และสร้างความรู้สึกหวงแหนในสาธารณสมบัติของสังคม และส่ิงแวดล้อมโดยการช่วยกันทาความสะอาด
บา้ นเรือน วดั วาอารามตลอดจนอาคารสถานท่สี ถานทต่ี ่าง ๆ
การคานวณ ปฏิทินไทยในขณะนี้กาหนดให้เทศกาลสงกรานตต์ รงกับวันท่ี ๑๓-๑๕ เมษายน ของทุกปี
และเป็นวันหยุดราชการ อย่างไรก็ตาม ประกาศสงกรานต์อย่างเป็น ทางการ จะคานวณตามหลักเกณฑ์
ในคัมภีร์สุริยยาตร์ ซึ่งแตโ่ บราณมา กาหนดให้วนั แรกของเทศกาล เป็นวันที่พระอาทิตย์ย้ายออกจากราศีมีน
เข้าสู่ราศีเมษ เรียกว่า "วนั มหาสงกรานต์" วันถัดมาเรียก ว่า "วันเนา" และวันสุดท้าย เป็นวันเปลี่ยนจุล
ศักราชและเรมิ่ ใชก้ าลโยคประจาปีใหม่ เรยี กว่า "วันเถลิงศก"
กจิ กรรมในวนั สงกรานต์
๑.การทาบุญตักบาตร ถือว่าเป็นการสร้างบุญสร้างกุศลให้ตัวเองและอุทิศส่วนกุศลนั้นแก่ผู้ล่วงลับไปแล้ว
ในวันนี้หลังจากทไ่ี ดท้ าบุญเสร็จแลว้ ก็จะมกี ารก่อพระทรายอนั เปน็ ประเพณีด้วย
๒.การรดน้า เป็นการอวยพรปีใหม่ให้กันและกนั นา้ ท่ีรดมักใชน้ า้ หอมเจือด้วยน้าธรรมดา
๓.การสรงนา้ พระจะรดนา้ พระพุทธรปู ที่บ้านและทว่ี ัด และบางท่จี ัด สรงน้าพระสงฆ์ ดว้ ย
๔.บงั สกุ ลุ อัฐิ กระดูกญาติผูใ้ หญท่ ต่ี ายแล้ว มักกอ่ เป็นเจดีย์ แล้วนิมนตพ์ ระไป
๕.การรดน้าผใู้ หญ่ คือการไปอวยพรให้ผู้ใหญท่ ี่เคารพนับถอื ครูบาอาจารย์
๖.การดาหัว การดาหัวทาเพ่ือแสดงเราเคารพนับถือต่อพระ, ผู้สูงอายุ คือการขอขมาในส่ิงท่ีไดล้ ่วงเกินไป
แล้ว หรือ การขอพรปีใหม่จากผู้ใหญ่ ของที่ใช้ในการดาหัวส่วนมากมีอาภรณ์มะพร้าวกล้วยส้มป่อยเทียน
และดอกไม้
๗.การปล่อยนกปล่อยปลา ถือเป็นการล้างบาปท่ีทาไว้ เป็นการสะเดาะเคราะห์ร้ายให้มีแต่ความสุขความ
สบายในวันข้ึนปใี หม่
๘.การนาทรายเข้าวดั จะทาใหม้ ีความสขุ ความเจริญ เงินทองไหลมาเทมาดุจทรายท่ีขนเข้าวัด แตก่ ็มีบางที่
เชื่อว่าตลอดปี การนาทรายทต่ี ิดเทา้ ออกวัด เปน็ บาป จึงขนทรายเข้าวัดเพื่อไมใ่ หเ้ ปน็ บาป
ประเพณสี งกรานตใ์ นแตล่ ะทอ้ งถิ่น
ภาคเหนอื
วนั สงกรานตเ์ ป็นวันขึ้นปีใหม่ชาวไทยเหนือถือกันวา่ เป็นวันสังขารล่อง (อายุสังขาร) คืออายุของ
มนุษย์ ได้ล่วงเลยไปอีก 1 ปี และเปน็ วนั ท่ีสุดของศักราชเก่า ตอนเช้ามีการขับไล่เสนียด จัญไร การทาความ
สะอาดบ้านเรือนการชาระล้างร่างกาย เรียกว่า "ไปแอ่วปีใหม่" ในวันนี้ เร่ิมมีการเล่นรดน้ากันแล้ว
วันรุ่งขึ้นเป็นวันเนาว์หรือวันดามีการเตรียมของสาหรับทาบุญการขนทรายนา ไปไว้ที่วัดร่วมกันก่อเจดีย์ทราย
มีการเล่นน้า วันที่สามเป็นวันพญา วัน หรือวันเถลิงศกมีการนาอาหารไปถวายพระและนาอาหารไป
ให้แก่ผู้เฒ่าผู้แก่ท่ีเคารพนับถือตลอดจนนาไปถวายทานเพื่ออุทิศส่วนกุศล แก่บรรพบุรุษที่ล่วงลับมีการถวาย
ทานเจดีย์ทรายปล่อยนกปล่อยปลาการสรงน้าพระเจดีย์การค้าต้นโพธ์ิการสรงน้าพระพุทธ คู่บ้านคู่เมืองการ
ไป ดาหัวโดยลูกหลานจะพากันไปขอขมาวัน ปากปี จะมีการแห่ดาหัวไปดาหัวพระผู้ใหญ่ ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่
เช่น ผู้ว่าราชการจังหวัด (เจ้าเมือง) เป็นตน้ ในวันน้ีก็จะมีการดาหัวกู่คือ การไปดาหัวอนุสาวรีย์บรรพบรุ ุษ
ของตระกูลของตน การดาหัวเป็นวัฒนธรรมอันสูงย่ิงของภาคเหนือเป็นการแสดงออกถึงการขออภัยการให้
อภยั งานสงกรานต์ทีม่ ชี อื่ เสียงของภาคเหนอื คอื ประเพณีป๋ีใหม่เมือง จังหวัดเชยี งใหม่
ภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ หรือภาคอีสานของไทยเรียกว่า "ฮีตสิบสอง" ซ่ึงมักจะเป็นงานบุญท่ี
เก่ียวกับพระพุทธศาสนาเป็นหลักและ ในเดือนห้าก็เป็นการทาบุญสงกรานต์ ในวันท่ี ๑๓ ๑๔ ๑๕ เมษายน
พธิ ีการของแต่ละท้องถ่ินอาจแตกตา่ งกัน แตส่ ิ่งท่ีเหมือนกันคือการสรงน้าพุทธรูปบางท่ีใชศ้ าลาการเปรียญแต่
บางท่ีจะจัดสร้างหอสรงแล้วอัญเชิญพระพุทธรูปมาประดิษฐานในหอสรงเพ่ือสรงน้าในวันสงกรานต์
นอกจากนนั้ ก็มกี ารเล่นสาดน้ากัน หลังจากวันสงกรานต์แล้วหมู่บ้านบางแห่งแห่ดอกไม้ไปถวายพระวดั ในเวลา
พลบค่าก็มีการไหว้พระ รับศีล เป็นการสร้างความสามัคคีกันในหมู่คณะ สงกรานต์ท่ีมีชื่อเสียงทางภาค
ตะวนั ออกเฉียงเหนือ ได้แก่สงกรานต์ ในจังหวดั หนองคายมีการสรงน้าหลวงพ่อพระใส พระพุทธรูปอันเป็นที่
สักการะ ของทั้งประชาชนชาวไทยและประชาชนชาวลาว เช่นเดียวกันกับไทยการเล่นสงกรานต์สองฟากฝั่ง
โขงเน่ืองจากลาวกถ็ อื คติการเลน่ สงกรานต์
ภาคกลาง
ประเพณีสงกรานต์ถือเป็นประเพณีการเฉลิมฉลองวันขึ้นปีใหม่ท่ีชาวภาคกลางยึดถือปฏิบัติมาแต่
โบราณแบ่งออกเป็น ๓ วนั คือวันที่ ๑๓ ๑๔ และ ๑๕ มีการทาบุญตกั บาตรการ ปล่อยนกปล่อยปลา การ
สรงน้าพระการก่อพระเจดีย์ทรายการแห่นางสงกรานต์การเล่นสาดน้า การเล่นสงกรานต์ท่ีมีช่ือเสียง ได้แก่
สงกรานต์กรุงเทพมหานคร บริเวณสนามหลวง วัดมหาธาตุ และสงกรานต์จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
บริเวณอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยาโดยจัดการเล่นสงกรานต์แบบโบราณ นอกจากนี้ยังมี
สงกรานต์พระประแดงจังหวัดสมุทรปราการซ่ึงแตกต่างไปจากสงกรานต์ทั่วไป เช่น ขบวนแห่นกแห่ปลาซ่ึง
เจา้ ภาพ จะเชิญหญิงสาวมาถือกรงนกและโหลใส่ปลาสาหรับนาไปปล่อย พิธีการส่งข้าวแช่สงกรานต์ โดย
ให้หญิงสาวเป็นคู่ ๆ ถือภาชนะใส่ข้าวแช่และกับข้าวไปส่งตามวัดต่าง ๆ แต่เช้าตรู่ การเล่นสะบ้าซ่ึงเป็นธรรม
เนียมปฏิบตั มิ าแตด่ ง้ั เดิมในช่วงสงกรานต์น้ี ชาวพระประแดงจะแต่งกายตาม แบบดั้งเดิมของชาวรามญั
ภาคใต้
ประเพณีสงกรานตถ์ ือเป็นประเพณกี ารเฉลมิ ฉลองวนั ข้นึ ปใี หมท่ ่ีชาวภาคใต้ ถือเอาวนั ท่ี ๑๓ ๑๔ และ
๑๕ มีการทาบุญตักบาตรการปล่อยนกปล่อยปลา การสรงน้าพระการก่อ พระเจดีย์ ทรายการแห่นาง
สงกรานต์และรถปุปผะชาติ การเล่นสาดน้า เช่นเดียวกับภาคอ่ืนๆจังหวัดท่ีมีการเล่นสงกรานต์ท่ี มีช่ือเสียง
ได้แก่สงกรานต์หาดใหญ่ จังหวัดสงขลาซ่ึงจัดข้ึนใน พ้ืนที่สวนสาธารณะเทศบาลนครหาดใหญ่ ศาลาไทย
ตั้งแตว่ ันที่ ๖-๑๕ เมษายน ได้รับความ สนใจ จากนักท่องเที่ยวจากประเทศมาเลเซียและสิงคโปร์ และยังมี
สงกรานต์เมืองนครจังหวัดนครศรีธรรมราช ตามแบบด้ังเดิมของชาวนครศรีธรรมราชมีการอัญเชิญพระพุทธ
สิหิงค์ จากหอพระออกมา สรงน้าพิธีตักบาตรบริเวณสนามหน้าเมือง การแห่นางสงกรานต์และ การแห่นาง
กระดานเปน็ ตน้
สง่ิ ทคี่ วรปฏบิ ัตแิ ละอนุรกั ษ์ฟื้นฟปู ระเพณสี งกรานต์
การเตรียมเครื่องนุ่งห่มชุดใหม่ท่ีสะอาดเรียบร้อย เพ่ือไหว้บิดามารดา หรือญาติผู้ใหญ่การทาความ
สะอาดบ้านเรือน ท่ีอยู่อาศัย บริเวณต่าง ๆ ในชุมชนที่อยู่ เช่น วัดวาอารามที่จะใช้เป็นสถานที่สาหรับทาบุญ
และท่ีสาธารณะต่าง ๆ การเล่นสาดน้าโดยใช้น้าสะอาดและเล่นอย่างสุภาพ เหมาะสมกับกาลเทศะไม่ก่อความ
เดือดร้อนราคาญ หรือละเมิดสิทธิเสรีภาพของผู้อ่ืนหรือการละเล่นรื่นเริงอ่ืน ๆ ตามประเพณีนิยมของท้องถิ่น
น้ัน ๆ ในปัจจุบันการเล่นสงกรานต์มีกิจกรรมบางอย่างที่มีการปฏิบัติในลักษณะที่ไม่เหมาะสม และส่งผล
กระทบต่อขนบธรรมเนียมประเพณี หรือส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินซ่ึงควรจะมีการ
ปอ้ งกนั และแกไ้ ข ไดแ้ ก่
๑.การเล่นสาดน้าอย่างรุนแรง เช่น ใชป้ ืนฉีดน้าชนิดอัดแรงลมการใช้น้าสกปรก หรือของเหลวที่เน่าเหม็น การ
ขวา้ งปาถงุ นา้ แข็งทาใหเ้ กิดการบาดเจบ็ หรือสร้างความไม่พอใจ
๒.การประแปง้ หรือสง่ิ อ่นื ทีม่ ลี กั ษณะส่อไปในทางกระทาอนาจาร เช่น ใช้มือลูบคลาใบหน้าหน้าอกหรือสะโพก
ของสภุ าพสตรี
๓.การประกวดเทพีสงกรานต์ หรือประกวดในลักษณะอื่น ๆ ที่ไม่เหมาะสมเช่น แต่งกายด้วยชุดว่ายน้า
ประกวดเทพีสงกรานต์ประเภท ๒ เป็นตน้
ส่ิงที่ควรปฏิบัติฟ้ืนฟูคือ การให้ความรู้ ความเข้าใจท่ีถูกต้องเก่ียวกับคุณค่าและสาระท่ีสาคัญของ
ประเพณีและรูปแบบกิจกรรม การปฏิบัติที่เหมาะสมตามประเพณี การส่งเสริมการเรียนรู้ประเพณีท้องถ่ินทั้ง
ในระบบและนอกระบบโรงเรียนรวมทง้ั การศึกษาตามอัธยาศยั
บทสรปุ
รายงานเชงิ วิชาการเรือ่ ง สงกรานต์ประเพณีไทยคณะผ้จู ดั ทาขออภปิ รายผล ดงั น้ี
๑.ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ ทราบถงึ ขอ้ มูลทว่ั ไปของประเพณสี งกรานตเ์ ปน็ อย่างดี
๒.คนไทยเลง็ เหน็ ถงึ คุณค่า และความสาคญั ของประเพณีสงกรานต์
๓.การจดั กิจกรรมในวนั สงกรานต์ ของคนไทยสามารถทาให้คนไทยเองราลึกถึงบุญคุณ ของพ่อแม่ ปยู่ ่า ตายาย
และญาติผู้ใหญ่ทไี่ ด้อบรมสง่ั สอบ
๔.การจัดกิจกรรมในวนั สงกรานตย์ ังแสดงถงึ ความรกั ความสามัคคีของคนในทอ้ งถ่นิ นัน้ ๆ
๕.เห็นถึงความแตกต่างของประเพณีสงกรานต์ในแต่ละภูมิภาคของไทยในปัจจุบันว่ามีความแตกต่างกัน บาง
เรื่องของการจัดกิจกรรมและการแสดงท่ีผสมผสานของภาคต่าง ๆ
๖.เกิดความภาคภูมิใจท่ีได้เป็นคนไทย และมีความรู้สึกที่จะรักษาประเพณีอันดีงามของไทย รวมท้ังประเพณี
สงกรานต์ให้คงอยูต่ ลอดไป
ทัง้ ๖ ขอ้ ที่กล่าวมา คนไทยรแู้ ละเขา้ ใจถงึ ข้อมลู ทัว่ ไปของประเพณสี งกรานต์เปน็ อย่าง
ดี เช่น ประวตั ิความเป็นมา คุณค่าและความสาคัญรวมถงึ การจัดกจิ กรรมและการอนรุ ักษ์ เราสามารถสังเกตได้
จากการจดั งานกิจกรรมวันสงกรานต์ ของไทยทผี่ ่านมาซง่ึ การทค่ี นไทยรแู้ ละเข้าใจถึงสิ่งที่กล่าวมาข้างต้น ก็จะ
เปน็ การนาไปสู่การส่งเสรมิ และสืบสานกิจกรรมประเพณีสงกรานต์ และงานประเพณีท้องถน่ิ ของตนที่มอี ยู่ด้วย
กระมล ทองธรรมชาติ , ประเพณีสงกรานต์, (. กรุงเทพมหานคร: บริษัท ไทยร่มเกล้าจากัด, 2556)
บรรณานกุ รม
กระมล ทองธรรมชาต,ิ และคณะ. 2551.ประเพณสี งกรานต์.[ออนไลน์].
เข้าถึงไดจ้ าก:http://www.hilight.kapook.com. (วันที่ค้นข้อมูล: 20/07/2556).
ไทยรัฐ. 2556. สงกรานต.์ [ออนไลน์]. เขา้ ถงึ ไดจ้ าก: http://www.prapayneethai.com.
(วันท่ีค้นข้อมูล: 20/07/2556).
