The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

รวมเล่มหน่วยที่ 2 ลิลิตตะเลงพ่าย

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by monaria.kk, 2021-10-31 08:52:27

รวมเล่มหน่วยที่ 2 ลิลิตตะเลงพ่าย

รวมเล่มหน่วยที่ 2 ลิลิตตะเลงพ่าย

เอกสารประกอบการเรียน รายวิชาภาษาไทย รหสั วิชา ท๓๒๑๐๒

ช่ือ..............................นามสกุล..........................
ช้นั ....................เลขท.ี่ ....................

กล่มุ สาระการเรียนรู้ภาษาไทย
โรงเรียนเบญจมราชูทศิ จังหวดั ปัตตานี
สานักงานเขตพื้นทีก่ ารศึกษามัธยมศึกษา เขต ๑๕

คำนำ

เอกสารประกอบการเรียนวิชาภาษาไทยพื้นฐาน รหัสวิชา ท๓๒๑๐2 หน่วยที่ 2
ลิลิตตะเลงพ่าย เล่มนี้ เป็นเอกสารประกอบการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับมาตรฐานการเรียนรู้ และ
ตัวชี้วัดในหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 กลุ่มสาระการเรียนรู้
ภาษาไทย ระดับช้ันมัธยมศกึ ษาปีท่ี 4-6

เอกสารประกอบการเรียนวิชาภาษาไทยพื้นฐาน รหัสวิชา ท๓๒๑๐2 หน่วยที่ 2
ลิลิตตะเลงพ่าย ประกอบด้วย 6 บทเรียนหลัก ได้แก่ บทวิเคราะห์วรรณคดีเรื่อง ลิลิตตะเลงพ่าย
การอ่านแปลความวรรณคดี การอ่านแปลความวรรณคดี หลักการวิเคราะห์คุณค่าวรรณคดี
การอ่านออกเสียงบทร้อยกรอง การเขียนเรียงความ การเขียนประกาศ การพูดสรุปแนวคิดและ
แสดงความคิดเหน็ จากเรอื่ งที่ฟังและดู และการพดู ในทีป่ ระชุม

โดยในแต่ละบทเรียนมีแบบฝึกหัดและกิจกรรมต่าง ๆ ที่กระตุ้นให้นักเรียนตอบสนอง
การเรียนรู้ รู้จักคิดวิเคราะห์และทบทวนความรู้ความเข้าใจในเนื้อหาที่เรียน รวมถึงครูผู้สอน
สามารถตรวจสอบและประเมินความเขา้ ใจของนักเรยี นได้อกี ด้วย

ผู้เรียบเรียงหวังเป็นอย่างยิ่งว่า เอกสารประกอบการเรียนรายวิชาภาษาไทยพื้นฐาน
เล่มน้ี จะเป็นประโยชน์และอำนวยความสะดวกในการจดั การเรยี นร้ใู ห้เกดิ ประสิทธภิ าพตอ่ ไป

ละใม ทองมี
ณัฐวดี หนรู าช
ครูชำนาญการ

มะรอวี เจ๊ะอุมา
นักศกึ ษาปฏิบตั ิการสอน

กลมุ่ สาระการเรยี นรู้ภาษาไทย
โรงเรียนเบญจมราชูทิศ จังหวัดปัตตานี

สารบัญ หนา้
เรือ่ ง
1
• บทวิเคราะห์วรรณคดเี ร่ือง ลิลติ ตะเลงพ่าย 1
o ความเป็นมา 1
o จุดประสงคใ์ นการแต่ง 2
o ผู้แตง่ และประวตั ผิ แู้ ต่ง 3
o ลักษณะคำประพันธ์ 5
o เรอ่ื งย่อ 6
o ตวั ละครในเร่ือง 8
o ขอ้ คิดและคณุ คา่ ทไี่ ด้จากเรือ่ ง
21
• การอา่ นแปลความวรรณคดีเรอื่ ง ลลิ ิตตะเลงพ่าย 21
o หลักการอา่ นแปลความ 23
o การอ่านแปลความวรรณคดเี รื่อง ลิลติ ตะเลงพ่าย
32
• หลกั การวเิ คราะห์คุณค่าวรรณคดี 32
o การวิเคราะห์คณุ ค่าด้านเน้ือหา 32
o การวเิ คราะห์คุณคา่ ด้านวรรณศิลป์ 38
o การวเิ คราะหค์ ณุ คา่ ด้านสังคม 38
o การวเิ คราะหข์ อ้ คิดเพีอ่ นำไปประยุกต์ใช้ในชีวติ ประจำวัน
42
• การอา่ นออกเสียงบทรอ้ ยกรอง 42
o หลักการอา่ นออกเสียงบทร้อยกรอง 44
o การอา่ นโคลงส่สี ภุ าพ 45
o การท่องจำบทอาขยาน
48
• การเขียน 48
o การเขียนเรยี งความ 56
o การเขยี นประกาศ
62
• การพูด 62
o การพดู สรุปแนวคดิ และแสดงความคดิ เห็นจากเรอื่ งทฟี่ ังและดู 67
o การพดู ในท่ปี ระชุม
76
• บรรณานุกรม

1

บทวเิ คราะห์วรรณคดเี รื่อง ลิลติ ตะเลงพ่าย

“ลิลิตตะเลงพ่าย” พระนิพนธ์ในสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส เป็นวรรณคดี
เฉลิมพระเกรียรติสมเด็จพระนเรศวรมหาราช โดยกลา่ วถงึ เหตุการณ์เม่อื ครั้งท่ีพระมหาอปุ ราชาของพม่ายกทัพ
มาเพื่อตีกรุงศรีอยุธยาแล้วสมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงกระทำยุทธหัตถีกับพระมหาอุปราชาจนได้รับ
ชัยชนะ ชใ้ี หเ้ หน็ ถงึ การรักษาเอกราชของบรรพบุรษุ ไทย ทำให้ผู้อา่ นเกดิ ความรักชาติและมีจติ สำนึกท่ดี ี

ความเป็นมา

คำว่า “ตะเลง” หมายถึง “มอญ” “พ่าย” แปลว่า “แพ้” คำว่า “ตะเลงพ่าย” แปลตามตัวอักษร คือ
“มอญแพ้” แตพ่ ม่าเปน็ ผทู้ ีป่ กครองมอญอยู่ คำวา่ ตะเลงในวรรณคดเี รอื่ งนจี้ ึงหมายถงึ “พม่า”

ลิลิตตะเลงพ่าย เป็นวรรณคดีเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนเรศวรมหาราช มีการดำเนินเรื่องตาม
พงศาวดารกรุงศรีอยุธยา เริ่มตั้งแต่สมเด็จพระมหาธรรมราชาเสด็จสวรรคต จนถึงตอนที่สมเด็จพระนเรศวร
มหาราชทรงกระทำยุทธหตั ถีกังพระมหาอปุ ราชาของพม่า พระมหาอปุ ราชาส้นิ พระชนม์ใน พ.ศ.๒๑๓๕

สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรสทรงพระนิพนธ์เรื่องนี้เพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จ
พระนเรศวรมหาราช ในวาระงานพระราชพิธีฉลองตึกวัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร ที่ได้รับ
การบรู ณปฏสิ ังขรณ์ เม่อื พทุ ธศักราช ๒๓๗๕ ในรชั กาลพระบาทสมเด็จพระน่ังเกลา้ เจ้าอยหู่ วั รัชกาลที่ ๓ ลิลิต
ตะเลงพา่ ยมีอยู่ ๒ ฉบับ คือ

1. ลลิ ิตตะเลงพา่ ย ฉบับร้อยกรอง
2. ลลิ ิตตะเลงพ่าย ฉบบั รอ้ ยแก้ว
ในแต่ละฉบับแบ่งออกเป็น ๑๒ ตอน สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส ทรงนิพนธ์
ร่วมกับพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นภูบาลบริรักษ์ (พระองค์เจ้ากปิษฐาขัตติยกุมาร) โดยแต่งแนวเดียวกับ
ยวนพา่ ยโคลงดน้ั หรือโคลงยวนพ่าย ซงึ่ มมี ากอ่ นตัง้ แตส่ มัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ

จุดประสงค์ในการแตง่

1. เพ่ือเฉลิมพระเกียรตสิ มเด็จพระนเรศวรมหาราช
2. ฉลองตกึ วดั พระเชนตพุ นฯ ในสมัยรชั กาลที่ 3
3. สรา้ งสมบารมขี องผู้แต่ง (เพราะผแู้ ต่งขอไวว้ ่าถ้าแตง่ เสร็จขอให้สำเรจ็ สู่พระนิพพาน)

2

ผูแ้ ต่ง

“สมเด็จพระมหาสมณเจา้ กรมพระปรมานุชติ ชโิ นรส”

ประวตั ผิ แู้ ต่ง
สมเด็จ พระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส พระนามเดิม

พระองค์เจ้าวาสุกรี เป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬา
โลกฯ ประสูติเมื่อ พ.ศ. ๒๓๓๓ เมื่อพระชนมายุ ๑๒ พรรษา ได้ผนวชเป็น
สามเณร ประทับ ณ พระตำหนักท่าวาสุกรี วัดพระเชตุพนฯ ในสมัยรัชกาลที่ ๒
ได้รับสถาปนาเป็นกรมหมื่นนุชิตชิโนรส สมัยรัชกาลที่ ๔ ได้รับการสถาปนาเป็น
กรมสมเดจ็ พระปรมานุชติ ชิโนรส ตอ่ มาในรชั กาลท่ี ๖ โปรดเกล้าฯ สถาปนาเป็น
สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาปรมานุชิตชิโนรส สิ้นพระชนม์เมื่อ
พ.ศ. ๒๔๙๖ รวมพระชนมายุ ๖๔ พรรษา
สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส ทรงเป็นสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ 7 แห่ง
กรุงรัตนโกสินทร์ และทรงเป็นพระราชวงศ์พระองค์แรกที่ทรงได้รับสถาปนาให้ดำรงตำแหน่งสมเด็จ
พระสังฆราช ทรงสถติ ณ วดั พระเชตพุ นวมิ ลมังคลารามราชวรมหาวหิ าร ในสมยั พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า
เจ้าอย่หู ัว ดำรงสมณศักดิ์เมื่อปี พ.ศ. 2394 ถงึ ปี พ.ศ. 2396 รวม 2 พรรษา ส้ินพระชนมเ์ ม่ือพระชนมายุได้
64 พรรษา ในทางพระพุทธศิลป์ ได้ทรงคิดแบบพระพุทธรูปปางต่าง ๆ ถวายพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้า
เจ้าอยู่หัว โดยทรงเลือกพระอิริยาบทต่าง ๆ จากพุทธประวัติเป็นจำนวน 37 ปาง เริ่มตั้งแต่ปางบำเพ็ญ
ทุกขกิริยา จนถึงปางห้ามมาร พระพุทธรูปปางต่าง ๆ เหล่านี้ ในปี พ.ศ. 2533 องค์การศึกษา วิทยาศาสตร์
และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) ได้ประกาศยกย่องสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิต
ชิโนรส เป็นบุคคลผู้มีผลงานดีเด่นด้านวัฒนธรรมระดับโลก ประจำปี พ.ศ.2533 นับเป็นพระสงฆ์รูปแรกที่
ไดร้ บั การถวายเกียรตินี้

ผลงานพระราชนพิ นธ์
- สรรพสิทธ์ิคำฉันท์ สมุทรโฆษคำฉันทต์ อนปลาย
- กฤษณาสอนนอ้ งคำฉันท์ ฉนั ทด์ ุษฏีสังเวยกลอ่ มชา้ งพงั
- กาพยข์ บั ไม้กลอ่ มชา้ งพัง ฉันทม์ าตราพฤติ
- ฉันทว์ รรณพฤติ ลลิ ิตตะเลงพ่าย
- ลิลิตกระบวนพยุหยาตราพระกฐนิ สถลมารคและชลมารค
- โคลงยอพระเกยี รตพิ ระบาทสมเด็จพระน่งั เกล้าเจา้ อยหู่ ัวเมื่อปฏสิ งั ขรวดั พระเชตุพน
- ร่ายทำขวญั นาค เทศน์มหาชาติ 11 กนั ฑ์
- ตำราพระพทุ ธรปู ตา่ ง ๆ ปฐมสมโพธกิ ถา
- พระธรรมเทศนาพงศาวดารกรงุ ศรอี ยธุ ยา ลิลติ จกั รทีปนี (เปน็ ตำราโหราศาสตร)์
- กลอนเพลงยาวเจ้าพระ คำฤษฏี (หนงั สือรวบรวมศัพท์)
- ฉนั ท์สังเวยกลองวินิจฉยั เภรี กุรธุ รรมชาฏก ฯลฯ

3

ลกั ษณะคำประพนั ธ์

คำประพันธ์ที่ทรงใช้ในการนิพนธ์เรียกว่า ลิลิต เป็นลิลิตสุภาพ ประกอบด้วยร่ายสุภาพและโคลงสุภาพ
โคลงที่ใช้มีทั้งโคลง 2 โคลง 3 และโคลง 4 ตอนท้ายเป็นโคลงกระทู้ ซึ่งเป็นลักษณะคำประพันธ์ที่สมเด็จ
พระมหาสมณเจา้ กรมพระปรมานชุ ติ ชโิ นรส นยิ มใชใ้ นการนพิ นธป์ ิดท้ายวรรณคดขี องพระองค์ทุกเรอ่ื ง

คำประพันธ์ทใ่ี ชแ้ ต่ง
เรื่องลิลิตตะเลงพ่ายแต่งด้วยคำประพันธ์ประเภทร่ายสุภาพ โคลงสี่สุภาพ โคลงสามสุภาพ และโคลง

สองสภุ าพ ดังนี้

รา่ ยสุภาพ
ลกั ษณะบังคบั ของร่ายสุภาพ ร่ายสุภาพบทหนึ่งมตี ้งั แต่ 5 วรรคขึ้นไป และตอนท้ายต้องจบด้วย

โคลงสองสภุ าพ ร่ายสภุ าพแต่ละวรรคกำหนดให้มี 5 คำ เมื่อรวมกบั โคลงสองสภุ าพแลว้ จะได้แผนผงั ดงั นี้

สำหรับสัมผัสบังคับของร่ายสุภาพ กำหนดให้คำสุดท้ายของวรรคหน้าส่งสัมผัสไปยังคำที่ 1
หรือที่ 2 หรือที่ 3 เพียงดำใดคำหนึ่งในวรรคถัดไป การส่งสัมผัสเป็นไปเช่นนี้จนกระทั่งจบด้วยโคลงสอง
สุภาพ ส่วนสัมผัสในซึ่งเป็นสัมผัสที่ไม่บงั คับในร่ายสุภาพใช้ได้ทั้งสัมผัสพยัญชนะและสัมผัสสระ แต่นิยมสัมผสั
พยญั ชนะมากกวา่

ตัวอย่างรา่ ยสุภาพ
“เสร็จเสาวนีย์สั่งสนม เนืองบังคมคำราช พระบาท บ ทันนิทรา จวนเวลาล่วงสาง พ้ืน

นภางคเ์ ผอื ดดาว แสงเงินขาวขอบฟา้ แสงทองจ้าจับเมฆ...ฯลฯ... ขอลาองค์ทา่ นไท้ ไปเผด็จดสั กรให้ เหือด
เสี้ยนศึกสยาม สน้ิ นา”

โคลงสองสภุ าพ
ลักษณะบังคับของโคลงสองสุภาพ บทหนึ่งมี 3 วรรค ๆ หนึ่งมี 5 คำยกเว้นวรรคสุดท้ายมีเพียง
4 คำ ในตอนท้ายมีคำสร้อยได้ 2 คำ บงั คับคำเอก ๓ แหง่ และคำโท ๓ แห่ง สัมผัสของโคลงสองสุภาพมีเพียง
แหง่ เดยี ว คือ คำสดุ ทา้ ยของวรรคแรกส่งสมั ผัสไปยังคำสุดทา้ ยของวรรคท่ี 2 ดังแผนผงั ดังนี้

4

ตวั อยา่ งโคลงสองสุภาพ หาอนชุ นวลน้อง
“พระผาดผายสหู่ อ้ ง งามเสงยี มเฟื้ยมเฝา้

หนมุ่ หนา้ พระสนม
ปวงประนมนบเกล้า

อยูถ่ ้าทูลสนอง”

โคลงสามสภุ าพ
ลักษณะบังคับของโคลงสามสุภาพ บทหนึ่งมี 4 วรรค ๆ ละ 5 คำ ยกเว้นวรรคสุดท้ายซึ่งมี

4 คำ และมีคำสรอ้ ยตอนท้ายอีก 2 คำ และบงั คับ คำเอก ๓ แห่ง และคำโท ๓ แห่ง
สมั ผสั โคลงสามสุภาพกำหนดให้คำสดุ ท้ายของวรรคแรกส่งสัมผัสไปยงั คำท่ี 3 ของวรรคท่ี 2

และคำสุดท้ายของวรรคท่ี 2 สง่ สมั ผสั ไปยงั คำสุดทา้ ยของวรรคท่ี 3 ดังแผนผงั โคลงสามสุภาพ ดังน้ี

ตัวอย่างโคลงสามสภุ าพ สามองคม์ แี ห่งห้ัน
“ลว่ งลุด่านเจดยี ์ เพ่ือรูร้ าวทาง”

แดนต่อแดนกันนั้น

โคลงสสี่ ุภาพ
ลักษณะบังคับของโคลงสี่สุภาพ โคลงสี่สุภาพบทหนึ่งมี 4 บาท แต่ละบาทประกอบด้วย

2 วรรค คอื วรรคหนา้ 5 คำ วรรคหลัง 2 คำ ยกเว้นบาทท่ี 4 ท่มี ีวรรคหลงั 4 คำ นอกจากนี้ในบาทท่ี 1 และ
บาทท่ี 3 อาจมสี ร้อยคำได้อกี บาทละ 2 คำ ดังแผนผังดังนี้

โคลงสี่สุภาพบังคับคำเอก 7 คำ คำโท 4
คำ โดยถือรูปวรรณยุกต์เป็นเกณฑ์ และคำเอกอาจใช้คำ
ตายแทนได้ สัมผัสโคลงส่ีสุภาพได้แก่ คำสุดท้ายของบาท
ที่ 1 (ไม่นับคำสร้อย) ส่งสัมผัสไปยังคำที่ 5 ของบาทที่ 2
และบาทที่ 3 คำสุดท้ายของบาทที่ 2 ส่งสัมผัสไปยังคำ
ที่ 5 ของบาทที่ 4 ส่วนสัมผัสในของโคลงสี่สุภาพนิยม
สมั ผสั อกั ษร

ตัวอย่างโคลงสี่สุภาพ เดชะ
“จงเจริญชเยศดว้ ย พ่อได้
วิรยิ ภาพ พอ่ นา
ชาวอยธุ ยอ์ ย่าพะ ธริ าชเจา้ จอมสยาม”
จงแพ้พนิ าศพระ

ชนะแด่สองท่านไท้

5

เรือ่ งย่อ

เริ่มต้นด้วยการชมบุญบารมีและพระบรมเดชานุภาพ
ของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช แล้วดำเนินความตาม
ประวัติศาสตร์ว่า พระเจ้ากรุงหงสาวดีนันทบุเรงทรงทราบว่า
สมเด็จพระมหาธรรมราชาเสด็จสวรรคต สมเดจ็ พระนเรศวรได้
ครองราชย์สมบัติ พระองค์จึงตรัสปรึกษาขุนนางทั้งปวงว่า
กรุงศรีอยุธยาผลัดเปลี่ยนกษัตริย์ สมเด็จพระนเรศวรและ
สมเด็จพระเอกาทศรถ พระพี่น้องทัง้ สองอาจรบพุ่งชงิ ความเปน็ ใหญ่กัน ยังไมร่ ู้เหตผุ ลประการใด ควรส่งทัพไป
เหยียบดินแดนไทย เป็นการเตือนสงครามไว้ก่อน ถ้าเหตุการณ์เมืองไทยไม่ปกติสุขก็ให้โจมตีทันที ขุนนาง
ทงั้ หลายก็เห็นชอบตามพระราชดำรินน้ั

