101
จดุ ประสงค์ข้อท่ี 6 อธบิ ายสทิ ธขิ องผู้ประกันตนในระบบหลงั สน้ิ สภำพกำรเป็นผปู้ ระกนั ตนได้
1. วธิ ีการประเมนิ : ประเมินผลการเรียนรู้
2. เครือ่ งการประเมิน : แบบประเมินผลการเรียนรู้
3. เกณฑ์การประเมิน : อธบิ ายสทิ ธขิ องผู้ประกันตนในระบบหลงั สิน้ สภำพกำรเปน็
ผู้ประกนั ตน
4. เกณฑ์การผ่าน : ผา่ นระดบั รอ้ ยละ ๕0
จดุ ประสงคข์ ้อที่ 7 สามารถนาความรทู้ ศี่ ึกษาไปแกป้ ัญหาในการดารงชวี ติ ประจาวนั และในงานอาชีพ
ธุรกจิ ได้
1. วิธกี ารประเมิน : กจิ กรรมสง่ เสริมคณุ ธรรมนาความรู้
2. เคร่อื งการประเมนิ : แบบประเมนิ กจิ กรรมสง่ เสริมคุณธรรมนาความรู้
3. เกณฑ์การประเมิน : สามารถนาความรู้ทีศ่ ึกษาไปแก้ปญั หาในการดารงชีวิต
ประจาวนั และในงานอาชีพธุรกจิ
4. เกณฑ์การผา่ น : ผา่ นระดบั ร้อยละ ๕0
102
กิจกรรมส่งเสริมคณุ ธรรมนาความรู้
คาช้ีแจง ใหน้ ักเรยี นร่วมกนั อภปิ รายเกีย่ วกับผู้ประกันตนมาตรา ๔๐
สาระสาคญั ของพระราชกฤษฎีกา กาหนดหลักเกณฑ์และอตั ราการจา่ ยเงินสมทบ ประเภทของประโยชน์
ทดแทน ตลอดจนหลักเกณฑ์ วาระเง่ือนไขแห่งสิทธ์ิในการรับประโยชน์ทดแทนของบุคคลซ่ึงสมัครเป็น
ผู้ประกันตน ตามมาตรา ๔๐ (มิใชล่ กู จ้าง) มหี ลกั เกณฑใ์ นเรอื่ ง ดังน้อี ยา่ งไร
- อายุของผสู้ มัครเป็นผปู้ ระกนั ตน
- การจา่ ยเงนิ สมทบเข้ากองทนุ และประโยชน์ทดแทน
- สทิ ธิประโยชน์และทางเลือกที่ผปู้ ระกันตนจะไดร้ บั คุ้มครอง
ร่วมกนั อภปิ ราย
เก่ียวกบั มาตรา ๔๐
103
แบบประเมินผลการเรียน หนว่ ยท่ี ๗
เร่อื ง หลกั กฎหมายการประกันสงั คม
คาช้ีแจง จงเลอื กคาตอบท่ีถกู ต้องทีส่ ดุ เพยี งคาตอบเดียว
1. พระราชบญั ญัติประกนั สงั คมที่ใช้บงั คบั ปัจจบุ ัน คือข้อใด
ก. พระราชบญั ญัตปิ ระกันสังคม พ.ศ. 2533 ข. พระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2534
ค. พระราชบัญญัตปิ ระกนั สงั คม พ.ศ. 2535 ง. พระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2539
๒. ลกู จ้างไม่ต้องข้ึนทะเบยี นเปน็ ผ้ปู ระกันตน คือข้อใด ข. ลกู จ้างทางานในโรงงานอิฐ
ก. ลูกจา้ งทางานในรา้ นขายหนงั สือ ง. ลกู จ้างทางานเปน็ พนักงานบญั ชขี องบริษทั
ค. ลูกจ้างทางานเปน็ แมบ่ ้านของบ้านพกั
3. กองทุนประกนั สงั คมต้งั อยู่ ณ ท่ใี ด
ก. ท่ีสานกั งานประกันสงั คม กระทรวงแรงงาน
ข. ท่ีสานกั งานประกันสงั คม กระทรวงมหาดไทย
ค. ท่สี านักงานประกนั สังคม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
ง. ทีส่ านักงานประกนั สงั คม กระทรวงการคลัง
4. กฎหมายประกนั สังคม กาหนดใหล้ กู จา้ งมีอายรุ ะหว่างเท่าไรต้องเปน็ ผู้ประกนั ตน
ก. ตัง้ แต่ ๒๐ ปบี รบิ รู ณ์ และไม่เกิน ๖๐ ปีบริบรู ณ์
ข. ต้งั แต่ 18 ปบี รบิ ูรณ์ และไม่เกนิ ๖๐ ปีบริบูรณ์
ค. ไมต่ า่ กว่า 15 ปี และไม่เกิน ๖๐ ปบี รบิ ูรณ์
ง. ไม่ต่ากว่า 17 ปี และไม่เกิน 7๐ ปีบริบรู ณ์
5. เงนิ สมทบไดม้ าจาก ๓ ทาง คือข้อใด ข. จากผูป้ ระกันตน นายจา้ ง และผูบ้ ริจาค
ก. จากผูป้ ระกันตน นายจ้าง และลกู จ้าง ง. จากผปู้ ระกันตน นายจา้ ง และผจู้ ดั การ
ค. จากผูป้ ระกนั ตน นายจ้าง และรัฐบาล
๖. ผปู้ ระกันตนแตล่ ะคนมสี ิทธิไดร้ บั ประโยชนท์ ดแทนจากการคลอดบุตร ตามข้อใด
ก. ไม่เกินคนละ ๒ คร้ัง ครั้งละ ๑๒,๐๐๐ บาท ข. ไม่เกินคนละ ๓ ครัง้ คร้งั ละ ๑๒,๐๐๐ บาท
ค. ไม่เกนิ คนละ ๔ ครั้ง คร้ังละ ๑๒,๐๐๐ บาท ง. ไมจ่ ากัดจานวน ครั้งละ ๑๓,๐๐๐ บาท
104
7. ลกั ษณะสาคัญประการหน่ึงของพระราชบญั ญตั ิเงนิ ทดแทนได้กาหนดใหน้ ายจา้ งต้องส่งเงินสมทบเข้ากองทุน
เงินทดแทนเปน็ รายปี มีเหตุผลเพราะอะไร
