The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

พระพุทธศาสนากับการพัฒนาที่ยั่งยืน Buddhism and sustainable Development

พระพุทธศาสนากับการพัฒนาที่ยั่งยืน

Keywords: พระพุทธศาสนา

พระพทุ ธศาสนากับการพฒั นาที่ยั่งยืน

Buddhism and sustainable Development

พระมหาสพุ ร รกฺขิตธมโฺ ม,ดร.
มหาวิทยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย

วทิ ยาเขตนครราชสมี า

พระพุทธศาสนากับการพัฒนาทย่ี งั่ ยนื ( Buddhism and sustainable Development )

ผเู้ รียบเรียง : พระมหาสุพร รกฺขิตธมฺโม,ดร.

บรรณาธิการ : ดร.เบญจมาศ สวุ รรณวงศ์

คณะกรรมการที่ปรกึ ษา

: พระครูสังวราภริ ักษ์ ผศ.ดร.,ดร.ประสพฤกษ์ รัตนยงค์,ดร.เสฐยี ร ท่ังทองมะดนั

ผทู้ รงคณุ วฒุ อิ า่ นและตรวจพจิ ารณาผลงานวชิ าการเบอ้ื งต้น

: พระเมธีสตุ าภรณ์ ผศ.ดร., พระครใู บฎีกาหสั ดี กิตฺตินนฺโท ผศ.ดร.,

ผศ.ดร. อุทยั สตมิ ั่น

จัดรูปเล่ม : นายณฐั พล เบ้าคา,นายเกรียงไกร พินยารกั

ตรวจพสิ จู นอ์ ักษร : ดร.เบญจมาศ สุวรรณวงศ์

ออกแบบปก : นายถาวร ภูษา, พระอนนั ต์ อภินนฺโท

พิมพค์ รงั้ ท่ี ๑ : ๒๘ กนั ยายน ๒๕๖๑

จานวนพิมพ์ : ๑๐๐ เลม่ เน้อื หาจานวน ๒๖๒ หนา้ ขนาด B5 80 gsm

ลขิ สิทธิ์ : สงวนลขิ สทิ ธ์ิตามกฏหมาย

ข้อมูลทางบรรณานุกรมของหอสมุดแห่งชาติ

National Library of Thailand Cataloging in Publication Data

พระมหาสพุ ร รกฺขิตธมโฺ ม.
พระพุทธศาสนากับการพฒั นาท่ยี ่งั ยนื =Buddhism and sustainable Development.
นครราชสมี า : มิตรภาพการพิมพ์ 1995, 2561.
262 หนา้
1.พุทธศาสนากบั สงั คม. 2.การพฒั นาแบบยง่ั ยนื . I. ช่ือเร่อื ง
294.311783
ISBN 978-616-478-091-0

จัดพมิ พโ์ ดย : พระมหาสพุ ร รกฺขิตธมโฺ ม,ดร.
ผจู้ ัดจาหน่าย : ดร.เบญจมาศ สุวรรณวงศ์
พิมพท์ ี่ : หจก. มติ รภาพการพิมพ์ ๑๙๙๕ , www.print-dee.com

โทร. ๐๔๔-๒๔๔-๕๕๑,๐๙-๓๕๕๘-๗๘๙๒ แฟกซ์ ๐๔๔-๒๔๔-๕๕๑
Email : 2555 [email protected] ,mtp_1995@ yahoo.co.th
๒๖๗ ถนนมติ รภาพ ตาบลในเมือง อาเภอเมือง จงั หวดั นครราชสมี า ๓๐๐๐๐
ราคา ๒๕๐ บาท

คำนำ

พระพุทธศาสนากับการพัฒนาท่ียั่งยืน ได้พัฒนาจากเอกสารประกอบการ
บรรยายในรายวิชา จัดทาขึ้นเพ่ือใช้เปน็ หนังสือประกอบการเรียนการสอน เป็นรายวชิ าท่ไี ด้
กาหนดไว้ในหลักสูตรพุทธศาสตรบัณฑิต สาขาวิชา พระพุทธศาสนา เป็นหนังสือท่ีผู้แต่ง
เรียบเรียงได้พัฒนาเน้ือหาให้ตรงตามขอบข่ายรายวชิ าตามหลกั สูตรตามที่ได้กาหนดไว้ การ
ผลิตหนังสือทางวิชาการเล่มนี้ได้คานึงถึงความสอดคล้องกันกับคาอธิบายรายวิชาตามที่
หลักสูตรได้กาหนดไว้ และได้ปรับปรุงเนื้อหาให้สอดคล้องกับแนวคิดทางพระพุทธศาสนา
กับแนวคิดท่ีเก่ยี วกับการพัฒนาที่ยั่งยืน สามารถนาไปใชป้ ระโยชน์ในการศึกษาในรายวิชาท่ี
เกยี่ วขอ้ งกนั ได้

สาระสาคัญของหนังสือเรื่องพระพุทธศาสนากับการพัฒนาท่ีย่ังยืน ประกอบไป
ด้วย ๗ บทดังนี้ แนวคิดเกี่ยวกับการพัฒนาที่ย่ังยืน การพัฒนาที่ยั่งยืนขององค์การ
สหประชาชาติ การพัฒนาที่ย่ังยืนตามแนวพุทธของพระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต) การ
พัฒนาที่ยงั่ ยืนของปรชั ญาเศรษฐกจิ พอเพียงตามพระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระ
ปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช (รัชกาลที่ ๙) หลักธรรมท่ีสาคัญเพ่ือการพัฒนาที่ย่ังยืน
ปัญหาอปุ สรรคและแนวทางการพฒั นาทย่ี ่ังยนื ตามแนวพทุ ธ และการศึกษาเพ่อื การพัฒนา
ท่ียง่ั ยืนตามแนวพุทธ

ผู้เรยี บเรยี งหนังสอื เร่ืองพระพุทธศาสนากบั การพัฒนาทยี่ ง่ั ยนื หวังเป็นอย่างยิ่ง
ว่าหนังสือเล่มน้ีคงจะเป็นประโยชน์แก่ผู้ศึกษาและผู้สนใจท่ัวไป อนึ่งหากมีข้อบกพร่อง
ประการใดในหนงั สือเล่มนี้ ขอ้ น้อมรบั เพอื่ นาไปปรบั ปรุงแก้ไขในครัง้ ต่อไป

พระมหาสุพร รกฺขติ ธมโฺ ม,ดร.
อาจารยป์ ระจาสาขาวิชาพระพุทธศาสนา

สารบญั หนา้
เรอื่ ง -ก-
คานา -ข-
สารบัญ -ฉ-
คาอธิบายสญั ลักษณ์และคายอ่ -ช-
รายละเอยี ดแบบย่อ ๑
บทที่ ๑ แนวคิดเกยี่ วกบั การพัฒนาที่ยงั่ ยืน ๒

๑.๑ ความนา ๘
๑.๒ แนวคดิ ทฤษฎที ่เี กีย่ วกบั การพฒั นาท่ีย่ังยืน ๑๓
๑.๓ ความเป็นมาของการพัฒนาทย่ี ง่ั ยืน ๑๙
๑.๔ ความหมายของการพัฒนาทยี่ ง่ั ยืน ๒๔
๑.๕ หลกั การของการพฒั นาทีย่ ่ังยนื ๓๒
๑.๖ องค์ประกอบของการพฒั นาท่ยี งั่ ยืน ๓๓
๑.๗ เปา้ หมายของการพฒั นาท่ยี งั่ ยืน ๓๕
สรปุ ทา้ ยบท ๓๕
บทที่ ๒ การพัฒนาที่ย่งั ยืนขององค์การสหประชาชาติ ๓๖
๒.๑ ความนา
๒.๒ ความเปน็ มาของการพฒั นาที่ยง่ั ยนื ขององค์การ ๔๔

สหประชาชาติ ๔๔
๒.๓ นิยามและความหมายของการพัฒนาท่ีย่งั ยืนของ
๔๖
องค์การสหประชาชาติ
๒.๓.๑ นิยามของการพฒั นาทย่ี ัง่ ยนื ของ ๔๘

องคก์ ารสหประชาชาติ ๕๗
๒.๓.๒ ความหมายของการพัฒนาทีย่ ่ังยืนของ
๕๘
องคก์ ารสหประชาชาติ
๒.๔ นัยสาคญั ของการพฒั นาทย่ี งั่ ยืนขององคก์ าร

สหประชาชาติ
๒.๕ ยุทธศาสตรท์ ีใ่ ช้ในการพฒั นาทยี่ ั่งยืนของ

องคก์ ารสหประชาชาติ
๒.๖แนวทางการพฒั นาท่ยี ั่งยืนขององค์การ

สหประชาชาติ

๒.๗ตัวชีว้ ัดการพัฒนาท่ยี ่ังยืนขององค์การ -ค-
สหประชาชาติ ๕๙
๖๓
๒.๘ประโยชน์ของการพฒั นาที่ย่งั ยนื ขององคก์ าร ๖๓
สหประชาชาติ

สรปุ ทา้ ยบท

บทที่ ๓ การพัฒนาที่ยั่งยืนตามแนวพทุ ธของพระธรรมปิฏก (ป.อ.ปยุตโต) ๖๗

๓.๑ ความนา ๖๗

๓.๒ แนวคดิ การพัฒนาทยี่ ง่ั ยนื ตามแนวพทุ ธของ ๖๘

พระธรรมปิฏก (ป.อ.ปยุตโต)

๓.๓ ความเปน็ มาของการพฒั นาท่ียง่ั ยืนตามแนวพุทธ ๗๒

ของพระธรรมปิฏก (ป.อ.ปยตุ โต)

๓.๔ ความหมายของการพัฒนาท่ยี ่ังยนื ตามแนวพุทธ ๗๓

ของพระธรรมปิฏก (ป.อ.ปยุตโต)

๓.๕ หลกั การของการพฒั นาท่ยี ั่งยืนตามแนวพุทธ ๗๖

ของพระธรรมปิฏก (ป.อ.ปยตุ โต)

๓.๖ ยุทธศาสตร์ของแนวทางการพัฒนาทีย่ ่ังยนื ตาม ๗๗

แนวพุทธของพระธรรมปิฏก (ป.อ.ปยตุ โต)

๓.๗ ตัวชีว้ ัดการพัฒนาทย่ี ่ังยนื ตามแนวพุทธของ ๗๘

พระธรรมปฏิ ก (ป.อ.ปยุตโต)

๓.๘ ประโยชน์ของการพฒั นาทย่ี ่ังยืนการพฒั นาที่ยั่งยืน ๘๖

ตามแนวพทุ ธของพระธรรมปฏิ ก(ป.อ.ปยตุ โต)

สรปุ ท้ายบท ๘๗

บทที่ ๔ การพัฒนาท่ียั่งยนื ของปรชั ญาเศรษฐกิจ ๙๑
พอเพียงตามพระบรมราโชวาทของพระบาท
สมเดจ็ พระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช (รชั กาลที่ ๙) ๙๑
๔.๑ ความนา ๙๓
๔.๒ ความเปน็ มาของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ๙๖
๔.๓ ความหมายของปรัชญาเศรษฐกจิ พอเพยี ง

๔.๔ ความสาคัญของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง -ง-
๔.๕ แนวคดิ ปรชั ญาเศรษฐกิจพอเพียงในพระบาท
๙๘
สมเดจ็ พระปรมนิ ทรมหาภูมพิ ลอดุลยเดช ๙๙
( รชั กาลที่ ๙)
๔.๖ ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงกบั การพฒั นาท่ยี ั่งยืน ๑๐๗
สรปุ ท้ายบท ๑๑๑
บทที่ ๕ หลกั พทุ ธธรรมที่สาคญั ในการพัฒนาที่ย่งั ยนื ๑๑๓
๕.๑ ความนา ๑๑๓
๕.๒ ทิฏฐธมั มกิ ัตถประโยชน์ ๑๑๓
๕.๓หลกั มัชฌมิ าปฏิปทา ๑๑๘
๕.๔หลักโยนโิ สมนสิการ ๑๒๙
๕.๕หลกั อิทธบิ าท ๔ ๑๓๓
๕.๖ หลักสังคหวตั ถุ ๔ ๑๓๘
๕.๗ หลักฆราวาสธรรม ๑๔๖
๕.๘ หลักไตรสิกขา ๑๕๓
๕.๙ หลักมัตตัญญตุ า ๑๕๘
๕.๑๐ หลกั อรยิ สจั ๔ ๑๖๐
๕.๑๑หลกั ปฎจิ จสมปุ บาท ๑๖๒
๕.๑๒หลักไตรลกั ษณ์ ๑๖๔
สรปุ ทา้ ยบท ๑๖๖

บทที่ ๖ ปญั หาอุปสรรคและแนวทางการพัฒนาท่ียงั่ ยืน ๑๗๑
ตามแนวพุทธ
๖.๑ ความนา ๑๗๑
๖.๒ ปัญหาและอปุ สรรคในการพัฒนาทย่ี ั่งยืน ๑๗๒
ขององค์การสหประชาชาติ
๖.๒.๑ ปญั หาทเ่ี กดิ จากการพฒั นาขององค์การ ๑๗๒
สหประชาชาติ
๖.๒.๒ อุปสรรคในการพฒั นาทยี่ ง่ั ยนื ของ ๑๘๖
องค์การสหประชาชาติ

๖.๓ สภาพปัญหาและอุปสรรคในการพฒั นาคณุ ภาพ -จ-
ชีวิตของคนไทยในปจั จุบัน ๑๙๕
๒๐๖
๖.๔ แนวทางการพฒั นาทยี่ ัง่ ยืนตามแนวพทุ ธของ ๒๑๖
พระธรรมปฏิ ก (ป.อ.ปยุตโต) ๒๑๘

๖.๕ การบรู ณาการหลักพุทธธรรมเพื่อการพฒั นาที่
ยัง่ ยนื
สรุปทา้ ยบท

บทที่ ๗ การศกึ ษาเพอื่ การพฒั นาทีย่ งั่ ยืนตามแนวพุทธ ๒๒๑
๗.๑ ความนา ๒๒๑
๗.๒ แนวคดิ ทางการศกึ ษาเพ่อื การพัฒนาทยี่ ่งั ยนื ๒๒๒
ตามแนวคดิ ขององคก์ ารยเู นสโก
๗.๓แนวคดิ การจดั การศึกษาเพือ่ การพฒั นาทย่ี ่ังยืนตามแนวพุทธ ๒๒๗
๗.๔ กระบวนการจัดการศึกษาตามแนวพทุ ธศาสตร์ ๒๓๑
๗.๕รปู แบบการศึกษาเพอ่ื การพฒั นาทย่ี ง่ั ยนื ตามแนวพุทธ ๒๔๐
สรปุ ทา้ ยบท ๒๔๗

บรรณานุกรม ๒๔๙
ประวตั ิผเู้ ขียน ๒๖๒



คำอธิบำยเกีย่ วกบั อักษรยอ่ ในกำรอ้ำงอิงคมั ภีร์

อักษรย่อในหนังสือพระพุทธศาสนากับการพฒั นาทีย่ ่ังยนื เล่มนี้ อ้างอิงจากพระไตรปิฎก
ฉบับภาษาไทย ฉบับของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนาง
เจ้าสิริกิต์ิ พระบรมราชินีนาถ พ.ศ.๒๕๓๙ โดยได้กล่าวระบุเล่ม/ข้อ/หน้า หลังคาย่อชื่อคัมภีร์ ดัง
ตวั อย่างเช่น วิ.มหา. (ไทย) ๑/๘๙/๗๘. หมายถึง พระวินัยปฎิ ก มหาวภิ ังค์ เล่มที่ ๑ ข้อท่ี ๘๙ หน้าท่ี
๗๘ เปน็ ตน้

อักษรย่อช่ือคมั ภีร์ทีใ่ ช้หนังสือเลม่ น้ี

พระวินยั ปฎิ ก

เล่ม คำยอ่ ช่อื คัมภรี ์

๑ ว.ิ มหา.(ไทย) = วินัยปฎิ ก มหาวิภงั ค์ (ภาษาไทย)
(ภาษาไทย)
๓ ว.ิ ภิกขนุ ี.(ไทย) = วินยั ปฎิ ก ภิกขนุ ีวภิ งั ค์ (ภาษาไทย)
(ภาษาไทย)
๕ ว.ิ ม. (ไทย) = วนิ ยั ปิฎก มหาวรรค

๗ ว.ิ จู. (ไทย) = วินยั ปฎิ ก มหาวรรค

เล่ม คำยอ่ พระสุตตันตปิฎก
ชอ่ื คัมภีร์

๙ ท.ี ส.ี (ไทย) = สุตตนั ตปิฎก ทีฆนิกาย สลี ขันธวรรค (ภาษาไทย)
๑๐ ท.ี ม. (ไทย) = สตุ ตนั ตปฎิ ก ทีฆนิกาย มหาวรรค (ภาษาไทย)
๑๑ ที.ปา. (ไทย) = สตุ ตันตปิฎก ทฆี นิกาย ปาฏกิ วรรค (ภาษาไทย)
๑๒ ม.มู. (ไทย) = สุตตนั ตปฎิ ก มชั ฌิมนิกาย มลู ปัณณาสก์ (ภาษาไทย)
๑๓ ม.ม. (ไทย) = สตุ ตันตปฎิ ก มชั ฌมิ นิกาย มัชฌิมปณั ณาสก์ (ภาษาไทย)
๑๔ ม.อุ. (ไทย) = สตุ ตนั ตปฎิ ก มัชฌิมนิกาย อปุ รปิ ณั ณาสก์ (ภาษาไทย)
๑๕ ส .ส. (ไทย) = สตุ ตนั ตปฎิ ก สงั ยตุ ตนกิ าย สคาถวรรค (ภาษาไทย)
๑๖ ส.น.ิ (ไทย) = สุตตนั ตปิฎก สังยตุ ตนิกาย นิทานวรรค (ภาษาไทย)
๑๗ ส.ข. (ไทย) = สตุ ตนั ตปฎิ ก สังยตุ ตนกิ าย ขนั ธวารวรรค (ภาษาไทย)
๑๘ ส.สฬา. (ไทย) = สุตตันตปฎิ ก สังยตุ ตนิกาย สฬายตนวรรค (ภาษาไทย)
๑๙ ส.ม. (ไทย) = สตุ ตนั ตปิฎก สังยตุ ตนกิ าย มหาวารวรรค (ภาษาไทย)
๒๐ อง.ฺ ทกุ . (ไทย) = สุตตันตปิฎก องั คุตตรนิกาย ทกุ นิบาต (ภาษาไทย)
๒๑ อง.ฺ จตุกฺก.(ไทย) = สตุ ตนั ตปิฎก องั คตุ ตรนิกาย จตกุ กนบิ าต (ภาษาไทย)
๒๒ อง.ฺ ปญจฺ ก.(ไทย) = สตุ ตันตปิฎก องั คตุ ตรนิกาย ปญั จกนิบาต (ภาษาไทย)



๒๓ อง.ฺ สตตฺ ก.(ไทย) = สุตตนั ตปฎิ ก อังคตุ ตรนิกาย สตั ตกนบิ าต (ภาษาไทย)

อง.ฺ อฏฺฐก.(ไทย) = สตุ ตนั ตปิฎก อังคตุ ตรนิกาย อฏั ฐกนิบาต (ภาษาไทย)

๒๔ อง.ฺ ทสก.(ไทย) = สตุ ตันตปิฎก อังคตุ ตรนิกาย ทสกนบิ าต (ภาษาไทย)

๒๕ ขุ.ธ. (ไทย) = สุตตนั ตปิฎก ขุททกนกิ าย ธรรมบท (ภาษาไทย)

ขุ.สุ. (ไทย) = สตุ ตันตปิฎก ขุททกนิกาย สตุ ตนิบาต (ภาษาไทย)

ขุ.อติ ิ.(ไทย) = สตุ ตันตปฎิ ก ขุททกนกิ าย อิติวตุ ตกะ (ภาษาไทย)

๒๖ ขุ.เถร. (ไทย) = สตุ ตนั ตปฎิ ก ขทุ ทกนิกาย เถรคาถา (ภาษาไทย)

๒๙ ขุ..ม. (ไทย) = สตุ ตันตปฎิ ก ขทุ ทกนกิ าย มหานิทเทส (ภาษาไทย)

๓๐ ขุ.จู. (ไทย) = สุตตนั ตปิฎก ขทุ ทกนิกาย จูฬนิทเทส (ภาษาไทย)

๓๒ ขุ.อป. (ไทย) = สตุ ตนั ตปฎิ ขุททกนิกาย อปทาน (ภาษาไทย)

อรรถกถำพระสุตตนั ตปิฎก
๒ ท.ี ม.อ. (ไทย) = ทีฆนิกาย มหาวรรค อรรถกถา (ภาษาไทย)
๓ องฺ.ทสก.อ. = องฺคุตตรนิกาย ทสกนิบาต อรรถกถา (ภาษาไทย)
๑ อง.ฺ เอกกฺ อ. = องฺคตุ ตรนิกาย เอกกนิบาต อรรถกถา (ภาษาไทย)

บทที่ ๑

แนวคิดเกยี่ วกบั การพฒั นาท่ยี ัง่ ยนื

พระมหาสพุ ร รกขฺ ิตธมโฺ ม,ดร.