วกิ พิ เี ดีย. สงกรานต.์ [ออนไลน์]. เข้าถึงไดจ้ าก: http://www.th.wikipedia.org/wiki/สงกรานต.์
(วันทีค่ น้ ข้อมลู : 20/07/2556)
ภาคผนวก
ตานานนางสงกรานต์
เม่ือวันสงกรานต์ตรงกบั วนั ใดในแต่ละปกี จ็ ะมนี างสงกรานตป์ ระจาวนั นั้น ๆ นางสงกรานต์มีชือ่ ดังน้ี
๑.วันอาทิตยเ์ ปน็ วันมหาสงกรานตน์ างสงกรานต์นาม ทงุ ษะเทวี
๒.วันจนั ทรเ์ ปน็ วนั มหาสงกรานตน์ างสงกรานต์นาม โคราคเทวี
๓.วนั องั คารเป็นวันมหาสงกรานต์ นางสงกรานต์นาม รากษสเทวี
๔.วนั พุธเป็นวันมหาสงกรานต์ นางสงกรานตน์ าม มัณฑาเทวี
๕.วนั พฤหัสบดเี ปน็ วันมหาสงกรานต์ นางสงกรานต์นาม กริ กณีเทวี
๖.วนั ศุกรเ์ ปน็ วนั มหาสงกรานต์ นางสงกรานต์นาม กมิ ทิ าเทวี
๗วนั เสาร์เป็นวนั มหาสงกรานต์ นางสงกรานตน์ าม มโหธรเทวี
นางสงกรานต์เปน็ ธิดาของท้าวมหาสงกรานต์หรือ ท้าวกบิลพรหม มีหน้าท่ีผลัดเปล่ียนกันดูแลเศียร
ของท้าวกบลิ พรหมซง่ึ ประดิษฐานอยู่ในพานแวน่ ฟ้า เน่ืองจากท้าวกบลิ พรหมแพพ้ นันการตอบปัญหาแก่ธรรม
บาลกุมาร จึงต้องตดั เศียรของตนบูชาแก่ธรรมบาลกุมารก่อนจะตัดเศียรท้าวกบลิ พรหมาได้เรียกธิดาท้ัง ๗ ซ่ึง
เปน็ นางฟ้าบนสวรรคช์ นั้ จาตมุ หาราชกิ าใหเ้ อาพานมารองรับ เน่ืองจากเศียรของท้าวกบลิ พรหมเป็นท่ีรวมแห่ง
ความร้อนท้ังปวงถ้าวางไว้บนแผ่นดินไฟจะไหม้โลกถ้าโยนขึ้น ไปบนอากาศ ฝนจะแล้งถ้าทิ้งลงในมหาสมุทร
น้าจะแห้งธดิ าท้งั ๗ จึงผลัดเปลี่ยนกันถอื พานรองเศียรของทา้ วกบิลพรหมไว้ คนละ ๑ ปี
ทมฬิ คาอภธิ านศพั ท์
มณฑล
สริ มิ งคล ชนชาติหนง่ึ อยูใ่ นอินเดียตอนใต้
ทศั นคติ เขต , บรเิ วณ, เขตการปกครองหลาย ๆ จังหวัดรวมกนั
จกั รราวาดี ความรุ่งเรือง ความสว่าง สดใส ความงาม ความเจริญ
การแสดงออกถึงความชอบหรือไมช่ อบ
อาณาเขตรอบดวงอาทิตยท์ ่ดี าวเคราะหเ์ ดิน
เร่อื ง ประเพณีแห่เทียนพรรษา
โดย
นายอนนั ต์ มุ่งดี และคณะ
ชัน้ มัธยมศกึ ษาปีท่ี ๕/๒
เสนอ
นางสาวธัญญา ดาทอง
รายงานเลม่ นีเ้ ปน็ ส่วนหนง่ึ ของรายวิชาภาษาไทย (ท ๓๒๑๐๒)
ภาคเรียนที่ ๒ ปีการศกึ ษา ๒๕๖๒
โรงเรยี นหนองกพี่ ิทยาคม อำเภอหนองกี่ จงั หวดั บรุ รี ัมย์
เรอื่ ง ประเพณีแหเ่ ทยี นพรรษา
โดย
นายอนนั ต์ มุ่งดี เลขท่ี ๗
นายภูมินทร์ เครอื แกน่ แก้ว เลขท่ี ๘
นายรชั ชานนท์ อินทร์นอก เลขที่ ๙
นางสาวปยิ ะวนั สมุ งคก์ ช เลขท่ี ๑๒
นางสาวสุปรยี า เที่ยงกระโทก เลขที่ ๒๔
นางสาวสภุ าภรณ์ ภหู ลาบ เลขท่ี ๒๕
ชนั้ มัธยมศึกษาปีท่ี ๕/๒
เสนอ
นางสาวธัญญา ดาทอง
รายงานเล่มน้เี ปน็ ส่วนหนงึ่ ของรายวชิ าภาษาไทย (ท ๓๒๑๐๒)
ภาคเรยี นท่ี ๒ ปกี ารศึกษา ๒๕๖๒
โรงเรยี นหนองก่ีพิทยาคม อำเภอหนองก่ี จงั หวดั บรุ ีรัมย์
คำนำ
รายงานเล่มนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชาภาษาไทย รหัสวิชา ท ๓๒๑๐๒ จัดทำขึ้นเพ่ือ
รวบรวมเนื้อหาเกี่ยวกับเรื่อง ประเพณีแห่เทียนพรรษา เกี่ยวกับประวัติความเป็นมา ตลอดถึงการ
จัดประเพณีแห่เทียนพรรษาในแต่ละภูมิภาคในประเทศไทย เพื่อให้ผู้ที่สนใจในเนื้อหาเรื่อง
ประเพณีแห่เทยี นพรรษาได้นำไปศึกษาค้นควา้ เพิ่มเติม
ขอขอบพระคุณคุณครูธัญญา ดาทองที่ให้คำปรึกษาในการทำรายงาน และเพื่อนช้ัน
มธั ยมศกึ ษาปที ี่ ๕/๒ ทุกคนให้ความชว่ ยเหลือและใหค้ ำปรึกษา
หากผดิ พลาดประการใดตอ้ งขออภยั ไว้ ณ ทน่ี ้ดี ้วย
นายอนันต์ มุ่งดี และคณะ
๒๑ มกราคม ๒๕๖๒
สารบัญ หน้า
เร่ือง ๑
๒
บทนำ ๓
ความเปน็ มาของประเพณีแหเ่ ทียนพรรษา ๓
ประวัตขิ องประเพณแี หเ่ ทยี นพรรษา ๓
๓
- การกำเนดิ เทยี นพรรษา ๕
- วิวัฒนาการเทยี นพรรษา ๖
- งานประเพณีแหเ่ ทยี นพรรษา
บทสรุป
บรรณานุกรม
บทนำ
การเทียนพรรษาเป็นประเพณีวันเข้าพรรษาของชาวพุทธที่ได้กระทำต่อเนื่องกันมาแต่
พุทธกาลโดยมีวตั ถุประสงค์เพื่อถวายเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา และสังฆบูชา ก่อนสมัยของพระเจ้า
บรมวงศ์เธอกรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ ซึ่งเป็นผู้สำเร็จราชการเมืองอุบลในสมัยนั้น ในการทำ
เทียนพรรษาและการแห่เทยี นของชาวเมอื งอุบลยังไมม่ ี ซ่งึ เมอ่ื สมยั น้นั เมอื่ ถงึ วนั เทศกาลเข้าพรรษา
ชาวบ้านจะฟั่นเทียนพันรอบศีรษะนำไปถวายพระเพื่อจุดบูชาจำพรรษาพร้อมทั้งหาน้ำมัน เครือง
ไทยทาน และผา้ อาบน้ำฝน ไปถวายพระ
ครัน้ ในสมยั กรมหลวงสรรพสทิ ธิประสงค์ ได้เปน็ ผสู้ ำเรจ็ ราชการที่เมืองอุบลซึ่งในครั้งน้ันได้
มีการจัดขบวนแห่บ้ังไฟขึ้นท่ีวดั กลาง โดยมีชาวบา้ นเข้าร่วมขบวนแห่เป็นจำนวนมาก ซึ่งในการจัด
ขบวนแห่ในครั้งนั้นได้มีการทำร้ายร่างกายกันจนเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตาย ดังนั้นเมื่อทราบถึง
เสด็จในกรมจึงทรงเห็นว่าเป็นสิ่งที่ไม่ดีจึงขอให้เลิกการแห่บั้งไฟตั้งแต่บัดนั้นโดยให้เปลี่ยนมาเป็น
การแหเ่ ทียนแทน
การแห่เทียนแต่เดิมไม่ได้ใหญ่โตเช่นปัจจุบัน เพียงแต่ชาวบ้านร่วมกันบริจาคเทียนแล้วนำ
เทียน มาติดกับลำไม้ไผ่ ที่เตรียมไว้ ตามรอยต่อ หากระดาษจังโก (กระดาษสีเงินสีทอง) ตัดเป็น
ลายฟันปลาติดปดิ รอยต่อ เสร็จแล้วนำต้นเทียน ไปมัดติด กับปี๊บ น้ำมันก๊าด ฐานของต้นเทียนใช้
ไมต้ ีเป็นแผน่ เรียบหรอื ทำสูงขน้ึ เป็นชั้น ๆ ติดกระดาษ เสร็จแลว้ มกี าร แหน่ ำไปถวายวดั ซึง่ พาหนะ
ท่ีใชใ้ นสมัยน้ันนยิ มใช้เกวียนหรือลอ้ เลื่อนท่ีใชว้ ัวหรอื คนลากจูง ในสมยั แรก ๆ น้ันไมม่ ีการประกวด
เทยี นพรรษาแตช่ าวบ้านจะกล่าวร่ำลอื กันไปว่า เทียนคมุ้ วดั น้นั งาม เทยี นคมุ้ วัดนส้ี วยต่อมาผู้สำเร็จ
ราชการเมืองอุบลฯ จึงเห็นควรให้มีการประกวดเทียนพรรษาก่อนแล้วแห่รอบเมืองก่อนจะนำไป
ถวายพระที่วัด
ความเปน็ มาของประเพณีแหเ่ ทยี นพรรษา
ก่อน สมัยพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ เป็นผู้สำเร็จราชการเมืองอุบล
ชาวอุบลไม่มีการหล่อเทียนแห่เทียนเช่นปัจจุบัน ชาวบ้านจะฟั่นเทียนยาวรอบศีรษะไปถวายพระ
เพื่อจุดบชู าจำพรรษา ครัน้ ในสมยั กรมหลวงสรรพสทิ ธปิ ระสงค์ ได้ เป็นผู้สำเรจ็ ราชการท่ีเมืองอุบล
คราวหนึ่งมีการแห่บั้งไฟที่วัดกลาง มีคนไปดูมาก ในการแห่บั้งไฟมีการตีกันในขบวนแห่จนถึงแก่
ความตาย เสดจ็ ในกรมเหน็ ว่าไม่ดี จึงให้เลิกการแหบ่ ้งั ไฟและเปลย่ี นเป็นการแห่เทยี นแทน
การแหเ่ ทยี นแต่เดิมไมไ่ ด้จัดใหญโ่ ตเช่นปัจจุบัน เพยี งแต่ชาวบ้านร่วมกันบริจาคเทียน แล้ว
นำเทียนมาติดกับลำไม้ไผ่ที่เตรียมไว้ ตามรอยต่อหากระดาษจังโก (กระดาษสีเงินสีทอง) ตัดเป็น
ลายฟันปลาปิดรอยต่อ เสร็จแล้วนำต้นเทียนไปมัดติดกับป๊ีบน้ำมันก๊าด ฐานของต้นเทียนใช้ไม้ตี
เป็นแผ่นเรียบ หรือทำสูงขึ้นเป้นชั้น ๆ ติดกระดาษ เสร็จแล้วมีการแห่นำไปถวายวัด พาหนะที่ใช้
นิยมใช้เกวียน หรือล้อเลื่อนทีใ่ ช้วัวหรือคนลากจูง การแห่ของชาวบ้านก็จะมีฆ้อง กลอง กรับ และ
การฟ้อนรำดว้ ยความสนกุ สนาน
ในระยะเวลาประมาณ พ.ศ. ๒๔๘๐ การทำต้นเทียนได้พัฒนาขึ้น ถึงขั้นใช้การหล่อออก
จากเบ้าพิมพ์ที่เป็นลายง่าย ๆ เช่น ประจำยาม กระจัง ตาอ้อย บัวคว่ำ บัวหงาย ก้ามปู ฯลฯ แล้ว
นำไปติดทีล่ ำต้นเทยี น ชา่ งผ้มู ีชือ่ เสียงในทางน้ีคอื นายโพธิ์ ส่งศรี ลายท่พี อ่ ใหญ่โพธ์ิทำขึ้นเป็นลาย
ง่าย ๆ เช่น ลายประจำยาม กระจังตาอ้อย ใบเทศ บัวคว่ำบัวหงาย พ่อใหญ่โพธิ์เป็นช่างทำต้น
เทียน ให้กบั วดั ทงุ่ ศรีเมือง ตอ่ มา นายสวน คณู ผล ได้นำวธิ ีการดังกล่าวมาประยุกต์ใช้ และประดับ
ฐานต้นเทียนด้วยรูปปั้นสัตว์และลายไม้ฉลุ ทำให้ดูสวยงามมากขึ้น ผลงานทำต้นเทียน ของนาย
สวน คณู ผล จึงมักจะได้รางวลั ชนะเลศิ อยเู่ ป็นประจำ
ในช่วงปี พ.ศ. ๒๔๙๔ ประชาชนเริ่มให้ความสนใจและเห็นความสำคัญ ในการทำและแห่
เทียนพรรษามากขึ้น เมื่อทางจังหวัดได้ส่งเสริมให้งานเข้าพรรษาเป็นงานประเพณีประจำปี แต่ต้น
เทยี นในขณะนน้ั ยังมกี ารจัดทำอยู่เพียง ๒ ประเภท คอื ประเภทมัดเทียนรวมกันแล้วติดกระดาษสี
และประเภทพิมพ์ลายติดลำต้น ใน พ.ศ. ๒๔๙๕ ได้มีการฟื้นฟูศิลปะการทำต้นเทียน และการแห่
เทียนพรรษาของ จงั หวดั อุบลราชธานี มีการประกวดเทียนพรรษา ๒ ประเภท คอื ประเภทมดั รวม
ติดลาย และประเภท ตดิ พมิ พ์
ครั้น พ.ศ. ๒๔๙๗ ช่างฝีมือรุ่นเยาว์ อันได้แก่ นายอารียก สินสวัสดิ์ นายประดับ ก้อนแก้ว
ไดพ้ ัฒนาวิธที ำข้นึ ใหม่ โดยใช้ปนู พลาสเตอรแ์ กะเป็นแมพ่ ิมพ์ลายตา่ ง ๆ แลว้ หลอ่ ด้วยเทยี นออกมา
เป็นดอก ๆ ผึ้งที่ใช้หล่อดอกไม้คนละสีกับลำต้น จึงทำให้มองเห็นเป็นสว่ นลึกของลายอย่างชัดเจน
นายประดับ ก้อนแก้ว ได้ทำต้นเทียนติดพิมพ์ และตกแต่งขบวนต้นเทียนของวัดมหาวนารามได้
อย่างสวยงาม จนได้รับรางวัลชนะเลิศ ประมาณปี พ.ศ. ๒๕๐๐ มีการจัดงานกึ่งพุทธกาลท่ัว
ประเทศ งานด้านศาสนาจึงเฟื่องฟูมาก การแห่เทียนพรรษาของจังหวัดอุบลราชธานี ได้รับการ
สนับสนุนให้ยิ่งใหญ่มากขึ้น ทั้งด้านการจัดขบวนแห่ และการจัดหาสาวงามสำหรับต้นเทียน พ.ศ.
