The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

รวมรายงานนักเรียนเล่ม 1

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Mookya, 2020-01-29 22:26:23

รายงานเชิงวิชาการ เล่ม 1

รวมรายงานนักเรียนเล่ม 1

เรอ่ื ง ประเพณลี อยกระทง

โดย
นายพพิ ัฒน์ ศิริวัฒน์ และคณะ

ช้นั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี ๕/๖

เสนอ
นางสาวธญั ญา ดาทอง

รายงานเลม่ นี้เปน็ ส่วนหนง่ึ ของรายวิชาภาษาไทย (ท ๓๒๑๐๒)
ภาคการเรยี นที่ ๒ ปีการศึกษา ๒๕๖๒

โรงเรยี นหนองกพ่ี ิทยาคม อาเภอหนองกี่ จงั หวัดบรุ รี ัมย์

เรื่อง ประเพณีลอยกระทง

โดย

นายพิพัฒน์ ศิริวฒั น์ เลขท๑่ี

นายทิรายุ วบิ รู ณ์สาร เลขท๓่ี

นายนิวัฒน์ ปนุ่ เเกว้ เลขท๕ี่

นางสาวกฤษณา อบอุน่ เลขท๑่ี ๑

นางสาวณฐั พร นามะสงค์ เลขท๑่ี ๗

นางสาวปลายฟ้า เก่งสนั เทยี ะ เลขท๑่ี ๘

นางสาวพรพิมล ก้างออนตา เลขท๑่ี ๙

นางสาวอภิสรา ยงุ่ ยง้ั เลขท๒่ี ๖

ชน้ั มธั ยมศึกษาปที ี่ ๕/๖

เสนอ
นางสาวธัญญา ดาทอง

รายงานเลม่ นเ้ี ปน็ ส่วนหน่ึงของรายวิชาภาษาไทย (ท ๓๒๑๐๒)
ภาคการเรยี นท่ี ๒ ปีการศกึ ษา ๒๕๖๒

โรงเรยี นหนองกีพ่ ทิ ยาคม อาเภอหนองก่ี จังหวัดบรุ รี ัมย์

คานา

รายงานเล่มนี้เป็นส่วนหน่ึงของรายวิชาภาษาไทย รหัสวิชา ท ๓๒๑๐๒ จัดทาขึ้นเพ่ือ
รวบรวมเนื้อหา เก่ียวกับเร่ือง ประเพณีสงกรานต์ เกี่ยวกับประวัติความเป็นมาตลอดถึงประเพณี
สงกรานต์ในแตล่ ะท้องถิ่น เพอ่ื ให้ผู้ทีส่ นใจในเนือ้ หาเรอื่ ง ประเพณสี งกรานต์ไดน้ าไปศกึ ษาค้นคว้า
เพ่ิมเติม

ขอขอบพระคุณคุณครูธัญญา ดาทองท่ีให้คาปรึกษาในการทารายงาน และเพ่ือน
ช้ันมธั ยมศกึ ษาปที ่ี ๕/๖ ทกุ คนใหค้ วามชว่ ยเหลอื และใหค้ าปรึกษา

หากผดิ พลาดประการใดตอ้ งขออภัยไว้ ณ ที่นด้ี ้วย

นายพพิ ฒั น์ ศิรวิ ฒั น์และคณะ
๑ มกราคม ๒๕๖๒

สารบญั หนา้

เรือ่ ง ๑
บทนา ๒-๕
ประวตั คิ วามเปน็ มาของประเพณีสงกรานต์ ๖
ตานานวนั สงกรานต์ ๗
กจิ กรรมในวันสงกรานต์ ๘
ความเชื่อเกย่ี วกับประเพณีสงกรานต์ ๙
บทสรปุ ๑๐
บรรณานุกรม ๑๑
ภาคผนวก
อภธิ านศพั ท์

บทนา

สงกรานต์ คือ ประเพณีของประเทศไทย ลาว กัมพูชา พม่าชนกลุ่มน้อยชาวไตแถบ
เวียดนาม และมณฑลยูนานของจีน รวมถึงศรีลังกา และประเทศทางตะวันออกของประเทศ
อินเดีย สันนิษฐานกันว่า ประเพณีสงกรานต์น้ันได้รับวัฒนธรรมมาจากเทศกาลโฮลีในอินเดียแต่
เทศกาลโฮลีจะใช้การสาดสีแทน โดยจะจัดให้มีข้ึนในทุกวันแรม ๑ ค่า เดือน ๔ ซึ่งก็คือเดือน
มนี าคม

สงกรานต์ หมายถึง การส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ เดิมทีวันที่จัดสงกรานต์น้ีนั้นจะมี
การคานวณทางดาราศาสตร์ แต่ในปัจจุบันได้มีการกาหนดวันที่แน่นอน คือ ตั้งแต่ ๑๓–๑๕
เมษายน แต่เดิม วันขึ้นปีใหม่ไทย คือ วันเริ่มปีปฏิทินของไทยจนถึง พ.ศ. ๒๔๓๑ และได้มี
การเปลี่ยนแปลงมาเปน็ วันที่ ๑ เมษายน เปน็ วนั ข้ึนปใี หมจ่ นถึง พ.ศ. ๒๔๘๓

ประวตั วิ นั สงกรานต์
เมื่อครั้งก่อน พิธีสงกรานต์ เป็นพิธีกรรมที่เกิดข้ึนภายในครอบครัว หรือชุมชนบ้านใกล้

เรือนเคียง แต่ในปัจจุบันได้มีการเปล่ียนแปลงให้พิธีสงกรานต์นั้นเป็นเทศกาลสงกรานต์ โดยได้
ขยายออกไปสู่คมเป็นวงกว้างมากขึ้น และมีแนวโน้มท่ีจะเปลี่ยนทัศคติ ตลอดจนความเช่ือไป
แต่เดิมในพิธีสงกรานต์จะใช้ น้า เป็นสัญลักษณ์ที่เป็นองค์ประกอบหลักของพิธี แก้กันกับ
ความหมายของฤดูร้อน ช่วงเวลาท่ีพระอาทิตย์เคลื่อนเข้าสู่ราศีเมษ ในวันน้ีจะใช้น้ารดให้แก่กัน
เพ่ือความชุ่มชื่น มีการขอพรจากผู้ใหญ่ มีการราลึกและกตัญญูต่อบรรพบุรุษที่ล่วงลับต่อมาใน
สังคมไทยสมัยใหม่เกิดเป็นประเพณีกลับบ้านในช่วงเทศกาลสงกรานต์ นับว่าวันสงกรานต์เป็น
วันครอบครัว อีกทั้งยังมีประเพณีที่สืบทอดมาตั้งแต่ด้ังเดิม อย่างการสรงน้าพระท่ีนามาซ่ึง
ความเปน็ สริ มิ งคล เพอื่ ให้เปน็ การเริม่ ตน้ ปีใหมท่ ีม่ คี วามสุข

ตานานวนั สงกรานต์
การกาเนิดวันสงกรานต์ มีเรื่องเล่าสืบต่อกันมาโดยใจความจารึกท่ีวัดพระเชตุพนวิมลมัง-

คลารามฯว่า เม่ือต้นภัทรกัลป์ มีเศรษฐีคนหนึ่งม่ังมีทรัพย์มาก แต่ไม่มีบุตร บ้านอยู่ใกล้กับนักเลง
สุรา ซ่ึงนักเลงสุรานนั้ มีบตุ ร ๒ คน ท่ผี วิ เนือ้ ดุจดัง่ ทอง วันหนึง่ นักเลงสุราเขา้ ไปในบ้านของเศรษฐี
ผู้น้ัน แล้วด่าด้วยถ้อยคาท่ีหยาบคายต่างๆ นานๆ เศรษฐีเม่ือได้ฟังแล้ว จึงถามว่า พวกเจ้ามาพูด
หยาบคายดูหมน่ิ เราผ้เู ปน็ เศรษฐีเพราะเหตใุ ดพวกนกั เลงสรุ าจึงตอบวา่ ท่านมีสมบัติมากมายแต่หา
มีบุตรไม่ เมื่อท่านตายไป สมบัติก็จะอันตรธานไปหมด หาประโยชน์อันใดมิได้ เพราะขาดทายาท
ผู้ปกครอง ข้าพเจ้ามีบุตรถึง ๒ คนอีกท้ังรูปร่างงดงามเสียด้วย ข้าพเจ้าจึงดีกว่าท่านเศรษฐีครั้นได้
ฟังก็เห็นจริงด้วย จึงเกิดความละอายต่อนักเลงสุรายิ่งนัก นึกใคร่อยากได้บุตรบ้าง จากน้ันได้ทา
การบวงสรวงพระอาทิตย์และพระจันทร์ ต้ังจิตอธิษฐานเพื่อขอให้มีบุตร เม่ืออยู่ถึง ๓ ปี ก็มิได้มี
บุตรตามท่ีปรารถนา เม่ือขอบุตรจากพระอาทิตย์และพระจันทร์มิได้ตามดังที่ปรารถนา อยู่มาวัน
หนึ่งเมื่อถึงฤดูคิมหันต์ จิตรมาส (เดือน ๕) โลกสมมติว่าเป็นวันมหาสงกรานต์ คือ พระอาทิตย์ยก
จากราศีมนี ประเวศสู่ราศเี มษ ผู้คนทั้งหลายต่างพากันเล่นนักขัตฤกษ์อันเป็นการรื่นเริงขึ้นปีใหม่ไป
ท่ัวท้ังชมพูทวีป ขณะน้ัน เศรษฐีจึงพาข้าทาสบริวารไปยังต้นไทรริมฝั่งแม่น้าอันเป็นท่ีอยู่แห่งปักษี
ชาติท้ังหลาย เอาข้าวสารซาวน้า ๗ ครั้งแล้วหุงบูชารุกขพระไทร พร้อมด้วยสูบพยัญชนะ
อันประณีต และประโคมด้วยดุริยางค์ดนตรีต่างๆ ต้ังจิตอธิษฐานขอบุตรจากรุกขพระไทร
รุกขพระไทรมีความกรุณา เหาะไปขอบุตรกับพระอินทร์ให้กับเศรษฐี ต่อมาพระอินทร์จึงให้ธรรม
บาลเทวะบุตรลงไปปฏิสนธิในครรภ์บิดามารดาจึงขนานนามว่าธรรมบาลกุมาร แล้วปลูกปราสาท
ข้ึนให้กุมารอยู่ใต้ต้นไทรริมสระฝ่ังแม่น้าน้ัน คร้ันเมื่อกุมารเจริญขึ้นก็รู้ภาษานกและเรียนจบ
ไตรเพทเมื่อมีอายุได้ ๘ ขวบ อีกท้ังยังได้เป็นอาจารย์บอกมงคลการต่างๆ แก่มนุษย์ชาวชมพูทวีป
ทั้งปวง ซ่ึงขณะน้ัน โลกทั้งหลายนับถือท้าวมหาพรหมมีกบิลพรหมองค์หน่ึงได้แสดงมงคลการแก่
มนุษย์ท้ังปวง เม่ือกบิลพรหมได้แจ้งเหตุที่ธรรมกุมารเป็นผู้มีช่ือเสียง เป็นท่ีนับถือของมนุ ษย์
ชาวโลกท้ังหลาย จงึ ได้ลงมาถามปญั หาแก่ธรรมกุมาร ๓ ขอ้ ดังความวา่

๑.เวลาเชา้ สิริ คือ ราศอี ยู่ทไี่ หน
๒.เวลาเท่ียง สิริ คอื ราศีอย่ทู ่ไี หน
๓.เวลาเยน็ สิริ คือ ราศีอยทู่ ไ่ี หน
และท้าวกบลิ พรหมไดใ้ ห้สญั ญาวา่ ถา้ ทา่ นแกป้ ญั หา ๓ ข้อน้ีได้ เราจะตดั ศรี ษะมาบชู าทา่ น ถ้าท่าน
แกไ้ ม่ได้ เราจะตัดศีรษะของท่านเสียธรรมกุมารรับสัญญา แต่ผลัดแก้ปัญญาไป ๗ ท้าวกบิลพรหม
ก็กลับไปยังพรหมโลก ฝ่ายธรรมบาลกุมารพิจารณาปัญหานั้นล่วงไปได้ ๖ แล้ว แต่ก็ยังไม่เห็น
อุบายท่ีจะตอบปัญหาได้ จึงคิดว่าพรุ่งน้ีแล้วหนอท่ีเราจะต้องตายด้วยอาญาของท้าวกบิลพรหม
เราหาต้องการไม่ จาจะหนีไปซุกซ่อนตนเสีย ดีกว่า เม่ือคิดแล้วก็ลงจากปราสาท ออกเที่ยวนอนที่
ต้นตาล ๒ ต้นซึ่งมีนกอินทรี ๒ ตัวผัวเมียทารังอยู่บนต้นตาลน้ันขณะท่ีธรรมบาลกุมารนอนอยู่ใต้
ต้นตาลนน้ั พลางได้ยนิ เสยี งนางนกอินทรีถามผวั ว่า พรุ่งนี้เราจะไปหาอาหารทไี่ หน นกอินทรีตัวผู้จึง
ตอบว่า พรุ่งนี้ครบ ๗ วันที่ท้าวกบิลพรหมถามปัญหาแก่ธรรมบางกุมาร แต่หากธรรมบาลกุมาร

