48
การเขยี นเรยี งความ
เรียงความ เป็นงานเขียนชนิดหนึ่งที่ผู้เขียนมีจุดประสงค์จะถ่ายทอดความรู้ ความคิดทรรศนะ
ความรู้สึก ความเข้าใจออกมาเป็นเรื่องราว ด้วยถ้อยคำสำนวนที่เรียบเรียงอย่างชัดเจนและท่วงทำนองการ
เขยี นทนี่ า่ อา่ น
๑. จดุ ประสงค์ของการเขียนเรียงความ มี 4 ประเภท
1.๑ เพื่อโน้มน้าวใจผ้อู ่านใหเ้ ชื่อถือหรือคล้อยตามแนวคิดของผ้เู ขียน
๑.2 เพือ่ ให้ขอ้ เท็จจรงิ แกผ่ ู้อ่าน
๑.3 เพอ่ื ใหค้ วามบันเทิงแก่ผ้อู า่ น
๑.4 เพอื่ ส่งเสรมิ ให้ผูอ้ า่ นใชค้ วามคิดของตนใหก้ วา้ งขวางย่ิงข้นึ
๒. โวหารในการเขยี น
โวหาร หมายถึง วิธีการเขยี นเรยี บเรียงขอ้ ความให้สอดคล้องกับเนือ้ เร่ือง โวหารทีใ่ ช้ในการ
เขียนเรียงความ ได้แก่ พรรณนาโวหาร บรรยายโวหาร อุปมาโวหาร เทศนาโวหาร เทศนาโวหาร สาธกโวหาร
และอธบิ ายโวหาร ดังนี้
๒.1 พรรณนาโวหาร หมายถงึ การเรยี บเรยี งข้อความโดยให้รายละเอยี ดเก่ยี วกับบุคคล
สิ่งของ ธรรมชาติ สภาพแวดลอ้ ม ตลอดจนความร้สู ึกต่าง ๆ ของผเู้ ขียน โดยเนน้ ใหผ้ ู้อา่ นเกดิ อารมณ์ความรู้สึก
ร่วมกับผเู้ ขยี น ดังตัวอยา่ ง
“ สมใจเป็นสาวงามที่มีลำแขนขาวผ่องทั้งกลมเรียวและอ่อนหยัด ผิวขาวละเอียด
เช่นเดยี วกับแขน ประกอบดว้ ยหลงั มืออวบนนู น้ิวเล็กเรยี ว หลังเลบ็ มสี ดี ังกลบี ดอกบัวแรกแยม้ ”
๒.2 บรรยายโวหาร หมายถงึ การเขียนอธิบายหรือบรรยายเหตุการณ์ท่ีเป็นข้อเท็จจริง
ตามลำดับเหตุการณ์ เป็นการเขียนตรงไปตรงมา ไม่เยิ่นเย้อ มุ่งความชัดเจนเพื่อให้ผู้อ่านได้รับความรู้ ความ
เขา้ ใจ เช่น การเขียนเล่าเร่อื ง เลา่ เหตุการณ์ การเขียนรายงาน เขียนตำราและเขยี นบทความ ดงั ตวั อยา่ ง
“ช้างยกขาหน้าให้ควาญเหยียบขึ้นนั่งบนคอ ตัวมันสูงใหญ่ ใบหูไหวพะเยิบ หญิง
บนเรือนลงบันไดมาขา้ งลา่ ง เธอชแู ขนย่นื ผ้าขาวมา้ และขา้ วห่อใบตองข้นึ มาให้เขา”
๒.3 อุปมาโวหาร หมายถึง การเขียนเป็นสำนวนเปรียบเทียบที่มีความคล้ายคลึงกัน
เพื่อทำให้ผู้อ่านเกิดความเข้าใจลึกซึ้งยิ่งขึ้น โดยการเปรียบเทียบสิ่งของที่เหมือนกัน เปรียบเทียบโดยโยง
ความคิดไปสู่อีกส่งิ หนึ่ง หรอื เปรยี บเทยี บข้อความตรงกนั ขา้ มหรือข้อความท่ีขัดแยง้ กนั ดงั ตัวอย่าง
49
“ อันว่าแก้วกระจกรวมอยู่กับสุวรรณ ย่อมได้แสงจับเป็นเลื่อมพรายคล้ายมรกต
ผทู้ ีโ่ ง่เขลาแม้ไดอ้ ยู่ใกล้นักปราชญ์ ก็อาจเป็นคนเฉลียวฉลาดได้ฉันเดียวกัน”
๒.4 เทศนาโวหาร หมายถึง การเขียนอธิบาย ชี้แจงให้ผู้อ่านเข้าใจ ชี้ให้เห็นประโยชน์
หรอื โทษของเรอื่ งท่กี ลา่ วถงึ เปน็ การชักจงู ใหผ้ ู้อน่ื คล้อยตาม เหน็ ดว้ ยหรอื เพอื่ แนะนำสงั่ สอนปลุกใจหรอื เพื่อให้
ข้อคดิ คติเตอื นใจผู้อา่ น ดังตัวอยา่ ง
“ การทำความดีนั้น เมื่อทำแล้วก็แล้วกัน อย่าได้นำมาคิดถึงบ่อย ราวกับว่าการ
ทำความดีนนั้ ชา่ งย่ิงใหญ่นัก ใครก็ทำไม่ไดเ้ หมือนเรา ถ้าคิดเช่นนัน้ ความดีนั้นกจ็ ะเหลือเพียงครึ่งเดียว
แตถ่ า้ ทำแลว้ ก็ไมน่ ่านำมาใส่อีก คิดแต่จะทำอะไรต่อไปอีกจึงจะดี จงึ จะเปน็ ความดีทีสมบูรณ์ ไม่ตกไม่
หล่น”
๒.5 สาธกโวหาร หมายถึง การหยิบตัวอย่างมาอ้างอิงประกอบการอธิบายเพื่อ
สนบั สนนุ ข้อความที่เขยี นไว้ใหผ้ ูอ้ า่ นเขา้ ใจ และเกดิ ความเชอ่ื ถอื ดงั ตัวอยา่ ง
“ อำนาจความสัตย์เป็นอำนาจอันศักดิ์สิทธ์ิ ไม่เพียงแต่จับหัวใจคน แม้แต่สัตว์ก็
ยังมีความรู้สึกในความสัตย์ซื่อ เมื่อกวนอูตายแล้ว ม้าของกวนอูก็ไม่ยอมกินหญ้ากินน้ำและตายตาม
เจา้ ของไปในไม่ชา้ ไมย่ อมใหห้ ลังของมนั สมั ผสั กบั ผู้อนื่ นอกจากนายของมัน”
๒.6 อธิบายโวหาร หมายถึง การชี้แจงให้ผู้อา่ นทราบและเกิดความกระจ่างแจ่มแจ้งใน
เรื่องใดเรื่องหนึ่งหรือวิธีการใดวิธีการหนึ่ง เช่น การอธิบายโทษของยาเสพติด วิธีทำกับข้าว ปัญหาสังคม
การจราจร คำอธบิ ายรอ้ ยกรอง งานอดิเรก เป็นต้น ดังตัวอยา่ ง
“ คำว่า สลัด เป็น ภาษามลายู หมายความว่า ช่องแคบในทะเล ชาวมลายูซึ่งอยู่
ตามชายฝ่ังทะเลตอนช่องแคคบมะละกาในสมยั โบราณ มกั ประพฤตติ นเป็นโจร คอยดกั ปลน้ เรอื สำเภา
ที่แล่นผ่านช่องแคบมะละกา ถ้าเรือสำเภาลำใดใบไม่ติดลมในคราวลมอับก็ต้องลอยกลางทะเล ชาว
ทะเลที่อยู่บนฝั่งทะเลในช่องแคบ ซึ่งเรียกวา่ ชาวสลัด ก็ถือโอกาสยกพวกลงเรือเลก็ มาล้อมตีปล้นเรือ
สำเภาลำนัน้ คำวา่ สลดั จึงตดิ มาเป็นคำในภาษาไทย หมายความวา่ โจรสมทุ รหรือโจรทะเล”
๓. องคป์ ระกอบของเรียงความ
เรยี งความมีองค์ประกอบ ๓ สว่ น คอื คำนำ เนื้อเรื่อง และสรุป งานเขียนทุกประเภทจะต้อง
ประกอบดว้ ยองคป์ ระกอบสามส่วนน้ี
๓.๑ คำนำ เป็นส่วนหนึ่งของเรียงความส่วนแรกที่มีหน้าที่เปิดประเด็นเข้าสู้เรื่อง เป็น
การบอกใหผ้ อู้ า่ นทราบวา่ ผเู้ ขียนจะเขยี นเร่ืองอะไร เพ่ือชักนำให้คนสนใจอา่ นเน้อื เรื่องต่อไป คำนำเป็นส่วนท่ี
สำคัญส่วนหนงึ่ ของเรยี งความเพราะเปน็ ส่วนช่วยดงึ ดูดใหผ้ ู้อา่ นหนั มาสนใจเร่ืองราวท่เี ขยี น ผอู้ ่านจะอ่านเรื่อง
ต่อไปหรือไม่ กอ็ ยทู่ ี่คำนำนัน้ เอง คำนำที่ดอี าจจะเริม่ ตน้ ด้วย
50
1. นำด้วยการเล่าปญั หาเรง่ ดว่ นหรอื ประเด็นที่กำลงั เป็นท่ีนา่ สนใจในสังคม
2. นำด้วยคำถามชวนให้คิด
3. นำด้วยการเลา่ เรื่องท่ีจะเขียน เชน่ กล่าวถึงความเปน็ มาของเร่ืองหรอื จุดประสงคข์ องการเขียน
4. นำดว้ ยการยกคำพูด ข้อความ บทเพลง คำขวญั หรอื สำนวนสภุ าษติ ท่ีนา่ สนใจ
5. นำดว้ ยบทรอ้ ยกรองหรือบทกวที น่ี ่าสนใจ
๓.๒ เนื้อเรื่อง หรือ เนื้อความ เป็นส่วนที่สำคัญที่สุดของการเขียนเรียงความ เพราะ
เป็นส่วนที่เสนอความรู้ความคิดความเข้าใจทรรศนะหรือความรู้สึกของผู้เขียนให้แจ่มแจ้งโดยอาจจะยก
อทุ าหรณ์ สุภาษิต และประสบการณ์ของผเู้ ขยี นมาสนับสนุนเร่ืองทีเ่ ขยี นได้
นักเรียนจะต้องคิดก่อนเป็นขั้นแรกว่า จะเลือกเขียนเรื่องอะไร มีวัตถุประสงค์และมี
ขอบเขตในการเขียนกว้างหรือแคบเพียงใด เมื่อคิดวางแผนเป็นลำดับดังกล่าวแล้ว ก็เริ่มเขียนโครงเรื่องเพ่ือ
เปน็ แนวทางในการเขยี น
ขั้นตอนต่อไปคือ การเรียงเนื้อหาไปตามโครงเรื่องที่ได้กำหนดไว้ โครงเรื่องที่กำหนดไว้
เปน็ ข้อ ๆ น้นั ก็คือเน้อื หาในยอ่ หนา้ หน่ึง ๆ น้ันเอง เมอ่ื จะขยายความแตล่ ะหัวข้อกย็ ่อมจะไดย้ ่อหนา้ ที่มีเนื้อหา
เป็นเอกภาพและมีน้ำหนัก และถ้าเขียนแต่ละย่อหน้ามีประโยคใจความสำคัญ และมีประโยคขยายความท่ี
สนับสนุนประโยคใจความสำคัญอย่างชัดเจนแล้ว เรียงความเรื่องนั้นก็จะเป็นเรียงความที่มีเนื้อหาสมบูรณ์
เรยี งความแต่ละเรือ่ งจะมียอ่ หน้าเรื่องเท่าใดกไ็ ด้ แต่เป็นไปไม่ไดท้ ่ีเรยี งความเรื่องหน่ึงจะมีย่อหนา้ เน้ือเร่อื งเพียง
ย่อหน้าเดียว
ในการเขียนเรียงความนนั้ การใช้ถ้อยคำภาษาเป็นสิง่ สำคญั มาก นกั เรยี นจะตอ้ งพิถีพิถัน
ในการใช้ภาษา ภาษาที่ใช้ต้องเป็นภาษาแบบเป็นทางการ กล่าวคือภาษาจะถูกต้องตามหลักการเขียน
มกี ารเลอื กสรรถ้อยคำมาเรียบเรยี งใหก้ ะทัดรัด ชัดเจนอ่านเข้าใจง่าย ราบรนื่ สละสลวย และมีลีลาการเขียนที่
น่าสนใจ
๓.๓ สรุป เป็นส่วนสุดท้ายของเรียงความที่ผู้เขียนจะเน้นความรู้ ความคิดหลักหรือ
ประเด็นสำคัญของเรื่องที่เขียนอีกครั้งหนึ่ง การสรุปนับว่ามีส่วนสำคัญเท่ากับคำนำ เพราะเป็นส่วนช่วยเสรมิ
ให้เรยี งความมีคณุ ค่าขึน้
วิธีการเขียนสรุปมีด้วยกันหลายวิธี เช่น เน้นย้ำประเด็นหลัก เสนอคำถามหรือข้อคิด
สรุปเรื่อง เสนอความคิดของผู้เขียน ขยายจุดประสงค์ของผู้เขียน หรือสรุปด้วยสุภาษิต คำคม สำนวนโวหาร
คำพังเพย การอา้ งคำพูดของบคุ คล อ้างทฤษฎี หลักศาสนา หรอื คำสอนและบทรอ้ ยกรอง เปน็ ตน้
๔. การเลือกเร่ืองท่จี ะเขยี นเรียงความ
หากจะต้องเป็นผู้เลือกเรื่องเอง ควรเลือกตามความชอบหรือความถนัดของตนเอง
การค้นคว้าหาขอ้ มูลอาจทำได้โดยการคน้ คว้าจากหนังสือ นิตยสาร วารสาร อินเทอร์เน็ต หรอื ส่ืออน่ื ๆ
51
๕. การวางโครงเรือ่ งกอ่ นเขยี น
เมื่อได้หัวข้อเรื่องแล้ว ต้องวางโครงเรื่องโดยคำนึงถึงการจัดการจัดลำดับหัวข้อเรื่องท่ี จะ
เขยี นใหส้ มั พนั ธ์ ต่อเน่อื งกัน เช่น
- จัดลำดบั หัวข้อตามเวลาที่เกิด
- จดั ลำดับหวั ข้อจากหน่วยเล็กไปส่หู นว่ ยใหญ่
- จัดลำดบั ตามความนิยม
โครงเรื่องของงานเขียนควรจัดหมวดหมู่ของแนวคิดสำคัญเพื่อเป็นแนวทางในการเขียน
โครงเร่ืองเปรียบเสมือนแปลนบา้ นผสู้ ร้างบ้านจะต้องใช้แปลนบ้านเปน็ แนวทางในการสร้างบา้ น การเขยี นโครง
เร่อื งจงึ มีความสำคญั ทำใหผ้ ู้เขียนเรียงความเขียนได้ตรงตามจุดประสงค์ทต่ี ั้งไว้ ถ้าไมเ่ ขยี นโครงเรื่องหรือไม่วาง
