99
กระแสอากาศเปน็ ลมพุ่งขนึ สู่ทอ้ งฟ้า หรือย้อยลงมาจากฐานเมฆดูคล้ายกับงวงหรือปล่องย่นื ลงมา ถ้าถึงพืนดนิ ก็จะ
ทาความเสียหายแก่ บา้ นเรอื น ตน้ ไม้ และส่งิ ปลูกสรา้ งได้
1.3)พำยุฤดูรอ้ น เป็นพายทุ ี่เกดิ ในฤดรู ้อน ในประเทศไทยสว่ นมากเกิดระหวา่ งเดือนมนี าคมถงึ เดือนเมษายน โดย
จะเกิดบ่อยครงั ในภาคเหนือและภาคเหนอื และภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือสว่ นกลางและภาคตะวันออก การเกิดนอ้ ย
ครงั กว่า สาหรับภาคใต้ก็สามารถเกิดไดแ้ ต่ไม่บ่อยนกั โดยพายุฤดูร้อนจะเกดิ ในชว่ งท่ีมลี ักษณะอากาศรอ้ นอบอ้าว
ติดตอ่ กันหลายวนั แลว้ มีกระแสอากาศเย็นจากความกดอากาศสูงในประเทศจนี พัดมาประทะกนั ทาใหเ้ กิดฝนฟ้า
คะนอง มีพายลุ มแรง และอาจมลี กู เหบ็ ตกได้โดยจะทาความเสียหายในบริเวณกว้างนักประมาณ 20-30 ตาราง
กโิ ลเมตร
2)สถำนกำรณ์กำรเกดิ วำตภยั วาตถยั ครังร้ายแรงทเ่ี กิดในประเทศต่างๆ เช่น
พำยุไซโคลนนำร์กีส เกดิ เม่ือวนั ที่2 พฤษภาคม พ.ศ. 2551 เป็นพายหุ มุนเขตร้อนที่มีความรนุ แรงระดบั สูง พดั ผา่ น
สหภาพพมา่ สง่ ผลให้ชาวพม่าเสียชวี ิต 22,000 คน และสญู หายอกี 41,000 คน
พำยไุ ซโคลนเอลลี เกิดขนึ วันท่ี30 มกราคม พ.ศ. 2552 เปน็ พายทุ ี่กอ่ ใหเ้ กดิ ฝนตกหนักและนาทว่ ม
รุนแรงทีส่ ุดในรอบ 30 ปี บรเิ วณรฐั ควีนแลนด์ ประเทศออสเตรเลีย สง่ ผลใหบ้ ริเวณนาฝนสูงกว่า 1 ฟุต นาทว่ ม
บา้ นเรอื นกว่า 3,000 หลังเสียหายกวา่ 100ล้านเหรยี ญออสเตรเลยี
พำยไุ ต้ฝุ่นกสี นำ เกิดขึนเมื่อวนั ท่ี 26-30 กนั ยายน พ.ศ. 2552 ได้พัดถลม่ กรุงมะนลิ า ประเทศ ฟิ
ลปิ นิ ส์ แลว้ พดั ผ่านเวียดนาม กมั พชู า ลาว และไทย ทาให้มผี เู้ สียชวี ติ อย่างน้อย ประมาณ 700 คน สว่ นวาตภยั
ครงั รา้ ยแรงท่เี กิดขนึ ในประเทศไทย เช่น
พำยุโซนรอ้ น “แฮร์เรยี ต” ทีแ่ หลมตะลมุ พุก อาเภอปากหนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช พ.ศ.2505
พำยุไตฝ้ ุน่ “เกย”์ ท่พี ัดเขา้ สู่จงั หวัดชุมพร เม่ือ พ.ศ. 2532
พำยไุ ตฝ้ ุน่ “ลินดา” ที่พัดเขา้ สู่ทางใตข้ องประเทศไทย เมื่อ พ.ศ. 2540
พำยโุ ซนรอ้ น “หม่ยุ ฟา้ ” ทีพ่ ดั เขา้ สชู่ ายฝง่ั ภาคใตข้ องไทย เมื่อ พ.ศ. 2547
100
3)ผลกระทบท่ีเกดิ จำกวำตภัย ทาให้เกิดอนั ตราย และความเสียหาย ดงั นี
บนบก ตน้ ไม้ถอนรากถอนโคนต้นไมท้ บั บ้านเรือนพัง ผู้คนไดร้ ับบาดเจบ็ จนอาจถงึ เสยี ชีวติ เรือกสวนไร่นาเสยี หาย
หนกั มาก บา้ นเรียนท่ีไมแ่ ข็งแรงไม่สามารถตา้ นทานความรุนแรงของลมได้พงั ระเนระนาดหลังคาทที่ าด้วยสังกะสี
จะถกู พัดเปิดกระเบืองหลงั คาปลิวว่อน เปน็ อนั ตรายต่อผู้คนท่ีอย่ใู นทีโ่ ลง่ แจง้ เสาไฟฟ้า เสาไฟลม่ สายไฟขาด ไฟฟ้า
ลัดวงจร เกดิ ไฟไหม้ผคู้ นสูญเสยี จากไฟฟา้ ดูดได้ ผู้คนทีพ่ ักอย่รู ิมทะเลจะถกู คลน่ื ซดั ท่วมบา้ นเรอื นและกวาดลง
ทะเล ผ้คู นอาจจมนาทะเลตายได้ ฝนตกหนักมากทังวันทังคืน เกดิ อุทกภยั ตามมา นาป่าจากภเู ขาไหลหลากลงมา
อยา่ งรนุ แรง ทว่ มบา้ นเรือน ถนน และไร่สวนนา เส้นทางคมนาคม ทางรถไฟ สะพาน และถูกตัดขาด
ในทะเล มีลมพัดแรง คล่นื ใหญ่ เรอื ขนาดใหญ่อาจพัดพาไปเกยฝ่งั หรือชน หนิ โสโครกทาให้จมได้ เรือ
ทกุ ชนดิ ควรงดออกจากฝ่งั หลีกเลี่ยงการเดินเรือเข้าใกลศ้ ูนยก์ ลางพายุมีคล่นื ใหญ่ซดั ฝง่ั ทาใหร้ ะดับนาสงู ท่วม
อาคารบ้านเรือนบรเิ วณทะเล พนื ทเ่ี พาะเลยี งสัตว์นาชายฝงั่ และอาจกวาดส่งิ ก่อสรา้ งที่ไม่แข็งแรงลงทะเลได้
เรอื ประมงบริเวณชายฝั่งจะถูกทาลาย
4)กำรระวังภัยจำกวำตภัย สามารถทาได้ ดงั นี
4.1)ขณะเกดิ วำตภยั ควรปฏบิ ตั ิ ดงั นี
1.ติดตามข่าวและคาเตือนลักษณะอากาศจากกรมอุตนุ ิยมวทิ ยา
2.เตรียมวิทยุและอปุ กรณส์ ื่อสาร ชนิดใช้ถา่ นแบตเตอรี่ เพ่ือติดตามขา่ วในกรณีที่ไฟฟา้ ขัดขอ้ ง
3. ตัดหรือรึกงิ่ ไม้ท่ีอาจหักไดจ้ ากลมพายุ โดยเฉพาะก่ิงท่หี ักมาทบั บา้ น สายไฟฟ้า ตน้ ไมท้ ่ียนื ต้นตายควรจดั การโคน่
ลงเสีย
4. ตรวจเสาและสายไฟฟ้าทงั ในและนอกบรเิ วณนอกบา้ นให้เรียบรอ้ ย ถ้าไมแ่ ข็งแรงให้ยึดเหน่ียวเสาไฟใหม้ ันคง
5.พกั ในอาคารท่ีมน่ั คงตลอดเวลาขณะเกดิ วาตภัย อย่าออกมาในทีโ่ ล่งแจง้ เพราะกงิ่ ไม้อาจหักโคน่ ลงมาทับได้
รวมทงั หลังคาสังกะสแี ละกระเบอื งจะปลวิ ตามลมมาทาอนั ตรายได้
6. ปิดประตู หนา้ ตา่ งทุกบาน รวมทังยดึ ประตูและหนา้ ต่างใหม้ ่นั คงแข็งแรง ถ้าประตูหนา้ ต่างไม่แข็งแรง ให้ใช้ไม้
ทาบตตี ะปูตรึงปดิ ประตู หน้าต่างไว้จะปลอดภัยยง่ิ ขนึ
7. ปดิ กนั ช่องทางลมและช่องทางตา่ ง ๆ ที่ลมจะเข้าไปทาใหเ้ กิดความเสยี หาย
8. เตรยี มตะเกียง ไฟฉาย และไม้ขีดไฟไว้ให้พร้อม ให้อยูใ่ กลม้ อื เมื่อเกิดไฟฟ้าดับจะไดห้ ยิบใช้ไดอ้ ยา่ งทนั ทว่ งที
และนาสะอาด พรอ้ มทังอปุ กรณ์เคร่ืองหมุ้ ตุ้ม
101
9. เตรียมอาหารสารอง อาหารกระป๋องไว้บา้ งสาหรับการยังชีพในระยะเวลา 2-3 วนั
10. ดับเตาไฟใหเ้ รียบร้อยและควรจะมีอุปกรณส์ าหรบั ดบั เพลงิ ไว้
11. เตรยี มเคร่อื งเวชภัณฑ์
12. ส่งิ ของควรไว้ในทีต่ ่า เพราะอาจจะตกหล่น แตกหักเสียหายได้
13. บรรดาเรือ แพ ใหล้ งสมอยึดตรงึ ใหม้ ่ันคงแขง็ แรง
14. ถา้ มรี ถยนต์ หรือพาหนะ ควรเตรียมไว้ใหพ้ ร้อมภายหลังพายุสงบอาจต้องนาผ้ปู ่วยไปสง่ โรงพยาบาล นามนั
ควรจะเติมใหเ้ ต็มถงั อยตู่ ลอดเวลา
15. เม่ือลมสงบแล้วต้องรออย่างนอ้ ย 3 ชว่ั โมง ถา้ พ้นระยะนีแลว้ ไมม่ ลี มแรงเกิดขึนอีก จงึ จะวางใจว่าพายุได้ผ่าน
พ้นไปแลว้ ทังนีเพราะ เม่อื ศนู ย์กลางพายุผ่านไปแลว้ จะต้องมลี มแรงและฝนตกหนกั ผ่านมาอกี ประมาณ 2 ช่ัวโมง
4.2เมื่อพำยุสงบแล้ว
1. เมื่อมีผู้บาดเจบ็ ใหร้ บี ชว่ ยเหลอื และนาส่งโรงพยาบาลหรือสถานพยาบาลท่ีใกลเ้ คียงใหเ้ ร็ว ทีส่ ุด
2. ตน้ ไม้ใกล้จะลม้ ใหร้ ีบจดั การโคน่ ล้มลงเสยี มิฉะนนั จะหกั โค่นลม้ ภายหลงั
3. ถ้ามเี สาไฟฟา้ ล้ม สายไฟขาดอย่าเขา้ ใกลห้ รอื แตะตอ้ งเป็นอันขาด ทาเครื่องหมายแสดงอันตราย
4. แจง้ ใหเ้ จ้าหน้าทห่ี รือชา่ งไฟฟา้ จดั การด่วน อยา่ แตะโลหะทีเ่ ปน็ สื่อไฟฟ้า
4. เม่ือปรากฎว่าท่อประปาแตกทใี่ ด ให้รบี แจ้งเจา้ หนา้ ที่มาแก้ไขโดยดว่ น
