รายงานวิจัยในชั้นเรียน การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์และทักษะ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เรื่อง ส่วนต่างๆ ของพืชดอก ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนนิบงชนูปถัมภ์ โดยใช้การจัดการเรียนเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD ร่วมกับ เทคนิค POE โดย นาฟีซ๊ะห์ ปีไสย รายงานการวิจัยนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชา ปฏิบัติการสอนในสถานศึกษา 4 ระดับปริญญาตรี สาขาวิทยาศาสตร์ทั่วไป คณะวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและการเกษตร มหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา ปีการศึกษา 2566
อนุมัติวิจัยในชั้นเรียน ชื่อวิจัย การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์และทักษะกระบวนการทาง วิทยาศาสตร์ เรื่อง ส่วนต่างๆของพืชดอก ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนนิบงชนูปถัมภ์ โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD ร่วมกับเทคนิค POE ผู้วิจัย นางสาวนาฟีซ๊ะห์ ปีไสย สาขาวิชา วิทยาศาสตร์ทั่วไป คณะกรรมการที่ปรึกษา ………………………………………………………………….กรรมการ (อาจารย์ดร. ปัทมา พิศภักดิ์) (อาจารย์นิเทศประจ าหลักสูตร) ………………………………………………………………….กรรมการ (นายฮาซัน อากาปาแย) (ครูพี่เลี้ยง) รายงานการวิจัยนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชาปฏิบัติการสอนในสถานศึกษา 4 ระดับปริญญาตรี สาขาวิชาวิทยาศาสตร์ทั่วไป คณะวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและการเกษตร มหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา ปีการศึกษา 2566
ก ชื่อเรื่อง การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์และทักษะกระบวนการ ทางวิทยาศาสตร์ เรื่อง ส่วนต่างๆของพืชดอก ของนักเรียนชั้ประถมศึกษาปี ที่ 4 โรงเรียนนิบงชนูปถัมภ์ โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD ร่วมกับเทคนิค POE ผู้วิจัย นาฟีซ๊ะห์ ปีไสย สาขาวิชา วิทยาศาสตร์ทั่วไป ปีการศึกษา 2566 บทคัดย่อ การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื ่อ 1) เพื ่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิทยาศาสตร์ เรื่อง ส่วนต่างๆ ของพืชดอก ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้การ จัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD ร่วมกับเทคนิค POE 2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียน เรื่อง ส่วนต่างๆ ของพืชดอก ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ระหว่างก่อน และหลังการใช้การจัดการเรียนรู้แบบร ่วมมือเทคนิค STAD ร ่วมกับเทคนิค POE ในการ พัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ ภาคเรียนที ่ 1 ปีการศึกษา 2566 โรงเรียนนิ บงชนูปถัมภ์ อ าเภอเมือง จังหวัดยะลา จ านวนนักเรียน 38 คน ซึ่งได้มาจากการเลือกแบบ เจาะจง (Purposive sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้ แบบร่วมมือเทคนิค STAD ร่วมกับเทคนิค POE เรื่องส่วนต่างๆ ของพืชดอก 2) แบบทดสอบ วัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ พบว่า นักเรียนที่จัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD ร่วมกับเทคนิค POE หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ 0.5 3) แบบประเมินทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ (ทักษะการสังเกต และทักษะการ จ าแนกประเภท) เรื ่องส ่วนต ่างๆ ของพืชดอก ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที ่ 4 โดย ภาพรวมอยู่ในระดับดี พบว่า มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 2.47 ค าส าคัญ : แผนการจัดการเรียนรู้ , ผลสัมฤทธิ์ , ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
