51
แผนการจัดการเรียนรู้ หนว่ ยที่ ๔
วชิ า กฎหมายแรงงาน (๒๐๐๐๑-๑๐๐๔) สอนคร้งั ที่ 8-9
ชื่อหน่วย : วันหยุด และวนั ลาของลกู จ้าง จานวน ๒ ช่ัวโมง
1. สาระสาคญั
วันหยุด คือ วันที่กาหนดให้ลูกจ้างหยุดทางานตามปกติ ได้แก่ วันหยุดประจาสัปดาห์ วันหยุดตาม
ประเพณี และวันหยุดพักผ่อนประจาปี นายจ้างต้องให้ลูกจ้างมีวันหยุดประจาสัปดาห์ไม่น้อยกว่า ๑ วัน
วันหยุดตามประเพณี ปีหนึ่งต้องให้ลูกจ้างหยุดไม่น้อยกว่า ๑๓ วัน และลูกจ้างที่ทางานติดต่อกันครบหน่ึงปี มี
สทิ ธหิ ยุดพกั ผอ่ นประจาปีได้ ปีหน่งึ ไมน่ ้อยกว่า ๖ วนั
วันลาของลูกจ้าง ได้แก่ การลาป่วย ลาเพื่อทาหมัน ลาเพื่อกิจธุระอันจาเป็น ลาเพื่อรับราชการทหาร
ในการเรยี กพล และการลาคลอดบุตรของลูกจ้างหญิงมีครรภ์
2. สมรรถนะประจาหน่วยการเรยี นรู้
2.1 เข้าใจและอธิบายเร่ืองวันหยุดของลูกจา้ งไดว้ ่า มกี ี่ประเภท แตล่ ะประเภทมหี ลักเกณฑ์อย่างไร
บ้าง
2.2 เข้าใจเรอื่ งวนั ลาของลูกจ้างไดว้ ่า มวี นั ลาอะไรบา้ ง สามารถอธิบายวนั ลาแตล่ ะอย่างได้
2.3 สามารถนาความรู้ท่ีศึกษาไปแก้ปัญหาในการดารงชีพประจาวันและในงานอาชีพธุรกิจ
3. จุดประสงค์การเรียนรู้/การเรียนรู้
3.1 จุดประสงคท์ ่ัวไป
3.1.1 ร้แู ละเขา้ ใจเร่ืองวันหยุดของลูกจ้าง
3.1.2 รู้และเข้าใจเร่ืองวันลาของลูกจา้ ง
3.2 จดุ ประสงค์เชงิ พฤตกิ รรม
3.2.1 อธิบายเรื่องวันหยดุ ของลกู จ้างได้ว่า มีกปี่ ระเภท แต่ละประเภทมีหลักเกณฑ์อย่างไร
บ้าง
3.2.2 อธิบายเรอื่ งวนั ลาของลูกจา้ งได้วา่ มีวนั ลาอะไรบา้ ง สามารถอธิบายวันลาแตล่ ะอย่าง
ได้
3.2.3 สามารถนาความรู้ทศี่ กึ ษาไปแกป้ ญั หาในการดารงชีพประจาวันและในงานอาชีพธุรกิจ
ได้
4. เน้ือหาสาระการสอน/การเรยี นรู้
4.1 วันหยดุ ของลกู จา้ ง
4.2 วันลาของลูกจา้ ง
52
5. กิจกรรมการเรยี นการสอน
กิจกรรมผู้เรียน กิจกรรมผ้เู รยี น
ขัน้ เตรยี มกิจกรรม (๑ ชั่วโมง)
1. ผู้สอนชี้แจงรายละเอียดเกี่ยวกับจุดประสงค์ 1. ผู้เรียนเตรยี มอปุ กรณ์การเรยี น
สมรรถนะและคาอธิบายรายวิชา การวัดผลและ
ประเมินผลการเรียน คุณลักษณะนิสัยที่ต้องการให้
เกดิ ข้นึ
2. ตรวจสอบรายช่ือ ตรวจการแต่งกาย และขอ้ ตกลง 2. ผู้เรียนทาความเข้าใจและจดบันทึกรายละเอียด
ในการเรียน เก่ยี วกับการเรยี น
๓. แนะนาตัวทาความรู้จักระหว่างผู้สอนและผู้เรียน 3. รับฟังและยอมรับเหตุผล แล้วนาไปปฏิบัติการ
เรียน แกไ้ ขในพฤติกรรมท่ีไม่ถูกต้อง
๔. ตั้งกติกาในการเข้าเรียนการตรียมความพร้อม ๔. ผเู้ รียนแนะนาตวั เองให้กบั เพอื่ นๆ และครผู ้สู อน
ของผู้เรียนเพื่อเข้าสู่สาระการเรียนรู้ โดยการเตรียม
วัสดุอุปกรณ์ หนังสือ เอกสารการสอน สมุด
แบบทดสอบก่อนและหลงั เรียน
ขั้นนาเขา้ สู่บทเรียน (๑ ช่ัวโมง)
๕. ชแี้ จงจุดประสงค์ของการเรียนรู้เร่ือง วิวัฒนาการ 5. ผู้เรียนเตรียมความพร้อม โดยมี สมุด หนังสือ
ของการขาย ความหมายของการขายและหน้าท่ี หรอื เอกสารการเรียนรู้
ทางการขาย ความหมายของการตลาดและหน้าที่
ทางการตลาด ความสาคัญของการขายและ
การตลาด
๖. ช้ีให้เห็นความสาคัญของวิวัฒนาการของการขาย 6. จดบันทึกลงในสมุด และผู้เรียนจับกลุ่ม 5 คน
ความหมายของการขายและหน้าที่ทางการขาย และคดิ หาตัวแทนไวน้ าเสนอหนา้ ชั้นเรยี น
ความหมายของการตลาดและหน้าที่ทางการตลาด
ความสาคัญของการขายและการตลาด ท่ีมีใช้ใน
ชีวติ ประจาวนั ของผเู้ รียน
๗. ผู้สอนนาเข้าสู่บทเรียนด้วยการซักถาม และ 7. จดบันทึกจดุ ประสงค์การเรียนร้ลู งสมดุ
สนทนากับนักศึกษาดังนี้วิวัฒนาการของการขาย วิวัฒนาการของการขาย ความหมายของการขาย
ความหมายของการขายและหน้าท่ีทางการขาย และหน้าที่ทางการขาย ความหมายของการตลาด
ความหมายของการตลาดและหน้าที่ทางการตลาด และหน้าที่ทางการตลาด ความสาคัญของการขาย
ความสาคญั ของการขายและการตลาด และการตลาด
8. ผ้เู รยี นทาแบบฝึกหดั กอ่ นเรยี นเร่ือง
53
๘. ผู้สอนให้ผู้เรียนทาแบบทดสอบก่อนเรียน เรื่อง วิวัฒนาการของการขาย ความหมายของการขาย
ศึกษา วิวัฒนาการของการขาย ความหมายของการ และหน้าท่ีทางการขาย ความหมายของการตลาด
ขายและหน้าที่ทางการขาย ความหมายของ และหน้าท่ีทางการตลาด ความสาคัญของการขาย
การตลาดและหน้าที่ทางการตลาด ความสาคัญของ และการตลาด แล้วสลับกันตรวจแบบฝึกหัดก่อน
การขายและการตลาด แล้วให้ผู้เรียนสลับกันตรวจ เรยี น
โดยฟังเฉลยจากผสู้ อนพรอ้ มกนั
ขน้ั ดาเนนิ การสอน (2 ชัว่ โมง)
๙. ผู้สอนอธิบายเนื้อหาตามหัวข้อ วิวัฒนาการของ 9. ตงั้ ใจฟังและจดบนั ทึกเนือ้ หาที่สาคญั ลงสมุด
การขาย ความหมายของการขายและหน้าท่ีทางการ
ขาย ความหมายของการตลาดและหน้าท่ีทางการ
ตลาด ความสาคญั ของการขายและการตลาด
๑๐. ผู้สอนบรรยายหน้าชั้นเรียนและยกตัวอย่าง
ประกอบ เกี่ยวกับวิวัฒนาการของการ ขาย 10. ฟงั บรรยายอยา่ งตั้งใจ
ความหมายของการขายและหน้าท่ีทางการขาย
ความหมายของการตลาดและหน้าท่ีทางการตลาด
ความสาคญั ของการขายและการตลาด
๑๑. ผู้สอนให้ผู้เรียนแบ่งกลุ่ม สรุปเนื้อหาสาระท่ี
เรียนพร้อมท้ังนาเสนอหน้าช้ันเรียนโดยผู้สอนเป็นผู้
สุ่มเรยี ก 11. ผเู้ รียนจบั กลมุ่ และส่งตัวแทนนาเสนอ
1๒. ผู้สอนสุ่มเรียกตัวแทนผ้เู รียนแต่ละกล่มุ ออกมา
ยกตัวอยา่ งเอกสารการรับ-ส่งสนิ ค้า
12. ผู้เรียนแต่ละกลุ่มส่งตัวแทนจับฉลากเพื่อ
นาเสนอหนา้ ชั้นเรียน 1 หวั ข้อ
ขน้ั สรุป (๑ ชว่ั โมง)
1๓. ผู้สอนและผู้เรียนช่วยกันสรุปในหัวข้อท่ี 13. ผู้เรียนรับฟังคาสรุปและข้อเสนอแนะจากผู้สอน
นักศึกษานาเสนอพร้อมท้ังอธิบายเพิ่มเติมและสรุป พร้อมทั้งจดบันทึกข้อมูลซักถามหรือตอบคาถาม
เน้ือหาตามจุดประสงค์และเน้ือหาสาระการเรียนรู้ แสดงความคิดเห็นในหัวข้อที่ยังไม่เข้าใจ พร้อมท้ัง
พร้อมท้ังแนะนะหรือบอกแหล่งการหาข้อมูลจาก ส่งเสริมให้ผู้เรียนรู้จักการใช้เวลาว่างให้เกิด
54
อินเตอร์เน็ต เพ่ือผู้เรียนจะได้ศึกษาค้นคว้าเพ่ิมเติม ประโยชน์โดยการศึกษาข้อมูลทางอินเตอร์เน็ตเพื่อ
ได้ เป็นการฝึกใช้ระบบอิเล็คทรอนิกส์และเป็นการ
หา่ งไกลจากยาเสพติดและเกมส์ต่าง ๆ
1๔. ผู้สอนให้ผเู้ รยี นทาแบบทดสอบหลงั เรยี น พร้อม 14. ผู้เรียนทาแบบทดสอบหลังเรียน และนาส่ง
ทง้ั ตรวจงานสมุด ผู้สอน
6. สื่อการเรียน-การสอนและแหลง่ เรยี นรู้
1. สือ่ สิ่งพมิ พ์
1.1 หนังสอื เรียนวชิ า กฎหมายแรงงาน บริษัท สานักพิมพเ์ อมพันธ์ จากัด
๑.๒ กจิ กรรมส่งเสริมคณุ ธรรมนาความรู้
1.3 แบบประเมนิ ผลการเรียนรู้ หน่วยท่ี ๔
2. โสตทศั น์
๒.๑ -
3. หนุ่ จาลอง/ของจรงิ
-
4. สื่อ…………………………………………………………..
๔.๑ อนิ เทอร์เนต็ และเทคโนโลยี
7. แหล่งการเรียนการสอน/การเรยี นรู้
7.1 ในสถานศึกษา
- ห้องสมดุ
- อนิ เตอรเ์ นต็
7.2 นอกสถานศกึ ษา
- อนิ เตอร์เน็ต
- ห้องสมุด ประชาชน
8. กจิ กรรมเสนอแนะ/งานท่ีมอบหมาย (ถ้ามี)
ก่อนเรยี น
1. ตรวจรายช่ือ ตรวจเครื่องมือ และการแต่งกาย
2. ต้ังกติกาในการเรียน
3. อบรมคุณธรรม จรยิ ธรรม
55
ขณะเรยี น
1. ศึกษาค้นควา้
๒. กจิ กรรมสง่ เสริมคณุ ธรรมนาความรู้
๓. สรปุ ความรู้
หลงั เรียน
1. ทาแบบประเมินผลการเรียนรู้ หนว่ ยท่ี ๔
2. ถาม-ตอบขอ้ สงสยั
๓. สรปุ เนื้อหาและศกึ ษาเนื้อหาในเรือ่ งต่อไป
๔. ทาความสะอาดห้องเรยี น
๙. เอกสารอ้างอิง
-
๑๐. การบูรณาการ/ความสัมพันธ์กับรายวิชาอื่น
- กฎหมายพาณิชย์
- เศรษฐกจิ พอเพยี ง
๑๑. รายละเอียดการประเมินผลการเรียน
จดุ ประสงคข์ ้อท่ี ๑ อธิบายเร่ืองวนั หยดุ ของลกู จา้ งได้วา่ มีกป่ี ระเภท แต่ละประเภทมีหลักเกณฑ์
อย่างไรบ้าง
1. วิธกี ารประเมนิ : ประเมินผลการเรยี นรู้
2. เครอ่ื งการประเมิน : แบบประเมนิ ผลการเรียนรู้
3. เกณฑ์การประเมิน : อธบิ ายเรอ่ื งวนั หยดุ ของลูกจ้าง
4. เกณฑ์การผ่าน : ผา่ นระดบั รอ้ ยละ ๕0
จดุ ประสงค์ข้อที่ ๒ อธบิ ายเร่ืองวันลาของลูกจ้างไดว้ ่า มวี นั ลาอะไรบา้ ง สามารถอธบิ ายวนั
ลาแต่ละอยา่ งได้
1. วธิ กี ารประเมนิ : ประเมินผลการเรียนรู้
2. เครื่องการประเมนิ : แบบประเมินผลการเรยี นรู้
3. เกณฑ์การประเมนิ : อธิบายเร่อื งวนั ลาของลกู จ้าง
4. เกณฑ์การผ่าน : ผา่ นระดับร้อยละ ๕0
56
จุดประสงค์ข้อที่ ๓ สามารถนาความรู้ที่ศึกษาไปแก้ปัญหาในการดารงชพี ประจาวนั และในงานอาชีพ
ธรุ กจิ ได้
1. วธิ กี ารประเมนิ : กิจกรรมส่งเสริมคณุ ธรรมนาความรู้
2. เครอ่ื งการประเมนิ : แบบประเมินกจิ กรรมส่งเสริมคุณธรรมนาความรู้
3. เกณฑ์การประเมิน : สามารถนาความรู้ท่ศี ึกษาไปแกป้ ัญหาในการดารงชีพประจาวัน
และในงานอาชีพธุรกิจ
4. เกณฑ์การผา่ น : ผ่านระดบั ร้อยละ ๕0
57
กิจกรรมสง่ เสริมคุณธรรมนาความรู้
คาช้แี จง ใหน้ ักเรยี นอา่ นบทความตอ่ ไปน้ีแลว้ อภปิ รายรว่ มกนั
กลบั บ้านเรา รักรออยู่
เมอ่ื รอยตอ่ ห้วงปีใหม่ 2560-2561 กระทรวงแรงงานขอความร่วมมอื สถานประกอบการใหห้ ยดุ กิจการ
เป็นวันหยุดต่อเนื่องกันในช่วงเทศกาลปีใหม่ เพื่อให้ผู้ใช้แรงงานเดินทางกลับภูมิลาเนา เพื่อเยี่ยมครอบครัว
และรว่ มกจิ กรรมตามประเพณนี ยิ มทปี่ ฏิบตั สิ ืบตอ่ กนั มา
ท้ังน้ีได้รณรงค์ให้ลูกจ้างที่เดินทางกลับภูมิลาเนา ระมัดระวังในการขับขี่ยานพาหนะ งดด่ืมเคร่ืองด่ืม
แอลกอฮอลข์ ณะเดนิ ทาง
สาหรับสถานประกอบการกิจการทัวร์หรอื ขนส่งทางบก ห้ามนายจ้างให้ลูกจ้างซึ่งเปน็ พนักงานขับรถ
ทางานเกินวันละ ๘ ช่ัวโมง และทางานล่วงเวลาได้ไม่เกินวันละ ๒ ช่ัวโมง และลูกจ้างต้องให้ความยินยอม
เป็นหนังสือด้วย และในวันทางานถัดไป จะต้องให้ลูกจ้างเร่ิมต้นเมื่อได้พักจากการทางานในวันก่อนหน้า
มาแล้วไม่ตา่ กว่า ๑๐ ชัว่ โมงด้วย
หากนักเรยี นเปน็ นายจา้ ง นักเรียนจะ
ให้ความรว่ มมอื กับทางราชการ หยุด
งานเปน็ กรณพี เิ ศษให้แกล่ กู จ้าง
เพือ่ ใหล้ ูกจา้ งมวี นั หยุดต่อเนอ่ื งเป็น
เวลายาวหรือไม่ เพราะเหตุใด
58
แบบประเมินผลการเรยี น หนว่ ยที่ ๔
เรือ่ ง วันหยุด และวันลาของลกู จา้ ง
คาช้แี จง จงเลอื กคาตอบท่ีถูกต้องทีส่ ุดเพยี งคาตอบเดยี ว
1. วนั หยดุ ตามพระราชบญั ญัติคมุ้ ครองแรงงาน พ.ศ. 2541 หมายถึงข้อใด
ก. วนั หยดุ ประจาสปั ดาห์ ข. วันหยดุ ตามประเพณี
ค. วนั หยดุ พักผอ่ นประจาปี ง. ถูกทกุ ขอ้
๒. วันหยุดพักผ่อนประจาปี ลูกจ้างทม่ี ีสิทธิลาหยดุ พกั ผ่อนได้ตามข้อใด
ก. ลกู จ้างทางานมาแล้วครบ ๖ เดือน ข. ลูกจ้างทางานมาแล้วครบ ๘ เดือน
ค. ลกู จา้ งทางานตดิ ต่อกนั มาแลว้ ครบ ๑๐ เดอื น ง. ลูกจา้ งทางานตดิ ต่อกนั มาแล้วครบ ๑ ปี
3. สิทธหิ ยดุ พักผ่อนประจาปีของลูกจ้าง มีจานวนในข้อใด
ก. จานวน ๖ วนั ทางาน ข. จานวนไมน่ อ้ ยกว่า ๖ วนั ทางาน
ค. จานวน ๑๐ วันทางาน ง. จานวนไมน่ ้อยกว่า ๑๐ วนั ทางาน