แก้ไม่ได้ ท้าวกบิลพรหมก็จะตัดศีรษะเสียตามสัญญาเราทั้ง ๒ จะได้กินเน้ือมนุษย์ คือ ธรรมบาล
กุมารเป็นอาหาร นางนกอนิ ทรีจงึ ถามวา่ ทา่ นรปู้ ัญหาหรือ ผู้ผัวตอบว่ารู้ แล้วก็เล่าให้นางนกอินทรี
ฟงั ตั้งแตต่ ้นจนปลายว่า

๑.เวลาเชา้ ราศีอย่ทู ี่ หนา้ คนทัง้ หลายจึงเอาน้าล้างหนา้
๒.เวลาเที่ยง ราศอี ยู่ที่ อก คนทั้งหลายจึงเอาน้าและแป้งกระแจะจนั ทรล์ ูบไล้ท่ีอก
๓.เวลาเย็น ราศอี ยู่ท่ี เท้า คนทั้งหลายจึงเอาน้าลา้ งเท้า
ธรรมบาลกุมารที่นอนอยู่ใต้ต้นไม้ได้ยินการสนทนาของท้ังสองก็จาได้ จึงมีความโสมนัส ปีติ ยินดี
เป็นอันมาก จึงเดินทางกลับมาท่ีปราสาทของตน คร้ันถึงวาระเป็นคารบ ๗ วันตามสัญญา
ท้าวกบิลพรหมก็ลงมาถามปัญหาท้งั ๓ ขอ้ ตามที่นัดหมายกันไว้ ธรรมบาลกุมารก็วิสัชนาแก้ปัญหา
ทั้ง ๓ ข้อตามท่ีได้ฟังมาจากนกอินทรีน้ัน ท้าวกบิลพรหมยอมรับว่าถูกต้อง และยอมแพ้แก่
ธรรมบาล จาตอ้ งตดั ศรี ษะของตันบชู าตามท่ีสัญญาไว้ แต่ก่อนท่ีจะตัดศีรษะ ได้เรียกธิดาทั้ง ๗ อัน
เป็นบาทบริจารกิ าของพระอนิ ทร์ คอื
๑.นางทงุ ษะเทวี
๒.นางรากษเทวี
๓.นางโคราคเทวี
๔.นางกริ ณิ ีเทวี
๕.นางมณฑาเทวี
๖.นางกิมิทาเทวี
๗.นางมโหธรเทวี

อันโลกสมมติว่าเป็นองค์มหาสงกรานต์กับทั้งเทพบรรษัทมาพร้อมกัน จึงได้บอกเร่ืองราวให้ทราบ
และตรัสว่า พระเศียรของเราน้ี ถ้าต้ังไว้บนแผ่นดินก็จะเกิดไฟไหม้ไปท่ัวโลกธาตุ ถ้าจะโยนข้ึนไป
บนอากาศฝนกจ็ ะแลง้ เจา้ ท้งั ๗ จงเอาพานมารองรับเศียรของบิดาไว้เถิด ครั้นแล้วท้าวกบิลพรหม
ก็ตัดพระเศียรแค่พระศอส่งให้นางทุงษะเทวีธิดาองค์ใหญ่ในขณะน้ัน โลกธาตุก็เกิดโกลาหลอลเวง
ยิ่งนัก เม่ือนางทุงษะมหาสงกรานต์นาพานมารองรับพระเศียรของท้าว กบิลพรหม แล้วให้

เทพบรรษัทแห่ประทักษิณเวียนรอบเขาพระสุเมรุ ๖๐ นาที จากนั้นจึงเชิญเข้าประดิษฐานไว้ใน
มณฑป ณ ถ้าคันธุลี เขาไกรลาศ กระทาการบูชาด้วยเครื่องทิพย์ต่างๆ ต่อมาพระวิษณุกรรม
เทพบุตรได้เนรมิตโลงแก้ว อันประกอบไปด้วยแก้ว ๗ ประการ แล้วให้เทพยดาทั้งหลายนามาซ่ึง
เถาฉมุนาตลงล้างน้าในสระอโนดาต ๗ คร้ัง แล้วแจกกันสังเวยท่ัวทุกๆ พระองค์ คร้ันได้วาระครบ
กาหนด ๓๖๕ วัน โลกสมมติว่า ปีหน่ึงเป็นวันสงกรานต์ เทพธิดาทั้ง ๗ ก็ทรงเทพพาหนะต่างๆ
ผลดั เปลีย่ นเวียนมาเชญิ พระเศียรทา้ วกบลิ พรหมออกแห่ พร้อมด้วยเทพบรรษแสนโกฏิประทักษิณ
เวียนรอบเขาพระสุเมรุราชบรรษัทเป็นเวลา ๖๐ นาที แล้วจึงนากลับไปประดิษฐานไว้ตามเดิม
ซงึ่ ในแต่ละปกี จ็ ะมนี างสงกรานต์แต่ละนางมาทาหน้าทผี่ ลัดเปลยี่ นกนั ตามวนั มหาสงกรานต์

กจิ กรรมวันสงกรานต์
การทาบุญตักบาตร นับว่าเป็นการสร้างบุญสร้างกุศลให้กับตนเอง อีกท้ังยังเป็นการ
อุทศิ สว่ นกศุ ลน้ันให้แก่ผู้ท่ลี ว่ งลบั ไปแล้ว การทาบุญในลักษณะน้ีมักจะมีการเตรียมไว้ล่วงหน้า เมื่อ
ถึงเวลาทาบุญก็จะนาอาหารไปตักบาตรถวายพระภิกษุท่ีศาลาวัดโดยจัดเป็นท่ีรวมสาหรับการ
ทาบญุ ในวันเดียวกันน้ีหลังจากท่ีได้ทาบุญเสร็จเรียบร้อย ก็จะมีการก่อเจดีย์ทรายอันเป็นประเพณี
ทีส่ าคัญในวันสงกรานต์อกี ดว้ ย
การรดน้า นับได้ว่าเป็นการอวยพรปีใหม่ให้แก่กันและกัน น้าท่ี นามาใช้รดหัวในการนี้มักเป็น
นา้ หอมเจือด้วยน้าธรรมดา
การสรงน้าพระ เป็นการรดน้าพระพุทธรูปที่บ้านและท่ีวัด ซ่ึงในบางที่ก็จะมีการจัดให้สรงน้า
พระสงฆ์เพ่มิ เตมิ ดว้ ย
การบังสุกุลอัฐิ สาหรับเถ้ากระดูกของญาติผู้ใหญ่ที่ได้ล่วงลับไป มักทาท่ีเก็บเป็นลักษณะของ
เจดยี ์จากน้นั จะนมิ นต์พระไปบงั สกุ ลุ
การรดน้าผู้ใหญ่ คือการท่ีเราไปอวยพรผู้ใหญ่ท่ีให้ความเคารพนับถือ อย่าง ครูบาอาจารย์ มักจะ
น่ังลงกับท่ี จากน้ันผู้ท่ีรดก็จะเอาน้าหอมเจือกับน้าธรรมดารดลงไปที่มือ ผู้หลักผู้ใหญ่ก็จะให้ศีล
ให้พรผู้ที่ไปรด หากเป็นพระก็อาจนาเอาผ้าสบงไปถวายเพื่อให้ผลัดเปลี่ยนด้วย แต่หากเป็น
ฆราวาสก็จะหาผ้าถุง หรือผ้าขาวม้าไปให้เปลี่ยน มีความหมายกับการเริ่มต้นส่ิงใหม่ๆ
ในวันปีใหมไ่ ทย
การดาหัว มีจุดประสงค์คล้ายกับการรดน้าของทางภาคกลาง ส่วนใหญ่จะพบเห็นการดาหัวได้
ทางภาคเหนอื การดาหวั ทาเพือ่ แสดงความเคารพต่อผู้ท่ีอาวุโสว่า ไม่ว่าเป็น พระ ผู้สูงอายุ ซึ่งจะมี
การขอขมาในสิ่งทไี่ ด้ ล่วงเกิน หรือเป็นการขอพรปใี หม่จากผู้ใหญ่
การปล่อยนกปลอ่ ยปลา ถอื ว่าการล้างบาปทเี่ ราได้ทาไว้ เป็นการสะเดาะเคราะห์ร้ายให้กลายเป็น
ดมี ีแต่ความสุขในวันขึน้ ปใี หม่
การขนททรายเขา้ วดั ในทางภาคเหนอื นิยมขนทรายเข้าวดั เพ่ือเป็นนมิ ติ โชคลาภให้พบแต่ความสุข
ความเจริญ เงินทองไหลมาเทมา

ความเชอื่ เกี่ยวกับประเพณีสงกรานต์
ในช่วงวันสงกรานต์คนสมัยก่อนมีส่ิงยืดถือปฏิบัติที่ต้องทาแตกต่างกันไปในแต่ละวันเริ่ม
จากวันท่ี ๑๓ เมษายน หรือที่เรียกอีกอย่างว่า “วันมหาสงกรานต์” และถือเป็นวันผู้สูงอายุ
แห่งชาติ คนโบราณจึงถือวันท่ี ๑๓ เป็นฤกษ์ดีในการปัดกวาด เช็คถูทาความสะอาดบ้าน
เพ่อื เป็นการปัดกวาดสิ่งท่ีไม่ดี ทั้งหลายออกไปจากบ้าน เพื่อเตรียมต้อนรับส่ิงดีๆ ที่กาลังจะเข้ามา
ในปีใหม่วันท่ี ๑๔ เมษายน วันเนา (ภาษาเขมร แปลว่า “ อยู่ ”) และถือเป็นวันครอบครัว เป็น
วันท่ีนิยมออกไปทาบุญตักบาตร เข้าวัดฟังธรรมเพิ่มความเป็นสิริมงคลให้ชีวิตรวมถึงการรดน้าดา
หัวญาติผู้ใหญ่ นอกจากน้ียังงดมีปากเสียง ทะเลาะเบาะแว้งกับคนรอบข้าง เน่ืองจากเช่ือว่าจะ
เปน็ การนาสิ่งไม่ดีเขา้ สู่ชีวติ ทาให้โชคไม่ดตี ลอดปี
วันท่ี ๑๕ เมษายน วันเถลิงศก ถือว่าเป็นวันเร่ิมจุลศักราชใหม่ เป็นอีกวันที่นิยมเข้าวัด ทาบุญ
ตักบาตร เพ่ืออุทิศส่วนบุญ ส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรและญาติที่ล่วงลับไปแล้ว นอกจากน้ียังมี
การกอ่ เจดีย์ทรายและเติมชีวติ ให้ชุ่มฉา่ ดว้ ยการเลน่ นา้ สงกรานต์ตามประเพณีไทย

ประเพณสี งกรานตใ์ นแต่ละท้องถิ่น

สงกรานต์ภาคเหนือ(สงกรานต์ล้านนา) หรือ ประเพณีป๋ีใหม่เมืองอันโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์
เร่ิมตั้งแต่วันสังขารล่อง(๑๓เม.ย.) ที่มีการทาความสะอาดบ้านเพ่ือความเป็นสิริมงคล วันเนา หรือ
วันเน่า(๑๔เม.ย.) วันทห่ี ้ามใครดา่ ทอว่าร้ายเพราะจะทาให้โชคร้ายไปตลอด ท้ังปี วันพญาวัน หรือ
วันเถลิงศก(๑๕เม.ย.) วันนี้ชาวบ้านจะตื่นแต่เช้าทาบุญตักบาตรเข้าวัดฟังธรรม ก่อนจะไปรดน้า
ดาหัวขอขมาญาติผู้ใหญ่ในช่วงบ่าย วันปากปี(๑๖เม.ย.) ชาวบ้านจะพากันไปรดน้าเจ้าอาวาสตาม
วัดต่างๆเพ่ือขอขมาคารวะและวันปากเดือน(๑๗เม.ย.) เป็นวันที่ชาวบ้าน ส่งเคราะห์ต่างๆออกไป
จากตวั เพ่ือปิดฉากประเพณีสงกรานต์ล้านนา

