เอกสารประกอบการเรยี น รายวิชาภาษาไทย รหสั วิชา ท๓๒๑๐๒
ชื่อ..............................นามสกุล..........................
ช้นั ....................เลขท่.ี ....................
กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย
โรงเรียนเบญจมราชูทศิ จังหวดั ปัตตานี
สานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษามธั ยมศึกษา เขต ๑๕
คำนำ
เอกสารประกอบการเรียนวิชาภาษาไทยพื้นฐาน รหัสวิชา ท๓๒๑๐2 หน่วยที่ 3
คัมภีร์ฉันทศาสตร์ แพทย์ศาสตร์สงเคราะห์ เล่มนี้ เป็นเอกสารประกอบการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับ
มาตรฐานการเรียนรู้ และตัวชี้วัดในหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551
กลุ่มสาระการเรยี นรู้ภาษาไทย ระดบั ชนั้ มธั ยมศึกษาปที ่ี 4-6
เอกสารประกอบการเรียนวิชาภาษาไทยพื้นฐาน รหัสวิชา ท๓๒๑๐2 หน่วยที่ 3
คัมภีร์ฉันทศาสตร์ แพทย์ศาสตร์สงเคราะห์ ประกอบด้วย 8 บทเรียนหลัก ได้แก่ บทวิเคราะห์
วรรณคดเี รอ่ื ง คมั ภรี ์ฉนั ทศาสตร์ แพทย์ศาสตร์สงเคราะห์ การอา่ นแปลความวรรณคดีเร่ือง คัมภีร์
ฉันทศาสตร์ แพทย์ศาสตร์สงเคราะห์ การอ่านบทร้อยกรอง ประเภทกาพย์ยานี ๑๑ บทวิเคราะห์
คุณค่าวรรณคดีเรื่อง คัมภีร์ฉันทศาสตร์ แพทย์ศาสตร์สงเคราะห์ การเขียนจดหมายกิจธุระ
การอา่ นจับใจความสำคญั การอ่านเพ่อื การวเิ คราะห์วจิ ารณ์ และการพดู ในโอกาสตา่ ง ๆ โดยในแต่
ละบทเรียนมีแบบฝึกหัดและกิจกรรมต่าง ๆ ที่กระตุ้นให้นักเรียนตอบสนองการเรียนรู้ รู้จักคิด
วิเคราะห์และทบทวนความรู้ความเข้าใจในเนื้อหาที่เรียน รวมถึงครูผู้สอนสามารถตรวจสอบและ
ประเมนิ ความเขา้ ใจของนกั เรยี นได้อกี ด้วย
ผู้เรียบเรียงหวังเป็นอย่างยิ่งว่า เอกสารประกอบการเรียนรายวิชาภาษาไทยพื้นฐาน
เลม่ นี้ จะเป็นประโยชน์และอำนวยความสะดวกในการจัดการเรียนรใู้ หเ้ กดิ ประสทิ ธิภาพต่อไป
ละใม ทองมี
ณัฐวดี หนูราช
ครูชำนาญการ
มะรอวี เจะ๊ อมุ า
นกั ศึกษาปฏิบัตกิ ารสอน
กลุ่มสาระการเรยี นรู้ภาษาไทย
โรงเรยี นเบญจมราชูทศิ จังหวัดปัตตานี
สารบญั หน้า
เรื่อง 1
1
• บทวเิ คราะห์วรรณคดเี รอ่ื ง คมั ภรี ์ฉันทศาสตร์ แพทย์ศาสตร์สงเคราะห์ 2
o ความเปน็ มา 3
o จดุ ประสงคใ์ นการแต่ง 4
o ผ้แู ตง่ และประวัติผ้แู ต่ง 5
o ลกั ษณะคำประพันธ์ 6
o เนอื้ เรื่องย่อ
o ขอ้ คิดทีไ่ ด้ 11
• การอา่ นแปลความวรรณคดเี ร่ือง คมั ภีรฉ์ ันทศาสตร์ แพทยศ์ าสตร์สงเคราะห์ 18
18
• การอา่ นออกเสียงบทรอ้ ยกรอง
o การอา่ นกาพยย์ านี 11 20
20
• บทวิเคราะห์คณุ ค่าวรรณคดเี รือ่ ง คัมภรี ฉ์ นั ทศาสตร์ แพทย์ศาสตร์สงเคราะห์ 20
o คณุ คา่ ด้านเน้อื หา 21
o คุณค่าด้านวรรณศลิ ป์
o คุณคา่ ด้านสงั คม 25
26
• การเขียนจดหมายกจิ ธุระ
o การเขียนจดหมายเชิญวิทยากร 33
33
• การอา่ น 41
o การอ่านจับใจความสำคัญ
o การอ่านเพื่อการวเิ คราะหว์ จิ ารณ์ 48
53
• การพูดในโอกาสต่าง ๆ
o การพดู อวยพร 58
• บรรณานกุ รม
1
บทวเิ คราะห์วรรณคดเี รือ่ ง คัมภรี ์ฉนั ทศาสตร์ แพทย์ศาสตร์สงเคราะห์
ศัพท์ภาษาไทยคำว่า “แพทย์” มาจากศพั ท์สนั สกฤต “ไวทย” แปลว่า ผู้รู้พระเวท หมายถึง ผูร้ ู้วชิ าการ
ต่าง ๆ ที่ประมวลอยู่ในคัมภีร์พระเวทและผู้รู้วิชาการรักษาโรคเป็นที่นับถือยกย่องและมีบทบาทมากในสังคม
ต่อมาคำวา่ “ไวทย” จงึ มคี วามหมายเจาะจง หมายถงึ ผ้รู วู้ ิชาการรกั ษาโรค
“แพทย์ศาสตร์สงเคราะห์” เป็นตำราแพทย์ของไทย เป็นการแพทย์แผนโบราณ พระบาทสมเด็จ
พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้สืบค้นและรวบรวมไว้ ต่อมาได้โปรดให้
จัดพิมพ์ “ตำราแพทย์ศาสตร์สงเคราะห์” ใช้ในโรงเรียนราชแพทยาลัย แต่พิมพ์ได้เพียง 3 เล่ม ก็เลิกไป ใน
ภายหลังมีการจัดพิมพ์เป็นวารสารรายเดือนฉบับหลวง 2 เล่มจบ เพื่อใช้เป็นคู่มือสำหรับประชาชนใช้และใช้
เปน็ ตำราแพทย์
ตำราแพทย์ศาสตร์สงเคราะห์ทั้งชุดมี 14 คัมภีร์ ที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ ทรงให้ประชุม
แพทย์หลวง สืบค้นและรวบรวมตำราแพทย์ไทย นำมาตรวจสอบชำระใหถ้ ูกต้องแล้วจึงจดบันทกึ ลงในสมุดไทย
และได้จัดพิมพ์สำเร็จสมบูรณ์โดยพระยาพิศณุประสาทเวช (คง ถาวรเวช) ผู้เป็นอาจารย์เชี่ยวชาญด้าน
การแพทย์แผนไทยของราชแพทยาลัยและผู้จัดการโรงเรียนเวชสโมสรเป็นผู้ริเริ่มจัดพิมพ์ “แพทย์ศาสตร์
สงเคราะห์ฉบับหลวง” จัดพมิ พเ์ ผยแพร่คร้ังแรก เม่ือ พ.ศ. 2449
ความเปน็ มา
ความเป็นมาสมยั รัชกาลท่ี 5
ตำราแพทย์ของไทยท่มี ีมาแต่โบราณ มีร่องรอยของอิทธพิ ลความเชอ่ื และหลักปฏบิ ตั ติ า่ ง ๆ ทปี่ รากฏ
ในตำราแพทยข์ องอินเดีย เรียกวา่ “คัมภีร์ฉนั ทศาสตร์”
“ฉันทศาสตร์” เป็นชื่อตำราฉบับแรกในหนังสือชุด “แพทย์ศาสตร์สงเคราะห์” พิจารณาจากบทไหว้
ครูและเนื้อหาที่สอนจรรยาแพทย์ และข้อควรปฏิบัติสำหรับแพทย์ ที่กล่าวให้ศึกษาเป็นส่วนแรก รัชกาลที่ ๕
โปรดเกล้าฯ ให้รวบรวมขึ้น เนื่องจากทรงเห็นว่าการแพทย์แผนโบราณและตำรายาพื้นบ้านของไทย เป็น
สมบัติทางวัฒนธรรมที่มีคุณค่ายิ่ง น่าจะรวบรวมไว้เป็นหลักฐานแลเผยแพร่ให้คนรุ่นหลังได้เรียนรู้ต่อไป
2
จึงโปรดฯ ให้ประชุมคณะแพทย์หลวง เพื่อสืบค้นและรวบรวมตำราแพทย์จากที่ต่าง ๆ มาตรวจสอบชำระให้
ตรงกบั ฉบับด้ังเดมิ แล้วสง่ มอบให้กรมพระอาลักษณ์เขยี นลงสมุดไทยดว้ ยอักษรไทย “เสน้ หรดาล” (สีเหลือง)
และนำขน้ึ ทูลเกล้าฯ ถวายเพอ่ื เปน็ สมบตั ขิ องแผน่ ดนิ สบื มา
เมื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งโรงเรียนราชแพทยาลัยขึ้น ก็ได้โปรดฯ ให้จัดพิมพ์ตำราแพทย์
หลวงสำหรับโรงเรียนใช้ข้ึนเป็นครงั้ แรก เรยี กวา่ “ตำราแพทย์ศาสตรส์ งเคราะห”์ โดยแบ่งพิมพเ์ ป็นเล่มเล็ก ๆ
แตพ่ มิ พ์ได้ ๓ เล่ม ก็ตอ้ งเลกิ เพราะขาดทนุ รอนในการจัดพิมพ์
ต่อมาผู้ที่สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนราชแพทยาลัยได้ร่วมกันจัดตั้งโรงเรียนเวชสโมสรขึน้ และก็ได้
จัดพิมพ์ตำราแพทย์ศาสตร์ขึ้นอีกเป็นวารสารรายเดือน โดยใช้ชื่อว่า “แพทย์ศาสตร์สงเคราะห์” เนื้อหาของ
ตำราชุดนี้เป็นวิธีการรักษาตามตำราแพทย์แผนฝรั่ง ส่วนที่หายาฝรั่งไม่ได้ก็จะใช้ยาไทยแทน แต่ก็ออกมาได้
๔ ฉบับ ก็ต้องเลิกไปเพราปญั หาเร่ืองทนุ อีกเชน่ กนั
แพทย์ศาสตร์สงเคราะห์เป็นฉบับสมบูรณ์เมื่อพระยาพิศณุประสาทเวช (คง ถาวรเวช) อาจารย์
ผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์แผนไทยของราชแพทยาลัยและผู้จัดการโรงเรียนเวชสโมสรได้ริเริ่มจัดพิมพ์
เม่ือ พ.ศ. 2449
ความเป็นมาสมัยรัชกาลที่ 9
ในปีมหามงคลที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ ๙ แห่งราชวงศ์จักรี
เจริญพระชนมายุ ๗๒ พรรษา รัฐบาลจึงได้จัดงานเฉลิมพระเกียรติเพื่อถวายเป็นราชสักการะ และได้จัดพิมพ์
หนังสือที่เป็นที่ระลึกในนามของรัฐบาล แพทย์ศาสตร์สงเคราะห์ ภูมิปัญญาทางการแพทย์และมรดกทาง
วรรณกรรมของชาติ เป็นหนึ่งในหนังสือเหล่านั้น ซึ่งแพทย์ศาสตร์สงเคราะห์ ภูมิปัญญาทางการแพทย์และ
มรดกทางวรรณกรรมของชาติฉบับเฉลิมพระเกียรติน้ี ได้นำต้นฉบับแพทย์ศาสตร์สงเคราะห์ของพระยาพิศณุ-
ประสาทเวช เล่มที่ ๒ พิมพ์ครั้งที่ ๒ ร.ศ.๑๒๘ และเล่มที่ ๒ พิมพ์ครั้งที่ ๑ ร.ศ.๑๒๖ โดยจัดพิมพ์ใหม่ โดย
จัดทำอธิบายส่วน ๆ ต่างเพื่อให้เข้าใจงา่ ยขึ้น เหมาะสมแก่ยุคสมัยและเผยแพรค่ วามรู้แพทย์ศาสตร์สงเคราะห์
ใหเ้ กิดประโยชนส์ งู สุด
หนังสือแพทย์ศาสตร์สงเคราะห์ฉบับหลวง รวบรวมและพิมพ์โดยพระยาพิศณุประสาทเวช โดยได้รับ
พระอนุญาตจากสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ประกอบด้วยองค์ความรู้ด้านแพทย์
ภูมิปัญญาตะวันออกและภูมิปัญญาไทยด้านเวชกรรมและเภสัชกรรม อีกทั้งยังแฝงไปด้วยปรัชญาที่ทรงคุณค่า
รวมถงึ วิธคี ดิ ความเชอื่ พิธกี รรม และวธิ รี กั ษาอาการต่าง ๆ แบบโบราณของไทย
จุดประสงค์ในการแต่ง
คัมภีร์ “แพทย์ศาสตร์สงเคราะห์” เป็นฉบับสมบูรณ์เมื่อพระยาพิศณุประสาทเวช (คง ถาวรเวช)
อาจารย์ผูเ้ ชี่ยวชาญด้านการแพทยแ์ ผนไทยของราชแพทยาลัยและผู้จัดการโรงเรยี นเวชสโมสรได้ริเริม่ จัดพิมพ์
ด้วยจดุ ประสงค์ ๓ ประการ ดังนี้
๑. ราษฎรทปี่ ่วยไข้ต้องหาวธิ ีรักษาตนเองจงึ ควรจะมีการรวบรวมตำราที่กระจัดกระจายกันอยู่น้นั ให้
เปน็ เล่มเดยี วกัน ราษฎรจะได้คัดลอกไว้เปน็ คู่มือได้
๒. ตำราหลวงจะใชก้ นั ในเฉพาะแพทยห์ ลวง ราษฎรสามัญไม่มสี ิทธใ์ิ ช้ จงึ ควรทต่ี อ้ งรวบรวมไว้
๓. ต้องการจะอนรุ กั ษต์ ำราแพทยแ์ ผนไทยไวใ้ ห้คนรนุ่ หลังได้ศกึ ษาเปน็ ประโยชนต์ ่อไป
3
ผู้แตง่ ปแรละะวปตั ริผะู้แวตัตง่ ผิ แู้ ต่ง
“พระยาพิศณุประสาทเวช (คง ถาวรเวช)”
พระยาพิศณุประสาทเวช (คง ถาวรเวช) เกดิ เมอื่ พ.ศ. ๒๓๙๖ หรือที่เรียกกันว่า “หมอคง” เคย
เป็นศิษย์ของพระยาประเสริฐศาสตร์ธำรง (หนู วรกิจพิศาล) หมอคงเป็นหมอที่มีชื่อเสียงและเป็นหมอประจำ
โรงพยาบาลศิริราชตั้งแต่แรกก่อตั้ง เมื่อกิจการโรงพยาบาลศิริราชได้รับความนิยามมากขึ้น กรมพยาบาลจึง
จัดตั้งโรงพยาบาลขึ้นมาตรงหน้าวังบูรพาภิรมย์ เป็นโรงพยาบาลสามัญ เรียกว่า “โรงพยาบาลบูรพา” หมอคง
จึงย้ายไปประจำอยู่ที่นั่น ต่อมาได้เลื่อนบรรดาศักดิ์เป็น “ขุนประสารเวชสิทธ์” ทำหน้าที่เป็นหมอหลวง
หมอประจำโรงพยาบาล และเป็นหมอเชลยศักด์ิ (หมอที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียน) รักษาคนไข้ทั่วไป และได้เลื่อน
บรรดาศักดิ์เปน็ “พระยาพิศณปุ ระสาทเวช”
เมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๙ เกิดโรคระบาดตามหัวเมืองลพบุรีและหัวเมืองนครราชสีมา พระยาพิศณุประสาท
เวชได้รับความไว้วางใจจากรัชกาลที่ ๕ ให้ไปรักษาและระงับโรคระบาดเหล่านั้น ทำให้พระยาพิศณุประสาท
เวชคิดรวบรวมคัมภีร์แพทย์พื้นบ้านมารวบรวมให้เป็นฉบับที่สมบูรณ์ โดยได้รับความอนุเคราะห์จากสมเด็จ
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพใหร้ วบรวมเป็นหนงั สอื “คัมภรี แ์ พทยศ์ าสตร์สงเคราะห์”
โรงพยาบาลศิริราช สมยั รัชกาลท่ี 5
4
ลลักักษษณณะะคคำำปปรระะพพันนั ธธ์์
คัมภีร์ฉันทศาสตร์ แพทย์ศาสตร์สงเคราะห์ เฉพาะตอนที่คัดมาศึกษา ได้แก่ ตอนเปิดเรื่องที่เป็นบท
ไหว้ครูและตอนที่กล่าวถึงจรรยาบรรณของแพทย์นี้ ผู้เขียนแต่งโดยใช้คำประพันธ์ประเภทกาพย์ยานี 11
ดงั แผนผงั และตัวอยา่ งบทประพันธ์ ดงั นี้
ตวั อยา่ งบทประพนั ธ์ กายนครมมี ากหลาย
“อนึง่ จะกล่าวสอน ทุกหญงิ ชายในโลกา
ผา่ นสมบตั ิอันโอฬาร์
ประเทยี บเปรยี บในกาย เกดิ เขน่ ฆ่าในกายเรา”
ดวงจติ คอื กระษตั รยิ ์
ขา้ ศึกคือโรคา
ฉันทลกั ษณก์ าพย์ยานี 11
- วรรคหนา้ 5 คำ วรรคหลงั 6 คำรวม 11 คำ (5+6) เรียก 1 บาท
- 1 บท มี 4 วรรค (สดบั รับ รอง สง่ ) นับเปน็ 2 บาท
- การสง่ สมั ผัส
▪ คำสุดทา้ ยวรรคท่ี 1 ส่งไปยังวรรคที่ 2 คำที่ 3
▪ คำสดุ ท้ายวรรคที่ 2 สง่ ไปยังวรรคท่ี 3 คำสุดท้าย
▪ คำสุดท้ายวรรคท่ี 4 ส่งไปยังวรรคท่ี 2 คำสดุ ทา้ ย ของบทตอ่ ไป (สัมผัสระหว่างบท)
▪ ไม่บังคบั การสง่ สัมผัสจากวรรคท่ี 3 ไปวรรคท่ี 4
หมายเหตุ : ตอนทีอ่ ธบิ ายลักษณะของทบั ๘ ประการ ใช้คำประพันธ์ประเภทรา่ ย
5
เนื้อเรอ่ื งย่อ
แพทย์ศาสตร์สงเคราะห์ ตอน คัมภีร์ฉันทศาสตร์ เปิดเรื่องด้วยบทไหว้ครู ซึ่งมีการไหว้พระรัตนตรัย
ไหว้เทพเจ้าของพราหมณ์ ได้แก่ พระอิศวร พระพรหม ไหว้หมอชีวกโกมารภัจและไหว้ครูแพทย์โดยทั่วไป
จากนั้นกล่าวถึงคัมภีร์ฉันทศาสตร์ที่ครูเคยสั่งสอน เปรียบเสมือนแสงสว่างแก่สรรพสัตว์ทั้งปวง รวมถึงสิ่งที่
แพทย์ควรมแี ละส่ิงท่ีไม่ควรกระทำ โดยทัว่ ไปจะมีความประมาท ความอวดดี ความริษยา ความโลภ ความเห็น
แกต่ ัว ความหลงตัว และความไมเ่ สมอภาคในการรักษาคนรวยและคนจน
นอกจากนี้ยังกล่าวเปรียบเทียบร่างกายมนุษย์ว่าเหมือนกับบ้านเมือง โดยให้ความสำคัญกับดวงจิต
ด้วยการเปรียบดวงจิตเป็นกษัตริย์ เปรียบโรคภัยเป็นข้าศึก เปรียบน้ำดีในตับเป็นวังหน้า เปรียบแพทย์เป็น
ทหารที่มีความชำนาญ คอยดูแลปกป้องรักษาไม่ให้ร่างกายมีโรคภยั เปรียบอาหารเป็นเสบียงอาหารหล่อเลี้ยง
ชาวเมือง อีกทั้งดวงใจก็พยายามอย่าโกรธเพื่อไม่ให้โรคภัยคุกคามเร็วเกินไป ความรู้ความเชี่ยวชาญในการ
รักษาบำบัดรักษาโรค มีความสำคัญอย่างยิ่ง เมื่อใดเกิดอาการเจ็บป่วย แพทย์ต้องรักษาโรคให้ทันท่วงที และ
รักษาให้ถูกโรค เนื่องจากอาการเจ็บป่วยอาจลุกลามจนรักษาไม่หายและควรรอบรู้ในการรักษาทั้งคัมภีร์พุทธ
ไสยอ์ ย่างรอบด้าน เพื่อใหส้ ามารถวินิจฉัยและถ่ายทอดความรู้แกผ่ ู้อื่นได้
กล่าวถึงอาการของโรคทับ ๘ ประการ ทับ คือ อาการของโรคอย่างหนึ่งซึ่งเกิดแทรกซ้อนโรคหนึ่งท่ี
เป็นอยู่ก่อน ทำให้มีอาการรุนแรงมากขึ้นในคัมภีร์ฉันทศาสตร์กล่าวถึงทับ ๘ ประการ ซึ่งเป็นอาการที่เกิดกับ