4. วนั หยุดประจาสปั ดาห์ พระราชบญั ญตั คิ ุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 กาหนดใหห้ ยดุ กว่ี ัน
ก. สปั ดาหห์ นงึ่ จานวน ๑ วัน ข. สปั ดาห์หนง่ึ จานวนไมน่ ้อยกว่า ๑ วัน
ค. สัปดาหห์ นึง่ จานวน ๑ วันครึง่ ง. สัปดาห์หน่ึง จานวนไมน่ อ้ ยกวา่ ๑ วันครึง่
5. พระราชบัญญตั ิคมุ้ ครองแรงงาน พ.ศ.2541 กาหนดให้วันหยุดประจาสัปดาหต์ ้องมีระยะห่างกันกี่วัน
ก. ห่างกันไมเ่ กนิ กวา่ ๖ วนั ข. หา่ งกนั ไม่น้อยกว่า ๖ วนั
ค. หา่ งกนั ไมเ่ กินกว่า ๗ วนั ง. ห่างกนั ไม่น้อยกว่า ๗ วัน
๖. วันหยดุ ตามประเพณี หมายความถงึ วนั หยดุ ในขอ้ ใด
ก. วันหยุดเสาร-์ อาทติ ย์
ข. วนั หยุดประจา คอื วันอาทิตย์
ค. วนั หยดุ ของทางราชการประจาปี ที่คณะรฐั มนตรปี ระกาศกาหนด
ง. ถกู ทกุ ข้อ
7. ในหนง่ึ ปขี องการทางาน ลูกจา้ งมสี ิทธลิ าป่วยได้กีว่ นั ข. ลาไดป้ ีหนงึ่ ไม่เกนิ 30 วนั
ก. ลาไดป้ หี นึง่ ไมเ่ กนิ ๑๕ วัน ง. ลาได้เท่าที่ป่วยจริง
ค. ลาได้ปีหน่ึงไมเ่ กนิ ๖๐ วนั
59
8. ลกู จา้ งอาจต้องแนบใบรบั รองแพทย์แผนปจั จุบนั ชน้ั หนงึ่ พร้อมหนังสอื ลาป่วยดว้ ย หากลกู จา้ งปว่ ยตง้ั แตก่ ่ี
วัน
ก. ต้ังแต่ ๒ วนั ทางานขึ้นไป ข. ต้งั แต่ ๓ วันทางานขึน้ ไป
ค. ตง้ั แต่ ๕ วันทางานข้นึ ไป ง. ต้งั แต่ ๗ วันทางานขึ้นไป
9. ระหว่างลกู จา้ งลาป่วย นายจ้างต้องจา่ ยค่าจา้ งให้ลูกจา้ งด้วย แตม่ ีหลักเกณฑ์อยา่ งไร
ก. ปีหนึ่งจะไดร้ ับไมเ่ กนิ ๖๐ วัน
ข. ปหี น่งึ จะได้รับไมเ่ กิน ๓๐ วัน
ค. ปีหนงึ่ จะไดร้ ับไมเ่ กิน ๖๐ วัน เฉพาะทม่ี ีใบรบั รองแพทย์
ง. ปหี น่ึงจะได้รบั ไมเ่ กนิ ๔๕ วนั เฉพาะทมี่ ใี บรับรองแพทย์
10. ลูกจ้างย่อมมกี จิ ธรุ ะจาเป็นสว่ นตวั ดงั นั้น ปหี นึง่ กฎหมายกาหนดใหล้ กู จ้างมสี ิทธิลากิจธุระจาเป็นได้กวี่ นั
ก. ลาได้ไมน่ อ้ ยกว่า ๓ วันต่อปี ข. ลาได้ไมน่ ้อยกวา่ ๖ วนั ต่อปี
ค. ลาไดไ้ ม่นอ้ ยกวา่ ๗ วนั ตอ่ ปี ง. ไม่มีข้อใดถูก
60
เฉลยแบบประเมนิ ผลการเรียน หน่วยท่ี ๔
เรือ่ ง วันหยุด และวนั ลาของลกู จ้าง
คาชแี้ จง จงเลอื กคาตอบท่ถี ูกต้องที่สดุ เพยี งคาตอบเดียว
1. วนั หยดุ ตามพระราชบญั ญัติคมุ้ ครองแรงงาน พ.ศ. 2541 หมายถึงข้อใด
ก. วนั หยุดประจาสปั ดาห์ ข. วนั หยดุ ตามประเพณี
ค. วนั หยุดพกั ผ่อนประจาปี ง. ถกู ทกุ ขอ้
๒. วันหยดุ พักผอ่ นประจาปี ลูกจ้างที่มีสิทธลิ าหยดุ พักผ่อนไดต้ ามข้อใด
ก. ลกู จ้างทางานมาแลว้ ครบ ๖ เดอื น ข. ลกู จ้างทางานมาแล้วครบ ๘ เดือน
ค. ลูกจ้างทางานติดต่อกันมาแลว้ ครบ ๑๐ เดือน ง. ลกู จ้างทางานติดต่อกนั มาแล้วครบ ๑ ปี
3. สทิ ธิหยดุ พกั ผ่อนประจาปีของลกู จ้าง มีจานวนในข้อใด
ก. จานวน ๖ วันทางาน ข. จานวนไมน่ อ้ ยกว่า ๖ วนั ทางาน
ค. จานวน ๑๐ วนั ทางาน ง. จานวนไม่นอ้ ยกว่า ๑๐ วนั ทางาน
4. วนั หยุดประจาสปั ดาห์ พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 กาหนดให้หยดุ กว่ี ัน
ก. สปั ดาห์หนงึ่ จานวน ๑ วนั ข. สัปดาห์หนึ่ง จานวนไมน่ ้อยกว่า ๑ วัน
ค. สัปดาหห์ น่งึ จานวน ๑ วันครงึ่ ง. สัปดาห์หนึง่ จานวนไมน่ อ้ ยกวา่ ๑ วันครึง่
5. พระราชบญั ญัติค้มุ ครองแรงงาน พ.ศ.2541 กาหนดให้วันหยุดประจาสปั ดาหต์ ้องมีระยะห่างกันกี่วัน
ก. หา่ งกนั ไม่เกนิ กว่า ๖ วนั ข. หา่ งกนั ไมน่ ้อยกวา่ ๖ วนั
ค. ห่างกันไม่เกินกวา่ ๗ วัน ง. หา่ งกันไม่น้อยกว่า ๗ วัน
๖. วันหยุดตามประเพณี หมายความถงึ วนั หยดุ ในข้อใด
ก. วนั หยุดเสาร-์ อาทติ ย์
ข. วนั หยดุ ประจา คือ วนั อาทิตย์
ค. วันหยดุ ของทางราชการประจาปี ท่คี ณะรฐั มนตรีประกาศกาหนด
ง. ถกู ทุกข้อ
7. ในหนึ่งปขี องการทางาน ลูกจ้างมีสทิ ธลิ าป่วยได้ก่ีวนั ข. ลาได้ปีหนึ่งไม่เกนิ 30 วนั
ก. ลาได้ปหี นึ่งไม่เกิน ๑๕ วัน ง. ลาไดเ้ ท่าทป่ี ว่ ยจรงิ
ค. ลาได้ปหี นึง่ ไม่เกนิ ๖๐ วนั
61
8. ลกู จา้ งอาจต้องแนบใบรบั รองแพทย์แผนปจั จุบนั ชน้ั หนงึ่ พร้อมหนังสอื ลาป่วยดว้ ย หากลกู จา้ งปว่ ยตง้ั แตก่ ่ี
วัน
ก. ต้ังแต่ ๒ วนั ทางานขึ้นไป ข. ต้งั แต่ ๓ วันทางานขึน้ ไป
ค. ตง้ั แต่ ๕ วันทางานข้นึ ไป ง. ต้งั แต่ ๗ วันทางานขึ้นไป
9. ระหว่างลกู จา้ งลาป่วย นายจ้างต้องจา่ ยค่าจา้ งให้ลูกจา้ งด้วย แตม่ ีหลักเกณฑ์อยา่ งไร
ก. ปีหนึ่งจะไดร้ ับไมเ่ กนิ ๖๐ วัน
ข. ปหี น่งึ จะได้รับไมเ่ กิน ๓๐ วัน
ค. ปีหนงึ่ จะไดร้ ับไมเ่ กิน ๖๐ วัน เฉพาะทม่ี ีใบรบั รองแพทย์
ง. ปหี น่ึงจะได้รบั ไมเ่ กนิ ๔๕ วนั เฉพาะทมี่ ใี บรับรองแพทย์
10. ลูกจ้างย่อมมกี จิ ธรุ ะจาเป็นสว่ นตวั ดงั นั้น ปหี นึง่ กฎหมายกาหนดใหล้ กู จ้างมสี ิทธิลากิจธุระจาเป็นได้กวี่ นั
ก. ลาได้ไมน่ อ้ ยกว่า ๓ วันต่อปี ข. ลาได้ไมน่ ้อยกวา่ ๖ วนั ต่อปี
ค. ลาไดไ้ ม่นอ้ ยกวา่ ๗ วนั ตอ่ ปี ง. ไม่มีข้อใดถูก
62
แบบฝึกหัด
เรอื่ ง วันหยุด และวนั ลาของลูกจ้าง
คาช้แี จง จงตอบคาถามต่อไปนต้ี ามหลกั กฎหมาย
๑. การลาปว่ ยของลูกจา้ งในปหี น่งึ มสี ิทธิลาป่วยไดก้ ี่วนั และมีหลักเกณฑอ์ ย่างไรบ้าง
………………………………………………………………………………………………………………………………………..…………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………..……………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………..………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
……………………………………………………………………………………………………………………………………..……………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………..…………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
……………………………………………………………………………………………………………………………………………..……………
2. การลากิจของลูกจา้ งในปีหน่ึง มีสิทธลิ าไดก้ ่วี ัน และมหี ลกั เกณฑอ์ ย่างไรบ้าง
……………………………………………………………………………………………………………………………………..……………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………..……………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………..…………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
……………………………………………………………………………………………………………………………………………..……………
………………………………………………………………………………………………………………………………………..…………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
……………………………………………………………………………………………………………………………………………..……………
3. วันหยดุ ตามประเพณี หมายถึงวันหยดุ อย่างไร และกฎหมายกาหนดหลักเกณฑ์การหยุดตามประเพณีใช้
บังคับระหวา่ งนายจา้ งกบั ลกู จ้างอย่างไรบ้าง
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
63
เฉลยแบบฝกึ หดั
เร่ือง วันหยดุ และวนั ลาของลูกจ้าง
คาชี้แจง จงตอบคาถามตอ่ ไปนี้ตามหลักกฎหมาย
๑. การลาป่วยของลกู จา้ งในปหี นงึ่ มีสิทธลิ าปว่ ยได้กีว่ นั และมหี ลักเกณฑ์อย่างไรบา้ ง
ลูกจ้างมีสิทธิลาป่วยได้เท่าที่ป่วยจริง เมื่อลาป่วยถูกต้องตามระเบียบก็มีสิทธิได้รับค่าจ้างแต่
รวมกันแลว้ ปีหน่งึ จะไดไ้ ม่เกนิ ๓๐ วนั ทางาน การลาปว่ ยต้งั แต่สามวนั ทางานข้นึ ไป นายจา้ งอาจให้ลูกจ้าง
แสดงใบรับรองแพทย์แผนปัจจุบันชั้นหน่ึง หรือของสถานพยาบาลของทางราชการ ในกรณีท่ีลูกจ้างไม่
อาจแสดงใบรับรองแพทย์แผนปัจจุบันชั้นหน่ึง หรือของทางราชการได้ ให้ลูกจ้างช้ีแจ้งให้นายจ้างทราบ
การลาป่วยน้หี มายถึงการลาปว่ ยเพราะโรคภยั ไข้เจ็บท่ัวๆ ไป แต่ถา้ ป่วยบาดเจ็บจากการทางานใหน้ ายจ้าง
กรณีเช่นน้ี เช่น เป็นลูกจ้างทาหน้าท่ีควบคุมเลื่อยยนต์แต่พลาดมือถูกใบเลื่อยเป็นแผลต้องลาป่วยทางาน
ไม่ได้ ๔๕ วัน กรณีเช่นนี้มืให้นับวันลาเป็นวันลาป่วยคงให้ได้รับค่าจ้างเสมือนมาทางานแม้จะเกิน ๓๐ วัน
2. การลากจิ ของลูกจา้ งในปหี นง่ึ มีสิทธิลาไดก้ ี่วัน และมีหลกั เกณฑอ์ ย่างไรบ้าง
การลาเมื่อลูกจ้างมีกิจธุระนั้นเอง แต่ต้องมีความจาเป็นจริงๆ พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน
(ฉบับที่ ๗) พ.ศ. 2562 กาหนดให้ลูกจา้ งมีสิทธิลากจิ ธุระอันเป็นได้ปีได้ไม่น้อยกว่า ๓ วนั ทางาน โดยได้รับ
คา่ จา้ งปกติ
3. วนั หยุดตามประเพณี หมายถงึ วนั หยดุ อยา่ งไร และกฎหมายกาหนดหลกั เกณฑก์ ารหยุดตามประเพณีใช้
บังคับระหวา่ งนายจ้างกบั ลกู จ้างอย่างไรบ้าง
วนั หยดุ ของทางราชการประจาปี วันหยุดทางศาสนาหรือขนบธรรมเนียมประเพณแี หง่ ท้องถ่ิน โดย
จะมปี ระกาศของคณะรัฐมนตรกี าหนดใหม้ วี นั ใดบ้างเปน็ วนั หยุดประจาปี โดยวันหยดุ ประจาปตี ้องให้
นายจ้างประกาศกาหนดวนั หยดุ ตามประเพณีให้ลกู จ้างทราบเปน็ การล่วงหน้าไม่นอ้ ยกว่าสบิ สามปี และ
รวมวนั แรงงานแห่งชาติไว้ด้วย
64
บันทึกหลงั การสอนคร้ังท่.ี .........
รายวชิ า..................................................................................รหสั วชิ า......................................หน่วยการเรยี นท่ี ………………………………
ช่ือหนว่ ยการเรยี น ...………..………………………..………………………....จานวนช่ัวโมง……………….… กล่มุ เรยี น ............................................
จานวนผเู้ รียน...................คน. เมื่อวันท…่ี …………………………………. เร่อื งท่ีสอน………….………...................…………………..…………………
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
1. กิจกรรมการเรยี นการสอน (สามารถระบไุ ดห้ ลายหัวข้อตามท่ีปฏิบัติจรงิ โดยใช้เคร่ืองหมาย
1.1 วธิ กี ารสอน
บรรยาย สาธิต ทดลอง ปฏิบตั ิ กจิ กรรมกลมุ่
การนาเสนอผลงาน อน่ื ๆ (ระบ)ุ ……………..………………….......................................
1.2 สอ่ื การเรยี นการสอน
โปรแกรมนาเสนอ ใบความรู้ ใบงาน ขอ้ สอบ วดี ทิ ศั น์
แบบประเมิน เว็บไซต์ อน่ื ๆ (ระบุ).............………….……………..…………..
2. ผลการดาเนินกจิ กรรมการเรียนการสอน
2.1 ดา้ นผ้สู อน
สอนตามแผนการเรียนครบตามเนอ้ื หา สอนตามแผนการเรยี น ไม่ครบตามเน้ือหา
เน้ือหาการสอนเหมาะสมกบั เวลา เนอ้ื หาการสอนไม่เหมาะสมกับเวลา
2.2 ด้านผูเ้ รยี น
มีความสนใจในการเรียน มีความสุขในการเรียน
มีการพัฒนาด้านการเรยี น มคี วามรู้ และทักษะวิชาชีพ อื่นๆ (ระบ)ุ ……………..…
2.3 ด้านคุณลกั ษณะท่พี งึ ประสงค์
มีความรบั ผิดชอบ มีระเบยี บวินัย มีความรกั สามคั คี มมี นษุ ยสมั พันธ์
มคี วามอดทน มคี วามซื่อสตั ย์ มคี วามเชอื่ ม่ันในตนเอง มคี วามประหยดั
มีความกตญั ญู อ่ืนๆ (ระบ)ุ .............................................................................
2.4 ดา้ นการวัดและประเมนิ ผล มี ไมม่ ี (ไม่ต้องตอบขอ้ 3.)
ถาม ตอบเป็นรายบุคคล รายกลุ่ม สอบภาคปฏบิ ตั ิ สอบภาคทฤษฎี
แบบบันทกึ แบบสงั เกต อื่นๆ(ระบุ)....................................
3. ผลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี น
ผา่ นเกณฑ์ ……… คน คิดเปน็ ร้อยละ …… ไมผ่ ่านเกณฑ์ ……… คน คิดเปน็ ร้อยละ …………
4. ปญั หาอุปสรรคท่เี กิดขึ้นระหวา่ งการเรียนการสอน
………………………………………………………………………………………………………………………………………...…………………………………………………………….
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..…………………………………..
5. แนวทางการแก้ไขปัญหาของครผู ูส้ อน (เพือ่ เปน็ แนวทางในการทาวิจัยในช้ันเรยี น)
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………….………………………………………………..
ลงชอื่ ........................................ครผู สู้ อน ลงชื่อ..................................... หัวหน้าแผนก
(......................................... )…./....../...... (...........................................)…../....../........
65
แผนการจดั การเรยี นรู้ หนว่ ยที่ ๕
วิชา กฎหมายแรงงาน (๒๐๐๐๑-๑๐๐๔) สอนคร้ังท่ี 10-11
ช่อื หน่วย : ค่าจ้าง ค่าล่วงเวลา คา่ ชดเชย จานวน ๒ ชว่ั โมง
1. สาระสาคัญ
คา่ จา้ ง คอื เงินที่นายจา้ งจ่ายเปน็ ค่าตอบแทนการทางานตามสัญญาจา้ งให้แก่ลกู จ้าง กฎหมายห้ามมใิ ห้
นายจ้างจ่ายค่าจ้างแก่ลูกจ้างน้อยกว่าอัตราค่าจ้างขั้นต่า ค่าจ้างอาจแยกเป็นค่าจ้างวันทางานปกติ ค่าจ้าง
ทางานในวันหยุดและค่าจา้ งทางานล่วงเวลา
คา่ ลว่ งเวลา คอื เงินทีน่ ายจ้างจา่ ยใหแ้ กล่ ูกจ้างเป็นการตอบแทนการทางานลว่ งเวลาในวันทางาน อาจ
เป็นค่าลว่ งเวลาในวันทางานปกติ ค่าลว่ งเวลาในวันหยุด
ค่าชดเชย คือ เงินที่นายจ้างจ่ายให้ลูกจ้างเมื่อเลิกจ้างนอกเหนือจากเงินประเภทอื่น ซึ่งนายจ้างตกลง
จา่ ยให้แกล่ ูกจา้ ง และรวมถงึ ค่าชดเชยพเิ ศษดว้ ย
2. สมรรถนะประจาหน่วยการเรยี นรู้
2.1 เข้าใจและสามารถอธบิ ายความหมายของคาว่า คา่ จา้ ง คา่ ล่วงเวลา และคา่ ชดเชย
2.2 อธิบายค่าจ้างทางานปกติ ค่าจา้ งทางานในวนั หยุด คา่ จ้างทางานลว่ งเวลา
2.3 อธบิ ายการจ่ายค่าชดเชย การจ่ายค่าชดเชยพเิ ศษ คา่ จ้างทางานล่วงเวลา
2.4 สามารถนาความรู้ที่ศึกษาไปแก้ปญั หาในการดารงชีพประจาวนั และในงานอาชีพธรุ กจิ
3. จดุ ประสงค์การเรยี นรู้/การเรียนรู้
3.1 จดุ ประสงคท์ ่ัวไป
3.1.1 รู้และเขา้ ใจความหมายของคาว่า คา่ จ้าง ค่าล่วงเวลา และค่าชดเชย
3.1.2 รแู้ ละเขา้ ใจเก่ียวกับค่าจ้างทางานปกติ ค่าจ้างทางานในวันหยดุ ค่าจา้ งทางานลว่ งเวลา
3.1.3 รู้และเขา้ ใจการจ่ายคา่ ชดเชย การจา่ ยค่าชดเชยพเิ ศษ ค่าจ้างทางานลว่ งเวลา
3.2 จดุ ประสงค์เชงิ พฤติกรรม
3.2.1 สามารถอธบิ ายความหมายของคาวา่ คา่ จ้าง ค่าลว่ งเวลา และค่าชดเชยได้
3.2.2 อธบิ ายค่าจ้างทางานปกติ ค่าจา้ งทางานในวันหยดุ ค่าจา้ งทางานลว่ งเวลาได้
3.2.3 อธบิ ายการจา่ ยคา่ ชดเชย การจ่ายคา่ ชดเชยพเิ ศษ ค่าจ้างทางานล่วงเวลาได้
3.2.4 สามารถนาความรู้ทีศ่ ึกษาไปแก้ปญั หาในการดารงชีพประจาวนั และในงานอาชีพธุรกิจ
ได้
66
4. เน้ือหาสาระการสอน/การเรยี นรู้
4.1 คา่ จ้าง
4.2 ค่าจ้างทางานในวันหยุด
4.3 การทางานลว่ งเวลา
4.4 คา่ ชดเชย
5. กิจกรรมการเรียนการสอน
กจิ กรรมผเู้ รียน กจิ กรรมผเู้ รยี น
ขนั้ เตรียมกิจกรรม (๑ ชั่วโมง)
1. ผู้สอนช้ีแจงรายละเอียดเก่ียวกับจุดประสงค์ 1. ผ้เู รยี นเตรียมอปุ กรณก์ ารเรยี น
สมรรถนะและคาอธิบายรายวิชา การวัดผลและ
ประเมินผลการเรียน คุณลักษณะนิสัยท่ีต้องการให้
เกดิ ขึน้
2. ตรวจสอบรายชื่อ ตรวจการแตง่ กาย และขอ้ ตกลง 2. ผู้เรียนทาความเข้าใจและจดบันทึกรายละเอียด
ในการเรียน เกีย่ วกบั การเรียน
๓. แนะนาตัวทาความรู้จักระหว่างผู้สอนและผู้เรียน 3. รับฟังและยอมรับเหตุผล แล้วนาไปปฏิบัติการ
เรียน แก้ไขในพฤติกรรมทไ่ี ม่ถูกต้อง
๔. ต้ังกติกาในการเข้าเรียนการตรียมความพร้อม ๔. ผเู้ รียนแนะนาตวั เองใหก้ บั เพื่อนๆ และครูผ้สู อน
ของผู้เรียนเพ่ือเข้าสู่สาระการเรียนรู้ โดยการเตรียม
วัสดุอุปกรณ์ หนังสือ เอกสารการสอน สมุด
แบบทดสอบก่อนและหลงั เรยี น
ขนั้ นาเข้าสบู่ ทเรียน (๑ ช่ัวโมง)
๕. ช้ีแจงจดุ ประสงค์ของการเรียนรูเ้ ร่ือง วิวัฒนาการ 5. ผู้เรียนเตรียมความพร้อม โดยมี สมุด หนังสือ
ของการขาย ความหมายของการขายและหน้าที่ หรือเอกสารการเรียนรู้
ทางการขาย ความหมายของการตลาดและหน้าท่ี
ทางการตลาด ความสาคัญของการขายและ
การตลาด
๖. ชี้ให้เห็นความสาคัญของวิวัฒนาการของการขาย 6. จดบันทึกลงในสมุด และผู้เรียนจับกลุ่ม 5 คน
ความหมายของการขายและหน้าท่ีทางการขาย และคดิ หาตัวแทนไวน้ าเสนอหน้าชัน้ เรยี น
ความหมายของการตลาดและหน้าท่ีทางการตลาด
ความสาคัญของการขายและการตลาด ที่มีใช้ใน
ชวี ิตประจาวันของผเู้ รียน
7. จดบนั ทึกจุดประสงค์การเรียนรูล้ งสมุด
67
๗. ผู้สอนนาเข้าสู่บทเรียนด้วยการซักถาม และ วิวัฒนาการของการขาย ความหมายของการขาย
สนทนากับนักศึกษาดังน้ีวิวัฒนาการของการขาย และหน้าท่ีทางการขาย ความหมายของการตลาด
ความหมายของการขายและหน้าท่ีทางการขาย และหน้าท่ีทางการตลาด ความสาคัญของการขาย
ความหมายของการตลาดและหน้าท่ีทางการตลาด และการตลาด
ความสาคญั ของการขายและการตลาด 8. ผ้เู รยี นทาแบบฝกึ หัดก่อนเรยี นเรอ่ื ง
๘. ผู้สอนให้ผู้เรียนทาแบบทดสอบก่อนเรียน เรื่อง วิวัฒนาการของการขาย ความหมายของการขาย
ศึกษา วิวัฒนาการของการขาย ความหมายของการ และหน้าที่ทางการขาย ความหมายของการตลาด
ขายและหน้าท่ีทางการขาย ความหมายของ และหน้าที่ทางการตลาด ความสาคัญของการขาย
การตลาดและหน้าท่ีทางการตลาด ความสาคัญของ และการตลาด แล้วสลับกันตรวจแบบฝึกหัดก่อน
การขายและการตลาด แล้วให้ผู้เรียนสลับกันตรวจ เรียน
โดยฟงั เฉลยจากผ้สู อนพร้อมกนั
ขนั้ ดาเนินการสอน (2 ชว่ั โมง)
๙. ผู้สอนอธิบายเน้ือหาตามหัวข้อ วิวัฒนาการของ 9. ตง้ั ใจฟังและจดบันทึกเน้อื หาที่สาคญั ลงสมดุ
การขาย ความหมายของการขายและหน้าที่ทางการ
ขาย ความหมายของการตลาดและหน้าท่ีทางการ
ตลาด ความสาคัญของการขายและการตลาด
๑๐. ผู้สอนบรรยายหน้าชั้นเรียนและยกตัวอย่าง
ประกอบ เกี่ยวกับวิวัฒนาการของการ ขาย 10. ฟังบรรยายอย่างตั้งใจ
ความหมายของการขายและหน้าท่ีทางการขาย
ความหมายของการตลาดและหน้าที่ทางการตลาด
ความสาคญั ของการขายและการตลาด
๑๑. ผู้สอนให้ผู้เรียนแบ่งกลุ่ม สรุปเนื้อหาสาระที่
เรียนพร้อมท้ังนาเสนอหน้าช้ันเรียนโดยผู้สอนเป็นผู้
สมุ่ เรียก 11. ผ้เู รียนจับกลุ่มและสง่ ตวั แทนนาเสนอ
1๒. ผู้สอนสุ่มเรียกตัวแทนผเู้ รยี นแต่ละกลุ่ม ออกมา
ยกตัวอยา่ งเอกสารการรับ-ส่งสนิ คา้
12. ผู้เรียนแต่ละกลุ่มส่งตัวแทนจับฉลากเพ่ือ
นาเสนอหน้าชั้นเรยี น 1 หัวขอ้
68
ขน้ั สรุป (๑ ชวั่ โมง)
1๓. ผู้สอนและผู้เรียนช่วยกันสรุปในหัวข้อที่ 13. ผู้เรียนรับฟังคาสรุปและข้อเสนอแนะจากผู้สอน
นักศึกษานาเสนอพร้อมทั้งอธิบายเพิ่มเติมและสรุป พร้อมท้ังจดบันทึกข้อมูลซักถามหรือตอบคาถาม
เน้ือหาตามจุดประสงค์และเนื้อหาสาระการเรียนรู้ แสดงความคิดเห็นในหัวข้อท่ียังไม่เข้าใจ พร้อมท้ัง
พร้อมทั้งแนะนะหรือบอกแหล่งการหาข้อมูลจาก ส่งเสริมให้ผู้เรียนรู้จักการใช้เวลาว่างให้เกิด
อินเตอร์เน็ต เพ่ือผู้เรียนจะได้ศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติม ประโยชน์โดยการศึกษาข้อมูลทางอินเตอร์เน็ตเพ่ือ
ได้ เป็นการฝึกใช้ระบบอิเล็คทรอนิกส์และเป็นการ
หา่ งไกลจากยาเสพตดิ และเกมส์ต่าง ๆ
1๔. ผู้สอนให้ผ้เู รียนทาแบบทดสอบหลงั เรยี น พร้อม 14. ผู้เรียนทาแบบทดสอบหลังเรียน และนาส่ง
ทง้ั ตรวจงานสมดุ ผู้สอน
6. สื่อการเรียน-การสอนและแหลง่ เรียนรู้
1. ส่ือสิ่งพมิ พ์
1.1 หนงั สือเรยี นวชิ า กฎหมายแรงงาน บริษทั สานักพิมพ์เอมพนั ธ์ จากัด
๑.๒ กิจกรรมส่งเสริมคณุ ธรรมนาความรู้
1.3 แบบประเมินผลการเรยี นรู้ หน่วยท่ี 5
2. โสตทัศน์
๒.๑ -
3. หนุ่ จาลอง/ของจริง
-
4. ส่อื …………………………………………………………..
