาไฟอย่ทู ี่ไหน จะปะทเุ ม่ือไร จะคุ้มครองชวี ิตและทรัพยส์ ินได้อยา่ งไรเม่ือเกิดภัย
พบิ ตั ขิ นึ

3. การให้ความรแู้ กป่ ระชาชน ทาไดต้ ลอดเวลาทงั ก่อน ระหวา่ ง และหลังประสบภยั พบิ ัติ เม่ือ
ประชาชนรู้เรอ่ื งภัยพิบตั จิ ากการปะทุของภูเขาไฟ นบั วา่ การเตือนภัยจากภเู ขาไฟปะทุมีความสาเรจ็ ไปคร่ึงทางแลว้
ดกี วา่ ใหป้ ระชาชนตกอยู่ในความมดื เมื่อเกิดภัยพบิ ัติขึน

1.3 สนึ ำมิ

89

สนึ ำมิ (Taunami) เปน็ ภยั พิบัตทิ างธรรมชาติอย่างหนงึ่ ในภาษาญ่ีปนุ่ แปลวา่ “คล่นื อา่ วจอดเรือ”
(Haebour Waver) ซงึ่ สึ คาแรก แปลว่า ท่าเรือ ( Harbour) ส่วนคาทสี่ อง นามิ แปลว่า คล่นื (Wave) ในบางครงั
ก็อาจเรียกว่า “Seismic Wave” ปัจจบุ ันใชค้ าเรียกกล่มุ คลนื่ ที่มีความยาวคลื่นมากๆ ขนาดหลายรอ้ ยกิโลเมตร
นับจากยอดคลื่นที่ไล่ตามกนั ไป
1) ปจั จัยท่ีทำให้เกดิ สึนำมิ สึนามเิ ป็นคล่ืนทะเลขนาดใหญ่ทเ่ี คล่ือนตวั อยา่ งรวดเรว็ และมพี ลงั มาก เกดิ จากมวลนา
ในทะเลและมหาสมุทรไดร้ บั แรงสัน่ สะเทอื นอย่างรุนแรง จนกลายเปน็ คล่นื กระจายตวั ออกไปจากศูนยก์ ลางของ
การสัน่ สะเทือนนัน ส่วนใหญ่มักเกิดขนึ เม่ือมแี ผ่นดินไหวรุนแรงใตท้ ้องทะเลย แตก่ ็อาจเกดิ จากสาเหตุอื่นๆได้ เชน่
การปะทุของภเู ขาไฟบนเกาะหรือใตท้ ะเล การพงุ่ ชนของอุกกาบาตขนาดใหญล่ งบนพนื นาในมหาสมทุ ร การ

ทดลองระเบดิ นวิ เคลียร์ใต้ทะเล เปน็ ต้น
2) สถำนกำรณ์กำรเกดิ สึนำมิ บริเวณที่มกั เกดิ คลน่ื สนึ ามิ คือ ในมหาสมทุ รแปซฟิ ิก โดยเฉพาะประเทศญป่ี นุ่

มกั ไดร้ บั ภยั จากสึนามบิ ่อยครังส่วนในทะเลอนั ดามันของมหาสมทุ รอินเดียไม่เคยเกิดสนึ ามิท่รี ุนแรงมาก่อน จนเมอื่
วนั ท่ี 26 ธันวาคม พ.ศ. 2547 ไดเ้ กดิ สนึ ามิทีร่ นุ แรงมาก มีจุดกาเนิดอยู่ในทะเลทางตอนเหนือของเกาะสมุ าตรา ใน
ประเทศอินโดนีเซยี แล้วแผข่ ยายไปในทะเลอันดามนั จนไปถึงฝ่งั ตะวันออกของทวปี แอฟริกา ส่งผลใหม้ ผี ู้เสยี ชวี ติ
มากกวา่ 200.00 คน ใน 11 ประเทศ ไดแ้ ก่ อนิ โดนีเซีย มาเลเซีย ไทย พมา่ อนิ เดยี บังกลาเทศ ศรลี ังกา มัลดีฟส์
โซมาเลยี แทนซาเนยี และเคนยา ในประเทศไทยมผี เู้ สียชวี ติ ประมาณ 5,400 คนใน 6 จังหวัด

3) ผลกระทบท่ีเกิดจำกสึนำมิ ผลของคลื่นสนึ ำมิทม่ี ตี ่อสิง่ แวดลอ้ มและสังคม มีดงั นี
1. ทาให้แผน่ เปลอื กโลกขยับ ค่าพิกัดทางภมู ิศาสตร์คลาดเคลื่อนไป
2. สง่ ผลใหส้ ภาพพนื ทชี่ ายฝ่งั ทะเลเปลย่ี นแปลงไปในชว่ งเวลาอันสนั

3. ทาให้สูญเสยี ทงั ชีวติ และทรัพย์สนิ ต่างๆ เชน่ บา้ นเรอื นเสยี หาย ระบบสาธารณปู โภคถูกทาลาย เปน็ ต้น
4. ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศ เชน่ สัตวน์ าบางประเภทเปล่ยี นท่ีอยู่อาศยั เป็นตน้
5. กระทบต่อการประกอบอาชีพของประชาชน เชน่ การทาประมง การคา้ ขายบริเวณชายหาด