5. อย่าเพงิ่ ใช้นาประปา เพราะนาอาจไม่บริสุทธ์ิ เนื่องจากทอ่ แตกหรอื นาท่วม ถา้ ใชน้ าประปาขณะนนั ด่ืมอาจจะ
เกดิ โรคได้ ให้ใชน้ าทกี่ ักตนุ ก่อนเกดิ เหตดุ มื่ แทน
6. ปญั หาทางด้านสาธารณสขุ ท่ีอาจจะเกดิ ขนึ ได้
การเตรียมยารักษาโรคต่างๆที่มักเกิดหลงั วาตภัย เชน่ โรคระบบทางเดินหายใจ โรคติดเชือ ปรสติ โรคผิวหนัง โรค
ระบบทางเดินอาหาร โรคภาวะทางจติ เปน็ ตน้
1.7 ไฟปำ่
ไฟป่า(Wild Fire) คอื ไฟท่ีเกิดขึนแล้วลกุ ลามไปไดโ้ ดยปราศจากการควบคุมไฟป่าอาจเกิดขนึ จากสาเหตุธรรมชาติ
หรือเกดิ จากการกระทาของมนุษย์แล้วส่งผลกระทบต่อส่ิงแวดลอ้ มและการดารงชวี ติ ของมนษุ ย์ ไฟปา่ ทีเ่ กิดขนึ
บรเิ วณภูขาจะมีความรุนแรงและขยายพืนทไี่ ด้เรว็ กวา่ พืนราบ
1) ปัจจัยท่ีทำใหเ้ กดิ ไฟป่ำ เกิดจาก 2 สาเหตุ ดงั นี
1.1 เกิดจากธรรมชาติ
ไฟปา่ ท่เี กิดขึนเองตามธรรมชาติเกดิ ขึนจากหลายสาเหตุ เช่นฟา้ ผ่า กิ่งไมเ้ สียดสกี ัน ภเู ขาไฟระเบิด ก้อนหินกระทบ
กัน แสงแดดตกกระทบผลึกหิน แสงแดดส่องผา่ นหยดนา ปฏิกิริยาเคมใี นดินปา่ พรุ การลุกไหม้ในตัวเองของ
สิ่งมชี ีวติ (Spontaneous Combustion) แตส่ าเหตุทีส่ าคัญ คือ
1.1.1 ฟ้าผ่า เป็นสาเหตุสาคัญของการเกิดไฟปา่ ในเขตอบอุ่น ในประเทศสหรัฐอเมรกิ า และประเทศแคนาดา (ภาพ
ที่ 1.7) พบวา่ กว่าครึง่ หนึ่งของไฟป่าท่ีเกิดขึนมสี าเหตุมาจากฟา้ ผา่ |
1.1.2 ก่งิ ไม้เสยี ดสีกนั อาจเกิดขึนไดใ้ นพืนท่ีป่าทมี่ ีไม้ขึนอยู่อยา่ งหนาแน่นและมสี ภาพอากาศแห้งจัด เชน่ ในปา่ ไผ่
หรอื ปา่ สน เป็นตน้
2. สาเหตจุ ากมนษุ ย์
102
ไฟปา่ ท่ีเกดิ ในประเทศกาลงั พัฒนาในเขตร้อนสว่ นใหญจ่ ะมีสาเหตุมาจากกิจกรรมของมนุษย์ ดังนี
2.1 เกบ็ หาของป่า เป็นสาเหตทุ ี่ทาใหเ้ กดิ ไฟปา่ มากทีส่ ุด การเกบ็ หาของป่าสว่ นใหญไ่ ด้แก่ ไขม่ ดแดง เหด็ ใบตอง
ตึง ไม้ไผ่ นาผึง ผักหวาน และไมฟ้ ืน การจดุ ไฟส่วนใหญ่เพื่อให้พนื ป่าโลง่ เดินสะดวก หรือใหแ้ สงสว่างในระหวา่ ง
การเดินทางผ่านป่าในเวลากลางคนื หรือจดุ เพ่ือกระตุ้นการงอกของเห็ด หรือกระตนุ้ การแตกใบใหมข่ องผักหวาน
และใบตองตงึ หรือจุดเพ่ือไล่ตัวมดแดงออกจากรัง รมควนั ไล่ผึง หรือไล่แมลงตา่ งๆ ในขณะที่อยู่ในปา่
2.2 เผาไร่ เปน็ สาเหตุทสี่ าคญั รองลงมา การเผาไร่กเ็ พ่ือกาจัดวัชพชื หรอื เศษซากพืชที่เหลืออยภู่ ายหลงั การเก็บ
เก่ียว ทังนีเพ่ือเตรียมพนื ทเี่ พาะปลกู ในรอบต่อไป ทังนีโดยปราศจากการทาแนวกนั ไฟและปราศจากการควบคุม
ไฟจึงลามเข้าปา่ ทอ่ี ยู่ในบรเิ วณใกลเ้ คยี ง
2.3 แกล้งจุด ในกรณที ่ีประชาชนในพนื ที่มีปัญหาความขดั แยง้ กบั หนว่ ยงานของรฐั ในพืนที่ โดยเฉพาะอยา่ งย่งิ
ปัญหาเรอ่ื งที่ทากินหรือถูกจับกุมจากการกระทาผดิ ในเรือ่ งปา่ ไม้ ก็มกั จะหาทางแก้แค้นเจา้ หน้าทีด่ ้วยการเผาป่า
2.4 ความประมาท เกดิ จากการเข้าไปพักแรมในป่า ก่อกองไฟแลว้ ลมื ดบั หรือทิงก้นบุหร่ลี งบนพนื ปา่ เปน็ ตน้
2.5 ลา่ สัตว์ โดยใช้วธิ ไี ลเ่ หลา่ คือจดุ ไฟไล่ใหส้ ัตวห์ นีออกจากท่ีซ่อน หรอื จดุ ไฟเพ่อื ให้แมลงบินหนีไฟ นกชนดิ ต่างๆ
จะบนิ มากินแมลง แล้วดักยิงนกอีกทอดหนึง่ หรอื จดุ ไฟเผาทงุ่ หญา้ เพื่อใหห้ ญ้าใหม่แตกระบัด ลอ่ ใหส้ ัตว์ชนิดตา่ งๆ
เช่น กระทิง กวาง กระตา่ ย มากินหญา้ แลว้ ดักรอยิงสัตว์นนั ๆ
2)สถำนกำรณก์ ำรเกดิ ไฟป่ำ ในปี พ.ศ.2543 ถือว่าเป็นปีแรกท่มี ีการสารวจสถิตไิ ฟป่าในภาพรวมของทังโลกโดยใช้
การแปลภาพถ่ายดาวเทียม จากรายงานชื่อ Global Burned Area Product 2000 พบวา่ จากการวเิ คราะห์
เบอื งต้นมีพนื ท่ีไฟไหม้ทวั่ โลกใน พ.ศ. 2543 สูงถงึ ประมาณ 2,193.75 ลา้ นไร่ และนับวันสถานการณ์ไฟป่ากย็ ่ิงทวี
ความรุนแรงมากยิ่งขนึ ตัวอย่างเช่น เมอ่ื เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552 ไดเ้ กดิ ไฟป่าครังใหญใ่ นประเทศออสเตรเลีย
ทาให้มีผู้เสียชีวติ 173 คนบาดเจ็บมากกว่า 500 คน และมีผไู้ รท้ ่ีอยู่อาศัยกวา่ 7500 คน เปน็ ตน้
สถานการณ์ทเ่ี กิดขึนมนประเทศไทย และบรเิ วณใกล้เคียง ตงั แต่วนั ที่ 1ตลุ าคม 2549 ถึงวันท่ี 17 มีนาคม 2550
ปฏิบตั งิ านดบั ไฟปา่ จานวน 5609 ครัง พนื ทถ่ี ูกไฟไหม้ 87,290.3 ไร่ โดยท้องที่ภาคเหนือมสี ถตื ิไฟไหม้มากทส่ี ดุ
จานวน 3,273 ครัง พนื ที่ถูกไฟไหม้ 36,626.8 ไร่
การตรวจตดิ ตาม Hotspot (จดุ ที่คาดว่าจะเกดิ ไฟ) จากดาวเทียม Terra และ Aqua ด้วยระบบ MODIS พบว่า
ตงั แตว่ ันท่ี 4-9 มนี าคม 2550 เกิด Hotspot ในภูมภิ าคอินโดจนี และประเทศพมา่ โดยมีแนวโนม้ การเพม่ิ สงู ขนึ
อยา่ งต่อเนอื่ งตงั แตเ่ ดือนกุมภาพนั ธ์ 2550 จนถงึ ปัจจุบนั โดยพบคา่ สงู สดุ ในวนั ท่ี 6มีนาคม 2550รวม 1,668 จุด
103
วันท่ี 4 และ 8 มนี าคม 2550 รวม 1,477 จดุ และ 1,112 จุดตามลาดับ และจากการตรวจตดิ ตาม Hotspot อยา่ ง
ตอ่ เนื่องจนถึงวนั ท่ี 17 มีนาคม 2550 พบว่า Hotspot มีจานวนเหลือเพียง217 จดุ สาหรบั พนื ทภี่ าคเหนือ จานวน
Hotspot มากที่สุดในวันท่ี 6 มนี าคม 2550 จานวน 944 จุด และในวันท่ี 17 มนี าคม 2550 เหลอื เพยี ง 59 จุด
3 ผลกระทบที่เกิดจำกไฟปำ่ มดี ังนี
1. ลกู ไม้ กล้าไมเ้ ลก็ ๆ ในป่า ถูกเผาทาลาย หมดโอกาสเติบโตเปน็ ไม้ใหญส่ ่วนต้นไม้ใหญ่หยุดการเจรญิ เติบโต
เนือไมเ้ สื่อมคุณภาพลง เปน็ แผล เกิดเชือโรค และ แมลงเข้ากัดทาลายเนือไม้ สภาพป่าท่ีอดุ มสมบรู ณเ์ ปลี่ยนสภาพ
เปน็ ทุ่งหญา้ ไปในท่สี ุด
2. หมอกควนั ทเี่ กดิ จากไฟปา่ ก่อให้เกิดผลกระทบทางดา้ นสภาวะอากาศเปน็ พษิ ทาลายสุขภาพของคน เกดิ
ทัศนวิสัยไม่ดตี ่อการบนิ บางครังเครือ่ งบินไม่สามารถบนิ ขนึ หรอื ลงจอดได้ ส่งผลใหเ้ กดิ ความเสยี หายทางเศรษฐกิจ
และสูญเสียสภาพความสวยงามตามธรรมชาติ ไม่เหมาะสาหรบั ทอ่ งเท่ยี วอกี ต่อไป
3. ไฟปา่ ทาลายสิ่งปกคลมุ ดนิ หน้าดินจงึ เปิดโลง่ เมื่อฝนตกลงมาเม็ดฝนจะตกกระแทกกับหน้าดนิ โดยตรง
เกิดการชะลา้ งพงั ทลายของดินได้งา่ ย ทาให้นาที่ไหลบา่ ไปตามหนา้ ดนิ พัดพาหนา้ ดนิ อันอุดมสมบูรณไ์ ปดว้ ย และ
ดินอดั ตัวแน่นทึบขนึ การซึมนาไมด่ ี ทาใหก้ ารอุม้ นาหรือดูดซับความชนื ของดินลดลง ไมส่ ามารถเก็บกกั นาและธาตุ