๔.๑ อนิ เทอร์เน็ตและเทคโนโลยี
7. แหล่งการเรียนการสอน/การเรียนรู้
7.1 ในสถานศึกษา
- หอ้ งสมุด
- อินเตอรเ์ น็ต
7.2 นอกสถานศกึ ษา
- อนิ เตอรเ์ นต็
- หอ้ งสมุด ประชาชน
69
8. กจิ กรรมเสนอแนะ/งานท่ีมอบหมาย (ถา้ มี)
ก่อนเรียน
1. ตรวจรายช่อื ตรวจเคร่ืองมือ และการแตง่ กาย
2. ตงั้ กตกิ าในการเรียน
3. อบรมคณุ ธรรม จรยิ ธรรม
ขณะเรยี น
1. ศกึ ษาค้นควา้
๒. กิจกรรมส่งเสรมิ คุณธรรมนาความรู้
๓. สรุปความรู้
หลังเรียน
1. ทาแบบประเมนิ ผลการเรียนรู้ หน่วยท่ี 5
2. ถาม-ตอบขอ้ สงสัย
๓. สรุปเนอ้ื หาและศึกษาเนื้อหาในเร่อื งต่อไป
๔. ทาความสะอาดห้องเรียน
๙. เอกสารอา้ งอิง
-
๑๐. การบรู ณาการ/ความสัมพนั ธ์กับรายวิชาอ่ืน
- กฎหมายพาณชิ ย์
- เศรษฐกิจพอเพียง
๑๑. รายละเอยี ดการประเมินผลการเรยี น
จุดประสงคข์ ้อท่ี ๑ สามารถอธิบายความหมายของคาวา่ คา่ จ้าง ค่าลว่ งเวลา และค่าชดเชยได้
1. วิธกี ารประเมนิ : ประเมนิ ผลการเรยี นรู้
2. เครอื่ งการประเมิน : แบบประเมินผลการเรยี นรู้
3. เกณฑ์การประเมนิ : อธิบายความหมายของคาวา่ ค่าจา้ ง คา่ ล่วงเวลา และค่าชดเชย
4. เกณฑ์การผา่ น : ผา่ นระดับร้อยละ ๕0
จุดประสงค์ข้อท่ี ๒ อธบิ ายค่าจา้ งทางานปกติ คา่ จ้างทางานในวนั หยดุ คา่ จา้ งทางาน
ลว่ งเวลาได้
1. วธิ ีการประเมนิ : ประเมินผลการเรียนรู้
2. เครอื่ งการประเมิน : แบบประเมนิ ผลการเรียนรู้
3. เกณฑ์การประเมนิ : อธิบายคา่ จา้ งทางานปกติ ค่าจ้างทางานในวนั หยดุ ค่าจ้าง
ทางานลว่ งเวลา
4. เกณฑ์การผ่าน : ผา่ นระดับรอ้ ยละ ๕0
70
จดุ ประสงคข์ ้อที่ ๓ อธิบายการจ่ายคา่ ชดเชย การจา่ ยคา่ ชดเชยพิเศษ คา่ จ้างทางานลว่ งเวลาได้
1. วธิ กี ารประเมนิ : ประเมินผลการเรียนรู้
2. เคร่อื งการประเมิน : แบบประเมนิ ผลการเรียนรู้
3. เกณฑ์การประเมนิ : อธบิ ายการจ่ายคา่ ชดเชย การจ่ายค่าชดเชยพิเศษ ค่าจา้ ง
ทางานลว่ งเวลา
4. เกณฑ์การผ่าน : ผ่านระดบั รอ้ ยละ ๕0
จุดประสงค์ข้อท่ี ๔ สามารถนาความรทู้ ศี่ ึกษาไปแก้ปญั หาในการดารงชพี ประจาวนั และในงานอาชีพ
ธรุ กิจได้
1. วิธกี ารประเมิน : กิจกรรมส่งเสริมคณุ ธรรมนาความรู้
2. เครื่องการประเมนิ : แบบประเมนิ กิจกรรมสง่ เสรมิ คุณธรรมนาความรู้
3. เกณฑ์การประเมนิ : สามารถนาความรู้ทีศ่ ึกษาไปแกป้ ญั หาในการดารงชีพประจาวนั
และในงานอาชีพธุรกจิ
4. เกณฑ์การผ่าน : ผ่านระดบั รอ้ ยละ ๕0
71
กิจกรรมสง่ เสริมคุณธรรมนาความรู้
คาชี้แจง ใหน้ ักเรียนอา่ นบทความต่อไปน้ีแล้วอภปิ รายรว่ มกนั
กรรมของนายจ้าง (ท่ีคดโกง)
ตามท่ีข่าวต่างประเทศเคยรายงานเก่ียวกับ การโกงค่าแรงของเจ้าของร้านอาหารในเมืองแซนดเี อโกท่ี
โกงคา่ จ้างพนกั งาน สดุ ทา้ ยศาลตัดสนิ โทษจาคุกเจ้าของร้านเปน็ เวลา ๒ ปี
สื่อต่างประเทศรายงานว่าเจ้าของร้านอาหารแห่งหนึ่งในเมืองแซนดีเอโกจ่ายค่าจ้างให้แก่พนักงานใน
ครัวเพียงช่ัวโมงละ ๔ ดอลลาร์สหรัฐ และบังคับให้พนักงานทางานในช่วงพักและเวลารับประทานอาหาร
ตลอดจนหักค่าส่วนแบ่งเงินทิปจากพนักงาน และหักค่าใช้จ่ายในอัตราสูงลิบเม่ือพนักงานทาข้าวของในรา้ น
แตกเสยี หาย
แต่สุดท้ายท่ีสุดการสืบสวนของเจ้าหน้าท่ีรัฐได้เกิดขึ้น เจ้าหน้าท่ีได้เปิดโปงการโกงค่าจ้างและละมิด
สทิ ธิแรงงาน สง่ ผลใหน้ าง B (นามสมมต)ิ ถกู ตัดสนิ ลงโทษทางอาญาในคดีฉอ้ โกงค้าแรง ซงึ่ นบั เป็นคดแี รกใน
รัฐแคลฟิ อรเ์ นีย
“เราได้มอบความยุติธรรมให้กับเหล่าแรงงานท่ีถูกเอารัดเอาเปรียบซ้าแล้วซ้าเล่าจากนายจ้างที่คด
โกง” อยั การทอ้ งถิ่นกลา่ ว
(http://thaibicusa.com)
ผลเสียจากการทน่ี ายจา้ ง
ตามข้อเทจ็ จรงิ ขา้ งตน้ ไม่
ปฏิบัตติ ามกฎหมาย มี
อยา่ งไรบา้ ง
72
แบบประเมินผลการเรียน หน่วยที่ 5
เรอื่ ง คา่ จา้ ง ค่าล่วงเวลา คา่ ชดเชย
คาชแ้ี จง จงเลอื กคาตอบท่ถี ูกตอ้ งทสี่ ุดเพยี งคาตอบเดยี ว
1. เงนิ ทีน่ ายจ้างจา่ ยให้ลกู จา้ งในข้อใด เรยี กว่า ค่าจา้ ง
ก. จา่ ยให้ลกู จ้างทางานในวันและเวลาปกติ
ข. จ่ายใหล้ ูกจ้างในวันหยดุ ท่ีมสี ทิ ธิไดต้ ามกฎหมายนี้
ค. จ่ายให้ลกู จา้ งในวันลา ที่มสี ทิ ธไิ ด้ตามกฎหมายน้ี
ง. ถกู ทุกข้อ
๒. คาว่า “คา่ ทางานในวันหยุด” คือ เงนิ ทน่ี ายจา้ งจา่ ยให้ลูกจา้ งในข้อใด
ก. เพ่อื ตอบแทนการทางานในวนั หยดุ ข. เพือ่ ตอบแทนการทางานนอกเวลาในวนั ปกติ
ค. เพอ่ื ตอบแทนการทางานล่วงเวลาหลังเลิกงาน ง. ไม่มีข้อใดถูกต้อง
3. คาวา่ “คา่ ลว่ งเวลา” คอื เงินทน่ี ายจ้างจา่ ยใหล้ ูกจ้างตอบแทนการทางานในข้อใด
ก. การทางานนอกเวลาขณะพัก ข. การทางานนอกเวลาจากการทางานปกติ
ค. การทางานในวันหยุด ง. ไมม่ ขี ้อใดถกู ต้อง
4. อัตราค่าจา้ งขั้นตา่ เปน็ อตั ราค่าจ้างขนั้ ต่าสุดจ่ายใหล้ กู จ้างในข้อใด
ก. สาหรบั ลูกจา้ งทางานใน ๑ เดือน ข. สาหรบั ลูกจา้ งทางานใน ๑ วัน
ค. สาหรบั ลกู จา้ งทางานในเกณฑ์ต่า ต่อ ๑ เดือน ง. สาหรบั ลูกจา้ งทางานในเกณฑต์ ่า ต่อ ๑ วัน
5. คณะกรรมการค้าจา้ ง เพ่อื กาหนดอัตราคา่ จา้ งขั้นต่าทล่ี ูกจ้างควรไดร้ บั จะมีผ้แู ทนฝ่ายนายจ้างและฝ่าย
ลูกจ้างร่วมเป็นคณะกรรมการฝา่ ยละกี่คน
ก. ฝา่ ยละ ๒ คน ข. ฝ่ายละ ๓ คน
ค. ฝ่ายละ ๔ คน ง. ฝา่ ยละ ๕ คน
๖. การพจิ ารณาของคณะกรรมการคา่ จ้างว่าควรกาหนดอัตราค่าจ้างขน้ึ ต่าเปน็ อตั ราเท่าใด จะยดึ เอาสิ่งใดเป็น
พน้ื ฐานในการพจิ ารณา
ก. สภาพเศรษฐกิจในพืน้ ท่ีน้นั ๆ เปน็ หลัก ข. สภาพสงั คมในพน้ื ท่นี น้ั ๆ เปน็ หลัก
ค. สภาพเศรษฐกจิ และสังคมในพื้นทีน่ น้ั ๆ เป็นหลัก ง. ไมม่ ีข้อใดถกู
7. การทางานในวนั หยดุ หมายถงึ ข้อใด
ก. เลิกงานจากการทางานปกติ แลว้ ใหท้ าต่ออีก
ข. หยดุ งานวนั อาทติ ย์ แต่นายจ้างให้มาทางานในวนั อาทิตย์
ค. หยดุ งานวันอาทติ ย์ แต่ให้มาทางานในตอนเย็นของวนั อาทิตย์ ๔ ชั่วโมง
73
ง. ถูกทกุ ข้อ
8. การทางานลว่ งเวลา หมายถงึ ข้อใด
ก. เลกิ งานจากการทางานปกติ แล้วให้ทาต่ออกี ๔ ชัว่ โมง
ข. หยุดงานวนั อาทิตย์ แต่นายจา้ งใหม้ าทางานในวนั อาทติ ย์
ค. หยุดงานวนั อาทิตย์ แตใ่ หม้ าทางานในตอนเย็นของวนั อาทติ ย์ ๔ ช่วั โมง
ง. ถูกทกุ ข้อ
9. การทางานล่วงเวลาในวันหยดุ หมายถงึ ข้อใด
ก. เลกิ งานจากการทางานปกติ แลว้ ใหท้ าต่ออีก ๔ ช่วั โมง
ข. หยดุ งานวันอาทติ ย์ แต่นายจา้ งให้มาทางานในวนั อาทติ ย์
ค. หยุดงานวันอาทิตย์ แตใ่ หม้ าทางานในตอนเย็นของวันอาทิตย์ ๔ ชัว่ โมง
ง. ถกู ทุกข้อ
10. คา่ ชดเชย หมายความวา่ อย่างไร
ก. เงนิ หรือสงิ่ ของทนี่ ายจา้ งชดเชยเปน็ คา่ สนิ ไหมให้ลูกจ้าง
ข. เงนิ หรอื สิ่งของท่นี ายจา้ งชดเชยเป็นคา่ ทดแทนใหล้ ูกจ้าง
ค. เงนิ ที่นายจา้ งจา่ ยใหแ้ ก่ลกู จา้ งในการแก้ปัญหา
ง. เงนิ ที่นายจา้ งจา่ ยให้แกล่ ูกจา้ งเมื่อเลิกจา้ ง
74
เฉลยแบบประเมนิ ผลการเรียน หน่วยท่ี 5
เร่ือง คา่ จา้ ง ค่าลว่ งเวลา คา่ ชดเชย
คาชีแ้ จง จงเลือกคาตอบท่ีถกู ต้องที่สุดเพียงคาตอบเดยี ว
1. เงินทน่ี ายจา้ งจ่ายใหล้ กู จา้ งในขอ้ ใด เรยี กวา่ คา่ จ้าง
ก. จ่ายใหล้ กู จ้างทางานในวันและเวลาปกติ
ข. จ่ายให้ลกู จ้างในวนั หยดุ ทมี่ สี ทิ ธิได้ตามกฎหมายน้ี
ค. จา่ ยให้ลกู จ้างในวนั ลา ท่ีมีสิทธิไดต้ ามกฎหมายนี้
ง. ถกู ทกุ ข้อ
๒. คาวา่ “ค่าทางานในวันหยุด” คอื เงนิ ทน่ี ายจา้ งจ่ายใหล้ ูกจา้ งในข้อใด
ก. เพอื่ ตอบแทนการทางานในวันหยดุ ข. เพือ่ ตอบแทนการทางานนอกเวลาในวนั ปกติ
ค. เพื่อตอบแทนการทางานลว่ งเวลาหลังเลกิ งาน ง. ไมม่ ขี ้อใดถูกต้อง
3. คาวา่ “ค่าล่วงเวลา” คอื เงินทนี่ ายจา้ งจา่ ยใหล้ ูกจา้ งตอบแทนการทางานในข้อใด
ก. การทางานนอกเวลาขณะพัก ข. การทางานนอกเวลาจากการทางานปกติ
ค. การทางานในวนั หยดุ ง. ไม่มีข้อใดถูกต้อง
4. อตั ราคา่ จา้ งข้ันต่า เป็นอัตราคา่ จ้างขั้นต่าสุดจา่ ยใหล้ กู จ้างในข้อใด
ก. สาหรบั ลูกจ้างทางานใน ๑ เดือน ข. สาหรบั ลูกจา้ งทางานใน ๑ วัน
ค. สาหรับลกู จ้างทางานในเกณฑ์ตา่ ตอ่ ๑ เดือน ง. สาหรบั ลูกจา้ งทางานในเกณฑต์ ่า ต่อ ๑ วัน
5. คณะกรรมการคา้ จ้าง เพือ่ กาหนดอัตราคา่ จ้างข้ันต่าทลี่ ูกจา้ งควรได้รบั จะมีผ้แู ทนฝ่ายนายจ้างและฝ่าย
ลูกจ้างรว่ มเปน็ คณะกรรมการฝา่ ยละกีค่ น
ก. ฝ่ายละ ๒ คน ข. ฝา่ ยละ ๓ คน
ค. ฝา่ ยละ ๔ คน ง. ฝ่ายละ ๕ คน
๖. การพจิ ารณาของคณะกรรมการค่าจา้ งว่าควรกาหนดอตั ราค่าจ้างขนึ้ ต่าเปน็ อตั ราเท่าใด จะยดึ เอาสิ่งใดเปน็
พนื้ ฐานในการพิจารณา
ก. สภาพเศรษฐกิจในพ้ืนที่น้ันๆ เปน็ หลัก ข. สภาพสงั คมในพน้ื ท่นี น้ั ๆ เปน็ หลัก
ค. สภาพเศรษฐกจิ และสงั คมในพ้ืนที่นัน้ ๆ เป็นหลกั ง. ไมม่ ขี ้อใดถกู
7. การทางานในวันหยดุ หมายถึงข้อใด
ก. เลกิ งานจากการทางานปกติ แล้วให้ทาต่ออีก
ข. หยดุ งานวันอาทติ ย์ แต่นายจา้ งใหม้ าทางานในวนั อาทิตย์
ค. หยุดงานวนั อาทติ ย์ แตใ่ หม้ าทางานในตอนเย็นของวันอาทติ ย์ ๔ ชั่วโมง
75
ง. ถูกทกุ ข้อ
8. การทางานลว่ งเวลา หมายถงึ ข้อใด
ก. เลกิ งานจากการทางานปกติ แล้วให้ทาต่ออกี ๔ ชัว่ โมง
ข. หยุดงานวนั อาทติ ย์ แต่นายจา้ งใหม้ าทางานในวนั อาทติ ย์
ค. หยุดงานวนั อาทติ ย์ แตใ่ หม้ าทางานในตอนเย็นของวนั อาทติ ย์ ๔ ช่วั โมง
ง. ถูกทกุ ข้อ
9. การทางานล่วงเวลาในวนั หยดุ หมายถงึ ข้อใด
ก. เลกิ งานจากการทางานปกติ แลว้ ใหท้ าต่ออีก ๔ ช่วั โมง
ข. หยดุ งานวนั อาทิตย์ แต่นายจา้ งให้มาทางานในวนั อาทติ ย์
ค. หยุดงานวันอาทติ ย์ แตใ่ หม้ าทางานในตอนเย็นของวันอาทิตย์ ๔ ชัว่ โมง
ง. ถกู ทุกข้อ
10. คา่ ชดเชย หมายความวา่ อย่างไร
ก. เงนิ หรือสงิ่ ของทน่ี ายจา้ งชดเชยเปน็ คา่ สนิ ไหมให้ลูกจ้าง
ข. เงนิ หรอื สิ่งของทนี่ ายจา้ งชดเชยเป็นคา่ ทดแทนใหล้ ูกจ้าง
ค. เงนิ ท่นี ายจา้ งจา่ ยใหแ้ ก่ลกู จา้ งในการแก้ปัญหา
ง. เงนิ ทีน่ ายจา้ งจา่ ยใหแ้ กล่ ูกจา้ งเมื่อเลิกจา้ ง
76
แบบฝกึ หดั
เรื่อง เรอ่ื ง ค่าจา้ ง คา่ ล่วงเวลา คา่ ชดเชย
คาช้แี จง จงตอบคาถามต่อไปนีต้ ามหลกั กฎหมาย
๑. ลกู จ้างมีสิทธไิ ดร้ บั ค่าจ้างในวันหยดุ อยา่ งไรบ้าง
………………………………………………………………………………………………………………………………………..…………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………..……………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………..………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
……………………………………………………………………………………………………………………………………..……………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………..…………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
……………………………………………………………………………………………………………………………………………..……………
2. ในการทางานล่วงเวลานายจา้ งจะต้องปฎิบัติตอ่ ลูกจ้างอยา่ งไรบา้ ง
……………………………………………………………………………………………………………………………………..……………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………..……………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………..…………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
……………………………………………………………………………………………………………………………………………..……………
………………………………………………………………………………………………………………………………………..…………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
……………………………………………………………………………………………………………………………………………..……………
3. กรณที นี่ ายจ้างไม่ต้องจา่ ยค่าชดเชยนนั้ เกดิ จากสาเหตุใด
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
77
เฉลยแบบฝึกหัด
เร่อื ง เรือ่ ง คา่ จ้าง ค่าล่วงเวลา คา่ ชดเชย
คาชี้แจง จงตอบคาถามต่อไปนี้ตามหลกั กฎหมาย
๑. ลูกจ้างมีสทิ ธไิ ดร้ ับคา่ จ้างในวนั หยุดอย่างไรบา้ ง
ตอบ ค่าทางานในวันหยุด คือ เงินท่ีนายจ้างจ่ายให้แก่ลูกจ้างเป็นการตอบแทนการทางานในวันหยุดและ
กรณีนายจ้างให้ลูกจ้างทางานในวันหยุดให้นายจ้างจ่ายค่าจ้างทางานในวันหยุดให้แก่ลูกจ้างตามอัตราที่
กฎหมายกาหนดแบง่ เป็น ๒ กรณี ดงั น้ี
๑. สาหรับลกู จา้ งมีสิทธไิ ด้รบั คา่ จ้างในวนั หยุด กรณลี ูกจ้างมสี ทิ ธไิ ดร้ ับค่าจา้ งในวันหยุดอยู่แล้วให้
เพ่ิมขึ้นจากปกติอีกไม่น้อยกว่าหนึ่งเท่าของอัตราค้าจ้างต่อชั่วโมงในวันทางานตามจานวนชั่วโมงที่ทา
หรือไม่นอ้ ยกวา่ หน่ึงเทา่ ของอตั ราค่าจา้ งต่อหน่วยในวันทางานต่อวันตามจานวนผลงานที่ทาได้
๒. สาหรับลูกจ้างไม่มีสิทธิได้รับค่าจ้างในวันหยุด กรณีลูกจ้างไม่มีสิทธิได้รับค่าจ้างทางานใน
วันหยุดให้นายจ้างจ่ายค้าจ้างไม่น้อยกว่าสองเท่าของอัตราค่าจ้างต่อช่ัวโมงในวันทางานตามชั่วโมงท่ีทา
หรอื ไมน่ อ้ ยกวา่ สองเทา่ ของอัตราค่าจา้ งต่อหน่วยในวันทางานต่อวนั ตามจานวนผลงานท่ที าได้
2. ในการทางานลว่ งเวลานายจ้างจะต้องปฎิบัตติ อ่ ลูกจา้ งอย่างไรบา้ ง
ตอบ ในการทางานล่วงเวลา การทางานนอกหรือเกินกว่าเวลาทางานปกติหรือเกินชั่วโมงทางานในแต่ละ
วันท่ีนายจ้างลูกจ้างตกลงกัน การทางานล่วงเวลามีได้ท้ังวันทางานปกติและเวลาในวันหยุด การทางาน
ล่วงเวลานายจา้ งและลกู จา้ งจะต้องตกลงกนั และต้องไดร้ ับความยนิ ยอมจากลกู จ้างทุกครั้ง
3. กรณที ่ีนายจา้ งไมต่ ้องจา่ ยค่าชดเชยนนั้ เกิดจากสาเหตุใด
ตอบ กรณที ีน่ ายจา้ งไม่จา่ ยค่าชดเชยให้แกล่ กู จ้างหากการเลิกจา้ งนน้ั มีสาเหตมุ าจากตัวลกู จา้ ง ในกรณี
ต่อไปน้ี
1. ลกู จา้ งทจุ ริตต่อหน้าทหี่ รือการกระทาความผดิ ทางอาญาโดยเจตนาตอ่ นายจา้ ง
2. จงใจทาใหน้ ายจ้างได้รบั ความเสยี หาย ปล่อยปละละเลยไมร่ ักษาทรพั ย์สนิ ของนายจา้ ง
3. ประมาณเลนิ เลอ่ เปน็ เหตใุ ห้นายจา้ งไดร้ ับความเสียหายอย่างรา้ ยแรง
4. ฝ่าฝืนข้อบังคบั เกยี่ วกับการทางาน ฝ่าฝืนระเบยี บหรอื คาสง่ั ของนายจา้ งอันชอบด้วยกฎหมาย
และเปน็ ธรรม และนายจ้างตักเตือนเป็นหนงั สอื แล้ว
5. ละทิ้งหน้าทีเ่ ป็นเวลา ๓ วันทางานตดิ ตอ่ กนั ขึน้ ไป ไมว่ า่ จะมีวนั หยดุ ค่นั หรือไม่กต็ าม โดยไมม่ ี
เหตุอนั ควร ซ่ึงเหตอุ นั ควรหรือไม่มีน้ีเป็นดลุ ยพินจิ ของนายจ้าง
6. ไดร้ ับโทษจาคกุ ตามคาพพิ ากษาถึงที่สดุ ใหจ้ าคุก เว้นแตโ่ ทษสาหรบั ความผดิ ท่ีได้กระทาโดย
ประมาท หรือความผิดลหโุ ทษ
78
บนั ทกึ หลังการสอนคร้ังที.่ .........
