การพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง พัฒนาการของยุโรปสมัยใหม่ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ผ่านการจัดการกิจกรรมการเรียนรู้ ตามแนวคิดห้องเรียนกลับด้าน นายอภิวัฒน์ ชูศรีทอง วิจัยในชั้นเรียนนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตร ครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาสังคมศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี (2566)
การพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง พัฒนาการของยุโรปสมัยใหม่ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ผ่านการจัดการกิจกรรมการเรียนรู้ ตามแนวคิดห้องเรียนกลับด้าน นายอภิวัฒน์ ชูศรีทอง วิจัยในชั้นเรียนนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตร ครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาสังคมศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี (2566)
หัวข้อวิจัยในชั้นเรียน การพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง พัฒนาการของยุโรปสมัยใหม่ ของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ผ่านการจัดการกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิด ห้องเรียนกลับด้าน ผู้วิจัย นายอภิวัฒน์ ชูศรีทอง อาจารย์ที่ปรึกษาหลัก ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วินัย ภารเวช อาจารย์ที่ปรึกษาร่วม ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ยุธยา หมื่นสาย ครูพี่เลี้ยง นางวราภรณ์ หอมจันทร์ ปีการศึกษา 2566 อาจารย์ประจำหลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาสังคมศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานีอนุมัติให้นับวิจัยในชั้นเรียนฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตาม หลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาสังคมศึกษา .................................................................. หัวหน้าสาขาวิชา (.................................................................) วันที่.......…เดือน…….…………พ.ศ…………… คณะกรรมการผู้ประเมินรายงานวิจัยในชั้นเรียน .................................................................................. ประธานคณะกรรมการ (ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วินัย ภารเวช) .................................................................................. กรรมการ (ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ยุธยา หมื่นสาย) .................................................................................. กรรมการ (นางวราภรณ์ หอมจันทร์) .................................................................................. กรรมการ (นางวรลักษณ์ ตรงวัฒนาวุฒิ)
ก หัวข้อวิจัยในชั้นเรียน การพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง พัฒนาการของยุโรปสมัยใหม่ ของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ผ่านการจัดการกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิด ห้องเรียนกลับด้าน ผู้วิจัย นายอภิวัฒน์ ชูศรีทอง อาจารย์ที่ปรึกษาหลัก ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วินัย ภารเวช อาจารย์ที่ปรึกษาร่วม ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ยุธยา หมื่นสาย ครูพี่เลี้ยง นางวราภรณ์ หอมจันทร์ ปีการศึกษา 2566 บทคัดย่อ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้เรื่อง พัฒนาการของยุโรป สมัยใหม่ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ตามแนวคิดห้องเรียนกลับด้าน ให้มีประสิทธิภาพตาม เกณฑ์ 80/80 2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน เรื่อง พัฒนาการ ของยุโรปสมัยใหม่ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ผ่านการจัดการกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิด ห้องเรียนกลับด้าน กลุ่มเป้าหมายประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 โรงเรียนธาตุนารายณ์วิทยา จำนวน 13 ห้องเรียน จำนวนนักเรียน 493 คนกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/9 ภาคเรียนที่ 2 ปี การศึกษา 2566 โรงเรียนธาตุนารายณ์วิทยา จำนวนนักเรียน 34 คน ซึ่งได้จากการเลือกกลุ่ม ตัวอย่างแบบเจาะจง ( Purposive sampling ) ผลการวิจัย 1) ประสิทธิภาพของแผนการจัดการ เรียนรู้รายวิชาประวัติศาสตร์ 4 (ประวัติศาสตร์สากล) เรื่อง พัฒนาการของยุโรปสมัยใหม่ ของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ตามแนวคิดห้องเรียนกลับด้าน เท่ากับ 87.76/88.83 ซึ่งมีประสิทธิภาพ สูงกว่าเกณฑ์มาตรฐานที่กำหนดไว้ 80/80 2) ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียน และหลังเรียน เรื่อง พัฒนาการของยุโรปสมัยใหม่ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ผ่านการจัดการ กิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิดห้องเรียนกลับด้าน พบว่าการทดสอบก่อนเรียนมีคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 13.17 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 2.37 และการทดสอบหลังเรียนมีคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 16.93 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 1.32 และมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 แสดงให้เห็นว่า ในการทำ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนของกลุ่มทดลองคะแนนการทดสอบสูงกว่าก่อนเรียน
ข กิตติกรรมประกาศ การวิจัย เรื่อง การพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง พัฒนาการของยุโรปสมัยใหม่ ของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ผ่านการจัดการกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิดห้องเรียนกลับด้าน ซึ่ง รายงานการวิจัยนี้สำเร็จลงได้ด้วยความกรุณาและความช่วยเหลือจาก ผศ.ดร.วินัย ภารเวช ประธาน สาขาวิชาสังคมศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ยุธยา หมื่น สาย อาจารย์ที่ปรึกษางานวิจัย โดยท่านได้ให้คำแนะนำและคำปรึกษาพร้อมทั้งได้ตรวจสอบความ ถูกต้องของรูปแบบเนื้อหาตลอดจนการเก็บรวบรวมข้อมูลและการสรุปผลการวิจัยจนสำเร็จออกมา เป็นรูปเล่มผู้จัดทำรายงานการวิจัยจึงขอขอบคุณพระคุณท่านไว้ ณ ที่นี่เป็นอย่างสูง ขอขอบพระคุณท่านผู้อำนวยการธนปกรณ์ อวนป้อง และนางวรลักษณ์ตรงวัฒนาวุฒิ หัวหน้ากลุ่มบริหารงานวิชาการ ตลอดจนคณะครูทั้ง 3 ท่านที่ให้ความกรุณาในการตรวจสอบคุณภาพ และความสอดคล้องของเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย และขอขอบใจนักเรียนกลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 5/9 ทุกคนที่ให้ความร่วมมือในการทดลองเพื่อเก็บรวบรวมข้อมูลในการวิจัยครั้งนี้ ขอกราบขอบพระคุณบิดา มารดา สมาชิกทุกคนในครอบครัวผู้วิจัย ผู้ที่อยู่เบื้องหลัง ความสำเร็จครั้งนี้ คอยช่วยเหลือและให้กำลังใจเพื่อรอคอยผลสำเร็จของผู้วิจัย ขอขอบคุณเพื่อน นักศึกษาสาขาวิชาสังคมศึกษา และเพื่อนร่วมรุ่นครุศาสตรบัณฑิตทุกท่าน ที่ให้ความช่วยเหลือและ เป็นกำลังใจให้ตลอดจนผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องที่มิได้กล่าวนามในที่นี้ ขอขอบพระคุณคณาจารย์ประจำหลักสูตรปริญญาตรีสาขาวิชาสังคมศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี ทุกท่านที่ได้ประสิทธิ์ประสาทความรู้และประสบการณ์อันมีค่ายิ่งแก่ ศิษย์และคุณค่าอันสูงสุดจากรายงานการวิจัยฉบับนี้ คุณค่าและประโยชน์อันพึงมีจากงานวิจัยฉบับนี้ ผู้วิจัยขอมอบเป็นเครื่องบูชาพระคุณของ บิดามารดา ครูบาอาจารย์ และผู้มีพระคุณทุกท่านที่ได้อบรม สั่งสอน ชี้แนะแนวทางในการศึกษาและ สนับสนุนให้ผู้วิจัยประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน อภิวัฒน์ ชูศรีทอง
ค สารบัญ หน้า บทคัดย่อภาษาไทย……………………………………………………………………………..…………….ก กิตติกรรมประกาศ…………………………………………………………………………………………….ข เอกสารและงานวิจัย………………………………………………………………………………………….ค 1 บทนำ…………………………………….………………………………………………………………….1 1.1 ความเป็นมาและความสำคัญ………………………………………………………………….1 1.2 วัตถุประสงค์ของการวิจัย.……………………………………………………………………..3 1.3 สมมติฐานของการวิจัย………………………………………………………………………….3 1.4 ขอบเขตของการวิจัย…………………………………………………………………………….3 1.5 นิยามศัพท์เฉพาะ………………………………………………………………………………….4 1.6 ประโยชน์ที่จะได้รับ………………………………………………………………………………5 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง…………………………………………………………………….6 2.1 วิเคราะห์หลักสูตร…………………………………………………………………………………7 2.2 พัฒนาการของยุโรปสมัยใหม่………………………………………………………………….16 2.3 แนวคิดห้องเรียนกลับด้าน……………………………………………………………………..17 2.4 แผนการจัดการเรียนรู้…………………………………………………………………………..24 2.5 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน…………………………………………………………………………30 2.6 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง……………………………………………………………………………….33 2.7 กรอบแนวคิดในการวิจัย………………………………………………………………………..36 3 วิธีดำเนินการวิจัย………………………………………………………………………………………..38 3.1 กลุ่มเป้าหมาย………………………………………………………………………………………38 3.2 รูปแบบในการทดลอง……………………..…………………………………………………….38 3.3 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง…………………………………………………………………….38 3.4 การสร้างและหาคุณภาพเครื่องมือ………………………………………………………….39 3.5 การเก็บรวบรวมข้อมูล…………………………………………………………………………..41 3.6 การวิเคราะห์ข้อมูล……………………………………………………………………………….42 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล……………….……….………………………………………………………..45 ผลการวิเคราะห์………………….…………………………………………………………………………….45 5 สรุปผล อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ…………….……………………………………………..48 สรุปผล………………….………………………………………………………………..……………………….48
ง อภิปรายผล………….………………………………………………………………..………………………. 48 ข้อเสนอแนะ………….………………………………………………………………..……………………….50 บรรณานุกรม……………………………………………………………………………………………………52 ภาคผนวก………………………………………………………………………………………………………..56 ภาคผนวก ก สถิติที่ใช้ในการวิจัย..................................................................................57 ภาคผนวก ข การสร้างและหาคุณภาพเครื่องมือ…………………………………………………..61 ภาคผนวก ค เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย…………………………………………………………………78 ภาคผนวก ง รายชื่อหน่วยงานที่ให้ทดลองเครื่องมือ………………………………………………85 ภาคผนวก จ รายชื่อผู้เชียวชาญตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือ………………………………….88 ภาคผนวก ช หนังสือขอความอนุเคราะห์…………………………………………………………….90 ประวัติย่อของผู้วิจัย ...................................................................................................92
จ สารบัญตาราง ตางรางที่ หน้า 2.1 ตารางแสดงตัวชี้วัดช่วงชั้นและสาระการเรียนรู้แกนกลาง มาตรฐาน ส 4.1………..11 2.2 ตารางแสดงตัวชี้วัดช่วงชั้นและสาระการเรียนรู้แกนกลาง มาตรฐาน ส 4.2………..12 2.3 ตารางแสดงตัวชี้วัดช่วงชั้นและสาระการเรียนรู้แกนกลาง มาตรฐาน ส 4.3………..13 4.1 ค่าประสิทธิภาพของแผนการจัดการเรียนรู้………………………………………………….…45 4.2 ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน………………….46 4.3 ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที และนัยสำคัญทางสถิติ…………47
ฉ สารบัญภาพ ภาพที่ หน้า 2.1 แสดงการเปรียบเทียบห้องเรียนแบบเดิมกับห้องเรียนกลับด้าน………………………..230 2.2 แสดงการเปรียบเทียบกิจกรรมและเวลาเรียนระหว่างห้องเรียนแบบเดิมกับห้องเรียน กลับด้าน……………………………………………………………….…………………………………..20 2.3 แสดงโมเดลห้องเรียนแบบกลับด้าน (Flipped Classroom Model)………………..22 2.4 กรอบแนวคิดในการวิจัย………………………………………………….…………………………..37
1 บทที่ 1 บทนำ 1.1 ที่มาและความสำคัญ พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่2) พ.ศ.2545 หมวด 4 แนวการจัดการศึกษา มาตรา 22 กำหนดไว้ว่า “การจัดการศึกษาต้องยึดหลักว่าผู้เรียนทุกคนมี ความสามารถในการจัดการเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้ และถือว่าผู้เรียนสำคัญที่สุด กระบวนการ จัดการศึกษาต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาตามธรรมชาติและเต็มศักยภาพ” (กระทรวงศึกษาธิการ, 2545) และตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2544 กำหนด หลักการ ข้อ 3 ซึ่งกำหนดไว้ว่า “ส่งเสริมให้ผู้เรียนได้พัฒนาและเรียนรู้ด้วยตนเองอย่างต่อเนื่องตลอด ชีวิตโดยถือว่าผู้เรียนมีความสำคัญที่สุด สามารถพัฒนาตามธรรมชาติและเต็มตามศักยภาพ” (กระทรวงศึกษาธิการ, 2545) จากพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พุทธศักราช 2542 นี้เองทำให้ เกิดการปฏิรูปการศึกษาขึ้น และการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญก็เป็นประเด็นสำคัญ ประเด็นหนึ่งในการปฏิรูปการศึกษาตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พุทธศักราช 2542 (วิภา ภรณ์, 2543) การจัดการเรียนรู้โดยเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ (Child Center Learning ) คือรูปแบบการ จัดการเรียนรู้รูปแบบหนึ่ง ที่มุ่งเน้นให้ผู้เรียนเกิดองค์ความรู้ได้ด้วยตนเอง ผ่านสื่อและวิธีการจัดการ เรียนรู้ที่หลากหลายตามความสนใจของผู้เรียน โดยมีครูเป็นผู้สนับสนุนและอำนวยความสะดวก ซึ่ง ต่างจากกระบวนการจัดการเรียนรู้ทั่วไปที่เน้นให้เด็กศึกษาหาความรู้จากการสอนของครูโดยตรง แนว การจัดการเรียนรู้รูปแบบนี้เกิดขึ้นจากความเชื่อพื้นฐานที่ว่า ผู้เรียนทุกคนสามารถที่จะเรียนรู้และ พัฒนาได้ตามของตัวเอง แต่แตกต่างที่ความต้องการ ความสนใจและความถนัด รวมไปถึงทักษะต่างๆ ดังนั้นการจัดการศึกษาจึงไม่ควรที่จะเป็นไปในแนวทางเดียว ควรมีความหลากหลายและตอบสนองได้ กับเด็กทุกกลุ่ม ซึ่งข้อดีของการจัดการเรียนรู้ในรูปแบบ Child Center นั้น คือการที่ผู้เรียนสามารถ ค้นคว้าหาความรู้จนนำไปสู่การเกิดองค์ความรู้ได้ด้วยตัวเอง ตามความเหมาะสมและความต้องการ ของเขา ซึ่งจะแตกต่างกับการจัดการศึกษาในรูปแบบทั่วไป ที่ครูเป็นผู้วางแผนการจัดการเรียนรู้ ทั้งหมด ซึ่งในปัจจุบันจะเห็นว่า ประเทศไทยเราได้ให้ความสำคัญกับการจัดการการศึกษาในรูปแบบนี้ ค่อนข้างมาก แต่อย่างไรก็ดี ถึงแม้เราจะนำแนวการจัดการเรียนรู้แบบนี้มาใช้นานแล้ว แต่ผลสัมฤทธิ์ที่ ออกออกมากลับไม่ดีเท่าที่ควร ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการที่ครูผู้สอนมีความเข้าใจในการจัดการเรียนรู้ แบบผู้เรียนเป็นสำคัญตามช่วงชั้นต่างๆ ที่ไม่เพียงพอ ทำให้ไม่สามารถสนับสนุนให้ผู้เรียนเกิดองค์ ความรู้ในการเรียนรู้ได้ตามแนวทางนี้ได้ อีกทั้งการศึกษาในระบบของไทยไม่ตอบโจทย์ให้เกิดการ เรียนรู้แบบผู้เรียนเป็นสำคัญเท่าที่ควร เช่น มีวิชาที่ต้องเรียนต่อสัปดาห์มากเกินไป มีนักเรียนต่อห้อง