๑.๑ ความนา

เม่ือโลกเร่ิมมีการพัฒนาหลังสงครามโลกคร้ังท่ี ๒ กระทั่งถึงยุค
อตุ สาหกรรมสังคมมนุษย์มีความเจริญทางวัตถุ และเข้าสู่ยุคเทคโนโลยี ยุคอวกาศ
ยุคแห่งข้อมูลข่าวสารท่ีไร้พรมแดนที่เรียกว่า ยุคโลกาภิวัตน์ สิ่งที่เป็นเครื่องแสดง
ถงึ ความเจริญในดา้ นตา่ งๆ ของการพัฒนาเหลา่ นนั้ ทั้งหมด คือเทคโนโลยี ซ่ึงทาให้
โลกพัฒนาอย่างถึงท่ีสุด๑ แตใ่ นขณะท่ีมนุษย์พร่ังพร้อมด้วยวัตถุปรนเปรอความสุข
ความคล่องแคล่ว ความสะดวกสบายท่ีเป็นการแสดงถึงความเจริญด้วย
ความสามารถของมนุษย์อย่างแท้จริงนั้น กลับพบว่าการดาเนินชีวิตในช่วง
ระยะเวลาตลอดทศวรรษท่ีผ่านไปได้เกิดความผิดพลาดเพราะความเจริญทีม่ าจาก
การพัฒนาที่ผ่านไปน้ันเป็นการพัฒนาท่ีไม่ย่ังยืนกลับกลายเป็นปัญหาสาคัญของ
โลกในเวลานี้ คือ เรอ่ื งสงิ่ แวดลอ้ ม๒

การทีอ่ งค์การสหประชาชาตไิ ดม้ ีการจดั ประชุมสุดยอดในเรอ่ื งของโลก
(Earth Summit) ข้ึนเป็นคร้ังแรกเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๕ น้ัน เน่ืองมาจากปัญหา
สาคญั อันดบั แรกของโลกในศตวรรษน้ี คือ เรื่องสงิ่ แวดล้อมและการพัฒนา ปัญหา
ดังกล่าวได้หยั่งรากลึกพร้อมส่งผลให้เกิดความเสียหายทวีความรุนแรงรุกลาม
กว้างขวางมากข้ึนเป็นอย่างย่ิง ด้วยปรากฏตามรายงานของคณะกรรมาธิการโลก
ว่าด้วย สิ่งแวดล้อมและการพัฒนา (UN Commission on Environment and
Development) ที่ได้ประกาศหลักการแห่งสิ่งแวดล้อม และร่างแผนปฏิบัติการ

๑พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต), ชีวิตในสังคมเทคโนโลยี, พิมพ์ครั้งที่ ๔,
(กรงุ เทพมหานคร :สานกั พมิ พ์ มูลนิธิพุทธธรรม, ๒๕๔๐), หน้า ๓.

๒พระธรรม ปิ ฎ ก (ป .อ.ป ยุตฺโต ), การพั ฒ น าที่ยั่งยืน , พิ มพ์ ครั้งที่ ๓ ,
(กรุงเทพมหานคร :สานักพมิ พ์ มูลนธิ ิพุทธธรรม, ๒๕๔๑), หนา้ ๙๒.

หน้า ๒

บทที่ ๑ “แนวคดิ เกี่ยวกบั การพัฒนาทย่ี งั่ ยืน”

ตามมติเห็นชอบจากประเทศสมาชิก เรียกว่า Agenda 21 เพื่อดาเนินการให้เกิด
การพัฒนาท่ียั่งยืนขึ้นสาหรับทศวรรษ ๑๙๙๑-๑๙๙๙ และศตวรรษท่ี ๒๑ ๓
พร้อมกับบัญญัติคา ว่าการพัฒนาท่ีย่ังยืน (Sustainable Development) น้ี เป็น
เป้าหมายของการแก้ปัญหาสิ่งแวดลอ้ มโลกตอ่ ไป

การพัฒนาท่ีย่ังยืนขององค์การสหประชาชาติ มีความพยายามบรรลุ
ถึงผลสัมฤทธ์ิแห่งการพัฒนาโลกของเราอย่างย่ิง โดยบัญญัติวางแนวทางที่มุ่งเน้น
ให้มนุษย์ปฏบิ ัติการประนีประนอมกบั ธรรมชาติ และดาเนินชีวิตอย่างมเี ศรษฐกิจดี
โดยธรรมชาติอยู่ได้ด้วย๔ และถึงแม้ว่าการพัฒนาของโลกกาลังเดินทางไปสู่
เป้าหมายดังกล่าว แต่ปัจจุบันโลกกาลังประสบปัญหาเรื่องส่ิงแวดล้อมในข้ันวิกฤติ
“Global Warming” เป็นปัญหาท่ีต้องยอมรับว่าน่าวิตกที่สุด ณ เวลานี้
ภยันตรายแห่งภาวะโลกร้อนได้เกิดข้ึนจริง๕ เกิดขึ้นฉับพลัน กลายเป็นวาระ
เร่งด่วนระดับโลก น่ันก็ย่อมหมายความว่า ทรัพยากรธรรมชาติได้ร่อยหรอลงไป
อย่างมากมายมหาศาลแล้ว ซ้าร้ายการท่ีประชากรโลกเพ่ิมมากขึ้นเท่าไรก็เป็นผล
ให้การระบายของเสียให้แก่โลกมากข้ึนเท่านั้น อย่างเช่นก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
มากขึ้นจนมีสภาพก๊าซเรือนกระจกท่ีหนา มันกลับคืนสู่สภาพแวดล้อมเป็นสาเหตุ
ของความเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ระหว่างโลกกับดวงอาทิตย์ มีผลให้น้าใน
มหาสมุทรมีอุณหภูมิท่ีอุ่นข้ึนในระดับอันตรายธารน้าแข็งทุกแห่งของโลกกาลัง

๓Commission on Sustainable Development: CSD “Our
common future” UN, 1987.

๔พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต), ถงึ เวลามารอ้ื ระบบพัฒนาคนกันใหม่, พิมพค์ รั้ง
ท่ี ๕,(กรุงเทพมหานคร : สานักพิมพ์ มูลนธิ พิ ทุ ธธรรม, ๒๕๔๓), หน้า ๖๐

๕AL Gore, AN INCONVENIENT TRUTH, คณุ ากร วาณิชยว์ ริ ุฬห์
แปล, (กรุงเทพมหานคร: สานักพิมพ์มตชิ น, ๒๕๕๐), หนา้ ๑๔๓.

หน้า ๓

บทที่ ๑ “แนวคดิ เกี่ยวกับการพัฒนาทย่ี ัง่ ยืน”

ละลาย โอโซนเกิดแหว่งโหว่ด้วย CFC สารเคมีที่อยู่ในเครื่องปรับอากาศเคร่ืองทา
ความเยน็ ทั้งหลาย ขณะนี้เปน็ ปญั หาสาคญั เร่งด่วนของมนุษย์บนโลก๖

สาหรับประเทศไทยของเราซึ่งขานรับการพัฒนาประเทศตามกระแส
แห่งการพัฒนาโลกขององค์การสหประชาชาติ นับต้ังแต่ พ.ศ. ๒๕๐๐ ประเทศ
ไทยเข้าสู่ยุคการพัฒนาที่เป็นรูปธรรมอย่างแท้จริง โดยกาหนดเป็นนโยบายการ
บริหารประเทศแบบพัฒนาความเจริญทางเศรษฐกิจให้ถงึ มือประชาชนโดยทั่วถึง๗
ใน ฐ า น ะ ป ร ะ เท ศ ด้ อ ย พั ฒ น า ใน ข ณ ะ น้ั น ป ร ะ เท ศ ข อ ง เร า ก้ า ว ขึ้ น ม า อ ยู่ ใน
ระดับประเทศกาลังพัฒนา และปัจจุบันประเทศไทยโดยคณะกรรมการพัฒนา
เศรษฐกจิ และสงั คมแหง่ ชาติได้กาหนดแผนพฒั นาเศรษฐกิจแหง่ ชาติ ถงึ ฉบบั ที่ ๑๐
แล้วอีกท้ังกาหนดให้เร่ืองการพัฒนาท่ีย่ังยืนน้ีเป็นวาระแห่งชาติ ๘ ปัญหา
สิ่งแวดล้อมท่ีเกิดขึ้นในประเทศเราเช่นการลดลงของป่าไม้ ตลอดจนอุบัติภัยท่ีมี
สาเหตุมาจากการขาดสมดุลทางธรรมชาติแวดล้อม มลภาวะ สภาพวิบัติภัยจาก
ความแห้งแล้ง หรือ อทุ กภยั ที่เกิดบอ่ ยครั้งขยะจานวนมากมายมหาศาลเป็นปัญหา
สาคัญระดับชาติ ทาให้เราต้องหยุดคิดประเมินผลของการพัฒนาประเทศที่ผ่านไป
นัน้ วา่ สาเหตุใดกนั แนท่ ี่สาคญั ท่ีสดุ ของปัญหาส่งิ แวดล้อม๙

๖AL Gore, “EARTH IN THE BALANCE ”, (Boston : Houghton
Miffin Co., 1992).

๗ สานักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสงั คมแห่งชาติ, “สานักงาน
คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ : ความเป็นมา”, วารสารเศรษฐกิจ
และสงั คม, ปีที่ ๒๙ ฉบบั ที่ ๑(มกราคม-กุมภาพนั ธ์ ๒๕๓๕).

๘เรอ่ื งเดียวกนั , ปีท่ี ๔๓ ฉบบั ท่ี ๒ (มีนาคม-เมษายน, ๒๕๔๘).
๙ ผู้ชานาญการเพื่อปรับโครงสร้างบริหารจัดการและองค์กรด้านสิ่งแวดล้อม,
ส่ิงแวดล้อมและการพัฒนา, พิมพ์ครั้งที่ ๒, (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์จุฬาลงกรณ์
มหาวิทยาลยั , ๒๕๔๔), หน้า ๒๓.

หนา้ ๔

บทที่ ๑ “แนวคิดเกยี่ วกับการพฒั นาท่ยี ง่ั ยืน”

๑.๒ แนวคดิ ทฤษฎีที่เกย่ี วกบั การพัฒนาทีย่ ่งั ยืน

หลังสงครามโลกคร้ังท่ี๒ โลกมีความเจริญทางด้านต่างๆมากมาย
โดยเฉพาะความเจริญทางด้านวัตถุ จากยุคเกษตรกรรม สู่ยุคอุตสาหกรรม เข้าสู่
ยคุ เทคโนโลยี ยุคข้อมลู ข่าวสารที่ไร้พรมแดนทเี่ รียกว่า ยุคโลกาภิวัตน์ หรือโลกยุค
ใหม่ในศตวรรษท่ี ๒๑ ในศตวรรษใหม่นี้ ปรากฏว่าวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีได้
เจริญก้าวหน้าไปอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งบทบาทของเทคโนโลยีทางด้าน
ชีววิทยาและอิเลกทรอนิกส์ ท่ีทาให้นักวิทยาศาสตร์สามารถที่จะแยกตัวอะตอม
(Atom) และถอดรหัส ดีเอ็นเอ (DNA)ซ่ึงเป็นตัวถ่ายทอดทางพันธกุ รรม ซึ่งนาไปสู่
ความหวังและความเชื่อท่ีจะสามารถแก้ปัญหาในโลกนี้ได้หลายอย่าง ท้ังปัญหา
ความขาดแคลนอาหาร พลังงาน ตลอดจนสามารถท่ีจะดัดแปลง ปรบั ปรุงพืชและ
สตั ว์พันธุ์ตา่ งๆ รวมท้ังสามารถสร้างสรรค์ชีวิต พชื พนั ธ์ชนิดใหม่ๆได้ตามทีต่ ้องการ
นอกจากนก้ี ็ยังสามารถท่ีจะพฒั นาหุน่ ยนต์ทม่ี ีศกั ยภาพที่ใกล้เคียงกับมนษุ ย์และจะ
มีกระบวนการในการใช้หุ่นยนต์ในภารกิจต่างๆมากยิ่งขึ้น หุ่นยนต์ในศตวรรษใหม่
น้ีจีงไม่เพียงแต่จะมีคุณภาพและประสิทธิภาพการทางานท่ีสูงข้ึนเท่าน้ัน หากแต่
ตน้ ทุนการผลิตยงั จะต่าลงอกี ดว้ ย๑๐ และจะนาไปส่กู ารปฏิวตั ิยุคสมยั ของมนุษย์

เม่ือประมาณสองร้อยกว่าปีท่ีผ่านมา นับต้ังแต่ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม
เป็นต้นมา ทิศทางการพัฒนาของประเทศต่างๆ ท่ัวโลกมุ่งเน้นไปที่การพัฒนา
ทางด้านเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม ส่งผลให้เศรษฐกิจของประเทศเจริญเติบโต
อย่างรวดเร็วทุกด้าน จึงทาให้มีการใช้ทรัพยากรท่ีมีอยู่อย่างจากัดในปริมาณมาก
เพื่อผลิตสินค้าให้ตอบสนองความต้องการของมนุษย์ท่ีเพ่ิมมากขึ้นเร่ือยๆ ทาให้
ทรัพยากรที่มีอยู่จากัดเหลือน้อยลงจนใกล้จะหมดไปหรืออยู่ในสภาพที่เส่ือมโทรม

๑๐ รังสรรค์ ธนะพรพันธุ์. สังคมและเศรษฐกิจไทยในทศวรรษ ๒๕๕๐ :
ยุทธศาสตร์การพัฒนาในกระแสโลกานุวัตร.พิมพ์ครั้งท่ี ๓, กรุงเทพมหานคร : โครงการ
จดั พิมพ์คบไฟ, ๒๕๔๒, หนา้ ๓๘.

หน้า ๕

บทท่ี ๑ “แนวคิดเก่ยี วกบั การพัฒนาท่ีย่งั ยนื ”

ลง จนไม่สามารถสนองความต้องการที่เพิ่มข้ึนอย่างไรข้ ดี จากดั แม้ว่าปรากฏการณ์
การพัฒนาดังกล่าวจะนามาซึง่ ความเจริญก้าวหน้า แต่ในขณะเดยี วกันได้ก่อให้เกิด
การเปล่ียนแปลงในวิถีชวี ิตของมนุษย์ เกิดความเสื่อมโทรมด้านคุณธรรมจรยิ ธรรม
คณุ ภาพชีวิตของมนุษยถ์ ูกบนั่ ทอนลงเรื่อยๆ เกิดการเลียนแบบพฤติกรรมการผลิต
และการบริโภคท่ีไม่เหมาะสม ส่งผลให้สังคมโลกต้องตกอยู่ในภาวะสังคมมีปัญหา
และการพัฒนาท่ีไม่ย่ังยืน จากสภาพปญั หาที่หลายประเทศทั่วโลกประสบกบั ภาวะ
ความไม่ย่ังยืนของการพัฒ นาดังกล่าว ก่อให้เกิดความเส่ือมโทรมของ
ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ส่งผลให้ท่ัวโลกต่างแสวงหาแนวทางการ
พัฒนาท่ีคานึงถึงความเป็นองค์รวมของทุกด้านอย่างสมดุล เพื่อก่อให้เกิดระบบ
เศรษฐกิจท่ีพึ่งตนเองได้ สังคมท่ีดี มนุษย์มีคุณภาพชีวิตที่ดี อยู่ดีกินดี ควบคู่กันไป
กับการรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้คงสภาพเดิมและดีข้ึ นอย่าง
ย่ังยนื

วิ ก ฤ ต ก า ร ณ์ ด้ า น ส่ิ งแ ว ด ล้ อ ม ท่ี เกิ ด ข้ึ น ท่ั ว โล ก ได้ ก ร ะ ตุ้ น ให้ ห ล า ย
ประเทศเกิดความตระหนัก ท่ีจะร่วมมือกันแก้ไขปัญหาส่ิงแวดล้อม และเห็นควร
ให้มีการจัดการประชุมระดับโลกเพ่ือร่วมมือกัน พิจารณาหามาตรการแก้ไขปัญหา
ส่ิงแวดล้อมที่ประเทศต่างๆ กาลังเผชิญอยู่เป็นครั้งแรก เมื่อ พ.ศ.๒๕๑๕ ซึ่งการ
ประชุมน้ีมีชื่อว่า "การประชุมสหประชาชาติว่าด้วยสิ่งแวดล้อมของมนุษย์
(United Nations Conference on Human and Environment)” จัดขึ้น
ณ กรุงสต็อกโฮล์ม ประเทศสวีเดน จากจุดเริ่มต้นคร้ังนี้ ประเทศต่างๆ ท่ัวโลกได้
ตระหนักถึงวิกฤตการณ์ด้านสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นจากการพัฒนาแบบมุ่งเน้นด้าน
เศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว จึงหันมาให้ความสนใจกับการพัฒนารูปแบบใหม่ที่
สามารถลดผลกระทบสง่ิ แวดล้อมอันเกิดจากการพฒั นาได้ อันเป็นที่มาของแนวคิด
“การพัฒนาที่ยั่งยนื (Sustainable development)” ซึ่งเปน็ ข้อเสนอแนะจาก
คณะกรรมาธิการโลกว่าด้วยส่ิงแวดล้อมและการพัฒนา (World Commission
on Environment and Development) หรือ คณะกรรมาธิการบรันท์แลนด์