ก. ป้องกนั มิใหน้ ายจ้างไม่จ่ายเงนิ ทดแทนให้ลกู จ้าง
ข. ปอ้ งกันมใิ ห้นายจ้างและลูกจา้ งโต้เถยี งกันเรอ่ื งเงนิ ทดแทน
ค. เพ่ือให้การจา่ ยเงินทดแทนเป็นระบบ สะดวกรวดเร็ว และลูกจา้ งไดเ้ งินทดแทนเต็มตามสิทธิ
ง. เพอ่ื ให้ลกู จ้างรู้ถึงสทิ ธิของตวั เอง
8. เงินทดแทนท่ีลูกจา้ งได้รบั ตามกฎหมายเงนิ ทดแทน ต้องมเี หตเุ กิดจากลูกจ้าง เฉพาะกรณใี นข้อใด
ก. เฉพาะกรณีประสบอันตรายถึงแก่ความตายขณะทางานให้นายจา้ ง
ข. เฉพาะกรณปี ระสบอันตรายถึงแก่เจบ็ ป่วยหรือสูญหายขณะทางานใหน้ ายจา้ ง
ค. เฉพาะกรณีประสบอันตรายถงึ แก่เจ็บป่วยหรอื สูญหายหรือตายขณะทางานให้นายจา้ ง
ง. เฉพาะกรณีประสบอนั ตรายถึงแก่เจบ็ ปว่ ยหรือสูญหายหรือตายไมว่ า่ กรณีใด
9. มูลนิธิเพือ่ ถนิ่ ไทยมวี ัตถปุ ระสงคเ์ พอื่ สร้างคความเข้าใจและพฒั นาความเจริญให้กับท้องถนิ่ มีกองทุน
หมนุ เวยี นของตนเอง และมรี ายได้จากการบรจิ าคทรพั ย์ของผู้มีจิตศรทั ธา มูลนิธินีม้ ีลกู จ้างจานวน ๒๕ คน
มูลนธิ ิในฐานะนายจา้ งจะต้องจา่ ยเงนิ สมทบเข้ากองทุนเงนิ ทดแทนตามข้อใด
ก. จา่ ยเงนิ สมทบเป็นรายปเี ขา้ กองทุนเงนิ ทดแทนตามท่ีกฎหมายกาหนด
ข. จา่ ยเงินสมทบเปน็ รายเดอื นเข้ากองทุนเงนิ ทดแทนตามทีก่ ฎหมายกาหนด
ค. ไม่ตอ้ งจ่ายเงินสมทบเข้ากองทนุ เงนิ ทดแทน เพราะมีรายได้นอ้ ยจากการบริจาคเท่านัน้
ง. ไม่ต้องจ่ายเงินสมทบเขา้ กองทนุ เงนิ ทดแทน เพราะวัตถปุ ระสงค์ของมูลนิธไิ ด้แสวงหากาไรในทาง
เศรษฐกจิ
10. เมอื่ ลูกจา้ งประสบอันตรายในหน้าท่กี ารงานจนถึงแก่ความตาย และไม่มีญาตเิ ปน็ ผู้จดั การศพ นายจ้างยอ่ ม
มสี ทิ ธิจดั การศพให้ลูกจา้ งไปพลางก่อนได้ เพื่อรอญาตหิ รือผ้จู ดั การศพมารบั ไปดาเนินการต่อไป กรณีนายจ้าง
สามารถใช้เงินจดั การศพไปพลางก่อนได้เป็นจานวนในข้อใด
ก. ไม่เกนิ จานวนเงนิ คา่ ทาศพท่ลี ูกจา้ งพึงจะได้รบั
ข. ไม่เกนิ จานวนเงนิ คร่ึงหน่งึ ของค่าทาศพทล่ี ูกจา้ งพึงจะได้รบั
ค. ไม่เกนิ จานวนหนงึ่ ในสามของคา่ ทาศพที่ลูกจ้างพึงจะไดร้ บั
ง. ไม่มขี ้อใดถูก
105
แบบฝกึ หดั
เร่อื ง หลกั กฎหมายการประกันสังคม
คาชแ้ี จง จงตอบคาถามตอ่ ไปน้ตี ามหลักกฎหมาย
๑. ผู้ประกันตนตามพระราชบัญญัติประกันสังคม กาหนดไว้ด้วยกัน ๓ ประเภท หรือ ๓ กลุ่ม มีที่มาและ
แตกตา่ งอย่างไร
………………………………………………………………………………………………………………………………………..…………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………..……………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………..………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
……………………………………………………………………………………………………………………………………..……………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………..…………………
2. ท้งั นายจา้ ง และลูกจา้ งตา่ งก็มีหน้าท่ีของตนเก่ยี วกบั การประกนั ตน หนา้ ท่ีของลูกจ้างในฐานะผปู้ ระกันตน มี
หนา้ ท่อี ยา่ งไรบ้าง
……………………………………………………………………………………………………………………………………..……………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………..……………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………..…………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
……………………………………………………………………………………………………………………………………………..……………
………………………………………………………………………………………………………………………………………..…………………
3. เงินสมทบเขา้ กองทุนประกันสงั คมของผูป้ ระกนั ตนตามมาตรา ๓๓ กฎหมายกาหนดไว้วา่ ให้คดิ จากฐาน
ค่าจ้างรายเดือนของผู้ประกนั ตนอยา่ งไร
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
106
บนั ทกึ หลังการสอนครัง้ ท.่ี .........