2 มากเกินไป รวมไปถึงการจัดสรรเวลาเรียนที่ไม่สอดคล้องกับแนวการเรียนรู้ สิ่งเหล่านี้จึงข้อจำกัดที่ทำ ให้แนวการเรียนรู้แบบผู้เรียนเป็นสำคัญนั้น ไม่ประสบความสำเร็จในวงกว้าง (นรรัชต์, 2561) ความท้าทายของคุณครูกับการเรียนการสอนในช่วง Covid-19 ที่ผ่านมา เป็นข้อพิสูจน์ที่ทำ ให้เห็นว่าเทคโนโลยีมีบทบาทที่สำคัญและมีส่วนผลักดัน กระตุ้นให้การศึกษาของไทยมีระบบการเรียน การสอนที่ต่างไปจากเดิม คุณครูหลายท่านเริ่มที่จะคุ้นเคยกับการนำเทคโนโลยีเข้ามาเป็นเครื่องมือ ช่วยจัดการเรียนการสอน เรียนรู้เทคนิคในการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการทำงานและวางแผนการ จัดการเรียนรู้ โดยยังมีเป้าหมายที่ชัดเจนคือการให้นักเรียนเป็นศูนย์กลางของการเรียนรู้ การจัดการจัดการเรียนรู้ในวิชาสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ซึ่งเป็นวิชาที่มีเนื้อหา ค่อนข้างมาก เพราะประกอบด้วยหลายสาระด้วยกัน คือ 1) ศาสนา ศีลธรรม จริยธรรม 2) หน้าที่ พลเมือง วัฒนธรรม และการดำเนินชีวิตในสังคม 3) เศรษฐศาสตร์ 4) ประวัติศาสตร์ และ 5) ภูมิศาสตร์เป็นวิชาที่มีเนื้อหาสาระมากแต่ระยะเวลาน้อย การที่จะสอนเนื้อหาทั้งหมด ในระยะเวลา อันสั้นนั้นจึงเป็นไปได้ยาก ประกอบกับช่วงเทอม 2 เป็นช่วงที่มีกิจกรรมมาก เช่น กิจกรรมเข้าค่าย ลูกเสือ กิจกรรมกีฬาสี เป็นต้น ทำให้เวลาในการสอนไม่เพียงพอ (เกศินี ครุณาสวัสดิ์, 2562) ครูผู้สอน จึงต้องมอบหมายงานหรือการบ้าน เพื่อให้นักเรียนได้ศึกษาเพิ่มเติมด้วยตนเอง แต่ด้วยความ รับผิดชอบของผู้เรียนที่ต่างกัน และความสนใจที่ต่างกัน ปัญหาที่ผู้วิจัยพบ คือ บางคนก็รับผิดชอบ งานตามที่ได้รับมอบหมาย แต่บางคนก็ไม่รับผิดชอบงานตามที่ได้รับมอบหมาย ผลที่ตามมา คือ เรียน ไม่ทันเพื่อนบ้าง ไม่เข้าใจเนื้อหาบ้าง จึงทำให้การจัดการเรียนรู้ไม่มีประสิทธิภาพ ทำให้ผู้วิจัยต้องคิด หาวิธีการจัดการเรียนรูปแบบใหม่ เพื่อให้สอดคล้องกับระยะเวลาและเนื้อหา ว่าการจัดการเรียนรู้ใดที่ จะเหมาะสมและสามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นได้ จึงพบวิธีการสอนแบบหนึ่งซึ่ง เป็นวิธีการจัดการศึกษาที่เห็นว่ามีความเหมาะสม และมีความทันสมัย การจัดการเรียนรู้นั้นคือ “การ จัดการเรียนรู้ห้องเรียนกลับด้าน” (Flipped Classroom) Flipped Classroom เป็นการจัดการเรียนการสอนที่สวนทางกับสิ่งที่เป็นอยู่ปัจจุบัน โดยให้ นักเรียนศึกษาความรู้ผ่านอินเตอร์เน็ตนอกห้องเรียน นอกเวลาเรียน ส่วนในห้องเรียนจะเป็นการจัด กิจกรรม นำการบ้านมาทำในห้องเรียนแทน วิธีนี้เด็กมีเวลาดูการสอนของครูผ่านวีดีโอออนไลน์ ดูกี่ ครั้งก็ได้ เมื่อไรก็ได้ สามารถปรึกษาพูดคุยกับเพื่อนหรือครู ด้วยโปรแกรมสนทนาออนไลน์ก็ได้ ใน ห้องเรียนครูให้นักเรียนทำงานที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาที่ดูผ่านวีดีโอ เพื่อทำความเข้าใจหลักการความรู้ ผ่านกิจกรรม โดยครูจะเป็นผู้ให้คำแนะนำเมื่อเด็กมีคำถาม หรือติดปัญหาที่แก้ไม่ได้หลักการของ Flipped Classroom ใช้เทคโนโลยีทางการศึกษา บวกกับการจัดกิจกรรมในห้องเรียน เนื่องจากเวลา ในห้องเรียนมีจำกัด การที่จะให้นักเรียนเข้าใจในหลักการความรู้บางอย่างอาจมีเวลาไม่พอ ดังนั้น การศึกษาความรู้จากการสอนผ่านวีดีโอที่ครูได้บันทึกไว้แล้ว รวมทั้งการอ่านหนังสือเพิ่มเติม ปรึกษา เพื่อนหรือครูออนไลน์ สามารถทำได้ล่วงหน้านอกห้องเรียน ส่วนเวลาในห้องเรียน ครูก็สร้างสภาวะ
3 แวดล้อมให้เหมาะกับการจัดกิจกรรมที่ออกแบบไว้ เพื่อให้เด็กได้ลงมือปฏิบัติ ครูก็เดินสำรวจไปรอบๆ ห้อง คอยให้คำแนะนำหลักการที่เข้าใจยาก หรือปัญหาที่เด็กพบ วิธีนี้จะทำให้เด็กเข้าใจความรู้ และ เชื่อมโยงในหลักการมากยิ่งขึ้น (ห้องเรียนกลับด้าน (Flipped Classroom) การเรียนการสอนที่สวน ทางกับสิ่งที่เป็นอยู่ปัจจุบัน, อักษรเจริญทัศน์) ดังนั้นผู้วิจัยจึงเห็นว่าการจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้าน (Flipped Classroom) เป็น การจัดการรู้ที่มีความทันสมัยและเหมาะสมกับวัยผู้เรียน และจะสามารถพัฒนาผลสัมฤทธิ์ ทางการ เรียนของนักเรียนให้ดีขึ้นได้ เพราะผู้เรียนสามารถศึกษาได้ทุกที่ไม่จำเป็นต้องอยู่เฉพาะในห้องเรียน นักเรียนที่เป็นนักกีฬา นักดนตรี หรือไม่เข้าใจเนื้อหาก็สามารถที่จะทบทวน และศึกษาค้นคว้าด้วย ตนเองได้ตลอดเวลา 1.2 วัตถุประสงค์การดำเนินการวิจัย 1) เพื่อพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้เรื่อง พัฒนาการของยุโรปสมัยใหม่ ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 5 ตามแนวคิดห้องเรียนกลับด้าน ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน เรื่อง พัฒนาการของ ยุโรปสมัยใหม่ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ผ่านการจัดการกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิด ห้องเรียนกลับด้าน 1.3 สมมติฐานของการวิจัย 1) แผนการจัดการเรียนรู้เรื่อง พัฒนาการของยุโรปสมัยใหม่ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ตามแนวคิดห้องเรียนกลับด้าน มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2) นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ที่ผ่านการจัดการกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิดห้องเรียน กลับด้าน เรื่อง พัฒนาการของยุโรปสมัยใหม่ มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน 1.4 ขอบเขตของการวิจัย 1) กลุ่มเป้าหมาย ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ภาคเรียนที่ 2 ปี การศึกษา 2566 โรงเรียนธาตุนารายณ์วิทยา จำนวน 13 ห้องเรียน จำนวนนักเรียน 493 คน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/9 ภาคเรียนที่ 2 ปี การศึกษา 2566 โรงเรียนธาตุนารายณ์วิทยา จำนวนนักเรียน 34 คน ซึ่งได้จากการเลือกกลุ่มตัวอย่าง แบบเจาะจง ( Purposive sampling ) 2) ตัวแปรที่ศึกษา 2.1) ตัวแปรต้น คือ กิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิดห้องเรียนกลับด้าน
4 2.2) ตัวแปรตาม ได้แก่ 2.2.1) แผนการจัดการเรียนรู้เรื่อง พัฒนาการของยุโรปสมัยใหม่ ของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ตามแนวคิดห้องเรียนกลับด้าน 2.2.2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน เรื่อง พัฒนาการ ของยุโรปสมัยใหม่ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ผ่านการจัดการกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิด ห้องเรียนกลับด้าน 3) เนื้อหาที่ใช้ในการวิจัย เนื้อหาที่ผู้วิจัยนำมาใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ในครั้งนี้คือวิชาประวัติศาสตร์ 4 (ประวัติศาสตร์สากล) เรื่อง พัฒนาการของยุโรปสมัยใหม่ ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ตามหลักสูตร แกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 มีรายละเอียดดังนี้ แผน 1 การขยายอิทธิพลของชาติตะวันตก เวลา 1 ชม. แผน 2 การฟื้นฟูศิลปวิทยา เวลา 1 ชม. แผน 3 การปฏิรูปศาสนาและกำเนิดรัฐชาติ เวลา 1 ชม. แผน 4 การปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์ เวลา 1 ชม แผน 5 การปฏิวัติอุตสาหกรรม เวลา 1 ชม แผน 6 ยุคภูมิธรรมและแนวคิดประชาธิปไตย ศิลปวัฒนธรรมสมัยใหม่ เวลา 1 ชม 4) ระยะเวลาที่ใช้ในการวิจัย ผู้วิจัยดำเนินการทดลองในปีการศึกษา 2566 ภาคเรียนที่ 2 รายวิชา ประวัติศาสตร์ 4 (ประวัติศาสตร์สากล) เรื่อง พัฒนาการของยุโรปสมัยใหม่ ตามแผนการจัดการเรียนรู้1 ชั่วโมงต่อ สัปดาห์ จำนวน 6 แผน ใช้เวลา 6 ชั่วโมง 1.5 นิยามศัพท์เฉพาะ ห้องเรียนกลับด้าน (Flipped Classroom) เป็นการจัดการเรียนการสอนที่สวนทาง กับสิ่งที่เป็นอยู่ปัจจุบัน โดยให้นักเรียนศึกษาความรู้ผ่านอินเตอร์เน็ตนอกห้องเรียน นอกเวลาเรียน ส่วนในห้องเรียนจะเป็นการจัดกิจกรรม นำการบ้านมาทำในห้องเรียนแทน วิธีนี้เด็กมีเวลาดูการสอน ของครูผ่านวีดีโอออนไลน์ ดูกี่ครั้งก็ได้ เมื่อไรก็ได้ สามารถปรึกษาพูดคุยกับเพื่อนหรือครู ด้วย โปรแกรมสนทนาออนไลน์ก็ได้ ในห้องเรียนครูให้นักเรียนทำงานที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาที่ดูผ่านวีดีโอ เพื่อทำความเข้าใจหลักการความรู้ผ่านกิจกรรม โดยครูจะเป็นผู้ให้คำแนะนำเมื่อเด็กมีคำถาม หรือติด ปัญหาที่แก้ไม่ได้หลักการของ Flipped Classroom ใช้เทคโนโลยีทางการศึกษา บวกกับการจัด กิจกรรมในห้องเรียน เนื่องจากเวลาในห้องเรียนมีจำกัด การที่จะให้นักเรียนเข้าใจในหลักการความรู้
5 บางอย่างอาจมีเวลาไม่พอ ดังนั้นการศึกษาความรู้จากการสอนผ่านวีดีโอที่ครูได้บันทึกไว้แล้ว รวมทั้ง การอ่านหนังสือเพิ่มเติม ปรึกษาเพื่อนหรือครูออนไลน์ สามารถทำได้ล่วงหน้านอกห้องเรียน ส่วนเวลา ในห้องเรียน ครูก็สร้างสภาวะแวดล้อมให้เหมาะกับการจัดกิจกรรมที่ออกแบบไว้ เพื่อให้เด็กได้ลงมือ ปฏิบัติ ครูก็เดินสำรวจไปรอบๆ ห้อง คอยให้คำแนะนำหลักการที่เข้าใจยาก หรือปัญหาที่เด็กพบ วิธีนี้ จะทำให้เด็กเข้าใจความรู้ และเชื่อมโยงในหลักการ มากยิ่งขึ้น (ห้องเรียนกลับด้าน (Flipped Classroom) การเรียนการสอนที่สวนทางกับสิ่งที่เป็นอยู่ปัจจุบัน, อักษรเจริญทัศน์) แผนการจัดการเรียนรู้คือ การเตรียมการสอนของครู ซึ่งจัดทำเป็นลายลักษณ์อักษร และมีการเตรียมการสอนไว้อย่างเป็นระบบ ขั้นตอน การจัดกิจกรรมการเรียนการสอน สื่อการจัดการ เรียนการสอน และเครื่องมือวัดผลประเมินผล ช่วยพัฒนากระบวนการเรียนรู้ของการจัดการศึกษา ช่วยให้ครูบรรลุวัตถุประสงค์ไปสู่เป้าหมายของการจัดการศึกษาตามหลักสูตรที่กำหนดไว้(สุวิมล สุวรรณจันดี, 2554) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน คือคุณลักษณะรวมถึงความรู้ความสามารถของบุคคลอัน เป็นผลมาจากการเรียนการสอน หรือ มวลประสบการณ์ทั้งปวงที่บุคคลได้รับจากการเรียนการสอน ทำให้บุคคลเกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในด้านต่างๆ ของสมรรถภาพทางสมอง ซึ่งมีจุดมุ่งหมาย เพื่อเป็นการตรวจสอบระดับความสามารถสมองของบุคคลว่าเรียนแล้วรู้อะไรบ้าง และมีความสามารถ ด้านใดมากน้อยเท่าไร ตลอดจนผลที่เกิดขึ้นจากการเรียนการฝึกฝนหรือประสบการณ์ต่างๆ ทั้งใน โรงเรียน ที่บ้าน และสิ่งแวดล้อมอื่นๆ รวมทั้งความรู้สึก ค่านิยม จริยธรรมต่างๆ ก็เป็นผลมาจากการ ฝึกฝนด้วย (ไพโรจน์ คะเชนทร์, 2556) 1.6 ประโยชน์ที่จะได้รับ 1) ประโยชน์ต่อผู้เรียน (1) เพื่อให้เป็นแนวทางให้นักเรียนได้พัฒนาทักษะการคิดของผู้เรียนเป็นรายบุคคล และพัฒนาศักยภาพของตนเอง (2) เพื่อสร้างความรับผิดชอบในการเรียน สืบค้นและศึกษาด้วยตนเองผ่านการ จัดการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้าน (3) มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงขึ้น 2) ประโยชน์ต่อผู้สอน เป็นแนวทางให้ครูผู้สอนสนใจการจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้านสามารถ นำไปประยุกต์ใช้ในการเรียนการสอนในวิชาอื่นต่อไป
6 บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง การวิจัยครั้งนี้ เป็นการวิจัยเพื่อพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้เรื่อง พัฒนาการของยุโรป สมัยใหม่ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ตามแนวคิดห้องเรียนกลับด้าน ซึ่งผู้วิจัยได้ศึกษาเอกสาร ตำรา งานวิจัยและทฤษฎีต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการวิจัย มีรายละเอียดดังนี้ 2.1 วิเคราะห์หลักสูตร 2.1.1 หลักสูตรแกนกลางขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 2.1.2 รายวิชาประวัติศาสตร์สากล 2.1.3 หลักสูตรสถานศึกษา 2.2 พัฒนาการของยุโรปสมัยใหม่ 2.3 แนวคิดห้องเรียนกลับด้าน 2.3.1 ความหมายของห้องเรียนกลับด้าน 2.3.2 แนวคิดเกี่ยวกับการจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้าน 2.3.3 ข้อเปรียบเทียบของการเรียนแบบเดิมกับการเรียนแบบกลับด้าน 2.3.4 องค์ประกอบของการจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียนแบบกลับด้าน 2.3.5 ประโยชน์ที่เกิดจากการจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้าน 2.4 แผนการจัดการเรียนรู้ 2.4.1 ความหมายของแผนการจัดการเรียนรู้ 2.4.2 ความสำคัญของแผนการจัดการเรียนรู้ 2.4.3 องค์ประกอบที่สำคัญของแผนการจัดการเรียนรู้ 2.4.4 ลักษณะของแผนการจัดการเรียนรู้ที่ดี 2.4.5 ประโยชน์ของแผนการจัดการเรียนรู้ 2.4.6 ประสิทธิภาพของแผนการจัดการเรียนรู้ 2.5 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 2.5.1 ความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 2.5.2 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 2.5.3 ประเภทของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 2.5.4 การสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนตามแนวคิดของบลูม 2.6 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 2.7 กรอบแนวคิดในการวิจัย