หนา้ ๖

บทท่ี ๑ “แนวคิดเกี่ยวกับการพัฒนาทยี่ ่ังยนื ”

(Brundtland Commission) โดยท่ีรายงานของคณะกรรมาธิการบรันท์แลนด์
(Brundtland Report) ท่ีเสนอต่อสหประชาชาติ ใน พ.ศ.๒๕๓๐ เป็นที่รู้จักกัน
อยา่ งกว้างขวาง ตอ่ มาในชื่อ “อนาคตของเรา” (Our common future)

ต่ อ จ า ก นั้ น อ ง ค์ ก า ร ส ห ป ร ะ ช า ช า ติ ได้ เรี ย ก ร้ อ ง ให้ ท่ั ว โล ก ค า นึ ง ถึ ง
ผลกระทบของการพัฒนาท่ีมีต่อสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะอย่างย่ิงปัญหาการใช้
ทรัพยากรฟุ่มเฟือยที่ไม่สมดุลกับขีดจากัดการตอบสนองของธรรมชาติ โดยได้จัด
ประชุมสุดยอดของโลกว่าด้วยสิ่งแวดล้อมและการพัฒนา(UN Conference on
Environment and Development: UNCED) เมื่อ พ.ศ.๒๕๓๕ ณ กรุงริโอเดอ
จาเนโร ประเทศบราซิล ซึ่งเป็นท่ีมาของแผนแม่บทโลกที่ใช้เป็นกรอบทิศทางการ
พัฒนาประเทศไปสู่ความย่ังยืน ในการประชุมครั้งนั้น ประเทศสมาชิก จานวน
๑๗๘ ประเทศ รวมทั้งประเทศไทยได้ร่วมลงนามในการปฏิบัติตามแผนแม่บท
ดังกล่าว ซึ่งอีก ๑๐ ปี ต่อมาจึงขยายแนวคิดไปสู่การประชุมสุดยอดระดับโลกว่า
ด้วยการพัฒนาที่ย่ังยืน (World summit on sustainable development) เพ่ือ
กระตุ้นให้ประเทศต่างๆ หันมาให้ความสนใจกาหนดกรอบทิศทางการพัฒนา
ประเทศอยา่ งองคร์ วม มุง่ สู่ดุลยภาพการพัฒนา

พระธรรมโกศาจารย์ (ประยูร ธมฺมจิตฺโต) ได้กล่าวถึง หลักการ
พัฒนาสู่ความเจริญท่ี เรียกว่า จักร แปลว่า ล้อ มีอยู่ ๔ ประการ คือ ๑) ปฏิรูป
เทสวาสะ หมายถึง การอยู่ในประเทศหรือถ่ินที่เหมาะที่ควร กล่าวคือการได้อยู่ใน
ที่ที่มีสิ่งแวดล้อมท่ีดี นั้นเอง และ ประการท่ี๒) สัปปุริสูปสังเสวะ หมายถึง การคบ
สัตบุรุษ การเข้าไปคบกับคนดี ผู้มีสัปปุริสธรรม๗ ๓)อัตตสัมมาปณิธิ หมายถึง
การตั้งตนไว้ชอบ ตั้งอยู่ในสุจริต๓ ได้แก่ กายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต
๔)ปุพเพกตปุญญตา หมายถึง ความเป็นผู้มีบุญ ได้กระทาไว้ก่อน ในหนังสือเรื่อง
ธรรม ะแล ะการอ นุ รักษ์ ส่ิ งแวดล้ อ ม ๑๑ ใน ขณ ะท่ี ยังด ารงส ม ณ ศั ก ด์ิ ท่ี

๑๑พระเมธธี รรมาภรณ,์ ธรรมและการอนรุ กั ษ์สง่ิ แวดล้อม, (กรงุ เทพมหานคร :
สานักพิมพ์มลู นิธพื ุทธธรรม, ๒๕๓๘), หนา้ ๕.

หนา้ ๗

บทที่ ๑ “แนวคดิ เก่ยี วกับการพัฒนาที่ย่งั ยนื ”

พระเมธีธรรมาภรณ์ ได้ชี้ให้เห็นความสาคัญของธรรมชาติและส่ิงแวดล้อมซึ่ง
ปรากฏในคาสอนของพระพุทธเจ้า ซึ่งสอนให้ มนุษย์ปฏิบัติต่อธรรมชาติและ
สิ่งแวดล้อม อย่างเป็นผู้พิทักษ์ธรรมชาติ และมีสัมมาทิฏฐิกับธรรมชาติเน่ืองจาก
มนุษย์มีหน้าที่ตอบแทนคุณของธรรมชาติ ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงประทับยืนแสดง
ความกตัญญูรู้คุณต้นศรีมหาโพธิ์โดยเอาพระหัตถ์ขวาทาบบนพระหัตถ์ซ้ายจ้อง
พระเนตรไม่กระพริบไปที่ต้นศรีมหาโพธ์ิที่พระองค์ตรัสรู้เป็นเวลา ๗ วัน และ
พระองค์สอนให้เห็นคุณค่าของธรรมชาติ โดยการปลูกป่า ต้นน้า ลาธาร เป็นบุญ
กุศลสูง เพราะเปน็ ประโยชน์ต่อสังคมมีปรากฏอยูใ่ น ”วนโรปสตู ร” เป็นต้น

Albert Arnold Gore ใน ฐ าน ะ นั ก อ นุ รั ก ษ์ ส ภ า พ แ ว ด ล้ อ ม
(Environmentalist)อาจารย์ม ห าวิท ยาลัย อดีตรองป ระธาน าธิบ ดีของ
สหรัฐอเมริกาท่ี ๔๕ ในรัฐบาลคลินตัน ช่วงปี ค.ศ. 1993 – 2001 หลังจากเพียร
ศึกษาเรื่องภาวะโลกร้อนมากกว่า ๓๐ ปี Al Gore ได้เก็บรวบรวมข้อมูลมากมาย
วิกฤตสภาพอากาศเป็นเร่ืองร้ายแรงมาก นักวิทยาศาสตร์ราว ๒,๐๐๐คน จากนับ
ร้อยประเทศท่ีทางานมาตลอด ๒๐ ปี ท่ามกลางความร่วมมือทางวิทยาศาสตร์
อย่างมากท่ีสุด ในประวัติศาสตร์ได้ฉันทามติอย่างชัดเจนร่วมกันว่า ประชาคมโลก
จะตอ้ งร่วมมอื กนั แกไ้ ขวิกฤตภาวะ โลกร้อน ท้ังน้ี Al Gore กล่าวเพื่อกระตนุ้ เตือน
ให้ประชาชนตระหนักในเร่ืองวิกฤตสภาพอากาศกับความเปล่ียนแปลงสาคัญ
ในช่วงไม่กี่ทศวรรษท่ีผ่านมาเก่ียวกับสาระท่ีแท้จริงและคุณลักษณะของสังคม
อเมริกา ปัญหาสภาพแวดล้อมของประเทศสหรฐั อเมริกา และภาวะโลกร้อน อาทิ
เรอ่ื งปญั หาการกาจดั ขยะ ปญั หาประชากรกับการบรโิ ภคนิยม

หนังสอื เรื่อง An Inconvenient Truth๑๒ ซึ่งใช้ช่ือภาษาไทยว่าโลก
ร้อนความจริงท่ีไม่มีใครอยากฟัง และจัดทาเป็นสารคดีออกฉาย ในปี ค.ศ. 2006
AL GOREบรรยายเร่ืองปัญหาโลกร้อนอย่างเห็นภาพชัดเจนและน่ากลัว นาเสนอ

๑๒ Albert Amold gore, An Inconvenient Truth, คุณากร วาณิชย์
วิรฬุ ห์ แปล, (กรงุ เทพมหานคร : สานกั พมิ พ์มตชิ น, ๒๕๕๐ ), หนา้ ๓.

หนา้ ๘

บทที่ ๑ “แนวคิดเก่ียวกบั การพัฒนาท่ียง่ั ยนื ”

ปั ญ ห า เก่ี ย ว กั บ ธ ร ร ม ช า ติ แ ล ะ ส่ิ ง แ ว ด ล้ อ ม ท่ี เสื่ อ ม โท ร ม ข อ ง โล ก ใน ปั จ จุ บั น
สภาพแวดล้อมทต่ี กอยู่ในภาวะวิกฤตภิ าวะโลกรอ้ น โดยเฉพาะเรอ่ื งการละลายของ
ธารนา้ แขง็ ที่ขั้วโลก ทาให้นา้ ในมหาสมุทรมีอุณหภมู ิเพิม่ มากขน้ึ อย่างรวดเรว็ จนน่า
วิตก ท่านเรียกร้องให้สังคมโลกตระหนักรู้เรื่องการพัฒนาท่ีย่ังยืนตลอดระยะเวลา
ยาวนานกว่าทศวรรษ กระทั้งท่านเป็นผู้ท่ีถูกเสนอชื่อให้ได้รับรางวัลโนเบลสาขา
สันติภาพในฐานะนักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมในปีปัจจุบัน พร้อมกันกับสารคดีช่ือ
เดยี วกนั นี้จะได้เข้าชิงรางวัลออสการ์ สาขาสารคดียอดเย่ยี มแห่งปนี ้ดี ้วย

หนังสือเร่ือง Earth in the Balance๑๓ เป็นผลงานท่ีได้รับการ
ตีพมิ พไ์ มถ่ ึงปีท่ีได้รับตาแหน่งรองประธานาธบิ ดีและทาหนา้ ท่ีในตาแหนง่ นี้อยูถ่ งึ ๘
ปี จากการรวบรวมข้อมูลประเด็นระบบนิเวศวิทยา พื้นฐานวิกฤติสภาพอากาศ
ปัญหาประชากรท่ีเพิ่มข้ึนอย่างรวดเร็ว การปฏิวัติทางเทคโนโลยี และส่วนที่
เปราะบางทีส่ ดุ ของระบบนเิ วศของโลก กาลังเสื่อมโทรมลง

๑.๓ ความเป็นมาของการพัฒนาที่ย่ังยนื

การพัฒนาท่ีย่ังยืน(Sustainable Development) มีความเป็นมาดังน้ี
เริ่มตั้งแต่เม่ือองค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒ นธรรม ๑๔ แห่งองค์การ
สหประชาชาติ เปน็ หน่วยงานชานาญพเิ ศษของสหประชาชาติ ซงึ่ กอ่ ตั้งเม่ือปี พ.ศ.
๒๔๙๑(ค.ศ. 1848) มาเพ่อื ดแู ลเรอื่ งการพฒั นาต่างๆ ของโลก และเพอ่ื ช่วยเหลือ

๑๓Gore Senator Al, Earth in the Balance, (Boston : Houghton
Miffin Co, 1992).

๑๔ อุทัยวรรณ สุขคันธรักษ์, “ยูเนสโกคืออะไร แปลจาก What is UNESSCO?
1991”, วารสารคณะกรรมการแห่งชาติวา่ ด้วยการศึกษาฯ สหประชาชาติ, ปีที่ ๒๓ ฉบับที่
๒ (ตลุ าคม-ธนั วาคม๒๕๓๔) : ๒๗ – ๓๓.

หน้า ๙

บทท่ี ๑ “แนวคิดเกี่ยวกับการพฒั นาทยี่ ัง่ ยนื ”

บรรดาประเทศสมาชิกในการแก้ไขปัญหาที่รุมล้อมสังคม๑๕ ลักษณะของการ
ดาเนนิ งานจะเกยี่ วกบั เร่ืองอุดมคติ สนั ติภาพ จรรยาบรรณ โดยอาศยั เคร่ืองมอื คือ
การศึกษา วิทยาศาสตร์ วัฒนธรรม และส่ือสารมวลชนเป็นสาคัญ หรือในนาม
องค์การยูเนสโก “UNESCO” ได้ตั้งโครงการมนุษย์และชีวาลัย (The Man and
the Biosphere) ขึ้นในปี พ.ศ. ๒๕๑๔ (ค.ศ.1971) เพ่ือพิจารณาถึงผลกระทบของ
มนุษย์ที่มีต่อระบบนิเวศทางธรรมชาติ ซึ่งมีสาระเพ่ือเตือนให้เกิดความใส่ใจต่อ
ผลกระทบตา่ งๆ ทีเ่ กิดขึ้นกับสภาพแวดล้อมของโลก ส่วนการพัฒนาเชิงวัฒนธรรม
น้ันเป็นผลมาจากการท่ีองค์การยูเนสโกได้จัดการประชุมระหว่างประเทศ เรื่อง
นโยบายเก่ียวกับวัฒนธรรมข้ึน ในปี พ.ศ. ๒๕๒๕ (ค.ศ. 1982) ณ กรุงเม็กซิโก ทา
ให้นาไปสู่แนวคิดในการกาหนดทศวรรษโลก เพื่อการพัฒนาวัฒนธรรม อีกทั้ง
สะท้อนให้เห็นจุดยืนตามแนวคิดขององค์การยูเนสโกแห่งสหประชาชาติว่า การ
พฒั นาประเทศต่างๆ มงุ่ เน้นมติ ทิ างวัฒนธรรม

ต่อมา องค์การสหประชาชาติได้เริ่มให้ความสนใจในเรื่องส่ิงแวดล้อม
อย่างจริงจังขึ้นภายหลังทศวรรษแห่งการพัฒนาท่ีผ่านไประหว่างปี พ.ศ. ๒๕๐๓-
๒๕๑๓ (ค.ศ.1960-1970)ตามมาควบคู่กันกับองค์กรยูเนสโก ต้ังแต่ทศวรรษ
๑๙๗๐๑๖ ได้ริเริ่มให้มีการประชุมสหประชาชาติว่าด้วย ส่ิงแวดล้อมของมนุษย์
(The United Nation Conference on the Human Environment) ในปี พ.ศ.
๒๕๑๕ (ค.ศ.1972) ขึ้น โดยมีสมาชิกขององค์การสหประชาชาติเข้าร่วมประชุม
๑๑๓ ประเทศ ณ.กรุงสตอคโฮล์ม ทาให้เกิดการเร่ิมต้นพบกัน เพื่อสิ่งแวดล้อม
ของโลกเป็นคร้ังแรก ซึ่งการประชุมคร้ังน้ี กล่าวถึงอันตรายของการละเลยหรือไม่

๑๕อุรัจฉาฑา เชาวน์ชลากร และกุหลาบ ณ นคร, “ทศวรรษโลกเพ่ือการพัฒนา
วัฒนธรรม”, แปลรายงานของท่ีประชุมระดับภูมิภาคของคณะกรรมการแห่งชาติฯ, วารสาร
คณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยการศึกษาฯ สหประชาชาติ, ปีที่ ๒๐ ฉบับที่ ๔ (ตุลาคม-
ธนั วาคม ๒๕๓๑) : ๑๑ -๑๔.

๑๖ อัษฎา ชัยนาม, แผนปฏบิ ัติการ ๒๑ เพ่อื การพัฒนาอยา่ งยัง่ ยนื , หน้า ๑.

หนา้ ๑๐

บทที่ ๑ “แนวคิดเกย่ี วกบั การพฒั นาทย่ี ่ังยนื ”

ใส่ใจต่อปัญหาส่ิงแวดล้อม๑๗ ในขณะน้ันเป็นจุดเร่ิมท่ีทาให้ประชาคมโลกสนใจ
เร่ืองส่ิงแวดล้อม และองค์การสหประชาชาติได้จัดให้มีการจัดต้ังคณะกรรมาธิการ
หรือสมัชชาโลกในเรื่องส่ิงแวดล้อมและการพัฒนา (World Commission on
Environment and Development) ขึ้นเชน่ กัน ทั้งน้ี เพ่ือศึกษาในเร่ืองการสร้าง
ความสมดุลระหว่างสิ่งแวดล้อมกับการพัฒนา การที่ได้จัดต้ังคณะทา งานชุดนี้
นบั เป็นจดุ กาเนิดของการพัฒนาท่ีย่ังยืน(Sustainable Development) อย่างเป็น
รูปธรรมขึน้ ในเวลาต่อมา

ปี พ.ศ.๒๕๒๓ (ค.ศ.1980) ความกังวลเร่ืองผลกระทบต่อการพัฒนาท่ี
มตี ่อแต่ละประเทศจนกระท่ังกระทบถึงโลกน้ัน ทาให้ต่อมาได้ปรากฏรายงานเรื่อง
กลยุทธ์การอนุรักษ์โลก (The world Conservation Strategy)โดยองค์กร
นานาชาติเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติและทรัพยากรธรรมชาติ (International
Union for the Conservation of Nature and Natural Resources ห รื อ
IUCN)ได้กล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างการปกปักรักษาระบบนิเวศและวิธีการ
พั ฒ น าเศ รษ ฐกิ จ ท าให้ ป รากฏ ค าว่า ก ารพั ฒ น าที่ ยั่งยืน (Sustainble
Development)ขึ้นในการพิจารณาถึงเร่ืองการพัฒนาเศรษฐกิจ โดยอยู่ในส่วน
สุดทา้ ยของรายงานที่ช้ีชดั ถึงการเพม่ิ ความสนับสนุนด้านการเงิน เพื่อวัตถุประสงค์
ด้านการอนุรักษ์ แล้วให้พิจารณาท้ังการพัฒนาเศรษฐกิจ และส่ิงแวดล้อมผนวก
เข้าไว้ด้วยกัน ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๕๒๕ (ค.ศ.1982)ได้มีรายงานอีกฉบับหน่ึงช่ือ
Global2000 ซงึ่ มอี ิทธิพลตอ่ ประเดน็ เรอื่ งสิง่ แวดล้อมเช่นกัน

กระแสแห่งท่ีมาของการพฒั นาท่ียั่งยนื จึงมาจากสองกระแสหลัก ๒

๑๗Redclift, Micheal.Sustainnable Development:Economic and
the Environment.In M.Rediclift and C.Sage(eds),Strategics for
Sustainable Development :Local Agenda for the Southern
Hemisphere.U.K.: John Wiley & Sons Ltd.,1994,P.3.