๒๕๐๒ นายคำหมา แสงงาม ช่างสูงอายุคนหนึ่งได้คิดและแกะสลักต้นเทียนโดยไม่ต้องพิมพ์ดอก
มาติด เหมือนเช่นที่ช่างรุ่นก่อนทำมา ทำให้ต้นเทียนแกะสลักที่นายคำหมาทำให้กับบ้านกุดเป่ง
อำเภอวารินชำราบ มคี วามแปลกใหม่สวยงาม ดงั นั้น ในปตี ่อมา จึงไดม้ ีการเสนอให้จดั ประกวดต้น
เทียน ๓ ประเภท คอื ประเภทมัดรวมติดลาย ประเภทตดิ พมิ พ์ และประเภทแกะสลัก ระยะต่อมา
จึงตัดต้นเทียนประเภทมัดรวมติดลายที่เป็นต้นเทียนแบบเก่า ออกจากการประกวด ช่างแกะสลัก
ต้นเทียนที่มีฝีมือในรุ่นต่อมา ได้แก่ นายอุตส่าห์ จันทรวิจิตร และนายสมัยจันทรวิจิตร ซึ่งเป็นพี่
น้องกัน
ประวัติของประเพณแี หเ่ ทียนพรรษา
การกำเนิดเทียนพรรษา
ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู นับถือวัวเพราะถือว่า วัวเป็นพาหนะของพระอิศวร เมื่อวัวตาย จะ
เอาไขจากวัวมาทำเป็นน้ำมันเพื่อจุดบูชาพระผู้เป็นเจ้าที่ตนเคารพ แต่ชาวพุทธซึ่งนับถือศาสนา
พทุ ธจะทำเทยี นเพอื่ จดุ บชู าพระรตั นตรัย โดยการเอารงั ผึ้ง รา้ งมาต้มเอาขผ้ี งึ้ แล้วฟน่ั เปน็ เทียนเล่ม
เลก็ ๆ มคี วามยาวตามตอ้ งการ เช่น ยาวเป็นคืบ หรือเปน็ ศอกแล้วใช้จุดบูชาพระ
เทยี นพรรษา เร่ิมมีมาต้งั แตส่ มัยพทุ ธกาล ชาวพุทธจะยดึ ถอื เปน็ ประเพณนี ำเทียนไป ถวาย
พระภิกษุในเทศกาลเข้าพรรษา เพื่อปรารถนาให้ตนเองเป็นผู้เฉลียวฉลาด มีไหวพริบประดุจแสง
สวา่ งของดวงเทียน
เทียนพรรษา คือ เทียนขนาดใหญ่และยาวเป็นพิเศษกว่าเทียนชนดิ อื่น สำหรับจุดในโบสถ์
ตงั้ แต่วนั เข้าพรรษาจนถึงวันออกพรรษา (พจนานุกรม ฉบบั ราชบณั ฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๒๕)
ววิ ฒั นาการเทยี นพรรษา
การทำเทียนพรรษา มีวิวัฒนาการมาเป็นลำดับ จากการนำรังผึ้งมาต้มเอาขี้ผึ้งไปฟั่น เป็น
เทียนนำไปถวายพระภกิ ษุ เอาเทียนเล่มเล็ก ๆ หลาย ๆ เล่ม มามัดรวมกันเปน็ ลำต้นคล้ายกับ ต้น
กล้วย หรอื ลำไม้ไผ่ แล้วนำไปตดิ กบั ฐาน ซึง่ การมัดรวมกันแบบนี้เป็นสาเหตหุ น่ึงทนี่ ิยมเรียกว่า ต้น
เทยี น หรือตน้ เทียนพรรษา
ต้นเทียนพรรษาประเภทแรก คือ "มัดรวมติดลาย" เป็นการเอาเทียนเล่มเล็ก ๆ มามัด
รวมกันบนแกนไม้ไผ่ให้เป็นต้นเทียนขนาดใหญ่ แล้วตัดกระดาษเงิน กระดาษทองเป็นลายต่าง ๆ
ติดประดับโดยรอบตน้ เทียน ต่อมามีการคดิ ทำต้นเทียนเปน็ ต้นเด่ียว เพื่อใช้จุดให้ไดน้ าน โดย การ
ใช้ลำไม้ไผ่ที่ทะลุปล้องเป็นแบบหล่อ เมื่อหล่อเทียนเป็นต้นเสร็จแล้วจึงนำมาติดที่ฐาน และจัด
ขบวนแหเ่ ทียนไปถวายพระท่วี ัด
การตกแต่งต้นเทียน เริ่มมีขึ้นโดยภูมิปัญญาชาวบ้าน ใช้ขี้ผึ้งลนไฟหรือตากแดดให้อ่อน
แล้วปั้นเป็นรูปดอกลำดวนติดต้นเทียน หรือเอาขี้ผึ้งไปต้มให้ละลาย แล้วใช้ผลมะละกอ หรือ ผล
ฟักทองนำมาแกะเป็นลวดลาย ใช้ไม้เสียบนำไปจุ่มในน้ำขี้ผึง้ แล้วนำไปจุ่มในน้ำเย็น แกะขี้ผึ้งออก
จากแบบ ตดั และตกแต่งให้สวยงามนำไปตดิ ท่ตี น้ เทียน
พ.ศ. ๒๔๘๒ มีช่างทองชื่อ นายโพธิ์ ส่งศรี เริ่มทำลายไทยไปประดับบนเทียน โดยมี การ
ทำแบบพมิ พล์ งในแผ่นปูนซีเมนตซ์ ่ึงถือว่าเป็นแบบพมิ พ์ หรือแม่พมิ พ์ แลว้ เอาข้ผี ้งึ ที่อ่อนตัว ไปกด
ลงบนแมพ่ มิ พ์จะไดข้ ผี้ ้งึ เปน็ ลายไทย นำไปตดิ กับลำต้นเทียน
ต่อมา นายสวน คูณผล ได้คิดทำลายให้นูนและสลับสี จนเห็นได้ชัด เมื่อส่งเทียนเข้า
ประกวดจึงได้รับรางวัลชนะเลิศ และในปี พ.ศ. ๒๔๙๗ นายประดับ ก้อนแก้ว คิดประดิษฐ์ทำหุ่น
เป็น เรื่องราวพุทธประวัติ และเอาลวดลายข้ีผึ้งติดเขา้ ไปที่หุ่น ทำให้มีลักษณะแปลกออกไป จึงทำ
ให้ เทียนพรรษาได้รับรางวัลชนะเลิศ และชนะเลิศมาทุกปี ในเทียนพรรษาประเภทติดพิมพ์ ปี
พ.ศ. ๒๕๐๒ มีช่างแกะสลักลงในเทียนพรรษาคนแรก คือ นายคำหมา แสงงาม และ
คณะกรรมการตัดสินให้ชนะการประกวด ทำให้เกิดการประท้วงคณะกรรมการตัดสิน ทำให้ในปี
ต่อ ๆ มามกี ารแยกประเภทต้นเทียนออกเป็น ๒ ประเภทอยา่ งชดั เจน คือ
๑. ประเภทติดพมิ พ์ (ตามแบบเดิม)
๒. ประเภทแกะสลกั
การทำเทียนพรรษามีวิวัฒนาการเรื่อยมาไม่หยุดนิ่ง ในปี พ.ศ. ๒๕๕๑ ผู้คนได้พบเห็น ต้น
เทียนพรรษาขนาดใหญ่และสูงขึ้น มีการแกะสลกั ลวดลายในส่วนลำต้นอย่างวิจิตรพิสดาร ใน ส่วน
ฐานก็มีการสร้างหุ่นแสดงเรื่องราวทางศาสนา และความเป็นไปในสังคมขณะนั้น กลายเป็น
ประติมากรรมเทียนพรรษาที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งช่างผู้ริเริ่มในการทำต้นเทียนยุคหลังคือ นายอุตส่าห์ และ
นายสมัย จันทรวิจิตร สองพี่น้อง นับเป็นงานสร้างสรรค์ทางศิลปะอันเกิดจากภูมิปัญญาชาวบ้าน
อยา่ งแท้จรงิ
งานประเพณีแหเ่ ทยี นพรรษา
ประเพณีแห่งเทียนพรรษานั้น เนื่องจากสมัยก่อนพระภิกษุสงฆ์ไม่มีไฟฟ้าใช้ ชาวบ้านจึง
หล่อเทียนต้นใหญ่ขึน้ เพื่อถวายพระภิกษุสงฆ์จุดให้แสงสว่างในการปฏบิ ัติกิจวัตรต่าง ๆ เป็นพุทธ
บูชาตลอดเวลา ๓ เดือน การนำเทียนไปถวายชาวบ้านมักจดั ขบวนแห่กันอย่างเอกิ เกรกิ สนุกสนาน
และปฏิบตั ิสืบทอดกันมาจนกลายเปน็ ประเพณี
งานประเพณีแห่เทียนพรรษา เป็นงานประเพณีที่รวมความผูกพันของชุมชนท้องถิ่น โดย
เร่ิมตั้งแตก่ ารทีช่ าวบา้ นร่วมบรจิ าคเทยี นเอามาหลอม หล่อเป็นเทียนเล่มใหญเ่ ล่มเดียวกัน เปน็ การ
แสดงออกถึงความสามัคคีกลมเกลียวในหมู่คณะไปในตัว การสรรหาภูมิปัญญาชาวบ้าน ที่มีฝีมือ
ทางช่าง มีความรู้ ความชำนาญในเรื่อง การทำลวดลายไทย การแกะสลักลวดลายลงบน ต้นเทียน
การทำเทียนให้เป็นลายไทย แล้วนำไปติดบนต้นเทียน การประดับด้วยผ้าฝ้าย ผ้าไหม ดอกไม้สด
ล้วนแล้วแต่เป็นฝีมือของช่างในท้องถิ่น ส่วนการจัดขวนแห่ก็ล้วนแต่ใช้ของพื้นเมือง เช่น เครื่อง
แต่งกายขอขบวนฟอ้ น จะใช้ผ้าพืน้ เมืองเป็นหลัก การฟ้อนรำจะใช้ทา่ รำทีด่ ัดแปลงมาจาก วิถีชีวิต
การทำมาหากินของชาวบ้าน เป็นท่ารำในรูปแบบของศิลปะที่งดงาม ดนตรีประกอบก็เป็น เครื่อง
ดนตรีประจำถิ่น ผสมเข้ากับการขับร้องที่สนุกสนานเร้าใจ ทำให้งานประเพณีนี้ยิ่งใหญ่ ประชาชน
ต่างเฝ้ารอคอย ศิลปะการฟ้อนรำที่นิยมนำมาประกอบการแสดงในขบวนแห่ คือ การรำเซิ้งต่าง ๆ
เชน่ เซิง้ กระลอ เซิง้ กระติบ เซิง้ สวิง เซิง้ แหยไ่ ขม่ ดแดง ซงึ่ ดัดแปลงมาจากการประกอบอาชีพในวิถี
ชีวิต ประจำวนั ทัง้ สน้ิ
งานแห่เทียนพรรษา เป็นงานที่ทำให้คนวัยรุ่น หนุ่มสาว ได้มีโอกาสได้ใกล้ชิดและสัมผัส
กับศิลปวัฒนธรรมอย่างใกล้ชิด นับตั้งแต่การเข้าเป็นอาสาสมัครช่วยเหลือ เป็นลูกมือช่างของทาง
วัด ในการแกะสลักทำลวดลายต้นเทียน ค้นคว้าหาวิธีการทำเพียรพรรษาให้วิจิตรพิสดาร งดงาม
แต่ประหยัดการเข้ารว่ มในขบวนแหจ่ ะเป็นการผสมผสานระหว่างคนรุ่นเก่ากับคนรุ่นใหม่ เชน่ การ
เลน่ ดนตรีพ้นื บา้ น โปงลาง หรือเปา่ แคน จะมที งั้ ผู้สงู อายแุ ละคนหนมุ่ สาว สว่ นขบวนฟ้อนรำ จะใช้
เดก็ ๆ รุ่นเยาว์ ถึงวยั หนมุ่ สาวมากกว่าคนสูงวยั ซึง่ คาดหวังได้วา่ ประเพณีวัฒนธรรมท้องถิ่นจะสืบ
ทอดตอ่ ไปอีกยาวไกล
ก่อนถึงวันเข้าพรรษา (วันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๘ ของทุกปี ) พุทธศาสนิกชนชาวไทยจะถือ
โอกาสเข้าวัดทำบุญ ถวายเทียนพรรษา ตามวัดวาอารามตา่ ง ๆ ถึงแม้ว่าปัจจุบันการถวายเทียนได้
ถูกปรับเปลี่ยนให้มีความเหมาะสมกับเหตุการณ์ เป็นการถวายหลอดไฟฟ้าแทนแล้วก็ตาม การ
ถวายเทียนพรรษาก็ยังคงอยู่คู่กับสังคมไทยในฐานะประเพณีแห่เทียนพรรษา สมัยก่อน ในช่วง
เทศกาลเข้าพรรษา พระภิกษุสงฆ์จะจำพรรษาอยู่ ณ วัดใดวัดหนึ่งตลอด ๓ เดือน เพื่อศึกษาพระ
ธรรมวินัย สวดมนต์ทำวัตรเช้าเย็น ในการศึกษาพระธรรมคำสอนจำเป็นต้องอาศัยแสงสว่างจาก
ตะเกียงหรือแสงเทียน ชาวบ้านท่ีศรัทธาในพระพุทธศาสนาก็จะนำเทียนที่มีอยู่ในบ้านออกมา
รวมกัน หล่อให้เป็นเทียนขนาดใหญ่ แล้วจัดขบวนฟ้อนรำแห่ต้นเทียนไปถวายแด่พระภิกษุสงฆ์
ตามวดั ดว้ ยความเช่อื ทวี่ า่ ผูใ้ ดถวายเทยี นพรรษาแด่พระภิกษุสงฆ์ ชีวติ จะสว่างไสวดจุ แสงเทียน
โดยเทยี นท่จี ะนำไปถวายตามวัดมมี ลี ักษณพิเศษกวา่ เทียนทว่ั ไปคอื มีการแกะสลักลวดลาย
ที่วิจิตรงดงามลงบนต้นเทียน หรือการพิมพ์ลายเทียนแล้วนำไปประดับบนต้นเทียน การประดับ
ตกแต่งขบวนแห่ด้วยผ้าฝ้าย ผ้าไหม ดอกไม้สด เรียกได้ว่างานประเพณีแห่เทียนพรรษาเป็นงาน
ประเพณที ่ีรวมเอาภมู ิปญั ญาชาวบ้านแขนงต่าง ๆ ในทอ้ งถน่ิ มาไว้ดว้ ยกัน เชน่ งานหล่อเทยี น งาน
แกะสลักลวดลายไทย งานประดับผ้าไหม ดอกไม้สด งานทอผ้าพื้นเมืองสำหรับเครื่องแต่งกาย
ขบวนฟอ้ นรำ การฟ้อนรำ เครื่องดนตรีประจำท้องถ่นิ ฯลฯ
นอกจากนี้ งานประเพณแี ห่เทยี นพรรษายังแฝงไว้ด้วยกศุ โลบายที่ตอ้ งการเหน็ ความ
สามัคคขี องคนในชมุ ชน การรว่ มมือรว่ มใจกนั การมีสว่ นร่วมในสังคม วัยหนุม่ สาวมโี อกาสได้มา
ร่วมด้วยชว่ ยกัน เป็นลูกมือช่างในการตกแต่งตน้ เทยี น ร่วมกนั อนุรกั ษ์ศิลปวัฒนธรรมท้องถ่นิ อยา่ ง
การฟอ้ นรำทีเ่ ลยี นแบบ ดัดแปลงทว่ งท่ามาจากวิถีชีวติ การประกอบอาชพี ไม่วา่ จะเป็นการรำเซงิ้
ต่าง ๆ เช่น เซงิ้ กระตบิ เซิ้งแหยไ่ ข่ดอง เครื่องดนตรที ีใ่ ช้ประกอบการฟ้อนรำ เช่น โปงลาง แคน ที่
ได้คนรนุ่ เก่าถา่ ยทอดความรูใ้ ห้กบั คนรุ่นใหม่ มกี ารถ่ายทอดเนือ้ ร้อง จงั หวะท่สี นุกสนาน คร้ืนเครง
จนทำให้งานประเพณีแห่เทยี นเป็นงานประจำปที ห่ี ลายคนตง้ั ตารอ
ประเพณแี ห่เทยี นนั้นจัดขึน้ ทกุ ภาคของประเทศไทย ภาคเหนือ ภาคใต้ ภาคกลาง ภาค
อสี าน แต่งานประเพณแี หเ่ ทยี นพรรษาท่มี ชี ือ่ เสยี งโดง่ ดังมากทส่ี ุดจะอยทู่ ่ภี าคอสี าน เช่น งาน
ประเพณแี ห่เทยี นพรรษาจังหวดั อบุ ลราชธานี และจังหวัดอืน่ ๆ ใกลเ้ คียง
บรรณานกุ รม
Thetrippacke. ๒๕๕๑. ประเพณีแหเ่ ทียนพรรษา. [ออนไลน์]. เขา้ ถงึ ได้จาก:
https://www.museumthailand.com. (วันทีค่ น้ ขอ้ มูล: 21 มกราคม 2563).
methaya. ๒๕๕๔. ประวัติงานประเพณแี ห่เทียนพรรษา. [ออนไลน์]. เข้าถงึ ไดจ้ าก:
https://methaya.wordpress.com. (วันทค่ี น้ ขอ้ มูล: 21 มกราคม 2563).
Koi_la_zy. ๒๕๖๑. เทียนพรรษาทำมาจากอะไร? ต้นกำเนดิ เทยี นพรรษา. [ออนไลน์]. เขา้ ถึงได้
จาก: https://teen.mthai.com. (วนั ที่คน้ ขอ้ มลู : 21 มกราคม 2563).