90

6. ส่งผลกระทบตอ่ ธุระกจิ การท่องเท่ยี ว ทาให้นกั ทอ่ งเทีย่ วลดลง

4) กำรระวังภยั จำกสนึ ำมิ วิธสี ังเกตและปอ้ งกันตนจำกคลนื่ สึนำมิ มีดงั นี
1. เมื่อเกดิ แผน่ ดินไหวขณะท่ีอย่ใู นพืนท่ีจงั หวัดติดชายฝัง่ ทะเลย ต้องระลึกเสมอว่าอาจเกดิ คล่นื สนึ า

มติ ามมา เพอื่ จะได้เตรียมตัวใหพ้ ร้อมทุกเม่อื
2. สงั เกตปรากฏการณข์ องชายฝั่ง เช่น มีการลดระดบั นาทะเล ให้รีบอพยพครอบครวั และสตั วเ์ ลียง

ขึนทีส่ ูง เปน็ ตน้
3. ถา้ อยู่ในเรือจอดใกล้กับชายฝั่งใหร้ ีบนาเรือออกไปกลางทะเล
4. หลกี เลย่ี งการกอ่ สรา้ งใกลช้ ายฝั่งในบริเวณท่ีมคี วามเส่ยี งสูง หากจาเปน็ ต้องมีการก่อสรา้ ง ควรมี

โครงสร้างแขง็ แรงต้านแรงสึนามไิ ด้
1.4 อทุ กภยั

อทุ กภยั (Flood) คือ ภัยที่เกดิ จากนาทว่ ม ซ่งึ เป็นนาท่ที ่วมพนื ที่บรเิ วณใดบรเิ วณหนึ่งเปน็ ครงั คราว
เนอ่ื งจากมีฝนตกหนักหรือหมิ ะละลาย ทาให้นาในลานาหรือทะเลสาบไหลลน้ ตลงิ่ หรอื ป่าลงมาจากที่สงู ส่งผลให้
เกิดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพยส์ ินของประชาชน

1) ปัจจัยท่ที ำให้เกิดอุทกภยั ปัจจัยสำคญั ที่ส่งผลใหเ้ กิดอทุ กภัย มดี งั นี
1.1 ฝนตกหนักและต่อเนอื่ งยำวนำน เนอื่ งจากเกิดลมพายุ ลมมรสมุ มกี าลังแรงหรือหยอ่ มความกด

อากาศต่ามีกาลงั แรง ส่งผลให้ไม่สามารถระบายนาออกจากพืนทีไ่ ดท้ นั

91

1.2 พ้นื ท่เี ป็นท่ีรำบล่มุ บริเวณพืนท่ีราบลุ่มแม่นามักจะประสบปญั หานาท่วมเปน็ ประจาทกุ ปี หากมีฝนตกหนกั

ต่อเน่ือง เน่อื งจากเปน็ พนื ทต่ี ่าจงึ ไมส่ ามารถระบายนาออกไปได้
1.3 น้ำทะเลหนุน ถา้ หากมนี าทะเล ขนึ สงู หนนุ นาเข้าสปู่ ากแมน่ าจะทาให้นาเอ่อไหลล้นฝ่ัง ทาให้

เกดิ นาทว่ มบริเวณสองฝั่งแมน่ า
1.4 พ้นื ทร่ี องรับน้ำต้ืนเขิน นับเปน็ มลู เหตุสาคญั ทที่ าใหเ้ กดิ นาท่วม เพราะปริมาณนาฝนท่ีตกลงมา

แต่ละปีมปี ริมาณไมแ่ ตกตา่ งกัน แต่ตะกอนในท้องนาของแมน่ าลาคลองและบงึ มมี าก เม่ือถึงช่วงฤดฝู นที่มปี ริมาณ
นามากจึงไมม่ ีแหลง่ กักเก็บจงึ เออ่ ท่วมพืนท่ีตา่ งๆ

1.5 สง่ิ กดี ขวำงทิศทำงกำรไหลของน้ำ ในอดตี นาฝนทีต่ กลงสพู่ นื ดินจะไหลโดยอิสระลงส่แู หล่งนา
ธรรมชาติ แต่ในปจั จบุ ันไดม้ สี ิ่งกีดขวางเส้นทางการไหลของนาทังในลานา เช่น ตะกอน สิ่งก่อสร้างริมลานา กระชงั
ปลา สว่ นบรเิ วณบนพนื ดินมกี ารสรา้ งถนน อาคาร บา้ นเรือน และพืนทเ่ี กษตรกรรมขวางทิศทางการไหลของนา
นาจงึ ไมสามารถไหลและระบายได้ จึงเกดิ นาทว่ มขนึ ตามพืนท่ีต่างๆ