รายวชิ า..................................................................................รหสั วชิ า......................................หน่วยการเรยี นท่ี ………………………………
ช่ือหนว่ ยการเรยี น ...………..………………………..………………………....จานวนช่วั โมง……………….… กลุ่มเรียน ............................................
จานวนผเู้ รียน...................คน. เม่ือวนั ท…่ี …………………………………. เรอ่ื งทีส่ อน………….………...................…………………..…………………
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
1. กิจกรรมการเรยี นการสอน (สามารถระบไุ ด้หลายหวั ข้อตามที่ปฏบิ ัตจิ รงิ โดยใช้เครื่องหมาย
1.1 วธิ กี ารสอน
บรรยาย สาธิต ทดลอง ปฏิบัติ กจิ กรรมกลมุ่
การนาเสนอผลงาน อ่ืนๆ (ระบุ)……………..………………….......................................
1.2 สอ่ื การเรยี นการสอน
โปรแกรมนาเสนอ ใบความรู้ ใบงาน ขอ้ สอบ วดี ิทศั น์
แบบประเมิน เวบ็ ไซต์ อืน่ ๆ (ระบุ).............………….……………..…………..
2. ผลการดาเนินกจิ กรรมการเรียนการสอน
2.1 ดา้ นผ้สู อน
สอนตามแผนการเรียนครบตามเนอ้ื หา สอนตามแผนการเรยี น ไม่ครบตามเนอ้ื หา
เน้ือหาการสอนเหมาะสมกบั เวลา เน้อื หาการสอนไมเ่ หมาะสมกับเวลา
2.2 ด้านผูเ้ รยี น
มีความสนใจในการเรียน มคี วามสุขในการเรยี น
มีการพัฒนาด้านการเรยี น มีความรู้ และทกั ษะวชิ าชีพ อ่นื ๆ (ระบุ)……………..…
2.3 ด้านคุณลกั ษณะที่พงึ ประสงค์
มีความรบั ผิดชอบ มีระเบยี บวินยั มคี วามรกั สามัคคี มมี นษุ ยสมั พันธ์
มคี วามอดทน มีความซอ่ื สตั ย์ มคี วามเชอ่ื มน่ั ในตนเอง มคี วามประหยดั
มีความกตญั ญู อ่ืนๆ (ระบุ).............................................................................
2.4 ดา้ นการวัดและประเมินผล มี ไม่มี (ไม่ต้องตอบข้อ 3.)
ถาม ตอบเป็นรายบุคคล รายกลุ่ม สอบภาคปฏบิ ตั ิ สอบภาคทฤษฎี
แบบบันทกึ แบบสังเกต อ่นื ๆ(ระบุ)....................................
3. ผลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี น
ผา่ นเกณฑ์ ……… คน คดิ เปน็ ร้อยละ …… ไมผ่ า่ นเกณฑ์ ……… คน คดิ เปน็ ร้อยละ …………
4. ปญั หาอุปสรรคท่เี กิดขึ้นระหวา่ งการเรียนการสอน
………………………………………………………………………………………………………………………………………...…………………………………………………………….
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..…………………………………..
5. แนวทางการแก้ไขปัญหาของครผู ู้สอน (เพ่อื เปน็ แนวทางในการทาวิจัยในชนั้ เรียน)
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………….………………………………………………..
ลงชอื่ ........................................ครูผสู้ อน ลงชือ่ ..................................... หัวหนา้ แผนก
(......................................... )…./....../...... (...........................................)…../....../........
79
แผนการจดั การเรียนรู้ หน่วยท่ี ๖
วชิ า กฎหมายแรงงาน (๒๐๐๐๑-๑๐๐๔) สอนคร้ังที่ 12-13
ชอ่ื หน่วย : หลักกฎหมายแรงงานสัมพันธ์ จานวน ๒ ชว่ั โมง
1. สาระสาคญั
กฎหมายว่าด้วยแรงงานสัมพันธ์ เป็นกฎหมายท่ีกาหนดแนวทางปฏิบัติต่อกันระหว่างบุคคลสองฝ่าย
คือ ฝ่ายนายจ้างและฝ่ายลูกจ้าง เพอ่ื ใหบ้ ุคคลท้ังสองฝ่ายได้มีความเขา้ ใจอนั ดตี ่อกนั สามารถตกลงในเร่ืองสิทธิ
หน้าท่ี และผลประโยชน์ในการทางานร่วมกันได้รวมทั้งกาหนดวิธีการระงับข้อขัดแย้งหรือข้อพิพาทแรงงานที่
เกิดขึ้นให้ยุติลงโดยรวดเร็ว ท้ังน้ีเพื่อให้เกิดความสงบสขุ ในสถานประกอบกิจการ ซ่ึงจะส่งผลถึงเศรษฐกิจและ
ความม่ันคงของประเทศ
2. สมรรถนะประจาหนว่ ยการเรียนรู้
2.1 อธบิ ายหลกั กฎหมายและวตั ถปุ ระสงค์การใชก้ ฎหมายแรงงานสัมพันธ์
2.2 เข้าใจสภาพการจ้างและอธบิ ายสภาพการจา้ ง
2.3 อธิบายเหตุผลความสาคัญในการจัดตั้งองค์การฝ่ายนายจ้างและฝ่ายลกู จ้าง
2.4 อธบิ ายหน้าที่ขององค์การฝ่ายนายจา้ งและฝา่ ยลูกจ้างแตล่ ะระดับ
2.5 เขา้ ใจและอธิบายขน้ั ตอน วิธีการแจง้ ขอ้ เรียกรอ้ งเกี่ยวกบั สภาพการจา้ ง
2.6 อธบิ ายองคก์ ารเกย่ี วกับการระงับข้อพิพาทได้วา่ มีองคก์ รใดบ้าง
2.7 อธิบายของพนักงานประนอมข้อพิพาทและหน้าท่ีแตล่ ะระดบั
2.8 อธบิ ายการตงั้ ผชู้ ้ขี าดขอ้ พพิ าทแรงงานได้วา่ เปน็ หนา้ ท่ีของฝา่ ยใด
2.9 อธิบายขั้นตอนการระงับข้อพิพาทแรงงานไดว้ ่ามีกข่ี นั ตอนและจะต้องดาเนินการอย่างไร
2.10 อธิบายการใชม้ าตรการทางกฎหมายแรงงานสัมพันธ์วา่ เปน็ มาตรการหนึง่ ท่ลี กู จา้ ง-นายจ้าง
สามารถนามาใช้ไดใ้ นกรณใี ดบา้ ง
2.11 สามารถนาความรทู้ ศี่ ึกษาไปแก้ปัญหาในการดารงชีวิตประจาวนั และในงานอาชีพธุรกิจ
3. จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้/การเรียนรู้
3.1 จดุ ประสงค์ท่ัวไป
3.1.1 รู้และเขา้ ใจลักษณะท่ัวไปของกฎหมายและวัตถุประสงค์การใช้กฎหมายแรงงาน
สมั พันธ์
3.1.2 รู้และเขา้ ใจสภาพการจ้าง
3.1.3 ร้เู หตผุ ลความสาคญั ในการจัดตงั้ องค์การฝ่ายนายจ้างและฝา่ ยลกู จ้าง
3.1.4 รู้และเข้าใจหน้าท่ีขององคก์ ารฝ่ายนายจ้างและฝ่ายลูกจ้างแต่ละระดับ
80
3.1.5 รู้และเขา้ ใจขน้ั ตอน วิธีการแจ้งข้อเรียกร้องเกี่ยวกบั สภาพการจา้ ง
3.1.6 รแู้ ละเขา้ ใจองค์การเก่ยี วกับการระงับข้อพิพาท
3.1.7 รแู้ ละเขา้ ใจหน้าท่ีของพนักงานประนอมข้อพิพาทในแตล่ ะระดบั
3.1.8 รแู้ ละเข้าใจการตง้ั ผชู้ ้ีขาดข้อพพิ าทแรงงาน
3.1.9 รูแ้ ละเขา้ ใจขัน้ ตอนการระงับข้อพิพาทแรงงาน
3.1.10 รแู้ ละเข้าใจการใช้มาตรการทางกฎหมายแรงงานสัมพนั ธ์
3.2 จุดประสงค์เชิงพฤตกิ รรม
3.2.1 อธิบายหลักกฎหมายและวตั ถุประสงคก์ ารใช้กฎหมายแรงงานสมั พันธ์ได้
3.2.2 อธบิ ายสภาพการจ้างได้
3.2.3 อธิบายเหตผุ ลความสาคัญในการจัดตง้ั องค์การฝา่ ยนายจ้างและฝา่ ยลูกจ้างได้
3.2.4 อธบิ ายหนา้ ทข่ี ององค์การฝ่ายนายจ้างและฝา่ ยลูกจา้ งแตล่ ะระดับ
3.2.5 อธิบายขัน้ ตอน วิธีการแจง้ ข้อเรียกร้องเก่ยี วกับสภาพการจา้ งได้
3.2.6 อธิบายองคก์ ารเกี่ยวกับการระงับข้อพิพาทได้ว่ามีองคก์ รใดบ้าง
3.2.7 อธบิ ายของพนักงานประนอมข้อพิพาทและหนา้ ที่แต่ละระดบั ได้
3.2.8 อธบิ ายการตั้งผู้ช้ขี าดข้อพิพาทแรงงานไดว้ ่าเป็นหน้าท่ขี องฝา่ ยใด
3.2.9 อธบิ ายข้ันตอนการระงับขอ้ พิพาทแรงงานไดว้ ่ามีกี่ขันตอนและจะต้องดาเนินการ
อยา่ งไร
3.2.10 อธิบายการใช้มาตรการทางกฎหมายแรงงานสัมพันธ์ว่าเป็นมาตรการหน่งึ ทล่ี ูกจ้าง-
นายจ้างสามารถนามาใช้ได้ในกรณีใดบา้ ง
3.2.11 สามารถนาความรูท้ ่ศี ึกษาไปแก้ปัญหาในการดารงชีวิตประจาวนั และในงานอาชพี
ธรุ กจิ ได้
4. เนื้อหาสาระการสอน/การเรยี นรู้
4.1 ลกั ษณะทั่วไปของกฎหมำยแรงงำนสมั พันธ์
4.2 วัตถปุ ระสงค์ของกฎหมำยแรงงำนสมั พันธ์
4.3 สภำพกำรจำ้ ง
4.4 องค์กำรฝ่ำยนำยจำ้ ง
4.5 องค์กำรฝ่ำยลูกจำ้ ง
4.๖ การแจ้งข้อเรยี กร้องเกย่ี วกับสภาพการจ้าง
4.๗ องคก์ รเกี่ยวข้องการระงับข้อพิพาท
4.8 คณะกรรมการลกู จ้าง
4.9 พนกั งานประนอมขอ้ พิพาทแรงงาน
4.10 ผู้ชข้ี าดข้อพิพาทแรงงาน
81
4.11 คณะกรรมการแรงงำนสัมพันธ์
4.12 ข้ันตอนการระงับข้อพิพาทแรงงาน
5. กิจกรรมการเรียนการสอน
กจิ กรรมผู้เรยี น กจิ กรรมผ้เู รยี น
ขน้ั เตรยี มกิจกรรม (๑ ช่วั โมง)
1. ผู้สอนช้ีแจงรายละเอียดเก่ียวกับจุดประสงค์ 1. ผู้เรยี นเตรยี มอปุ กรณก์ ารเรยี น
สมรรถนะและคาอธิบายรายวิชา การวัดผลและ
ประเมินผลการเรียน คุณลักษณะนิสัยท่ีต้องการให้
เกิดขึน้
2. ตรวจสอบรายชอื่ ตรวจการแต่งกาย และข้อตกลง 2. ผู้เรียนทาความเข้าใจและจดบันทึกรายละเอียด
ในการเรียน เกีย่ วกบั การเรยี น
๓. แนะนาตัวทาความรู้จักระหว่างผู้สอนและผู้เรียน 3. รับฟังและยอมรับเหตุผล แล้วนาไปปฏิบัติการ
เรียน แก้ไขในพฤติกรรมท่ีไมถ่ ูกต้อง
๔. ต้ังกติกาในการเข้าเรียนการตรียมความพร้อม ๔. ผ้เู รียนแนะนาตัวเองให้กบั เพอื่ นๆ และครูผ้สู อน
ของผู้เรียนเพ่ือเข้าสู่สาระการเรียนรู้ โดยการเตรียม
วัสดุอุปกรณ์ หนังสือ เอกสารการสอน สมุด
แบบทดสอบกอ่ นและหลงั เรยี น
ขน้ั นาเขา้ สู่บทเรยี น (๑ ชวั่ โมง)
๕. ช้แี จงจุดประสงค์ของการเรียนรู้เร่ือง ววิ ัฒนาการ 5. ผู้เรียนเตรียมความพร้อม โดยมี สมุด หนังสือ
ของการขาย ความหมายของการขายและหน้าท่ี หรอื เอกสารการเรียนรู้
ทางการขาย ความหมายของการตลาดและหน้าท่ี
ทางการตลาด ความสาคัญของการขายและ
การตลาด
๖. ช้ีให้เห็นความสาคัญของวิวัฒนาการของการขาย 6. จดบันทึกลงในสมุด และผู้เรียนจับกลุ่ม 5 คน
ความหมายของการขายและหน้าท่ีทางการขาย และคิดหาตวั แทนไวน้ าเสนอหน้าชน้ั เรียน
ความหมายของการตลาดและหน้าที่ทางการตลาด
ความสาคัญของการขายและการตลาด ท่ีมีใช้ใน
ชวี ิตประจาวนั ของผู้เรียน
๗. ผู้สอนนาเข้าสู่บทเรียนด้วยการซักถาม และ 7. จดบันทึกจดุ ประสงค์การเรียนรูล้ งสมดุ
สนทนากับนักศึกษาดังนี้วิวัฒนาการของการขาย วิวัฒนาการของการขาย ความหมายของการขาย
ความหมายของการขายและหน้าที่ทางการขาย และหน้าท่ีทางการขาย ความหมายของการตลาด
82
ความหมายของการตลาดและหน้าที่ทางการตลาด และหน้าท่ีทางการตลาด ความสาคัญของการขาย
ความสาคญั ของการขายและการตลาด และการตลาด
๘. ผู้สอนให้ผู้เรียนทาแบบทดสอบก่อนเรียน เร่ือง 8. ผ้เู รยี นทาแบบฝกึ หัดกอ่ นเรียนเร่ือง
ศึกษา วิวัฒนาการของการขาย ความหมายของการ วิวัฒนาการของการขาย ความหมายของการขาย
ขายและหน้าที่ทางการขาย ความหมายของ และหน้าที่ทางการขาย ความหมายของการตลาด
การตลาดและหน้าท่ีทางการตลาด ความสาคัญของ และหน้าท่ีทางการตลาด ความสาคัญของการขาย
การขายและการตลาด แล้วให้ผู้เรียนสลับกันตรวจ และการตลาด แล้วสลับกันตรวจแบบฝึกหัดก่อน
โดยฟงั เฉลยจากผู้สอนพร้อมกัน เรยี น
ขน้ั ดาเนินการสอน (2 ชวั่ โมง)
๙. ผู้สอนอธิบายเนื้อหาตามหัวข้อ วิวัฒนาการของ 9. ตัง้ ใจฟังและจดบนั ทกึ เนอ้ื หาท่สี าคญั ลงสมดุ
การขาย ความหมายของการขายและหน้าท่ีทางการ
ขาย ความหมายของการตลาดและหน้าท่ีทางการ
ตลาด ความสาคญั ของการขายและการตลาด
๑๐. ผู้สอนบรรยายหน้าช้ันเรียนและยกตัวอย่าง
ประกอบ เก่ียวกับวิวัฒนาการของการ ขาย 10. ฟังบรรยายอยา่ งตงั้ ใจ
ความหมายของการขายและหน้าท่ีทางการขาย
ความหมายของการตลาดและหน้าที่ทางการตลาด
ความสาคญั ของการขายและการตลาด
๑๑. ผู้สอนให้ผู้เรียนแบ่งกลุ่ม สรุปเน้ือหาสาระที่
เรียนพร้อมท้ังนาเสนอหน้าช้ันเรียนโดยผู้สอนเป็นผู้
สุ่มเรียก 11. ผู้เรียนจบั กล่มุ และส่งตวั แทนนาเสนอ
1๒. ผู้สอนสุ่มเรียกตัวแทนผูเ้ รียนแต่ละกลมุ่ ออกมา
ยกตวั อย่างเอกสารการรับ-ส่งสินค้า
12. ผู้เรียนแต่ละกลุ่มส่งตัวแทนจับฉลากเพื่อ
นาเสนอหน้าชัน้ เรยี น 1 หัวข้อ
83
ขน้ั สรุป (๑ ชวั่ โมง)
1๓. ผู้สอนและผู้เรียนช่วยกันสรุปในหัวข้อที่ 13. ผู้เรียนรับฟังคาสรุปและข้อเสนอแนะจากผู้สอน
นักศึกษานาเสนอพร้อมทั้งอธิบายเพิ่มเติมและสรุป พร้อมท้ังจดบันทึกข้อมูลซักถามหรือตอบคาถาม
เน้ือหาตามจุดประสงค์และเนื้อหาสาระการเรียนรู้ แสดงความคิดเห็นในหัวข้อท่ียังไม่เข้าใจ พร้อมท้ัง
พร้อมทั้งแนะนะหรือบอกแหล่งการหาข้อมูลจาก ส่งเสริมให้ผู้เรียนรู้จักการใช้เวลาว่างให้เกิด
อินเตอร์เน็ต เพ่ือผู้เรียนจะได้ศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติม ประโยชน์โดยการศึกษาข้อมูลทางอินเตอร์เน็ตเพ่ือ
ได้ เป็นการฝึกใช้ระบบอิเล็คทรอนิกส์และเป็นการ
หา่ งไกลจากยาเสพตดิ และเกมส์ต่าง ๆ
1๔. ผู้สอนให้ผ้เู รียนทาแบบทดสอบหลงั เรยี น พร้อม 14. ผู้เรียนทาแบบทดสอบหลังเรียน และนาส่ง
ทง้ั ตรวจงานสมดุ ผู้สอน
6. สื่อการเรียน-การสอนและแหลง่ เรียนรู้
1. ส่ือสิ่งพมิ พ์
1.1 หนงั สือเรยี นวชิ า กฎหมายแรงงาน บริษทั สานักพิมพ์เอมพนั ธ์ จากัด
๑.๒ กิจกรรมส่งเสริมคณุ ธรรมนาความรู้
1.3 แบบประเมินผลการเรยี นรู้ หน่วยท่ี 6
2. โสตทัศน์
๒.๑ -
3. หนุ่ จาลอง/ของจริง
-
4. ส่อื …………………………………………………………..