เรอ่ื ง ประเพณีแหน่ างแมว
โดย
นายธรี วฒั น์ เยาวราชและคณะ
ช้นั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี ๕/๒
เสนอ
นางสาวธญั ญา ดาทอง
รายงานเลม่ นเ้ี ปน็ ส่วนหนง่ึ ของรายวิชาภาษาไทย (ท ๓๒๑๐๒)
ภาคการเรยี นท่ี ๒ปกี ารศึกษา ๒๕๖๒
โรงเรยี นหนองกพ่ี ทิ ยาคม อำเภอหนองก่ี จังหวัดบรุ ีรัมย์
เร่ือง ประเพณีแหน่ างแมว
โดย
๑.นายธีรวัฒน์ เยาวราช เลขท่ี ๔
เลขท่ี ๖
๒.นายเมธี ส่สู ุข เลขที่ ๑๐
เลขท่ี ๑๕
๓.นางสาวชญานิน เซ็นตน์ อก เลขที่ ๑๗
เลขท่ี ๒๖
๔.นางสาวพชั รี บัวจมู เลขที่ ๓๔
๕.นางสาววสรุ ตั น์ ยาวไธสง
๖.นางสาวอรศิ รา บูรณะ
๗.นางสาวศศิกานต์ สนั ทาลุนัย
ชน้ั มัธยมศกึ ษาปที ่ี ๕/๒
เสนอ
นางสาวธัญญา ดาทอง
รายงานเล่มนเ้ี ปน็ สว่ นหนง่ึ ของรายวชิ าภาษาไทย (ท ๓๒๑๐๒)
ภาคการเรียนท่ี ๒ปีการศึกษา ๒๕๖๒
โรงเรยี นหนองกพ่ี ิทยาคม อำเภอหนองก่ี จังหวดั บรุ รี มั ย์
คำนำ
รายงานเล่มน้ีเป็นส่วนหน่ึงของรายวิชาภาษาไทย รหัสวิชา ท ๓๒๑๐๒ จัดทำขึ้นเพื่อรวบรวม
เนอ้ื หาเกี่ยวกับเรือ่ งประเพณีแหน่ างแมว เก่ียวกบั ประวัติความเป็นมาตลอดถึงการจดั ประเพณีแห่นาง
แมว เพื่อใหผ้ ทู้ ส่ี นใจในเนอ้ื หาเร่ือง ประเพณีแห่นางแมวไดน้ ำไปศึกษาคน้ คว้าเพม่ิ เตมิ
หากผิดพลาดประการใดต้องขออภัยไว้ ณ ท่นี ีด้ ว้ ย
นายธีรวัฒน์ เยาวราชและคณะ
๑๕ มกราคม ๒๕๖๓
สารบญั หนา้
เรอ่ื ง ๑
๑
บทนำ ๓
๑.ประวัตคิ วามเป็นมา ๓
๒.ความเชอื่ เกย่ี วกบั ประเพณแี ห่นางแมว ๔
๓.การทำพิธีแห่นางแมว ๔
๔
๓.๑ สิ่งท่ตี อ้ งมีในพิธีแห่นางแมว ๖
๓.๒ วธิ แี ห่นางแมว ๖
๓.๓ คำเซิง้ ในพิธแี ห่นางแมว ๗
๔.ความเชือ่ การแห่นางแมวภาคอิสาน ๗
๔.๑ แหน่ างแมวอิสาน อีกแบบหนึง่ ๘
๕.ความเชื่อแหน่ างแมวภาคกลาง ๑๐
๕.๑ พิธกี รรมแห่นางแมวภาคกลาง ๑๑
๖.คุณคา่ ทางสังคมและทางจิตใจที่มใี นวิถกี ารดำเนนิ ชวี ิตของชมุ ชน
บทสรุป
บรรณานุกรม
บทนำ
การแหน่ างแมว เป็นพธิ ีอ้อนวอนขอฝน ซ่งึ จำจัดทำข้นึ ในปีใดทีท่ ้องถนิ่ แหง่ แล้งฝน ไมต่ กต้อง
ตามฤดูกาล สาเหตทุ ี่ฝนไม่ตก ท่านผ้รู ูก้ ล่าวไวว้ ่า น้ำฝนนัน้ เป็นน้ำของเทวดา ดงั มีศัพทบ์ าลวี า่ เทโว
ซงึ่ แปลวา่ นำ้ ฝน เป็นเอกลักษณข์ องความดี ความบริสทุ ธ์ิ สงิ่ แวดลอ้ มเป็นพษิ มากๆ ควนั และละออง
เขม่านำ้ มนั ห่อหุ้มโลกทำให้เป็นภัยแกม่ นุษย์ ผ้ทู ่ีจะลา้ งอากาศได้ทำใหล้ ะอองพิษพวกน้ันตกลงดิน ทำ
ให้อากาศสะอาดคอื อตั ลักษณ์ (ท่โี ดดเด่น)
พธิ ีแหน่ างแมวเป็นประเพณีของชาวอีสาน โดยเฉพาะประชาชนบา้ นสนาย บ้านสนายน้อย
บ้าน สนายกลาง ตำบลพิมาย อำเภอปรางคก์ ู่ จงั หวัดศรสี ะเกษ เพราะเชอื่ ว่า เหตทุ ฝี่ นไม่ตกมีเหตุผล
หลายประการ เชน่ เกดิ จากดนิ ฟา้ อากาศเปล่ียนแปลง ประชาชนหย่อนในศีลธรรม เจ้าเมอื งหรอื เจ้า
แผ่นดิน ไมท่ รงอยูใ่ นทศพธิ ราชธรรม เป็นตน้ ดงั น้ัน ถ้ามนษุ ย์อยากใหเ้ ทวะคือนำ้ ฝนทด่ี ี ไม่ใช่
ดีเปรสชนั่ มาเย่ียมตามกาลเวลา มนษุ ย์ก็ควรตั้งอยู่ในศลี ในธรรม เพราะคนทม่ี ีศลี มีธรรมทา่ นจงึ
เรยี กว่า
ประวัติความเป็นมา
นานมาแล้วก่อนประวัติศาสตร์ มนุษย์เราต่างก็ตั้งบ้านแปลงเรือน อยู่กันเป็นกลุ่ม ๆ ตาม
เผ่าพันธ์ุของแต่ละเชื้อชาติ แลว้ แต่หวั หน้าเผา่ ใดจะมคี วามสามารถหรือฉลาดเฉลยี วทีจ่ ะรวบรวมผู้คน
มาเป็นสมัครพรรคพวกได้มาก ๆ แต่ละกลุ่มก็จะต้ังกฏระเบียบแบบแผนมาเป็นข้อบังคับให้ลูกบ้านใช้
ยึดถือปฏิบัติเพ่ือให้ทุกคนอยู่ร่วมกันด้วยความสงบสุข ถ้าผู้ใดละเมิดกฎท่ีตั้งไว้ผู้น้ันจะต้องได้รับโทษ
ตามที่แจ้งไว้ในกฎของเผ่าพันธ์ุน้ัน ๆ เมื่ออยู่ร่วมกันเน่ินนานจากวันเป็นเดือน จากเดือนเป็นปี จึงทำ
ใหอ้ อกลูกออกหลานมากขนึ้ จนเป็นชมุ ชนใหญโ่ ต ผู้คนกม็ ากขน้ึ ตามปกติ จงึ ทำใหเ้ กดิ ตา่ งความคดิ เห็น
ของแต่ละคนแต่ละกลุ่ม ความขดั แย้งเรือ่ งราวตา่ งย่อมเกดิ ขึน้ จงึ พาสมคั รพรรคพวกแยกจากกลมุ่ ใหญ่
ไปหาที่ตั้งหลักแหล่งสร้างบ้านแปลงเรือนทำมาหากินกันตามความพอใจของตน และผู้นำก็ต้องจัด
ระเบียบตั้งกฏข้ึนใช้ในการปกครองผู้คนในเผา่ ของตนเช่นกันตลอดมาเมื่อประชากรมากข้ึน ย่อมมีคน
ฉลาดมากขึ้น รู้จักคิดรู้จักพิจารนาดูดินฟ้าอากาศ หาพิธีเอาชนะธรรมชาติเพ่ือให้ตัวเองอยู่รอด และ
เป็นผู้ที่เคารพเช่ือถือของคนทั่วไป สิ่งที่พยายามค้นคิดเฝ้าสังเกตฝนตก ว่ามันมักจะตกวันไหนบ่อยๆ
สมัยก่อนไม่มีวันอาทิตย์ถึงวันเสาร์ แต่เขาจะนับวันกันตามจันทรคติ คือยึดเอาการหมุนเวียนของการ
โคจรรอบโลกของดวงจันทร์เป็นหลักเกณฑ์ วันที่ชาวบ้านชาวเมืองเขาใช้นับกันก็มีสองอย่างคือ
ข้างข้ึนและข้างแรมการนับวันตามจันทรคติน้ี เขาใช้กันมาก่อนสมัยพุทธกาลแล้ว พระพุทธเจ้าจึงได้
กำหนดให้พระสาวกของพระองคบ์ งเกศาในวันโกนซ่ึงก่อนวันพระหน่ึงวันตามธรรมชาติแรงดึงดูดของ
โลกและดวงจันทร์ จะทำให้อากาศแปรปรวน จึงทำให้เกิดความกดอากาศสูงบ้างตำ่ บ้าง จึงทำให้ไอน้ำ
ท่ีชาวบ้านเขาเรียกว่าบนท้องฟ้าเกิดการรวมตัวกันมากขึ้น จึงทานน้ำหนักไม่ไหวแล้วตกลงมาเรียกว่า
นำ้ ฝน
ส่ิงน้ีเป็นกฎเกณฑ์ของธรรมชาติท่านหมอผีท้ังหลายไม่ทราบที่มาที่ไปว่าทำไมจึงเกิดเหตุ
ดังกล่าวน้ันหรอก ได้แต่จดจำไว้ว่าเมื่อไรฝนมันจะตกลงมา แล้วเก็บข้อมูลไว้ เม่ือถึงหน้าฝนเกิดความ
แห้งแล้ง ฝนฟ้าไม่ตกชาวบ้านต้องการน้ำเพ่ือหล่อเลี้ยงพืชผลทำมาหากินตามฤดูการ ก็พากันไปหา
หมอผีมาทำพิธีขอฝนจากส่ิงท่ีคิดว่ามีอิทธิฤทธ์ิ มีอำนาจอันศักดิ์สิทธิ์ เช่น ผี,เทวดา,เทพเจ้าฯลฯ
แล้วแต่ท่ีเขาเล่าเรียนสืบทอดกันมาเม่ือตกลงกันดีแล้ว หมอก็จะกำหนดวันนัดทำพิธีการขอฝน โดย
การเจาะจงลงไปเลยว่าวันโกน หรือวันพระที่จะถึงนี้นะ ให้เลือกเอาวันใดวันหนึ่ง แล้วผู้นำหมู่บ้าน
น้ันๆ ก็จะเรียกลูกบ้านมาประชุมเพ่ือบอกกล่าวกันให้รู้ทั่วทั้งหมู่บ้าน แล้วแบ่งงานมอบหมายให้
ดำเนินการจัดการกันตามแต่ใครจะถนัดที่จะช่วย เช่นกลุ่มหนึ่งช่วยกันทำคานหาม (ปัจจุบันจะเห็นได้
บ้างในงานแห่นาคไปอุปสมบท) ช่างทมี่ ีฝีมือจะประดิษฐ์ตบแต่งไดส้ วยมาก แตท่ ่ไี ม่มฝี มี ือก็เอาเพียงแค่
ใช้งานได้เท่าน้ัน อาจใช้ไม้ไผ่ท่อนเดียวความยาวสัก ๔ ศอก ก็พอแล้ว สำหรับแขวนตะกล้าหรือ
ชะลอมขังแมวตัวใหญ่ๆ ไว้ในน้นั ใช้คน ๒ คนหา้ มหัวทา้ ย แมวอยกู่ ลาง เม่ือถึงกำหนดวันนดั ชาวบ้าน
จะมีความตน่ื เต้นกันมากโดยเฉพาะพวกเดก็ ๆนใ่ี จจดใจจอ่ อยากเหน็ ขบวนแห่กันเตม็ ที กลุ่มหนุ่มสาวก็
ใจเต้นระทึกอยากจะเห็นคู่รักของตนแต่งตัวชุดอะไรแต่ระบ้านท่ีเส้นทางขบวนแห่จะต้องผ่านมา เขา
จะจัดเตรียมน้ำไว้เยอะๆ ผู้ นำขบวนการจะจัดหาสุราปลาป้ิงมาเล้ียงกันอย่างทั่วถึง สิ่งที่ขาดไม่ได้อีก
อย่างคือเถิดเทิง (กลองยาว) ปี่, ฉิ่ง, กรับ, ฉาบ, ฆ้องและนักร้องประจำวงคร้ันได้เวลาบ่าย แก่ๆ
ชาวบ้านเรียกแดดร่มลมตก หมอผีก็จะทำพิธีกรรมของเขาตามที่ถ่ายทอดกันมา เม่ือเสร็จเรียบร้อยก็
ส่ังจัดขบวนต้ังแถวคณะกลองยาวนำหน้าตามดัวยนางรำท้ังชายและหญิงแล้วก็มีสองคนช่วยกันหาม
แมวท่ีอยู่ในชะลอมจะมีผู้นำหมู่บ้านและหมอผีเดินเคียงข้างคนหามแมวอย่างใกล้ชิดเพ่ือให้ชาวบ้าน
เกิดความศรัทธาเช่ือถือแผ่นดินท่ีแห้งแล้งเพราะไร้ฝนตกมานาน ถูกแดดเผามาต้ังแต่เช้าจนบ่ายแก่ๆ
จึงทำให้ร้อนระอุ ทางเดินเป็นฝุ่นฟุ้งข้ีนประดุจหมอกควันซึ่งเกิดจากฝ่าเท้าของฝูงชนในขบวนแห่
น้ันเอง พอผ่านบ้านใดเขาก็จะเอาน้ำท่ีเตรียมไว้สาดลดใส่แมว น้ำท่ีตกลงสู่ผืนแผ่นดินที่กำลังร้อนระอุ
ทำให้เกิดปฏิกิริยาร้อนแรงข้ึนอีกทำให้ผู้คนในขบวนแห่กระโดดโลดเต้นแฝงไปด้วยความสนุกสนาน
และด้วยอิทธิฤทธิ์ของ ส.ร.ถ. (สุราเถ่อื น) จงึ ลืมความทุกข์ยากไปไดช้ ั่วขณะ ขบวนแหจ่ ะดำเนนิ การไป
จนทั่วทุกครัวเรือน ทำให้น้ำนองเจ่งไปทั่วทางเดิน เพราะชาวบ้านเอาน้ำมาราดลดแมวน่ันเอง คร้ันถึง
ยามคำ่ คนื ความร้อนยงิ่ เพ่ิมเปน็ ทวีคูณ เพราะตามกฎของธรรมชาติ เม่อื พระอาทิตย์ตกดนิ ไปแลว้ ผืน
แผ่นดินก็จะคลายความร้อนขึ้นมาแล้วลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า (ช่วงนี้จะเข้าสู่ทฤษฎีการทำฝนเทียมระดับ
หน่ึง) เมื่อความร้อนลอยสูงขึ้น ๆ ไปกระทบกลุ่มเมฆที่มีละอองน้ำเข้า ละอองน้ำก็จะลอยหนีความ
รอ้ นขึ้นสู่เบ้ืองบนจึงไปกระทบความเย็นเข้าและเกาะจับรวมตัวกันมากข้ึนจึงทานน้ำหนักไม่ไหวทำให้
ตอ้ งลอยตำ่ ลงมาแลว้ กลายเปน็ หยดน้ำ
ความเชื่อเกีย่ วกบั ประเพณแี หน่ างแมว
เนื่องจากสังคมไทยเป็นสังคมเกษตรกรรม การทำเลือกสวนนาไร่จำเป็นต้องอาศัยน้ำจำนวน
มากดังน้ันหากวนั หนึ่งฝนท่ีเคยตกต้องตามฤดกู าลไม่ตกเช่นเคยย่อมสรา้ งความเดือนรอ้ นให้กบั ชาวนา
ชาวไร่ท่ัวไป เพราะฉะน้ันเพ่ือให้ฝนตกลงมาจะได้มีน้ำเพียงพอในการทำการเกษตรกรรมจึงต้องทำ
พธิ ี“แห่นางแมว”ขนึ้ สำหรับความเชือ่ เกี่ยวกับประเพณีแห่นางแมวน้ัน คนไทยมีความเช่ือว่าฝนตกลง
มาเพราะเทวดา เมื่อฝนไม่ตกจึงต้องทำพิธีขอฝนกับเทวดา แต่บางความเช่ือกล่าวว่าเม่ือแผ่นดินแห้ง