ลักษณะภมู ปิ ระเทศที่เสี่ยงต่อกำรเกิดอุทกภยั มีดงั นี
1. บริเวณทรี่ าบ เนนิ เขา จะเกิดอุทกภยั แบบฉับพลัน นาไหลบา่ อย่างรวดเร็วและมพี ลังทาลายสงู
ลักษณะแบบนี เรียกว่า “นาป่า” เกิดขนึ เพราะมนี าหลากจากภเู ขา อนั เนื่องจากมีฝนตกหนกั บริเวณตน้ นา จงึ ทา
ใหเ้ กดิ นาหลากท่วมฉับพลนั
2. พนื ที่ราบล่มุ รมิ แมน่ าและชายฝั่ง เปน็ ภยั พิบัตทิ เ่ี กดิ ขนึ ช้าๆ จากนาล้นตลิ่ง เมอ่ื เกิดจะกินพืนท่ี
บริเวณกวา้ ง นาทว่ มเป็นระยะเวลานาน
3. บริเวณปากแม่นา เป็นอุทกภยั ทีเ่ กิดจากนาท่ไี หลจากที่สูงกวา่ และอาจจะมีนาทะเลหนนุ
ประกอบกับแผ่นดนิ ทรดุ จงึ ทาให้เกิดนาท่วมขงั ในท่สี ดุ
2) สถำนกำรณืกำรเกิดอทุ กภัย ปจั จุบันนาท่วมท่ีเกดิ ขนึ ในภูมภิ าคต่างๆ ของโลกและที่เกดิ ขึนใน
ประเทศไทยมกั เกิดขึนอยา่ งฉับพลัน และเกิดรุนแรงขึน เน่ืองจากมีฝนตกหนงั ต่อเน่ืองกันเป็นเวลานาน
ตัวอย่างเชน่ นาท่วมครังใหญ่ในสหรฐั อเมรกิ า เม่ือปลายเดือนมนี าคม พ.ศ. 2552 ทาให้ประชาชนหลายพันคนใน
รฐั นอร์ทตาโคตาและมินนโิ ซตต้องอพยพออกจากบ้านเรือน และการเกดิ นาทว่ มฉบั พลันในประเทศฟิลปิ ปินส์
ในชว่ งเดอื นกนั ยายน พ.ศ. 2552 นบั เปน็ ภาวะนาทว่ มครงั รุนแรงทสี่ ดุ ในกรุงมะนลิ าในชว่ งเวลา 42 ปี เน่ืองจาก

92

อิทธผิ ลของพายุโซนร้อนกสิ นา ทาใหม้ ีผเู้ สีชีวิตหลายรอ้ ยคนและคนไร้ท่อี ยอู่ าศยั จานวนมาก เปน็ ต้น

ส่วนอทุ กภยั ในประเทศไทยมกั เกดิ ในลักษณะนาทว่ มฉับพลัน หรอื นาป่า ทงั นีเนื่องจากมีการทาลายป่าไม้ เมื่อ
ฝนตกนาจึงไหลช้าลงและเกิดนาท่วม เม่อื ปริมาณนามากขึนจะมีกาลงั ทาลายรา้ งสงู เชน่ เมือ่ วนั ท่ี 11 สงิ หาคา
พ.ศ. 2544 มีพายุโซนร้อนเกิดขึนทาให้เกิดฝนตกหนักต่อเน่อื งในตาบลนาก้อ อาเภอหล่มสัก จงั หวดั เพชรบรู ณ์ ทา
ใหด้ นิ ถล่มบนเขาและมีนาปา่ ไหลเขา้ ท่วมบ้านเรือน มีท่อนไมแ้ ละซากไม้ไหลลงมากบั กระแสนาเกดิ ความเสียหาย
แก่ชีวิตและทรัพยส์ นิ มผี ู้เสยี ชวี ิต 125 คน นอกจากนี สถานการณน์ าท่วมก็ยังเกิดขึนทกุ ปใี นพืนท่รี าบนาทว่ มถึง
ของแม่นาชี แมน่ ามูล แมน่ าเจา้ พระยา และแม่นาตา่ งๆ

3) ผลกระทบท่เี กิดจำกอุทกภัย สามารถแบ่งอันตราย และความเสยี หายทเ่ี กิดจากอทุ กภัย ไดด้ ังนี
1. นาท่วมอาคารบ้านเรอื น ส่ิงกอ่ สรา้ งและสาธารณสถาน ซ่ึงทาใหเ้ กิดความเสยี หายทาง

เศรษฐกิจอยา่ งมาก บ้านเรอื นหรืออาคารส่ิงก่อสรา้ งที่ไมแ่ ข็งแรงจะถูกกระแสนาท่ีไหลเชี่ยวพังทลายได้ คน สตั ว์
พาหนะ และสัตวอ์ าจไดร้ ับอันตรายถงึ ชีวิตจากการจมนาตาย

2. เส้นทางคมนาคมและการขนสง่ อาจจะถูกตดั เปน็ ชว่ งๆ โดยความแรงของกระแสนา ถนน
สะพานอาจจะถกู กระแสนาพัดให้พงั ทลายได้ สนิ คา้ พัสดทุ ี่อยรู่ ะหว่างการขนสง่ จะไดร้ บั ความเสยี หายมาก

3. ระบบสาธารณูปโภค จะได้รับความเสียหาย เชน่ โทรศัพท์ ไฟฟ้า เป็นตน้
4. พนื ท่ีการเกษตรและการปศุสัตว์จะได้รบั ความเสยี หาย เชน่ พชื ผล ไรน่ า ทีก่ าลังผลดิ อก
ออกผลบนพืนท่ตี ่า อาจถูกนาท่วมตายได้ สัตว์พาหนะ สัตวเ์ ลียง ตลอดจนผลผลิตที่เก็บกักตนุ หรอื มีไว้เพ่ือทาพันธ์ุ
จะไดร้ บั ความเสยี หาย ความเสียหายทางอ้อม จะสง่ ผลกระทบต่อเศรษฐกจิ โดยทัว่ ไป เกิดโรคระบาด สุขภาพจติ
เสอื่ ม และสญู เสียความปลอดภยั เป็นตน้
4) วธิ ปี ฏิบัตใิ นกำรป้องกนั ตนเองจำกอุทกภยั มีดังนี
1. การวางแผนการใชท้ ี่ดนิ อย่างมปี ระสิทธิภาพ ควรกาหนดผงั เมอื งเพอ่ื รองรบั การ
เจริญเตบิ โตของตวั เมอื ง ไมใ่ ห้กีดขวางทางไหลของนา กาหนดการใชท้ ี่ดนิ บรเิ วณพืนท่ีนาทว่ มใหเ้ ปน็ พนื ท่รี าบลุ่ม
รับนา เพอ่ื เปน็ การหนว่ งหรือชะลอการเกิดนาท่วม
2. ไม่บุกรุกทาลายป่าไม้ และไม่ปลูกพชื ไร่บนพนื ท่ภี ูเขาสูงชนั เพราะจะขาดพืนท่ีดูดซับและ
ชะลอการไหลของนา ทาใหน้ าไหลลงสูแ่ มน่ า ลาห้วยได้อย่างรวดเรว็