สงกรานตภ์ าคอีสาน นิยมจัดกันอย่างเรียบง่ายแต่ว่ามากไปด้วยความอบอุ่น โดยคนอีสานจะเรียก
ประเพณสี งกรานต์วา่ “บุญเดอื นห้า” หรอื ”ตรุษสงกรานต์” และจะถือฤกษ์ในวันขึ้น๑๕ค่าเดือน๕
เวลาบา่ ย๓โมงเป็นเวลาเรม่ิ งานโดยพระสงฆจ์ ะตีกลองโฮมเปิดศักราชจากน้ันญาติโยมจะจัดเตรียม
น้าอบหาบไปรวมกันท่ีศาลาวัดเพ่ือสรงน้าพระพุทธรูป แล้วต่อด้วยการรดน้าดาหัว ปู่ ย่า ตา ยาย
และญาตผิ ใู้ หญ่ เพ่อื ขอขมาลาโทษจากนัน้ กจ็ ะเปน็ การเล่นสาดนา้ สงกรานต์กันอย่างสนกุ สนาน

สงกรานต์ภาคใต้ ตามความเช่ือของประเพณีสงกรานต์แบบดั้งเดิมท่ี ภาคใต้แล้ว สงกรานต์เป็น
ช่วงเวลาแห่งการผลัดเปลี่ยนเทวดาผู้รักษาดวงชะตาบ้านเมือง พวกเขาจึงถือเอาวันแรกของ
สงกรานต์(๑๓เม.ย.)เป็น”วันส่งเจ้าเมืองเก่า”โดยจะทาพิธีสะเดาะเคราะห์ส่ิงไม่ดีออกไป
สว่ น”วนั ว่าง”(๑๔เม.ย.) ชาวนครจะไปทาบญุ ตกั บาตรท่ีวัดและสรงน้าพระพุทธรูป และวันสุดท้าย
เป็น”วันรับเจ้าเมืองใหม่”(๑๕เม.ย.)จะทาพิธีต้อนรับเทวดาองค์ใหม่ด้วยการแต่งองค์ทรงเครื่อง
อย่างสวยงามสง่ ท้ายสงกรานตป์ ระเพณสี งกรานต์

สงกรานต์ภาคกลาง เริ่มข้ึนในวันที่ ๑๓ เมษายน เป็นวัน”มหาสงกรานต์” วันที่ ๑๔ เป็น
”วันกลาง”หรือ”วันเนา” วันท่ี ๑๕ เป็นวัน”วันเถลิงศก” ท้ัง๓วันประชาชนจะประกอบพิธีทาง
ศาสนา มีการทาบุญตักบาตร ปล่อยนกปล่อยปลา การกรวดน้าอุทิศส่วนกุศลให้แก่ญาติผู้ล่วงลับ
การสรงนา้ พระ การขนทรายเขา้ วัดก่อพระเจดยี ท์ ราย

บทสรปุ
พธิ ีสงกรานตเ์ ป็นพธิ ีกรรมท่ีเกดิ ขึน้ ในสมาชกิ ครอบครวั หรือชุมชนบ้านใกล้เรือนเคียง แต่ปัจจุบันได้
เปล่ียนไปสู่สังคมวงกว้าง ช่วงเวลาที่พระอาทิตย์เคลื่อนเข้าสู่ราศีเมษเป็นช่วงฤดูร้อน ประเพณี
ดั้งเดมิ จึงมี การใช้น้าเป็นองค์ประกอบหลักในพิธี ใช้รดให้แก่กันเพ่ือความชุ่มชื่น มีการสรงน้าพระ
เพื่อเป็นสิริมงคล ทาบุญตักบาตรไหว้พระ และขอพรจากผู้ใหญ่ราลึกถึงบรรพบุรุษที่ล่วงลับ
สั ง ค ม ไ ท ย ส มั ย ใ ห ม่ เ กิ ด ป ร ะ เ พ ณี ก ลั บ บ้ า น ใ น เ ท ศ ก า ล ส ง ก ร า น ต์ แ ล ะ นั บ วั น ส ง ก ร า น ต์
เปน็ วนั ครอบครัว ปจั จุบนั มกี ารประชาสัมพนั ธ์ในเชงิ ท่องเทยี่ วว่าเป็น Water Festival

บรรณานกุ รม
วกิ ิพเี ดยี สารานุกรมเสรี. สงกรานต์. (ออนไลน์). เข้าถึงไดจ้ าก:https://th.wikipedia.org/wiki/.

(วันที่ค้นข้อมลู ๕ มกราคม ๒๕๖๓).
Mthai. ความเช่ือและกิจกรรมในวันสงกรานต์ วันปีใหมไ่ ทย. (ออนไลน์). เขา้ ถงึ ไดจ้ าก:

https://teen.mthai.com/variety/168876.html. (วั น ที่ ค้ น ข้ อ มู ล ๕ ม ก ร า ค ม
๒๕๖๓).
Mthai.ประวตั นิ างสงกรานต์ ตานานนางสงกรานต์ ประจาแตล่ ะวัน. (ออนไลน)์ . เข้าถึงได้จาก:
https://teen.mthai.com/variety/168607.html. (วั น ที่ ค้ น ข้ อ มู ล ๕ ม ก ร า ค ม
๒๕๖๓).
Sanook. วันสงกรานต์ ประวตั วิ นั สงกรานต์ วนั มหาสงกรานต์. (ออนไลน)์ . เข้าถึงไดจ้ าก:
http://event.sanook.com/day/songkran/. (วันทีค่ น้ ขอ้ มูล ๕ มกราคม ๒๕๖๓).

ภาคผนวก
ประวตั ินางสงกรานต์
นางสงกรานต์ เป็นคติความเชื่ออยู่ในตานานสงกรานต์ เพ่ือให้คนโบราณได้รู้ว่าวัน มหาสงกรานต์
คือ วันที่พระอาทิตย์ยกข้ึนสู่ราศีเมษ ซึ่งสมัยนั้นถือเป็นวันข้ึนปีใหม่ตามสุริยะคติ ถ้าตรงกับวันใด
โดยสมมตุ ิผ่านนางสงกรานต์ท้ังเจ็ดเทียบกับแต่ละวันในสัปดาห์ ปีไหนตรงกับวันใด นางสงกรานต์
ท่ีมีชื่อสมมุติเข้ากับวันนั้นๆ ก็จะเป็นผู้อัญเชิญพระเศียรท้าวกบิลพรหมออกแห่ไปสรงน้า
ซ่ึงนางสงกรานต์ท้ังเจ็ดน้ี เป็นเทพธิดาลูกสาวท้าวกบิลพรหม และเป็นบาทบริจาริกาของ
พระอินทร์

ชมพูทวปี อภธิ านศัพท์
นักขัตฤกษ์ ทวปี ใหญ่อยูท่ างทิศใต้ ของเขา พระสุเมรุ เปน็ ทวีป ๑ ใน ๔ ทวปี
ฤกษ์ท่ีขึ้นกับการโคจรของดวงจันทร์ว่าผ่านดาวนักษัตรหมู่ใดหมู่หนึ่ง
บวงสรวง ใน ๒๗ หมู่ รวมถึงฤกษ์ท่ีขึ้นกับการโคจรของดวงดาวในสุริยจักรวาลว่า
ประโคม ผา่ นดาวนกั ษัตรหมู่ใด หม่หู นึง่ ใน ๒๗ หมู่
อฐั ิ บชู าเทวดาด้วยเครื่องสงั เวยและดอกไมธ้ ปู เทียน
บรรเลงดนตรเี พื่อเป็นสัญญาณในพธิ บี างอยา่ งเพือ่ สกั การบูชาหรือยกย่อง
กระดูกคนท่ีเผาแลว้

ประเพณวี ันสงกรานต์

จัดทาโดย
นางสาวอุมาพร ปัตตาลาโพธ์ิ และคณะ

ชนั้ มธั ยมศึกษาปี ท่ี ๕/๑๐

เสนอ
นางสาวธญั ญา ดาทอง

รายงานเล่มนเี้ ป็ นส่วนหน่งึ ของรายวชิ าภาษาไทย (๓๒๑๐๒)
ภาคเรียนท่ี ๒ ปี การศกึ ษา ๒๕๖๒

โรงเรียนหนองก่พี ิทยาคม อาเภอหนองก่ี จงั หวดั บุรีรัมย์



ประเพณีวนั สงกรานต์

จัดทาโดย

นางสาวอุมาพร ปัตตาลาโพธ์ิ เลขท่3ี 2

นางสาววรัญญา กองทองนอก เลขท่2ี 8

นางสาวกลุ ยาณฐั ปานไธสง เลขท่2ี 2

นางสาวธัญญารัตน์ ชินกระโทก เลขท่1ี 5

นางสาวสทุ ธนิ ีย์ พูลแสวงทรัพย์ เลขท่1ี 9

นางสาวณฐั พร กหุ ลาบ เลขท่1ี 2

นางสาวณฐั ริกา พรมโนนสี เลขท่1ี 4

ชนั้ มัธยมศกึ ษาปี ท่ี ๕/๑๐

เสนอ

นางสาวธัญญา ดาทอง

รายงานเล่มนเี้ ป็ นส่วนหน่งึ ของรายวิชาภาษาไทย (๓๒๑๐๒)
ภาคเรียนท่ี ๒ ปี การศึกษา ๒๕๖๒

โรงเรียนหนองก่พี ทิ ยาคม อาเภอหนองก่ี จจังหวดั บรุ ีรัมย์

คานา
รายงานเล่มนีเ้ ป็ นส่วนหน่งึ ของรายวชิ าภาษาไทย รหสั วิชา ท ๓๒๑๐๒
จัดทาขึน้ เพ่ือรวบรวมเนือ้ หาเก่ียวกับประวัติความเป็ นมาตลอดถึงวันจัดวัน
สงกรานต์ไทยในแต่ละภูมิภาคในประเทศไทย รวมทัง้ คุณค่าและความสาคญั
ของวนั สงกรานต์ และตานานของวนั สงกรานต์ เพ่อื ให้ผู้ท่สี นใจในเนือ้ หาเร่ือง
ประเพณีวันสงกรานต์ได้นาไปศกึ ษาค้นคว้าเพ่มิ เตมิ
ขอขอบพระคุณคณุ ครูธญั ญา ดาทองท่ใี ห้คาปรึกษาในการทารายงาน
หากผิดพลาดประการใดต้องขออภัยไว้ ณ ท่นี ี้

นางสาวอุมาพร ปัตตาลาโพธ์ิ
และคณะ

๒๔ ธันวาคม ๒๕๖๒

สารบญั หน้า

เร่ือง ๑

บทนำ ๒
คณุ ค่ำและควำมสำคญั ๓
ตำนำนนำงสงกรำนต์ ๔
กจิ กรรมในวนั สงกรำนต์ ๔
ประเพณสี งกรำนต์ในแต่ละท้องถ่ิน ๕

- สงกรำนต์ภำคเหนอื ๖
- สงกรำนตภ์ ำคตะวนั ออกเฉียงเหนอื ๗
- สงกรำนตภ์ ำคกลำง ๘
- สงกรำนตภ์ ำคใต้
สรุป
บรรณานุกรม