โครงเรอ่ื งเรียงความอาจจะออกมาไมต่ รงตามท่ีผเู้ ขียนต้องการ
๖. การเขียนย่อหนา้
การยอ่ หน้าเปน็ ส่ิงจำเป็นอีกอยา่ งหนึง่ เพราะจะช่วยใหผ้ ู้อ่านอ่านเขา้ ใจงา่ ยและอ่านได้เร็ว
มีช่องว่างให้ไดพ้ ักสายตา ผเู้ ขียนเรยี งความได้ดตี ้องรู้หลักในการเขียนย่อหนา้ และนำย่อหนา้ แตล่ ะย่อหน้ามา
เชื่อมโยงให้สมั พันธ์กัน ในย่อหน้าหนึ่ง ๆ ต้องมีสาระเพียงประการเดียว ถ้าจะขึ้นสาระสำคญั ใหม่ให้เขียนใน
ยอ่ หน้าต่อไป ดังนั้นการย่อหน้าจะมากหรือน้อย ข้ึนอย่กู ับสาระสำคญั ท่ตี อ้ งการเขียนถึงในเนื้อเรือ่ ง แต่อย่าง
นอ้ ยเรยี งความตอ้ งมี ๓ ย่อหน้า คือยอ่ หนา้ ทเ่ี ปน็ คำนำ เนื้อเรื่อง และสรุป
๗. การเชื่อมโยงยอ่ หน้า
การเชื่อมโยงย่อหน้าทำให้เกิดสัมพันธภาพระหว่างย่อหน้าเรียงความเรื่องหนึ่งย่อม
ประกอบด้วยย่อหน้าหลายย่อหน้าการเรียงลำดับย่อหน้าตามความเหมาะสมจะทำให้ข้อความเกี่ยวเนื่องเป็น
เรื่องเดียวกัน วิธีการเชื่อมโยงย่อหน้าแต่ละย่อหน้าก็เช่นเดียวกันกับการจัดระเบียบความคิดในการวางโครง
เรือ่ งซง่ึ มดี ้วยกัน ๔ วิธคี ือ
๗.๑ การลำดับย่อหน้าตามเวลาอาจลำดับตามเวลาในปฏิทินหรือตามเหตุการณ์ที่เกิดข้นึ
ก่อนไปยงั เหตกุ ารณท์ ี่เกิดข้นึ ภายหลงั
๗.๒ การลำดับย่อหน้าตามสถานที่เรียงลำดับข้อมูลตามสถานที่หรือตามความเป็นจริงท่ี
เกดิ ข้นึ
๗.๓ การลำดับย่อหน้าตามความสำคัญ เรียงลำดับตามความสำคัญมากที่สุด สำคัญ
รองลงมาไปถงึ สำคัญน้อยทส่ี ดุ
๗.๔ การลำดับย่อหนา้ ตามเหตุผล อาจเรยี งลำดบั จากเหตุไปหาผลหรอื ผลไปเหต
มาเรมิ่ เขยี นเรียงความกนั เลย
52
ตวั อยา่ งเรยี งความ
“โลกร้อนสร้างวกิ ฤติ วิทย์และเทคโนฯ ช่วยได้”
“ ปัญหาต่าง ๆ เกี่ยวกับสภาวะแวดล้อม อันเนื่องมาจากมลพิษ หรือความเสื่อมโทรมของ
ทรัพยากรธรรมชาติ ไม่ว่าจะเกิดขึ้นที่ใดที่หนึ่งก็ตากย่อมส่งผลกระทบไปถึงที่อื่น ๆ ด้วยเหตุนี้ ทุกคนทุก
ประเทศในโลกจึงย่อมมีส่วนรับผิดชอบอยู่ด้วยกัน ทั้งในการแก้ไข ลดปัญหา และปรับปรุงสร้างเสริมสภ าวะ
แวดล้อม ให้กลับคนื มาสสู่ ภาพอันจะเอ้ือตอ่ การมีชีวติ อยู่อย่างเป็นสุขของตนเองและเพอื่ มนุษย์....”
(พระราชดำรัสในพระบาทสมเด็จพระเจา้ อยู่หวั )
จากพระราชดำรสั ขา้ งต้น แสดงใหเ้ ห็นวา่ ปจั จบุ ันสภาพแวดล้อมของโลกใบนี้กำลังเปลีย่ นไปจากฝีมือ
มนุษย์ ไม่ว่าใครเป็นผู้กระทำหรือเกิดขึ้นที่ใด ก็ย่อมส่งผลไปทั่วโลก เช่นเดียวกับภาวะโลกร้อนที่เรากำลัง
ประสบอยู่ทุกวันนี้ อาจเกิดจากความไม่ตั้งใจของมนุษย์ แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้วเราทุกคนบนโลกจะต้องช่วยกัน
หาทางแกไ้ ข เพือ่ ใหโ้ ลกใบนค้ี งอยตู่ อ่ ไป
ภาวะโลกร้อนเป็นภาวะที่อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกเพิ่มขึ้นจากปรากฏการณ์เรือนกระจก ซึ่งต้นเหตุ
ท้ังหมดกม็ าจากฝมี ือมนุษย์ ทีเ่ พม่ิ ปรมิ าณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากการเผาไหม้เชื้อเพลิงการขนส่ง และการ
ผลิตในโรงงานอุตสาหกรรมรวมไปถึงเพิ่มก๊าซกลุ่มไนตรัสออกไซด์และคลอโรฟลูออโรคาร์บอน ก๊าซเหล่านี้คง
ไม่มีผลกระทบต่อโลกถึงเพียงนี้ ถ้าหากมนุษย์ไม่ไปตัดไม้ทำลายป่า อันเป็นเหตุให้การดึงเอาก๊าซ
คาร์บอนไดออกไซด์ออกไปจากระบบบรรยากาศถูกลดทอนประสิทธิภาพลง ในที่สุดสิ่งที่เรากระทำ ก็ส่งผลมา
ส่ตู ัวเราเอง กบั สถานการณป์ จั จบุ ันที่ตอ้ งเผชิญตอ่ ภาวะโลกรอ้ น
ภาวะโลกร้อนได้ส่งผลกระทบในหลายๆด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านนิเวศวิทยา อาทิ น้ำแข็งขั้วโลกละลาย
สภาพอากาศแปรปรวน อุณหภูมิเพิ่มสูงขึ้น อย่างประเทศไทยในช่วง 40 ปีที่ผ่านมาอุณหภูมิเพิ่มสูงขึ้น 1
องศาเซลเซียส และมีการคาดการณ์ว่าอีก 90 ปีข้างหน้า อุณหภูมิผิวโลกจะสูงขึ้นจากปัจจุบันราว 4.5 องศา
เซลเซียส นอกจากนี้ภาวะโลกร้อนยังส่งผลกระทบในด้านเศรษฐกิจด้วย เช่น ธุรกิจท่องเที่ยวที่สำคัญบนเกาะ
เล็กๆของทวปี อเมรกิ า ต้องสญู เสียรายไดจ้ ากการท่นี ้ำทะเลสูงขึ้นและกดั กรอ่ นชายฝัง่ หรือจะเป็นทวีปเอเชีย ที่
เกิดฝนกระหน่ำและมรสุมอย่างรุนแรง รวมถึงความแห้งแล้งในฤดูร้อนที่ยาวนาน ส่งผลต่อความเสียหายทาง
เศรษฐกิจภาวะโลกร้อนยังส่งผลไปถึงสุขภาพของมนุษย์ทั่งโลกอีกด้วยเนื่องจากโลกร้อนเป็นสภาวะที่เชื้อโรค
เจริญเติบโตได้อย่างรวดเร็ว
โลกในปจั จุบนั เป็นโลกแหง่ ยุคโลกาภิวัฒน์ มเี ทคโนโลยใี หม่ๆ เขา้ มามากมาย รวมไปถึงความก้าวหน้า
ทางวิทยาศาสตร์ หลายคนอาจมองว่าวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยีเปน็ สาเหตสุ ำคัญที่ทำใหโ้ ลกใบนี้ต้องประสบ
กับภาวะโลกรอ้ น แต่วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีกลับช่วยใหภ้ าวะโลกร้อนทุเลาลง ผู้สร้างอาจเป็นผู้ทำลายได้
ในขณะเดียวกันผู้ทำลายก็กลายเป็นผู้สร้างได้เช่นกัน เรามาสามารถที่จะทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับภาวะโลก
ร้อนได้ ถ้าหากไม่มีกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเข้ามาเกี่ยวข้อง นักวิทายาศาสตร์ทั่วโลกต่าง
53
พยายามศึกษาผลกระทบที่เกิดจากภาวะโลกร้อนเพื่อหาแนวทางบรรเทาและแก้ไขปัญหาดังกล่าว หากไร้ซึ่ง
พวกเขาเหลา่ น้แี ล้ว ใครกันเลา่ ที่จะเป็นผชู้ ่วยเหลอื โลกใบนี้
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสามารถช่วยบรรเทาภาวะโลกร้อนได้ หากเรานำมาประยุกต์ใช้อย่างตรง
ประเด็นและถูกวธิ ี อาทิการนำสบูด่ ำมาผลิตไบโอดีเซล เราต้องใชก้ ระบวนการวทิ ยาศาสตรใ์ นการวิเคราะห์ถึง
สรรพคุณของสบู่ดำ ว่าสบู่ดำสามารถดัดแปลงมาใช้ประโยชน์ด้านใดได้บ้าง และใช้เทคโนโลยีในกรรมวิธีการ
ผลติ เพือ่ ให้ได้ผลตามเป้าหมาย น่นั คอื ไบโอดเี ซล การนำขยะมาใช้เปน็ ปยุ๋ หรือนำไปรีไซเคิลก็เช่นเดียวกันต้อง
ใช้วิทยาศาสตร์ในการศึกษาและทดลองว่าขยะแต่ละประเภทสามารถนำไปดัดแปลงเป็นอะไรได้บ้าง และใช้
เทคโนโลยีสมัยใหม่ เป็นตัวแปรรูปหรือผลิต หรือจะเป็นในเรื่องของการผลติ พลังงาน อาทิพลังงานที่ใช้ในการ
ขับเคลื่อนเครื่องยนต์ เช่น การนำน้ำมันปาล์มมาผลิตไบโอดีเซล หรือการหมักพืชอย่างมันสำปะหลังและอ้อย
อนั นำไปสู่การผลิตแกส๊ โซฮอล์ ในการวจิ ยั สรรพคุณของมันสำปะหลังและอ้อย รวมไปถึงการคดิ พัฒนาไปสู่แก๊ส
โซฮอล์ จำเป็นอย่างยิ่งที่ตอ้ งใช้วิทยาศาสตรเ์ ข้ามาช่วย และใช้เทคโนโลยีในกระบวนการแปรรูปมันสำปะหลัง
และอ้อยใหเ้ ป็นเอทานอล ก่อนนำไปผลิตเปน็ แก๊สโซฮอล์ 95 และแก๊สโซฮอล์ 91 ซ่ึงสามารถใชแ้ ทนหรือผสม
กบั น้ำมันเบนซนิ 95 และ 91 ได้ แกส๊ โซฮอลเ์ ป็นพลังงานสะอาด จะปล่อยมลพิษทางท่อไอเสยี ต่ำกว่าเบนซิน
ทวั่ ไป ดงั นนั้ แกส๊ โซฮอล์จึงเปน็ ผลดีตอ่ สขุ ภาพของเรา และช่วยลดปญั หาโลกร้อนได้
นอกจากที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว เรายังสามารถนำวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยมี าช่วยสร้างผู้พิทักษ์โลก
นั่นก็คือ “ต้นไม้” ได้อีกด้วย ต้นไม้คือสิ่งเดียวที่ช่วยกลั่นกรองอากาศเสียอย่างก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ใหเ้ ปน็
อากาศดีอยา่ งออกซเิ จนได้ ซ่งึ ในปัจจุบนั จำนวนพื้นทีป่ า่ ของไทยเหลืออยูเ่ พียง 167,590,98 ตารางกโิ ลเมตร
หรอื 33 เปอรเ์ ซน็ ตเ์ ท่านั้น วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยเี ป็นส่ิงเดียวทจ่ี ะช่วยฟืน้ ฟู และขยายพันธุ์พืชได้อย่างมี
ประสิทธภิ าพ เราตอ้ งใชว้ ิทยาศาสตรใ์ นการคดิ คน้ ปรบั ปรงุ พนั ธุ์พืช ให้ได้พันธพ์ ืชทที่ นตอ่ สภาพแวดลอ้ ม มสี ว่ น
ในการเปลี่ยนก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ไปเป็นก๊าซออกซิเจนที่ค่อนข้างสูง และใช้เทคโนโลยี ในกระบวนการ
ผลิตพันธุ์พืชเพื่อให้ได้พันธุ์พืชที่ดี มีคุณภาพ จะเห็นว่าวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นสิ่งที่ต้องควบคู่กันไป
หากขาดสงิ่ ใดส่งิ หน่งึ กไ็ ม่อาจชว่ ยบรรเทาโลกรอ้ นได้
ถึงแม้ว่าเราจะมีวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในการช่วยแก้ไขปัญหาโลกร้อน แต่ผู้ที่เป็นเจ้าแห่ง
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี คือ มนุษย์ดังนั้นทุกคนที่อยู่ร่วมกันบนโลกใบนี้จะต้องร่วมมือกันแก้ไข หยุด ละ
เลิก เป็นผู้ทำลาย เพราะสุดท้ายแล้วผลกระทบทั้งหมดก็ตกมาสู่ตัวเราเอง ใช้ประโยชน์จาวิทยาศาสตร์และ
เทคโนโลยใี นทางทสี่ ร้างสรรคแ์ ละคุม้ ค่า เพอื่ โลกของเราจะไดค้ งอยู่สืบไป