พระเจ้ากรุงหงสาวดีนนั ทบุเรงตรัสใหพ้ ระมหาอปุ ราชาเตรียมทัพร่วมกบั พระมหาราชเจ้านครเชียงใหม่
แตพ่ ระมหาอปุ ราชากราบบงั คมทูลวา่ โหรทำนายว่าพระองค์กำลงั มีเคราะห์ถงึ ตาย พระเจา้ หงสาวดจี งึ ตรัสเชิง
ประชดว่า กษัตริย์อยุธยามีโอรสเก่งกล้าสามารถในการรบ กล้าหาญทำศึก ไม่ต้องให้พระบิดาใช้วานมีแต่จะ
ห้ามปรามไม่ใหท้ ำศกึ ถ้าพระมหาอุปราชาเกรงวา่ เคราะหร์ ้ายก็ให้เอาผ้าสตรีมานุ่งจะได้หมดเคราะห์ พระมหา-
อุปราชาทรงอับอายขุนนางข้าราชการมาก จึงทูลลาพระบิดาแล้วเตรียมยกทัพโดยเกณฑ์จากหัวเมืองต่าง ๆ
รวมหา้ แสนคน เพอ่ื ยกทพั ไปตีอยุธยาในเวลาเช้าตรู่ของวนั ร่งุ ขน้ึ

พระมหาอุปราชาคุมทัพพมา่ กับพระเจ้าเชียงใหม่ และพลรบ 5 แสนคน เขา้ มาทางด่านเจดีย์สามองค์
ทรงชมไม้ ชมนก ชมเขา และคร่ำครวญถึงพระสนมกำนลั มาตลอดจนผา่ นไทรโยค ลำกระเพนิ และเขา้ ยึดเมือง
กาญจนบุรีได้โดยสะดวก ต่อจากนั้นก็เคลื่อนพลผ่านพนมทวนเกิดลางร้ายลมเวรัมภาพัดฉัตรหัก ทรงตั้งค่าย
หลวงทต่ี ำบลตระพงั ตรุ

ขณะนั้นสมเด็จพระนเรศวรกำลังเตรียมทัพจะไปตกี ัมพูชาเป็นการแก้แค้นท่ีถือโอกาสรกุ รานไทยหลาย
ครั้งระหว่างที่ไทยติดศึกกับพมา่ พอสมเด็จพระนเรศวรทรงทราบศึกพม่า ก็ทรงถอนกำลังไปสู้รบกับพม่าทนั ที
โดยเตรียมพลรบจำนวนหนงึ่ แสนแปดหมื่นคน และเคล่อื นพยหุ ยาตราทางชลมารคไปขนึ้ บกที่ปากโมก ก็บงั เกิด
ศุภนิมิต ต่อจากนั้นทรงกรีฑาทัพทางบกไปต้ังค่ายท่ีตำบลหนองสาหร่าย เมื่อทรงทราบว่าพม่าส่งทหารมาลาด
ตะเวน ทรงแน่พระทยั วา่ พมา่ จะต้องโจมตีกรงุ ศรีอยุธยาเป็นแน่ จงึ รับส่งั ใหท้ ัพหน้าเข้าปะทะข้าศกึ แล้ว และให้
ล่าถอยเพื่อลวงข้าศึกให้ประมาท แล้วสมเด็จพระนเรศวรมหาราชกับสมเด็จพระเอกาทศรถทรงนำทัพหลวง
ออกมาช่วย

ในขณะนั้นช้างพระที่นั่งทั้งสอง คือ พระเจ้าไชยานุภาพ และ เจ้าพระยาปราบไตรจักร ได้สดับเสียง
ฆ้อง กลอง และเสียงปืนของข้าศึก ก็ส่งเสียงร้องด้วยความคึกคะนอง เพราะกำลังตกมัน ควาญบังคับไว้ไม่อยู่
ช้างทรงวิ่งไปโดยเร็ว จนทหารในกองทัพตามไม่ทนั มแี ตก่ ลางช้างและควาญช้างตามเสด็จไปด้วยจนเข้าไปใกล้
กองหน้าของข้าศึก ช้างศึกได้กลิ่น มัน ก็พากันตกใจหนีไปปะทะกับพวกที่ตามมาข้างหลัง ช้างทรงไล่แทงช้าง
ของขา้ ศกึ อย่างเมามัน ทหารพมา่ ลม้ ตายเปน็ จำนวนมาก ทัง้ สองฝ่ายตอ่ สู้กันจนฝุน่ ตลบมองหนา้ กันไมเ่ หน็

6

เมื่อท้องฟ้าสว่างดังเดิม สมเด็จพระนเรศวร
มหาราชทรงทอดพระเนตรเห็นพระมหาอุปราชาทรงช้าง
ประทับยืนอยู่ใต้ตน้ ไม้ข่อย มีทหารห้อมล้อมและตั้งเครื่อง
สูงครบครัน ทัง้ สองพระองคจ์ ึงทรงไสชา้ งเข้าไปหา สมเด็จ
พระนเรศวรมหาราชตรสั ทา้ พระมหาอปุ ราชาให้ออกมาทำ
ยุทธหัตถีกันจนมีชัยชนะ พระมหาอุปราชาถูกพระแสง
ของ้าวของสมเดจ็ พระนเรศวรฟนั พระอังสาขวาขาดสะพายแลง่ พระวรกายกเ็ อนซบสิ้นพระชนมอ์ ยู่บนคอช้าง
ด้านสมเด็จพระเอกาทศรถกระทำยุทธหัตถีมีชัยชนะแก่มังจาชโร เมื่อกองทัพพม่าแตกพ่ายไปแล้ว
สมเดจ็ พระนเรศวรมาหาราชรับส่งั ใหส้ ร้างสถูปเจดีย์เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกยี รติพระมหาอุปราชา เสรจ็ แลว้ จึง
เลิกทัพกลับกรุงศรีอยุธยา สมเด็จพระนเศวรทรงปูนบำเหน็จทหารและปรึกษาโทษนายทัพนายกองที่ตามช้าง
ทรงเข้าไปในกองทัพพม่าไม่ทัน แต่สมเด็จพระวันรัตทูลขอพระราชทานอภัยโทษแทนแม่ทัพนายกองทั้งหมด
สมเดจ็ พระนเรศวรกโ็ ปรดพระราชทานอภยั โทษให้ โดยให้ยกทพั ไปตีเมืองทวายและตะนาวศรีเปน็ การแกต้ ัว

เสน้ ทางการเดนิ ทัพในเร่ืองลิลติ ตะเลงพา่ ย

ตวั ละครในเรอื่ ง

ฝา่ ยไทย
สมเด็จพระนเรศวรมหาราช หรอื พระองคด์ ำ
พระมหาธรรมราชาเป็นพระบรมชนกนาถ ทรงพระราชสมภพเมื่อปี เถะ พ.ศ.

๒๐๙๘ ณ พระราชวังสนามจันทร์เมืองพิษณุโลก ทรงมีพระพี่นาง ๑ องค์พระนามว่า
"พระสพุ รรณเทว"ี (สวุ รรณกัลยาน)ี และพระอนุชา ๑ องค์ พระนามว่า "พระเอกาทศรถ"
(พระองค์ขาว) ทรงเสด็จไปประทับที่กรุงหงสาวดีตั้งแต่พระชนมายุได้ ๙ พรรษา และ

7

กลับมาประทับที่ไทยเมื่อพระชนมายุได้ ๑๕ พรรษา ได้ครองเมืองพิษณุโลก และได้ขึ้นครองราชย์ต่อจาก
พระราชบิดา เมอื่ พ.ศ. ๒๑๔๘ มพี ระนามวา่ สมเด็จพระนเรศวร หรือสมเด็จพระสรรเพชญท์ ี่ ๒ กษัตริย์องค์ท่ี
๑๘ แห่งกรุงศรีอยุธยา ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่เก่งกล้าสามารถ เป็นผู้ประกาศเอกราชหลังจากที่เสียไป
ให้กับพม่าถึง ๑๕ ปี รวมทั้งขยายราชอาณาจักรให้กว้างใหญ่ ทำสงครามกับพม่า จนพม่าหวาดกลัวไม่กล้า
มารบกับไทยอีกเลยเป็นเวลาร้อยกว่าปี ทรงเสด็จสวรรคตในขณะทีเ่ สดจ็ ไปทำศึกกับกรงุ อังวะ แต่เกิดประชวร
เป็นระลอกที่พระพักตร์ แล้วกลายเป็นบาดทะพิษ ประชวรได้ ๓ วัน จึงเสด็จสวรรคต วันที่ ๒๕ เมษายน
พ.ศ.๒๑๔๘ พระชนมายุได้ ๕๐ พรรษา ครองราชยไ์ ด้ ๑๕ ปี

สมเด็จพระเอกาทศรถหรือพระองคข์ าว
อนุชาของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช พระราชสมภพที่เมืองพิษณุโลก

ในรัชกาลสมเด็จพระนเรศวร ทรงดำรงตำแหน่งอุปราช ครองเมืองพิษณุโลก แต่มี
เกียรติยศเสมอพระเจ้าแผ่นดิน ตลอดรัชกาลสมเด็จพระนเรศวร ทรงออกศึกทำ
สงครามร่วมกับสมเด็จพระนเรศวรตลอด และทรงครองราชย์ต่อจากสมเด็จ
พระนเรศวร พระนามว่าสมเด็จพระเอกาทศรถ หรอื สมเดจ็ พระสรรเพชญท์ ี่ ๓ มพี ระ
ราชโอรสที่ประสูติจากพระอัครมเหสี สององค์คือ เจ้าฟ้าสุทัศน์ และเจ้าฟ้าศรีเสาวภาค และมีพระราชโอรสท่ี
ประสูติจากพระสนม อีกสามองค์คือ พระอินทรราชา พระศรีศิลป์ และพระองค์ทอง สมเด็จพระเอกาทศรถ
เสด็จสวรรคตเมือ่ ปี พ.ศ.๒๑๕๓ พระชนมพ์ รรษาได้ ๕๐ พรรษาเศษ ครองราชย์ได้ 5 ปี

พระมหาธรรมราชา
สมเด็จพระมหาธรรมราชาหรืออีกพระนามหนึ่งว่า สมเด็จพระสรร

เพชญ์ท่ี ๑ เสดจ็ พระราช สมภพ เม่อื ปี พ.ศ.๒๐๕๘ พระราชบดิ าเปน็ เชอื้ สายราชวงศ์
พระร่วง แห่งกรุงสุโขทัย พระราชมารดาเป็นพระญาติฝ่ายพระราชชนนี สมเด็จ
พระไชยราชาธริ าช แห่งราชวงศ์สุวรรณภูมิพระองค์ทรงรับราชการเปน็ ที่ขุนพิเรนทร
เทพ เจ้ากรมตำรวจรักษาพระองค์ หลังจากที่เหตุการณ์วุ่นวายในราชสำนักยุติลง
และพระเฑยี รราชาไดข้ ึ้นครองราชย์เป็นสมเด็จพระมหาจกั รพรรด์ิ เม่อื ปี พ.ศ.๒๐๙๑
แล้วขนุ พิเรนทรเทพ ได้รบั สถาปนาขึ้นเป็นสมเด็จพระมหาธรรมราชา แลว้ ได้รบั โปรด
เกล้าให้ไปครองเมืองพิษณุโลก สำเร็จราชการหัวเมืองฝ่ายเหนือ มีศักดิ์เทียบเท่าพระมหาอุปราช ได้รับ
พระราชทานพระวิสุทธิกษัตรี พระราชธิดาในสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ์เป็นพระอัครมเหสี ต่อมามีพระราช
โอรสและพระราชธดิ าสามพระองค์คือ พระสพุ รรณเทวี สมเด็จพระนเรศวรมหาราช สมเด็จพระเอก

สมเด็จพระวันรตั
สมเด็จพระวันรัตเดิมชื่อพระมหาเถรคันฉ่อง พระชาวมอญ จำพรรษา

อยู่ที่วัดป่าแก้ว หรือวัด ใหญ่ชัยมงคลในปัจจุบัน มีบทบาทครั้งสำคัญ คือ ในคราวท่ี
สมเด็จพระนเรศวรประกาศอิสรภาพ ท่านเป็นผู้เกลี้ยกล่อมให้พระยาเกียรติ์ และ
พระยารามที่พระเจ้าหงสาวดีส่งมาให้ลอบกำจัดพระนเรศวร พระมหาเถรคันฉ่อง
ทราบก่อน จึงนำความกราบทูลพระนเรศวร และเกลี้ยกล่อมให้ พระยาเกียรติ์ และ
พระยาราม รับสารภาพและเข้าร่วมกับพระนเรศวร วีรกรรมอีกครั้งหนึ่งของท่าน คือ
การขอพระราชทานอภัยโทษ บรรดาแม่ทัพนายกองทีต่ ามเสด็จสมเด็จพระนเรศวรไม่
ทัน ต้องโทษประหารชีวิต สมเด็จพระวันรัตได้ขอบิณฑบาต พระราชทานอภัยโทษ
บรรดาแมท่ พั นายกองทงั้ หลาย

8

ฝา่ ยพมา่
พระเจา้ หงสาวดีหรือนนั ทบุเรง
กษัตริย์พม่า เดิมชื่อ มังชัยสิงห์ราช โอรสของบุเรงนอง ดำรงตำแหน่ง

อุปราชในสมัยบุเรงนอง ได้ขึ้นครองราชย์ต่อจากบุเรงบอง พระราชบิดา ทรงหวังที่จะ
สร้างความยิ่งใหญ่เหมือนกับพระราชบิดา แต่ก็ทำไม่สำเร็จ สุดท้างยถูกลอบวางยาพิษ
ส้นิ พระชนม์

พระมหาอปุ ราชา
โอรสของนันทบุเรง ดำรงดำแหน่งอุปราชาในสมัยของนันทบุเรง เดิม

ชื่อมังสามเกียด หรือ มังกะยอชวา เป็นเพื่อนเล่นกันกับพระนเรศวรในสมัยที่พระองค์
ประทับอยู่ที่กรุงหงสาวดี ทรงทำงานสนองพระราชบิดาหลายครั้ง โดยเฉพาะราชการ
สงคราม และไดถ้ วายงานครั้งสดุ ทา้ ยในการยกทัพ ๕ แสนมาตไี ทย และสน้ิ พระชนม์ใน
การทำยุทธหตั ถีกบั สมเด็จพระนเรศวรมหาราช

มางจาชโร
พี่เลี้ยงของพระมหาอุปราชา ผู้ที่ชนช้างกับพระเอกาทศรถ และถูกพระเอกาทศรถฟันด้วย

พระแสงของา้ วคอขาด

ขอ้ คดิ และคณุ คา่ ทีไ่ ด้จากเร่อื ง

ขอ้ คดิ จากเรื่อง
1. ลิลิตตะเลงพ่ายสะท้อนให้เห็นความรักชาติ ความเสียสละ ความกล้าหาญ ของบรรพบุรุษ ซึ่งคน

ไทยควรภาคภูมิใจ
2. แผน่ ดนิ ไทยตอ้ งผา่ นการทำศึกสงครามอยา่ งมากมายกวา่ ทจ่ี ะมารวมกันเปน็ ปึกแผ่นอย่างปจั จุบนั นี้
3. พระราชภารกจิ ของกษัตริย์ไทยในสมยั ก่อน คอื การปกครองบา้ นเมอื งให้ร่มเยน็ เปน็ สขุ และรบเพื่อ

ปกปอ้ งอธปิ ไตยของไทย

คณุ คา่ จากเรอ่ื ง
๑. เปน็ วรรณคดชี น้ั สูงของชาติซ่งึ ถือได้วา่ เปน็ แบบอย่างที่ดีของวรรณคดีอ่นื ๆ
๒. ให้คุณค่าทางด้านวรรณศิลป์หลายประการ เช่น การเล่นคำการแทรกบทนิราศคร่ำครวญ การใช้

โวหารต่าง ๆ การพรรณนาฉากท่ีทำใหผ้ ู้อา่ นมีอารมณ์ร่วมและเกดิ ความรู้สกึ คลอ้ ยตาม
๓. ให้ความรู้เกยี่ วกับประวตั ิศาสตร์
๔. ปลุกใจให้คนไทยรักและเทดิ ทูนแผน่ ดินไทยจนพร้อมท่จี ะเสยี สละเพ่ือบา้ นเมือง

9

แบบฝกึ หัด
ลิลิตตะเลงพ่าย

คำชีแ้ จง : ใหน้ กั เรยี นตอบคำถามต่อไปนี้

1. ความหมายของคำวา่ “ตะเลง” คอื ................................................................................................................
2. ผู้แต่งลิลติ ตะเลงพา่ ย คือ ................................................................................................................................
3. บดิ า/มารดาของผู้แต่ง คือ...............................................................................................................................
.............................................................................................................................................................................
4. ผลงานของผแู้ ตง่ มีอะไรบ้าง.............................................................................................................................
............................................................................................................................. ................................................
5. จดุ ประสงค์ในการแตง่ ลลิ ติ ตะเลงพ่าย คอื ......................................................................................................
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
6. ลิลติ ตะเลงพา่ ย ดำเนนิ เรื่องตาม......................................................................................................................
............................................................................................................................. ................................................
............................................................................................................................................................................
7. วรรณคดีเร่ือง ลลิ ิตตะเลงพา่ ย ถูกจัดใหเ้ ปน็ วรรณคดปี ระเภท........................................................................
............................................................................................................................. ................................................
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
8. ลักษณะคำประพันธท์ ่ีปรากฏในวรรณคดีเร่ือง ลลิ ิตตะเลงพา่ ย มกี ่ชี นิด อะไรบา้ ง.........................................
............................................................................................................................. ...............................................
............................................................................................................................................................................
9. ตอนตน้ และตอนท้ายของวรรณคดีเรอ่ื ง ลิลิตตะเลงพ่าย ผู้แตง่ กลา่ วถงึ อะไร

...............................................................................
...............................................................................
...............................................................................
...............................................................................
...............................................................................
...............................................................................
............................................................................................................................. .................................................
............................................................................................................................. .................................................

10

แบบฝึกหดั
ลลิ ติ ตะเลงพ่าย

คำชีแ้ จง : ให้นกั เรยี นตอบคำถามต่อไปนี้

1. สงครามยุทธหัตถี หมายถงึ …………………………………
…………………………………………………………………………….
…………………………………………………………………………….
…………………………………………………………………………….
…………………………………………………………………………….
…………………………………………………………………………….

2. ปี พ.ศ. ทีเ่ กิดศกึ ยทุ ธหตั ถี คือ .........................................................................................................................
3. สาเหตขุ องการยกทัพพม่าไปกรงุ ศรีอยธุ ยา คืออะไร
...................................................................................... ......................................................................................
............................................................................................................................. ...............................................
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
4. พระมหาอปุ ราชายนิ ยอมไปสรู้ บครง้ั นี้หรอื นห้ี รอื ไม่ เพราะเหตุใด
............................................................................................................................. ...............................................
............................................................................................................................. ...............................................
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
5. กองทัพของพระมหาอุปราชา เดนิ ทางเขา้ มาผ่านเมอื งใด และทำศกึ ยทุ ธหตั ถกี บั สมเดจ็ พระนเรศวรตำบลใด
............................................................................................................................................................................
6. จำนวนกองทพั ฝ่ายพมา่ และฝา่ ยไทยมีจำนวนเทา่ ใด
............................................................................................................................. .................................................
7. ลางรา้ ยท่ีเกิดกบั พระมหาอปุ ราชา คืออะไร และโหรทำนายวา่ อย่างไร
............................................................................................................................. ...............................................
............................................................................................................................................................................
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
8. เพราะเหตุใดสมเด็จพระนเรศวรมหาราช และสมเด็จพระเอกาทศรถจงึ ตกอยู่ในวงล้อมของข้าศึก
................................................................................................................................................... .........................
......................................................................................................... ...................................................................
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..