93

3. การเคล่ือนยา้ ยวสั ดุจากที่ทีจ่ ะไดร้ ับความเสยี หายอนั เน่ืองมาจากนาทว่ มให้ไปอยู่ในท่ี
ปลอดภัยหรอื ท่สี งู

4. การนาถงุ ทรายมาทาเขอื่ น เพอ่ื ป้องกนั นาท่วม
5. การพยากรณ์และการเตือนภยั นาท่วมให้ประชาชนรบั ทราบล่วงหนา้ เพือ่ เตรยี มปอ้ งกัน
6. การสร้างเข่ือน ฝาย ทานบ และถนน เพ่ือเปน็ การกักเกบ็ นาหรือเปน็ การกนั ทางเดินของนา

เป็นตน้
ข้อควรปฏบิ ัตเิ ม่ือเกิดอุทกภัย มีดังนี
1. ตดั สะพานไฟ และปิดแก๊สหุงต้มให้เรียบร้อย
2. อย่ใู นอาคารท่แี ข็งแรงและอยู่ท่สี ูงพ้นจากนาที่เคยทว่ ม
3. ทาร่างกายใหอ้ บอุ่นอยูเ่ สมอ
4. ไม่ควรขบั ข่ยี านพาหนะฝ่าลงไปในกระแสนาหลาก
5. ไมค่ วรเลน่ นาหรือว่ายนาเล่นในขณะนาทว่ ม
6. ระวังสัตวท์ ีม่ ีพษิ ทีห่ นีนาท่วมขึนมาอยู่บนบา้ น และหลังคา กดั ตอ่ ย เชน่ งู ตะขาบ
7. ตดิ ตามเหตกุ ารณ์อยา่ งใกล้ชิด เช่น สังเกตดนิ ฟ้าอากาศ หรือติดตามคาเตือนทเ่ี ก่ียวกบั

ลักษณะอากาศจากกรมอุตนุ ยิ มวิทยา
8. เตรยี มพรอ้ มท่ีจะอพยพไปในทป่ี ลอดภยั ของชวี ติ มากกว่าห่วงทรัพยส์ ิน

ข้อควรปฏิบตั ิหลังเกิดอุทกภัย มดี งั ตอ่ ไปน้ี
1. ขนส่งคนอพยพกลบั ภูมิลาเนา
2. ชว่ ยเหลือในการรือสิง่ ปรักหักพงั ซ่อมแซมบา้ นเรือน อาคาร ต่างๆ
3. ทาความสะอาดบา้ นเรือน ถนนหนทางทีเ่ ต็มไปดว้ ยโคลน
4. ซอ่ มแซมสาธารณปู โภค ให้กลบั คืนส่สู ภาพปกตโิ ดยเรว็ ทส่ี ุด
5. ซ่อมแซมถนน สะพาน และรางรถไฟ ใหก้ ลับสสู่ ภาพเดิมใหเ้ รว็ ท่ีสดุ
6. การสงเคราะห์ผ้ปู ระสบภัย จากหนว่ งบรรเทาทุกขต์ า่ งๆ
7. การจดั การด้านสาธารณสขุ เพื่อป้องกนั โรคตา่ งๆ ท่ีอาจเกิดขนึ ภายหลัง

94

8. ชว่ ยเหลือสตั วต์ า่ งๆ ทมี่ ชี ีวติ อยู่
1.4 แผน่ ดินถล่ม

แผน่ ดินถลม่ (Landslides) คอื การเคลอ่ื นที่ของแผน่ ดิน และกระบวนการซง่ึ เก่ียวข้องกับการ
เคลื่อนท่ีของดินหรอื หิน ตามบรเิ วณพืนทลี่ าดชนั ทเ่ี ป็นภเู ขาหรอื เนนิ เขา

1) ปจั จยั ทที่ ำใหเ้ กดิ แผ่นดินถล่ม แผ่นดินถล่มเกิดขึนเน่ืองจากแรงดงึ ดูดของโลกอาจเลื่อนหลดุ ออกมา
เป็นกระบหิ รือพงั ทลายลงมาก็ได้ ส่ิงทเี่ ป็นตัวกระตุ้นใหเ้ กดิ แผน่ ดินถล่มมที ังท่ีเป็นธรรมชาติและท่ีมนุษย์กระทาขนึ

1.1 ปจั จยั จำกธรรมชำติ มีดังนี
1. การเกิดแผน่ ดินไหวทรี่ ุนแรงมากจะส่งผลให้เกิดแผ่นดินบริเวณลาดเขาที่มีความชันเกดิ

