1
รายงานผลการประเมนิ โครงการฉบบั สมบูรณ์
โครงการผกั บุ้งแปลงน้อยปลอดสารพษิ (ผกั สวนครวั )
ประจำปีการศกึ ษา 2564
ของ
นางสาวศิรมิ า ล่าสิงห์ 6216209001196
นางสาวณัฐมล รักษาจันทร์ 6216209001228
นางสาวศศิวมิ ล ถนนแกว้ 6216209001239
สาขาวชิ ารฐั ประศาสนศาสตร์ คณะมนษุ ยศาสตรแ์ ละสังคมศาสตร์
มหาวิทยาลัยราชภัฏสรุ าษฎร์ธานี
2
โครงการผกั บ้งุ แปลงนอ้ ยปลอดสารพิษ (ผกั สวนครวั )
ของ
นางสาวศิริมา ลา่ สิงห์ 6216209001196
นางสาวณัฐมล รักษาจันทร์ 6216209001228
นางสาวศศิวมิ ล ถนนแก้ว 6216209001239
สาขาวชิ ารฐั ประศาสนศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎรธ์ านี
ก
คำนำ
โครงการผกั บุ้งแปลงน้อยปลอดสารพิษ (ผกั สวนครัว) จัดทำขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์ เพ่ือศึกษา
กรรมวิธีปลูกพืชผักบุ้งจีน เพ่ือเป็นแนวทางในการจัดทำโครงการผักบุ้งแปลงน้อยปลอดสารพิษ (ผัก
สวนครัว) ศึกษาการปลูกผักบุ้งจีนแบบปลอดสารพิษ เพ่ือให้ได้ผักบุ้งจีนที่มีคุณค่าทางอาหารที่ดีและ
ไม่อันตรายต่อร่างกาย ศึกษาการเจริญเติบโตของผักบุ้งจีน และศึกษาประโยชน์และสรรพคุณจาก
ผักบุ้งจีน โดยดำเนินโครงการอย่างเป็นระบบ นับตั้งแต่การศึกษาสภาพปัจจุบัน ปัญหาและความ
ต้องการ การกำหนดจุดพัฒนา การวางแผน การปฏิบัติงานตามแผน การนิเทศติดตามผล และ
ประเมินโครงการ เพ่ือนำผลการประเมินโครงการไปใช้ในการพัฒนางานอย่างต่อเน่ือง และเป็นระบบ
ผลการดำเนินงานช่วยให้ผู้จัดทำได้พัฒนาการเรียนรู้ในการบริหารเวลา การใช้เวลาว่างให้เกิด
ประโยชน์ในการทำโครงการผักบงุ้ แปลงน้อยปลอดสารพิษ (ผกั สวนครัว) เกดิ เป็นความพอเพยี ง สง่ ผล
ให้นักศึกษามีคณุ ภาพตามจุดหมายของหลักสูตร
ขอขอบคุณ อาจารย์ อยับ ซาดัดคาน ท่ีให้คำปรึกษา แนะนำ และคอยให้แนวทางในการ
ปฏิบัติโครงการ ในการดำเนินโครงการผักบุ้งแปลงน้อยปลอดสารพิษ (ผักสวนครัว) และประเมิน
โครงการผักบุ้งแปลงน้อยปลอดสารพิษ (ผักสวนครัว) ทำให้การดำเนินงานบรรลุผลตามเป้าหมายท่ี
กำหนด
ศศวิ ิมล ถนนแกว้
(นางสาวศศวิ มิ ล ถนนแกว้ )
ตำแหนง่ หัวหนา้ กลมุ่ โครงการ
ข
สารบญั
หน้า
คำนำ...........................................................................................................................................ก
สารบญั ........................................................................................................................................ข
สารบัญตาราง..............................................................................................................................ง
สารบญั ภาพ.................................................................................................................................จ
บทคัดยอ่ ......................................................................................................................................ฉ
บทที่ 1 บทนำ……………………………………………………………………………………..….......………........…1
ความเป็นมาของโครงการ……………………………………………………………...……………………....…..1
วัตถปุ ระสงคโ์ ครงการ…………………………………………………………………...………….............……..2
ขอบเขตดำเนนิ เดินงานโครงการ……………………………………………...……..….…………….......……2
รายละเอยี ดของโครงการ…………..............…………………………………...….........…………………….2
รายละเอยี ดในการดำเนินงานโครงการ…………………………………...………….............……………..4
นิยามศัพท์……………………………………………………………………..................…………………………..5
ประโยชน์ท่ีคาดวา่ จะไดร้ บั ………………………………………………………………….………………………5
บทท่ี 2 เอกสารและแนวคิดทฤษฎีทีเ่ กยี่ วข้อง………………………………..................…..........…………6
หลกั การและเหตผุ ลของโครงการ…………………………………………………………….…………………..6
แนวคดิ ทฤษฎที ่ีเก่ียวกับการดำเนนิ โครงการ……………………..............………………...............…7
แนวคดิ หลกั การของการประเมินโครงการ...........................................................................16
กรอบแนวคิดการประเมินผลของโครงการ...........................................................................31
บทที่ 3 วธิ ีการประเมนิ โครงการ……………………………………………………………………..................…32
รปู แบบการประเมนิ โครงการ…………………………………………………………………................……32
วธิ ีการการประเมินโครงการ…………………………………………………………………….................….33
ประชากรกล่มุ ตวั อยา่ ง………………………………………………………………………………....………….33
เคร่ืองมือที่ใช้ในการประเมนิ โครงการ……………………………………………………….............…….33
การเก็บรวบรวมข้อมูล……………………………............…………………………………..............………34
การวเิ คราะห์ผลการประเมนิ โครงการ..................................................................................34
บทท่ี 4 ผลการประเมินโครงการ………………………………………………….....…………….........…………36
สว่ นท่ี 1 ขอ้ มูลทัว่ ไปของผู้ประเมนิ โครงการ........................................................................36
ส่วนท่ี 2 ผลการประเมินโครงการ.........................................................................................36
ส่วนที่ 3 ขอ้ เสนอแนะในการดำเนนิ โครงการ.......................................................................42
ค
บทท่ี 5 สรปุ ผลการประเมนิ และขอ้ เสนอแนะ………………………………….……………………………….43
สรปุ ผลการประเมินโครงการ................................................................................................43
ข้อเสนอแนะ………………………………………………………………………………………………….....…….44
บรรณนกุ รม………………………………………………………………………………………………………...……….45
ภาคผนวกเครอื่ งมอื การประเมิน………………………………………………………………………………………46
ภาคผนวกรปู ภาพ……………………………………………………………………………………………….....……..54
ง
สารบัญตาราง
ตารางที่ หน้า
ตารางที่ 1.1 ขน้ั ตอน/วธิ กี ารดำเนนิ งาน (ตามกระบวนการ PDCA).......................................3
ตารางท่ี 1.2 ระยะเวลาดำเนินงานตามโครงการ....................................................................5
ตารางท่ี 2.1 การประเมินผลผลติ ของโครงการโดยตรง (Output Evaluation)...................17
ตารางที่ 4.1.1 ตารางแสดงผลข้อมูลทว่ั ไป โดยจำแนกตามประเภทของผปู้ ระเมิน..............36
ตารางที่ 4.2.1 หลกั การ วัตถุประสงคข์ องโครงการมีความเหมาะสมและสอดคลอ้ งกนั หรือไม่
.......................................................................................................................... .................................37
ตารางที่ 4.2.2 การกำหนดเป้าหมายของโครงการมีความเหมาะสมหรือไม่.........................37
ตารางท่ี 4.2.3 บรรยากาศในการดำเนนิ งานเหมาะสมหรือไม่..............................................38
ตารางที่ 4.3.1 จำนวนบคุ ลากรท่รี ว่ มดำเนินการโครงการ มีความเหมาะสมและเพยี งพอ
หรือไม่อยา่ งไร....................................................................................................................................38
ตารางท่ี 4.3.2 วัสดอุ ุปกรณต์ ่างๆ เพียงพอและเหมาะสมต่อการดำเนินโครงการหรือไม่
อยา่ งไร...............................................................................................................................................39
ตารางที่ 4.3.3 อาคารสถานท่ีในการดำเนนิ โครงการมีความเหมาะสมและเพยี งพอหรอื ไม่
อย่างไร...............................................................................................................................................39
ตารางท่ี 4.4.1 สภาพปญั หาและความต้องการในการพฒั นามีความเหมาะสมหรือไม่..........39
ตารางที่ 4.4.2 กจิ กรรมของโครงการมีความเหมาะสมหรือไม่..............................................40
ตารางที่ 4.4.3 การประเมินผลการดำเนนิ โครงการมีความเหมาะสมหรือไม่........................40
ตารางที่ 4.5.1 สามารถนำความรจู้ ากการปฏิบัติไปใช้ในชีวิตประจำวนั ได้หรือไม่อยา่ งไร
...........................................................................................................................................................41
ตารางท่ี 4.5.2 ผเู้ ขา้ ร่วมโครงการคิดว่า สามารถนำความรู้จากการท่ีปฏบิ ตั ไิ ปต่อยอดใน
อนาคตได้อย่างไร................................................................................................................................41
ตารางท่ี 4.5.3 จากการทีเ่ ข้าร่วมโครงการ ผู้เข้ารว่ มโครงการสามารถนำความรู้ท่ไี ด้ไปปรับใช้
อย่างไร.......................................................................................................................... .....................42
จ
สารบัญภาพ
ภาพที่ หน้า
ภาพที่ 2.1 ปรชั ญาเศรษฐกจิ พอเพียง.....................................................................................9
ภาพที่ 2.2 โมเดลการประเมินของไทเลอร์..........................................................................23
ภาพท่ี 2.3 โมเดลการประเมินของสเตก...............................................................................26
ภาพที่ 2.4 กรอบแนวคิดการประเมนิ ผลของโครงการ.........................................................31
ภาพที่ 3.1 รูปแบบการประเมินโครงการแบบ CIPP MODEL..............................................32
ฉ
บทคัดยอ่
ช่อื เรื่อง การประเมนิ โครงการผักบ้งุ แปลงน้อยปลอดสารพษิ (ผกั สวนครวั )
ผ้รู ับผิดชอบ นางสาวศริ ิมา ล่าสงิ ห์
นางสาวณัฐมล รักษาจนั ทร์
นางสาวศศวิ มิ ล ถนนแก้ว
ระยะเวลาการประเมนิ โครงการ
ระยะเวลาในการดำเนินโครงการและทำการประเมินโครงการ วันที่ 20 กันยายน 2564 ถึง
วนั ท่ี 31 ตลุ าคม 2564
ระยะเวลาในการประเมินโครงการ วันท่ี 20 กันยายน 2564 ถึง วันท่ี 31 ตุลาคม 2564
วตั ถุประสงคโ์ ครงการ
1. ศึกษากรรมวิธีปลูกพืชผักบุ้งจีน เพ่ือเป็นแนวทางในการจัดทำโครงการผักบุ้งแปลงน้อย
ปลอดสารพษิ (ผักสวนครัว)
2. ศึกษาการปลูกผักบุ้งจีนแบบปลอดสารพิษ เพื่อให้ได้ผักบุ้งจีนที่มีคุณค่าทางอาหารที่ดี
และไม่อนั ตรายต่อรา่ งกาย
3. เพอ่ื ศกึ ษาการเจริญเติบโตของผกั บงุ้ จนี
4. เพอื่ ศกึ ษาประโยชนแ์ ละสรรพคุณจากผกั บ้งุ จนี
วิธีดำเนนิ โครงการ
การประเมนิ โครงการผกั บงุ้ แปลงน้อยปลอดสารพิษ (ผักสวนครัว) ดำเนินในระหวา่ ง.วนั ที่ 20
เดือนกันยายน พ.ศ. 2564 ถึงวันที่ 31 เดือนตุลาคม พ.ศ. 2564 โดยใช้กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วย
ประชากรในครอบครัวของสมาชิกในกลุ่ม ตำบลท่าเรือ อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช จำนวน
5 คน
เครอ่ื งมอื ท่ีใชป้ ระเมนิ โครงการคอื
การประเมินโครงการผกั บุ้งแปลงน้อยปลอดสารพิษ (ผักสวนครัว) โดยใชร้ ูปแบบการประเมิน
โครงการแบบ CIPP MODEL ของ สตัฟเฟลบมี ( D.L. Stufflebeam, 1997 , P. 261-265 )
ผลการประเมินโครงการ
ผลการประเมินโครงการในแต่ละด้านดงั น้ี
1. ด้านสภาวะแวดล้อม หลักการ สอดคล้องตรงตามวัตถปุ ระสงค์ทไ่ี ด้คาดการณ์ไว้
2. ดา้ นปจั จัย สมาชกิ ในครอบครัวให้ความรว่ มมือตอ่ การดำเนินโครงการอย่างดี
3. ด้านกระบวนการ มกี ารแก้ปัญหาทต่ี รงตามวัตถปุ ระสงค์ ดำเนนิ โครงการสำเรจ็
4. ดา้ นผลผลิต นำความรทู้ ไี่ ด้ไปต่อยอดต่อไปในอนาคตได้
1
บทท่ี 1
บทนำ
1. ความเปน็ มาและความสำคัญของโครงการ
พชื ผักสวนครัว เป็นสวนผักขนาดเล็กที่ปลูกในบริเวณบ้านหรอื โรงเรียนในพื้นที่เลก็ น้อย เพ่ือ
ใช้รับประทานในครัวเรือน การทำสวนครัวนอกจากจะได้ผักที่ปลอดสารพิษแล้ว ยังช่วยประหยัด
รายจ่าย เหมาะสำหรับงานอดิเรกใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ ความสำคัญในด้านคุณค่าทางอาหาร
เป็นแหล่งอาหารที่สำคัญของมนุษย์ ให้ส่ิงต่างๆท่ีจำเป็นต่อร่างกายซ่ึงอาหารชนิดอ่ืนๆมีไม่เพียงพอ
หรือไม่มี ผักสวนครัวมีคุณสมบัติช่วยให้ระบบย่อยอาหารของร่างกายลดสภาพความเป็นกรดโดย
สาเหตุจากย่อยอาหารประเภทเนื้อสัตว์ เนย และอื่นๆ เยื่อใยของพืชผักสวนครัว ช่วยระบบขับถ่าย
เป็นไปอย่างปกติ ลดการเป็นโรคลำไส้ และมะเร็งในลำไส้ ลดปริมาณคลอเรสตอรอล ลดความอ้วน
ผักสวนครัวอุดมไปด้วยธาตุแคลเซียมและธาตุเหล็ก ผักสีเขียวและเหลืองให้ วิตามินเอ ซี สำหรับถ่ัว
ต่างๆจะให้โปรตีน ประเภทหัว เช่น มันฝร่ัง มันเทศ ให้คาร์โบไฮเดรต และยังมีความสำคัญในด้าน
คุณค่าทางเศรษฐกิจ เพ่ือใช้ประโยชน์ในด้านการบริโภคการอุตสาหกรรมเกษตรและการผลิตเมล็ด
พันธุ์ ซ่ึงมีทั้งใช้บริโภคภายใน และส่งไปจำหน่าย จึงทำให้พืชผักสวนครัวมแี นวโน้มทจี่ ะเป็นเศรษฐกิจ
ในอนาคต (Nongpaisirintra 2014: online)
ผักบุ้งจีน (Water Convolvulus) เป็นพืชผักใบเขียว เป็นพืชผักสมุนไพร อยู่ในวงศ์ผักบุ้ง
เปน็ ไมล้ ม้ ลุก มีลำตน้ สเี ขยี วกลวง มใี บสีเขียว มีกา้ นใบสเี หลือง ก้านดอกมีสขี าว ดอกมีสขี าว นำเข้ามา
จากตา่ งประเทศ มีถิ่นกำเนิดอยู่ในเขตร้อนทวีปเอเชยี ในทวีปแอฟริกา และในทวีปออสเตรเลีย เป็นที่
นิยมปลูกกันท่ัวไปๆ ในหลายๆประเทศ มีประโยชน์และสรรพคุณทางยา ใช้นำมารักษาโรคต่างๆ ได้
หลายอย่าง ลำต้นและใบจะไม่เหนียว มีรสชาติกรอบหวาน ซึ่งเป็นท่ีนิยมนำมารับประทาน และ
นำมาใช้ประกอบอาหารมากกว่าผักบุ้งไทย นิยมปลูกบนบก เพราะเจริญเติบโตได้ดีบนดิน ผักบุ้งจีน