๔.๑ อนิ เทอร์เน็ตและเทคโนโลยี
7. แหล่งการเรียนการสอน/การเรียนรู้
7.1 ในสถานศึกษา
- หอ้ งสมุด
- อินเตอรเ์ น็ต
7.2 นอกสถานศกึ ษา
- อนิ เตอรเ์ นต็
- หอ้ งสมุด ประชาชน
84
8. กจิ กรรมเสนอแนะ/งานที่มอบหมาย (ถา้ มี)
กอ่ นเรียน
1. ตรวจรายชื่อ ตรวจเคร่ืองมือ และการแตง่ กาย
2. ตง้ั กตกิ าในการเรยี น
3. อบรมคณุ ธรรม จรยิ ธรรม
ขณะเรยี น
1. ศกึ ษาค้นคว้า
๒. กิจกรรมส่งเสรมิ คณุ ธรรมนาความรู้
๓. สรปุ ความรู้
หลังเรยี น
1. ทาแบบประเมินผลการเรยี นรู้ หนว่ ยท่ี 6
2. ถาม-ตอบขอ้ สงสัย
๓. สรุปเน้อื หาและศึกษาเน้ือหาในเร่ืองต่อไป
๔. ทาความสะอาดห้องเรยี น
๙. เอกสารอา้ งอิง
-
๑๐. การบูรณาการ/ความสมั พันธก์ ับรายวิชาอนื่
- กฎหมายพาณชิ ย์
- เศรษฐกิจพอเพยี ง
๑๑. รายละเอยี ดการประเมินผลการเรียน
จดุ ประสงคข์ ้อท่ี ๑ อธิบายหลักกฎหมายและวตั ถุประสงค์การใชก้ ฎหมายแรงงานสัมพันธ์ได้
1. วธิ ีการประเมนิ : ประเมินผลการเรยี นรู้
2. เครื่องการประเมนิ : แบบประเมนิ ผลการเรียนรู้
3. เกณฑ์การประเมนิ : อธิบายหลักกฎหมายและวัตถุประสงคก์ ารใช้กฎหมายแรงงาน
สัมพนั ธ์
4. เกณฑ์การผ่าน : ผ่านระดบั ร้อยละ ๕0
จดุ ประสงคข์ ้อท่ี ๒ อธิบายสภาพการจ้างได้
1. วธิ ีการประเมนิ : ประเมนิ ผลการเรียนรู้
2. เครื่องการประเมนิ : แบบประเมินผลการเรียนรู้
3. เกณฑ์การประเมนิ : อธิบายสภาพการจา้ ง
4. เกณฑ์การผา่ น : ผ่านระดบั ร้อยละ ๕0
85
จดุ ประสงค์ข้อท่ี ๓ อธบิ ายเหตผุ ลความสาคัญในการจดั ต้ังองค์การฝา่ ยนายจ้างและฝา่ ยลูกจ้างได้
1. วธิ กี ารประเมิน : ประเมนิ ผลการเรียนรู้
2. เครอ่ื งการประเมนิ : แบบประเมนิ ผลการเรียนรู้
3. เกณฑ์การประเมนิ : อธิบายเหตุผลความสาคญั ในการจัดตัง้ องค์การฝา่ ยนายจา้ ง
และฝ่ายลกู จ้าง
4. เกณฑ์การผ่าน : ผา่ นระดบั รอ้ ยละ ๕0
จุดประสงคข์ ้อท่ี 4 อธิบายหนา้ ที่ขององค์การฝา่ ยนายจา้ งและฝา่ ยลกู จา้ งแตล่ ะระดบั ได้
1. วิธกี ารประเมิน : ประเมินผลการเรียนรู้
2. เครอื่ งการประเมิน : แบบประเมนิ ผลการเรียนรู้
3. เกณฑ์การประเมนิ : อธิบายหน้าที่ขององค์การฝา่ ยนายจา้ งและฝ่ายลูกจา้ งแต่ละ
ระดบั
4. เกณฑ์การผา่ น : ผ่านระดบั ร้อยละ ๕0
จดุ ประสงค์ข้อท่ี 5 อธิบายขน้ั ตอน วธิ ีการแจง้ ข้อเรยี กร้องเกีย่ วกบั สภาพการจา้ งได้
1. วิธีการประเมนิ : ประเมนิ ผลการเรียนรู้
2. เครอ่ื งการประเมนิ : แบบประเมินผลการเรียนรู้
3. เกณฑ์การประเมนิ : อธิบายข้นั ตอน วิธีการแจง้ ขอ้ เรียกร้องเกย่ี วกับสภาพการจ้าง
4. เกณฑ์การผ่าน : ผา่ นระดบั ร้อยละ ๕0
จุดประสงค์ข้อที่ 6 อธิบายองคก์ ารเกย่ี วกบั การระงับข้อพิพาทได้วา่ มีองค์กรใดบา้ งได้
1. วธิ กี ารประเมนิ : ประเมินผลการเรยี นรู้
2. เครือ่ งการประเมนิ : แบบประเมินผลการเรยี นรู้
3. เกณฑ์การประเมนิ : อธบิ ายองค์การเก่ียวกบั การระงบั ข้อพิพาท
4. เกณฑ์การผ่าน : ผ่านระดับรอ้ ยละ ๕0
จดุ ประสงค์ข้อท่ี 7 อธบิ ายของพนักงานประนอมข้อพิพาทและหนา้ ท่ีแต่ละระดับได้
1. วิธีการประเมนิ : ประเมินผลการเรยี นรู้
2. เคร่ืองการประเมิน : แบบประเมนิ ผลการเรยี นรู้
3. เกณฑ์การประเมิน : อธิบายของพนักงานประนอมข้อพพิ าทและหน้าทแ่ี ตล่ ะระดับ
4. เกณฑ์การผ่าน : ผา่ นระดับร้อยละ ๕0
จุดประสงค์ข้อท่ี 8 อธิบายการต้ังผู้ชีข้ าดข้อพิพาทแรงงานไดว้ ่าเปน็ หน้าที่ของฝ่ายใดได้
1. วธิ ีการประเมิน : ประเมินผลการเรยี นรู้
2. เคร่อื งการประเมิน : แบบประเมนิ ผลการเรียนรู้
3. เกณฑ์การประเมิน : อธบิ ายการต้ังผชู้ ี้ขาดข้อพิพาทแรงงาน
4. เกณฑ์การผ่าน : ผา่ นระดบั ร้อยละ ๕0
86
จุดประสงคข์ ้อที่ 9 อธิบายขนั้ ตอนการระงบั ขอ้ พพิ าทแรงงานไดว้ ่ามีกขี่ ันตอนและจะต้องดาเนินการ
อยา่ งไรได้
1. วธิ กี ารประเมนิ : ประเมินผลการเรียนรู้
2. เครือ่ งการประเมิน : แบบประเมินผลการเรยี นรู้
3. เกณฑ์การประเมิน : อธิบายข้นั ตอนการระงับข้อพิพาทแรงงาน
4. เกณฑ์การผ่าน : ผา่ นระดับรอ้ ยละ ๕0
จดุ ประสงคข์ ้อที่ 10 อธบิ ายหลกั กฎหมายและวตั ถุประสงคก์ ารใช้กฎหมายแรงงานสัมพันธ์ได้
1. วิธกี ารประเมนิ : ประเมินผลการเรียนรู้
2. เครอ่ื งการประเมิน : แบบประเมินผลการเรยี นรู้
3. เกณฑ์การประเมนิ : อธิบายหลักกฎหมายและวัตถปุ ระสงคก์ ารใช้กฎหมายแรงงาน
สมั พนั ธ์
4. เกณฑ์การผ่าน : ผ่านระดบั รอ้ ยละ ๕0
จดุ ประสงคข์ ้อที่ 11 อธบิ ายการใชม้ าตรการทางกฎหมายแรงงานสมั พนั ธว์ ่าเปน็ มาตรการ
หนง่ึ ทล่ี กู จา้ ง-นายจา้ งสามารถนามาใชไ้ ดใ้ นกรณีใดบ้างได้
1. วธิ ีการประเมิน : ประเมินผลการเรียนรู้
2. เครอื่ งการประเมนิ : แบบประเมินผลการเรียนรู้
3. เกณฑ์การประเมิน : อธบิ ายการใชม้ าตรการทางกฎหมายแรงงานสัมพนั ธ์
4. เกณฑ์การผ่าน : ผ่านระดบั รอ้ ยละ ๕0
จุดประสงคข์ ้อท่ี 12 สามารถนาความรู้ท่ีศึกษาไปแกป้ ญั หาในการดารงชีวติ ประจาวนั และใน
งานอาชพี ธรุ กิจได้
1. วธิ ีการประเมิน : กิจกรรมสง่ เสรมิ คุณธรรมนาความรู้
2. เครือ่ งการประเมิน : แบบประเมินกิจกรรมส่งเสริมคณุ ธรรมนาความรู้
3. เกณฑ์การประเมนิ : สามารถนาความรู้ท่ีศึกษาไปแก้ปัญหาในการดารงชีวิต
ประจาวันและในงานอาชีพธรุ กจิ
4. เกณฑ์การผา่ น : ผ่านระดับรอ้ ยละ ๕0
87
กจิ กรรมสง่ เสริมคุณธรรมนาความรู้
คาชแ้ี จง ให้นกั เรียนอา่ นบทความตอ่ ไปนี้แลว้ อภิปรายรว่ มกนั
ชีวติ ตอ้ งสู้
ข่าวต่างประเทศรายงานว่า เลขาธิการสภาสหภาพแรงงานองั กฤษได้กลา่ วปราศรยั ในโอกาสการชุมนุม
ประจาปี ครบ 150 ปขี องสภาสหภาพแรงงานอังกฤษ เนือ้ หาสว่ นใหญ่ของการปราศรัยคือการต่อส้เู พื่อให้ได้
สทิ ธขิ องแรงงานทเ่ี พม่ิ มากข้นึ และยนื ยันจะต่อสใู้ ห้เกดิ การเปลยี่ นแปลงสทิ ธิแรงงานต่างๆ
สหภาพแรงงานอังกฤษเป็นผู้ริเร่ิมผลักดันสิทธิของแรงงานด้านต่าง เช่น การกาหนดให้ลูกจ้างทางาน
ไม่เกนิ ๘ ช่วั โมงตอ่ วนั การเพิม่ วันหยดุ ประจาสปั ดาหจ์ ากหน่ึงวนั เปน็ สองวัน (ซง่ึ ลูกจ้างยงั คงไดร้ ับค่าจ้าง)
แนวทางการต่อสู้ล่าสุดที่สหภาพแรงงานอังกฤษจะเสนอคือการผลักดันให้วันทางานของลูกจ้างให้
เหลือ ๔ วันต่อสัปดาห์ กล่าวคือ ลูกจ้างทางานลดลงจากเดิม ๑ ใน ๕ ซึ่งงานท่ีลดลง ๑ ใน ๕ นี้ นายจ้าง
สามารถใชเ้ ทคโนโลยีหรือเคร่อื งจกั รสมัยใหม่เขา้ มาแทนท่ีได้
ความแขง็ แกรง่ ของสภาพ
แรงงานก่อใหเ้ กดิ ผลดีตอ่
ลกู จ้างอยา่ งไร
88
แบบประเมินผลการเรียน หนว่ ยที่ ๖
เร่ือง หลกั กฎหมายแรงงานสัมพันธ์
คาชี้แจง จงเลอื กคาตอบทถี่ ูกตอ้ งท่สี ดุ เพียงคาตอบเดยี ว
1. ในภาพรวมของกฎหมายแรงงานสัมพนั ธ์ กาหนดแนวทางปฏิบัติไว้เพ่ือวตั ถุประสงค์ใด
ก. เพ่อื สิทธิ หนา้ ที่และผลประโยชนก์ ารทางานของลูกจ้าง
ข. เพื่อสิทธิ หน้าที่และผลประโยชน์การทางานของนายจา้ ง
ค. เพ่ือสิทธิ หน้าท่แี ละผลประโยชนก์ ารทางานตามสภาพท่ีเป็นจรงิ
ง. เพอ่ื สิทธิ หนา้ ที่และผลประโยชน์การทางานของนายจา้ งและลกู จ้าง
๒. เมือ่ มกี ารจา้ งแรงงาน กฎหมายแรงงานสมั พนั ธ์ มสี ว่ นเข้ามาบังคบั ใชก้ บั การจ้างแรงงานในข้อใด
ก. การจ้างแรงงานในการประกอบกจิ การทว่ั ๆไป ข. การจ้างแรงงานในราชการสว่ นกลาง
ค. การจ้างแรงงานในราชการสว่ นภูมภิ าค ง. การจา้ งแรงงานในราชการส่วนท้องถิน่
3. กฎหมายกาหนดใหส้ ถานประกอบการกจิ การทวั่ ไปจะต้องจัดใหม้ ขี ้อตกลงเก่ยี วกับสภาพการจา้ งไว้ เมอ่ื
นายจา้ งมีลูกจา้ งกีค่ น
ก. มีจานวนตั้งแต่ ๑ คนขึ้นไป ข. มจี านวนตง้ั แต่ ๕ คนข้ึนไป
ค. มจี านวนต้งั แต่ ๑๐ คนขึ้นไป ง. มีจานวนต้ังแต่ ๒๐ คนข้นึ ไป
4. ข้อตกลงเกยี่ วกบั สภาพการจ้าง กฎหมายกาหนดให้มีระยะเวลาบงั คบั อย่างไร
ก. มกี าหนดระยะเวลาตามทต่ี กลงกัน แต่ไม่เกิน ๓ ปี
ข. ถา้ ไม่มีกาหนดระยะเวลาไว้ ให้มรี ะยะเวลาเพยี ง ๑ ปี
ค. เมอ่ื ครบระยะเวลาท่ีตกลงกนั ไวแ้ ลว้ มไิ ด้กาหนดเวลาต่อไปอีก ให้ข้อตกลงนั้นมีระยะเวลาตอ่ ไปอีก คราว
ละ ๑ ปี
ง. ถูกทุกข้อ
5. องค์การฝา่ ยนายจา้ ง ตามพระราชบัญญตั ิแรงงานสัมพนั ธ์ พ.ศ.2518 กาหนดตามลาดับ ดังนี้
ก. สมาคมนายจา้ ง สหพนั ธ์นายจ้าง สภาองค์การนายจ้าง
ข. สมาคมนายจา้ ง สหพนั ธ์นายจา้ ง สภาองค์การลกู จ้าง
ค. สหภาพแรงงาน สหพันธ์แรงงาน สภาองค์การนายจา้ ง
ง. สหภาพแรงงาน สหพันธ์แรงงาน สภาองค์การลูกจ้าง
89
๖. องค์กรที่เกี่ยวขอ้ งกับการระงับข้อพิพาทแรงงาน ซ่ึงประกอบด้วย ๓ ฝ่าย คือ ฝา่ ยนายจ้าง ฝ่ายลกู จ้าง และ
จากฝ่ายรัฐบาล มารว่ มเปน็ คณะกรรมการ คือ ข้อใด
ก. คณะกรรมการองค์การลูกจา้ ง ข. คณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์
ค. คณะกรรมการลูกจ้าง ง. คณะกรรมการนายจา้ ง
7. สถานประกอบกจิ การท่ีลกู จ้างสามารถจัดตงั้ คณะกรรมการลกู จา้ งในสถานประกอบกิจการได้ สถาน
ประกอบกิจการน้ันตอ้ งมลี กู จ้างจานวนต้งั แต่ก่ีคนข้ึนไป
ก. ตั้งแต่ ๕๐ คนขึน้ ไป ข. ต้ังแต่ ๑๐๐ คนข้ึนไป
ค. ต้ังแต่ ๑๕๐ คนขึน้ ไป ง. ตง้ั แต่ ๒๐๐ คนข้ึนไป
8. คณะกรรมการทีท่ าหน้าทเ่ี ก่ยี วกับด้านแรงงานสัมพันธ์ เมื่อวนิ ิจฉัยชขี้ าดข้อพิพาทแรงงานในกิจการสาคญั
และวนิ ิจฉยั ชี้ขาดคาร้องของลูกจา้ งเก่ยี วกับการกระทาอันไม่เปน็ ธรรมของนายจา้ ง คือข้อใด
ก. คณะกรรมการองค์การลกู จ้าง ข. คณะกรรมการสหภาพแรงงาน
ค. คณะกรรมการแรงงานสมั พนั ธ์ ง. คณะกรรมการลูกจ้าง
9. พนักงานประนอมข้อพิพาทแรงงาน เปน็ พนกั งานท่แี ต่งต้งั มาจากขอ้ ใด
ก. ฝา่ ยนายจา้ งแตง่ ตั้ง ข. ฝา่ ยลกู จา้ งแต่งต้งั
ค. ฝ่ายนายจา้ งและลูกจ้างรว่ มกันแตง่ ตั้ง ง. กระทรวงแรงงานแต่งตง้ั