เดก็ มีชอ่ื ตา่ ง ๆ โดยระบุอาการ วิธกี ารสงั เกตอาการและแนวทางการรักษา ดังนี้
๑. ทบั สองโทษ
อาการ : เดก็ ท้องขึน้ มอื เทา้ เยน็ อุจจาระเหม็นผดิ ปกติ อาเจยี น ลงทอ้ ง กระหายน้ำ ปวดหวั ตัวร้อน
การรกั ษา : เช้า ยาตรหี อม เทีย่ งวนั ยาหอมผกั หนอก เย็น ยาประสะนลิ นอ้ ย
๒. ทบั สำรอก
อาการทับ : มอี าการสี่อย่าง อาเจยี นออกมาเป็นสีเหลืองบ้าง สเี ขียวบ้าง เป็นเสมหะบา้ ง เปน็ เมด็
มะเขือบา้ ง มเี มด็ ขึน้ ในคอ ทำใหไ้ อ นอนผวา ไม่กนิ นม ไมก่ ินขา้ ว เดย๋ี วรอ้ นเดีย๋ วหนาว แลบางคราว ร่างกาย
เย็นและร้อนเป็น สว่ น ๆ ตามักชอ้ นขน้ึ บน
การรกั ษา : ในหนังสอื ไม่ปรากฏ
๓. ทับละออง
อาการ : ทารกมีละอองซางเกิดข้ึนในคอ ไอกำเรบิ เปน็ หมู่ ๆ (ไอถี่ ๆ เป็นชุด ๆ) ท้องเดิน อจุ จาระเปน็
มกู มีกล่ินคาวและเปรีย้ วซึมเซา เช่ือมมัว ตัวร้อนจัดดังเปลวไฟ
การรกั ษา : ในหนงั สือไม่ปรากฏ
๔. ทบั กำเดา
อาการ : มีไข้ ไอ ปวดศรี ษะ ตัวร้อนดงั เปลวไฟ ถอนใจใหญ่ (หายใจแรง) หายใจสนั้ ปากคอแหง้ หลับ
ๆ หวาดผวาเกดิ เม็ดในลำคอ ในอก ไม่กนิ ขา้ ว ไม่กินนม ท้องขน้ึ แข็ง
การรกั ษา : ให้ยาเยน็ และสขุ ุม
๕. ทบั กมุ โทษ
อาการ : อจุ จาระเปน็ มูกเลอื ด มีสีดำหรอื สแี ดงสด ปวดเบ่งมากตัวร้อนมากตลอดทัง้ ตัว เช่ือมมวั ทอด
ไม่สมปฤดี หายใจขดั กระหายนำ้
การรักษา : เชา้ ใหย้ าน้ำสมอไทย , ยามเทยี่ ง ใหย้ าหอมผักหนอก
6
๖. ทบั เชือ่ มมัว
อาการ : ทารกเปน็ ไข้กำเดา ซึมเซาเชอื่ มมัว ปวดหัว ตวั ร้อนจดั ท้องขึ้น หอบไอแหง้ ๆ
ทบั มอี าการอุจจาระเป็นมกู เลือด ลงมไิ ดเ้ ปน็ เวลา ปวดเบง่ เปน็ กำลงั กระหายนำ้
การรักษา : ในหนงั สือไมป่ รากฏ
๗. ทับซาง
อาการ : เป็นไข้ ซางกนิ ปอด ตับอยู่ภายใน ถ่ายออกมาคลา้ ยนำ้ ส่าเหลา้ บ้าง คลา้ ยน้ำไข่ เน่าบา้ ง มี
กล่ินเหม็นคาว สุดทา้ ยถ่ายเป็นมูกเลือด ปวดเบ่ง หวิ กระหายนำ้ อาจทำให้มีอาการตบั ทรดุ อาการหนักข้ึน
ถ่ายออกมาเป็นเลือดเสลดเน่า ตวั รอ้ น ท้องขึน้ มือเทา้ เย็น หายใจขดั ยากจะรกั ษา
การรักษา : ในหนงั สือไม่ปรากฏ
๘. ทบั ชำ้ ใน
อาการ : ขัดยอกในกายเหตุหกล้ม อกและสีข้างกระแทก (ตับได้รับการกระทบกระแทก) ชอกช้ำ
ภายใน (ตับ) อยู่นานมา จับไข้ ตัวร้อนเป็นเวลา หน้าตาไม่มีสี( ซีด ) ให้มีอาการตับทรุด อุจจาระเป็นส่าเหล้า
แลไข่เน่าแล้วเป็นมูกเลอื ด ปวดเบ่ง ตัวรอ้ นหายใจสะอื้นขดั มอื เท้าเดยี๋ วเย็นเดย๋ี วร้อน มีโทษถึงตาย
การรกั ษา : ในหนังสือไม่ปรากฏ
ขอ้ คดิ ที่ได้
1. ให้ความร้เู กี่ยวกบั คุณสมบัตขิ องแพทย์
2. ใหความรู้เกี่ยวกับสรรพคุณของสมุนไพรชนิดต่าง ๆ
3. การเปน็ แพทย์ท่ดี ีตอ้ งมีคุณธรรมยดึ ถือปฏิบตั ิ
4. ให้รูจ้ ักมคี วามกตัญญู ระลึกถึงคุณของแพทย์แผนไทย
5. การเปน็ แพทย์ ถ้าไมร่ จู้ ักวธิ ีรักษาทถี่ ูกต้อง อาจมีผลร้ายแรงเกดิ ขน้ึ กับผู้ป่วยได้
7
แบบฝึกหัด คัมภีร์ฉนั ทศาสตร์ แพทย์ศาสตร์สงเคราะห์
คำชแี้ จง : ให้นักเรียนตอบคำถามต่อไปนี้
1. คัมภรี ์ฉนั ทศาสตร์ แพทยศ์ าสตรส์ งเคราะห์ เกิดขน้ึ ในรัชสมยั ใด
...............................................................................................................................
2. ใครคอื ผจู้ ัดพมิ พ์คมั ภีรฉ์ นั ทศาสตร์ แพทย์ศาสตร์สงเคราะห์ฉบับหลวงสมบรู ณ์
...............................................................................................................................
3. ใหน้ กั เรยี นเขียนสรุปความเป็นมาของวรรณคดีเร่ือง คมั ภรี ์ฉันทศาสตร์ แพทย์
ศาสตรส์ งเคราะห์
...............................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................. ............
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..................................................................................................................................................... .........................
4. คมั ภีร์ฉันทศาสตร์ แพทยศ์ าสตรส์ งเคราะห์ ประกอบด้วยองคค์ วามรู้ดา้ นใดบา้ ง
..................................................................................................................................................................... .........
.................................................................................................................................... ..........................................
..............................................................................................................................................................................
5. พระยาพิศณปุ ระสาทเวช (คง ถาวรเวช) คอื ใคร และมบี ทบาทอย่างไรต่อวงการการแพทย์ไทย
..............................................................................................................................................................................
................................................................................................................................. .............................................
..............................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................... ........
..............................................................................................................................................................................
6. เหตใุ ดพระยาพิศณุประสาทเวชจึงคดิ รวบรวมคมั ภีร์แพทย์พน้ื บ้านมารวบรวมใหเ้ ป็นฉบบั ทีส่ มบูรณ์
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
7. จดุ มุง่ หมายของการแต่งวรรณคดีเรอื่ ง คมั ภีร์ฉนั ทศาสตร์ แพทยศ์ าสตร์สงเคราะห์ คืออะไร
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
8
8. วรรณคดีเรื่อง คัมภีร์ฉันทศาสตร์ แพทย์ศาสตร์สงเคราะห์ แต่งด้วยคำประพันธ์ชนิดใด ยกตัวอย่างบท
ประพันธป์ ระกอบ
..............................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................... .....................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
............................................................................................................................................ ..................................
..............................................................................................................................................................................
9. แพทยศ์ าสตรส์ งเคราะห์ ตอนคัมภีรฉ์ ันทศาสตร์ มีเน้อื งเรื่องเกยี่ วกับเร่อื งใดบ้าง
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
10. วรรณคดีเรอ่ื ง คัมภรี ฉ์ ันทศาสตร์ แพทย์ศาสตรส์ งเคราะห์ กล่าวถงึ ความสำคญั ของแพทยว์ ่าอย่างไร
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
........................................................................................................................................................................ ......
..............................................................................................................................................................................
11. วรรณคดีเรือ่ ง คัมภรี ฉ์ นั ทศาสตร์ แพทย์ศาสตรส์ งเคราะห์ กลา่ วถงึ แพทยท์ ไี่ มด่ ไี ว้ว่าอย่างไร
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................ ..............................
..............................................................................................................................................................................
12. นักเรยี นคดิ ว่า เน้ือหาของวรรณคดีเร่อื ง คัมภรี ์ฉนั ทศาสตร์ แพทยศ์ าสตรส์ งเคราะห์ นำเสนอจรรยาบรรณ
ของแพทยใ์ นประเด็นใดบ้าง
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
13. นักเรียนคิดว่า วรรณคดีเรือ่ ง คัมภีร์ฉนั ทศาสตร์ แพทย์ศาสตร์สงเคราะห์ มีกลวิธีการเปรียบเทียบที่แสดง
ถงึ ความสำคญั ของรา่ งกายอย่างไร
............................................................................................................................. .................................................
..............................................................................................................................................................................
............................................................................................................................................................ ..................
................................................................................................................ ..............................................................
..............................................................................................................................................................................
9
14. นักเรียนคิดว่า กลวธิ กี ารเปรียบเทียบ “กายนคร” สะท้อนใหเ้ หน็ คติความเช่ือของสงั คมไทยอย่างไร
..............................................................................................................................................................................
................................................................................................................................... ...........................................
..............................................................................................................................................................................
........................................................................................................................................................................ ......
..............................................................................................................................................................................
15. นกั เรยี นได้รับข้อคิดหรือสาระท่เี ป็นอย่างไรจากการศึกษาวรรณคดเี รื่อง คัมภีรฉ์ นั ทศาสตร์ แพทย์ศาสตร์
สงเคราะห์
..............................................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................................... ....
.............................................................................................................................. ................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
16. ใหน้ ักเรยี นเขยี นความหมายของคำศพั ท์ตอ่ ไปน้ี
คำศัพท์ ความหมาย
กาเม
กำเดา
ตรโี ทษ
ธาตพุ ิการ
ยาประจุ
ปิตตํ
มจิ ฉา
ยาชอบ
ยาผาย
ยาเย็น
เสมหา
โทโส
มสุ า
มารยา
โมหะ
วหิ งิ ษา
อโนตัปปัง
มจิ ฉา
ครุกรรม
ระยำ
10
แบบฝกึ หดั คัมภรี ์ฉนั ศาสตร์ แพทย์ศาสตรส์ งเคราะห์
คำชี้แจง : ให้นักเรียนศึกษาภูมิปัญญาชาวบ้านเกี่ยวกับการรักษาอาการต่าง ๆ ในท้องถิ่นของตนเอง
โดยใหเ้ ขียนวธิ กี ารรักษาและตดิ รปู ภาพประกอบใหช้ ดั เจน
ชอื่ การรกั ษา…………………………………………………………………………………………………………………………………
สมนุ ไพรทใี่ ช้...............................................................................................................................................
ท่อี ยู่หมู่บา้ น................................................................................................................................................
วิธีการรักษา.......................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................................
...........................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. ..............................................