7 2.1 วิเคราะห์หลักสูตร 2.1.1 หลักสูตรแกนกลางขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 วิสัยทัศน์ หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน มุ่งพัฒนาผู้เรียนทุกคน ซึ่งเป็นกำลังของ ชาติให้เป็นมนุษย์ที่มีความสมดุลทั้งด้านร่างกาย ความรู้ คุณธรรม มีจิตสำนึกในความเป็นพลเมือง ไทยและเป็นพลโลก ยึดมั่นในการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็น ประมุข มีความรู้และทักษะพื้นฐาน รวมทั้ง เจตคติ ที่จำเป็นต่อการศึกษาต่อ การประกอบอาชีพ และการศึกษาตลอดชีวิต โดยมุ่งเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญบนพื้นฐานความเชื่อว่า ทุกคนสามารถเรียนรู้ และพัฒนาตนเองได้เต็มตามศักยภาพ หลักการ หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน มีหลักการที่สำคัญ ดังนี้ 1) เป็นหลักสูตรการศึกษาเพื่อความเป็นเอกภาพของชาติ มีจุดหมายและมาตรฐาน การเรียนรู้เป็นเป้าหมายสำหรับพัฒนาเด็กและเยาวชนให้มีความรู้ ทักษะ เจตคติ และคุณธรรมบน พื้นฐานของความเป็นไทยควบคู่กับความเป็นสากล 2) เป็นหลักสูตรการศึกษาเพื่อปวงชน ที่ประชาชนทุกคนมีโอกาสได้รับการศึกษา อย่างเสมอภาค และมีคุณภาพ 3) เป็นหลักสูตรการศึกษาที่สนองการกระจายอำนาจ ให้สังคมมีส่วนร่วมในการจัด การศึกษาให้สอดคล้องกับสภาพและความต้องการของท้องถิ่น 4) เป็นหลักสูตรการศึกษาที่มีโครงสร้างยืดหยุ่นทั้งด้านสาระการเรียนรู้ เวลาและ การจัดการเรียนรู้ 5) เป็นหลักสูตรการศึกษาที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ 6) เป็นหลักสูตรการศึกษาสำหรับการศึกษาในระบบ นอกระบบ และตามอัธยาศัย ครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมาย สามารถเทียบโอนผลการเรียนรู้ และประสบการณ์ จุดหมาย หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้เป็นคนดี มีปัญญา มี ความสุข มีศักยภาพในการศึกษาต่อ และประกอบอาชีพ จึงกำหนดเป็นจุดหมายเพื่อให้เกิดกับผู้เรียน เมื่อจบการศึกษาขั้นพื้นฐาน ดังนี้ 1) มีคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมที่พึงประสงค์ เห็นคุณค่าของตนเอง มีวินัยและ ปฏิบัติตนตามหลักธรรมของพระพุทธศาสนา หรือศาสนาที่ตนนับถือ ยึดหลักปรัชญาของเศรษฐกิจ พอเพียง
8 2) มีความรู้ ความสามารถในการสื่อสาร การคิด การแก้ปัญหา การใช้เทคโนโลยี และมีทักษะชีวิต 3) มีสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่ดี มีสุขนิสัย และรักการออกกำลังกาย 4) มีความรักชาติ มีจิตสำนึกในความเป็นพลเมืองไทยและพลโลก ยึดมั่นในวิถีชีวิต และการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข 5) มีจิตสำนึกในการอนุรักษ์วัฒนธรรมและภูมิปัญญาไทย การอนุรักษ์และพัฒนา สิ่งแวดล้อม มีจิตสาธารณะที่มุ่งทำประโยชน์และสร้างสิ่งที่ดีงามในสังคม และอยู่ร่วมกันในสังคม อย่างมีความสุข สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ในการพัฒนาผู้เรียนตาม หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน มุ่งเน้นพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณภาพตามมาตรฐานที่กำหนด ซึ่ง จะช่วยให้ผู้เรียนเกิดสมรรถนะสำคัญและคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ดังนี้ สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน มุ่งให้ผู้เรียนเกิดสมรรถนะสำคัญ 5 ประการ ดังนี้ 1) ความสามารถในการสื่อสาร เป็นความสามารถในการรับและส่งสาร มีวัฒนธรรม ในการใช้ภาษาถ่ายทอดความคิด ความรู้ความเข้าใจ ความรู้สึก และทัศนะของตนเองเพื่อแลกเปลี่ยน ข้อมูลข่าวสารและประสบการณ์อันจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาตนเองและสังคม รวมทั้งการเจรจา ต่อรองเพื่อขจัดและลดปัญหาความขัดแย้งต่าง ๆ การเลือกรับหรือไม่รับข้อมูลข่าวสารด้วยหลักเหตุผล และความถูกต้อง ตลอดจนการเลือกใช้วิธีการสื่อสาร ที่มีประสิทธิภาพโดยคำนึงถึงผลกระทบที่มีต่อ ตนเองและสังคม 2) ความสามารถในการคิด เป็นความสามารถในการคิดวิเคราะห์ การคิดสังเคราะห์ การคิด อย่างสร้างสรรค์ การคิดอย่างมีวิจารณญาณ และการคิดเป็นระบบ เพื่อนำไปสู่การสร้างองค์ ความรู้หรือสารสนเทศเพื่อการตัดสินใจเกี่ยวกับตนเองและสังคมได้อย่างเหมาะสม 3) ความสามารถในการแก้ปัญหา เป็นความสามารถในการแก้ปัญหาและอุปสรรค ต่าง ๆ ที่เผชิญได้อย่างถูกต้องเหมาะสมบนพื้นฐานของหลักเหตุผล คุณธรรมและข้อมูล สารสนเทศ เข้าใจความสัมพันธ์และการเปลี่ยนแปลงของเหตุการณ์ต่าง ๆ ในสังคม แสวงหาความรู้ ประยุกต์ความรู้มาใช้ในการป้องกันและแก้ไขปัญหา และมีการตัดสินใจที่มีประสิทธิภาพโดยคำนึงถึง ผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อตนเอง สังคมและสิ่งแวดล้อม 4) ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต เป็นความสามารถในการนำกระบวนการต่าง ๆ ไปใช้ในการดำเนินชีวิตประจำวัน การเรียนรู้ด้วยตนเอง การเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง การทำงาน และ การอยู่ร่วมกันในสังคมด้วยการสร้างเสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่างบุคคล การจัดการปัญหาและ
9 ความขัดแย้งต่าง ๆ อย่างเหมาะสม การปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของสังคมและ สภาพแวดล้อม และการรู้จักหลีกเลี่ยงพฤติกรรมไม่พึงประสงค์ที่ส่งผลกระทบต่อตนเองและผู้อื่น 5) ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี เป็นความสามารถในการเลือก และใช้ เทคโนโลยีด้านต่าง ๆ และมีทักษะกระบวนการทางเทคโนโลยี เพื่อการพัฒนาตนเองและสังคม ใน ด้านการเรียนรู้ การสื่อสาร การทำงาน การแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ ถูกต้อง เหมาะสม และมี คุณธรรม คุณลักษณะอันพึงประสงค์ หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณลักษณะอันพึง ประสงค์ เพื่อให้สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้อย่างมีความสุข ในฐานะเป็นพลเมืองไทยและพล โลก ดังนี้ 1) รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ 5) อยู่อย่างพอเพียง 2) ซื่อสัตย์สุจริต 6) มุ่งมั่นในการทำงาน 3) มีวินัย 7) รักความเป็นไทย 4) ใฝ่เรียนรู้ 8) มีจิตสาธารณะ นอกจากนี้ สถานศึกษาสามารถกำหนดคุณลักษณะอันพึงประสงค์เพิ่มเติมให้ สอดคล้องตามบริบทและจุดเน้นของตนเอง มาตรฐานการเรียนรู้ การพัฒนาผู้เรียนให้เกิดความสมดุล ต้องคำนึงถึงหลักพัฒนาการทางสมองและพหุ ปัญญา หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน จึงกำหนดให้ผู้เรียนเรียนรู้ 8 กลุ่มสาระการเรียนรู้ ดังนี้ ภาษาไทย คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม สุขศึกษาและพลศึกษา ศิลปะ การงานอาชีพและเทคโนโลยี ภาษาต่างประเทศ ในแต่ละกลุ่มสาระการเรียนรู้ได้กำหนดมาตรฐานการเรียนรู้เป็นเป้าหมายสำคัญของการ พัฒนาคุณภาพผู้เรียน มาตรฐานการเรียนรู้ระบุสิ่งที่ผู้เรียนพึงรู้ ปฏิบัติได้ มีคุณธรรมจริยธรรม และ ค่านิยมที่พึงประสงค์เมื่อจบการศึกษาขั้นพื้นฐาน นอกจากนั้นมาตรฐานการเรียนรู้ยังเป็นกลไกสำคัญ ในการขับเคลื่อนพัฒนาการศึกษาทั้งระบบ เพราะมาตรฐานการเรียนรู้จะสะท้อนให้ทราบว่าต้องการ อะไร จะสอนอย่างไร และประเมินอย่างไร รวมทั้งเป็นเครื่องมือในการตรวจสอบเพื่อการประกัน คุณภาพการศึกษาโดยใช้ระบบการประเมินคุณภาพภายในและการประเมินคุณภาพภายนอก ซึ่ง รวมถึง
10 การทดสอบระดับเขตพื้นที่การศึกษา และการทดสอบระดับชาติ ระบบการตรวจสอบเพื่อประกัน คุณภาพดังกล่าวเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยสะท้อนภาพการจัดการศึกษาว่าสามารถพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณภาพ ตามที่มาตรฐานการเรียนรู้กำหนดเพียงใด ทำไมต้องเรียนสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ช่วยให้ผู้เรียนมีความรู้ ความเข้าใจ การดำรงชีวิตของมนุษย์ทั้งในฐานะปัจเจกบุคคลและการอยู่ร่วมกันในสังคม การปรับตัว ตามสภาพแวดล้อม การจัดการทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด เข้าใจถึงการพัฒนา เปลี่ยนแปลงตามยุค สมัย กาลเวลา ตามเหตุปัจจัยต่างๆ เกิดความเข้าใจในตนเอง และผู้อื่น มีความอดทน อดกลั้น ยอมรับในความแตกต่าง และมีคุณธรรม สามารถนำความรู้ไปปรับใช้ในการดำเนินชีวิต เป็นพลเมืองดี ของประเทศชาติ และสังคมโลก เรียนรู้อะไรในสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรมว่าด้วยการอยู่ร่วมกันใน สังคม ที่มีความเชื่อมสัมพันธ์กัน และมีความแตกต่างกันอย่างหลากหลาย เพื่อช่วยให้สามารถปรับ ตนเองกับบริบทสภาพแวดล้อม เป็นพลเมืองดี มีความรับผิดชอบ มีความรู้ ทักษะ คุณธรรม และ ค่านิยมที่เหมาะสม โดยได้กำหนดสาระไว้ ดังนี้ ประวัติศาสตร์ เวลาและยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ วิธีการทางประวัติศาสตร์ พัฒนาการของมนุษยชาติจากอดีตถึงปัจจุบัน ความสัมพันธ์และเปลี่ยนแปลงของเหตุการณ์ต่างๆ ผลกระทบที่เกิดจากเหตุการณ์สำคัญในอดีต บุคคลสำคัญที่มีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงต่างๆในอดีต ความเป็นมาของ ชาติไทย วัฒนธรรมและภูมิปัญญาไทย แหล่งอารยธรรมที่สำคัญของโลก คุณภาพผู้เรียน จบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 • มีความรู้เกี่ยวกับความเป็นไปของโลกอย่างกว้างขวางและลึกซึ้งยิ่งขึ้น • เป็นพลเมืองที่ดี มีคุณธรรม จริยธรรม ปฏิบัติตามหลักธรรมของศาสนาที่ตนนับถือ รวมทั้ง • มีค่านิยมอันพึงประสงค์ สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นและอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข รวมทั้งมี ศักยภาพเพื่อการศึกษาต่อในชั้นสูงตามความประสงค์ได้ • มีความรู้เรื่องภูมิปัญญาไทย ความภูมิใจในความเป็นไทย ประวัติศาสตร์ของชาติไทย ยึดมั่นในวิถีชีวิต และการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
11 • มีนิสัยที่ดีในการบริโภค เลือกและตัดสินใจบริโภคได้อย่างเหมาะสม มีจิตสำนึก และมีส่วน ร่วมในการอนุรักษ์ประเพณีวัฒนธรรมไทย และสิ่งแวดล้อม มีความรักท้องถิ่นและ ประเทศชาติ มุ่งทำประโยชน์ และสร้างสิ่งที่ดีงามให้กับสังคม • มีความรู้ความสามารถในการจัดการเรียนรู้ของตนเอง ชี้นำตนเองได้ และสามารถแสวงหา ความรู้จากแหล่งการเรียนรู้ต่างๆในสังคมได้ตลอดชีวิต 2.1.2 รายวิชาประวัติศาสตร์สากล สาระที่ 4 ประวัติศาสตร์ มาตรฐาน ส 4.1 เข้าใจความหมาย ความสำคัญของเวลาและยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ สามารถใช้วิธีการ ทางประวัติศาสตร์มาวิเคราะห์เหตุการณ์ต่าง ๆ อย่างเป็นระบบ ตารางที่ 2.1 ตารางแสดงตัวชี้วัดช่วงชั้นและสาระการเรียนรู้แกนกลาง มาตรฐาน ส 4.1 ตัวชี้วัดช่วงชั้น สาระการเรียนรู้แกนกลาง 1. ตระหนักถึงความสำคัญของเวลาและยุคสมัย ทางประวัติศาสตร์ที่แสดงถึงการเปลี่ยนแปลง ของมนุษยชาติ 1. เวลาและยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ที่ปรากฏใน หลักฐานทางประวัติศาสตร์ไทยและ ประวัติศาสตร์สากล 2. ตัวอย่างเวลาและยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ของ สังคมมนุษย์ที่มีปรากฏในหลักฐานทาง ประวัติศาสตร์ (เชื่อมโยงกับ มฐ. ส 4.3) 3. ความสำคัญของเวลาและยุคสมัยทาง ประวัติศาสตร์ 2. สร้างองค์ความรู้ใหม่ทางประวัติศาสตร์โดยใช้ วิธีการทางประวัติศาสตร์อย่างเป็นระบอบ 1. ขั้นตอนของวิธีการทางประวัติศาสตร์โดย นำเสนอตัวอย่างทีละขั้นตอนอย่างชัดเจน 2. คุณค่าและประโยชน์ของวิธีการทาง ประวัติศาสตร์ที่มีต่อการศึกษาทาง ประวัติศาสตร์ 3. ผลของการศึกษาหรือโครงงานทาง ประวัติศาสตร์
12 มาตรฐาน ส 4.2 เข้าใจพัฒนาการของมนุษยชาติจากอดีตจนถึงปัจจุบันในด้านความสัมพันธ์และการ เปลี่ยนแปลงของเหตุการณ์อย่างต่อเนื่อง ตระหนักถึงความสำคัญและสามารถวิเคราะห์ ผลกระทบที่เกิดขึ้น ตารางที่ 2.2 ตารางแสดงตัวชี้วัดช่วงชั้นและสาระการเรียนรู้แกนกลาง มาตรฐาน ส 4.2 ตัวชี้วัดช่วงชั้น สาระการเรียนรู้แกนกลาง 1. วิเคราะห์อิทธิพลของอารยธรรมโบราณ และ การติดต่อระหว่างโลกตะวันออกกับโลก ตะวันตกที่มีผลต่อพัฒนาการและการ เปลี่ยนแปลงของโลก 1. อารยธรรมของโลกยุคโบราณ ได้แก่ อารย- ธรรมลุ่มน้ำไทกรีส–ยูเฟรทีส ไนล์ หวางเหอ สินธุ และอารยธรรมกรีก โรมัน 2. การติดต่อระหว่างโลกตะวันออกกับโลก ตะวันตกและอิทธิพลทางวัฒนธรรมที่มีต่อกัน และกัน 3. เหตุการณ์สำคัญต่าง ๆ ที่ส่งผลต่อการ เปลี่ยนแปลงของโลกในปัจจุบัน เช่น ระบอบ ศักดินาสวามิภักดิ์ สงครามครูเสด การฟื้นฟู ศิลปวิทยาการ การปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์ การสำรวจทางทะเล การปฏิรูปศาสนา การ ปฏิวัติอุตสาหกรรม แนวคิดเสรีนิยม แนวคิด จักรวรรดินิยม แนวคิดชาตินิยม 4. การขยาย การล่าอาณานิคม และผลกระทบ 5. ความร่วมมือและความขัดแย้งของมนุษยชาติ ในโลกในคริสต์ศตวรรษที่ 20 6. สถานการณ์สำคัญของโลกในคริสต์ศตวรรษ ที่ 21 เช่น – เหตุการณ์การระเบิดตึก World Trade Center (เวิลด์เทรด เซ็นเตอร์) 11 กันยายน ค.ศ. 2001 – การก่อการร้ายและการต่อต้านการก่อการร้าย – การขาดแคลนทรัพยากร – ความขัดแย้งทางศาสนา 2. วิเคราะห์เหตุการณ์สำคัญต่าง ๆ ที่ส่งผลต่อ การเปลี่ยนแปลงทางสังคม เศรษฐกิจ และ การเมืองเข้าสู่โลกสมัยปัจจุบัน 3. วิเคราะห์ผลกระทบของการขยายอิทธิพลของ ประเทศในยุโรปไปยังทวีปอเมริกา แอฟริกา และเอเชีย 4. วิเคราะห์สถานการณ์ของโลกในคริสต์ศตวรรษ ที่ 21
13 มาตรฐาน ส 4.3 เข้าใจความเป็นมาของชนชาติไทย วัฒนธรรม ภูมิปัญญาไทย มีความรัก ความภูมิใจ และธำรงความเป็นไทย ตารางที่ 2.3 ตารางแสดงตัวชี้วัดช่วงชั้นและสาระการเรียนรู้แกนกลาง มาตรฐาน ส 4.3 ตัวชี้วัดช่วงชั้น สาระการเรียนรู้แกนกลาง 1. วิเคราะห์ประเด็นสำคัญของประวัติศาสตร์ ไทย • ประเด็นสำคัญของประวัติศาสตร์ไทย เช่น แนวคิดเกี่ยวกับความเป็นมาของชาติไทย อาณาจักรโบราณในดินแดนไทย และอิทธิพล ที่มีต่อสังคมไทย ปัจจัยที่มีผลต่อการสถาปนา อาณาจักรไทยในช่วงเวลาต่าง ๆ สาเหตุ และผลของการปฏิรูปการปกครองบ้านเมือง การเลิกทาส เลิกไพร่ การเสด็จประพาสยุโรป และหัวเมืองสมัยรัชกาลที่ 5 แนวคิด ประชาธิปไตยตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 6 จนถึงการ เปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 สมัย รัชกาลที่ 7 บทบาทของสตรีไทย 2. วิเคราะห์ความสำคัญของสถาบัน พระมหากษัตริย์ต่อชาติไทย • บทบาทของสถาบันพระมหากษัตริย์ในการ พัฒนาชาติไทยในด้านต่าง ๆ เช่น การป้องกัน และรักษาเอกราชของชาติ การสร้างสรรค์ วัฒนธรรมไทย 3. วิเคราะห์ปัจจัยที่ส่งเสริมการสร้างสรรค์ภูมิ ปัญญาไทยและวัฒนธรรมไทย ซึ่งมีผลต่อ สังคมไทยในปัจจุบัน • อิทธิพลของวัฒนธรรมตะวันตกและตะวันออก ที่มีต่อสังคมไทย 4. วิเคราะห์ผลงานของบุคคลสำคัญทั้งชาวไทย และต่างประเทศที่มีส่วนสร้างสรรค์วัฒนธรรม ไทยและประวัติศาสตร์ไทย 1. ผลงานของบุคคลสำคัญทั้งชาวไทยและ ต่างประเทศที่มีส่วนสร้างสรรค์วัฒนธรรมไทย และประวัติศาสตร์ไทย เช่น – พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย – พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว – พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว – สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยา
14 สาระการเรียนรู้แกนกลาง ตัวชี้วัดช่วงชั้น วชิรญาณวโรรส – พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงวงษาธิราช สนิท – สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้า ดิศวรกุมาร กรมพระยาดำรงราชานุภาพ – สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจิตรเจริญ กรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ – หม่อมราโชทัย (หม่อมราชวงศ์กระต่าย อิศรางกูร) – สมเด็จเจ้าพระยามหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) – บาทหลวงปาลเลอกัวซ์ – พระยากัลยาณไมตรี (Dr.Franncis B. Sayre ดร.ฟรานซีส บี แซร์) – ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี – พระยารัษฎานุประดิษฐมหิศรภักดี (คอซิมบี้ ณ ระนอง) 2. ปัจจัยและบุคคลที่ส่งเสริมการสร้างสรรค์ ภูมิปัญญาไทยและวัฒนธรรมไทย ซึ่งมีผลต่อ สังคมไทยในปัจจุบัน เช่น – พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพล อดุลยเดช – สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ – สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี – สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒน กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์
15 สาระการเรียนรู้แกนกลาง ตัวชี้วัดช่วงชั้น 5. วางแผนกำหนดแนวทางและการมีส่วนร่วม การอนุรักษ์ภูมิปัญญาไทยและวัฒนธรรมไทย 1. สภาพแวดล้อมที่มีผลต่อการสร้างสรรค์ภูมิ ปัญญาและวัฒนธรรมไทย 2. วิถีชีวิตของคนไทยในสมัยต่าง ๆ การสืบทอด และเปลี่ยนแปลงของวัฒนธรรมไทย 3. แนวทางการอนุรักษ์ภูมิปัญญาและวัฒนธรรม ไทยและการมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ วิธีการมีส่วนร่วมอนุรักษ์ภูมิปัญญาและ วัฒนธรรมไทย 2.1.3 หลักสูตรสถานศึกษา วิสัยทัศน์ ภายในปี 2565 โรงเรียนธาตุนารายณ์วิทยาจัดการศึกษามุ่งพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณธรรม จริยธรรมและเป็นเลิศทางภาษาโดยการบริหารจัดการด้วยระบบคุณภาพ พันธกิจ 1) พัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ให้เทียบเคียงมาตรฐานสากล 2) พัฒนาผู้เรียน และบุคลากรให้มีคุณธรรม จริยธรรม และดำรงชีวิตตามหลัก ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง 3) พัฒนาผู้เรียนให้มีความเป็นเลิศทางด้านภาษา และสื่อสารได้อย่างน้อย 2 ภาษา 4) พัฒนาระบบการบริหารจัดการ ครูและบุคลากรทางการศึกษา ให้มีสมรรถนะใน การปฏิบัติงานอย่างสร้างสรรค์และมีประสิทธิภาพ เป้าหมาย 1) โรงเรียนมีหลักสูตรสถานศึกษา โรงเรียนธาตุนารายณ์วิทยา พุทธศักราช 2553 ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 และบูรณาการกับหลักสูตรนานาชาติ ให้ผู้เรียนได้พัฒนาเต็มศักยภาพตามความถนัด ตอบสนองความต้องการของผู้เรียน ท้องถิ่น ประเทศชาติและสังคมโลก 2) ผู้เรียนและบุคลากรมีคุณธรรม จริยธรรม ดำรงชีวิตแบบวิถีไทยตามหลักปรัชญา เศรษฐกิจพอเพียงอยู่ในสังคมโลกอย่างมีสุข
16 กลยุทธ์โรงเรียน 1) การพัฒนาผู้เรียนให้เต็มศักยภาพทุกด้าน สู่มาตรฐานสากล 2) การพัฒนาหลักสูตรและกระบวนการจัดการศึกษา สู่มาตรฐานสากล 3) การพัฒนาคุณภาพองค์กร ครู บุคลากร สื่อ นวัตกรรม ICT 4) การระดมทรัพยากรและสร้างเครือข่ายร่มพัฒนาโรงเรียนสู่มาตรฐานสากล คุณลักษณะอันพึงประสงค์ 1) รักชาติศาสน์ กษัตริย์ 2) ซื่อสัตย์สุจริต 3) มีวินัย 4) ใฝ่เรียนรู้ 5) อยู่อย่างพอเพียง 6) มุ่งมั่นในการทำงาน 7) รักความเป็นไทย 8) จิตสาธารณะ 9) ผู้เรียนมีศักยภาพเป็นพลโลก (World Citizen) 9.1) เป็นเลิศวิชาการ 9.2) สื่อสารได้อย่างน้อย 2 ภาษา 9.3) ล้ำหน้าทางความคิด 9.4) ผลิตงานอย่างสร้างสรรค์ 2.2 พัฒนาการของยุโรปสมัยใหม่ การขยายอิทธิพลของชาติตะวันตก ที่สำคัญได้แก่ การสำรวจเส้นทางเดินเรือ เพื่อค้นหา เส้นทางเดินเรือสู่ดินแดนอื่น ๆ ในภูมิภาคต่าง ๆ โดยมีจุดมุ่งหมายในการเผยแผ่ศาสนา การค้าขาย และการถ่ายทอดอารยธรรม การฟื้นฟูศิลปวิทยา เป็นการเกิดใหม่ของการศึกษา การฟื้นฟูอุดมคติ ศิลปะ และวรรณกรรม ของกรีกและโรมัน เริ่มต้นราวคริสต์ศตวรรษที่ 14 และสิ้นสุดในกึ่งกลางคริสต์ศตวรรษที่ 17 การปฏิรูปศาสนาในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 15–16 คริสต์ศาสนาได้แตกแยกออกเป็นนิกาย ต่าง ๆ โดยแต่ละนิกายมีลักษณะเป็นศาสนาประจำชาติมากขึ้น ปัจจัยที่สำคัญได้แก่ สาเหตุของการ ปฏิรูปศาสนา การเริ่มปฏิรูปศาสนา การปฏิรูปของศาสนจักร ผลของการปฏิรูปศาสนา
17 รัฐชาติคือการรวมกลุ่มคนตามสภาพทางภูมิศาสตร์และตามเชื้อชาติ ซึ่งปัจจัยที่ก่อให้เกิดรัฐ ชาติ ได้แก่ การขยายตัวทางเศรษฐกิจและการค้า ความเสื่อมของขุนนาง ความสำนึกในความเป็นชาติ และการกำเนิดของระบอบสมบูรณ์ญาสิทธิราชย์ การปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์เป็นการนำวิทยาการต่าง ๆ ดั้งเดิม เช่น ดาราศาสตร์ กลศาสตร์ มาบรรจุในหลักการสอนของมหาวิทยาลัยตะวันตกเพื่อทำให้งานค้นคว้าด้านวิทยาศาสตร์เป็นที่ ยอมรับโดยทั่วไป การปฏิวัติอุตสาหกรรม เป็นการปลี่ยนแปลงกระบวนการผลิตจากการใช้แรงงานคนมาเป็น เครื่องจักร ซึ่งเป็นการปฏิวัติที่ต่อเนื่องมาจากการปฏิวัติวิทยาศาสตร์ ยุคภูมิธรรมและแนวคิดประชาธิปไตย เป็นช่วงที่นักคิด นักปราชญ์ออกมามีบทบาทเป็น อย่างมาก โดยมีการวางแนวคิดประชาธิปไตย ซึ่งส่งผลให้มีการปฏิวัติทางการเมืองครั้งสำคัญ ได้แก่ การปฏิวัติการเมืองการปกครองของอังกฤษ การปฏิวัติเรียกร้องเอกราชของชาวอเมริกัน และการ ปฏิวัติฝรั่งเศส ศิลปวัฒนธรรมสมัยใหม่แสดงให้เห็นถึงความรุ่งเรืองทั้งในด้านสถาปัตยกรรม จิตรกรรม ประติมากรรม ดนตรี และวรรณกรรมในยุโรผปสมัยใหม่ สามารถแบ่งออกเป็น ศิลปะบารอก ศิลปะ แบบลัทธิคลาสสิกใหม่ ศิลปะแบบลัทธิจินตนิยม และศิลปะแบบลัทธิสัจนิยม (ประวัติศาสตร์ ม. 4–6 เล่ม 2, สำนักพิมพ์วัฒนาพานิช จำกัด) 2.3 แนวคิดห้องเรียนกลับด้าน 2.3.1 ความหมายของห้องเรียนกลับด้าน กวินธร รัฐอาจ (2558; อ้างอิงจาก สุรศักดิ์ ปาเฮ. 2556) ได้ให้ความหมายห้องเรียนกลับด้าน ว่า ตรงกับภาษาอังกฤษว่า The Flipped Classroom เป็นศัพท์บัญญัติที่นิยามไว้ดังนี้Flipped Classroom (n.) A Model of Teaching which students’ homework is the traditional lecture viewed outside of class on a video. Class time is then spent on inquiry based learning that would include what would traditionally be viewed as students’ homework assignments. สามารถแปลความหมายและสรุปได้ว่า ห้องเรียนกลับด้าน หมายถึง รูปแบบหนึ่งของการเรียนการสอนโดยที่ผู้เรียนจะได้เรียนรู้จากการบ้านที่ได้รับผ่านการเรียนด้วย ตนเองจากสื่อวิดีทัศน์ (Video) นอกชั้นเรียนหรือที่บ้าน ส่วนการเรียนในชั้นเรียนปกตินั้นจะเป็นการ เรียนแบบสืบค้นหาความรู้ที่ได้รับร่วมกันกับเพื่อนร่วมชั้น โดยมีครูเป็นผู้คอยให้ความช่วยเหลือชี้แนะ วิจารณ์ พานิช (2556) ได้อธิบายความหมายของห้องเรียนกลับด้านไว้ว่าห้องเรียนกลับด้าน เป็นกระบวนการเรียนการสอนรูปแบบหนึ่งซึ่งเปลี่ยนจากการใช้ช่วงเวลาของการบรรยายเนื้อหา (Lecture) ในห้องเรียนมาเป็นการทำกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อฝึกแก้โจทย์ปัญหาและประยุกต์ใช้จริง ส่วน การบรรยายจะอยู่ในช่องทางอื่น ๆ เช่น วีดีโอ วีดีโอออนไลน์ ฯลฯ ซึ่งผู้เรียนเข้าถึงได้เมื่ออยู่ที่บ้าน
18 หรือนอกห้องเรียน ดังนั้น การบ้านที่เคยมอบหมายให้กับผู้เรียนฝึกทำเองนอกห้องจะกลายมาเป็น ส่วนหนึ่งของกิจกรรมในห้องเรียนและในทางกลับกันเนื้อหาที่เคยถ่ายทอดโดยการบรรยายใน ห้องเรียนจะถูกเปลี่ยนไปอยู่ในรูปสื่อที่ผู้เรียนได้เรียนรู้เองที่บ้านหรือที่อื่น ๆ จันทิมา ปัทมธรรมกุล (2556) ได้ให้ความหมายของห้องเรียนกลับด้านไว้ว่าคือกระบวนการ เรียนการสอนรูปแบบหนึ่งซึ่งเปลี่ยนการใช้ช่วงเวลาของการบรรยายเนื้อหาในห้องเรียนมาเป็นการทำ กิจกรรมต่างๆ เพื่อฝึกแก้โจทย์ปัญหา และประยุกต์ใช้จริง ส่วนการบรรยายจะอยู่ในช่องทางอื่นๆ เช่น วิดีโอ วิดีโอออนไลน์ podcasting หรือ screen casting ฯ ซึ่งนักเรียนสามารถเข้าถึงได้เมื่อยู่ที่บ้าน หรือนอกห้องเรียน ดังนั้น การบ้านที่เคยมอบหมายให้นักเรียนฝึกทำเองนอกห้องจะกลายมาเป็นส่วน หนึ่งของกิจกรรมในห้องเรียน และในทางกลับกัน เนื้อหาที่เคยถ่ายทอดผ่านการบรรยายในชั้นเรียนจะ เปลี่ยนไปอยู่ในสื่อที่นักเรียนอ่าน ฟัง ดู ได้เองที่บ้านหรือที่ไหนๆ ก็ตาม ผู้สอนอาจทิ้งโจทย์ หรือให้ นักเรียนสรุปความเนื้อหานั้นๆ เพื่อตรวจสอบความเข้าใจของนักเรียนและนำมาอภิปรายหรือปฏิบัติ จริงในห้องเรียน จากความหมายที่กล่าวมาข้างต้น ผู้วิจัยได้ยึดความหมายของห้องเรียนกลับด้านจาก จันทิมา ปัทมธรรมกุล โดยสามารถสรุปได้ว่า ห้องเรียนกลับด้าน คือ รูปแบบการเรียนการสอนที่เปลี่ยนการใช้ ช่วงเวลาของการบรรยายเนื้อหาในห้องเรียนมาเป็นการทำกิจกรรมต่างๆ เพื่อฝึกแก้โจทย์ปัญหา และ ประยุกต์ใช้จริง ส่วนการบรรยายจะอยู่ในช่องทางอื่นๆ เช่น วิดีโอ วิดีโอออนไลน์ podcasting หรือ screen casting ซึ่งนักเรียนสามารถเข้าถึงได้เมื่อยู่ที่บ้านหรือนอกห้องเรียน ดังนั้น การบ้านที่เคย มอบหมายให้นักเรียนฝึกทำเองนอกห้องจะกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมในห้องเรียน และในทาง กลับกัน เนื้อหาที่เคยถ่ายทอดผ่านการบรรยายในชั้นเรียนจะเปลี่ยนไปอยู่ในสื่อที่นักเรียนอ่าน ฟัง ดู ได้เองที่บ้านหรือที่ไหนๆ ก็ตาม ผู้สอนอาจทิ้งโจทย์ หรือให้นักเรียนสรุป ความเนื้อหานั้นๆ เพื่อ ตรวจสอบความเข้าใจของนักเรียน และนำมาอภิปรายหรือปฏิบัติจริงในห้องเรียน 2.3.2 แนวคิดเกี่ยวกับการจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้าน การจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้าน ได้มีนักการศึกษาหลายท่านได้กล่าวแนวคิด เกี่ยวกับห้องเรียนกลับด้านไว้ดังนี้ พัชฎา บุตระถาวร (2558; อ้างอิงจาก วิจารณ์ พานิช. 2556) ได้อธิบายว่า ห้องเรียนกลับ ด้าน เป็นการเรียนเนื้อหาวิชาที่บ้านแต่มาทำการบ้านที่โรงเรียน หรืออีกนัยหนึ่งคือรับการถ่ายทอด ความรู้มาจากที่บ้าน แล้วมาสร้างความรู้ต่อยอดจากที่ได้รับมาให้เป็นความรู้ที่สอดคล้องกับชีวิต ทำให้ เกิดการเรียนรู้ เกิดทักษะที่เรียกว่า “ทักษะแห่งศตวรรษที่ 21” ซึ่งใช่เฉพาะนักเรียนเท่านั้นที่เรียนรู้ กลับทาง ครูผู้สอนก็ต้องสอนกลับทางเช่นเดียวกัน ซึ่งครูเป็นผู้จัดการการสอนแบบกลับทาง คือ จากที่ เคยสอนเนื้อหาวิชานั้นหน้าชั้นเรียน เปลี่ยนมาเป็นสอนโดยผ่านวีดีทัศน์ หรือสื่อการสอนต่างๆ ที่ครู สร้างขึ้น หรือสิ่งอื่นๆ ที่มีอยู่แล้ว นำมาประยุกต์ใช้ในการเรียนการสอน โดยให้นักเรียนไปเรียนรู้ที่บ้าน
19 หรือที่อื่นนอกเวลาเรียนแล้วใช้เวลาเรียนในห้องเรียนเพื่อฝึกทำแบบฝึกหัดหรือลงมือปฏิบัติเพื่อฝึก ทักษะและกิจกรรมต่างๆ เช่น การตอบคำถาม การอภิปราย หรือสรุปเนื้อหาที่นักเรียนได้เรียนรู้มา ทั้งหมด โดยในชั่วโมงเรียน ครูจะทำหน้าที่เป็นผู้ฝึกให้นักเรียนสามารถประยุกต์ใช้ความรู้ที่ได้เรียนมา สร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง ซึ่งในชั้นเรียนจะเริ่มด้วยการทบทวนวีดีทัศน์ และตอบคำถามจากสิ่งที่ไม่ เข้าใจหลังดูวีดีทัศน์ ซึ่งจะทำให้ครูรู้ว่านักเรียนเข้าใจผิดในเรื่องใดและจะได้แก้ไขความเข้าใจผิดนั้น หลังจากนั้นครูจะมอบหมายให้นักเรียนทำงาน โดยอาจจะเป็นการปฏิบัติการทดลอง (Lab) หรือเป็น กิจกรรมค้นคว้า โครงงานหรือกิจกรรมแก้ปัญหา ฝึกทักษะ หรือการทดสอบ ซึ่งจะมีเวลามากพอใน การทำหลาย ๆ กิจกรรม ในส่วนของการให้คะแนนการทดสอบยังคงเหมือนเดิมที่สอนแบบปกติ Bergmann; & Sams (2013) ได้กล่าวว่า ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนแบบห้องเรียน กลับด้านนั้น บทบาทของครูผู้สอนจะเปลี่ยนจากเดิมอย่างสิ้นเชิง คือ ครูจะไม่ใช่ผู้ถ่ายทอดความรู้แต่ จะมีบทบาทคล้ายกับติวเตอร์ หรือ ผู้ฝึกหัด โดยตั้งคำถามกระตุ้นให้นักเรียนอยากรู้อยากเห็นและเกิด ความคิดสร้างสรรค์ เกิดความกระตือรือร้นและสนุกสนานไปกับการได้ตอบคำถามและเรียนรู้ และ เป็นผู้อำนวยความสะดวกในการจัดการเรียนการสอนด้วย โดยครูจะใช้เวลาสำหรับการมีปฏิสัมพันธ์ กับนักเรียน ทำให้นักเรียนที่เรียนช้า ไม่ทันเพื่อนร่วมห้องได้รับการเอาใจใส่ ซึ่งจากการจัดการเรียนรู้ แบบห้องเรียนกลับด้านในรายวิชาเคมีของ Bergmann และ Sams นั้นจะมีเวลาในการทำกิจกรรม การเรียนรู้ให้นักเรียนมากกว่าและประหยัดเวลามากกว่าการเรียนเรียนแบบเดิม ซึ่งการที่ให้นักเรียน เรียนรู้เนื้อหาล่วงหน้าที่บ้านมาแล้วมาพูดคุยกันในชั้นเรียนนั้นจะทำให้นักเรียนเรียนรู้ได้ดีขึ้น เร็วขึ้น เหลือเวลาสำหรับเติมสิ่งอื่นๆ ให้นักเรียนโดยเฉพาะทักษะการคิดวิเคราะห์ จากแนวคิดเกี่ยวกับห้องเรียนกลับด้านที่กล่าวมาข้างตน ผู้วิจัยได้ยึดแนวคิดตาม Bergmann และ Sams ซึ่งสามารถสรุปได้ว่า การจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้านเป็นการสอนแบบพลิกกลับ โดยเปลี่ยนจากการสอนหน้าชั้นเรียนที่ครูถ่ายทอดความรู้ให้แก่นักเรียนหน้าชั้นเรียนและมอบหมาย การบ้านให้นักเรียนกลับไปทำที่บ้าน เป็นการสอนโดยให้นักเรียนกลับไปเรียนเนื้อหาผ่านสื่อการเรียนรู้ ต่าง ๆ ที่ครูจัดหาให้หรือที่นักเรียนสามารถเรียนรู้ได้เองที่บ้านหรือที่อื่นๆ แต่ในชั่วโมงเรียนนักเรียนจะ ได้ทำกิจกรรมต่าง ๆ โดยมีครูเป็นผู้คอยดูแลให้คำแนะนำ 2.3.3 ข้อเปรียบเทียบของการเรียนแบบเดิมกับการเรียนแบบกลับด้าน สุรศักดิ์ ปาเฮ (2556) ได้กล่าวถึงข้อสรุปเปรียบเทียบระหว่างรูปแบบของการจัดการเรียนการ สอนแบบห้องเรียนกลับด้าน (Flipped Learning) กับรูปแบบการจัดการเรียนการสอนแบบเดิม (Traditional Learning) กล่าวคือ การจัดการเรียนการสอนแบบห้องเรียนกลับด้านนั้นจะมุ่งเน้นการ สร้างสรรค์องค์ความรู้ด้วยตัวผู้เรียนเองตามทักษะความรู้ ความสามารถและสติปัญญาของเอกัตบุคคล (Individualized Competency) ตามศักยภาพทางการเรียนแต่ละคน (Self-Paced) จากมวล ประสบการณ์ที่ครูจัดให้ผ่านสื่อเทคโนโลยี ICT หลากหลายประเภทในปัจจุบัน และเป็นลักษณะการ
20 เรียนรู้จากแหล่งเรียนรู้นอกชั้นเรียนอย่างอิสระทั้งด้าน ความคิดและวิธีปฏิบัติ ซึ่งแตกต่างจากการ เรียนแบบเดิมที่ครูจะเป็นผู้ป้อนความรู้และประสบการณ์ให้ผู้เรียนในลักษณะของครูเป็นศูนย์กลาง (Teacher Center) ดังนั้น การสอนแบบกลับทางจะเป็นการเปลี่ยนแปลงบทบาทของครูอย่างสิ้นเชิง กล่าวคือครูไม่ใช่ผู้ถ่ายทอดความรู้แต่จะทำบทบาทเป็นติวเตอร์ (Tutors) หรือโค้ช (Coach) ที่จะเป็น ผู้จุดประกายและสร้างความสนุกสนานในการเรียน รวมทั้งเป็นผู้อานวยความสะดวกในการเรียน (Facilitators) ในชั้นเรียนนั้นๆ ภาพที่ 2.1 แสดงการเปรียบเทียบห้องเรียนแบบเดิมกับห้องเรียนกลับด้าน ที่มา: https://www.hippovideo.io/blog/flipped-classroom/amp/ ข้อเปรียบเทียบด้านตัวอย่างของกิจกรรมและเวลา ระหว่างการเรียนแบบเดิมกับห้องเรียน กลับด้าน มีดังภาพประกอบ ภาพที่ 2.2 แสดงการเปรียบเทียบกิจกรรมและเวลาเรียนระหว่างห้องเรียนแบบเดิมกับห้องเรียนกลับ ด้าน ที่มา: วิจารณ์ พานิช. (2556). ครูเพื่อศิษย์สร้างห้องเรียนกลับทาง.