(นางสาวช่อทิพย์ รักธรรม ช้ัน ม.6 โรงเรียนเตรียมอดุ มศกึ ษาภาคใต้ จ.นครศรีธรรมราช)
คน้ จาก https://mgronline.com/science/detail/9510000106986 (9 ก.ย. 2551)
แบบฝึกหัด เรยี งความของฉัน 54
คำชี้แจง : ใหน้ ักเรียนเขียนเรยี งความในประเด็นทเี่ กย่ี วกบั “ความรักชาตหิ รือความสามัคคีของคนในชาติ” ให้มี
องค์ประกอบครบถ้วน มีเนอ้ื หาสอดคลอ้ งกับประเดน็ ที่กำหนดพร้อมตงั้ ชอ่ื เรื่องให้ครอบคลุม
โครงเร่อื งเรยี งความของฉัน
คำนำ ............................................................................................................................................................
............................................................................................................................. ..............................
.............................................................. .................................................................................. ............
เน้อื เรื่อง ............................................................................................................................. ..............................
............................................................................................................................. ..............................
............................................................................................................................................................
............................................................................................................................. ..............................
............................................................................................................................. ...............................
สรปุ ............................................................................................................................................................
............................................................................................................................. ..............................
............................................................................................................................. ...............................
ได้โครงเรอ่ื งแล้ว
ไปเขียนฉบบั สมบูรณ์กันเลย
55
เร่อื ง……………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
56
การเขียนประกาศ
ความหมายของประกาศ
ประกาศ คอื ข้อความทเ่ี ผยแพรใ่ ห้บคุ คลทวั่ ไปทราบท่วั ไป เพ่ือปฏบิ ัตกิ ารอย่างใดอย่างหนึง่
ลักษณะของประกาศ
ประกาศไม่เพียงแตเ่ ปน็ ข้อความทแ่ี จง้ บุคคลท่ัวไป แต่ยังกำหนดข้อท่ีตอ้ งปฏบิ ตั ดิ ้วย
ประเภทของประกาศ
ประกาศแบ่งเปน็ ๒ ประเภท คอื ประกาศท่ัวไปและประกาศตามแบบราชการ
๑. ประกาศท่ัวไป คอื ประกาศทีไ่ มใ่ ชร่ ปู แบบตามแบบราชการ เขยี นขึ้นเพอื่ แจ้งขา่ วสารให้ผู้อ่ืน
ทราบ เช่น ประกาศของหาย ประกาศพบของหาย ประกาศรับสมัครงาน ประกาศขายสินค้า หรือประกาศ
ตา่ ง ๆ ทตี่ อ้ งการแจง้ ให้ทราบ นอกเหนือจากนี้ซง่ึ มีรปู แบบไม่ตายตัว
หลักการเขยี นประกาศทั่วไป
๑. บอกความต้องการให้ชดั เจน
๒. ใหร้ ายละเอียดประกอบตามที่จำเป็น
๓. ใชป้ ระโยคสั้น ๆ เขียนใหใ้ จความกระชับ
๔. ส่งสารให้ให้ผู้รับสารตัดสนิ ใจได้ว่าสมควรตดิ ตามหรอื ไม่
ตวั อยา่ งประกาศทวั่ ไป
รบั สมคั รดว่ น พนกั งานขายฝมี อื ดี
บริษัท อเมริกาขายเคมีภัณฑ์ ตั้งสาขาในประเทศไทยมากว่า ๒๐ ปี ต้องการตัวแทนขายระดับ
หวั หน้า เขตกรุงเทพฯ และต่างจงั หวดั
คุณสมบัติ ๑. อายุ ๓๒ ปขี ึ้นไป
๒. จบปรญิ ญาตรี พาณิชย์ หรือ มธั ยมศึกษาตอนปลาย
๓. มีรถยนต์เปน็ พาหนะ
รายได้ ๕๐,๐๐๐ บาทต่อเดือน พร้อมเงินเดือนประจำ น้ำมันรถ รางวัลพิเศษ โบนัสอีกกว่าหมื่น
บาท ถ้าท่านสนใจงานขาย ขยันทำงานและมีวินัย โปรดส่งประวัติพร้อมรูปถ่ายมาท่ีบริษัท
เอ็น ซี เอช (ประเทศไทย) จำกดั ๕๘๒/๑๒-๑๓ ถนนสขุ มุ วทิ เขตพระโขนง กรุงเทพฯ ๑๐๑๑๐
57
ตัวอยา่ งประกาศท่วั ไป
๒. ประกาศตามแบบราชการ คือ ประกาศท่เี ขียนขึ้นตามแบบท่ีราชการกำหนดประกอบด้วย
๑. หน่วยงานท่ปี ระกาศ
๒. เร่ืองทปี่ ระกาศ
๓. ข้อความท่ีตอ้ งการใหท้ ราบ
๔. วนั เดอื น ปี ทีป่ ระกาศ
๕. ชื่อผู้ประกาศ
๖. ตำแหนง่ ผปู้ ระกาศ
หลกั การเขียนประกาศตามแบบราชการ
๑. ใจความมขี ้นั ตอน คอื
๑.๑ เริ่มเขียนใจความที่เป็นเหตุก่อน คือ เหตุที่ประกาศหรือแจ้งให้
ทราบ ถ้าข้อความนั้นต้องเท้าความหรืออ้างอิงถึงตัวบทกฎหมาย ข้อบังคับ ระเบียบคำสั่ง ความเดิม
ต้องระบุใหช้ ัดเจน เพ่อื สะดวกแก่ฝ่ายผู้รับ จะค้นหามาตรวจสอบได้
๑.๒ ขั้นต่อไปเขียนวัตถปุ ระสงค์และข้อตกลง ถ้ามีหลายข้อให้แยกเปน็ ขอ้ ๆ
เพื่อชัดเจนและเข้าใจไดง้ า่ ย
๒. สำนวนภาษา
๒.๑ การเลือกใช้คำ ใชค้ ำระดับภาษาแบบแผน
๒.๒ ลักษณะประโยค ควรใช้ประโยคสั้น ใช้สำนวนโวหารแบบอธบิ ายอย่าง
สมเหตผุ ล ไมเ่ ขยี นขอ้ ความขัดแย้งกันเอง
๒.๓ แบบประกาศตามแบบราชการ มีกำหนดไว้ชัดแจ้ง ฉะนั้นจึงต้องเขียน
ตามแบบเสมอ
หมายเหตุ ประกาศตามแบบราชการ จะเน้นเผยแพร่ความประสงค์ของเจ้าของประกาศต่อ
สาธารณชน เชน่ เพ่ือส่งั การ, เพอื่ เชญิ ชวน, เพือ่ เตอื น, เพ่อื ห้าม, เพ่ือคดั คา้ น, เพอ่ื ส่งเสริม, เพ่ือนัดหมาย ฯลฯ
58
ตวั อยา่ งประกาศตามแบบราชการ
ประกาศโรงเรยี นบางบัวทอง
เรอ่ื ง มาตรการปอ้ งกันการแพร่ระบาดของเชือ้ ไวรสั COVID -๑๙
---------------------------------------------------------
เพื่อความปลอดภัยของนักเรียน ครู และบุคลากรของโรงเรียนบางบัวทอง รวมทั้งเพื่อเป็นการร่วม
รบั ผิดชอบตอ่ สงั คมในการป้องกนั การแพรร่ ะบาดของเชื้อไวรสั COVID -๑๙ โรงเรยี นบางบวั ทองจึงขอประกาศ
มาตรการปอ้ งกันการแพร่ระบาดของไวรัส ดงั กลา่ ว ดงั นี้
๑. ให้ความรู้แก่นักเรียน ครู และบุคลากรของโรงเรียน เกี่ยวกับมาตรการป้องกันตนเอง ตลอดจน
ข้อมูล เกี่ยวกับการป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัส COVID -๑๙ ตามข้อแนะนำของกระทรวงสาธารณสุข
ด้วยการ กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ สวมหน้ากากอนามัยเมื่ออยู่ในที่ที่เป็นการรวมกันของคนหมู่มาก และ
หลีกเล่ียงการ เดนิ ทางไปยังพ้ืนทเ่ี ส่ียง
๒. แจ้งนักเรียน คณะครูและบุคลากรของโรงเรียน ให้งดการเดินทางไปยังพื้นที่ที่มีการแพร่ระบาด
หรือ พ้ืนทเี่ สี่ยงตอ่ การแพรร่ ะบาดของไวรสั COVID -๑๙ ทง้ั ในและตา่ งประเทศ
๓. ทำความสะอาดพื้นที่ของโรงเรียน ห้องเรียน ห้องน้ำ ห้องสำนักงานด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ เปิดประตู
หน้าตา่ งไว้ในช่วงกลางวนั เพื่อใหแ้ สงแดดส่องถงึ ในพื้นที่ และให้อากาศไดถ้ ่ายเท
๔. โรงเรียนเปิดประตูให้ผ่านเข้า ออกทางเดียว คัดกรองผู้ผ่านเข้า ออกโรงเรียนด้วยการตรวจวัดไข้
และ จัดแอลกอฮอลล์ า้ งมอื ไว้บริการตามจดุ ต่าง ๆ
๕. ให้นักเรียน ครู และบุคลากรของโรงเรียนที่เดินทางกลับจากต่างประเทศ หรือเป็นผู้ที่อยู่ในกลุ่ม
เสี่ยง ทุกคน แจ้งข้อมูลตามความจริงโดยไม่ปิดบังแก่เจ้าหน้าที่ของโรงเรียน หรือครูที่ปรึกษา และต้องพัก
สงั เกตอาการ ของตนอยูก่ ับบ้านอย่างนอ้ ย ๑๔ วนั
๖. รณรงคใ์ ห้นักเรียน ครูและบุคลากรของโรงเรียนทกุ คน ทีเ่ ขา้ ภายในโรงเรียนสวมหนา้ กากอนามัย
๗. งด / เล่อื นกิจกรรมของโรงเรียน ที่มกี ารรวมตัวกนั ของคนเป็นจำนวนมาก
๘. แจ้งขา่ ว ขอ้ มลู ความเคลอ่ื นไหวของการแพรร่ ะบาดของเชื้อไวรัส COVID -๑๙ ที่ไดต้ รวจสอบแล้ว
เป็น อยา่ งดีแกน่ ักเรยี น ครู และบคุ ลากรใหท้ ราบอย่างทันท่วงที
๙. จัดให้โรงเรยี นเป็นพ้ืนท่ีควบคมุ ไม่อนญุ าตให้บุคคลภายนอกที่ไม่มีส่วนเกย่ี วข้องเข้ามาในโรงเรียน
และ ช่วงปิดภาคเรียน หากไม่มีกจิ จำเปน็ ที่ตอ้ งตดิ ต่อกับโรงเรียน กใ็ ห้นกั เรยี นอยู่ในเคหสถาน
๑๐. ใหน้ กั เรยี น ครู และบคุ ลากรของโรงเรียนบางบัวทอง ถอื ปฏิบัติตามความในประกาศนี้
ประกาศ ณ วันที่ ๓ มนี าคม พ.ศ. ๒๕๖๓
........ลายมือชื่อ..............