11
การอา่ นแปลความวรรณคดี
การอ่านแปลความวรรณคดี จะเป็นการอ่านที่มุ่งให้เกิดความเข้าใจในเนื้อหาจากบทประพันธ์ชนิดต่าง ๆ
โดยเฉพาะ ซึ่งจะเรม่ิ ต้งั แต่การแปลคำศัพทท์ ่ีไม่รู้ความหมาย หรือเป็นการแปลคำศัพท์จากภาษาหน่งึ ไปยังอีกภาษาหน่ึง
การถอดคำประพันธ์ การแปลสำนวนหรือประโยคต่าง ๆ จากบทประพันธ์ให้เข้าใจง่ายขึ้น การอ่านแปลความวรรณคดี
ส่วนมากแล้วจะแปลจากภาษาร้อยกรองเป็นภาษาร้อยแก้ว ซึ่งจะทำให้ผู้อ่านเข้าใจเนื้อหาและสามารถเขียนสรุป
ใจความสำคัญจากวรรณคดที ี่อ่านได้
คำจำกัดความ “การอ่านแปลความวรรณคดี”
การอ่านแปลความวรรณคดี หมายถึง การเก็บความจากคำประพันธ์มาเขียนใหม่เป็นภาษาร้อยแก้วที่สละสลวย
โดยตอ้ งคงเน้ือความเดิมไว้
หลกั การเขียนแปลความวรรณคดี (ถอดคำประพันธ์)
หลักในการเขียนแปลความวรรณคดี มีดังน้ี
๑. อ่านบทประพันธ์ที่นักเรียนจะแปลความให้จบหลาย ๆ ครั้ง แล้วจับใจความให้ได้ว่าบทประพันธ์นั้น
กล่าวถึงอะไร มีรายละเอยี ดอยา่ งไร ไมค่ วรอา่ นเพยี งบรรทัดเดยี วแลว้ แปลความเลย
๒. โคลง ฉนั ท์ กาพย์ กลอน ร่ายต่าง ๆ จะต้องแปลเป็นรอ้ ยแก้วท้ังหมด
๓. คำประพนั ธต์ ่าง ๆ ตอ้ งหาคำสามัญท่มี ีความหมายตรงกนั แทน อยา่ เอาถอ้ ยคำเดิมมาใช้
๔. การแปลความวรรณคดี ต้องเขียนให้ตรงกับความเดิม อย่าเพิ่มความใหม่ให้เกินไปจากที่ปรากฏในคำ
ประพนั ธ์ แลว้ อย่าให้ความเดิมขาดหายไป
๕. พยายามรักษารูปเรื่องของคำประพันธ์นั้น ๆ ไว้ คือ ต้องคำนึงถึงบรรยากาศของเนื้อเรื่องเดิม เช่น ถ้า
เป็นบทที่แสดงความศักดิ์สิทธิ์ ความรัก ความสวยงาม ความโกรธ ฯลฯ ก็จะต้องให้ข้อความที่ถอดมาคงบรรยากาศ
น้ัน ๆ ไว้เสมอ
๖. ไม่ควรแปลศัพท์คำต่อคำเรียงกันไป ควรถอดเอาแต่ใจความอย่างตรงไปตรงมาเป็นภาษาร้อยแก้วที่
ง่าย ๆ คำที่ใช้เรียกชื่อหรือคำสร้อยประกอบชื่อให้ตัดทิ้ง ตัวอย่าง เช่น ในเรื่องมหาเวสสันดรชาดก ที่นางมัทรี รำพึงถึง
พระโอรสและพระธิดาว่า “โอ้ เจ้าดวงสุริยันจันทรทั้งคู่ของแม่เอ๋ย” เมื่อถอดเป็นร้อยแก้วอาจใช้คำพูดง่าย ๆ ว่า
“โอ้ ลูกรักทั้งสองของแม่” เท่านี้ก็พอแล้ว ไม่จำเป็นต้องถอดว่า “โอ้ เจ้าคือดวงอาทิตย์ดวงจันทร์คู่ของแม่” ซึ่งเป็น
การแปลภาษาโดยตรงไม่ใช่การแปลความทที่ ำใหเ้ ขา้ ใจงา่ ยข้ึน
๗. ถ้าแปลความตามบทร้อยกรองมาแล้วทำให้ได้ประโยคที่ซับซ้อนก็ให้ปรับประโยคที่ซับซ้อนนั้นเป็น
ประโยคง่าย ๆ คือ ใช้ประโยคความสามัญหลาย ๆ ประโยค
๘. ถ้าในบทประพันธใ์ ชค้ ำสรรพนามบุรษุ ท่ี ๑ ที่ ๒ หรือที่ ๓ เวลาถอดตอ้ งคงคำสรรพนามน้ันไว้
๙. ควรลำดับเนื้อความตามบทประพันธ์เดิม อย่าสลับความเป็นอย่างอื่น เว้นไว้แต่การสลับนั้น จะช่วยให้
อ่านเขา้ ใจได้ดขี ึน้
๑๐. ข้อความใดแปลความแล้วยังไม่เป็นภาษารอ้ ยแกว้ ที่ดกี ็สามารถขัดเกลาถ้อยคำสำนวนได้ตามสมควร
เนน้ อา่ นแลว้ เข้าใจงา่ ยเป็นทต่ี ้งั
11. เมื่อแปลความเสร็จเรียบร้อยแล้ว ให้อ่านทบทวนอีกครั้งหน่ึง เพื่อป้องกันความผิดพลาด ถือเป็น
การตรวจทานไปในตวั
12
แบบฝึกหดั การอ่านแปลความวรรณคดเี รื่อง คัมภีร์ฉันทศาสตร์ แพทยศ์ าสตรส์ งเคราะห์
คำชีแ้ จง : ใหน้ กั เรยี นแปลความบทประพันธต์ ่อไปน้ี
1. ลักษณะเด่นของคัมภรี ์ฉันทศาสตร์
1. จะกลา่ วคมั ภรี ์ฉนั ทศาสตรบรรพ์ทค่ี รสู อน ………………………………………………………………………………
เสมอดวงทินกร แลดวงจันทร์กระจา่ งตา ………………………………………………………………………………
2. สอ่ งสัตว์ให้สว่าง กระจ่างแจง้ ในมรรคา ………………………………………………………………………………
หมอนวดแลหมอยา ผู้เรยี นร้คู มั ภีร์ไสย์ ………………………………………………………………………………
3. เรยี นรู้ใหค้ รบหมด จนจบบทคมั ภรี ใ์ น ………………………………………………………………………………
ฉนั ทศาสตร์ทา่ นกล่าวไข สบิ สข่ี อ้ จงควรจำ ………………………………………………………………………………
2. คณุ สมบัติของแพทย์ทไี่ ม่ดี จะรจู้ กั ซึง่ กองกรรม ………………………………………………………………………………
4. เปน็ แพทยน์ ้ียากนกั
ตัดเสยี ซึง่ บาปธรรม สบิ ส่ีตวั จง่ึ เที่ยงตรง ………………………………………………………………………………
5. เปน็ แพทย์ไมร่ ูใ้ น
ร้แู ตย่ ามาอา่ องค์ คมั ภรี ์ไสยท์ า่ นบรรจง ………………………………………………………………………………
6. บางหมอกก็ ลา่ วคำ
ยกตนว่าตนงาม รกั ษาไขไ้ มเ่ ข็ดขาม ………………………………………………………………………………
7. บางหมอกเ็ กยี จกัน
บ้างกล่าวเปน็ มารยา มุสาซำ้ กระหน่ำความ ………………………………………………………………………………
8. บ้างกล่าวอุบายให้
หวังลาภจะเกิดพลัน ประเสรฐิ ยิง่ ในการยา ………………………………………………………………………………
9. บางทีไปเยียนไข้
กลา่ วยกถึงคณุ ยา ทีพ่ วกอนั แพทย์รกั ษา ………………………………………………………………………………
10. บางแพทยก์ ็หลงเล่ห์
รักษาโรคด้วยกำลงั เขาเจ็บน้อยว่ามากครัน ………………………………………………………………………………
11. บางพวกกถ็ ือตน
ใหย้ าจะเสียยา แก่คนไขน้ ้ันหลายพัน ………………………………………………………………………………
12. บา้ งถือว่าตนเฒ่า
รยู้ าไมร่ ู้ที ด้วยเชือ่ ถอ้ ยอาตมา ………………………………………………………………………………
13. แก่กายไม่แก่รู้
แม้เด็กเปน็ เดก็ ชาญ บ มใี ครจะเชิญหา ………………………………………………………………………………
อนั ตนรู้ใหเ้ ช่ือฟัง ………………………………………………………………………………
ดว้ ยกาเมเขา้ ปิดบัง ………………………………………………………………………………
กเิ ลสโลภะเจตนา ………………………………………………………………………………
ว่าไข้คนอนาถา ………………………………………………………………………………
บ หอ่ นลาภจะพึงมี ………………………………………………………………………………
เปน็ หมอเก่าชำนาญดี ………………………………………………………………………………
รกั ษาไดก้ ช็ ื่นบาน ………………………………………………………………………………
ประมาทผอู้ ดุ มญาณ ………………………………………………………………………………
ไม่ควรหมิ่นประมาทใจ ………………………………………………………………………………
13
2. คณุ สมบัติของแพทยท์ ดี่ ี จบจังหวดั คัมภีรไ์ สย์ ………………………………………………………………………………
14. เรยี นรู้ใหเ้ จนจัด
ตั้งต้นปฐมใน ฉนั ทศาสตรดงั พรรณนา ………………………………………………………………………………
15. ปฐมจินดาร์โชตรตั
อไภยสันตา ครรภ์รักษา ………………………………………………………………………………
16. อตสิ ารอะวะสาน
สรรพคุณรสอนั มี สทิ ธิสารนนทป์ ักษี ………………………………………………………………………………
๑๗. ฤดูแลเดือนวนั
ลกั ษณะธาตพุ ิการ มรณะญาณตามคัมภรี ์ ………………………………………………………………………………
๑๘. ท้ังนี้เปน็ ต้นแรก
กล่าวยอ่ แต่ช่อื ไว้ ธาตบุ ญั จบโรคนิทาน ………………………………………………………………………………
19. ไมร่ ้คู ัมภรี เ์ วช
แพทยเ์ อ๋ยอย่างมคลำ ยงั นอกนั้นหลายสถาน ………………………………………………………………………………
20. แพทยใ์ ดจะหนที กุ ข์
พิริยสติตน เกิดกำเริบแลหย่อนไป ………………………………………………………………………………
21. ศีลแปดแลศีลหา้
ทรงไว้เป็นนจิ กาล ยกยักแยกขยายไข ………………………………………………………………………………
22. เหน็ ลาภอยา่ โลภนัก
ไขน้ ้อยว่าไขห้ นา ใหพ้ งึ เรียนตำรับจำ ………………………………………………………………………………
23. โทโสจงอดใจ
คนไข้ยิ่งคร้ามกลัว ห่อนเห็นเหตซุ ึง่ โรคทำ ………………………………………………………………………………
24. โมโหอย่าหลงเล่ห์
พยาบาทแกค่ นไข้ จกั ขุมืด บ เห็นหน ………………………………………………………………………………
25. วิจิกิจฉาเล่า
อยา่ เคลือบแคลงอาการกล ไปส่สู ขุ นพิ พานดล ………………………………………………………………………………
26. อุทธัจจงั อยา่ อทุ ธจั
ให้ตงั้ ตนดังพระยา ประพฤตไิ ด้จง่ึ เปน็ การ ………………………………………………………………………………
27. อน่ึงโสดอยา่ ซบเซา
เหน็ โรคน้นั ถอยหนี เรง่ รกั ษาสมาทาน ………………………………………………………………………………
28. ทฏิ ฐมิ าโนเลา่
ร้นู อ้ ยอย่าด่วนเดิน ทัง้ ไตรรตั นส์ รณา ………………………………………………………………………………
อยา่ หาญหกั ดว้ ยมารยา ………………………………………………………………………………
อบุ ายกล่าวใหพ้ ึงกลวั ………………………………………………………………………………
สุขมุ ไวอ้ ยใู่ นตวั ………………………………………………………………………………
มิควรขูใ่ ห้อดใจ ………………………………………………………………………………
ดว้ ยกาเมมิจฉาใน ………………………………………………………………………………
ทงั้ ผู้อื่นอนั กลา่ วกล ………………………………………………………………………………
จงถือเอาซง่ึ ครตู น ………………………………………………………………………………
เห็นแมน่ แล้วเร่งวางยา ………………………………………………………………………………
เห็นถนัดในโรคา ………………………………………………………………………………
ไกรสรราชเข้าราวี ………………………………………………………………………………
อย่างว่ งเหงานน้ั มิดี ………………………………………………………………………………
กระหนำ่ ยาอยา่ ละเมนิ ………………………………………………………………………………
อย่าถอื เอาซึง่ โรคเกิน ………………………………………………………………………………
ทางใดรกอย่าครรไล ………………………………………………………………………………
14
29. อย่าถอื วา่ ตนดี ยงั จะมียง่ิ ขึ้นไป ………………………………………………………………………………
อยา่ ถือวา่ ตนใหญ่
30. ผ้ใู ดรู้ในทางธรรม กวา่ เด็กนอ้ ยผเู้ ชี่ยวชาญ ………………………………………………………………………………
เรยี นเอาเป็นนิจกาล
31. ครพู กั แลครูเรียน ให้ควรยำอย่าโวหาร ………………………………………………………………………………
จงถอื ว่าครดู ี
32. วติ กั โกนั้นบทหนง่ึ เร่งนบนอบใหช้ อบที ………………………………………………………………………………
พยาบาทวิหิงสา
33. วจิ าโรให้พนิ ิจ อักษรเขยี นไว้ตามมี ………………………………………………………………………………
ดูโรคกับยาญาณ
34. หริ กิ ังละอายบาป เพราะไดเ้ รียนจ่ึงรูม้ า ………………………………………………………………………………
ประหารให้เสื่อมคลาย
36. มโนตัปปงั บทบังคับ ให้ตัดซึง่ วติ กั กา ………………………………………………………………………………
กลวั บาปแลว้ จงจำ
36. อย่าเกยี จแก่คนไข้ กามราคในสันดาน ………………………………………………………………………………
ลาภผลอันเบาบาง
37. เท่านีก้ ล่าวไวใ้ น จะทำผิดฤาชอบกาล ………………………………………………………………………………
ลอนกลา่ วใหว้ ติ ถาร
ใหต้ ้องกนั จะพลนั หาย ………………………………………………………………………………
อนั ยุ่งหยาบสน้ิ ทง้ั หลาย ………………………………………………………………………………
คือตัดเสียซึง่ กองกรรม ………………………………………………………………………………
บาปที่ลบั อยา่ พึงทำ ………………………………………………………………………………
ทงั้ ทแี่ จง้ จงเวน้ วาง ………………………………………………………………………………
คนเข็ญใจขาดในทาง ………………………………………………………………………………
อย่าเกียจคนพยาบาล ………………………………………………………………………………
ฉนั ทศาสตรเปน็ ประธาน ………………………………………………………………………………
ใครรูแ้ ทน้ ับว่าชาย ………………………………………………………………………………
4. “กายนคร” ความสำคัญของร่างกาย
38. อนงึ่ จะกล่าวสอน กายนครมีมากหลาย ………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………
ประเทียบเปรียบในกาย ทกุ หญงิ ชายในโลกา ………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………
39. ดวงจติ คอื กระษตั ริย์ ผ่านสมบตั อิ นั โอฬาร์ ………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………
ข้าศกึ คือโรคา เกดิ เข่นฆา่ ในกายเรา ………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………
40. เปรียบแพทยค์ อื ทหาร อนั ชำนาญรู้ลำเนา ………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………
ขา้ ศึกมาอย่าใจเบา หอ้ มลอ้ มรอบทกุ ทศิ า ………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………
41. ให้ดำรงกระษัตรยิ ์ไว้ คอื ดวงใจใหเ้ ร่งยา
อน่งึ หา้ มอย่าโกรธา ข้าศึกมาจะอันตราย
42. ปิตตํ คอื วงั หน้า เร่งรกั ษาเขมน้ หมาย
อาหารอยู่ในกาย คือเสบียงเลีย้ งโยธา
43. หนทางทั้งสามแหง่ เรง่ จัดแจงอยรู่ กั ษา
ห้ามอย่าให้ข้าศึกมา ปดิ ทางได้จะเสียที
15
44. อนงึ่ เล่ามคี ำโจทก์ กลา่ วยกโทษแพทยอ์ นั มี ………………………………………………………………………………
ปรีชารู้คัมภรี ์
45. คำเฉลยแก้ปุจฉา เหตฉุ นั ใดแกม้ ิฟัง ………………………………………………………………………………
ด้วยโรคเหลอื กำลงั
รู้รกั ษากจ็ ริงจงั ………………………………………………………………………………
จ่ึงมิฟังในการยา ………………………………………………………………………………
46. เม่ืออ่อนรักษาได้ แกแ่ ล้วไซร้ยากหนักหนา ………………………………………………………………………………
ไข้นน้ั อุปมา เหมือนเพลิงปา่ ไหม้ลกุ ลาม ………………………………………………………………………………
47. เป็นแพทย์พึงสำคญั โอกาสนัน้ มอี ยสู่ าม ………………………………………………………………………………
เคราะหร์ า้ ยขัดโชคนาม บางทรี เู้ กนิ รไู้ ป ………………………………………………………………………………
48. บางทรี ู้มิทนั ด้วยโรคนน้ั ใช่วสิ ยั ………………………………………………………………………………
ตน บ ร้ทู ิฏฐใิ จ ถือวา่ รู้ขนื กระทำ ………………………………………………………………………………
49. จบเร่อื งท่ตี นรู้ โรคนน้ั สวู้ า่ แรงกรรม ………………………………………………………………………………
ไม่สิ้นสงสยั ทำ สุดมอื ม้วยนา่ เสียดาย ………………………………………………………………………………
50. บางทกี ็มชี ัย แต่ยาให้โรคนน้ั หาย ………………………………………………………………………………
ทา่ นกล่าวอภิปราย วา่ ชอบโรคนน้ั เปน็ ดี ………………………………………………………………………………
5. จรรยาบรรณของแพทย์ ตามระบอบพระบาลี ………………………………………………………………………………
51. ผ้ใู ดใครทำชอบ อเนกนบั เบื้องหนา้ ไป ………………………………………………………………………………
กศุ ลผลจะมี เหน็ โรคชดั อยา่ สงสัย ………………………………………………………………………………
52. เรียนร้ใู ห้แจง้ กระจัด อยา่ ถอื ใจวา่ ลองยา ………………………………………………………………………………