บทนา

เม่ือกล่ำวถึงสังคมท่ีมำอยู่ร่วมกัน และมีควำมสัมพันธ์ต่อกนั เรำจึงต้องนึกถึง
ประเพณีที่เป็น ผลผลิตอันเกิดจำกกำรกระทำระหว่ำงกันของคนในสังคม เพรำะ
ประเพณีเป็นสิ่งที่มนุษย์สร้ ำงขึน้ โดยคนในสังคม ให้กำรยอมรับ และนำไปเป็น
แนวทำงเป็นวิธีปฏิบตั ิในกำรดำเนินชีวิต ดงั นนั้ ประเพณีจึงเป็นทงั้ คุณค่ำของสังคม
และเป็นขนบธรรมเนียมประเพณีท่ีดีของสงั คมตลอดจนผลผลิต ผลงำนภูมิปัญญำ
ต่ำงๆ ที่มนษุ ย์สร้ำงขนึ ้ ประเพณีเป็นแบบแผนกำรดำเนินชวี ติ ของคนไทยมีควำมเป็น
เอกลักษณ์ แต่ก็มีควำมหลำกหลำยของในแต่ละท้องถิ่น ซึง้ แตกต่ำงกันออกไปตำม
สภำพภูมิศำสตร์และกำรอยู่ร่วมกันของชนชำวไทย ประเพณีทุกประเพณีล้วนมี
ควำมสำคัญต่อคนไทย รวมถึงประเพณีสงกรำนต์ก็มีควำมสำคัญอย่ำงย่ิงต่อกำร
ดำเนินชีวติ เป็นคณุ ค่ำ ค่คู วรแก่กำรอนรุ กั ษ์ สบื สำน เพเพอื่ ให้ดำรงอยคู่ คู่ นไทยต่อไป

คณุ ค่าและความสาคัญ
ประเพณีสงกรำนต์ถือเป็นประเพณีกำรเฉลิมฉลองวันขึน้ ปีใหม่ของไทยท่ี

ยึดถือปฏิบตั ิมำแต่โบรำณช่วงวัน สงกรำนต์จึงเป็นวันแห่งควำมเอือ้ อำทร ควำมรัก
ควำมผูกพัน ท่ีมีต่อกันทัง้ ครอบครัว ชุมชน สังคม และศำสนำทำให้สมำชิกของ
ครอบครัวได้มีโอกำสมำอย่รู ่วมกันเพ่ือแสดงควำมกตัญญูกตเวทิตำเช่นลูกหลำนนน
เพ่ือแสดงควำมกตัญญกู ตเวทิตำเช่นลูกหลำนนำสิ่งของมำำำสิ่งของมำ เยี่ยมเยียน
และรดนำ้ ขอพรจำกบิดำ มำรดำ ปู่ ย่ำ ตำ ยำยรวมทงั้ แสดงควำมกตญั ญกู ตเวทิตำ

ต่อบรรพบุรุษ ที่ล่วงลับไปแล้วด้วยกำรทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ กำรสร้ำงควำม
สมคั รสมำนสำมคั คีในชุมชนได้แก่ กำรร่วมกนั ทำบุญให้ทำน กำรก่อพระเจดีย์ทรำย
และเป็นกำรทำนุบำรุงพระพุทธศำสนำ กำรเล่นสำดนำ้ เพ่ือควำมสนุกสนำนร่ืนเริง
ร่วมกนั นอกจำกนี ้ยงั สร้ำงควำมรู้สึกผกู พนั กลมเกลยี วต่อบุคคลในสงั คมเดยี วกนั และ
สร้ำงควำมรู้สึกหวงแหนในสำธำรณสมบัติของสงั คม และสงิ่ แวดล้อมโดยกำรช่วยกัน
ทำควำมสะอำดบ้ำนเรือน วดั วำอำรำมตลอดจนอำคำรสถำนทส่ี ถำนทต่ี ่ำงๆ

กำรคำนวณ ปฏิทินไทยในขณะนีก้ ำหนดให้เทศกำลสงกรำนต์ตรงกับ
วันที่ 13-15 เมษำยน ของทุกปี และเป็นวันหยุดรำชกำร อย่ำงไรก็ตำม ประกำศ
สงกรำนต์อย่ำงเป็นทำงกำรจะคำนวณตำมหลักเกณฑ์ในคัมภีร์สุริยยำตร์ ซึ่งแต่
โบรำณมำ กำหนดให้วนั แรกของเทศกำล เป็นวนั ท่ีพระอำทิตย์ย้ำยออกจำกรำศีมีน
เข้ำส่รู ำศีเมษ เรียกว่ำ "วันมหำสงกรำนต์" วนั ถดั มำเรียกว่ำ "วันเนำ" และวันสดุ ท้ำย
เป็นวนั เปลย่ี นจลุ ศกั รำชและเร่ิมใช้กำลโยคประจำปีใหม่ เรียกว่ำ "วนั เถลงิ ศก"

ตานานนางสงกรานต์
นำงสงกรำนต์เป็นธิดำของท้ำวมหำสงกรำนต์หรือ ท้ำวกบิลพรหม มีหน้ำที่

ผลดั เปลี่ยนกนั ดแู ลเศียรของท้ำวกบิลพรหมซ่ึงประดิษฐำนอยใู่ นพำนแว่นฟำ้ เนื่องจำก
ท้ำวกบลิ พรหมแพ้พนนั กำรตอบปัญหำแก่ธรรมบำลกุมำรจึงต้องตัดเศียรของตนบูชำ
แก่ธรรมบำลกุมำรก่อนจะตดั เศยี รท้ำวกบลิ พรหมำได้เรียกธิดำทงั้ 7 ซึง่ เป็นนำงฟ้ำบน
สวรรค์ชนั้ จำตมุ หำรำชกิ ำให้เอำพำนมำรองรบั เนอ่ื งจำกเศียรของท้ำวกบลิ พรหมเป็นท่ี
รวมแห่งควำมร้อนทงั้ ปวงถ้ำวำงไว้บนแผ่นดินไฟจะไหม้โลกถ้ำโยนขึน้ ไปบนอำกำศ

ฝนจะแล้งถ้ำทงิ ้ ลงในมหำสมทุ รนำ้ จะแห้งธิดำทงั้ 7 จึงผลดั เปลีย่ นกนั ถือพำนรองเศยี ร
ของท้ำวกบลิ พรหมไว้ คนละ 1 ปี

กจิ กรรมในวนั สงกรานต์
1. กำรทำบญุ ตกั บำตร ถอื วำ่ เป็นกำรสร้ำงบญุ สร้ำงกุศลให้ตวั เอง และ อทุ ศิ สว่ นกุศล
นนั้ แกผ่ ้ลู ว่ งลบั ไปแล้ว ในวนั นหี ้ ลงั จำกที่ได้ทำบญุ เสร็จแล้ว ก็จะมีกำรกอ่ พระทรำยอนั
เป็นประเพณดี ้วย
2. กำรรดนำ้ เป็นกำรอวยพรปีใหม่ให้กันและกัน นำ้ ท่ีรดมักใช้นำ้ หอมเจือด้วยนำ้
ธรรมดำ
3. กำรสรงนำ้ พระจะรดนำ้ พระพทุ ธรูปที่บ้ำนและท่ีวดั และบำงท่ีจดั สรงนำ้ พระสงฆ์
ด้วย
4. บงั สกุ ุลอฐั ิ กระดกู ญำติผ้ใู หญท่ ่ีตำยแล้ว มกั กอ่ เป็นเจดีย์ แล้วนิมนต์พระไปบงั สกุ ุล
5. กำรรดนำ้ ผ้ใู หญ่ คือกำรไปอวยพรให้ผ้ใู หญท่ เ่ี คำรพนบั ถอื ครูบำอำจำรย์
6. กำรดำหวั กำรดำหวั ทำเพือ่ แสดงเรำเคำรพนบั ถือต่อพระ, ผ้สู งู อำยุ คอื กำรขอขมำ
ในสิง่ ทไี่ ด้ล่วงเกินไปแล้ว หรือ กำรขอพรปีใหม่จำกผ้ใู หญ่ ของทใ่ี ช้ในกำรดำหวั
สว่ นมำกมีอำภรณ์มะพร้ำวกล้วยส้มป่อยเทยี นและดอกไม้
7. กำรปลอ่ ยนกปลอ่ ยปลำ ถือเป็นกำรล้ำงบำปทที่ ำไว้ เป็นกำรสะเดำะเครำะห์ร้ำยให้
มแี ต่ควำมสขุ ควำมสบำยในวนั ขนึ ้ ปีใหม่
8. กำรนำทรำยเข้ำวดั จะทำให้มคี วำมสขุ ควำมเจริญ เงนิ ทองไหลมำเทมำดจุ ทรำยท่ี

ขนเข้ำวดั แตก่ ม็ บี ำงท่ี เชื่อวำ่ ตลอดปี กำรนำทรำยทตี่ ิดเท้ำออกวดั เป็นบำป จึงขน
ทรำยเข้ำวดั เพอื่ ไมใ่ ห้เป็นบำป

ประเพณีสงกรานต์ในแต่ละท้องถ่นิ
1. สงกรำนต์ภำคเหนือ

วนั สงกรำนต์เป็นวนั ขนึ ้ ปีใหม่ชำวไทยเหนอื ถือกนั วำ่ เป็นวนั สงั ขำร
ล่อง (อำยสุ ังขำร)คืออำยขุ องมนษุ ย์ ได้ล่วงเลยไปอีก 1 ปีและเป็นวนั ท่ีสดุ ของศกั รำช
เก่ำ ตอนเช้ำมีกำรขับไล่เสนียด จัญไร กำรทำควำมสะอำดบ้ำนเรือนกำรชำระล้ำง
ร่ำงกำย เรียกว่ำ "ไปแอ่วปีใหม่" ในวันนี ้ เร่ิมมีกำรเล่นรดนำ้ กนั แล้ว วันรุ่งขึน้ เป็นวัน
เนำว์หรือวันดำมีกำรเตรียมของสำหรับทำบุญกำรขนทรำยนำไปไว้ท่ีวัดร่วมกนั ก่อ
เจดีย์ทรำย มีกำรเล่นนำ้ วันท่ีสำมเป็นวนั พญำวันหรือวนั เถลิงศกมีกำรนำอำหำรไป
ถวำยพระและนำอำหำรไปให้แก่ผ้เู ฒ่ำผ้แู ก่ที่เคำรพนับถือตลอดจนนำไปถวำยทำน
เพ่ืออทุ ิศส่วนกุศล แก่บรรพบุรุษที่ล่วงลับมีกำรถวำยทำนเจดีย์ทรำยปล่อยนกปล่อย
ปลำกำรสรงนำ้ พระเจดยี ์กำรคำ้ ต้นโพธ์ิกำรสรงนำ้ พระพทุ ธ คบู่ ้ำนคเู่ มืองกำรไปดำหัว
โดยลูกหลำนจะพำกันไปขอขมำ วัน ปำกปี จะมีกำรแห่ดำหัวไปดำหัวพระผ้ใู หญ่
ข้ำรำชกำรชนั้ ผ้ใู หญ่ เชน่ ผ้วู ่ำรำชกำรจงั หวดั (เจ้ำเมอื ง) เป็นต้น ในวนั นกี ้ ็จะมกี ำรดำ
หวั กู่คอื กำรไปดำหวั อนสุ ำวรีย์บรรพบรุ ุษของตระกูลของตน กำรดำหวั เป็นวฒั นธรรม
อนั สงู ยิ่งของภำคเหนือเป็นกำรแสดงออกถึงกำรขออภัยกำรให้อภัย งำนสงกรำนต์ที่มี
ช่ือเสียงของภำคเหนอื คือ ประเพณปี ๋ีใหมเ่ มอื ง จงั หวดั เชยี งใหม่

2. สงกรำนต์ภำคตะวนั ออกเฉียงเหนือ

ภำคตะวันออกเฉียงเหนือ หรือภำคอีสำนของไทยเรียกวำ่ "ฮีตสบิ
สอง" ซ่ึงมักจะเป็นงำนบุญที่เก่ียวกับพระพทุ ธศำสนำเป็นหลักและในเดือนห้ำก็เป็น
กำรทำบุญสงกรำนต์ ในวันที่ 13 14 15 เมษำยน พิธีกำรของแต่ละท้องถิ่นอำจ
แตกต่ำงกนั แตส่ งิ่ ทเ่ี หมือนกนั คอื กำรสรงนำ้ พุทธรูปบำงท่ีใช้ศำลำกำรเปรียญแต่บำง
ที่จะจดั สร้ำงหอสรงแล้วอญั เชญิ พระพทุ ธรูปมำประดษิ ฐำนในหอสรงเพื่อสรงนำ้ ในวนั
สงกรำนต์นอกจำกนนั้ ก็มีกำรเล่นสำดนำ้ กัน หลงั จำกวันสงกรำนต์แล้วหม่บู ้ำนบำง
แห่งมีกำรแห่ดอกไม้ไปถวำยพระท่ีวดั ในเวลำพลบค่ำกม็ ีกำรไหว้พระ รับศีล เป็นกำร
สร้ำงควำมสำมคั คกี นั ในหม่คู ณะ สงกรำนต์ที่มีชอ่ื เสยี งทำงภำคตะวนั ออกเฉียงเหนือ
ได้แก่สงกรำนต์ในจังหวัดหนองคำยซ่ึงมีกำรสรงนำ้ หลวงพ่อพระใส พระพุทธรูปอัน
เป็นที่สักกำระ ของทงั้ ประชำชนชำวไทยและประชำชนชำวลำวเช่นเดียวกันกับไทย
กำรเลน่ สงกรำนำกงโขงเน่ืองจำกลำวกถ็ อื คติกำรเลน่ สงกรำนต์