21 2.3.4 องค์ประกอบของการจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียนแบบกลับด้าน การจัดการเรียนการสอนแบบห้องเรียนกลับด้าน ซึ่งเป็นนวัตกรรมการเรียนการสอนรูปแบบ ใหม่ในการสร้างผู้เรียนให้เกิดการเรียนรู้แบบรอบด้านหรือ Mastery Learning นั้น ได้มีนักการศึกษา ได้กล่าวถึงองค์ประกอบของการจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้านไว้ดังนี้ Gerstein (2013) ได้กล่าวถึงการจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้านว่าประกอบไปด้วย องค์ประกอบสำคัญ 4 องค์ประกอบที่เกิดขึ้นเป็นวัฏจักร (Cycle) หมุนเวียนกันอย่างเป็นระบบ ซึ่ง องค์ประกอบทั้ง 4 ที่เกิดขึ้นได้แก่ 1) การกำหนดยุทธวิธีเพิ่มพูนประสบการณ์ (Experiential Engagement) โดยมี ครูผู้สอนเป็นผู้ชี้แนะวิธีการเรียนรู้ให้กับผู้เรียนเพื่อเรียนเนื้อหาโดยอาศัยวิธีการที่หลากหลายทั้งการใช้ กิจกรรมที่ กำหนดขึ้นเอง เกม สถานการณ์จำลอง สื่อปฏิสัมพันธ์ การทดลอง หรืองานด้านศิลปะ แขนงต่างๆ 2) การสืบค้นเพื่อให้เกิดมโนทัศน์รวบยอด (Concept Exploration) โดยครูผู้สอน เป็นผู้ คอยชี้แนะให้กับผู้เรียนจากสื่อหรือกิจกรรมหลายประเภทเช่น สื่อประเภทวิดีโอบันทึกการบรรยาย การใช้สื่อบันทึกเสียงประเภท Podcasts การใช้สื่อ Websites หรือสื่อออนไลน์ Chats 3) การสร้างองค์ความรู้อย่างมีความหมาย (Meaning Making) โดยผู้เรียนเป็นผู้ บูรณาการ สร้างทักษะองค์ความรู้จากสื่อที่ได้รับจากการเรียนรู้ด้วยตนเองโดยการสร้างกระดาน ความรู้ อิเล็กทรอนิกส์ (Blogs) การใช้แบบทดสอบ การใช้สื่อสังคมออนไลน์และกระดานสำหรับ อภิปรายแบบออนไลน์ (Social Networking & Discussion Boards) 4) การสาธิตและประยุกต์ใช้ (Demonstration & Application) เป็นการสร้างองค์ ความรู้โดย ผู้เรียนเองในเชิงสร้างสรรค์ โดยการจัดทำเป็นโครงงาน และผ่านกระบวนการนำเสนอ ผลงานที่เกิดจากการรังสรรค์งานเหล่านั้น Model หรือตัวแบบของการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน แบบห้องเรียนกลับด้านที่กล่าวไว้ในเบื้องต้นนั้น สามารถกำหนดเป็นภาพเชิงกราฟิกดังต่อไปนี้
22 ภาพที่ 2.3 แสดงโมเดลห้องเรียนแบบกลับด้าน (Flipped Classroom Model) ที่มา: http://www.google.go.th/imgres?imgrurl=http://1.bp.blogspot.com/Pprl จากองค์ประกอบของการจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้านที่ได้กล่าวมาข้างต้นสามารถ สรุปได้ว่า การจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้านมีองค์ประกอบสำคัญ 4 ประการ ได้แก่ 1) การกำหนดยุทธวิธีเพิ่มพูนประสบการณ์ (Experiential Engagement) 2) การสืบค้นเพื่อให้เกิดมโนทัศน์รวบยอด (Concept Exploration) 3) การสร้างองค์ความรู้อย่างมีความหมาย (Meaning Making) 4) การสาธิตและประยุกต์ใช้ (Demonstration & Application) 2.3.5 ประโยชน์ที่เกิดจากการจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้าน Jonathan Bergmann และ Aaron Sams (2012) ได้กล่าวถึงประโยชน์ที่เกิดจากการ จัดการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้าน ดังนี้ 1) เพื่อเปลี่ยนวิธีการสอนของครู จากการบรรยายหน้าชั้นเรียนหรือจากครูสอนไป เป็นครูฝึก ฝึก การท แบบฝึกหัดหรือทำกิจกรรมอื่นในชั้นเรียนให้แก่ศิษย์เป็นรายบุคคล หรืออาจ เรียกว่าเป็น “ครูติวเตอร์” 2) เพื่อใช้เทคโนโลยีการเรียนที่เด็กสมัยใหม่ชอบโดยใช้สื่อ ICT ซึ่งกล่าวได้ว่าเป็น การนำโลก ของโรงเรียนเข้าสู่โลกของนักเรียนซึ่งเป็นโลกยุคดิจิตัล 3) ช่วยเหลือเด็กที่มีงานยุ่งเด็กสมัยนี้มีกิจกรรมมากดังนั้นจึงต้องเข้าไปช่วยเหลือใน การจัดการเรียนรู้โดยใช้บทสอนที่สอนด้วยวีดีทัศน์อยู่บนอินเทอร์เน็ต (Internet) ช่วยให้เด็กเรียนไว้ ล่วงหน้าหรือ เรียนตามชั้นเรียนได้ง่ายขึ้น รวมทั้งเป็นการฝึกเด็กให้รู้จักการบริหารเวลาของตนเอง
23 4) ช่วยเหลือเด็กเรียนอ่อนให้ขวนขวายหาความรู้ ในชั้นเรียนปกติเด็กเหล่านี้จะถูก ทอดทิ้งแต่ในห้องเรียนกลับด้าน เด็กจะได้รับการเอาใจใส่จากครูมากที่สุดโดยอัตโนมัติ 5) ช่วยเหลือเด็กที่มีความสามารถแตกต่างกันให้ก้าวหน้าในการเรียนตาม ความสามารถของตนเอง เพราะเด็กสามารถฟัง-ดูวีดีทัศน์ได้เองจะหยุดตรงไหนก็ได้ หรือเรียนหลายๆ รอบก็ได้ ตามที่ ตนเองพึงพอใจที่จะเรียน 6) ช่วยให้เด็กสามารถเรียนหลายๆ รอบกับครูของตนเองได้ ทาให้เด็กจัดเวลาเรียน ตามที่ตนพอใจ เบื่อก็หยุดพักได้ สามารถแบ่งเวลาในการดูเป็นช่วงได้ 7) ช่วยให้เกิดปฏิสัมพันธ์ระหว่างเด็กกับครูเพิ่มขึ้น ตรงกันข้ามกับการที่เรียนแบบ ออนไลน์ การ เรียนแบบห้องเรียนกลับด้านยังเป็นรูปแบบการเรียนที่นักเรียนยังคงมาโรงเรียนและ นักเรียนพบปะกับครู ห้องเรียนกลับด้านเป็นการประสานการใช้ประโยชน์ระหว่างการเรียนแบบ ออนไลน์ และการเรียนแบบระบบพบหน้า ช่วยเปลี่ยนและเพิ่มบทบาทของครูให้เป็นทั้งพี่เลี้ยง (Mentor) เพื่อน เพื่อนบ้าน (Neighbor) และผู้เชี่ยวชาญ (Expert) 8) ช่วยให้ครูรู้จักนักเรียนดีขึ้น หน้าที่ของครูไม่ใช่เพียงช่วยให้ศิษย์ได้ความรู้หรือ เนื้อหา แต่ต้องกระตุ้นให้เกิดแรงบันดาลใจ (Inspire) ให้กำลังใจ รับฟังและช่วยเหลือหรือส่งเสริม ผู้เรียนซึ่งเป็นมิติสำคัญที่จะช่วยเสริมพัฒนาการทางการเรียนของเด็ก 9) ช่วยเพิ่มปฏิสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนนักเรียนด้วยกันเองจากกิจกรรมทางการเรียนที่ ครูจัดประสบการณ์ขึ้นมานั้น ผู้เรียนสามารถที่จะช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกันได้ดี เป็นการ ปรับเปลี่ยน กระบวนทัศน์ของนักเรียนที่เคยเรียนตามคำสั่งครูหรือทางานให้เสร็จตามกำหนด เป็น การเรียนเพื่อตนเองไม่ใช่คนอื่น ส่งผลต่อเด็กที่เอาใจใส่การเรียนและปฏิสัมพันธ์ระหว่างนักเรียน ด้วยกันจะเพิ่มขึ้น โดยอัตโนมัติ 10) ช่วยให้เห็นคุณค่าของความแตกต่าง ตามปกติแล้วในชั้นเรียนเดียวกันจะมีเด็กที่ มีความแตกต่างกันมาก มีความถนัดและความชอบที่แตกต่างกัน ดังนั้นการจัดกิจกรรมการสอนแบบ ห้องเรียนกลับด้านจะช่วยให้ครูเห็นจุดอ่อนจุดแข็งของผู้เรียนแต่ละคน 11) เป็นการปรับเปลี่ยนรูปแบบการจัดการห้องเรียน ช่วยเปิดช่องให้ครูสามารถ จัดการ ชั้นเรียนได้ตามความต้องการที่จะทำ ครูสามารถทำหน้าที่ของการสอนที่สำคัญในเชิง สร้างสรรค์เพื่อสร้างคุณภาพแก่ชั้นเรียน ช่วยให้เด็กรู้อนาคตของชีวิตได้ดีที่สุด 12) เปลี่ยนคำสนทนากับพ่อแม่ ประสานความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างโรงเรียนกับ ผู้ปกครอง ซึ่งการรับทราบและแลกเปลี่ยนความรู้ร่วมกันจะทำให้เด็กเกิดการเรียนรู้ที่ดีได้ 13) ช่วยให้เกิดความโปร่งใสในการจัดการศึกษา การใช้ห้องเรียนแบบกลับด้านโดย นำสาระคำสอนไปไว้ในวีดีทัศน์ นำไปเผยแพร่ทางอินเทอร์เน็ต เป็นการเปิดเผยเนื้อหาสาระทางการ
24 เรียน ให้สาธารณชนได้ทราบ เป็นการสร้างความเชื่อมั่นในคุณภาพการเรียนการสอนให้ผู้ปกครอง ทราบ จากประโยชน์ที่เกิดจากการจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้านที่ได้กล่าวมา ข้างต้นสามารถสรุปได้ว่า การจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้านจะช่วยส่งเสริมการเรียนรู้ของ นักเรียนตลอดเวลา ช่วยให้นักเรียนรู้จักบริหารเวลาของตนเองให้เหมาะสมและศึกษาเรียนรู้ได้ตาม ศักยภาพของตน สร้างปฏิสัมพันธ์ระหว่างครูกับนักเรียนจากการทำกิจกรรมในชั้นเรียน ทำให้ครู มองเห็นจุดแข็งและจุดอ่อนของนักเรียนแต่ละคน ครูสามารถให้คำแนะนำและช่วยเหลือนักเรียนได้ อย่างมีประสิทธิภาพ 2.4 แผนการจัดการเรียนรู้ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้นั้น ครูผู้สอนควรจัดแผนการเรียนอย่างถูกต้องเรียบร้อยและมี ประสิทธิภาพเพื่อให้ผู้เรียนได้เรียนอย่างดีที่สุดและมีระบบบรรลุวัตถุประสงค์ตามหลักสูตรได้กำหนด ผู้วิจัยได้กล่าวถึงประเด็นต่าง ๆ ของแผนการเรียนรู้ ดังนี้ 2.4.1 ความหมายของแผนการจัดการเรียนรู้ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ (2543 : 133) ให้ความหมายของแผนการจัดการ เรียนรู้ หมายถึง การวางแผนจัดกิจกรรมการเรียนการสอนเพื่อเป็นแนวดำเนินการจัดกิจกรรมการ เรียนการสอนแต่ละครั้ง โดยกำหนดสาระสำคัญ จุดประสงค์ เนื้อหา กิจกรรมการเรียนการสอนสื่อ ตลอดจนการวัดผลและการประเมินผล แผนการสอนคือ แผนการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน การใช้สื่อการสอนการวัดและ ประเมินผลให้สอดคล้องกับเนื้อหาและจุดประสงค์ที่กำหนดไว้ในหลักสูตร ปัจจุบัน หลักสูตรการศึกษา ขันพื้นฐานจะใช้คำว่า “แผนการจัดการเรียนรู้” โดยวิเคราะห์จากการอธิบายรายวิชารายปีหรือราย ภาคและหน่วยการเรียนรู้ที่จัดกำหนดเป็นแผนการเรียนรู้ (อาภรณ์ ใจเที่ยง, 2550 : 205) ภพ เลาหไพบูลย์(2552 : 391) ได้ให้ความหมายแผนการจัดการเรียนรู้ หมายถึง ลำดับ ขั้นตอนกิจกรรมทั้งหมดของผู้สอนและผู้เรียนที่ผู้สอนจัดทำขึ้นไว้ เป็นแนวทางในการจัดการรู้และจัด สถานการณ์ให้ผู้เรียนเปลี่ยนพฤติกรรมไปตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ วัฒนาพร ระงับทุกข์ (2552 : 19) อธิบายความหมายของแผนการสอน หมายถึง แผนในการ จัดการเรียนการสอนที่ครูหรือผู้สอนเป็นผู้จัดทำขึ้นจากแนวการจัดการเรียนการสอนของคู่มือครูหรือ กรมวิชาการภายใต้กรอบเนื้อหาสาระที่ผู้สอนต้องการให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้โดยกำหนดจุดประสงค์ วิธีการดำเนินการหรือกิจกรรมให้ผู้เรียนบรรลุวัตถุประสงค์ วิธีการดำเนินการหรือกิจกรรมให้ผู้เรียน บรรลุวัตถุประสงค์ สื่อการเรียนรู้ และวิธีวัดผลประเมินผลที่สอดคล้องกับจุดประสงค์การเรียนรู้นั้น
25 ชนาธิป พรกุล (2551 : 85) ให้ความหมายของแผนการจัดการเรียนรู้ว่า เป็นแนวทางการจัด กิจกรรมการเรียนการสอนที่เขียนไว้ล่วงหน้าทำให้ผู้สอนมีความพร้อมและมั่นใจว่าสามารถสอนได้ บรรลุจุดประสงค์ที่กำหนดไว้และดำเนินการสอนได้ราบรื่น ผู้วิจัยได้ศึกษา ความหมายของแผนการจัดการเรียนรู้ พอสรุปได้ว่าเป็นแผนการจัดการเรียนรู้ ที่ผู้สอนเขียนไว้ล่วงหน้าก่อนการสอนจริงเพื่อให้ผู้สอนสามารถสอนได้อย่างเป็นระบบ เป็นขั้นตอนโดย เป็นแนวทางให้สามารถสอนโดยบรรลุวัตถุประสงค์ได้ 2.4.2 ความสำคัญของแผนการจัดการเรียนรู้ ความสำคัญของการว่างแผนในการจัดการเรียนรู้ จะช่วยให้ครูผู้สอนประสบผลสำเร็จไม่มาก ก็น้อยขึ้นอยู่กับการวางแผนการของครูผู้สอน ถ้าผู้สอนมีการวางแผนการสอนที่ดีก็เท่ากับบรรลุ จุดหมายแล้วครึ่งหนึ่งซึ่งมีนักวิชาการได้กล่าวถึงความสำคัญของแผนการจัดการเรียนรู้ ไว้ดังนี้ วิมลรัตน์ สุนทรโรจน์ (2550 : 105) ได้กล่าวถึง ความสำคัญของการทำแผนการจัดการเรียนรู้ ดังนี้ 1) เป็นแนวทางในการทำแผนการจัดการเรียนรู้ของผู้สอนกล่าวคือการจัดทำ แผนการจัดการเรียนรู้จำเป็นต้องดูกำหนดการจัดการเรียนรู้เป็นหลัก ทั้งนี้เพราะกำหนดการจัดการ เรียนรู้จะทำให้ผู้สอนทราบว่าในแต่ละวันจะต้องจัดการเรียนการสอนในเนื้อหากิจกรรมใดบ้าง 2) ทำให้ผู้สอนได้เห็นแผนงานการจัดการเรียนรู้ระยะยาวและได้ทราบเนื้อหาที่ จะต้องจัดการเรียนรู้ตลอดภาคเรียนเป็นประโยชน์ต่อการเตรียมตัวและการวางแผนตลอดภาค การศึกษา 3) เป็นประโยชน์ต่อฝ่ายวิชาการและฝ่ายบริหารโรงเรียนในการว่างแผนงานบริหาร ด้านวิชาการของโรงเรียน 4) เป็นประโยชน์ต่อผู้สอนในการเตรียมตัวการจัดการเรียนรู้อย่างกว้าง ๆ ในกรณีที่ กำหนด การจัดการเรียนรู้มีรายละเอียดมากพอก็สามารถใช้กำหนดการจัดการเรียนรู้แทนแผนการ จัดการเรียนรู้ได้ ทำให้ผู้สอนสามารถศึกษาหาความรู้จากเอกสารต่าง ๆ รวมทั้งสื่อการจัดการเรียนรู้ โดยดูจากกำหนดการ ดวงกมล สินเพ็ง (2553 : 79) อธิบายความสำคัญของแผนการจัดการเรียนรู้ ดังนี้ 1) ครูสอนสามารถนำผลการวิเคราะห์จัดเตรียมแผนการเรียนรู้ไว้ล่วงหน้า 2) เพื่อให้ครูมีความพร้อมที่สุดในการจัดการเรียนการสอน 3) เพื่อให้เกิดการเรียนรู้มีประสิทธิภาพทุกขั้นตอน ศศิธร เวียงวะลัย (2556 : 51) กล่าวความสำคัญของแผนการจัดการเรียนรู้ดังนี้ 1) เป็นเครื่องมือให้ครูในการจัดการเรียนการสอนได้ 2) เป็นคู่มือให้ครูในการจัดการสอนแทน
26 3) เป็นเครื่องมือในการพัฒนาการเรียนรู้ให้มีประสิทธิภาพ ผู้วิจัยสรุปได้ว่า ความสำคัญของแผนการจัดการเรียนรู้ของผู้สอนเพื่อให้ครูมีความพร้อมที่สุด ในการจัดการเรียนการสอนและให้เกิดการเรียนรู้มีประสิทธิภาพทุกขั้นตอนบรรลุตามวัตถุประสงค์ที่ กำหนดไว้ 2.4.3 องค์ประกอบที่สำคัญของแผนการจัดการเรียนรู้ ชนาธิป พรกุล (2551 : 86) กล่าวว่า แผนการจัดการเรียนรู้ในปัจจุบันมีองค์ประกอบที่สำคัญ 7 ประการ ได้แก่ 1) เรื่องและเวลาที่ใช้สอน 2) ผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง จุดประสงค์การเรียนรู้ 3) สาระสำคัญ 4) เนื้อหาสาระ 5) กิจกรรมการเรียนรู้ กิจกรรมการเรียนการสอน 6) สื่อการเรียนรู้และแหล่งการเรียนรู้ สื่อการเรียนการสอน 7) การวัดผลและประเมิลผล วิมลรัตน์ สุนทรโรจน์ (2550 : 116) กล่าวว่า องค์ประกอบที่สำคัญของการจัดทำแผนการ เรียนรู้ มีดังนี้ 1) ชื่อเรื่อง 5) สาระการเรียนรู้ 2) จำนวนชั่งโมง 6) สื่อและแหล่งการเรียนรู้ 3) สาระสำคัญ 7) กระบวนการเรียนรู้ 4) จุดประสงค์การเรียนรู้ 8) การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ ดวงกมล สินเพ็ง (2553 : 79-80) กล่าวว่า แผนการจัดการเรียนรู้มีองค์ประกอบ ดังนี้ 1) ส่วนนำ เป็นการศึกษาชื่อหน่วยการเรียนรู้ หัวข้อเรื่อง สาระการเรียนรู้ มาตรฐาน การเรียนรู้ และตัวชี้วัด 2) สาระสำคัญ 3) จุดประสงค์การเรียนรู้หรือผลการเรียนรู้จะเน้นให้ผู้เรียนพัฒนาทักษะครบทั้ง 3 ด้าน คือ - ทักษะด้านความรู้ ได้แก่ เนื้อหาสารที่จะจัดการเรียนรู้ - ทักษะด้านกระบวนการ ได้แก่ ทักษะการคิดวิเคราะห์และได้ลงมือปฏิบัติ - ทักษะด้านเจตคติ ได้แก่ ความสนใจ ความตั้งใจและความตระหนักถึงคุณค่า 4) เนื้อหาสาระ 5) กระบวนการจัดการเรียนรู้