ข Title The Development of scientific and process learning skills. Scientific, plant-specific aspects of Prathomsuksa 4 Nibongchanupathupatham school. pupil using the STAD collaborative learning management technique in conjunction with the POE technique. Researchers Nafisah Pisai Major Program General Science Academic Year 2023 Abstract The research aimed 1) To develop the scientific impact of different parts of the flower plant of 4th grade students using the STAD collaborative learning management technique in conjunction with the POE technique. 2) To compare the academic impact of various parts of flower plants of Prathomsuksa 4 Nibongchanupathupatham school. students during the pre-test and post-test learning management , STAD combined with POE techniques in the development of scientific learning impact. (Purposive sampling) The tools used in the research include: 1) the STAD Technical Collaborative Learning Plant , combined with the POE Technique, on the various parts of the plant. 2 ) the Science Effect Test, which measured the effectiveness of the science lesson , found that the students who managed to learn the STAD Technique in combination with the postgraduate PoE Techniques were significantly statistically significant at the level of 0 . 5 3 ) the evaluation of the scientific process skills (observation skills and classification skills) on the different parts of a plant of of Prathomsuksa 4. Overall, it's good. It's an average of 2.47 Keywords : Learning Management Plan, Effect, Scientific Process Skills
ค กิตติกรรมประกาศ งานวิจัยฉบับนี้ส าเร็จลุล่วงไปด้วยดี เนื่องจากได้รับความกรุณาอย่างสูงจากอาจารย์ ที ่ปรึกษา ดร.โรซวรรณา เซฟโฆลาม อาจารย์ที ่ปรึกษางานวิจัยที ่กรุณาให้ค าแนะน า ค าปรึกษา ตลอดจนปรับปรุงแก้ไขข้อบกพร่องต ่างๆ ด้วยความเอาใจใส ่อย ่างดียิ ่ง ผู้วิจัย ตระหนักถึงความตั้งใจจริงและความทุ่มเทของอาจารย์ และขอกราบขอบคุณเป็นอย่างสูงไว้ ณ ที่นี้ ขอบคุณโรงเรียนนิบงชนูปถัมภ์ อ าเภอเมือง จังหวัดยะลา ที่ได้ให้ความร่วมมือในการ วิจัยครั้งนี้ และขอบคุณคณะครูและนักเรียนโรงเรียนนิบงชนูปถัมภ์ ที่ให้ความร่วมมือ อนึ่ง ผู้วิจัยหวังว่างานวิจัยฉบับนี้จะมีประโยชน์อยู ่ไม ่น้อย จึงขอมอบส ่วนดีทั้งหมดที ่มีให้แก่ อาจารย์ทุกท่านที่ได้ให้ความรู้ ท าให้ผลงานวิจัยเป็นประโยชน์ต่อผู้เกี่ยวข้อง ขอขอบคุณครูฮาซัน อากาปาแย ครูเสาวคนธ์ แย่งคุณเชาว์ เละครูมารียา หวังบือซา ครูประจ ากลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ผู้ทรงคุณวุฒิที ่กรุณาให้ค าแนะน าและความ อนุเคราะห์ตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือที่ใช้ในการท าวิจัย อนึ่งผู้วิจัยหวังว่างานวิจัยฉบับนี้มี ประโยชน์และคุณค่า และขอขอบคุณทุกท่านที่เกี่ยวข้อง ส่งเสริมให้ผู้วิจัยมีโอกาสได้ศึกษา ท าให้ผู้วิจัยได้มีโอกาสท างานวิจัยฉบับนี้ส าเร็จลุล ่วงไปด้วยดีส าหรับข้อบกพร ่องต่างๆ ที่ อาจจะเกิดขึ้นนั้น ผู้วิจัยขอน้อมรับและยินดีที่จะรับฟังค าแนะน าจากทุกท่านที่เข้ามาศึกษา เพื่อเป็นประโยชน์ในการพัฒนางานวิจัยต่อไป นาฟีซ๊ะห์ปีไสย ตุลาคม 2566
สารบัญ เรื่อง หน้า บทคัดย่อ.............................................................................................................................ก Abstract............................................................................................................................ข กิตติกรรมประกาศ ..............................................................................................................ค สารบัญ.................................................................................................................................. สารบัญตาราง........................................................................................................................ สารบัญภาพ........................................................................................................................1 บทที่ 1 บทน า.....................................................................................................................1 1.1 ที่มาและความส าคัญ...............................................................................................1 1.2 