การเคลื่อนที่ลงมาตามแรงดึงดูดของโลก
2. การเกดิ ฝนตกหนกั ฝนท่ีตกหนกั ต่อเน่อื งกนั หลายๆวนั นาฝนจะซมึ ไปสะสมอยู่ในเนอื ดนิ

เมื่อดนิ ไม่สามารถอุ้มนาไว้ได้จะล่นื ไถลลงตามความลาดชนั และมักมีต้นไมแ้ ละเศษหินขนาดต่างๆ เลอ่ื นไหลตามไป
ดว้ ย

นอกจากนแี ผ่นดนิ ถลม่ อาจเกดิ จากปัจจัยอ่ืนๆ เชน่ ภเู ขาไฟปะทุ หิมะตกมากหรือหิมะ
ละลาย คลืน่ สึนามิ การเปลี่ยนแปลงของนาใตด้ นิ การกัดเซาะของฝ่ังแมน่ า ไหล่ทวปี เป็นตน้
1.2 ปัจจัยจำกมนุษย์ มดี ังนี

1. การขุดตนบริเวณไหลเ่ ขา ลาดเขาหรือเชงิ เขา เพอ่ื ทาการเกษตร การทาถนน การขยาย
ทรี่ าบในการพัฒนาท่ดี ิน เป็นตน้

2. การดดู ทรายจากแม่นา หรอื บนแผน่ ดนิ
3. การขดุ ดนิ ลึกๆ ในการก่อสรา้ งห้องใต้ดนิ ของอาคาร
4. การบดอดั ดินเพอ่ื การก่อสร้างทาใหเ้ กดิ การเคลื่อนของดนิ ในบรเิ วณใกล้เคียง
5. การสูบนาใต้ดิน นาบาดาลท่ีมากเกนิ ไป
6. การทาลายป่าเพ่ือทาไร่ ทาสวน เปน็ ต้น

95

2. สถำนกำรณ์กำรเกิดแผน่ ดนิ ถลม่ การเกดิ แผน่ ดนิ ถลม่ ในตา่ งประเทศและในประเทศไทยมีลกั ษณะคลา้ ยกนั คือ
มกั เกดิ ในพืนท่ีภเู ขาที่มีความลาดชนั มกี ารปรับพืนท่ีปา่ ตังเดิมเป็นพืนทีเ่ กษตรกรรม สร้างบา้ นพกั อาศยั สร้างรีสอร์
ตบริการนักท่องเทย่ี ว และเม่ือมฝี นตกชกุ ต่อเนื่องยาวนานมากกว่า 24 ช่วั โมง มกั จะเกดิ แผ่นดนิ ถล่มเอาดินโคลน
เศษหิน ซากไม้ลงมาพร้อมกบั สายนา สรา้ งความเสียหายทงั ตอ่ ชีวิตและทรัพย์สนิ ทุกครัง และการเกิดเหตกุ ารณ์
ดังกล่าวนีมกั เกดิ ถี่ขึน และรนุ แรงมากขนึ ทุกๆครงั ด้วย ตวั อย่างเชน่ ประเทศยูกันทวีปแอฟรกิ าไดเ้ กดิ ดินถล่มใน
หม่บู ้านแถบเทือกเขาทางภาคตะวนั ออกของประเทศ เม่ือเดือนมีนาคม พ.ศ. 2553 เนอ่ื งจากมีฝนตกหนักในพืนท่ี

อย่างต่อเนอ่ื ง จึงส่งผลใหม้ ีผ้เู สยี ชีวิตมากกวา่ 100 คน และผูส้ ูญหายอกี กวา่ 300 คน และที่ประเทศจนี ใตเ้ กิด
แผ่นดนิ ถลม่ บอ่ ยครัง เช่น เมื่อวันท่ี 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2553 ไดเ้ กิดฝนตกหนักในเขตมณฑลยนู นานและมณฑล

เสฉวน สง่ ผลให้เกดิ ดินถล่มมีผู้เสียชีวิต 148 คน และบา้ นเรือนเสียหายอยา่ งมาก

ตวั อย่างแผน่ ดนิ ถล่มในประเทศไทย เชน่ เมื่อวนั ท่ี 23 พฤษภาคม พ.ศ.2549 ที่อาเภอลับแล อาเภอท่าปลา อาเภอ
เมือง จงั หวัดอุตรดติ ถ์ อาเภอศรีสชั นาลัย จังหวดั สโุ ขทยั
1.5 กำรกัดเซำะชำยฝ่ัง
การกัดเซาะชายฝงั่ (Coastal Erosion) คือการทช่ี ายฝงั่ ทะเลถูกกดั เซาะจากการกระทาของคลืน่ และลอมในทะเล
ทาใหช้ ายฝงั่ ร่นถ่อยแนวเข้าไปในแผ่นดิน สง่ ผลกระทบต่อสิ่งแวดลอ้ มและการดารงชวี ติ ของมนษุ ย์