27 6) การประเมินผลการเรียนรู้ 7) สื่อและแหล่งการเรียนรู้ ผู้วิจัยจึงสรุปได้ว่า แผนการจัดการเรียนรู้นั้นมีหลากหลายรูปแบบผู้สอนมีอิสระในการ ออกแบบแผนการจัดการเรียนรู้ด้วยตนเองอยางไรก็ตามผู้สอนควรปฏิบัติตามนโยบายหรือบริบทของ โรงเรียนที่กำหนดไว้ว่าให้ใช้รูปแบบใด ถ้าโรงเรียนมิได้กำหนดรูปแบบไว้จึงเลือกแบบที่ตนเองเห็นว่า สะดวกต่อการนำไปใช้ 2.4.4 ลักษณะของแผนการจัดการเรียนรู้ที่ดี บูรชัย ศิริมหาสาคร (2545 : 1) กล่าวไว้ว่า แผนการสอนก็คล้ายกับแผนที่ซึ่งจะนำผู้เดินทาง ไปสู่จุดหมายปลายทางที่ต้องการ ดังนั้น แผนการสอนที่ดีต้องตอบคำถามหลัก ๆ 3 ข้อ ดังนี้ 1) สอนเพื่ออะไร 2) สอนเพื่ออย่างไร 3) สอนแล้วได้ผลตามที่ต้องการหรือไม่ สมนึก ภัททิยธนี (2553 : 5) ได้กล่าวถึงลักษณะที่ดีของแผนต้องมีขั้นตอน ดังนี้ 1) เนื้อหาต้องเขียนเป็นรายคาบหรือรายชั่วโมงตารางสอน โดยเขียนให้สอดคล้อง กับชื่อเรื่องให้อยู่ในโครงการสอน และเขียนเฉพาะเนื้อหาสาระสำคัญพอสังเขป (ไม่ควรบันทึกแผนการ สอนอย่างละเอียดมาก ๆ เพราะจะทำให้เกิดความเบื่อหน่าย) 2) ความคิดรวบยอด (Concept) หรือหลักการสำคัญ ต้องเขียนให้ตรงกับเนื้อหาที่ จะสอนส่วนนี้ถือว่าเป็นหัวใจของเรื่องครูต้องทำความเข้าใจในเนื้อหาที่จะสอนจนสามารถเขียน ความคิดรวบยอดได้อย่างมีคุณภาพ 3) จุดประสงค์เชิงพฤติกรรมต้องเขียนให้สอดคล้อง กลมกลืนกับความคิดรวบยอด มิใช่เขียนตามอำเภอใจไม่ใช่เขียนสอดคล้องเฉพาะเนื้อหาที่จะสอนเท่านั้นเพราะจะได้เฉพาะ พฤติกรรมที่เกี่ยวกับความรู้ ความจำ สมองหรือการพัฒนาของนักเรียนจะไม่ได้รับการพัฒนาเท่าที่ควร 4) กิจกรรมการเรียนการสอน โดยยึดเทคนิคการสอนต่าง ๆ ที่จะช่วยให้นักเรียนเกิด การเรียนรู้ 5) สื่อที่ใช้ควรเลือกให้สอดคล้องกับเนื้อหา สื่อดังกล่าวต้องช่วยให้นักเรียนเกิดความ เข้าใจในหลักการได้ง่าย 6) วัดผลโดยคำนึงถึงเนื้อหา ความคิดรวบยอด จุดประสงค์เชิงพฤติกรรมและช่วงทำ การวัด (ก่อนเรียน ระหว่างเรียน หลังเรียน) เพื่อตรวจสอบว่าการสอนของครูบรรลุจุดมุ่งหมายที่ตั้งไว้ หรือไม่
28 ผู้วิจัยสรุปได้ว่าแผนการจัดการเรียนรู้ที่ดีจะต้องประกอบด้วยองค์ประกอบของแผนและ สอดคล้องกันตลอด มีกิจกรรม สื่อ การวัดและประเมินผลและสามารถนำไปสู่จุดหมายปลายทางที่ ต้องการ 2.4.5 ประโยชน์ของแผนการจัดการเรียนรู้ สำลี รักสุทธี(2553 : 153-154) สรุปประโยชน์ของแผนการจัดการเรียนรู้ประกอบนวัตกรรม มี ดังนี้ 1) ก่อให้เกิดการวางแผนและการเตรียมตัวล่วงหน้า 2) เป็นเครื่องมือในการอำนวยความสะดวกให้ครูใช้นวัตกรรมนั้น 3) เป็นหลักฐานแสดงข้อมูลด้านการเรียนการสอนและเป็นเครื่องมือยืนยันถึง หลักฐานการใช้นวัตกรรมและการวัดและประเมินที่จะเป็นประโยชน์ต่อการจัดกิจกรรมการเรียนการ สอนครั้งต่อไป 4) เป็นหลักฐานแสดงความเชี่ยวชาญของครูผู้สอน ประภาพร สุขพูล (2544 : 49) ได้สรุปความสำคัญของแผนการสอน ดังนี้ 1) ส่งเสริมให้ครูใฝ่ ศึกษาหาความรู้ ทั้งหลักสูตรและการจัดกิจกรรมการเรียนการ สอนได้เหมาะสม 2) ครูได้เตรียมการสอนไว้ล่วงหน้า 3) อำนวยความสะดวกแก่ครูที่ไม่มีประสบการณ์ด้านการสอน 4) ให้เป็นคู่มือสำหรับครูที่มาสอนแทน เมื่อติดธุระหรือลา 5) ทำให้การวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเป็นไปตามจุดประสงค์ที่กำหนดไว้ 6) เพื่อเป็นแนวทางในการแนะนำหรือนิเทศการเรียนการสอน ผู้วิจัยได้ศึกษาประโยชน์ของแผนการจัดการเรียนรู้จึงสรุปได้ว่าแผนการจัดการเรียนรู้สามารถ ช่วยให้ครูผู้สอนได้วางแผนอย่างถูกต้องและมั่นใจและเพื่อให้บรรลุเป้าหมายตามที่ได้วางไว้นอกจากนี้ ยังทำให้ผู้สอนรู้ผลหรือปัญหาของการสอน เพื่อไปพัฒนาในการสอนต่อไปได้ 2.4.6 ประสิทธิภาพของแผนการจัดการเรียนรู้ ประสิทธิภาพของแผนการจัดการเรียนรู้เป็นขั้นตอนทำการทดลองจริงกับกลุ่มตัวอย่างที่กำหนดไว้แล้ว สามารถหาประสิทธิภาพของสื่อในขั้นตอนการตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือ เกณฑ์การหา ประสิทธิภาพ คือ การกำหนดเป็นเกณฑ์ที่ผู้สอนคาดหมายว่าผู้เรียนจะเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้เรียน ทั้งหมดต่อร้อยละของผลการทดสอบหลังเรียนของผู้เรียนทั้งหมด นั่นคือ E1/E2 ซึ่งจะกล่าว รายละเอียด ชวลิต ชูกำแพง (2553 : 131-132) ได้อธิบายเกี่ยวกับ E1 และ E2 ว่า E1 คือ ประสิทธิภาพ ของกระบวนการ เป็นค่าที่บ่งบอกว่าการจัดการเรียนรู้นั้นสามารถพัฒนาผู้เรียนให้เกิดการเรียนรู้อย่าง
29 ต่อเนื่องหรือไม่ ในกิจกรรมที่กำหนด โดยมีการเก็บข้อมูลของผลการเรียนรู้ ซึ่งสามารถสะท้อนให้เห็น ถึงพัฒนาการและความงอกงามของผู้เรียนได้ โดยทั่วไปคำนวณจากแบบทดสอบย่อยหรือคะแนนจาก พฤติกรรมการเรียน และคะแนนจากพฤติกรมเข้ากลุ่ม (ไม่ใช่คะแนนทำแบบฝึกหัดหรือแบบฝึก ทักษะ) ซึ่งคำนวณได้จากสูตร ดังนี้ 1 = ∑ 100 เมื่อ 1 แทน สื่อประสิทธิภาพของกระบวนการ ∑ แทน ผลรวมของคะแนนทุกส่วน แทน จำนวนผู้เรียน แทน คะแนนเต็มของทั้งหมด E2 คือ ประสิทธิภาพของผลลัพธ์ เป็นค่าที่บ่งบอกว่าการจัดการเรียนรู้นั้นส่งผลให้ผู้เรียนเกิด สัมฤทธิ์ผลได้หรือไม่ บรรลุวัตถุประสงค์หรือเป็นไปตามที่กำหนดไว้ในการจัดการเรียนรู้มากน้อย เพียงใด ซึ่งคำนวณได้จากคะแนนที่ได้จากการทำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน (ทดสอบ หลังเรียน) ของผู้เรียนทุกคน ซึ่งคำนวณได้จากสูตร ดังนี้ 2 = ∑ × 100 เมื่อ 2 แทน ประสิทธิภาพของผลสัมฤทธิ์ ∑ แทน ผลรวมของคะแนนแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แทน จำนวนผู้เรียน แทน คะแนนเต็มของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน การที่จะกำหนดเกณฑ์ E1/E2 ให้มีค่าเท่าใดนั้น ให้ผู้สอนเป็นผู้พิจารณาตามความพอใจโดย ปกติเนื้อหาที่เป็นความรู้ความจำมักจะตั้งไว้ 80/80 ส่วนเนื้อหาที่เป็นทักษะอาจกำหนดเกณฑ์ไว้ต่ำ กว่าพัฒนาความรู้ เนื่องจากการพัฒนาทักษะต้องใช้เวลามากกว่า เช่น 75/75 เป็นต้น ผู้วิจัยสรุปได้ว่าประสิทธิภาพของแผนการจัดการเรียนรู้ คือ เป็นขั้นตอนทำการทดลองจริงกับ กลุ่มตัวอย่างที่หาประสิทธิภาพของสื่อการสอนและมีการขั้นตอนการตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือ ที่การกำหนดเป็นเกณฑ์ต่อผู้เรียนโดยใช้สัญลักษณ์ E1/E2 ที่ตรงกับสูตร
30 2.5 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 2.5.1 ความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเป็นความสามารถของนักเรียนในด้านต่างๆ ซึ่งเกิดจากนักเรียน ได้รับ ประสบการณ์จากกระบวนการเรียนการสอนของครู โดยครูต้องศึกษาแนวทางในการวัดและ ประเมินผล การสร้างเครื่องมือวัดให้มีคุณภาพนั้นได้มีผู้ให้ความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนไว้ ดังนี้ สมพร เชื้อพันธ์ (2547) สรุปว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ หมายถึง ความสามารถ ความสำเร็จและสมรรถภาพด้านต่างๆ ของผู้เรียนที่ได้จากการเรียนรู้อันเป็นผลมาจาก การเรียนการสอน การฝึกฝนหรือประสบการณ์ของแต่ละบุคคลซึ่งสามารถวัดได้จากการทดสอบด้วย วิธีการต่างๆ ปราณี กองจินดา (2549) กล่าวว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ความสามารถหรือ ผลสำเร็จที่ได้รับจากกิจกรรมการเรียนการสอนเป็นการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและประสบการณ์ เรียนรู้ทางด้านพุทธิพิสัย จิตพิสัย และทักษะพิสัยและยังได้จำแนกผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนไว้ตาม ลักษณะของ วัตถุประสงค์ของการเรียนการสอนที่แตกต่างกัน จากความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่ได้กล่าวมาข้างต้น ผู้วิจัยยึดความหมายตาม กระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งสามารถสรุปได้ว่าผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ความสามารถหรือ ความสำเร็จที่ใช้ทักษะในการกระทำการใดๆ หรือต้องอาศัยความรู้ในวิชาต่างๆ โดยเฉพาะ 2.5.2 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน พิชิต ฤทธิ์จรูญ (2545; 96) กล่าวว่า แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง แบบทดสอบที่ใช้วัดความรู้ ทักษะ และความสามารถทางวิชาการที่นักเรียนได้เรียนรู้มาแล้วว่า บรรลุผลสำเร็จตามจุดประสงค์ที่กำหนดไว้เพียงใด สิริพร ทิพย์คง (2545; 193) กล่าวว่า แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ชุด คำถามที่มุ่งวัดพฤติกรรมการเรียนของนักเรียนว่ามีความรู้ ทักษะ และสมรรถภาพด้านสมองด้านต่างๆ ในเรื่องที่เรียนรู้ไปแล้วมากน้อยเพียงใด สมพร เชื้อพันธ์ (2547; 59) กล่าวว่า แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง แบบทดสอบหรือชุดของข้อสอบที่ใช้วัดความสำเร็จหรือความสามารถในการทำกิจกรรมการเรียนรู้ ของ นักเรียนที่เป็นผลมาจากการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนของครูผู้สอนว่าผ่านจุดประสงค์การ เรียนรู้ที่ตั้งไว้เพียงใด จากความหมายของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่ได้กล่าวมา ผู้วิจัยได้ยึดตาม ชิต ฤทธิ์จรูญ ซึ่งสามารถสรุปได้ว่า แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง แบบทดสอบที่ใช้วัด
31 ความรู้ ความสามารถทางวิชาการที่นักเรียนได้เรียนรู้มาแล้วว่าบรรลุผลสำเร็จตามจุดประสงค์ที่ กำหนดไว้เพียงใด 2.5.3 ประเภทของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนมีหลายประเภท โดยนักการศึกษาได้แบ่ง ประเภทของแบบทดสอบไว้ดังนี้ ล้วน สายยศ (2559) ได้แบ่งประเภทของแบบทดสอบ ดังนี้ 1) แบบทดสอบความเรียง (Subjective or Essay test) เป็นข้อสอบที่มีเฉพาะ คำถามแล้วให้นักเรียนเขียนตอบอย่างเสรี เขียนบรรยายตามความรู้และเขียนข้อคิดเห็นของแต่ละคน 2) แบบทดสอบถูก-ผิด (True-false test) คือข้อสอบแบบเลือกตอบที่มี 2 ตัวเลือก แต่ตัวเลือกดังกล่าวเป็นแบบคงที่และมีความหมายตรงกันข้าม เช่น ถูก-ผิด ใช่-ไม่ใช่ จริง-เท็จ เหมือนกัน-ต่างกัน เป็นต้น 3) แบบทดสอบเติมคำ (Completion test) เป็นข้อสอบที่ประกอบด้วยประโยค หรือข้อความที่ยังไม่สมบูรณ์แล้วให้ตอบเติมค าหรือประโยค หรือข้อความลงในช่องว่างที่เว้นไว้นั้น เพื่อให้มี ใจความ สมบูรณ์และถูกต้อง 4) แบบทดสอบจับคู่ (Matching test) เป็นข้อสอบแบบเลือกตอบชนิดหนึ่งโดย มี ค่าหรือ ข้อความ แยกออกจากกันเป็น 2 ส่วนแล้วให้ผู้ตอบเลือกจับคู่ว่าแต่ละข้อความในชุดหนึ่งจะคู่ กับคำหรือ ข้อความใดในอีกชุดหนึ่งซึ่งมีความสัมพันธ์กันอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่ผู้ออกข้อสอบกำหนด ไว้ 5) แบบทดสอบเลือกตอบ (Multiple choice test) คำถามแบบเลือกตอบโดยทั่วไป จะประกอบด้วย 2 ตอน คือ ตอนนำหรือคำถาม (Stem) กับตอนเลือก (Choice) ในตอนเลือกนั้นจะ ประกอบด้วยตัวเลือกที่เป็นคำตอบถูกและตัวเลือกลวง ปกติจะมีคำถามที่กำหนดให้พิจารณาแล้วหา ตัวเลือกที่ถูกต้องมากที่สุดเพียงตัวเลือกเดียวจากตัวเลือกอื่นๆ และคำถามแบบเลือกตอบที่ดีนิยมใช้ ตัวเลือกที่ใกล้เคียงกันจากประเภทของแบบทดสอบที่ได้กล่าวมาข้างต้น ผู้วิจัยได้สร้างแบบทดสอบวัด ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชา ประวัติศาสตร์ 4 (ประวัติศาสตร์สากล) เรื่อง พัฒนาการของยุโรป สมัยใหม่ แบบเลือกตอบจำนวน 30 ข้อ 30 คะแนน โดย 1 คำถามมี 4 ตัวเลือก ซึ่งมีคำตอบที่ถูกต้อง ที่สุดเพียงข้อเดียว 2.5.4 การสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนตามแนวคิดของบลูม ล้วน สายยศ (2539) ได้กล่าวถึง การออกแบบข้อสอบแบบปรนัยตามแนวคิดลำดับขั้นขอ งบลูม ดังนี้ 1) ด้านความรู้ความจำ หมายถึง ความสามารถในการระลึกถึงสิ่งที่เคยเรียนรู้มาแล้ว เกี่ยวกับ ข้อเท็จจริง ศัพท์นิยาม มโนทัศน์ ข้อตกลง การจัดประเภท เทคนิควิธีการ หลักการ กฎ