วัตถุประสงค์การวิจัย..............................................................................................3 1.3 ขอบเขตของโครงการวิจัย.......................................................................................3 1.4 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ .....................................................................................4 1.5 นิยามศัพท์จ าเพาะ..................................................................................................4 บทที่ 2 ทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง..............................................................................7 2.1 แนวคิด ทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง.......................................................................................7 2.2 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง...............................................................................................22 บทที่ 3 วิธีการด าเนินการวิจัย..........................................................................................28 3.1 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง...................................................................................28 3.2 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย.......................................................................................28 3.3 การรวบรวมข้อมูล................................................................................................29
สารบัญ (ต่อ) เรื่อง หน้า 3.4 การวิเคราะห์ข้อมูล...............................................................................................30 3.5 สถิติที่ใช้ในการวิจัย...............................................................................................31 บทที่ 4 ผลวิจัย ................................................................................................................34 4.1ผลการวิเคราะห์ข้อมูล............................................................................................34 บทที่5 สรุปผลการวิจัยและข้อเสนอแนะ........................................................................37 5.1 สรุปผลการวิจัย.....................................................................................................37 5.2 อภิปรายผล..........................................................................................................37 5.2 ข้อเสนอแนะ.........................................................................................................38 บรรณานุกรม ....................................................................................................................39 ภาคผนวก ก.....................................................................................................................42 ภาคผนวก ข .................................................................................................................... 93 ภาคผนวก ค .....................................................................................................................95 ประวัติผู้วิจัย...................................................................................................................101
สารบัญตาราง เรื่อง หน้า ตารางที่ 4.1 ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง ส่วนต่างๆ ของพืช ดอก ……………………………………………………………………………………………………………………..35 ตารางที่ 4.2 ผลการวิเคราะห์การเปรียบเทียบแบบประเมินทักษะกระบวนการทาง วิทยาศาสตร์ เรื่องส่วนต่างๆ ของพืชดอก…………………………………………………..………………36