เป็นผักที่กำลังเป็นท่ีนยิ มในช่วงนี้ เนื่องจากเปน็ ผักท่ีสามารถขายไดใ้ นราคาดี โตไว แล้วยังทนตอ่ แมลง
สภาพอากาศ แถมยังปลูกง่าย นอกจากนี้ยังเป็นผกั ท่นี ิยมบริโภคในประเทศไทยอยู่ในอัตราค่อนข้างสูง
โดยนิยมทานกันในร้านสุกี้ ร้านหมูกระทะ นอกจากนี้บางจังหวัดในประเทศไทย ผักบุ้งจีนเป็นผักที่มี
ราคาแพง อย่างไรก็ตามผักบุ้งจีนเป็นผักที่อยู่ในตลาดอยู่เสมอ เนื่องจากเป็นผักที่นิยมรับประทานกัน
อย่างแพร่หลาย ราคาของผักบุ้งจีนมีการข้ึนลงอยู่เป็นประจำตามราคาตลาด พบว่าเกษตรกรที่ปลูก
ผกั บุ้งจีนสามารถทำรายได้มากกว่าหลักหมน่ื บาทตอ่ เดือน (JOM 2014: online)
2
จากประโยชน์ดังกล่าว จึงได้จัดโครงการผักบุ้งแปลงน้อยปลอดสารพิษ (ผักสวนครัว) ข้ึนมา
เพราะเนื่องจากในปัจจุบันผู้คนส่วนใหญ่ต่างหันมาดูแลสุขภาพกันมากข้ึน ไม่ว่าจะเป็นการกินเพ่ือ
สขุ ภาพ ซ่ึงพืชผกั ให้สารอาหารท่ีสำคัญหลายชนิด เช่น วิตามิน , แร่ธาตุและใยอาหาร และให้สารอ่ืน
ท่ีไม่ใช่สารอาหาร เช่น ช่วยไม่ให้อนุมูลอิสระทำลายเน้ือเยื่อและผนังเซลล์ช่วยชะลอการเส่ือมสลาย
ของเซลล์แต่การกินผักก็อาจทำลายสุขภาพของเราเช่นกัน เพราะผักที่คุณซื้อไปบริโภคอาจมีความ
เสี่ยงต่อการได้รบั สารพิษจากการอุปโภคการปลูกผักกนิ เองจึงเป็นอีกทางเลือกหน่ึงท่ีมั่นใจได้ว่าเราได้
กนิ ผกั ปลอดสารพิษ และใชเ้ วลาไม่นานและยังสามารถเป็นการพฒั นาตนเอง
2. วตั ถปุ ระสงคข์ องการประเมนิ โครงการ
1. เพ่ือศึกษากรรมวิธีปลูกพืชผักบุ้งจีน เพ่ือเป็นแนวทางในการจัดทำโครงการผักบุ้งแปลง
น้อยปลอดสารพิษ (ผักสวนครัว)
2. เพ่ือศึกษาการปลูกผักบุง้ จีนแบบปลอดสารพิษ เพื่อให้ไดผ้ ักบุ้งจีนท่ีมคี ุณค่าทางอาหารท่ีดี
และไม่อันตรายตอ่ รา่ งกาย
3. เพ่ือศกึ ษาการเจริญเตบิ โตของผักบงุ้ จีน
4. เพื่อศึกษาประโยชนแ์ ละสรรพคณุ จากผกั บงุ้ จนี
3. ขอบเขตของโครงการ
3.1 สถานที่การดำเนินการ
หา้ งหุ้นส่วนจำกดั เอ อาร์ พี ซิสเต็มส์ ตำบลทา่ เรอื อำเภอเมอื ง จังหวดั นครศรีธรรมราช
3.2 ระยะเวลาการประเมินโครงการ
วันที่ 20 เดือนกนั ยายน พ.ศ. 2564 ถึง วนั ท่ี 31 เดือนตลุ าคม พ.ศ. 2564
4. รายละเอยี ดของโครงการ
4.1 กระบวนการการดำเนนิ โครงการ
รายงานผลการจัดทำโครงการ “ผักบุ้งแปลงน้อยปลอดสารพิษ (ผักสวนครัว)”ได้มีการนำ
หลักการคณุ ภาพของเดมมงิ่ “PDCA” มาใช้ในการดำเนินการ 4 ขัน้ ตอนดงั น้ี
ขน้ั ตอน รายละเอยี ดกิจกรรม
P=Plan ระยะที่ 1 (ต้นทาง) (20 ก.ย. 2564 -25 ก.ย. 2564)
การวางแผน -สมาชิกในกลุม่ คิดโครงการ ประชุมวางแผนข้นั ตอนการดำเนนิ โครงการ
-สมาชิกในกลุ่มศึกษาถงึ ปัจจยั สภาะแวดลอ้ มตา่ งๆ และข้อมูลทเ่ี ก่ียวขอ้ งกบั โครงการ
-สมาชิกในกลมุ่ ไดเ้ สนอโครงการตอ่ อาจารยท์ ี่ปรึกษา เพื่อขออนุมตั ิโครงการและเพ่ือดำเนินโครงการใน
ขน้ั ตอนต่อไป
D=Do ระยะท่ี 2 (กลางทาง ) (26 ก.ย. 2564 -1 ต.ค. 2564)
3
การปฏิบตั ิ -ทำการลงพื้นที่สำรวจสภาพแวดล้อมท้ังภายในและภายนอกของพ้ืนท่ีที่จะดำเนินโครงการ เพื่อมา
จัดทำแผนปฏิบตั ิ
C=Check -นำแผนมาปฏิบัติ โดยการศึกษาข้อมูลในการปลูกผกั บุ้งจีน เพ่ือใช้ในการปลูกรับประทาน วัสดุอุปกรณ์
การตรวจสอบ สถานท่สี ำหรบั ปลกู ผกั บ้งุ จีน
A=Action -ลงมอื ปฏบิ ัตปิ ลูกผักบ้งุ จีน
การปรับปรุงพัฒนา -นำผักบงุ้ ทไี่ ด้ผลผลติ เสร็จแลว้ นำมาใชท้ ำอาหาร
ระยะที่ 3 (กลางทาง) (2 ต.ค. 2564 -25 ต.ค. 2564)
-จัดทำแบบประเมินผลโครงการในเชิงคุณภาพด้านต่าง ๆ เพ่ือให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของ
โครงการเป้าหมายและผลที่คาดว่าจะได้รับจากโครงการ เพื่อใช้สำหรับการประเมินผลโครงการและ
วดั ผลการดำเนนิ โครงการ
ระยะท่ี 4 (ปลายทาง) (26 ต.ค.2564 – 31 ต.ค. 2564)
-ทำการติดตามผลการดำเนินโครงการ การแกไ้ ขปญั หา ในระหว่างการดำเนินโครงการ
-รวบรวมข้อมูลความสำเร็จของโครงการในด้านต่าง ๆ รวมถึงปัญหาและอุปสรรค ข้อเสนอแนะอื่น ๆ
ในระหวา่ งการดำเนนิ โครงการ มาสรุปผล
-พัฒนาต่อยอดเพื่อสร้างความเข้มแข็งของโครงการและสร้างความสำเร็จของโครงการ และเพ่ือ
ยกระดับในการดำเนินการโครงการในคร้ังต่อไป
ตารางท่ี 1.1 ขน้ั ตอน/วธิ ีการดำเนินงาน (ตามกระบวนการ PDCA)
4.2 วัตถปุ ระสงคข์ องโครงการ
1. เพื่อศึกษากรรมวิธีปลูกพืชผักบุ้งจีน เพ่ือเป็นแนวทางในการจัดทำโครงการผักบุ้งแปลง
น้อยปลอดสารพษิ (ผกั สวนครวั )
2. เพื่อศึกษาการปลูกผักบุ้งจีนแบบปลอดสารพิษ เพ่ือให้ได้ผักบุ้งจีนที่มีคุณค่าทางอาหารที่ดี
และไมอ่ ันตรายตอ่ รา่ งกาย
3. เพ่อื ศึกษาการเจริญเตบิ โตของผักบุ้งจีน
4. เพือ่ ศึกษาประโยชน์และสรรพคณุ จากผักบุ้งจนี
4.3 เป้าหมายของโครงการ
ด้านปริมาณ ได้จำนวนการเจริญเติบโตของผกั บุง้ จีน
ดา้ นคณุ ภาพ ผกั บุ้งจีนที่ได้ปลูกปลอดสารพิษ
เมอ่ื สิ้นสุดการทำโครงการนส้ี มาชิกในกลุ่มสามารถเข้าใจวธิ กี ารปลูกผักบุ้งจนี
ร้อยละ 80 %
4
4.4 งบประมาณ
โครงการนี้ไมใ่ ชง้ บประมาณ
4.5 ปัจจยั ในการดำเนินโครงการ
วสั ดุอปุ กรณ์ จอบ บวั รดน้ำ
เคร่อื งมือ เครอื่ งใช้ เครอื่ งอำนวยความสะดวก จอบ บวั รดน้ำ
บุคคลที่ร่วมดำเนินโครงการ นางสาวศิรมิ า ลา่ สงิ ห์
นางสาวณฐั มล รักษาจันทร์
นางสาวศศิวมิ ล ถนนแก้ว
เอกสาร แหล่งเรยี นรู้ สถานประกอบการ ศกึ ษาการปลูกจากตากบั ยาย
อาคารสถานท่ี บ้านพักสมาชิก ตำบลท่าเรือ อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช จังหวัด
นครศรีธรรมราช
4.6 กจิ กรรมในการดำเนินงานโครงการ
กิจกรรมศกึ ษาการเจรญิ เตบิ โตของผักบงุ้ จีน
5. รายละเอียดกิจกรรมการดำเนินโครงการ
1. กิจกรรมศกึ ษาการเจริญเติบโตของผกั บุ้งจีน
1.1 วตั ถุประสงค์
1.1.1 เพอ่ื ดูการเจรญิ เติบโตของผักบุ้งจนี
1.2 การดำเนินโครงการ
1.2.1 เตรยี มดนิ และพรวนดิน รดนำ้
1.2.2 นำเมล็ดลงดนิ รดนำ้
1.2.3 รดนำ้ เชา้ รดนำ้ เย็น
1.2.4 เกบ็ เกยี่ วผลผลติ เมอ่ื ผกั บงุ้ เต็มที่
1.3 เครือ่ งมือในการประเมินผล
1.3.1 ประเมนิ ผลจากการไดผ้ ลผลติ
1.4 ผลทค่ี าดวา่ จะได้รบั
1.4.1 ไดผ้ กั บุง้ จนี ท่ีมีการเจริญเติบโตเตม็ ที่
1.4.2 ได้ผักบงุ้ จนี ทีป่ ลอดสารพษิ
5.1 ระยะเวลาดำเนินงานตามโครงการ
ระหวา่ งวันท่ี 1 เดอื นกนั ยายน พ.ศ. 2564 ถงึ วนั ท่ี31 เดอื นตุลาคม พ.ศ. 2564
โดยมีปฏทิ ินปฏิบตั งิ านตามโครงการดังน้ี
5
ระยะเวลา กจิ กรรม ผู้รับผิดชอบ
วั น ที่ 2 0 กั น ย าย น เตรียมดนิ พรวนดนิ รดนำ้ สมาชิกในกล่มุ
2564
วั น ที่ 2 1 กั น ย าย น ใสเ่ มล็ดลงดิน รดน้ำ เช้าเยน็ ทกุ วนั สมาชกิ ในกลุ่ม
2564
วั น ที่ 2 4 กั น ย าย น ตน้ อ่อนผักบุง้ จีนเร่ิมงอกออกมาจากตวั สมาชกิ ในกลมุ่
2564 เมล็ด
วั น ท่ี 2 7 กั น ย าย น ตน้ อ่อนผักบุ้งงอกออกจากเมลด็ ทกุ เมลด็ สมาชิกในกลมุ่
2564
วั น ท่ี 3 0 กั น ย าย น ตน้ ออ่ นเร่ิมเจริญเตบิ โตขนึ้ ตามลำดับ สมาชิกในกลมุ่
2564
วันที่ 4 ตลุ าคม 2564 ใสป่ ยุ๋ สมาชกิ ในกลุม่
วนั ท่ี 26 ตลุ าคม 2564 ใส่ปุ๋ย สมาชิกในกลุ่ม
ตารางที่ 1.2 ระยะเวลาดำเนินงานตามโครงการ
6. นยิ ามศพั ท์
ผักบุ้งจีน หมายถึง ผักบุ้งจีน เป็นพืชท่ีอยู่ในวงศ์ผักบุ้ง (Convolvulaceae) มีชื่อทาง
วทิ ยาศาสตร์ว่า Ipomoea aquatica Forsk. Var. reptan เป็นพืชที่พบท่ัวไปในเขตร้อน และเป็นผัก
ท่ีคนไทยนิยมนำมาประกอบอาหารเช่นเดียวกับผักบุ้งไทย ผักบุ้งจีนมีใบสีเขียว ก้านใบมีสีเหลืองหรือ
ขาว ก้านดอกและดอกมีสีขาว โดยทั่วไปแล้วผักบุ้งจนี จะนยิ มนำมาประกอบอาหารมากกว่าผักบงุ้ ไทย
จึงมีการปลูกอย่างแพร่หลายในประเทศไทย สำหรับเกษตรกรปลูกเพ่ือนำลำต้นไปขาย และบริษัท
ปลูกเพื่อพัฒนาและขายเมล็ดพันธ์ุ ตลาดที่สำคัญในการส่งออกผักบุ้งจีน คือ ฮ่องกง มาเลเซีย และ
สงิ คโปร์
ผักปลอดสารพิษ หมายถึง ผักที่มีกระบวนการผลิตมีการใช้สารเคมีสังเคราะห์ (เช่น ธาตุ
อาหาร ปุ๋ยเร่งการเจริญเติบโต ปุ๋ยอินทรีย์ต่าง ๆ) ผลผลิตของพืชผักท่ีไม่มีสารเคมีป้องกันและกำจัด
ศัตรูพืชตกคา้ งอยู่ หรอื มีตกคา้ งอยแู่ ต่ไมเ่ กินระดบั มาตรฐานที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนดไว้
7. ประโยชน์ท่คี าดวา่ จะได้รบั
1. รู้คณุ ประโยชน์ของการปลกู ผักบงุ้ จีนแบบปลอดสารพิษ
2. ลดค่าใช้จ่ายในการซอ้ื ผักมาประกอบอาหารประจำวัน
3. ได้รบั ประทานผกั แบบปลอดสารพิษในครัวเรอื น
4. สามารถสรา้ งรายได้ใหแ้ ก่ครอบครวั ได้
5. ใชพ้ น้ื ที่สว่ นที่ว่างเปลา่ ใหเ้ กิดประโยชน์
6
บทที่ 2
เอกสารและแนวคดิ ทฤษฎที ่ีเกี่ยวข้อง
1. หลักการและเหตผุ ลของโครงการ
ผกั สวนครัวคือผักท่ีปลูกไว้ในบริเวณบ้านหรือที่ว่างต่าง ๆ ในชุมชนต่าง ๆ โดยมวี ัตถุประสงค์
เพื่อปลูกไว้สำหรับรับประทานเองภายในครอบครัวหรือชุมชน การปลูกผักสวนครัวไว้รับประทานจะ
ทำให้ผู้ปลูกได้รับประทานผักสดท่ีอุดมด้วยวิตามินและเกลือแร่ต่าง ๆ มีความมปลอดภัยจากสารเคมี
ลดรายจ่ายในครัวเรอื นและที่สำคัญทำให้สมาชิกในครอบครัวมีกิจกรรมร่วมกันในการปลูกผักเพ่ือเกิด
สัมพันธ์ที่ดีภายในครอบครัวโดยทั่วไปคนต้องมีการบริโภคผักอย่างน้อย วันละ 200 กรัม เพื่อให้ได้
สารอาหารครบถว้ นดงั น้ันเราจงึ เล็งเห็นประโยชน์ของผักสวนครวั ซงึ่ ได้เลือกมาคือผกั บงุ้ จีน
ผักบุ้งจีน (Water Convolvulus) เป็นพืชผักใบเขียว เป็นพืชผักสมุนไพร อยู่ในวงศ์ผักบุ้ง
เป็นไม้ล้มลุก มีลำตน้ สีเขยี วกลวง มีใบสเี ขยี ว มกี ้านใบสเี หลอื ง กา้ นดอกมีสขี าว ดอกมสี ขี าว นำเขา้ มา
จากตา่ งประเทศ มีถิ่นกำเนิดอยู่ในเขตร้อนทวีปเอเชยี ในทวีปแอฟริกา และในทวีปออสเตรเลีย เป็นท่ี
นิยมปลูกกันทั่วไปๆ ในหลายๆประเทศ มีประโยชน์และสรรพคุณทางยา ใช้นำมารักษาโรคต่างๆ ได้
หลายอย่าง ลำต้นและใบจะไม่เหนียว มีรสชาติกรอบหวาน ซ่ึงเป็นท่ีนิยมนำมารับประทาน และ
นำมาใช้ประกอบอาหารมากกว่าผักบุ้งไทย นยิ มปลูกบนบก เพราะเจริญเติบโตได้ดบี นดนิ มีพลังงาน มี
เสน้ ใยอาหาร มีคาร์โบไฮเดรต มีแคลเซียม มีฟอสฟอรัส มเี หล็ก มวี ิตามินเอ มีวิตามินบีหน่ึง มีวิตามิน
บีสอง มไี นอาซนิ มีวิตามินซี มีสารต้านฮีสตามีน มเี บตา้ แคโรทีน ใช้เล้ียงสัตว์ได้ลำต้นและใบ ช่วยขับ
ปัสสาวะ แก้ปัสสาวะเหลือง แก้ท้องผูก บรรเทาอาการริดสีดวง แก้ถ่ายเป็นมูกเลือด แก้เลือดกำเดา
ออก แก้ปวดจากแมลงกัดต่อย แก้บวม แก้ฟกช้ำ แก้โรคหนองใน ช่วยเจริญอาหาร ช่วยลดความดัน
โลหิต รากผักบุ้ง แก้อาการแผลปวดบวม แก้ไอเร้ือรัง แก้ตกขาวในสตรีซึ่งการท่ีเลือกผักสวนครัวและ
เลือกที่จะศึกษาผักบุ้งจีนเพราะเป็นพืชผักใบเขียวที่หาได้ง่ายและมีประโยชน์เยอะเป็นผักท่ีนิยม
บรโิ ภคกนั มาก ปลกู ง่าย เจรญิ เติบโตเร็วและใช้เวลาในการรอผลผลิตไมน่ าน
จากประโยชน์ดังกล่าว จึงได้จัดโครงการผักบุ้งแปลงน้อยปลอดสารพิษ (ผักสวนครัว) ข้ึนมา
เพราะผักบุ้งมีประโยชน์มากมาย ปลูกง่าย ละใช้เวลาไม่นานและยังสามารถเป็นการพัฒนาตนเองใน
เรอ่ื งการใช้เวลาว่างหลงั การเรยี นออนไลน์ใหเ้ ปน็ ประโยชน์ด้วย
7
2. แนวคดิ ทฤษฎที ่ีเก่ียวกบั การดำเนนิ โครงการ
2.1 แนวคดิ เก่ยี วกบั การเรียนรู้
การเรียนรู้คือกระบวนการที่ทำให้คนเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม ความคิด คนสามารถเรียนได้
จากการได้ยินการสัมผัส การอ่าน การใช้เทคโนโลยี การเรียนรู้ของเด็กและผู้ใหญ่จะต่างกัน เด็กจะ
เรียนรู้ด้วยการเรียนในห้อง การซักถาม ผู้ใหญ่มักเรียนรู้ด้วยประสบการณ์ท่ีมีอยู่ แต่การเรียนรู้จะ
เกิดขนึ้ จากประสบการณ์ที่ผูส้ อนนำเสนอ โดยการปฏิสัมพนั ธร์ ะหว่างผสู้ อนและผ้เู รยี น ผู้สอนจะเป็นผู้
ท่ีสรา้ งบรรยากาศทางจิตวิทยาที่เอ้ืออำนวยต่อการเรยี นรู้ ทีจ่ ะให้เกิดขึ้นเป็นรูปแบบใดก็ได้เช่น ความ
เป็นกันเอง ความเข้มงวดกวดขัน หรือความไม่มีระเบียบวินัย ส่ิงเหล่านี้ผู้สอนจะเป็นผู้สร้างเงื่อนไข
และสถานการณ์เรียนรู้ให้กับผู้เรียน ดังนั้น ผู้สอนจะต้องพิจารณาเลือกรูปแบบการสอน รวมทั้งการ
สรา้ งปฏิสมั พันธ์กับผ้เู รยี น (อนันต์ศักด์ิ สร้างคำ 2559: ออนไลน)์
ทฤษฎกี ารเรยี นรู้
1. ทฤษฎีการเรียนรู้จาก การเก็บข้อมูล (Retention Theory) ทฤษฎีน้ีกล่าวว่า
ความสามารถในการเรียนรู้ข้ึนอยู่กับ ความสามารถท่ีจะ เก็บข้อมูล และเรียกข้อมูลที่เก็บเอาไว้
กลับคืนมา ท้ังน้ีรวมถึง รูปแบบของข้อมูล ความมากน้อยของข้อมูล จากการเรียนรู้ข้ันต้น แล้วนำไป
ปฏิบัติ
2. ทฤษฎีการเรียนรู้โดยใช้การโยกย้ายปรับเปล่ียนข้อมูล (Transfer Theory) ทฤษฎีนี้
กล่าวว่า การเรียนรู้มาจาก การใช้ความเช่ือมโยง ระหว่าง ความเหมือน หรือความเกี่ยวข้องระหว่าง
ขอ้ มลู ใหมก่ บั ขอ้ มูลเก่า ทฤษฎีน้ีขน้ึ อยู่กับ ข้อมูลขั้นต้นท่เี ก็บเอาไว้ดว้ ยเช่นกนั
3. ทฤษฎีของความกระตือรือร้น (Motivation Theory) ทฤษฎีน้ีกล่าวว่า ความสามารถ
ในการเรียนรู้ขึ้นอยู่กับความต้ังใจที่จะเรียนรู้ ทั้งน้ีขึ้นอยู่กับความสนใจ ความกังวล การประสบ
ความสำเร็จและผลที่จะได้รับด้วย เช่น ถ้าทำอะไรแล้วได้ผลดี เด็กจะรู้สึกว่า ตนเองประสบ
ความสำเร็จ ก็จะมีความกระตือรอื รน้
4. ทฤษฎีการเรียนรแู้ บบมีส่วนร่วมอย่างจรงิ จัง (Active Participation Theory) ทฤษฎี
นี้กล่าวว่า ความสามารถ ในการเรียนรู้ ขึ้นอยู่กับ ความอยากจะเรียนรู้ และมีส่วนร่วม ถ้ามีความ
อยากเรยี นรู้ และอยากมสี ่วนร่วมมาก ความสามารถในการเรียนรกู้ ็จะมีมากข้ึน
5. ทฤษฎีการเรียนรู้จากการเก็บรวบรวมและการดำเนินการจัดการกับข้อมูล
(Information Processing Theory)ทฤษฎีนี้ ประกอบดว้ ย 2 ส่วน คอื
8
ส่วนแรกพูดถึง ความสามารถในการจำระยะส้ันของสมอง ซึ่งมีขีดจำกัด สามารถเก็บข้อมูล
เปน็ กลมุ่ ก้อน (Chunking) ได้ประมาณ 7 ขอ้ มูล หรอื 5-9 คอื 7 บวกลบ 2 ขอ้ มูลก้อนน้ีเป็นขอ้ มูลท่มี ี
ความหมาย ซ่งึ อาจเปน็ ตัวเลข หรือคำพูด หรือตำแหนง่ ของตัวหมากรกุ หรือใบหนา้ คน เปน็ ต้น