หนา้ ๑๑

บทที่ ๑ “แนวคดิ เกย่ี วกบั การพฒั นาท่ยี ่งั ยืน”

ทาง๑๘ ดังน้ี๑๙
กระแสท่ี ๑ เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๖ (ค.ศ.1983) องค์การสหประชาชาติ

โดยจัดตั้งคณ ะทางานช่ือว่า World Commission on Environment and
Development แปลว่าคณะกรรมาธิการหรือสมัชชาโลกว่าด้วยสิ่งแวดล้อมและ
การพัฒนา เป็นหน่วยงานอิสระไม่อยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาลใดๆ ได้จัด
ประชุมคร้ังแรกใช้ชื่อว่า การประชุม World Commission on Environment
and Development ห รื อ WCED ห รื อ ที่ รู้ จั ก กั น ใน น า ม Brundtland
Commission เมื่อตุลาคม พ.ศ. ๒๕๒๗ (ค.ศ. 1984) ต่อจากนั้นคณะกรรมาธิการ
ฯ ใช้เวลา ๔ ปี จัดทารายงานออกมาเผยแพร่เม่ือเดือนเมษายน พ.ศ. ๒๕๓๐
(ค.ศ.1987) ชื่อว่า Our Common Future (อนาคตร่วมกันของเรา) หลังปกหลัง
ปกพิมพ์อักษรสีแดงว่า “This is The most important document of the
decade on the future of the world ” นี่ คือเอกสารท่ี สาคัญ ที่ สุดแห่ ง
ทศวรรษว่าด้วยอนาคตของโลก”และเป็นที่มาแห่งการเกิดของคาว่า การพัฒนาที่
ยั่งยืน๒๐ (Sustainable Development) เน้นหลักการพัฒนาส่ิงแวดล้อมเป็น
สาคัญ และเป็นที่น่าสังเกตวา่ การพัฒนาท่ีย่ังยืนกระแสน้ีได้รับความสนใจและการ
สนบั สนนุ ใหแ้ พร่หลายมากกว่ากระแสที่ ๒๒๑

กระแสท่ี ๒ องค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งชาติ
UNESCO เป็นหน่วยงานชานาญพิเศษของสหประชาชาติ ซ่ึงก่อต้ังมาเพื่อดูแล
เรื่องการพัฒนาต่างๆ ของโลกและเพื่อช่วยเหลือบรรดาประเทศสมาชิกในการ
แก้ปัญหาที่รุมล้อมสังคมโลก ลักษณะของการดาเนินงานจะเก่ียวกับเร่ืองอุดมคติ

๑๘พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตโฺ ต), การพัฒนาท่ียั่งยนื , หนา้ ๔๘.
๑๙เรอ่ื งเดียวกัน, หน้า ๕๐-๕๔.

๒๐ Michael Keating, The Earth Summit’s Agenda for
Change, The Centre for Our Common Future, Geneva,

Switzerland, August 1993,กระทรวงการตา่ งประเทศ แปล, หน้า ๙๐.
๒๑ พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยตุ โฺ ต), การพฒั นาทยี่ ัง่ ยนื , หน้า ๕๕.

หนา้ ๑๒

บทท่ี ๑ “แนวคดิ เกย่ี วกบั การพฒั นาที่ยง่ั ยนื ”

สนั ติภาพ จรรยาบรรณ โดยอาศัยเครอ่ื งมอื คือ การศึกษา วทิ ยาศาสตร์ วัฒนธรรม
และสื่อสารมวลชนเป็นสาคัญ ได้มีมติประกาศให้ปี พ.ศ. ๒๕๓๑-๒๕๔๐
(ค.ศ.1988-1997) เป็นทศวรรษโลกเพื่อการพัฒนาเชิงวัฒนธรรม(World Decade
for Cultural Development) เน้นการพัฒนาในมิติด้านวัฒนธรรมขึ้นมาเป็น
แกนกลางของการพัฒนาเน้นความสาคัญกับมนุษย์และวัฒนธรรม ถือว่าคุณค่า
ของมนุษยแ์ ละวัฒนธรรมเป็นแกนกลางในการพัฒนา และพยายามหาความสมดุล
ในการดาเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจ สังคม และการแก้ปัญหาส่ิงแวดล้อมคือเน้น
การพัฒนาคณุ ภาพของคนเปน็ สาคัญ๒๒

การพัฒนาที่ยั่งยืนเกิดขึ้นเป็นคร้ังแรกอย่างเป็นทางการจากการ
ประชุม Earth Summit การประชุมสหประชาชาติว่าด้วยสิ่งแวดล้อมและการ
พัฒนา (United Nation Conference on Environment and Development)
ที่กรุงริโอ เดอ จาเนโร ประเทศบราซิล พ.ศ. ๒๕๓๕ (ค.ศ.1992)ในการประชุม
ดังกล่าวผู้แทนของประเทศต่างๆรวมทั้งประเทศไทยได้ลงนามและรับรองเอกสาร
ที่สาคัญ ๕ ฉบับ โดยเฉพาะอย่างย่ิงเอกสารแผนปฏิบัติการ ๒๑ หรือ Agenda21
เพ่ือการสร้างการพัฒนาที่ย่ังยืนให้เกิดข้ึนในโลก และได้แพร่หลายอย่างท่ีสุด
กระท่ังถงึ ปจั จบุ ันเป้าหมายดงั กลา่ วน้ันยังคงดาเนินอยตู่ ่อไป จงึ นบั วา่ การพัฒนาที่
ยง่ั ยืนมีท่ีมาจากการประชมุ กนั ระหวา่ งนานาประเทศไดท้ าข้อตกลงกันแลว้ กาหนด
เป้าหมายเร่อื งการพัฒนาท่ีย่งั ยืนเป็นรูปธรรมข้ึนชัดแจ้งอย่างเปน็ ทางการ ณ เวลา
นั้น

๒๒ ประไพพรรณ เอมชู, “ปีเริ่มต้นของทศวรรษโลกเพ่ือการพัฒนาวัฒนธรรม”,
วารสารคณะกรรมการ แห่งชาติว่าด้วยการศึกษาฯ สหประชาชาติ, ปีท่ี ๑๙ ฉบับที่ ๖
(พฤศจกิ ายน- ธันวาคม ๒๕๓๐) : ๕๕- ๖๑.

หน้า ๑๓

บทที่ ๑ “แนวคดิ เกี่ยวกบั การพัฒนาท่ียง่ั ยืน”

๑.๔ ความหมายของการพฒั นาท่ีย่งั ยนื

การพัฒนาท่ยี ัง่ ยืน (Sustainable development) นน้ั เปน็ คาทใี่ ช้กัน
มากในการพัฒนาประเทศ มีการให้คานิยามแตกต่างกันไปตามการแปลความของ
ประเทศต่างๆ และไดม้ ผี ู้ใหค้ วามหมายไว้หลากหลายทัศนะ ดังนี้

คาว่ายั่งยืน ( Sustainable)เป็นคาท่ีมาจากภาษาลาติน คือ Sus-
tenere ซง่ึ หมายถงึ การส่งเสริมหรือสนับสนุน ( Uphold) โดย เรดคลฟิ ท์๒๓ กลา่ ว
ว่า ความย่ังยืนน้ันเก่ียวเนื่องกับกิจกรรมหรือกระบวนการเพื่อสนับสนุน
(Uphold)หรือปกปอ้ ง( defended)ความสามารถในการดารงอยู่

คณะกรรมาธิการโลกว่าด้วยส่ิงแวดล้อมและการพัฒนา (World
Commission on Environment and Development [WCED] ๒๔ หรือที่เรียก
ในอีกนามหนึ่งว่าคณะกรรมาธิการบรันท์แลนด์ (Brundtland Commission)
กล่าวไว้ว่า การพัฒนาที่ย่ังยืน คือ “การพัฒนาท่ีย่ังยืนเป็นการพัฒนาที่สนองตอบ
ต่อความต้องการของคนในรุ่นปัจจุบัน โดยไม่ทาให้คนรุ่นต่อไปในอนาคตต้อง
ประนีประนอมยอมลดความสามารถของเขาในการที่จะสนองตอบความต้องการ
ของตนเอง” (Sustainable development is development that meets the
needs for the present without compromising the ability of future
generations to meet their own needs) ท้ังน้ี การพัฒนาท่ีย่ังยืนจะต้องทาให้
ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น มีระบบสังคมที่เป็น สังคมธรรมรัฐ มีระบบการ
พัฒนาเศรษฐกิจท่ีมั่นคง ไม่จาเป็นต้องพึ่งพาความช่วยเหลือจากภายนอก มี

๒๓Redclift, Micheal. Sustainnable Development : Economic
and the Environment. In M.Rediclift and C.Sage (eds), Strategics
for Sustainable Development :Local Agenda for the Southern
Hemisphere.U.K.: John Wiley & Sons Ltd.,1994,P.17-18.

๒๔ World Commission on Environment and Development,
Our common future, Oxford, Great Britain: Oxford University
Press, 1987, p. 43.

หนา้ ๑๔

บทที่ ๑ “แนวคิดเกี่ยวกบั การพัฒนาทยี่ ่งั ยนื ”

คุณภาพส่ิงแวดล้อมท่ีดี ประชาชนรู้จักใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างรู้คุณค่า
โดยเฉพาะการใช้ทรัพยากรธรรมชาติเพื่อเป็นฐานในการผลิตเพ่ือนาไปสู่การ
เจรญิ เตบิ โตทางเศรษฐกิจ๒๕

องค์การศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาติหรือ
องค์การยูเนสโก (United Nations Educational, Scientific and Cultural
Organization: UNESCO) กลา่ ววา่ การพัฒนาที่ย่งั ยืนหมายถึง การพฒั นาที่สนอง
ความต้องการของประชาชนรุ่นปัจจุบัน โดยไม่ทาให้ประชาชนรุ่นต่อไปในอนาคต
ต้ อ งป ระนี ป ระน อ ม ย อ ม ล ด ค วาม ต้ อ งก ารข อ งต น เอ ง ” (Sustainable
development refers to development that fulfills the current needs
of populations without compromising the needs of future
generations )และได้ขยายความว่าการพัฒนาที่ยั่งยืน เป็นความเข้าใจกว้างๆ
เก่ียวกับวิทยาศาสตร์ทางธรรมชาติและเศรษฐศาสตร์ ขณะเดียวกันก็เกี่ยวข้องกับ
หลักฐานทางวัฒนธรรมที่พร้อมด้วยการยึดถือความเป็นมนุษย์ และด้วยวิธีการ
อยา่ งไรกต็ ามแต่ ต้องทาให้เขาตระหนักถึงความสัมพนั ธ์ของเขากับคนอนื่ ๆ รวมทั้ง
ขานรับต่อความต้องการจาเป็นตามแนวคิดพื้นฐานใหม่ที่จินตนาการไว้ เพื่อ
ความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนชาวโลกและเพื่อการเป็นถิ่นท่ีอยู่อาศัยอันยั่งยืน
ยาวนานของชีวิตมนุษย์ควรต้ังอยู่บนรากฐานทางวัฒนธรรมท่ียึดถือคุณค่าของ
ความเปน็ มนุษย์ด้วย๒๖

๒๕ Brundland Commissio, Our common future: Report of the
world commission on environment and development, Retrieved from
http://www.un-documents.net/our-common- future.pdf. 1987.

๒๖UNESCO-ACEID. Educating for a Sustainable Future :
A Trans disciplinary Vision for Concerted Action. Report of the
Third UNESCO-ACEID International Conference, Bangkok
Thailand, 1997,P. 6-23.

หน้า ๑๕

บทที่ ๑ “แนวคดิ เกี่ยวกับการพัฒนาท่ียั่งยืน”

เร ด ค ลิ ฟ ท์ ๒๗ ก ล่ า ว ว่ า ก า ร พั ฒ น า ท่ี ย่ั ง ยื น (Sustainable
Development)มีข้อควรพิจารณา๒ประเด็น คือ ประเด็นแรก การพัฒนาที่ย่ังยืน
ควรได้รับการพิสูจน์ว่าเป็นแนวคิด(Concept)อย่างหน่ึงท่ีเป็นประโยชน์ ส่วน
ประเด็นที่สอง การพัฒนาท่ียั่งยืนก่อให้เกิดความจาเป็นท่ีต้องใช้สติปัญญามาก
พอๆกับความจาเป็นที่จะต้องใช้ความเห็น หรือนโยบายในทางการเมืองเพราะ
ความคิดเร่ืองความยั่งยืนสะท้อนถึงความกังวลในเร่ืองเงื่อนไข หรือความจากัดที่
เกี่ยวกับมนุษย์อันเนื่องมาจากการใช้ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ซึ่งนาไปสู่ความไม่
พอใจของบรรดามวลมนุษย์ทง้ั หลาย

บราวน์๒๘ กลา่ วถงึ ความย่ังยืนเป็นความคิดเชงิ นิเวศวิทยาร่วมกับนัย
ทางเศรษฐกิจ น่ันคือ ความเจริญเติบโตและการกินดีอยู่ดีของมนุษย์ขึ้นอยู่กับ
พื้นฐานด้านทรัพยากรธรรมชาติ ซ่ึงส่งเสริมสนับสนุนระบบการดารงชีวิตของ
มนุษย์และสังคมที่ยั่งยืน (Sustainable society) ก็จะเป็นส่วนหน่ึงท่ีกาหนด
ระบบเศรษฐกิจและระบบสังคมที่ทาให้ทรัพยากรธรรมชาติและระบบการส่งเสริม
สนบั สนุนชีวิตได้รบั การดแู ลธารงรักษาไว้

พระธรรมปิฎก๒๙ กล่าวว่า การพัฒนาท่ียั่งยืนคือ การพัฒนาท่ีมีดุลย
ภาพครบท้ังสามด้าน ประกอบด้วย ชีวิตมนุษย์ สังคม และส่ิงแวดล้อม โดยมี
หลักการสาคัญอยู่ท่ีเพื่อประโยชน์สุขของคนส่วนใหญ่ ลดการเบียดเบียนกัน และ
เกือ้ กูลต่อกนั ใหม้ ากข้นึ

๒๗Redclift, Micheal. Sustainnable Development : Economic
and the Environment. In M.Rediclift and C.Sage (eds), Strategics
for Sustainable Development :Local Agenda for the Southern
Hemisphere. U.K.: John Wiley & Sons Ltd.,1994,P.17-18.

๒๘Yomi, N, Environmental education for sustainable

development: Synthesis of world environment day. Glasgow,
Scotland: Jordan hill College. 1991, P. 3.

๒๙พระธรรมปิฎก(ป.อ.ปยุตโฺ ต),การพัฒนาที่ย่ังยืน,(กรงุ เทพมหานคร:มูลนธิ โิ กมลคีม
ทอง),๒๕๔๙, หนา้ ๑๐๖.

หนา้ ๑๖

บทท่ี ๑ “แนวคิดเก่ยี วกับการพฒั นาท่ยี งั่ ยนื ”

ปรีชา เป่ียมพงศ์สานต์, กาญจนา แก้วเทพ และกนกศักด์ิ แก้ว
เทพ๓๐ กล่าวว่า แนวคิดการพัฒนาท่ียั่งยืนเป็นแนวความคิดที่ประนีประนอม
ระหว่างกลมุ่ ที่นิยมการพัฒนากบั กลุ่มท่ีนิยมสิ่งแวดล้อม ทั้งโลกทรี่ ่ารวยและโลกที่
ยากจน ต่างกม็ ีความพึงพอใจในแนวคิดน้ี เนื่องจาก เปน็ แนวคิดที่ทาให้การพัฒนา
และสิ่งแวดล้อมเป็นเร่ืองที่ไปด้วยกันได้ กล่าวคือ เป็นแนวคิดที่ไม่ได้ ปฏิเสธ
ความเจริญก้าวหน้าและมองว่าการขยายตัวทางเศรษฐกิจเป็นส่ิงท่ีจาเป็น และ
สามารถเกิดข้ึนได้โดยไม่ต้องมีการทาลายส่ิงแวดล้อม การพัฒนาท่ีย่ังยืนยัง
หมายถึงยุทธศาสตร์การพัฒนาท่ีนา เอาทรัพยากรทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นธรรมชาติ
มนุษย์ การเงิน และทรัพยากรกายภาพ มาจัดการเพื่อก่อให้เกิดความม่ังค่ัง ความ
อยู่ดีกินดี และความสุขสมบูรณ์ การพัฒนาอย่างยั่งยืนข้ึนอยู่กับการจัดการ
สิ่งแวดล้อมท่ีถูกต้องและเหมาะสม โดยสรุปแล้ว คือ การพัฒนาท่ีอยู่ภายใต้
ขีดจากัดทางนิเวศ

ชัยยศ อ่ิมสุวรรณ์๓๑ กล่าวว่าแนวความคิดการพัฒนาที่ย่ังยืน เป็น
ยุทธศาสตร์ของการพัฒนาที่ต้องการการจัดทรัพยากรท้ังธรรมชาติและมนุษย์
รวมทัง้ ทรัพยากรการเงินและวสั ดทุ ้ังปวงให้เปน็ ไปในทิศทางทีก่ ่อให้เกิดความมั่งคั่ง
และอยู่ดีกินดี โดยไม่ทาลายทรัพยากรธรรมชาติ เพื่อสงวนไว้สาหรับคนรุ่นหลัง
และการที่จะบรรลุเป้าหมายของการพัฒนาท่ียั่งยืน ซึ่งจะเกิดการสมดุลของการ
พัฒนาเศรษฐกิจสังคมและสิ่งแวดล้อมได้นั้นจะต้องพัฒนาคนให้มี ความรู้
ความสามารถมีศกั ยภาพในการจดั การการพัฒนา

๓๐ปรีชา เปยี่ มพงศ์สานต์, กาญจนา แกว้ เทพ และกนกศักดิ์ แก้วเทพ, วถิ ีใหม่แห่ง
การพัฒนาวิธีวิทยาศึกษาสังคมไทย ,พิมพ์ครัง้ ที่ ๔,( กรุงเทพมหานคร : คณะเศรษฐศาสตร์
จุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลัย).๒๕๔๙.

๓๑ ชัยยศ อม่ิ สุวรรณ์, การพัฒนารูปแบบการศึกษาชุมชนเพ่ือการพัฒนาท่ียั่งยืน,
วิทยานพิ นธ์ ปรญิ ญาดษุ ฎบี ณั ฑติ , จุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลยั ., ๒๕๔๓), หน้า ๒.

หน้า ๑๗

บทที่ ๑ “แนวคิดเกย่ี วกับการพฒั นาที่ยั่งยนื ”

ประพัฒน์ ปัญญาชาติรักษ์ ๓๒ กล่าวไว้ว่า การพัฒนาที่ยง่ั ยืนเป็นการ
พฒั นาในลักษณะบูรณาการเป็นองค์รวมท่ีตัวแปรท้ังหลายต้องมาประสานกันครบ
องค์อย่างมีดุลยภาพ แม้ว่าจะอยู่ในบริบทท่ีมีความหลากหลายบนความแตกต่าง
ทางด้านเศรษฐกจิ ท่ีตอ้ งคานึงถึงการพัฒนาตามขีดความสามารถในการแข่งขันบน
พื้นฐานทรัพยากรของตนเอง ด้านสังคมและส่ิงแวดล้อม ที่ต้องให้ความสาคัญกับ
การตอบสนองความต้องการของผู้เกี่ยวข้องอย่างสอดคล้องกับบริบททางสังคม
และวัฒนธรรม การพัฒนาท่ียั่งยืนจึงเป็นความพยายามในการทาให้ดีข้ึนอย่าง
มนั่ คง ถาวร บนพ้ืนฐานของศักยภาพและทรพั ยากรที่มีจากัด โดยคานึงถึงปัจจัยที่
เก่ียวข้องทุกด้าน ท้ังด้านเศรษฐกิจ สังคมวัฒนธรรม และส่ิงแวดลอ้ ม ให้เกิดความ
สมดุลทุกมิติ เน้นการพัฒนาบนฐานทรัพยากร จุดแข็ง และศักยภาพของตนเอง
รวมทั้งการสร้างการมีส่วนร่วมจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องอย่างจริงจังและต่อเน่ือง
ตลอดจนสามารถอยู่รว่ มกนั อยา่ งสนั ติสขุ และย่ังยนื ตลอดไป

วสุธร ตันวัฒนกุล๓๓ กล่าวถึงลักษณะท่ีแสดงถึงการพัฒนาที่ยั่งยืนว่า
เป็นการผสมผสานระหว่างการอนุรักษ์และการพัฒนาที่สนองความต้องการ
พื้นฐานของมนุษย์ เปิดโอกาสให้ทุกฝ่ายมีส่วนร่วมอย่างเสมอภาคและยุติธรรม มี
การผสมผสานกิจกรรม เพื่อทาให้สังคมเกิดความผูกพันและอนุรักษ์ไว้ซ่ึงความ
หลากหลายทางวัฒนธรรม คานึงถึงการรักษาส่ิงแวดล้อม ตลอดจนการนา
เทคโนโลยสี มยั ใหมเ่ ขา้ มาใชอ้ ย่างสอดคล้องกบั ชุมชน

๓๒ ประพัฒน์ ปัญญาชาติรักษ์, การพัฒนาที่ย่ังยืน ต้องอยู่บนฐานทรัพยากรของ
ตนเอง. วารสารเศรษฐกิจและสังคม, ๒๕๔๖, หน้า ๙.