1 บทที่1 บทน า 1.1 ที่มาและความส าคัญ วิทยาศาสตร์มีบทบาทส าคัญอย ่างยิ ่งในสังคมโลกปังจุบันและอนาคต เพราะ วิทยาศาสตร์เกี ่ยวข้องกับทุกคนทั้งในชีวิตประจ าวันและการงานอาชีพต ่างๆ ตลอดจน เทคโนโลยีเครื่องมือ เครื่องใช้และผลผลิตต่างๆ ที่มนุษย์ได้ใช้เพื่ออ านวยความสะดวกใน ชีวิตและการท างานเหล ่านี้ล้วนเป็นผลของความรู้วิทยาศาสตร์ ผสมผสานกับความคิด สร้างสรรค์และศาสตร์อื่นๆ วิทยาศาสตร์ช่วยให้มนุษย์ได้พัฒนาวิธีคิดทั้งความคิดเป็นเหตุเป็น ผล คิดสร้างสรรค์ คิดวิเคราะห์ มีทักษะส าคัญในการค้นคว้าหาความรู้มีความสามารถในการ แก้ปัญหาอย่างเป็นระบบสามารถตัดสินใจ โดยใช้ข้อมูลที่หลากหลายและมีประจักษ์พยานที่ ตรวจสอบได้ วิทยาศาสตร์เป็นวัฒนธรรมของโลกสมัยใหม ่ซึ ่งเป็นสังคมแห ่งการเรียนรู้ (Knowledge-based society) ดังนั้นทุกคนจึงจ าเป็นต้องได้รับการพัฒนาให้รู้วิทยาศาสตร์ เพื่อที่จะมีความรู้ มีความเข้าใจในธรรมชาติและเทคโนโลยีที่มนุษย์สร้างสรรค์ขึ้น สามารถน า ความรู้ไปใช้อย่างมีเหตุผล สร้างสรรค์ และมีคุณธรรม (ส านักงานวิชาการและมาตรฐานการ ศึกบา, 2551) ดั้งนั้นเป้าหมายของการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันนี้มุ ่งเน้นให้ นักเรียนเรียนรู้จากการปฏิบัติจริง การเรียนวิทยาศาสตร์จึงมีการทคลองเป็นพื้นฐานส าคัญ เพื่อน าไปสู่หลักการและทฤษฎี การเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ในปัจจุบัน จึงใช้ผสมผสานทั้ง ทฤษฎีและการทคลองเข้าด้วยกัน (วรรณทิพา รอดแรงค้า , 2532) พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ การจัดการศึกษาต้องยึดหลักว่านักเรียนทุกคนมี ความสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้ และถือว่านักเรียนมีความส าคัญที่สุด กระบวนการ จัดการศึกษาต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาตามธรรมชาติและเต็มศักยภาพ การจัดการ ศึกษาต้องเน้นความส าคัญด้านความรู้และด้านทักษะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รวมทั้ง ความรู้ความเข้าใจ และประสบการณ์เรื่องการจัดการธรรมชาติและสิ่งเวคล้อมอย่างสมดุล ยั่งยืน และการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรการบ ารุงรักษา และการจัดกระบวนการเรียนรู้ จะต้องด าเนินการ จัดเนื้อหาสาระ และกิจกรรมให้สอดคล้องกับความสนใจและความถนัด ของนักเรียน โดยฝึกทักษะกระบวนการคิด การจัดการ การเผชิญสถานการณ์ และการ
2 ประยุกต์ความรู้ไปใช้ เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหา และจัดกิจกรรมให้นักเรียนได้เรียนรู้จาก ประสบการณ์จริง ฝึกการปฏิบัติให้ท าได้ คิดเป็น ท าเป็น รักการอ่าน และเกิดการใฝ่รู้อย ่าง ต่อเนื่อง ส่งเสริมสนับสนุนจัดบรรยากาศ สภาพแวดล้อมสื่อการเรียน และสิ่งอ านวยความ สะดวก เพื่อให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้และมีความรอบรู้ ทั้งนี้ผู้สอนและนักเรียนอาจเรียนรู้ ไปพร้อมกันจากสื ่อการเรียนการสอนและแหล ่งวิทยาการต ่างๆ (กระทรวงศึกษาธิการ , 2545) เทคนิคท านาย-สังเกต-อธิบาย (Predict-Observe-Explain: POE) เป็นเทคนิคการ จัดการเรียนรู้ที่ท าให้นักเรียนมีการเรียนรู้จากการท านาย (Predict) การสังเกต (Observe) และการอธิบาย (Explain) ช่วยกระตุ้นให้นักเรียนสนใจ มุ่งมั่นในการทดลอง โดยให้นักเรียน ท านายผลที่เกิดขึ้นล่วงหน้าก่อนลงมือท ากิจกรรมเพื่อให้นักเรียนสังเกตอย่างจดจ่อ ละเอียด รอบคอบ น าผลที่ได้จากการสังเกตมาอธิบาย และเปรียบเทียบกับสิ่งที่ท านายไว้ นักเรียน จะ รู้สึกสนุกสนาน และท้าทายในการค้นหาความรู้เพื ่อตรวจสอบผลการท านายของตนเอง (สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี, 2554, หน้า85) การจัดกิจกรรม การ เรียนรู้ด้วยเทคนิค POE ท าให้นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และทักษะการคิดวิเคราะห์ สูงขึ้น (ณริศรา อรรฆยมาศ, 2559, หน้า 90-99) การเรียนการสอนรูปแบบกลุ ่มร ่วมมือ โดยใช้เทคนิค STAD (Student Team Achievement Division) หมายถึง การเรียนตามขั้นตอนการเรียนแบบกลุ่มร่วมมือ จะเป็น การเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นส าคัญ ผู้เรียนได้ศึกษาเรียนรู้เนื้อหาในบทเรียนด้วยตนเอง กับเพื่อนสมาชิกในกลุ่ม มีการร่วมกันแสดงความคิดเห็น และช่วยกันหาค าตอบของค าถามที่ ครูผู้สอนได้แจกให้ ท าให้ผู้เรียนแต่ละคนเกิดความเข้าใจกับเนื้อหาและได้รับความรู้อย่างเท่า เทียมกัน อีกทั้งยังส่งผลให้ผู้เรียนรู้จักที่จะท างานร่วมกันกับผู้อื่น มีปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อร่วม ห้อง เมื่อถึงเวลาแยกย้ายท าแบบทดสอบก็สามารถท าคะแนนได้มากขึ้นอีกด้วย (อทิติยา สวย รูป, 2556) จากเหตุผลและความส าคัญดังกล่าวข้างต้น ผู้วิจัยจึงมีความสนใจที่น าการจัดการ เรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD ร่วมกับเทคนิค POE เพื่อให้นักเรียนมีทักษะกระบวนการ ทางวิทยาศาสตร์ที่ดี สามารถลงมือปฏิบัติการท างานเป็นกลุ่มได้ และเพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนของนักเรียนที่เรียนโดยการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD ร่วมกับ