อาหารท่ีจาเปน็ ต่อพชื ได้
4. นาเตม็ ไปด้วยตะกอนและขีเถ้าจากผลของไฟป่าจะไหลสลู่ าห้วยลาธาร ทาให้ลาหว้ ยขนุ่ ข้นมสี ภาพไม่
เหมาะต่อการนามาใช้ เมื่อดนิ ตะกอนไปทับถมในแม่นามากขนึ ลานากจ็ ะตืนเขนิ จุนาได้นอ้ ยลง เม่อื ฝนตกลงมานา
จะเอ่อลน้ ทว่ มสองฝ่ังเกิดเปน็ อทุ กภัย สร้างความเสยี หายในด้านเกษตร การเพราะปลูก การสตั ว์เลยี ง และสร้าง
ความเสียหายเมื่อนาทะลกั เข้าท่วมบ้านเรอื นทาใหท้ รัพยส์ ินได้รับความเสียหาย หน้าแล้งพนื ดินที่มแี ตต่ ะกรวด
ทรายและชนั ดินแน่นทึบจากผลของไฟปา่ ทาให้ดินไม่สามารถเก็บกกั นาในช่วงฤดฝู นเอาไว้ไดท้ าให้ลานาแหง้ ขอด
เกิดสภาวะแห้งแล้งขาดแคลนนาเพื่อการอปุ โภคบรโิ ภค และเพ่ือการเกษตร
4) กำรระวังภัยจำกไฟป่ำ การจดั การและการแก้ไขปัญหาไฟปา่ อย่างครบวงจร เรม่ิ ตงั แต่การป้องกันไมใ่ หเ้ กิดไฟ
ป่า โดยศึกษาหาสาเหตุของการเกิดไฟป่าแล้ววางแผนป้องกนั หรือกาจดั ตน้ ตอของสาเหตุนัน แต่ไฟปา่ ยงั มโี อกาส
ขึนไดเ้ สมอ ดงั นัน จาเป็นต้องมีมาตรการอื่นๆ รองรับตามมา ได้แก่ การเตรียมการดบั ไฟป่า
การตรวจหาไฟ การดบั ไฟป่า และการประเมินผล การปฏบิ ัติงาน การปฏบิ ตั ิงานงานควบคุมไฟป่าแบ่งได้ 2
กิจกรรมหลกั ได้ ดงั นี
104
4.1 กำรป้องกนั ไฟปำ่ สามารถดาเนนิ การได้ดังนี
1.การรณรงคป์ ้องกันไฟป่า ไฟป่าทเ่ี กิดขนึ ในหลายประเทศ ส่วนใหญ่มีสาเหตมุ าจากการกระทาของมนษุ ย์ ดังนนั
แนวทางการแกไ้ ขปญั หาท่มี ปี ระสทิ ธภิ าพท่ีสดุ คือ การป้องกนั ไม่ใหป้ ระชาชนจดไฟเผาป่าทงั นอี าจทาไดโ้ ดยการ
ประชาสัมพนั ธช์ ีแนะใหป้ ระชาชนตระหนกั ถงึ ความสาคัญของทรัพยากรปา่ ไม้ ความจาเป็นทจ่ี ะต้องดแู ลรักษา
ตลอดจนผลเสียทจ่ี ะเกิดขึนหากมกี ารบกุ รุกทาลายหรือเผาปา่ เพอ่ื ใหป้ ระชาชนเกดิ ทศั นคตทิ ่ีถูกตอ้ ง เลกิ จุดไฟเผา
ป่า และหนั มาให้ความร่วมมือป้องกนั ไฟปา่ การรณรงคป์ ้องกนั ไฟป่าสามารถดาเนนิ การไดใ้ นรูปแบบตา่ งๆ เชน่
การประชาสัมพนั ธ์ สือ่ มวลชน การตดิ ตังปา้ ยประชาสมั พันธ์ การแจกจ่ายสง่ิ ตีพิมพ์และเอกสารเผยแพรก่ ารจัด
นิทรรศการ การให้การศกึ ษา การจัดฝกึ อบรม ตลอดจนการเปดิ โอกาสใหป้ ระชาชนเขา้ มามสี ่วนร่วมในกิจกรรม
ดา้ นป่าไม้ เป็นตน้
2.การจดั การเชอื เพลงิ โดยการทาแนวกันไฟ และการกาจดั เชือเพลิงในพืนที่ทลี่ อ่ แหลมต่อการเกิดไฟปา่ เช่น มี
วัชพชื หนาแน่น พนื ที่ปา่ สองข้างถนน ซ่ึงมีโอกาสเกิดไฟปา่ ไดง้ ่าย เพื่อลดโอกาสการเกิดไฟป่าได้งา่ ย เพ่ือลดโอกาส
การเกดิ ไฟป่า หรือหากเกิดไฟป่าขนึ ก็จะมีความรนุ แรงน้อย สามารถควบคุมงา่ ย
4.2 กำรปฏิบัตงิ ำนดับไปไฟปำ่ เปน็ การปฏิบัตงิ านเพ่อื ควบคุมดับไฟป่า มิใหล้ ุกลามเผาทาลายตน้ ไม้ในกรณที เ่ี กิด
ไฟปา่ ขนึ แล้ว ในปจั จุบนั มีหน่วยปฏิบัติงานภาคสนามของกรมอุทยานแห่งชาติ สตั วป์ า่ และพันธพ์ ชื ท่ีทาหนา้ ทใ่ี น
การดับไฟปา่ คือ สถานคี วบคุมไฟป่าท่ีอย่ใู นทุกจังหวดั
ในส่วนของประชาชนที่อาศยั อยูใ่ นพนื ท่ปี า่ อยูใ่ นปา่ มีส่วนสาคัญท่กี ่อให้เกดิ ไฟป่าและมีสว่ นสาคญั ในการใหค้ วาม
รว่ มมอื ในการปอ้ งกันไฟป่า ซึ่งสามารถทาได้ดงั นี
1.เม่อื ทาการเผ่าไร่ในพนื ทีค่ วบคมุ ดูแลไฟไมใ่ หล้ ุกลามเข้าไปในปา่ และควรทาแนวปอ้ งกันไฟป่าก่อนเผาทุกครงั
2. ไม่จุดไฟเผาป่าเพือ่ ล่าสตั ว์ และไมจ่ ุดไฟเลน่ ดว้ ยความสนุกหรือคึกคะนอง
3. ระมัดระวงั การใช้ไฟ เม่ืออยใู่ นป่าหรอื พกั แรมในปา่ หากมีความจาเป็นต้องใช้ไฟ ควรดับไฟให้หมดก่อนออก
จากป่า
4. เมื่อพบเห็นไฟไหม้ปา่ หรือสวนป่า ใหช้ ว่ ยกนั ดับไฟปา่ หรือแจง้ หน่วยราชการที่อยู่บรเิ วณใกล้เคียง
5. มสี ว่ นรว่ มดา้ นการประชาสัมพันธ์ ชีให้เหน็ ความสาคัญของปา่ ไม้และความเสียหายที่เกิดจากไฟป่าและโทษทจี่ ะ
ไดร้ ับ หรือเป็นอาสาสมัครป้องกันไฟป่า
6. ช่วยเปน็ หเู ปน็ ตาใหเ้ จา้ หนา้ ที่ในการส่องดแู ลไมใ่ ห้เกิดไฟไหมป้ ่ารวมทังชว่ ยจับกุมผู้ฝ่าฝืนมาลงโทษตาม
กฎหมาย เพื่อมใิ หเ้ ป็นเย่ียงอย่างแก่บุคคลอื่นตอ่ ไป
105
บทที่ 4 สถำนกำรณด์ ้ำนทรพั ยำกรธรรมชำตแิ ละส่ิงแวดล้อม
ทรัพยากรธรรมชาติและสง่ิ แวดล้อมมีความสาคัญต่อการดารงชวี ิตของมนุษย์ เช่นเดยี วกบั สิ่งมีชีวติ
อน่ื ๆ แตก่ ารพง่ึ พิงอาศัยประโยชน์จากทรพั ยากรธรรมชาติของมนุษย์ล้วนทาใหท้ รัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอ้ ม
เสือ่ มโทรมลง เกิดเปน็ วิกฤตการณ์ทงั ทางด้านบรรยากาศ ดิน นา ปา่ ไม้ สตั ว์ป่า และพลงั งานขึนทว่ั โลก การศึกษา
สถานการณด์ ้านสิ่งแวดลอ้ มและทรพั ยากรธรรมชาตจิ ะช่วยให้สามารถวิเคราะหส์ ถานการณ์วกิ ฤตการณ์ เพ่ือเปน็
ฐานความร้ใู นการสร้างความตระหนกั และชว่ ยกนั อนรุ ักษส์ ิ่งแวดลอ้ มและทรัพยากรชาติต่อไป
4.1 สถำนกำรณด์ ้ำนทรพั ยำกรธรรมชำติและส่งิ แวดลอ้ มในประเทศไทย
ปัจจุบันสถานการณด์ า้ นทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดลอ้ มของไทยได้เปล่ยี นแปลงไปอย่างรวดเร็วทงั
ทรัพยากรดนิ ทรพั ยากรนา ทรพั ยากรปา่ ไมแ้ ละสัตว์ป่า แร่พลงั งาน เป็นตน้ การเปลีย่ นแปลงดงั กล่าวไดส้ ่งผม
กระทบต่อการดาเนนิ ชวี ิตของคนไทยเป็นอย่างมาก
1.1 ท่ีดินและทรพั ยำกรดิน
ประเทศไทยมีพืนที่ทังหมดประมาณ 320,696,886 ไร่ หรอื 513,115 ตารางกโิ ลเมตร พนื ที่เป็นทวิ
เขา เชงิ เขา หุบเขา สว่ นใหญ่จะอย่ใู นภาพเหนอื และภาคตะวนั ตกของประเทศสว่ นในภาคใตจ้ ะมีพนื ทเี่ ปน็ เขาสูง
แลว้ ลาดไปสู่ชายฝ่ังทงั ในด้านของอา่ วไทยและทะเลอันดามัน ในภาคตะวนั ออกมที วิ เขาสลับเนนิ เขาและท่ีราบ
โดยรอบทิวเขาส่วนบรเิ วณภาคกลาง นนั มีพืนท่เี ปน็ ทรี่ าบลุ่ม มีภเู ขาโดดอย่ปู ระปราย โดยเฉพาะในภาคกลาง
ตอนบน
1. กำรใช้ประโยชน์ของดนิ แบ่งออกได้ ดงั นี
2. กำรเปลยี่ นแปลงกำรใชท้ ด่ี ิน
เน่ืองจากที่ดนิ ไมส่ ามารถเพ่ิมได้ ดังนันการเพ่ิมขึนของพืนท่ีขอการใช้พนื ดินอย่างหนง่ึ จะมีผลกระทบตอ่
การใช้ประโยชนท์ ่ีดินอีกอย่างหนึง่
มลู เหตทุ ท่ี าให้เกดิ การเปลย่ี นแปลงการใช้ประโยชนท์ ด่ี ินแต่ละประเภท มีดังนี
1. ความต้องการเพิ่มพนื ทเี่ กษตรกรรม เนื่องจากความตอ้ งการกา้ นของผลผลิตเพิ่มมาขึนและแสวงหาที่ดินท่ี