3. สงกรำนตภ์ ำคกลำง

ประเพณีสงกรำนต์ถือเป็นประเพณีกำรเฉลิมฉลองวนั ขึน้ ปีใหมท่ ี่
ชำวภำคกลำงยึดถือปฏิบตั ิมำแต่โบรำณแบง่ ออกเป็น 3 วนั คอื วนั ท่ี 13 14 และ 15 มี
กำรทำบุญตกั บำตรกำรปล่อยนกปล่อยปลำ กำรสรงนำ้ พระกำรก่อพระ เจดีย์ทรำย
กำรแห่นำงสงกรำนต์กำรเล่นสำดนำ้ กำรเล่นสงกรำนต์ท่ีมีชื่อเสียงได้แก่สงกรำนต์
กรุงเทพมหำนคร บริเวณสนำมหลวง วัดมหำธำตุ และสงกรำนต์จังห วัด
พระนครศรีอยุธยำ บริเวณอทุ ยำนประวัติศำสตร์พระนครศรีอยธุ ยำโดยจดั กำรเล่น
สงกรำนต์แบบโบรำณ นอกจำกนยี ้ งั มีสงกรำนต์พระประแดงจงั หวดั สมทุ รปรำกำรซง่ึ
แตกต่ำงไปจำกสงกรำนต์ทว่ั ไป เช่น ขบวนแห่นกแห่ปลำซึ่งเจ้ำภำพจะเชิญหญิงสำว
มำถือกรงนกและโหลใส่ปลำสำหรับนำไปปล่อย พิธีกำรส่งข้ำวแช่สงกรำนต์ โดยให้

หญิงสำวเป็นคๆู่ ถือภำชนะใสข่ ้ำวแชแ่ ละกบั ข้ำวไปส่งตำมวดั ตำ่ งๆแต่เช้ำตรู่ กำรเล่น
สะบ้ำซง่ึ เป็นธรรมเนยี มปฏบิ ตั ิมำแต่ดงั้ เดมิ ในชว่ งสงกรำนต์นี ้

ชำวพระประแดงจะแต่งกำยตำม แบบดงั้ เดิมของชำวรำมญั

4. สงกรำนต์ภำคใต้

ประเพณีสงกรำนต์ถือเป็นประเพณีกำรเฉลิมฉลองวันขึน้ ปีใหม่ที่
ชำวภำคใต้ ถือเอำวนั ท่ี 13 14 และ 15 มกี ำรทำบุญตกั บำตรกำรปล่อยนกปลอ่ ยปลำ
กำรสรงนำ้ พระกำรก่อพระเจดีย์ ทรำยกำรแห่นำงสงกรำนต์และรถบปุ ผชำติ กำรเล่น
สำดนำ้ เช่นเดยี วกบั ภำคอืน่ ๆจงั หวดั ท่มี ีกำรเลน่ สงกรำนต์ท่ี มีชอื่ เสียงได้แก่สงกรำนต์
หำดใหญ่ จงั หวดั สงขลำซึ่งจัดขึน้ ในพนื ้ ที่สวนสำธำรณะเทศบำลนครหำดใหญ่ ศำลำ
ไทย ตัง้ แต่วันท่ี 6-15 เมษำยน ได้รับควำมสนใจ จำกนักท่องเที่ยวจำกประเทศ
มำเลเซียและสิงคโปร์ และยังมีสงกรำนต์เมืองนครจงั หวดั นครศรีธรรมรำช ตำมแบบ
ดงั้ เดิมของชำวนครศรีธรรมรำชมีกำรอญั เชญิ พระพทุ ธสหิ ิงค์ จำกหอพระออกมำ

สรงนำ้ พิธีตักบำตรบริเวณสนำมหน้ำเมือง กำรแห่นำงสงกรำนต์และ กำรแห่นำง
กระดำนเป็นต้น

สรุป

1. ประชำชนสว่ นใหญข่ องประเทศ ทรำบถงึ ข้อมลู ทว่ั ไปของประเพณสี งกรำนต์
เป็นอย่ำงดี

2. คนไทยเล็งเหน็ ถึงคณุ คำ่ และควำมสำคญั ของประเพณีสงกรำนต์

3. กำรจดั กิจกรรมในวนั สงกรำนต์ ของคนไทยสำมำรถทำให้คนไทยเองรำลกึ ถึง
บุญคณุ ของพ่อแม่ ป่ยู ำ่ ตำยำย และญำติผ้ใู หญ่ท่ไี ด้อบรมสงั่ สอบ

4. กำรจดั กจิ กรรมในวนั สงกรำนต์ยงั แสดงถึงควำมรักควำมสำมคั คขี องคนใน
ท้องถ่นิ นนั้ ๆ

5. เหน็ ถึงควำมแตกต่ำงของประเพณสี งกรำนตใ์ นแต่ละภมู ิภำคของไทยใน
ปัจจบุ นั วำ่ มีควำมแตกตำ่ งกนั บำงเร่ืองของกำรจดั กิจกรรมและกำรแสดงท่ผี สมผสำน
ของภำคต่ำงๆ

6. เกดิ ควำมภำคภมู ใิ จทไี่ ด้เป็นคนไทย และมคี วำมรู้สึกที่จะรกั ษำประเพณอี นั ดี
งำมของไทย รวมทงั้ ประเพณีสงกรำนตใ์ ห้คงอย่ตู ลอดไป

ทงั้ 6 ข้อท่กี ลำ่ วมำ คนไทยรู้และเข้ำใจถงึ ข้อมลู ทวั่ ไปของประเพณี
สงกรำนต์เป็นอย่ำงดี เชน่ ประวตั คิ วำมเป็นมำ คณุ ค่ำและควำมสำคญั รวมถงึ กำรจดั
กิจกรรมและกำรอนรุ ักษ์ เรำสำมำรถสงั เกตได้จำกกำรจดั งำนกจิ กรรมวนั สงกรำนต์
ของไทยที่ผำ่ นมำซง่ึ กำรทีค่ นไทยรู้และเข้ำใจถึงสิ่งท่กี ล่ำวมำข้ำงต้น กจ็ ะเป็นกำร
นำไปส่กู ำรสง่ เสริมและสบื สำนกิจกรรมประเพณสี งกรำนต์ และงำนประเพณที ้องถ่ิน
ของตนท่มี ีอยดู่ ้วย

บรรณานุกรม
กฤติกร พำศริ ิ, จกั รกฤษณ์ ประพนั ธ์, ภทั รภณธ์ ธชพี นั ธ์, พิชยำ แถวเพช็ ร,

กติ ติพงษ์ หอมเนยี ม. สงกรำนต์ประเพณีไทย.[ออนไลน์]. เข้ำถึงได้จำก
rn-thailand. blogspot.com.(วนั ทค่ี ้นข้อมลู ๑๑ ธนั วำคม
๒๕๖๒)





เรือ่ ง โคลนตดิ ลอ้ ตอน ความนยิ มเปน็ เสมียน

โดย นางสาวนรศิ รา นามวงศ์ และคณะ
ชนั้ มัธยมศกึ ษาปีท่ี ๕/๘

เสนอ
นางสาวธญั ญา ดาทอง

รายงานเล่มน้เี ปน็ สว่ นหนง่ึ ของรายวิชาภาษาไทย (ท ๓๒๑๐๒)
ภาคการเรียนที่ ๒ ปกี ารศกึ ษา ๒๕๖๒

โรงเรยี นหนองก่พี ทิ ยาคม อาเภอหนองกี่ จงั หวัดบรุ ีรมั ย์



เรอื่ ง โคลนติดล้อ ตอน ความนิยมเปน็ เสมยี น

โดย
นางสาวนรศิ รา นามวงศ์ เลขที่ ๑๓
นางสาวลลติ า ศรีหาชยั เลขท่ี ๑๙
นางสาวสิรนิ ญา อโนมยั เลขท่ี ๒๒
นางสาวอภสิ รา จักเฮียม เลขท่ี ๒๓
นางสาวอรอุมา มุ่งอ้อมกลาง เลขท่ี ๒๔
นางสาวเจนจริ า เพชรตะกั่ว เลขท่ี ๒๙
นางสาวสร้อยทอง พฤกษา เลขท่ี ๓๔

ชั้นมธั ยมศกึ ษาปที ่ี๕/๘

เสนอ
นางสาวธัญญา ดาทอง

รายงานเล่มนี้เป็นสว่ นหนึ่งของรายวชิ าภาษาไทย (ท ๓๒๑๐๒)
ภาคการเรยี นที่ ๒ ปกี ารศกึ ษา ๒๕๖๒

โรงเรยี นหนองกพ่ี ิทยาคม อาเภอหนองกี่ จังหวัดบรุ ีรมั ย์

คานา

รายงานเลม่ น้ีเปน็ สว่ นหน่ึงของรายวิชาภาษาไทย รหัสวชิ า ท ๓๒๑๐๒ จัดทาขน้ึ เพ่ือ
รวบรวมเนอ้ื หา เกยี่ วกบั เรือ่ ง โคลนตดิ ล้อ ตอน ความนยิ มเปน็ เสมยี น เกย่ี วกับประวัตคิ วาม
เปน็ มา ตลอดถงึ ประวตั ิผแู้ ตง่ ลักษณะคาประพนั ธ์ และเนือ้ เรื่อง เพือ่ ใหผ้ ้ทู ีส่ นใจในเนื้อเรอื่ งของ
โคลนตดิ ล้อ ตอนความนิยมเป็นเสมียน ไดน้ าไปศกึ ษาค้นคว้าเพิม่ เตมิ

ขอขอบพระคณุ คุณครูธัญญา ดาทอง ทีใ่ ห้คาปรกึ ษาในการทารายงาน และ เพอื่ นชั้น
มัธยมศึกษาปที ่ี ๕/๘ ทกุ คนให้ความชว่ ยเหลือใหค้ าปรึกษา

หากผดิ พลาดประการใดต้องขออภยั ไว้ ณ ทน่ี ด้ี ้วย

นางสาวนริศรา นามวงศ์ และคณะ
๑๕ ธันวาคม ๒๕๖๒

สารบญั

เรื่อง หนา้
บทนา ๑
ประวัตผิ แู้ ต่ง ๑
ลักษณะคาประพันธ์ ๒
เนอื้ เรื่อง ๒
บทสรุป ๕
บรรณานกุ รม ๖

บทนา

โคลนติดล้อเป็นบทพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยใช้พระ
นามแฝงวา่ “ อัสวพาหุ ” รปู แบบการเขยี นเปน็ บทความทง้ั หมด ๑๒ บท บทที่ ๑๒ จบด้วยกาพย์
ยานี ๑๑ จานวน ๔ บท และพระยาวินัยสุนทรใช้นามปากกาว่า“โคนัน-ทวิศาล ” ได้เขียนล้อติด
โคลนเปน็ บทตอบโต้ซึง่ พระราชประสงค์ในการทรงพระราชนิพนธเ์ รื่อง โคลนติดลอ้ คือเพ่ือปลุกใจ
ให้คนไทยรักชาติ รักความเป็นไทยและช้ีให้คนไทยได้เห็นข้อบกพร่องของตนเองท่ีทาให้ประเทศ
ไทยเจรญิ ก้างหน้าชา้ ลงได้แก่ การเอาอย่างอยา่ งไมต่ รติ รอง การทาตนต่าตอ้ ย การบูชาหนงั สอื จน
เกินเหตุ ความนิยมเป็นเสมียน ๚ ซ่ึงเปรียบเป็นโคลลนติดล้อหรือปัญหาที่ทาให้ประเทศชาติก้าว
ไปสู่ความเจริญได้ช้าลง