11
9. พระมหาอุปราชาพา่ ยแพ้ต่อสมเดจ็ พระนเรศวรมหาราชดว้ ยสาเหตุใด
............................................................................................................................. ...............................................
.................................................................................................................................................................. ..........
........................................................................................................................ ......................................................
10. หากนักเรียนเป็นพระมหาอุปราชา จะไปทำสงครามยุทธหัตถีกับสมเด็จพระนเรศวรมหาราชหรือไม่
เพราะเหตใุ ด
............................................................................................................................................................................
............................................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................... ..................................
11. ให้นกั เรยี นวจิ ารณน์ ิสัยตัวละคร ดังน้ี

- สมเด็จพระนเรศวรมหาราช…………………………………………………………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….

- พระมหาอปุ ราชา……………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
12. นกั เรยี นไดร้ บั ขอ้ คดิ หรือสาระที่เป็นประโยชน์อย่างไร จากการอา่ นวรรณคดีเรื่อง ลิลติ ตะเลงพ่าย
............................................................................................................................. ................................................
........................................................................................................................................... ..................................
................................................................................................ .............................................................................
............................................................................................................................. ................................................

12

แบบฝกึ หดั
ลลิ ติ ตะเลงพา่ ย

คำช้ีแจง : ใหน้ ักเรียนเรียงข้อความต่อไปน้ี ตามลำดับเหตุการณ์ทปี่ รากฏในวรรณคดเี รอ่ื ง ลิลิตตะเลงพ่าย

ก. สมเด็จพระนเรศวรทรงสร้างสถูปและปูนบำเหนจ็ ทหาร
ข. สมเดจ็ พระนเรศวรทรงประกาศกับเทวดาท้งั หลายใหช้ ว่ ยบนั ดาลเปดิ ทางให้มองเหน็ ข้าศกึ
ค. สมเด็จพระนเรศวรเหน็ ว่าทัพหนา้ ของไทยกำลังพ่ายอยู่ จงึ ใหถ้ อยออกมา เพอื่ ลวงใหข้ า้ ศึกได้ใจ คดิ ว่าไทยกำลังจะแพ้
ง. เกดิ ลมเวรมั ภาพดั หวนอย่างรุนแรง ทำให้ฉตั รประจำองค์ของพระมหาอุปราชาตกลงมาหัก
จ. ช้างทรงของสมเด็จพระนเรศวรตกอยใู่ นวงลอ้ มของขา้ ศึก เกิดการตะลุมบอนว่นุ วาย มฝี ุ่นตลบมดื มิด
ช. พระมหาอปุ ราชานอนซบอยู่บนคอช้างอยา่ งนา่ เวทนา และสนิ้ พระชนม์ในทสี่ ดุ กองทพั หงสาวดีก็แตกพ่ายกลบั ไป
ญ. พระเจ้านนั ทบุเรงทราบข่าวไทยผลัดเปลย่ี นแผ่นดนิ ใหม่จึงคดิ ท่ีจะมาตีไทย
ณ. สมเด็จพระนเรศวรปรกึ ษาโทษนายทพั นายกองทีต่ ามช้างทรงเข้าไปในกองทัพพมา่ ไม่ทัน
ด. พระเจา้ นนั ทบุเรงสงั่ ให้พระมหาอุปราชายกทัพมาตีไทย
ต. พระมหาอุปรายกทพั พมา่ เขา้ มาทางด่านเจดยี ์สามองค์ เมอื งกาญจนบุรี และทรงรำพงึ รำพันคิดถึงนางสนม
ท. เกิดเมฆก้อนใหญ่ ทอ้ งฟา้ แจ่มกระจ่าง ดวงอาทิตยส์ อ่ งแสงจา้ อยู่ทางทศิ เหนือ
ธ. สมเด็จพระนเรศวรขน้ึ ครองราชย์โดยมีพระเอกาทศรถเป็นพระมหาอปุ ราช (มุขมนตรี)
น. สมเด็จพระนเรศวรอภยั โทษให้ โดยให้นายทพั นายกองยกทพั ไปตที วายและตะนาวศรีเปน็ การแกต้ วั
บ. สมเดจ็ พระนเรศวรกำลงั พูดคุยเร่ืองตีเมืองเขมร เมือ่ รู้ข่าวพม่ายกทัพมากเ็ ลยเปลยี่ นมาเตรียมการส้ศู ึกพม่า
ป. พระมหาอปุ ราชากลวั วา่ จะแพ้สงคราม เลยถูกผเู้ ปน็ พ่อหยามหมิ่น จึงจำใจยกทพั มาตไี ทย
พ. สมเดจ็ พระนเรศวรมหาราชพดู โน้มนา้ วใหพ้ ระมหาอปุ ราชาเสดจ็ ออกมาทำศึกยุทธหตั ถดี ้วยกนั
ภ. ทัพหลวงของไทยเคลื่อนขบวนพลแบบเกลด็ นาคตามตำราพชิ ัยสงครามเขา้ ปะทะกับข้าศึก
ม. สมเด็จพระวันรัตทลู ขออภยั โทษให้กบั นายทัพนายกอง
ย. พระมหาอปุ ราชาถกู พระแสงของ้าวของสมเดจ็ พระนเรศวรมหาราชฟาดลงบนพระอังศา (บ่า) ด้านขวา
ร. พระมหาอุปราชาทรงปรึกษาการศึกแลว้ ยกทพั เขา้ ปะทะทัพหน้าของไทย

เหตุการณ์ที่ 1. 2. 3. 4. 5. 6. 7. 8. 9. 10.

ขอ้ ธ

เหตกุ ารณท์ ี่ 11. 12. 13. 14. 15. 16. 17. 18. 19. 20.
ขอ้

13

แบบฝึกหัด
ลลิ ติ ตะเลงพา่ ย

คำชี้แจง : ให้นักเรียนนำความรู้ที่ได้จากการศึกษาเรื่อง ลิลิตตะเลงพ่าย มาเขียนเป็นแผนภาพเล่าเรื่องที่
เกดิ ขน้ึ ต้ังแตต่ น้ จนจบ

14

แบบฝึกหัด
ลลิ ติ ตะเลงพา่ ย

คำชี้แจง : ให้นักเรียนยกตัวอย่างบทประพันธ์วรรณคดีเรื่อง ลิลิตตะเลงพาย ให้สอดคล้องกับภาพ
เหตกุ ารณ์ดงั ตอ่ ไปนี้

…………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………

…………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………

…………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………

…………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………

15

แบบฝกึ หัด

ลลิ ติ ตะเลงพา่ ย

คำชีแ้ จง : จงเลอื กคำตอบท่ีถูกตอ้ งที่สดุ

๑. เร่อื งลิลติ ตะเลงพ่ายเปน็ ผลงานการประพนั ธ์ของผใู้ ด

๑. พระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกลา้ เจ้าอยู่หวั

๒. เจา้ พระยาพระคลงั (หน)
๓. พระยาพิศณุประสาทเวช
๔. สมเดจ็ พระมหาสมณเจา้ กรมพระปรมานชุ ติ ชโิ นรส
๒. ผปู้ ระพนั ธ์เรือ่ ง ลลิ ติ ตะเลงพา่ ย มคี วามเกยี่ วข้องอะไรกับพระพุทธศาสนา

๑. มผี ลงานการประพันธเ์ กยี่ วกบั พระพุทธศาสนา
๒. เคยออกบวชเปน็ พระภิกษุ
๓. เป็นผอู้ ุปถัมภบ์ ำรุงพระศาสนา
๔. เปน็ พระภกิ ษุ เปน็ สมเด็จพระสังฆราชและเป็นเจา้ อาวาสวัดพระเชตุพนฯ
๓. ลิลติ คอื คำประพนั ธป์ ระเภทใด
๑. คำประพันธท์ แ่ี ต่งสลับกนั ระหวา่ งกาพยแ์ ละโคลง
๒. คำประพนั ธท์ แ่ี ต่งสลับกันระหว่างกลอนและกาพย์
๓. คำประพนั ธท์ แ่ี ต่งสลบั กันระหวา่ งร่ายและกลอน
๔. คำประพนั ธท์ แ่ี ต่งสลบั กนั ระหว่างรา่ ยและโคลง
๔. ข้อใดเป็นจุดประสงคส์ ำคัญในการแต่งเรอื่ งลิลิตตะเลงพา่ ย
๑. เพอื่ เฉลมิ พระเกียรติสมเด็จพระนเรศวรมหาราช
๒. เพือ่ แสดงความสามารถของกวี
๓. เพ่ือใหม้ ีวรรณคดีเพิม่ ปริมาณขึ้น
๔. เพ่อื ยกยอ่ งสถาบันกษตั รยิ ์
๕. เพราะเหตใุ ดเร่ืองลิลติ ตะเลงพ่าย จึงได้รบั ยกย่องเปน็ วรรณคดมี หากาพย์
๑. เพอื่ เฉลมิ พระเกยี รติสมเดจ็ พระนเรศวรมหาราช
๒. เพื่อแสดงความสามารถของกวี
๓. เพือ่ ใหม้ ีวรรณคดเี พิม่ ปรมิ าณขนึ้
๔. เพือ่ ยกย่องสถาบนั กษัตรยิ ์
๖. การแต่งลลิ ิต มักแตง่ ดว้ ยคำประพันธช์ นดิ ใดเปน็ อนั ดับแรก
๑. กลอน
๒. ร่าย
๓. โคลง
๔. ฉันท์
๗. พ.ศ. 2532 องคก์ ารศกึ ษาวิทยาศาสตร์และวฒั นธรรมแหง่ สหประชาชาติ ไดป้ ระกาศยกย่องสมเดจ็ พระ

มหาสมณเจ้า กรมพระปรมานชุ ิตชโิ นรสให้เปน็ อไร

๑. เปน็ บคุ คลดเี ด่นทางดา้ นการศกึ ษาระดับโลก

16

๒. เปน็ บคุ คลดีเด่นทางดา้ นภาษาไทยระดบั โลก

๓. เปน็ บุคคลดเี ด่นทางดา้ นวัฒนธรรมระดับโลก

๔. เปน็ บคุ คลดีเด่นทางด้านวัฒนธรรมระดบั ชาติ

๘. ลิลิตตะเลงพา่ ยเป็นวรรณคดปี ระเภทใด

๑. วรรณคดพี ทุ ธศาสนา

๒. วรรณคดสี ุภาษิตคำสอน

๓. วรรณคดีบนั ทกึ ความรสู้ ึกของผู้เดินทาง

๔. วรรณคดเี ฉลมิ พระเกียรติ

๙. ในเรือ่ งลิลิตตะเลงพ่าย กล่าวถงึ การทำยุทธหตั ถรี ะหวา่ งใครกบั ใคร

๑. ระหวา่ งสมเดจ็ พระเอกาทศรถกบั พระเจ้านันทบเุ รง

๒. ระหว่างสมเด็จพระนเรศวรกบั พระมหาอุปราชา

๓. ระหวา่ งสมเด็จพระมหาจักพรรดิกบั พระมหาอปุ ราชา

๔. ระหวา่ งสมเด็จพระเอกาทศรถกับพระหมาอุปราชา

๑๐. โคลงสส่ี ภุ าพในขอ้ ใด เป็นเนื้อหาสำคัญทสี่ ดุ ในเรอ่ื งลลิ ิตตะเลงพา่ ย

๑. สองโจมสองจ่จู ้วง บำรู

สองขตั ตยิ สองขอชู เชิดดำ้

กระลึงกระลอกดู ไววอ่ ง นักนา

ควาญขบั คชแข่งค้ำ เขน่ เขยี้ วในสนาม

๒. อรุ ารานรา้ วแยก ยลสยบ

เอนพระองค์ลงทบ ท่าวด้ิน

เหนือคอคชซอนซบ สังเวช

วายชิวาตมส์ ุดส้นิ ส่ฟู า้ เสวยสวรรค์

๓. พระตรโี ลกนาถแผ้ว เผดจ็ มาร

เอกพระราชสมภาร พ่นี อ้ ง

เสดจ็ ไร้พิริยะราญ อรินาศ ลงนา

เสนอพระยศยนิ ก้อง เกยี รติท้าวทกุ ภาย

๔. เทวัญแสดงเหตุให้ สังหรณ์

เหน็ แฮ เหน็ กระแสสาคร หลงั่ ล้น

ไหลลบวนาดอน แดนตกทศิ นา

พระแตเ่ พ่งฤๅพน้ ทน่ี ำ้ นองสาย

๑๑. สงครามยทุ ธหตั ถี หมายถงึ อะไร

๑. การรบบนหลังช้าง แบบตวั ต่อตวั ระหว่างวีรกษตั ริย์

๒. การรบบนหลังมา้ แบบตวั ตอ่ ตัวระหวา่ งวีรกษตั รยิ ์

๓. การรบแบบตัวต่อตวั ของยอดขนุ ศึก

๔. การท้ารบบนหลังชา้ งระหวา่ งกษัตรยิ ์

17

๑๒. อ่านโคลงบทน้ี แลว้ ตอบคำถาม

สองโจมสองจจู่ ้วง บำรู

สองขตั ติยสองขอชู เชดิ ดำ้

กระลึงกระลอกดู ไววอ่ ง นกั นา

ควาญขับคชแขง่ คำ้ เข่นเขี้ยวในสนาม

คำวา่ “โจม” “จู”่ และ “จ้วง” ให้ความหมายวา่ อยา่ งไร

๑. ทำจนสุดแขนดว้ ยกำลงั แรง

๒. โถมเข้าใส่อยา่ งเต็มกำลัง

๓. กระทำด้วยกำลังแรง

๔. กระทำด้วยกำลังกาย

๑๓. คำใดในโคลงขอ้ 12 มคี วามหมายวา่ ขยบั พระแสงของ้าวกลบั ไปกลบั มา

๑. บำรู

๒. กระลงึ กระลอก

๓. ชูเชิด

๔. คำ้

๑๔. อา่ นโคลงบทนแ้ี ล้วใช้ตอบคำถาม

"ขนุ เสยี มสามรรถต้าน ขนุ ตะเลง

ขนุ ต่อขุนไป่เยง หย่อนห้าว

ยอหัตถเ์ ทิดลบองเลบง อังกุศ ไกวแฮ

งามเรง่ งามโททา้ ว ทา่ นสูศ้ กึ สาร"

ขอ้ ใดไม่ไดก้ ลา่ วถึงในโคลงบทน้ี

๑. อาวธุ ที่ใชใ้ นการตอ่ สู้

๒. การทำศึกบนหลังชา้ ง

๓. การรบระหวา่ งพม่ากับไทย

๔. กำลงั พลท้ังสองฝ่ายไทยและพมา่

๑๕. โคลงบทใดให้ภาพการหลบคมอาวุธได้อยา่ งรวดเรว็

๑. คชยานขัตตเิ ยศเบอ้ื ง ออกถวัลย์

โถมปะทะไป่ทัน เหยียบยัง้

สารทรงราชรามัญ ลงลา่ ง แลนา

เสยส่ายท้ายทันตท์ ั้ง คคู่ ้ำคางเขนิ

๒. เบื้องนัน้ นฤนาถผู้ สยามินทร์

เบี่ยงพระมาลาผิน หอ่ นฟอ้ ง

ศสั ตราวธุ อรนิ ทร์ ฤๅถกู องคเ์ อย

เพราะพระหัตถห์ ากป้อง ปัดดว้ ยขอทรง

๓. ผวิ หลายพยุหยุทธร์ ้า โรมรอน

ชนะอมิตรมวลมอญ มว่ั มลา้ ง

พระเดช บ่ ดาลขจร เจริญฤทธิ์ พระนา

ไปท่ัวธเรศออกอ้าง เอกิ ฟา้ ดนิ ไหว

18

๔. หัสดนิ ปิ่นธเรศไท้ โททรง

คอื สมทิ ธมิ าตงค์ หนึ่งอา้ ง

หนึง่ คอื คิรเิ มขล์มง- คลอาสน์ มารเอย

เศยี รสา่ ยหงายงาคว้าง ไขว่แควง้ แทงโถม

๑๖. โคลงบทใดกลา่ วถงึ ชา้ งทรงสมเดจ็ พระนเรศวรเบี่ยงหวั ออกจากช้างพระมหาอปุ ราชาได้

๑. บดั มงคลพ่าหไ์ ท้ ทวารัติ

แวง้ เหวีย่ งเบีย่ งเศยี รสะบัด ตกใต้

อุกคลุกพลเุ งยงดั คอคช เศิกแฮ

เบนบา่ ยหงายงาคว้าง ไขวแ่ ควง้ แทงโถม

๒. พลอยพล้ำเพลียกถา้ ทา่ น ในรณ

บดั ราชฟาดแสงพล- พ่ายฟ้อน

พระเดชพระแสดงดลเผดจ็ คู่ เขญ็ แฮ

ถนัดพระองั สาข้อน ขาดด้าวโดยขวา

๓. ปวงไทเ้ ทเวศทง้ั พรหมมาน

เชิญประชมุ ในสถาน ท่นี ี้

ชมช่นื คชบำราญ ตูต่อ กันแฮ

ใครเชีย่ วใครชาญช้ี ชเยศอ้างอวยเฉลิม

๔. อ้าไทภูธเรศหล้า แหลง่ ตะเลง โลกฤๅ

เผยพระยศยนิ เยง ยา่ นแกลว้

สบิ ทิศทัว่ ลือละเวง หวน่ั เดช ทา่ นนา

ไปเ่ ริ่มรอฤทธ์ิแผว้ เผือดกลา้ แกลนหนี

๑๗. อา่ นโคลงบทตอ่ ไปน้ีแล้วตอบคำถาม

พระท่ีพระผ้ผู ่านภพอุต- ดมเอย

ไปช่ อบเชษฐ์ยนื หยดุ รม่ ไม้

เชญิ ราชร่วมคชยุทธ์ เผยอเกียรติ ไวแ้ ฮ

สืบกว่าสองเราไซร้ สุดส้ินฤๅมี

โคลงบทนเ้ี ป็นการพดู แบบใด

๑.ท้าทาย

๒. ถากถาง

๓. เชญิ ชวน

๔. แดกดนั

๑๘. ...ให้ยกยาตรทัพ กบั นครเชียงใหม่ เปน็ พยหุ ใหญ่ห้าแสนไปเหยียบแดนปราจิน...