ส่วนที่ 2 พูดถึง TOTE มาจาก Test-Operate-Test-Exit ทฤษฎีนี้นำเสนอโดย มิลเลอร์
(Miller) และคณะ กล่าวว่า ต้องมีการประเมินว่า ได้มีการกระทำท่ีบรรลุวัตถุประสงค์หรือไม่ ถ้าหาก
บอกว่าไม่บรรลุวัตถุประสงค์ ก็จะต้องมีการกระทำ หรือปฏิบัติการใหม่เพื่อ ให้บรรลุวัตถุประสงค์
ทฤษฎนี ้ีเป็นทฤษฎเี กี่ยวกับการแกไ้ ขปัญหา
6. ทฤษ ฎีการสร้างองค์ค วามรู้ด้วยตน เอง หรือ ท ฤษ ฎี ค อน สตรัค ชั่น นิ สซ่ึ ม
(Constructionism) เป็นทฤษฎีการเรียนรู้ อีกทฤษฎีหนึ่ง ตามความเห็นของ อลัน ชอว์ (Alan
Shaw) กล่าวว่า เคยคิดว่า ทฤษฎีคอนสตรัคชั่นนิสซ่ึม เป็นทฤษฎีเกี่ยวกับ การศึกษาเรียนรู้ แต่ความ
จริง มีมากกว่า การเรียนรู้ เพราะสามารถนำไปใช้ใน สภาวะการเรียนรู้ ในสังคม ได้ด้วย ชอว์
ทำการศึกษา เรื่องรูปแบบ และ ทฤษฎีการเรียนรู้ และพัฒนา เขาเช่ือว่า ในระบบการศึกษา มี
ความสำคัญต่อเน่ืองไป ถึง ระบบโครงสร้างของสังคม เด็กท่ีได้รับ การสอนด้วย วธิ ีให้อย่างเดียว หรือ
แบบเดียว จะเสียโอกาส ในการพัฒนาด้านอื่น เช่นเดียวกับสังคม ถ้าหากมีรูปแบบ แบบเดียว ก็จะ
เสียโอกาส ทจี่ ะมโี ครงสรา้ ง หรอื พฒั นา ไปในด้านอนื่ ๆ เช่นกัน
2.2 แนวคดิ เก่ยี วกบั ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพยี ง
โครงการนี้มีความสอดคลองกับปรัชญาเศรษฐกจิ พอเพยี งคือเนนการทำธรุ กจิ ทยี่ ึดหลักการ
พฒั นาองค แบบย่ังยืนโดยนาํ หลกั เศรษฐกจิ พอเพยี งมาใชในองคกรของกลุมแมบานบางสะแกโดยการ
พฒั นาน้ันตั้งอยูบนทางสายกลางสามหวงสองเง่ือนไขเป็นแนวทางปฏิบัติ (Krungsri Guru 2021:
online)
9
ภาพที่ 2.1 ปรัชญาเศรษฐกจิ พอเพียง
ความพอประมาณ
• ใหสามารถพึ่งตนเองได้ การทกี่ ลมุ่ ของสมุนไพรทอดกรอบ จัดต้ังกลุมกนั ขนึ้ มาเพื่อหวงั จะ
สร้างอาชีพใหแก
ตนเองและสรงรายได้ใหแกครอบครวั โดยไม่จำเป็นตองแสวงหาแหล่งทส่ี ร้างรายได้จากท่ีอืน่ สามารถค
นพบจากสิ่งท่ีมีอยูใกลตวั น่นั คอื สมนุ ไพรไทยทเ่ี ป็นพชื พ้ืนบานของไทย นํามาผลิตเป็นสินคาเพ่ือ
จำหนา่ ยสรงเป็นอาชีพและเพ่ิมรายได้
• ความพอเหมาะกับสภาพของตน กลุมสมนุ ไพรทอดกรอบและเมยี่ งสมนุ ไพรโดยทไ่ี ม่ขยาย
สายผลติ ภัณฑเพม่ิ เน่ืองจากกลุมนกึ ถงึ กําลังการผลิตของทางกลมุ แมบานเองทม่ี ีไมเ่ พียงพอหากขยาย
สายผลิตภณั ฑทางกลุมนน้ั
ยงั คงมีความพอใจในจดุ น้ี จึงมีเลอื กออกแบบบรรจุภณั ฑใหม่ใหทางกลุมเพื่อแสดงความมีเอกลักษณ
ของผลิตภัณฑหลงั จากท่ีทีมชอกาสะลองเขาไปพดู คุยและเสนอทางเลือกหลายๆทางในการเพอื่ สราง
ความยง่ั ยืนมาสู่อาชพี เสรมิ
ความมเี หตุผล
• ธุรกจิ สมนุ ไพรทอดกรอบเป็นธุรกิจเสรมิ ขนาดเล็กทจ่ี ดั ขนึ้ ภายในโครงการของกลุ่มสมนุ ไพร
ทอดกรอบเพ่ือ สรางรายได้เสรมิ ใหกับสมาชกิ ในกล่มุ และครอบครัวของสมาชกิ ในกล่มุ ให้มงี านทำกัน
สมนุ ไพรทอดกรอบ
นั้นไดร้ ับความนยิ มเป็นทสี่ มควรโดยกลุมลูกค้าเป้าหมายของผลติ ภัณฑนนั้ เป็นกลุมทีร่ ับประทานเพอื่
สขุ ภาพมีอายุต้งั แต่ 30ปข้นึ ไปทางกลุม่ จงึ เลือกทำบรรจุภัณฑใหเหมาะกับผลติ ภณั ฑสมุนไพรทอด
กรอบ บรรจุ
10
ภณั ฑทีม่ ตี นทนุ ต่ำสามารถเก็บสมนุ ไพรใหคงความกรอบได้นาน เป็นบรรจุภัณฑในลักษณะแบบบรรจุ
แบบถงุ กระดาษเพื่อทจ่ี ะสามารถทานได้สะดวกและเหมาะสำหรับทาน 1-2 คน
การสรางภูมิคุมกนั
• ในปจจุบันพบวาผลติ ภณั ฑทางด้านสมนุ ไพรเพ่ือสขุ ภาพน้ันเพมิ่ มากข้ึนและมีการ
ลอกเลียนแบบกนั เร่ืองสมุนไพรจงึ ไมใ่ ชสงิ่ แปลกใหม่อีกตอไป และกลุมลูกคาโดยท่ัวไปจะเป็นกลุ
มลูกคาทส่ี นใจในเรื่องการรักสุขภาพ นอกจากน้ีสมนุ ไพรทอดกรอบไม่ใชสินคาจำเป็นสวนแบงทาง
การตลาดจงึ นอยมากเม่ือเทยี บกับสินคาอืน่ การทำบรรจภุ ัณฑใหมน่ ้เี พื่อขยายตลาดเพื่อใหลกู คาได้
พจิ ารณาในการเลือกสินคาเป็นแนวทางในการสรางภมู ิคมุ้ กันแกผลติ ภณั ฑสมุนไพรทอดกรอบ
เง่อื นไขความรู
• ในการทำบรรจภุ ัณฑรูปแบบใหม่ทางกลุ่มได้พฒั นาและเรยี นรูจากการการเดนิ สาํ รวจแหล่ง
จำหนา่ ยสนิ ค้าขนาดใหญ่ เชน Big C ,โลตสั , รา้ นเบเกอร์และแหล่งอนื่ ๆ เพื่อพฒั นาการทำแบบบรรจุ
ภณั ฑทท่ี างกลุมในใชการบรรจุสมนุ ไพรทอดกรอบท่ที างกลุมผลิตข้นึ
• เขาร่วมแสดงสนิ คา OTOP จากสถานทต่ี า่ งๆ เพื่อสรางเครือขายทางธรุ กิจ สรางโอกาสให
ผลิตภณั ฑเป็นท่ีรูจัก นาํ ไปสู่การพัฒนาผลติ ภณั ฑและรูปแบบการบรรจภุ ณั ฑท่ีดี
เง่ือนไขคุณธรรม
• ทำผลิตภัณฑสมุนไพรทอดกรอบท่ีได้รบั มาตรฐานไม่มีสารเจอื ปนในสนิ คา
• ใชสมนุ ไพรท่เี ป็นวัตถุดิบทปี่ ลอดสารพิษ ไรการตกคางสารพิษ
• ขบวนการผลติ ในข้ันตอนทอด นำ้ มนั ทใี่ ชในการทอดจะผ่านการทอดคร้ังเดียวไม่มนี ำ้ มันเกา่
มาทอดซ้ำในครงั้ ตอไป เสนอแตส่ ่งิ ดีๆแกลูกคาไม่มีโฆษณาเกนิ ความเป็นจรงิ ตอลุกคา
2.3 แนวคิดการพัฒนาเพ่ือพึ่งตนเองของเกษตรกรอันเนื่องมาจากพระราชดำริ (Self
Reliance)
แนวพระราชดำริเกี่ยวกับการส่งเสริมชุมชนหรอื การพัฒนาชนบทที่สำคญั ๆ คือ การท่ีทรงมุ่ง
ช่วยเหลือพัฒนา คือ การที่ทรงมุ่งช่วยเหลือพัฒนาให้เกิดการพ่ึงตนเองได้ของคนในชนบทเป็นหลัก
กิจกรรมและโครงการตามแนวพระราชดำริที่ดำเนินการอยู่หลายพื้นที่ทั่วประเทศในปัจจุ บันนั้นล้วน
แล้วแต่มีเป้าหมายสุดทา้ ยอย่ทู ่กี ารพึ่งตนเองได้ของราษฎรท้งั ส้ิน (มูลนิธชิ ยั พัฒนา 2560: ออนไลน)์
ในการพัฒนาทั้งด้านอาชีพและส่งเสริมการเกษตร ให้เกษตรกรสามารดำรงชีพอยู่ได้อย่าง
มั่นคงเป็นปึกแผ่นนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงดำเนินการแนะนำสาธิตให้ประชาชนดำเนิน
รอยตามเบื้องพระยุคลบาทเป็นไปตามหลักการพัฒนาสังคมชุมชนอย่างแท้จริง กล่าวคือ ทรงมุ่ง
ช่วยเหลอื พัฒนาใหเ้ กดิ การพ่งึ ตนเองได้ของคนในชนบทเปน็ หลกั
ดังน้ัน การท่ีราษฎรในชนบทสามารถพึง่ ตนเองได้มากย่งิ ขึ้นน้ัน สืบเนอ่ื งจากแนวพระราชดำริ
ดา้ นการพัฒนาที่ทรงพระกรณุ าโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานแก่เกษตรกรท้ังหลายประการ
11
วิธีการพฒั นา
1. ทรงยดึ หลักท่ีไม่ใช้วธิ ีการสั่งการให้เกษตรกรปฏิบัติตาม เพราะไม่อาจชว่ ยใหค้ นเหล่านั้น
พง่ึ ตนเองได้ เนื่องจากเปน็ การปฏิบัตงิ านโดยไม่ไดเ้ กิดจากความพึงใจ ดังพระราชดำรัสความตอนหนึ่ง
ว่า ..ดำริ คือ ความเห็นที่จะทำ ไม่ใช่คำส่ังแต่มันเป็นความเห็น มีทฤษฎีอะไรต้องบอกออกมา ฟังได้
ฟัง ชอบใจก็เอาไปได้ ใครไมช่ อบก็ไมเ่ ป็นไร...
2. ทรงเน้นให้พึ่งตนเองและช่วยเหลือตนเองเป็นหลักสำคัญ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
มักจะทรงทำหน้าท่ีกระตุ้นให้เกษตรกรท้ังหลายคิดหาลู่ทางที่จะช่วยตนเอง พ่ึงตนเองโดยไม่มีการ
บังคับการแสวงหาความร่วมมือจากภายนอกต้องกระทำเม่ือจำเป็นจริงๆ ดังพระราชดำรัสตอนหนึ่ง
ทว่ี ่า ...คนทุกคน ไม่ว่าชาวกรุงหรือชาวชนบทไม่ว่ามกี ารศึกษามากหรือน้อยอย่างไร ย่อมมีจิตใจเป็น
อิสระ มีความคิดเห็น มีความพอใจ เป็นของตนเอง ไม่ชอบการบังคบั นอกจากนนั้ ยังมขี นบธรรมเนยี ม
มีแบบแผนเฉพาะเหล่ากันอีกดว้ ย...
3. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงใช้หลักการมีส่วนร่วมของประชาชน (People
Participation) เป็นจุดหลักสำคัญในการพัฒนาตามโครงการอันเน่ืองมาจากพระราชดำริ ด้วยการ
ดำเนินการเช่นน้ัน จักช่วยให้ประชาชนสามารถช่วยเหลือตนเองได้ในที่สุด ดังเคยมีพระราชดำรัสใน
อากาสวันข้ึนปีใหม่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2501 กับประชาชนชาวไทยทั้งหลายว่า ...ภาระในการบริหาร
นั้นจะประสบผลด้วยดีย่อมต้องอาศัยความรักชาติ ความซ่ือสัตย์สุจริต ความสมัครสมานกลมเกลียว
กัน ประกอบกบั การร่วมมือของประชาชนพลเมืองทวั่ ไป ขา้ พเจ้าจึงหวงั วา่ ท่านท้ังหลายคงจะพยายาม
ปฏบิ ัตกิ รณียกิจในสว่ นของแต่ละท่านด้วยใจบรสิ ทุ ธิ์ โดยคำนึงถงึ ประโยชน์ส่วนรวม ท้ังนเี้ พ่อื ได้มาซึ่ง
ความร่มเย็นเป็นสขุ ของประชาชนท่ัวไปอนั เปน็ ยอดปรารถนาด้วยกันทง้ั สิ้น...
4. หลักสำคัญอีกประการหน่ึง ในการแนะนำประชาชนเกี่ยวกับโครงการอันเน่ืองมาจาก
พระราชดำริ คือ ทรงใช้หลักประชาธิปไตยในการดำเนินการ เห็นได้ชัดเจนในทุกคราที่เสด็จพระราช
ดำเนินไปทรงเยี่ยมเยียนประชาชนและเกษตรกรร้องทุกข์เกี่ยวกับปัญหาที่เกิดขึ้น หากเจ้าหน้าท่ี
ทักท้วงส่ิงใดทางวิชาการ กราบบังคมทูลแล้วก็ทรงรบั ฟังข้อสรุปอย่างเป็นกลาง หากส่ิงใดที่เจ้าหน้าท่ี
กราบบังคมทูลว่าปฏิบัติได้ แต่ผลลัพธ์อาจไม่คุ้มค่ากบั เงินที่ลงไป พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ทรง
ให้เปลี่ยนแปลงโครงการได้เสมอ เห็นได้ชัดเจนจากพระราชดำรัสศูนย์ศึกาการพัฒนาอันเนื่องมาจาก
พระราชดำริว่า ...เป็นสถานที่ท่ีผู้ทำงานในด้านพัฒนาจะไปทำอะไรอย่างท่ีเรียกว่า ทดลอง ก็ได้ และ
เม่ือทดลองแล้วจะทำให้ผู้อ่ืนที่ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญในวิชาน้ันสามารถเข้าใจว่าเขาทำกั นอย่างไรเขาทำ
อะไรกัน...
5. ทรงยึดหลักสภาพของทอ้ งถิน่ เป็นแนวทางในการดำเนนิ งานตามโครงการอันเน่ืองมาจาก
พระราชดำริ ทั้งด้านสภาพแวดล้อม ทางภูมิศาสตร์ วัฒนธรรม และขนบธรรมเนียมประเพณี ของแต่
12
ละทอ้ งถ่ินในแต่ละภมู ิภาคของประเทศ เพราะทรงตระหนักดีกว่าการเปลย่ี นแปลงใดทด่ี ำเนินการโดย
ฉับพลันอาจก่อผลกระทบต่อค่านิยม ความคุ้นเคย และการดำรงชีพในวิถีประชาเหล่านั้นเป็นอย่าง
มาก ดังนน้ั จึงพระราชทานแนวคิดเรอื่ งน้ีว่า ...การพัฒนาจะต้องเป็นไปตามภูมิประเทศของภูมิศาสตร์
และภูมิประเทศทางสังคมศาสตร์ในสังคมวิทยา ภูมิประเทศของสังคมวิทยาคือ นิสัยใจคอของคนเรา
จะไปบังคับให้คนคิดอย่างอ่ืนไม่ได้ แต่ถ้าเราเข้าไปแล้วเราเข้าไปดูว่า เขาต้องการอะไรจริงๆ แล้วก็
อธบิ ายให้เขาเข้าใจหลักการของการพฒั นาน้ีกจ็ ะเกิดประโยชน์อยา่ งยิ่ง...
6. พระราชดำริท่ีสำคัญประการหน่ึง คือ การสร้างความแข็งแรงให้ชุมชน ด้วยการสร้าง
โครงสร้างพื้นฐานหลักท่ีจำเป็นต่อการผลิต อันจะเป็นรากฐานนำไปสู่การพ่ึงตนเองได้ในระยะยาว
โครงสร้างพื้นฐานท่ีสำคัญ คือ แหล่งน้ำ เพราะเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้เกษตรกรส่วนใหญ่ท่ีต้อง
พงึ่ พาอาศัยนำ้ ฝนจักได้มโี อกาสท่จี ะมีผลิตผลได้ตลอดปี ซง่ึ เป็นเง่ือนไขปัจจยั สำคัญยิง่ ท่ีจะทำให้ชมุ ชน
พ่ึงตนเองได้ในเร่ืองอาหารได้ระดับหนึ่ง และเม่ือชุมชนแข็งแรงพร้อมดีแล้ว ก็อาจจะมีการสร้าง
โครงสร้างพื้นฐานอื่นๆ ที่จำเป็นต่อการยกระดับรายได้ของชุมชน เช่น เส้นทางคมนาคม ฯลฯ ซ่ึงการ
พัฒนาในลักษณะท่ีเป็นการมุ่งเตรียมชุมชนให้พร้อมต่อการติดต่อสัมพันธ์กับโลกภายนอกอย่างเป็น
ขั้นตอนนี้ทรงเรียกว่า การระเบิดจากข้างใน ซ่ึงเรื่องน้ีพระองค์ทรงอธิบายว่า ...การพัฒนาประเทศ
จำเป็นต้องทำตามลำดับข้ันตอน ต้องสร้างพื้นฐาน คือ ความพอมี พอกิน พอใช้ ของประชาชนส่วน
ใหญเ่ ป็นเบื้องตน้ ก่อนโดยใช้วิธกี ารและอุปกรณ์ทป่ี ระหยัด แต่ถูกต้องตามหลักวิชาการ เมื่อได้พื้นฐาน
ม่ันคงพร้อมพอควรและปฏิบัติไดแ้ ลว้ จงึ ค่อยสร้างค่อยเสริมความเจริญและฐานะเศรษฐกิจชนั้ ท่สี ูงขึ้น
โดยลำดบั ...
วิธีการพัฒนาเพ่ือให้เกิดการพึ่งตนเองได้น้ีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงช้ีแนะว่าควร
จะต้องค่อยๆ กระทำตามลำดับข้ันตอนต่อไป ไม่ควรกระทำด้วยความเร่งรีบซึ่งอาจจะเกิดความ
เสียหายได้ ดังท่ีรับสั่งกับนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2523 ว่า ...ใน
การสร้างความเจริญก้าวหน้าน้ี ควรอย่างย่ิงท่ีจะค่อยสร้างค่อยเสริมทีละเล็กละน้อยให้เป็นลำดับ ให้
เป็นการทำไปพิจารณาไป และปรับปรุงไป ไม่ทำด้วยอาการเร่งรีบตามความกระหายท่ีจะสร้าง
ของใหม่เพ่ือความแปลกใหม่ เพราะความจรงิ ส่ิงท่ีใหม่แท้ๆ นน้ั ไม่มี สง่ิ ใหม่ทัง้ ปวงยอ่ มสืบเน่ืองมาจาก
สิ่งเกา่ และตอ่ ไปย่อมจะต้องกลายเปน็ ส่งิ เกา่ ...
พร้อมกันน้ีในเรื่องเดียวกัน ทรงมีรับส่ังกับบัณฑิตมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในวันท่ี 26
กรกฎาคม พ.ศ. 2527 วา่ ...เมอ่ื มีพ้ืนฐานหนาแนน่ บริบูรณพ์ ร้อมแล้ว กต็ ้ังตนพัฒนางานต่อไป ใหเ้ ป็น
การทำไปพัฒนาไปและปรับปรุงไป...
7. การส่งเสริมหรือสร้างเสริมสิ่งที่ชาวชนบทขาดแคลน และเป็นความต้องการอย่างสำคัญ
คือ ความรู้ ด้านต่างๆ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงตระหนักว่า ชาวชนบทควรจะมีความรู้ใน
เรื่องของการทำมาหากนิ การทำการเกษตรโดยใช้เทคโนโลยีท่ีเหมาะสมโดยทรงเน้นถึงความจำเป็นที่
13
จะต้องมี ตัวอย่างแห่งความสำเร็จ ในเรื่องการพึ่งตนเอง ซึ่งทรงมีพระราชประสงค์ท่ีจะให้ราษฎรใน
ชนบทได้มีโอกาสได้รู้ได้เห็นถึงตัวอย่างของความสำเร็จนี้ และนำไปปฏิบัติได้เองซ่ึงทรงมีพระราช
ประสงค์ท่ีจะให้ตัวอย่างของความสำเร็จทั้งหลายได้กระจายไปสู่ท้องถ่ินต่างๆ ทั่งประเทศ วิธีการให้
ความรู้แก่ประชาชนนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำรทิ ี่เกี่ยวข้องกับการใชเ้ ทคโนโลยีท่ี
ทันสมัยในกรพัฒนาว่า …การใช้เทคโนโลยีอันทันสมัยในงานต่างๆ น้ัน ว่าโดยหลักการควรจะให้ผล
มาก ในเรื่องประสิทธาพ การประหยัดและการทุ่มแรงงาน แต่อย่างไรก็ตามก็คงยังจะต้องคำนึงถึงส่ิง
อื่นเปน็ พนื้ ฐานและส่วนประกอบของงานท่ีทำดว้ ย อยา่ งในประเทศของเราประชาชนทำมาหาเล้ยี งตัว
ด้วยการกสิกรรมและการลงแรงทำงานเป็นพ้ืน การใช้เทคโนโลยีอย่างใหญ่โตเต็มรูปหรือเต็มขนาดใน
งานอาชีพหลักของประเทศย่อมจะมีปัญหา เช่นอาจทำให้ต้องลงทุนมากมายส้ินเปลืองเกินกว่าเหตุ
หรืออาจก่อให้เกิดการว่างงานอย่างรุนแรงข้ึน เป็นต้น ผลท่ีเกิดก็จะพลาดเป้าหมายไปห่างไกลและ
กลับกลายเป็นผลเสีย ดังน้ัน จึงต้องมีความระมัดระวังมากในการใช้เทคโนโลยีท่ีปฏิบัติงานคือ ควร
พยายามใช้ให้พอเหมาะพอดีแก่สถาวะของบ้านเมืองและการทำกินของราษฎรเพ่ือให้เกิดประสิทธิผล
ดว้ ย เกดิ ความประหยัดอย่างแท้จรงิ ดว้ ย...