1. ปจั จยั ที่ทาใหเ้ กิดการกัดเซาะชายฝัง่ ทะเล มีดงั ต่อไปนี
A ธรณพี บิ ัตภิ ยั ทีเ่ กดิ ในบริเวณชายฝงั่ เป็นสาเหตหุ นง่ึ ท่ที าให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างเดน่ ชดั เชน่
แผ่นดนิ ไหว ภเู ขาไฟปะทุ แผ่นดินถลม่ เปน็ ตน้
B การเปล่ยี นแปลงของอากาศ เปฯ็ ปจั ยั หน่งึ ทท่ี าให้โลกมสี ภาพแวดลอ้ มต่างๆ กัน อุณหภูมิอากาศโลกทีส่ งู ขนึ
อากาศท่ีร้อนขนึ จะทาให้ลักษณะของลม คลนื่ รุนแรงระดับนาขึนนาลงเปลยี่ นแปลง เกิดพายุรุนแรงและถ่ีกว่าเดมิ
C ระดับนาทะเลสงู ขนึ ระดับนาทะเลสงู ขึนสว่ นหนึ่งเกิดจากอากาศมอี ุณหภูมสิ ูงขึน ทาใหน้ าทะเล
ขยายตัว และยังทาให้ธารนาแขง็ ในบรเิ วณขวั โลกและบนภูเขสูงละลายไหลลงสมู่ หาสมุทร
D ลักษณะโครงสรา้ งทางธรณวี ิทยาของท้องทะเลทมี่ ีการเคลอื่ นทต่ี ามแผ่นเปลือกทะเลทาให้เกิดการทรุดตวั ของ
พนื ที่ นอกจากนีการทรุดตัวของพืนทช่ี ายฝั่งอาจเกดิ จากการกดทับหรืออัดตัวของตะกอนในพืนท่หี รืออาจเกิดจาก
การสบู ขดุ หรือดดู ทงั ของแข็งและของเหลวออกจากพนื ที่ เชน่ การสบู นาบาดาลขนึ มาใช้ในปรมิ าณมาก ทาใหเ้ กิด
การทรดุ ตัวของพนื ท่ี เปน็ ต้น

96

E ปริมาณตะกอนไหลลงสู่ทะเลลดนอ้ ยลง จากการที่มีสิ่งกอ่ สร้างปิดกนั การไหลของนาตามธรรมชาติ ทาให้
ปรมิ าณตะกอนตามแนวชายฝง่ั ลดลง การกัดเซาะจึงเกดิ ขึนงา่ ย
F กจิ กรรมของมนุษย์บนชายฝ่ังทีพ่ ัฒนาขึนมาโดยไม่สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมชายฝัง่ เช่น การสร้างตกึ สงู
ตามแนวชายหาดทรายด้านนอกที่ติดทะเล การถมทะเลเพื่อการพฒั นาท่ีดิน การเปลย่ี นสภาพป่าชายเลนทเ่ี ปน็
ปราการธรรมชาตไิ ปทาประโยชน์อยา่ งอ่นื การสร้างสิง่ ก่อสรา้ งขนาดใหญ่ท่ีกีดขวางการเคลอื่ นทีต่ ามธรรมชาติของ
คลื่นและกระแสนา เป็นต้น
2) สถำนกำรณ์ชำยฝัง่ ถูกกัดเซำะ จากการวัดระดับนาทะเล โดยสถานวี ัดนา ทะเลทวีปตา่ งๆ ทวั่ โลกพบว่า มีการ
เปลยี่ นแปลงเพม่ิ ขนึ 12-15 เซนติเมตร บางแหง่ ท่ีมรี ะดบั นาทะเลเพมิ่ ขนึ จะเกิดการทรุดตวั ของแผ่นดิน
ตัวอยา่ งเชน่ ประเทศสหรัฐอเมริกาได้สูญเสีย พืนทีเ่ กาะเวลสเกต (Whale Skate) ในบรเิ วณหมเู่ กาะฮาวาย จาก
การเพิ่มขนึ ของระดบั นาทะเลหรือประชากรของประเทศตวู าลูที่กาลงั เดือดรอ้ นตอ้ งหาท่ีอย่ใู หม่ เนอื่ งแผน่ ดนิ จะจม
ไปเชน่ กนั ทงั นีมีการคาดการณ์วา่ หากระดับนาทะเลสงู ขนึ อกี 1 เมตร พนื ท่ีชายฝั่งของประเทศอุรกวัยจะหายไป
ร้อยละ 0.05 ประเทศอียปิ ต์ร้อยละ 1 ประเทศเนเธอร์แลนด์ ร้อยละ 6 ประเทศบังกลาเทศรอ้ ยละ 17.5 และหมู่
เกาะมารแ์ ชลล์อาจสญู เสยี พืนทถี่ ึงรอ้ ยละ 80 การเปลี่ยนแปลงดงั กลา่ วทาให้มกี ารประเมนิ วา่ ในชว่ ง 30 ปขี ้างหน้า
จะมกี ารทรุดตัวของแผ่นดินชายฝ่งั ถูกกัดเซาะและความแปรปรวนของภูมิอากาศโลกจะเพิม่ ระดับความรุนแรงขนึ
ถึง 20% และจะสง่ ผลใหเ้ กดิ ภยั พบิ ัติทังจากนาทว่ ม ดินถล่ม ดนิ ทรดุ ความแหง้ แลง้ ความปรวนแปรของอากาศ

และภัยพิบตั ิอน่ื ๆ ตามมาอีกมากมาย
สาหรบั ชายฝ่ังทะเลของประเทศไทยมคี วามยาวประมาณ2,600 กิโลเมตร ครอบคลมุ พนื ทชี่ ายฝ่ังอ่าวไทยและอัน
ดามันรวม 23จังหวดั โดยฝั่งทะเลดา้ นอา่ วไทยมีความยาวประมาณ 1,650 กโิ ลเมตร ครอบคลมุ พืนท่ี 17 จังหวดั