10. ในกรณที ่ีไม่มีการเจรจาตามข้อเรยี กร้องภายในเวลาตามท่กี ฎหมายกาหนดไว้ กฎหมายใหถ้ อื วา่ อย่างไร
ก. ฝา่ ยรับข้อเรยี กรอ้ งเป็นฝา่ ยรบั ผดิ ชอบในข้อเรียกร้อง
ข. มขี อ้ พิพาทแรงงานเกิดข้ึนแล้ว
ค. มขี ้อพิพาทแรงงานทตี่ กลงกนั ไม่ได้
ง. ถกู ทกุ ข้อ
90
เฉลยแบบประเมินผลการเรียน หน่วยท่ี ๖
เรื่อง หลักกฎหมายแรงงานสัมพันธ์
คาชแ้ี จง จงเลือกคาตอบที่ถกู ตอ้ งทสี่ ดุ เพียงคาตอบเดยี ว
1. ในภาพรวมของกฎหมายแรงงานสมั พันธ์ กาหนดแนวทางปฏบิ ตั ไิ วเ้ พื่อวตั ถปุ ระสงค์ใด
ก. เพือ่ สิทธิ หนา้ ทแ่ี ละผลประโยชนก์ ารทางานของลูกจ้าง
ข. เพ่อื สิทธิ หน้าทแี่ ละผลประโยชน์การทางานของนายจ้าง
ค. เพอ่ื สิทธิ หนา้ ท่แี ละผลประโยชนก์ ารทางานตามสภาพทเี่ ป็นจรงิ
ง. เพื่อสิทธิ หน้าท่ีและผลประโยชน์การทางานของนายจ้างและลกู จา้ ง
๒. เม่อื มกี ารจา้ งแรงงาน กฎหมายแรงงานสมั พันธ์ มีสว่ นเขา้ มาบังคบั ใชก้ ับการจ้างแรงงานในข้อใด
ก. การจ้างแรงงานในการประกอบกจิ การทว่ั ๆไป ข. การจ้างแรงงานในราชการสว่ นกลาง
ค. การจ้างแรงงานในราชการส่วนภมู ภิ าค ง. การจ้างแรงงานในราชการส่วนทอ้ งถนิ่
3. กฎหมายกาหนดใหส้ ถานประกอบการกจิ การท่วั ไปจะต้องจัดให้มีข้อตกลงเกยี่ วกับสภาพการจ้างไว้ เมอ่ื
นายจ้างมีลูกจา้ งกีค่ น
ก. มจี านวนตง้ั แต่ ๑ คนขึ้นไป ข. มีจานวนตง้ั แต่ ๕ คนขึน้ ไป
ค. มีจานวนต้ังแต่ ๑๐ คนขึ้นไป ง. มีจานวนต้งั แต่ ๒๐ คนขึน้ ไป
4. ข้อตกลงเกีย่ วกบั สภาพการจา้ ง กฎหมายกาหนดให้มีระยะเวลาบงั คบั อยา่ งไร
ก. มกี าหนดระยะเวลาตามทต่ี กลงกนั แตไ่ ม่เกิน ๓ ปี
ข. ถ้าไม่มีกาหนดระยะเวลาไว้ ให้มีระยะเวลาเพียง ๑ ปี
ค. เมอื่ ครบระยะเวลาท่ตี กลงกันไว้แล้ว มไิ ด้กาหนดเวลาต่อไปอกี ให้ขอ้ ตกลงนัน้ มรี ะยะเวลาตอ่ ไปอีก คราว
ละ ๑ ปี
ง. ถูกทุกข้อ
5. องคก์ ารฝา่ ยนายจา้ ง ตามพระราชบญั ญตั ิแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ.2518 กาหนดตามลาดับ ดังน้ี
ก. สมาคมนายจา้ ง สหพนั ธ์นายจ้าง สภาองค์การนายจ้าง
ข. สมาคมนายจ้าง สหพันธน์ ายจา้ ง สภาองค์การลูกจา้ ง
ค. สหภาพแรงงาน สหพนั ธ์แรงงาน สภาองค์การนายจา้ ง
ง. สหภาพแรงงาน สหพันธแ์ รงงาน สภาองค์การลูกจา้ ง
91
๖. องค์กรที่เกี่ยวขอ้ งกับการระงับข้อพิพาทแรงงาน ซ่ึงประกอบด้วย ๓ ฝ่าย คือ ฝา่ ยนายจา้ ง ฝ่ายลกู จ้าง และ
จากฝ่ายรัฐบาล มารว่ มเปน็ คณะกรรมการ คือ ข้อใด
ก. คณะกรรมการองค์การลูกจา้ ง ข. คณะกรรมการแรงงานสมั พนั ธ์
ค. คณะกรรมการลูกจ้าง ง. คณะกรรมการนายจา้ ง
7. สถานประกอบกจิ การท่ีลกู จ้างสามารถจัดตงั้ คณะกรรมการลกู จา้ งในสถานประกอบกิจการได้ สถาน
ประกอบกิจการน้ันตอ้ งมลี กู จ้างจานวนต้งั แต่ก่ีคนข้ึนไป
ก. ตั้งแต่ ๕๐ คนขึน้ ไป ข. ต้ังแต่ ๑๐๐ คนขึ้นไป
ค. ต้ังแต่ ๑๕๐ คนขึน้ ไป ง. ตง้ั แต่ ๒๐๐ คนข้ึนไป
8. คณะกรรมการทีท่ าหน้าทเ่ี ก่ยี วกบั ด้านแรงงานสัมพันธ์ เมื่อวนิ ิจฉัยช้ีขาดข้อพิพาทแรงงานในกิจการสาคญั
และวนิ ิจฉยั ชี้ขาดคาร้องของลูกจา้ งเกีย่ วกับการกระทาอันไม่เปน็ ธรรมของนายจา้ ง คือข้อใด
ก. คณะกรรมการองค์การลกู จ้าง ข. คณะกรรมการสหภาพแรงงาน
ค. คณะกรรมการแรงงานสมั พันธ์ ง. คณะกรรมการลูกจา้ ง
9. พนักงานประนอมข้อพิพาทแรงงาน เปน็ พนกั งานท่แี ต่งต้งั มาจากขอ้ ใด
ก. ฝา่ ยนายจา้ งแตง่ ตั้ง ข. ฝา่ ยลกู จา้ งแต่งตง้ั
ค. ฝ่ายนายจา้ งและลูกจ้างรว่ มกันแตง่ ตั้ง ง. กระทรวงแรงงานแตง่ ตง้ั
10. ในกรณที ่ีไม่มีการเจรจาตามข้อเรยี กร้องภายในเวลาตามท่กี ฎหมายกาหนดไว้ กฎหมายให้ถือวา่ อย่างไร
ก. ฝา่ ยรับข้อเรยี กรอ้ งเป็นฝา่ ยรบั ผดิ ชอบในข้อเรียกร้อง
ข. มขี อ้ พิพาทแรงงานเกิดข้ึนแลว้
ค. มขี ้อพิพาทแรงงานทตี่ กลงกนั ไม่ได้
ง. ถกู ทกุ ข้อ
92
แบบฝกึ หดั
เรอื่ ง หลกั กฎหมายแรงงานสัมพันธ์
คาช้ีแจง จงตอบคาถามต่อไปน้ีตามหลกั กฎหมาย
๑. ลกั ษณะทัว่ ไปของกฎหมายแรงงานสัมพันธ์ เป็นกฎหมายใชบ้ ังคับกรณีมีการจ้างแรงงานท่ัวไป วัตถปุ ระสงค์
ของกฎหมายฉบบั นี้มีขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ใด
………………………………………………………………………………………………………………………………………..…………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………..……………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………..………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
……………………………………………………………………………………………………………………………………..……………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………..…………………
2. ข้อตกลงเก่ียวกับสภาพการจ้าง อาจมีการเปล่ยี นแปลงไปตามเหตุการณ์ ระยะเวลา ตามหลกั กฎหมาย
กาหนดอายหุ รือระยะเวลาของข้อตกลงเกย่ี วกับสภาพการจ้างไวอ้ ย่างไร
……………………………………………………………………………………………………………………………………..……………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………..……………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………..…………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
……………………………………………………………………………………………………………………………………………..……………
………………………………………………………………………………………………………………………………………..…………………
3. เมือ่ มขี ้อพพิ าทแรงงานเกดิ ขน้ึ และพนักงานประนอมข้อพพิ าทได้เขา้ มาไกล่เกลยี่ จนเป็นผลให้ข้อพิพาทนน้ั
ตกลงกนั ได้ ผลแห่งข้อตกลงในสภาพการจ้างน้นั จะต้องทาอย่างไรต่อไป
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
93
เฉลยแบบฝึกหดั
เรื่อง หลกั กฎหมายแรงงานสัมพนั ธ์
คาชีแ้ จง จงตอบคาถามต่อไปนต้ี ามหลักกฎหมาย
๑. ลกั ษณะทั่วไปของกฎหมายแรงงานสัมพันธ์ เป็นกฎหมายใชบ้ ังคบั กรณมี ีการจ้างแรงงานทว่ั ไป วตั ถปุ ระสงค์
ของกฎหมายฉบับนมี้ ีขน้ึ เพอ่ื วตั ถปุ ระสงค์ใด
ตอบ กฎหมายแรงงานสัมพันธ์ มีวัตถุประสงค์เพ่ือให้นายจ้างและลูกจ้างมีความสัมพันธ์ท่ีดีต่อกัน เพื่อ
ป้องกันไม่ให้เกิดความกระทบกระทั่งและลุกลามบานปลาย อันส่งผลกระทบต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจเป็น
วงกว้าง
2. ขอ้ ตกลงเก่ยี วกับสภาพการจ้าง อาจมีการเปลี่ยนแปลงไปตามเหตกุ ารณ์ ระยะเวลา ตามหลกั กฎหมาย
กาหนดอายหุ รือระยะเวลาของข้อตกลงเกยี่ วกับสภาพการจ้างไวอ้ ย่างไร
3. เมอ่ื มีข้อพิพาทแรงงานเกดิ ขน้ึ และพนักงานประนอมข้อพิพาทได้เขา้ มาไกล่เกลี่ยจนเป็นผลให้ขอ้ พิพาทนนั้
ตกลงกนั ได้ ผลแห่งข้อตกลงในสภาพการจา้ งนั้นจะต้องทาอยา่ งไรตอ่ ไป
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
94
บนั ทกึ หลังการสอนคร้งั ที.่ .........
รายวชิ า..................................................................................รหสั วชิ า......................................หน่วยการเรยี นท่ี ………………………………
ช่ือหนว่ ยการเรยี น ...………..………………………..………………………....จานวนช่วั โมง……………….… กลุ่มเรียน ............................................
จานวนผเู้ รียน...................คน. เม่ือวนั ท…่ี …………………………………. เรอ่ื งท่ีสอน………….………...................…………………..…………………
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
1. กิจกรรมการเรยี นการสอน (สามารถระบไุ ด้หลายหวั ข้อตามที่ปฏบิ ัตจิ รงิ โดยใช้เคร่ืองหมาย
1.1 วธิ กี ารสอน
บรรยาย สาธิต ทดลอง ปฏิบัติ กจิ กรรมกลมุ่
การนาเสนอผลงาน อ่ืนๆ (ระบุ)……………..………………….......................................
1.2 สอ่ื การเรยี นการสอน
โปรแกรมนาเสนอ ใบความรู้ ใบงาน ขอ้ สอบ วดี ิทศั น์
แบบประเมิน เวบ็ ไซต์ อืน่ ๆ (ระบุ).............………….……………..…………..
2. ผลการดาเนินกจิ กรรมการเรียนการสอน
2.1 ดา้ นผ้สู อน
สอนตามแผนการเรียนครบตามเนอ้ื หา สอนตามแผนการเรยี น ไม่ครบตามเนือ้ หา
เน้ือหาการสอนเหมาะสมกบั เวลา เน้อื หาการสอนไมเ่ หมาะสมกับเวลา
2.2 ด้านผูเ้ รยี น
มีความสนใจในการเรียน มคี วามสุขในการเรยี น
มีการพัฒนาด้านการเรยี น มีความรู้ และทกั ษะวชิ าชีพ อ่นื ๆ (ระบุ)……………..…
2.3 ด้านคุณลกั ษณะที่พงึ ประสงค์
มีความรบั ผิดชอบ มีระเบยี บวินยั มคี วามรกั สามัคคี มมี นษุ ยสมั พนั ธ์
มคี วามอดทน มีความซอ่ื สตั ย์ มคี วามเชอ่ื มน่ั ในตนเอง มคี วามประหยดั
มีความกตญั ญู อ่ืนๆ (ระบุ).............................................................................
2.4 ดา้ นการวัดและประเมินผล มี ไม่มี (ไม่ตอ้ งตอบข้อ 3.)
ถาม ตอบเป็นรายบุคคล รายกลุ่ม สอบภาคปฏบิ ตั ิ สอบภาคทฤษฎี
แบบบันทกึ แบบสังเกต อืน่ ๆ(ระบุ)....................................
3. ผลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี น
ผา่ นเกณฑ์ ……… คน คดิ เปน็ ร้อยละ …… ไมผ่ า่ นเกณฑ์ ……… คน คดิ เปน็ ร้อยละ …………
4. ปญั หาอุปสรรคท่เี กิดขึ้นระหวา่ งการเรียนการสอน
………………………………………………………………………………………………………………………………………...…………………………………………………………….
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..…………………………………..
5. แนวทางการแก้ไขปัญหาของครผู ู้สอน (เพ่อื เปน็ แนวทางในการทาวิจัยในชนั้ เรียน)
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………….………………………………………………..
ลงชอื่ ........................................ครูผสู้ อน ลงชือ่ ..................................... หัวหนา้ แผนก
(......................................... )…./....../...... (...........................................)…../....../........