เร่งยากระหน่ำไป ตอ่ จวนใกล้จะมรณา ………………………………………………………………………………
53. จะหนีหนีแตไ่ กล วา่ มริ ู้ในท่าทาง ………………………………………………………………………………
จึ่งหนีแพทย์นัน้ หนา แพทย์อนื่ มากข็ ัดขวาง ………………………………………………………………………………
54. อำไว้จนแก่กลา้ ตรีโทษแลว้ จ่งึ ออกตัว ………………………………………………………………………………
ตอ่ โรคเขา้ ระวาง เวรามีมไิ ด้กลวั ………………………………………………………………………………
55. หินชาตแิ พทย์เหล่านี้ จะตกไปในอบาย ………………………………………………………………………………
ทำกรรมนำใส่ตัว สขุ ุมไว้อย่าแพรง่ พราย ………………………………………………………………………………
56. เรยี นรูค้ ัมภรี ไ์ สย อยา่ ย่นื แก้วแก่วานร ………………………………………………………………………………
ควรกลา่ วจ่ึงขยาย
16
57. ไมร่ กั จะทำยบั พาตำรับเท่ียวขจร ………………………………………………………………………………
เสียแรงเปน็ ครูสอน ทงั้ บญุ คณุ กเ็ ส่ือมสญู ………………………………………………………………………………
58. แลว้ เท่ียวโจทย์ทาย แกลง้ ภิปรายถามเค้ามูล ………………………………………………………………………………
ความรู้น้ันจะสญู เพราะสามหาวเปน็ ใจพาล ………………………………………………………………………………
59. ผูใ้ ดจะเรียนรู้ พเิ คราะห์ดผู อู้ าจารย์ ………………………………………………………………………………
เท่ยี งแทว้ ่าพสิ ดาร ทั้งพทุ ธไสยจ่ึงควรเรียน ………………………………………………………………………………
60. แต่สักเปน็ แพทยไ์ ด้ คัมภีรไ์ สยไม่จำเนียร ………………………………………………………………………………
ครนู ั้นไมค่ วรเรียน จะนำตนใหห้ ลงทาง ………………………………………………………………………………
61. เราแจ้งคัมภรี ์ฉนั ทศาสตรอ์ นั บรุ าณปาง ………………………………………………………………………………
กอ่ นกลา่ วไวเ้ ปน็ ทาง นพิ พานสุศวิ าไลย ………………………………………………………………………………
62. อย่าหมิ่นว่ารูง้ ่าย ตำรบั รายอย่ถู มไป ………………………………………………………………………………
รีบด่วนประมาทใจ ดังนน้ั แท้มิเปน็ การ ………………………………………………………………………………
63. ลอกไดแ้ ตต่ ำรา เทีย่ วรักษาโดยโวหาร ………………………………………………………………………………
อวดรวู้ า่ ชำนาญ จะแกไ้ ขใหพ้ ลนั หาย ………………………………………………………………………………
64. โรคคอื ครุกรรม บรรจบจำอย่าพงึ ทาย ………………………………………………………………………………
กล่าวเลห่ ์อุบายหมาย ด้วยโลภหลงในลาภา ………………………………………………………………………………
65. บ้างจำแต่เพศไข้ ส่งิ เดยี วได้สังเกตมา ………………………………………………………………………………
กองเลือดวา่ เสมหา กองวาตาว่ากำเดา ………………………………………………………………………………
66. คมั ภรี ์กลา่ วไว้หมด ไยมิจดมิจำเอา ………………………………………………………………………………
ทายโรคแตโ่ ดยเดา ใหเ้ ช่อื ถือในอาตมา ………………………………………………………………………………
67. ร้นู อ้ ยอยา่ บังอาจ หม่ินประมาทในโรคา ………………………………………………………………………………
แรงโรคว่าแรงยา มิควรถือว่าแรงกรรม ………………………………………………………………………………
68. น่งึ ท่านไดก้ ล่าวถาม อยา่ กลา่ วความบังอาจอำ ………………………………………………………………………………
เภอใจว่าตนจำ เพศไขน้ ้อี นั เคยยา ………………………………………………………………………………
69. ใชโ่ รคสิ่งเดยี วดาย จะพลันหายในโรคา ………………………………………………………………………………
ตา่ งเนือ้ ก็ต่างยา จะชอบโรคอนั แปรปรวน ………………………………………………………………………………
70. บางทกี ย็ าชอบ แต่เคราะหค์ รอบจึ่งหนั หวน ………………………………………………………………………………
หายคลายแลว้ ทบทวน จะโทษยากผ็ ิดที ………………………………………………………………………………
17
71. อวดยาคร้นั ให้ยา เหน็ โรคาไม่ถอยหนี ………………………………………………………………………………
กลบั กลา่ วว่าแรงผี
72. เห็นลาภจะใคร่ได้ ท่ีแทท้ ำไม่ร้ทู ำ ………………………………………………………………………………
รนู้ อ้ ยบังอาจทำ
73. โรคนน้ั คือโทโส นยิ มใจไมเ่ กรงกรรม ………………………………………………………………………………
แพทยเ์ ร่งกระหน่ำยา
74. รแู้ ล้วอยา่ อวดรู้ โรคระยำเพราะแรงยา ………………………………………………………………………………
ควรยาหรอื ยาเกิน
75. ถนอมทำแต่พอควร จะภิยโยเรง่ วฒั นา ………………………………………………………………………………
ผโิ รคนัน้ กลับกลาย
76. บ้างไดแ้ ตย่ าผาย กย็ ่งิ ยับระยำเยิน ………………………………………………………………………………
เหน็ โทษเข้าเปน็ ตรี
77. บ้างรูแ้ ตย่ ากวาด พนิ จิ ดูอย่าหมนิ่ เมนิ ………………………………………………………………………………
โรคนอ้ ยใหห้ นักไป
กว่าโรคนั้นจ่งึ กลับกลาย ………………………………………………………………………………
อยา่ โดยด่วนเอาพลนั หาย………………………………………………………………………………
จะเสยี ทา่ ด้วยผิดที ………………………………………………………………………………
บรรจถุ ่ายจนถึงดี ………………………………………………………………………………
จ่งึ ออกตวั ด้วยตกใจ ………………………………………………………………………………
เทีย่ วอวดอาจไมเ่ กรงภัย ………………………………………………………………………………
ดงั ก่อกรรมให้ตดิ กาย ………………………………………………………………………………
18
การอา่ นบทรอ้ ยกรอง ประเภทกาพย์ยานี 11
กาพย์ยานี 11 มีจังหวะที่ดำเนินช้า จึงนิยมแต่งเพ่ือพรรณนา เช่น ชมนกชมไม้ พรรณนาความ
สวยงามของธรรมชาติ บ้านเมือง พรรณนาอารมณ์โศก คร่ำครวญ หรือใช้แตง่ บทสวด บทสรภัญญะที่ใช้ในบท
ละคร เป็นต้น
แผนผงั กาพย์ยานี 11
การอา่ นกาพย์ยานี ๑๑ มวี ิธีการอา่ นทำนองเสนาะเชน่ เดยี วกับหลกั การอา่ นทำนองเสนาะโดยทั่วไป
มหี ลักการอา่ นกาพย์ ดังน้ี
๒.๑ การแบ่งจงั หวะ
กาพยย์ านี วรรคหน้าแบง่ จังหวะเป็น ๒ - ๓ สว่ นวรรคหลังแบ่งเปน็ ๓ – ๓ ดงั ตัวอย่าง
อน่ึง/ จะกล่าวสอน กายนคร/ มมี ากหลาย
ประเทยี บ/ เปรียบในกาย ทกุ หญงิ ชาย/ ในโลกา
ดวงจติ / คือกระษัตริย์ ผา่ นสมบัติ/ อันโอฬาร์
ข้าศึก/ คอื โรคา เกดิ เขน่ ฆา่ / ในกายเรา
๒.๒ การใสท่ ำนอง กาพยย์ านี มีทำนอง ดงั นี้ บาทเอกออกเสยี งลงตำ่ ส่วนบาทโทออกเสียงต้นวรรค
ข้นึ เสยี งสงู
๒.๓ การใส่อารมณ์ ในการอ่านกาพย์ควรใส่อารมณ์สอดแทรกลงไปในบทที่อ่าน ให้เหมาะสมกับ
เนื้อเร่ืองและบรรยากาศโดยอาศัยการตีความตัวบทที่จะอ่านให้ถ่องแท้เสียก่อนแล้วอ่านถ่ายทอดอารมณ์
ออกมาเป็นท่วงทำนองใหน้ า่ ฟงั
19
แบบฝึกหัด
การอา่ นบทร้อยกรอง ประเภทกาพย์ยานี 11
คำชี้แจง : ใหน้ ักเรยี นแบ่งวรรคการอา่ น ฝกึ และสอบอา่ นกาพยย์ านี 11 ดงั ต่อไปน้ี
อนึง่ จะกลา่ วสอน กายนครมมี ากหลาย
ประเทยี บเปรียบในกาย ทุกหญิงชายในโลกา
ดวงจิตคือกระษัตริย์ ผา่ นสมบตั ิอันโอฬาร์
ข้าศึกคอื โรคา เกิดเข่นฆา่ ในกายเรา
เปรียบแพทย์คือทหาร อันชำนาญรลู้ ำเนา
ขา้ ศึกมาอยา่ ใจเบา ห้อมล้อมรอบทุกทิศา
ให้ดำรงกระษตั ริย์ไว้ คือดวงใจให้เรง่ ยา
อนงึ่ ห้ามอยา่ โกรธา ข้าศกึ มาจะอันตราย
ปิตตํ คือ วงั หน้า เร่งรกั ษาเขมน้ หมาย
อาหารอยู่ในกาย คือเสบยี งเลยี้ งโยธา
หนทางทง้ั สามแห่ง เรง่ จัดแจงอยูร่ ักษา
ห้ามอย่าให้ข้าศึกมา ปิดทางได้จะเสยี ที
กลา่ วยกโทษแพทยอ์ ันมี
อนึง่ เล่ามีคำโจทก์ เหตฉุ ันใดแก้มฟิ ัง
ปรีชารู้คัมภรี ์ รูร้ กั ษาก็จรงิ จัง
คำเฉลยแกป้ จุ ฉา จง่ึ มิฟงั ในการยา
ดว้ ยโรคเหลอื กำลัง แกแ่ ลว้ ไซรย้ ากนักหนา
เม่อื ออ่ นรักษาได้ เหมอื นเพลิงป่าไหม้ลุกลาม
ไข้น้ันอุปมา โอกาสนน้ั มีอยู่สาม
เปน็ แพทย์พึงสำคญั บางทรี ู้เกินร้ไู ป
เคราะหร์ ้ายขดั โชคนาม ด้วยโรคน้ันใช่วิสัย
บางทรี ไู้ ม่ทนั ถอื วา่ รูข้ ืนกระทำ
ตน บ รู้ทิฏฐิใจ โรคนั้นส้วู ่าแรงกรรม
จบเรือ่ งที่ตนรู้ สดุ มอื มว้ ยนา่ เสียดาย
ไมส่ ิ้นสงสัยทำ
20
บทวเิ คราะหค์ ณุ ค่าวรรณคดเี ร่อื ง คมั ภีร์ฉนั ทศาสตร์ แพทยศาสตร์สงเคราะห์
คณุ ค่าด้านเนอ้ื หา
รูปแบบการแต่ง : คัมภีรฉ์ ันทศาสตร์ แพทยศาสตร์สงเคราะห์ เป็นหนงั สือท่ีรวบรวมความรู้จากตำรา
อื่น ๆ เกี่ยวกับแพทยศาสตร์ ซึ่งผู้แต่งเลือกใช้คำประพันธ์ประเภทกาพย์ยานี ๑๑ เริ่มต้นด้วยบทไหว้ครู และ
จรรยาบรรณของแพทย์ กับข้อควรปฏิบัติ ซึ่งเป็นส่วนเนือ้ หาทีใ่ ช้ศกึ ษาในระดับช้ันมัธยมศกึ ษาปีท่ี ๕ ส่วนเนอื้
เรื่องท่ีว่าด้วยเรื่อง ลักษณะทับ ๘ ประการ ผู้แต่งใช้คำประพันธ์ประเภทร่ายให้ความรู้เกี่ยวกับการรักษาโรค
หรอื อาการตา่ ง ๆ ของแพทยแ์ ผนไทย
สาระสำคัญของเรื่อง : ความสำคัญของแพทย์และคุณสมบัติที่แพทย์พึงมี ซึ่งจะช่วยรักษาโรคได้ผล
มากกวา่ รู้เรือ่ งนาอย่างเดียว
โครงเรื่อง : มีการลำดับความเริ่มต้นด้วยบทไหว้ครู เป็นการไหว้พระรัตนตรัย ไหว้เทพเจ้าของ
พราหมณ์ ไหว้หมอชีวกโกมารภัจ และไหว้ครูแพทย์โดยทั่วไป ต่อด้วยความสำคัญของแพทย์ จรรยาบรรณ
แพทย์ ซงึ่ เปน็ คุณสมบัตทิ แี่ พทย์พงึ มี และตอนท้ายกลา่ วถึงทบั ๘ ประการ คือ อาการของโรคชนดิ หน่ึงท่ีแทรก
ซ้อนกบั โรคอนื่
กลวิธีการแต่ง : เป็นตำราที่มีเน้ือหาเฉพาะด้าน การนำเสนอเป็นการอธิบายโวหารเป็นส่วนใหญ่ แต่
เมื่อกล่าวถึงเรื่องที่เป็นนามธรรม ผู้เขียนเลือกใช้อุปมาโวหาร หรือบทเปรียบเทียบ ซึ่งช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจ
ความหมายไดง้ า่ ยและเหน็ ภาพจากบทประพนั ธ์ชัดเจนมากขึ้น เชน่
“จะกลา่ วถึงคัมภีรฉ์ ัน ทศาสตร์บรรพท์ ค่ี รสู อน
เสมอดวงทินกร แลดวงจันทรก์ ระจ่างตา”
คุณค่าด้านวรรณศลิ ป์
๑. การสรรคำ
๑.๑ การใช้ถอ้ ยคำทเี่ หมาะสมแก่เนอื้ เรอ่ื ง ทำใหเ้ ข้าใจความหมายตรงไปตรงมา เช่น
“บางหมอก็กลา่ วคำ มุสาซำ้ กระหนำ่ ความ
ยกตนว่าตนงาม ประเสริฐย่งิ ในการรักษา
บางหมอกเ็ กียจกนั ท่พี วกอนั แพทย์รกั ษา
บา้ งกลา่ วเปน็ มารยา เขาเจบ็ นอ้ ยว่ามากครนั ”
๑.๒ การใช้สำนวนไทย ชว่ ยอธบิ ายใหช้ ัดเจนมากขน้ึ เช่น
“เรยี นรู้คมั ภรี ์ไสย สขุ มุ ไว้อย่าแพร่งพราย
ควรกล่าวจึ่งขยาย อย่ายื่นแก้วให้วานร”
1.3 การเล่นคำสัมผสั พยญั ชนะ เชน่
“เหน็ ลาภอย่าโลภนัก อยา่ หาญหกั ด้วยมารยา
ไขน้ ้อยว่าไขห้ นา อบุ ายกลา่ วให้พึงกลวั ”
1.4 การเลน่ คำสมั ผัสสระ เชน่
ผู้ใดใครทำชอบ ตามระบอบพระบาลี
กุศลผลจะมี อเนกนับเบื้องหนา้ ไป
21
1.5 การเล่นคำซ้ำ เชน่
“แก่กายไม่แก่รู้ ประมาทผู้อดุ มญาณ
แม้เด็กเป็นเดก็ ชาญ ไมค่ วรหมิน่ ประมาทใจ”
๒. การใช้ภาพพจน์โวหาร ทำให้ผอู้ ่านเขา้ ใจความหมายและเหน็ ภาพชดั เจนย่งิ ข้นึ เชน่
2.1 การใช้ภาพพจน์อปุ มา เชน่
“เมอ่ื อ่อนรกั ษาได้ แก่แล้วไซร้ยากหนกั หนา
ไข้น้ันอปุ มา เหมอื นเพลิงปา่ ไหม้ลุกลาม”
“อทุ ธจั จังอยา่ อุทธัจ เห็นถนดั ในโรคา
ให้ตัง้ ตนดงั พระยา ไกรสรราชเข้าราวี”
2.2 การใช้ภาพพจนอ์ ปุ ลกั ษณ์ เช่น
ผ่านสมบัติอันโอฬาร์
“ดวงจิตคอื กระษตั รยิ ์ เกดิ เข่นฆ่าในกายเรา
ขา้ ศกึ คือโรคา อันชำนานรู้ลำเนา
เปรียบแพทย์คือทหาร ห้อมลอ้ มรอบทุกทิศา”
ขา้ ศกึ มาอย่างใจเบา
คุณคา่ ด้านสังคม
๑. สะท้อนให้เห็นความเชื่อของสังคมไทย ฉันทศาสตร์มีความหมายว่า ตำรา (ศาสตร์) ที่แต่งเป็น
สูตร (ฉันท์) ตามอย่างตำราการแพทย์ในคัมภีร์อาถรรพ์เวท ตำราอาถรรพ์เวท เป็นพระเวทหนึ่งในศาสนา
พราหมณ์ จงึ มเี ร่อื งเกีย่ วกบั ไสยศาสตรด์ ้วย จึงมักพบคำวา่ “คัมภีรไ์ สย์”ปรากฏอยใู่ นคำประพนั ธ์ ดงั ตัวอยา่ ง
“เรียนรใู้ ห้ชดั เจน จบจังหวดั คัมภรี ์ไสย์
ตั้งตน้ ปฐมใน ฉนั ทศาสตรด์ ังพรรณนา”
แต่ในคมั ภีร์ฉนั ศาสตร์ มีการประสานความเชื่อความคิดต่าง ๆ ทางสงั คมและทางพระพุทธศาสนาเข้า
ด้วยกัน เนื้อหาจึงปรากฏคำบาลีแสดงให้เห็นตลอด ทำให้ได้รับความรู้เกี่ยวกับคำศัพท์ทางพระพุทธศาสนา
เช่น มิจฉา (ความผิด) พิริยะ (ความเพียร) วิจิกิจจา (ความลังเล) อุทธัจ(ความฟุ้งซ่าน) วิหิงษา (เบียดเบียน)
อโนตปั ปงั (ความไม่สะดุ้งกลวั ตอ่ บาป) อธิกรณ์ (โทษ)
๒. สะท้อนใหเ้ หน็ คุณคา่ เรื่องแพทยแ์ ผนไทย ถ้าพิจารณาในส่วนที่กลา่ วถึงทับ ๘ ประการ จะเป็นไป
ไดว้ ่าแพทย์แผนไทยเปน็ วธิ ีการรักษาโรคอกี วธิ หี น่ึง เปน็ แพทย์ทางเลอื กท่มี ีความจำเป็นในการรักษาโรค เราจะ
คดิ ว่าเปน็ เร่ืองที่ล้าสมยั ไม่ได้ เพราะเวชกรรมแผนโบราณเป็นท่ยี อมรบั เชื่อถือมาช้านาน ก่อนทจ่ี ะรับเอาวิทยา
การแพทยแ์ ผนใหม่มาจากชาติตะวันตกมาใช้ ซึง่ ปัจจุบนั การค้นคว้าวิจยั ทางแพทย์ จะกลับมาให้ความสนใจใน
การรกั ษาด้วยยาสมุนไพรตามแบบโบราณ โดยถือวา่ เปน็ ทางเลอื กทางหนง่ึ ในการรกั ษาโรคในปัจจบุ นั
๓. ให้ข้อคิดสำหรับการนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน สามารถนำข้อคิดที่ได้จากการศึกษาคัมภีร์
ฉันทศาสตร์ไปใช้ได้ทุกสาขาอาชีพ เพราะไม่ว่าจะเป็นบุคคลในอาชีพใด ถ้าไม่มีความประมาท ความอวด
ดี ความริษยา ความโลภ ความเห็นแก่ตัว ความหลงตัวเอง และการมีศีลธรรมประจำใจ ย่อมได้รับการยกย่อง
จากบุคคลตา่ ง ๆ
โดยเฉพาะในวิชาชีพแพทย์ซึ่งเกี่ยวข้องกับความเป็นความตายของชีวิตคน ต้องเป็นผู้ที่รอบรู้จริง
ตง้ั แตก่ ารวนิ จิ ฉยั สมตฐิ านโรค การใชย้ า และความรับผดิ ชอบตอ่ ผู้ป่วย ใหป้ ฏบิ ัติดว้ ยความรอบคอบไมป่ ระมาท
โดยมคี ำสอนในทางพระพทุ ธศาสนาเป็นแนวทางในการชี้นำ
22
๔. ให้ความรู้เรื่องศัพท์ทางการแพทย์แผนโบราณ เช่น คำว่า “ธาตุพิการ” ธาตุทั้งสี่ (ดิน น้ำ ลม