(นายฉัตรชยั ธรรมครบรุ )ี
ผูอ้ าํ นวยการโรงเรียนบางบวั ทอง
59
60
แบบฝกึ หดั การเขียนประกาศ
คำชีแ้ จง : ให้นักเรียนตอบคำถามต่อไปนี้
1. จงบอกข้อแตกตา่ งระหวา่ งประกาศทางราชการและประกาศทวั่ ไป
............................................................................................................................. .................................................
.................................................................................. ............................................................................................
............................................................................................................................. .................................................
............................................................................................................................. .................................................
..............................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. .................................................
............................................................................................................................. .................................................
2. เลือกศกึ ษาตัวอย่างประกาศทางราชการในใบความรู้ แล้วเขียนขอ้ มลู ตามหัวข้อต่อไปน้ี
๒.๑ หนว่ ยงานทป่ี ระกาศ ……………………………………………………………………………………………………….
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
๒.๒ เร่ืองทป่ี ระกาศ…………………………………………………………………………………………………….……………
........................................................................................................................................................... ...................
๒.๓ ขอ้ ความทตี่ ้องการให้ทราบโดยสรปุ
..............................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. .................................................
..................................................................................................................... .........................................................
๒.๔ วนั เดือน ปี ทปี่ ระกาศ…………………………………………………………………………………………………..
๒.๕. ชือ่ ผปู้ ระกาศ ……………………………………………………………………………………………………………….....
๒.๖ ตำแหน่งผ้ปู ระกาศ……………………………………………………………………………………………………………
3. ใหน้ ักเรยี นเขยี นประกาศทางราชการของเทศบาล แจ้งประประชาชนในเขตเทศบาลว่า จะงดจา่ ยนำ้ ประปา
เนื่องจากเทศบาลจะทำการซ่อมบำรุงท่อประปา ทำให้น้ำประปาไม่ไหล โดยกำหนดหน่วยงาน เรื่อง วันเวลา
เนื้อเรอื่ งทีแ่ จง้ ให้ทราบ วนั เดอื นปที ่อี อกประกาศ ช่ือ และตำแหนง่ ผอู้ อกประกาศเอง ดังนี้
• ชื่อหน่วยงาน...........................................................................................................................................
• เร่ือง........................................................................................................................................................
• วันเวลา...................................................................................................................................................
• เนอื้ เรื่องที่แจ้งให้ทราบ....................เขยี นขอ้ ความฉบบั สมบูรณ์หน้าถัดไป.............................................
• วันเดือนปที อี่ อกประกาศ........................................................................................................................
• ชื่อผู้ประกาศ...........................................................................................................................................
• ตำแหนง่ ผู้ออกประกาศ……………………………………………………………………………………………………………..
61
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
62
การพูดสรปุ แนวคิดจากเรือ่ งทีฟ่ ังและดู
การพูดสรุปแนวคิดจากเรื่องที่ฟังและดู คือ การจับใจความหรือสรุปสาระสำคัญของสารนั้นเพ่ือ
นำเสนอใหแ้ ก่ผูร้ บั สารทราบ อาจเปน็ ขอ้ เท็จจรงิ และขอ้ คิดเหน็ อยา่ งใดอยา่ งหน่ึงหรือท้งั สองอย่างประกอบกัน
หลักการฟงั และการดูทด่ี ี
หลักการฟงั และการดูท่ีดี ได้แก่
๑. ฟังและดูให้ตรงจุดประสงค์ จะทำให้ผู้รับสารรู้จักเลือกฟังหรือดูในสิ่งที่ต้องการและทำให้ตั้งใจรับ
สารเพ่อื ให้ได้ประโยชนต์ ามจุดมุง่ หมายท่กี ำหนด
๒. ฟงั และดูดว้ ยความพร้อม คือ ต้องมีความพร้อมท้ังทางรา่ งกาย จติ ใจ และสตปิ ัญญา
๓. ฟงั และดูอย่างมสี มาธิ คอื มีความตัง้ ใจจดจ่ออยกู่ ับเรอ่ื งที่ฟงั หรือดู ไม่ฟุ้งซา่ นหรือคิดถงึ เรือ่ งอื่น ๆ
4. ฟงั และดโู ดยไม่มีอคติ คอื ไม่มีความลำเอยี ง ซ่งึ ความลำเอียงเกิดจากความรัก ความโกรธ ความหลง
5. ฟงั และดโู ดยใช้วิจารณญาณ คอื การประเมนิ วา่ มีประโยชนห์ รือน่าเชอื่ ถือมากน้อยแค่ไหน
ประเภทของสารท่ใี ช้ในการฟังและดู
๑. สารท่ใี หค้ วามรู้ มีทงั้ ความรทู้ ่วั ไปทไี่ ดย้ ินได้เหน็ ในชวี ิตประจำวัน พจิ ารณาใหร้ อบคอบ
๒. สารที่ใหค้ วามบนั เทงิ ไม่เน้นทเ่ี น้ือหาสาระ จะเนน้ ทคี่ วามสนกุ สนาน เพลดิ เพลนิ แกผ่ ูร้ ับสาร
๓. สารที่ให้ความจรรโลงใจ ก่อให้เกิดสติปัญญา หรือช่วยยกระดับจิตใจของผู้รับสารให้สูงขึ้น ผู้รับ
สารต้องมีวิจารณญาณทเ่ี ชื่อหรอื ปฏบิ ตั ิในสิง่ ทถี่ กู ตอ้ ง
๔. สารที่โน้มน้าวใจ จะออกมาในลักษณะชักชวนให้เห็นดีเห็นงามหรือให้โอนอ่อนตาม ให้เชื่อหรือ
ปฏิบัตติ ามในสิง่ ทผ่ี ้สู ่งสารตอ้ งการ ผู้ฟงั หรอื ผู้ดสู ารต้องมีวจิ ารณญาณให้รอบคอบ เชน่ การดูโฆษณาสินคา้
ขน้ั ตอนในการพดู สรปุ แนวคิดจากเรอ่ื งทฟี่ ังและดู มีดงั น้ี
1. ตั้งใจฟังและดูสารนั้นอย่างมีสมาธิเพ่ือเก็บสาระสำคัญ ว่าเป็นเรื่องอะไร ใครทำอะไร ที่ไหน
เมือ่ ไหร่ อยา่ งไร และผลเปน็ อยา่ งไร โดยนักเรียนต้องลำดับเหตุการณแ์ ละความสัมพันธข์ องสารท่ีได้
2. พิจารณาหาแนวคิดสำคัญจากสาระสำคัญที่ได้จากการฟังและดู ในบางครั้งแนวคิดสำคัญหรือ
แกน่ เร่ืองจะปรากฏใหเ้ ห็นชดั เจนหรอื บางคร้ังอาจแฝงอยใู่ นสารต้องพิจารณาอย่างถีถ่ ว้ นจึงจะพบ
3. กลั่นกรองแนวคิดที่ได้ ขั้นตอนนี้เป็นการสรุปรวบยอดของสาระทั้งหมดให้เป็นประเด็น แล้วขยาย
ความใหส้ อดคลอ้ งเหมาะสมกับชื่อเร่ืองของสารท่ีฟงั และดู
4. วิเคราะห์การใช้ภาษาว่าใช้ถ้อยคำได้เหมาะสมกับเนื้อหาเรื่องราวหรือไม่ มีความเหมาะสมกับ
จดุ มุง่ หมาย แนวคดิ ท่ีตอ้ งการนำเสนอหรือไม่ อย่างไร การใชภ้ าษาในสารนน้ั ส่งผลตอ่ ความนา่ เชื่อถือหรือไม่
5. เขียนบทพูดโดยสรุปสาระสำคัญ แนวคิด การวิเคราะหก์ ารใช้ภาษา และความน่าเช่ือถอื ที่ไดจ้ าก
การฟังและดูสาร ควรใช้ภาษาทเี่ ขา้ ใจงา่ ย สือ่ ความหมายได้ชัดเจนเหมาะสมกบั ผฟู้ ังและกาลเทศะ
6. เริ่มพูด นักเรียนพูดสรุปสาระสำคัญ แนวคิด การใช้ภาษาจากเรื่องที่ฟังและดู จากนั้นประเมิน
ความนา่ เชือ่ ถือของสาร ประเมนิ การพดู ของตนเอง และประสบการณท์ ่ีไดร้ บั จากการพดู
63
การพดู แสดงความคดิ เห็นจากเรอ่ื งทฟ่ี งั และดู
การพดู แสดงความคิดเห็นจากเรอื่ งท่ีฟังและดู คือ การพูดเพื่อแสดงความคดิ สือ่ สารความคิดของตน
ในเรื่องใดเรื่องหนึ่งไปยังผู้ฟัง การพูดแสดงความคิดเห็นแต่ละครั้งนักเรียนต้องคำนึงหลักการพูดที่ดี
จุดม่งุ หมาย ผู้รบั สาร โอกาส การลำดับความคดิ และการใช้ภาษา
การเตรียมตวั ก่อนการพูดแสดงความคิดเห็นเรอื่ งทไี่ ดฟ้ งั และดู