ประวตั ผิ ูแ้ ต่ง

เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๔๒๓ มีพระนามเดิมว่า สมเด็จเจ้าฟ้า
มหาวชิราวุธ เป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระศรี
พัชรินทราบรมราชินีนาถ ศึกษาวิชาการท่ีประเทศอังกฤษ ทรงศึกษาในมหาวิทยาลัย
ออกซฟอร์ด และศกึ ษาวิชาการทหารบก ทโ่ี รงเรียนนายรอ้ ยแซนดเ์ ฮิซต์ ได้รบั สถาปนาเปน็ สมเด็จ
พระบรมโอรสาธริ าชสยามมงกุฎราชกุมาร เม่ือปี พ.ศ. ๒๔๓๗

เสด็จขึ้น ครองสิริราชสมบัติ เม่ื อ วัน ท่ี ๒๓ ตุลาคม พ .ศ. ๒ ๔๕ ๓ ได้ท รงตรา
พระราชบัญญัติ ประถมศึกษา ให้เป็นการศึกษาภาคบังคับ ทรงตั้งกระทรวงการทหารเรือ กอง
เสือป่า และกองลูกเสือ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ กรมศิลปากร โรงไฟฟ้าหลวงสามเสน คลังออม
สิน กรมสถิติพยากรณ์ กรมสรรพากร กรมตรวจเงินแผ่นดิน กรมมหาวิทยาลัย กรมรถไฟหลวง
และเปิดเดิน รถไฟไปเช่ือมกับมลายู ต้ังสถานเสาวภาและกรมร่างกฎหมาย ทรงเปลี่ยนการใช้
รัตนโกสินทร์ศก (ร.ศ.) เป็นพุทธศักราช (พ.ศ.) ทรงปลูกฝัง ความรักชาติให้เกิดขึ้นใน หมปู่ ระชา
ชาวไทย ทรงเป็นศิลปิน และส่งเสริมงานประพันธ์เป็นอย่างมาก ทรงเป็นผู้นาในการประพันธ์
วรรณคดีไทย ท้ังที่เป็นร้อยแก้วและร้อยกรอง ทรงเขียนหนังสือทางด้านประวัติศาสตร์ และด้าน
การทหารไว้เป็นจานวนมาก ประมาณถึง ๒๐๐ เรื่อง ท้ังภาษาไทยและภาษาอังกฤษ โดยใช้
นามปากกามากมาย เช่น ศรีอยุธยา พระขรรค์เพชร อัศวพาหุ นายแก้วนายขวัญ พันแหลม ราม
กิตติ สุครีพ พาลี ศรีธนญชัย รามสูร พาหุ พระขรรค์เพชร ไก่เขียว รามจิตติ และอีก
มากมาย พระองค์ได้รับ ถวายพระราชสมัญญานามว่า สมเด็จพระมหา ธีรราชเจ้า ทรงเป็น
นักปราชญท์ ่ีย่ิงใหญ่พระองคห์ นงึ่ ของไทย

ลกั ษณะคาประพันธ์

เร่ืองโคลนติดล้อ ตอน ความนิยมเป็นเสมียน เป็นบทความร้อยแก้วที่แสดงความคิดเห็น
เก่ยี วกับคา่ นยิ มของคนไทยซง่ึ นยิ มอาชพี เสมียน

เนอ้ื เรื่อง

ผลแห่งการบูชาหนังสือจนเกินเหตุ ตามที่ข้าพเจ้าได้กล่าวมาแล้วนั้น มีอยู่อีกอย่างหนึ่งซึ่ง
ข้ าพ เจ้ าจ ะ ข อ เรีย ก ว่ า ค ว าม นิ ย ม เป็ น เส มี ย น เพ ราะ จ ะ ห าค าให้ สั้ น ก ว่ าน้ี ไม่ ได้

การตั้งโรงเรยี นข้ึนท่ัวทั้งพระราชอาณาจักรให้โอกาสแก่บรรดาชายหญิงทุก ๆ ข้ันได้ศึกษา
ใหร้ ู้อา่ นร้เู ขียนหนงั สือนน้ั กลบั ใหผ้ ลท่ีทาใหเ้ ป็นท่ีราคาญ และอาจจะทาให้ราคาญย่ิงกวา่ ที่เป็นอยู่
เดี๋ ย วนี้ ก็ เป็ น ได้ โด ย ไม่ ก ล่ าวถึ งค วาม เสี ย ห าย อ ย่ างอ่ื น ซ่ึ งจ ะพึ งมี ม าใน ไม่ ช้ าวัน

เด็กทุก ๆ คนซ่ึงเล่าเรียนสาเร็จออกมาจากโรงเรียนล้วนแต่มีความหวังฝังอยู่ว่าจะได้มา
เป็นเสมียน หรือเป็นเลขานุการ และจะได้เล่ือนยศเล่ือนตาแหน่งขึ้นเร็ว ๆ เป็นลาดับไป เด็กที่
ออกมาจากโรงเรียนเหล่านี้ย่อมเห็นว่ากิจการอย่างอ่ืนไม่สมเกียรติยศนอกจากการเป็นเสมียน
ข้าพเจ้าเองได้เคยพบเห็นพวกหนุ่ม ๆ ชนิดนี้หลายคนเป็นคนฉลาดและว่องไว และถ้าหากเขา
ทั้งหลายน้ันไม่มีความกระหายจะทางานอย่างที่พวกเขาเรียกกันว่า "งานออฟฟิศ" มากีดขวางอยู่
แล้ว เขาก็อาจจะทาประโยชน์ได้มาก การที่จะบอกให้เขาเหล่านี้กระทาตัวของเขาให้เป็น
ประโยชน์โดยกลับไปบ้าน และช่วยบดิ ามารดาเขาทาการเพาะปลูกน้ันเป็นการป่วยกล่าวเสียเวลา
เขาตอบว่าเขาเป็นผู้ที่ได้รบั ความศึกษามาจากโรงเรียนแล้ว ไม่ควรจะเสยี เวลาไปทางานชนดิ ซ่ึงคน
ที่ไม่รู้หนงั สือกท็ าได้ และเพราะเขาไม่อยากจะลมื วิชาที่เขาไดเ้ รยี นร้มู าจากโรงเรยี นนัน้ ดว้ ย เพราะ
เหตุนี้เขาสู้สมัคร อดอยากอยู่ในกรุงเทพฯ ได้เงินเดือนเพียงเดือนละ ๑๕ บาทหรือ ๒0 บาท ยิ่ง
กวา่ ท่จี ะกลบั ไปประกอบการเพื่อเพิม่ พูนความสมบูรณ์แหง่ ประเทศใน นึกไปก็นา่ ประหลาดทสี่ ุด ท่ี
คนจาพวกนี้สู้อดทนต่อความลาบากเพ่ือแสวงหาและรักษาตาแหน่งเสมียนของเขา ในเงินเดือน
๑๕ บาทนี้พ่อเสมียนยังอุตส่าห์จาหน่ายจ่ายทรัพย์ได้ต่าง ๆ เช่นนุ่งผา้ ม่วงสี ใส่เสอ้ื ขาว สวมหมวก
สักหลาด และในเวลาท่ีกลบั จากออฟฟิศแลว้ ก็ต้องสวมกางเกงแพรจีนด้วย และจะต้องไปดูหนัง
อีกอาทิตย์ละ ๒ ครั้งเป็นอย่างน้อย ต้องไปกินข้าวตามกุ๊กช้อป แล้วยังมิหนาซ้าจะต้องเสียค่าเช่า
ห้องอีกด้วย (หรือบางทีเขาจะไม่เสียก็ไม่ทราบ) ครั้นเม่อื เงินเดอื นขน้ึ เป็นเดือนละ ๒0 บาท เขาก็
คิดอา่ นแต่งงานทีเดียว (ข้าพเจา้ ตอ้ งขออธบิ ายคาว่าแตง่ งานไวใ้ นวงเลบ็ ในทน่ี ี้ว่า ท่ีขา้ พเจ้าเรียกว่า
แต่งงานนั้น ข้าพเจ้าพูดอย่างละม่อม เพราะว่าการแต่งงานชนิดนี้มักเป็นการชั่วคราวโดยมาก ซึ่ง
ข้ า พ เจ้ า จ ะ ไ ด้ ก ล่ า ว ต่ อ ไ ป ใ น บ ท ห น้ า เพ ร า ะ ว่ า เป็ น โ ค ล น ก้ อ น ห นึ่ ง ซึ่ ง

ขา้ พเจ้าย่อมเขา้ ใจอยู่ว่า ชายหนุ่มซ่ึงได้ฝึกตัวให้คุ้นแก่ความสนุกสนานในเมือง ย่อมจะ
รู้สึกเบ่ือหน่ายถ่ินฐานบ้านเดิมของเขาตามบ้านนอก และที่จะกล่าวว่าถ้าเขาอยู่ในเมือง เขา

อาจจะทาประโยชน์ให้แก่บ้านเกิดเมืองนอนของเขาดีกว่าอยู่บ้านนอกนั้น เป็นความเหลวไหลโดย
แท้ ท่านผู้มีความคิดคงจะเข้าใจได้ดีว่า อันประเทศอย่างเมืองไทยของเราน้ี ชาวนาชาวสวน
อาจจะทาประโยชน์ให้แก่บ้านเมืองได้มากกว่าเสมียน ซึ่งเป็นแต่เครื่องมือเท่ากับปากกาและ
พิมพ์ดีด ซึ่งเขาใช้(หรือใช้ผดิ ) ถ้าจะเปรียบพืชท่ีเขาได้ทาให้งอกต้องนับว่าน้อยกว่าผลที่เขาได้กิน
เข้าไป แต่ถึงกระน้ันเขาก็ยังนึกว่าตัวเขาดีกว่าชาวนา และข้อท่ีร้ายน้ันพวกเราทั้งหลายก็พลอย

เม่ือไรหนอ พวกหนุ่ม ๆ ของเราจึงจะเข้าใจได้บ้างว่า การเป็นชาวนาชาวสวน หรือ
คนทางานการอื่น ๆ น้ัน ก็มีเกียรติยศเท่ากับที่จะเป็นผู้ทางานด้วยปากกาเหมือนกัน เมื่อไรจึงจะ
บังเกิดความรู้สึกเกียรติยศแห่งการงานอ่ืน ๆ นอกจากงานท่ีทาด้วยปากกาแลพิมพ์ดีด ?

คาตอบแห่งปัญหาข้อน้ี ก็เป็นดังท่ีกล่าวมาแล้วน้ันเอง กล่าวคือเป็นความผิดของเรา
ท้ังหลายด้วยกัน มิใช่ความผิดของพวกหนุ่ม ๆ โดยเฉพาะเท่าน้ันหามิได้ ถ้าเรายังคงแสดง
ความเห็นโดยประการต่าง ๆ ว่าเสมียนเป็นบุคคลชั้นท่ีสูงกว่าชาวนา ชาวสวน หรือพ่อค้าอยู่
ตราบใด พวกหนุ่ม ๆ ของเราก็คงจะทะเยอทะยานฝักใฝ่ทางเป็นเสมียนอยู่ตราบน้ัน ใช่แต่
เท่านั้น ยังมีคนอยู่เป็นอันมากท่ีช่วยเปิดทางหาการงานให้แก่ผู้ที่อยากจะเป็นเสมียน ส่วนผู้ท่ี
ปรารถนาจะช่วยให้คนได้ตั้งตัวเป็นชาวนา ชาวสวน หรือคนทางานอื่น ๆ ที่เป็นประโยชน์
เหมือนกันน้ันมีน้อยนัก ข้อท่ีว่าบรรดากระทรวงทบวงการมีเสมียนมากกว่าความจาเป็นน้ัน
ถึงแม้ผู้ท่ีดูแต่เผิน ๆ ก็เห็นได้ว่าเป็นความจริง เพราะฉะน้ันสถานที่เหล่านั้นจึงต้องจัดการถ่ายเท
พ ว ก ที่ เกิ น ต้ อ ง ก า ร อ อ ก เสี ย เป็ น ค รั้ ง ค ร า ว เพื่ อ ไ ด้ รั บ ค น ใ ห ม่ ๆ ต่ อ ไ ป