และไฟ) ในร่างกายไม่ปกติ ทำให้เกิดโรคต่าง ๆ ขึ้นตามกองธาตุเหล่านั้น คำว่า “กำเดา” หมายถึง อาการไข้
อย่างหนึ่งเกิดจากหวัดเรียกว่า “ไข้กำเดา” อาการของโรคจะมีเลือดไหลออกทางจมูก เรียกว่าเลือดกำเดา
คำว่า “ปวดมวน” หมายถึง การปั่นป่วนในท้อง คำว่า “ตรีโทษ” หมายถึง อาการไข้หนักมาก อยู่ในระยะที่
เลอื ด ลม เสมหะเป็นพษิ ข้ึนพร้อมกันในรา่ งกาย
แบบฝึกหดั คณุ ค่าวรรณคดเี ร่อื ง คัมภีรฉ์ นั ทศาสตร์ แพทยศาสตรส์ งเคราะห์ 23
คำชี้แจง : ให้นักเรียนเขียนสรุปแผนผังความคิด คุณค่าวรรณคดีเรื่อง คัมภีร์ฉันทศาสตร์ แพทยศาสตร์
สงเคราะห์ สรุปพร้อมตกแต่งให้สวยงาม (แยกประเด็นออกเป็นคุณค่าด้านเนื้อหา คุณค่าด้านวรรณศิลป์ และ
คณุ คา่ ดา้ นสังคม)
24
25
การเขยี นจดหมายกิจธรุ ะ
จดหมายกิจธุระ เป็นจดหมายที่เกี่วข้องกับธุระการงานที่เป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินชีวิต จดหมาย
กิจธุระอาจเป็นจดหมายระหว่างบุคคลถึงบุคคล บุคคลถึงบริษัทห้างร้าน หรือเป็นจดหมายของบุคคลถึงส่วน
ราชการ ใจความในจดหมายต้องระบุให้ชัดเจนว่าต้องการให้เกิดความร่วมมือในเรื่องใดมีความจำเป็นอย่างไร
จงึ ต้องขอความร่วมมือชว่ ยเหลอื การใช้สำนวนภาษาต้องสุภาพและใหค้ วามสำคญั กับผู้รับจดหมาย
ความหมายของจดหมายกิจธรุ ะ
จดหมายกิจธุระ คือ จดหมายที่ใช้ในการติดตอ่ เรื่องกิจการงาน มิใช่เรื่องส่วนตัว จัดทำในนามองค์กร
ใดองคก์ รหนึ่ง จดหมายกจิ ธุระใช้รูปแบบเหมือนหนังสอื ราชการและใช้ภาษาระดับทางการ
หลกั ทัว่ ไปในการเขยี นจดหมายกจิ ธรุ ะ
1) พมิ พ์หรอื เขยี นใหถ้ กู ตอ้ งตามรูปแบบของจดหมายแตล่ ะประเภท
2) ใช้ถ้อยคำสำนวนภาษาทชี่ ดั เจน กระชับ รัดกุม ใช้คำสุภาพและไมใ่ ชภ้ าษาพดู ในการเขยี น
3) พิมพห์ รอื เขยี นดว้ ยรายมอื ที่อ่านง่าย เรียบรอ้ ย สะอาดตา
4) สะกดคำให้ถูกต้องตามหลักภาษา ถกู ตอ้ งตามระดบั ภาษา กาลเทศะ และบคุ คล
5) ใช้คำนำ (คำขึ้นต้น) สรระนาม คำลงท้ายที่เหมาะสมกับฐานนะของบุคคลและเหมาะสมกับ
ความสัมพนั ธร์ ะหว่างผเู้ ขียนกับผ้รู ับ
รปู แบบการเขยี นจดหมายกิจธรุ ะ
จดหมายกจิ ธรุ ะมี 2 รปู แบบ คอื
1. จดหมายกิจธุระเต็มรูปแบบ ใช้ในการเขียนที่เป็นทางการ เหมือนหนังสือราชการ
ภายนอก แต่มีการดัดแปลงใหเ้ หมาะสมกบั หน่วยงานของตน และใช้ภาษาทเี่ ปน็ ทางการ
2. จดหมายกิจธุระไม่เต็มรูปแบบ ใช้ในการเขียนจดหมายกิจธุระส่วนตัว ใช้รูปแบบเหมือน
จดหมายสว่ นตัว ส่ิงทตี่ า่ งจากจดหมายส่วนตัว คอื วัตถุประสงค์และใชภ้ าษากึ่งทางการหรือทางการ
ส่วนประกอบของจดหมายกิจธรุ ะ
วัตถุประสงค์ของผู้จัดทำจดหมายกิจธุระมีได้หลากหลาย เช่น เชิญวิทยากรขอความอนุเคราะห์
ขอบคณุ ฯลฯ ไม่ว่าจะมีวตั ถปุ ระสงคใ์ ด กม็ ีส่วนต่าง ๆ ของจดหมาย ดังนี้
1. หัวจดหมาย ถ้าเป็นบุคคลธรรมดา ก็ใช้ที่อยู่ของผู้เขียน แต่ถ้าเป็นหน่วยงาน ก็จะเป็นชื่อองค์กร
หรือหน่วยงานท่อี อกจดหมาย มีท่ีอยูห่ น่วยงาน เหมือนจดหมายธรรมดา
2. ลำดับที่ของจดหมาย เช่น ที่ ศธ 5/2562 โดย ศธ เป็นอักษรย่อของหน่วยงาน คือ
กระทรวงศึกษาธิการ แตถ่ า้ ผเู้ ขียนจดหมายเป็นบุคลธรรมดา ก็ไมต่ ้องมใี นส่วนน้ี
3. วัน เดอื น ปี ท่อี อกจดหมาย เหมือนจดหมายธรรมดา
4. เร่อื ง เป็นการเขยี นระบจุ ุดประสงค์ของการเขียนจดหมาย เช่น ขอเชญิ ใหม้ าเปน็ วิทยากร
5. คำขึน้ ต้นจดหมาย ใช้คำวา่ “เรียน” ตามดว้ ยชอื่ นามสกลุ ยศ ตำแหนง่ ของผ้รู บั หรือถ้าผู้รับเป็นผู้
ที่มียศ บรรดาศกั ด์ิสงู เช่น รฐั มนตรี นายกรัฐมนตรี หรือเป็นพระภกิ ษุ ก็ตอ้ งใชค้ ำขึ้นต้นท่ีแตกตา่ งไปจากคำว่า
“เรยี น” คำขน้ึ ต้นจดหมายต้องคำนงึ ถงึ เรอื่ งนี้ดว้ ย
26
6. สิ่งที่ส่งมาด้วย เป็นสิ่งที่ผู้ส่งจดหมายส่งให้ผู้รับพรอ้ มจดหมาย เช่นรายละเอียดโครงการ เอกสาร
ประกอบการประชุม หนงั สือ (อาจจะมหี รือไมม่ ีกไ็ ด้) สิ่งท่ีสง่ มาด้วย จะต้องระบุ ว่าเปน็ อะไร
7. ขอ้ ความ หรอื เน้ือหาของจดหมาย เปน็ เนอ้ื หาสาระหลักของจดหมาย มกั มี ๒ ย่อหน้า หากเน้ือหา
จดหมายมคี วามยาวอาจ มี 3 ย่อหน้ากไ็ ด้ เปน็ ภาษาเขียน ภาษาราชการ เป็นข้อเท็จจรงิ เท่าน้นั ไมม่ ขี อ้ คดิ เห็น
เจือปน
8. คำลงท้าย เชน่ ขอแสดงความนบั ถอื โดยเขียนให้ตรงกบั วนั ท่ี
9. ลายมอื ชอื่ ตอ้ งเปน็ ลายมอื ชื่อจริงของผู้ลงชอื่ ไม่ใช่ลายมอื ชอื่ ที่ใช้ตรายางประทับ
10. ชอ่ื เต็มของผูเ้ ขยี นจดหมาย พมิ พอ์ ยูใ่ นวงเลบ็ ต้องมีคำนำหน้าช่อื เสมอ
ประเภทการเขยี นจดหมายกิจธรุ ะ
(ก) จดหมายเชิญวทิ ยากร
1. หาขอ้ มูลการติดต่อวิทยากร เพือ่ ติดต่อประสานงานทางโทรศัพท์ ขออีเมล์ หรือ ถ้าจะส่ง
จดหมาย จะสง่ ไปที่ใด จา่ หนา้ ถึงวทิ ยากรหรอื ผูป้ ระสานงานของวทิ ยากร
2. เตรียมข้อมูลของวิทยากรที่จะเชิญ วิทยากรคนนั้นหรือองค์กรนั้นทำอะไร มี
ความเชีย่ วชาญดา้ นไหน มีผลงานอะไร จะได้รู้ถงึ ความสอดคลอ้ งกบั เน้ือหาที่เราตอ้ งการ
การเขียนจดหมายเชญิ วทิ ยากรมีมารยาทท่คี วรรไู้ ว้ ดังนี้
- ก ร ะ ด า ษ ซ อ ง ท ี ่ ส ะ อ า ด เ ร ี ย บ ร ้ อ ย ใ ช ้ ก ร ะ ด า ษ ท ี ่ ม ี ส ี ส ุ ภ า พ ใ ช ้ ซ อ ง ท่ี
การสื่อสารแห่งประเทศไทยจัดทำขึ้น เพราะได้มาตรฐาน สำหรับซองตราครุฑนั้น จดหมายที่มิใช่หนังสือ
ราชการห้ามใช้
- เขียนใหช้ ดั เจน อา่ นงา่ ย การเขยี นตวั อักษร (Font) คอ่ นข้างโต และเว้นชอ่ งไฟหา่ ง จะช่วย
ใหจ้ ดหมายอา่ นง่าย
- จะตอ้ งศึกษาข้อมลู ให้ถูกต้องวา่ วิทยากรท่เี ราจะเขยี นจดหมายไปถึงนัน้ เปน็ ใคร มีตำแหน่ง
หน้าท่ีอะไร การเขยี นข้อความในจดหมาย การจ่าหนา้ ซอง จะต้องระบุตำแหนง่ หน้าที่ และชนั้ ยศของวิทยากร
ผ้นู น้ั ให้ถกู ต้อง และตอ้ งสะกดชือ่ นามสกลุ ยศ ตำแหนง่ ของวิทยากรผู้น้ันให้ถูกตอ้ งด้วย
- เมื่อเขียนจดหมายเชิญวิทยากรและตรวจทานเสร็จแล้ว ต้องพับให้เรียบร้อย บรรจุซอง จ่า
หนา้ ซองใหถ้ ูกต้อง ครบถว้ น ติดแสตมปต์ ามราคา ก่อนสง่
- การจ่าหน้าซอง ให้เขียน ชื่อ-นามสกุล ของผู้รับให้ถูกต้อง ชัดเจน อ่านง่าย มีคำนำหน้า
นามแสดงเกียรติยศ หรอื ฐานนั ดรศักดิ์ และคำนำหน้าช่ือควรเขียนเต็ม ไมค่ วรใช้คำย่อ ในกรณีทไี่ ม่ทราบ ควร
ใชค้ ำวา่ “คณุ ” นำหน้าชอื่ ผู้รบั ในการจ่าหนา้ ซอง ระบสุ ถานท่ีของผู้รับใหถ้ กู ต้องชดั เจน ที่สำคญั คือจะต้องระบุ
รหัสไปรษณยี ใ์ หถ้ ูกต้อง
(ข) จดหมายขอความอนุเคราะห์
เป็นหนงั สือขอความช่วยเหลือ หมายถงึ หนังสือทม่ี ีถงึ ส่วนราชการ สมาคม มูลนธิ ิ บริษัทห้าง
ร้านเอกชน หรอื บุคคลภายนอก ซ่ึงไม่มหี นา้ ทีเ่ กีย่ วขอ้ งกนั ขอให้อีกฝ่ายชว่ ยเหลอื อย่างใดอย่างหนงึ่ เชน่ ขอให้
มาบรรยาย ขอใหช้ ว่ ยเหลือทางการเงนิ ขอใหท้ ำส่งิ หน่ึงส่ิงใดให้ เป็นต้น
การเขียนหนงั สือขอความช่วยเหลือที่จะให้บรรลุวตั ถุประสงค์ จะตอ้ งเขียนลำดับเน้อื ความให้เช่ือมโยง
เร่อื งราวและเหตผุ ลสัมพนั ธก์ นั สอดคล้องกันตลอดเร่อื ง และสมเหตุสมผลดีด้วย โดยใช้ลำดบั เน้ือความ ดังน้ี
27
1. บอกความจำเปน็ หรือความต้องการของเรา
2. ยกยอ่ งภมู ิธรรมและคุณธรรมของอีกฝา่ ย
3. ช้ีผลอันนา่ ภมู ใิ จท่ีเขาจะไดร้ บั หากได้ชว่ ยเรา
4. ขอความกรุณาชว่ ยเหลอื จากเขา
5. ตัง้ ความหวังว่า จะได้รบั ความกรณุ าชว่ ยเหลือ จงึ ขอขอบคุณล่วงหน้า
(ค) จดหมายแสดงความขอบคุณ
จดหมายแสดงความขอบคุณมีรูปแบบเหมือนจดหมายกิจธุระ เช่น ขอความอนุเคราะห์
จดหมายเชิญ เป็นการเขียนจดหมายขอบคุณบุคคลที่ได้ให้ความอนุเคราะห์ช่วยเหลือมา จดหมายแสดง
ความขอบคณุ ควรมีหวั ขอ้ ต่าง ๆ ดงั น้ี
1. มีการอ้างถึงหนังสือของอีกฝ่ายท่ีตอบรับให้ความชว่ ยเหลือแก่เรา (หรือถ้าไม่มี ก็อ้าง
หนงั สอื ของเราทมี่ ไี ปขอความอนุเคราะห์อกี ฝา่ ยกไ็ ด้)
2. เนื้อความ มีการกล่าวถึงความอนุเคราะห์ที่เขาให้เรา, กล่าวถึงประโยชน์ที่ได้รับจาก
ความอนเุ คราะหข์ องเขา, กลา่ วขอบคณุ รวมถงึ ตงั้ ความหวังวา่ จะได้รบั ความอนุเคราะห์อีกในโอกาสตอ่ ไป
ฟอรม์ การเขียนและการพบั จดหมายกจิ ธรุ ะ (หนังสอื ราชการ)
28
ตวั อยา่ งจดหมายกจิ ธุระไมเ่ ตม็ รปู แบบ
29
ตวั อย่างจดหมายกจิ ธรุ ะเต็มรปู แบบ (หนงั สือราชการ)
30
31
แบบฝกึ หดั การเขียนจดหมายกจิ ธุระ
คำชแี้ จง : ให้นักเรียนตอบคำถามต่อไปน้ี
1. จดหมายกิจธรุ ะ หมายถึงอะไร
.......................................................................................................................................................................... ....
.................................................................................................................................................. ............................
..............................................................................................................................................................................
2. หลักทั่วไปในการเขียนจดหมายกจิ ธุระ ควรคำนงึ ถึงสิง่ ใดบ้าง
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
........................................................................................................................................................ ......................
..............................................................................................................................................................................
3. รปู แบบการเขยี นจดหมายกิจธรุ ะ มกี ร่ี ูปแบบ แต่ละรปู แบบแตกตา่ งกนั อย่างไร
..................................................................................................................................................................... .........
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
4. การเขียนจดหมายเชิญวิทยากร ผ้เู ขยี นต้องเตรียมข้อมูลก่อนเขียนอยา่ งไรบ้าง
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
5. ให้นกั เรยี นเขยี นจดหมายเชิญวทิ ยากร (หนังสอื ราชการ) โดยสมมติข้อมูลหน่วยงาน และรายละเอียดเนือ้ หา
ท่ีเกย่ี วขอ้ งด้วยตนเอง จำนวน 1 ฉบบั
o ท…่ี …………………………………………………………………………………………………………………………………………
o ท่อี ยู่………………………………………………………………………………………………………………………….……………
o วันท่ี…………………………………………………………………………………………………………………….…………………
o เร่ือง……………………………………………………………………………………………………………………………………….
o เรียน………………………………………………………………………………………………………………………………………
o ช่ือผ้เู ขยี น………………………………………………………………………………………………………………………………..
o ตำแหนง่ ผเู้ ขียน………………………………………………………………………………………………………………………..
32
……………………………………………………… ……………………………………………………………
……………………………………………………… ……………………………………………………………
……………………………………………………… ……………………………………………………………
……………………………………………………… ……………………………………………………………
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................... .......
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................... ....................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
............................................................................................................................................. .................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
................................................................................................................................ ..............................................
..................................................................................................................................................................... .........
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
........................................................................................................................................................ ......................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
........................................................................................................................................... ...................................