1. ฟังและดูอย่างละเอียดเพื่อให้ได้ข้อมูลว่าใครทำอะไร ที่ไหน เมื่อไหร่ อย่างไร และผลเป็นเช่นไร
รวมทั้งพิจารณาวธิ กี ารนำเสนอเพือ่ ใหน้ ักเรยี นเขา้ ใจและจบั สาระสำคัญของเร่อื งได้
2. ฟังและดูด้วยการพินิจพิเคราะห์และใช้วิจารณญาณ เพื่อให้เข้าใจความหมายหรือนัยต่าง ๆ ที่
สอดแทรกไวใ้ นถ้อยคำ สำนวน โวหารภาพพจน์ รวมถึงการพิจารณาถงึ นำ้ เสียงของผพู้ ูดทต่ี อ้ งการส่ือถึงผู้ฟงั
3. ประเมนิ ข้อเทจ็ จรงิ ความคดิ เหน็ และความรสู้ กึ ของสารท่ไี ดฟ้ ังและดูอย่างเป็นเหตเุ ปน็ ผล
4. การเรียบเรียงถ้อยคำในการพูด ผู้พูดต้องเลือกใช้ถ้อยคำภาษาให้ถูกต้องตรงตามความหมาย ตาม
วัตถปุ ระสงค์ ใชภ้ าษาใหเ้ หมาะสมกับระดับของบคุ คลและกาลเทศะ
ขนั้ ตอนการพดู แสดงความคดิ เห็นจากเร่อื งที่ฟงั และดู
สามารถแบ่งได้ 3 ขน้ั ตอน คอื การเกรน่ิ นำ การสรปุ เรือ่ ง และการแสดงความคดิ เห็น ดังน้ี
1. การเกริ่นนำ นักเรียนอาจกล่าวถึงส่วนที่เป็นเรื่องราวต่าง ๆ ที่มา ความจำเป็น หรือเหตุการณ์
กอ่ นทจ่ี ะนำเข้าสู่การแสดงความคิดเห็นนนั้ ๆ เช่น อาจเกิดจากความประทับใจที่ได้ฟังหรือดูภาพยนตร์
2. การสรุปเรื่อง คือ การพูดกลั่นกรองเรื่องราวที่ได้ฟังและดูทั้งหมดอย่างย่อให้ผู้ฟังทราบเรื่องราว
อย่างคร่าว ๆ
3. การแสดงความคิดเห็น ประกอบด้วย ข้อมูลอันเป็นข้อเท็จจริงกับการแสดงอารมณ์ ความรู้สึก
ความคดิ และข้อสันนษิ ฐานนัน้ ออกมาใหผ้ ูฟ้ งั ได้รบั รู้
ประโยชน์ของการพูดสรุปแนวคิดและแสดงความคิดเห็นจากเรือ่ งที่ฟังและดู
๑. เพื่อการนำไปใช้ เช่น เพื่อข้อมูลที่ได้มาเขียนเรียงความ เพื่อช่วยทบทวนความรู้ ความคิด และ
ความจำ เพอ่ื นำใจความสำคัญไปใชใ้ นการติดตอ่ ส่ือสาร ชว่ ยใหก้ ารฟังและการดไู ดผ้ ลดีย่งิ ข้ึน
๒. เพื่อความเพลิดเพลิน ได้แก่ การรับสารเพื่อความสนุกสนาน ผ่อนคลายความตึงเครียด ฝึกสมาธิ
ของตนเองให้มีความเขม้ แข็ง
๓. เพื่อความจรรโลงใจ ได้แก่ การรับสารท่ีก่อให้เกดิ สติปัญญาหรอื ช่วยยกระดบั จิตใจใหส้ งู ขึ้น ผู้รับ
สารตอ้ งมีวจิ ารณญาณท่จี ะเชอ่ื หรอื ปฏบิ ตั ิในส่ิงท่ีถูกต้อง
๔. เพอื่ ประเมินผลและวจิ ารณ์ ได้แก่ การรบั สารท่ีตอ้ งอาศยั ความร้อู ยา่ งละเอยี ด ถกู ต้องในเร่อื งท่ีจะ
ประเมินหรือวจิ ารณ์ นอกจากนัน้ ต้องมีความเปน็ ธรรม ไมม่ อี คตติ อ่ ผสู้ ่งสารหรือตัวสาร
64
ตวั อยา่ งการพดู สรุปแนวคิดและแสดงความคดิ เหน็ จากเร่ืองท่ฟี ังและดู
สวสั ดคี รับเพื่อน ๆ ทีร่ กั ทุกคน
วันนี้ผมมีภาพยนตร์เรื่องดี ๆ ที่น่าประทับใจมาเล่าให้
เพื่อน ๆ ฟังครับ เมื่อวานนี้ผมไปดูภาพยนตร์เรื่องก้านกล้วยรอบ
14.10 น. คนเกือบเต็มโรง ว่างประมาณ 10 ที่นั่ง กันตนาผลิต
การ์ตูนมาตรฐานดี ๆ มีประโยชน์ และเกี่ยวข้องกับสิ่งที่ผมกับ
เพื่อน ๆ ได้เรยี นกันในวชิ าภาษาไทยเรอื่ ง ลิลติ ตะเลงพ่าย
มาพูดถึงหนังก้านกล้วย 2 เป็นเรื่องต่อจากภาคก่อน
กล่าวถึงก้านกล้วย ลูกช้างกำพร้าที่ออกติดตามพ่อที่ไม่เคยเห็นหน้า
จนกระทั่งเข้าไปเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์และการกอบกู้ชาติของ
พระนเรศวร
ต่อมาก้านกล้วยได้เป็นช้างทรงออกศึกในสงครามยุทธหัตถี แต่สงครามเกิดขึ้นตลอดเวลา ก้านกล้วย
ออกศึกจนไม่มีเวลาให้ครอบครัว ชบาแก้วจึงหนีกลับบ้าน ระหว่างทางเกิดออกลูกแฝด ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับท่ี
ทหารพมา่ ไลก่ วาดต้อนเชลยศึกตามแนวชายแดนอยุธยา เพอ่ื ไปเปน็ แรงงาน ชบาแกว้ และลกู ๆ ถกู กวาดต้อนไป
ด้วย ก้านกลว้ ยจงึ ตดั สนิ ใจหนที พั เดินทางไปเมอื งหงสาวดี และตอ้ งตอ่ ส้กู บั พ่อมดพม่า
หนงั เร่อื งนี้มแี นวคดิ ที่พูดถงึ ความรักและความรับผิดชอบของก้านกล้วยทั้งในฐานะ “ข้าแผน่ ดนิ ” และ
ฐานะของ “หัวหน้าครอบครัว” ก้านกล้วยตัดสินใจรีบเดินทางไปช่วยเหลือครอบครัวก่อน เมื่อช่วยเหลือให้ลูก
เมียปลอดภัยแล้ว ก็เดินทางกลับมาแสดงความรับผิดชอบ ยอมรับคำตัดสิน ในความผิดที่ตัว เองละทิ้งหน้าที่
การงานไป สง่ิ ทีเ่ กดิ ขึน้ ทำใหผ้ ชู้ มคิดได้วา่ เมอ่ื ทำผิดแลว้ ตอ้ งกลา้ ที่จะยอมรบั ผิด ฉากที่กา้ นกล้วย ชบาแก้ว และ
ลูกทั้งสอง เดินทางมารับคำตัดสิน ดูแล้วได้ใจ แต่ก็สะเทือนใจพอสมควร การที่จะทำอย่างนี้ได้ แสดงว่า
ก้านกล้วยต้องมีความกล้าหาญทางจริยธรรมสูงมากทีเดียว ทั้งนี้แล้ว ทั้งหมดทั้งมวลนั้นเป็นเสมือน “อุดมคติ”
ทห่ี นังตอ้ งการจะส่งผา่ นบอกคนดถู งึ “คุณค่าและความหมาย” ทีม่ นษุ ย์ทัง้ หญิงหรือชายทุกคนควรจะเปน็
หนังเรมิ่ ดว้ ยบรรยากาศสวยงามมาก ๆ ทิวทัศนน์ ่าสนใจ และนำ้ ตกใสเป็นฉากเปิดตวั ภาพยนตร์ ที่น่า
ประทับใจ คือ มีน้าจิ้งหรีดถามความพร้อมของผู้ดู เพื่อให้ผู้ดูโดยเฉพาะเด็ก ๆ ตอบว่า “พร้อมแล้ว” ทำให้ได้
อรรถรสในการดูมาก ต้องบอกเลยวา่ เพลงในหนงั แตล่ ะเพลงเพราะมาก ๆ ใหค้ ุณคา่ ทางอารมณใ์ นการดูหนังได้ดี
มากเลยทีเดยี ว หนงั เรม่ิ เล่าเรอื่ งได้ดี โทนสีและภาพการเคลือ่ นไหวดีกว่ากา้ นกลว้ ยภาคแรกมาก
บทภาพยนตร์ก็ดีด้วยเพราะไม่นำฉากในเรื่องราวสมเด็จพระนเรศวรหรือในพงศาวดารมาใส่ในหนัง
มาก เรื่องนี้ทำได้ดีเหมาะกับเด็ก ๆ และเยาวชน มีมุขตลกทำให้อมยิ้ม ที่ชอบมากที่สุดในหนัง คือ ฉากการสู้รบ
ระหว่างเมืองหงสาวดีกับอยุธยา ฉากนี้ประณีตมาก ๆ ทั้งฉากท้องพระโรงที่มีลายกนก ลวดลายสวยงาม หนัง
เร่ืองนเ้ี ราเปรยี บเทยี บกบั หนังฮอลลีวูด้ ได้ทัง้ เน้ือหา บท รูปแบบ และความประณตี
ก้านกล้วย 2 เป็นภาพยนตร์ที่คนไทยควรภาคภมู ิใจ เพราะในภาค 2 นี้ ถือว่าทำได้ออกมาดีเกินคาด
งานออกมาประณตี สดุ ทา้ ยนี้ผมขอแนะนำให้เพ่ือน ๆ ไปชมกันเยอะ ๆ นะครบั ขอบคุณครบั
65
แบบฝึกหัด การพูดสรุปแนวคดิ และแสดงความคดิ เห็นจากเรื่องที่ฟังและดู วดิ ที ศั น์เพลง “สมรภมู ิสดุ ทา้ ย”
ช่องทางชมวิดีทัศน์ : https://www.youtube.com/watch?v=kfrOuVCpGQk
เนื้อเพลง : สมรภูมสิ ุดทา้ ย
ขับรอ้ งโดย : สงกรานต์ รังสรรค์
ก่อนตะวันจะลา ก่อนที่ฟ้าจะเปลี่ยน จะพลิกชะตา ทำให้โลกได้เห็น ก่อนชีวิตจะจบ จะไม่ยอมพ่ายแพ้
ให้ธรณีเป็นพยานเอาไว้ ฉันจะสู้ โลกไม่เคย จะจดจำคนขี้ขลาด วิ่งหนีทิ้งใจให้หมดหวัง ถ้าในวันนี้หัวใจยัง
เต้นอยู่ จะกลัวไปทำไม จะกลัวไปทำไม
ฉันพร้อมยอมแลกเดิมพันด้วยชีวิต ไม่เคยคิดจะยอมจำนน แต่จะสู้สุดใจที่มี มันคือเดิมพันที่วางด้วย
ศักดิ์ศรี นาทีสุดท้ายจะเป็นยังไง จะเผชิญมันไปให้รู้กัน จะสู้ให้โลกจารึกว่าใคร ทำให้มีความหมาย ให้ได้มี
วันพรงุ่ นี้
หักความกลัวทั้งหมด ด้วยความกล้า เหนื่อยแค่ไหน จะไม่ยอมหยุดยั้ง เสี่ยงแค่ไหนก็ตาม โชคชะตา
ขีดไว้ ด้วยมือเราเอง จนถึงวันสุดท้าย ย้ำในใจ โลกไม่เคย จะจดจำคนขี้ขลาด วิ่งหนีทิ้งใจให้หมดหวัง
ถา้ ในวันน้หี ัวใจยังเตน้ อยู่ จะกลัวไปทำไม จะกลัวไปทำไม
ฉันพร้อมยอมแลกเดิมพันด้วยชีวิต ไม่เคยคิดจะยอมจำนน แต่จะสู้สุดใจที่มี มันคือเดิมพันที่วางด้วย
ศักดิ์ศรี นาทีสุดท้ายจะเป็นยังไง จะเผชิญมันไปให้รู้กัน จะสู้ให้โลกจารึกว่าใคร ทำให้มีความหมาย ให้ได้มี
วนั พรงุ่ น้ี
ขุนเขายังยืนอยู่ ท่ามกลางพายุร้าย ตราบที่เรายังสู้ สมรภูมิสุดท้าย ขุนเขายังยืนอยู่ (สูงเสียดฟ้า
เท่าไหร่) ท่ามกลางพายรุ ้าย (ท่ามกลางพาย)ุ (จะไปใหถ้ ึง) ตราบทเ่ี รายงั สู้ (ชยั ชนะ) สมรภมู ิสดุ ท้าย
มันคือเดิมพันที่วางด้วยชีวิต ไม่เคยคิดจะยอมจำนน แต่จะสู้สุดใจที่มี มันคือเดิมพันที่วางด้วยศักดิ์ศรี
นาทีสุดท้ายจะเป็นยังไง จะเผชิญมันไปให้รู้กัน ฉันพร้อมยอมแลกเดิมพันด้วยชีวิต ไม่เคยคิดจะยอมจำนน
แตจ่ ะสูส้ ุดใจท่ีมี มนั คือเดมิ พนั ทีว่ างดว้ ยศักดิ์ศรี จนนาทีสดุ ทา้ ย จะเผชิญมนั ไปใหร้ ู้กัน จะสู้ให้โลกจารึกว่าใคร
ในสมรภมู สิ ดุ ท้าย ใหไ้ ด้มวี ันพรงุ่ นี้
................จบเพลง.................
66
แบบบันทกึ บทพดู แสดงแนวคดิ จากการฟังและดูวิดที ศั น์เพลง “สมรภมู ิสุดทา้ ย”
วนั /เดอื น/ปีที่บนั ทึกผล……………………………………….