8. ทรงนำความรู้ในด้านเทคโนโลยีการเกษตรที่เหมาะสมเข้าไปถึงมือชาวชนบทอย่างเป็น
ระบบและต่อเนื่อง โดยทรงมุ่งเน้นให้เป็นขบวนการเดียวกับที่เป็นเทคโนโลยีทางการผลิตที่ชาวบ้าน
สามารถรบั ไปและสามารถไปปฏบิ ัตไิ ด้ผลจรงิ
2.4 แนวคิดพนื้ ฐานในการพัฒนาตน
บุคคลท่ีจะพัฒนาตนเองได้น้ันจะต้องเป็นผู้มุ่งมั่นที่จะเปลี่ยนแปลงหรอื ปรับปรุงตัวเอง โดยมี
ความเชือ่ หรือแนวคดิ พื้นฐานในการพัฒนาตนทีถ่ ูกตอ้ ง ซ่ึงจะเป็นส่งิ ท่ีช่วยส่งเสริมให้การพัฒนาตนเอง
ประสบความสำเรจ็ แนวคิดทสี่ ำคญั มีดังนี้ (วินัย เพชรชว่ ย. 2551 : 32)
1. มนุษย์ทุกคนมีศักยภาพท่ีมีคุณค่าอยู่ในตัวเอง ทำให้สามารถฝึกหัดและพัฒนาตนเองได้ใน
เกือบทกุ เรอ่ื ง
2. ไม่มีบุคคลใดทม่ี ีความสมบูรณ์พร้อมทุกตา้ น จนไมจ่ ำเปน็ ตอ้ งพัฒนาในเรอ่ื งใด ๆ อกี
3. แม้บุคคลจะเป็นผู้ท่ีรู้จักตนเองได้ดีท่ีสุด แต่ก็ไม่สามารถปรับเปลี่ยนตนเองได้ในบางเรื่อง
ยงั ต้องอาศัยความช่วยเหลือจากผู้อ่ืนในการพัฒนาตน การควบคุมความคิด ความรูส้ ึก และการกระทำ
ของตนเองมคี วามสำคัญเท่ากบั การควบคมุ สง่ิ แวดล้อมภายนอก
4. อุปสรรคสำคัญของการปรับปรุงและพัฒนาตนเอง คือ การที่บุคคลมีความคิดยึดติด และ
ไม่ยอมปรับเปล่ียนวิธีคิดและการกระทำ จึงไม่ยอมสร้างนิสัยใหม่ หรือฝึกทักษะใหม่ ๆ ท่ีจำเป็นต่อ
ตนเอง
5. การปรับปรุงและพัฒนาตนเองสามารถดำเนินการได้ทุกเวลาและอย่างต่อเนื่อง เม่ือพบ
ปัญหาหรือข้อบกพรอ่ งเก่ยี วกับตนเอง
14
เอกสิทธ์ิ สนามทอง (2552 : 68) ได้กล่าวไว้ว่าคำว่า "ตัวตน" ในความหมายโดยทั่วไปแล้ว
คือ ทุกส่ิงทุกอย่างท่ีประกอบข้ึนเป็นบุคคล ในทางพระพุทธศาสนา ตัวตนประกอบด้วย จิตและกาย
ท้ังสองส่วนทำงานประสานกันโดยจิตเป็นตัวรับสั่งการ กายเป็นส่วนของการปฏิบัติตามคำสั่งของจิต
ซ่ึงมีคำกล่าวไว้ว่า "จิตเป็นกายนายเป็นบ่าว" ดังน้ัน ตัวตนจึงเป็นเร่ืองของมโนกรรม วจีกรรมและ
กายกรรม หากพิจารณาตัวตนในแง่ของการมีปฏิสัมพันธ์กับบุคคลอ่ืน ตัวตนปรากฏในหลายลักษณะ
คือ การพจิ ารณาตัวตนตามการรับรู้ของตนเอง ตามท่ีตนเองอยากให้เป็นตามการรับรขู้ องผอู้ ่ืน ตามท่ี
ผู้อื่นอยากให้เป็น และตามท่ีเป็นจริง นั่นคือโครงสร้างตัวตนน้ันเกิดความสัมพันธ์ที่เก่ียวข้องกันของ
บคุ คลกับสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะเป็นผลมาจากการประเมินสมั พันธภาพกับผู้อื่น ดังคำกล่าวท่ีว่า "เด็ก
เหน็ ตนเองตามท่ีผู้อื่นเห็นเขา" ถา้ เด็กได้รับคำชมบ่อย ๆ ว่า ต้ังใจเรียนและมคี วามขยันหม่ันเพียร เขา
กจ็ ะสรา้ งตนขึ้นมาว่าเป็นคนตั้งใจเรียน และขยันเรียน แลว้ รักษาเอาไวใ้ นตัวเขา โครงสร้างของตัวตน
นี้ คอื แบบของการรับรู้เก่ียวกับตนเอง
ทองทิพภา วิริยะพันธุ์ (2546 : 145) กล่าวว่า การพัฒนาตนเองโดยใช้แนวเชิงพุทธเป็นการ
บริหารจิตเพ่ือการรู้แจ้ง เห็นจริง เข้าใจโลก เข้าใจชีวิต มองโลกตามความเป็นจริง เห็นสัจธรรมแห่ง
ชีวิต หากบุคคลมีการพัฒนาจิตอย่างต่อเน่ืองสม่ำเสมอตลอดเวลา จะเป็นการทำจิตให้สะอาด สงบ
สว่าง ซึ่งได้แก่ ศีล สมาธิ ปัญญา ตามหลักของไตรสิกขาน่ันเอง ซ่ึงพระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า "ผู้ท่ีได้
พัฒนาตนมาแล้ว ท้ังทางพฤติกรรม ทางสภาพจิต และทางวุฒิปัญญา พร้อมท้ังมีความพยายามสูง
เท่าน้ัน จึงจะสามารถแก้ปัญหาได้" ฉะน้ันถ้าบุคคลยังไม่ได้พัฒนาตนเองให้เหมาะสม เม่ือเกิดปัญหา
การแกป้ ญั หาต่างๆ ย่อมจะไมม่ ปี ระสิทธิภาพ
สรุปได้ว่า แนวความคิดพ้ืนฐานเก่ียวกับพัฒนาตนเอง ให้ความสำคัญกับการพัฒนาทางกาย
พัฒนาจิตใจ และพัฒนาปัญญา หรอื ตามหลักของไตรสิกขาในทางพระพุทธศาสนา เป็นการฝึกพัฒนา
ศีล สมาธิ ปัญญา เพราะมนุษย์มีศักยภาพในการพัฒนาตนเอง และในการอยู่ร่วมกันกับผู้อ่ืนในสังคม
มนุษย์ควรพัฒนาตนเองทั้งภายในและภายนอก ซ่ึงบุคคลที่พัฒนาตนเองแล้วจะเป็นประชากรของ
ประเทศที่มีคุณภาพ การพัฒนาตนเองจึงนับเป็นกลยุทธ์ที่สำคัญเพราะเป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนา
สงั คมและประเทศชาติ
2.5 แนวคิดเกี่ยวกับการบรหิ ารเวลา
นกั วิชาการหลายทา่ นไดใ้ ห้คำจำกดั ความของคำว่า "การบริหารเวลา" ไว้ดงั นี้
การบริหารเวลา คือ การรู้จักวางแผนและจัดสรรเวลาในการทำงานอย่างถูกต้อง เหมาะสม ซ่ึงไม่
จำเปน็ วา่ จะตอ้ งเป็นนกั บรหิ ารเท่าน้นั ทจ่ี ะสามารถบริหารเวลา ทุกคนก็สามารถทำไดเ้ พียงแตต่ ้องรู้จัก
ที่จะแบ่งเวลา โดยจัดสรรเวลาของตนเองให้ถูกต้องและเหมาะสมตามวันเวลาท่ีกำหนด (NoveBizz
2021: online)
15
การบริหารเวลา หมายถึง "การกำหนดและการควบคุมการปฏิบัติงานให้บรรลุผลตามเวลา
และวตั ถุประสงคท์ ีก่ ำหนด เพือ่ ก่อให้เกดิ ประสทิ ธิภาพในงานหน้าทที่ ี่รับผิดชอบ"
เวลา มคี วามสำคญั ตอ่ ทกุ คน ทงั้ นเี้ พราะธรรมชาตขิ องเวลามลี ักษณะพิเศษคือ
1. เวลาเป็นทรัพยากรทม่ี จี ำกัด ใชแ้ ล้วหมดไป
2. เวลาไม่สามารถซอื้ เพมิ่ ได้ ไม่วา่ รวยหรือจน
3. เวลาไม่สามารถเกบ็ เอาไว้ใชไ้ ด้
4. เวลาผา่ นไปเรื่อยๆ ไมห่ วนย้อนกลับมาอกี
ความจำเปน็ ในการบรหิ ารเวลา
เวลาท่ีทุกคนถือครองในแต่ละวันมีเท่ากัน จึงมีความจำเป็นที่ต้องมีการบริหารเพื่อการใช้
อย่างมีประสิทธิภาพมากท่ีสุด จะเห็นได้ว่า บุคคลท่ีมีความก้าวหน้าในชีวิตส่วนใหญ่ไม่มีใครนั่งเฉยๆ
แต่ละคนต้องทำงานมากมายในแต่ละวัน และต้องรู้จักบริหารเวลา ความจำเป็นในการบริหารเวลามี
ดงั น้ี
1. เพอ่ื ความสำเร็จของงานและชวี ติ
2. เพื่อทำให้มคี ่าเพ่มิ ข้นึ เป็นเงนิ เปน็ เกียรติ เปน็ สขุ
3. การจดั เวลาเพื่อทำให้ work smart, not work hard
4. สามารถพฒั นางานและตนเองสู่เป้าหมาย
5. ทำงานอย่างมคี วามสขุ โดยที่การบริหารเวลาทม่ี ีประสทิ ธิภาพ
6. ทำแผนและขอ้ มูลการใช้เวลา ให้เหมาะสมกบั งาน ชวี ิตการพัฒนางาน การพัฒนาตน อายุ
งาน อายุคน
หลักการเบ้ืองตน้ ในการบรหิ ารเวลา"
การบริหารเวลาที่ดี นอกจากสามารถทำงานของตนเองให้สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดีแล้ว ยัง
สามารถทำงานเพื่อผอู้ น่ื ได้ด้วยและยงั ได้รับความสุขจากการมีเวลาวา่ งของตน โดยมหี ลกั ดงั ตอ่ ไปน้ี
1. การเริ่มต้นท่ีดีมีความสำเร็จเกินกว่าคร่ึง ถ้าการเร่ิมต้นของวันใหม่มีความสดช่ืนแจ่มใสจึง
ควรค้นหาสิ่งที่ตนเองชืน่ ชอบสักอย่าง
2. พิจารณาให้แน่นอนว่าอะไรสำคัญที่สุด เพ่ือป้องกันไม่ให้คนอ่ืนปล้นเวลา หรือปลันสิ่ง
สำคญั ฯ ในชวี ิตไป และจงกล้าทจี่ ะตอบปฏเิ สธ เพยี งกลา่ ววา่ "ไม"่ ส้นั ๆ และง่ายๆ
3. ต้ังเป้าหมาย การมีเป้าหมายอาจมีได้หลายเป้าหมายทั้งเรื่องส่วนตัวและเรื่องงาน การ
เขียนเป้าหมายเหล่าน้ันออกมาจะช่วยให้จุดประสงค์ของมันชัดเจนขึ้น และช่วยกำหนดทิศทางการใช้
เวลาในแต่ละสัปดาห์ เดือน ปี ทศวรรษ และชว่ั ชีวติ ได้
4. กำหนดเกณฑ์ในการใช้เวลาในการทำกิจกรรมแต่ละอย่างเช่น การโทรศัพท์ การคุยกับ
แขก การรบั ประทานอาหารตลอดจนเรอ่ื งใช้จ่ายตา่ งๆ ควรกำหนดไว้ลว่ งหนา้ ว่าจะใช้เวลาเท่าไร
16
5. วางแผนประจำวัน ควรเขียนกิจกรรมต่างๆ ออกมาอย่างชัดเจน แล้ววางแผนการจัดทำ
เพ่ือให้บรรลผุ ล โดยจดั ลำดับความสำคัญ
6. ใช้ชีวิตอย่างสมดุล ท้ังในการพักผ่อนนอนหลับให้เพียงพอมีเวลาหย่อนใจพอควร เวลา
ใหก้ ับตนเอง และ การพฒั นาจิตวญิ ญาณตลอดจนเรื่องท่สี นใจ
7. จัดลำดับความสำคัญของงานให้ชัดเจน โดยพิจารณาว่างานใดเร่งด่วน ที่ต้องดำเนินการ
โดยดว่ น งานใดทสี่ ามารถทำภายหลงั ได้ ไม่ตอ้ งใชส้ มองและเวลามากนกั ก็ทำภายหลังได้
8. ลงมือทำงานท่ียากท่ีสุด เม่ือทำงานท่ียากสำเร็จจะช่วยให้เกิดความโล่งใจ และช่วยให้เกิด
ความสำเร็จในการทำงาน
9. มอบหมายงาน โดยพจิ ารณาว่าใครที่พอจะชว่ ยได้ เพอ่ื ช่วยใหม้ เี วลาเพม่ิ ขน้ึ
10. ทำงานให้สำเร็จเปน็ ช้ินเปน็ อัน อยา่ ทำงานด้วยความยดื ยาด
11. ออกกำลังกาย เพือ่ ให้ร่างกายกระฉับกระเฉง กระปร้กี ระเปร่า การเดินเป็นการออกกำลัง
กายที่ประหยดั ที่สดุ และงา่ ยท่สี ุด
12. ตรวจสอบส่ิงท่ีทำ ว่ามีความสำคัญหรือจำเป็นเพียงใดหรือเป็นเพียงความเคยชิน สำรวจ
ดวู ่าถ้าตดั ออกจะชว่ ยให้มีเวลามากยง่ิ ข้นึ หรือไม่
13. วางแผนฉลองความสำเร็จ เช่น ถ้างานชิ้นน้ีเสร็จแล้วควรจะให้อะไรเป็นรางวัลให้สำหรับ
ตวั เอง ซงึ่ อาจเป็นสง่ิ เลก็ ๆ นอ้ ยๆก็ได้เพื่อใหเ้ ปน็ ขวัญและกำลงั ใจตัวเอง
14. ใชค้ วามจำชว่ ยประหยดั เวลาในการทำงานสูง จงควรฝกึ การจดจำสงิ่ ต่างๆ
3. แนวคิด หลักการของการประเมนิ โครงการ
3.1 หลกั การประเมนิ โครงการ
การประเมินโครงการมีหลักการสำคัญอย่างไรบ้างนั้น จำเป็นต้องพิจารณาจากความหมาย
และความสำคัญของการประเมินเป็นสำคัญ ดังน้ี
1.1 ความหมายของการประเมิน การประเมิน (Evaluation) การประเมิน หมายถึง
กระบวนการตดั สินคุณค่าของส่ิงใดส่งิ หน่ึงตามตวั ชี้วดั โดย การเปรียบเทียบกบั เกณฑ์หรือมาตรฐานท่ี
กำหนดไว้ ดังนั้น การประเมินโครงการ จงึ หมายถึง การตัดสินคุณค่าของโครงการ โดยเก็บขอ้ มูลจาก
ตัวชี้วัดที่กำหนดข้ึน และนำข้อมูลมาเปรียบเทียบ กับเกณฑ์หรือมาตรฐาน เพื่อแสดงถึงความสำเร็จ
ของโครงการ
จากความหมายดังกล่าว จะเห็นได้ว่า การประเมินจะต้องเก่ียวข้องกับคำ 3 คำ คือ ตัวช้ีวัด
เกณฑ์ และมาตรฐาน ดังน้ัน เพื่อให้เกิดความเข้าใจตรงกัน จึงขออธิบายความหมายของคำ ท้ัง 3 คำ
ดังนี้
ตัวชี้วัด (Indicator) หมายถึงตัวประกอบ ตัวแปร หรือค่าท่ีสังเกตได้ซึ่งใช้บ่งบอกถึง
สถานภาพหรือสะทอ้ นลักษณะหรอื ผลของการดำเนินงาน
17
เกณฑ์ (Criteria) หมายถงึ ระดับที่แสดงถึงความสำเร็จของการดำเนินงานหรอื ผลท่ี ไดร้ ับ
มาตรฐาน (Standard) หมายถึง ระดับการปฏิบัติท่ีแสดงถึงความสำเร็จอันเป็นที่ ยอมรับ
โดยทวั่ ไป
ตัวอย่าง เช่น การประเมินผลผลิตของโครงการโดยตรง (Output Evaluation) ซึ่งเป็นผลท่ี
เกิดขึ้นโดยตรงทันทีจากโครงการ สามารถพิจารณาการบรรลุผลเบื้องต้น ได้จากตัวช้ีวัดเร่ืองเวลา ใน
ดา้ น เวลา งบประมาณทีใ่ ช้และสดั สว่ นของงานทที่ ำเสรจ็ โดยเปรียบเทียบกบั เกณฑ์ ดังนน้ี
ประเดน็ การประเมนิ ตัวชวี้ ัด เกณฑ์
การบรรลุผลเบื้องต้นของ 1. เวลาทีเ่ สร็จ งานเสรจ็ ก่อนเวลาหรอื ทนั เวลา
โครงการ ท่กี ำหนด
2. งบประมาณท่ใี ช้ งบประมาณทใ่ี ช้จรงิ นอ้ ยกว่า
หรอื เทา่ กบั งบประมาณทไ่ี ด้รับ
3. สดั ส่วนของงานทที่ ำเสร็จ งานเสร็จ 100% ตามเปา้ หมาย
4. สดั ส่วนพื้นท่ที ่ีได้รับผล พื้นที่เป้าหมายได้รับผลกระทบ
อยา่ งน้อย 90%
ตารางที่ 2.1 การประเมนิ ผลผลติ ของโครงการโดยตรง (Output Evaluation)
ดังน้ัน การกำหนดตัวช้ีวัดและเกณฑ์/มาตรฐานท่ีเหมาะสม จึงเป็นปัจจัยสำคัญท่ีทำให้ผล
การประเมินเป็นท่ีน่าเชื่อถือ และยอมรับได้อย่างแท้จริง ซ่ึงวิธีการกำหนดตัวชี้วัดและเกณฑ์ท่ี
เหมาะสมจะได้กลา่ วในเนอ้ื หาของขน้ั ตอนการประเมนิ แต่ละขน้ั ต่อไป
1.2 ความสำคัญของการประเมิน ในการดำเนินงานโครงการ จำเป็นอย่างย่ิงที่ทุกฝ่ายที่
เกี่ยวข้องกบั โครงการจะต้องทราบถึง ความเป็นไปได้ ความพร้อม ความกา้ วหน้า และความสำเร็จของ
โครงการ ดังนั้นข้อมูลท่ีได้จากการ ประเมิน จะช่วยตอบคำถามต่างๆ ได้ ถ้าการดำเนินงานปราศจาก
การประเมิน ผูป้ ฏิบตั ิจะไมท่ ราบ ถึงปัญหาและอปุ สรรคท่ีเกิดข้ึน ความพร้อม ความเหมาะสมของการ
ดำเนินงานและเม่ือสิ้นสุดการดำเนินงาน ก็จะไม่ทราบว่าผลการดำเนินงานเป็นอย่างไรบ้าง ควร
ยกเลิก หรือปรับหรือขยายโครงการหรือไม่ อย่างไร ท้ังน้ีเพราะไม่มีสารสนเทศ จากการประเมินมา
ชว่ ยสนบั สนนุ การตดั สนิ ใจ น่นั เอง
ดังนั้นสารสนเทศที่ได้จากการประเมินจึงเป็นสารสนเทศท่ีมีความสำคัญต่อการตัดสินใจ ของ
ผู้บริหาร หรือผู้มีอำนาจในการตัดสินใจ ผู้ประเมินจึงมีบทบาทสำคัญในการนำเสนอผลการ ประเมิน
ในลักษณะท่เี หมาะสมกบั ผ้ใู ชผ้ ลการประเมนิ แตล่ ะกลุ่ม
ผู้ทีท่ ำหน้าท่ีประเมนิ สามารถแบง่ ไดเ้ ป็น 2 กลุ่ม คือ
1) ผู้ประเมินภายใน (Internal Evaluator) ได้แก่ ผู้ประเมินที่เป็นบุคคลที่ปฏิบัติงานใน
โครงการนั้น ซ่ึงเป็นผทู้ ีร่ บั ผิดชอบตอ่ โครงการนนั้ โดยตรง
18
2) ผู้ประเมินภายนอก (External Evaluator) ได้แก่ ผู้ประเมินที่เป็นบุคคลภายนอกที่ไม่ได้
ปฏิบัติงานในโครงการและไม่มีส่วนในการดำเนินการของโครงการน้ันโดยตรง ซ่ึงอาจเป็นบุคคลจาก
หนว่ ยงานอ่ืนภายใตส้ ังกัดเดียวกัน แตอ่ ย่นู อกโครงการ หรอื อาจเปน็ บุคคลจากสงั กัดอนื่ ภายนอกก็ได้
กรณีท่ีผู้ประเมินเป็นบุคคลภายนอก ผู้ประเมินจะต้องพยายามสร้างความเข้าใจแก่
ผู้ปฏิบัติงานในโครงการว่า การประเมินไม่ใช่การจับผิด แต่เป็นการนำเสนอข้อมูลเพื่อให้เกิด
ประโยชน์ต่อการดำเนินงานของโครงการ โดยเฉพาะถ้านำเสนอต่อผู้บริหารหรือผู้มีอำนาจในการ
ตัดสินใจ ข้อมูลดังกล่าวจะเป็นทางเลือกสำคัญเพ่ือประกอบการตัดสินใจต่อการดำเนินการของ
โครงการว่าจะปรับขยาย เปลี่ยนแปลงโครงการในลกั ษณะใดจึงจะเหมาะสม ทั้งน้ีเพอื่ ให้ ผปู้ ฏิบัติงาน
ในโครงการเกิดความรู้สึกท่ีดีต่อการประเมินและยอมรับการประเมินว่าเป็นกิจกรรม สร้างสรรค์ไม่ใช่
ทำภลาย ซึง่ จะส่งผลตอ่ การใหค้ วามรว่ มมอื ในการเกบ็ และรวบรวมข้อมูลของผู้ประเมิน
ดงั นั้น บคุ คลท่จี ะเป็นนกั ประเมนิ ทีด่ ี ควรจะตอ้ งมคี ณุ ลกั ษณะดังน้ี
1) เข้าใจในสิ่งท่ีต้องการประเมินอย่างชัดเจน เพ่ือนำไปสู่การวางแผนและดำเนินการ
ประเมนิ อย่างมีประสทิ ธิภาพ