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
33
การอา่ นจับใจความสำคัญ
ความหมายของการอ่านจบั ใจความสำคัญ
การอา่ นจบั ใจความสำคัญ คอื การค้นหาสาระสำคัญของ
เรอ่ื งหรอื ของหนังสือที่อา่ น ส่วนนน้ั คอื ขอ้ ความท่มี ีสาระครอบคลุม
ข้อความอื่น ๆ ในย่อหน้านั้นหรือเนื้อเรื่องทั้งหมด ข้อความตอน
หนึ่งหรือเรื่องหนึ่งจะมีใจความสำคัญที่สุดเพียงหนึ่งเดียว
ซ่งึ ใจความสำคัญกค็ ือสงิ่ ทเ่ี ป็นสาระสำคญั ของเร่ืองนน่ั เอง
ใจความสำคัญ หมายถึง ใจความท่ีสำคัญ และเด่นที่สุดในย่อหน้า เป็นแก่นของ ย่อหน้าที่ สามารถ
ครอบคลมุ เนื้อความในประโยคอืน่ ๆ ในย่อหนา้ นนั้ หรือประโยค ทส่ี ามารถเป็นหวั เร่อื งของย่อหนา้ น้ันได้ ถ้าตัด
เนื้อความของประโยคอื่นออกหมด หรือสามารถเป็นใจความหรือประโยคเดี่ยว ๆ ได้ โดยไม่ต้องมีประโยคอ่ืน
ประกอบ ซ่ึงในแตล่ ะย่อหนา้ จะมีประโยคในความสำคัญเพียงประโยคเดียว หรืออยา่ งมากไม่เกิน ๒ ประโยค
ใจความรอง หรือ พลความ (พน ละ ความ) หมายถึง ใจความ หรือประโยคที่ขยายความประโยค
ใจความสำคัญ เป็นใจความสนับสนุนใจความสำคัญให้ชัดเจนขึ้น อาจเป็นการอธิบายให้รายละเอียด ให้คำ
จำกัดความ ยกตัวอยา่ ง เปรยี บเทยี บ หรอื แสดงเหตผุ ล อย่างถ่ีถ้วน เพ่อื สนับสนนุ ความคิด ส่วนที่มิใช่ใจความ
สำคัญ และมิใช่ใจความรอง แตช่ ่วยขยายความให้มากขึน้ คือ รายละเอียด
จดุ มุ่งหมายในการอา่ นจับใจความสำคัญ
๑. เพ่ือให้นกั เรียนอ่านและจับใจความได้ ไม่ใช่เพยี งเพ่ือเรียนจบภายในช่วั โมงเทา่ น้ัน เพื่อให้กิจกรรม
การอ่านมีความหมาย การอ่านจึงควรเป็นการอ่านจากเอกสารนอกเหนือจากหนังสือเรียนหนังสือไม่ควรหนา
มาก ควรจับเวลาใหพ้ อเหมาะกบั เน้อื เรอื่ ง
๒. ให้ผู้อ่านสามารถบอกรายละเอียดของเรื่องราวที่อ่านว่ามีสาระอะไรบ้างโดยเล่ารายละเอียดได้
ชัดเจนเพ่อื แสดงว่าผอู้ า่ นมีความเข้าใจในเรื่องทีอ่ ่าน
๓. อ่านเพ่อื ปฏบิ ัติตามคำส่งั และคำแนะนำ
๔. ฝึกการใช้สายตา นยิ มอ่านเพ่ือฝึกการอ่านเร็วและตอบคำถามได้ถูกต้องแม่นยำ
๕. อ่านเพอื่ สรปุ หรอื ย่อเรื่องที่อ่านเก่ียวกับอะไร
๖. อา่ นแลว้ สามารถคาดการณ์ ทำนายเรอ่ื งวา่ จะลงเอยอย่างไร
๗. อ่านและทำรายงานย่อสรุป มีการฝึกโน้ตยอ่
๘. อา่ นเพอ่ื หาความจรงิ และแสดงข้อคดิ เห็นได้
หลักการอา่ นจบั ใจความสำคัญ
๑. ตั้งจุดมุ่งหมายในการอ่านให้ชัดเจน เพื่อใช้เป็นแนวทางในการกำหนดการอ่านไดอ้ ย่างเหมาะสม
และสามารถจับใจความหรอื คำตอบได้รวดเร็วย่งิ ขึ้น
34
๒. ฝึกการแบ่งจับสายตาในแต่ละบรรทดั โดยใช้สายตาจบั เป็นจุด ๆ พยายามแผ่ช่วงสายตาให้กว้าง
และใช้เวลาให้น้อย แล้วเคลื่อนสายตาไปอย่างรวดเร็ว ทาซ้ำ ๆ หลายๆ ครั้งจนเกิดความชำนาญ เมื่อชำนาญ
แล้วจะใช้สายตาในการจบั เนือ้ ความในแต่ละบรรทัดนอ้ ยลง
๓. พยายามเกบ็ แต่ใจความสำคัญของขอ้ ความ หรือเร่ืองท่ีอา่ นอยา่ งรวดเรว็
๔. ขณะที่อ่านจะต้องรู้ว่าข้อความสำคัญอยู่ที่ใด โดยมีข้อสังเกตว่า ใจความสำคัญส่วนมากจะ
ปรากฏ ให้เหน็ ในบรรทดั แรก หรือบรรทดั สุดท้ายของแตล่ ะย่อหน้า
๕. กำหนดปริมาณของข้อความที่จะอ่านไว้ล่วงหน้า และจับเวลาทุกครั้งเมื่อเริ่มต้นอ่านในแต่ละ
หนา้ ซง่ึ หากมกี ารฝึกหลาย ๆ ครง้ั จะทำใหเ้ วลาในการอา่ นลดนอ้ ยลง
๖. ขณะที่อ่านต้องพยายามบังคับสายตา ให้กวาดไปตามตัวหนังสืออย่างรวดเร็ว ควรหลีกเลี่ยง
การอ่านทลี ะคำ และควรไดร้ บั การฝกึ อ่านทลี ะประโยค
๗. หากเรื่องทอ่ี ่านเป็นเรื่องท่ีมคี วามยาวและหลายย่อหนา้ เมื่ออา่ นจบลงทุกครง้ั ควรมีการทดสอบ
ความเข้าใจด้วยการฝึกถามตวั เองตามหวั ข้อดังนี้ เป็นเร่ืองอะไร ใคร ทำอะไร ทไี่ หน เม่ือไร อยา่ งไร และทำไม
ซึ่งบางเรื่องอาจมีคำตอบไม่ครบแต่ต้องตอบเท่าที่มีอยู่ให้ครบถ้วนเพื่อจะจับใจความสำคัญให้ได้มากที่สุดแล้ว
จดลงในกระดาษ นำไปเปรียบเทียบกับเนื้อเรื่องท่ีอ่านมาถึงความถูกต้องและพยายามสำรวจหรือเปรียบเทยี บ
ขอ้ บกพรอ่ งเพอ่ื หาทางแก้ไข
ลักษณะของใจความสำคัญ
๑. ใจความสำคัญเป็นข้อความที่ทำหน้าที่คลุมใจความของข้อความอื่น ๆ ในตอน นั้น ๆ ได้หมด
ขอ้ ความนอกนน้ั เป็นเพียงรายละเอียดหรอื สว่ นขยายใจความเท่านน้ั
๒. ใจความสำคญั ของขอ้ ความหน่ึงๆ หรอื ยอ่ หนา้ หนึ่งๆ ส่วนหน่ึงๆ ส่วนมากจะมเี พียงประการเดียว
๓. ใจความสำคัญส่วนมากมีลักษณะเป็นประโยค อาจจะเป็นประโยคเดียวหรือประโยคซ้อนก็ได้
แต่ในบางกรณีใจความสำคัญไม่ปรากฏเป็นประโยค เป็นเพียงประโยคเดียวหรือประโยคซ้อนก็ได้ บางกรณี
ใจความสำคญั ไมป่ รากฏเปน็ ประโยค เปน็ เพยี งใจความทแ่ี ฝงอย่ใู นขอ้ ความตอนนัน้ ๆ
๔. ใจความสำคัญที่มีลักษณะเป็นประโยคส่วนมากจะปรากฏอยู่ต้นข้อความ เช่น ความแตกต่างของ
มนษุ ย์และสัตวอ์ กี ประการหน่ึงที่เหน็ เดน่ ชดั คอื เรื่องของการใช้ภาษา มนุษย์สามารถถา่ ยทอดความรู้ความคิด
ออกมาเป็นตวั เขียน คอื เปน็ ภาษาหนงั สือสำหรับให้ผอู้ นื่ อ่านและเขา้ ใจตรงตามท่ีต้องการ แต่สัตว์ใชไ้ ดแ้ ตเ่ สียง
เท่านัน้ ในการสือ่ สาร แมแ้ ต่เสียงหลายทา่ นก็ยงั มีความเหน็ วา่ สัตวจ์ ะทำเสียงเพ่ือแสดงความรู้สึก เช่น โกรธ หิว
เจบ็ ปวด เท่านน้ั เสยี งของสตั วไ์ ม่อาจสื่อความหมายได้ละเอยี ดลออเท่าภาษาพดู ของมนุษย์
การพจิ ารณาตำแหนง่ ใจความสำคญั
ใจความสำคญั ของขอ้ ความในแต่ละย่อหนา้ จะปรากฏในตำแหนง่ ดงั น้ี
๑. ตำแหนงตน้ ยอ่ หน้า เป็นจุดท่ีพบใจความสำคญั ของเรือ่ งมากทสี่ ดุ
ประโยคใจความสำคัญ + ขอ้ ความขยาย
(สังเกตได้ว่า ข้อความที่ตามมามีเนื้อความขยายคำสำคัญในประโยคใจความสำคัญ และมี
คำเช่อื มหน้าข้อความขยาย คำว่า เพราะ คือ เช่น ได้แก่ ประการที่หนึ่ง ฯลฯ)
35
ตวั อยา่ ง : ใจความสำคัญอยู่ตอนต้นย่อหน้า
“ความสมบูรณ์ของชีวิตมาจากความเข้าใจชีวิตเป็นพื้นฐาน คือ เข้าใจธรรมชาติ เข้าใจความ
เป็นมนุษย์ และความสัมพันธ์ที่เกื้อกูลกันระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ และมนุษย์กับธรรมชาติ มีความรัก
ความเมตตาตอ่ เพ่ือนมนษุ ยแ์ ละธรรมชาติอยา่ งจริงใจ”
๒. ตำแหน่งท้ายย่อหน้า โดยผู้เขียนจะบอกรายละเอียดหรือประเด็นย่อยมาก่อน แล้วสรุป
ด้วยประโยคทเ่ี กบ็ ประเด็นสำคญั ไว้ภายหลัง
ขอ้ ความขยาย + ประโยคใจความสำคญั
(สังเกตไดว้ า่ ประโยคใจความสำคัญ จะมีคำเชื่อม “จึง” เปน็ ประโยคทา้ ยขอ้ ความ)
ตวั อย่าง : ใจความสำคัญอยูต่ อนท้ายย่อหนา้
“ความเครียดทำให้เพิ่มฮอร์โมนอะดรีนาลีนในเลือดสูง ทำให้หัวใจเต้นเร็ว เส้นเลือดบีบตัว
กล้ามเน้ือเขม็งตึง ระบบยอ่ ยอาหารผิดปกติเกดิ อาการปวดหวั ปวดท้อง ใจส่นั แขง้ ขาอ่อนแรง ความเครียดจึง
เป็นตัวการใหแ้ กเ่ รว็ ”
๓. ตำแหน่งทง้ั ต้นและทา้ ยยอ่ หนา้ โดยผ้เู ขียนจะบอกรายละเอียดหรือประเด็นทีเ่ หมือนหรือ
คลา้ ยกันไว้ทง้ั สองตำแหน่ง
ประโยคใจความสำคัญ + ข้อความขยาย + ประโยคใจความสำคัญ
(สังเกตได้ว่า ประโยคใจความสำคัญ ต้นย่อหน้ากับประโยคใจความสำคัญท้ายย่อหน้ามี
เนือ้ ความตรงกนั หรอื คล้ายกนั )
ตัวอย่าง : ใจความสำคัญอยูท่ ้งั ตอนต้นและตอนทา้ ยยอ่ หนา้
“การรักษาศีลเพื่อบังคับตนเองให้มีระเบียบวินัยในการกระทำทุกสิ่งทุกอย่าง เช่น เรามาอยู่
วัด มานุ่งขาวห่มขาว ไม่ใช่ถือแต่ศีลแปดข้อเท่านั้น แต่เราต้องนึกว่าศีลนั้นคือ ความมีระเบียบ มีวินัย เราเดิน
อย่างมีระเบียบมีวินัย นั่งอย่างมีระเบียบ กินอย่างมีระเบียบ ทำอะไรก็ทำอย่างมีระเบียบนั่นเป็นคนที่มีศีล ถ้า
เราไม่มีระเบียบก็ไมม่ ศี ลี ”
๔. ตำแหน่งกลางย่อหน้า โดยผู้เขียนจะบอกรายละเอียดหรือประเด็นย่อยมาก่อน แล้วสรปุ
ด้วยประโยคทีเ่ กบ็ ประเดน็ สำคญั ไว้ตรงกลางยอ่ หน้า
ข้อความเกร่นิ นำ (มีเน้อื ความอ้างถึงส่ิงที่มีผกู้ ล่าวไว้ในลักษณะที่เข้าใจผดิ ) +
ประโยคใจความสำคัญ (มเี น้ือความแย้งข้อความเกริ่นนำ) +
ข้อความขยาย (มีเน้อื ความขยายประโยคใจความสำคัญ)
ตัวอย่าง : ใจความสำคัญอยูต่ อนกลางย่อหน้า
“โดยทั่วไปผกั ที่ขายตามท้องตลาดส่วนใหญ่ เกษตรกรมักใช้สารกำจัดศัตรพู ืช หากไม่มีความ
รอบคอบในการใช้จะทำให้เกิดสารตกค้าง ทำให้มีปัญหาต่อสุขภาพ ฉะนั้นเมื่อซื้อผักไปรับประทานจึงควรล้าง
ผักด้วยน้ำหลาย ๆ ครั้ง เพราะจะช่วยกำจัดสารตกค้างไปได้บ้าง บางคนอาจแช่ผักโดยใช้น้าผสมโซเดียม
ไบคาร์บอเนตกไ็ ด้ แตอ่ าจทำใหว้ ิตามินลดลง”
๕. ไม่ปรากฏในตำแหน่งใด ผู้อ่านต้องจับใจความด้วยตัวเอง มีในกรณีใจความสำคัญหรือ
ความคดิ สำคัญอาจรวมอยูใ่ นความคิดยอ่ ย ๆ โดยไม่มคี วามคิดที่เปน็ ประโยคหลกั
36
ตัวอย่าง 1 : ใจความสำคัญไมป่ รากฏในสว่ นใด ผอู้ ่านตอ้ งจับใจความดว้ ยตวั เอง
“การเดิน การว่ายน้ำ การฝึกโยคะ การออกกาลังกายด้วยอุปกรณต์ ่าง ๆ ตลอดจนการหายใจ
ลึก ๆ ล้วนมีส่วนทำใหส้ ขุ ภาพแขง็ แรง”
ใจความสำคญั คอื : การทำใหส้ ขุ ภาพแขง็ แรงทำไดห้ ลายวิธี
ตวั อย่าง 2 : ใจความสำคัญไม่ปรากฏในส่วนใด ผู้อา่ นต้องจบั ใจความด้วยตัวเอง
คา้ งคาว
ค้างคาวเป็นสัตว์ที่ออกหากินในเวลากลางคืน มันสามารถบินผาดโผนฉวัดเฉวียนไปมาโดยไม่
ต้องพึ่งสายตา อาศัยเสียงสะท้อนกลับของตัวมันเอง โดยค้างคาวจะส่งคลื่นสัญญาณพิเศษ ซึ่งสั้นและรวดเร็ว
เม่อื สัญญาณไปกระทบสิ่งกีดขวางดา้ นหน้ากจ็ ะสะท้อนกลับเข้ามา ทำให้รู้ว่ามีอะไรอยูด่ ้านหน้า มันจะบินหลบ
เล่ยี งได้ แม้แต่สายโทรศพั ทท์ ่รี ะโยงรยางค์เปน็ เส้นเล็ก ๆ คล่นื เสียงก็จะไปกระทบแลว้ สะท้อนกลับเข้าหูของมัน
ได้ ไม่มีสัตว์ชนิดไหนที่จะสามารถรับคลื่นสะท้อนกลับไปได้ในระยะใกล้ แต่ค้างคาวทำได้ และบินวนกลับได้
ทนั ทว่ งที
วธิ กี ารสรุปใจความ
ใคร = ..............คา้ งคาว.............
ทำอะไร = ..........ออกหากิน.................
เมื่อไร = ..........ตอนกลางคืน.................
อยา่ งไร = ............โดยไม่ใช้สายตา แตอ่ าศัยเสยี งสะทอ้ นกลบั ของตวั มันเอง…………….
ผลเปน็ อย่างไร = ..........สามารถหลบหลีกสง่ิ กีดขวางได.้ ....................
ใจความสำคัญของเรื่อง ค้างคาว คือ : ค้างคาวจะออกหากินในตอนกลางคืน โดยไม่ต้องอาศัย
สายตา แต่จะอาศัยเสยี งสะทอ้ นกลับของตวั มนั เอง
37
แบบฝึกหดั การอา่ นจับใจความสำคญั
คำช้ีแจง : ใหน้ กั เรยี นขีดเสน้ ใต้ประโยคใจความสำคญั และเขยี นคำตอบจากขอ้ ความท่ีกำหนดให้
1. ศิลปะแห่งการฟังน้ันไม่ไดห้ มายถึง การนั่งปลอ่ ยใหผ้ อู้ ืน่ พดู ฝา่ ยเดียว การทำเช่นนนั้ งา่ ยเกินกว่าที่จะนับว่า
เป็นศิลปะ ศิลปะการฟังจึงหมายถึงความสามารถที่จะชักจูงผู้พูดให้หันเข้ามาหาเรื่องที่เขาถนัด คือ แสดงให้
เห็นวา่ ตนกำลังฟงั คำพดู ของเขาดว้ ยความตง้ั ใจ
ตำแหนง่ …………………………………………………………………………………………………………………………………
ใจความสำคัญ........................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................................
2. จงเคารพและเข้าใจในการดำรงอยู่ของแต่ละสังคม จงเคารพในกระบวนความคิดและการตัดสินใจของคน
แต่ละกลุ่ม แลว้ เราจะพบความเปน็ หน่ึงของแต่ละผ้คู นเหมอื นไมท้ ุกตน้ ย่อมมียอดของมนั เอง
ตำแหน่ง…………………………………………………………………………………………………………………………………
ใจความสำคญั ........................................................................................................................................
.................................................................................................................................................... .........................
3. ความก้าวหน้าทางงานราชการ มันเป็นรูปทรงปิรามิด คือ กรมหนึ่งมีอธิบดีเพียงคนเดียว จึงต้องอาศัย
การต่อสู้ด้วยความสามารถ อันนี้ต้องขึ้นอยู่กับคุณธรรมด้วย ถ้าได้ผู้บังคับบัญชาดี ยึดถือคุณธรรมเป็นหลัก
ความสามารถเป็นดัชนีชี้ความก้าวหน้า คนที่ทำงานดีเด่นก็มีกาลังใจทำงาน แต่วงข้าราชการจะไม่เป็นอย่างน้ี
ทุกแห่ง บางแห่งใช้ระบบพรรคพวก บางแห่งใช้ระบบเส้น ดังนั้น คนทำงานมีฝีมืออาจจะผิดหวัง อาจจะทน
ไม่ได้แทบจะลาออกไป
ตำแหนง่ …………………………………………………………………………………………………………………………………
ใจความสำคญั ........................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................................
4. ประเทศที่พัฒนาแล้ว ต่างตระหนักกันดีว่า การศึกษานั้นเป็นเครื่องมือในการพัฒนาประเทศที่ยอดเยี่ยม
ที่สดุ การเร่งรัดพฒั นาทางวตั ถใุ ด จกั ล้มเหลวส้ิน หากประชาชนยงั ด้อยการศึกษา
ตำแหน่ง…………………………………………………………………………………………………………………………………
ใจความสำคัญ........................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................................
5. ความสมบูรณ์ของชีวติ มาจากความเข้าใจชีวิตเป็นพื้นฐาน คือ เข้าใจธรรมชาติ เข้าใจความเป็นมนุษย์ และ
ความสัมพันธ์ที่เกื้อกูลกันระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ และมนุษย์กับธรรมชาติ มีความรัก ความเมตตาต่อเพื่อน
มนษุ ยแ์ ละธรรมชาติอยา่ งจรงิ ใจ
ตำแหนง่ …………………………………………………………………………………………………………………………………
ใจความสำคญั ........................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................................
38
6. ปัจจุบันเราพยายามจะฝึกเยาวชนของเราให้รู้จักความคิดสร้างสรรค์ มีความมั่นใจและเป็นตัวของตัวเอง
จึงได้พัฒนาหลักสูตรและการเรียนการสอนใหเ้ ดก็ ได้เรยี นรู้ด้วยตนเอง มีการค้นคว้า อภิปราย แทนที่จะนั่งฟงั
ครูสอนเพียงอย่างเดียวตลอดเวลา หรือท่องแต่ในตำราเพื่อหวังสอบผ่านเท่านั้น จะเห็นว่าการเรียนของเด็ก
รุ่นนี้มุง่ ไปในดา้ นให้รู้จักใชแ้ ละแสดงความคิดเหน็ มากกวา่ การใช้ความจาเป็นหลักอยา่ งแต่ก่อน ทว่าการฝกึ ให้
เด็กรจู้ กั คดิ เพยี งอย่างเดยี วนัน้ ไม่เพยี งพอ ต้องรู้จักกาลเทศะในการโตแ้ ย้งแสดงความคิดและใจกว้างยอมรับฟัง
ความคดิ เหน็ ของผอู้ ืน่ ดว้ ย
ตำแหนง่ …………………………………………………………………………………………………………………………………
ใจความสำคญั ........................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................................
7. ความเครียดทำให้เพิ่มฮอร์โมนอะดรีนาลีนในเลือด ทาให้หัวใจเต้นเร็ว เส้นเลือดบีบตัว กล้ามเนื้อเขม็งตึง
ระบบยอ่ ยอาหารผิดปกติและเกดิ อาการปวดหัว ปวดทอ้ ง ใจสัน่ แขง้ ขา อ่อนแรง ความเครยี ดจึงเป็นตัวการท่ี
เร่งให้แก่เร็ว
ตำแหน่ง…………………………………………………………………………………………………………………………………
ใจความสำคัญ........................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................................
8. คนโบราณท่านแบ่งการปกครองในบ้านไว้ดังนี้ คือ สามีเป็นใหญ่นอกบ้าน ซึ่งหมายความว่า สามีเป็นผู้มี
ภาระหน้าที่ทำงานภายนอกบ้านเป็นอาชีพหาเงินเลี้ยงครอบครัว ส่วนภริยาเป็นใหญ่ในบ้าน ซึ่งหมายถึง
ผู้รับผิดชอบในการปกครองดูแลกิจการในบ้าน ซึ่งเป็นพวกการบ้านงานครัวนั่นเอง หรือ “สามีเป็นผู้หา ภริยา
เปน็ ผู้เก็บ (เงิน)” การแบ่งหน้าทีข่ องสามแี ละภรยิ ากันเช่นนี้ ทำให้คนแตก่ อ่ นอยดู่ ว้ ยกนั อย่างสันติสขุ
ตำแหนง่ ……………………………………………………………………………………………………………………………….