เรอื่ ง………………………………………………………………………………………………….…………………………………………….…
ประเภทของสาร.................................................................................................................................................
สาระสำคัญทไ่ี ด้
............................................................................................................................. ...............................................
.................................................................................... ........................................................................................
............................................................................................................................. ...............................................
คต/ิ ข้อคดิ ทไี่ ด้
............................................................................................................................. ...............................................
............................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. ...............................................
แบบบนั ทึกบทพดู แสดงความคิดเห็นจากการฟังและดูวิดีทัศน์เพลง “สมรภูมสิ ดุ ท้าย”
(สว่ นเกริน่ นำ)…………………………………………………………………………………………………………….…………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
(แก่นเร่ือง)…………………………………………………………………………………………………………….………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
(เขียนแสดงความคิดเหน็ )………………………………………………………………………………………………………………..
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…..………………………………………………………………………………………………………………………………………….……
…….………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
……...
67
การพดู ในท่ปี ระชุม
การประชุม คือ กิจกรรมของบุคคลกลุ่มหนึ่งซึ่งได้มาพบปะกันตามกำหนดนัดหมาย โดยมี
วัตถปุ ระสงคต์ ่าง ๆ กัน เชน่ เพือ่ แลกเปลยี่ นความรู้ ความคดิ เพื่อแกป้ ญั หา เปน็ ต้น ผูเ้ ข้าประชมุ แต่ละคนเปน็
ได้ทั้งผู้รับสารและผู้ส่งสาร ส่วนความรู้ ข้อมูล ข้อเท็จจริง ข้อคิดเห็น อารมณ์ ความรู้สึกที่แสดงออกมาในที่
ประชุม คอื “สาร” น่นั เอง
ศพั ท์ทีใ่ ช้ในการประชุม
1. ศัพท์เก่ียวกับรปู แบบของการประชุม
1.1 การประชุมเฉพาะกลุ่ม คือ การประชมุ เฉพาะผู้มสี ิทธแิ์ ละหน้าทเ่ี ทา่ นั้น
1.2 การประชมุ ตามปกติ คือ การประชมุ ทท่ี ำตามกำหนดนัดหมายกันไว้ล่วงหนา้ อย่างแน่นอน
1.3 การประชุมพิเศษ คือ การประชมุ ทีก่ ำหนดขึน้ นอกเหนือไปจากการประชมุ ตามปกติ
1.4 การประชมุ สามญั คือ การประชมุ ทข่ี ้อบังคบั กำหนดไวต้ ายตัว
1.5 การประชมุ วิสามัญ คือ การประชุมทีข่ ้อบังคับเปิดโอกาสให้ทำไดต้ ามความจำเป็น
1.6 การประชมุ ลับ คือ การประชุมที่จะเปิดเผยไดเ้ ฉพาะมติหรอื ขอ้ ปฏบิ ัตเิ มื่อถึงกำหนดเท่าน้นั
1.7 การประชมุ ปรึกษา คอื การประชุมเพ่ือปรึกษาหารอื เช่น วางนโยบาย เสนอแนะแนวทางปฏิบัติแลว้ สรุปผล
1.8 การประชุมปฏิบัติการ คือ การประชุมของคณะบุคคลที่ปฏิบัติงานประเภทเดียวกัน เพื่อแสวง
ความรู้ ความเขา้ ใจ และแนวทางปฏิบตั ิงานใหบ้ งั เกิดสมั ฤทธิ์ผลสงู สุด
1.9 การประชุมสัมมนา คือ การประชุมเฉพาะกลุ่มแบบหนึ่งตามหัวข้อที่กำหนด เพื่อประมวลข้อคิด
และเสนอแนะจากที่ประชุม ผเู้ ข้ารว่ มสัมมนาจะมาจากแหล่งตา่ ง ๆกัน
1.10 การประชุมชี้แจง คือ การประชุมที่ผู้รับผิดชอบของหน่วยงานเรียกบุคคลที่เกี่ยวข้องใน
หนว่ ยงานน้ันมารบั ทราบข้อเทจ็ จริง แนวทางการปฏบิ ตั ิ โดยไมม่ กี ารอภปิ รายแลกเปล่ียนความคดิ เห็นโดยตรง
1.11 การประชุมใหญ่ คอื การประชุมที่เปิดโอกาสใหส้ มาชกิ ขององคก์ ารทั้งหมดเขา้ รว่ มแสดงความ
คดิ เหน็ ตามเวลาที่กำหนดไวใ้ นข้อบงั คบั องค์การน้นั ๆ
2. ศัพทท์ ี่ใชเ้ รยี กบุคคลทีเ่ กย่ี วข้องกับการประชุม
2.1 ผู้จดั ประชุม คอื ผรู้ เิ ร่มิ ให้มีการจัดประชุม
2.2 ผมู้ ีสิทธิเ์ ขา้ ประชมุ คือ ผู้มีสิทธห์ิ รือได้รับเชญิ ใหเ้ ข้าประชมุ
2.3 ผู้เข้าประชุม คอื บุคคลที่ปรากฏตัวอยู่ ณ ท่ปี ระชุม
2.4 องค์ประชุม คือ จำนวนผ้เู ข้าประชมุ โดยทวั่ ไปต้องไมน่ ้อยกว่ากงึ่ หน่ึงของสมาชิกทง้ั หมด
2.5 ประธาน คอื ผู้ที่ทำหน้าท่คี วบคุมการประชุมท้ังหมด
2.6 รองประธาน คอื ผู้ที่ทำหนา้ แทนประธาน เมือ่ ประธานไม่อยู่
2.7 เลขานุการ คือ ผู้ทำหน้าที่จัดระเบียบวาระการประชุมและบันทึกรายงานการประชุม โดย มี
ผชู้ ว่ ยเลขานุการชว่ ยปฏบิ ัตงิ าน พร้อมทัง้ อำนวยความสะดวกต่าง ๆ
2.8 กรรมการ คือ ผู้ทำหนา้ ท่ีพิจารณาเรอ่ื งท่อี ยู่ในวาระการประชมุ และต้ังข้อเสนอเพื่อให้ทป่ี ระชมุ
พิจารณาโดยมีคณะอนุกรรมการช่วยทำหน้าท่ีเฉพาะเร่ืองใดเรือ่ งหนงึ่
68
2.9 พิธีกร คอื ผคู้ วบคมุ ดูแลความเรียบร้อยของท่ปี ระชุมในการประชมุ สาธารณะ
2.10 ที่ประชมุ คือ บรรดาผเู้ ข้าประชมุ ท้ังหมด
2.11 เหรญั ญิก คือ ผทู้ ำหนา้ ทีด่ า้ นการเงิน
3. ศพั ท์ทใ่ี ชเ้ รียกเรอื่ งท่ีประชุม
3.1 ระเบียบวาระ คือ เรอื่ งที่นำเข้าทีป่ ระชุมของคณะกรรมการในการประชุมเฉพาะกล่มุ กำหนดเป็น
วาระท่ี 1 ... วาระที่ 2...ฯลฯ
3.2 กำหนดการประชุม คอื เร่อื งที่นำเขา้ ทป่ี ระชมุ ของคณะกรรมการในการประชุมเฉพาะกลุม่ และมี
เรือ่ งสำคญั ท่ปี ระชุมกนั เพียงเรื่องเดยี ว
3.3 หมายกำหนดการ คือ เอกสารแจ้งกำหนดข้ันตอนของงานพระราพธิ โี ดยเฉพาะ
3.4 กำหนดการ คอื เอกสารแจ้งกำหนดขนั้ ตอนของงานทัว่ ไปท่ีทางราชการหรือเอกชนจัดข้นึ
4. ศัพท์ทีใ่ ชเ้ รยี กวธิ ีการสือ่ สารในการประชมุ
4.1 เสนอ คอื ผ้เู ข้าประชุมมีสิทธิ์ทจ่ี ะเสนอเร่ืองใดเร่ืองหน่งึ ให้ท่ีประชุมพิจารณา
4.2 ข้อเสนอ คอื เรื่องที่เสนอในท่ปี ระชมุ
4.3 สนบั สนุน คือ การเห็นด้วยกบั ขอ้ เสนอในท่ีประชุม
4.4 คดั คา้ น คือ การไม่เหน็ ดว้ ยกับขอ้ เสนอในที่ประชมุ
4.5 การอภิปราย คอื การแสดงความคิดเห็นในที่ประชุม
4.6 ผ่าน คือ ข้อเสนอทีท่ ป่ี ระชุมยอมรับ
4.7 ตก คอื ข้อเสนอท่ีทปี่ ระชุมไมย่ อมรบั
4.8 มติ คือ การขอความคดิ เห็นจากผู้ทีเ่ ขา้ ประชมุ เพื่อหาข้อยุติ
4.9 มตขิ องทีป่ ระชมุ คือ ข้อตดั สนิ ใจของท่ีประชุมเพ่ือให้นำไปปฏิบตั ิ
4.10 มติโดยเอกฉนั ท์ คือ มติท่ีผู้เข้าประชมุ เหน็ พ้องต้องกันทุกคน
4.11 มตโิ ดยเสยี งข้างมาก คือ มตทิ ี่ผู้เข้าประชุมส่วนใหญเ่ หน็ ดว้ ยกับข้อตดั สนิ ใจน้ัน
วธิ สี อ่ื สารและการใชภ้ าษาในการประชุม
การใชภ้ าษาในที่ประชุมข้ึนอยู่กับรูปแบบของการประชุม ซึ่งอาจเปน็ การประชุมที่ไม่เป็นทางพิธีการก็
ได้ การใช้ภาษาของผู้เข้าประชุม การประชุมอย่างเป็นกันเอง ภาษาที่ใช้ประชุมก็จะเป็นลักษณะสนทนา แต่
ต้องใช้คำพูดที่สื่อความหมายได้ชัดเจน ส่วนการประชุมที่เป็นทางการ จะต้องระมัดระวังการใช้ภาษาของ
ตนเองให้มากยิ่งขึ้น ควรมีคำว่า “ขอ” ใช้เสมอในการประชุม เพราะแสดงถึงความสุภาพ เช่น ผมขอเสนอว่า
ดฉิ ันขอใหเ้ ลือ่ นการพิจารณาเรอื่ งน้ีไปคราวหน้า
การจดั สถานท่ปี ระชุม
การจดั หอ้ งประชมุ หรือสถานทป่ี ระชมุ นนั้ สามารถจัดได้หลากหลายรูปแบบ จดั ใหถ้ กู ใช้งานให้ตรงเป้า
เพื่อการประชมุ ทีม่ ปี ระสิทธิภาพ เช่น
1. การจัดห้องประชุมแบบเธียเตอร์ (Theater Style) เป็นการจัด
ห้องประชุมที่ยึดรูปแบบมาจากโรงหนัง เหมาะสำหรับการประชุมที่มีประธาน
หรือผู้พูดเพียงคนเดียว และมีเข้าร่วมฟังเป็นจำนวนมาก ลักษณะการจัด
69
คือ จัดให้เก้าอี้ทุกตัวหนั หน้าไปทางเวทีแบบสลับฟันปลา โดยไม่ตอ้ งมโี ต๊ะ มุ่งเนน้ ให้ผู้พูดเป็นจุดสนใจเพียงจุด