รายวชิ า..................................................................................รหสั วชิ า......................................หน่วยการเรยี นท่ี ………………………………
ช่ือหน่วยการเรียน ...………..………………………..………………………....จานวนช่วั โมง……………….… กลุม่ เรยี น ............................................
จานวนผูเ้ รียน...................คน. เมื่อวนั ท…ี่ …………………………………. เรื่องทีส่ อน………….………...................…………………..…………………
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
1. กจิ กรรมการเรยี นการสอน (สามารถระบุได้หลายหวั ข้อตามที่ปฏบิ ตั ิจริง โดยใชเ้ ครื่องหมาย
1.1 วิธกี ารสอน
บรรยาย สาธติ ทดลอง ปฏิบัติ กิจกรรมกลุ่ม
การนาเสนอผลงาน อื่นๆ (ระบ)ุ ……………..………………….......................................
1.2 ส่ือการเรยี นการสอน
โปรแกรมนาเสนอ ใบความรู้ ใบงาน ข้อสอบ วดี ิทศั น์
แบบประเมนิ เวบ็ ไซต์ อืน่ ๆ (ระบ)ุ .............………….……………..…………..
2. ผลการดาเนนิ กจิ กรรมการเรียนการสอน
2.1 ดา้ นผสู้ อน
สอนตามแผนการเรยี นครบตามเนอ้ื หา สอนตามแผนการเรียน ไมค่ รบตามเนือ้ หา
เน้ือหาการสอนเหมาะสมกบั เวลา เนื้อหาการสอนไมเ่ หมาะสมกบั เวลา
2.2 ด้านผูเ้ รียน
มีความสนใจในการเรยี น มีความสขุ ในการเรยี น
มีการพัฒนาด้านการเรยี น มีความรู้ และทักษะวชิ าชีพ อื่นๆ (ระบุ)……………..…
2.3 ดา้ นคณุ ลกั ษณะทพ่ี ึงประสงค์
มคี วามรบั ผิดชอบ มีระเบยี บวินยั มีความรกั สามัคคี มมี นุษยสมั พนั ธ์
มีความอดทน มีความซอ่ื สตั ย์ มคี วามเชอื่ มน่ั ในตนเอง มคี วามประหยดั
มคี วามกตญั ญู อน่ื ๆ (ระบุ).............................................................................
2.4 ดา้ นการวัดและประเมนิ ผล มี ไมม่ ี (ไมต่ อ้ งตอบข้อ 3.)
ถาม ตอบเปน็ รายบุคคล รายกลมุ่ สอบภาคปฏบิ ตั ิ สอบภาคทฤษฎี
แบบบนั ทกึ แบบสังเกต อน่ื ๆ(ระบ)ุ ....................................
3. ผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียน
ผ่านเกณฑ์ ……… คน คิดเป็นรอ้ ยละ …… ไมผ่ า่ นเกณฑ์ ……… คน คิดเปน็ รอ้ ยละ …………
4. ปัญหาอปุ สรรคท่ีเกิดขน้ึ ระหวา่ งการเรยี นการสอน
………………………………………………………………………………………………………………………………………...…………………………………………………………….
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..…………………………………..
5. แนวทางการแก้ไขปญั หาของครผู ู้สอน (เพือ่ เปน็ แนวทางในการทาวิจยั ในชน้ั เรยี น)
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………….………………………………………………..
ลงชือ่ ........................................ครูผสู้ อน ลงชอื่ ..................................... หวั หนา้ แผนก
(......................................... )…./....../...... (...........................................)…../....../........