แล้ง สิ่งแวดล้อมเป็นพิษ มีควันและละอองเขม่าควันจะต้องขอน้ำจากเทวดามาช่วยล้างเพราะน้ำฝน
เป็นน้ำของเทวดา เน่ืองจาก เทโว แปลว่า ฝน นั่นเอง ส่วนความเช่ือเกี่ยวกับแมวนั้น คนไทยเชื่อว่า
แมวเปน็ สัตว์ทีม่ ีอำนาจลึกลับ ศักด์ิสิทธิ์ เมื่อนำมาทำพิธแี ล้วจะช่วยเรยี กฝนให้ตกลงมาได้ หรือถ้าเป็น
ความเช่ือของชาวอีสานจะมีความเชื่อว่าเม่ือฝนไม่ตกให้ใช้สัตว์ท่ีมีสีเดียวกับเมฆเรียกฝน จะทำให้ฝน
ตกลงมาได้เช่นกันและสตั ว์ประเภทเดียวท่มี ีสีเมฆคือ แมวสสี วาท
การทำพิธีแหน่ างแมว
ชว่ งเวลาในการทำพิธีแห่นางแมวน้ันจะจดั ขนึ้ เมือ่ ฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาลและมคี วามแห้งแล้ง
มากจริง ๆ ซ่ึงการทำพิธีนั้นต้องมีขบวนแห่ ผู้หญิงที่เข้าร่วมพิธีแห่ต้องผัดหน้าขาว ทัดดอกไม้ดอกโต
ๆ ร่วมกันร้องรำทำเพลงท่ีสนกุ สนานเฮฮา
๑. ส่งิ ทีต่ ้องมีในพิธีแห่นางแมว
• แมวสสี วาทหรือแมวสดี ำ
• กระบุง กะทอหรอื เขง่ ทีม่ ีฝาปดิ
• ดอกไม้ ๕ คู่
• เทยี น ๕ คู่
• ไมส้ ำหรับหาม
๒. วธิ ีแห่นางแมว
• ชาวบ้านรวมท้ังคนแก่คนหนุ่มและเด็กส่วนมากจะเป็นผู้ชาย ปรึกษาหารือกัน คนที่เป็น
ผ้นู ำกล่าวเซ้ิง เพอ่ื ใหผ้ ้ไู ปแห่ท้ังหมดเป็นผูว้ ่าตาม สว่ นใหญ่จะเปน็ คนเฒ่าคนแก่ในหม่บู า้ น
• หากะทอใบหนง่ึ หรืออาจใชเ้ ข่งก็ได้
• จบั เอาแมวตวั เมียสีดำ ๑ ตัวใสใ่ นกะทอ ใช้เชอื กผูกปิดปากไม่ใหแ้ มวออกได้ และใช้ไม้สอด
กะทอใหค้ นหา ๒ คน ตงั้ คายดว้ ยขนั ธ์ ๕ ป่าวสกั เคเทวดา เพ่อื ให้เทวดาบันดาลใหฝ้ นตก
• ได้เวลาพลบค่ำผู้คนกำลังอยู่บ้าน ก็เริ่มขบวนแห่โดยหากะทอแมวออกข้างหน้า แล้วตาม
ด้วยคนว่าคำเซ้ิง และผู้แห่ว่าตามเป็นท่อนๆไป ในขบวนก็จะมีการตีเกราะเคาะไม้เพ่ือให้
เกิดจังหวะตามไปด้วยและแห่ไปทุกหลังคาเรือนในหมู่บ้านน้ันๆเม่ือแห่ไปถึงบ้านใคร
เจ้าของบ้านก็ต้องเอาน้ำสาดหรือรดที่ตัวแมวให้เปียกและทำให้แมวร้องและสาดใส่ขบวน
เซ้งิ ด้วย ประเพณีบางบ้านกส็ าดใส่ขบวนเฉยๆโดยไม่ให้ถกู แมว เพราะปรากฏว่าเซง้ิ หนักๆ
เข้า แมวตายวนั ละตัว
๓. คำเซงิ้ ในพิธแี หน่ างแมว
คำเซ้ิงแต่ละท้องถ่ินไม่ค่อยเหมือนกันแต่สิ่งที่รวมอยู่ในคำเซิ้งคือมีการพรรณนาถึงความแห้ง
แล้งและขอให้ฝนตกเหมือนกัน และเทา่ ทีป่ ระมวลมาสว่ นใหญ่จะเปน็ ดงั นี้
ตัวอยา่ ง คำเซิ้งในพธิ ีแห่นางแมว แบบท่ี ๑
"เต้าอีแม่นางแมว แมวมาขอไข่ ขอบไ่ ดข้ อฟ้าขอฝน
ขอน้ำมนตอ์ ดหัวแมวบา้ ง บ่ได้คา่ จ้างเอาแมวข้อยมา
บ่ไดป้ ลาเอาหนกู บั ข้าว บไ่ ด้ขา้ ว เหล้าเด็ดกเ็ อา
เหล้าโทก็เอา แม่เม่าเอย อย่าฟา้ วขายลูก ข้าวเพ่นิ ปลูก
ลกู น้อยเพิน่ แพง ตาเวนแดง ฝนแทงลงมา ตาเวนต่ำ
ฝนหน่ำลงมา ตาเวนตก ฝนตกลงมา
ดังเคง็ ๆข้ามดงมาน้ีแบ้นบกั เลกิ แบ้นพ่ออีเถิง
ฮง่ เบิงๆ ฝนเทลงมา ฝนบ่ตกข้าวไฮ่ตายเหมิดแลว้
ฝนบต่ กข้าวนาตายแล้งเหมิดแล้ว
ฝนบต่ กกล้าแหง้ ตายพรายเหมิดแลว้
ตกลงมาฝนตกลงมา เท่งลงมาฝนเท่งลงมา
ก๊กุ กู๊ กกุ๊ กู๊ กกุ๊ กู๊ กุก๊ กู๊ กุ๊กกู๊”
ตวั อย่าง คำเซงิ้ นางแมว แบบท่ี ๒
เซิ้งอันนเ้ี ผ่ินว่า เซ้ิงนางแมว ย่างเปน็ แถวกะนางแมวออกก่อน
ไปตามบอ่ นกะตามซอกตามซอย ไปบถ่ อยกะขอฝนขอฟา้
เฮาคอยถ้าให้ฝนเทลงมา ตามประสาแมวโพงแมวเป้า
แมวดำกนิ ปลาย่าง แมวดา่ งกนิ ปลาแหง้
ฝนฟา้ แลง้ กะขอฟา้ ขอฝน
ขอน้ำมนตก์ ะรดหัวแมวบา้ ง
(ชาวบ้านกส็ าดน้ำลงใส่)
เทลงมากะฝนเทลงมา ทว่ มไฮ่ท่วมนา
ทว่ มฮปู ลาไหล ท่วมไม้โสงเสง
หวั ล้านชนกันฝนเทลงมา (ซำ้ )
ตวั อยา่ ง คำเซ้งิ นางแมว แบบท่ี ๓
นางแมวเอย ขอฟ้าขอฝน ขอน้ำมนตร์ ดแมวข้ามัง่
ค่าเบ้ยี ค่าจ้าง ค่าหาแมวมา ถ้าไม่ให้กนิ ปลา ขอใหป้ ูกดั ข้าว
ถ้าไม่ใหก้ ินข้าว ขอใหข้ ้าวตาฝอย ถ้าไม่ใหก้ นิ อ้อย ขอใหอ้ อ้ ยเป็นแมง
ถ้าไมใ่ ห้กนิ แตง ขอใหแ้ ตงคอคอด ถา้ ไมใ่ ห้นอนกอด ขอใหม้ อดเจาะเรอื น
ถ้าไม่ให้นอนเพอื่ น ขอให้เรือนทลาย แมย่ ายหอยเอย กะพง่ึ ไข่ลกู
ลกู ไม้จะถกู ลกู ไมจ้ ะแพง ฝนตกพรำ ๆ มาลำกระแชง
ฝนตกเขาน้อย มายอ้ ยชายคา ฝนตกเขาหลวง เป็นพวงระย้า
ไอเ้ ล่ เหล เล่ ฝนกเ็ ทลงมา เอ้า ฝนกเ็ ทลงมา เอ้า ฝนกเ็ ทลงมา ๆ ๆ ๆ ๆ
ความเช่ือการแหน่ างแมวภาคอิสาน
พิธีแห่นางแมวของชาวอีสานเพราะเชื่อว่าเหตุที่ฝนไม่ตกมีเหตุผลหลายประการ เช่น เกิดจาก
ดินฟ้าอากาศเปลี่ยนแปลง,ประชาชนชาวเมืองหย่อนในศีลธรรม, เจ้าเมืองหรือเจ้าแผ่นดิน ไม่ทรงอยู่
ในทศพิธราชธรรม เป็นต้น ดังนั้น ถ้ามนุษย์อยากให้เทวะคือน้ำฝนท่ีดีไม่ใช่ดีเปรสชั่น มาเยี่ยมตาม
กาลเวลา มนุษย์ก็ควรตั้งอยู่ในศีลในธรรม เพราะคนที่มีศีลมีธรรมท่านจึงเรียกว่า "เทวะ" ทั้งๆ ท่ีเป็น
คน เพราะเหตุดังกล่าวมาน้ี เทวะคือฝน กับเทวะคือคนผู้มคี ุณธรรม ย่อมจะมาหากันเพราะเปน็ เล่ากอ
แห่งเทวะด้วยกัน เหมือนพระย่อมไปพักกับพระเป็นต้น เหตุน้ีชาวเมือง ชาวอีสานจึงต้องทำพิธีอ้อน
วอนขอฝน และการท่ีต้องใช้แมวเป็นตัวประกอบสำคัญในการขอฝน เพราะเช่ือว่าแมวเป็นสัตว์ที่
เกลยี ดฝน ถา้ ฝนตกคร้งั ใดแมวจะร้องทันที ชาวอีสานจึงถอื เอาเคล็ดทแี่ มวร้องในเวลาฝนตกว่า จะเป็น
เหตุให้ฝนตกจริงๆ ชาวบ้านจึงร่วมมือกันสาดน้ำและทำให้แมวร้องมากท่ีสุดจึงจะเป็นผลดี และชาว
อสี านเชอื่ ว่าหลงั จากทำพธิ แี ห่นางแมวแล้วฝนจะตกลงมาตามคำอ้อนวอน และตามคำเซงิ้ ของนางแมว
นอกจากแมวจะเขา้ มาเก่ยี วข้องในพธิ เี กดิ และพธิ ีแต่งงานในวัฒนธรรมไทยแลว้ แมวยังเข้ามามี
ส่วนร่วมในอีกประเพณีสำคัญของไทยที่สืบทอดกันมาหลายชั่วอายุคน น่ันคือ พิธีแห่นางแมวขอฝน
คนไทยในสมัยก่อนเช่ือว่า แมวเป็นสัตวท์ ่ีมีอำนาจลึกลับศกั ด์ิสทิ ธิ์ สามารถเรียกฝนให้ตกลงมาได้ และ
เมอื่ ถึงฤดูฝน หากฝนแลง้ ไมต่ กตอ้ งตามฤดกู าล
๑. แหน่ างแมวอิสาน อกี แบบหน่ึง
ให้เอาแมวมา ๑ ตัว ใส่ในกระทอ มีคนหามต้ังคายขัน ๕ หามประกอบพิธีป่าวสัคเค เทวาเชิญ
เทวดาลงมาบอกกล่าวขอน้ำฝนกับเทวดาว่า จะขอฝนด้วยการใช้พิธีแห่นางแมว แล้วส่ังให้พวกหาม
แมวแห่เซิ้งไปตามถนนในหมู่บ้าน มีคนท้ังชาย หญิง และเด็กเดินถือดอกไม้ตามไปถึงเรือนหลังไหน
คนในเรือนหลังนั้นก็เอาน้ำสาดมาใส่ทั้งแมวและคน เล่นเอาท้ังแมวทั้งคนหนาวไปตามๆ กัน ในบาง
แห่งจะมีการผูกเอวคนหัวล้าน ๒ คน ทำฮึดฮัดจะชนกันตามกระบวนไปด้วย บางจุดก็หยุดให้หัวล้าน
ชนกัน สลับคำเซ้ิงชาวก็บ้านจะเอาน้ำรดแสดงไปเร่ือยๆ จะเซิ้งอย่างนี้เริ่มจาก ๓ โมงเย็นจนถึง ๒ ทุ่ม
หรอื รอบหมู่บ้านแล้วหยุด พอหยุดไมน่ านฝนก็จะตกฟ้าแลบฟ้ารอ้ งฟ้าผา่ ตามมา
ความเช่อื แห่นางแมวภาคกลาง
ประเพณีแห่นางแมวเป็นพิธีขอฝนของพวกชาวบ้าน โดยเฉพาะภาคกลาง ปีใดท่ีฝนมาล่าหรือ
แล้งผิด ปกติ อันจะทำให้ชาวบ้านเดือดร้อน พืชในไร่นาให้ผลไม่เต็มท่ี อาจถึงกับให้เกิดภาวะข้าวยาก
หมากแพงได้ ชาวบ้านก็จะชุมนุมปรึกษาหารือกันเพ่ือทำพิธีแห่นางแมวตามที่ทำสืบเป็นประเพณี
เพราะเชอ่ื วา่ ภายหลงั เม่ือแห่นางแมวแล้ว ไมช่ ้าฝนก็จะเทลงมา
๑. ลักษณะความเชอ่ื
ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติช่วงเวลากรณีฝนแล้งไม่ตกต้องตามฤดูกาลเพราะ
สงั คมไทยเป็นสังคมแบบเกษตรกรรม ต้องอาศัยน้ำฝนเป็นปัจจัยในการเพาะปลกู สมยั ก่อนไม่มีระบบ
การชลประทาน หรอื ทำฝนเทียมเชน่ ปัจจบุ ัน ตามความเช่ือดั้งเดิม " ฝน" เป็นสิง่ ท่ีเบื้องบนประทานลง
มา เมอื่ ใดฝนไมต่ กต้อง ตามฤดูกาล การเพาะปลูกพชื พนั ธ์ุกด็ ำเนินไปไม่ได้ ดว้ ยเหตุนจี้ ึงตอ้ งทำพธิ ี
"แหน่ างแมว"
๒. พิธกี รรมแหน่ างแมวภาคกลาง
พระยาอนมุ านราชธน ปราชญค์ นสำคญั ของไทย ใหข้ อ้ สงั เกตว่า แมวเปน็ สัตว์ไม่ชอบนำ้
โบราณจงึ ถอื ว่าเป็นตวั แล้ง เมื่อแมวถกู น้ำสาดเปียกปอน กจ็ ะหมดสภาพตัวแล้งไปชาวบ้านคงถอื เคลด็
ตรงนี้ จงึ มีพธิ แี หง่ นางแมวสืบตอ่ กนั มา ชาวบา้ นกเ็ ชื่อวา่ แมวเป็นสัญลักษณข์ องความแห้งแลง้ เชน่ กนั
เมอื่ แมวถูกสาดน้ำจะหายแล้ง จงึ จบั แมวตวั เมียมาใส่ "ตะข้อง" หรอื ชะลอม หรอื เข่ง ตะกร้า สุดแต่
จะหาได้ อาไมค้ านสอดเข้าไปในตะข้อง แล้วพากนั แห่ตระเวนไปทว่ั หมบู่ ้าน ในขบวนแห่มีคนตกี ลอง
ตีกรบั ตีฆอ้ ง หรอื ตฉี ง่ิ และจะรว่ มกันรอ้ งเพลงแหน่ างแมว โดยมคี ำร้องสนั้ ๆ ง่าย ๆ แตส่ ัมผสั คล้อง
จองกนั ดงั น้ี
"นางแมวเอย มารอ้ งแจว้ แจว้
นางแมวขอไก่ ขอไมไ่ ด้ รอ้ งไห้ขอฝน
ขอนำ้ มนตร์ ดแมวขา้ ที
มีแกว้ นัยนต์ า ออกมาเดือนหก ฝนตกทุกที
มาปนี ี้ไม่มฝี นเลย
พ่อตาลกู เขย นอนก่ายหน้าผาก
พอ่ หมา้ ยลกู มาก มันยากเพราะขา้ ว
คนหนุ่มคนสาว คนเฒ่าหวั หอ้ ย
พาเด็กน้อย มาเลน่ นางแมว
มาร้องแจ้วฝนกเ็ ทลงมา ฝนกเ็ ทลงมา”
คณุ ค่าทางสงั คมและทางจิตใจทม่ี ใี นวถิ ีการดำเนนิ ชวี ติ ของชุมชน
พิธีแห่นางแมวเป็นประเพณีของชาวอีสาน โดยเฉพาะประชาชนบ้านสนาย บ้านสนายน้อย
บ้าน สนายกลาง ตำบลพิมาย อำเภอปรางค์กู่ จังหวัดศรีสะเกษ เพราะเชอ่ื ว่า เหตุที่ฝนไม่ตกมีเหตุผล
หลายประการ เช่น เกิดจากดินฟ้าอากาศเปลี่ยนแปลง ประชาชนหย่อนในศีลธรรม เจ้าเมืองหรือเจ้า