เดียวของผู้เข้าร่วมประชุม ถ้าอยากให้ผู้เข้ารว่ มการประชุมสามารถมองเห็นส่วนของเวทีได้อย่างชัดเจน ก็ควร
เลอื กสถานที่ทม่ี ีพนื้ เปน็ แบบขน้ั บันไดหรอื อฒั จนั ทร์ งานสัมมนาอบรมตา่ ง ๆ นิยมจัดห้องประชมุ ประเภทน้ี
2. การจดั ห้องประชุมแบบเก้าอ้วี งกลม (Circle Style) การจดั
ห้องประชุมประเภทนี้ไม่ต้องใชโ้ ต๊ะ ใช้เก้าอ้ีเพยี งอยา่ งเดยี วเหมาะสำหรบั
กิจกรรมตา่ ง ๆ ทไ่ี มเ่ ป็นทางการ เชน่ กิจกรรมค่ายเยาวชน การเวิร์กช้อป
เรียนการแสดง การประชุมงานกลุ่มของนักเรียน เพื่อแสดงความคิดเห็น
ปรึกษาปัญหาร่วมกัน ลักษณะการจัด คือ การจัดวางเก้าอี้ต่อ ๆ กันเป็น
วงกลม เว้นพนื้ ท่ีจุดหนึ่งไวส้ ำหรบั ประธานหรือผดู้ ำเนนิ การประชมุ นน้ั ๆ
3. การจัดห้องประชุมแบบห้องเรียน (Classroom Style)
เหมาะสำหรบั การประชมุ ที่ผู้เข้ารว่ มประชุมจะต้องมีการจดบนั ทึก มี
การใช้โน้ตบุ๊ก ไมเ่ หมาะกบั การประชุมท่ีต้องมีการระดมความคิด และ
งานทตี่ อ้ งทำกิจกรรมกลุ่ม ลกั ษณะการจดั คือ จัดเตรียมโต๊ะและเก้าอี้
ของผู้เข้าร่วมประชุมหันหน้าเข้าหาเวที จอภาพ หรือที่ที่ผู้พูดใช้ยืน
บรรยาย อาจตกแต่งโต๊ะด้วยผ้าคลุม เตรียมน้ำเตรียมขนมไว้ให้
สำหรับงานสมั มนา หรอื งานประชุมทีจ่ ะเกิดขึ้น
4. การจัดห้องประชุมแบบบอร์ดรูม (Boardroom Style)
เหมาะสำหรบั การประชุมท่ีผเู้ ขา้ ร่วมประชมุ ต้องปรึกษาหารือและระดม
ความคิดกัน ลักษณะการจัด คือ การจัดให้มีโต๊ะสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่
กลางห้องแล้วนำเก้าอี้มาจัดวางล้อมรอบโต๊ะนั้น จะเห็นการจัดห้อง
ประชุมในรูปแบบนี้ค่อนข้างมากตามบริษัท เพราะการจัดห้องประชุม
แบบบอร์ดรูมเหมาะสำหรับการประชุมที่ต้องระดมความคิด หรื อ
ปรึกษาหารือกัน ผู้เข้าร่วมประชุมจะได้สามารถสื่อสารกันได้อย่างสะดวก และได้เห็นสีหน้าท่าทีของผู้เข้าร่วม
ประชุมคนอน่ื ๆ ได้อยา่ งชัดเจน
5. การจดั หอ้ งประชุมแบบโต๊ะกลมวงปดิ (Banquet Style)
เหมาะสำหรับงานที่ต้องการให้ผู้เข้าร่วมได้มีการพูดคุยสนทนากันได้
อย่างสะดวก มีการแบ่งกล่มุ แบง่ โต๊ะกันอยา่ งชัดเจน ลกั ษณะการจดั คือ
การจัดห้องประชุมโดยใช้โต๊ะกลมวงปิด จัดที่นั่งให้หนึ่งโต๊ะสามารถน่ัง
ได้ 6-10 คน หรอื ที่เราชอบเรียกกันวา่ โต๊ะจนี ขอ้ เสยี ของการจัดแบบน้ี
คอื จะมีผเู้ ข้าร่วมบางกล่มุ ท่ตี อ้ งนง่ั หนั หลงั ใหเ้ วที
๖. การจัดห้องประชุมแบบโต๊ะกลมวงเปิด (Cabaret Style)
เหมาะสำหรับงานที่ต้องการให้ผู้เข้าร่วมได้มีการพูดคุยสนทนากันได้อย่าง
สะดวก (ส่วนตัวภายในโต๊ะเท่านั้น) พร้อมกับที่ต้องการให้ผู้เข้าร่วมสามารถ
มองเห็นเวทีได้สะดวกมากขึ้น ลักษณะการจัด คือ การจัดเหมือนการจัดห้อง
70
ประชุมแบบโต๊ะกลมวงปิดแทบทุกอย่างเพียงแต่จัดให้เหลือเก้าอี้ 4-5 ตัวต่อโต๊ะหนึ่งตัวเท่านั้น เพื่อไม่ให้
ผู้เข้ารว่ มการประชมุ ตอ้ งนงั่ หันหลังใหเ้ วที หรือจอภาพทที่ ำใหผ้ ้เู ข้าร่วมประชมุ ตอ้ งคอยหนั ตัวตลอด
7. การจัดห้องประชุม U shape (U-Shape Style)
เหมาะสำหรับงานขนาดเล็ก-กลางที่วิทยากรหรือผู้บรรยาย
ต้องการใกล้ชิดผู้ฟัง สามารถเดินเขา้ ไปหาผูฟ้ ังได้ง่าย ลักษณะการ
จัด คือ การจัดวางโต๊ะให้มีลักษณะเป็นตัว U เว้นที่ว่างบริเวณ
ดา้ นหนา้ ไวส้ ำหรบั ผพู้ ูด ผบู้ รรยาย อาจมีการจดั ซอ้ นแถวให้เป็นตัว
ยู 2 ตัวซ้อนกัน ในกรณีที่มีผู้เข้าร่วมประชุมเป็นจำนวนมาก แต่ก็
ไม่ควรเกินมากไปกว่านี้เพราะจะเปลืองพื้นที่ และทำให้ผู้บรรยาย
ไม่สามารถบรรยายได้อย่างทั่วถึง รวมทง้ั อาจเกดิ ปญั หาการมองไม่เห็นของผเู้ ข้าร่วมประชุมทีอ่ ยู่แถวหลัง
องค์ประกอบของการประชุม
1. ระเบียบวาระการประชมุ คือ การกำหนดหัวข้อเร่ืองทจี่ ะพจิ ารณาร่วมกนั ในท่ปี ระชุม
2. จดหมายเชิญประชมุ คือ หนังสอื แจง้ ผทู้ ่ตี ้องเข้ารว่ มประชมุ และผ้ทู เ่ี กีย่ วข้องทราบ
3. ประธานทป่ี ระชุม คอื ผู้นำการประชุม
4. องค์ประชุม คือ สมาชิกผู้มีหน้าท่ีเขา้ ประชมุ
5. ผู้เขา้ รว่ มประชุม คือ ผเู้ ขา้ ประชมุ เฉพาะกจิ
6. ครบองค์ประชุม คอื มสี มาชกิ 2/3 ของจำนวนท้ังหมด ถา้ ต่ำกว่ามติท่ไี ดถ้ ือเป็นโมฆะ
7. เลขานุการ คอื ผจู้ ดรายงานการประชมุ
8. ญัตติ คือ เร่อื งท่ีเสนอให้ที่ประชมุ พิจารณา
9. แปรญตั ติ คอื การเสนอซ้อนข้ึนในญตั ติ แก้ไข เปลี่ยนแปลง หรือเพม่ิ เติมญตั ตินัน้ ๆ
10. มติ คือ ข้อตกลงที่ถอื เป็นขอ้ ยตุ ิของที่ประชมุ
11. รายงานการประชมุ คือ ขอ้ ความทเี่ ลขานุการจดบนั ทึกความคิดเหน็ ของทปี่ ระชมุ
มารยาทในท่ปี ระชมุ
1. เตรยี มตวั ใหพ้ รอ้ มกอ่ นการประชุม เชน่ อา่ นรายงานการประชมุ มาลว่ งหน้า
2. เข้าร่วมประชุมให้ตรงเวลาหรือมาก่อนเวลาประชุมเล็กน้อย
3. ปฏบิ ตั ิตามระเบยี บหรอื ข้อบังคบั ของท่ีประชมุ
4. ใหเ้ กียรตปิ ระธานท่ปี ระชุม
5. ใหเ้ กียรตผิ ูเ้ ขา้ ร่วมประชุม ด้วยการเคารพความคิดเห็น และไมค่ อยจับผิดซึ่งกนั และกัน
6. ไม่ควรแสดงพฤติกรรมใดๆ ท่จี ะทำลายบรรยากาศการประชุม
7. แยกเร่อื งสว่ นตัวออกจากเรื่องของที่ประชุม
8. มีส่วนร่วมในการประชุม โดยร่วมแสดงความคิดเห็น หรือให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการประชุม
อยา่ งสนั้ ๆ แต่ไดใ้ จความ
9. เปน็ นกั ฟังทีด่ ีโดยจบั ประเดน็ ใหถ้ ูกต้องก่อนพดู
10. ยกมือขออนุญาตก่อน เมื่อประธานที่ประชมุ อนญุ าตแล้วจงึ พูดแสดงความคดิ เหน็
71
11. ในการกล่าวแสดงความคิดเห็นให้กลา่ วตอ่ ประธานทปี่ ระชมุ ไม่ควรกล่าวกับผูร้ ว่ ม
ประชุมโดยตรง
12. ควรพดู แตใ่ นส่ิงที่กำลงั ประชุม ไม่ควรพดู นอกเรื่อง หรือไร้สาระ
13. ควรพูดด้วยเหตผุ ลมากกว่าใชอ้ ารมณ์หลีกเล่ยี งการโตเ้ ถยี งทไ่ี มจ่ าํ เป็น
14. ไม่ควรพูดจาหยาบคายดูหม่นิ เสยี ดสหี รือไม่สุภาพ
15. ไมค่ วรพดู วกวน ซำ้ ซาก หรือซ้ำประเดน็ กับผู้อนื่
16. ไมค่ วรพดู คนเดียวมากเกินไป
17. สอดแทรกเพื่อประนีประนอมการโต้เถียงที่ไม่จำเปน็ ทเี่ กิดข้ึน
18. พิจารณาข้อมูลและผลกระทบอยา่ งละเอยี ดก่อนลงมติใดๆ
19. ไม่ควรนำเรื่องลับของท่ปี ระชุมไปเปิดเผยนอกห้องประชมุ
20. ควรอยรู่ ่วมประชมุ จนกว่าจะเลกิ ประชมุ
รายงานการประชุม
รายงานการประชุม คือ การบันทึกความคิดเห็นของผู้มาประชุม ผู้เข้าร่วมประชุม และมติของท่ี
ประชุมไว้เป็นหลักฐาน ดังนั้น เมื่อมีการประชุมจึงเป็นหน้าที่ของฝ่ายเลขานุการท่ีจะต้องรับผิดชอบจัดทำ
รายงานการประชุม ปัญหาของการเขียนรายงานการประชุมที่พบบ่อยคือ ไม่รู้วิธีการดําเนินการประชุมที่
ถูกต้อง ไม่รู้จะจดอย่างไร ไม่เข้าใจประเด็นของเรื่อง ผู้จดบันทึกการประชุมจะต้องรู้วิธีคิดก่อนเขียน รู้ลําดับ
ความคดิ รู้โครงสร้างความคดิ รู้องคป์ ระกอบเน้ือหา จะทำให้เขียนไดเ้ ขา้ ใจงา่ ย รปู แบบการเขยี น มดี งั นี้
รายงานการประชมุ ……………………………………………………
คร้งั ท…ี่ ………………..
เมอ่ื …………………………….
ณ……………………………………………………………………………….
————————————-
ผมู้ าประชุม………………………………………………………………………………………………………………………………………….
ผไู้ มม่ าประชุม (ถ้าม)ี ……………………………………………………………………………………………………………………………
ผู้เขา้ ร่วมประชุม (ถา้ ม)ี …………………………………………………………………………………………………………………………
เริ่มประชุมเวลา…………………………………………………………………………………………………………………………………….
(ข้อความ) ……………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
เลิกประชุมเวลา…………………………………………………………………………………………………………………………………….
ผู้จดรายงานการประชุม…………………………………………………………………………………………………………………………
การจดรายงานการประชมุ
รายงานการประชุม : ให้ลงชื่อคณะที่ประชุม หรือชื่อการประชุมนั้น เช่น “รายงานการประชุม
คณะกรรมการ……………..”