95
แผนการจัดการเรยี นรู้ หน่วยที่ ๗
วชิ า กฎหมายแรงงาน (๒๐๐๐๑-๑๐๐๔) สอนครงั้ ที่ 14-15
ช่อื หน่วย : หลกั กฎหมายการประกนั สงั คม จานวน ๒ ชั่วโมง
1. สาระสาคญั
การประกันสังคม คือ การสร้างหลักประกันและความม่ันคงในการด ารงชีวิตของกลุ่มสมาชิก มี
ลักษณะเป็นการเฉลี่ยความสุขและความทุกข์ในกลุ่มสมาชิกด้วยกัน โดยให้ผู้มีรายได้จ่ายเงินสมทบเข้ากองทนุ
ประกันสังคม ซ่ึงเงินสมทบท่ีแต่ละคนจ่ายนั้นจะเป็นสิทธิประโยชน์เฉพาะตัวเท่าน้ัน ผู้ที่จ่ายเงินสมทบ จะ
เรียกว่า “ผู้ประกันตน” เงินที่ได้จะน ามาบริหารภายในองค์กร ซ่ึงการเก็บเงินสมทบถือเป็นภาษีพิเศษ ดังนั้น
จะเก็บจากบคุ คลท่กี ฎหมายก าหนดเท่านัน้ ท้ังนี้ เพือ่ คุม้ ครองสทิ ธิประโยชนข์ ัน้ พนื้ ฐานของผปู้ ระกันตนในการ
ด ารงชีวิตให้ได้รับการรกั ษาพยาบาลและสามารถชว่ ยเหลือตนเองและครอบครัว พร้อมท้ังสามารถด ารงชีวิต
ได้ อย่างปกติสุขเมื่อประสบกับภาวะการเจ็บป่วย คลอดบุตร ทุพพลภาพ ตาย ชราภาพ ว่างงานรวมถึง การ
สงเคราะห์บุตร
2. สมรรถนะประจาหน่วยการเรยี นรู้
2.1 อธบิ ายวตั ถุประสงคข์ องกฎหมายประกนั สงั คม ขอบเขตการใชพ้ ระราชบญั ญตั ิประกันสงั คม
2.2 อธบิ ายสานักงานประกันสังคม และกองทุนประกันสังคม
2.3 อธบิ ายคาว่า ผปู้ ระกนั ตน ประเภทผู้ประกนั ตน และการเงนิ สมทบเขา้ กองทนุ
2.4 อธบิ ายหน้าท่ขี องผู้ประกันตน และวิธีขน้ึ ทะเบียนเป็นผู้ประกันตน
2.5 อธิบายไดว้ า่ ประโยชนท์ ดแทนทผี่ ู้ประกันตนจะได้รับมีก่ีกรณี อะไรบ้าง
2.6 อธบิ ายสิทธิของผปู้ ระกนั ตนในระบบหลงั สิ้นสภำพกำรเปน็ ผ้ปู ระกันตน
2.7 สามารถนาความรู้ที่ศึกษาไปแก้ปัญหาในการดารงชีวติ ประจาวันและในงานอาชีพธุรกิจ
3. จุดประสงคก์ ารเรียนรู้/การเรยี นรู้
3.1 จดุ ประสงค์ท่ัวไป
3.1.1 รแู้ ละเขา้ ใจวตั ถุประสงค์ของกฎหมายประกันสังคม ขอบเขตการใช้พระราชบัญญัติ
ประกนั สังคม
3.1.2 รแู้ ละเข้าใจสานักงานประกนั สงั คม และกองทุนประกนั สงั คม
3.1.3 รแู้ ละเขา้ ใจคาวา่ ผ้ปู ระกันตน ประเภทผปู้ ระกนั ตน และการเงินสมทบเข้ากองทุน
3.1.4 รแู้ ละเข้าใจหนา้ ทข่ี องผู้ประกนั ตน และวธิ ีขึน้ ทะเบยี นเป็นผู้ประกนั ตน
3.1.5 ร้แู ละเขา้ ใจประโยชนท์ ดแทนที่ผปู้ ระกันตนจะได้รับ
3.1.6 รู้และเข้าใจสิทธขิ องผปู้ ระกันตนในระบบหลงั ส้ินสภำพกำรเป็นผปู้ ระกนั ตน
96
3.2 จุดประสงค์เชิงพฤตกิ รรม
3.2.1 อธบิ ายวตั ถุประสงค์ของกฎหมายประกนั สังค์ ขอบเขตการใชพ้ ระราชบัญญตั ิ
ประกันสงั คมได้
3.2.2 อธิบายสานกั งานประกันสังคม และกองทุนประกนั สังคมได้
3.2.3 อธิบายคาว่า ผู้ประกันตน ประเภทผู้ประกนั ตน และการเงนิ สมทบเขา้ กองทนุ ได้
3.2.4 อธบิ ายหน้าทขี่ องผูป้ ระกันตน และวิธีขึ้นทะเบยี นเป็นผู้ประกันตนได้
3.2.5 อธิบายประโยชน์ทดแทนทผ่ี ูป้ ระกันตนจะได้รับได้
3.2.6 อธบิ ายสทิ ธิของผปู้ ระกันตนในระบบหลังส้นิ สภำพกำรเป็นผูป้ ระกนั ตนได้
3.2.7 สามารถนาความรู้ทีศ่ ึกษาไปแก้ปญั หาในการดารงชวี ิตประจาวนั และในงานอาชพี
ธรุ กิจได้
4. เนอ้ื หาสาระ การสอน/การเรยี นรู้
4.1 วตั ถุประสงค์และขอบเขตของกำรใช้พระรำชบัญญตั ิประกนั สังคม
4.2 สำนักงำนประกันสังคม และกองทนุ ประกันสงั คม
4.3 ผู้ประกนั ตน
4.4 กำรขึ้นทะเบียนประกนั ตน
4.5 เงนิ สมทบ
4.๖ ประโยชน์ทดแทน
4.๗ สิทธขิ องผปู้ ระกันในระบบหลังสน้ิ สภาพการเปน็ ผู้ประกนั ตน
4.8 เงินทดแทน
5. กจิ กรรมการเรยี นการสอน
กิจกรรมผ้เู รยี น กจิ กรรมผู้เรียน
ขน้ั เตรียมกจิ กรรม (๑ ช่วั โมง)
1. ผู้สอนชี้แจงรายละเอียดเกี่ยวกับจุดประสงค์ 1. ผู้เรียนเตรยี มอปุ กรณก์ ารเรียน
สมรรถนะและคาอธิบายรายวิชา การวัดผลและ
ประเมินผลการเรียน คุณลักษณะนิสัยที่ต้องการให้
เกิดขึน้
2. ตรวจสอบรายชื่อ ตรวจการแต่งกาย และขอ้ ตกลง 2. ผู้เรียนทาความเข้าใจและจดบันทึกรายละเอียด
ในการเรยี น เก่ียวกบั การเรียน
๓. แนะนาตัวทาความรู้จักระหว่างผู้สอนและผู้เรียน 3. รับฟังและยอมรับเหตุผล แล้วนาไปปฏิบัติการ
เรยี น แกไ้ ขในพฤติกรรมทไ่ี มถ่ ูกต้อง
๔. ตั้งกติกาในการเข้าเรียนการตรียมความพร้อม ๔. ผูเ้ รยี นแนะนาตวั เองให้กับเพ่ือนๆ และครูผ้สู อน
ของผู้เรียนเพื่อเข้าสู่สาระการเรียนรู้ โดยการเตรียม
97
วัสดุอุปกรณ์ หนังสือ เอกสารการสอน สมุด
แบบทดสอบก่อนและหลงั เรยี น
ขัน้ นาเข้าสู่บทเรยี น (๑ ชว่ั โมง)
๕. ชแี้ จงจุดประสงค์ของการเรียนร้เู ร่ือง วิวัฒนาการ 5. ผู้เรียนเตรียมความพร้อม โดยมี สมุด หนังสือ
ของการขาย ความหมายของการขายและหน้าที่ หรือเอกสารการเรียนรู้
ทางการขาย ความหมายของการตลาดและหน้าที่
ทางการตลาด ความสาคัญของการขายและ
การตลาด
๖. ชี้ให้เห็นความสาคัญของวิวัฒนาการของการขาย 6. จดบันทึกลงในสมุด และผู้เรียนจับกลุ่ม 5 คน
ความหมายของการขายและหน้าท่ีทางการขาย และคดิ หาตวั แทนไว้นาเสนอหนา้ ชั้นเรยี น
ความหมายของการตลาดและหน้าที่ทางการตลาด
ความสาคัญของการขายและการตลาด ที่มีใช้ใน
ชวี ติ ประจาวนั ของผ้เู รียน
๗. ผู้สอนนาเข้าสู่บทเรียนด้วยการซักถาม และ 7. จดบนั ทกึ จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้ลงสมุด
สนทนากับนักศึกษาดังนี้วิวัฒนาการของการขาย วิวัฒนาการของการขาย ความหมายของการขาย
ความหมายของการขายและหน้าที่ทางการขาย และหน้าที่ทางการขาย ความหมายของการตลาด
ความหมายของการตลาดและหน้าที่ทางการตลาด และหน้าท่ีทางการตลาด ความสาคัญของการขาย
ความสาคญั ของการขายและการตลาด และการตลาด
๘. ผู้สอนให้ผู้เรียนทาแบบทดสอบก่อนเรียน เร่ือง 8. ผ้เู รยี นทาแบบฝึกหัดก่อนเรยี นเรือ่ ง
ศึกษา วิวัฒนาการของการขาย ความหมายของการ วิวัฒนาการของการขาย ความหมายของการขาย
ขายและหน้าท่ีทางการขาย ความหมายของ และหน้าท่ีทางการขาย ความหมายของการตลาด
การตลาดและหน้าท่ีทางการตลาด ความสาคัญของ และหน้าท่ีทางการตลาด ความสาคัญของการขาย
การขายและการตลาด แล้วให้ผู้เรียนสลับกันตรวจ และการตลาด แล้วสลับกันตรวจแบบฝึกหัดก่อน
โดยฟังเฉลยจากผู้สอนพรอ้ มกัน เรยี น
ขน้ั ดาเนนิ การสอน (2 ชั่วโมง)
๙. ผู้สอนอธิบายเน้ือหาตามหัวข้อ วิวัฒนาการของ 9. ต้งั ใจฟังและจดบนั ทกึ เนือ้ หาที่สาคญั ลงสมุด
การขาย ความหมายของการขายและหน้าที่ทางการ
ขาย ความหมายของการตลาดและหน้าที่ทางการ
ตลาด ความสาคญั ของการขายและการตลาด
๑๐. ผู้สอนบรรยายหน้าช้ันเรียนและยกตัวอย่าง
ประกอบ เก่ียวกับวิวัฒนาการของการ ขาย 10. ฟังบรรยายอย่างตัง้ ใจ
98
ความหมายของการขายและหน้าที่ทางการขาย
ความหมายของการตลาดและหน้าท่ีทางการตลาด
ความสาคัญของการขายและการตลาด
๑๑. ผู้สอนให้ผู้เรียนแบ่งกลุ่ม สรุปเนื้อหาสาระท่ี
เรียนพร้อมท้ังนาเสนอหน้าชั้นเรียนโดยผู้สอนเป็นผู้
สุม่ เรยี ก 11. ผเู้ รยี นจับกลุ่มและสง่ ตวั แทนนาเสนอ
1๒. ผู้สอนสุ่มเรียกตัวแทนผเู้ รียนแต่ละกลมุ่ ออกมา
ยกตัวอย่างเอกสารการรบั -สง่ สินคา้
12. ผู้เรียนแต่ละกลุ่มส่งตัวแทนจับฉลากเพ่ือ
นาเสนอหนา้ ช้นั เรียน 1 หวั ขอ้
ขั้นสรุป (๑ ช่ัวโมง)
1๓. ผู้สอนและผู้เรียนช่วยกันสรุปในหัวข้อที่ 13. ผู้เรียนรับฟังคาสรุปและข้อเสนอแนะจากผู้สอน
นักศึกษานาเสนอพร้อมท้ังอธิบายเพ่ิมเติมและสรุป พร้อมทั้งจดบันทึกข้อมูลซักถามหรือตอบคาถาม
เนื้อหาตามจุดประสงค์และเนื้อหาสาระการเรียนรู้ แสดงความคิดเห็นในหัวข้อที่ยังไม่เข้าใจ พร้อมท้ัง
พร้อมท้ังแนะนะหรือบอกแหล่งการหาข้อมูลจาก ส่งเสริมให้ผู้เรียนรู้จักการใช้เวลาว่างให้เกิด
อินเตอร์เน็ต เพื่อผู้เรียนจะได้ศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติม ประโยชน์โดยการศึกษาข้อมูลทางอินเตอร์เน็ตเพื่อ
ได้ เป็นการฝึกใช้ระบบอิเล็คทรอนิกส์และเป็นการ
ห่างไกลจากยาเสพติดและเกมสต์ ่าง ๆ
1๔. ผ้สู อนให้ผ้เู รยี นทาแบบทดสอบหลังเรยี น พร้อม 14. ผู้เรียนทาแบบทดสอบหลังเรียน และนาส่ง
ทั้งตรวจงานสมุด ผสู้ อน
6. ส่อื การเรยี น-การสอนและแหลง่ เรยี นรู้
1. สื่อส่งิ พิมพ์
1.1 หนงั สอื เรียนวชิ า กฎหมายแรงงาน บริษทั สานักพมิ พเ์ อมพันธ์ จากดั
๑.๒ กจิ กรรมส่งเสริมคณุ ธรรมนาความรู้
1.3 แบบประเมินผลการเรียนรู้ หน่วยท่ี 7
2. โสตทัศน์
๒.๑ -
3. ห่นุ จาลอง/ของจริง
-
4. สอ่ื …………………………………………………………..
99
๔.๑ อนิ เทอร์เนต็ และเทคโนโลยี
7. แหลง่ การเรยี นการสอน/การเรียนรู้
7.1 ในสถานศกึ ษา
- หอ้ งสมดุ
- อนิ เตอรเ์ น็ต
7.2 นอกสถานศึกษา
- อินเตอร์เนต็
- ห้องสมดุ ประชาชน
8. กจิ กรรมเสนอแนะ/งานท่ีมอบหมาย (ถา้ มี)
กอ่ นเรียน
1. ตรวจรายชือ่ ตรวจเครอ่ื งมือ และการแต่งกาย
2. ตงั้ กติกาในการเรยี น
3. อบรมคณุ ธรรม จรยิ ธรรม
ขณะเรียน
1. ศกึ ษาคน้ ควา้
๒. กจิ กรรมสง่ เสรมิ คณุ ธรรมนาความรู้
๓. สรปุ ความรู้
หลงั เรียน
1. ทาแบบประเมินผลการเรยี นรู้ หนว่ ยท่ี 7
2. ถาม-ตอบข้อสงสัย
๓. สรุปเน้อื หาและศกึ ษาเนื้อหาในเรอ่ื งต่อไป
๔. ทาความสะอาดห้องเรียน
๙. เอกสารอ้างอิง
-
๑๐. การบรู ณาการ/ความสมั พันธก์ ับรายวิชาอน่ื
- กฎหมายพาณิชย์
- เศรษฐกิจพอเพียง
100
๑๑. รายละเอียดการประเมินผลการเรยี น
จุดประสงคข์ ้อท่ี ๑ อธบิ ายวตั ถปุ ระสงคข์ องกฎหมายประกันสงั คม ขอบเขตการใช้พระราชบัญญตั ิ
ประกนั สังคมได้
1 วิธีการประเมนิ : ประเมนิ ผลการเรยี นรู้
2. เครอื่ งการประเมิน : แบบประเมนิ ผลการเรยี นรู้
3. เกณฑ์การประเมิน : อธิบายวัตถปุ ระสงค์ของกฎหมายประกันสงั คม ขอบเขตการใช้
พระราชบญั ญตั ิประกนั สังคม
4. เกณฑ์การผ่าน : ผา่ นระดบั รอ้ ยละ ๕0
จุดประสงคข์ ้อที่ ๒ อธบิ ายสานกั งานประกนั สังคม และกองทนุ ประกันสงั คมได้
1. วิธกี ารประเมิน : ประเมนิ ผลการเรียนรู้
2. เครอ่ื งการประเมนิ : แบบประเมินผลการเรียนรู้
3. เกณฑ์การประเมนิ : อธบิ ายสานกั งานประกันสังคม และกองทนุ ประกันสังคม
4. เกณฑ์การผ่าน : ผา่ นระดบั รอ้ ยละ ๕0
จดุ ประสงคข์ ้อท่ี ๓ อธิบายคาวา่ ผ้ปู ระกันตน ประเภทผู้ประกนั ตน และการเงินสมทบเขา้ กองทนุ ได้
1. วธิ กี ารประเมนิ : ประเมินผลการเรียนรู้
2. เครอ่ื งการประเมิน : แบบประเมนิ ผลการเรยี นรู้
3. เกณฑ์การประเมิน : อธบิ ายคาวา่ ผู้ประกันตน ประเภทผปู้ ระกนั ตน และการเงิน
สมทบเขา้ กองทุน
4. เกณฑ์การผา่ น : ผ่านระดับรอ้ ยละ ๕0
จุดประสงค์ข้อที่ 4 อธิบายหน้าทข่ี องผ้ปู ระกันตน และวิธีขนึ้ ทะเบยี นเปน็ ผู้ประกันตนได้
1. วิธกี ารประเมนิ : ประเมินผลการเรียนรู้
2. เครอ่ื งการประเมนิ : แบบประเมนิ ผลการเรียนรู้
3. เกณฑ์การประเมิน : อธบิ ายหน้าที่ของผูป้ ระกนั ตน และวธิ ีข้ึนทะเบยี นเป็น
ผู้ประกันตน
4. เกณฑ์การผ่าน : ผา่ นระดบั รอ้ ยละ ๕0
จุดประสงคข์ ้อที่ 5 อธบิ ายประโยชนท์ ดแทนท่ผี ู้ประกันตนจะไดร้ บั ได้
1. วิธกี ารประเมนิ : ประเมินผลการเรยี นรู้
2. เครอ่ื งการประเมนิ : แบบประเมนิ ผลการเรยี นรู้
3. เกณฑ์การประเมนิ : อธิบายประโยชน์ทดแทนท่ีผู้ประกันตนจะไดร้ ับ
4. เกณฑ์การผ่าน : ผา่ นระดับร้อยละ ๕0