มีความอุดมสมบูรณ์ ทาใหต้ ้องบกุ รกุ พืนท่ปี า่ ไม้
106
2. การขยายตวั ของชุมชนทีเ่ พม่ิ ขึนอยา่ งต่อเน่ืองจากการเพ่มิ ขนึ ของประชากรทาให้ต้องมีการเปล่ียนแปลง
การใชพ้ นื ที่ เชน่ จากที่เคยเป็นพนื ท่ีเกษตรกรรมก็เปลย่ี นแปลงเป็นพืนที่การสร้างท่ีอยอู่ าศยั สร้างระบบ
สาธารณูปโภคตา่ งๆ เช่นถนน ไฟฟา้ แหล่งนา เปน็ ตน้
3. พืนท่ีไมไ่ ด้ใชป้ ระโยชน์ลกลง เน่ืองจากการเขา้ ไปใช้พืนทข่ี องทาราชการการบกุ รุกเขา้ ไปทากนิ สร้างที่อยู่
อาศยั การปลูกป่าเพอื่ ขยายพืนท่ีปา่ ไม้
4. ความต้องการใช้นามากขึน จากการขาดแคลนนาในชว่ งฤดูร้อนของทุกปคี วามต้องการพืนทมี่ าสร้างที่กกั
เก็บนาจงึ เพ่ิมขนึ เชน่ สรา้ งเขื่อน อา่ งเก็บนา คลองเก็บนา คลองสง่ นาเพ่อื การเกษตรและผลผลิตกระแสไฟฟ้า เปน็
ตน้
1.2 ทรัพยำกรน้ำ
นาเปน็ ปจั จัยสาคัญในการดารงชีวิตทงั ของมนษุ ยส์ ัตว์ และพชื ในประเทศไทยนอกเหนือจากการใชน้ า
เพื่อการดารงชีวิตโดยตรงแล้วยังใชใ้ นการเกษตรกร อุตสาหกรรม คมนาคมผลิตกระแสไฟฟา้ และประเพณตี ่างๆ
ถือว่าคนไทยวีถชี ีวิตท่ีผกู พนั กับนามาตังแต่อดตี จนปัจจุบนั
นาฝนเปน็ แหลง่ นาตามธรรมชาติ ประเทศไทยมีปรมิ าณนาฝนเฉล่ยี ปลี ะ 1,550 มลิ ลเิ มตร หรือคิดเปน็
ปริมาณนาฝนทตี่ กลงมาปลี ะประมาณ 800,000 ล้านลูกบาศก์เมตร แล้วกลายไปเป็นนาผวิ ดนิ ซึมลงสู่ใต้ดนิ
กลายเปน็ นาบาดาลและถูกดินดดู ซับไว้ อีกสว่ นหนึง่ จะถูกพชื ดูดไปใช้ นากจากนันจะระเหยออย่ใู นอากาศโดย
นาฝนทตี่ กในประเทศไทยเกิดจากลมมรสุมตะวนั ตกเฉยี งใต้ระหวา่ งเดอื นพฤษภาคมถึงเดือนตุลาคม และลมมรสมุ
ตะวนั ออกเฉียงเหนือในเดอื นพฤศจิกายนถึงเดอื นมกราคม
นอกจากนันในระหว่างปลายฤดฝู นมกั จะเกดิ พายดุ ีเปรสชนั จากทะเลจีนใต้ทน่ี าฝนมาตกสว่ นทาให้ประเทศมี
นาพอใชภ้ ายในประเทศ แตเ่ น่อื งจากความต้องการใชน้ าเพม่ิ ขนึ อยา่ งต่อเนื่อง ในขณะเดยี วกันปริมาณ นามี
ปริมาณเพิม่ มากขึนและเกิดขึนในทกุ ภมู ภิ าค ทังนาเสียจากชมุ ชน อตุ สาหกรรม และการเกษตร มผี มให้คณุ ภาพนา
ในแม่นาหลายสายมีคุณภาพนาตา่ กว่ามาตรฐาน ซึ่งอาจจะทาใหเ้ กิดการขากแคลนนาขึนในอนาคต หากไม่มีการ
บริหารจัดการนาทดี่ ี
แหล่งนาที่สาคัญในประเทศไทย ได้แก่ แม่นาสายสาคญั ในภาคตา่ งๆ เช่นแมน่ าปงิ แม่นายม น่านใน
ภาคเหนอื แมน่ าเจ้าพระยาในภาคกลาง แม่นาแมก่ ลองในภาคตะวนั ตก เป็นต้นนอกจากนียังมเี ขื่อนในภาคต่างๆ
ท่ัวประเทศเพื่อเกบ็ กักนาไว้ใช้ในหนา้ แล้ว
107
ตำรำงแสดงปรมิ ำณน้ำฝนเฉลี่ยตำมภำค พ.ศ. 2542 – 2546
ปรมิ าณ ปรมิ าณ ปริมาณ ปริมาณ
นาฝน นาฝน นาฝน
นาฝน เฉลีย่ เฉลี่ย เฉลย่ี
พ.ศ. พ.ศ. พ.ศ.
ปรมิ าณ เฉล่ีย 2544 2545 2546
(มม.) (มม.) (มม.)
นาฝนเฉลย่ี พ.ศ.
พ.ศ.2542 2543
ภำค (มม.) (มม.)
ภาคเหนือ 1,339 1,334.1 1,376.8 1,469 1,073
ภาคกลาง 1,501.7 1,341.4 1,238.7 1,241.2 1,252.4
ภาคตะวันออก 2,501.7 1,998.5 1,488.6 1,665.2 1,757.2
ภาค 1,540.6 1,671.7 1,488.6 1,620.3 1,314.5
ตะวนั ออกเฉยี งเหนือ
ภาคใตฝ้ ั่งตะวันตก 2,237.2 2,281.2 2,015.6 1,589.3 1,784.9
ภาคใตฝ้ ่งั ตะวนั ตก 3,026.0 2,808.8 2,958.9 2,361.2 2,689.6
ทวั่ ราชอาณาจักร 1,829.6 1,813.0 1,707.3 1,607.9 1,525.9
ทม่ี า : กรมอตุ อนยิ มวทิ ยากระทรวงเทคโนโลยสี ารสนเทศและการสื่อสาร
1. กำรใชป้ ระโยชน์จำกทรัพยำกรน้ำนาเปน็ สว่ นประกอบท่ีสาคัญของส่ิงมชี ีวิตโดยเฉพาะ
มนษุ ย์ที่มนี าเป็นส่วนประกอบของร่างกายสว่ นใหญ่ และองค์ประกอบทส่ี าคญั ของระบบนิเวศดว้ ย นอกจากนี
ทรพั ยากรนายังมีประโยชนต์ อ่ ประชาชนคนไทย ดงั นี
1. ใชใ้ นการอุปโภคบริโภค เช่น ใช้เพ่อื การดืม่ ชาระล้างทาความสะอาด เปน็ ตน้
2. ใชใ้ นการเพาะปลกู เชน่ ใชใ้ นการทานา ทาสวน ทาไร่ ปลกู ผัก เป็นต้น
3. ใช้ในภาคอตุ สาหกรรม เช่น ใชเ้ ป็นส่วนหนง่ึ ของผลิตภัณฑ์ ใช้ในการระบายความร้อนใหก้ ับ
เครอื่ งจักร ใช้ในภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและบรกิ าร เปน็ ตน้
4. ใชใ้ นการผลิตนาประปาและการผลติ กระแสไฟฟ้า ซึ่งเป็นการผลิตที่มีต้นทนุ ตา่ ทังไมก่ ่อใหเ้ กดิ
มลพษิ ต่อส่ิงแวดลอ้ ม
5. ใช้ในการคมนาคมขนสง่ แมว้ า่ ปจั จุบนั การคมนาคมทางนาจะลดลงมาแล้วแต่ยงั มบี างชมุ ชน
ยังคงใช้ในการเดนิ ทางและการขนส่งทางนาอยู่ โดยเฉพาะการขนส่งระหว่างประเทศ เชน่ แมน่ าโขง เปน็ ต้น
6. ใชก้ ารเพาะเลียงสตั วน์ า แหล่งนานอกจากจะเปน็ แหละเพาะพนั ธ์ุสัตวน์ าแล้วยงั ใชใ้ นการ
เพาะเลียงสตั วย์ าเพื่อสรา้ งรายได้
7. ใช้ในด้านของการนันทนาการ เพ่ือพักผ่อนหย่อนใจ และการเล่นกีฬา เช่นการแข่งขนั กฬี า
ทางนา ใชเ้ ป็นท่ีพักผ่อนทางชายหาด
108
2. สถำนกำรณท์ ำงนำ้ การเปลีย่ นแปลงสภาพภมู อิ ากาศโลกส่งผลให้ปริมาณนาฝนมีความ
แปรปรวนมากขึน ในขณะท่ีความตอ้ งการใช้นาในการอปุ โภคบรโิ ภค ในภาคการเกษตรและภาคอุตสาหกรรมมีมาก
ขึน โดยเฉพาะในฤดูแลง้ มักจะมีความตอ้ งการใช้นาในด้านตา่ งๆ มากกว่าปริมาณนาตน้ ทุนทมี่ ีอยู่ ถึงแมว้ ่า
ทรพั ยากรนาจะเป็นทรพั ยากรหมนุ เวียน แตป่ ระเทศไทยไม่สามารถสรา้ งแหลง่ กกั เกบ็ นาไดเ้ พยี งพอ ดงั นนั จงึ ควร
ใช้นาอย่างประหยัด
1.3 ทรพั ยำกรปำ่ ไมแ้ ละสตั ว์ปำ่
ปา่ ไม้เป็นทรัพยากรธรรมชาตทิ ีส่ าคญั ของมนุษย์ เน่ืองจากเปน็ แหล่งอาหาร ยารักษาโลกและยังสามารถ
นามาสรา้ งเปน็ ที่อยอู่ าศยั อุปกรณเ์ ครื่องใช้อกี ด้วย ประเทศไทยตังอยู่ในภูมภิ าคของโลกทอี่ ุดมสมบูรณ์ ไปดว้ ยป่า
ไม้ ดังจะเห็นได้ว่าเม่ือประมาณ 40 ปที แี่ ลว้ ประเทศไทยมีพนื ท่ปี ่าไม้อยถู่ งึ 171 ล้านไร่ (ร้อยละ 53 ของพนื ท่ี
ประเทศทังหมด 320 ลา้ นไร)่ กระทัง่ จากรายงานของกรมป่าไม้ใน พ.ศ. 2551 พืนท่ีปา่ ไม้ลดลงเหลือ 99.15 ล้าน
ไร่ เท่านนั และการลดลงของพืนทป่ี า่ ไม้นนั ยงั สง่ ผงกระทบต่อการลดลงของจานวนสัตว์ปา่ อีกดว้ ย
จากนันนโยบายเพิ่มปริมาณป่าไม้ดว้ ยการเพ่ิมพืนที่อนรุ ักษแ์ ละสง่ เสรมิ การปลูกปา่ อกี ทังการประกาศปิดปา่
ตังแต่ พ.ศ. 2532 เปน็ ตน้ มาส่งผลให้พนื ทีป่ ่าไมม้ ีปริมาณเพิ่มขึน แตก่ ารลักลอบตัดไม้และล่าสตั ว์กย็ ังมีอยู่อย่าง