๓๓ วสุธร ตันวัฒนกุล, การพัฒนาแบบยั่งยืน, วันท่ีสืบค้น ๓๐ กันยาน ๒๕๕๘,
เขา้ ถึงไดจ้ าก http://www.ph.buu.ac.th/pdf/ vasutorn/develop_old.pdf.

หน้า ๑๘

บทที่ ๑ “แนวคิดเกย่ี วกบั การพฒั นาทย่ี ัง่ ยืน”

นิตยา กมลวัทนนิศา๓๔ ได้ให้แนวคิดว่าการพัฒนาท่ีย่ังยืนเป็นการ
พัฒนาที่ดาเนินไปโดยคานึงถึงขีดจากัดของทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อม
และการตอบสนองความต้องการในปัจจุบันโดยไม่ส่งผลเสียต่อความต้องการใน
อนาคต เป็นการพัฒนาที่คานึงถึงความเป็น “องค์รวม” คือ การกระทาส่ิงใดต้อง
คานึงถึงผลกระทบท่ีจะเกิดข้ึนกับส่ิงอื่น ๆ ซึ่งการพัฒนาตามแนวคิดนี้ ยึดหลัก
ความรอบคอบ และค่อยเป็นค่อยไป รวมท้ังเป็นการพัฒนาที่ย่ังยืนไม่ได้ ปฏิเสธ
“ระบบเทคโนโลยี” เพียงแต่ต้องคานึงว่าเทคโนโลยีท่ีนามาใช้น้ันเป็นไปในทาง
สรา้ งสรรคห์ รอื ทาลาย

ประเทศไทยได้รับแนวคิดการพัฒนาที่ย่ังยืนมาปรับใช้ ดังแผนพัฒนา
เศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ระยะท่ี ๘ (พ.ศ. ๒๕๔๐-๒๕๔๔) รัฐได้เน้นการ
พัฒนาคนเป็นศูนย์กลางการพัฒนาเน้นการพัฒนาอย่างองค์รวม โดยใช้เศรษฐกิจ
เป็นเครื่องมือพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนให้ดีข้ึน จนกระท่ังแผนพัฒนาเศรษฐกิจ
และสังคมแห่งชาติ ระยะที่ ๙ (พ.ศ. ๒๕๔๕ -๒๕๔๙) ซึ่งเป็นกรอบทิศทางการ
พัฒนาประเทศที่ได้อัญเชิญและยึดแนวคิด “ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” ตาม
พระราชดารัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็นปรัชญานาทางในการบริหาร
ประเทศ โดยยึดหลักทางสายกลาง มุ่งการพัฒนาที่มีดุลยภาพระหว่างมิติทาง
เศรษฐกิจ สังคม และส่ิงแวดล้อมอย่างเกื้อกูลกันสู่การพัฒนาอย่างมีคุณภาพ
ม่ันคง และยั่งยืน นับเป็นการพัฒนาประเทศอย่างองค์รวม โดยประชาชนที่ส่วน
ร่วม มุ่งสู่เป้าหมายเดียวกัน คือ การพัฒนาท่ียั่งยืนและความอยู่ดีมีสุขของ
ประชาชนอยา่ งถาวร

จากนิยามท่ีกล่าวมาข้างต้นอาจกล่าวได้ว่า สรุปได้ว่าการพัฒนาที่
ย่ั งยื น ห ม า ย ถึ ง ก า รพั ฒ น า ท่ี ด า เนิ น ไป โด ย ค า นึ งถึ งขี ด จ า กั ด ข อ ง
ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และการตอบสนองความต้องการในปัจจุบัน

๓๔ นิตยา กมลวัทนนิศา, บริบทไทยว่าด้วยการพัฒนาท่ีย่ังยืน. วารสารเศรษฐกิจ
และสังคม, ๒๕๔๖, หนา้ ๑๔.

หนา้ ๑๙

บทที่ ๑ “แนวคิดเกย่ี วกบั การพฒั นาท่ียง่ั ยืน”

โดยไม่ส่งผลเสียต่อความต้องการในอนาคต เป็นดาเนินการบนพื้นฐานของการ
พัฒนาอย่างองค์รวมให้มีความสมดุลอย่างรอบด้าน โดยคานึงถึงผลกระทบที่จะ
เกิดข้ึนกับสิ่งอื่นๆ ทุกมิติรอบด้านทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อม รวมท้ัง
เป็นการพัฒนาท่ีไม่ปฏิเสธระบบเทคโนโลยี เพียงแต่ต้องคานึงว่าเทคโนโลยีท่ี
นามาใช้น้นั เปน็ ไปในทางสร้างสรรค์หรือทาลาย เปดิ โอกาสใหท้ ุกฝ่ายที่เก่ยี วขอ้ งได้
มีส่วนร่วมในการพัฒนา คานึงถึงความเป็นองค์รวมในเชิงบูรณาการ โดยพิจารณา
ผลเชื่อมโยงที่เกิดข้ึนอย่างหลากหลายบนความแตกต่างทางด้านเศรษฐกิจ ท่ีต้อง
คานึงถึงการพัฒนาตามขีดความสามารถในการแข่งขันบนพ้ืนฐานทรัพยากรของ
ตนเอง ด้านสังคมและส่ิงแวดล้อม ที่ต้องให้ความสาคัญกับการตอบสนองความ
ต้องการของผ้เู กี่ยวข้องอย่างสอดคลอ้ งกับบรบิ ททางสังคมและวัฒนธรรม

๑.๕ หลกั การของการพัฒนาที่ยั่งยนื

OUR COMMON FUTURE เป็นเอกสารท่ีมีส่วนสาคัญ ทาให้เกิด
การประชุมโลกช่ือการประชุมสหประชาชาติ ว่าด้วยส่ิงแวดล้อมและการพัฒนา
(The United Nations Conference on Environment and Development
: UNCED) หรือการประชุม Earth Summit ท่ีกรุงริโอ เดอจาเนโร ประเทศ
บราซิล ในเดือนมิถุนายน พ.ศ.๒๕๓๕ (ค.ศ. 1992) ในการประชุมดังกล่าวผู้แทน
ของประเทศต่างๆ รวมทั้งประเทศไทย ได้ร่วมลงนามและรับรองเอกสารท่ีสาคัญ
๕ ฉบับโดยเฉพาะอย่างยิ่งเอกสารแผนปฏิบัติการ ๒๑ หรือ AGENDA 21 เพื่อ
สร้างการพฒั นาที่ย่ังยืนให้เกดิ ขน้ึ ในโลก

รายงานเร่ือง OUR COMMON FUTURE นาเสนอหลักการว่า การ
พฒั นาท่ียั่งยนื Sustainable Development ประกอบด้วย หลักการและแนวคิดที่
สาคญั ๒ ประการ โดยสรุป คอื

๑ แนวคดิ เรื่อง“ความต้องการ” โดยเฉพาะความต้องการพื้นฐาน
ทีจ่ าเป็นในกลมุ่ คนยากจนของโลก ซึ่งควรไดร้ ับความชว่ ยเหลอื เป็นอันดบั แรก

หนา้ ๒๐

บทที่ ๑ “แนวคิดเกี่ยวกบั การพัฒนาท่ียั่งยืน”

๒. ความคิดเรื่อง “ขีดจากัด” ที่ข้ึนอยู่กับความสามารถของ
ส่งิ แวดล้อม เนื่องจากการถูกเอารัดเอาเปรยี บโดยเทคโนโลยีและสถาบันสังคม ซ่ึง
มุ่งหวังเพอ่ื สนองตอบความต้องการท้ังของคนร่นุ ปจั จุบันและอนาคต

ดังนั้น การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของทุกประเทศทั่วโลก ไม่ว่าจะ
ร่ารวยหรือยากจน ประเทศใหญ่ หรือประเทศเล็กๆ ต้องได้รับการพิจารณาใหม่
ตามแนวความคิดหลักของความยั่งยืนการพัฒนาแบบใหม่นี้จะเกี่ยวข้องกับการ
ปรับเปลี่ยนการดาเนินงานใหม่ ท้ังการพัฒนาและปฏิรูปทางสถาบันหลัก ท้ังด้าน
เศรษฐกิจและสังคม โดยนโยบายด้านการพัฒนาต้องคานึงการเปลี่ยนแปลงด้าน
ทรัพยากรธรรมชาติ และการจาแนกต้นทุนและผลประโยชน์ รวมถึงการคานึงถึง
ความยุติธรรมเพ่ือสังคมระหว่างคนรุ่นเดียวกัน และความยุติธรรมระหว่างคนแต่
ละรุ่นด้วย การพัฒนาที่ยัง่ ยืนจึงต้องสนองความตอ้ งการพ้ืนฐานของทุกคนรวมถึง
โอกาสความต้องการเพื่อใหม้ ีชีวิตดีข้ึน แต่สง่ิ เหล่าน้ีข้ึนอยู่กับเงอ่ื นไขของมาตรฐาน
การบริโภคซ่ึงทุกๆคน ควรมีโอกาสรับร่วมกัน ภายใต้ขอบเขตความเป็นไปได้ของ
ระบบนิเวศ

รายงานเรื่อง Our Common Future ได้กล่าวถึงทิศทางเชิงนโยบาย
เพือ่ นาไปสกู่ ารพัฒนาทีย่ งั่ ยนื ไวว้ ่า มลี ักษณะดงั น้ี คือ

๑. ประชากรและการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ (Population and
Human Resources)

๒ . ความม่ัน คงด้าน อาห าร (Food Security : Sustaining the
Potential)

๓ . ช า ติ พั น ธ์ แ ล ะ ร ะ บ บ นิ เว ศ (Species and Ecosystems :
Resources for Development)

๔ . พ ลั ง ง า น (Energy : Choices for Environment and
Development)

หน้า ๒๑

บทที่ ๑ “แนวคิดเกย่ี วกบั การพฒั นาทย่ี งั่ ยืน”

๕. อุตสาหกรรมที่ผลิตมาก แต่ลงทุนน้อย (Industry : Producing
more with less)

๖. การท้าทายความเปน็ เมือง (The Urban Challenge)
ทิศทางเชิงนโยบายหรอื แนวนโยบาย ดังกล่าว อธิบายโดยสรปุ ได้ ดงั น้ี๓๕

๑. ประชากรและการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ (Population and
Human Resources) เป็นเรื่องความสัมพันธ์อย่างเหมาะสมระหว่างจานวน
ประชากรและทรัพยากรท่ีเก่ียวพันกับความเท่าเทียมกันในการเข้าถึงทรัพยากร
ร ว ม ถึ ง ก า ร ให้ ก า ร ศึ ก ษ า เพ่ื อ ป รั บ ป รุ ง ศั ก ย ภ า พ ข อ ง ม นุ ษ ย์ ใน ก า ร จั ด ก าร กั บ
ทรัพยากรเหล่าน้ัน จึงควรสร้างความเข้มแข็งทางสังคมวัฒนธรรม และการจูงใจ
ทางเศรษฐกิจ เพ่ือการวางแผนครอบครัว อีกท้ังสนับสนุนให้ทุกคนต้องได้รับ
การศึกษา มีการคุมกาเนิดและให้ได้รับการบริการที่จาเป็น ส่วนการพัฒนา
ทรัพยากรมนุษย์มิใช่เพียงเพ่ือสร้างความรู้ความสามารถทางเทคนิคเท่านั้น แต่
รวมถึงการสร้างค่านิยมเพื่อช่วยเหลือแต่ละบุคคลและชาติให้เปล่ียนแปลงอย่าง
รวดเร็วในด้านสงั คม สง่ิ แวดล้อม และการพฒั นา เพื่อนาไปส่คู วามเขา้ ใจและความ
เต็มใจทจ่ี ะแบ่งปันทรัพยากรอย่างเทา่ เทียมกัน

๒. ความม่ันคงด้านอาหาร (Food Security : Sustaining the
Potential) ซึ่งสืบเน่ืองจากการเพิ่มจานวนประชากรที่ทาให้บางประเทศประสบ
ปัญหาเรื่องอาหารไม่เพียงพอเพ่ือบริโภคในขณะท่ีประเทศอุตสาหกรรมมีการผลิต
ที่มีส่ิงสนับสนุนสูงเป็นอย่างมาก ทาให้สามารถนาทรัพยากรมาใช้มาก และ
ก่อให้เกิดผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมมาก อีกทั้งการที่มีการป้องกันการแข่งขัน

๓๕World Commission on Environment and Development. Our
Common Future,(New York : Oxford University, Great Britain

R.Clay Ltd.,1987), P. contents, ดลพฒั น์ ยศธร,“การนาเสนอรปู แบบการศึกษาเพื่อ
การพัฒนาที่ยั่งยืนแนวพุทธศาสตร์”, วิทยานิพนธ์ครุศาสตรดุษฎีบัณฑิต, (บัณฑิตวิทยาลัย
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๔๒), หนา้ ๓๗.

หนา้ ๒๒

บทที่ ๑ “แนวคิดเกีย่ วกับการพฒั นาท่ียั่งยืน”

จากนานาชาติเป็นเครื่องมือ ซ่งึ ตรงกันขา้ มกบั ประเทศทีก่ าลังพัฒนาทม่ี ปี ัญหาขาด
แคลนเทคโนโลยีไม่เพียงพอ การจูงใจทางเศรษฐกิจมีน้อย ร่วมกับปัญหาคุณภาพ
ดินที่แห้งแล้งขาดธาตุอาหาร ไม่สามารถเพาะปลูกได้ จึงก่อให้เกิดปัญหาความ
มั่นคงด้านอาหารเกิดข้ึน

๓ . ช าติพั น ธุ์แ ละระบ บ นิ เวศ (Species and Ecosystems :
Resources for Development) ซ่ึงเกิดจากความเจริญด้านวิทยาศาสตร์ได้
สง่ ผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงความหลากหลายทางสายพันธ์ที่จาเป็นต่อระบบ
นิเวศและชีวภาพทั้งมวล โดยเฉพาะการพัฒนาด้วยสายพันธ์พืช เวชกรรม และ
วัตถุดิบ เพื่อการอุตสาหกรรม ดังนั้น ต้องนาคุณธรรม จริยธรรมวัฒนธรรม ความ
งาม และเหตุผล ด้านวิทยาศาสตร์บริสุทธ์ิ มาช่วยธารงรักษาความคงอยู่ของ
ส่ิงมชี วี ิตต่างๆ ดว้ ย

๔ . พ ลั ง ง า น (Energy : Choices for Environment and
Development) เป็นเรื่องสาคัญยิ่งต่อการพัฒนาอย่างย่ังยืน โดยจาเป็นต้อง
คานึงถึงการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพหรือลดการใช้พลังงานลง รวมถึงการ
ใช้พลงั งานอย่างปลอดภัยตอ่ ส่ิงแวดล้อมเปน็ อย่างยิ่ง

๕. อุตสาหกรรมท่ีผลิตมาก แต่ลงทุนน้อย (Industry : Producing
more with less)เนื่องจากการผลิตมากทาให้ต้องใช้ทรัพยากรมาก ขณะเดยี วกัน
ก็ก่อให้เกิดภาวะมลพิษ ซึ่งมีผลต่อสุขภาพอนามัย และทาลายสิ่งแวดล้อมเป็น
อย่างมากทาให้ต้องพิจารณาว่าจะผลิตเป็นจานวนมาก แต่ใช้ทรัพยากรอย่าง
เหมาะสมหรือน้อยลงได้อย่างไร รวมทั้งไม่ก่อให้เกิดความเสี่ยงในเรื่องสารเคมีเป็น
พิษ น้าเสียหรืออุบัติเหตุ จึงเป็นความจาเป็นอย่างเร่งด่วนท่ีต้อง ควบคุมการ
สง่ ออกของอตุ สาหกรรมและสารเคมีด้านเกษตรกรรมที่เปน็ อันตรายใหไ้ ด้

๖. การท้าทายความเป็นเมือง (The Urban Challenge) ซ่ึงพบว่า
ประชากรจานวนมากท่ีอาศัยอยู่ในเมือง โดยเฉพาะหลายเมืองในประเทศ
อตุ สาหกรรม ต้องเผชิญปัญหาปจั จยั พ้ืนฐานเลวลงท้งั ส่ิงแวดล้อม ทัง้ สภาพภายใน

หนา้ ๒๓

บทท่ี ๑ “แนวคดิ เกี่ยวกบั การพฒั นาท่ีย่งั ยืน”

เมือง และความสัมพันธ์ฉันเพ่ือนบ้านก็พังทลาย แต่ก็ยังมีทางเลือกทางการเมือง
และทางสังคมให้กับคนเหล่านั้น ส่วนประเทศกาลังพัฒนาจะมีสถานการณ์ที่ไม่
เหมือนกัน รัฐบาลต้องพัฒนากลยุทธ์เพ่ือนาไปสู่ความเจริญก้าวหน้าในทาง
การเมือง โดยลดแรงกดดันของเมืองใหญ่ และทาให้เป็นเมืองท่ีเล็กลง ซ่ึงการ
บริหารจัดการเมอื งที่ดตี ้องมีการกระจายงบประมาณ กระจายอานาจทางการเมอื ง
และบุคลากร ให้เป็นหน้าท่ีของท้องถ่ินที่ซ่ึงเป็นแหล่งที่รู้ดีที่สุด และจัดการได้ตาม
ความต้องการของทอ้ งถน่ิ นนั้ ๓๖

ดังน้ัน จึงกล่าวได้ว่าการที่จะสามารถสนองตอบความต้องการของ
มนุษย์และบรรลุถึงศักยภาพของการเจริญเติบโตได้ จะเกี่ยวข้องกับ ๒ เรื่อง
ต่อไปน้ี คือ

๑. การเพ่ิมขีดความสามารถในการผลิต ขณะเดียวกันต้องเพ่ิมโอกาส
ของความเทา่ เทียมกนั สาหรบั ทุกคนด้วย (ความเท่าเทยี ม)

๒. การพัฒนาท่ียั่งยืนจะเกิดขึ้นได้เก่ียวข้องกับสภาวะการเพ่ิมจานวน
ประชากรท่ีสอดคล้องกับการเปล่ียนแปลงความสามารถในการผลิตของระบบ
นเิ วศ (ความสมดลุ ) ๓๗

เอกสารแผนปฏิบัติการ๒๑ หรือ AGENDA 21 เอกสารฉบับน้ีได้
เรียกร้องให้ชาวโลกเปล่ียนแปลงวิถีการดาเนินชีวิตท่ีฟุ่มเฟือยและเปล่ียนแปลง
วิถีทางในการพัฒนาเสียใหม่ในลักษณะท่ีปลอดภัยต่อส่ิงแวดล้อมและสอดคล้อง
กับข้อจากัดของธรรมชาติมากย่ิงขึ้น และว่ามนุษยชาติสามารถที่จะทาให้เกิดการ
พัฒนาทย่ี ั่งยนื (Sustainable Development) ขึ้นมาได๓้ ๘

๓๖ เรอื่ งเดียวกัน, หน้า ๕๐-๕๑.
๓๗ อา้ งแลว้ .