2) ควรเป็นนักวิจัยท่ีดีด้วย เพราะข้อมูลท่ีใช้ในการประเมินเกิดจากกระบวนการวิจัย ดังนั้น
การประเมินจะมีคุณภาพก็ต่อเมื่อเริ่มจากการได้ข้อมูลที่มีคุณภาพ ความแตกต่างของการ วิจัยและ
การประเมินอยู่ท่ี การวิจัย เน้นการสร้างองค์ความรู้ใหม่ สนใจความจริง (Fact) ของส่งิ ต่างๆ แต่การ
ประเมิน เน้นการตัดสินคุณค่า มุ่งผลในทางปฏิบัติการนำไปใช้ประโยชน์ การประเมิน จึงมีลักษณะ
เฉพาะเจาะจงมากกว่า
3) ต้องมีความรู้ความเข้าใจในเชิงปรัชญา กล่าวคือ นอกจากท่ีนักประเมินจะมีความรู้ใน
ทฤษฎีการประเมินและรูปแบบต่างๆ แล้ว นักประเมินจำเป็นต้องรู้จักพิจารณ าเบื้องหลัง
แนวความคิดของการสร้างทฤษฎกี ารประเมนิ แต่ละทฤษฎดี ้วย เพราะนักประเมนิ จะต้องทำหนา้ ที่เป็น
ผู้ตัดสินคุณค่า ดังนั้นจงึ ต้องมคี วามสามารถในการตดั สินใจเลือกรูปแบบการประเมินที่เหมาะสมกับแต่
ละสถานการณ์
4) ต้องรู้จักประนีประนอม เพราะนักประเมินจะต้องเกี่ยวข้องกับบุคคลหลายฝ้าย ได้แก่
คณะผู้ประเมินเอง ผู้บริหาร ผู้ปฏิบัติการในโครงการ ผู้สนับสนุนด้านการเงิน ผู้รับผลจากโครงการ
ฯลฯ จงึ ตอ้ งรู้จักการประสานประโยชนบ์ นพ้นื ฐานของความยตุ ธิ รรม ให้เกิดแก่ทุกฝ่ายอยา่ งเหมาะสม
1.2 ประเภทของการประเมิน
การประเมินมีอยู่ด้วยกันหลายลักษณะ ซึ่งถ้าพิจารณาจัดประเภทของการประเมินแล้ว
สามารถแบง่ ไดเ้ ปน็ 2 กลมุ่ ใหญ่ ดังน้ี
1.2.1 แบง่ ตามวัตถปุ ระสงค์การประเมิน แบง่ ได้เป็น 2 ประเภท คอื
19
1) การประเมินความก้าวหน้า (Formative Evaluation) เป็นการประเมินระหว่างการ
ดำเนินโครงการ เพื่อพิจารณาความก้าวหน้าของโครงการ ว่าจำเป็นต้องมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลง
สว่ นใด เพ่อื ให้เกิดความเหมาะสมและมปี ระสทิ ธภิ าพของการดำเนนิ งานมากขนึ้
2) การประเมนิ ผลสรปุ (Summative Evaluation) เป็นการประเมินเมอ่ื สิ้นสุดโครงการ เพ่ือ
ตัดสินความสำเร็จของโครงการว่าบรรลุวัตถุประสงค์มากน้อยเพียงใดหรือบรรลุเป้าหมายท่ีควรจะเป็น
เพียงใด
1.2.2 แบ่งตามช่วงเวลาของการประเมิน แบ่งไดเ้ ป็น 5 ประเภท ดังนี้
1) การประเมินความต้องการจำเป็น (Needs Assessment) เป็นการประเมินความต้องการ
จำเป็นของโครงการในเบ้ืองต้น ก่อนท่ีจะจัดทำโครงการใดๆ เป็นการประเมินท่ีมีประโยชน์ต่อการวาง
นโยบายและการวางแผน เพ่ือให้ได้แนวคิดของการจัดโครงการที่สามารถสนองความต้องการของ
กลมุ่ เปา้ หมายได้
2) การประเมินความเป็นไปได้ (Feasibility Study) เป็นการประเมินเพื่อพิจารณาความ
เป็นไปได้ของโครงการท่ีจะดำเนินการศึกษาวิเคราะห์ถึงปัจจัย/เงื่อนไขท่ีจำเป็นต่อความสำเร็จของ
โครงการ มกั จะประเมินในด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมอื ง และการบริหาร
3) การประเมนิ ปจั จัยนำเข้า (Input Evaluation) เป็นการประเมินสิ่งท่ีป้อนเข้าสูโ่ ครงการว่า
มีความเหมาะสมเพียงใดก่อนที่จะเริ่มโครงการ สิ่งที่ป้อนเข้าเช่น คน วัตถุดิบ อุปกรณ์ เคร่ืองมือ
งบประมาณ เป็นต้น
4) การประเมินกระบวนการ (Process Evaluation) เป็นการประเมินกระบวนการ
ดำเนินการตามท่ีกำหนด ทำการประเมินในขณะท่ีโครงการกำลังดำเนินการอยู่ เพื่อใชผ้ ลการปรบั ปรุง
หรือเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน ซ่ึงมีลักษณะครอบคลุม การประเมินความก้าวหน้า
(Formative Evaluation) ของโครงการ
5) การประเมินผลผลิต (Output / Product Evaluation) เป็นการประเมินผลที่ได้จาก
โครงการโดยตรง และเป็นผลท่ีคาดหวังจากโครงการ วา่ ผลที่ไดเ้ ป็นไปตามวัตถุประสงค์/ป้าหมายของ
โครงการมากน้อยเพียงใด
6) การประเมินผลกระทบ (Outcome / Impact Evaluation) เป็นการประเมินผลที่ได้จาก
ผลของโครงการท้ังที่คาดหวังและไม่ได้คาดหวัง ซ่ึงเป็นผลทางบวกและทางลบ เพ่ือน ำผลไป
ประกอบการตัดสินใจเกย่ี วกับโครงการ เช่น การยกเลิก หรือดำเนินโครงการดงั กลา่ วต่อไป
7) การประเมินงานประเมิน (Meta Evaluation) เป็นการประเมินผลของการประเมินอีก
คร้ังหนึ่ง เพื่อศึกษาความถกู ต้องและความเหมาะสมของการประเมิน และผลการประเมิน วิธกี ารน้ียัง
ไมแ่ พรห่ ลายมากนกั
20
1.3 ข้ันตอนการประเมิน
ในการประเมินแตล่ ะครัง้ ผู้ประเมนิ จำเปน็ ต้องดำเนินตามขั้นตอนของการประเมนิ ดังต่อไปนี้
1) การวิเคราะห์โครงการที่จะประเมนิ
2) การศึกษารูปแบบการประเมนิ (Model)
3) การกำหนดประเด็นของการประเมิน
4) การพฒั นาตัวชีว้ ดั และกำหนดเกณฑ์
5) การออกแบบการประเมิน
6) การเกบ็ รวบรวมข้อมูล
7) เครื่องมอื ทีใ่ ช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล
8) การวเิ คราะห์ข้อมลู
9) การตดั สินผล สรุปผล และอภิปรายผลการประเมนิ
10) การเขียนรายงานการประเมิน
สำหรบั รายละเอยี ดแต่ละข้ันตอนมดี งั น้ี
1) การวเิ คราะหโ์ ครงการท่จี ะประเมิน
เป็นการศึกษารายละเอียดต่างๆ ของโครงการและความสัมพันธ์ระหว่างส่วนต่างๆ ของ
โครงการท่จี ะประเมิน เพื่อให้ผู้ประเมินเกดิ ความรู้ความเข้าใจโครงการอย่างลกึ ซึ้ง ตั้งแต่หลกั การและ
เหตุผลของโครงการ วัตถุประสงค์ วิธีดำเนินการ การเก็บข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูลจนถึงผลของ
โครงการ การวเิ คราะหโ์ ครงการอยา่ งละเอยี ดรอบคอบ จะเปน็ ส่วนสำคญั ทที่ ำใหผ้ ปู้ ระเมินเกิดแนวคิด
ต่างๆ ที่จะนำไปสู่การกำหนดประเด็นการประเมินได้ ดังน้ันการวิเคราะห์โครงการที่จะประเมินจึงเป็น
ข้ันตอนการประเมนิ ทส่ี ำคัญอย่างยิ่งขนั้ ตอนแรกของการประเมิน
2) การกำหนดประเด็นของการประเมิน (Model)
ผู้ประเมินจำเป็นต้องมีความรู้เก่ียวกับรูปแบบของการประเมินแบบต่างๆ อย่างกว้างขวาง
รปู แบบของการประเมินแต่ละแบบ จะได้มาจากแนวความคิดท่ีแตกต่างกันไปของเจ้าของรูปแบบแต่
ละท่าน การศึกษารูปแบบของการประเมินหลายๆ แบบ จะทำให้ผู้ประเมินได้เห็นทางเลือกท่ี
หลากหลายท่ีจะนำไปสกู่ ารเลือกใช้รปู แบบทีเ่ หมาะสมที่สดุ กับโครงการที่จะประเมิน แต่โดยส่วนใหญ่
โครงการแต่ละโครงการไม่สามารถประเมินโดยใช้รูปแบบใดรปู แบบหนึ่งอย่างเดียวเสมอไป ผู้ประเมิน
จงึ ใช้การผสมผสานหลายๆ รูปแบบการประเมิน เพ่อื ให้ผลการประเมินสมบูรณท์ สี่ ดุ เท่าท่จี ะทำได้
3) การกำหนดประเด็นของการประเมิน
ผู้ประเมินจำเป็นต้องกำหนดประเด็นของการประเมินอย่างเหมาะสม เพื่อจะนำไปสู่การ
กำหนดรายละเอียดในข้ันตอนตอ่ ๆ ไป อย่างสมบูรณ์ตามประเด็นท่ีกำหนด ผู้ประเมินสามารถกำหนด
ประเด็นของการประเมินได้จากการวิเคราะห์โครงการที่จะประเมิน ในข้ันตอนที่ 1) ผสมผสานกับ
21
การศึกษารูปแบบของการประเมินในขั้นตอนท่ี 2) ทั้งน้ีผู้ประเมินจะต้องคำนึงถึงความต้องการของ
ผู้ใช้ผลการประเมิน ซึ่งอาจจะเป็นผู้ให้ทุน ผู้บริหาร ผู้มีอำนาจตัดสินใจ เจ้าหน้าท่ีระดับปฏิบัติการ
ฯลฯ เพอ่ื ใหผ้ ลจากการประเมนิ เปน็ ประโยชน์ต่อบคุ คลต่างๆ อย่างแท้จริง
4) การพัฒนาตวั ช้ีวดั และกำหนดเกณฑ์
ในการประเมินใดๆ ส่ิงสำคัญที่จะทำให้เกิดความเชื่อถือในผลการประเมินได้ ย่อมขึ้นอยู่กับ
คุณภาพของตัวช้ีวัด (Indicctor) และเกณฑ์ (Criteria) ดังน้ัน ขั้นตอนสำคัญของการประเมินอีก
ขั้นตอนหน่ึงก็คือ การพัฒนาตัวช้ีวัด และการกำหนดเกณฑ์ท่ีเหมาะสม ตัวชี้วัดแต่ละตัวจะได้มาจาก
ประเด็นของการประเมินที่ผปู้ ระเมนิ ได้กำหนดไว้ในขนั้ ตอนที่ 3) ผู้ประเมินต้องพยายามค้นหาตัวช้ีวัด
ทส่ี ามารถแสดงประสิทธิภาพของแต่ละประเด็นได้ชัดเจนท่ีสุด ซ่ึงสามารถสังเกตหรือวัดได้และเมื่อได้
ตัวช้ีวัดที่เหมาะสมแล้ว ผู้ประเมินจำเป็นต้องกำหนดเกณฑ์ท่ีเหมาะสมให้กับตัวช้ีวัดแต่ละตัวดังกล่าว
เพื่อเป็นเกณฑ์ตัดสินได้ว่าผลการดำเนินงานของโครงการที่พิจารณาจากตัวช้ีวัดแต่ละตัวนั้น ประสบ
ความสำเรจ็ เป็นไปตามเกณฑม์ ากนอ้ ยเพียงใด
5) การออกแบบการประเมนิ
หลังจากท่ีผู้ประเมินกำหนดประเด็นของการประเมิน และพัฒนาตัวชี้วัดและเกณฑ์ท่ี
เหมาะสมได้แล้ว ผู้ประเมินสามารถเร่ิมออกแบบการประเมินได้ เร่ิมต้ังแต่การผสมผสานความคิด
ทั้งหมด เป็นรูปแบบการประเมินท่ีเลือกใช้ให้เหมาะสมกับโครงการที่จะประเมิน การกำหนดวิธีการ
ประเมิน การสุ่มตัวอย่าง ตัวชี้วัดและเกณฑ์ที่จะใช้ แหล่งข้อมูลท่ีต้องการ เครื่องมือท่ีใช้ และการ
วเิ คราะหข์ ้อมูล การออกแบบการประเมินจึงเป็นเสมือนแนวทางการประเมินท่ีผปู้ ระเมนิ ไดเ้ ตรียมการ
ออกแบบไวส้ ำหรบั แต่ละโครงการ
6) การเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู
หลังจากที่ผู้ประเมินได้ออกแบบการประเมินไว้แล้ว ผู้ประเมินต้องลงมือเก็บรวบรวมข้อมูล
ตามที่ต้องการ โดยอาจจะใช้วิธีการหลายๆ อย่าง เช่น การสอบ การสังเกต การสัมภาษณ์การ
สอบถาม ซ่ึงการเลือกใช้วิธีการใดย่อมข้ึนกับวัตถุประสงค์ของการประเมินและลักษณะข้อมูลที่
ต้องการเปน็ สำคัญ
7) เครื่องมอื ท่ใี ช้ในการเก็บรวบรวมขอ้ มลู
ข้ันตอนนี้จะสอดคล้องกับขั้นตอนการเก็บรวบรวมข้อมูล กล่าวคือ ถ้าผู้ประเมินเลือกวิธีการ
เก็บรวบรวมข้อมูลวิธีใด เครื่องมือท่ีใช้ก็ต้องสอดคล้องกับวิธีการน้ัน เช่น ถ้าใช้วิธีการสอบเครื่องมือท่ี
ใช้ก็คือ แบบสอบ ถ้าใช้วิธีการสอบถาม เคร่ืองมือที่ใช้ก็คือ แบ บสอบถาม นั่นเอง ผู้ประเมิน
จำเป็นต้องมีความรู้ในเรอ่ื งการสร้างเคร่ืองมือแต่ละชนิดให้มีคุณภาพ เพราะผลการประเมินจะเชื่อถือ
ได้มากนอ้ ยเพียงใด ยอ่ มขึน้ กบั เคร่ืองมือทม่ี ีคุณภาพเป็นสำคญั
22
8) การวิเคราะห์ข้อมลู
เมือ่ ผ้ปู ระเมนิ เก็บรวบรวมข้อมลู ท่ีต้องการได้แล้ว ผปู้ ระเมนิ ตอ้ งทำการวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้
วธิ ีการทางสถิตทิ ีเ่ หมาะสม เพือ่ ใหไ้ ดผ้ ลออกมาตามวตั ถุประสงคข์ องการประเมิน
9) การตดั สินผล สรุปผล และอภปิ รายผลการประเมิน
หลังจากได้ผลการวิเคราะห์ค่าสถิติ ผู้ประเมินจำเป็นต้องตัดสินผลว่า โครงการดังกล่าว
ดำเนินการอย่างมีคุณภาพมากน้อยเพียงใด โดยพิจารณาท้ังผลผลิต (Output/Product) และผลลัพธ์
(Outcome / Impact) จากน้ันผู้ประเมินต้องสรปุ ผลการประเมินให้เห็นภาพรวมทั้งหมด และเพื่อให้
เกิดแนวความคิดเชิงสร้างสรรค์ ผู้ประเมินจำเป็นต้องอภิปรายผลการประเมินด้วย เพ่ือจะได้ทราบ
เหตุผลต่างๆ ที่ทำให้เกิดผลการประเมินดงั เช่นที่ปรากฏ
10) การเขียนรายงานการประเมิน
เม่ือการประเมินได้เสร็จส้ิน ผู้ประเมินต้องเขียนรายงานการประเมินโดยเป็นการนำเสนอการ
ดำเนินการประเมินโครงการทุกข้ันตอน เพื่อให้ผู้อ่ืนได้รับทราบและเข้าใจการประเมินในคร้ังนี้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้บริหารและผู้มีอำนาจในการตัดสินใจ เทคนิคการเขียนรายงานการประเมินจึงมี
ความสำคญั เปน็ อยา่ งยิ่งในขน้ั ตอนน้ี
จากข้ันตอนการประเมินท้ังหมด 10 ขน้ั ตอน จะทำให้ผู้ประเมินเร่ิมเหน็ แนวทางการทำงาน
ในลักษณะการประเมนิ อยา่ งเปน็ ระบบมากขึ้น สำหรับรายละเอยี ดในแตล่ ะขัน้ ตอนจะไดน้ ำเสนอใน
ลำดับตอ่ ไป
3.2 แนวคิดการประเมินโครงการ
3.2.1 แนวคิดหลักการและโมเดลการประเมินของไทเลอร์ (Tyler's Rationale and
Model of Evaluation)
แนวคิดทางการประเมินของไทเลอร (Tyler. 1959 : 110-125) จัดเป็นแนวคิดของการ
ประเมินในระดับชั้นเรียนโดยไทเลอร์มีความเห็นว่า การประเมินผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน
จ ะมี ส่ ว น ช่ ว ย อ ย่ างม าก ใน ก าร พั ฒ น ากร ะบ ว น ก าร เรี ย น ก าร ส อ น ไท เล อ ร์ได้ เริ่ ม ต้ น การน ำเ ส น อ
แนวความคิดทางการประเมินโดยยึดกระบวนการเรยี นการสอนเป็นหลัก กล่าวคือ ไทเลอรไ์ ด้นิยามว่า
กร ะ บ ว น ก า ร จั ด ก า ร เรี ย น ก า ร ส อ น เป็ น ก ร ะ บ ว น ก า ร ที่ มุ่ งจั ด ขึ้ น เพื่ อ ก่ อ ให้ เกิ ด ก า ร เป ลี่ ย น แ ป ล ง
พฤติกรรมที่พึงปรารถนาในตัวของผู้เรียน ด้วยเหตุน้ีจุดเน้นขอการเรียนการสอน จึงขึ้นอยู่กับการท่ี
ผู้เรียนจะต้องมีการเปล่ียนแปลงพฤติกรรมหลังการสอนดังน้ัน เพื่อให้การสอนเกิดการเปลี่ยนแปลง
พฤตกิ รรมในตัวผูเ้ รยี นตามทีม่ งุ่ หวังกระบวนการดังกลา่ วจงึ มีขน้ั ตอนในการดำเนินการ ดังน้ี
ข้ันที่ 1 ต้องมีการระบุหรือกำหนดวัตถุประสงค์ให้ชัดเจนลงไปว่าเม่ือสิ้นสุดการจัดการเรียน
การสอนแล้ว ผู้เรียนควรเกิดพฤติกรรมใด หรือสามารถกระทำสิ่งใดได้บ้างหรือท่ีเรยี กว่าวตั ถุประสงค์
เชงิ พฤติกรรม
23
ข้ันที่ 2 ต้องระบุต่อไปว่าจากวัตถุประสงค์ท่ีกำหนดไว้ดังกล่าวนั้นมีเนื้อหาใดบ้างท่ีผู้เรียน
จะต้องเรียนรู้หรือมีสาระใดบ้างที่เม่ือผู้เรียนเกิดการเรียนรู้แล้ว จะก่อให้เกิดการเปล่ียนแปลง
พฤตกิ รรม
ขั้นที่ 3 หารูปแบบและวิธีการจัดการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับเน้ือหาและจุดประสงค์ที่
กำหนดไว้
ขั้นท่ี 4 ประเมินผล โครงการ โดยการตัดสินด้วยการวัดผลทางการศึกษา หรือการทดสอบ
ผลสัมฤทธิ์ในการเรยี น
แนวคิดดังกล่าวน้ีเป็นแนวคิดในช่วงต้น ๆ ของไทเลอร์ ต่อมาไทเลอร์ได้สร้างวงจรของ
วัตถุประสงค์ในการจัดการเรยี นการสอนและการประเมินผลขึน้ ซึง่ เขยี นเป็นโมเคลพ้นื ฐานไดด้ งั นี้
วัตถุประสงค์
การจดั การเรียนการสอน การประเมินผลผู้เรียน
ภาพท่ี 2.2 โมเดลการประเมินของไทเลอร์
จากโมเคลคังกลา่ วจะเห็นว่า หัวลูกศรจะชี้ไปยงั ทศิ ทางทัง้ สองทศิ ทางของทกุ องค์ประกอบ มี
ความหมายว่า ในการจัดการเรียนการสอนน้ัน ตามทัศนะของไทเลอร์แล้วองค์ประกอบท้ัง 3 คือ 1.