คำวา่ แดนปราจนิ หมายถึงอะไร

๑. ดนิ แดนด้านตะวันออกของพม่า

๒. ดนิ แดนดา้ นตะวันออกของไทย

๓. ดินแดนด้านตะวันตกของพมา่

๔. ดินแดนด้านตะวันตกของไทย

19

๑๙. กวีได้เปรียบเทียบการทำยทุ ธหตั ถีระหวา่ งสมเด็จพระนเรศวรกบั พระมหาอุปราชาเป็นเหมอื น
การทำสงครามระหว่างใครกับใคร

๑. ระหวา่ งเทวดากบั อสรู
๒. ระหวา่ งขงเบง้ กบั สุมาอ้ี
๓. ระหว่างอเิ หนากบั ทา้ วกระหมังกหุ นงิ
๔. ระหวา่ งพระอินทร์กับไพจิตราสรู และระหว่างพระรามกับทศกัณฐ์
๒๐. กวีนำส่งิ ใดมาพรรณนาเช่อื มโยงกับอารมณ์ความร้สู ึกของพระมหาอปุ ราชา
๑. นกชนดิ ตา่ งๆ
๒. สายลมและแสงแดด
๓. ดอกไม้และต้นไม้
๔. แม่นำ้ ลำคลอง
๒๑. เรอื่ งลลิ ติ ตะเลงพ่ายเป็นแบบอยา่ งของการแต่งวรรณคดปี ระเภทใด
๑. วรรณคดสี ภุ าษติ คำสอน
๒. วรรณคดเี พอื่ การบันเทงิ
๓. วรรณคดีประวัติศาสตร์
๔. วรรณคดเี ฉลมิ พระเกียรติ
๒๒. ข้อใดแสดงให้เห็นคณุ ลักษณะเด่นของสมเด็จพระนเรศวรขณะท่ีพระองค์ตกอยูใ่ นวงลอ้ มของพม่า
แล้วตรัสเชญิ พระมหาอุปราชาเสด็จออกมาทำยทุ ธหตั ถีกนั
๑. ฝีมอื การรบ
๒.ความกลา้ หาญ
๓. ความมอี ารมณ์ขัน
๔. ไหวพริบปฏิภาณ
๒3. การท่ีสมเด็จพระวันรัตสามารถทูลให้สมเดจ็ พระนเรศวรทรงให้อภัยแก่แม่ทกั นายกองตามท่ีเสด็จ
ไม่ทันได้ แสดงให้เหน็ ความสามารถในด้านใดของพระมหาเถระรปู น้ัน
๑. ดา้ นการเป็นผนู้ ำ
๒. ด้านวาทศลิ ป์
๓. ด้านการบรหิ าร
๔. ด้านการเมอื ง
๒๔. อา่ นโคลงตอ่ ไปนี้

นฤบดโี ถมถบี สู้ ศึกธาร
ฟอนฟาดสงุ สมุ าร มอดมว้ ย
สายสินธุ์ซ่งึ นองพนานต์ หายเหือด แหง้ แฮ
พระเรง่ ปรีดาด้วย เผดจ็ เส้ยี นเศกิ กษัย
โคลงลลิ ติ ตะเลงพา่ ยนี้กลา่ งถึงเรือ่ งใด เร่ืองนน้ั มีความสำคัญอย่างไร
๑. นิมติ บอกเหตุ – ความมชี ัยต่อศตั รู
๒. การปราบจระเข้ – ความพ่ายแพข้ องข้าศกึ
๓. น้ำป่าหลากท่วมทบั ข้าศึก – การไม่ต้องเสยี กำลงั รบ
๔. การตอ่ สดู้ เุ ดอื ดของสมเด็จพระนเรศวรฯ – พระมหาอุปราชาขาดคอช้าง

20

๒๕. คำเชิญชวนให้กระทำยุทธหตั ถที ี่สมเด็จพระนเรศวรฯ ตรัสกับพระมหาอปุ ราชาท่ีว่า

หสั ดรี ณเรศอา้ ง อวสาน นน้ี า

นับอนาคตกาล หอ่ นพ้อง

ขตั ตยิ ายุทธบ์ รรหาร คชคู่ กันแฮ

คงแตเ่ ผือพี่น้อง ตราบฟ้าดนิ กษัย

เปน็ การกล่าวในทำนองใด

๑.ทา้ ทาย

๒. พยากรณ์

๓. รกู้ ารณไ์ กล

๔. ชกั จูงโดยโวหาร

๒๖. สมเดจ็ พระวันรัตแสดงเหตุผลประการใดเปน็ สำคัญท่ีสดุ ที่ทำใหส้ มเด็จพระนเรศวรมหาราช

พระราชทานอภยั โทษให้แก่แม่ทักนายกองทตี่ ามเสด็จไม่ทัน

๑. พระเดชหากแสดงเองอำนาจ พระนา เสนอทกุ ทวยธเรศก้อง เกียรติอา้ งอัศจรรย์

๒. ทุกทวยเทพคณาชุมช่วย พระเอย แสดงพระเดโชช้ชี เยศไวใ้ นสนาม

๓. ถวายพรบวรศรสี วสั ดส์ิ วา่ งโทษ ทา่ นนา นฤทุกข์นฤภยั แผว้ ผ่องพน้ อนั ตราย

๔. พระตรีโลกนาถแผว้ เผดจ็ มาร เฉกพระราชสมภารพ่ีน้อง

๒๗. ข้อความใดหมายถึงการทำยุทธหตั ถี

๑. คชยานขัตติเยศเบอื้ ง ออกถวัลย์

๒. หสั ดีรณเรศอ้าง อวสาน นนี้ า

๓. เถลิงฉตั รจัตรุ พริ ยี ์ เรียงคั่ง ขูเฮย

๔. หัสดนิ ปน่ิ ธเรศไท้ โททรง

๒๘. ขอ้ ใดตคี วามผดิ

๑. ยลแตเ่ หยา้ เรอื นรา้ ง อย่ไู ร้ ใครแรม - เหน็ แต่บ้านเรอื นทร่ี า้ งเพราะไมม่ ีคนอาศยั อยู่

๒. มาเดยี วเปล่ยี นอกอ้าอายสู - เม่ือเรามาคนเดยี วไมม่ ีคกู่ ร็ ้สู กึ เปล่ียวใจและอายคนอืน่ ที่มีคู่

๓. แสนเศิกหอ่ นหาญราญ รอฤทธิ์ พระฤๅ – ข้าศึกยกทัพมานับแสนกไ็ ม่กล้าออกไปสูศ้ กึ

เพราะต้องการอยรู่ อพระองค์มาแสดงฤทธิ์

4. สละสละสมร เสมอช่ือไมน้ า – การที่พี่จากนอ้ งมานน้ั เหมือนกบั ชอ่ื ตน้ สละท่ีมองเหน็ อยู่ตรงหนา้

๒๙.ข้อใดแสดงลักษณะท่ีขาดความมรี ะเบยี บวนิ ยั ของกองทัพ

๑. เคลอ่ื นพลตามเกลด็ นาค ตามเต็มท่งแถวเถื่อน เกล่ือนกล่นแสนยาทัพ กับปะทะไพรนิ ทร์

๒. ขุนคชขับช้างเทียบ ทวยหาญเพยี บแผน่ ภู ดมู หมิ าดาดาษ สระพราศพร้อมโดยขบวน

๓. ไล่โรมรอนทวยสยาม หลามเหลอื หลั่งคัง่ คบั ซับซ้อนแทรกสับสน ยล บ เป็นทพั กอง

๔. ปานทัพปลกู ค่ายสรา้ ง กลางสมร ภูมิพยุหไกรสร ศึกตั้ง เสนาพลากรต่างรืน่ เริงแฮ คอย

จักยอยทุ ธย์ ้งั อยู่ทางเข็ญ

๓๐. ข้อใดสะท้อนอัจฉริยภาพดา้ นการศึกสงครามครั้งน้ขี องสมเดจ็ พระนเรศวรฯ ไดเ้ ดน่ ชัดทส่ี ดุ

๑. ความรอบคอบในการจดั ทีม

๒. ความรอบรู้ในยุทธวธิ ีการศึก

๓. ความรบั ผิดชอบในการสงคราม

๔. ความเข้าใจลกั ษณะของผูน้ ำแมท่ ัพ

21

ใบความรู้เรอ่ื ง การอ่านแปลความ

การอ่านงานเขียนต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นสารคดีหรือบันเทิงคดี เช่น วรรณคดี วรรณกรรม เรื่องส้ัน
บทความ ตลอดจนข่าวสารต่าง ๆ ล้วนต้องอาศัยการแปลความจากระดับภาษาหนึ่งสู่ภาษาอีกระดับหนึ่งท่ี
เข้าใจง่ายขึ้น เพราะบางครั้งภาษาของผู้เขียนอาจจะใช้คำศัพท์ยาก ใช้สำนวนโวหารหรือใช้ภาษาที่กระชับ
รวบรัดเพอ่ื ความสวยงาม ผู้อ่านตอ้ งรบู้ ริบทและแปลภาษาของผ้เู ขียนใหไ้ ด้ จึงจะเขา้ ใจสารไดอ้ ย่างถูกต้อง

ความหมายของการอา่ นแปลความ
การแปลความ หมายถึง การเปลี่ยนแปลงความจากเดิมโดยใช้คำพูดใหม่หรือภาษาใหม่มาเรียบเรียง

เป็นขอ้ ความใหมท่ เี่ ข้าใจงา่ ยขึ้น แต่ตอ้ งรกั ษาเนอ้ื หาและสาระสำคัญของเรอ่ื งเดิมไวไ้ ดอ้ ย่างครบถว้ น
การอ่านแปลความ หมายถึง การอ่านเพื่อแปลงหรือเรียบเรียง “ความ” ที่ได้อ่าน จาก “คำเดิม

สำนวนเดิมหรือภาษาเดิม” ให้กลายเป็น “คำใหม่ สำนวนใหม่หรือภาษาใหม่” ซึ่งเข้าใจได้ง่ายขึ้น โดยยังคง
รักษาความหมายและสาระสำคญั ของเน้อื หาไว้

ข้ันตอนการอ่านแปลความทัว่ ไป
ขัน้ ตอนการอา่ นแปลความมีอยู่ดว้ ยกนั 2 ข้ันตอน ไดแ้ ก่
๑. จับใจความสำคญั หรอื สาระของเร่อื งใหไ้ ด้
๒. เรียบเรยี งเปน็ ขอ้ ความใหม่ทีม่ ีความหมายชดั เจน และคงความหมายเดมิ ไว้
๓. เขียนแปลความนนั้ โดยสรุป

ประเภทของการอ่านแปลความ

๑. การแปลคำศพั ทเ์ ฉพาะเป็นภาษาธรรมดาที่ทกุ คนเขา้ ใจ หรือแปลความหมายของคำ

ระดับหน่งึ ซึง่ เข้าใจกนั เฉพาะกลมุ่ เชน่ คำสแลง คำภาษาถนิ่ เป็นคำอกี ระดบั หนึง่

ขตั ตยิ มานะ แปลวา่ ความถือตนว่าเปน็ กษัตรยิ ์

ดสั กร แปลว่า ขา้ ศกึ

ตะเลง แปลวา่ มอญ

ปราโมทย์ แปลว่า บันเทิงใจ ปลม้ื ใจ

๒. การแปลข้อความเดิมเปน็ ข้อความใหม่ทเี่ ข้าใจได้งา่ ยข้ึน หรอื เปล่ยี นแปลงภาษาจาก

ระดับหน่ึงเป็นภาษาอกี ระดับหนง่ึ เชน่

- นายกสมาคมอัดฉีดนักกีฬาสุด ๆ (ภาษาปาก) เปลี่ยนเป็น นายกสมาคมให้

การสนบั สนุนกฬี าอย่างเต็มท่ี (ภาษาระดบั กึง่ ทางการ)

- เขาสวมหมากหลายใบ (ภาษาปาก) เปลี่ยนเป็น เขาดำรงตำแหน่งหลายตำแหน่ง

(ภาษาระดบั กึ่งทางการ)

๓. การแปลสำนวน คำพงั เพย สภุ าษติ เป็นภาษาธรรมดา (ยงั ไมม่ ีการตีความ) เชน่

- ขม่ เขาโคขืนใหก้ นิ หญ้า แปลว่า กดเขาโค ลงไปเพอื่ บงั คับใหโ้ คกินหญ้า

- ขายผา้ เอาหน้ารอด แปลวา่ ยอมขายผ้าเพ่ือรกั ษาหน้าไว้

- จับปลาสองมือ แปลวา่ การจับปลาโดยใชส้ องมอื

22

4. การแปลบทรอ้ ยกรองเป็นภาษาร้อยแกว้ เชน่

อยธุ ยายศยิง่ ฟา้ ลงดนิ แลฤๅ

อำนาจบุญเพรงพระ ก่อเกือ้

เจดยี ล์ อออินทร์ ปราสาท

ในทาบทองแล้วเน้ือ นอกโสรม

- แปลว่า อยุธยามีความงดงามราวกับเป็นเมืองสวรรค์ ทั้งนี้เพราะบุญบารมีของพระเจ้า

แผน่ ดินผูท้ รงกอ่ ตัง้ เมอื งน้ีขน้ึ ปราสาทราชวังและเจดยี ์กล็ ้วนเป็นสที อง

เพือ่ นกิน ส้ินทรัพยแ์ ล้ว แหนงหนี

หาง่าย หลายหม่นื มี มากได้

เพ่อื นตาย ถ่ายแทนชี- วาอาตม์

หายาก ฝากผไี ข้ ยากแท้จักหา

- แปลวา่ เพื่อนกินนั้นหาง่ายและมีมากมาย แต่เพอ่ื นตาย ในท่นี ี้คือเพ่ือนแท้ที่จะคอยช่วย

เรายามทุกขห์ รือลำบากนั้นหาไดย้ ากมาก

5. การแปลเครือ่ งหมาย รูปภาพ สญั ลกั ษณ์ เป็นภาษาสามญั เชน่

< แปลว่า นอ้ ยกว่า

= แปลว่า เทา่ กัน, เทา่ กบั

แปลว่า ผู้หญงิ

แปลวา่ ผู้ชาย

กล่าวโดยสรุป การอ่านแปลความ คือ การแปลตามอักษรหรือคำโดยถือความหมายเป็นสำคัญเพื่อให้
ผู้อา่ นเข้าใจความหมายตามเนื้อความนัน้ ๆ ไดง้ า่ ยขน้ึ โดยยงั คงรกั ษาเน้ือหาและความสำคญั ของเร่ืองเดิมไว้ได้
อย่างครบถว้ น การอ่านแปลความมีตั้งแต่การอ่านแปลความระดบั คำ สำนวน บทร้อยกรอง จนถึงเครื่องหมาย
หรอื สญั ลักษณต์ ่าง ๆ โดยผอู้ า่ นจะต้องจับใจความสำคัญหรือสาระของเรื่องให้ได้ จากน้นั เรียบเรียงเป็นภาษา
ใหม่ทีม่ ีความหมายชัดเจนและเข้าใจง่ายข้นึ

23

การอ่านแปลความวรรณคดี

การอา่ นแปลความวรรณคดี จะเปน็ การอา่ นทีม่ ุง่ ให้เกิดความเข้าใจในเน้ือหาจากบทประพนั ธช์ นิดตา่ ง ๆ
โดยเฉพาะ ซึ่งจะเริ่มตั้งแต่การแปลคำศัพท์ที่ไม่รู้ความหมาย หรือเป็นการแปลคำศัพท์จากภาษาหนึง่ ไปยังอีก
ภาษาหนง่ึ การถอดคำประพนั ธ์ การแปลสำนวนหรือประโยคตา่ ง ๆ จากบทประพันธใ์ ห้เขา้ ใจง่ายขึน้ การอ่าน
แปลความวรรณคดีส่วนมากแล้วจะแปลจากภาษาร้อยกรองเปน็ ภาษาร้อยแก้ว ซึ่งจะทำให้ผู้อ่านเข้าใจเนื้อหา
และสามารถเขียนสรปุ ใจความสำคญั จากวรรณคดที ี่อ่านได้

คำจำกัดความ “การอ่านแปลความวรรณคดี”
การอ่านแปลความวรรณคดี หมายถึง การเก็บความจากคำประพันธ์มาเขียนใหม่เป็นภาษาร้อยแก้วที่

สละสลวย โดยต้องคงเน้อื ความเดมิ ไว้

หลกั การเขียนแปลความวรรณคดี (ถอดคำประพนั ธ์)
หลกั ในการเขียนแปลความวรรณคดี มดี งั น้ี
๑. อ่านบทประพันธ์ที่นักเรียนจะแปลความให้จบหลาย ๆ ครั้ง แล้วจับใจความให้ได้ว่าบท

ประพนั ธน์ ้นั กลา่ วถึงอะไร มีรายละเอยี ดอย่างไร ไม่ควรอา่ นเพยี งบรรทดั เดียวแลว้ แปลความเลย
๒. โคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน ร่ายต่าง ๆ จะตอ้ งแปลเป็นรอ้ ยแก้วทั้งหมด
๓. คำประพนั ธต์ า่ ง ๆ ต้องหาคำสามญั ที่มีความหมายตรงกนั แทน อย่าเอาถอ้ ยคำเดมิ มาใช้
๔. การแปลความวรรณคดี ต้องเขียนให้ตรงกับความเดิม อย่าเพิ่มความใหม่ให้เกินไปจากที่

ปรากฏในคำประพนั ธ์ แล้วอยา่ ใหค้ วามเดิมขาดหายไป
๕. พยายามรักษารปู เรื่องของคำประพันธ์นั้น ๆ ไว้ คือ ต้องคำนึงถึงบรรยากาศของเนื้อเร่ืองเดมิ

เช่น ถ้าเปน็ บททแี่ สดงความศักดิส์ ทิ ธิ์ ความรกั ความสวยงาม ความโกรธ ฯลฯ ก็จะตอ้ งให้ขอ้ ความท่ีถอดมาคง
บรรยากาศนน้ั ๆ ไว้เสมอ

๖. ไมค่ วรแปลศัพท์คำต่อคำเรียงกันไป ควรถอดเอาแต่ใจความอยา่ งตรงไปตรงมาเป็นภาษาร้อย
แก้วท่งี ่าย ๆ คำทใ่ี ชเ้ รียกชือ่ หรอื คำสร้อยประกอบชื่อให้ตัดท้ิง ตัวอยา่ ง เช่น ในเร่ืองมหาเวสสนั ดรชาดก ท่ีนาง
มัทรีรำพึงถึงพระโอรสและพระธิดาว่า “โอ้ เจ้าดวงสุริยันจันทรทั้งคู่ของแม่เอ๋ย” เมื่อถอดเป็นร้อยแก้วอาจใช้
คำพูดง่าย ๆ ว่า “โอ้ ลูกรักทั้งสองของแม่” เท่านี้ก็พอแล้ว ไม่จำเป็นต้องถอดว่า “โอ้ เจ้าคือดวงอาทิตย์ดวง
จันทร์คูข่ องแม่” ซึง่ เปน็ การแปลภาษาโดยตรงไมใ่ ช่การแปลความที่ทำใหเ้ ข้าใจง่ายขึ้น

๗. ถ้าแปลความตามบทร้อยกรองมาแล้วทำใหไ้ ด้ประโยคทีซ่ ับซ้อนก็ใหป้ รบั ประโยคท่ีซับซ้อนน้ัน
เป็นประโยคง่าย ๆ คอื ใช้ประโยคความสามญั หลาย ๆ ประโยค

๘. ถา้ ในบทประพนั ธใ์ ชค้ ำสรรพนามบรุ ุษที่ ๑ ท่ี ๒ หรือท่ี ๓ เวลาถอดตอ้ งคงคำสรรพนามนน้ั ไว้
๙. ควรลำดับเนื้อความตามบทประพันธ์เดิม อย่าสลับความเป็นอย่างอื่น เว้นไว้แต่การสลับน้ัน
จะช่วยให้อา่ นเขา้ ใจได้ดขี ้นึ
๑๐. ข้อความใดแปลความแล้วยังไม่เป็นภาษาร้อยแก้วที่ดีก็สามารถขัดเกลาถ้อยคำสำนวนได้
ตามสมควร เน้นอา่ นแลว้ เขา้ ใจง่ายเปน็ ท่ตี ้ัง
11. เมื่อแปลความเสร็จเรยี บรอ้ ยแล้ว ให้อา่ นทบทวนอีกครั้งหนึ่ง เพื่อป้องกันความผดิ พลาด ถือ
เปน็ การตรวจทานไปในตัว

24

แบบฝกึ หดั
แปลความวรรณคดีเรื่อง ลิลิตตะเลงพ่าย

1. ใหน้ กั เรยี นยกบทประพันธท์ ส่ี อดคล้องกับผลการแปลความทีก่ ำหนดให้

...ท้าวนันทบุเรงพระราชทานพระโอวาทแก่พระมหาอุปราชา ก่อนออกเดินทางยกทัพไปตี
กรุงศรีอยธุ ยา ดังนี้

“สงครามความเศกิ ซงึ้ แสนกล จงแจง้ แห่งเหตเุ บือ้ ง โบราณ
จงพอ่ อยา่ ยินยล แต่ตนื้ เปน็ ประโยชน์ยทุ ธการ กล่าวไว้
อย่าลองคะนองตน ตามชอบทำนา เอาใจทหารหาญ เริงร่นื อยนู่ า
การศกึ ลึกเลหพ์ ้ืน ลอ่ เลยี้ วหลอกหลอน” อย่าระคนปนใกล้ เกลอื กกลว้ั ขลาดเขลา

หนึ่งรู้พยุหเศกิ ไสร้ สบสถาน หนึ่งรูบ้ ำเหน็จให้ ขนุ พล
เจนจิตวทิ ยาการ กาจแกล้ว อันสมรรถมือผจญ จดื เสยี้ น
รเู้ ชงิ พชิ ัยชาญ ชุมคา่ ย ควรนา อย่าหยอ่ นวิริยะยล อย่างเกียจ
อาจจกั รอนรณแผ้ว แผกแพ้พงั หนี แปดประการกลเทย้ี ร ถ่องแทท้ างแถลง

การทำศึกสงครามนัน้ เต็มไปดว้ ยไปด้วยเล่ห์กลอุบาย ขอให้เจ้า
๑. อยา่ เปน็ คนหูเบา (............................................................................................................................. .......)
๒. อยา่ ทำอะไรตามใจตนเอง ไมน่ กึ ถึงใจผู้อืน่ (...........................................................................................)
๓. รูจ้ ักเอาใจทหารให้เขาฮึกเหิมอยู่ตลอดเวลา (.........................................................................................)
๔. อย่าไวใ้ จคนขี้ขลาดและคนโง่ (...............................................................................................................)
๕. ควรรอบรู้ในการจัดกระบวนทัพทุกรูปแบบ (.........................................................................................)
๖. รหู้ ลกั การตง้ั คา่ ยตามพชิ ัยสงคราม (......................................................................................................)
๗. รจู้ กั ใหบ้ ำเหน็จความดคี วามชอบแก่แมท่ ัพนายกองทเ่ี ก่งกลา้ สามารถ
(............................................................................................................................. ...............................)
๘. จงขยันหมั่นเพยี ร อยา่ เกียจคร้าน (.......................................................................................................)