ต่อเนือ่ ง
ตำรำงแสดงชนิดของปำ่ ไมใ้ นประเทศไทย
ชนิด บรเิ วณทพ่ี บ พชื พรรณธรรมชำติ
ป่าดบิ ชนื บรเิ วณฝนตกชุก ภาคใตแ้ ละภาค ยาง ตะเคียง ปาล์ม หวาย ไผ่ เถาวัลย์
ตะวันออก
ป่าดิบแล้ง ทกุ ภาคของประเทศ มะค่าโมง ตะเคียงหิน ปาล์ม หวาย ขิง
ขา่
ปา่ ดนิ เขา ภาคเหนือและภาคตะวนั ออกเฉียงเหนอื ไมว้ งศ์กอ่ สน สามพันปี พญาไม้
อบเชย
ปา่ สน ภาคเหนอื และภาคตะวันออกเฉยี งเหนอื สน พลวง เต็ง รัง
บรเิ วณชายทะเลท่ีเป็นโคลน คือ ชายฝง่ั
ปา่ ชาย อา่ วไทย ชายฝง่ั ทะเลตะวันออกและ
เลน ตะวันตก โกงกาง แสม ลาพู
ป่าเบญจ ภาคเหนือ ภาคกลาง และภาค สัก แดง ประดู่ มะค่าโมง กก ไผ่
พรรณ ตะวนั ออกเฉียงเหนือ
ริมฝัง่ ทะเลที่มีนาขังและบรเิ วณปากแมน่ า จิก อินทนิลนา อบเชย หวาย หมาก
ปา่ พรุ ในภาคใต้ (โดนเฉพาะจังหวัดนราธิวาส) แดง
109
1. กำรใช้ประโยชน์ มนุษยร์ ู้จักใชป้ ระโยชนจ์ ากปา่ ไมม้ าเปน็ เวลายาวนาน และได้รับประโยชน์จากปา่ ไม้ ทงั
โดยตรงและโดยอ้อม ดงั นี
1. การใชไ้ ม้เป็นวสั ดกุ ่อสร้างและใชส้ อย การใช้ไม้สร้างบ้านเรือน อุปกรณ์ใช้สอย อื่นๆเช่น ตู้ โตะ๊ และ
เคร่อื งมือเคร่อื งครวั ใช้ในชีวติ ประจาวนั นอกจากนนั ยงั รวมถึงการใชผ้ ลผลิต อ่ืนๆ จากต้นไม้ เช่น ยางไม้ สีจาก
เปลือก ราก ใบ เมล็ดของพชื เปน็ ต้น
2. ใช้เป็นอาหารและยารักษาโรค ส่วนตา่ งๆ ของพชื เช่น ราก ลาตน้ ใบ ดอกและผลไดใ้ ช้เปน็ อาหารและยา
รกั ษาโรค รวมทังยังสกัดเอายางหรอื สว่ นสาคัญของพชื มาผลติ เป็นยารักษาโรคได้ดว้ ย
3. ใชเ้ ป็นเชือเพลิง ต้นไม้ ถูกตัดมาใชเ้ ป็นเชือเพลงิ สาหรับหุงตม้ ประกอบอาหารและเป็นเชือเพลงิ เพ่อื กิจการ
อนื่ ๆ เชน่ ท่ีพัก เผาไล่แมลง รวมทงั นาไมแ้ ละยางมาเป็นแสงสวา่ งในเวลากาลคนื
4. ช่วยลดโลกร้อน ต้นไมจ้ ะช่วยนาคาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศมาใช้ และใหอ้ อกซเิ จนออกไป จึงช่วยลดภาวะ
โลกรอ้ นได้ นอกจากนนั ต้นไม้ยังให้ความชุ่มชน่ื แก่อากาศ จึงมีส่วนชว่ ยใหม้ ฝี นตกดว้ ย
5. ช่วยป้องกันภยั ธรรมชาติ ต้นไมช้ ่วยลดชะลอความเรว็ ของลม และชะลอความเร็วของกระแสนา หากเกิดพายุ
และนาไหลท่วมที่รนุ แรง ทังยังลดความสูญเสยี ของหน้าดินและการสูญเสียทรัพยากรจากป่าอน่ื ๆ จากการไหลของ
กระแสนาไดด้ ้วย
6. เปน็ ท่อี ยู่อาศัยของสตั ว์ ตน้ ไม้หรอื ปา่ ไม้เป็นที่อยู่หรอื บา้ นของสัตวป์ า่ และยงั เป็นอาหารแก่สตั วท์ อ่ี าศัยในป่า
ด้วยมนษุ ยร์ ูจ้ ักนาสัตว์ป่ามาใชป้ ระโยชน์ ดังนี
1. อาหารและยา เนือและอวยั วะสว่ นต่างๆ ใช้เปน็ อาหาร และอวัยวะ เช่น เลือด เขา หนงั นามาทายารักษา
โรคหรือยาบารงุ กาลงั
2. เครอ่ื งนงุ่ ห่มและเครอื่ งประดับใช้หนงั หรือขนมาทาเปน็ เคร่ืองน่งุ หม่ เขา กระดูก ขน หนัง นามาทา
เครอ่ื งประดับ เปน็ ต้น
3. สร้างความสมดุลใหก้ ับระบบนิเวศ สัตว์ป่าจะช่วยกาจัดศตั รพู ชื เช่น หนอน แมลง หนู ท่ีทาลายพืชป่า ทงั
ยังกระจายพันธ์พุ ืชจากการกินเมล็ดพชื แลว้ ถ่ายมลู ไว้ที่อ่นื ก็จะกระจายพนั ธพ์ุ ชื ตอ่ ไป และมลู ของสัตวย์ ังช่วยใหด้ ิน
อดุ มสมบรู ณด์ ้วย
4. สญั ญาเตอื นภยั ธรรมชาติ สตั ว์ปา่ จะมีสัญชาตญาณรบั รภู้ ยั ธรรมชาติ ทีเ่ กิดขนึ ล้วงหนา้ เช่นการสง่ เสียง
รอ้ ง การอพยพย้ายถิน่ เม่ือจะเกดิ ภยั ธรรมชาติ ทาใหม้ นษุ ย์ได้สังเกตและเรยี นรู้จากการหนภี ยั ของสตั ว์ นามาใช้
ป้องกนั ภยั ทจ่ี ะเกิดขนึ กับตนเอง
2. สถำนกำรณ์ทรพั ยำกรป่ำไม้และสตั ว์ปำ่ เนอื่ งจากประเทศไทยอยู่ในเขตอากาศร้อนชืน พืชและสตั ว์
ในประเทศจึงมีความหลากหลาย สภาพแวดล้อมมีระบบนิเวศ ทสี ลบั ซบั ซ้อน มีความเช่อื มโยงสมั พนั ธ์กนั กบั ระบบ
นิเวศในภมู ิภาคและในโลก ในส่วนท่เี กยี่ วขอ้ งกับชีวติ มนษุ ย์นนั คนไทยรูจ้ ักการใชป้ ระโยชนจ์ ากสตั ว์ป่ามานาน แต่
เน่ืองจากสภาพแวดล้อมท่เี ปล่ียนแปลงลานจานวนมากทย่ี ังพึ่งพิงการใชป้ ระโยชน์จากสตั วป์ า่ อยู่
1.3 แรแ่ ละพลงั งำน
ในประเทศไทยไดม้ ีการนาแรม่ าใช้เป็นเวลานาน โดยเฉพาะดีบกุ ตะกั่ว เหลก็ ทองแดงและทอง ในปัจจุบนั ก็
ไดม้ กี ารนาแรต่ า่ งๆ มาใช้ ทงั แร่โลหะ อโลหะ และเชือเพลง ดงั ตาราง
ตำรำงแสดงชนิดแหลง่ แรแ่ ละประโยชน์ของแหลง่ แรใ่ นประเทศไทย 110
ชนดิ ของแร่ แหลง่ ผลิตแร่สำคญั ประโยชน์
แร่โลหะสำคญั ใช้ในการเคลือบโลหะตา่ งๆ เช่น
ฉาบแผ่นเหล็กทากระป๋องบรรจุ
ดบี ุก (Tin) จังหวัดภเู ก็ต พังงา ยะลา อาหาร ใชท้ าอุปกรณ์ใน
เชียงใหม่ กาญจนบุรี และ อตุ สาหกรรมไฟฟา้ และ
ตะกั่ว (Lead) นครศรีธรรมราช อเิ ล็กทรอนกิ ส์ ชุบสังกะสีมงุ หลังคา
สังกะสี (Zinc) เป็นตน้
จังหวดั กาญจนบรุ ี และเลย
เหล็ก (Iron) จงั หวัดตาก กาญจนบรุ ี ใช้ทาขัวและแผน่ เซลลแ์ บตเตอรี่
แมงกานสี เชยี งใหม่ และแมฮ่ ่องสอน ตะก่ัวบดั กรี ท่อนา กระสุนปืน
(Manganese) จังหวดั นครสวรรค์ เพชรบูรณ์ สะพานไฟ เคลอื บภาชนะ เป็นตน้
อุทยั ธานี นครราชสมี า เลย
ประจวบครี ีขนั ธ์ และ ทาสงั กะสมี งุ หลงั คา เคลอื บแผน่
นครศรีธรรมราช เหลก็ กระป๋อง เป็นตน้
จงั หวดั เลย เชยี งราย เชยี งใหม่ ใช้ในอตุ สาหกรรมเหลก็ กล้า และ
ลาพนู เหล็กแปรรูป
พลวง (Antimony) จงั หวัดกาญจนบรุ ี ตาก ลาปาง ใชใ้ นอุตสาหกรรมเหล็กกลา้ โลหะ
แพร่ และสตูล ผสม โลหะเชอ่ื ม ถา่ นไฟฉาย เปน็
ตน้
ทองแดง (Copper) จงั หวัดฉะเชิงเทรา และเลย
ใชผ้ สมตะก่วั ทาแผน่ กรดิ แบตเตอร่ี
ผสมตะกั่วและดบี ุกทาตัวพิมพ์ และ
โลหะผสมบดั กรี หุ้มสายโทรศัพท์
สายขนาดใหญ่ทาหมกึ พิมพ์โรเนยี ว
ใช้ในการแพทย์ เปน็ ต้น
ใชใ้ นอุตสาหกรรมตา่ งๆ เชน่
สายไฟฟา้ วิทยุ โทรทศั น์
เครื่องจักรกล เครื่องมือ
วิทยาศาสตร์โทรเลข
ทังสเตนหรอื วลุ แฟรม จังหวดั กาญจนบรุ ี ตาก และ 111
(Tungsten) เพชรบุรี
ใช้ผสมเหล็กกลา้ ทาเครื่องจกั รกล
ทองคา (Gold) จงั หวัดพจิ ิตร และนราธวิ าส ใบมดี ตะไบ ใสห้ ลอดไฟฟา้
ยิปซมั (Gypsum) จังหวัดนครสวรรค์ พิจติ ร สุ
ราษฎรธ์ านี และ ใชท้ าเครื่องประดับ ใช้แทนเงินตรา
หินปูน (Limestone) นครศรีธรรมราช ใชเ้ ปน็ หลกั ประกนั ทางการคลัง ทา