วัตถปุ ระสงค์ 2. การจัดการเรยี นการสอน และ 3. การประเมินผลผู้เรียนจะต้องดำเนินการให้ประสาน
สมั พนั ธก์ ันไปเสมอ
จากแนวคิดของไทเลอร์เกี่ยวกับการประเมินผลโครงการเห็นได้ว่า การประเมินผลดังกล่าว
แล้ว ง่ายต่อการตรวจสอบความสำเร็จของโครงการ เพราะเป็นการวัดและประเมินผลเฉพาะแต่
จดุ มุง่ หมายที่ตั้งไวเ้ ทา่ นั้น แต่ว่าการประเมนิ ผลดังกล่าวนี้ มีคณุ ค่าค่อนขา้ งจำกัด เน่ืองจากว่าเป็นการ
ประเมินผลความก้าวหน้า และให้ความสำคัญของคุณค่าของจุดมุ่งหมายเพียงเล็กน้อยเท่าน้ัน และ
เกณฑใ์ นการตดั สินการบรรจุวัตถปุ ระสงคย์ งั เป็นอตั นัยมาก
โดยสรุปก็คือการประเมินในความคิดเห็นของไทเลอร์ จึงหมายถึงการเปรียบเทียบส่งิ ที่ผ้เู รียน
สามารถกระทำได้จริงหลงั จากได้จดั การเรียนการสอนแล้วกับวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรมซึ่งได้กำหนด
ขน้ึ ไวก้ ่อนท่ีจะจดั การเรียนการสอนนั้น ๆ
24
3.2.2 แนวคิดหลักการและโมเดลการประเมินของ ครอนบาค (Cronbach's Concepts
and Model)
ตามทัศนะของครอนบาค เช่ือว่าการประเมินเป็นการรวบรวมข้อมูลการ ใช้สารสนเทศ เพ่ือ
การตัดสินใจเก่ียวกับการจัดโปรแกรมทางการศึกษาในส่วนของการตัดสินใจที่เกี่ยวข้องกับการจัด
การศึกษานั้น ครอนบาคได้แบ่งออกเปน็ 3 ประเภท คือ
1. การตดั สินใจเพือ่ การปรับปรุงรายวชิ า
2. การตดั สนิ ใจที่เกยี่ วขอ้ งกบั ตัวนักเรยี นเปน็ รายบุคคล
3. การจดั การบริหารโรงเรยี น
ครอนบาศมีความเห็นว่า การประเมินน้ัน ไม่ครรกระทำโดยใช้แบบทคสอบแต่เพียงอย่าง
เดียว แต่ควรมีมาตรการอื่นประกอบด้วย ครอนบาค ได้เสนอแนวทางการประเมินเพิ่มเติมไว้อีก 4
แนวทาง คือ
1. การศึกษากระบวนการ (Process Studies) ได้แก่การศึกษาภาวะต่าง ๆ ท่ีเกิดข้ึนในช้ัน
เรยี น
2. การวัดศักยภาพของผู้เรียน (Proficiency Measurement) ครอนบาค ได้ให้ความสำคัญ
ต่อคะแนนรายข้อมากกว่าคะแนนจากแบบทดสอบท้ังฉบับ และให้ความสำคัญต่อการสอนเพ่ือวัด
สมรรถภาพของผู้เรียนระหว่างการเรียนการสอนว่ามีความสำคัญมากกว่าการสอบประจำปลายภาค
เรียนหรอื การสอบปลายปี
3. การวดั ทัศนคติ (Attitude Measurement) ครอนบาคให้ทศั นะวา่ การวัดทัศนคตเิ ป็นผลที่
เกดิ จากการจัดการเรียนการสอนสว่ นหนึง่ ซึ่งมีความสำคัญเช่นกนั
4. การติดตาม (Follow - Up Studies) เป็นการติดตามผลการทำงาน หรือภาวะการเลือก
ศึกษาต่อในสาขาต่าง ๆ รวมทั้งการให้บุคคลที่เรียนในระดับข้ันพื้นฐานที่ผ่านมาแล้ว ได้ประเมินถึง
ข้อดีและข้อจำกัดของวิชาต่าง ๆ ว่าควรมีการปรับปรุงเพิ่มเติมอย่างไร เพ่ือช่วยในการพัฒนาหรือ
ปรับปรุงรายวิชาเหลา่ นนั้ ต่อไป
เม่ือสรุปแนวคิดของครอนบาคข้างต้นแล้ว จะเห็นว่าครอนบาคมีความเช่ือว่า การประเมินที่
เหมาะสมน้ันต้องพิจารณาหลาย ๆ ด้าน ดังท่ีกล่าวมาแล้วทั้ง 4 ประการ โดยเน้นว่า การประเมิน
โครงการด้านการเรยี นการสอนน้ันไม่ควรประเมินเฉพาะแต่จดุ มุ่งหมายที่ต้งั ไว้เท่านั้น แต่ควรประเมิน
หรือตรวจสอบผลข้างเคียงของโครงการด้วย ครอนบาคยังมีความเห็นเพิ่มเติมอีกว่าหน้าที่สำคัญ
ประการหน่ึงของการประเมิน โครงการด้านการเรียนการสอนก็คือ การค้นหาข้อบกพร่องของ
โครงการเพือ่ จะไดห้ าทางปรบั ปรุงแก้ไขกระบวนการเรียนการสอนใหม้ ีประสทิ ธิภาพต่อไป
25
3.2.3 แนวคิด หลักการและโมเดลการประเมินของ สครีฟเวน (Scriven's Evaluation
Ideologies and Model)
สครีฟเวน ได้ให้นิยามการประเมินไว้ว่า "การประเมิน" เป็นกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการ
รวบรวมข้อมูลการตัดสินใจเลือกใช้เครื่องมือ เพ่ือเก็บข้อมูลและการกำหนดเกณฑ์ประกอบในการ
ประเมินเป้าหมายสำคัญของการประเมินก็คือการตัดสินคุณค่าให้กับกิจกรรมใด ๆ ท่ีต้องการจะ
ประเมนิ สครฟี เวน ไดจ้ ำแนกประเภทและบทบาทของการประเมินออกเปน็ 2 ลักษณะ คอื
1. การประเมินระหว่างดำเนินการ (Formative Evaluation) เป็นบทบาทของการประเมิน
งาน กิจกรรมหรือโครงการใด ๆ ที่บ่งข้ีถึงข้อดี และข้อจำกัด ท่ีเกิดขึน้ ในระหว่างการดำเนินงานน้ัน ๆ
อาจเรยี กการประเมินประเภทนี้ว่า เปน็ การประเมินเพอ่ื การปรับปรงุ
2. การประเมินผลรวม (Summative Evaluation) เป็นบทบาทของการประเมินเมื่อ
กิจกรรมหรือโครงการใด 1 สิ้นสุดลงเพื่อเป็นตัวบ่งชี้ถึงคุณค่าความสำเร็จของโครงการนั้น ฯจึงอาจ
เรียกการประเมินประเภทนีว้ า่ เป็นการประเมนิ สรปุ รวม
นอกจากนี้ สครีฟเวน ยังไดเ้ สนอสง่ิ ทีต่ ้องประเมินออกเป็นส่วนสำคญั อีก 2 ส่วน คอื
1. การประเมินเกณฑ์ภายใน (Intrinsic Evaluation) เป็นการประเมินในส่วนที่เก่ียวข้องกับ
คุณภาพของเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูล รวมท้ังคุณภาพของคุณลักษณะต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการ
ดำเนินโครงการ
2. การประเมินความคุ้มค่า (Payoff Evaluation) เป็นการประเมินในส่วนท่ีเก่ียวข้องกับ
คุณภาพของโครงการ ทฤษฎีหรือส่ิงอื่น ๆ ของโครงการ เป็นการประเมินในส่วนซ่ึงเป็นผลที่มีต่อ
ผูร้ บั บรกิ ารจากการดำเนนิ โครงการ
สรุปได้ว่า สรีฟเวนให้ความสำกัญต่อการประเมินเกณฑ์ภายในมาก แต่ขณะเดียวกันจะต้อง
ตรวจสอบผลผลิตในเชงิ สัมพนั ธ์ของตวั แปรระหวา่ งกระบวนการกบั ผลผลติ อื่น ๆ ท่ีเกิดข้ึนดว้ ยแนวคิด
ทางการประเมินของสครีฟเวนได้พัฒนาไปจากแนวคิดเดิมของการประเมินท่ียึดตามวัตถุประสงค์แต่
เพียงอย่างเดียว มาเป็นการประเมินที่มุ่งเน้นถึงผลผลิตต่าง ๆ ท่ีเกิดข้ึนจากการทำกิจกรรมหรือ
โครงการใด ๆ ในทุกด้านโดยให้ความสนใจต่อผลผลิตตา่ ง ๆ ที่เกิดขน้ึ ทงั้ ท่ีเปน็ ผลโดยตรง
จากโครงการและผลกระทบหรือผลพลอยได้ ซ่ึงแนวคิดของสครีฟเวน แบ่งเป็น 2 ลักษณะ
คือ การประเมินท่ียึดวัตถุประสงค์เป็นหลัก (Goal - Based Evaluation) และการประเมินท่ีไม่ยึด
วตั ถปุ ระสงค์เป็นหลกั (Goal - Free Evaluation)
สำหรับการประเมินท่ี ไม่ยึดวัตถุประสงค์เป็นหลัก มิได้หมายความว่า การประเมินจะไม่มี
วัตถุประสงค์แต่การประเมินนั้นนอกจากพิจารณาวัตถุประสงค์แล้ว ยังต้องมีการคัดเลือกข้อมูล
ข่าวสารที่จำเป็นอ่ืน ๆ ซ่ึงเกี่ยวข้องกับโครงการ โดยอาศัยพ้ืนฐานของการตัดสินคุณค่าอย่างมี
คณุ ธรรม รวมท้ังมกี ารเปรียบเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานที่กำหนดไว้ด้วย โดยนักประเมินต้องมีอิสระใน
26
การเลือกเกณฑ์มาตรฐานเอง ดงั น้ัน มโนทัศน์การประเมินที่ไม่ยึดวัตถปุ ระสงค์เป็นหลักจึงจำเป็นต้อง
มกี ารออกแบบการประเมนิ ใหส้ ามารถรวบรวมสารสนเทศ ท้งั ผลผลติ โดยตรง และผลกระทบอื่น ๆ ที่
เกิดขึน้ จากการดำเนนิ โครงการทัง้ หมดทีม่ คี ุณค่าต่อการตดั สินโครงการนัน้ ๆ
3.2.4 แนวคิดหลักการและโมเดลการประเมินของสเตก (Stake's Concepts and
Model of Evaluation)
การประเมินในทัศนะของสเตก เป็นการเก็บรวบรวมข้อมูลจากหลาย ๆ แหล่ง เพื่อนำมาจัด
ให้เป็นระบบระเบียบ และมีความหมายในการประเมิน โดยสเตกได้สร้างแบบจำลองทางความคิด
เกี่ยวกับการประเมินขึ้นเรียกว่า โมเดลเคาน์ ทิแนนซ์ (Stake's Countenance Model) ซึ่ง
ประกอบดว้ ย 2 ส่วนคอื
ความคาดหวัง สิ่งที่เกิดข้ึนจริง มาตรฐาน การตดั สนิ
(Intents) (Observations) (Standards)
(Judgement)
ส่ิงนำเขาหรือปจั จยั เบือ้ งต้น หลกั การ
การปฏบิ ัติ (Transactions) (Rationate)
ผลผลติ (Output)
เมตริกบรรยาย เมตริกตดั สินคุณคา่
(Description Matrix) (Judgements Matrix)
ภาพที่ 2.3 โมเดลการประเมินของสเตก
จากภาพประกอบจะเหน็ ได้วา่ สเตกไดเ้ นน้ วา่ การประเมินโครงการจะตอ้ งมี 2 ส่วน คอื
การบรรยาย และการตัดสินคุณค่าในภาคการบรรยายน้ัน ผู้ประเมินจะต้องหาข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับ
โครงการให้ไดม้ ากทีส่ ดุ ประกอบดว้ ย 2 ส่วน คอื
27
1. เป้าหมายหรือความคาดหวงั (Goals or Internts) ประกอบดว้ ย 3 สว่ น คือ
1.1 สิ่งนำ (Antecedence) หมายถึง ภาวะสิ่งต่าง ๆ ท่ีเป็นอยู่ก่อน ก่อนที่จะมีกิจกรรมหรือ
การกระทำอย่างใดอย่างหน่ึงตามมา
1.2 การปฏิบัติ (Transactions) หมายถึง ภาวะของการกระทำการเคล่ือนไหว หรือการจัด
กจิ กรรมใด ๆ ตามวัตถุประสงค์ หรือเป้าหมายของงานในโครงการนนั้ ๆ
1.3 ผลผลิต (Output) หมายถงึ ผลท่เี กดิ ขึน้ จากการที่มีภาวะของการกระทำในโครงการ
2. ส่ิงที่เป็นจริงหรือสังเกตได้ (Observations เป็นสิ่งท่ีเกิดขึ้นจริงในสภาพความเป็นจริงมี
สว่ นประกอบ 3 ส่วน คอื สิ่งนำ ปฏิบตั กิ าร และผลลพั ธ์
ความสอดคล้องระหว่างส่ิงท่ีคาดหวังกับส่ิงท่ีเป็นจริง มิได้เป็นตัวบ่งช้ีว่าข้อมูลท่ีได้มีความ
เท่ียง (Reliability) หรือความตรง (Validity) แต่เป็นเพียงส่ิงท่ีแสดงให้เห็นว่าสิ่งที่ตั้งใจไว้ได้เกิดข้ึน
จรงิ เทา่ นน้ั
ในภาคการตัดสินคุณค่า เป็นส่วนท่ีจะตัดสินว่าโครงการประสบความสำเร็จหรือไม่เพียงใด
นักประเมินต้องพยายามศึกษาดูว่า มาตรฐานอะไรบ้างท่ีเหมาะสมในการที่จะนำมาเปรียบเทียบเพื่อ
ช่วยในการตดั สนิ ใจโดยทัว่ ๆ ไป เกณฑท์ ี่ใชม้ ี 2 ชนดิ คอื
1. เกณฑ์สมบูรณ์ (Absolute Criterion) เป็นเกณฑ์ที่ตั้งไว้อาจจะเกิดข้ึนก่อน โดยมีความ
เปน็ อิสระจากพฤติกรรมของกลุ่ม
2. เกณฑ์สัมพัทธ์ (Relative Criterion) เป็นเกณฑ์ที่ได้จากพฤติกรรมของกลุ่มถ้าผู้ประเมิน
ไม่สามารถหามาตรฐานที่นำมาเปรียบเทียบได้ ก็ต้องพยายามหาโครงการอ่ืนที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน
มาเปรียบเทียบ เพ่ือช่วยในการตัดสินใจ แบบจำลองน้ีมุ่งเน้นความสอดคล้อง และความสมเหตุสมผล
ของเมตรกิ บรรยาย และเมตรกิ ตัดสินคณุ คา่ สำหรับความสอดคลอ้ งนั้น มี 2 ลกั ษณะ คอื
1. ความสอดคล้องเชิงเหตุผล (Contingence) จะพิจารณาความสัมพันธ์ในแนวตั้งตาม
แบบจำลองของสเตก
2. ความสอดคล้องท่ีเกิดขึ้นจริง หรือเป็นความสอดคล้องในเชิงประจักษ์ (Congruence)
พิจารณาความสัมพันธ์ในแนวนอนตามแบบจำลองของสเตก
ข้อดีของแบบจำลองการประเมินของสเตก คือ เสนอวิธีการประเมินเป็นระบบเพื่อจัดเตรียม
ข้อมูลเชิงบรรยาย และตัดสินคุณค่ามีมาตรฐานในการประเมินปรากฎชัดเจน แต่มีข้อจำกัดก็คือ เซล
บางเซลของเมตริก มีความคาบเก่ียวกัน และความแตกต่างระหว่างเซลไม่ชัดเจน ซ่ึงอาจทำให้เกิด
ความขดั แยง้ ภายในโครงการได้
นอกจากนี้ สเตกยังได้เสนอแนะแนวทางการประเมินที่ไม่ยึดวัตถุประสงค์เป็นหลักว่า
ประกอบด้วยกระบวนการประเมนิ อยา่ งมีระบบ ดงั นี้
1. พูดคุยกบั บุคลากรและผู้รบั บรกิ ารที่เกย่ี วข้องกบั โครงการ
28
2. กำหนดขอบเขตของโครงการ
3. ศกึ ษาทบทวนกิจกรรมท้ังหมดของโครงการ
4. คน้ หาจุดมุ่งหมายและสงิ่ ทเ่ี กย่ี วขอ้ งกับโครงการ
5. รวบรวมประเด็นและปญั หาตา่ ง ๆ ท่นี า่ จะประเมนิ
6. กำหนดขอ้ มูลท่ีจำเปน็ ตามประเดน็ ปญั หาทกี่ ำหนด
7. คัดเลอื กผู้สงั เกต ผตู้ ดั สิน และเคร่ืองมืออย่างเปน็ ระบบ
8. สังเกตข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งนำเข้าหรือปัจจัยเบื้องต้น กระบวนการปฏิบัติรวมท้ังผลผลิตของ
โครงการ
9. เตรียมการพรรณนาและกรณีศกึ ษา
10. ชปี้ ระเด็นปญั หาของผเู้ กี่ยวขอ้ ง
11. เตรียมและนำเสนอรายงานการประเมินฉบบั สมบูรณอ์ ย่างเป็นทางการ
อย่างไรก็ตามเหตุการณ์ต่าง ๆ ตามกระบวนการที่กล่าวมาข้างต้นนั้น ไม่จำเป็นต้อง
ดำเนินการตามลำดับเสมอไป ขนึ้ อยู่กับสภาพการณ์ท่ีเอือ้ อำนวยได้มากหรือน้อยตามควรแก่กรณี
จากแนวคิดการประเมินของสเตกเป็นการประเมินที่มีระบบมากขึ้น มุ่งเน้นการตัดสินคุณค่า
ของโครงการ โดยมีหลักเกณฑ์การประเมินเป็นมาตรฐาน และคำนึงถึงผู้เก่ียวข้องจากหลายฝ่าย
เพ่อื ใหไ้ ด้ข้อมูลท่ีหลากหลาย และได้แนวทางในการพัฒนาปรับปรุงโครงการไดด้ ียงิ่ ขึน้
3.2.5 แนวคิด หลักการและโมเดลการประเมินของ อัลคิน (AIkin's Concepts
Evatuation)
อัลคิน เห็นว่า "การประเมิน" คือ กระบวนการของการคัดเลือก ประมวลข้อมูล และการ
จัดระบบสารสนเทศที่มีประโยชน์ เพ่ือนำเสนอผู้มีอำนาจในการตัดสินใจหรือเพื่อกำหนดทางเลือกใน
การทำกิจกรรมหรอื โครงการใด ๆ อลั คนิ ไดแ้ บ่งการประเมนิ ออกเปน็ 5 สว่ นคือ
1. การประเมินเพ่ือทำการกำหนดวัตถุประสงค์ของโครงการ การประเมินส่วนนี้เป็นการ
ประเมินท่ีเกิดข้ึนก่อนท่ีจะทำกิจกรรมหรือโครงการใด ๆ เป็นการประเมินเพ่ือกำหนดวัตถุประสงค์
ของโครงการ หรอื เพือ่ กำหนดเปา้ หมายของโครงการให้สอดคล้องกบั ภาวะความตอ้ งการทเ่ี ป็นอยู่
2. การประเมินเพื่อการวางแผนโครงการ การประเมนิ ส่วนน้ีเป็นการประเมินเพ่ือหาวิธกี ารท่ี
เหมาะสมในการทีจ่ ะวางแผนใหก้ ารดำเนนิ งานในโครงการนั้น ๆ ได้บรรลุวัตถุประสงคท์ ก่ี ำหนดไว้
3. การประเมินขณะกำลังดำเนินโครงการ การประเมินส่วนนี้จะเน้นถึงการพิจารณาขั้นตอน
การทำงานว่าเปน็ ไปตามแผนงานทว่ี า่ งไวห้ รือไมห่ รอื ได้ดำเนินการไปตามข้ันตอนท่ีควรจะเปน็ เพยี งใด
4. การประเมินเพ่ือการพัฒนางาน การประเมินส่วนน้ี เป็นการประเมินเพื่อค้นหารูปแบบ
แนวทางหรือขอ้ เสนอแนะในการทีจ่ ะทำใหง้ านท่ีกำลังคำเนินการอยู่น้ันมีประสทิ ธิภาพมากท่สี ดุ
29
5. การประเมินเพ่ือรับรองงาน และเพ่ือการยุบขยาย หรือปรับเปลี่ยน โครงการการประเมิน
ส่วนนี้เป็นการประเมินภายหลังการดำเนินงานตามโครงการ มีจุดมุ่งหมายเพ่ือตรวจสอบผลที่ได้กับ
วตั ถุประสงค์ทีก่ ำหนดไว้รวมทัง้ การประมวลผล ข้อแนะนำ เพื่อนำไปใช้กบั โครงการตอ่ ไป และเพื่อให้