ส่วนพวกที่ถูกคัดออกน้ันเล่าเป็นอย่างไรบ้าง ข้อน้ีแหละเป็นที่น่าสังเวชยิ่งนัก คนเราที่
ปลอ่ ยให้ชวี ติ ลว่ งไปโดยทาการเป็นเสมียนเสยี นานแล้ว จะไปทางานการอะไรอ่นื ก็ไมส่ ามารถจะทา
ได้ ถ้าเขาเป็นคนที่ทาประโยชน์ได้อยู่ เขาก็คงจะได้เลื่อนขึ้นไปในตาแหน่งอ่ืนไม่ต้องถูกคัดออกก็
เช่นน้ันเขาจะไปทาอะไรเล่า เขาจะไปเป็นชาวนาไม่ได้ด้วยเหตุผลหลายประการ ประการ ๑ ก็
เพราะความหย่ิงอันหามูลมิได้ของเขาน้ันเอง เขาเห็นว่าไม่สมเกียรติยศที่จะไปหาการงานทากับ
ชาวนา ซ่ึงเขาเห็นว่าเป็นคนชัน้ ต่าและสามัญ ครน้ั เขาจะเป็นเจา้ ของเองกไ็ มไ่ ด้ ด้วยเหตวุ ่าเป็นการ
เหลือวิสัยที่เขาจะเก็บหอมรอมริบไว้ได้จากเงินเดือนอนั น้อย ซึ่งเขาต้องจบั จ่ายซื้อส่งิ ของซึ่งเขาถือ
ว่าเป็นของจาเปน็ ในระหวา่ งทเี่ ขาทาการเป็นเสมียนอยู่ แตเ่ หตุสาคัญที่เขาจะเป็นชาวนาไม่ได้น้นั ก็
คือ เขาตกลงใจไม่ได้ที่จะทิ้งเมืองไปอยู่ตามบ้านนอกคอกนา เพราะฉะน้ันพวกเสมียนที่เกินอัตรา
เหล่านี้จึงคงอยู่ในเมือง เที่ยวพยายามแสวงหาตาแหน่งเสมียนต่อไป และถ้าโชคดีก็คงจะเข้าได้
ชว่ั คราว แต่ไมช่ ้าก็ต้องเปดิ ออกไปอีก ในระหวา่ งนี้อายุของเขาก็ล่วงเข้าไปทุกวัน และผ้ทู ่ีเป็นนาย
หรือก็ชอบใช้แต่เสมียนท่ีหนุ่ม เพราะฉะนั้นโอกาสท่ีจะหางานทาก็มีน้อยเข้าทุกวันจนเป็นที่น่า
อศั จรรย์ว่าเขาหาเล้ียงชพี อยู่ได้อย่างไร ถ้าเขาเป็นผู้ท่ีมีนสิ ัยสุจรติ เขาก็เล่ียงไปตายอยู่ในที่ลับ ๆ
แห่ง 1 ไม่มีใครเห็น ไม่มีใครรจู้ ัก ไมม่ ีใครรกั ไม่มใี ครอาลัย เป็นการลงเอยอยา่ งมดื แหง่ ชวี ิตทมี่ ดื ไม่

มีสาระ แตถ่ ้าความยากจนข้นแค้นของเขานาเขาไปสู่ทางทุจริต เขาอาจจะไดค้ วามสนุกสนานอยู่
พัก ๑ แล้วเขาก็คงจะต้องยาตราเข้าสู่ศาลพระราชอาญาและไม่ช้าก็คงจะได้เข้าไปอยู่ในคุก

ดังนี้จะไม่เป็นการสมควรแลหรือ ที่เราจะสอนให้พวกหนุ่ม ๆ ของเราปรารถนาหาการ
งานอื่น ๆ อันพึงหวังประโยชน์ได้ดีกว่าการเป็นเสมียน ถ้าเราจะสอนเขาท้ังหลายให้รู้สึกเกียรติยศ
แห่งการท่ีจะเป็นผู้เพาะความสมบูรณ์ให้แก่ประเทศ เช่น ชาวนา ชาวสวน พ่อค้าและช่างต่าง ๆ
จะไม่ดีกว่าหรือ? ท่านเช่ือหรือว่าพวกหนุ่ม ๆ ของเราจะทาประโยชน์ให้แก่บ้านเมืองโดยทางการ
เป็นเสมียนมากกว่าท างอ่ืน ๆ เราจะมีข้าวขอ งเครื่องใช้อื่น ๆ ได้อย่างไร ถ้าเราไม่

ทา่ นท้ังหลายจะช่วยไดเ้ ป็นอันมากด้วยความเห็นของท่าน เพราะว่าถงึ แม้พวกหนุ่ม ๆ น้ัน
จะมีความคิดเห็นว่าตัวสาคัญปานใด ก็คงจะต้องฟังความเห็นของผู้อื่น ถ้าความเห็นของ
สาธารณชนเห็นว่าชาวนา ชาวสวน พ่อคา้ และช่างต่างๆ มีเกยี รติยศเสมอเสมียนและไม่ยกเสมียน
ข้ึนลอยไวใ้ นทอ่ี นั สงู เกินกว่าควร ก็จะเป็นประโยชน์ชว่ ยเหลอื ได้มากเพราะฉะนั้นท่านจะไมช่ ว่ ยกัน
ในทางนบี้ า้ งหรอื

บทสรุป
เป็นตัวอยา่ งบทความที่ดี เสนอข้อคิดเกย่ี วกับปัญหาบา้ นเมอื งในเร่อื งคา่ นยิ มท่เี ป็นอปุ สรรคทา

ให้ประเทศเจริญได้ช้า ให้แนวคิดวา่ อาชีพอ่ืนก็สามารถทาประโยชน์ใหแ้ ก่ประเทศชาติได้ โคลนติด
ล้อ มีความหมายถงึ เคร่ืองถว่ งรงั้ ความเจริญของประเทศชาติในตอนความนิยมเป็นเสมียน ต้องการ
ส่ือถงึ ค่านิยมผิดๆเกี่ยวกบั เลือกการประกอบอาชพี

๑ลงพิมพ์ในหนงั สือไทย พ.ศ.๒๔๕๘ ตอนความนิยมเปน็ เสมียนเป็นตอนที่ ๔ ลงพิมพใ์ นหนังสอื สยาม (สยาม
ออบเซอร์เวอร์) ฉบับวนั ที่ ๓ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๕๘

บรรณานุกรม

ภาษาไทย. สถาบนั สานกั งานคณะกรรมการการศึกษาข้นั พืน้ ฐาน. ๒๕๔๖.
แนวทางการอ่านวรรณคดแี ละวรรณกรรม. กรงุ เทพมหานคร: สถาบนั ภาษาไทย
สานกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาขั้นพืน้ ฐาน.

มงกุฎเกล้าเจ้าอยหู่ วั . พระบาทสมเด็จพระ. ๒๕๔๗. โคลนตดิ ล้อ. พมิ พค์ ร้งั ท่ี ๒. กรงุ เทพมหานคร:
อักษรเจริญทศั น์.

ภาสกร เกิดอ่อน. ๒๕๕๑. วรรณคดแี ละวรรณกรรม. พิมพ์ครงั้ ท่ี ๔. กรุงเทพมหานคร:
อักษรเจริญทัศน.์

พรทิพย์ แฟงสดุ . ๒๕๕๔. สื่อเสริมสาระการเรยี นรู้รายวชิ าพืน้ ฐานภาษาไทย ๕ -
กล่มุ สาระการเรยี นรู้ภาษาไทย ตามหลักสตู รการศึกษาชน้ั พืน้ ฐาน พ.ศ.๒๕๕๑.
สานักพิมพ์ฟิสกิ สเ์ ซน็ เตอร์: กรุงเทพมหานคร.

อภิชติ สุธาวา. ๒๕๖๐. โคลนตดิ ลอ้ ตอนความเปน็ เสมยี น
ChompooNCP – Google Sites . (ออนไลน์).
เข้าถึงได้ จาก:https://sites.google.com/site/aphichitsuthawa/kholn-tid-lx-txn-
niym-khwam-pen-semiyn. (วนั ท่ีคน้ ขอ้ มลู ๒ มกราคม ๒๔๖๓).

ภาคผนวก
โคลนตดิ ลอ้ ๑๒ ตอน

ตอนที่ ๑ การเอาอยา่ งโดยไม่ตริตรอง กล่าวถึงการทาตวั เอาอยา่ งตามชาวตะวันตก โดย
ไม่ตริตรอง ทาให้ชาวต่างชาตไิ ม่นบั ถอื เรา คนไทยจึงสมควรทีจ่ ะพยายามยกตัวเรา คิดทา อะไร
ด้วยตนเอง และสนบั สนุนผมู้ คี วามคิด

ตอนท่ี ๒ การทาตนใหต้ า่ ต้อย กล่าวถงึ คนไทยไมเ่ ชือ่ ถือคนไทยด้วยกนั แตเ่ ช่ือว่า การ
ทดอะไรให้ดตี อ้ งอาศัยความชว่ ยเหลอื จากชาวตา่ งชาติ

ตอนท่ี ๓ การบูชาหนงั สอื เกินเหตุ หนงั สือพิมพ์เป็นเคร่อื งแสดงความคดิ สิง่ ต่าง ๆ ที่
ผู้เขยี น เขียนลงหนังสือพิมพน์ ้นั ดังนน้ั ไมค่ วรเชือ่ ทัง้ หมด เพราะบางครั้งอาจมีความคิดเห็น
คดั ค้าน เคียดแค้น หรือใสร่ า้ ยลงเรือ่ งไร้สาระ

ตอนท่ี ๔ ความนิยมเปน็ เสมยี น ผทู้ ม่ี กี ารศกึ ษานิยมเขา้ รับราชการใช้ชวี ติ อยใู่ น กรุงเทพฯ
ไมส่ นใจกลับไปทางานทาการเกษตรในภูมลิ าเนาเดมิ เขา้ ใจว่าการรบั ราชการ จะทาประโยชน์
ใหแ้ กบ่ า้ นเมืองได้มากกว่าชาวไร่ชาวนา พ่อค้า และ งานอ่ืน ๆ

ตอนท่ี ๕ ความเหน็ ผิด คนไทยเห็นว่า การประพฤติตนตามแบบฝร่ังท้งั ท่ไี ม่ใช่สิง่ ดกี ็ เห็น
ว่าเป็นเรือ่ งทีถ่ กู ต้อง ความเหน็ ผดิ ดังกล่าว เชน่ การรับแขกด้วยวสิ กแ้ี ละโซดา การเป็นหมอเปน็
ความแลว้ ถึงฝ่าฝืนกฎหมาย กฎหมายก็จะคุ้มครองตน อิสระ คือการทาสิ่งต่าง ๆ ได้ตาม
อาเภอใจ ไม่ว่าจะผิดหรือให้โทษเพียงใด

ตอนท่ี ๖ ถอื เกียรติไม่มมี ูล มีคนถือสทิ ธคิ์ วามเสมอภาค เห็นว่าคนยอ่ มเสมอกนั โดยกาเนดิ
การจะแสดงความเคารพใครเปน็ เครือ่ งแสดงความต่าตอ้ ย

ตอนท่ี ๗ ความจนไม่จรงิ คนไทยนั้นจนไม่จรงิ ในเมืองเรายังไมเ่ คยปรากฏว่ามีคนอดตาย
ในเมอื งเรายังมกี ารเลน่ การพนนั แมช้ าวบา้ นนอกก็ยงั มีอาหารสมบูรณ์ การจนนั้นกเ็ พราะ
สุร่ยุ สรุ ่ายและเล่นการพนัน

ตอนท่ี ๘ แต่งงานชวั่ คราว การท่แี ตง่ งานทพ่ี ่อแม่ขายลูกสาวให้แกช่ ายโดยไมไ่ ดถ้ าม
ความเห็นของหญิง เมื่ออยู่กนั ไปก็เหมือนตกนรกทัง้ เป็น ครั้นผู้ชายรสู้ กึ เบอื่ หน่ายกอ็ าจขับไลห่ ญงิ
นั้นไปไม่เล้ยี งดู ถ้ามีลกู ก็ยง่ิ ลาบาก

ตอนที่ ๙ ความไม่รบั ผิดชอบของบิดามารดา การแตง่ งานชวั่ คราวส่งผลใหบ้ ดิ ามารดา
ไมร่ บั ผดิ ชอบ ไม่ทาหนา้ ท่พี อ่ แมท่ ีด่ ี ซง่ึ ส่งผลให้ลูกมปี ัญหา มีความประพฤติไม่ดี