หนิ ดินดาน (Shale) เครือ่ งมือวทิ ยาศาสตร์และทนั ตก
จังหวัดสระบุรี รรม
นครศรธี รรมราช เพชรบุรี
ราชบรุ ี และนครศรธี รรมราช ใช้ทาปูนซเี มนต์ ปนู ปลาสเตอร์
จงั หวัดสระบรุ ี นครราชสีมา ดินสอ แผน่ ยิปซัม ปุย๋ อัดยาง
นครศรีธรรมราช และสงขลา
ใช้ในอตุ สาหกรรมปูนซเี มนต์
อตุ สาหกรรมฟอกหนัง หินก่อสรา้ ง
อุตสาหกรรมแก้ว สารเคมี
ผงซกั ฟอก เป็นตน้
ใช้ในอุตสาหกรรมรมปูนซีเมนตเ์ ปน็
สว่ นใหญ่
ชนดิ แรส่ ำคญั แหลง่ ผลิตแรส่ ำคญั ประโยชนข์ องแร่
แร่อโลหะสำคัญ
จงั หวัดลาปาง อุตรดิตถ์ ลพบุรี ใชใ้ นอุตสาหกรรมเครื่องป้นั ดินเผา
ดนิ ขาว ปราจีนบรุ ี เพชรบรุ ี ราชบุรี กระเบืองเคลือบ เคร่ืองสุขภัณฑ์
(Kaolin) ระยอง นครศรีธรรมราช เป็นต้น
ระนอง และนราธวิ าส
ใช้ในการผลิตแมกนเี ซียม ซึ่งใช้เป็น
โดโลไมต์ จงั หวดั แพร่กาญจนบรุ ี สุ วสั ดทุ นไฟหรือฉนวน ใชใ้ น
(Dolomite) ราษฎรธ์ านี นครศรธี รรมราช อตุ สาหกรรมแกว้ และกระจก ใช้
และตรัง ปรบั สภาพดนิ ในการเกษตรกร
รัตนชาติ จงั หวัดกาญจนบุรี จันทบรุ ี ใชเ้ ปน็ เครื่องประดบั ใช้ใน
(Gemstone) และตราด อตุ สาหกรรมการทานาฬิกาขนาด
เลก็
แรเ่ ช่ือเพลงิ และพลังงำนสำคญั 112
ใชเ้ ป็นเชือเพลงิ ธรรมชาตทิ ี่นามาใช้
ลกิ ไนต์ จังหวดั ลาปาง เชียงใหม่ พะเยา ทดแทนนามัน
(Lignite) ลาพูน ตาก เพชรบรุ ี เลย และ
กระบ่ี ใช้เป็นพลงั งานเชือเพลิง
ประกอบดว้ ยนามนั ดบิ แกส๊
ปโิ ตรเลียม แหลง่ แมส่ นู แหล่งสนั ทราย ธรรมชาติ และแกส๊ ธรรมชาตเิ หลว
(Petroleum) จงั หวดั เชยี งใหม่ แหลง่ นาพอง
จังหวัดขอนแก่น แหล่งดงมูล
จังหวดั กาฬสินธแ์ุ หลง่ ภฮู ่อม
จังหวัดอุดรธานี แหล่งสริ ิกิติ์
จงั หวดั กาแพงเพชร แหลง่ ปรือ
กระเทยี ม แหลง่ วัดแตน
จงั หวัดพษิ ณโุ ลก แหลง่ บึงหญ้า
แหลง่ บงึ มว่ ง จงั หวดั
กาแพงเพชรและสโุ ขทัย แหล่ง
วิเชยี รบรุ ี จงั หวัดเพชรบูรณ์
และพืนทอ่ี า่ วไทย กลมุ่ แหลง่
เอราวัณบรรพต สตูล ปลาทอง
กะพง ปลาแดง จักรวาล ฟู
นาน ตราด ปะการัง ไพลิน
และสุราษฎร์
แร่เป็นทรัพยากรท่ีเกิดขึนเองตามธรรมชาติ เม่ือนามาใชแ้ ลว้ ก็จะหมดไปไมส่ ามารถเกิดขึนทดแทนได้อีก
นอกจากว่าเมื่อเรานามาใช้แล้วจะนาไปดดั แปลง ปรบั ปรุงเพือ่ นาไปใชไ้ ด้อีกแตใ่ นปจั จบุ ันความตอ้ งการในการใช้
ภายในในประเทศมเี พิ่มมากขึน โดยเฉพาะในระยะท่ีประเทศมกี ารขยายตัวทางเศรษฐกิจทาให้แร่ที่มีอยู่ขาดแคลน
ซึง่ จะเกิดผลกระทบต่อเศรษฐกจิ ของประเทศสาหรบั พลงั งานซ่งึ เปน็ ปจั จัยท่สี าคัญทางเศรษฐกจิ และการดาเนิน
ชีวิตในปจั จุบัน ดงั จะเห็นได้จากในชว่ งที่ขาดแคลนพลังงานทีการควบคุมปรมิ าณการผลติ พลังงาน ทาให้สนิ คา้
ราคาสูงเพราะสง่ ผลต่อตน้ ทุนการผลติ ท่ใี ช้พลังงานเปน็ เชอ่ื เพลิง เปน็ ตน้
พลงั งานท่ีใชใ้ นประเทศไทยแบง่ เปน็ ประเภทตา่ งๆ ได้แก่
1. พลังงานหมุนเวยี น เชน่ พลังงานแสงอาทิตย์ มใี ชใ้ นท้องถิ่นทห่ี ่างไกลและหาเชือเพลงิ อนื่ ได้ยาก เนื่องจาก
มีต้นทนุ การผลิตสงู พลังงานนาใชใ้ นการผลิตกระแสไฟฟ้า โดยมแี หล่งผลติ ที่สาคญั เช่น เขอ่ื นศรนี ครนิ ทร์ จงั หวดั
กาญจนบรุ ี เขื่อนภูมิพล จังหวัดตาก เป็นต้น พลังงานความรอ้ นใต้พิภพ สามารถนามาพัฒนาใชใ้ นการผลติ
กระแสไฟฟ้า แหล่งทส่ี าคัญ เช่น แหลง่ บ้านโป่งนก-โปง่ ฮอ่ ม อาเภอสนั กาแพง แหลง่ บา้ นโป่งนาร้อน อาเภอบา้ น
โปง่ นารอ้ น อาเภอฝาง จังหวดั เชยี งใหม่ เปน็ ตน้ พลังงานชีวมวล เป็นพลงั งานท่ีได้และสัตว์ เชน่ การใช้ฟนื และ
113
ถ่านการหงุ ต้มแก๊สชวี ภาพ แอลกอฮอล์ นามัน เปน็ ต้น ซ่ึงในอนาคตประเทศไทยสามารถจะพัฒนาเพื่อนาไปใช้ได้
มากยิ่งขนึ เนอ่ื งจากมผี ลผลติ ทางการเกษตรซึ่งเปน็ ต้นกาเนิดของพลงั งานชวี มวลอยู่มากมาย
2. พลงั งานที่ใชแ้ ลว้ หมดไป เป้นพลังงานท่ีเกดิ จากการทบั ถมของพืชและสัตว์ที่อยใู่ ตผ้ วิ โลกนับร้อยลา้ นปี
ซึ่งเป็นพลังงานหลักทใ่ี ช้ในปจั จุบัน เช่น ถา่ นหิน ปิโตรเลยี ม เป็นต้น
3. พลงั งานไฟฟ้า ในระยะแรกมีการผลติ ไฟฟา้ จากปิโตรเลียม ต่อมาพัฒนามาใช้ถ่านหิน พลังงานนา แกส๊
ธรรมชาติ แสงอาทติ ย์ และพลงั งานความรอ้ นใต้พิภพไฟฟ้าทีความสาคัญต่อวิธกี ารดาเนินชีวติ และไฟฟา้ ในระบบ
ใหญ่ทผ่ี ลิตขนึ ไดถ้ กู นาไปใช้อยา่ งกวา้ งขวาง ทังการใช้ภายในอาคารบ้านเรือน ใช้เพื่อการเกษตร อุตสาหกรรม การ
คมนาคม การแพทย์ เปน็ ตน้
114
. ใบงำนเรอ่ื งเครอ่ื งมือทำงภูมิศำสตร์และภูมสิ ำรสนเทศ
คำชแ้ี จง ให้นักเรียนตอบคำถำมให้สมบูรณ์ ซ่ึงทุกใบงำนเปน็ สว่ นหน่งึ ของคะแนนเก็บ
1.แผนท่ี (map) คอื อะไร
............................................................................................................................. .......................................................
.......................................................................................................................................................................... ..........
........................................................................................................................................................................ ............
2.แผนท่ีแบง่ เปน็ ก่ีชนดิ มีอะไรบา้ ง
.................................................................................................... ................................................................................
....................................................................................................................................................................... .............
............................................................................................................................. .......................................................
........................................................................................................................................................................ ...........