ครง้ั ที่ : การลงครั้งท่ีท่ปี ระชมุ มี 2 วธิ ี ที่สามารถเลอื กปฏบิ ตั ไิ ด้ คอื
72
1. ลงครั้งที่ที่ประชุมเป็นรายปี โดยเริ่มครั้งแรกจากเลข 1 เรียงเป็นลำดับไปจนสิ้นปีปฏิทิน ทับ
เลขปีพุทธศักราชทป่ี ระชุมเมื่อข้นึ ปีปฏิทนิ ใหมใ่ ห้ เร่ิมครัง้ ท่ี 1 ใหม่ เรยี งไปตามลำดบั เชน่ คร้งั ที่ 1/2544
2. ลงจำนวนครั้งที่ประชุมทั้งหมดของคณะที่ประชุม หรือการประชุมนั้นประกอบกับครั้งที่ท่ี
ประชุมเป็นรายปี เชน่ ครั้งท่ี 36-1/2544
เมื่อ : ให้ลงวัน เดือน ปี ที่ประชุม โดยลงวันที่ พร้อมตัวเลขของวันที่ ชื่อเต็มของเดือนและตัวเลขของ
ปพี ุทธศักราช เชน่ เมือ่ วนั ที่ 1 พฤศจิกายน 25๖๓
ณ : ใหล้ งชื่อสถานที่ ที่ใช้เปน็ ที่ประชมุ
ผู้มาประชุม : ให้ลงชื่อและ/หรือตำแหน่งของผู้ได้รับแตง่ ตั้งเป็นคณะที่ประชุมซึ่งมาประชุม ในกรณีท่ี
เป็นผู้ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้แทนหน่วยงาน ให้ระบุว่าเป็นผู้แทนของหน่วยงานใด พร้อมตำแหน่งในคณะที่
ประชุม ในกรณีที่เป็นผูม้ าประชุมแทนให้ลงช่ือผู้มาประชุมแทนและลงด้วยวา่ มาประชุมแทนผู้ใด หรือตำแหน่ง
ใด หรือแทนผแู้ ทนหนว่ ยงานใด
ผู้ไม่มาประชุม : ให้ลงชื่อหรือตำแหน่งของผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นคณะที่ประชุม ซึ่งมิได้มาประชุม
โดยระบุใหท้ ราบวา่ เปน็ ผู้แทนจากหนว่ ยงานใด พรอ้ มทั้งเหตุผลท่ีไมส่ ามารถมาประชุม ถ้าหากทราบด้วยกไ็ ด้
ผูเ้ ขา้ ร่วมประชุม : ให้ลงชื่อหรือตำแหน่งของผู้ทีม่ ิไดร้ ับการแต่งตง้ั เปน็ คณะท่ีประชุม ซึ่งได้เข้ามาร่วม
ประชุม และหน่วยงานที่สังกดั (ถ้าม)ี
เริ่มประชุม : ใหล้ งเวลาท่เี ร่ิมประชมุ
ข้อความ : ให้บันทกึ ข้อความทปี่ ระชมุ โดยปกตใิ ห้เร่ิมดว้ ยประธานกล่าวเปดิ ประชุมและเรอื่ งทปี่ ระชุม
กับมตหิ รือข้อสรุปของท่ปี ระชุมในแต่ละเรอื่ ง ประกอบด้วยหัวข้อ ดังน้ี
วาระท่ี 1 เรื่องทป่ี ระธานแจง้ ใหท้ ปี่ ระชุมทราบ
วาระท่ี 2 เรอ่ื งรับรองรายงานการประชุม (กรณีเปน็ การประชุมทีไ่ ม่ใช่การประชุมคร้งั แรก)
วาระท่ี 3 เรื่องสบื เน่ือง
วาระท่ี 4 เรื่องท่ีเสนอใหท้ ่ปี ระชุมพจิ ารณา
วาระท่ี 5 เรอื่ งอ่ืน ๆ (ถ้าม)ี
เลิกประชมุ เวลา : ให้ลงเวลาท่ีเลกิ ประชมุ
ผู้จดรายงานการประชุม : ให้เลขานุการหรือผู้ซึ่งได้รบั มอบหมายให้จดรายงานการประชุมลงลายมือ
ชอื่ พร้อมทง้ั พมิ พช์ อื่ เตม็ และนามสกุล ไวใ้ ต้ลายมือชอื่ ในรายงานการประชมุ ครงั้ น้ันดว้ ย
ส่วนประกอบของข้อความในแตล่ ะเรือ่ ง ควรประกอบดว้ ยเน้ือหา 3 ส่วน คอื
สว่ นท่ี 1 ความเป็นมา หรือสาเหตทุ ่ีทำให้ต้องมีการประชุมพิจารณาเรื่องนน้ั ๆ
สว่ นท่ี 2 ความคิดเห็นหรอื ข้ออภิปรายต่าง ๆ ซึ่งคณะที่ประชมุ ได้แสดงความคิดเหน็ หรอื ได้
อภิปรายในเร่อื งดงั กล่าว
ส่วนที่ 3 มติท่ีประชุม ซึง่ ถือเป็นส่วนสำคัญ ทจ่ี ำเป็นตอ้ งระบใุ ห้ชัดเจน เพ่ือจะไดใ้ ชเ้ ปน็ หลกั ฐาน
หรอื ใช้เปน็ แนวทางในการปฏิบตั ิต่อเร่ืองต่าง ๆ ท่ีได้ประชุม
การจดรายงานการประชมุ อาจทำได้ 3 วธิ ี คือ
วิธที ี่ 1 จดรายละเอยี ดทุกคำพูดของกรรมการ หรอื ผู้เข้าร่วมประชมุ ทุกคน พรอ้ มดว้ ยมติ
73
วิธีท่ี 2 จดย่อคำพูดทเี่ ปน็ ประเดน็ สำคัญของกรรมการหรือผู้เขา้ รว่ มประชมุ อันเป็นเหตุผล
นำไปสูม่ ตขิ องทีป่ ระชุม พรอ้ มด้วยมติ
วิธที ่ี 3 จดแต่เหตุผลกบั มตขิ องทปี่ ระชมุ การจดรายงานการประชมุ โดยวธิ ใี ดน้ัน ใหท้ ่ีประชมุ
น้ันเองเปน็ ผู้กำหนด หรือใหป้ ระธานและเลขานุการของท่ปี ระชุม ปรึกษาหารือกันและกำหนด
การรับรองรายงานการประชุม อาจทำได้ 3 วิธี คอื
วธิ ีท่ี 1 รบั รองในการประชุมครัง้ น้นั ใช้สำหรบั กรณเี ร่ืองเร่งด่วนใหป้ ระธานหรอื เลขานกุ ารของที่
ประชมุ อ่านสรปุ มติทป่ี ระชุมพจิ ารณารบั รอง
วิธีที่ 2 รับรองในการประชมุ คร้ังตอ่ ไป ใหป้ ระธานหรือเลขานุการ เสนอรายงาน การประชุมครงั้
ท่แี ล้วมาใหท้ ่ปี ระชุมพจิ ารณารบั รอง
วิธีที่ 3 รบั รองโดยการแจง้ เวียนรายงานการประชุม ใชใ้ นกรณีท่ไี มม่ กี ารประชุมคร้ังตอ่ ไป หรือมี
แตย่ ังกำหนดเวลาประชมุ คร้งั ต่อไปไม่ได้ หรอื มีระยะเวลาห่างจากการประชมุ คร้ังนั้นมาก ให้เลขานุการส่ง
รายงานการประชมุ ไปให้บุคคล ในคณะที่ประชุมพจิ ารณารับรองภายในระยะเวลาท่ีกำหนด
ในปัจจุบนั การเทคโนโลยใี นการส่ือสารได้พฒั นากา้ วไปไกล มคี วามทนั สมยั ยงิ่ ข้ึน อาจจะใช้
เครอื่ งมอื ส่ือสารให้เกดิ โยชน์ประสำหรับการประชุม เพ่ือความสะดวกรวดเร็วและเหมาะสมกบั สถานการการณ์
มากยิ่งข้นึ
74
แบบฝึกหัด การพูดในที่ประชมุ
คำช้แี จง : ใหน้ กั เรยี นตอบคำถามต่อไปน้ี
1. ความหมายของการประชมุ คอื อะไร
............................................................................................................................. .................................................
.................................................................................. ............................................................................................
............................................................................................................................. .................................................
............................................................................................................................. .................................................
2. วิธสี อ่ื สารและการใช้ภาษาในการประชุมเป็นอย่างไร
.................................................................................................................................................. ............................
....................................................................................................... .......................................................................
............................................................................................................................. .................................................
........................................................................................................................................ ......................................
3. การจดั สถานท่ปี ระชมุ สามารจดั ในรูปแบบใดบ้าง
............................................................................................................................. .................................................
.................................................................................. ............................................................................................
............................................................................................................................. .................................................
............................................................................................................................. .................................................
..............................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. .................................................
4. องคป์ ระกอบของการประชมุ มอี ะไรบา้ ง
............................................................................................................................. .................................................
..................................................................................................................................................... .........................
.......................................................................................................... ....................................................................
............................................................................................................................. .................................................
.......................................................................................................................................... ....................................
............................................................................................... ...............................................................................
5. มารยาทในทีป่ ระชมุ มีอะไรบา้ ง
............................................................................................................................. .................................................
............................................................................................................................. .................................................
..............................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. .................................................
............................................................................................................................. .................................................
...................................................................................................................................................................... ........
แบบฝกึ หัด การพูดในท่ีประชุม 75
คำชี้แจง : ให้นักเรียนสร้างสถานการณ์จำลองในการประชุม ๑ ครั้ง โดยใช้นักเรียนทั้งห้องสมมุติเรื่อง
หนว่ ยงาน วนั ที่ ครัง้ การจัดห้องประชมุ และอ่นื ๆ ตามท่ีไดศ้ กึ ษาเรือ่ งการประชมุ
เร่ืองทจ่ี ะประชุม ………………………………………………………………………………………………………...
…………………………………………………………………………………………………………
ชื่อหน่วยงาน ………………………………………………………………………………………………………...
…………………………………………………………………………………………………………
วันที่ ………………………………………………………………………………………………………...
…………………………………………………………………………………………………………
คร้ัง ………………………………………………………………………………………………………...
รูปแบบ
การจดั หอ้ งประชุม ………………………………………………………………………………………………………...
…………………………………………………………………………………………………………
ระเบียบวาระ
การประชมุ ………………………………………………………………………………………………………...
…………………………………………………………………………………………………………
ประธานที่ประชุม คอื ………………………………………………………………………………………………………...
องค์ประชุม คือ …………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………...
ผู้เข้าร่วมประชุม คือ …………………………………………………………………………………………………………
เลขานกุ าร คอื
เหรญั ญิก คือ ………………………………………………………………………………………………………...
…………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………...
…………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………...
…………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………...
…………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………...
…………………………………………………………………………………………………………
มติที่ประชมุ โดยสรปุ ………………………………………………………………………………………………………...
…………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………...
…………………………………………………………………………………………………………
76
บรรณานุกรม
จติ นน์ ภิ า ศรไี สย์, ประนอม วิบูลยพ์ ันธ์, และอินทรว์ ุธ เกษตระชนม์. (๒๕๕๕). หลักภาษาและการใชภ้ าษาไทย.
กรุงเทพฯ : พฒั นาคุณภาพวชิ าการ (พว.) จำกัด.
นภาศรี เยน็ บตุ ร, นิธิอร พรอำไพสกุล, และสภุ คั มหาวรากร. (๒๕๕๗) ภาษาไทย ๕ เล่ม ๑. นนทบุรี : เอมพนั ธ.์
ผจงวาด พูลแก้ว, และวรวรรณ คงมานุสรณ.์ (ม.ป.ป.). แบบฝกึ สมรรถนะและการคิด ภาษาไทย หลักภาษา
และการใช้ภาษาไทย ม.๕. กรงุ เทพฯ : ไทยร่มเกลา้ .
ผกาศรี เย็นบตุ ร, นิธอิ ร พรอำไพสกลุ , และสภุ ัค มหาวรากร. (๒๕๕๗). ภาษาไทย ๕ เล่ม ๑ . นนทบุรี : เอมพนั ธ์
เพ็ญศรี จนั ทรด์ วง, และสวุ คนธ์ จงตระกลู . (๒๕๕๔). หนังสือเรยี นวิชาภาษาไทยพ้ืนฐาน ชนั้ มธั ยมศึกษาปีท่ี ๕
ภาคเรียนที่ ๒. กรุงเทพฯ : แม็ค จำกัด.
ประนอม พงษ์เผือก. และคณะ. (ม.ป.ป.) แบบวดั และบนั ทึกการเรยี นรู้ ภาษาไทย ม. ๕. พมิ พ์คร้ังที่ ๖.
กรงุ เทพฯ : อักษรเจรญิ ทศั น์.
ภาสกร เกิดอ่อนและคณะ. (ม.ป.ป.). หลักภาษาและการใชภ้ าษาไทย. กรงุ เทพฯ. : อกั ษรเจริญทศั น์.
ภาสกร เกิดอ่อน, และคณะ. (ม.ป.ป.). วรรณคดแี ละวรรณกรรม. พิมพ์ครัง้ ที่ ๖. กรงุ เทพฯ : ไทยรม่ เกลา้ .
มัณฑิรา วิชยั ดิษฐ์. (ม.ป.ป.). ภาษาไทยเชงิ สร้างสรรค์. กรุงเทพฯ : อกั ษรเจรญิ ทัศน.์
วีระชาติ ศริ ิไกรวัฒนาวงศ์. (๒๕๕๘). ครูภาษาไทยใชเ้ ล่มนี.้ พิมพค์ รงั้ ที่ ๒. เชยี งใหม่ : ธนภณการพิมพ์
โอฬาร รัตนภกั ดี, และวีระชาติ ศิรไิ กรวฒั นาวงศ.์ (๒๕๕๘). หนังสือเสริมประสบการณ์ ภาษาไทย ม.๕ เล่ม ๑
ฉบบั ปรบั ปรุง. นนทบุรี : เอมพันธ์