๓๘Michael Keating, The Earth Summit’s Agenda for
Change, The Centre for Our Common Future, Geneva,

Switzerland, August 1993, กระทรวงการต่างประเทศ แปล, หนา้ ๑.

หน้า ๒๔

บทที่ ๑ “แนวคดิ เกี่ยวกบั การพัฒนาท่ีย่ังยืน”

๑.๖ องคป์ ระกอบของการพัฒนาท่ยี ่ังยนื

ในการศึกษาแนวคิดและองค์ประกอบการพัฒนาท่ียง่ั ยืน มีนักวิชาการ
ในหลากหลายสาขาและสถาบันต่างๆ ได้ให้ความหมายและองค์ประกอบการ
พฒั นาทยี่ ่ังยืนไวใ้ นลักษณะท่คี ลา้ ยคลึงกัน เชน่

กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม๓๙ กล่าวว่า การ
พั ฒ น าท่ี ยั่ งยื น คื อ ก ารพั ฒ น าท่ี เน้ น ให้ ม นุ ษ ย์ ค านึ งถึ งขี ด จ ากั ด ข อ ง
ทรัพยากรธรรมชาติบนโลก และให้มีการดาเนนิ การพัฒนาควบคู่ไปกับการอนรุ ักษ์
และฟ้ืนฟูทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อม โดยให้เป็นการพัฒนาท่ีตอบสนอง
ความตอ้ งการของคนท้ังในยุคปัจจบุ นั และยุคต่อๆไปอย่างเท่าเทียมกัน

หลักการสาคัญของการพัฒนาที่ยั่งยืน คือ การสร้างสมดุลระหว่าง ๓
มติ ิของการพฒั นา อนั ไดแ้ ก่

๑. มิติการพัฒนาเศรษฐกิจที่ยั่งยืน ซึ่งเป็นการพัฒนาเศรษฐกิจให้
เจริญเติบโตอย่างมี คุณภาพ กระจายรายได้ให้เอ้ือประโยชน์ต่อคนส่วนใหญ่ใน
สังคม โดยเฉพาะคนที่มีรายไดต้ ่า

๒. มิติการพัฒนาสังคมท่ียั่งยืน ซึ่งเป็นการพัฒนาคนให้มีความรู้ มี
สมรรถนะและมีผลิตภาพสูงข้ึน ส่งเสริมให้เกิดสังคมที่มีคุณภาพ และเป็นสังคม
แหง่ การเรยี นรู้

๓. มิติการพัฒนาสิง่ แวดล้อมท่ียงั่ ยืน ซง่ึ เป็นการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ
ในปริมาณที่ระบบนิเวศสามารถฟ้ืนตัวกลับสู่สภาพเดิมได้ การปล่อยมลพิษออกสู่
สิ่งแวดล้อมในระดับที่ระบบนิเวศสามารถดูดซับและทาลายมลพิษนั้นได้ โดยให้
สามารถผลติ มาทดแทนทรพั ยากร ประเภทที่ใช้แล้วหมดไปได้

๓๙ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม, ความรู้เบ้ืองต้นเกี่ยวกับการ
พฒั นาท่ยี ง่ั ยืน, (กรงุ เทพมหานคร: อมรนิ ทรพ์ ร้ินต้งิ แอนดพ์ บั ลชิ ช่งิ ),๒๕๕๖, หน้า ๑๒.

หน้า ๒๕

บทที่ ๑ “แนวคดิ เกี่ยวกับการพัฒนาท่ีย่งั ยนื ”

แนวคดิ และองคป์ ระกอบเกยี่ วกับการพัฒนาท่ีย่ังยืนขา้ งตน้ สอดคล้องกับ
แนวคิดของพระพรหมคุณาภรณ์ ๔๐ ซึ่งกล่าวว่า กระแสในการพัฒนา
แบบใหม่มี ๒ กระแส คือ กระแสแรกเป็นการพัฒนาท่ีย่ังยืนตามแนวคิดของ
คณะกรรมาธิการโลกว่าด้วยสิ่งแวดล้อมและการพัฒนา (CSD) คือมุ่งพัฒนาควบคู่
ไปกับการให้ความสาคัญแก่ส่ิงแวดล้อมอันเนื่องมาจากการเพ่ิมจานวนประชากร
ส่งผลให้เกิดปัญหาทรัพยากรร่อยหรอ และการเกิดมลภาวะ กระแสที่สองคือ การ
พัฒนาตามแนวคิดของยูเนสโก (UNESCO) ที่ให้ความสาคัญแก่คุณค่าของมนุษย์
และวัฒนธรรม ซ่ึงเป็นหวั ใจสาคญั ของการพัฒนา
สาหรับชาวพุทธแล้ว การพัฒนาท่ียั่งยืนควรเป็นการพัฒนาเพื่อสร้าง
สังคมท่ีย่ังยืน ควบคู่กับตอบสนองความต้องการของตนได้ โดยไม่ส่งผลกระทบต่อ
สตั ว์โลก และประชาชนรุ่นต่อๆ ไปในอนาคตตอ้ งเดือดร้อน นน่ั หมายความว่า การ
ทากิจกรรมของมนุษย์ต้องสอดคล้องกับกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ ต้องบูรณาการท้ัง
เศรษฐกิจและธรรมชาติเข้าด้วยกัน เพื่อจะพิทักษ์รักษาทรัพยากรธรรมชาติ และ
กาจดั ความยากจนออกไป ดังนน้ั การพฒั นาทีย่ ่ังยืนจงึ มแี นวทางสรปุ ได้ ดงั นี้
๑. ต้องมีการวางนโยบายประชากรให้เหมาะสม เช่น ควบคุมจานวน
ประชากรด้วยการวางแผนครอบครัว ในการแก้ปัญหาประชากรท่ีสาคญั อย่างหนึ่ง
คือการแก้ปัญหาทางการศึกษา เพราะจะครอบคลุมไปถึงการแก้ปัญหาด้านอ่ืนๆ
ท้งั หมด ทงั้ ปญั หาความยากจน สาธารณสุข ตลอดจนการอนรุ ักษ์ธรรมชาติ
๒. ต้องอนุรักษ์หรือสงวนทรัพยากร ส่ิงแวดล้อม ใช้ทรัพยากรอย่าง
ประหยัดและอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งสามารถดาเนินการได้หลายวิธี เช่น การ
ประกาศพ้ืนท่ีเป็นป่าสงวน วนอุทยาน อุทยานแห่งชาติ เขตอนุรักษ์พันธุ์สัตว์ป่า

๔๐ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต), การพัฒนาท่ียั่งยืน ,พิมพ์คร้ังที่ ๑๒,
( กรงุ เทพมหานคร: มูลนิธโิ กมลคมี ทอง),๒๕๕๒.

หนา้ ๒๖

บทที่ ๑ “แนวคิดเก่ยี วกับการพฒั นาทีย่ ั่งยืน”

การฟื้นฟูแหล่งธรรมชาติที่เส่ือมโทรม การรักษาดิน น้าและอากาศให้ปลอด
สารเคมีและมลภาวะ

๓. การผลิตเทคโนโลยีกาจัดน้าเสีย ตลอดจนการปรับเปล่ียนการใช้
ชีวิตไม่สรุ ่ยุ สรุ ่าย ประหยัดพลงั งาน

การพัฒนาที่ย่ังยืนจะสาเร็จได้จะต้องพัฒนาคนให้มีจริยธรรม พระ
พรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต) ๔๑ ได้สรุปให้เห็นว่า ปัญหาในการพัฒนาท่ียั่งยืนท่ี
ไม่ประสบความสาเร็จน้ัน เกิดจากกิเลส ๓ อย่าง ที่ขัดขวางจริยธรรม คือ ตัณหา
มานะ และทิฐิ เราจึงต้องพัฒนาคนและเศรษฐกิจให้คู่ขนานไปกับการพัฒนา
จริยธรรม ดังน้นั ระบบการพัฒนาทย่ี ่งั ยืน จงึ ข้นึ กบั ๔ ปัจจัย ไดแ้ ก่

๑. มนุษย์: ต้องพัฒนาคนให้มีคุณภาพ มีสุขภาพดี ขยัน อดทน
รับผิดชอบ มีฝีมือ มีความรู้ความสามารถ ความเช่ียวชาญ พร้อมที่จะเป็นกาลัง
สาคัญในระบบเศรษฐกิจและสังคมที่จัดสรรให้เกื้อหนุน และนาไปสู่การพัฒนาท่ี
ยัง่ ยืนโดยให้การศกึ ษาและจดั สรรปัจจัยเกื้อหนนุ

๒. สังคม: จัดระบบสังคม ทั้งด้านเศรษฐกิจ การเมือง การบริหาร
ตลอดจนกิจการต่างๆ ให้ผสมกลมกลืนสอดคล้องเป็นอันหน่ึงอันเดียวกันบน
พ้ืนฐานแห่งความรู้ความเป็นจริง สร้างบรรยากาศแห่งความไม่เบียนเบียน
บรรยากาศแห่งความช่วยเหลือเกื้อกูล พิทักษ์ปกป้องคนท่ีอยู่ในสถานะต่างๆ ซึ่งมี
โอกาสและมีความสามารถต่างกัน

๓. ธรรมชาติ: วิถีการพัฒนาต้องยึดหลักให้มนุษย์เป็นส่วนหน่ึงของ
ธรรมชาตแิ ละดารงชวี ติ ใหส้ อดคล้องและกลมกลนื กับธรรมชาติ

๔. เทคโนโลยี: การพัฒนาเทคโนโลยี การใช้เทคโนโลยีที่เก้ือกูล ไม่
ทาลายธรรมชาติ นาของเสียมาผลิตเวียนใช้ประโยชน์ใหม่ สังคมไทยต้องพัฒนา
เทคโนโลยีควบคู่ไปกับการพัฒนาตนเอง ต้องใช้เทคโนโลยีเป็นส่วนประดิษฐ์

๔๑ เร่อื งเดียวกัน

หนา้ ๒๗

บทท่ี ๑ “แนวคิดเก่ียวกับการพฒั นาท่ยี งั่ ยนื ”

เสกสรรของมนุษย์อยา่ งไม่ประมาทและเพอ่ื เกอ้ื หนนุ ให้ตนเองมีชวี ิตดีงาม สมบรู ณ์
มีอิสรภาพและสันติสุข แนวคิดและองค์ประกอบการพัฒนาที่ย่ังยืนข้างต้น
สอดคล้องกับ

แนวคิดของสานกั งานคณะกรรมการพฒั นาการเศรษฐกิจและสงั คม
แหง่ ชาติ ๔๒ ซึง่ สรุปว่า

๑ . เป็ น ก ารพั ฒ น าที่ ด า เนิ น ไป โด ย ค านึ งถึ งขี ด จ ากั ด ข อ ง
ทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อม และสนองความต้องการในปัจจุบันโดยไม่
สง่ ผลเสยี ต่อความต้องการในอนาคต

๒. เป็นการพัฒนาที่คานึงถึงความเป็น “องค์รวม” คือมองว่าการจะ
ทาสิ่งใดต้องคานึงถึงผลกระทบท่ีจะเกิดกับส่ิงอื่นๆ ดังนั้น การพัฒนาแนวน้ี จึงยึด
หลกั ความรอบคอบ และคอ่ ยเป็นคอ่ ยไป

๓. การพัฒนาอย่างย่ังยืนไม่ได้ระบุว่าต้องปฏิเสธ “ระบบเทคโนโลยี”
เพียงแต่ต้องคานึงว่าเทคโนโลยีทนี่ ามาใช้นน้ั เปน็ ไปในทางสร้างสรรคห์ รอื ทาลาย

วรัญญู เวียงอาพล๔๓ กล่าวไวว้ ่า การพฒั นาแบบยั่งยนื ต้องเป็นการ
สร้างสรรค์ให้ชีวิตและสังคมดีข้ึน โดยต้องมีการพัฒนา ๔ องค์ประกอบ คือ
ธรรมชาติ/ส่งิ แวดล้อม สงั คม จิตใจ/ มนุษย์ และเศรษฐกจิ ดังนี้

๔๒ สานักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ, โครงการ
พัฒนาดัชนีช้ีวัดการพัฒนาท่ีย่ังยืนของประเทศไทย รายงานการศึกษาฉบับสมบูรณ์,
กรุงเทพมหานคร: สานักงาน คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ,๒๕๔๗,
หนา้ ๒-๗.

๔๓ วรัญญู เวียงอาพล, การจัดการการท่องเท่ียวแบบยั่งยืนในประเทศไทย,
กรงุ เทพมหานคร: สานักพัฒนาบณั ฑิตศึกษา สถาบนั บัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร)์ ,๒๕๔๖, หน้า
๒๙-๓๐.

หนา้ ๒๘

บทท่ี ๑ “แนวคิดเก่ียวกับการพัฒนาทีย่ ั่งยนื ”

๑. ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม คือ ยังคงสิ่งแวดล้อมและธรรมชาติให้
เหมือนเดิมท่ีสุด ไม่ควรให้ธรรมชาติเปล่ียนแปลงไปมากนัก หรือถ้าจาเป็นต้องมี
การเปลี่ยนแปลงต้องชดเชยหรือ ทดแทนธรรมชาติที่เสียไป มนุษย์ต้องไม่
ก่อให้เกิดมลภาวะสู่สิ่งแวดล้อม การแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมจะต้องได้รับความ
ร่วมมือจากทุกฝ่ายท่ีเก่ียวข้องทั้งภาครัฐบาล เอกชน และประชาชน จะต้องได้รับ
ความสนใจทง้ั ในระดับนโยบาย ระดบั การวางแผน และระดับปฏิบัติ

๒. สังคมคือ ประชาชนมีคุณภาพดี กินดีอยู่ดี สังคมปลอดภัยสงบสุข
เป็นสังคมท่ีช่วยเหลือเกื้อกูลซ่ึงกันและกัน ยังคงมีวัฒนธรรมเอกลักษณ์ของแต่ละ
ทอ้ งถ่ิน

๓. จิตใจและมนุษย์ ต้องมีการพัฒนาทั้งด้านร่างกายและจิตใจให้
เข้มแขง็ และสมบรู ณ์อยู่เสมอ โดยเฉพาะในเร่ืองของจติ ใจ

๔. เศรษฐกิจ ต้องมกี ารหมุนเวียนของรายได้ มีมาตรฐานการครองชีพ
สูงข้ึน มีการผลิตท่ีเหมาะสมกับทรัพยากรและความต้องการของผู้บริโภค โดยที่
การผลิตต้องไม่ก่อให้เกิดมลภาวะมีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์
แบบใหม่ท่ีสอดคล้องกับการอนุรักษ์ธรรมชาติและส่ิงแวดล้อม มีการคมนาคมท่ี
สะดวกรวดเร็วประหยัด และปลอดภัยให้แก่ชุมชนรวมทั้งเป็นยุคของข้อมูล
ขา่ วสาร

สมพร แสงชัย๔๔ อธบิ ายการพัฒนาท่ยี ั่งยนื ไว้ดงั นี้
๑. ระบบการพัฒนามนุษย์ เป็นปัจจัยท่ีสาคัญท่ีสุดของการพัฒนา
หากต้องการจะแก้ไขปัญหาการพัฒนาอย่างแท้จริงและนาเอามนุษย์ท่ีพัฒนาแล้ว

๔๔สมพร แสงชัย,ส่ิงแวดลอ้ ม: อุดมการณ์ การเมอื งและการพฒั นาทีย่ ่งั ยนื ,
( กรงุ เทพมหานคร: สานักพัฒนาบณั ฑติ ศึกษา สถาบันบณั ฑติ พฒั นบริหารศาสตร)์ ,๒๕๕๐.