แผ่นดิน ไม่ทรงอยู่ในทศพิธราชธรรม เป็นต้น ดังนั้น ถ้ามนุษย์อยากให้เทวะคือน้ำฝนท่ีดี ไม่ใช่
ดีเปรสชน่ั มาเยี่ยมตามกาลเวลา มนุษย์ก็ควรตั้งอยใู่ นศีลในธรรม
การแห่นางแมว เป็นพธิ อี ้อนวอนขอฝน ซ่ึงจำจัดทำขนึ้ ในปีใดที่ท้องถ่ินแหง่ แลง้ ฝน ไมต่ กต้องตาม
ฤดูกาล สาเหตุที่ฝนไม่ตก ท่านผู้รู้กล่าวไว้ว่า น้ำฝนนั้นเป็นน้ำของเทวดา ดังมีศัพท์บาลีว่า เทโว ซ่ึง
แปลว่า น้ำฝน เป็นเอกลักษณ์ของความดี ความบริสุทธิ์ ส่ิงแวดล้อมเป็นพิษมากๆ ควัน และละออง
เขมา่ น้ำมัน ห่อหุ้มโลกทำให้เป็นภัยแก่มนษุ ย์ ผูท้ จ่ี ะลา้ งอากาศได้ทำใหล้ ะอองพิษพวกนั้นตกลงดิน ทำ
ใหอ้ ากาศสะอาดขึน้
ตัวอย่างการแหน่ างแมว
ในจังหวัดชัยภูมิเราน้ันส่วนใหญ่แล้วจะประกอบอาชีพเกษตรกรรมเป็นหลัก ดังน้ันปัจจัยของ
ความสมบรู ณจ์ ึงมีความเกี่ยวข้องกบั ฝนเปน็ หลัก และชาวนาส่วนใหญ่มคี วามเชอื่ วา่ การพ่ึงพิงอำนาจที่
เหนือธรรมชาติว่าปใี ดฝนเกดิ แห้งแลง้ ฝนไม่ตกตอ้ งตามฤดกู าลชาวนาท้ังหลายก็จะไม่สามารถทำนาได้
เนื่องจากไม่มีน้ำ จึงทำให้เกิดพิธีกรรมที่เรียกว่า “การแห่นางแมว” ซ่ึงเป็นความเชื่อในการประกอบ
พิธขี อฝนให้ตกตามฤดูกาลได้โดยในพิธีจะใช้ชะลอมตกแต่งให้สวยงามและนำแมวมาใส่ในชะลอม มัด
ชะลอมใหแ้ น่นกับคานแล้วแห่ไปรอบหมู่บ้าน ในระหว่างแห่นางแมวจะมีการร้องเพลงและขบวนกลอง
ยาวคอยให้จังหวะเป็นท่ีคร้ืนเครง เมื่อขบวนแวะหรือผ่านบ้านใครก็จะรดน้ำแมวและให้อาหาร เหล้า
และอ่ืนๆ และเมื่อแห่ครบทุกบ้านแล้วก็จะนำข้าวปลาอาหารมากินเล้ียงกัน หรืออาจจะแห่ไปเรื่อยๆ
จากเช้าจนถึงค่ำพิธีกรรมแห่นางแมวยังแสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างชุมชนช่วยให้กลุ่มคนท่ีมีอาชีพ
เกษตรกรรมไดก้ ลับมารวมตัวทำให้เกดิ ความสร้างสรรค์สามารถทำให้ชุมชนชาวนามีความเป็นปึกแผ่น
มากขึน้ ดว้ ย
บทสรปุ
สังคมไทยเป็นสังคมเกษตรกรรม นำ้ ฝนเป็นปัจจัยสำคัญในการเพาะปลูก เกษตรกรมีความเช่ือ
ว่า "ฝน" เป็นสง่ิ ทเี่ บ้อื งบนประทานลงมา เมื่อใดฝนไม่ตกตอ้ งตามฤดกู าล การเพาะปลูกพืชพันธุ์ดำเนิน
ไม่ได้ จงึ ต้องทำพิธขี อฝนหรอื ทำนายฝน ประเพณีขอฝนมอี ยหู่ ลายรูปแบบ
ตามความเชื่อของชาวอีสานเช่ือว่าเหตุท่ีฝนไม่ตกมีหลายประการ เช่น เกิดจากดินฟ้าอากาศ
เปลี่ยนแปลง ชาวบ้านหย่อนในศีลธรรม เจ้าเมืองหรือเจ้าแผ่นดินไม่ทรงอยู่ในทศพธิ ราชธรรม เป็นต้น
ดังน้ัน หากมนุษย์ต้องการให้ฝนตกต้องตามฤดูกาล ก็ควรตั้งอยู่ในศีลในธรรม แต่หากฝนไม่ตกต้อง
ตามฤดูกาล ชาวอีสานจงึ ต้องทำพิธีอ้อนวอนขอฝน โดยการใช้แมวเป็นตัวประกอบสำคญั ในการขอฝน
เพราะเช่ือว่าแมวเป็นสัตว์ท่ีเกลียดฝน ถ้าฝนตกครั้งใดแมวจะร้องทันที จากความเชื่อนี้จึงเป็นเหตุให้
ชาวบ้านคดิ หาวธิ ใี ห้แมวรอ้ ง ด้วยการสาดนำ้ แมว
สว่ นใหญ่คนเฒ่าคนแกใ่ นหมูบ่ ้านจะเป็นผนู้ ำกลา่ วเซิ้งเพื่อให้ผู้แห่ทงั้ หมดวา่ ตาม เริ่มขบวนแห่
โดยหามกระบุงใส่แมวไปข้างหนา้ แลว้ ตามด้วยคนว่าคำเซง้ิ และผูแ้ หว่ ่าตามเปน็ ทอ่ นๆ ไปในขบวนจะ
มีการตีเกราะเคาะไม้เพื่อให้เกิดจังหวะตามไปด้วย แห่ไปทุกหลังคาเรือนในหมู่บ้านนั้นๆ เม่ือแห่ไปถึง
บา้ นใครเจา้ ของบา้ นก็ต้องเอานำ้ สาด หรือรดที่ตัวแมวให้เปียกและทำให้แมวร้อง และสาดใส่ขบวนเซ้ิง
ด้วย ประเพณีบางบ้านก็สาดใส่ขบวนเฉยๆ โดยไม่ให้ถูกแมว ผู้หญิงท่ีเข้าร่วมในพิธีแห่จะผัดหน้าขาว
ทัดดอกไม้สดดอกโตๆ ขบวนแห่จะร้องรำทำเพลงที่สนุกสนานเฮฮา เมื่อขบวนแห่ถึงบ้านไหน แต่ละ
บ้านต้องออกมาต้อนรับอย่างเต็มที่ เพราะเกรงว่าแมวจะโกรธ และบันดาลไม่ให้ฝนตกลงมา และมี
ความเช่ือว่า ถ้าแห่นางแมวแล้วฝนจะตกภายใน ๓ วัน ๗ วัน นอกจากพิธีแห่นางแมวจะเป็นการช่วย
เรียกให้ฝนตกแล้ว ยังถือเป็นการสร้างความสัมพันธ์กับคนในหมู่บ้านให้แน่นแฟ้นข้ึน เนื่องจากต้องมี
การชว่ ยเหลอื กันในการประกอบพธิ ี
บรรณานุกรม
photcharapon44499.ประเพณแี ห่นางแมวgoogle.
https://sites.google.com/site/photcharapon44499/prapheni-thiy-phakh-
xisan/prapheni-hae-nang-maew ( วนั ที่คน้ ขอ้ มลู ๑๔มกราคม ๒๕๖๓ )
sanook.ความเชอื่ เรื่องการแหน่ างแมว.google.
https://www.sanook.com/horoscope/15621 (วันทคี่ ้นข้อมูล๑๔ มกราคม ๒๕๖๓)
ภาคผนวก
ความเช่ือเก่ียวกับแมวสีสวาดและแมวสีดำแมวสีสวาดหรือแมวโคราชเป็นแมวท่ีใช้ในพิธีแห่
นางแมวขอฝน เม่ือเจอฤดูการแห้งแล้ง เชื่อกันว่าสีขนคล้ายสีของเมฆอันเป็นที่มาของฝน ซึ่งสร้าง
ความอุดมสมบูรณ์ให้แก่ชาวไร่ ชาวนา ตามท่ีเป็นสีเขียวหรือเหลืองอำพันนั้นเปรียบเสมือนความเขียว
ขจีของกล้าข้าวในนา แมวโคราชจัดเป็นแมวท่ีมีลักษณะท่ีดี เป็นแมวที่ให้คุณแก่ผู้เล้ียงดู ดังคำโบราณ
กล่าวไว้ว่า 'ใครพบเร่งให้อุปถัมภ์ แมวน้ันจักนำซ่ึงสุขสวัสด์ิมงคล' แมวสีดำไม่ควรเล้ียงในบ้าน เพราะ
เป็นแมวคราว มีผีสิงใหเ้ อาไปปลอ่ ยวัด เพราะจะทำให้เจ้าของและบรวิ ารเจ็บไขไ้ ดป้ ่วย
เร่ือง ฮตี สิบสองคลองสบิ ส่ี
โดย
นางสาวปานา หาญไพรี และคณะ
ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี ๕/๘
เสนอ
นางสาวธญั ญา ดาทอง
รายงานเล่มนี้เป็นส่วนหน่งึ ของวิชาภาษาไทย
(ท๓๒๑๐๒)
ภาคการเรยี นที่ ๒ ปกี ารศึกษา ๒๕๖๒
โรงเรยี นหนองกีพ่ ทิ ยาคมอาเภอหนองกี่ จงั หวดั บรุ ีรมั ย์
เรอ่ื ง ฮีตสิบสองคลองสบิ สี่
โดย
นางสาวปาน หาญไพรี
นางสาวภสั ราภรณ์ อรุณพาส
นางสาววันวิสา สทุ ธเิ์ พศ
นางสาวสุธดิ า แดงชาติ
นางสาวรญิ ญารัตน์ เรือนประโคน
นางสาวปอยฟ้า สพุ ิศ
นางสาวสุภาพร กูบกระโทก
ชน้ั มัธยมศกึ ษาปีท่ี ๕/๘
เสนอ
นางสาวธญั ญา ดาทอง
รายงานเลม่ นีเ้ ปน็ ส่วนหนง่ึ ของวิชาภาษาไทย
(ท๓๒๑๐๒) ภาคการเรียนที่ ๒ ปีการศึกษา ๒๕๖๒
โรงเรียนหนองกี่พทิ ยาคม อาเภอหนองก่ี
จงั หวดั บรุ ีรัมย์
คานา
รายงานเล่มน้เี ป็นส่วนหน่งึ ของรายวิชาภาษาไทยรหัสวิชา ท๓๒๑๐๒ จดั ทาขึ้นเพอ่ื รวบรวมเนื้อหา
เก่ียวกับเรอื่ งประเพณฮี ีตสิบสองคลองสบิ สคี่ วามหมายของฮตี สิบสองคลองสิบสี่ และกจิ กรรมตา่ งๆในประเพณี
ฮีตสบิ สองคลองสิบสี่ เพ่อื ใหผ้ ูท้ ส่ี นใจเนอ้ื หาเกีย่ วกบั ประเพณีฮีตสิบสองคลองสิบสีไ่ ดน้ าไปศกึ ษาค้นควา้
เพิม่ เตมิ
ขอขอบคุณพระคณุ คุณครูธญั ญา ดาทอง ที่ใหค้ าปรึกษาในการทารายงานหากผิดพลาดประการใดต้อง
ขออภัยไว้ ณ ท่ีน้ดี ้วย
นางสาวปานา หาญไพรีและคณะ
๒๒ มกราคม ๒๕๖๓
สารบญั
เรือ่ ง หนา้
บทนา ๑
ประวัตคิ วามเปน็ มาฮีตสิบสองคลองสบิ ส่ี ๑
ความหมายฮตี สบิ สองคลองสิบสี่ ๑
ฮตี สบิ สองคลองสบิ ส่ี ๒-๕
บรรณานกุ รม ๕- ๖
บทนา
ฮีตสิบสองมาจากคา ๒ คา คอื ฮีต กบั สิบสองฮีตมาจากคาว่า จารตี หมายถงึ ส่งิ ทีป่ ฏบิ ตั ิสืบตอ่ กนั มา
จนกลายเปน็ ประเพณที ี่ดงี ามชาวอสี าน เรียกวา่ จาฮตี หรือฮตี สิบสอง หมายถึงเดือนทั้ง ๑๒ เดอื นในหน่งึ ปี ฮี
ตสบิ สองจงึ หมายถงึ จารีตประเพณสี ิบสองรายการคอื ประเพณปี ระจาสบิ สองเดอื นนน่ั เอง เปน็ จารีตประเพณที ่ี
จาทาใหส้ มาชิกในสังคมได้มีโอกาสรว่ มชมุ นมุ กนั ทาบญุ เป็นประจาทุกๆเดอื นของรอบปี ผลทไ่ี ดร้ บั กค็ อื ทุกคน
จะไดม้ เี วลาเขา้ วัดใกลชั ิดกบั หลกั ธรรมของธรรมทางศาสนายงิ่ ขนึ้ ทาให้ประชาชนในยา่ นใกล้เคียงรจู้ กั มกั คนุ้
สามคั คีกันเปน็ อยา่ งดแี ละมผี ลงานทางอ้อมคือ เม่อื วางจากการงานอาชพี แล้วกม็ จี ารีตบังคับให้ทุกๆคนเสียสละ
ทางานร่วมกันเพือ่ สงั คมสว่ นรวมไมใ่ หค้ นอย่วู ่าง ถ้าผ้ใู ดฝา่ ฝืนกถ็ กู สงั คมลงโทษตั้งขอ้ รงั เกียจอย่างจริงจัง ฮีตสบิ
สองของชาวอีสานส่วนทีก่ าเนดิ จากคาสอน และความเชือ่ ของพระพุทธศาสนา จะคล้ายกบั ประเพณขี องชาว
พทุ ธในสังคมอ่นื สว่ นฮตี ท่เี กดิ จากความเช่ือในเร่ืองผี อานาจลกึ ลบั และปญั หาในการดารงชีวติ ประจาวนั ของ
ชาวอสี านจะมเี อกลักษณเ์ ฉพาะท้องถิ่นพบ
ประวตั ิความเป็นมาฮตี สิบสองคลองสบิ ส่ี
เป็นขนบธรรมเนียมประเพณขี องชาตพิ ันธล์ าว ซ่ึงร่วมถึงชาวลาวอสี านทป่ี ฏบิ ตั สิ ืบต่อกนั มาจนถงึ
ปจั จุบนั ซ่ึงเป็นวฒั นธรรมแสดงถึงความเป็นชาตเิ ก่าแกแ่ ละเจริญรงุ่ เรืองมานาน เปน็ เอกลักษณข์ องชาติและ
ท้องถิน่ และมีสว่ นช่วยใหช้ าติดารงความเป็นชาติของตนอยู่ตลอดไป
ความหมายฮีตสิบสองคลองสิบสี่
ฮตี สิบสอง มาจากคาสองคาได้แก่ ฮีต คือคาวา่ จารีต ซง่ึ หมายถึง ความประพฤติ ธรรมเนียม
ประเพณี ความประพฤตทิ ดี่ ี และ สิบสอง หมายถึง สบิ สองเดือน ดงั น้นั ฮีตสบิ สองจงึ หมายถงึ ประเพณที ่ชี าว
ลาวในภาคอสี าน และประเทศลาว ปฏิบตั กิ นั มาในโอกาสต่าง ๆ ท้ังสบิ สองเดือนของแตล่ ะปี เปน็ การ
ผสมผสานพิธกี รรมทีเ่ กี่ยวกบั เร่อื งผีและพิธกี รรมทางการเกษตร เข้ากบั พธิ ีกรรมทางพุทธศาสนา
คองสบิ สี่ เป็นคาและข้อปฏบิ ัตคิ ่กู บั ฮตี สบิ สองคอง หมายถงึ แนวทาง หรือ ครรลอง ซึ่งหมายถงึ ธรรม
เนียมประเพณี หรอื แนวทาง และ สบิ ส่ี หมายถึง ขอ้ วัตรหรอื แนวทางปฏิบัตสิ บิ ส่ีขอ้ ดงั นน้ั คองสบิ สจ่ี ึงหมายถึง