ไดแ้ ก่ ตราด จนั ทบุรี ระยอง ชลบรุ ี ฉะเชงิ เทรา สมทุ รปราการ กรงุ เทพมหานคร สมทุ รสงคราม เพชรบุรี
ประจวบคีรขี ันธ์ ชมุ พร สรุ าษฎรธ์ านี นครศรีธรรมราช สงขลา ปัตตานี และนราธวิ าส สว่ นชายฝั่งทะเลอนั ดา
มันมีความยาวประมาณ 950 กโิ ลเมตร ครอบคลุมพืนทช่ี ายฝัง่ ทะเลของ 6 จงั หวดั ไดแ้ ก่ ระนอง พงั งา กระบ่ี ตรัง
และสตลู พืนทชี่ ายฝัง่ ทะเลประเทศไทย 23 จงั หวดั ประสบปญั หาถูกกดั เซาะชายฝ่ังในอัตราความรุนแรงแตกตา่ ง
กนั พนื ทีท่ ปี่ ระสบปญั หาถูกกดั เซาะชายฝั่งอยา่ งรนุ แรงท่ีมีความสาคญั ทางเศรษฐกจิ และสงั คม เชน่ พืนที่ชาย

บางขนุ เทียน กรุงเทพมหานคร ชายฝ่งั เพชรบุรี-ประจวบครี ีขันธ์ ชายฝั่งชลบุรี ระยอง ตราด นครศรีธรรมราช
สงขลา เป็นต้น กรมทรัพยากรธรณไี ด้รบั หมอบหมายจากกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมใหเ้ ปน็
เจ้าภาพในการดาเนินการแก้ไขปัญหา การกัดเซาะชายฝ่ังและตลิง่ ลานา ไดร้ วบรวมวเิ คราะหข์ ้อมูลเบืองตน้ ถงึ
สภาพปัญหาของพนื ท่วี กิ ฤตการกัดเซาะชายฝงั่ ทะเลพบว่า ชายฝั่งทะเลบางขนุ เทียนถูกกัดเซาะตลอดระยะทาง 5

97

กโิ ลเมตร ชายฝ่งั อาเภอชะอา จงั หวดั เพชรบุรี และชายฝง่ั อาเภอหัวหนิ

จงั หวดั ประจวบคีรีขนั ธ์ ถกู กัดเซาะอย่างรุนแรงเปน็ ระยะทางประมาณ 8 กิโลเมตร และมชี ายหาดบรเิ วณพนื ท่ีทม่ี ี

ความสาคัญ เช่น หาดหัวหิน บรเิ วณพระราชนเิ วศมฤคทายวนั พระราชวงั ไกลกังวล ถกู กัดเซาะในระดับปานกลาง

เป็นระยะทางประมาณ 40กิโลเมตร ชายฝ่งั ปตั ตานี –นราธวิ าส ถูกกดั เซาะอยา่ งรนุ แรงเป็นระยะทางประมาณ 35

กิโลเมตร และชายฝั่งจังหวดั ตราดพบการถกู กัดเซาะอย่างรุนแรงเปน็ ระยะทางประมาณ 8กิโลเมตร โดยมีสาเหตุ

ของการกดั เซาะและสภาพแตกต่างกัน จาเป็นตอ้ งดาเนินการสถานภาพ และวางแนวทางแก้ไขปัญหาเปน็ การ

เฉพาะในแต่ละเพ่ือนท่ี ซ่ึงต้องดาเนนิ การศึกษาสภาพปญั หาสาเหตุ และปจั จัยทางธรณีวิทยาสง่ิ แวดลอ้ มและสมทุ ร

ศาสตร์ เพื่อวางแนวทางการป้องกนั การแก้ไขปัญหาใหเ้ หมาะสมกบั สภาพพนื ที่วิกฤตแต่ละแห่ง

3) ผลกระทบท่ีเกดิ กำรชำยฝ่ังถูกกัดเซำะ การกัดเซาะชายฝั่งทเี่ กดิ ขนึ ในหลายพืนทีช่ ายฝัง่ ของภมู ิภาคต่างๆ และ

ชายฝงั่ ของประเทศไทยส่งผลกระทบในด้านต่างๆ ดังนี
1.ระบบนเิ วศชายฝง่ั ทาให้ระบบนิเวศชายฝ่งั เชน่ แนวปะการัง ปา่ ไมช้ ายเลน หญา้ ทะเล และสง่ิ มชี วี ิตอน่ื ๆ ถูก
ทาลาย สง่ ผลใหส้ ภาพแวดล้อมชายฝง่ั เสื่อมโทรมลง
2. สภาพเศรษฐกจิ เมื่อพนื ทีช่ ายทังทะเลไม่มีความอดุ มสมบรูณ์ ไม่มีความสวยงามตามธรรมชาติ ส่งผลให้
นักท่องเท่ยี วลดน้อยลง กระทบอตุ สาหกรรมการท่องเทยี่ ว ซ่งึ เปน็ รายได้สาคัญของประเทศ และกระทบตอ่ การ
เพาะเลยี งสัตว์นาชายฝงั่ ส่งผลใหเ้ กิดการสญู เสยี ทางเศรษฐกิจจานวนมาก
3.การดารงชีวิตของประชนการกดั เซาะชายฝัง่ ทาให้ส่งิ ปลูกสรา้ งเสยี หาย สญู เสียที่ดนิ และทรพั ย์สิน สง่ ผลกระทบ
ตอ่ คุณภาพชวี ติ และวิถีชีวติ ของคนในชมุ ชนเปลยี่ นแปลงไป หลายชมุ ชนตอ้ งอพยพออกจากพนื ท่ี