ใจความสำคญั ........................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................................
9. ดูเหมือนว่า คนไทยอย่างเรา ๆ จะใช้ทิชชูหรือกระดาษชำระโดยไม่คำนึงถึงประเภทของทิชชู เรามักเห็น
กระดาษชำระวางอยู่บนโต๊ะอาหาร หรือถูกนำไปเช็ดหน้าเช็ดตา หรือแม้กระทั่งเอาไว้ห่อหรือวางรองอาหาร
เสียด้วยซ้ำ โดยที่ไม่คดิ รงั เกยี จใด ๆ ทง้ั ที่ “กระดาษชำระ” นั้นคือ กระดาษเหมาะสำหรบั ทำความสะอาดหลัง
ขับถา่ ย เป็นกระดาษยน่ นุม่ ดูดซมึ น้ำได้ดีและยุ่ยงา่ ยเม่ือเปยี กน้ำ
ตำแหนง่ …………………………………………………………………………………………………………………………………
ใจความสำคัญ........................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................................
10. คนขยันชอบทำงานและหมั่นหาความรู้ เพื่อจะได้ทำงานด้วยความฉลาด และรอบคอบ ดังตัวอย่าง
ป้าแช่ม ป้าแช่มเป็นคนขยันจึงตื่นนอนแต่เช้าทำขนมกล้วย ขนมตาล และข้าวเหนียวสังขยาไปขายที่ตลาด
ปา้ แช่มบอกกบั ใคร ๆ เสมอวา่ ถา้ คนเราขยันทำงาน มีระเบียบ รูว้ ธิ ที ำมาหากนิ ก็จะไม่อดตาย
ตำแหน่ง……………………………………………………………………………………………………………………………….
ใจความสำคัญ........................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................................
39
11. อ้อยเป็นพืชที่ปลูกง่าย ทนทานต่อสภาพแวดล้อม เมื่อปลูกแล้ว สามารถเก็บเกี่ยวได้หลายครั้ง ที่สำคัญ
ที่สุดคือ อ้อยมีตลาดรับซื้อที่แน่นอน หากเป็นอ้อยที่ปลูกเพื่อส่งขายให้แก่โรงงานน้ำตาล อ้อยจึงเป็นพืชให้
ความหวานท่เี กษตรกรนิยมปลูกกนั มาก
ตำแหนง่ …………………………………………………………………………………………………………………………………
ใจความสำคญั ........................................................................................................................................
....................................................................................................................... ......................................................
12. เราโชคดที ี่มีภาษาของตนเองแต่โบราณกาล จงึ สมควรอยา่ งย่ิงทจี่ ะรกั ษาไว้ ปญั หาเฉพาะในดา้ นการรักษา
ภาษานี้กม็ ีหลายประการ อยา่ งหนง่ึ ต้องรกั ษาใหบ้ รสิ ุทธ์ิ ในทางการออกเสยี ง คอื ให้ออกเสยี งใหถ้ กู ต้องชัดเจน
อกี อย่างหนง่ึ ตอ้ งรกั ษาให้บรสิ ทุ ธ์ิ ในวิธกี ารใช้ หมายความว่า วธิ ีใช้คำมาประกอบเปน็ ประโยค นับเป็นปัญหาท่ี
สำคัญ ปัญหาทส่ี ามคือ ความร่ำรวยในคำของภาษาไทย ซึ่งพวกเรานึกวา่ ไมร่ ่ำรวยพอ จงึ ตอ้ งมกี ารบัญญัติศัพท์
ใหม่มากใช้
ตำแหนง่ ……………………………………………………………………………………………………………………………….
ใจความสำคัญ........................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................................
13. ให้นกั เรยี นสรุปใจความสำคัญของขอ้ ความตอ่ ไปนใี้ ห้ถูกต้อง
กระเบ้ืองเคลือบห้องนำ้
กระเบื้องเคลือบในห้องน้ำ มักจะเกิดความสกปรกได้ง่าย ถ้าหากไม่ดูแลรักษาอย่างสม่ำเสมอ
เมื่อปล่อยทิ้งไว้นาน ๆ นับวันคราบไคลก็จะเตม็ ไปหมด จนอาจเป็นอันตรายได้ มีวิธีการทำความสะอาด
ไดง้ ่าย ๆ คือ เพียงแคเ่ อาน้ำราด ตรงบรเิ วณท่กี ระเบื้องเคลือบสกปรก แล้วนำเกลอื มาโรยลงบนแปรงขัด
ทั่วหอ้ งน้ำและท่ีผนงั ของหอ้ งน้ำ จะพบว่า เกลือชว่ ยขจัดคราบสกปรกต่าง ๆ ใหห้ ายไปอย่างง่ายดาย เมือ่
ขัดเสร็จแล้วล้างห้องน้ำให้คราบเกลือออกให้หมด เพียงเท่านี้ห้องน้ำ ก็จะดูสะอาดปราศจากคราบไคล
เปน็ เงาแวววาวเหมอื นของใหม่
วธิ สี รุปใจความสำคญั
ใคร ……………………………………………………………………………………………………………………..
ทำอะไร ……………………………………………………………………………………………………………………..
เมื่อไหร่ ……………………………………………………………………………………………………………………..
อยา่ งไร ……………………………………………………………………………………………………………………..
ผลเป็นอยา่ งไร …………………………………………………………………………………………………………………….
.......................................................................................................................... .........
สรปุ ใจความสำคญั ..........................................................................................................................
..........................................................................................................................
..........................................................................................................................
40
14. ให้นกั เรยี นสรุปใจความสำคัญของข้อความต่อไปนใี้ ห้ถูกต้อง
วนั ครู
ครูคือ ผู้ที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของศิษย์ทุกคน บางคนเปรียบครูเสมือนพ่อแม่คนที่สอง แต่
บางคนเปรียบครูเป็นเพียงคนพายเรือจ้าง เพื่อรำลึกถึงคุณค่าและความสำคัญของครู เมื่อวันที่ ๒๑
พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๙๙ คณะรัฐมนตรีมีมติให้วันที่ ๑๖ มกราคม ของทุก ๆ ปี เป็น “วันครู” และได้มี
การจัดงานเนื่องในวันครูขึ้นเป็นครั้งแรก ในวันที่ ๑๖ มกราคม พ.ศ.๒๕๐๐ กระทรวงศึกษาธิการได้
กำหนดใหน้ กั เรยี นหยุดเรียนในวนั ดังกล่าว และกำหนดให้ใชส้ ถานท่ีของกรีฑาสถานแห่งชาติเป็นท่ีจัดงาน
วนั ครู
ในปัจจุบันรูปแบบการจัดงานวันครูจะมีกิจกรรม ๓ ประเภทคือ กิจกรรมทางศาสนา พิธีรำลึก
พระคุณบูรพาจารย์ ซึ่งประกอบด้วยพิธีปฏิญาณตน และการกล่าวคำระลึกถึงพระคุณบูรพาจารย์
นอกจากนี้ยังมีการจัดกจิ กรรมเพื่อเสริมสร้างความสามัคครี ะหว่างผู้ประกอบอาชพี ครู โดยส่วนมากมักจะ
เปน็ การแข่งขนั กฬี าหรอื การจดั งานรื่นเริงในชว่ งเย็น
วันครูเป็นวันที่มีความหมายสำหรับสังคมไทยอย่างยิ่ง โดยเป็นวันที่เราจะได้ร่วมกันรำลึกถึง
พระคุณของครูบาอาจารย์ที่เปรียบเสมือนพ่อแม่คนที่สอง เพราะนอกจากท่านจะถ่ายทอดวิชาความรู้
ให้แก่ศิษย์ ท่านยังเมตตา อบรมสั่งสอนศิษย์ให้รู้จักคิด รู้ผิดชอบชั่วดี ชี้ทางเพื่อให้ศิษย์ได้เติมโต เพื่อเป็น
กำลังสำคัญทจี่ ะพัฒนาประเทศชาตบิ ้านเมืองต่อไป ครจู งึ เป็นปชู นยี บคุ คลที่มีความสำคัญต่อประเทศชาติ
เปน็ อย่างมาก ไมใ่ ช่เป็นแค่เพียงเรือยจา้ งดงั่ ทใี่ ครเปรยี บเปรยไว้ หากจะเปรยี บครู เราอาจเปรียบครูเปน็ ด่ัง
วิศวกร แต่เปน็ วิศวกรผูส้ ร้างคน และสร้างชาตใิ หเ้ จรญิ ร่งุ เรอื ง
ชาตจิ ะเจรญิ ก้าวหนา้ ได้ก็เพราะมีครทู ีด่ ี วนั ครูปนี ที้ ่านได้ไปกราบครขู องทา่ นแล้วหรือยัง..
ทมี่ า : ข้อสอบวดั การอ่านตามแนว PISA ของ ปัทมา รอดแสง
วธิ ีสรปุ ใจความสำคญั
ใคร ……………………………………………………………………………………………………………………..
ทำอะไร ……………………………………………………………………………………………………………………..
เมอ่ื ไหร่ ……………………………………………………………………………………………………………………..
อย่างไร ……………………………………………………………………………………………………………………..
……………………………………………………………………………………………………………………..
ผลเป็นอย่างไร …………………………………………………………………………………………………………………….
……………………………………………………………………………………………………………………..
สรุปใจความสำคัญ ..........................................................................................................................
..........................................................................................................................
..........................................................................................................................
..........................................................................................................................
..........................................................................................................................
41
การอา่ นเพ่อื การวเิ คราะห์วิจารณ์
ความหมายของการอา่ นเพ่ือการวิเคราะหว์ ิจารณ์
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ ให้ความหมายของคำว่า “วิเคราะห์” ว่าหมายถึง
ใคร่ครวญ แยก ออกเปน็ ส่วน ๆ เพอ่ื ศึกษาให้ถอ่ งแท้
การวิเคราะห์ (Analysis) หมายถึง การจำแนก แยกแยะองคป์ ระกอบของสิง่ ใดสง่ิ หนึ่งออกเป็นสว่ น ๆ
เพื่อค้นหาว่ามีองค์ประกอบย่อย ๆ อะไรบ้าง ทำมาจากอะไร ประกอบขึ้นมาได้อย่างไรและมีความเชื่อมโยง
สมั พนั ธก์ นั อยา่ งไร
การอ่านเพื่อวิเคราะห์ หมายถึง การอ่านเพื่อแยกแยะข้อความที่อ่านอย่างถี่ถ้วนเพื่อให้ทราบถึง
โครงสร้าง องค์ประกอบ หลักการและเหตุผลของเรื่อง จนสรุปได้วา่ แตล่ ะส่วนเป็นอย่างไร สัมพันธ์กันอยา่ งไร
เหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร เพื่อให้เห็นความสัมพันธ์ขององค์ประกอบต่าง ๆ ที่ทำให้เกิดสิ่งนั้นหรือ
เร่ืองนั้น ๆ
การวิจารณ์ ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ ให้ความหมายว่า วิจารณ์ หมายถึง
ให้คำตัดสินสิ่งที่เป็นศิลปกรรมหรือวรรณกรรมเป็นต้น โดยผู้มีความรู้ควรเชื่อถือได้ ว่ามีค่าความงามความ
ไพเราะดีอย่างไร หรือมีข้อขาดตกบกพร่องอย่างไรบ้าง เช่น เขาวิจารณ์ว่า หนังสือเล่มนี้แสดงปัญหาสังคมใน
ปัจจบุ ันได้ดมี ากสมควรได้รบั รางวัล, ตชิ ม, มกั ใช้เต็มคำวา่ วพิ ากษ์วจิ ารณ์ เชน่ คนดูหนงั วพิ ากษว์ จิ ารณ์วา่ หนัง
เรือ่ งนี้ดำเนินเรื่องช้า ทำใหค้ นดูเบ่อื
การอ่านเพื่อวจิ ารณ์ คือ การอ่านเพื่อแสดงความคิดเห็นของผู้อ่านที่มีตอ่ แต่ละองค์ประกอบของงาน
เขยี นว่าดีหรือไมด่ อี ย่างไร โดยยกเหตผุ ลอ้างองิ ทฤษฎตี ่าง ๆ ท่มี ีความน่าเช่ือถอื ประกอบ
การอ่านเพื่อวิเคราะห์วิจารณ์ จึงหมายถึง การอ่านเพื่อแยกแยะองค์ประกอบของสิ่งที่อ่านอย่างถี่
ถ้วนแล้วนำมาพิจารณาตัดสินเรื่องที่อ่านว่ามีข้อดีข้อเสียอย่างไร ซึ่งการอ่านวิเคราะห์วิจารณ์จะน ำไปสู่
การตดั สนิ ประเมนิ ค่างานเขยี น
ประโยชน์ของการอา่ นเพ่อื วเิ คราะห์วิจารณ์
๑. ช่วยให้ผอู้ า่ นวรรณกรรมหรอื วรรณคดีนั้น ๆ มีความเขา้ ใจซาบซ้งึ และเหน็ ประโยชน์
๒. ชว่ ยใหเ้ กดิ ความรู้ และความคิดในแงม่ ุมต่าง ๆ ในเร่อื งนน้ั ๆ กว้างขนึ้
๓. ช่วยให้ตัวผู้วิจารณ์ได้เกิดความคิด รู้จักใช้วิจารณญาณของตนให้เกดิ ประโยชน์และช่วยให้เป็นผู้
รอบคอบและมเี หตุผลย่ิงขึ้น
๔. ช่วยให้ผู้อ่านมีความรู้กว้างขวาง เป็นแนวทางให้รู้จักแสวงหาความรู้เพิ่มเติมและใกล้ชิดกับ
วรรณกรรมและวรรณคดมี ากยิ่งขึ้น
42
๕. ช่วยกระตุ้นให้ผู้สร้างงานมีความประณีต รู้จักพิจารณาตนเอง มีความระมัดระวังในการ
สรา้ งสรรคง์ านโดยคำนึงถงึ คุณภาพมากกวา่ ปริมาณ
๖. ช่วยให้นักเขียนได้เห็นจุดเด่นและจุดด้อยในงานเขียนของตัวเองและผู้อื่น เพื่อว่าจะได้เป็น
ทศั นะพืน้ ฐานสำหรับการพัฒนาในการทำงานเขยี นในโอกาสตอ่ ไปให้สมบูรณ์ย่ิงขึน้
องค์ประกอบของการคดิ วเิ คราะห์
๑. การตีความ ความเข้าใจ และให้เหตุผลแก่สิ่งที่ต้องการวิเคราะห์เพื่อแปลความของสิ่งนั้นขึ้นกับ
ความรูป้ ระสบการณ์และคา่ นิยม
๒. การมคี วามรคู้ วามเขา้ ใจในเร่ืองทจี่ ะวเิ คราะห์
๓. การช่างสังเกต สงสัย ช่างถาม ขอบเขตของคำถาม ที่เกี่ยวข้องกับการคิดเชิงวิเคราะห์จะยึดหลัก
5 W 1 H คอื ใคร (Who) อะไร (What) ทไี่ หน (Where) เม่อื ไร (When) ทำไม (Why) อยา่ งไร (How)
๔. การหาความสมั พนั ธเ์ ชิงเหตผุ ล (คำถาม) คน้ หาคำตอบได้ว่า อะไรเป็นสาเหตใุ หเ้ รอื่ งนน้ั เช่ือมกับส่ิง
นี้ได้อย่างไร เรื่องนี้ใครเกี่ยวข้อง เมื่อเกิดเรื่องนี้ส่งผลกระทบอย่างไรมีองค์ประกอบใดบ้างที่นำไปสู่สิ่งน้ัน
มวี ิธีการ ขัน้ ตอนการทำใหเ้ กดิ สิ่งน้ีอยา่ งไร มแี นวทางแก้ไขปญั หาอย่างไร
ข้นั ตอนการวิเคราะห์วจิ ารณ์
๑. หาความรูเ้ ก่ยี วกบั ประเภทและลกั ษณะของหนงั สอื นนั้ ๆ ใหเ้ ขา้ ใจอยา่ งถ่องแท้
๒. อา่ นเรื่องน้ันอยา่ งถถี่ ว้ น หาแนวคิดหลกั ของเรื่องทผ่ี เู้ ขียนตง้ั ใจจะส่ือถึงผู้อา่ น
๓. หาความรแู้ ละข้อมลู ทเ่ี กย่ี วขอ้ งในเร่อื งท่อี ่านใหม้ ากทส่ี ดุ เพื่อให้เขา้ ใจเรื่องได้ชัดเจน
๔. ตงั้ คำถามเก่ยี วกบั องคป์ ระกอบหรือข้อเท็จจริงในเรอ่ื งแล้วพยายามหาคำตอบให้ได้
๕. ฝึกตัง้ คำถามเชงิ คาดคะเนเหตกุ ารณท์ ี่อ่านโดยมีเหตุผลประกอบ เช่น
• ถ้าท่านเป็นพระนางมัทรี เมื่อทราบว่าพระเวสสันดรยกลูกให้เป็นทานแก่ชูชกไป
แลว้ ทา่ นจะทำอย่างไร
• ถ้าทา่ นเล้ียงนกเขามาได้ ๑ ปี แล้วปรากฏวา่ ระยะหนงึ่ โรคไขห้ วัดนกกำลังระบาด
ท่านควรปลอ่ ยนกให้เป็นอิสระหรอื ไม่ เพราะเหตใุ ด
๖. เรยี งลำดับความสำคญั ของประเด็นต่าง ๆ ทค่ี ดิ ว่าเป็นประเดน็ สำคญั และจำเป็นต้องนำมากล่าวใน
คำวจิ ารณ์
๗. แยกแยะขอ้ ดแี ละข้อบกพรอ่ งทคี่ วรนำมากลา่ วถึง
๘. จัดลำดับประเด็นที่จำเป็นต้องวิจารณ์ โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อชี้ให้ผู้อ่านเห็นจุดดีและจุดที่ควร
ปรบั ปรงุ แก้ไขโดยมเี หตุผลหรือข้อมลู ประกอบ
หลักการวเิ คราะหว์ ิจารณ์เรือ่ งที่อา่ น
๑. พิจารณารูปแบบการประพันธ์ ว่าเป็นวรรณกรรมประเภทใด เช่น บันเทิงคดี ประเภทสารคดี
นวนิยาย นทิ าน เรอื่ งส้ัน หรอื เปน็ สารคดีประเภทบทความ ความเรยี ง ตำราต่าง ๆ เปน็ ตน้ ส่วนร้อยกรองต้อง
วิเคราะห์ว่ามลี ักษณะคำประพันธ์ประเภทใด เชน่ ถ้าเป็นโคลงตอ้ งวิเคราะหว์ ่าเปน็ โคลงประเภทใด นอกจากนี้