107
แผนการจัดการเรยี นรู้ หนว่ ยท่ี ๘
วชิ า กฎหมายแรงงาน (๒๐๐๐๑-๑๐๐๔) สอนครั้งที่ 16-17
ชือ่ หน่วย : กฎหมายอตุ สาหกรรมดา้ นการผลิตและบริการ จานวน ๒ ช่วั โมง
1. สาระสาคัญ
นอกจากการคุม้ ครองสิทธิของแรงงานตามกฎหมายแรงงานแลว้ ยังมีกฎหมายสาหรบั ควบคมุ กิจกรรม
อุตสาหกรรมการผลิตและบริการ เพอื่ กากับการดาเนินการให้เป็นไปดว้ ยความเรียบร้อยและมีมาตรฐาน ได้แก่
การสร้างความปลอดภัยให้แก่แรงงานในภาคอุตสาหกรรมการผลิต การควบคุมการประกอบกิจการไม่ให้เกิด
ผลเสียต่อสิง่ แวดลอ้ ม การควบคมุ กจิ การในอตุ สาหกรรมบรกิ าร เพอ่ื สร้างมาตรฐานการดาเนินการทด่ี ี
2. สมรรถนะประจาหน่วยการเรยี นรู้
2.1 เข้าใจลักษณะของกิจกรรมอุตสาหกรรม
2.2 อธิบายความสาคัญของกฎหมายทเ่ี กย่ี วข้องกบั การควบคมุ อุตสาหกรรมด้านการผลิตและบริการ
2.3 ยกตวั อย่างกฎหมายทีเ่ ก่ียวข้องกบั การควบคุมอุตสาหกรรมดา้ นการผลติ และบรกิ าร
2.4 สามารถนาความรู้ท่ีศึกษาไปใช้ประโยชน์ในการควบคุมมาตรฐานอุตสาหกรรมด้านการผลติ และ
บรกิ ารได้จรงิ
3. จุดประสงค์การเรยี นรู้/การเรยี นรู้
3.1 จุดประสงคท์ ั่วไป
3.1.1 รแู้ ละเข้าใจลักษณะของกิจกรรมอตุ สาหกรรม
3.1.2 รู้และเข้าใจความสาคญั ของกฎหมายที่เกยี่ วข้องกับการควบคุมอตุ สาหกรรมด้านการ
ผลติ และบรกิ าร
3.1.3 รแู้ ละเขา้ ใจการควบคุมอตุ สาหกรรมด้านการผลติ และบริการ
3.2 จดุ ประสงค์เชิงพฤติกรรม
3.2.1 อธิบายลักษณะของกิจกรรมอตุ สาหกรรมได้
3.2.2 อธบิ ายความสาคัญของกฎหมายทเ่ี กีย่ วข้องกับการควบคมุ อุตสาหกรรมดา้ นการผลิต
และบริการได้
3.2.3 ยกตวั อยา่ งกฎหมายที่เก่ียวขอ้ งกับการควบคุมอตุ สาหกรรมดา้ นการผลิตและบริการได้
3.2.4 สามารถนาความรู้ท่ศี กึ ษาไปใชป้ ระโยชน์ในการควบคุมมาตรฐานอุตสาหกรรมดา้ นการ
ผลิตและบรกิ ารไดจ้ รงิ
4. เน้อื หาสาระ การสอน/การเรียนรู้
4.1 ลักษณะของกจิ กรรมอุตสาหกรรม
108
4.2 กฎหมายทเี่ กี่ยวข้องกับการควบคมุ อตุ สาหกรรมด้านการผลิตและบริการ
4.3 กฎหมายท่ีเกี่ยวกับความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดลอ้ มในการทางาน
4.4 กฎหมายท่เี กีย่ วกับการควบคุมและกากับดูแลโรงงานอุตสาหกรรม
5. กจิ กรรมการเรยี นการสอน
กจิ กรรมผเู้ รยี น กจิ กรรมผู้เรยี น
ข้นั เตรยี มกจิ กรรม (๑ ชวั่ โมง)
1. ผู้สอนชี้แจงรายละเอียดเก่ียวกับจุดประสงค์ 1. ผู้เรียนเตรยี มอปุ กรณก์ ารเรยี น
สมรรถนะและคาอธิบายรายวิชา การวัดผลและ
ประเมินผลการเรียน คุณลักษณะนิสัยที่ต้องการให้
เกดิ ข้ึน
2. ตรวจสอบรายชือ่ ตรวจการแต่งกาย และขอ้ ตกลง 2. ผู้เรียนทาความเข้าใจและจดบันทึกรายละเอียด
ในการเรียน เก่ยี วกับการเรียน
๓. แนะนาตัวทาความรู้จักระหว่างผู้สอนและผู้เรียน 3. รับฟังและยอมรับเหตุผล แล้วนาไปปฏิบัติการ
เรียน แก้ไขในพฤตกิ รรมท่ไี มถ่ ูกต้อง
๔. ต้ังกติกาในการเข้าเรียนการตรียมความพร้อม ๔. ผเู้ รยี นแนะนาตวั เองใหก้ ับเพื่อนๆ และครูผู้สอน
ของผู้เรียนเพื่อเข้าสู่สาระการเรียนรู้ โดยการเตรียม
วัสดุอุปกรณ์ หนังสือ เอกสารการสอน สมุด
แบบทดสอบกอ่ นและหลงั เรยี น
ข้นั นาเขา้ สบู่ ทเรียน (๑ ชัว่ โมง)
๕. ช้แี จงจุดประสงค์ของการเรียนรู้เร่ือง วิวฒั นาการ 5. ผู้เรียนเตรียมความพร้อม โดยมี สมุด หนังสือ
ของการขาย ความหมายของการขายและหน้าท่ี หรอื เอกสารการเรยี นรู้
ทางการขาย ความหมายของการตลาดและหน้าท่ี
ทางการตลาด ความสาคัญของการขายและ
การตลาด