25

2. ใหน้ กั เรยี นตอบคำถามจากบทประพนั ธต์ ่อไปนี้

“จอมสยามขามศกึ ไซร้ ไปม่ ี
บานกมลเปรมปรดี ิ์ ปราบเสีย้ น
สองสุรยิ กษตั ริย์ ตรัสต่อ กนั แฮ
หาเลศมลายศกึ เห้ียน หน่ั ห้าวหายคม”

1. คำว่า “สองสุริยกษัตรยิ ”์ หมายถึงใคร............................................................................................................
2. คำวา่ “เสี้ยน” หมายถึงใคร……………………………………………………………………………………………………………..
3. คำว่า “เลศ” หมายถงึ อะไร..............................................................................................................................
4. คำวา่ “เหย้ี น” หมายถึงอะไร……………………………………………………………………………………………………………..
5. ผู้พูดรู้สกึ อยา่ งไร..............................................................................................................................................
6. บทประพนั ธน์ ้ี แปลความได้ว่า..........................................................................................................................
............................................................................................................................................................................ ..
..............................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................. ...........................

“พระเปรมปราโมทย์น้อม วันทนา
พลางพระทรงไอยรา ฤทธแิ์ กลว้
พระคเชนทร์ชอื่ ไชยา- นภุ าพ พน้ แฮ
อาจเข่นคชศกึ แผ้ว แผกแพ้ทุกภาย
เอกิ ฤทธ์ิ
พลายปราบไตรจักรอ้าง ไซร้
อาจปราบคชทุกทิศ วรเสด็จ ทรงนา
เอกาทศรถอศิ - ธิราชเจา้ จอมสยาม”
นำคเชนทเรศไท้

1. สมเด็จพระนเรศวรเสดจ็ ประทับชา้ งทรง ชื่อว่า ................................................................................
2. สมเดจ็ พระเอกาทศรถเสด็จประทับช้างทรง ชื่อว่า ...........................................................................
3. คำท่ีมีความหมายวา่ “ชา้ ง” ในบทประพันธ์ ได้แก่ ...........................................................................
………………………………………………………………………………………………………………………………………………

26

3. ใหน้ ักเรียนแปลความและตอบคำถามจากบทประพันธ์ต่อไปนี้
เมื่อสมเด็จพระนเรศวรมหาราชเจอพระมหาอุปราชาแล้ว จึงกล่าวทักทายพระมหาอุปราชาในเชิง

โน้มน้าวใจให้พระมหาอุปราชาออกมาทำยุทธหัตถีด้วยกัน สิ่งที่เกิดขึ้นแสดงให้เห็นถึงความสามารถทาง
จิตวิทยาและวาทศลิ ป์ของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ดงั น้ี

“อา้ ไทภธู เรศหลา้ แหลง่ ตะเลง โลกฤๅ .………………………………………………………………….
เผยพระยศยนิ เยง ย่านแกล้ว ……………………………………………………………………
สิบทศิ ทว่ั ลอื ละเวง หวน่ั เดช ท่านนา ……………………………………………………………………
ไป่เริ่มรอฤทธิแ์ ผว้ เผือดกล้าแกลนหนี” ……………………………………………………………………

“พระพ่ีพระผู้ผา่ น ภพอุต- ดมเอย .………………………………………………………………….
ไปช่ อบเชษฐ์ยนื หยดุ ร่มไม้ .………………………………………………………………….
เชญิ ราชรว่ มคชยุทธิ์ เผยอเกยี รติ ไวแ้ ฮ .………………………………………………………………….
สืบกว่าสองเราไสร้ สุดสิน้ ฤๅมี” .………………………………………………………………….

“หัสดรี ณเรศอ้าง อวสาน นนี้ า .………………………………………………………………….
นบั อนาคตกาล ห่อนพ้อง .………………………………………………………………….
ขัตติยายทุ ธบ์ รรหาร คชคู่ กนั แฮ .………………………………………………………………….
คงแตเ่ ผือพนี่ ้อง ตราบฟา้ ดินกษัย” .………………………………………………………...……….

“ไวเ้ ป็นมหรสพซ้อง สุขศานติ์ .………………………………………………………………...
สำหรบั ราชสำราญ เริ่มรง้ั .………………………………………………………………...
บำเทงิ หฤทัยบาน ประดยิ ทุ ธ์ นนั้ นา .………………………………………………………………...
เสนอเนตรมนษุ ย์ตัง้ แตห่ ลา้ เลอสรวง” .………………………………………………………………...

27

นอกจากนี้ สมเด็จพระนเรศวรได้ขอทูลเชิญเทวดาและพรหมทั้งปวง มาประชุมเพื่อชมศึกยุทธหัตถี
และทรงอวยพรให้ผู้ที่เชี่ยวชาญกว่าได้รับชัยชนะ หวังจะให้พระเกียรติยศในการรบครั้งนี้ดำรงอยู่ชั่วฟ้าดิน
เป็นทย่ี กยอ่ งสรรเสริญตลอดไป

1.1 ลีลาวาทศิลปข์ องสมเด็จพระนเรศวร ลำ้ เลศิ อย่างไร ……………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..

๑.2 สมเด็จพระนเรศวรมหาราชกล่าวเชญิ ดว้ ยความนอบน้อม โดยใชค้ ำเรยี กพระมหาอุปราชาว่าอะไร
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..

๑.3 วาทศลิ ป์ของสมเดจ็ พระนเรศวร ส่งผลอย่างไร พิจารณาจากบทบทประพันธ์ ต่อไปน้ี

“ดำเนินพจน์พากย์พร้อง พรรณนา ............................................................................
............................................................................
องคอ์ ัครอุปราชา ทา่ นแจ้ง ............................................................................
............................................................................
กอบเกิดขตั ติยมา- นะนกึ หาญเฮย

ขบั คชเข้ายุทธ์แยง้ ดว่ นด้วยโดยถวลิ ”

2. ให้นกั เรยี นอ่านบทประพันธต์ อ่ ไปนี้ แล้วพจิ ารณาผลการแปลความด้านลา่ ง โดยเขียนเลข 1-8 ตาม
หลายเลขบาทให้สอดคล้องกับบทประพนั ธ์

1. “สองโจมสองจจู่ ว้ ง บำรู
2. สองขัตตยิ สองขอชู เชดิ ด้ำ
3. กระลึงกระลอกดู ไววอ่ ง นกั นา
4. ควาญขับคชแข่งคำ้ เขน่ เขย้ี วในสนาม
5. งามสองสุรยิ ราชลำ้ เลอพศิ นาพ่อ
6. พ่างพชั รินทรไพจิตร ศกึ สร้าง
7. ฤๅรามเรม่ิ รณฤทธ์ิ รบราพณ์ แลฤๅ
8. ทกุ เทศทกุ ทิศอา้ ง อ่นื ไท้ไป่เทยี ม”

• บาทท.่ี .............. แปลความได้ว่า “ประหน่งึ พระอินทรก์ บั ท้าวไพจิตราสูรทำสงครามกนั ”
• บาทท่ี............... แปลความได้ว่า “กวดั ไกวอาวุธอย่างคล่องแคลว่ รุกรบั อยา่ งว่องไว และแรงยง่ิ นัก”
• บาทท.ี่ .............. แปลความได้วา่ “สงครามสองกษตั ริยช์ า่ งยิ่งใหญ่และงามเลศิ ล้ำยงิ่ นัก”
• บาทที่............... แปลความได้วา่ “ควาญกไ็ สช้างใหส้ ู้กันในสนามอยา่ งดเุ ดอื ด”
• บาทที่............... แปลความไดว้ ่า “ซ่งึ ไม่มกี ษัตรยิ ใ์ ดทจี่ ะเทียบเทยี มได้”
• บาทที่............... แปลความไดว้ ่า “หรือไม่กเ็ หมือนสงครามระหว่างพระรามกับทศกัณฑ์”
• บาทท.่ี .............. แปลความได้วา่ “สองกษัตริย์ยกของ้าวชูขึ้นสู้ ขยบั พระแสงของ้าวกลบั ไปกลับมา”
• บาทท่.ี .............. แปลความไดว้ า่ “กษตั ริย์ท้ังสองพระองค์ ทรงต่อสูก้ นั อยา่ งเต็มกำลังความสามารถ”

28

3. ให้นกั เรยี นแปลความและตอบคำถามจากบทประพนั ธ์ตอ่ ไปน้ี

ตวั อย่าง สมเด็จพระนเรศวรทรงสามารถต้านทาน
การรุกรานของพระมหาอุปราชาไว้ได้ ขณะที่รบกันตัว
“ขุนเสียมสามรรถต้าน ขนุ ตะเลง ต่อตัวนั้นไม่มีฝ่ายใดเกรงกลัวหรือออมฝีมือแก่กันเลย
ลักษณะการไกวกวัดพระแสงของ้าว ทำให้การสู้รบบน
ขุนต่อขุนไป่เยง หย่อนหา้ ว หลังช้างของแตล่ ะพระองคม์ ีความงดงามอยา่ งย่งิ

ยอหตั ถเ์ ทิดลบองเลบง องั กุศ ไกวแฮ

งามเร่งงามโทท้าว ทา่ นสู้ศึกสาร”

1. การใช้คำวา่ “ขุน” กบั กษัตรยิ ์ทงั้ สองจากบทประพันธ์ข้างตน้ สือ่ ถึงอะไร
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
2. บทประพันธ์ขา้ งตน้ ตวั ละครรสู้ กึ อยา่ งไร
………………………………………………………………………………………………………………………………………………

“เบื้องนัน้ นฤนาถผู้ สยามมินทร์ ………………………………………………………………
เบีย่ งพระมาลาผนิ ห่อนพ้อง ……………………………………………………………………………
ศัสตราวุธอรินทร์ ฤๅถูก องคเ์ อย ……………………………………………………………………………
เพราะพระหัตถ์หากป้อง ปัดดว้ ยขอทรง” ……………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………

1. คำวา่ “นฤนาถ” ในบทประพันธ์ข้างต้น หมายถึงใคร………………………………………………………………
2. คำว่า “อรนิ ทร์” ในบทประพนั ธข์ า้ งตน้ หมายถึงใคร.......................................................................

“บดั มงคลพ่าห์ไท้ ทวารัติ ………………………………………………………………
แวง้ เหวยี่ งเบ่ียงเศยี รสะบัด ตกใต้ ……………………………………………………………………………
อุกคลุกพลกุ เงยงดั คอคช เศิกแฮ ……………………………………………………………………………
เบนบ่ายหงายแหงนให้ ท่วงทอ้ ทีถอย” ……………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………

1. คำว่า “แวง้ เหวี่ยง” ให้ความหมายอะไร……………………………………………………………………………….
2. คำวา่ “อกุ คลุก” ให้ความหมายอะไร…………………………………………………………………………………..

29

“พลอยพลำ้ เพลยี กถา้ ท่าน ในรณ ………………………………………………………………
……………………………………………………………………………
บดั ราชฟาดแสงพล- พา่ ยฟ้อน ……………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………
พระเดชพระแสดงดล เผด็จคู่ เข็ญแฮ ……………………………………………………………………………

ถนดั พระอังสางข้อน ขาดดา้ วโดยขวา”

1. ชา้ งทรงของกษัตริย์องคใ์ ดเสียจงั หวะเพลย้ี งพล้ำใหฝ้ ่ายศตั ร.ู ............................................................
2. คำวา่ “แสงพล” หมายถึงอาวุธชนดิ ใด…………………………………………………………………………………
3. คำวา่ “พระองั สา” หมายถึงอะไร………………………………………………………………………………………….

“อรุ ารานรา้ วแยก ยลสยบ ………………………………………………………………
เอนพระองคล์ งทบ ท่าวดน้ิ ……………………………………………………………………………
เหนือคอคชซอนซบ สงั เวช ……………………………………………………………………………
วายชิวาตม์สิ้นสดุ สู่ฟา้ เสวยสวรรค์” ……………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………

1. คำวา่ “อรุ า” หมายถึงอะไร...............................................................................................................
2. บทประพนั ธ์ขา้ งตน้ ให้ความร้สู ึกอย่างไร...........................................................................................
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..

30

คำชแ้ี จง : ให้นกั เรยี นโยงเส้นจับคบู่ ทประพนั ธก์ ับผลการแปลความตอ่ ไปนใี้ ห้ถูกตอ้ ง

“ดูผดิ ไป่รกั ทา้ ว ไปเ่ กรง เมื่อครั้งสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า (พระ
แผกระบอบแต่เพรง หอ่ นพ้อง ตรีโลกนาถ) ทรงชนะพระยามารลำพังพระองค์เอง
พระเดชหากแสดงเอง อำนาจ พระนา เช่นเดียวกับสมเด็จพระนเรศวรและพระเอกาทศรถ
เสนอทกุ ทวยธเรศกอ้ ง เกียรตอิ ้างอัศจรรย์” เสด็จไปปราบอริราชศัตรูจนแพ้พ่ายโดยปราศจากไพร่
พล พระเกียรติยศจงึ เลอื่ งลือกกึ ก้องไปท่วั ทกุ แหง่ หน

“พระตรีโลกนาถแผ้ว เผด็จมาร นา่ จะผดิ แปลกไปจากเดิมทวี่ ่าข้าราชบริพาร
เฉกพระราชสมภาร พี่น้อง จะไม่จงรักภักดี การที่แม่ทัพนายกองตามเสด็จไม่ทัน
เสดจ็ ไรพ้ ริ ิยะราญ อรินาศ ลงนา ทำให้ชัยชนะของพระองค์ยิ่งใหญ่และน่าสรรเสริญมาก
เสนอพระยศย่งิ ยินกอ้ ง เกียรตทิ า้ วทุกภาย” ขน้ึ เพราะแสดงวา่ สามารถชนะศึกไดต้ ามลำพังหรือดว้ ย
พระปรชี าสามารถของพระองคเ์ อง

“ผวิ หลายพยหุ ยุทธร์ า้ โรมรอน ขอพระองค์ทั้งสองอย่าได้โทมนัสน้อย
ชนะอมิตรมวลมอญ มัว่ มล้าง พระทัย ทั้งนี้เพราะบุญบารมีของทั้งสองพระองค์
พระเดชบ่ดาลขจร เจรญิ ฤทธ์ิ พระนา ทวยเทพทง้ั หลายจึงบนั ดาลให้เป็นไปดังนน้ั ขอทงั้
ไปท่ัวธเรศออกอ้าง เอกิ ฟา้ ดนิ ไหว” สองพระองค์ อย่าไดท้ รงขนุ่ แค้นพระทยั

“อยา่ ไทโทมนัสน้อย หฤทยา หากมีทหารล้อมจำนวนมากแล้ว
เอาชนะได้ พระเกียรติยศก็ไม่ฟุ้งเฟื่องเพิ่มพูน
เพอ่ื พระราชกฤษฏา แต่ก้ี และกษัตริย์ทั้งหลายก็จะไมพ่ ากันออกพระนาม
เอกิ เกริกกันเชน่ นี้
ทกุ ทวยเทพคณา ซมุ ซ่วย พระเอย

แสดงพระเดโชชี้ ชเยศไวใ้ นสนาม”

คำถามชวนคิด
1. สมเด็จพระวนั รัต คือ ...........................................................................................................
………………………………………………………………………………………………………………………………….
2. วาทศิลปข์ องสมเด็จพระวนั รัต ลำ้ เลิศอย่างไร
………………………………………………..…………………………………………………………………………….….
………………………………………………………………………………………………………………………..………..

3. วาทศิลป์ของสมเด็จพระวนั รัต ส่งผลอย่างไร
................................................................................................................................................................
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
4. นกั เรยี นเหน็ ด้วยหรอื ไมใ่ นสิ่งที่สมเดจ็ พระวนั รตั กลา่ วกับสมเดจ็ พระนเรศวรมหาราช เพราะเหตใุ ด
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………..............