ผูว้ เิ คราะหว์ จิ ารณ์จะต้องพิจารณาวา่ รปู แบบกบั เน้อื หาเหมาะสมกันหรือไม่
43
๒. ศึกษาประวัติผู้แต่งและจุดมุ่งหมายในการแต่ง การรู้จักผู้แต่งจะทำให้ผู้อ่านเข้าใจเรื่องที่แต่ง
ชัดเจนยิ่งขึ้น การอ่านคำนำจะทำให้เข้าใจจุดประสงค์ในการแต่งและที่มาของเรื่อง แต่ในร้อยกรองผู้แต่งจะ
บอกจุดประสงค์ในการแต่งไว้ในตอนท้ายเรื่องทำให้ผู้อ่านทราบว่าผู้แต่งมีความรอบรู้ในเรื่องที่เขียนเพียงใด
ถ่ายทอดความรู้ลงไปในบทประพันธ์ นั้น ๆ ได้ถูกต้องเหมาะสมเพียงใด และจุดมุ่งหมายนั้นสอดคล้องกับ
รปู แบบการแต่งอยา่ งไร
๓. พิจารณาองคป์ ระกอบของเร่ืองว่าสอดคล้องเหมาะสมกันหรือขัดแย้งกนั เช่น การวิเคราะห์ร้อย
แก้วประเภทบันเทิงคดี ต้องวิเคราะห์โครงเรื่อง ตัวละคร ฉาก การดำเนินเรื่อง ปมขัดแย้ง การคลี่คลายเรื่อง
และการจบเรื่อง ตลอดจนวิเคราะห์ถึงการแสดงความคิดเห็นความสอดคล้องสมเหตุสมผล พิจารณาเนื้อเรื่อง
อย่างละเอียดถึงคุณค่า พฤติกรรมตัวละครเหมาะสมกับเนื้อเรื่อง การใช้ภาษาเหมาะสมกับระดับบุคคลของ
บุคคล
ส่วนร้อยกรองจะพิจารณาถึงรูปแบบคำประพันธ์ว่า มีรูปแบบที่เหมาะสมกับเนื้อหาเนื้อหาสาระของ
เรือ่ งมคี ุณค่าในการสรา้ งความเพลดิ เพลิน ประเทอื งปญั ญา สะเทือนอารมณ์สะทอ้ นสังคม ให้ความรู้ ข้อคิด คติ
เตือนใจ มีความงามด้านวรรณศิลป์ คือ การใช้ถ้อยคำสำนวนโวหารที่ไพเราะ คมคาย มีกลวิธีในการสร้าง
ภาพพจน์โวหาร การสรรคำสมั ผสั ท่ีไพเราะ และรสวรรณคดี เปน็ ต้น
๔. พิจารณาการนำเสนอเน้ือหาและพฤติกรรมของตัวละคร วา่ มคี วามสอดคล้องกันหรือไม่ สะท้อน
ภาพชีวติ สะท้อนสภาพสังคมในสมัยที่แต่งอยา่ งไร ผู้แต่งตัง้ ใจทีจ่ ะสื่อเรื่องราวเกีย่ วกับอะไร ผู้แต่งแสดงความ
คดิ เห็น รสนยิ ม และค่านิยมอยา่ งไรบ้าง
5. การวจิ ารณส์ รปุ ด้วยความคดิ เห็นของผวู้ ิจารณ์เอง โดยยกข้อดีใหเ้ หน็ กอ่ นวา่ ดอี ย่างไร แล้วจงึ ยก
ข้อบกพร่องวา่ บกพร่องอยา่ งไร จะแกไ้ ขอย่างไร การวิจารณ์ควรเปน็ ไปอยา่ งสรา้ งสรรค์ เป็นธรรมมีใจเปน็ กลาง
ไม่มีอคติ แล้วประเมินคุณค่าในภาพรวมว่าวรรณคดีหรือวรรณกรรมที่วิจารณ์นั้นมีคุณค่าควรแก่การอ่านหรือ
ควรคา่ แกก่ ารศกึ ษาอยา่ งไร ผูอ้ า่ นสามารถนำคุณคา่ ทไี่ ด้รับไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้อยา่ งไร
44
แบบฝกึ หดั การอา่ นเพื่อการวเิ คราะห์วจิ ารณ์
คำชแ้ี จง : ใหน้ กั เรยี นอ่านและเขยี นวิเคราะหว์ ิจารณส์ ารคดเี ร่ือง “ในอา่ วลกึ มีความลบั โอ้! ขมุ ทรพั ยใ์ ต้พิภพ”
ตามหลกั การวิเคราะห์วิจารณ์เร่ืองท่อี า่ นทีไ่ ด้ศึกษา
สารคดเี รื่อง ในอ่าวลกึ มคี วามลับ โอ้! ขุมทรพั ยใ์ ต้พิภพ
“อ่าวลึก” เป็นอำเภอริมฝั่งทะเลกระบี่ที่ไม่มีชายหาด
ขาวราวเกล็ดน้ำตาล ไม่มีน้ำทะเลใสเป็นกระจก ไม่มีทะเลแหวก
แปลกตาน่าอัศจรรย์ อ่าวลึกเก็บตัวเงียบอยู่ในซอกกลับหลืบเร้น
ของอันดามัน เนิ่นนานจนแทบจะถูกลืม จนวันหนึ่งมีเจ้าชายใจ
อารีมาชุบชีวิตให้ฟื้นตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ตื่นมาพบความจริงว่า ใน
ความขาดทุนเพราะไม่มีชายหาดกลับมีกำไรในรูปเพิงผาหินปูน
รูปลักษณ์พิสดารเกินบรรยาย อุปมาดั่งเธอนอนหลับอยู่บนกองสมบัติพระศุลี ซึ่งเจ้าชายแสนดีองค์นั้นก็ไม่ใช่
คนอ่ืน หากคือชาวอา่ วลึกเองทีล่ ุกขึ้นมารวมตัวกนั ปกป้องรักษาขุมทรัพยล์ ำ้ ค่าดว้ ยการบริหารจัดการท่องเท่ียว
ในแบบของพวกเขาเอง ในนาม “เครือข่ายท่องเที่ยวชุมชนอ่าวลึก” ไม่นั่งนอนรอขยะที่นักท่องเที่ยวผ่าน
มาแล้วทิ้งไว้ โดยพวกเขาไม่ได้อะไรอีกต่อไป
“อา่ วลกึ ” อยู่ในแนวพาดผ่านของรอยเลื่อนคลองมะรุ่ย ความยาว 150 กโิ ลเมตรจากเกาะภูเก็ตพาด
ยาวไปถึงอ่าวบ้านดอนสุราษฎร์ธานี เป็นรอยเลื่อนของเปลือกโลกที่นาน ๆ ครั้งจะเคลื่อนตัวเพราะได้รับ
ความร้อนจากแกนโลก ทำให้เกิดแผ่นดินไหว ล่าสุดเกิดที่นอกฝั่งภูเก็ตเมื่อ 29 สิงหาคม 2542 แต่ไม่รุนแรง
ทวา่ ในยามปกติ ความร้อนจากแกนโลกรงั สรรค์พลงั งานใต้พิภพอนั ล้ำค่า โดยทว่ั ไปมักปรากฏเป็น “น้ำพุร้อน”
ซึ่งมีหลายแห่งในเมืองไทย แต่ที่อ่าวลึกไม่เหมือนใคร เพราะเป็นหาดทรายร้อนชวนพิศวง ณ บริเวณริมคลอง
ชายป่าโกงกาง รอยต่อตำบลอ่าวลึกเหนือ จังหวัดกระบี่ กับตำบลมะรุ่ย อำเภอทับปุด จังหวัดพังงา
พลังความรอ้ นจากแกนโลกเลด็ ลอดผ่านรอยเล่ือนข้ึนมา ทำให้หาดทรายชายคลองบริเวณนัน้ มีไอร้อนเป็นม่าน
ควันลอยกรุ่นขึ้นเป็นบริเวณกว้าง โดยแต่ละเดือนจะสมั ผัสได้ชัดเจนดี 6-8 วัน ในช่วงวันขึน้ 3-5 ค่ำ และวัน
แรม 3-5 ค่ำ ตั้งแต่ราวตีห้าครึ่งถึงแปดโมงเช้า ซึ่งหาดทรายจะโผล่ขึ้นมาเพราะเป็นช่วงน้ำลง เป็นที่มาของ
“สปาธรรมชาติ” หนึ่งเดยี วในโลก
จากภูมิปัญญาชาญฉลาดของชาวบ้านใน “เครือข่ายท่องเที่ยวชุมชนอ่าวลึก” ที่ได้นำความรู้
ด้านการแพทย์ของไทยมาผสมผสานกับการนอนอบไอน้ำบนแคร่ไม้ไผ่ปูพื้นด้วยใบตองสดทำให้ร่างกายได้รับ
ประโยชน์มากมายจากการใช้ธรรมชาติบำบัด เช่น ใช้โคลนร้อนพอกเพื่อขจัดผิวหนังกำพร้าและเศษอุดตันบน
ผิวหนงั รวมถงึ การทำ “สปาเท้า” ดว้ ยการน่งั แชน่ ้ำร้อนหรือเอาเท้าฝังลงไปในโคลนร้อน โดยมีชาวบ้านที่ผ่าน
การฝึกฝนมาอย่างดีคอยใหบ้ ริการและข้อมลู พร้อมสรรพ
ไม่ผดิ นักที่จะกลา่ ววา่ น่คี ือสปาธรรมชาติหน่ึงเดียวในโลก เพราะบริการดว้ ยผลิตภณั ฑ์ธรรมชาตลิ ว้ น ๆ
ไร้สารเคมีและแวดล้อมด้วยธรรมชาติพิสุทธิ์ 100 % ไร้สิ่งแปลกปลอมใด ๆ ไม่ว่าจะเป็นป้ายโฆษณาสินค้า
45
โฆษณาคอนเสิร์ตลูกทุ่งในงานปิดทองฝังลูกนิมิต ฯลฯ แถมหลังจาก
รับบริการสปาแล้ว ยังมีอาหารเช้าตำรับพื้นบ้านอ่าวลึกบริการถึงบน
หาดทรายร้อน กระท่ังสาย ๆ เมื่อหาดทรายหายไปเพราะน้ำข้ึนจึงลง
เรือกลับ นับเป็นสปาธรรมชาติตัวจริงเสียงจริงที่เย้ายวนและท้าทาย
สาว ๆ ผูร้ กั สวยรักงามท่ีเคยไปทำสปามาแลว้ ทว่ั โลกควรมาสัมผัสที่น่ี
สักครั้งหนึ่งในชีวิต แต่ต้องไม่ลืมว่าสปาธรรมชาติอ่าวลึกเปิดบริการ
เพียงเดือนละ 6-8 วัน ช่วงวันขึ้นและวันแรม 3-5 ค่ำซึ่งในแต่ละเดือนไม่ตรงกัน โดยต้องนั่งเรือไป
หาดทรายร้อนแต่เช้าตรู่ จึงควรไปล่วงหน้า 1 วัน แล้วพักที่รีสอร์ตกึ่งโฮมสเตย์ในเครือข่ายท่องเที่ยวชุมชน
อา่ วลึก ซึง่ สามารถตดิ ต่อไปล่วงหน้าได้ทเี่ วบ็ ไซต์ของเครือข่ายคือ www.aoluktoday.com
นอกจากความมหัศจรรย์ของสปาธรรมชาติ ณ หาดทรายร้อนแล้ว พลังงานใต้พิภพยังสร้าง
ปรากฏการณ์แปลก ๆ ให้เราสัมผัสไดท้ ่บี ้านอ่าวลึกใตท้ ่ามกลางสวนยางเขียวขจี มีแอ่งนำ้ ขนาดเล็กกลางป่าพรุ
ที่ดูไม่น่าสนใจ แต่สังเกตดี ๆ จะพบว่าน้ำในแอ่งมีแรงดันผดุ ขึ้นมาจากใต้พื้นดนิ ตลอดเวลา จนผืนทรายใต้แอง่
น้ำเป็นรอยบุ๋มขยับขยับไปมาไม่ได้ ที่สำคัญคือ แรงดันน้ำผุดจะยิ่งเกิดทวีคูณเมื่อมีเสียงปรบมือดัง ๆ ถี่ ๆ จน
ถูกเรียกขานว่า “น้ำผุดปรบมือ” หรือ “น้ำผุดเริงร่า” ที่หาชมได้ไม่ง่ายนัก เช่นเดียวกับเพิงผาในภูเขาหินปูน
กลางทะเลอา่ วลึกที่มคี วามงามด่งั ประติมากรรมจากมือของศิลปนิ ธรรมชาตทิ ย่ี ่งิ ใหญ่ในเขตแหลมสักและกาโรส
ไม่วา่ จะเปน็ หน้าตา่ งมนษุ ยถ์ ้ำท่ีหบุ ผาปีศาจ 2 อารมณ์แหง่ กาโรส เพงิ ถ้ำยามอัสดงที่แหลมไฟไหม้ ช่องหนา้ ตา่ ง
และลากูนเร้นลับกลางทะเลที่เขาผาค้อม แหล่งอารยธรรม 3,000 ปี ภาพเขียนสีที่ถ้ำผีหัวโตและมหัศจรรย์
ถำ้ คลัง - ราชาแหง่ ถำ้ ทย่ี งั มลี มหายใจ ฯลฯ
เหล่านี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของสมบัติพระศุลีท่ีอ่าวลึก ซึ่งหลับใหลดั่งเจ้าหญิงนิทรามานานกว่าจะ
พานพบเจ้าชายใจอารมี าชุบชีวติ เหนือสง่ิ อื่นใด ขมุ ทรัพย์ขุมนี้ได้รบั การดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างดีในฐานะที่เป็น
ต้นทุนทางธรรมชาติและวัฒนธรรมล้ำเลอค่าของชุมชนโดยชุมชนและเพื่อชุมชนในนาม “เครือข่ายท่องเที่ยว
ชุมชนอ่าวลึก” ชุมชนต้นแบบด้านการบริหารจัดการท่องเที่ยวและปกปักรักษาสิ่งแวดล้อมแบบไม่ตามใจ
นักทอ่ งเที่ยว ยดึ ชมุ ชนเป็นศูนย์กลาง เพราะหมดยคุ ชาวบา้ นนงั่ ทำตาปริบ ๆ คอยเกบ็ กวาดขยะที่นักท่องเที่ยว
ท้ิงไวโ้ ดยชมุ ชนไมไ่ ดอ้ ะไร แล้วนะสิ
(ในอ่าวลึก มีความลับ โอ้! ขมุ ทรพั ยใ์ ต้พิภพ : ธรี ภาพ โลหิตกุล)
ประวตั ิผเู้ ขียน : ธรี ภาพ โลหิตกุล
นามปากกา : อิสราชาน, ทาบรวี, ธีรภาพ โลหิตกุล
รางวัล : รางวลั ศรบี ูรพาปี 2556, “ศลิ ปินแหง่ ชาติ” สาขาวรรณศลิ ป์ (สารคด)ี ประจำปี 2558
การศกึ ษา : ระดบั ช้ันมัธยมศกึ ษา โรงเรยี นเทพศิรินทร์ กรุงเทพมหานคร
ระดับปริญญาตรี คณะสงั คมศาสตร์ สาขาประวัตศิ าสตร์ มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์
ธีรภาพ โลหิตกุล เป็นนักเขียนสารคดีอิสระชาวกรุงเทพฯ ที่มีคอลัมน์ใหนังสือพิมพ์และนิตยสารหลายฉบับและเป็นวิทยากรพิเศษ
ถ่ายทอดเทคนิคการเขยี นสารคดีในสถาบันการศกึ ษาหลายแห่ง ปี 2525 เริ่มทำงานเป็นนักข่าวหนังสือพิมพ์หญิงยุคใหม่ต่อมาย้ายมาประจำกอง
บ.ก. นิตยสารไฮคลาส, อนุสาร อสท. และเคยเขียนบทสารคดีโทรทัศน์ในรายการโลกสลบั สี สร้างผลงานสารคดีชุดแม่น้ำเจ้าพระยา, นครวัด นคร
ธม ฯลฯ ต่อมาในปี 2537 ลาออกมาเปน็ นักเขยี นอิสระ มีผลงานรวมเลม่ มากมาย อาทิ สายน้ำและความทรงจำ, คนโยนฟนื , คือคนดลใจ เปน็ ตน้
ธีรภาพเป็นคนรักการอ่านเพราะได้รับอิทธิพลมาจากคุณพ่อและพี่ชาย จนกลายมาเป็นแรงบันดาลใจให้เขาอยากเขียนหนังสือ
ส่วนเทคนิคงานเขียนในแบบฉบบั ของ ธีรภาพ คอื ทำสารคดใี หม้ ชี ีวติ เขยี นสารคดีใหเ้ ปน็ บันเทงิ คดี รวมท้งั ต้องนำเสนอแตข่ อ้ เท็จจริง และที่สำคัญ
ตอ้ งเรียงรอ้ ยเร่ืองราวอยา่ งมีศลิ ปะ
46
ผลการวิเคราะห์วิจารณ์สารคดเี ร่อื ง “ในอา่ วลึกมคี วามลบั โอ้! ขุมทรพั ยใ์ ตพ้ ิภพ”
ตามหลกั การวเิ คราะห์วจิ ารณ์เรอ่ื งทอ่ี ่าน
๑. พิจารณารูปแบบการประพนั ธ์
................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
๒. ศกึ ษาประวตั ิผูแ้ ต่งและจดุ มงุ่ หมายในการแตง่
................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................... ...........
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
๓. พจิ ารณาองคป์ ระกอบของเรอื่ ง
o โครงเรอ่ื ง
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................. ............................................
..............................................................................................................................................................................
o ตวั ละคร
......................................................................................................................................................... .....................
.............................................................................................................. ................................................................
..............................................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................. ................................
o ฉาก
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
o การดำเนนิ เรื่อง
.......................................................................................................................................................................... ....
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
............................................................................................................................................................... ...............
47
o ปมขดั แย้ง
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................... .....................................
..............................................................................................................................................................................
o การคลีค่ ลายเร่อื ง
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
o การจบเร่ือง
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
๔. พจิ ารณาการนำเสนอเนื้อหาและพฤติกรรมของตวั ละคร (สะทอ้ นให้เหน็ อะไรบ้าง/มีคณุ คา่ อยา่ งไรบ้าง)
.................................................................................................................................................... ..........................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................... .....................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
5. ผลการวจิ ารณ์ทส่ี รุปดว้ ยความคดิ เหน็ ของผู้วจิ ารณเ์ อง (อธบิ ายข้อดีและขอ้ บกพร่องของงานเขยี น)
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
............................................................................................................................................. .................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................. ............................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................