๖. ช้ีให้เห็นความสาคัญของวิวัฒนาการของการขาย 6. จดบันทึกลงในสมุด และผู้เรียนจับกลุ่ม 5 คน
ความหมายของการขายและหน้าที่ทางการขาย และคดิ หาตวั แทนไวน้ าเสนอหนา้ ชั้นเรยี น
ความหมายของการตลาดและหน้าท่ีทางการตลาด
ความสาคัญของการขายและการตลาด ที่มีใช้ใน
ชวี ติ ประจาวนั ของผเู้ รียน
๗. ผู้สอนนาเข้าสู่บทเรียนด้วยการซักถาม และ 7. จดบันทกึ จุดประสงค์การเรียนรลู้ งสมุด
สนทนากับนักศึกษาดังน้ีวิวัฒนาการของการขาย วิวัฒนาการของการขาย ความหมายของการขาย
ความหมายของการขายและหน้าที่ทางการขาย และหน้าท่ีทางการขาย ความหมายของการตลาด
109
ความหมายของการตลาดและหน้าท่ีทางการตลาด และหน้าท่ีทางการตลาด ความสาคัญของการขาย
ความสาคญั ของการขายและการตลาด และการตลาด
๘. ผู้สอนให้ผู้เรียนทาแบบทดสอบก่อนเรียน เรื่อง 8. ผ้เู รยี นทาแบบฝึกหัดกอ่ นเรียนเรื่อง
ศึกษา วิวัฒนาการของการขาย ความหมายของการ วิวัฒนาการของการขาย ความหมายของการขาย
ขายและหน้าท่ีทางการขาย ความหมายของ และหน้าที่ทางการขาย ความหมายของการตลาด
การตลาดและหน้าที่ทางการตลาด ความสาคัญของ และหน้าท่ีทางการตลาด ความสาคัญของการขาย
การขายและการตลาด แล้วให้ผู้เรียนสลับกันตรวจ และการตลาด แล้วสลับกันตรวจแบบฝึกหัดก่อน
โดยฟังเฉลยจากผสู้ อนพร้อมกนั เรียน
ขนั้ ดาเนนิ การสอน (2 ชว่ั โมง)
๙. ผู้สอนอธิบายเน้ือหาตามหัวข้อ วิวัฒนาการของ 9. ตั้งใจฟงั และจดบนั ทกึ เน้ือหาทีส่ าคัญลงสมดุ
การขาย ความหมายของการขายและหน้าที่ทางการ
ขาย ความหมายของการตลาดและหน้าที่ทางการ
ตลาด ความสาคัญของการขายและการตลาด
๑๐. ผู้สอนบรรยายหน้าชั้นเรียนและยกตัวอย่าง
ประกอบ เกี่ยวกับวิวัฒนาการของการ ขาย 10. ฟังบรรยายอย่างตงั้ ใจ
ความหมายของการขายและหน้าท่ีทางการขาย
ความหมายของการตลาดและหน้าที่ทางการตลาด
ความสาคญั ของการขายและการตลาด
๑๑. ผู้สอนให้ผู้เรียนแบ่งกลุ่ม สรุปเน้ือหาสาระท่ี
เรียนพร้อมท้ังนาเสนอหน้าชั้นเรียนโดยผู้สอนเป็นผู้
สมุ่ เรยี ก 11. ผู้เรยี นจบั กลุม่ และส่งตวั แทนนาเสนอ
1๒. ผู้สอนสุ่มเรียกตัวแทนผ้เู รียนแต่ละกลมุ่ ออกมา
ยกตัวอยา่ งเอกสารการรับ-ส่งสินค้า
12. ผู้เรียนแต่ละกลุ่มส่งตัวแทนจับฉลากเพื่อ
นาเสนอหนา้ ช้ันเรียน 1 หวั ขอ้
ข้นั สรุป (๑ ชั่วโมง)
1๓. ผู้สอนและผู้เรียนช่วยกันสรุปในหัวข้อที่ 13. ผู้เรียนรับฟังคาสรุปและข้อเสนอแนะจากผู้สอน
นักศึกษานาเสนอพร้อมท้ังอธิบายเพิ่มเติมและสรุป พร้อมทั้งจดบันทึกข้อมูลซักถามหรือตอบคาถาม
110
เนื้อหาตามจุดประสงค์และเน้ือหาสาระการเรียนรู้ แสดงความคิดเห็นในหัวข้อท่ียังไม่เข้าใจ พร้อมทั้ง
พร้อมทั้งแนะนะหรือบอกแหล่งการหาข้อมูลจาก ส่งเสริมให้ผู้เรียนรู้จักการใช้เวลาว่างให้เกิด
อินเตอร์เน็ต เพ่ือผู้เรียนจะได้ศึกษาค้นคว้าเพ่ิมเติม ประโยชน์โดยการศึกษาข้อมูลทางอินเตอร์เน็ตเพื่อ
ได้ เป็นการฝึกใช้ระบบอิเล็คทรอนิกส์และเป็นการ
ห่างไกลจากยาเสพติดและเกมส์ต่าง ๆ
1๔. ผู้สอนให้ผเู้ รยี นทาแบบทดสอบหลงั เรยี น พรอ้ ม 14. ผู้เรียนทาแบบทดสอบหลังเรียน และนาส่ง
ท้ังตรวจงานสมดุ ผูส้ อน
6. สอื่ การเรียน-การสอนและแหล่งเรยี นรู้
1. สอ่ื สงิ่ พิมพ์
1.1 หนงั สือเรียนวิชา กฎหมายแรงงาน บริษัท สานักพิมพ์เอมพนั ธ์ จากัด
๑.๒ กจิ กรรมส่งเสริมคุณธรรมนาความรู้
1.3 แบบประเมนิ ผลการเรียนรู้ หนว่ ยที่ 8
2. โสตทศั น์
๒.๑ -
3. หุ่นจาลอง/ของจรงิ
-
4. สือ่ …………………………………………………………..