31

แบบฝกึ หดั
แปลความวรรณคดเี รื่อง ลลิ ิตตะเลง

พา่ ย

1. คำท่ีขีดเส้นใตห้ มายถึงใคร

ก. สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ข. สมเดจ็ พระเอกาทศรถ ค. พระมหาอุปราชา

ง. พระเจ้าหงสาวดนี นั ทบเุ รง จ. สมเด็จพระวนั รัต ฉ. ไชยานุภาพและปราบไตรจักร

ช. สมเด็จพระนเรศวรและพระมหาอปุ ราชา ซ. สมเด็จพระนเรศวรและสมเดจ็ พระเอกาทศรถ

1. .................. จงจำคำพอ่ ไซร้ สง่ั สอน จงประสิทธิ์สมพร พอ่ ให้ จงเรืองพระฤทธิร์ อน อริราช
2. .................. พระพลนั เหน็ เหตไุ ซร้ เสยี งดวง แดเฮย ถนัดดงั่ ภูผาหลวง ตกตอ้ ง
3. .................. อ้าจอมจักรพรรดผิ ู้ เพ็ญยศ แม้พระเสียเอารส แก่เสย้ี น จกั เจบ็ อรุ ะระทด ทุกข์ใหญ่ หลวงนา
4. .................. ปางนน้ั นฤเบศเบ้ือง บูรพา ภพแฮ เฉลิมพภิ พอโยธยา ยิง่ ผู้
5. .................. สองสุริยกษัตริย์ ตรสั ตอ่ กนั แฮ หาเลศมลายศกึ เหีย้ น หั่นหา้ วหายคม
6. .................. พระราชทานโทษทัง้ ผอง โดยอันครองยศ บรรหารพจนพาที ซงึ่ เจา้ ชีขานขอ ข้อยยกยอโทษให้
7. .................. เชญิ ราชรว่ มคชยทุ ธ์ิ เผยยอเกียรติ ไว้แฮ สบื กว่าสองเราไสร้ สดุ สิน้ ฤๅมี
8. ................ อรุ ารานรา้ วแยก ยลสยบ เอนพระองค์ลงทบ ท่าวด้ิน เหนือคอคชซอนซบ สังเวช
9. ................ ฝา่ ยองค์อศิ วรนาถน้อง นฤบาล แสดงยศคชยุทธยาน ยาตรเตา้
10. ................ งามสองสุริยราชลำ้ เลอพศิ นาพ่อ พา่ งพัชรนิ ทรไพจติ ร ศึกสร้าง ฤๅรามเร่ิมรณฤทธ์ิ รบราพณ์ แลฤๅ
11. ................ ขุนเสยี มสามรรถต้าน ขนุ ตะเลง ขุนต่อขนุ ไปเ่ ยง หย่อนหา้ ว
12. ................ ธ กบ็ ัญชาพภิ าษ วา่ นครรามินทร์ ผลัดแผน่ ดินเปล่ียนราช เยียวววิ าทชงิ ฉัตร เพอ่ื กษตั รยิ ์สองสู้
13. ................ นฤบดโี ถมถบี สู้ ศกึ ธาร ฟอนฟาดสงุ สุมาร มอดมว้ ย สายสนิ ธุ์ซง่ึ นองพนานต์ หายเหอื ด แห้งแฮ

2. ให้นกั เรียนรวบรวมคำศพั ทท์ ่ีมีความหมายเหมือนกันตามหมวดหม่ตู ่อไปนี้

คำท่ี ความหมาย คำศัพท์
1. พระเจ้าแผ่นดนิ
2. การตอ่ สู้
3. ศัตรู
4. ชา้ ง
5. มา้
6. จระเข้
7. น้ำ
8. ช่ืออาวธุ ตา่ ง ๆ

32

หลักการวิเคราะห์คณุ คา่ วรรณคดี

การวเิ คราะห์คณุ คา่ วรรณคดีโดยทัว่ ไปจะพจิ ารณาประเด็นการวเิ คราะห์ 4 ดา้ น คือ ด้านเนอ้ื หา ดา้ น
วรรณศลิ ป์ ด้านสังคม และข้อคิดเพี่อนำไปประยุกตใ์ ชใ้ นชีวติ ประจำวัน ดงั นี้

การวิเคราะห์คณุ คา่ ด้านเนื้อหา

การวิเคราะห์คุณค่าด้านเนื้อหา ผู้อ่านต้องทำความเข้าใจบทประพันธ์ตลอดทั้งเรื่องและ
จนิ ตนาการขน้ึ ในใจเพอ่ื จะได้เขา้ ใจสารท่ีกวีต้องการสือ่ โดยศกึ ษาดังน้ี

๑. วิเคราะห์สาระสำคัญและองค์ประกอบของเรื่อง เมื่ออ่านบทประพันธ์แล้วผู้ศึกษาควรจับ
สาระสำคัญของเรื่อง ตัวละครในเรื่อง ฉากและบรรยากาศในเรื่องให้ได้ว่ามีลักษณะแปลกใหม่หรือความ
นา่ สนใจอย่างไร

๒. วิเคราะห์การวางโครงเรื่องและการลำดับความในเรื่อง ผู้อ่านต้องวิเคราะห์ให้ได้ว่ากวีวาง
โครงเร่ืองในลกั ษณะใด มองหาปมของเรื่อง เร่ิมจากปัญหาที่ปรากฏจนกระทงั่ ถึงการคลี่คลายปัญหา

๓. วิเคราะห์กลวิธีการประพันธ์ คือ การพิจารณาเรื่องกลวิธีต่าง ๆ ที่ผู้แต่งนำมาใช้ในการ
ประพันธ์ เพื่อช่วยให้งานประพันธ์มีคุณค่าน่าสนใจ ชวนให้ผู้อ่านติดตามหรือเกิดความประทับใจ ในการ
วิเคราะห์คุณค่าด้านเนื้อหาน้ี ผู้อ่านตอ้ งเข้าใจกลวธิ ใี นการนำเสนอ

การวิเคราะห์กลวิธีการนำเสนอ คือ การพิจารณาว่ากวีใช้วิธีการใดที่ทำให้งานเขียนมีความ
น่าสนใจ น่าติดตาม หรือน่าประทับใจ เช่น เสนออย่างตรงไปตรงมาทำให้ผู้อ่านจับความงา่ ย เสนอด้วยให้
ผ้อู ่านตคี วาม เสนอดว้ ยวิธีการใชภ้ าพพจนเ์ หนอื จรงิ

การวิเคราะหค์ ณุ ค่าดา้ นวรรณศิลป์

วรรณคดีที่ได้รับยกย่องว่าแต่งดี ต้องมีกลวิธีการประพันธ์ที่ดีเยี่ยม และให้คำเหมาะสมกับลักษณะ
หน้าท่ีของคำ ถูกตอ้ งตรงความหมาย เหมาะสมกบั เน้ือเร่ืองและมีเสยี งเสนาะ ซงึ่ ผอู้ ่านจะเกิดจินตนาการตาม
เนื้อเรื่องได้ จะต้องเข้าใจสำนวนโวหารและภาพพจน์ เสมือนได้ยินเสียง และเห็นภาพจนเกิดอารมณ์และ
ความรสู้ ึกคล้อยตาม ประเดน็ การวเิ คราะห์คุณคา่ ดา้ นวรรณศลิ ป์ มีดงั น้ี

๑ การใช้โวหาร
๑.1 บรรยายโวหาร เป็นการเล่าเรื่อง เล่าเหตุการณ์ที่มีเวลาสถานที่ ซึ่งแสดงให้เห็น

ความสัมพันธ์ต่อเนื่องกัน การบรรยายมีจุดมุ่งหมายให้ผู้อ่านเข้าใจว่าเรื่องราวนั้น ๆ เกิดขึ้นและดำเนินไป
อยา่ งไร เรื่องราวดังกลา่ วอาจเกิดข้นึ จรงิ หรือเปน็ เรื่องท่เี กดิ จากจินตนาการของกวกี ็ได้

๑.2 พรรณนาโวหาร เป็นการให้รายละเอียดของเรื่องราว เพื่อให้ผู้อ่านเห็นสภาพหรือ
ลักษณะที่ละเอียดลออและพรรณนาความรู้สึกกระทบอารมณ์ความรู้สึกของผู้อ่าน ทั้งนี้การพรรณนาทำให้
ผูอ้ า่ นผฟู้ ังมองเห็นภาพ การพรรณนาจงึ มกั แทรกอย่ใู นการเล่าเรื่องหรือการบรรยาย

๑.๓ เทศนาโวหาร คอื โวหารทมี่ ่งุ ในการส่ังสอน โน้มนา้ วจิตใจผู้อ่านใหค้ ล้อยตาม
๑.๔ สาธกโวหาร คือ โวหารที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้เกิดความชัดเจนด้วยการยกตัวอย่าง
ประกอบ เพอ่ื อธบิ ายสนบั สนุนความคดิ เหน็ ให้น่าเชื่อถอื
๑.๕ อุปมาโวหาร คอื โวหารเปรยี บเทยี บส่ิงหนึ่งกบั อีกส่งิ หน่ึง เพือ่ ใหผ้ ู้อ่านเข้าใจมากข้ึน

33

๒. การใชภ้ าพพจน์
การใช้ภาพพจน์ เป็นการพลิกแพลงภาษาให้แปลกออกไปกว่าที่เป็นอยู่ปกติ ทำให้เกิดรส

กระทบความรู้สึกและอารมณ์ต่างกบั ภาษาทีใ่ ชอ้ ย่างตรงไปตรงมา ดงั นี้
๒.๑ อปุ มา คอื การเปรียบเทยี บส่ิงหนงึ่ คลา้ ยหรือเหมือนกับอีกส่ิงหน่ึง โดยมคี ำแสดงความ

เปรยี บ เช่น เปรยี บ ประดจุ ดุจ ด่ัง เหมือน ราวกบั ราว เพียง เพ้ียง ประหน่งึ คล้าย ฯลฯ ดังตวั อยา่ ง

“พระพลนั เหน็ เหตุไซร้ เสยี งดวง แดเฮย

ถนัดดั่งภผู าหลวง ตกต้อง”

(ลิลติ ตะเลงพา่ ย : สมเดจ็ พระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานชุ ติ ชโิ นรส)

๒.๒ อุปลักษณ์ คือ การเปรียบสิ่งหนึ่งเป็นอีกสิ่งหนึ่ง ซึ่งแตกต่างจากการอุปมา โดย
อุปลักษณม์ ักใชค้ ำวา่ เป็น และ คอื เท่านนั้ ในการเปรยี บเทียบ หรือบางครั้งกไ็ ม่มคี ำเปรียบใช้ เชน่

- มีคำเชอ่ื ม

“มันกเ็ ป็นช้างงาอนั กล้าหาญ เรากเ็ ป็นช้างสารอันสงู ใหญ่

จะอยู่ปา่ เดยี วกนั นั้นฉนั ใด นานไปกจ็ ะยบั อัปมาน”

(ขุนชา้ งขุนแผน : รัชกาลท่ี 2)

- ไมม่ คี ำเชื่อม

“จึง่ ตรสั วา่ เจ้าดวงมณฑาทองท้ังคู่ของแม่เอย๋ หรือว่าเจ้าท้งิ ขว้างวางจติ

ไปเกดิ อน่ื เหมือนแม่ฝันเมอื่ คนื น้ี แลว้ แล..” (เจ้าดวงมณฑาทองทง้ั คู่ หมายถึง ลูก 2 คน)

(มหาเวสสนั ดรชาดก กัณฑม์ ัทรี : เจา้ พระยาพระคลัง)

๒.3 อติพจน์ คือ การใช้ถ้อยคำที่กล่าวผิดไปจากความเป็นจริง โดยกล่าวถึงสิ่งหนึ่ง
เปรียบเทยี บกบั สิง่ ที่ดเู กินมากกว่าความจริง ดังตวั อยา่ ง

“รถเอยรถที่นง่ั บษุ บกบัลลงั กต์ ง้ั ตระหงา่ น
กว้างยาวใหญเ่ ทา่ เขาจักรวาล ยอดเยีย่ มเทียมวมิ านเมอื งแมน”

(รามเกียรติ์ : รชั กาลท่ี 2)

๒.4 บุคคลวตั คือ การกลา่ วถึงส่งิ ท่ีไมม่ ชี ีวิตจติ ใจให้มกี ารกระทำเหมือนมนษุ ย์ ดังตัวอย่าง

“โลกธาตุสะท้อนสะเทือนเหมอื นรับรู้ ครำ่ ครวญอยู่หวั่นไหวไมข่ าดสาย

ปฐพีรำ่ ไห้ไมเ่ ว้นวาย เดอื นดาวรายรว่ งฟา้ ร่วมอาลัย”

(สง่ เสด็จ : ยุทธ โตอดิเทพย)์

๒.5 สทั พจน์ คอื การใช้คำเลียนเสยี งธรรมชาติ ดงั ตวั อย่าง

“เสียงป่ีรีเ่ รอื่ ยเพยี ง การเวก

แตร้นแตร่นแตรฝร่งั ข้ึน หวหู่ วู้เสยี งสังข์”

(กาพย์หอ่ โคลงประพาสธารทองแดง : เจ้าฟา้ ธรรมาธิเบศร)

34
2.6 ปฏิพากษ์ หมายถงึ การใชถ้ ้อยคำที่ตรงกนั ข้ามหรือขดั แย้งกนั มาเปรียบเทียบกัน เชน่

รกั ก่อววิ าทกัน !โอ้ความชงั อนั น่ารกั ! (ศัตรูทีร่ ัก)
โลกมนษุ ย์ยงั มสี ีดำขาว มดี นิ ดาวรอ้ นเย็นและเหมน็ หอม

โอ้ความเบาแสนหนัก !ความป้ออนั งึมงมั !
ขนนกหนัก !ควันผอ่ งพรรณ ! ไฟเยน็ , อกี ไข้สุขา !

ต่นื อยแู่ ตห่ ลับในนี่ไมเ่ ปน็ เชน่ เห็นนา !
(โรเมโอแอนจูเลียต : รชั กาลท่ี 6)

๒.7 สัญลักษณ์ คือ การเปรียบเทียบสิ่งหนึ่งแทนอีกสิ่งหนึ่ง โดยไม่มีคำแสดงความเปรียบ
ผ้อู า่ นต้องเกิดการตคี วาม ความหมายทไี่ ด้ตอ้ งเป็นที่เขา้ ใจและยอมรับกนั ในวงกว้าง ดงั ตวั อย่าง

“อยา่ เอ้ือมเดด็ ดอกฟา้ มาถนอม

สงู สดุ มอื มกั ตรอม อกไข้

เดด็ แต่ดอกพยอม ยามยาก ชมนา

สงู กส็ อยด้วยไม้ อาจเอ้ือมเอาถงึ ”

(โคลงโลกนิติ : สมเด็จกรมพระยาเดชาดศิ ร)

ดอกฟ้า หมายถึง ผ้หู ญิงสูงศักดิ์ ส่วน ดอกผยอม หมายถงึ ผู้หญงิ สามัญชน

2.8 นามนัย เป็นการใชค้ ำใหม่เพื่อเลี่ยงการใช้คำเดิม ๆ ที่เคยใช้ประจำอยูแ่ ล้ว เช่น ภูเกต็
(ไขม่ กุ อันดามัน) ราชบุรี (เมืองโอง่ ) วงการนกั เขยี น (วงการน้ำหมึก) คนสนิท (มือขวา) ดงั ตัวอยา่ ง

“พลิกประวตั ศิ าสตรท์ า่ ม ข้ามทุรยคุ สยู่ ุคใหม่

คอื ‘ราษฎร์บรุ ษุ ’ ลอื ผถู้ ือธรรมอันอำไพ

ส่องปลายดา้ มขวานให้ ใสสวา่ งกระจา่ งจินต์

มิใช่ ‘กบฏบรุ ษุ ’ ผฉู้ ดุ รง้ั ดั่งกังฉนิ ”

(รหสั นัยแห่ง “ปตั ตาน”ี : ปยิ ะโชติ อินทรนวิ าส)

กวีใช้คำว่า “ปลายดา้ มขวาน” แทนคำวา่ ดนิ แดน 3 จังหวดั ชายแดนภาคใต้

๓. การสรรคำ
การสรรคำ คือ การเลือกใช้คำให้สื่อถึงความคิด ความเข้าใจ ความรู้สึก และอารมณ์ได้อย่าง

งดงาม กลวิธกี ารสรรคำทก่ี วีนิยมใช้ ได้แก่
3.1 การเลือกใช้คำให้เหมาะสมกับประเภทของคำประพันธ์ โดยเฉพาะในบทร้อยกรอง

ผู้แต่งจะต้องรู้จักเลือกใช้คำ เรียบเรียงถ้อยให้ไพเราะ สละสลวย เหมาะสมกับชนิดของคำประพันธ์ เช่น
การแต่งโคลงหรือร่ายจะนิยมใช้คำที่มีศักดิ์คำสูงหรือคำโบราณ การแต่งฉันท์จะนิยมใช้คำที่มาจากภาษาบาลี-
สนั สกฤต สว่ นการแตง่ กาพยแ์ ละกลอนจะนิยมใชค้ ำธรรมดา คำท่ีเรยี บงา่ ย เขา้ ใจง่าย เป็นตน้

35

3.2 การเลน่ คำ คือ การสรรคำมาเรียงรอ้ ยในคำประพันธ์ โดยพลกิ แพลงใหเ้ กดิ ความหมาย
พิเศษและแปลกออกไปจากที่ใช้กนั อยู่ เพอื่ แสดงความสามารถของกวี การเล่นคำมีดังนี้

3.2.1 การเล่นคำพอ้ ง คอื การนำคำพ้องมาใชค้ กู่ นั ใหเ้ กดิ ความหมายท่ีสัมพนั ธก์ นั เช่น

"แขกเตา้ จับเตา่ ร้าง เหมอื นพี่รา้ งหา่ งหอ้ งมารศรี
เบญจวรรณจบั วลั ย์มาลี เหมือนวนั เจา้ วอนพใ่ี หต้ ามกวาง”

(บทละครเรอื่ ง รามเกยี รต์ิ : รชั กาลท่ี 1)

กวีเล่นคำที่มีเสียง "วัน" ๓ คำ คือ (เบญจ) วรรณ-วัลย์-วัน โดยนำมาใช้ให้มีความหมาย
สมั พนั ธ์กนั ได้อยา่ งกลมกลืน นอกจากคำพ้องเสียงดังข้างต้นแลว้ นัน้ ยังมคี ำพ้องรปู อีก เช่น

"เหน็ รอหกั เหมือนหน่งึ รกั พรี่ อรา แตร่ อทา่ ร้งั ทุกข์มาตามทาง"
(นริ าศพระบาท : สนุ ทรภู่)

รอ คำแรก คือ หลักปักกั้นกระแสน้ำ ส่วน "รอ" ในคำว่า "รอรา" คือหยุด และในคำว่า
"รอท่า" หมายถึง คอย

3.2.2 การเล่นคำซ้ำ การเล่นคำซ้ำ คือ การนำคำคำเดียวมาใช้ซ้ำ ๆ ในที่ใกล้ ๆ กัน
เพอ่ื ยำ้ ความหมายของขอ้ ความให้หนักแนน่ มากยิ่งขนึ้ เชน่

- การเลน่ คำซ้ำในวรรคเดียวกนั

“เรือ่ ยเรือ่ ยมาเรยี งเรยี ง นกบินเฉยี งไปทั้งหมู่

ตัวเดยี วมาไรค้ ู่ เหมอื นพ่ีอย่เู พียงเอกา”

(เหมอื นไมเ่ คย : หยาด นภาลยั )

- การเล่นคำซำ้ เดยี วกนั ในต้นวรรค

“เสยี งสรวลระรน่ี ้ี เสยี งใด
เสียงนชุ พี่ฤๅใคร ใคร่รู้
เสียงสรวลเสยี งทรามวัย นุชพ่ี มาแม่
เสียงบงั อรสมรผู้ อืน่ น้ันฤๅมี”

(กาพยเ์ ห่เรอื : เจา้ ฟา้ ธรรมธเิ บศร)

3.2.3 การเล่นคำเชิงถาม (การใช้คำถามเชิงวาทศิลป์) คือ การเรียงถ้อยคำให้เป็น
ประโยคเชิงถาม แต่เจตนาที่แท้จริงไม่ได้ถาม เพราะไม่ต้องการคำตอบ แต่ต้องการเน้นให้ข้อความมีน้ำหนัก
ดึงดดู ความสนใจและใหผ้ ู้ฟงั คิดตาม บางทา่ นอาจเรยี กวา่ การใช้คำถามเชิงวาทศิลป์ เชน่

“กระนี้หรอื พระบดิ ามินา่ หนี ทงั้ ทว่ งทไี มส่ ุภาพทำหยาบหยาม”
“ยกั ขิณีผีสางหรอื อย่างไร มาพาไปไม่เกรงขม่ เหงกู”

36

3.2.4 การใช้คำอัพภาส คือ การซ้ำเสียง ได้แก่ พยัญชนะต้นและเสียงสระอะลงหน้า
คำศพั ท์ ทำใหเ้ กดิ ความไพเราะ ดังตัวอยา่ ง

“...สาดปืนไฟยะแยง้ แผลงปนื พิษยะยุ่ง พุ่งหอกใหญค่ ะคว้าง ขวา้ งหอกซดั คะไขว่
ไล่คะคลกุ บุกบนั เง้อื ดาบฟนั ฉะฉาด งา่ งา้ วฟาดฉะฉบั ...”