ข้อวัตรหรอื แนวทางที่ประชาชนทุกระดับ นับตั้งแตพ่ ระมหากษตั ริย์ ผูม้ หี นา้ ที่ปกครองบา้ นเมอื ง พระสงฆ์ และ
คนธรรมดาสามัญพึงปฏบิ ัตสิ ิบสข่ี ้อ
งานบญุ ประเพณีท่ีเก่ยี วขอ้ งกับฮตี สิบสองที่สาคัญของชาวอีสาน บญุ เดอื นสี่ จังหวัดร้อยเอด็ (งาน
ประเพณีบญุ พระเวส) บุญเดอื นหก จงั หวดั ยโสธร (งานประเพณีบุญบง้ั ไฟ) บุญเดอื นแปด จังหวดั อุบลราชธานี
(งานประเพณแี หเ่ ทยี นเขา้ พรรษา) บุญเดือนสิบเอด็ จังหวดั นครพนม (งานประเพณอี อกพรรษาไหลเรอื ไฟ)
และจังหวดั สกลนคร (งานประเพณีแหป่ ราสาทผ้งึ )
ฮตี สิบสองคลองสบิ ส่ี
เดอื นอ้าย - บญุ เขา้ กรรม บญุ เข้ากรรม คอื บญุ ท่ที าข้ึนในเดอื นอา้ ย (เดือนเจยี ง) ซ่งึ เป็นเดือนแรกของ
ปที ชี่ าวอสี านจะต้องประกอบพธิ ีบญุ กนั จนเป็นประเพณซี ง่ึ อาจจะเปน็ ข้างขน้ึ หรือขา้ งแรมกไ็ ด้ พิธีบุญน้จี ะ
เก่ียวกบั พระโดยตรงซึง่ ความจรงิ นา่ จะเป็นเรือ่ งของสงฆ์โดยเฉพาะ แตม่ ีความเชอื่ กันวา่ เมื่อทาบญุ กบั พระทีท่ า
พิธนี จี้ ะทาใหไ้ ดอ้ านสิ งส์มาก ญาตโิ ยมจึงคดิ วนั ทาบุญเข้ากรรมขึ้น อนั วา่ ประเพณพี ทุ ธศาสนาเราไว้เปน็ ธรรม
ประจาชาติ เป็นความประพฤตดิ ีเลิศลน้ พระสงฆ์สร้างกอ่ บุญ คาว่ากรรมคือกรรมของภกิ ษสุ งั ฆาทเิ สท ๑๓
ขอ้ นนั้ พระสงฆต์ อ้ งอยู่กรรม เพือ่ ความบกพร่องของศีล ดงั กล่าว พระภกิ ษุสงฆ์จงึ เขา้ กรรมเพื่อชาระความเศรา้
หมองพวกนี้ แล้วจะเจรญิ ขึ้นกว่าเดมิ ประเพณบี อกไวถ้ อื ว่าเปน็ สาคญั ขึน้ ๑๕ ค่า เดอื น ๓ กาหนดการไว้หรอื
วา่ วันเพ็ญเดอื นอา้ ย ทาบุญ ตักบาตร เรียกวา่ บญุ เดือนอา้ ย วิธเี ข้ากรรมคอื จดั เตรยี มเคร่ืองใช้ที่จาเป็น นา้ กนิ
นา้ ใชใ้ หเ้ พียงพอ เลอื กที่สงัด บ่มีภิกษมุ ากดว้ ยคน น้อยบ่หลาย ทาเป็นท่ีเขา้ เป็นศาลากลางปา่ จัดเปน็ กระทอ่ ม
นอ้ ยสาหรบั อยู่ผู้เดยี ว แล้วก็เตรยี มหม่ ผา้ เฉลยี ง บา่ ทั้งสอง ยอมือพบกล่าวยอมาลีเวา้ ว่า ปริวาสเข้ากรรมปลด
แอกครั้นอยปู่ ริวาสครบแล้วขอมานัต ๖ ราตรี ครนั้ ว่าราตรคี รบก็จริง ขออัพภาน ตอ่ สงฆ์องคเ์ จ้า ครั้นวา่ ขอ
อัพภาน แลว้ เปน็ คนใสสะอาด หมดเวรกรรมมายตุ ้อ ใจน้นั ซุ่มเยน็ สาหรับฆราวาสนั้นให้ถวายจตุปัจจัย ไทย
ธรรม ครั้น วา่ หมดกรรมแล้วบญุ กุศลกน็ าสง่ ใหไ้ ด้บุญ คน โบราณถือว่าเป็นสงิ่ ที่นา่ ยกยอ่ งสรรเสริญ
เดอื นย่ี - บุญคูนลาน ในฤดูหลงั การเก็บเกี่ยวชาวบา้ นจะทาบุญคณู ขา้ วหรอื บญุ คณู ลาน โดยนิมนต์
พระสวดมนต์เยน็ เพื่อเป็นมงคลแกข่ ้าวเปลือก รุ่งเชา้ เมอื่ พระฉันเช้าแล้วจะมกี ารทาพิธสี ู่ขวญั ข้าว นอกจากนี้
ชาวบา้ นจะเตรียมเกบ็ สะสมฟืนไวห้ ุงต้มท่บี า้ นจะเป็นการทาบญุ เพอ่ื รับขวญั ข้าว เมือ่ ถงึ เดือนย่ี หรือเดอื นที่ ๑
คือเดือนมกราคม ของทุกปี หลังจากเกบ็ เกยี่ วข้าวเสร็จ ชาวบา้ นจะขนเอามัดรวงข้าวทีเ่ กยี่ วเสร็จแลว้ นนั้ ไป
กองรวมกันไวท้ ีล่ านเก็บขา้ วด้วยมีความเชื่อว่าข้าวนั้นเปน็ พืชเลี้ยงชีวิตท่ีมเี ทพารกั ษา เทพองค์นนั้ มีนามวา่ "แม่
โพสพ" ซึ่งเปน็ ขวัญขา้ วทเ่ี ลยี้ งมนุษยม์ า การทาบุญมพี ระสวดมนต์เย็น ฉนั เชา้ เพือ่ เป็นสริ ิมงคลแก่ขา้ วเปลือก
เม่ือพระฉันเช้าแล้วก็ทาพธิ สี ่ขู วัญข้าว และผกู ข้อตอ่ แขนกันในหมชู่ าวบ้านผูร้ ว่ มพธิ ี บญุ คุ้มประจาหมู่บา้ น น้นั
จดั คมุ้ ใหญ่เปน็ ประจา แตล่ ะเรือนชานเหล่ารวมเปน็ คมุ้ พิธที าบญุ มัน้ จัดปราคนละแห่ง ต่างก็จัดของทานมขี ้าว
นา้ เอาไว้สู่เรอื น แล้วไปรวมกนั เข้าทาบุญรว่ มตลอด ในเวลากลางคนื จัดปราคนละแห่ง ต่างก็จดั ของทานมีข้าว
น้า เอาไวส้ ู่เรือนแล้วไปรวมกันเข้าทาบุญร่วมตลอด ในเวลากลางคนื จัดธปู เทยี นดอกไม้ มาไหวท้ า่ นพระสงฆ์
แล้วเหล่ามีใจพร้อมรวมกนั ฟังเทศนม์ ีมหรสพพรา่ พร้อมงันซ้องสนั่นเมอื ง ตน่ื ฮงู เชา้ ตัก บาตรถอื ศีล ถวาย
อาหารพระสงฆ์จบกระบวนถว้ น บุญคุ้มข้าวใหญ่ อันวา่ บุญแนวนีน้ าเอาขา้ วเปลือกมารวมกนั เขา้ แล้วถือศีล ฟัง
เทศน์ทศ่ี าลากลางหมู่บ้าน โรงกวา้ ง สะดวกดี กลางคนื น้นั ถอื ศีลฟังเทศน์มมี หรสพพรา่ พร้อมเพยี รสรา้ งกอ่ บญุ
หลายครวั เรือนไดร้ วมกันเอา ข้าวเปลอื ก ถือวา่ เป็นบญุ มากลน้ โบราณเจ้าเหลา่ ถือ ขา้ วเปลอื กน้ันเอาไปจา่ ย
เป็นเงินมาทาสาธารณกุศล ก่อ การได้ไว้หลายประการล้นบุญมีเหลอื มาก ควรท่จี าจือไว้โบราณเจ้ากลา่ วสอน
เดือนสาม - บญุ ข้าวจี่ ทาบุญข้าวจ่ี วนั เพญ็ เดือน ๓ เป็นวนั มาฆบชู า รุ่งขน้ึ วนั แรม ๑ ค่าก็ถวายขา้ วจ่ี
เรยี กว่าวนั ทาบญุ เนือ่ งในวนั มาฆบชู าน่นั เอง ข้าวจีค่ อื เอาขา้ วเหนียวปัน้ เป็นก้อนเอาไมเ้ สยี บยา่ งไฟเหมอื นไก่
ย่าง เม่ือข้าวสกุ เกรยี มแล้วกเ็ อาไขซ่ ง่ึ ตีไว้แล้วทาแล้วย่างซ้าอีกกลายเป็นไขเ่ คลอื บข้าวเหนยี ว แล้วถวายพระ
เณรฉันตอนเช้า ส่วนมากชาวบา้ นจะรบี ทาแตเ่ ช้ามดื พอสว่างกล็ งศาลาการเปรยี ญ (ชาวบา้ นเรียกหอแจก)
นิมนต์พระเณรเจริญพระพทุ ธมนต์แล้วฉัน เปน็ ท้ังงานบญุ และงานรืน่ เริงประจาแต่ละหมู่บา้ น มปี ระวัติ มาแต่
พุทธกาลคราวพ้นุ ในพระธรรมมาเวา้ บาลีมีบอกวา่ มีนางปุณณะทาสเิ จ้าเปน็ สาวใช้บา่ ว จัดแปง้ สาลีเปน็ แป้งจี
นัง่ เฝา้ เรือนเจา้ บ่าวนาย คิดอยากจะถวายข้าวสาลีแป้งจกี ็กลัวว่าพระพุทธเจ้าสโิ ยนทิ้งบ่อยากฉัน พระ พทุ ธ
องคท์ รงได้โดยพระวรจิตจงึไดว้ านอานนทป์ ูอาสนะลงบนพน้ื พออานนท์ปูแล้วพระองค์เสด็จอาสน์นาง ปณุ ณา
ทาสปิ ราบปล้ืมดแี ท้มากหลายจงึ ถวายไท้พทุ ธบาทโคดม พระองคจ์ งึ ทรงเทศนาวา่ เป็นทานเยยี่ ม จนกว่าปูณณะ
ทาสไี ดโ้ สดาคุณพเิ ศษ เป็นพระอรยิ ะบุคคลเพราะไดท้ านแปง้ จี่ผง เหตดุ ังนีเ้ ฮาพวกชาวนาจึงพา กนั มาทาบุญ
ดงั่ ปณุ ณะทาสสี ู่ปบี ม่ ีเว้น
เดือนสี่ - บุญพระเวส บญุ ผะเหวด หรือบุญพระเวส หมายถึง บุญพระเวสสันดร เรยี กอีกอย่างหนง่ึ ว่า
บญุ มหาชาติ ชาวอสี านจะนิยมจัดขน้ึ ในเดอื นส่ี (ช่วงเดือนมีนาคม) เป็นบุญประจาปีในฮีตสิบสอง ดังทีป่ ราชญ์
อสี านได้ประพันธผ์ ญา (บทกลอน) เก่ียวกบั การทาบญุ ในช่วงเดอื นสามและเดอื นสไ่ี ว้วา่ “เถงิ เม่อื เดอื นสามค้อย
เจา้ หัวคอยปนั้ ข้าวจี่ ตกเม่อื เดอื นสีค่ อ้ ยจัวนอ้ ยเทศน์มัทรี” แปลวา่ เมอ่ื ถึงเดอื นสามพระภกิ ษุสามเณรจะรอ
ชาวบ้านทาบญุ ข้าวจี่ และเมื่อถงึ เดอื นสี่(ช่วงเดอื นมนี าคม) สามเณรเทศนก์ ณั ฑ์มัทรใี นงานบญุ มหาชาติ เหตุใด
จึงทาบญุ พระเวส ในคมั ภีร์กล่าวอา้ งตน้ เหตกุ ารณ์ทาในกาลคร้งั หน่ึงนั้น พระเถระเจ้าองค์เอกอรหนั ตข์ ึ้นไป
สวรรค์พิภพ เขตพระอนิ ทรอ์ งคล์ ้า ทา่ นก็ประสงค์ไปไหวจ้ ฬุ ามณอี งค์พระธาตุ ไดพ้ บองคเ์ อกเจา้ ศรีอาริยะทวย
เทพ อยูส่ วรรคช์ ้นั ฟ้าคราวน้นั สงั่ มาวา่ บุคคลใดคดิ อยากพบยอดไท้องค์เอกพระศรีอารย์ ให้พากนั ทาบญุ เทศน์
เวสสนั ดรเอาไวฟ้ ังธรรม 13 กัณฑ์ ได้วันเดยี วใหห้ มดผกู อยา่ พากันข้คี รา้ นจะเหน็ หนา้ แห่งเรา ทั้งอย่าให้ทา
อนันภขตริยะกรรมรายอนั มีผลเป็นบาป
เดอื นหา้ - บุญสงกรานต์ บญุ สงกรานตห์ รือตรุษสงกรานต์ ทากนั ในเดือนหา้ ปกติมี ๓ วนั โดยจะเริม่
ต้ังแต่วันท่ี ๑๓ เมษายน ถึงวนั ที่ ๑๕ เมษายน ของทกุ ปี เหมอื นกับภาคกลาง ในวนั ท่ี ๑๓ เมษายน เป็นวันตน้
คือวันมหาสงกรานต์ วันที่ ๑๔ เมษายน คือวันกลางเปน็ วันเนา และวันท่ี ๑๕ เมษายน คือวนั สุดทา้ ยเป็นวนั
เถลิงศก ชาวอีสานถอื เปน็ วันขน้ึ ปีใหมจ่ ะมีการสรงน้าพระพทุ ธรูป ทีส่ รงน้าพระพุทธรูปมกั เป็นท่ีจดั ไว้ในทเี่ ห็น
วา่ เหมาะสม ซึ่งตามปกติมกั ใชศ้ าลาการเปรียญ แต่บางวดั กจ็ ัดสรา้ งหอสรงขนึ้ แล้วอญั เชญิ พระพุทธรูปไป
ประดิษฐานไว้ เพือ่ ทาการสรงในวันสงกรานต์ และในวันถัดจากวนั สงกรานตอ์ ีกด้วย
เดอื นหก - บญุ บง้ั ไฟ บุญบั้งไฟ เป็นประเพณีหน่งึ ของภาคอสี านของไทยรวมไปถงึ ลาว โดยมีตานาน
มาจากนทิ านพนื้ บ้านของภาคอีสานเรอ่ื งพระยาคันคาก เร่ืองผาแดงนางไอ่ ซ่งึ ในนิทานพื้นบา้ นดงั กลา่ วได้
กล่าวถึง การท่ีชาวบา้ นไดจ้ ัดงานบุญบ้งั ไฟข้นึ เพอื่ เปน็ การบชู า พญาแถน หรือเทพวัสสกาลเทพบตุ ร ซ่ึง
ชาวบา้ นมีความเชื่อว่า พระยาแถนมหี นา้ ที่คอยดแู ลให้ฝนตกถูกต้องตามฤดูกาล และมคี วามชื่นชอบไฟเป็น
อยา่ งมาก บุญบัง้ ไฟหรือบญุ เดือนหก การเอาขีเ้ จีย(ดนิ ประสิว) มาประสมค่ัวกับถ่าน โขลกใหแ้ หลกเรียกว่า
หมือ่ (ดินปนื ) เอาหมอื่ ใสก่ ระบอกไมไ้ ผ่อดั ใหแ้ นน่ แล้วเจาะรใู สห่ างเรยี กวา่ บ้งั ไฟ การทาบญุ มีใหท้ าน เป็นต้น
เก่ียวกบั การทาบ้องไฟ เรียกว่า บุญบงั้ ไฟ กาหนดทากันในเดือนหกเรยี กว่าบุญเดอื นหก เพ่อื ขอฟาู ขอฝนจาก
เทวดาเมอ่ื ถงึ ฤดแู ห่งการเพาะปลูก ทาไรท่ านา
เดอื นเจ็ด - บญุ ซาฮะ ประเพณบี ญุ เดือนเจ็ด หรือ บญุ ซาฮะ เปน็ งานบุญท่ชี าวอีสานจะจัดงาน
ประเพณีขึ้น มจี ุดประสงค์เพื่อ ปดั รังควานและขับไล่เสนยี ดจัญไร ตลอดถงึ เหล่าภูตผปี ีศาจหรือส่ิงช่ัวร้ายให้