๔.๑ อินเทอร์เนต็ และเทคโนโลยี
7. แหลง่ การเรยี นการสอน/การเรยี นรู้
7.1 ในสถานศึกษา
- หอ้ งสมดุ
- อินเตอร์เน็ต
7.2 นอกสถานศกึ ษา
- อินเตอรเ์ น็ต
- หอ้ งสมุด ประชาชน
8. กจิ กรรมเสนอแนะ/งานท่ีมอบหมาย (ถา้ มี)
กอ่ นเรยี น
1. ตรวจรายชอ่ื ตรวจเครอ่ื งมือ และการแตง่ กาย
2. ต้งั กติกาในการเรยี น
3. อบรมคุณธรรม จริยธรรม
111
ขณะเรยี น
1. ศกึ ษาค้นคว้า
๒. กจิ กรรมส่งเสริมคุณธรรมนาความรู้
๓. สรปุ ความรู้
หลงั เรยี น
1. ทาแบบประเมนิ ผลการเรยี นรู้ หนว่ ยที่ 8
2. ถาม-ตอบขอ้ สงสยั
๓. สรปุ เนอ้ื หาและศกึ ษาเน้ือหาในเร่ืองต่อไป
๔. ทาความสะอาดห้องเรยี น
๙. เอกสารอ้างอิง
-
๑๐. การบรู ณาการ/ความสัมพันธ์กับรายวิชาอืน่
- กฎหมายพาณชิ ย์
- เศรษฐกิจพอเพียง
๑๑. รายละเอยี ดการประเมินผลการเรียน
จุดประสงค์ข้อที่ ๑ อธบิ ายลักษณะของกจิ กรรมอตุ สาหกรรมได้
2 วิธกี ารประเมนิ : ประเมินผลการเรียนรู้
5. เครอื่ งการประเมนิ : แบบประเมนิ ผลการเรยี นรู้
6. เกณฑ์การประเมิน : อธบิ ายลักษณะของกจิ กรรมอุตสาหกรรม
7. เกณฑ์การผ่าน : ผา่ นระดับรอ้ ยละ ๕0
จดุ ประสงคข์ ้อที่ ๒ อธบิ ายความสาคัญของกฎหมายท่เี กยี่ วขอ้ งกบั การควบคุมอุตสาหกรรมดา้ นการ
ผลติ และบริการได้
5. วิธีการประเมิน : ประเมินผลการเรยี นรู้
6. เครอ่ื งการประเมิน : แบบประเมินผลการเรียนรู้
7. เกณฑ์การประเมนิ : อธิบายความสาคัญของกฎหมายที่เกี่ยวข้องกบั การควบคุม
อุตสาหกรรมด้านการผลิตและบรกิ าร
8. เกณฑ์การผา่ น : ผ่านระดับร้อยละ ๕0
จดุ ประสงคข์ ้อท่ี ๓ ยกตัวอย่างกฎหมายท่ีเกย่ี วขอ้ งกบั การควบคุมอุตสาหกรรมด้านการผลิตและ
บรกิ ารได้
5. วิธีการประเมิน : ประเมนิ ผลการเรียนรู้
6. เครือ่ งการประเมิน : แบบประเมินผลการเรียนรู้
112
7. เกณฑ์การประเมิน : ยกตวั อยา่ งกฎหมายทเ่ี ก่ยี วข้องกบั การควบคมุ อุตสาหกรรม
ด้านการผลิตและบริการ
8. เกณฑ์การผ่าน : ผ่านระดับร้อยละ ๕0
จดุ ประสงคข์ ้อท่ี 4 สามารถนาความรู้ท่ศี ึกษาไปใชป้ ระโยชน์ในการควบคุมมาตรฐานอตุ สาหกรรม
ด้านการผลติ และบริการไดจ้ ริง
5. วิธกี ารประเมนิ : ประเมนิ ผลการเรยี นรู้
6. เคร่ืองการประเมิน : แบบประเมนิ ผลการเรียนรู้
7. เกณฑ์การประเมิน : นาความรูท้ ี่ศึกษาไปใช้ประโยชนใ์ นการควบคุมมาตรฐาน
อตุ สาหกรรมดา้ นการผลติ และบริการ
8. เกณฑ์การผ่าน : ผ่านระดบั ร้อยละ ๕0
113
กจิ กรรมสง่ เสริมคุณธรรมนาความรู้
คาชีแ้ จง ให้นักเรยี นร่วมอา่ นขอ้ ความตอ่ ไปน้ีแลว้ อภิปรายรว่ มกัน
การสร้างเสริมความปลอดภยั อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทางานประการหนึ่ง คือ ต้อง
สรา้ งจติ สานกึ และความรับผิดชอบทดี่ ีให้เกดิ ขนึ้ ในตวั บุคลากรทกุ ฝา่ ย
ถ้าท่านเป็นนายจ้างต้องรับผิดชอบลูกจ้างและดูแลสภาพแวดล้อมในการทางานให้มีความปลอดภัย
อาชวี อนามัยทีด่ ี ท่านควรบรหิ ารจัดการอยา่ งไร
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
114
แบบประเมินผลการเรยี น หนว่ ยที่ ๘
เร่ือง กฎหมายอตุ สาหกรรมดา้ นการผลติ และบรกิ าร
ตอนที่ ๑ จงเลือกคาตอบทีถ่ ูกต้องทีส่ ุดเพยี งคาตอบเดยี ว
1. ขอ้ ใดจดั เปน็ กิจกรรมอุตสาหกรรม ข. ท่าเรือ
ก. โรงงานผลิตยางรถยนต์ ง. ถกู ทุกขอ้
ค. การท่องเทยี่ ว
๒. ข้อใดเป็นอุตสาหกรรมบริการ ข. อุตสาหกรรมเหลก็ และเหล็กกล้า
ก. อุตสาหกรรมปิโตรเคมี ง. อุตสาหกรรมยานยนต์
ค. อตุ สาหกรรมก่อสรา้ ง
3. เพราะเหตใุ ดจึงต้องมกี ฎหมายทีเ่ กีย่ วกับการควบคุมอตุ สาหกรรมด้านการผลติ และบรกิ าร
ก. เพราะปอ้ งกันความเสียตอ่ ชีวิตและรา่ งกายทเ่ี กดิ ขน้ึ กับแรงงาน
ข. เพื่อคุ้มครองสงิ่ แวดล้อมและประชาชนโดยรอบ
ค. เพื่อสรา้ งมารตฐานในอุตสาหกรรมการผลติ และบรกิ าร
ง. ถูกทกุ ข้อ
4. ความปลอดภัย อาชวี อนามยั และสภาพแวดลอ้ มในการทางาน หมายความถึงข้อใด
ก. การกระทา หรือสภาพการทางาน
ข. การกระทานั้นปลอดจากเหตุอันจะทาให้เกิดการประสบอันตรายต่อชีวิต ต่อร่างกาย ต่อจิตใจ หรือต่อ
สขุ ภาพอนามัย
ค. อนั เน่ืองจากการทางาน หรือเกีย่ วกับการทางาน
ง. ถูกทกุ ข้อ
5. จากข้อความในข้อ ๑ นายจ้างทด่ี ีควรยึดหลกั การทางานเพ่ือให้เกิดความปลอดภยั กับลูกจ้างในขอ้ ใด
ก. ยดึ หลักการจัดการ เช่น ใชค้ นให้เมาะสมกบั งานและความรู้ความสามารถ