(ลลิ ิตตะเลงพ่าย : สมเดจ็ พระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชโิ นรส)

3.3 การเล่นเสียง คือ การเลือกสรรคำที่มีเสียงสัมผัสกัน ได้แก่ การเล่นเสียงอักษร เสียง

สระ และเสียงวรรณยุกต์ เพื่อเพ่มิ ความไพเราะและแสดงความสามารถของกวีที่แมจ้ ะเล่นเสยี งของคำแต่ยังคง

ความหมายไวไ้ ด้ ดังบทประพันธ์

“เสนาสสู ู่สู้ ศรแผลง

ยงิ่ คา่ ยหลายเมืองแยง แย่งแย้ง

รุกร้นรน่ รนแรง ฤทธ์ิรีบ

ลวงล่วงล้วงวงั แลว้ รวบเร้าเอามา”

(โคลงกลบทอักษรสามหมู่ : ตรีเพชรประดบั )

๓.3.๑ การเล่นเสียงอักษร คือ การใช้คำที่มีเสียงพยัญชนะเดียวกันหลาย ๆ
พยางคต์ ดิ กัน เพือ่ ความไพเราะ จากบทประพันธด์ งั นี้ รกุ -รน้ -รน่ -รน-แรง-ฤทธิ์-รบี เปน็ เสียง /ร/

๓.3.๒ การเล่นเสียงสระ คือ การใชส้ มั ผัสสระท่ีมเี สยี งตรงกนั ถ้ามตี วั สะกดก็ต้อง
เปน็ ตวั สะกดในมาตราเดยี วกัน แม้จะใชพ้ ยัญชนะมาใช้เล่นสมั ผสั เสยี งสระอกี สู-สู่-สู้, คา่ ย-หลาย

๓.3.๓ การเล่นเสียงวรรณยุกต์ คือ การใช้คำที่ไล่ระดับเสียง ๒ หรือ ๓ ระดับ
เป็นชุด ๆ เชน่ ลวง-ล่วง-ลว้ ง

3.4 จินตภาพ คือ การใช้คำเพื่อให้เกิดภาพในความคิดหรือจินตนาการ ในวรรณคดีไทยมี
จนิ ตภาพอย่ดู ้วยกนั ๓ ดา้ น ไดแ้ ก่

3.4.๑ ด้านภาพ คอื การใช้คำเพ่ือสอ่ื ใหเ้ ห็นถงึ รูปรา่ ง ลักษณะ แสงสี เชน่

“สามยอดตลอดระยะระยบั วะวะวับสลับพรรณ
ชอ่ ฟา้ ตระการกลจะหยนั จะเยาะยั่วทิฆมั พร”
(สามคั คเี ภทคำฉนั ท์ : ชิต บุรทัต)

3.4.๒ ด้านเสยี ง คอื การใชค้ ำเพื่อสอ่ื ใหเ้ กิดเสียงตา่ ง ๆ เชน่ เสยี งดนตรี เสยี งสัตว์

“ประจวบจนสุริยนเยน็ พยับ ไมไ่ ดศ้ พั ทเ์ ซง็ แซด่ ้วยแตรสงั ข์

ปร่ี ะนาดฆอ้ งกลองประโคมดัง ระฆังหงัง่ หง่ังหง่างลงครางครมึ ”

(นิราศพระบาท : สุนทรภู่)

๓.4.3 ดา้ นการเคลือ่ นไหว หรอื เรียกอกี อยา่ งว่า “นาฏการ” คอื การใช้คำเพื่อสื่อ
ใหเ้ ห็นถงึ ความเคล่ือนไหวของสิ่งตา่ ง เชน่ ความเคลอ่ื นไหวของสัตว์ ความเคลื่อนไหวของเรือ เชน่

37

“เรือชัยไววองวง่ิ รวดเร็วจริงย่งิ อยา่ งลม
เสียงเสา้ เร้าระดม หม่ ทา้ ยเยนิ่ เดินคูก่ นั ”

(กาพย์เห่เรอื : เจา้ ฟ้ากุ้ง)

4. รสวรรณคดี
รสวรรณคดี หมายถึง รสของความไพเราะในการใช้ถ้อยคำให้เกิดความงดงามและเกิด

อารมณค์ ลอ้ ยตาม รสวรรณคดีไทยแบง่ ได้ 4 รส ไดแ้ ก่
4.1 เสาวรจนยี ์ (บทชมโฉม) คอื การเลา่ ชมความงามของตัวละครในเรื่อง อาจเป็นตัว

ละครที่เป็นมนุษย์ อมนุษย์ หรือสัตว์ ซึ่งการชมนี้อาจจะเป็นการชมความเก่งกล้าของกษัตริย์ ความงามของ
ปราสาทราชวงั หรอื ความเจรญิ ร่งุ เรอื งของบ้านเมอื งกไ็ ด้ เช่น

“งามผิวประไพผ่อง กลทาบศุภาสุพรรณ
งามแก้มแฉล้มฉนั พระอรุณแอร่มละลาน
งามเกศะดำขำ กลน้ำณท้องละหาน
งามเนตรพ์ ินิศปาน สมุ ณมี ะโนหะรา”

(มทั นะพาธา : รชั กาลท่ี 6)

4.2 นารีปราโมทย์ (บทเกี้ยว) คือ การกล่าวแสดงความรัก ทั้งการเกี้ยวพาราสี หรือ
พดู จาโอโ้ ลม (จีบ,หว่านลอ้ ม) ให้อกี ฝ่ายหนงึ่ เกิดความชอบ เช่น

“ถงึ มว้ ยดนิ ส้ินฟ้ามหาสมุทร ไม่ส้ินสุดความรักสมัครสมาน
แมน้ เกิดในใตฟ้ ้าสธุ าธาร ขอพบพานพิศวาสไม่คลาดคลา...
...เจา้ เป็นถ้าอาไพขอใหพ้ ี่ เปน็ ราชสหี ส์ มสเู่ ป็นคสู อง
จะตดิ ตามทรามสงวนนวลละออง เป็นคู่ครองพศิ วาสทกุ ชาตไิ ป”

(พระอภัยมณี : สุนทรภู่)

4.3 พิโรธวาทัง (บทตัดพ้อ) คือ การกล่าวข้อความแสดงอารมณ์ไม่พอใจ ตั้งแต่เรื่อง
เล็กน้อยไปจนถึงเรื่องใหญ่ ตั้งแต่ ไม่พอใจ โกรธ ตัดพ้อ ประชดประชัน กระทบกระเทียบเปรียบเปรย เสียดสี
และดา่ ว่าอย่างรุนแรง เชน่

“…ฟังสารราชเอารส ธก็ผะชดบญั ชา เจ้าอยธุ ยามีบตุ ร ล้วนยงยทุ ธเ์ ชี่ยวชาญ
หาญหักศึกบมยิ ่อ ต่อสู้ศึกบมิหยอน ไปพักวอนวา่ ใช้ แม้นเจา้ ครา้ มเคราะห์กาจ
จงอย่ายาตรยทุ ธนา เอาพัสตราสตรี สวมอนิ ทรยี ส์ รา่ งเคราะห์ ธตรัสเยาะเยี่ยงขลาด
องค์อปุ ราชยนิ สาร แสนอปั ระมาณมาตย์มวล…”

(ลลิ ิตตะเลงพ่าย : สมเด็จพระมหาสมณเจา้ กรมพระปรมานชุ ิตชโิ นรส)

4.4 สัลลาปังคพิไสย (บทเศร้าโศก) คือ การกล่าวข้อความแสดงอารมณ์โศกเศร้า
อาลยั รัก คร่ำครวญ พร่ำเพอ้ และคดิ ถึง เช่น

38

“สายหยุดหยดุ กลิน่ ฟุ้ง ยามสาย

สายบห่ ยดุ เสน่ห์หาย หา่ งเศร้า

กค่ี นื ก่วี นั วาย วางเทวษ ราแม่

ถวลิ ทกุ ขวบคำ่ เชา้ หยดุ ได้ฉันใด”

(ลลิ ิตตะเลงพา่ ย : สมเดจ็ พระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานชุ ติ ชิโนรส)

การวิเคราะห์คณุ คา่ ดา้ นสงั คม

การวิเคราะห์คณุ คา่ ดา้ นสังคม วรรณคดแี ละวรรณกรรมทวั่ ไปผู้แตง่ มักสอดแทรกความรู้ ความคิด และ
อารมณ์ สะท้อนวิถีชีวิต ขนบธรรมเนียมประเพณี ความเชื่อ ค่านิยมของคนในสังคมสมัยนั้น ๆ ผ่านตัวบทใน
วรรณคดี ผู้อ่านจะต้องมีวิจารณญาณในการอ่าน คือ เมื่ออ่านแล้วนำไปคิดพิจารณาความรู้ ความคิด สามารถ
นำไปประยกุ ต์ใช้ในชีวติ ประจำวนั ได้ คณุ ค่าดา้ นสงั คม ได้แก่

๑. คุณค่าที่มีต่อผู้อ่าน คือ การวิเคราะห์ว่า บทประพันธ์นั้น ๆ มีคุณค่าต่อจิตใจ สติปัญญา
และความประพฤตขิ องผู้อ่านอยา่ งไร

๒. คณุ คา่ ที่มีต่อสงั คม คอื การวเิ คราะหว์ ่าบทประพันธ์น้ัน ๆ ช่วยสะท้อนภาพของสังคมได้
ชดั เจนมากน้อยเพียงใด และมีอิทธิพลต่อความเปล่ียนแปลงของสงั คมต้ังแต่อดีตจนถึงปัจจุบนั อย่างไร

การวเิ คราะห์ขอ้ คดิ เพ่ีอนำไปประยกุ ตใ์ ชใ้ นชีวติ ประจำวัน

การอ่านวรรณคดี ผู้อ่านจะได้รับข้อคิดต่าง ๆ ที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้
ไม่ว่าจะเป็นคติธรรม คำสอนต่าง ๆ โดยกวีนำเสนอผ่านฉาก ตัวละคร หรือบทสนทนา อันเป็นลักษณะเฉพาะ
ของแต่ละเรอื่ ง การนำขอ้ คดิ ไปใช้ในชีวิตประจำวนั มแี นวทาง ดงั นี้

๑. พิจารณาข้อคิด การอ่านวรรณคดีและวรรณกรรมทุกเรื่องผู้อ่านจะได้ข้อคิดที่แตกต่างกัน
โดยขนึ้ อย่กู นั วัย ประสบการณ์และพน้ื ฐานความร้ขู องผอู้ า่ น

๒. การนำไปใช้ พจิ ารณาข้อคิดที่ได้จากการอ่านวรรณคดีแล้วสามารถนำประโยชน์ ความรู้ หรือ
สาระจากการอ่านมาประยกุ ต์ใช้ใหเ้ ข้ากบั ชีวติ ประจำวันได้อยา่ งมีประสิทธผิ ล

วรรณคดีหลายเร่ือง มกั จะให้ขอ้ คิดเพี่อใหผ้ อู้ ่านนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้ ดังนี้
๑. ด้านการศึกษา จะให้ข้อคิดเกี่ยวกับการศึกษาเล่าเรียน มีคำสอนที่แสดงให้เห็นถึง

คุณค่าและความสำคัญของการศึกษา
๒. ดา้ นการรจู้ กั ใช้ชีวิต เป็นข้อคดิ สอนใจสามารถใช้ไดท้ กุ ยุคทุกสมยั
๓. ดา้ นความสามคั คี วรรณคดชี ว่ ยปลุกสำนกึ ให้มคี วามสามัคคีกลมเกลยี วกนั
๔. การปฏบิ ัติหน้าทขี่ องตน ไมว่ ่าจะเปน็ หนา้ ที่ใดก็ทำด้วยความเตม็ ใจ เพื่อให้งานประสบ

ความสำเรจ็ ทงั้ ทเ่ี ป็นหนา้ ทตี่ อ่ ตนเอง สังคม หรอื ประเทศชาติ
5. ด้านความรัก มีวรรณคดีหลายเรื่องที่มุ่งนำเสนอเรื่องราวของความรัก ความผูกพัน

และความเมตตาที่ควรมตี อ่ ตัวเอง ครอบครวั คนรอบข้าง และสงั คม อันจะนำไปสู่ความดีงามท้งั หลายในชีวติ
6. ด้านการทำความดี เพื่อปลูกฝังให้เห็นถึงผลของการทำคุณงามความดี ตามหลักที่ว่า

ทำดไี ดด้ ที ำชัว่ ไดช้ ัว่ สามารถบำเพญ็ ตนใหเ้ ปน็ ประโยชนต์ ่อสงั คมส่วนรวมและประเทศชาตไิ ด้

39

แบบฝกึ หัดชดุ ท่ี 6
ลลิ ติ ตะเลงพา่ ย วรรณคดีมีคุณคา่ (1)

(1)
คำชแี้ จง : ให้นกั เรยี นวเิ คราะหค์ ณุ คา่ ด้านวรรณศิลป์จากบทประพนั ธ์ตอ่ ไปนี้

1. “จงจำคำพอ่ ไซร้ สัง่ สอน บทประพันธ์น้ี เป็นเหตกุ ารณ์ตอน………………………………

จงประสิทธิส์ มพร พ่อให้ …………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………
จงเรืองพระฤทธิ์รอน อรริ าช
…………………………………………………………………………………
จงพอ่ ลลุ าภได้ เผด็จดา้ วแดนสยาม”

คณุ ค่าด้านวรรณศิลปท์ ่ีปรากฏ คอื .............………….………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ……..

…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..

………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….

2. “ไมโ้ รกเหมีอนโรคเรา้ รุมกาม บทประพนั ธ์นี้ เป็นเหตุการณต์ อน………………………………
ไฟว่าไฟราคลาม ลวกร้อน
นางแย้มหนึง่ แย้มยาม เยาวย์ ว่ั แยม้ ฤๅ ………………………………………………………………………………
ตูมดัง่ ตมู ตขี อ้ น อกอนั้ กนั แสง” ………………………………………………………………………………

………………………………………………………………………………

คุณคา่ ด้านวรรณศลิ ป์ท่ีปรากฏ คอื .............…….…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….…. ..

…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..

…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..

3. “นุสนธซ์ิ ึ่งน่านน้ำ นองพนา สณฑ์เฮย บทประพันธ์น้ี เป็นเหตกุ ารณต์ อน……………………………
หนปัจฉิมทิศา ท่วมไซร้
คือทัพอรริ า- มญั หมู่ นน้ี า ………………………………………………………………………………
สมด่งั ลกั ษณฝ์ ันไท้ ธเรศนน้ั อยา่ แหนง” ………………………………………………………………………………

………………………………………………………………………………

คณุ คา่ ด้านวรรณศลิ ปท์ ปี่ รากฏ คือ.............………….…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………....

…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..

…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..

4. “เคลื่อนพลตามเกล็ดนาค ตามเตม็ ทง่ แถวเถ่ือน เกลื่อนกล่นแสนยาทัพ ถับปะทะไพรินทร์ ส่วนหัสดินอุภัย
เจ้าพระยาไชยานภุ าพ เจา้ พระยาปราบไตรจกั ร ตรับตระหนกั สำเนียง เสียงฆ้องกลองปนื ศกึ อกึ เอกิ กอ้ งกาหลง
เร่งคำรนเรียกมัน ชันหูชูหางแล่น แปร้นแปร๋แลคะไขว่ บาทย่างใหญ่ดุ่มด่วน ป่วนกิริยาร่าเริง บำเทิงมันคร่ัน
ครึก เขา้ ส้ศู กึ โรมราญ ควาญคดั ท้ายบมอิ ยู่ ววู่ างว่งิ ฉับฉวิ …”

40
บทประพันธ์นี้ เป็นเหตุการณ์ตอน…………………………………………………………………………………………………..…………

คณุ คา่ ดา้ นวรรณศลิ ปท์ ีป่ รากฏ คอื .............……………….……………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..

5. “สองฝ่ายยันยืนยุทธ์ อุดอึงโห่เอาฤกษ์ เอิกอึงโห่เอาชัย สาดปืนไฟยะแย้ง แผลงปืนพิษยะยุ่ง พุ่งหอกใหญ่
คะควา้ ง ขวา้ งหอกชกั คะไขว่ ไลค่ ะคลุกบุกบนั เงื้อดาบฟนั ฉะฉาด งา่ งา้ วฟาดฉะฉับ... ศรตอ่ ศรยิงยนื ปืนต่อปืน
ยิงยัน... หอกหันร่อหอกรับ ง้าวง่าจับง้าวประจัญ ทวนผัดผันทวนทบ รบอลวนอลเวง ต่างบเกรงบกลัว ตัวต่อ
ตวั ชงิ มล้าง ช้างต่อช้างชงิ ชน คนต่อคนต่อรบ ของ้าวทบทะกัน ตา่ งฟนั ตา่ งปอ้ งปดั ”

บทประพันธน์ ้ี เป็นเหตกุ ารณ์ตอน…………………………………………………………………………………………………………….

คุณคา่ ด้านวรรณศลิ ปท์ ่ีปรากฏ คือ.............…….……………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..

7. “เบอ้ื งนัน้ นฤนาถผู้ สยามมินทร์ บทประพนั ธ์นี้ เป็นเหตุการณ์ตอน……………………………
เบยี่ งพระมาลาผนิ หอ่ นพ้อง
ศสั ตราวธุ อรินทร์ ฤๅถูก องคเ์ อย ………………………………………………………………………………
เพราะพระหัตถห์ ากปอ้ ง ปดั ดว้ ยขอทรง” ………………………………………………………………………………

………………………………………………………………………………

คุณค่าดา้ นวรรณศิลปท์ ี่ปรากฏ คือ.............……….………………………………………………………………………………….. ..

……………………………………………………………………………………………………………………………………………………….…

…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..

8. “เอน็ ดภู ูธเรศเจ้า จอมถวลั ย์ บทประพนั ธน์ ้ี เป็นเหตุการณ์ตอน……………………………
เปลยี่ วอรุ ะราชรัน- ทดแท้
พระชนม์ชราครัน ครองภพ พระเอย ………………………………………………………………………………
เกรงบพติ รจักแพ้ เพล่ยี งพล้ำศกึ สยาม” ………………………………………………………………………………

………………………………………………………………………………

คณุ ค่าด้านวรรณศิลป์ที่ปรากฏ คอื .............…….………………………………………………………………………………………………………………………………....

…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..

แบบฝกึ หดั ชดุ ที่ 6 41
ลลิ ิตตะเลงพา่ ย วรรณคดีมคี ุณค่า (2)

คำช้ีแจง : ใหน้ ักเรยี นวิเคราะหข์ ้อคิดท่ไี ด้จากบทประพันธ์ต่อไปนี้

จงพ่ออย่ายนิ ยล แต่ต้นื

อย่าลองคะนองตน ตาชอบทำนา

1. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….

บัดดลดำรัสให้ ปูนยศ

ทรัพย์สงิ่ ศรสี ำรด ทั่วทั้ง

บุตรทารทา่ นแทนทด ความชอบ เขานา

สมท่ีภักดตี ง้ั ต่อเหง้าเผา่ เฉลิม

2. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….

“จึ่งพระองคอ์ นญุ าต พระราชทานโทษทัง้ ผอง โดยอนั ครองยศ

บรรหารพจนพาที ซึ่งเจ้าชีขานขอ ข้อยยกยอโทษให้ แตช่ อบใชไ้ ปรอน

เอานครตะนาวศรี บุรีทวายมรดิ ถ่ายหนผิดหาชอบ”

3. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….

“พระพี่พระผผู้ ่าน ภพอตุ - ดมเอย

ไป่ชอบเชษฐย์ นื หยดุ รม่ ไม้

เชญิ ราชร่วมคชยทุ ธ์ิ เผยยอเกยี รติ ไว้แฮ

สบื กว่าสองเราไสร้ สดุ สน้ิ ฤๅมี”

4. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….

“พระคุณตวงเพยี บพนื้ ภูวดล

เต็มตรลอดแหลง่ บน บอ่ นใต้

พระเกดิ พระก่อชนม์ ชบุ ชีพ มานา

เกรงบท่ ันลกู ได้ กลบั เต้าตอบสนอง”

5. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….

“บดั มอญม่านมาหมาย รายกนั โอบกันอ้อม ล้อมกระหนาบหน้าหลัง ไทยประนังนอ้ ยแง่

แผ่ออกรบ บ มริ อด ถอดถอยท้อรอรบั มอญขยบั ยกตาม หลามเหลอื ลน้ พลเตา้ ”

6. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….