ออกไปจากหมูบ่ า้ น คาวา่ "ซาฮะ" กค็ ือ "ชาระ" ทหี่ มายท่กี าร ลา้ งใหส้ ะอาด บุญซาฮะ อาจจะเรยี กว่าเปน็ บุญ
เบิกบา้ น หรอื บญุ บา้ น ซ่ึงในงานบุญนีน้ อกจากจะทาพธิ ขี ับไลส่ ่ิงช่ัวร้ายแล้ว ยังต้องมกี ารทาพธิ บี ูชาสิ่ง
ศกั ดส์ิ ิทธคิ์ บู่ า้ นค่เู มือง เพอ่ื ให้เกิดความเป็นสิรมิ งคลแกห่ มู่บา้ นและประชาชน
เดอื นแปด - บญุ เข้าพรรษา เดอื น ๘ เป็นเดือนอยู่ในระยะหนา้ ฝน และเป็นเดอื นทีพ่ ระอยูจ่ าพรรษา
ตลอดสามเดอื น ไมไ่ ปค้างคนื ที่อน่ื ยกเว้นแตม่ กี ิจทจ่ี าเปน็ บางทพี อท่จี ะอนโุ ลม ใหไ้ ปค้างคืนทอ่ี ืน่ ได้ แตท่ ้ังนี้
ต้องไม่เกิน ๗ วนั ถ้าเกนิ นั้นถือวา่ พรรษาขาด โดยปกตแิ ล้วกาหนดเอาวนั แรม ๑ ค่า เดอื น ๘ ของปีท่เี ป็นปกติ
มาส(๘ หนเดียว) เปน็ วันอธิฐานเขา้ พรรษา สาหรับปีทเ่ี ป็นอธิกมาสคือ ๘ สองหน กาหนดเอาวันแรม ๑ ค่า
เดอื น ๘ หลงั เป็นวนั อธฐิ านเข้าพรรษา เพราะมีกาหนดทากนั ในเดือน ๘ เป็นประจา จึงมชี ื่อเรียกอกี อย่างหนงึ่
ว่า “บญุ เดือนแปด” บญุ เข้าวัดสา(เขา้ พรรษา) หรอื บญุ เดือนแปด การอยูป่ ระจาวดั วัดเดยี วตลอดสามเดือนใน
ฤดูฝน เรยี กวา่ เข้าวดั สา โดยปกตกิ าหนดเอาวนั แรมหนงึ่ ค่าเดอื นแปดเปน็ วนั เร่ิมต้น เรียกวา่ บญุ เดอื นแปด
เดือนเกา้ - บญุ ข้าวประดับดิน ประเพณบี ุญข้าวประดบั ดนิ บุญเดือนเกา้ เป็นอีกหนึง่ ประเพณีที่สบื
ทอดกันมาในภาคอีสาน โดยบุญขา้ วประดบั ดิน เป็นงานประเพณที ถ่ี กู จัดขึน้ ในวันแรม ๑๔ ค่า เดอื น ๙ ของ
ทกุ ๆ ปี บญุ ขา้ วประดับดิน ประเพณีภาคอสี าน ทจี่ ดั ขน้ึ เพอื่ อทุ ศิ สว่ นกุศลให้กบั ผูท้ ่ลี ว่ งลับไปแลว้ และสัตว์
นรกหรือเปรต จะบุญขา้ วห่อประดับดนิ หรือบญุ เดือนเกา้ การห่อข้าวปลาอาหารและของเค้ยี วของกินเป็นหอ่ ๆ
แล้วเอา ไปถวายทานบา้ ง ไปแขวนตามก่ิงไมใ้ นวดั บา้ ง เรียกวา่ บญุ ข้าวประดับดนิ เพราะมีกาหนดทาบญุ ใน
เดือนเก้า จงึ เรยี กว่าบุญเดือนเกา้
เดอื นสิบ - บุญขา้ วสาก บญุ เดือนสบิ หรือ บญุ ข้าวสาก หมายถงึ บุญท่ีใหพ้ ระเณรท้ังวดั จับสลากเพ่อื
จะรบั ปัจจัยไทยทาน ตลอดจนสารับกับขา้ ว ทญ่ี าตโิ ยมนามาถวายและบญุ น้ีจะทากนั ในวนั เพ็ญเดือนสิบ จึง
เรยี กชอ่ื อีกอยา่ งวา่ “บุญเดือนสบิ ” หอ่ ข้าวน้อย มลู เหตทุ ที่ า เพ่อื จะทาใหข้ า้ วในนาท่ปี ักดาไปนัน้ งอกงาม และ
ไดผ้ ลบริบูรณ์ และเป็นการอุทศิ สว่ นกศุ ลถงึ ญาตผิ ลู้ ว่ งลับ ไปแลว้ การเขยี นชอ่ื ใส่สลากใหพ้ ระภิกษแุ ละ
สามเณรจบั และเขยี นชือ่ ใส่ภาชนะ ขา้ วถวายตามสลากนั้นและทาบญุ อย่างอ่ืนมรี ักษาศลี ฟังธรรม เป็นต้น
เรยี กวา่ บญุ ขา้ สาก (สลาก ) เพราะ กาหนดใหท้ าในเดือนสบิ จึงเรียกวา่ บญุ เดอื นสิบ
เดือนสบิ เอด็ - บุญออกพรรษา วนั ออกพรรษา" (ตามที่เข้าใจกนั ) เปน็ วนั สาคญั ทางพุทธศาสนาวัน
หนงึ่ ในประเทศไทย เน่ืองจากเปน็ วนั สนิ้ สุดระยะเวลาจาพรรษา ๓ เดือน ของพระสงฆเ์ ถรวาทโดยเป็นวนั ท่ี
พระสงฆ์จะทาสงั ฆกรรม คือ การปวารณาในวันน้ี วนั ออกพรรษา (ออกพรรษา) จะตรงกับวนั ข้ึน ๑๕ คา่ เดอื น
๑๑ (ประมาณเดือนตุลาคม) หลงั วันเขา้ พรรษา ๓ เดือน ตามปฏิทินจนั ทรคติไทย
เดอื นสิบสอง - บุญกฐนิ บุญกฐิน เปน็ บญุ ถวายผ้าไตรจีวรแด่พระสงฆ์ ซ่ึงจาพรรษาแลว้ เรมิ่ ตงั้ แต่
แรม ๑ ค่า เดอื น ๑๑ ถึง วนั เพญ็ ๑๕ ค่า เดอื น ๑๒ เป็นเขตทอดกฐนิ ตามหลกั พระวินัย ผา้ ทใ่ี ช้ไมส้ ดงึ ทาเปน็
ขอบซึ่งเยบ็ จวี ร เรียกวา่ ผ้ากฐนิ ผา้ กฐินน้มี ี กาหนดเวลาในการถวายเพียงหนงึ่ เดอื นคือต้ังแตแ่ รมหนงึ่ ค่าเดอื น
สิบเอ็ดถึงวันเพญ็ เดือนสบิ สอง เพราะ กาหนดเวลาทาในเดอื น ๑๒ จึงเรยี กว่าบญุ เดือนสบิ สอง เพอ่ื ให้ภกิ ษสุ งฆ์
มีโอกาสได้ผลัดเปลีย่ นไตรจวี รใหม่ เนอื่ งจากของเก่าใชน้ ุ่งหม่ มาตลอดระยะเวลาสาม เดือนที่เขา้ พรรษายอ่ ม
เก่า มเี รอ่ื งเล่าวา่ ภิกษชุ าวเมอื งปาฐา ๓๐ รูปพากันไปเฝ้าพระผมู้ พี ระภาคเจา้ ณ พระเชตะวนั มหาวหิ าร ไปไม่
ทนั วันเข้าพรรษาจงึ พกั จาพรรษาทเี่ มอื งสาเกตุ พอออกพรรษาแล้วพากันเดนิ กราฝน จวี รเปียกชมุ่ ดว้ ยน้าฝน
พอไปถึง แลว้ กเ็ ข้าเฝา้ พระองคท์ รงเห็นความลาบากของภกิ ษเุ หล่าน้ันจึง อนุญาตให้รับผา้ กฐนิ ได้ นางวสิ าขา
ทราบความประสงค์จึงนาผ้ากฐนิ มาถวายเปน็ คนแรก จงึ ถือเป็นประเพณี สบื ตอ่ กนั มาจนถงึ ทุกวันน้ี
บรรณานุกรม
กระทรวงวัฒนธรรม.๒๕๖๑ บญุ กฐิน [ออนไลน์]
เข้าถึงไดจ้ าก:https://www.mcure.goth/roiet_news.php
(วันท่ีค้นขอ้ มูล:๒๒ มกราคม ๒๕๖๓)
ความเป็นมา ฮิตท๕่ี บญุ สงกรานต์(สงกรานต์)
เขา้ ถงึ ไดจ้ าก:https://www.nectec.or.th
(วนั ที่คน้ ข้อมลู :๒๒ มกราคม ๒๕๖๓)
ความเปน็ มาของ ประเพณบี ญุ ข้าวสาก(บุญเดือนสิบ)
เข้าถึงไดจ้ าก:https://www.m-culture.go.th
(วนั ท่คี ้นข้อมูล:๒๒ มกราคม ๒๕๖๓)
ความเปน็ มาของ ประเพณีบุญคณู ลาน.
เข้าถึงไดจ้ าก:http://www.wat pamahachai.net
(วนั ทค่ี ้นข้อมูล:๒๒ มกราคม ๒๕๖๓)
ความเป็นมาของ บุญข้าวประดับดิน ประเพณีบญุ เดอื นเก้าของชาวอสี าน
เข้าถึงไดจ้ าก:https://highlight.kapook.com
(วันที่คน้ ข้อมลู :๒๒ มกราคม ๒๕๖๓)
ทดิ หมู่ มักมว่ น ๒๕๖๑ บุญเดือนเจด็ .
เขา้ ถึงไดจ้ าก:https://www.isangate.com
(วันทค่ี ้นขอ้ มูล:๒๒ มกราคม ๒๕๖๓)
ทรรศนะ สาระสินธุ์ ๒๕๖๒ เขา้ กรรม
เข้าถึงไดจ้ าก:https://th.m.wikipedia.org
(วนั ท่ีค้นข้อมูล:๒๒ มกราคม ๒๕๖๓)
พระไตรปิฎก เลม่ ที่ ๔ พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๔ มหาวรรค ภาค ๑ "วธิ ีปวารณา". พระไตรปฎิ กฉบบั สยามรฐั .
เขา้ ถึงไดจ้ าก:http://www.84000.org
(วนั ทค่ี น้ ข้อมูล:๒๒ มกราคม ๒๕๖๓)
สารานกุ รมวฒั นธรรมไทย ภาคอสี าน เล่ม 9. กรุงเทพฯ : มูลนธิ ิสารานกุ รมวฒั นธรรมไทย
เข้าถงึ ได้จาก:https://www.silpa-mag.com
(วนั ที่คน้ ขอ้ มูล:๒๒ มกราคม ๒๕๖๓)
หอสมุดแห่งชาติเฉลมิ พระเกียรติ. ฮีตท๘่ี บุญเขา้ พรรษาหรอื บุญเดอื นแปด.
เข้าถงึ ได้จาก:http://www.fineart.go.th
(วนั ทค่ี น้ ข้อมลู :๒๒ มกราคม ๒๕๖๓)
๒๕๕๓.บญุ ข้าวจี่.
เข้าถึงได้จาก:http://www.watpamahachai.net
(วนั ทค่ี ้นขอ้ มลู :๒๒ มกราคม ๒๕๖๓)
๒๕๖๑.บญุ บง้ั ไฟ.
เขา้ ถงึ ได้จาก:https://th.m.wikipedia.org
(วนั ที่ค้นขอ้ มูล:๒๒ มกราคม ๒๕๖๓)
ภาคผนวก
ประวัติฮีตสิบสองคลองสิบส่ี
ฮีตสบิ สอง หมายถงึ ประเพณี ๑๒ เดอื นทเ่ี กีย่ วเนอื่ งกบั หลักทางพทุ ธศาสนา ความเชือ่ และการ
ดารงชวี ติ ทางเกษตรกรรมซงึ่ ชาวอสี าน ยึดถอื ปฏิบตั กิ ัน มาแต่โบราณ มแี นวปฏิบตั แิ ตกตา่ งกนั ไปในแต่ละ
เดือนเพื่อใหเ้ กดิ สิริมงคลในการดาเนนิ ชีวิต เรยี กอยา่ งทอ้ งถิน่ วา่ งานบุญ ชาวอีสานให้ความสาคัญกบั
ประเพณฮี ีตสิบสองเปน็ อยา่ งมากและยดึ ถอื ปฏบิ ัติมาอย่างสม่าเสมอนบั เปน็ เอกลกั ษณข์ อง
ชาวอีสาน อย่างแท้จริง คาว่า "ฮีตสิบสอง"มาจากคาวา่ "ฮีต" อนั หมายถึงจารีต การปฏิบตั ทิ ่สี บื ตอ่ กนั
มาจนกลายเป็นประเพณี "สบิ สอง" คอื ประเพณีท่ีปฏบิ ัตติ ามเดอื นทางจนั ทรคตทิ ง้ั สิบสองเดอื น สาหรบั
ประเพณหี ลกั ๆ ๑๒ เดอื นตามฮตี สบิ สองของชาวอีสานโบราณนน้ั ประกอบดว้ ย * เดอื นอา้ ย - บุญเขา้ กรรม *
เดือนย่ี - บุญคูนลาน * เดอื นสาม - บญุ ข้าวจ่ี * เดอื นส่ี - บญุ พระเวส * เดอื นหา้ - บญุ สงกรานต์ * เดอื นหก -
บญุ บั้งไฟ * เดอื นเจ็ด - บุญซาฮะ * เดือนแปด - บญุ เข้าพรรษา * เดือนเก้า - บุญขา้ วประดบั ดิน * เดอื นสบิ -
บญุ ข้าวสาก * เดอื นสบิ เอด็ - บญุ ออกพรรษา * เดือนสบิ สอง - บุญกฐิน
ขอ้ วตั รหรือแนวทางปฏบิ ตั ิสบิ ส่ขี อ้ หมายถงึ แนวทางท่ีประชาชนทกุ ระดบั นบั ตงั้ แตพ่ ระมหากษตั ริย์
ผมู้ หี น้าท่ปี กครองบ้านเมือง พระสงฆ์ และคนธรรมดาสามญั พึงปฏิบัตสิ บิ สี่ขอ้ อาจสรุปได้หลายมุมมองดังน้ี๑.
เป็นหลกั ปฏบิ ัติกล่าวถงึ ครอบครัวในสังคม ตลอดจนผ้ปู กครองบ้านเมอื ง ๒.เป็นหลักปฏบิ ตั ิของ
พระมหากษัตรยิ ์ในการปกครองบา้ นเมอื ง และหลักปฏบิ ตั ขิ องประชาชนต่อพระมหากษตั รยิ ์ ๓.เปน็ หลกั ปฏิบัติ
ทพ่ี ระราชายึดถือปฏบิ ัติ เน้นให้ประชาชนปฏิบัตติ ามจารีตประเพณี และคนในครอบครวั ที่ปฏบิ ัติตอ่ กนั ๔.เป็น
หลกั ปฏิบตั ใิ นการปกครองบ้านเมืองให้อยเู่ ป็นสขุ ตามจารตี ประเพณี แตล่ ะข้อมีคาวา่ ฮตี นาหน้าดว้ ย (ทาใหเ้ กดิ
ความสบั สนกับฮีตสบิ สอง) แตล่ ะคองจะมสี ิบสฮี่ ีต ยกเว้น ฮีตปคี ลองเดือน จะมีเพยี งสบิ สองฮตี ซึ่งนัน่ กค็ อื ฮี
ตสิบสองทีก่ ลา่ วไว้แล้วขา้ งต้น คองประกอบดว้ ย ๑.ฮตี เจา้ คองขนุ ๒.ฮตี ทา้ วคองเพยี ๓.ฮีตไพร่คองนา
๔.ฮีตบ้านคองเมอื ง ๕.ฮีตปู่คองย่า ๖.ฮีตตาคองยาย ๗.ฮตี พอ่ คองแม่ ๙.ฮตี ใภ้คองเขย ๑๐.ฮตี ปา้ คองลงุ
๑๑.ฮตี ลกู คองหลาน ๑๒.ฮีตเถ้าคองแก่ ๑๓.ฮตี ปีคองเดือน (ฮีตสิบสอง) ๑๔.ฮีตไฮ่คองนา ๑๕.ฮีตวัดคอง
สงฆ์
ฮีต อภิธานศัพท์
ครรลอง
จนั ทรคติ จารีต
แนวทาง
วธิ นี ับวนั และเดือนโดยยึดหลักการโคจรของดวงจนั ทรเ์ ปน็ หลกั