ขอ้ เสนอแนะในการทจี่ ะยุบ เลิก ขยาย หรือปรับเปลี่ยนโครงการในช่วงระยะเวลาตอ่ ไปดว้ ย
จากแนวคดิ หลักตามรูปแบบการประเมินของอัลดินนนั้ จะเห็นว่าเป็นการประเมนิ เพื่อนำไปใช้
ในการตัดสินใจ โดยนักประเมินทำหน้าที่เป็นผู้เชี่ยวชาญในการหาและการเตรียมข้อมูลรวมทั้งสรุป
และรายงานให้ผู้มีอำนาจในการตัดสนิ ใจได้ทราบเพ่ือหาทางเลือกท่ีเหมาะสมนับว่าเปน็ การประเมินท่ี
มรี ะบบคอื มกี ารประเมนิ การวางแผนโครงการเพื่อชว่ ยใหไ้ ด้วิธีการที่บรรลุวัตถปุ ระสงคข์ องโครงการ มี
การประเมินการดำเนินโครงการเพื่อหาทางปรับปรุงจากการตรวจสอบ และสุดท้ายคือการประเมิน
เพ่ือรับรองโครงการ อย่างไรก็ตามแนวคิดดังกล่าวยังขาดแนวปฏิบัติที่ชัดเจน จึงยังไม่แพร่หลาย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนำไปใช้ยังไม่กว้างขวางเท่าท่ีควรแต่ก็ได้ให้แนวคิดพ้ืนฐานของการประเมิน
โครงการ ซ่ึงเป็นที่ยอมรับกันว่าควรจะมีการประเมินท่ีเป็นระบบเพื่อให้การดำเนินโครงการเป็นไป
อยา่ งมีประสทิ ธภิ าพตอ่ ไป
3.2.6 หลกั วงจรคณุ ภาพเดมมิ่ง “PDCA”
วงจรการควบคุมคุณภาพ (PDCA Cycle) หรือ วงจรเดมม่ิง (Deming Cycle) คือ แนวคิด
การพัฒนาการทำงานเพ่ือควบคุมคุณภาพงานให้มีการพัฒนาอย่างต่อเน่ือง พัฒนามาจากแนวคิดของ
วอล์ทเตอร์ ซิวฮาร์ท (Walter Shewhart) นักสถิติในงานอุตสาหกรรม ต่อมาแนวคิดน้ีเร่ิมเป็นที่รู้จัก
กันมากข้ึนเม่ือ เอดวาร์ด เดมมิ่ง (W.Edwards Deming) นักจัดการบริหารคุณภาพ ได้นำเสนอและ
เผยแพร่ใช้เป็นเครื่องมือสำหรับการปรับปรุงกระบวนการทำงานของพนักงานภายในโรงงานให้ดีข้ึน
ซง่ึ จะใช้ในการค้นหาปัญหาอุปสรรคในขน้ั ตอนการทำงานโดยพนักงาน จนเป็นที่รจู้ กั กันในชื่อว่า วงจร
เดมมงิ่ หรือ วงจร PDCA
แนวคิดวงจร PDCA เป็นแนวคิดท่งี า่ ยไม่ซบั ซอ้ น สามารถนำไปใชไ้ ด้ในเกอื บจะทุกกจิ กรรม
จงึ ทำใหเ้ ป็นทร่ี ู้จกั กันอย่างแพรห่ ลายมากขนึ้ ทวั่ โลก PDCA เป็นอกั ษรนำของภาษาอังกฤษ 4 คำคือ
1. การวางแผน (Plan) คือ การวางแผนการดำเนินงาน เพ่ือให้เกิด การทำงานที่ได้ผลงาน
การปรับปรุงเปลีย่ นแปลง การพฒั นาส่ิงใหม่ การแก้ปัญหาที่เกิดขึน้ จากการปฏิบัติงาน มสี ่วนท่ีสำคัญ
เช่น การกำหนดเป้าหมาย วัตถุประสงค์ การจัดอันดับความสำคัญของเป้าหมาย กำหนดการ
ดำเนินงาน กำหนดระยะเวลาการดำเนนิ งาน กำหนดผู้รับผิดชอบดำเนนิ การ และกำหนดงบประมาณ
ท่ีจะใช้ การวางแผนท่ีดีควรต้องเกิดจากการศึกษาที่ดี มีการวางแผนไว้รัดกุมรอบคอบปรับเปล่ียนได้
ตามความเหมาะสมของงานและเหตกุ ารณ์ แผนที่ได้ต้องช่วยในการคาดการณส์ ่ิงที่เกิดขนึ้ และสามารถ
ชว่ ยลดความสญู เสยี ทอี่ าจเกิดข้นึ ได้ การวางแผนควรมีการกำหนด
- การกำหนดเปา้ หมาย
30
- วัตถุประสงค์
- กำหนดผรู้ ับผดิ ชอบ
- ระยะเวลาดำเนินการ
- งบประมาณทก่ี ำหนด30
- มกี ารเสนอเพอื่ ขออนมุ ัติกอ่ นดำเนินการ เป็นตน้
2. ปฏิบัติตามแผน (Do) คือ การดำเนินการเพื่อให้ได้ตามแผนที่มีการกำหนดไว้ อาจมีการ
กำหนดโครงสร้างคณะทำงานรองรับการดำเนินการเช่น คณะกรรมการ ฯลฯ กำหนดวิธีในการ
ดำเนนิ งาน ขน้ั ตอน ผู้ดูแลรับผิดชอบ ผู้ตรวจสอบและทำการประเมนิ ผล การปฎิบัตกิ ารควรมี
- มีคณะทำงานคอยควบคมุ กำหนดนโยบาย ตดิ ตามตรวจสอบการทำงาน
- มกี ารกำหนดขั้นตอนทช่ี ดั เจน
- มีวิธกี ารดำเนินการทสี่ ามารถดำเนินการได้จริง ไม่ยากจนเกนิ ความสามารถของผ้ทู จ่ี ะทำ
- มีผูร้ บั ผดิ ชอบดำเนินการท่ีชัดเจน เพยี งพอ
- มรี ะยะเวลาที่กำหนดท่เี หมาะสม
- มีงบประมาณในการทำงาน เป็นต้น
3. ตรวจสอบการปฏิบัตติ ามแผน (Check) คือ ข้ันตอนที่เริม่ เมื่อมีการดำเนนิ โครงการตามข้อ
2 ควรจะต้องทำการประเมินผลการดำเนนิ งานวา่ เป็นไปตามแผนงานท่ีกำหนดไว้หรือไม่ อาจประเมิน
ในส่วนการประเมินผลงานการดำเนินการ การประเมินผลการดำเนินตามข้ันตอน และการประเมินผล
งานตามเป้าหมายของแผนงานที่ได้มีการกำหนดไว้ ในการประเมินนี้เราอาจสามารถทำได้เองโดยใช้
คณะกรรมการท่ีรับผิดชอบในแผนการดำเนินงานภายในเป็นการประเมินตนเอง แต่การใช้คนภายใน
อาจทำให้ขาดความน่าเช่ือถือหรือประเมินผลได้ไม่เต็มท่ี จะดีหากมีการตั้งคณะประเมินจากภายนอก
มาช่วย เพราะนา่ จะได้ผลการประเมินท่ีดีกว่าทีมงานภายใน เพราะอาจมีปัญหาช่วยกันประเมินผลให้
ดีเกนิ จรงิ แนวทางทีจ่ ะใช้ในการประเมินเชน่
- กำหนดวธิ กี ารประเมินแยกใหช้ ัดเจนสามารถทำไดง้ า่ ย
- มีรูปแบบการประเมนิ ตรงกับเปา้ หมายในงานทีท่ ำ
- มีคณะผจู้ ะเขา้ ทำการประเมินท่มี คี วามร้เู พยี งพอ
- แนวคำตอบผลของการประเมนิ ตอ้ งสามารถตอบโจทยแ์ ละตรงกับวัตถปุ ระสงคท์ ว่ี างไว้
- เน้นการประเมินปญั หา / จดุ ออ่ น / ข้อดี / จุดแข็ง ทม่ี ีในการดำเนนิ การ เปน็ ตน้
4. ปรับปรุงแก้ไขพัฒนาต่อเนื่อง (Act) คือ การนำผลประเมินท่ีได้มาทำการวิเคราะห์ เพื่อ
พัฒนาแผนในการปรับปรุงต่อไป ในส่วนนี้ควรจะเสนอแนะปัญหาแนวทางการปรับปรุงแก้ไขปัญหา
หรอื การพฒั นาระบบทม่ี ีอยแู่ ลว้ ใหด้ ยี ่ิงขนึ้ ไปอีกไม่มที สี่ ิน้ สุด
31
- ทำการระดมสมอง เพ่ือหาทางแก้ไข ปัญหา / จุดออ่ น / ขอ้ ดี / จุดแข็ง ที่พบ ปรับปรงุ ให้ดี
ยงิ่ ข้ึน
- นำผลที่ไดจ้ ากการระดมสมองเสนอผ้เู ก่ียวขอ้ งเพ่อื พิจารณาใช้วางแผนต่อไป
- กำหนดกลยทุ ธ์ในการจดั ทำแผนคร้งั ต่อไป
- กำหนดผู้รับผดิ ชอบดำเนินงานครงั้ ต่อไป
การพัฒนาระบบ PDCA เป็นการปรับปรุงพัฒนาระบบงานท่ีมีอยู่แล้วให้ดีย่ิงขึ้นไปอีก โดย
ควรจะมกี ารดำเนนิ การต่อเนื่องไม่มีทีส่ ิ้นสุด จงึ เปน็ ท่ีมาขอแนวคิดการควบคุมคุณภาพและการพัฒนา
อย่างตอ่ เน่อื ง ในการปรบั ปรงุ พฒั นาต่อเนื่องควรมีการดำเนินการ
วงจรคุณภาพ คือ กระบวนการทำงานที่เปรยี บกับวงล้อ ท่ีเต็มไปด้วยข้ันตอน 4 ข้ันตอน คือ
การวางแผน การดำเนินตามแผน การตรวจสอบ การปรับปรุง แก้ไข เม่ือวงล้อหมุนไป 1 รอบ จะทำ
ให้งานบรรลผุ ลตามเป้าหมายท่ีกำหนดไว้ และหากการดำเนนิ งานนน้ั เกดิ สะดดุ แสดงวา่ มบี างขัน้ ตอน
หายไป โทชาวะ (2544 : 117-122)
4. กรอบแนวคิดการประเมินผลของโครงการ
ตัวแปรอิสระ ตัวแปลตาม
ขอ้ มูลส่วนบคุ คล ประเมนิ ผลโครงการตามวงจรเดมม่งิ
1. เพศ PDCA ตามแนวคดิ CIPP ของ
2. อายุ สตัฟเฟลบีม
1. การประเมินบริบทหรอื สภาวะ
แวดลอ้ ม
2. การประเมนิ ปจั จัยเบื้องตน้ ปจั จยั
ปอ้ น
3. การประเมินกระบวนการ
4. การประเมินผลผลิต
ภาพที่ 2.4 กรอบแนวคิดการประเมนิ ผลของโครงการ
32
บทที่ 3
วิธีการประเมินโครงการ
วิธีการประเมินของโครงการผักบุ้งแปลงน้อยปลอดสารพิษ (ผักสวนครัว) มีกระบวนการ
ขั้นตอนในการวเิ คราะห์ขอ้ มลู ดงั น้ี
1. รูปแบบการประเมินโครงการ
2. วิธกี ารประเมินโครงการ
3. ประชากรกลมุ่ ตวั อยา่ ง
4. เครอ่ื งมอื ท่ีใช้ในการประเมินโครงการ
5. การเก็บรวบรวมขอ้ มูล
6. การวเิ คราะห์ผลการประเมินงาน
1. รปู แบบการประเมนิ โครงการ
การประเมินโครงการผักบุ้งแปลงน้อยปลอดสารพิษ (ผักสวนครัว) ใช้รูปแบบการประเมิน
โครงการแบบ CIPP MODEL ของสตัฟเฟลบีม ( D.L. Stufflebeam, 1997 , P. 261-265 ) ดังน้ี
ประเมินสภาวะแวดลอ้ ม • หลักการ
( Context Evaluation ) • วัตถปุ ระสงค์ของโครงการ
• เป้าหมายของโครงการ
ประเมนิ การปัจจัยเบอ้ื งตน้ • การเตรยี มการภายในโครงการ
( Input Evaluation )
• บุคลากร
ประเมนิ กระบวนการ • วสั ดุอปุ กรณ์
( Process Evaluation ) • เครอ่ื งมอื เครื่องใช้
• งบประมาณ
• การดำเนนิ โครงการ
• กจิ กรรมการดำเนินงานตามโครงการ
• การนเิ ทศติตามกำกับ
• การประเมนิ ผล
33
การประเมนิ ผลผลิต • ผลการดำเนินโครงการ
( Product Evaluation ) • คุณภาพผู้เรยี น
ภาพที่ 3.1 รปู แบบการประเมนิ โครงการแบบ CIPP MODEL
2. วธิ กี ารประเมนิ โครงการ
วิธีการประเมินโครงการของโครงการผักบุ้งแปลงน้อยปลอดสารพิษ (ผักสวนครัว) มีวิธีการ
ประเมินผลโครงการเป็นแบบ การศึกษาเชิงคุณภาพ โดยใช้หลักวงจรคุณภาพ เดมมิ่ง PDCA ตาม
แนวคดิ CIPP ของของสตัฟเฟลบีม ในการติดตามผลการดำเนนิ โครงการ
3. ประชากรและกลุ่มตวั อย่าง
ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ท่ีใช้ในการติดตามประเมินผลการดำเนินงานของโครงการผักบุ้ง
แปลงน้อยปลอดสารพษิ (ผักสวนครัว) มรี ายละเอยี ด ดงั น้ี
ประชากร คือ สมาชิกในครอบครัว ผู้ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินโครงการและคณะผู้จัดทำ
โครงการ จำนวน 10 คน
กลุ่มตัวอย่าง คือ สมาชิกในครอบครัว ผู้ท่ีเกี่ยวข้องกับการดำเนินโครงการและคณะผู้จัดทำ
โครงการ จำนวน 6 คน
โดยใชว้ ิธีส่มุ ตัวอย่างแบบ เฉพาะเจาะจง
4. เคร่อื งมือที่ใชใ้ นการประเมินโครงการ
การประเมินโครงการใช้กระบวนการศึกษาคุณภาพ จึงมีเคร่ืองมือที่ใช้ในการประเมิน
โครงการผกั บุ้งแปลงน้อยปลอดสารพิษ (ผักสวนครัว) ประกอบไปด้วย แบบสัมภาษณ์ การสงั เกต การ
มีส่วนรว่ มและการบนั ทกึ ภาพ
โดยแบบสัมภาษณ์มีจำนวน 6 ฉบับ ดังนี้ โดยจะมีเนื้อหารายละเอียดในแต่ละส่วนของแบบ
สัมภาษณ์ ดังตอ่ ไปนี้
ส่วนที่ 1 เปน็ แบบสอบถามข้อมลู ท่ัวไปของผูต้ อบแบบสัมภาษณ์ ไดแ้ ก่ อายุ เพศ ของผู้ถกู
สมั ภาษณ์ โดยเปน็ แบบปลายเปดิ ให้เลอื กตอบในชอ่ งที่กำหนด
สว่ นท่ี 2 เป็นแบบสัมภาษณ์ประเมนิ โครงการผักบงุ้ แปลงน้อยปลอดสารพิษ (ผักสวนครัว)
โดยใช้แบบประเมนิ CIPP MODEL มี 4 ดา้ น จำนวน 12 ขอ้ ดงั นี้
34
1.1 สภาวะด้านแวดล้อม ( Context ) จำนวน 3 ข้อ โดยผู้ตอบสามารถเขยี นรายละเอียด
การตอบได้อยา่ งอิสระ
1.2 ดา้ นปัจจยั ( Input ) จำนวน 3 ข้อ โดยผูต้ อบสามารถเขียนรายละเอียดการตอบได้อย่าง
อสิ ระ
1.3 ด้านกระบวนการ ( Process ) จำนวน 3 ข้อ โดยผตู้ อบสามารถเขยี นรายละเอียดการ
ตอบได้อยา่ งอสิ ระ
1.4 ดา้ นผลผลติ ( Product ) จำนวน 3 ข้อ โดยผู้ตอบสามารถเขียนรายละเอยี ดการตอบได้
อยา่ งอสิ ระ
สว่ นที่ 3 ปญั หาหรอื ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการดำเนนิ งานในการจัดทำโครงการ โดยเป็นแบบ
ปลายเปิดให้ตอบแบบบรรยาย
5. การเก็บรวบรวมข้อมูล
การเก็บรวบรวมข้อมูล ผู้จัดทำได้ทำหน้าท่ีในการเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยตนเอง โดยมี
รายละเอียดในการเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู ดังน้ี
1. จัดเตรยี มแบบสอบถามข้อมลู เพือ่ ให้ผู้ทำแบบสอบถามตอบแบบสัมภาษณ์
2. ใช้เวลาในการตอบแบบสอบถาม 5-10 นาทตี อ่ คนโดยประมาณ
3. ผูส้ มั ภาษณท์ ำการตรวจสอบความถูกต้องสมบูรณเ์ พ่ือนำไปใชใ้ นการเคราะห์ข้อมูลของ
โครงการต่อไป
6. การวิเคราะหผ์ ลการประเมนิ โครงการ
วิเคราะหผ์ ลการประเมนิ โครงการ โดยใช้การวเิ คราะห์เชงิ คุณภาพ
การวเิ คราะห์ข้อมลู เชงิ คุณภาพ
ขั้นตอนท่ี1 การทำให้ข้อมูลท่ีเก็บรวบรวมได้มาอยู่ในสภาพที่สะดวกและง่ายต่อการนำไป
วเิ คราะห์
ข้ันตอนที่ 2 ทำดัชนีหรือกำหนดรหัสของข้อมูล ซ่ึงเป็นการจัดระเบียบของเน้ือหา คือ การ
จัดข้อมูล โดยการใช้คำหลักซึ่งอาจมีลักษณะเป็นวลีหรือข้อความหนึ่งมาแทนข้อมูลที่บันทึกไว้ใน
บนั ทึกภาคสนาม ส่วนท่ีเป็นการบันทกึ พรรณนา หรือบันทึกละเอียดสว่ นใดส่วนหนง่ึ เพ่ือแสดงให้เห็น
ขอ้ มูลในการบันทกึ พรรณนาสว่ นน้ันเปน็ เรื่องเกี่ยวกบั อะไร คำหลัก (วลีหรือขอ้ ความ) ที่กำหนดขึ้นน้ัน
จะมีลักษณะเป็นมโนทศั น์(concep) ซ่ึงมคี วามหมายแทนขอ้ มูลบันทึกละเอียดส่วนน้ัน การจัดทำดัชนี
หรือกำหนดรหัสของข้อมลู นั้น สามารถทำได้สองลกั ษณะคือ จัดทำไวล้ ่วงหนา้ กอ่ นเช้า สนามวิจยั และ
จัดทำตามข้อมูลที่ปรากฏในบันทึกภาคสนาม หรือบางคร้ังเรียกว่า การจัดทำดัชนีข้อมูลแบบนิรนัย
(deductive coding) และแบบอุปนัย (inductive coding)
35
ขน้ั ตอนท่ี 3 การกำจัดขอ้ มูลหรือสรา้ งขอ้ สรุปชวั่ คราว นคี้ ือการสรปุ เชื่อมโยงดชั นีคำหลกั เข้า
ด้วยกันภายหลังจากผ่านกระบวนการทำดัชนีหรือกำหนดรหัส ข้อมูลแล้ว การเชื่อมโยงคำหลักเข้า
ด้วยกันจะเขียนเป็นประโยคข้อความที่แสดงความสัมพันธร์ ะหว่างคำหลัก และจากการเชื่อมโยงดัชนี
คำหลักในตัวอย่างเข้าด้วยกันจะเห็นว่าทำให้ข้อมูลในส่วนที่เป็น บันทึกละเอียดท่ีมีอยู่มากน้ันถูก
ลดทอนหรือตัดทง้ิ ไปจนกระทง่ั เหลือเฉพาะประเด็นหลกั ๆ ทีน่ ำมาผกู โยงกันเทา่ น้ัน
ขั้นตอนที่ 4 สรา้ งบทสรุป คือ การเขียนเช่ือมโยงข้อสรปุ ชั่วคราวท่ีผ่านการตรวจสอบยืนยัน
แล้วเข้าด้วยกัน การเช่ือมข้อสรุปช่ัวคราวนั้นจะเชื่อมโยงตามลำดับข้อสรุปแต่ละข้อสรุปเป็นบทสรุป
ยอ่ ยและเชื่อมโยงบทสรุปย่อยแต่ละบทสรปุ เข้าด้วยกนั เป็นบทสรปุ สุดท้าย
ขั้นตอนท่ี 5 พิสูจน์ความน่าเชื่อถือของผลการวิเคราะห์เพื่อพิสูจน์ว่าบทสรุป นั้นสอดคล้อง
กันหรือไม่ซ่ึงโดยท่ัวไปแล้วการพิสูจน์บทสรุปก็มักจะเป็นการพิจารณาวิธีการเก็บข้อมูลน้ันว่า
ดำเนินการอย่างรอบคอบหรือไม่เพียงไร และข้อมูลท่ีเก็บรวบรวมได้มานั้นเป็นข้อมูลที่มีคุณภาพ
น่าเช่ือถือหรอื ไม่
36
บทที่ 4
ผลการประเมนิ โครงการ
การนำเสนอผลการประเมินโครงการผักบุ้งแปลงน้อยปลอดสารพษิ (ผกั สวนครัว)
ผู้รับผดิ ชอบโครงการไดน้ ำเสนอผลการประเมนิ โครงการ จำนวน 3 สว่ น ดงั นี้
สว่ นที่ 1 ข้อมูลท่ัวไปของผปู้ ระเมินโครงการ (คนในครอบครัว) ไดแ้ ก่ เพศ อายุ
สว่ นท่ี 2 ผลการประเมินโครงการผักบุ้งแปลงน้อยปลอดสารพษิ (ผักสวนครัว)
ส่วนท่ี 3 ขอ้ เสนอแนะในการดำเนนิ โครงการผลการประเมินโครงการผักบุ้งแปลงน้อยปลอด
สารพษิ (ผักสวนครวั )