42

การอ่านออกเสยี งบทรอ้ ยกรอง

การอ่านออกเสียงบทร้อยกรอง หมายถึง การอ่านเสียงถ้อยคำที่ถูกเรียบเรียงขึ้นอย่างเป็นระเบียบ
ตามบัญญัติของฉันทลักษณ์ ดังนั้น การอ่านออกเสียงร้อยกรองเป็นทำนองต่าง ๆ ตามฉันลักษณ์จึงเกิดข้ึน
โดยมากแล้วการอา่ นออกเสียงร้อยกรองจะอ่านดว้ ยทำนองเสนาะ ซึง่ พจนานุกรมฉบบั ราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.
2554 ได้ให้ความหมายของ “ ทำนองเสนาะ” ไว้ว่า วิธีการอ่านออกเสียงอย่างไพเราะตามลีลาของ
บทร้อยกรองประเภทโคลง ฉนั ท์ กาพย์ กลอน การอ่านรอ้ ยกรองแตล่ ะประเภทสามารถอ่านได้หลายวธิ ี ดงั นี้

๑. การขบั ไดแ้ ก่ การขับเสภา การขบั ลำนำสขู่ วัญ การขับลำนำกล่อมชา้ ง
๒. การร้อง การรอ้ งเพลงทำนองต่าง ๆ ไดแ้ ก่ เพลงไทยเดมิ เพลงไทยสากล หรือเพลงลกู ทุง่
๓. การกล่อม ไดแ้ ก่ การกลอ่ มเด็ก การกลอ่ มพระบรรทม
๔. การเห่ ไดแ้ ก่ การเห่เรือ การเห่ชมส่งิ ตา่ ง ๆ
๕. การแหล่ ไดแ้ ก่ การแหล่เทศน์ แหลง่ เพลงตา่ ง ๆ เช่น เพลงขอทาน เป็นต้น
๖. การสวด ไดแ้ ก่ การสวดคำฉนั ท์บชู าพระคณุ ครู สวดสรภัญญะ สวดโอเ้ อว้ หิ ารราย
๗. การพากย์ ได้แก่ การพากยโ์ ขน หรือทำนองพากยใ์ นบทพากย์ต่าง ๆ
๘. การว่า ได้แก่ การว่าเพลงพื้นบ้าน เช่น เพลงโคราช หมอลำกลอน ฯลฯ เพลงปฏิพากย์ตา่ ง ๆ
การอ่านวรรณคดีเป็นทำนองเสนาะมีคณุ คา่ คือ ทำใหผ้ ู้เรียนสามารถจดจำเนอื้ เรื่องได้และเกิดอารมณ์
คลอ้ ยตามตา่ ง ๆ เช่น สนกุ สนาน เจ็บแคน้ เศรา้ โศก ตามเนือ้ เรอ่ื ง ได้เห็นภาพ ไดย้ นิ เสียง เกดิ ความประทบั ใจ
ในรสวรรณคดีและจำบทกวีได้เองโดยไม่ต้องท่องจำ นอกจากผอู้ า่ นจะได้รับรสไพเราะจากการอา่ นแล้ว ผู้ฟังก็
ได้รบั รสไพเราะดว้ ยเช่นกัน
ทำนองเสนาะของร้อยกรองแตล่ ะชนดิ มที ำนองและให้อารมณ์ทแ่ี ตกตา่ งกัน เหมือนกบั การร้องเพลง
หรือขับลำนำตามท่วงทำนองเพลงแต่ละประเภท การอ่านทำนองเสนาะจึงเป็นเอกลักษณ์ของภาษาไทยและ
คนไทย ดังนั้น คนไทยทุกคนจึงควรฝึกอ่านทำนองเสนาะในวรรณคดีเพื่อสืบทอดมรดกทางภูมิปัญญานี้ด้วย
ความภาคภมู ใิ จ

คณุ สมบัติของผทู้ ี่จะอา่ นออกเสยี งบทร้อยกรอง
๑. ผู้อ่านทำนองเสนาะได้ไพเราะต้องเป็นผู้มีแก้วเสียงดี น้ำเสียงแจ่มใส คือ มีเสียงใสกังวาน ไม่

แหบแห้งหรือแตกพร่า เน่ืองจากการอา่ นเป็นเรื่องของการใชเ้ สยี ง เม่ือจะคดั เลือกผ้อู า่ นเข้าแขง่ ขันการประกวด
การอา่ นทำนองเสนาะ ผู้ทมี่ ีเสียงดีย่อมสามารถใชน้ ำ้ เสียงอา่ นได้ไพเราะจบั ใจกว่าผทู้ ่ีมีเสียงแหบแหง้ สำหรบั ผู้
มีน้ำเสียงไม่แจ่มใสถ้าฝึกหัดออกเสียงให้ถูกต้อง จดจำทำนอง ลีลา ลักษณะฉันทลักษณ์ของคำประพันธ์แต่ละ
ประเภทได้ กส็ ามารถอ่านออกเสียงให้นา่ ฟังได้ แมไ้ ม่ไพเราะเท่ากับคนเสยี งดีแต่คนท่ีอ่านได้ถูกต้องก็ยังนับว่า
เปน็ เสนห่ อ์ ยา่ งหนง่ึ

๒. ต้องมีความรู้เรื่องฉันทลักษณ์ของบทร้อยกรองที่จะอ่าน เช่น ถ้าทราบว่าเป็นฉันท์ก็ต้องอ่านให้
ถกู ต้องตามครุ ลหุ ของฉนั ท์ชนิดนั้น ๆ

43

๓. จำทำนองเสนาะของร้อยกรองแตล่ ะชนิดได้อย่างแม่นยำ ไม่หลงทำนอง บางคนอ่านกลอนจบ
แล้วตอ่ ด้วยกาพยแ์ ต่อาจหลงอ่านกาพยเ์ ปน็ ทำนองเดียวกับกลอนอย่เู ป็นต้น

๔. มสี มาธใิ นการอ่าน ไม่อ่านตกหลน่ อา่ นผิดหรอื อา่ นขา้ ม บางคนอ่านขา้ มบรรทัด ทำให้ข้อความไม่
เชื่อมโยงตอ่ เน่ืองกัน

๕. รักการอ่านทำนองเสนาะ หมน่ั ฝกึ ฝนและมีความเชื่อม่ันในตนเอง
๖. เป็นผู้รักษาสุขภาพดี รักษาแก้วเสียงและน้ำเสียง ไม่นอนดึกจนเกินไป ดื่มน้ำอุ่นเสมอ ไม่ดื่ม
เครือ่ งด่ืมทม่ี ีแอลกอฮอล์ ชา หรือกาแฟ ไม่ตะโกนหรอื กรดี ร้องเสยี งดงั จนเกินไป
๗. เปน็ ผมู้ บี คุ ลิกดี แต่งตัวสุภาพเหมาะสมกบั โอกาส เดินหรอื น่ังตัวตรง ไมน่ งั่ หลังค่อมหรอื เดินหอ่ ตัว
ยืนยืดอกสง่าผ่าเผย จับหนังสือหรือบทอ่านให้มั่นคงโดยใช้แขนซ้ายหรือมือซ้ายจับหนังสือ มือขวาช่วยพลิก
เปล่ยี นหนา้ หนังสอื ใหห้ นงั สือหา่ งจากระดับสายตาประมาณ ๑ ฟตุ หากสายตาส้ันตอ้ งสวมแว่นตา ไมค่ วรสวม
แวน่ ตาดำเพราะไม่สภุ าพ
๘. ซอ้ มการอา่ น เมือ่ ไดร้ บั บทอา่ น ผูอ้ า่ นจะตอ้ งพจิ ารณาบทอา่ นกอ่ นวา่ เป็นร้อยกรองประเภทใด จำ
ข้อบังคับ ครุ ลหุ และลีลาการอ่านให้แม่นยำ ลองฝึกอ่านในใจเพื่อจับใจความและอารมณ์ของเรื่อง แล้วแบ่ง
วรรคตอน แบ่งชว่ งการอ่านใหถ้ กู ต้อง เมอื่ อา่ นต้องใหไ้ ดอ้ ารมณต์ ามเนื้อเร่ือง
๙. ระมดั ระวังการออกเสียงอกั ขระให้ชดั เจน ไม่อา่ นออกเสียงเลียนเสียงภาษาต่างประเทศ ออกเสียง
ตัว ร ล และคำควบกล้ำให้ชัดเจน อ่านตามทำนองต้องพิจารณาด้วยว่าท้ายเสียงช่วงใดควรใช้เสียงสูง ช่วงใด
ควรหลบเสยี งตำ่
๑๐. มีศิลปะการใช้เสียง ผู้อ่านจะต้องรู้จักการผ่อนเสียง ทอดเสียง หลบเสีย เอื้อนเสียง ครั่นเสียง
ครวญเสียง กระแทกเสยี ง ดงั นี้

๑๐.๑ การใช้ไมโครโฟน ไม่จ่อปากชิดไมโครโฟนจนเกินไปจะทำให้เสียงไม่ไพเราะ และได้ยิน
เสยี งลมหายใจ อาจทำให้ผู้ฟังเกิดความรำคาญ

๑๐.๒ การใช้เสียง ควรออกเสียงให้ดังพอเหมาะ ไม่ตะโกน หรือดัดเสียงจนไม่เป็นธรรมชาติ
รู้จักใช้จังหวะในการอ่านเหมาะสมกับอารมณ์ของเรื่องที่อ่าน เช่น เมื่ออ่านถึงการปลอบโยน ต้องอ่านช้า ๆ
เนิบ ๆ เมอ่ื แสดงอารมณโ์ กรธจะต้องอา่ นอยา่ งรวดเร็วกระแทกกระทัน้ เม่ือเกิดอารมณอ์ อ่ นหวาน

๑๐.๓ การทอดเสียง คือ เมอ่ื อา่ นใกลจ้ ะจบตอ้ งอ่านทอดเสียงผอ่ นจังหวะใหช้ า้ ลง
๑๐.๔ การหลบเสียง คือ การเปลี่ยนเสียงหรือหักเสียง หลบจากเสียงสูงไปเสียงต่ำเพื่อไม่
ตอ้ งออกเสียงท่ีสูงเกินไป
๑๐.๕ การเอื้อนเสียง คือ การลากเสียงช้า ๆ และไวห้ างเสียงเพือ่ ใหเ้ ขา้ จังหวะและไพเราะ
๑๐.๖ การครน่ั เสียง คอื การทำเสยี งให้สะดุดเม่อื อ่านถงึ ตอนทส่ี ะเทอื นอารมณ์
๑๐.๗ การครวญเสียง คือ การเอื้อนเสียงให้เกิดความรู้สึกตามอารมณ์ของการคร่ำครวญ
รำพัน วงิ วอน หรอื โศกเศรา้
๑๐.๘ การกระแทกเสียง คือ การลงเสียงให้หนักเป็นพิเศษ เมื่อต้องแสดงอารมณ์โกรธหรือ
แสดงความเขม้ เข็ง

44

การอ่านโคลงส่ีสุภาพ

วิธกี ารอา่ นโคลงสีส่ ภุ าพ

1. อ่านทอดเสียงให้ตรงตามจังหวะของแต่ละวรรค วรรคหน้าแต่ละบาทมี 2 จงั หวะ จังหวะละ 2 คำ
หรือ 3 คำ โดยคำนึงถึงรูปคำที่อ่าน วรรคหลังบาทที่ 1 และบาทที่ 3 มี 1 จังหวะ เป็นจังหวะ 2 คำ ถ้ามีคำ
สรอ้ ยกเ็ พม่ิ อกี 1 จงั หวะ เป็นจงั หวะ 2 คำ วรรคหลังบาทท่ี 2 มี 1 จังหวะ เปน็ จงั หวะ 2 คำ วรรคหลงั บาทที่
4 มี 2 จังหวะ จังหวะละ 2 คำ

2. คำท้ายวรรคที่ใช้คำเสียงจัตวา ต้องเอ้ือนเสียงให้สูงเป็นพิเศษ ตามปกติโคลงสี่สุภาพที่แต่งถูกต้อง
และไพเราะ ใช้คำเสยี งจัตวาตรงคำท้ายของบาทที่ 1 หรอื คำท้ายบท

3. เออื้ นวรรคหลังบาทท่ี 2 ให้เสยี งต่ำกวา่ ปกติ
4. ในกรณที ่มี คี ำคำมากพยางคเ์ กนิ แผนบงั คบั ต้องรวบเสียงคำนนั้ ๆ ให้ส้นั เขา้

ตัวอย่างการแบง่ วรรคตอนการอ่านโคลงส่ีสภุ าพ

“เบ้ืองนนั้ / นฤนาถผู้ สยามมินทร์
เบีย่ งพระ / มาลาผนิ ห่อนพ้อง
ศสั ตราวธุ / อรนิ ทร์ ฤๅถูก / องค์เอย
เพราะพระหัตถ์ / หากป้อง ปัดด้วย / ขอทรง

โคลงสีส่ ุภาพทใ่ี ชเ้ ป็นแมบ่ ทในการแตง่ และการอ่านโคลงส่ีสุภาพ

สมั ผสั บังคบั เรยี กอีกอย่างวา่ "สัมผสั นอก" หมายถึง
สัมผัสที่กำหนดเป็นแบบแผนในคำประพันธ์ เป็นสัมผัสสระ
คือ มเี สียงสระและตวั สะกดมาตราเดยี วกนั ดังน้ี

บาทแรก คำสุดท้ายของวรรคที่ 2 สัมผัสกับ
คำสุดทา้ ยของวรรคแรก ในบาทที่ 2 และ 3

บาทท่ี 2 คำสุดท้ายของวรรคที่ 2 สัมผัสกับ
คำสดุ ท้ายของวรรคแรก ในบาทท่ี 4

ในจนิ ดามณี ฉบบั พระโหราธิบดี อธิบายสมั ผัสบังคับ
ของโคลงสส่ี ุภาพไวว้ ่า

ใหป้ ลายบาทเอกนนั้ มาฟดั

หา้ ท่บี ทสองวจั น์ ชอบพรอ้ ง
บทสามดุจเดยี วทัด ในที่ เบญจนา
ปลายแห่งบทสองตอ้ ง ทห่ี า้ บทหลงั

45

การทอ่ งจำบทอาขยาน

บทอาขยาน คือ บทท่องจำ การเลา่ การสวด เรือ่ ง นิทาน ซง่ึ เปน็ การท่องจำขอ้ ความหรือคำประพันธ์
ทีช่ อบ บทรอ้ งกรองท่ไี พเราะ โดยอาจตดั ตอนมาจากหนังสือวรรณคดเี พ่ือให้ผทู้ ่องจำได้ และเหน็ ความงามของ
บทร้อยกรองท้งั ในด้านวรรณศลิ ป์ การใชภ้ าษา เน้อื หา และวธิ กี ารประพันธ์ สามารถนำไปใชเ้ ป็นแบบอย่างใน
การแตง่ บทร้อยกรอง หรอื นำไปใช้เป็นขอ้ มลู ในการอ้างองิ ในการพูดและการเขียนไดเ้ ปน็ อยา่ งดี

หลักการทอ่ งจำบทอาขยาน
๑. ฝึกเปล่งเสียงให้ดังพอประมาณ ไม่ตะโกน ควรบังคับเสียง เน้นเสียง ปรับระดับเสียงสูง - ต่ำ

ให้สอดคล้องกับจงั หวะลลี า ท่วงทำนอง และความหมายของเน้ือหาทอ่ี า่ น
2. ทอ่ งด้วยเสยี งท่ีชัดเจน แจม่ ใส ไพเราะ มีกระแสเสียงเดยี ว ไมแ่ ตกพร่า เปล่งเสยี งจากลำคอโดยตรง

ด้วยความมั่นใจ
๓. ท่องออกเสยี งใหถ้ กู อกั ขรวิธีหรอื ความนิยม และต้องเข้าใจเนอื้ หาของบทอาขยานนก้ี ่อน
๔. ออกเสยี ง ร ล คำควบกล้ำ ให้ถกู ต้องชดั เจน
๕. ทอ่ ง ให้ถูกจังหวะและวรรคตอน
๖. ท่องใหไ้ ด้อารมณ์และความรู้สกึ ตามเนื้อหา

การท่องจำบทอาขยานเป็นทำนองเสนาะ
๑. ท่อง เป็นร้อยแก้วธรรมดาให้ถูกต้องชัดเจน ตามอักขรวิธีก่อน ทั้ง ร , ล ตัวควบกล้ำ อ่านออก

เสยี งให้ตรงตามเสียงวรรณยกุ ต์
๒. ทอ่ งให้ถูกจงั หวะวรรคตอน การอ่านผดิ วรรคตอนทำให้เสียความ
๓. ท่องให้สัมผสั คล้องจองกนั เพื่อความไพเราะ
๔. ท่องให้ถูกทำนองและลีลาของคำประพันธ์แต่ละชนิด คำประพันธ์แต่ละชนิดจะมีบังคับจำนวนคำ

สัมผัสหรอื คำเอกคำโทแตกต่างกัน จงึ ตอ้ งอ่านใหถ้ ูกทว่ งทำนองและลีลาของคำประพนั ธแ์ ตล่ ะชนดิ
๕. ท่องโดยใช้นำ้ เสียงให้เหมาะสมกับเน้ือหาและอ่านพยางคส์ ุดท้ายของวรรคด้วยการทอดเสียง แล้ว

ปลอ่ ยให้หางเสียงผวนขึ้นจมูก

ประโยชน์ของการทอ่ งจำบทอาขยาน
๑. ฝกึ ความจำ ซึง่ เป็นเครอ่ื งมือเร่มิ ตน้ ในการคดิ วิเคราะห์สงั เคราะห์ และประเมนิ ค่า
๒. ฝกึ วนิ ยั เพราะการจะท่องให้จำไดต้ อ้ งมวี นิ ัย หม่นั ฝกึ หม่นั ท่องอยู่เสมอ
๓. เปน็ การใชเ้ วลาว่างใหเ้ ปน็ ประโยชน์ ทำให้เปน็ คนอารมณด์ ี
4. ได้รบั คตสิ อนใจจากบทคำประพนั ธต์ า่ ง ๆ ทีท่ ่องจำไปประยกุ ต์ใชใ้ นชวี ิตประจำวนั
5. เพอ่ื ตระหนักในคณุ คา่ ของภาษาไทย และซาบซงึ้ ในความไพเราะของบทรอ้ ยกรอง
6. เพ่ือใหเ้ กิดความภาคภมู ิใจในความสามารถของกวีไทย
7. เพ่อื เปน็ พืน้ ฐานในการแตง่ คำประพนั ธ์

46

แบบฝึกหดั การอา่ นออกเสียงบทร้อยกรอง
คำช้แี จง : จงเขยี นผงั มโนทัศนค์ ณุ สมบัติของผู้ที่จะอา่ นออกเสยี งบทร้อยกรอง พร้อมตกแตง่ ใหส้ วยงาม

47

แบบฝึกหดั การท่องจำบทอาขยาน

คำชีแ้ จง : ให้นกั เรียนฝึกอ่านและสอบท่องจำบทอาขยานต่อไปน้ีในรปู แบบทำนองเสนาะ

“เบอ้ื งนน้ั นฤนาถผู้ สยามินทร์
เบ่ียงพระมาลาผนิ หอ่ นพอ้ ง
ศัสตราวธุ อรนิ ทร์ ฤๅถกู องคเ์ อย
เพราะพระหัตถ์หากป้อง ปัดดว้ ยขอทรง

บดั มงคลพา่ หไ์ ท้ ทวารัติ
แว้งเหว่ยี งเบ่ียงเศียรสะบัด ตกใต้
อุกคลกุ พลุกเงยงัด คอคช เศกิ แฮ
เบนบา่ ยหงายแหงนให้ ท่วงท้อทีถอย

พลอยพล้ำเพลียกถา้ ทา่ น ในรณ

บัดราชฟาดแสงพล- พา่ ยฟอ้ น

พระเดชพระแสดงดล เผดจ็ คู่ เขญ็ แฮ

ถนัดพระอังสาข้อน ขาดดา้ วโดยขวา

อุรารานร้าวแยก ยลสยบ
เอนพระองคล์ งทบ ท่าวดนิ้
เหนือคอคชซอนซบ สงั เวช
วายชวิ าตม์สดุ สิ้น สฟู่ ้าเสวยสวรรค”์

ลิลิตตะเลงพ่าย : สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชติ ชโิ นรส

❖ ให้นักเรียนอธบิ ายความคืบหนา้ การฝึกท่องจำบทอาขยานเร่ือง ลลิ ิตตะเลงพ่าย พรอ้ มทงั้ แนวทาง
การวางแผนฝกึ ทอ่ งจำบทอาขยานเร่ือง ลลิ ิตตะเลงพา่ ย ของตนเอง

…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..

…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..

…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..


Click to View FlipBook Version