32 ทฤษฎี และแนวคิดที่สำคัญทางด้านวิทยาศาสตร์ นักเรียนที่มีความสามารถในด้านนี้จะแสดงออกโดย สามารถให้คำจำกัดความหรือนิยาม เล่าเหตุการณ์ จดบันทึก เรียกชื่อ อ่านสัญลักษณ์ และระลึก ข้อสรุปได้การวัดพฤติกรรมด้านความรู้ความจำลักษณะของข้อสอบจะถามเกี่ยวกับความรู้ความจำไม่ เกินร้อยละยี่สิบของข้อสอบทั้งหมด 2) ด้านความเข้าใจ หมายถึง ความสามารถในการอธิบาย การแปลความ การตีความ สร้างข้อสรุป ขยายความ นักเรียนมีความสามารถในด้านนี้จะแสดงออกโดยสามารถเปรียบเทียบแสดง ความสัมพันธ์ การอธิบายชี้แนะ การจำแนกเข้าหมวดหมู่ ยกตัวอย่าง ให้เหตุผล จับใจความ เขียน ภาพประกอบ ตัดสินเลือก แสดงความเห็น อ่านกราฟแผนภูมิและแผนภาพได้ 2.1) พฤติกรรมความเข้าใจ แบ่งออกเป็น 3 ระดับ 2.1.1) ความสามารถอธิบายความเข้าใจต่างๆได้ด้วยตนเอง 2.1.2) ความสามารถจำแนกหรือระบุความรู้ได้เมื่อปรากฏในรูป สถานการณ์ใหม่ 2.1.3) ความสามารถแปลความรู้จากสัญลักษณ์หนึ่งไปสู่อีก สัญลักษณ์หนึ่ง 2.2) การวัดพฤติกรรมความเข้าใจ ลักษณะของข้อสอบจะถามให้นักเรียนอธิบายหรือบรรยายความรู้ต่างๆ ด้วยคำพูดของตัวเองหรือให้ระบุข้อเท็จจริง มโนทัศน์ หลักการ กฎ หรือทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับ สถานการณ์ที่กำหนดให้หรือให้แปลความหมายสถานการณ์ที่กำหนดให้ซึ่งอาจอยู่ในรูปของข้อความ สัญลักษณ์ รูปภาพ เป็นต้น 3) ด้านการนำไปใช้ เป็นการวัดความสามารถด้านการนำเอาความรู้ความเข้าใจมา ประยุกต์ใช้ หรือแก้ปัญหาในเหตุการณ์ หรือสถานการณ์ใหม่ได้อย่างเหมาะสม การเขียนคำถามใน ระดับนี้อาจเขียนคำถามความสอดคล้องระหว่างวิชาและการปฏิบัติ ถามให้อธิบาย หลักวิชา ถามให้ แก้ปัญหา ถามเหตุผลของภาคปฏิบัติ 4) ด้านการวิเคราะห์ เป็นการวัดความสามารถในการแยกแยะหรือแจกแจง รายละเอียดของเรื่องราว ความคิด การปฏิบัติออกเป็นระดับย่อยๆ โดยอาศัยหลักการหรือกฎเกณฑ์ ต่างๆ เพื่อค้นพบข้อเท็จจริงและคุณสมบัติบางประการ คำถามระดับการวิเคราะห์ แบ่งออก 3 ประเภท คือ การวิเคราะห์ความสำคัญ การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ และการวิเคราะห์หลักการ 5) ด้านการวัดและประเมินค่า เป็นการวัดความสามารถในด้านการสรุปค่าหรือตี ราคาเกี่ยวกับเรื่องราว ความคิด พฤติกรรมว่าดี-เลว เหมาะสม-ไม่เหมาะสม เพื่อหาจุดประสงค์บาง ประการมาอ้างโดยใช้เกณฑ์ภายในและการประเมินโดยใช้เกณฑ์ภายนอก
33 6) ด้านการคิดสร้างสรรค์ เป็นการวัดความสามารถในการรวบรวมและผสมผสานใน ด้านรายละเอียดหรือเรื่องราวปลีกย่อยของข้อมูลสร้างเป็นสิ่งใหม่ที่แตกต่างจากเดิม ความสามารถ ดังกล่าวเป็นพื้นฐานของความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ จากแนวคิดลำดับขั้นของบลูมดังกล่าว ผู้วิจัยได้สร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนวิชาประวัติศาสตร์ 4 (ประวัติศาสตร์สากล) เรื่อง พัฒนาการของยุโรปสมัยใหม่ จำนวน 20 ข้อ ซึ่งประกอบไปด้วยการวัด 4 ด้าน คือ เข้าใจนำไปใช้ วิเคราะห์ และคิดสร้างสรรค์ 2.6 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง เกสรา มหัทธนบุญนพ และสิรินาถ จงกลกลาง (2563) ได้ทำการศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนและความสามารถในการคิดวิเคราะห์วิชาประวัติศาสตร์สากล ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โดยใช้ แนวคิดการเรียนแบบห้องเรียนกลับด้าน มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ระหว่างก่อนและหลังเรียน 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนระหว่างหลังเรียนกับเกณฑ์ร้อยละ 70 และ 3) เปรียบเทียบความสามารถในการคิดวิเคราะห์ ระหว่างก่อนและหลังเรียน กลุ่มตัวอย่างที่ ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/13 แผนการเรียนไทย-สังคม ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2562 โรงเรียนบุญวัฒนา อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา จำนวน 36 คน ได้มาโดยการ สุ่มแบบกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียน และแบบวัดการคิดวิเคราะห์ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วน เบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าทดสอบที ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหน่วยการ เรียนรู้ประวัติศาสตร์สากล ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิด ห้องเรียนกลับด้าน มีคะแนนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน มีคะแนนหลังเรียนสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 70 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ 3) ผลความสามารถในการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนมีคะแนนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่าง มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 เญาฮารีย์ มือโต (2564) ได้ทำการรศึกษา การพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์โดยใช้กิจกรรม การเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้านผ่านสื่อยูทูบรายวิชาอัตตารีคสำหรับนักเรียนชั้นอิสลามศึกษา ตอนกลางปีที่ 1 มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อพัฒนาและหาประสิทธิภาพของแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้ กิจกรรมการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้านผ่านสื่อยูทูบรายวิชาอัตตารีคสำหรับนักเรียนชั้นอิสลาม ศึกษาตอนกลางปีที่ 1 โรงเรียนอิสลามประสานวิทย์ให้ได้คุณภาพตามเกณฑ์ 80/80 2) เพื่อ เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนด้วยการจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมการ เรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้านผ่านสื่อยูทูบรายวิชาอัตตารีค 3) เพื่อพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ก่อน เรียนและหลังเรียน ด้วยการจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้านผ่านสื่อยู ทูบรายวิชาอัตตารีค 4) เพื่อประเมินระดับความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรม
34 การเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้านผ่านสื่อยูทูบรายวิชาอัตตารีค กลุ่มตัวอย่างคือ นักเรียนชั้นอิสลาม ศึกษาตอนกลางปีที่1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2563โรงเรียนอิสลามประสานวิทย์จำนวน 25 คน ได้มาจากการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย 1) แผนการจัดการเรียนรู้เพื่อ การพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์โดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้านผ่านสื่อยูทูบ รายวิชาอัตตารีคจำนวน 8 แผน 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาอัตตารีค เรื่อง ประวัติเคาะลีฟะฮฺทั้งสี่จำนวน 40 ข้อ เป็นแบบทดสอบปรนัยแบบเลือกตอบ 4 ตัวเลือก 3) แบบ ประเมินทักษะการคิดวิเคราะห์รายวิชาอัตตารีคเรื่อง ประวัติเคาะลีฟะฮฺทั้งสี่แบบทดสอบอัตนัย จำนวน 16 ข้อ 4) แบบประเมินความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับ ด้านเรื่อง ประวัติเคาะลีฟะฮฺทั้งสี่ ผลการวิจัยพบว่า 1. ประสิทธิภาพของแผนการจัดการเรียนรู้ของ การพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์โดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้านผ่านสื่อยูทูบ รายวิชาอัตตารีคสำหรับนักเรียนชั้นอิสลามศึกษาตอนกลางปี่ที่ 1 เท่ากับ 82.18/83.20 ซึ่งมี ประสิทธิภาพที่สูงกว่าเกณฑ์มาตรฐานที่กำหนดไว้80/80 2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยใช้กิจกรรม การเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้านผ่านสื่อยูทูบรายวิชาอัตตารีคหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนเท่ากับ 23.20/33.44 3. ทักษะการคิดวิเคราะห์ทางการเรียนก่อนและหลังเรียนโดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้ แบบห้องเรียนกลับด้านผ่านสื่อยูทูบรายวิชาอัตตารีคมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังสูงกว่าก่อนเรียน เท่ากับ64.08/84.48 4. ความพึงพอใจของผู้เรียนด้วยแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้ แบบห้องเรียนกลับด้านผ่านสื่อยูทูบมีความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้ในระดับมากเท่ากับ 4.20 อนุธิดา เดชแฟง และอนุ เริญวงศ์ระยับ (2563) ได้ทำการศึกษา การจัดการเรียนรู้แบบ ห้องเรียนกลับด้านผ่านเฟซบุ๊กร่วมกับการเรียนรู้แบบเครื่องมือการคิดเพื่อพัฒนาทักษะการคิด วิเคราะห์สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2โรงเรียนเทศบาลวัดไทยชุมพล(ดำรงประชาสรรค์) การ วิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบทักษะการคิดวิเคราะห์ระหว่างกลุ่มห้องเรียนกลับด้าน 4 ห้อง ได้แก่ (1) ห้องเรียนกลับด้านผ่านเฟสบุ๊คร่วมกับการเรียนรู้แบบเครื่องมือการคิด (2) ห้องเรียน แบบบรรยายร่วมกับการเรียนรู้แบบเครื่องมือการคิด (3) ห้องเรียนบรรยายร่วมกับเฟสบุ๊ค (4) ห้องเรียนบรรยายและเพื่อเปรียบเทียบคะแนนประเมินชิ้นงานทักษะการคิดวิเคราะห์ ระหว่าง (1) ห้องเรียนกลับด้านผ่านเฟสบุ๊คร่วมกับการเรียนรู้แบบเครื่องมือการคิดกับ (2) ห้องเรียนแบบบรรยาย ร่วมกับการเรียนรู้แบบเครื่องมือการคิด กลุ่มตัวอย่างคือนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียน เทศบาลวัดไทยชุมพลฯ อำเภอเมือง จังหวัดสุโขทัย 4 ห้องเรียน จำนวน 160 คน ปีการศึกษา 2561 ซึ่งได้มาจากการสุ่มอย่างง่ายโดยวิธีการจับฉลาก เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ประกอบด้วย แบบประเมินชิ้นงาน (Rubric) และแบบทดสอบวัดทักษะการคิดวิเคราะห์จำนวน 20 ข้อ การ วิเคราะห์ข้อมูลใช้ค่าร้อยละค่าเฉลี่ยเลขคณิตส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ใช้สถิติ one WAYANOVAและ นําเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ตารางประกอบการบรรยายผลวิจัยสรุปได้ว่า1.คะแนนผลสอบ
35 ทักษะการคิดวิเคราะห์ห้อง 4 มีค่าเฉลี่ยแตกต่างจากห้องอื่น และเป็นค่าเฉลี่ยต่ำสุดแต่ห้อง 1,2,3ไม่ แตกต่างกัน 2.คะแนนประเมินชิ้นงานทักษะการคิดวิเคราะห์ไม่แตกต่างกัน ธนารัตน์ มาลัยศรีและลัดดา ศิลาน้อย (2555) ศึกษาผลการพัฒนาทักษะการคิด อย่างมีวิจารณญาณของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ในหน่วยการเรียนรู้แบบกลับด้าน เรื่อง ประชาคมอาเซียนโดยใช้รูปแบบการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es) ผลการวิจัยพบว่า 1) หน่วย การเรียนรู้แบบย้อนกลับ (Backward Design) โดยใช้รูปแบบการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้คิดเป็น ค่าเฉลี่ย 4.53 อยู่ในระดับความคิดเห็นมากที่สุด 2) นักเรียนที่ได้เรียนรู้จากหน่วยการเรียนรู้แบบ ย้อนกลับ (Backward Design) โดยใช้รูปแบบการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ มีคะแนนทักษะการคิด อย่างมีวิจารณญาณเฉลี่ย 30.35 คิดเป็นร้อยละ 75.88 และมีจำนวนนักเรียนที่ผ่านเกณฑ์ จำนวน 26 คน คิดเป็นร้อยละ 76.47 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ 3) นักเรียนที่ได้เรียนรู้จากหน่วยการเรียนรู้ แบบย้อนกลับ (Backward Design) โดยใช้รูปแบบการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ มีผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนเฉลี่ย 30.94 คิดเป็นร้อยละ 77.35 และมีจำนวนนักเรียนที่ผ่านเกณฑ์ จำนวน 27 คน คิดเป็นร้อยละ 79.41 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ อัครเดช แสนณรงค์(2557) ในการวิจัย เรื่องการศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและการคิด อย่างมีวิจารณญาณรายวิชา ส 31102 ศาสนประวัติของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้การสอน ด้วยวิธีการทางศาสนประวัติร่วมกับผังกราฟิกผลการวิจัย พบว่า 1) ผลสัมฤทธิ์ทางเรียนของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 จำนวนนักเรียน ร้อยละ 72.41 มีคะแนน ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนร้อยละ 72.40 ซึ่งผ่านเกณฑ์ที่กำหนด 2) ผลการคิดอย่างมีวิจารณญาณของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาีที่ 4 จำนวน นักเรียน ร้อยละ 89.65 มีคะแนนคิดอย่างมีวิจารณญาณร้อยละ 73.42 ซึ่งผ่านเกณฑ์ที่กำหนด 3) เจต คติต่อการเรียนรายวิชา ศาสนประวัติของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 พบว่า นักเรียนมีเจตคติ ทางบวกต่อการเรียนวิชาศาสน-ประวัติอยู่ในระดับมาก พิมพ์ประภา พาลพ่าย (2557 : บทคัดย่อ) ศึกษาวิจัยเรื่อง การใช้สื่อสังคมตามแนวคิด ห้องเรียนกลับด้าน เรื่อง ภาษาเพื่อการสื่อสารเพื่อส่งเสริมผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 6 โดยกลุ่มตัวอย่างจำนวน 30 คน ผลการวิจัยพบว่า 1) สื่อสังคมตามแนวคิด ห้องเรียนกลับด้านเพื่อส่งเสริมผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 มีคุณภาพ อยู่ในระดับดีมาก (X= 4.70) 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนหลังจากการเรียนผ่านสื่อสังคม ตามแนวคิดห้องเรียนกลับด้านสูงกว่าคะแนนก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ 3) นักเรียนมีความพึงพอใจต่อสื่อสังคมตามแนวคิดห้องเรียนกลับด้านเพื่อส่งเสริมผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนอยู่ในระดับมากที่สุด (X = 4.64) เกียรติศักดิ์ หนูขาว, กัลยา รัศมีเพ็ญ และศิริเพ็ญ ภู่มหภิญโญ (2565) ได้ทำการศึกษา การ พัฒนาสื่อการสอนมัลติมีเดียเรื่องทัศนียภาพ ตามแนวคิดห้องเรียนกลับด้าน สำหรับนักเรียนชั้น