หน้า ๒๙

บทท่ี ๑ “แนวคดิ เกย่ี วกับการพฒั นาทย่ี ่ังยนื ”

มาเป็นแกนกลางของการพัฒนามนุษย์ จึงจะเข้าถึงความเป็นมนุษย์ท่ีสมบูรณ์และ
มีชีวิตท่ีดีงาม และช่วยให้บรรลุเป้าหมายของการพัฒนาที่ย่ังยืนได้ การพัฒนา
มนุษยม์ ี ๓ ระดบั คอื

๑.๑ ระดับพฤติกรรม โดยการสร้างพฤติกรรมเคยชินท่ีดี พฤติกรรม
เคยชินอิทธิพลต่อจิตใจและปัญญา หากพฤติกรรมเคยชินเก้ือกูลต่อส่ิงแวดล้อม
และสังคมเกิดข้ึน จนกลายเป็นวัฒนธรรมและวินัย การบังคับควบคุมหรือการใช้
อานาจก็ไมจ่ าเปน็ ตอ้ งเกดิ ขึ้น

๑.๒ ระดับจิตใจ ซ่ึงเป็นตัวกาหนดพฤติกรรมและปัญญา จิตใจ
ประสานกับพฤติกรรมและทาให้พฤติกรรมยั่งยืนด้วยการสร้างความรู้สึกที่ดีต่อ
ธรรมชาตแิ ละส่ิงแวดล้อม ความรจู้ ักสนั โดษอย่างฉลาดและมีจุดหมาย การมีสติไม่
ปล่อยตัวและใจให้ตัวเองขึ้นต่อวัตถุและสิ่งบริโภคมากเกินไป การมีอุดมคติและ
ปณิธานในหน้าที่การงาน และการบรรลุจุดหมายแห่งชีวิต และการมีทางจิตท่ีคิด
ให้

๑.๓ ระดับปัญญาซึ่งเปน็ ตัวแก้ปัญหา และจัดปรับพฤตกิ รรมและจิตใจ
ให้ลงตัวพอดี เพราะปัญญามองเห็นระบบปัจจัยสัมพันธ์ แห่งสรรพส่ิงชักนาให้คิด
และพิจารณาถึงเหตุปัจจัย ทาให้เกิดความพอดี เพราะบริโภคด้วยปัญญา
ตรวจสอบพฤติกรรมโดยไม่ประมาท และขจัดความเชื่อถือ ค่านิยม และแนวคิดท่ี
ผดิ ๆ พรอ้ มทั้งส่งเสริมส่งิ ทด่ี ีงามเขา้ มาแทนท่ี

๒. ระบบการพัฒนาท่ีย่ังยืน นอกจากต้องมีมนุษย์ท่ีพัฒนาแล้วเป็น
แกนกลางของการพัฒนาในฐานะทรัพยากรมนุษย์แล้วยังต้องมีสังคมท่ีเกิดจาก
เจตจานงค์ของมนุษย์ และเป็นประโยชน์ต่อมนุษย์ สังคมต้องเกื้อกูลต่อธรรมชาติ
ไม่เบียดเบียนมนุษย์ แต่ส่งเสริมมนุษย์และธรรมชาติ สร้างความสมดุลแห่งการ
พฒั นาทางเศรษฐกิจด้วยมชั ฌิมาปฏิปทาท่ีเน้นคณุ ภาพมากกว่าปริมาณ ช่วยเหลือ
ผู้อื่นและสิ่งที่มีชีวิตกับระบบนิเวศลดความต้องการทางวัตถุลง บริโภคเพ่ือคุณค่า
แทจ้ รงิ ของชีวติ ทางานเพื่อพฒั นาศกั ยภาพของมนุษย์ลดการแข่งขนั และเพ่ิมความ

หนา้ ๓๐

บทท่ี ๑ “แนวคดิ เก่ยี วกบั การพัฒนาท่ียงั่ ยืน”

ร่วมมือเพื่อคุณภาพชีวิต และสร้างระบบเศรษฐกิจที่รู้จักประมาณพอดี ส่วน
เทคโนโลยีซ่ึงเป็นเคร่อื งมือในการพฒั นาคุณภาพชีวิตต้องถกู ใช้อย่างมีสติ และเป็น
คุณอย่างแท้จริง รู้จักประมาณและมีสัมมาทิฏฐิ รู้จักพัฒนาและควบคุมตนเอง
และเน้นการพัฒนาคุณภาพของคนและให้คนเข้าถึงธรรมชาติการศึกษาต้องเน้น
การพัฒนามนุษย์โดยบูรณาการจริยธรรมเข้ากับวิชาการและวิทยาการท้ังหมด
และการเมืองตอ้ งมาจากประชาชนและเปน็ ธรรมาธปิ ไตย

๓. ระบบธรรมชาติ จะถูกอนุรักษ์ได้ ถ้ามนุษย์มีทัศนคติที่ดีต่อ
ธรรมชาติและเห็นว่าตนเองเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ เพราะมนุษย์ทุกคนอยู่
ภายใต้กฎธรรมชาติ มนุษยไ์ มค่ วรแปลกแยกจากธรรมชาติและมนุษย์ควรทาความ
ดคี ืนใหแ้ ก่ธรรมชาตดิ ว้ ย

กล่าวโดยสรุป การพัฒนาท่ีย่ังยืน ประกอบไปด้วยองค์ประกอบต่างๆ
ดงั นี้

๑. เศรษฐกิจ เป็นการพัฒนาท่ีตอบสนองความต้องการของคนทั้งใน
ยุคปัจจุบัน และยุคตอ่ ๆ ไป อยา่ งเท่าเทียมกันโดยไม่ส่งผลเสียต่อความต้องการใน
อนาคต มีการผลิตที่เหมาะสมกับทรัพยากรและความต้องการของผู้บริโภค โดยที่
การผลิตต้องไม่ก่อให้เกิดมลภาวะ รวมถึงเป็นการพัฒนาเศรษฐกิจให้เจริญเติบโต
อย่างมีคุณภาพ มีมาตรฐานการครองชีพสูงข้ึน และมีการกระจายรายได้ให้เอ้ือ
ประโยชนต์ อ่ คนสว่ นใหญ่ในสังคม โดยเฉพาะคนท่มี รี ายไดต้ า่

๒. สังคม เป็นการพัฒนาสังคมท่ีย่ังยืน พัฒนาคนให้มีความรู้ มี
สมรรถนะและมีผลิตภาพสูงขึ้น ส่งเสริมให้เกิดสังคมที่มีคุณภาพ เป็นสังคมแห่ง
การเรียนรู้ รวมถึงการจัดระบบสังคม ตลอดจนกิจการต่าง ๆ ให้ผสมกลมกลืน
สอดคล้องเป็นอันหน่ึงอันเดียวกันบนพื้นฐานแห่งความรู้ความเป็นจริง สร้าง
บรรยากาศแห่งความไม่เบียนเบียน บรรยากาศแห่งความช่วยเหลือเกื้อกูล พิทักษ์
ปกป้องคนท่ีอยู่ในสถานะต่าง ๆ ซึ่งมีโอกาสและมีความสามารถต่างกัน คนใน

หน้า ๓๑

บทท่ี ๑ “แนวคดิ เกี่ยวกับการพัฒนาท่ยี ่งั ยืน”

สังคมมีคุณภาพดี กินดีอยู่ดี เป็นสังคมปลอดภัยสงบสุข และมีวัฒนธรรม
เอกลักษณข์ องแตล่ ะท้องถนิ่

๓. ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นการพัฒนาส่ิงแวดล้อมท่ียั่งยืน คือ
ก า ร พั ฒ น า ที่ ด า เนิ น ไป โด ย ค า นึ ง ถึ งขี ด จ า กั ด ข อ ง ท รั พ ย า ก ร ธ ร ร ม ช าติ แ ล ะ
สง่ิ แวดล้อม และสนองความตอ้ งการในปัจจบุ ันโดยไม่ส่งผลเสียต่อความต้องการใน
อนาคต คงสิ่งแวดล้อมและธรรมชาติให้เหมือนเดิมที่สุด ไม่ควรให้ธรรมชาติ
เปลี่ยนแปลงไปมากนัก หรือถ้าจาเป็นต้องมีการเปล่ียนแปลง ต้องชดเชยหรือ
ทดแทนธรรมชาติที่เสียไป ต้องอนุรักษ์หรือสงวนทรัพยากร สิ่งแวดล้อม ใช้
ท รัพ ย าก รอ ย่ า งป ระ ห ยั ด แ ล ะ อ ย่ างมี ป ระ สิ ท ธิ ภ าพ ซ่ึ งเป็ น ก าร ใช้
ทรัพยากรธรรมชาติในปริมาณท่ีระบบนิเวศสามารถฟื้นตัวกลับสู่สภาพเดิมได้ โดย
ให้สามารถผลิตมาทดแทนทรัพยากร ประเภทที่ใช้แล้วหมดไปได้ วิถีการพัฒนา
ต้องยึดหลักให้มนุษย์เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติและดารงชีวิตให้สอดคล้องและ
กลมกลืนกับธรรมชาติ มนุษย์ต้องไม่ก่อให้เกิดมลภาวะสู่ส่ิงแวดล้อม การแก้ไข
ปัญหาส่ิงแวดล้อมจะต้องได้รับความร่วมมือจากทุกฝ่ายที่เก่ียวข้องทั้งภาครัฐบาล
เอกชน และประชาชน จะต้องได้รับความสนใจท้ังในระดับนโยบาย ระดับการ
วางแผน และระดบั ปฏิบัติ

๔. มนุษย์ เป็นการพัฒนามนุษย์ซึ่งเป็นปัจจัยท่ีสาคัญที่สุดของการ
พฒั นา ต้องมีการพัฒนามนุษย์ท้ังดา้ นร่างกายและจิตใจให้เขม้ แข็งและสมบูรณ์อยู่
เสมอ ให้มีคุณภาพ มีสุขภาพดี ขยัน อดทน รับผิดชอบ มีสติไม่ปล่อยตัวและใจให้
ขึ้นต่อวัตถุและสง่ิ บรโิ ภคมากเกินไป มีฝมี ือ มีความรูค้ วามสามารถ ความเชี่ยวชาญ
พร้อมที่จะเป็นกาลังสาคัญในระบบเศรษฐกิจและสังคมที่จัดสรรให้เก้ือหนุน และ
นาไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน โดยให้การศึกษาและจัดสรรปัจจัยเก้ือหนุน การสร้าง
พฤตกิ รรมเคยชินทด่ี ี หากพฤติกรรมเคยชินเกอื้ กูลต่อส่ิงแวดล้อมและสังคมเกิดข้ึน
จนกลายเป็นวัฒนธรรมและวินัย การบังคับควบคุมหรือการใช้อานาจก็ไม่
จาเปน็ ตอ้ งเกิดข้นึ

หน้า ๓๒

บทท่ี ๑ “แนวคิดเก่ยี วกับการพฒั นาท่ยี ่ังยนื ”

๕. เทคโนโลยี เป็นการพัฒนาเทคโนโลยี โดยใชเ้ ทคโนโลยีท่ีเกื้อกูล ไม่
ทาลายธรรมชาติ มีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์แบบใหม่ที่
สอดคล้องกับการอนุรักษ์ธรรมชาติและส่ิงแวดล้อม ต้องคานึงว่าเทคโนโลยีท่ี
นามาใช้นั้น เป็นไปในทางสรา้ งสรรค์หรือทาลาย ใช้เทคโนโลยีอย่างมีสติ และเป็น
คุณอย่างแท้จริง รู้จักประมาณและมีสัมมาทิฏฐิ รู้จักพัฒนาและควบคุมตนเอง
ต้องพัฒนาเทคโนโลยีควบคู่ไปกับการพัฒนาตนเอง เพื่อเก้ือหนุนให้ตนเองมีชีวิตดี
งาม สมบรู ณ์ และสนั ติสุข

๑.๗ เปา้ หมายของการพฒั นาท่ยี ่ังยืน

เป้าหมายของการพฒั นาทยี่ ัง่ ยืนมีขอบข่ายและเนือ้ หาท่ีกว้างขวางมาก
มี ๒ ประการ คือ

๑. ความสมดุล (Equilibrium) นั่นคือ การพัฒ นาท่ีสอดคล้อง
กว้างขวางและเช่ือมประสานกันอย่างมีดุลยภาพทั้งด้านสังคม เศรษฐกิจ และ
ส่งิ แวดลอ้ ม ทั้งในลักษณะสดั ส่วนปรมิ าณ และการกระจาย

๒. ความเท่าเทียมกัน (Equation) คือ ผลท่ีได้จากการพัฒนาจะต้อง
กระจายไปอย่างเท่าเทียมกันในทุกมิติของพ้ืนท่ี และช่วงเวลา ท้ังมนุษย์และ
ส่ิงแวดลอ้ ม๔๕

สรุปได้ว่า การพัฒนาที่ย่ังยืน (Sustainable Development) มีส่วน
เก่ียวข้องกับส่วนต่างๆ หลายส่วนด้วยกัน คือ ท้ังเศรษฐกิจ สังคม การเมือง การ
พัฒนา และส่ิงแวดล้อม อันได้แก่มนุษย์ และสภาพแวดล้อมของมนุษย์ในการ
พัฒนาท่ีจะก่อให้เกิดความย่ังยืนน้ัน จะพัฒนาส่วนใดส่วนหน่ึงด้านเดียวไม่ได้ ทา
ใหต้ ้องเปลย่ี นแปลงรูปแบบการพัฒนา การใชป้ ระโยชน์ของทรัพยากร ทิศทางการ

๔๕ สามชาย ศรีสันค์, สังคมวิทยากับการพัฒนา, (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๓๙), หน้า ๕-๑๘,ดลพัฒน์ ยศธร, “การนาเสนอรูปแบบ
การศึกษาเพื่อการพัฒนาท่ียั่งยืนแนวพุทธศาสตร์”, วิทยานิพนธ์ครุศาสตรดุษฎีบัณฑิต,
(บณั ฑิตวิทยาลัย จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั ,๒๕๔๒), หน้า ๕๒.

หนา้ ๓๓

บทท่ี ๑ “แนวคดิ เกย่ี วกบั การพัฒนาที่ยงั่ ยืน”

ลงทุน ทิศทางพัฒนาเทคโนโลยี และการเปล่ียนแปลงสถาบันใหม่ ตามเป้าหมาย
หลักคือมคี วามสมดุลและความเท่าเทียมกัน เพื่อส่งเสริมให้เกิดความยั่งยนื และทา
ให้คนท้ังในรุ่นปัจจุบันและอนาคตได้บรรลุความต้องการและตามความปรารถนา
ของเขาได้ ซ่ึงเป็นเร่ืองของความร่วมมือและความรับผิดชอบร่วมกัน ตั้งแต่ใน
ระดบั ประเทศจนถงึ ระดับโลก

สรุปท้ายบท
การพัฒนาที่ย่ังยืน หมายถึง การพัฒนาที่ดาเนินไปโดยคานึงถึง

ขดี จากดั ของทรพั ยากรธรรมชาติและส่งิ แวดลอ้ ม และการตอบสนองความต้องการ
ในปัจจุบันโดยไม่ส่งผลเสียต่อความต้องการในอนาคต เป็นดาเนินการบนพ้ืนฐาน
ของการพัฒนาอย่างองค์รวมให้มีความสมดุลอย่างรอบด้าน โดยคานึงถึง
ผลกระทบท่ีจะเกิดข้ึนกับส่ิงอ่ืนๆ ทุกมิติรอบด้าน โดย เปิดโอกาสให้ทุกฝ่ายท่ี
เกีย่ วขอ้ งได้มสี ่วนร่วมในการพฒั นา คานงึ ถงึ ความเปน็ องค์รวมในเชิงบูรณาการ

ปัญหาของการพัฒนาเกิดจากมนุษย์ ซ่ึงแนวทางในการแก้ปัญหา ควร
ปรับระบบการพัฒนาใหม่โดยพัฒนาสมรรถนะของประชาชนและสถาบันต่างๆ
ควบคู่กับระบบการพัฒนาคือ ท้ังเศรษฐกิจ สังคมการเมือง วิทยาศาสตร์และ
เทคโนโลยี สิ่งแวดล้อมและมุ่งเน้นโดยเฉพาะมิติทางวัฒนธรรม ให้ความสาคัญต่อ
มนุษยแ์ ละวัฒนธรรม มงุ่ ปรบั ระบบการพัฒนาคนและระบบการพัฒนาด้วยการให้
ความสาคัญกับมิติทางวัฒนธรรมเครื่องมือในการพัฒนาใช้วิทยาศาสตร์และ
เทคโนโลยีเป็นแกนหลักใช้วัฒนธรรม ศาสนา ประเพณี ค่านิยม และจริยธรรม
เสริมเป็นเครื่องมอื โดยผ่านกลไกทางการศกึ ษา

การพัฒนาท่ีย่ังยืนเป็นแนวคิดที่เกิดข้ึนเพ่ือแก้ปัญหาการพัฒนาท่ีผ่าน
มา ซึ่งมุ่งเน้นแต่การ พฒั นาเศรษฐกิจเป็นแกนหลกั จนส่งผลเสียหายต่อมนษุ ย์และ
สิ่งแวดล้อมของมนุษย์ ทั้งนี้เพราะความต้องการของมนุษย์และขีดจากัดของ
ทรัพยากรธรรมชาติเป็นประเด็นหลัก ทาให้มนุษย์ต้องร่วมกัน พิจารณาหาทาง
แก้ไข เพ่ือให้เกิดการพัฒนาท่ีจะนาไปสู่ความสมดุลและความเท่าเทียมกัน เพ่ือทา
ให้ทกุ คนได้อยูด่ ีกนิ ดี ทง้ั ในปจั จบุ นั และอนาคต

หนา้ ๓๔

บทท่ี ๑ “แนวคดิ เกยี่ วกบั การพัฒนาทย่ี ั่งยนื ”

การพัฒนาทย่ี ัง่ ยนื มีขอ้ ควรพิจารณา ๓ ประเดน็
๑. การพัฒนาท่ีย่ังยืนควรได้รับการพิสูจน์ว่าเป็นแนวคิด (Concept)
อยา่ งหนึ่งทเ่ี ปน็ ประโยชน์
๒. การพัฒนาท่ียั่งยืนก่อให้เกิดความจาเป็นท่ีต้องใช้สติปัญญามาก
พอๆ กับความจาเป็นท่ีต้องใช้ความเห็น (นโยบาย) ในทางการเมือง เพราะ
ความคิดเร่ืองความย่ังยืนสะท้อนถึงความกังวลในเร่ืองเงื่อนไข หรือความจากัดที่
เกยี่ วกบั มนุษย์ อันเนื่องมาจากการใชธ้ รรมชาตแิ ละสิ่งแวดล้อม ซึง่ นาไปสู่ความไม่
พอใจของบรรดามวลมนษุ ย์ทั้งหลาย
๓. ความย่ังยืนนี้เป็นความคิดเชิงนิเวศวิทยาร่วมกับนัยทางเศรษฐกิจ
น่ันคือความเจริญ เติบโตและการกินดีอยู่ดีของมนุษย์ข้ึนอยู่กับพื้นฐาน
ทรัพยากรธรรมชาติ ซ่ึงเป็นสิ่งส่งเสริมสนับสนุนระบบการดารงชีวิตของมนุษย์
และสังคมที่ยั่งยืน (Sustainable Society)ก็จะเป็นส่วนหนึ่งที่กาหนดระบบ
เศรษฐกิจและระบบสังคมท่ีซึ่งทาให้ทรัพยากรธรรมชาติและระบบการส่งเสริม
สนบั สนุนชวี ิตไดร้ บั การดูแลธารงรกั ษาไว้
การพัฒนาท่ียั่งยืนจะเกี่ยวข้องกับหลายมิติ คือท้ังมนุษย์และกิจกรรม
ต่างๆของมนุษย์ทั้ง ด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคม ส่ิงแวดล้อม ฯลฯ แนวคิดการ
พฒั นาท่ียั่งยืนขององค์การศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมของสหประชาชาติ
จึงได้ผนวกวัฒนธรรมเข้ากับเรื่องหลักๆในการพัฒนา เช่น การศึกษา การส่ือสาร
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สุขภาพ อุตสาหกรรม การขนส่ง แรงงาน และ
สิ่งแวดล้อม ซึ่งมีกระบวนการพัฒนาสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และการเมือง ท่ีอิง
วัฒนธรรมในลักษณะที่เป็นองค์รวม เป็นการบูรณาการ และด้วยความสมดุลท้ัง
ระหว่างการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม พร้อมทั้งการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ และการ
พฒั นา เพอ่ื ใหบ้ รรลุผลตามความต้องการของมนุษย์ และเพือ่ ส่งเสรมิ คุณภาพชีวิต
ทง้ั คนร่นุ ปัจจุบันและอนาคต


รายละเอยี ดแบบยอ่ (พระพุทธศาสนากับการพัฒนาที่ย่งั ยนื )