3 เทคนิค POE ซึ ่งจะเป็นแนวทางในการน ามาใช้พัฒนาการจัดกิจกรรมการเรียนรู้รายวิชา วิทยาศาสตร์และวิชาอื่นๆ อีกต่อไป 1.2 วัตถุประสงค์การวิจัย 1) เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ เรื่อง ส่วนต่างๆ ของพืชดอก ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบร ่วมมือเทคนิค STAD ร่วมกับเทคนิค POE 2) เพื ่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื ่อง ส ่วนต ่างๆ ของพืชดอก ของ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ระหว่างก่อนและหลังการใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิค STAD ร่วมกับเทคนิค POE 1.3 ขอบเขตของการวิจัย 1.3.1 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 1) ประชากร ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนนิบงชนูปถัมภ์ อ าเภอเมือง จังหวัดยะลา ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 จ านวน 8 ห้อง รวม 306 คน 2) กลุ่มตัวอย่าง นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนนิบงชนูปถัมภ์ อ าเภอเมือง จังหวัดยะลา ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 จ านวน 1 ห้อง รวม 38 คน ได้มาจากการเลือกแบบเจาะจง (Purposive sampling) 1.3.2 เนื้อหาที่ใช้ในการศึกษา กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 เรื่อง ส่วนต่างๆ ของพืชดอก จ านวน 12 ชั่วโมง 1.3.1 ตัวแปรที่ศึกษา 1) ตัวแปรต้น คือ การจัดการเรียนเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD ร่วมกับเทคนิค POE
4 2) ตัวแปรตาม คือ 1. การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ 2. ทักษะกระบวนการเรียนรู้ทางวิทยาศาสตร์ - ทักษะการสังเกต - ทักษะการจ าแนกประเภท 1.4 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 1) นักเรียนได้รับการเรียนรู้แบบร ่วมมือเทคนิค STAD ร ่วมกับเทคนิค POE มี คะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนไม่ต ่ากว่าร้อยละ 80 ของคะแนนเต็ม 2) นักเรียนได้รับการเรียนรู้แบบร ่วมมือ มีทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ พื้นฐานสูงขึ้น 3) นักเรียนได้รับการเรียนรู้วิชาวิทยาศาสตร์แบบร ่วมมือเทคนิค STAD ร่วมกับ เทคนิค POE มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์สูงขึ้น 1.5 นิยามศัพท์จ าเพาะ 1) การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค STAD การเรียนการสอนรูปแบบกลุ ่มร ่วมมือ โดยใช้เทคนิค STAD (Student Team Achievement Division) หมายถึง การเรียนตามขั้นตอนการเรียนแบบกลุ่มร่วมมือ โดยใช้ เทคนิคแบบแบ่งกลุ่มผลสัมฤทธิ์โดยมีนักเรียนเรียนเป็นกลุ่มย่อยกลุ่มละ 4-5 คน ให้สมาชิกใน กลุ่มมีระดับความสามารถทางการเรียนที่แตกต่างกันคือเก่ง ปานกลาง อ่อน เรียนร่วมกัน โดยนักเรียนจะมีคะแนนความรู้พื้นฐานของแต่ละบุคคล เรียกว่า คะแนนฐาน (Base Score) การเริ่มบทเรียนครูเป็นผู้สอนฝึกทักษะ โดยการฝึกทักษะร่วมกันเป็นกลุ่ม มีการปรึกษาและ แก้ไขข้อผิดพลาดร่วมกัน มีการแบ่งหน้าที่กันท าและต้องผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนหน้าที่กันทุก ครั้งในการเรียน สมาชิกของกลุ่มจะต้องช่วยเหลือกันเพื่อให้ทุกคนเข้าใจบทเรียน หลังจบ บทเรียนก็จะต้องท าแบบทดสอบเป็นรายบุคคล และน าคะแนนทดสอบเทียบกับคะแนนฐาน ของแต่ละคน โดยเน้นให้สมาชิกพยายามท าให้ดีที่สุด เพราะคะแนนของสมาชิกแต ่ละคน ส่งผลต่อคะแนนเฉลี่ยของกลุ ่มและรางวัลที ่จะได้รับ ซึ่งคะแนนของสมาชิกแต ่ละคนที ่ท า ให้แก่กลุ่มจะได้จากคะแนนพัฒนาการ (Improvement Point ) ของแต่ละคน