ตอนท่ี ๑๐ การคา้ หญิงสาว การค้าหญงิ สาวเปน็ สิ่งทนี่ ่าละอายยิ่ง ผชู้ ายชอบมภี รรยาลบั
ซง่ึ ได้มาด้วยการตกลงให้เงนิ แกพ่ อ่ แมข่ องหญงิ ในระหวา่ งที่รกั กันอยหู่ ญิงน้นั กจ็ ะไดร้ ับการเลี้ยงดู
จากสามี แต่ถ้าสามีหมดรกั กถ็ ูกทอดทิง้ บา้ งก็กลับไปอยู่กับพอ่ แม่ บ้างกข็ ายตัว การทเ่ี ป็นเช่นนี้
นอกจากเปน็ เพราะผูช้ ายแล้ว แม่สื่อและพ่อแมท่ ีข่ ายหญงิ สาวก็ทาใหม้ ีการค้าหญิงสาว

ตอนที่ ๑๑ ความหยมุ หยิม บคุ คลทม่ี นี ิสัยหยมุ หยมิ ถา้ ไมม่ สี ว่ นอยู่ดว้ ยกจ็ ะไม่เห็นด้วย
และจะขัดขวาง ไมใ่ ห้กจิ การดาเนินไป แม้จะเป็นกจิ การสาหรบั ชาติ

ตอนท่ี ๑๒ หลักฐานไมม่ ่นั คง ผู้ทบี่ กพร่องในกิจการส่วนตัวเป็นผูท้ ม่ี ีหลกั ฐานไม่
มัน่ คง ตัวอย่าง ข้าราชการทชี่ อบสมาคมกับนักเลง ชอบเล่นการพนัน หลักฐานไม่มั่นคงในบุคคล
เป็นเหตุใหช้ าวตา่ งชาติไมไ่ ว้ใจ ไมเ่ ชือ่ ถอื ดังน้ัน เราคนไทยต้องประพฤตติ นเป็นคนซื่อตรงและ
สุจริต

กกุ๊ ช้อป อภิธานศัพท์
เกยี รติยศ
บา้ นนอกขอกนา ภัตตาคาร มาจากคาว่า Cook shop
ผ้ามว่ ง เกียรตโิ ดยฐานะตาแหน่งหนา้ ทห่ี รือชาตชิ นั้ วรรณะ
พูดอย่างละมอ่ ม เรียกคนทเ่ี ปน็ ชาวไรช่ าววนาอยนู่ อกกรงุ หรอื เมอื งหลวง
ยากจนขน้ แค้น ผ้าน่งุ แบบโจงกระเบนของขา้ ราชการสมัยก่อน
ยาตรา พดู อย่างสภุ าพ
ศาลพระราชอาญา อัตคดั ขัดสน ไรท้ รพั ย์
สาธารณชน เดนิ
หมวกสกั หลาด ศาลอาญา
ออฟฟศิ คนทัว่ ไป
หมวกทีต่ ัดเยบ็ ด้วยผ้าสกั หลาด
สานักงาน ยอมาจากคาวา่ office

เร่อื ง ประเพณีสงกรานต์

โดย
นายภัทรดนัย มากชมุ แสง และคณะ

ชนั้ มัธยมศึกษาปีที่๕/๘

เสนอ
นางสาวธญั ญา ดาทอง

รายงานเลม่ นีเ้ ป็นส่วนหนง่ึ ของรายวชิ าภาษาไทย (ท ๓๒๑๐๒)
ภาคการเรียนท่ี ๒ ปกี ารศกึ ษา ๒๕๖๒

โรงเรียนหนองกี่พทิ ยาคม อาเภอหนองก่ี จังหวัดบรุ ีรัมย์



เรือ่ ง ประเพณสี งกรานต์

โดย

นายภทั รดนัย มากชุมแสง เลขท่ี ๓

นายวีรพล ตามกลาง เลขที่ ๕

นางสาวชัญญานุช ชาชานาญ เลขที่ ๓๐

นางสาวตรีรตั น์ ผาก่งิ เลขที่ ๓๑

นางสาวปริญญาพร บุญธรรม เลขที่ ๓๒

นางสาวสภุ าภรณ์ โกนกระโทก เลขที่ ๓๖

ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปที ี่ ๕/๘

เสนอ
นางสาวธัญญา ดาทอง

รายงานเลม่ นีเ้ ปน็ ส่วนหนึ่งของรายวิชาภาษาไทย (ท ๓๒๑๐๒)
ภาคการเรียนท่ี ๒ ปกี ารศึกษา ๒๕๖๒

โรงเรยี นหนองกีพ่ ทิ ยาคม อาเภอหนองกี่ จังหวดั บุรรี ัมย์

คานา

รายงานเล่มนี้เป็นส่วนหน่ึงของรายภาษาไทย รหัสวิชา ท ๓๒๑๐๒ จัดทาข้ึนเพื่อรวบรวมเน้ือหา
เก่ียวกับเรื่องประเพณีสงกรานต์เก่ียวกับประวัติความเป็นมา ตลอดถึงการจัดประเพณีสงกรานต์ในแต่ละ
ภมู ิภาคในประเทศไทย เพือ่ ให้ผูท้ ี่สนใจในเนื้อหาเร่ือง ประเพณีสงกรานต์ได้นาไปศกึ ษาคน้ คว้าเพิม่ เตมิ

ขอขอบพระคุณคุณครูธัญญา ดาทองที่ให้คาปรึกษาในการทารายงาน และเพ่ือนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี
๕/๘ ทกุ คนให้ความชว่ ยเหลอื และใหค้ าปรกึ ษา

หากผดิ พลาดประการใดตอ้ งขออภัยไว้ ณ ทีน่ ีด้ ้วย

นายภทั รดนยั มากชมุ แสงและคณะ
๑๑ มกราคม ๒๕๖๓

สารบญั หนา้

เรือ่ ง ๑
บทนา ๒
ประวตั คิ วามเปน็ มาของประเพณสี งกรานต์ ๒
คุณคา่ และความสาคัญ ๓
กจิ กรรมในวนั สงกรานต์ ๓
ประเพณสี งกรานตแ์ ต่ละท้องถิน่ ๓
- ภาคเหนอื ๔
- ภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื ๔
- ภาคกลาง ๕
- ภาคใต้ ๕
สิ่งท่คี วรปฏิบตั แิ ละการอนุรักษ์ฟื้นฟูประเพณสี งกรานต์ ๖
บทสรุป
บรรณานกุ รม

บทนา

เม่ือกล่าวถึงสังคมหรือคนท่ีมาอยู่ร่วมกัน และมีความสัมพันธ์ต่อกันเราจึงต้องนึกถึงประเพณีท่ีเป็น
ผลผลิตอันเกิดจากการกระทาระหว่างกันของคนในสังคม เพราะประเพณี เป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นโดยคนใน
สังคม ให้การยอมรับ และนาไปเปน็ แนวทางเป็นวิธีปฏิบตั ิ ในการดาเนินชวี ิต ดงั นั้นประเพณีจึงเปน็ ท้ังคุณค่า
ของสังคม และเป็นขนบธรรมเนียมประเพณี ที่ดีของสังคมตลอดจนผลผลิต ผลงานภูมิปัญญาต่าง ๆ ท่ีมนุษย์
สร้างข้ึน ประเพณีเปน็ แบบแผน การ ดาเนินชีวิตของคนไทยมีความเป็นเอกลักษณ์ แต่ก็มีความหลากหลาย
ของในแต่ละท้องถิ่น ซ้ึงแตกต่างกันออกไปตามสภาพภูมิศาสตร์และการอยู่ร่วมกันของชนชาวไทย ประเพณี
ทุกประเพณีล้วนมีความสาคัญต่อคนไทย รวมถึงประเพณีสงกรานต์ก็มีความสาคัญอย่างยิ่งต่อการดาเนินชีวิต
เป็นคุณคา่ คูค่ วรแกก่ ารอนรุ กั ษ์ สบื สาน เพอ่ื ให้ดารงอยู่ค่คู นไทยต่อไป

ประวตั คิ วามเปน็ มาของประเพณีสงกรานต์

สงกรานต์ เป็นประเพณีของประเทศไทย ลาว กัมพูชา พม่า ชนกลุ่มน้อยชาวไตแถบเวียดนามและ
มณฑลยูนนานของจีน ศรีลังกาและทางตะวนั ออกของประเทศอินเดีย สงกรานต์ เป็นคาสันสกฤต หมายถึง
การเคลื่อนย้าย ซ่ึงเปน็ การอุปมาถึงการเคลื่อนย้ายของการประทับในจักรราศี คือการเคล่ือนขึ้นปใี หม่ในความ
เชื่อของไทยและบางประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สงกรานต์สืบทอดมาแต่โบราณคู่มากับประเพณีตรุษ
จึงมีการเรียกรวมกันว่า ประเพณีตรุษสงกรานต์ หมายถึง ประเพณีส่งท้ายปีเก่า และต้อนรับปีใหม่ คาว่าตรุษ
เป็นภาษาทมิฬ แปลว่า การส้ินปี แต่ในปจั จุบันการเฉลิมฉลองในประเพณีสงกรานต์น้ันได้ละทิ้งความงดงาม
ของประเพณีในสมัยโบราณไปเกือบหมดสิ้น คงไวเ้ พยี งแต่ภาพลักษณ์แห่งความสนุกสนาน พิธีสงกรานต์ เป็น
พิธีกรรมท่ีเกิดข้ึนในสมาชิกในครอบครัว หรือชุมชนบ้านใกล้เรือนเคียง แต่ปัจจุบันได้เปล่ียนไปสู่สังคมในวง
กว้าง และมีแนวโน้มท่ีจะเปล่ียนทัศนคติ และความเช่ือไป ในความเชื่อด้ังเดิมใช้สัญลักษณ์เป็นองค์ประกอบ
หลักในพิธี ได้แก่ การใชน้ ้าเปน็ ตัวแทน แก้กันกับความหมายของฤดูร้อน ช่วงเวลาท่ีพระอาทิตย์เคลื่อนเข้าสู่
ราศเี มษ ใชน้ า้ รดให้แก่กนั เพื่อความชุ่มช่นื มีการขอพร จากผู้ใหญ่ การราลึกและกตัญญูต่อบรรพบุรุษที่ล่วงลับ
ในชวี ติ สมยั ใหมข่ องสังคมไทยเกิดประเพณกี ลบั บา้ นในเทศกาลสงกรานต์ นับวันสงกรานตเ์ ป็นวันครอบครัว ใน
พิธีเดิมมีการสรงน้าพระท่ีนาสิริมงคล เพื่อให้เป็นการเร่ิมต้นปีใหม่ที่มีความสุข ปัจจุบันมีพัฒนาการและมี
แนวโน้มว่าไดม้ ีการเสริมจนคลาดเคล่ือนบิดเบือนไป เกิดการประชาสัมพนั ธ์ในเชิงการท่องเที่ยวว่าเป็น Water
Festival หรือ สงครามนา้ เป็นภาพของการใชน้ ้าเพ่ือแสดงความหมายเพยี งประเพณกี ารเลน่ น้า

คุณค่าและความสาคญั

ประเพณสี งกรานตถ์ อื เปน็ ประเพณกี ารเฉลิมฉลองวันขน้ึ ปีใหมข่ องไทยทย่ี ึดถอื ปฏบิ ัติ มาแตโ่ บราณ
ช่วงวนั สงกรานตจ์ ึงเปน็ วันแหง่ ความเอ้ืออาทร ความรกั ความผกู พัน ท่มี ตี ่อกันทัง้ ครอบครัว ชุมชน สังคม และ
ศาสนาทาให้สมาชิกของครอบครัวได้มีโอกาสมาอยู่ร่วมกันเพื่อแสดงความกตัญญูกตเวทิตา เช่น ลูกหลานนา
สิ่งของมา เย่ียมเยียน และรดน้าขอพรจากบิดา มารดา ปู่ ย่า ตา ยายรวมท้ังแสดงความกตัญญูกตเวทิตาต่อ
บรรพบุรุษ ท่ีล่วงลับไปแล้วด้วยการทาบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ การสร้างความสมัครสมานสามัคคีในชุมชน
ได้แก่ การร่วมกันทาบุญให้ทาน การก่อพระเจดีย์ทรายและเป็นการทานุบารุงพระพุทธศาสนา การเล่นสาดน้า
เพ่ือความสนุกสนานรื่นเริงร่วมกันนอกจากนี้ ยังสร้างความรู้สึกผูก พันกลมเกลียวต่อบุคคลในสังคมเดียวกัน


Click to View FlipBook Version