ข. ยดึ หลักการคงุ้ ครอง เชน่ มใิ หท้ างานกบั งานท่ีเสี่ยงอนั ตรายเกินไป
ค. ยึดหลักการป้องกนั เชน่ มใิ หม้ กี ล่นิ เหมน็ ฝนุ่ ละออง และเสียงท่ีเกนิ ขนาด
ง. ถูกทกุ ข้อ
115
๖. ข้อใดไม่จัดเป็นมาตรการในการควบคุมโรงงานอตุ สาหกรรม
ก. กาหนดหลกั เกณฑเ์ ก่ียวกบั ทตี่ ั้งโรงงาน
ข. กาหนดลักษณะ ประเภทของเครื่องจกั ร
ค. กาหนดให้มีคนงานซ่ึงมีความรู้ความสามารถเฉพาะตามประเภท ชนิดหรือขนาดของโรงงาน เพ่ือปฏิบัติ
หนา้ ท่หี นึ่งหน้าท่ีใดประจาโรงงาน
ง. การกาหนดจานวนคนงานข้นั ตา่ ในโรงงานอุตสาหกรรม
7. กฎหมายควบคมุ การปลอ่ ยมลภาวะทางนา้ ของกจิ กรรมอุตสาหกรรมในลักษณะข้อใด
ก. กาหนดมาตรฐานควบคุมการระบายน้าทิ้งจากโรงงาน
ข. กาหนดใหโ้ รงงานที่ตอ้ งมีระบบาบัดน้าเสยี ต้องติดต้ังเคร่ืองมือ หรือเครอ่ื งอปุ กรณ์พิเศษ
ค. กาหนดมาตรการควบคุมปรมิ าณความสกปรกของน้าทง้ิ จากภาคอุตสาหกรรม
ง. ถกู ทุกข้อ
8. งานในประเภทใดไม่ปรากฏวา่ เปน็ งานอตุ สาหกรรมตามประกาศกระทรวงมหาดไทยเร่ืองการคุม้ ครอง
แรงงาน พ.ศ. 2515
ก. การทาเหมืองแร่ ข. การต่อเรือ
ค. การกอ่ สรา้ งสนามบิน ง. ห้างสรรพสนิ คา้
9. สถานประกอบการท่มี ลี กู จ้างจานวนเทา่ ใด จาเปน็ ท่จี ะต้องมแี ผนป้องกนั และระงับอคั คภี ยั
ก. ๕ คนขนึ้ ไป ข. ๑๐ คนขน้ึ ไป
ค. ๑๕ คนข้นึ ไป ง. ๒๐ คนขึ้นไป
10. ข้อใดกล่าวถูกต้อง
ก. กิจการอตุ สาหกรรม หมายถงึ กิจกรรมทางเศรษฐกจิ ทีด่ าเนินการในโรงงานอตุ สาหกรรม
ข. อตุ สาหกรรมผลติ ชิน้ สว่ นยานยนตเ์ ปน็ อุตสาหกรรมบรกิ าร
ค. การกาหนดแนวปฏิบัติด้านอาชีวอนามัย ส่วนหนึ่งเพื่อเป็นการคุ้มครองสวัสดิภาพของลูกจ้างในโรงงาน
อตุ สาหกรรม
ง. ปัจจุบันประเทศไทยมีเพียงกฎหมายที่ควบคุมการปล่อยมลพิษทางน้าและอากาศ ยังขาดกฎหมายท่ี
เกยี่ วกับมลพษิ ในดนิ และน้าใต้ดนิ
116
แบบฝกึ หัด
เรือ่ ง กฎหมายอตุ สาหกรรมดา้ นการผลิตและบริการ
คาชแี้ จง จงตอบคาถามตอ่ ไปน้ตี ามหลกั กฎหมาย
๑. คาว่านายจา้ งตามพระราชบญั ญัติความปลอดภัย อาชีวอนามยั และสภาพแวดล้อมในการทางาน พ.ศ.2554
มีความหมายเช่นเดียวกับพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 และให้หมายความรวมถึงบุคคงตาม
พระราชบัญญัตินก้ี าหนด
…………………………………………………………………………………………………………………..………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………..……………………………………
………………………………………………………………………………………………………………..…………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
……………………………………………………………………………………………………………..……………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………
2. กฎกระทรวงวา่ ดว้ ยกาหนดมาตรฐานในการบริการจัดการ และดาเนินการด้านความปลอดภยั อาชวี อนามัย
และสภาพแวดล้อมในการทางานเกย่ี วกับการป้องกนั และระงับอัคคีภัย พ.ศ. 2555 กาหนดไว้มจี านวนหลาย
ข้อ จงบอกมาเพียง ๒ ข้อ
…………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………..……………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………..………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………..…………………………………………………………
3. หน้าทโ่ี ดยทวั่ ไปของนายจา้ งจะตอ้ งดาเนนิ เพอ่ื ใหเ้ กดิ ความปลอดภยั แก่สถานประกอบกจิ การและลกู จ้าง
ของตนอยา่ งไรบ้าง บอกมา ๓ ขอ้
………………………………………………………………………………………………..…………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………..………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………..……………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
………………………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………..……………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
117
๔. กรณีลกู จ้างประสบอนั ตรายหรอื เจ็บปว่ ยตามกฎหมายว่าด้วยเงินทดแทน คือได้รับอันตรายหรอื เจบ็ ป่วย
เพราะทางานใหน้ ายจา้ ง เม่ือนายจา้ งแจง้ การประสบอันตรายหรอื เจบ็ ปว่ ยตอ่ สานักงานประกันสงั คมตาม
กฎหมายเงินทดแทนแลว้ นายจา้ งจะต้องปฏบิ ตั อิ ยา่ งไรต่อไป
………………………………………………………………………………………..…………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………..………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………..……………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