98

4. กำรแกไ้ ขปัญหำกำรกดั เซำะชำยฝ่ัง ปญั หาการกดั เซาะชายฝ่ังมคี วามสลับซับซ้อน เนื่องจากมีเหตผุ ลปัจจัย
ประกอบกนั หลายดา้ นจึงเป็นเร่ืองยากท่ีจะหาสาเหตุท่แี ท้จริง และแก้ไขปัญหาได้ตรงจุด ดงั นนั การดาเนนิ การใน
การแก้ไขช่วงเวลาท่ผี ่านมา จึงไมป่ ระสบผลสาเร็จเท่าที่ควร แต่อย่างไรก็ตาม หนว่ ยงานต่างๆ ได้พยายามจะ
บรรเทาปัญหา และลดผลกระทบจากการกดั เซาะชายฝั่งด้วยวธิ กี ารตา่ งๆ ซึ่งการแก้ไขปัญหาในปจั จุบนั มวี ิธกี าร
แก้ไข 2 วธิ ี ดังนี
4.1) วธิ ีการทางธรรมชาติ ได้แก่ การพืนฟูและอนุรกั ษาป่าชายเลน ปา่ ชายหาด แหล่งหญ้าทะเล และแนว
ปะการัง โดยเฉพาะการอนรุ ักษ์ป่าชายเลน ซึ่งนอกจากจะเป็นประการสาคญั ในการชว่ ยลดความรนุ แรงของคลืน่
ลม ซึ่งเปน็ สาเหตุสาคัญประการหนึ่งของการเกิดการกัดเซาะชายฝั่งแลว้ ป่าชายเลนยงั เปน็ แหล่งท่อี ยู่อาศยั หลบ
ภยั แพร่พันธข์ุ องสตั ว์ทะเลซึ่งถอื ว่าเป็นแหล่งอาหารของผคู้ นในท้องถนิ่ อีกด้วย
4.2) วิธกี ารทางวศิ วกรรม การแกไ้ ขปญั หาการกัดเซาะชายฝง่ั โดยวธิ กี ารทางวศิ วกรรมนัน มวี ัตถปุ ระสงค์เพื่อดกั
ตะกอนชายหาด สลายพลังงานคล่นื และพยายามรักษาสภาพชายหาดใหเ้ กิดความสมดุล โดยวธิ กี ารทางวิศวกรรม
ทใ่ี ชแ้ ก้ไข เชน่ การสรา้ งเข่ือนกันคล่ืนสรา้ งแนวกันคล่นื นอกชายฝ่งั สร้างกาแพงกนั ตลิง่ สรา้ งปะการงั เทียม เปน็
ตน้

1.6 วำตภยั (Storms) เปน็ ภัยธรรมชาติซ่ึงเกดิ จากพายลุ มแรง สามารถแบ่งลกั ษณะของวาตภัยไดต้ าม
ความเร็วลม สถานที่ทเ่ี กิด เชน่ พายุฝนฟ้าคะนอง พายุดีเปรชนั พายโุ ซนรอ้ น พายุไตฝ้ ุ่น เปน็ ตน้ ทาใหเ้ กิดความ
เสียหายให้แก่ชวี ิตของมนุษย์ อาคารบา้ นเรือน ตน้ ไม้ และสิ่งก่อสรา้ งต่างๆ
1)ปจั จยั ที่ทำใหเ้ กดิ วำตภยั มีสาเหตุมาจากปรากฏการณ์ธรรมชาติ ดังนี
1.1)พำยหุ มุนเขตร้อน เป็นพายุหมุนที่เกดิ เหนือทะเลหรือมหาสมุทรในเขตร้อน ได้แก่ พายุดเี ปรชนั พายุโซนร้อน
พายุไตฝ้ นุ่ พายุหมุนเขตรอ้ นมีชอ่ื เรียกต่างกันไปตามแหลง่ กาเนดิ เช่น พายุที่เกิดในอ่าว เบงกอลและมหา
สมุทรอินเดยี เรยี กว่า “ไซโคลน” (Cyclone) พายุท่เี กิดในมหาสมทุ รแอตแลนติกเหนือทะเลแคริบเบียน อ่าว
เมก็ ซิโก และทางด้านตะวันตกของเม็กซโิ กเรยี กวา่ “เฮอลิแคน” (Hurricane) พายุทเี่ กิดในมหาสมุทรแปซฟิ ิก
เหนือทางด้านฝั่งตะวนั ตกมหาสมุทรแปซิฟิกไต้ และทะเลจีนไต้ เรยี กวา่ “ไต้ฝนุ่ ” (Typhoon) พายุทเ่ี กิดแถบทวีป
ออสเตรเลีย เรียกวา่ “วิลลี-วลิ ลี” (willy-willy) หรอื เรยี กชื่อตามบริเวณที่เกิด
1.2) ลมงวง หรือพำยุทอรน์ ำโด เปน็ พายหุ มุนรุนแรงขนาดเล็กท่ีเกดิ จากการหมุนเวยี นของลมภายใต้เมฆกอ่ ตัวใน
แนวดิ่งหรือเมฆพายฝุ นฟา้ คะนอน (เมฆคิวมโู ลนมิ บสั )ที่มฐี านเมฆตา่ กระแสลมวนท่ีมคี วามเรว็ ลมสูงนี จะทาให้


Click to View FlipBook Version