36 มัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนหัวหิน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาสื่อการสอนมัลติมีเดียเรื่อง ทัศนียภาพ รายวิชาทัศนศิลป์ ตามแนวคิดห้องเรียนกลับด้าน สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ให้ มีคุณภาพในระดับดีมาก 2) เปรียบเทียบผลการเรียนวิชาศิลปะระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียนด้วย สื่อการสอนมัลติมีเดียที่พัฒนาขึ้น 3) ศึกษาความพึงพอใจของผู้เรียนที่มีต่อสื่อการสอนมัลติมีเดียที่ ผู้วิจัยพัฒนาขึ้น ตัวอย่างในการวิจัย คือ นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนหัวหิน จังหวัด ประจวบคีรีขันธ์ ที่กำลังศึกษาในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 จำนวน 30 คน เครื่องมือที่ใช้ใน การวิจัย ได้แก่ (1) สื่อการสอนมัลติมีเดีย เรื่องทัศนียภาพ (2) แบบทดสอบก่อนและหลังเรียน (3) แบบประเมินความพึงพอใจของนักเรียน การวิเคราะห์ผลข้อมูลเชิงปริมาณโดยใช้ ค่าเฉลี่ย ส่วน เบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าที วิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพดำเนินการด้วยการวิเคราะห์ เนื้อหา ผลการวิจัยสรุปได้ว่า (1) การพัฒนาสื่อการสอนมัลติมีเดียเรื่องทัศนียภาพ ตามแนวคิด ห้องเรียนกลับด้านสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 มีคุณภาพในระดับดีมาก (= 4.78 S.D. = 0.29) (2) เปรียบเทียบผลการเรียนเรื่องทัศนียภาพระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียนด้วยสื่อการสอน มัลติมีเดีย ทัศนียภาพ รายวิชาทัศนศิลป์ตามแนวคิดห้องเรียนกลับด้านของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 มีคะแนนเฉลี่ยร้อยละ 85.2 (3) ความพึงพอใจของนักเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 มี ความพึงพอใจในระดับมากที่สุด (=4.9, S.D. =0.31) ต่อการพัฒนาการสื่อการเรียนการสอน มัลติมีเดีย เรื่องทัศนียภาพที่พัฒนาขึ้น 2.7 กรอบแนวคิดในการวิจัย ในการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยได้ศึกษาแนวคิด หลักการและขั้นตอนของการจัดการเรียนรู้โดยใช้ วิธีการสอนแบบห้องเรียนกลับด้าน เพื่อนำมากำหนดเป็นกรอบแนวคิดในการวิจัย การเรียนรู้โดยใช้ วิธีการสอนแบบห้องเรียนกลับด้าน เป็นการจัดการเรียนการสอนที่สวนทางกับสิ่งที่เป็นอยู่ปัจจุบัน โดยให้นักเรียนศึกษาความรู้ผ่านอินเตอร์เน็ตนอกห้องเรียน นอกเวลาเรียน ส่วนในห้องเรียนจะเป็น การจัดกิจกรรม นำการบ้านมาทำในห้องเรียนแทน วิธีนี้เด็กมีเวลาดูการสอนของครูผ่านวีดีโอออนไลน์ ดูกี่ครั้งก็ได้ เมื่อไรก็ได้ สามารถปรึกษาพูดคุยกับเพื่อนหรือครู ด้วยโปรแกรมสนทนาออนไลน์ก็ได้ ใน ห้องเรียนครูให้นักเรียนทำงานที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาที่ดูผ่านวีดีโอ เพื่อทำความเข้าใจหลักการความรู้ ผ่านกิจกรรม โดยครูจะเป็นผู้ให้คำแนะนำเมื่อเด็กมีคำถามหรือติดปัญหาที่แก้ไม่ได้ เมื่อพัฒนารูปแบบ การสอนโดยใช้วิธีการสอนข้างต้นจะทำให้เกิดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ที่ดีขึ้นในเนื้อหาการศึกษาที่ กำหนดไว้ ดังแสดงไว้ในภาพที่ 2.4
37 ภาพที่ 2.4 กรอบแนวคิดในการวิจัย ตัวแปรต้น กิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิด ห้องเรียนกลับด้าน ตัวแปรตาม - แผนการจัดการเรียนรู้เรื่อง พัฒนาการของ ยุโรปสมัยใหม่ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ตามแนวคิดห้องเรียนกลับด้าน - ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลัง เรียน เรื่อง พัฒนาการของยุโรปสมัยใหม่ ของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ผ่านการจัดการ กิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิดห้องเรียนกลับ ด้าน
38 บทที่ 3 วิธีดำเนินการวิจัย การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้เรื่อง พัฒนาการของ ยุโรปสมัยใหม่ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ตามแนวคิดห้องเรียนกลับด้าน ให้มีประสิทธิภาพ ตามเกณฑ์ 80/80 และเพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน เรื่อง พัฒนาการของยุโรปสมัยใหม่ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ผ่านการจัดการกิจกรรมการเรียนรู้ ตามแนวคิดห้องเรียนกลับด้าน ทั้งนี้ ผู้วิจัยได้ดำเนินตามขั้นตอนดังต่อไปนี้คือ ประชากรและกลุ่ม ตัวอย่าง แบบแผนการวิจัย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย การเก็บรวบรวมข้อมูล และการวิเคราะห์ข้อมูล ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้ 3.1 กลุ่มเป้าหมาย ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ภาคเรียนที่ 2 ปี การศึกษา 2566 โรงเรียนธาตุนารายณ์วิทยา จำนวน 13 ห้องเรียน จำนวนนักเรียน 493 คน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/9 ภาคเรียนที่ 2 ปี การศึกษา 2566 โรงเรียนธาตุนารายณ์วิทยา จำนวนนักเรียน 34 คน ซึ่งได้จากการเลือกกลุ่มตัวอย่าง แบบเจาะจง ( Purposive sampling ) 3.2 รูปแบบในการทดลอง ในการวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยได้ใช้รูปแบบในการทดลองแบบกลุ่มเดียว (One Group Pretest – Posttest Design) โดยมีการทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน ดังนี้ (พวงรัตน์ ทวีรัตน์, 2540 : 60) T1 X T2 T1 แทน การทดสอบก่อนเรียน (Pretest) X แทน จัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิดห้องเรียนกลับด้าน T2 แทน การทดสอบหลังเรียน (Posttest) 3.3 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ประเภทของเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยในครั้งนี้ ประกอบด้วย 1.1) แผนการจัดการเรียนรู้เรื่อง พัฒนาการของยุโรปสมัยใหม่ ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 5 ตามแนวคิดห้องเรียนกลับด้าน จำนวน 6 แผน
39 1.2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง พัฒนาการของยุโรปสมัยใหม่ จำนวน 20 ข้อ 3.4 การสร้างและการหาคุณภาพเครื่องมือ การสร้างและหาคุณภาพเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย มีรายละเอียด ดังนี้ 3.4.1 แผนการจัดการเรียนรู้ แผนการจัดการเรียนรู้วิชาประวัติศาสตร์ 4 (ประวัติศาสตร์สากล) เรื่อง พัฒนาการของยุโรป สมัยใหม่ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ตามแนวคิดห้องเรียนกลับด้าน มีขั้นตอนการดำเนินการ ดังนี้ 1) ศึกษาทฤษฎี หลักการ และแนวคิดที่เกี่ยวกับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตาม แนวคิดห้องเรียนกลับด้าน 2) ศึกษาหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 หลักสูตร สถานศึกษา คู่มือครู แบบเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ของกระทรวงศึกษาธิการและเอกสารที่เกี่ยวข้อง 3) สร้างแผนการจัดการเรียนรู้วิชาประวัติศาสตร์ 4 (ประวัติศาสตร์สากล) เรื่อง พัฒนาการของยุโรปสมัยใหม่ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ตามแนวคิดห้องเรียนกลับด้าน 1 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ จำนวน 6 แผน ใช้เวลา 6 ชั่วโมง ซึ่งมีสาระการเรียนรู้ ดังนี้ ที่ สาระการเรียนรู้ เวลา 1 การขยายอิทธิพลของชาติตะวันตก 1 ชม. 2 การฟื้นฟูศิลปวิทยา 1 ชม. 3 การปฏิรูปศาสนาและกำเนิดรัฐชาติ 1 ชม. 4 การปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์ 1 ชม. 5 การปฏิวัติอุตสาหกรรม 1 ชม. 6 ยุคภูมิธรรมและแนวคิดประชาธิปไตย ศิลปวัฒนธรรมสมัยใหม่ 1 ชม. ซึ่งแต่ละแผนการจัดการเรียนรู้ ประกอบด้วย สาระสำคัญ จุดประสงค์การเรียนรู้(รายชั่วโมง) สาระการเรียนรู้ กิจกรรมการเรียนรู้ สื่อการเรียนรู้ และการวัดและประเมินผล 4) นำแผนการจัดการเรียนรู้วิชาประวัติศาสตร์ 4 (ประวัติศาสตร์สากล) ขึ้นเสนอต่อ หัวหน้ากลุ่มสาระที่ปรึกษาแล้วนำเสนอต่อผู้เชี่ยวชาญด้านการสอน เพื่อตรวจสอบความสอดคล้อง ระหว่างผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง สาระการเรียนรู้ กิจกรรมการเรียนรู้ และการวัดและประเมินผล โดย ใช้ผู้เชี่ยวชาญแต่ละท่านพิจารณาลงความคิดเห็นแล้วให้คะแนน ดังนี้
40 ให้คะแนน +1 หมายถึง แน่ใจว่ามีความเหมาะสมและสอดคล้องกับจุดประสงค์ การเรียนรู้ สาระการเรียนรู้ กิจกรรมการเรียนรู้ และการวัดผลประเมินผล ให้คะแนน 0 หมายถึง ไม่แน่ใจว่ามีความเหมาะสมและสอดคล้องกับจุดประสงค์ การเรียนรู้ สาระการเรียนรู้ กิจกรรมการเรียนรู้ และการวัดผลประเมินผล ให้คะแนน -1 หมายถึง แน่ใจว่ามีความเหมาะสมและสอดคล้องกับจุดประสงค์ การเรียนรู้ สาระการเรียนรู้ กิจกรรมการเรียนรู้ และการวัดผลประเมินผล แล้วนำคะแนนที่ได้มาหาค่าดัชนีความสอดคล้องขององค์ประกอบของแผนการจัดการเรียนรู้ (Index of Item-objective Congruence : IOC) โดยมีค่าดัชนีความสอดคล้องตั้งแต่ 0.67-1 ซึ่งผ่าน เกณฑ์ที่ยอมรับได้ 5) ปรับปรุงแก้ไขแผนการจัดการเรียนรู้ตามข้อเสนอแนะ 6) การหาประสิทธิภาพแผนการจัดการเรียนรู้ที่ผ่านการตรวจสอบจากผู้เชี่ยวชาญไป ทดลองใช้กับผู้เรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 30 คน ที่ ไม่ใช่กลุ่มเป้าหมายซึ่งเป็นกลุ่มทีผ่านการเรียนวิชาประวัติศาสตร์ 4 (ประวัติศาสตร์สากล) เรื่อง พัฒนาการของยุโรปสมัยใหม่ มาแล้ว ผลการทดลองโดยภาพรวมเนื้อหากิจกรรมการเรียนรู้ใน แผนการจัดการเรียนเหมาะสมกับนักเรียนซึ่งนักเรียนสามารถเรียนรู้ตามกระบวนการที่อธิบายไว้ใน แผนการจัดการเรียนรู้ได้ 7) นำแผนการจัดการเรียนรู้วิชาประวัติศาสตร์ 4 (ประวัติศาสตร์สากล) เรื่อง พัฒนาการของยุโรปสมัยใหม่ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ตามแนวคิดห้องเรียนกลับด้าน ไปใช้ กับกลุ่มเป้าหมาย 3.4.2 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาประวัติศาสตร์ 4 (ประวัติศาสตร์สากล) เรื่อง พัฒนาการของยุโรปสมัยใหม่ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ตามแนวคิดห้องเรียนกลับด้าน ที่ ผู้วิจัยสร้างขึ้นมีลักษณะเป็นแบบปรนัยชนิดเลือกตอบมี 4 ตัวเลือก ผู้วิจัยได้ดำเนินการสร้างตามลำดับ ขั้นตอน ดังนี้ 1) ศึกษาเอกสารหลักสูตร ได้แก่ คู่มือครู คู่มือวัดและประเมินผลวิชาประวัติศาสตร์ 4 (ประวัติศาสตร์สากล) ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 2) วิเคราะห์เนื้อหา เรื่อง พัฒนาการของยุโรปสมัยใหม่ เพื่อแบ่งเนื้อหาออกเป็น เนื้อหาย่อยๆ แล้วเขียนจุดประสงค์การเรียนรู้ 3) สร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาประวัติศาสตร์ 4 (ประวัติศาสตร์ สากล)แบบปรนัยชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 32 ข้อ ให้ครอบคลุมเนื้อหาและจุดประสงค์การ เรียนรู้ตามตารางวิเคราะห์หลักสูตร
41 4) นำแบบทดสอบที่สร้างขึ้นเสนอต่อหัวหน้ากลุ่มสาระ เพื่อตรวจสอบความถูกต้อง เหมาะสม และให้ข้อเสนอแนะในด้านความเหมาะสมของเนื้อหากับจุดประสงค์การเรียนรู้แล้วนำมา ปรับปรุงแก้ไขตามข้อเสนอแนะ ผลการวิเคราะห์ข้อมูลพบว่า ค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) ของ แบบทดสอบทางการเรียนมีค่าเฉลี่ยระหว่าง 0.67-1.00 ซึ่งผ่านเกณฑ์ที่ยอมรับได้ 5) นำข้อสอบฉบับทดลองใช้ นำไปทดลองให้นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ภาคเรียน ที่ 1 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 30 คน ที่ไม่ใช่กลุ่มเป้าหมายซึ่งเป็นกลุ่มทีผ่านการเรียนวิชา ประวัติศาสตร์ 4 (ประวัติศาสตร์สากล) เรื่อง พัฒนาการของยุโรปสมัยใหม่ มาแล้ว 6) นำคำตอบมาตรวจให้คะแนน แล้วนำผลการตรวจให้คะแนนมาวิเคราะห์หาค่า ความยากง่าย ค่าอำนาจจำแนก การหาค่าความเชื่อมั่น (Reliability) ของข้อสอบโดยการจำแนก นักเรียนที่ทำแบบทดสอบ 30 คน แบ่งเป็นกลุ่มสูง 15 คน และกลุ่มต่ำ 15 คน เรียงตามคะแนนจาก มากที่สุดไปน้อยที่สุด 7) คัดเลือกข้อสอบจริงจำนวน 20 ข้อ จากข้อสอบฉบับทดลองใช้จำนวน 32 ข้อ โดยพิจารณาจากผลการหาคุณภาพในแต่ละค่า เทียบเกณฑ์ผลการคำนวณ คัดเลือกข้อที่ผ่านเกณฑ์ใช้ สอบได้ 8) นำข้อสอบฉบับจริงจำนวน 20 ข้อใช้กับกลุ่มตัวอย่างต่อไป 3.5 การเก็บรวบรวมข้อมูล การดำเนินการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยดำเนินการทดลองและเก็บข้อมูลกับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ 5/9 การดำเนินการทดลองและเก็บข้อมูลในแต่ละขั้น มีดังนี้ 1) เตรียมนักเรียนก่อนดำเนินการสอน โดยแนะนำวิธีการเรียนโดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้ตาม แนวคิดห้องเรียนกลับด้าน ให้นักเรียนมีความรู้การสร้างข้อตกลงเบื้องต้นเกี่ยวกับการเรียน ขั้นตอน การเรียนและบทบาทวิธีการปฏิบัติตนในการเรียนวิชาประวัติศาสตร์ 4 (ประวัติศาสตร์สากล) ใช้เวลา 1 ชั่วโมงในสัปดาห์แรกก่อนทำการทดลอง 2) ทำการทดสอบก่อนเรียน (Pretest) โดยใช้แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชา ใช้ เวลา 1 ชั่วโมงในสัปดาห์แรกก่อนทำการทดลอง 3) ดำเนินการทดลองการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนวิชาประวัติศาสตร์ 4 (ประวัติศาสตร์ สากล) เรื่อง พัฒนาการของยุโรปสมัยใหม่ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ตามแนวคิดห้องเรียน กลับด้าน ตามแผนการจัดการเรียนรู้ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น จำนวน 6 แผน ใช้เวลา 6 ชั่วโมง 4) ทำการทดสอบหลังเรียน (Posttest) หลังจากการทดลองสอนสิ้นสุดลง โดยใช้ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาประวัติศาสตร์ 4 (ประวัติศาสตร์สากล) ฉบับเดียวกันกับที่ ใช้ทดสอบก่อนการทดลอง โดยใช้เวลา 1 ชั่วโมง