………………………………………………………………………………………………..…………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………..………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………..……………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
๕. กรณีที่พนักงานตรวจความปลอดภัย พบว่า นายจ้าง ลูกจ้าง หรือผู้ท่ีเก่ียวข้อง ฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตาม
พระราชบัญญัติน้ี หรือกฎกระทรวงท่ีออกตามพระราชบัญญัตินี้ เช่น พบว่าสภาพแวดล้อมในการทางาน
อาคาร สถานท่ี เครื่องจัก หรืออุปกรณ์ท่ีลูกจ้างใช้ก่อให้เกิดความไม่ปลอดภัยแก่ลูกจ้างหรือผู้ปฏิบัติ พนักงาน
ตรวจความปลอดภัยมีอานวจอยา่ งไร
………………………………………………………………..…………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………..………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………..……………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
………………………………………………………………………..…………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………..………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………..……………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
118
บนั ทกึ หลังการสอนครง้ั ท.ี่ .........
รายวชิ า..................................................................................รหสั วชิ า......................................หน่วยการเรยี นท่ี ………………………………
ชือ่ หน่วยการเรียน ...………..………………………..………………………....จานวนช่วั โมง……………….… กลุม่ เรยี น ............................................
จานวนผูเ้ รียน...................คน. เมื่อวนั ท…ี่ …………………………………. เรื่องที่สอน………….………...................…………………..…………………
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
1. กจิ กรรมการเรยี นการสอน (สามารถระบุได้หลายหวั ข้อตามที่ปฏบิ ตั ิจริง โดยใช้เครื่องหมาย
1.1 วิธกี ารสอน
บรรยาย สาธติ ทดลอง ปฏิบัติ กิจกรรมกลุ่ม
การนาเสนอผลงาน อื่นๆ (ระบ)ุ ……………..………………….......................................
1.2 ส่ือการเรยี นการสอน
โปรแกรมนาเสนอ ใบความรู้ ใบงาน ขอ้ สอบ วดี ิทศั น์
แบบประเมนิ เวบ็ ไซต์ อืน่ ๆ (ระบ)ุ .............………….……………..…………..
2. ผลการดาเนนิ กจิ กรรมการเรียนการสอน
2.1 ดา้ นผสู้ อน
สอนตามแผนการเรยี นครบตามเนอ้ื หา สอนตามแผนการเรียน ไมค่ รบตามเนือ้ หา
เน้ือหาการสอนเหมาะสมกบั เวลา เนื้อหาการสอนไม่เหมาะสมกบั เวลา
2.2 ด้านผูเ้ รียน
มีความสนใจในการเรยี น มีความสขุ ในการเรยี น
มีการพัฒนาด้านการเรยี น มีความรู้ และทักษะวชิ าชีพ อืน่ ๆ (ระบุ)……………..…
2.3 ดา้ นคณุ ลกั ษณะทพ่ี ึงประสงค์
มคี วามรบั ผิดชอบ มีระเบยี บวินยั มีความรกั สามัคคี มมี นุษยสมั พนั ธ์
มีความอดทน มีความซอ่ื สตั ย์ มคี วามเชอื่ มน่ั ในตนเอง มีความประหยดั
มคี วามกตญั ญู อน่ื ๆ (ระบุ).............................................................................
2.4 ดา้ นการวัดและประเมนิ ผล มี ไมม่ ี (ไมต่ อ้ งตอบข้อ 3.)
ถาม ตอบเปน็ รายบุคคล รายกลมุ่ สอบภาคปฏบิ ตั ิ สอบภาคทฤษฎี
แบบบนั ทกึ แบบสังเกต อน่ื ๆ(ระบ)ุ ....................................
3. ผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียน
ผ่านเกณฑ์ ……… คน คิดเป็นรอ้ ยละ …… ไมผ่ า่ นเกณฑ์ ……… คน คิดเป็นรอ้ ยละ …………
4. ปัญหาอปุ สรรคท่ีเกิดขน้ึ ระหวา่ งการเรยี นการสอน
………………………………………………………………………………………………………………………………………...…………………………………………………………….
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..…………………………………..
5. แนวทางการแก้ไขปญั หาของครผู ู้สอน (เพือ่ เปน็ แนวทางในการทาวิจยั ในชน้ั เรยี น)
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………….………………………………………………..
ลงชือ่ ........................................ครูผสู้ อน ลงช่ือ..................................... หวั หนา้ แผนก
(......................................... )…./....../...... (...........................................)…../....../........