ส่วนท่ี 1 ขอ้ มลู ทว่ั ไปของผูป้ ระเมินโครงการ
จากทไ่ี ด้ทำการรวบรวมผลข้อมูลในการประเมนิ โครงการผกั บ้งุ แปลงน้อยปลอดสารพิษ (ผัก
สวนครัว) โดยทำการเก็บข้อมูลท้งั หมดจำนวน 6 คน ซึ่งจำแนกรายละเอยี ดตา่ งๆของผู้ประเมนิ ดงั นี้
ตารางที่ 4.1.1 ตารางแสดงผลข้อมลู ทวั่ ไป โดยจำแนกตามประเภทของผ้ปู ระเมิน
ลำดับผปู้ ระเมนิ โครงการ เพศ อายุ
1 ชาย 11
2 หญงิ 21
3 ชาย 43
4 หญิง 46
5 หญงิ 62
6 ชาย 63
ส่วนท่ี 2 ผลการประเมนิ โครงการผกั บงุ้ แปลงนอ้ ยปลอดสารพิษ (ผักสวนครวั )
ผลการประเมินโครงการผักบุ้งแปลงน้อยปลอดสารพิษ (ผกั สวนครวั ) เปน็ การประเมินโดยใช้
รปู แบบ CIPP MODEL ผรู้ ับผิดชอบโครงการไดน้ ำเสนอผลการประเมนิ โครงการ 4 ตอน ดังน้ี
ตอนท่ี 1 ผลการประเมินโครงการด้านสภาวะแวดลอ้ ม
ตอนที่ 2 ผลการประเมินโครงการดา้ นปจั จัย
ตอนท่ี 3 ผลการประเมนิ โครงการดา้ นกระบวนการ
ตอนที่ 4 ผลการประเมินโครงการดา้ นผลผลิต
37
ตอนท่ี 1 ผลการประเมนิ โครงการด้านสภาวะแวดลอ้ ม หลงั การดำเนินโครงการ
ตารางที่ 4.2.1 หลักการ วัตถุประสงคข์ องโครงการมีความเหมาะสมและสอดคล้องกัน
หรอื ไม่
ลำดบั ผ้ปู ระเมิน รายละเอียดของการประเมนิ
1 มเี ปา้ หมาย หลักการ ตรงตามวตั ถุประสงคโ์ ครงการ
2 มคี วามสอดคล้องกันมาก เพราะตรงตามวัตถปุ ระสงคแ์ ละเป้าหมายทีค่ าดการณ์
ไว้
3 มีความเหมาะสม เพราะคนในครอบครัวสามารถนำไปต่อยอดไดแ้ ละสามารถ
สร้างอาชีพได้
4 มคี วามสอดคลอ้ งกับหลักเศรษฐกิจพอเพยี ง
5 มคี วามสอดคล้องกบั การเรยี นรู้ในการพึ่งพาตนเอง
6 มคี วามเหมาะสมตรงตามโครงการท่ีได้วางไว้
จากตารางที่ 4.2.1 ผลการประเมนิ โครงการโดยรวมสรุปได้ว่า หลกั การ มีความเหมาะสม
และสอดคลอ้ งตรงตามวตั ถุประสงค์และเป้าหมายท่ีได้คาดการณไ์ ว้
ตารางที่ 4.2.2 การกำหนดเปา้ หมายของโครงการมีความเหมาะสมหรือไม่
ลำดบั ผู้ประเมิน รายละเอียดของการประเมิน
1 เหมาะสม เพราะสามารถสรา้ งโอกาสใหก้ ับผูเ้ ขา้ รว่ มไดเ้ รียนรู้ในการเพาะปลูก
2 เหมาะสม เพราะใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์
3 เหมาะสม เพราะมพี ืชผกั เพียงพอต่อการบริโภคในครัวเรอื น
4 เหมาะสม เพราะเกิดความรักความสามคั คี โดยการทำกิจกรรมร่วมกนั ภายใน
ครอบครัว
5 เหมาะสม เพราะมอี าหารทผี่ ลิตขน้ึ มาเอง ทำให้ประหยดั ค่าใช้จ่าย
6 เหมาะสม เพราะมผี กั สวนครัวทป่ี ลอดสารพิษไวร้ บั ประทานในครอบครวั
จากตารางที่ 4.2.2 ผลการประเมินโครงการโดยรวมสรุปได้ว่า การกำหนดเปา้ หมายของ
โครงการสามารถสรา้ งโอกาสให้กบั ผ้เู ขา้ ร่วมได้เรยี นรู้ในการเพาะปลูก ใช้เวลาวา่ งใหเ้ ป็นประโยชน์ใน
การปลูกผกั สวนครวั ขน้ึ มาเอง และปลอดสารพิษไวร้ บั ประทานในครอบครัว การกำหนดเปา้ หมายจงึ มี
ความเหมาะสมและสอดคล้องกบั เป้าหมายของโครงการท่ีได้กำหนดไว้
38
ตารางท่ี 4.2.3 บรรยากาศในการดำเนนิ งานเหมาะสมหรือไม่
ลำดบั ผู้ประเมนิ รายละเอียดของการประเมนิ
1 เหมาะสม เพราะสภาพอากาศไม่แห้งแลง้ เกินไป
2 เหมาะสม เพราะพน้ื ที่ทีเ่ พาะปลูกไม่มีแหลง่ นำ้ ขังทำให้ไมม่ ีศัตรูพืชมากนิ ผกั สวน
ครัวทป่ี ลกู
3 เหมาะสม เพราะบรรยากาศเหมาะแกก่ ารเพาะปลูก
4 เหมาะสม เพราะอากาศไม่อบอ้าว เหมาะสมกับการเพาะปลูกผักสวนครัว
5 เหมาะสม เพราะมีแสงแดดเพียงพอและมีสภาพดนิ อุดมสมบูรณไ์ ม่มสี ารเคมี
ตกคา้ งในดิน
6 เหมาะสม เพราะมอี ากาศทถี่ า่ ยเทดี ส่งผลใหพ้ ชื ผกั ทป่ี ลกู มีความสมบรู ณย์ ิ่งขึน้
จากตารางท่ี 4.2.3 ผลการประเมินโครงการโดยรวมสรุปได้ว่า บรรยากาศเหมาะแก่การ
เพาะปลูก สภาพดนิ อุดมสมบูรณ์ อากาศไมแ่ หง้ แล้งจนเกนิ ไป มอี ากาศที่ถ่ายเทดี บรรยากาศจงึ
เหมาะสมในการดำเนินงาน
ตอนที่ 2 ผลการประเมินโครงการด้านปัจจัย หลังการดำเนินโครงการ
ตารางที่ 4.3.1 จำนวนบุคลากรทร่ี ่วมดำเนนิ การโครงการ มคี วามเหมาะสมและเพียงพอ
หรอื ไม่อยา่ งไร
ลำดบั ผปู้ ระเมิน รายละเอียดของการประเมิน
1 เหมาะสม เพราะสมาชิกในครอบครัวใหค้ วามรว่ มมือต่อการดำเนนิ โครงการ
อย่างดี
2 เหมาะสม เพราะจำนวนบุคลากรที่ร่วมดำเนินการโครงการมีจำนวนเพียงพอและ
โครงการนจ้ี ดั ทำขึน้ กันภายในครอบครวั
3 เหมาะสม เพราะสมาชิกในครอบครวั มกี ารกลา้ แสดงออกและยอมรับความ
คิดเห็นของผู้อนื่
4 เหมาะสม เพราะสมาชิกในครอบครวั มีความเข้าใจไม่ขัดแย้งกนั เอง
5 เหมาะสม เพราะทำให้รู้ลำดับขั้นตอนในการทำงาน ว่าตอ้ งทำอย่างไรและมี
ข้นั ตอนใดบ้าง
6 เหมาะสม เพราะสมาชกิ ในครอบครัวทำงานร่วมกนั และมคี วามเปน็ หนง่ึ เดยี วกัน
จากตารางที่ 4.3.1 ผลการประเมนิ โครงการโดยรวมสรุปได้วา่ สมาชิกในครอบครัวใหค้ วาม
ร่วมมอื ต่อการดำเนนิ โครงการอย่างดี มีความเข้าใจไม่ขดั แย้งกนั เอง จงึ มีความเหมาะสมและเพียงพอ
ต่อการร่วมดำเนินการโครงการ
39
ตารางที่ 4.3.2 วสั ดุอุปกรณ์ต่างๆ เพยี งพอและเหมาะสมต่อการดำเนนิ โครงการหรือไม่
อยา่ งไร
ลำดับผูป้ ระเมนิ รายละเอียดของการประเมิน
1 เหมาะสม เพราะอุปกรณท์ ่ีใช้บางชิน้ เราสามารถทำขึ้นมาเองได้
2 เพยี งพอ เพราะในการปลกู ผักสวนครวั ไม่ไดใ้ ช้อุปกรณ์เยอะเกนิ ความจำเป็น
3 เพยี งพอ เพราะอปุ กรณต์ า่ งๆทีใ่ ชใ้ นการเพาะปลูกมรี าคาท่ีสามารถจับตอ้ งได้
4 เหมาะสม เพราะมีความรู้พนื้ ฐานเกีย่ วกบั อุปกรณ์ท่ีใชป้ ลูกผกั สวนครวั
5 เหมาะสม เพราะคนในครอบครัวมีความรูเ้ กยี่ วกับอปุ กรณ์ท่ีใชใ้ นการเพาะปลกู
6 เหมาะสม เพราะอปุ กรณ์ท่ีใชเ้ ป็นอปุ กรณ์ท่ีมีอย่แู ลว้ ในครวั เรือน
จากตารางท่ี 4.3.2 ผลการประเมินโครงการโดยรวมสรปุ ได้วา่ อุปกรณท์ ี่ใช้บางชิน้ สามารถทำ
ขึน้ มาเองได้และมีอยูแ่ ลว้ ในครัวเรอื น ไม่ได้ใชอ้ ุปกรณ์เยอะเกินความจำเปน็ มีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกบั
อุปกรณ์ท่ีใชป้ ลูกผกั สวนครวั วสั ดอุ ปุ กรณต์ า่ งๆทใี่ ชใ้ นการเพาะปลูก จึงมีความเหมาะสมและเพยี งพอ
ตอ่ การดำเนนิ โครงการ
ตารางท่ี 4.3.3 อาคารสถานที่ในการดำเนนิ โครงการมีความเหมาะสมและเพยี งพอหรือไม่
อยา่ งไร
ลำดบั ผู้ประเมิน รายละเอยี ดของการประเมิน
1 มคี วามเหมาะสม เพราะเปน็ พ้นื ทว่ี ่างเปลา่ ท่ีไม่ไดใ้ ชป้ ระโยชนอ์ ะไร
2 เพยี งพอ เพราะการปลูกผกั สวนครวั ไมไ่ ด้ใช้พ้นื ที่ฟุ่มเฟือย
3 เหมาะสม เพราะเปน็ พน้ื ที่ของครอบครัวในการทำโครงการน้ี
4 เหมาะสม เพราะพ้นื ที่ท่ีใช้ทำโครงการนี้ไม่ได้มีการทำเกษตรมากอ่ น
5 เหมาะสม เพราะมีความสะดวกสบายในการดูแลผักทีป่ ลูก
6 เพยี งพอ เพราะสามารถขยายแปลงผักสวนครัวเพ่ิมได้
จากตารางที่ 4.3.3 ผลการประเมินโครงการโดยรวมสรุปได้วา่ พ้ืนทท่ี ีใ่ ชท้ ำโครงการเปน็ พ้ืนท่ีวา่ งเปล่า
มีความสะดวกสบายในการดแู ลผักทป่ี ลกู สามารถขยายแปลงผักสวนครัวเพิ่มได้ เพราะเปน็ พ้ืนที่ของ
ครอบครวั สถานที่จงึ มคี วามเหมาะสมในการดำเนนิ โครงการ
ตอนท่ี 3 ผลการประเมินโครงการดา้ นกระบวนการ หลงั การดำเนนิ โครงการ
ตารางท่ี 4.4.1 สภาพปัญหาและความต้องการในการพัฒนามคี วามเหมาะสมหรือไม่
ลำดับผู้ประเมิน รายละเอยี ดของการประเมิน
1 เหมาะสม เพราะมกี ารแก้ปญั หาทต่ี รงตามวตั ถุประสงค์
2 เหมาะสม เพราะมีการแกป้ ญั หาทเ่ี ข้าใจได้ง่าย
3 เหมาะสม เพราะความต้องการในการดำเนนิ โครงการสามารถนำไปพัฒนาต่อได้
40
4 เหมาะสม เพราะการดำเนนิ โครงการมีปัญหาค่อนขา้ งน้อย สามารถแก้ไขได้ทนั ที
5 เหมาะสม เพราะความต้องการในการดำเนนิ โครงการ สามารถช่วยให้โครงการ
บรรลตุ ามวัตถุประสงค์ท่ีกำหนดไว้
6 เหมาะสม เพราะสภาพปญั หาทเ่ี กดิ ขนึ้ มีผลต่อการดำเนนิ โครงการค่อนข้างนอ้ ย
จากตารางท่ี 4.4.1 ผลการประเมินโครงการโดยรวมสรุปได้วา่ สภาพปัญหาทเ่ี กดิ ขึ้นและความ
ต้องการในการดำเนนิ โครงการ มกี ารแก้ปัญหาทตี่ รงตามวัตถปุ ระสงค์ เขา้ ในง่าย สามารถนำไปพัฒนา
ตอ่ ได้ และมผี ลต่อการดำเนนิ โครงการค่อนขา้ งน้อย
ตารางที่ 4.4.2 กจิ กรรมของโครงการมีความเหมาะสมหรือไม่
ลำดับผู้ประเมนิ รายละเอยี ดของการประเมิน
1 มคี วามเหมาะสม เปน็ การใชเ้ วลาว่างใหเ้ ปน็ ประโยชน์และได้เรยี นรู้การปลูกผัก
2 เหมาะสม เพราะได้เรยี นรู้การทำปยุ๋ อนิ ทรีย์
3 เหมาะสม เพราะสามารถนำไปต่อยอดเปน็ อาชีพได้
4 เหมาะสม เพราะ สามารถลดคา่ ใชจ้ า่ ยในการซ้ือผักมารับประทาน
5 เหมาะสม เพราะ เราจะไดร้ บั ประทานผักทปี่ ลอดสารพิษ
6 เหมาะสม เพราะสามารถเป็นแหลง่ เรยี นร้ใู นชมุ ชนได้
จากตารางที่ 4.4.2 ผลการประเมนิ โครงการโดยรวมสรปุ ได้วา่ เป็นการใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ได้
เรียนรกู้ ารปลูกผัก ได้เรียนรู้การทำปุ๋ยอินทรีย์ สามารถนำไปตอ่ ยอดเป็นอาชีพ ลดค่าใช้จ่ายในการซื้อ
ผักมารับประทานและปลอดสารพษิ กิจกรรมนจ้ี ึงมีความเหมาะสมในการดำเนินโครงการ
ตารางที่ 4.4.3 การประเมนิ ผลการดำเนนิ โครงการมีความเหมาะสมหรือไม่
ลำดบั ผ้ปู ระเมนิ รายละเอียดของการประเมนิ
1 มคี วามพึงพอใจในการจัดทำกิจกรรมครงั้ น้ี
2 มคี วามสามัคคภี ายในครอบครัวมากขึ้น
3 เหมาะสม เพราะครอบครัวมีพืชผักเพียงพอต่อการบริโภค
4 เหมาะสม เพราะครอบครัวมีความร้เู ร่อื งเศรษฐกจิ พอเพียงมากขนึ้
5 เหมาะสม เพราะโครงการสามารถบรรลุตามเปา้ หมายที่กำหนดไว้
6 เหมาะสม เพราะสภาพแวดลอ้ มท่ีดีข้ึนกว่าเดิม
จากตารางที่ 4.4.3 ผลการประเมินโครงการโดยรวมสรปุ ได้ว่า ครอบครวั มีพืชผักเพียงพอต่อการ
บริโภคและมคี วามรเู้ ร่ืองเศรษฐกจิ พอเพยี งมากข้ึน ทำให้มีความพึงพอใจในการจดั ทำกจิ กรรมครั้งน้ี
การประเมินผลการจงึ มีความเหมาะสมในการดำเนินโครงการ
ตอนที่ 4 ผลการประเมินโครงการด้านผลผลติ หลงั การดำเนนิ โครงการ
41
ตารางที่ 4.5.1 สามารถนำความรูจ้ ากการปฏบิ ตั ไิ ปใชใ้ นชวี ิตประจำวันได้หรือไมอ่ ย่างไร
ลำดบั ผู้ประเมิน รายละเอยี ดของการประเมนิ
1 สามารถนำไปใชใ้ นชีวิตประจำวันได้ เพราะนอกจากการบริโภคภายในครอบครัว
แล้วเรายงั สามารถนำไปขายเป็นการเพิ่มรายได้ให้แก่ครอบครัวอกี ทางเลือกหนึง่
2 สามารถนำผลผลิตที่ปลูกมาขยายพันธเุ์ พิ่มได้โดยไมต่ ้องซ้ือเมลด็ พนั ธ์เุ พ่ิม
3 สามารถแยกแยะได้ระหว่างผักทใ่ี ชส้ ารเคมีกบั ผกั ปลอดสารพิษ
4 สามารถให้ความรู้ในการปลูกผกั สวนครวั แก่ผอู้ ่ืนได้
5 สามารถแนะนำการเลือกเมลด็ พันธุม์ าเพาะปลูก
6 สมาชิกท่ีเขา้ รว่ มโครงการน้ีมีพ้นื ฐานในการเพาะปลกู และสามารถนำความรู้ท่ไี ด้
ไปปลกู พชื ผักชนดิ อืน่ ๆได้
จากตารางท่ี 4.5.1 ผลการประเมินโครงการโดยรวมสรุปได้วา่ สมาชกิ ท่ีเขา้ ร่วมโครงการนม้ี ีพน้ื ฐานใน
การเพาะปลูกสามารถนำความรู้ทไี่ ด้ไปขยายพันธเุ์ พิ่มไดโ้ ดยไมต่ ้องซ้ือเมล็ดพนั ธุเ์ พม่ิ สามารถให้
ความรใู้ นการปลูกผกั สวนครัวแก่ผอู้ นื่ ได้ ยงั สามารถนำไปขายเปน็ การเพ่ิมรายไดใ้ หแ้ กค่ รอบครวั อีก
ทางเลือกหนง่ึ และสามารถนำไปใชใ้ นชีวติ ประจำวันในโอกาสอ่นื ๆได้
ตารางท่ี 4.5.2 ผู้เขา้ ร่วมโครงการคิดวา่ สามารถนำความรู้จากการที่ปฏิบตั ิไปต่อยอดใน
อนาคตได้อย่างไร
ลำดบั ผู้ประเมิน รายละเอยี ดของการประเมิน
1 ผเู้ ขา้ ร่วมในโครงการนสี้ ามารถนำไปต่อยอดต่อไปในอนาคตไดเ้ พราะผู้เข้าร่วม
โครงการน้ีมที ักษะและการดแู ลเอาใจใสใ่ นการปลกู ผักสวนครวั โดยไม่พง่ึ
สารเคมีในการปลูกผักแตใ่ ชป้ ุ๋ยอินทรยี แ์ ทน
2 ได้ เพราะสมาชกิ สามารถในกลุม่ ทำป๋ยุ อินทรีย์ใชไ้ ด้
3 เพราะมคี วามรู้พ้นื ฐานในการปลูกผักต่างๆเพิ่มมากขึ้น
4 สามารถทำให้ดนิ เหมาะสมต่อการเพาะปลกู ผักคร้ังต่อไปได้
5 สามารถดัดแปลงความรเู้ ดมิ ไปต่อยอดเพื่อให้เกิดความรใู้ หมๆ่ ขนึ้
6 สามารถนำไปต่อยอดเป็นธรุ กิจท่ีเลี้ยงชีพได้
จากตารางที่ 4.5.2 ผลการประเมินโครงการโดยรวมสรุปได้ว่า ผ้เู ขา้ รว่ มในโครงการนส้ี ามารถนำไปต่อ
ยอดต่อไปในอนาคตได้ เพราะผู้เขา้ รว่ มโครงการนม้ี ีทกั ษะและการดูแลเอาใจใส่ในการปลูกผักสวน
ครวั โดยไม่พึ่งสารเคมใี นการปลูกผกั แตใ่ ช้ปุ๋ยอินทรียแ์ ทน สามารถดัดแปลงความรู้เดิมไปตอ่ ยอดใน
อนาคตเพื่อใหเ้ กิดความรู้ใหม่ๆข้นึ
42
ตารางที่ 4.5.3 จากการที่เข้าร่วมโครงการ ผู้เขา้ รว่ มโครงการสามารถนำความรู้ทไ่ี ด้ไปปรบั
ใชอ้ ยา่ งไร
ลำดับผูป้ ระเมนิ รายละเอยี ดของการประเมิน
1 ผูเ้ ข้าร่วมโครงการสามารถนำความรู้ไปปรับดนิ ใหอ้ ุดมสมบูรณใ์ หเ้ หมาะสมต่อ
การเพาะปลูกพืชผกั สวนครัว
2 ปรบั สถานทก่ี ารเพาะปลูกผักสวนครัว
3 สามารถชว่ ยประหยัดเวลาในการดแู ลผักให้ได้รับผลผลติ ได้เรว็ ข้นึ
4 สามารถดดั แปลงจากการปลกู ผักเปน็ การปลูกตน้ ไมส้ วยงามได้
5 สามารถเพ่ิมผลผลติ ในการปลูกผกั ได้เพ่ิมขน้ึ
6 สามารถเปลย่ี นวธิ กี ารปลูกให้มคี วามสะดวกในการดแู ลมากขึ้น
จากตารางที่ 4.5.3 ผลการประเมนิ โครงการโดยรวมสรปุ ได้วา่ ผเู้ ขา้ รว่ มโครงการสามารถนำความร้ไู ป
ปรบั ใช้ในให้เหมาะสมตอ่ การเพาะปลูกพืชผกั สวนครวั โดยการเพ่ิมผลผลิตในการปลูกผักได้เพิ่มขน้ึ
และยังสามารถดดั แปลงจากการปลูกผกั เปน็ การปลูกตน้ ไม้สวยงามได้
ส่วนท่ี 3 ขอ้ เสนอแนะในการดำเนนิ โครงการผลการประเมินโครงการผกั บงุ้ แปลงน้อยปลอดสารพิษ
(ผักสวนครัว)
1. อยากใหป้ ลกู ผักหลากหลายชนิด
2. อยากใหม้ โี รงเรือนในการปลูกผกั สวนครัว
3. อยากใหส้ มาชิกที่เข้ารว่ มโครงการนำผักทีไ่ ดเ้ พาะปลูกไปขายเพ่ือเพ่มิ รายได้
4. อยากให้จัดพน้ื ท่ใี นการปลูกผกั สวนครัวใหส้ วยงาม ดูแล้วสบายตา