3.องคป์ ระกอบของแผนที่มอี ะไรบา้ ง
................................................................................................................... ...........................................................
............................................................................................................................. .................................................
.................................................................................................................................................. ............................
...................................................................................................... ........................................................................
4.ทิศเหนอื ซ่ึงเปน็ ทิศหลกั ในแผนทม่ี ีก่ชี นิด แตล่ ะชนดิ มีรายละเอียดอย่างไร
............................................................................................................................. .................................................
..............................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. .......................................................
........................................................................................................................................................................
5.การบอกทิศทางนอกจากใช้ทศิ ทงั 4แลว้ อาจใชว้ ธิ ใี ดได้อีก
........................................................................................................................................... ...................................
............................................................................................................................. .................................................
....................................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. ...........................................
............................................................................................................................. .................................................
6.การคานวณหาระยะทางในแผนท่ีโดยใช้มาตราสว่ น ทาไดโ้ ดยวธิ ีใด
........................................................................................................................................ ......................................
............................................................................................ ........................................................................................
............................................................................................................................. ...........................................
............................................................................................................................. .................................................
115
7.การคานวณหาระยะทางในแผนทีโ่ ดยใช้มาตราสว่ นโจทย์ ระยะทางจากบา้ นไปโรงเรยี นมีความยาว 3.5
กิโลเมตร ถ้าจะทาแผนทโ่ี ดยใช้มาตราสว่ น 1: 50,000 ความยาวของระยะทางในแผนท่จี ะเปน็ เท่าใด
............................................................................................................................. .................................................
............................................................................................................................. .................................................
..............................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. .................................................
8.การคานวณหาระยะทางจริงในภมู ปิ ระเทศ
โจทย์ แผนท่ีมาตราสว่ น 1 : 200,000 มีถนนสายหนึ่งวดั ความยาวในแผนที่ได้ 8 เซนติเมตร จงหาวา่ ถนนสายนมี ี
ความยาวจริงเทา่ ใด
............................................................................................................................. .................................................
..............................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. .................................................
............................................................................................................................. .................................................
..............................................................................................................................................................................
9.เครื่องมือทางภมู ศิ าสตร์ คืออะไร
............................................................................................................................. .................................................
..............................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. .................................................
10.เคร่ืองมอื ทางภมู ศิ าสตรจ์ าแนกตามหน้าท่ีหลักของการใชง้ านได้ 2 ประเภทคืออะไร
............................................................................................................................. .................................................
............................................................................................................................. .................................................
..............................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. .................................................
............................................................................................................................. .................................................
11.ลกู โลกจาลองคืออะไร ลูกโลกจาลองแสดงถึงสงิ่ ใด
....................................................................................................................................... .......................................
........................................................................................... ...................................................................................
............................................................................................................................. .................................................
............................................................................................................................. ................................................
12.รปู ถา่ ยทางอากาศคอื อะไร
..............................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. .......................................................
............................................................................................................................. ...........................................
116
13.ประเภทของรูปถ่ายทางอากาศแบ่งเปน็ กปี่ ระเภท มีอะไรบ้าง
....................................................................................................................................................................................
............................................................................................................ ............................................................
..............................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. .................................................
............................................................................................................................. .................................................
14.จงบอกประโยชนข์ องรูปถ่ายทางอากาศ
......................................................................................................................................................................... .....
............................................................................................................................. .................................................
............................................................................................................................. .................................................
............................................................................................................................................................ ..................
15.ภาพจากดาวเทยี มคืออะไร
....................................................................................... .......................................................................................
............................................................................................................................. .................................................
..............................................................................................................................................................................
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
16.ดาวเทียมแบง่ ออกเป็นก่ีชนดิ มีอะไรบา้ ง
..............................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. .................................................
............................................................................................................................. .................................................
..............................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. .................................................
............................................................................................................................. .................................................
17.การแปลความหมายจากดาวเทยี มมวี ธิ ีการอย่างไร
............................................................................................................................. .................................................
..............................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. .................................................
............................................................................................................................. .................................................
18.ข้อมูลจากดาวเทยี มมปี ระโยชนอ์ ย่างไร
.................................................................................................................................................. ............................
...................................................................................................... ........................................................................
............................................................................................................................. .......................................................
................................................................................................................................ ........................................
117
19.เครอ่ื งมือท่ีใชศ้ ึกษาทางภมู ิศาสตร์ แบง่ ไดเ้ ปน็ 3 กลุม่ ยอ่ ย คอื
............................................................................................................................. .......................................................
........................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. .......................................................
........................................................................................................................................................................
20. เครื่องมือที่ใช้ศึกษาทางภูมิศาสตร์ แต่ละกลุม่ มีรายละเอียดดังนี
............................................................................................................................... ...............................................
..............................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. .................................................
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………
21.ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (Geographic Information System) คือะไร
............................................................................................................................. .................................................
..............................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. .................................................
22.ผลการวิเคราะห์ข้อมลู จะแสองออกมาในรปู แบบใด
............................................................................................................................. .................................................
.................................................................................................................................................... ..........................
........................................................................................................ ......................................................................
23.องคป์ ระกอบของสารสนเทศทางภูมิศาสตรม์ ีอะไรบา้ ง
............................................................................................................................. .................................................
............................................................................................................................. .................................................
........................................................................................................................................................................ ......
............................................................................................................................ ..................................................
............................................................................................................................. .................................................
24.ขอ้ มูลทางภมู ิศาสตร์ มีกีป่ ระเภท อะไรบา้ ง
............................................................................................................................. .................................................
............................................................................................................................. .................................................
..............................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. .................................................
............................................................................................................................. .................................................
..............................................................................................................................................................................
118
25.Remote Sensing คอื ะไร
......................................................................................................................... .....................................................
............................................................................................................................. .......................................................
................................................................................................................................................... .................................
..................................................................................................................................................................
26.ข้อมูลทบ่ี นั ทึกไดจ้ ากการทางานของรีโมตเซนซงิ คือะไร
............................................................................................................................. .................................................
............................................................................................................................. .......................................................
........................................................................................................................................................................
27.แหล่งกาเนดิ พลงั งานของกระบวนการรีโมตเซนซิงคืออะไร
............................................................................................................................. .................................................
....................................................................................................................................................................................
............................................................................................................................................................. ...........
28.ประเทศไทยเริ่มใชก้ ระบวนการรโี มตเซนซิงเมือ่ ใด
............................................................................................................................. .......................................................
................................................................................................................................................................................ ....
............................................................................................ ......................................................................
29.สถานีรับสัญญาณดาวเทียมภาคพืนดนิ แห่งแรกของประเทศไทยอยู่ท่ใี ด
......................................................................................................................... .....................................................
............................................................................................................................. .................................................
30.เคร่อื งมอื ทใี่ ชเ้ ก็บข้อมลู จากกระบวนการรโี มตเซนซงิ มอี ะไรบา้ ง
............................................................................................................................. .................................................
......................................................................................................................................................................... .....
............................................................................................................................. .................................................
............................................................................................................................. .................................................
31.จงบอกขันตอนการทางานของกระบวนการรีโมตเซนซิง
............................................................................................................................. .................................................
..............................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. .................................................
............................................................................................................................. .................................................
32.ระบบการกาหนดตาแหน่งบนพืนโลก(GPS)คอื อะไร
............................................................................................................................. .................................................
..............................................................................................................................................................................
119
33.เคร่อื งกาหนดค่าพิกัดคืออะไร
............................................................................................................................. .................................................
............................................................................................................................. .................................................
34.การใช้เคร่ืองกาหนดค่าพิกัดหรือเครื่องGPS
............................................................................................................................. .................................................
..............................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. .................................................
..............................................................................................................................................................................
35.กระบวนการทางานของระบบ GPS เป็นอย่างไร
......................................................................................................................... .....................................................
............................................................................................................................. .................................................
........................................................................................................................................................ ......................
............................................................................................................ ..................................................................
............................................................................................................................. .................................................
........................................................................................................................................... ...................................
36.ระบบGPS ตอ้ งใชด้ าวเทยี มกดี่ วง
....................................................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................... ..............................
37.ประโยชน์ของระบบ GPS มีอะไรบ้าง
............................................................................................................................. .................................................
............................................................................................................................................. .................................
................................................................................................. .............................................................................
............................................................................................................................. .................................................
120
กิจกรรมสบื คน้ ควำมรู้ รำยวชิ ำ ส32101 ภมู ศิ ำสตร์ ระดบั ชั้นมธั ยมศึกษำปีที่ 5
หน่วยกำรเรยี นรู้ที่ 2 ปฏิสัมพันธเ์ ชงิ ภมู ศิ ำสตร์
ชือ่ .........................................นำมสกลุ ....................................ชั้น...............เลขท.่ี ......