พระพุทธศาสนากับการการพัฒนาท่ีย่ังยืน (Buddhism and sustainable
Development) เป็นหนังสือที่กล่าวถึงแนวคิดการพัฒนาที่ยั่งยืนตามแนวพุทธ โดยได้
นาเสนอแนวคิดการพัฒนาในสังคมยุคปัจจุบันที่มุ่งเน้นการพัฒนาโลกตามแนวคิดของฝ่าย
ตะวันตก ซ่ึงมีความเจริญด้านเทคโนโลยีและวัตถุเพียงด้านเดียว ในขณะเดียวกันก็ได้
ทาลายโลกไปด้วยอีกทางหนึ่ง ซ่ึงเน้นแต่พัฒนาด้านเศรษฐกิจเป็นสาคญั แต่ขาดการพัฒนา
ด้านวัฒนธรรมควบคู่กันไป จึงเป็นการพัฒนาที่ไม่ยั่งยืน และประเทศไทยก็ได้นาแนว
ทางการพัฒนามาจากประเทศที่เจริญแล้วมาใช้ จึงทาให้ประเทศมีความเจริญเพียงด้าน
เทคโนโลยีและวัตถุมากขึ้น แต่ขาดการพัฒนาทางด้านจิตใจอันเป็นส่วนสาคัญ จึงทาให้
สังคมก่อเกิดปัญหาอย่างมากมาย เพราะสังคมจะมีความเสื่อมทางศีลธรรมและวัฒนธรรม
ประเพณีอันดีงามมาแต่ด้ังเดิม แต่ในขณะเดียวกันได้นาเสนอบทบาทพระพุทธศาสนาที่มี
ส่วนสาคัญในการเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาอย่างยั่งยืนตามแนวพุทธเพื่อแก้ปัญหา
สังคมในปจั จุบัน โดยระบุเนือ้ หาไวด้ ังน้ี

บทที่ ๑ เก่ียวกับแนวคิดทฤษฎีเกี่ยวกับพัฒนาที่ยั่งยืน หลักการ องค์ประกอบ
เป้าหมายของการพัฒนา ในบทที่ ๒ กลา่ วถึงการพัฒนาทย่ี ั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ
ความหมาย ยุทธศาสตร์ และตัวชี้วัดการพัฒนาท่ียัง่ ยืนขององค์การสหประชาชาติ ในบท
ท่ี ๓ กล่าวถึงการพัฒนาท่ีย่ังยืนตามแนวพุทธของพระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยตุ ฺโต) ในบทท่ี ๔
กล่าวถึงแนวคิดปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของการพัฒนาที่ยั่งยืนของปรัชญาเศรษฐกิจ
พอเพียงตามพระบรมราโชวาท ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
(รัชกาลที่ ๙) ในบทที่ ๕ กล่าวถึงหลักพุทธธรรมท่ีสาคัญในการพัฒนาที่ยั่งยืน เช่น หลัก
มัชฌิมาปฏิปทา หลักโยนิโสมนสิการ หลักอิทธิบาท หลักสังคหวัตถุ หลักฆราวาสธรรม
หลักไตรสิกขา หลักมตั ตญั ญุตา หลกั อรยิ สัจจ์ หลักปฏจิ จสมปุ บาท และหลกั ไตรลกั ษณ์ ใน
บทท่ี ๖ กล่าวถึงปัญหาอุปสรรคและแนวทางการพัฒนาที่ย่ังยืนตามแนวพุทธ แนว
ทางการพัฒนาท่ีย่ังยืนตามแนวพุทธของพระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต) การบูรณาการหลัก
พทุ ธธรรมเพื่อการพัฒนาท่ยี งั่ ยนื และในบทที่ ๗ กลา่ วถึงแนวคิดเพ่อื การศึกษาในการ



พัฒนาทย่ี ั่งยนื ตามแนวพทุ ธศาสนา กระบวนการจัดการศกึ ษา การพัฒนารูปแบบการศึกษา
เพื่อการพฒั นาทีย่ ั่งยนื ตามแนวพุทธ

พระพทุ ธศาสนากบั การพัฒนาท่ยี ่ังยืน หมายถงึ การพัฒนาที่ย่งั ยืนตามแนวพทุ ธ
โดยกาหนดเป้าหมายสาคัญคือปัจจัยท้ัง ๔ อย่าง คือ มนุษย์ สังคม ธรรมชาติ และ
เทคโนโลยี ใหม้ คี วามสมั พันธใ์ นการพัฒนาควบคูก่ ันไปอย่างลงตัว เมื่อมนุษย์รูจ้ ักใช้ความรู้
ที่ถูกต้อง มนุษย์ก็จะเข้าใจถึงความจริงของธรรมชาติ มีความพร้อมในการพัฒนาอย่าง
สมบรู ณ์ โดยใชค้ วามรู้ความสามารถเพื่อพฒั นาสังคมใหด้ ีขึ้นเจริญขนึ้ ตามแนวพทุ ธศาสนา
อย่างย่งั ยนื ได้

บทท่ี ๒
การพฒั นาท่ยี ัง่ ยนื ขององคก์ ารสหประชาชาติ

พระมหาสุพร รกขฺ ติ ธมฺโม,ดร.

๒.๑ ความนา

ในการพัฒนาประเทศ โดยอาศัยการพัฒนาเศรษฐกิจเป็นแกนหลักนั้น
มีจุดกาเนิดมาจากโลกตะวันตกแล้วเผยแพร่มาสู่โลกตะวันออก นับตั้งแต่หลัง
สงครามโลกครั้งที่ ๒ เป็นต้นมา โดยแนวคิดดังกลา่ วแม้ว่าจะก่อให้เกิดผลสาเร็จใน
ด้านต่างๆ แต่ขณะเดียวกันก็ก่อให้เกิดผลกระทบอันไม่พึงปรารถนา ท้ังทางด้าน
ชวี ิต ความเป็นอยู่ ขนบธรรมเนียม ประเพณี ค่านิยม ทรัพยากรธรรมชาติ รวมถึง
ปัญหาอื่นๆซึ่งมีผลต่อเนื่องทั้งทางบวกและทางลบ ผลกระทบและผลต่อเน่ืองทาง
ลบนั้น ปัจจุบันประเทศในโลกตะวันตกได้ตระหนักถึงปัญหาการพัฒนาประเทศ
ตามแนวคิดดังกล่าว ซึ่งได้ส่งผลทาให้เกิดความเสียหายต่อสภาวะแวดล้อม สังคม
และทรัพยากรของตนเองอย่างมากรวมทั้งส่งผลกระทบไปท่ัวโลกรวมทั้งประเทศ
ไทยดว้ ย

ดังนั้นเพื่อแก้ปัญหาต่าง ๆ อย่างเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะองค์การ
สหประชาชาติซ่ึงมีหน้าท่ีพัฒนาโลกโดยลักษณะโครงสร้างและภาพรวมของ
ประชากรโลกให้เกิดการใช้ชีวิตท่ีมีมาตรฐานความเป็นอยู่ที่ดี มีการบริโภคท่ีดีไม่
อดอยาก ยากไร้ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บบนความผาสุก และมีความรู้ท่ีดีสมควร
ตามแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม อันเป็นภารกิจหลักที่สาคัญ แต่
ผลกระทบของการพัฒนานั้น ทาให้เกิดปัญหาต่อธรรมชาติสิ่งแวดล้อมอย่างวิกฤติ
จนกระทั่งกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมท่ีพัฒนาแล้วเป็นผู้นา เรียกร้องให้เกิดความ
ตระหนักสานึกผิดต่อความเสียหายจากการพัฒนาที่ผ่านมา เพ่ือให้เกิดความ
ร่วมมือในการพัฒนาแบบใหม่ท่ีเรียกว่า การพัฒนาท่ีย่ังยืน (Sustainable
Development)

หน้า ๓๖

บทท่ี ๒ “การพัฒนาทีย่ ่ังยนื ขององคก์ ารสหประชาชาติ”

๒.๒ ความเปน็ มาของการพัฒนาท่ยี งั่ ยืนขององคก์ ารสหประชาชาติ

การพัฒ นาเศรษฐกิจโลกขององค์การสหประชาชาติเป็นผลสืบ
เนื่องมาจาก ตั้งแต่การเปล่ียนแปลงประวัติศาสตร์ท่ีเร่ิมต้นในช่วงปฏิวัติ
อุตสาหกรรม ในกลางศตวรรษท่ี ๑๘ ท่ีมีรากฐานของการใช้ทุนและเทคโนโลยี
สมัยใหม่เป็นแกนหลักในการผลิต๑การพัฒนาระบบเศรษฐกิจจงึ เป็นเปา้ หมายของ
การพัฒนาตามหลักการพัฒนาขององค์การสหประชาชาติท่ีโดดเด่นท่ีสุด โดยใช้
อุตสาหกรรมนาโลกให้เจริญก้าวหน้าจากการกระตุ้นหนุนเศรษฐกิจการเมืองสู่ยุ ค
การค้าเสรี๒ ซ่ึงตั้งอยู่บนพ้ืนฐานของระบบการผลิตขนาดใหญ่ การผลิตภายใต้
กรอบความคิดเรอื่ งวัฒนธรรมอุตสาหกรรมนิยม ซ่งึ มีเป้าหมายสร้างกาไรสูงสดุ ๓

ประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นประเทศท่ีร่ารวยเฟ่ืองฟูมากมีเศรษฐกิจเติบโต
อย่างรวดเร็วมากที่สุดในโลกหลังจากสงครามโลกคร้ังท่ี ๒ สิ้นสุดลง เกิดระบบ
อาณานิคมทางเศรษฐกิจขึ้นมาแทนระบบอาณานิคมทางการเมือง๔ ความเจริญ
พัฒนาของประเทศต่างๆ ในโลกขึ้นอยู่กับอุตสาหกรรม ตัวอย่างประเทศ
อุตสาหกรรมท่ีพัฒนาแล้วคือ สหรัฐอเมริกา และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศก็
จดั อยู่ในระบบการค้าท่ีมสี หรัฐอเมริกาเป็นผู้นาพาโลกก้าวเข้าสูก่ ารค้าเสรี๕ เริ่มที่
ข้อตกลงทั่วไปเก่ียวกับภาษีศุลกากร มีชื่อว่า GATT (General Agreement on
Tariffs and Trade) เมื่อวันท่ี ๓๐ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๙๐ (ค.ศ.1947) มีหลักการ

๑เส น่ ห์ จ าม ริก , ธ น าค ารโล ก พั ฒ น าก าร อิ ท ธิ พ ล แ ล ะผ ล ก ระท บ ,
(กรุงเทพมหานคร :สานักพิมพ์ บริษทั เอดิสันเพรสโพดกั ส์ จากดั , ๒๕๓๔), ความนา.

๒พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต), มองสันติภาพโลกผ่านภูมิหลังอารยธรรมโลกาภิ
วัตน์,(กรุงเทพมหานคร : สานักพมิ พ์ บรษิ ัท สหธรรมกิ จากดั , ๒๕๔๒), หน้า ๑๒๘.

๓พระธรรมปฎิ ก (ป.อ.ปยตุ ฺโต), ไอที ภายใตว้ ฒั นธรรมแหง่ ปัญญา ใน ศาสนากบั ยคุ
โลกาภวิ ตั น,์ (กรงุ เทพมหานคร : สานักพมิ พ์ สานกั งานเลขานุการ คณะกรรมการเทคโนโลยี
สารสนเทศแหง่ ชาต,ิ ๒๕๓๘), หนา้ ๔๓.

๔Economic colonialism replaced political colonialism, “Europe
International Relations.” Compton’s Interactive Encyclopedia, 1997.

๕พระธรรมปฎิ ก (ป.อ.ปยตุ โฺ ต), มองสนั ตภิ าพโลกผ่านภมู หิ ลงั อารยธรรมโลกา
ภิวตั น์, , ๒๕๔๒),หนา้ ๑๔๓.

หน้า ๓๗

บทที่ ๒ “การพฒั นาทีย่ ั่งยนื ขององคก์ ารสหประชาชาติ”

สาคัญท่ีจะรวมกลุ่มกันค้าขายกันในประเทศสมาชิกโดยได้รับสิทธิพิเศษท่ีจะได้รับ
การลดหรือตัดทอนภาษีศุลกากรและข้อจากัดอย่างอ่ืนๆ อันเป็นอุปสรรคเดิมๆ
ทางการค้า GATT ถือเป็นเคร่ืองมือที่สาคัญมากที่สุดในการทาให้เกิดการค้าเสรี
มากข้ึน โดยมีการประชุมร่วมกันเรื่อยมาตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๙๐ (ค.ศ.1947) ถึง พ.ศ.
๒๕๓๖ (ค.ศ.1993) จนถึงวันท่ี ๑๕ เมษายน พ.ศ. ๒๕๓๗(ค.ศ.1995) GATT
สลายตัวพร้อมกบั ปิดประชุมรอบสุดท้ายอันเป็นการกาเนิดใหมข่ ององค์การค้าโลก
หรือ WTO ควบคุมแผนทค่ี วบคุมการค้าของโลกถงึ รอ้ ยละ ๙๐ ของโลก

กลุ่มประเทศละตินอเมริกา ประกอบด้วยประเทศอาร์เยนตินา บราซิล
ซิลี เมกซิโก ปารากวัย เปรู และอุรุกวัย ได้จัดต้ังสมาคมการค้าเสรีละตินอเมริกา
LAFTA (Latin American Free Trade Association) เม่ือวันท่ี ๑๘ กุมภาพันธ์
พ.ศ.๒๕๐๓ (ค.ศ.1960) ต่อมา ๒๐ ปีได้ต้ังเป็นสมาคมประสานละตินอเมริกา ชื่อ
ว่า LAIA (Latin American Integration Association)

กลุ่ม Andean เป็นกลุ่มย่อยของ LAIA ต่อมาพ.ศ.๒๕๑๒ (ค.ศ.1969) ได้
กอ่ ต้ังข้ึนเป็นทางการแล้วไปจับกลุ่มกับประชาคมและตลาดร่วมคาริบเบียน ช่ือว่า
Caricom (Caribbean Community and Common Market) เม่ือ พ.ศ.๒๕๑๖
(ค.ศ.1973) รวมตวั กบั ประเทศในคาบสมทุ รคารบิ เบียน ๑๒ ประเทศ

ในระหว่างช่วงเวลาดังกล่าวนี้ มีระบบเศรษฐศาสตร์สีเขียว ปรัชญา
นิเวศวิทยาแนวลึก (Deep Ecology) ทุนนิยมสีเขียว (Green Capitalism) ไป
จนถึง สังคมนิยมแนวนิเวศ(Eco-Socialism) เกิดแทรกซ้อนขึ้นมาในโลกเป็น
โครงสร้างใหญ่ท่ีครอบรายละเอียดการจับกลุ่มตามข้ัวแห่งตลาดเขตการค้าเสรที ุน
นิยมท่ีกระจายอยู่ท่ัวโลก เศรษฐกิจสีเขียวเกิดขึ้นสนองกระแสโลกแห่งยุค
ส่งิ แวดล้อมนานาชาติ จากแนวความคิดการบริโภคนยิ มสู่การยอมจานนต่อปัญหา
ด้วยวิธีการประนีประนอมกับธรรมชาติแวดล้อม ตามหลักการเศรษฐกิจดีและ
ระบบนิเวศก็อยู่ได้ดีด้วย เป็นที่น่าแปลกประหลาดที่หลักการของทั้งสองระบบนี้
เปน็ ข้ัวตา่ ง ทฝ่ี า่ ยตะวันตกมองว่าเป็นฝ่ายตรงข้ามต่อกันตลอดเวลามาก่อน

ทวีปอเมริกาเหนือ มีสหรัฐอเมริการ่วมแคนาดา และแมกซิโก ก่อต้ังเขต
การค้าเสรีระหว่างกันขึ้นท้ังที่แมกซิโกก็อยู่ในกลุ่ม LAIA ด้วยโดยข้อตกลงการค้า
เสรีอเมริกาเหนือชี่อNAFTA (North American Free Tread Agreement) มี

หนา้ ๓๘

บทท่ี ๒ “การพฒั นาทีย่ ั่งยนื ขององคก์ ารสหประชาชาติ”

เขตพื้นที่กว้างกว่าตลาดร่วมยุโรปNAFTA จึงเป็นเขตการค้าท่ีใหญ่ท่ีสุดของโลก๖
และขณะนั้นประธานาธิบดีคลินตัน ได้อนุมัติNAFTA เมื่อวันท่ี ๑๗ พฤศจิกายน
พ.ศ.๒๕๓๖ (ค.ศ.1993) ดว้ ยการประกาศว่า “ขอ้ ตกลงนี้ทาใหส้ หรัฐอเมริกาเป็นผู้
ชนะในระบบเศรษฐกิจของโลก” ๗ เวลาผ่านไปสามวัน คลินตัน เป็นผูน้ าประเทศ
เจ้าภาพจัดการประชุมสุดยอด APEC ในวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ปีเดียวกันน้ัน
APEC (Asia-Pacific Economic Cooperation)ความร่วมมือท างเศรษ ฐกิ จ
เอเชีย-แปซิกฟิคเป็นกลุ่มความร่วมมือเขตการค้าเสรีที่ใหญ่ท่ีสุดของโลกอย่าง
แทจ้ รงิ นอกจากมีความรว่ มมอื ประสานประโยชน์ขา้ มทวปี เชน่ น้ี ยังรวมประเทศท่ี
ร่ารวยทางเศรษฐกิจอุตสาหกรรมอันดับ ๑และ ๒ เข้าด้วยกัน คือสหรัฐกับญี่ปุ่น๘
รวมทั้งคาดหมายให้ประเทศท่ัวไปเป็นประเทศอุตสาหกรรมขึ้นใหม่เรียกว่า “เสือ
เศรษฐกจิ ” ๙

ในยุโรป พ.ศ.๒๕๐๓ (ค.ศ.1960) ประเทศอังกฤษเริ่มเป็นผู้นาก่อตั้ง
ส ม า ค ม ก า ร ค้ า เส รี แ ห่ งยุ โร ป เรี ย ก ว่ า EFTA (European Free Trade
Association) ระบบเศรษฐกจิ ที่แอบแฝงการค้าขายท่ซี ับซอ้ นมีกลวิธีทางการเมือง
ผสมการทหารเข้ามาผสมผสาน ต่อมาจัดต้ังประชาคมเศรษฐกิจยุโรป เรียกง่ายๆ
ว่า “ ตลาดร่วม ” Common Market (European Economic Community)
หรือ EEC ต่อมาเป็น EC (European Community) เมื่อวันที่ ๑ พฤศจิกายน
พ.ศ.๒๕๓๖ (ค.ศ.1993) EC กลายเป็นหน่วยงานวางนโยบาย พร้อมกับได้ขยาย
นโยบายจัดตั้งเป็น สหภาพยุโรป EU (European Union) ในปีถัดมาวันท่ี ๑
มกราคม พ.ศ.๒๕๓๗ (ค.ศ.๑๙๙๔)ข้อตกลงท่ีสมาคมการค้าเสรียุโรป (EFTA)
และประชาคมยุโรป (EC) ร่วมกันมีมติเม่ือเดือนตุลาคม พ.ศ. ๒๕๓๔ (ค.ศ.1991)

๖พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตโฺ ต), มองสันติภาพโลกผา่ นภมู ิหลังอารยธรรมโลกา
ภิวตั น์,หน้า ๑๔๓.

๗ North American Free Tread Agreement, Microsoft

Encarta Encyclopedia, 1999.
๘Britannica Book of the year 1995.

๙พระธรรมปฎิ ก (ป.อ.ปยุตโฺ ต), มองสนั ตภิ าพโลกผ่านภมู หิ ลงั อารยธรรมโลกา
ภิวัตน์,หน้า ๑๔๘.


Click to View FlipBook Version