สณั ฐำนและโครงสร้ำงของโลก
1. สัณฐานของโลกมรี ปู ทรงสัณฐานอย่างไร
2. ให้นักเรยี นค้นหาขอ้ มูลโครงสร้างของโลก แล้วเติมขอ้ ความลงในกรอบทีก่ าหนด
3. ในปัจจุบนั นักวิทยาศาสตรม์ ีความเชอ่ื ว่า โครงสร้างของโลกชนั เปน็ สว่ นสาคัญ
ทที่ าให้เกดิ การเคลอื่ นตัวของแผ่นทวีป
4. แกน่ โลกส่วนนอกนักวิทยาศาสตรส์ นั นิษฐานว่ามีสถานะเปน็ มีความหนาประมาณ
2,200 กโิ ลเมตร ประกอบด้วยโลหะหลอมเหลว คือ
5. ชนั เนอื โลกเรยี กอกี อย่างหน่ึงว่า ประกอบดว้ ยแรธ่ าตุตา่ ง ๆ ท่ีมลี ักษณะ
ยืดหย่นุ ได้แก่
6. ลักษณะโครงสร้างแขง็ ด้านนอกสุด มีความหนาประมาณ 8-40 กิโลเมตร หมายถงึ สว่ นโครงสร้าง
ชนั ใดของโลก
121
7. ใหน้ ักเรยี นสร้าง My mapping ส่วนประกอบของเปลอื กโลก
(จำกคำทก่ี ำหนดให้ในกรอบสเี หล่ียม )
ส่วนประกอบ
ของเปลอื กโลก
m
หิน แร่ ธำตุ แร่ปฐมภูมิ
แร่ทุตยิ ภมู ิ หนิ อคั นี หินช้ัน หนิ ตะกอน
หนิ แปร หินอัคนแี ทรกซอน หนิ อคั นพี ุ
ดิน
122
8. หินหนืด ( Magma ) คืออะไร
ปฎสิ ัมพันธเ์ ชิงภมู ิศำสตร์
9.ธรณีภาค ( lithosphere ) คือ
10. ทวีปเลอ่ื นเกิดจากสาเหตใุ ด
11.ทฤษฎีของอลั เฟรด เวเกเนอร์ ( Alfred Wegener ) กลา่ วว่า เมอ่ื 225 ล้านปกี อ่ นมผี นื
แผ่นดินใหญ่ต่อกันเพียงผนื เดยี ว เรียกว่า และเรยี กมหสำมทุ รวำ่
12.ผืนแผ่นดนิ ไดแ้ ยกออกจากกนั กลายเป็น ทวีปต่าง ๆ โดยแบง่ ออกเปน็ 2 สว่ นคอื
13. แผน่ เปลอื กโลกอนิ เดียและยูเรเชยี ชนกันเมอ่ื 45 ล้านปีกอ่ น ทาให้เกิดเทือกเขาใดขึน
14. ขอ้ สนั นษิ ฐานทวีปเลื่อนในประเทศไทย สันนษิ ฐานว่า ประเทศไทยประกอบด้วยผืนจุลทวีป 2 ผนื
คือ
123
15.อทุ กภาค ( Hydrosphere ) คือส่วนใดของเปลอื กโลก
16. พืดนาแขง็ ( Ice cap ) หมายถึง
17. วฎั จกั รของนา คอื
18.วฎั จักรของนาดารงอยู่ได้ดว้ ยกระบวนการใดบา้ ง
19. การไหลเวียนนาในมหาสมทุ ร เกิดจากสาเหตุใดบา้ ง
124
20. จากแผนที่กระแสนาในมหาสมุทร หน้า 51 ให้นกั เรยี น เขยี นชือ่ กระแสนาอุ่นและกระแสนาเย็น
ลงในตารางท่ีกาหนด
กระแสนำ้ อุ่น กระแสน้ำเย็น
ช่อื แหล่งทพ่ี บ ช่ือ แหล่งทพี่ บ
21. กระแสนาในมหาสมุทรมอี ทิ ธพิ ลตอ่ อุณหภูมิบนพืนโลกอย่างไร
22. ใหน้ กั เรียนบอกประโยชนข์ องกระแสนาในมหาสมุทร (กระแสนาอุ่นและกระแสนาเยน็ )
ลงในตาราง
กระแสน้ำ ประโยชน์
กระแสนาอุน่
กระแสนาเยน็
23. บริเวณที่กระแสนาเย็นและกระแสนาอนุ่ ไหลมาบรรจบ หรือปะทะกัน จะส่งผลให้เกดิ อะไรขึน
125
24. จากแผนภาพ เติมขอ้ มูลในกรอบทก่ี าหนด และเตมิ คาในชอ่ งว่าง
ปรากฎการณท์ ี่เกิดขนึ ทุกวันอย่างช้า ๆ และคงทจี่ ากความสัมพนั ธร์ ะหว่าง ดวงอาทติ ย์
โลก และ ดวงจันทร์ ซงึ่ ปรากฎการณ์ที่จะเกดิ ขึนสลบั กันวันละ 2 ครัง โดยเกิดห่างกนั 6 ช่ัวโมง
เก่ียวข้องกบั ปรากฏการณ์ใด
25. จากแผนภาพ เตมิ ขอ้ ความในกรอบสี่เหล่ียม และในช่องวา่ ง
ปรากฎการณ์นาขึนสงู สุดเนอ่ื งจากดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และโลกโคจร มาอยใู่ นแนว
เดยี วกนั จะเกดิ ขนึ ในช่วงขนึ 14-15 คา่ และวันแรม 14-15 ค่า โดยจะเกิดขึนสงู สุดพร้อมกัน
ทังสองด้าน คอื ปรากฎการณ์
126
26. จากแผนภาพ เตมิ ข้อความในกรอบสี่เหล่ยี ม และในช่องวา่ ง
ปรากฎการณน์ าลงตา่ สดุ เนอื่ งจากดวงจนั ทรแ์ ละดวงอาทิตย์เคลอ่ื นท่ีมาอยใู่ นแนวตงั ฉาก
กบั โลก แรงดงึ ดูดจากแรงโน้มถ่วงของทังดวงอาทติ ย์และดวงจนั ทร์จะคานกัน ทาให้ในช่วงนีมรี ะดบั
นาต่าสดุ จะเกดิ ขนึ ในชว่ งวันขึน 8 ค่า และวันแรม 8 ค่า คอื ปรากฎการณ์
27. แก๊ส ท่เี ปน็ สว่ นประกอบของบรรยากาศ ทีม่ ปี ริมาณมากท่ีสดุ คือ แก๊สใด
28. ชนั บรรยากาศทเ่ี ป็นชันท่ีมีสิ่งมชี ีวิตอาศัยอยูค่ อื ชันบรรยากาศชนั ใด
29. ชันบรรยากาศท่ไี มม่ ฝี นุ่ และไอนา ไมม่ เี มฆ และพายุ เหมาะสาหรับกิจกรรมการบิน คือชนั
บรรยากาศชนั ใด
127
30. จากแผนภาพ
กลางวัน –กลางคืน เปน็ ปรากฏการณ์ทเี่ กิดขนึ ไดอ้ ยา่ งไร
128
31. จากแผนภาพ ตอบคาถามตอ่ ไปนี
1.เติมฤดูกาลในช่องว่างให้ถูกตอ้ ง
2.ฤดกู าล เกิดขนึ ไดอ้ ยา่ งไร
____
32. วันวสนั ตวษิ ณุวัต ตรงกบั วนั ท่ีเทา่ ใด ลกั ษณะของวนั นีโลกจะเปลย่ี นแปลงอยา่ งไร
129
33. วนั อุตตรายัน หรอื ครีษมายนั ตรงกบั วันท่ีเทา่ ไรของปี มลี กั ษณะอย่างไร
34.ปรากฎการณ์พระอาทิตยเ์ ทยี งคืน ( Midnight Sun ) เกิดขึนบริเวณใด ในชว่ งฤดูใด เกิดขนึ ได้
อย่างไร
35.วันศารทวิษวุ ตั ตรงกับวันท่เี ทา่ ไร เดือนอะไร มีลกั ษณะอยา่ งไร
36. วันทกั ษณิ ายันหรือเหมายัน ตรงกบั วันท่ี และเดือนใด มีลักษณะอย่างไร
37. ข้างขนึ ข้างแรมเกิดขนึ ได้อยา่ งไร
130
38. จากแผนภาพ
เปน็ ปรากฎการณ์เกี่ยวกับอะไร ลกั ษณะการเกดิ
39.จากแผนภาพ
เปน็ ปรากฎการณ์เกย่ี วกับอะไร มลี ักษณะการเกิด
40. ลมเกดิ จากอะไร
131
41.ลมทะเล เกดิ ขึนในช่วงเวลาใด และเกิดขึนได้อยา่ งไร
42.ลมบก เกิดขึนในช่วงเวลาใด และเกิดขนึ ไดอ้ ยา่ งไร
43.ชวี ภาค ( Biosphere ) หมายถงึ ส่งิ ใด
44.เพราะเหตใุ ดใบไม้ในเขตรอ้ นจงึ บางและใบไม้ในเขตหนาวจงึ หนา
45.ในปจั จบุ ันระบบนิเวศ ถูกทาลายลงไปอยา่ งมาก สาเหตุสาคญั ของปัญหานีเกดิ จากอะไรบ้าง
ตอบ
ชอ่ื – สกลุ ............................................................................เลขที่ ......................ชนั ………………………..
132
ใบงำนเร่ีอง
“ประสบกำณ์ ภยั พบิ ัติ ในชีวิตของฉนั ”
1. ช่อื หัวขอ้
................................................................................................................................................................................
2. ปจั จยั /สาเหตุที่ทาให้เกิด
...................................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................................
3. สถานการณ์การเกดิ
...................................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................................
4. ผลกระทบ
...................................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................................
5. การปฏิบตั ติ นของนกั เรียนเมือ่ ตอ้ งเผชิญกับภัยพบิ ัติดงั กล่าว
...................................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................................
6. การป้องกนั การเกดิ ภัยพิบัติดงั กลา่ ว
...................................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................................
133
ชื่อ – สกุล............................................................................เลขท่ี ......................ชน้ั ………………………..
ใบงำนเรื่อง
“กำรเปล่ียนแปลงทำงธรรมชำติ ”
1. หวั ขอ้ ............................................................................................................................. ..........
2. ปจั จัย/สาเหตุท่ีทาให้เกิด
...................................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................................
3. สถานการณ์การเกิด
...................................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................................
..................................................................................................................................................................................
4. ผลกระทบ
...................................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................................
5. การระวังภัย
...................................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................................
6. แนวทางปฏบิ ตั ิเม่ือตอ้ งเผชิญกับการเปลย่ี นแปลงธรรมชาติหรือภัยพิบัติดงั กลา่ ว
...................................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................................
7. นกั เรียนมีสว่ นในการลดปญั หาการเปล่ยี นแปลงทางธรรมชาตหิ รอื การเกิดภยั ภบิ ตั ิดงั กล่าวได้อย่างไรบา้ ง
...................................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................................
134
แบบสงั เกตพฤตกิ รรมรำยบคุ คล
ที่ พฤตกิ รรม ควำมสนใจ กำรตอบ กำรแสดง กำรรบั ฟงั ทำงำนตำมที่ หมำย
คำถำม ควำมคิดเห็น ควำมคดิ เห็น ไดร้ บั มอบหมำย เหตุ
ชือ่ -สกลุ 3 2 1 3 2 1 3 2 1 3 2 1 3 2 1
ลงช่อื …………………………......................ผู้ประเมนิ
()
เกณฑ์กำรวดั ใหค้ ะแนนระดับคุณภาพของแตล่ ะพฤตกิ รรมดงั นี
ระดบั คุณภำพ ดี ปำนกลำง ปรบั ปรุง
คะแนน 3 2 1
135
แบบประเมนิ กจิ กรรม/ใบงำนรำยบคุ คล
ที่ ชอื่ -สกลุ ความถูกตอ้ งของงาน ความคิดริเร่ิมสร้างสรรค์ รวม หมายเหตุ
43314321
ลงชื่อ…………………………….............ผู้ประเมิน
()
เกณฑก์ ำรวดั ใหค้ ะแนนระดับคุณภาพของแต่ละกจิ กรรมหรอื ใบงานดงั นี
ระดับคุณภาพ ดมี าก ดี ปานกลาง ปรับปรุง
คะแนน 4
321
136
แบบประเมนิ ผลงำนกล่มุ
กลมุ่ ชือ่ -สกลุ ควำม ควำมคิด วธิ กี ำร กำร รวม หมำ
ที่ ถูกตอ้ งของ ริเริ่ม นำเสนอ นำไปใช้ ยเหตุ
งำน สรำ้ งสรรค์ ประโยชน์
4 3 21 4 3 2 1 4 3 2 1 4 3 2 1
ลงช่ือ………………………..............ผปู้ ระเมนิ
()
ระดับคุณภาพ เกณฑ์กำรวดั ใหค้ ะแนนระดบั คณุ ภำพของผลงำนกลุ่มดงั น้ี ปรบั ปรงุ
คะแนน ดีมาก ดี ปานกลาง 1
432
137