5 2) การเรียนรู้แบบ Predict-Observe-Explain (POE) วิธีการจัดการเรียนรู้แบบ (POE) หมายถึง การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียน เป็นส าคัญ เป็นการฝึกให้นักเรียนคิด ท านายสิ่งที่จะเกิดขึ้น หรือเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นโดยใช้ เหตุผล จากนั้นท าการสังเกต ทดลอง หรือหาข้อพิสูจน์สถานการณ์ดังกล่าว นักเรียนต้องบอก สิ่งที่สังเกตได้ และอธิบายถึงความแตกต่างระหว่างสิ่งที่ได้จากการท านายและการสังเกต มี 3 ขั้นตอน ดังนี้ ขั้นที ่ 1 Predict (P) ให้นักเรียนท านาย หรือคาดคะเนค าตอบจากสถานการณ์ที่ ก าหนดให้โดยให้เหตุผลประกอบ ขั้นที่ 2 Observe (O) ให้นักเรียนลงมือปฏิบัติ การสังเกต ส ารวจ ทดลอง สืบคั้นหา ค าตอบจากสถานการณ์ที่ก าหนด ขั้นที่ 3 Explain (E) ให้นักเรียนอธิบายผลที่ได้จากการสังเกต ส ารวจ ทดลอง สืบ ค้นหาค าตอบจากสถานการณ์ที่ก าหนดโดยให้เหตุผลประกอบซึ่งกิจกรรมเหล่านี้ จะปรากฏ อยู่ในขั้นการสอนในแผนการจัดการเรียนรู้ 3) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ความส าเร็จในการที่จะพยายามเข้าถึงความรู้ ซึ่ง เกิดจากการท างานที่ต้องอาศัยความพยายามมาก ทั้งองค์ประกอบที่เกี่ยวข้องกับสติปัญญา และองค์ประกอบที ่ไม ่ใซ่สติปัญญา แสดงออกในรูปของคะแนน หรือเกรดเฉลี่ยสะสม ซึ่ง สามารถสังเกตและวัดได้ด้วยแบบทสอบผลสัมฤทธิ์ทั่วไป หรืออาจจะประมวล ความหมาย ของ ผลสัมฤทธิ์ในการเรียนได้ว่า คือ ความรู้ ความเข้าใจ ทักษะ และทัศนคติอันเกิดจากการ เรียนรู้ ซึ่งอาจวัดได้จากการทดสอบระหว่างหรือหลังการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ด้วย การทดสอบหรือวิธีการอื่น ๆ นอกจากผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนจะบอกคุณภาพของผู้เรียน แล้วยังแสดงให้เห็นถึงคุณค่าของหลักสูตร คุณภาพของการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ตลอดจนความรู้ ความสามารถของครูผู้สอนและผู้บริหารอีกด้วย
6 4) ทักษะกระบวนการวิทยาศาสตร์ ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ หมายถึง ความสามารถในการใช้ทักษะ กระบวนการต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติและฝึกฝนความคิดอย่างเป็นระบบไปใช้ในการ แก้ปัญหาด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ตนเอง ทักษะกระบวนการทาง วิทยาศาสตร์ที่ใช้ ได้แก่ ทักษะการสังเกต และทักษะการจ าแนกประเภท
7 บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง การศึกษาครั้งนี้ผู้วิจัยมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ เรื่องส่วนต่างๆ ของพืชดอก ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบ ร่วมมือเทคนิค STAD ร่วมกับเทคนิค POE ดังนั้นผู้วิจัยได้ท าการศึกษาทบทวนและรวบรวม เอกสารแนวคิดที่เกี่ยวข้องเพื่อใช้เป็นแนวทางในการศึกษา ดังนี้ 1) การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค STAD 2) เทคนิค Predict-Observe-Explain (POE) 3) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ 4) ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ (ทักษะการสังเกต) 5) งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 1)การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค STAD 1.1 ความหมายการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค STAD ส าหรับการจัดการเรียนรู้แบบร ่วมมือได้มีนักวิชาการให้ความหมายไว้หลายท ่าน ดังนี้ แคทรียา ใจมูล (2550 : 14) กล่าวว่า การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิคSTAD หมายถึง การเรียนที่จัดให้ผู้เรียนได้เรียนเป็นกลุ่มคละกันในระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคือ ระดับสูง 1 คน ระดับปานกลาง 2 คน และระดับอ่อน 1 คน จุดประสงค์หลักคือ ช ่วยให้ นักเรียนที ่มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนต ่า มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที ่สูงขึ้น และมุ ่งเน้นให้ ผู้เรียนท างานร่วมกันเป็นกลุ่ม ทิศนา แขมมณี(2554 : 266-267) กล่าวว่า จัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD หมายถึง การเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิคที่ท าให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้โดยมีการจัดนักเรียนเป็น กลุ่มเล็กๆ กลุ่มละ 4-5 คน โดยในแต่ละกลุ่มมีทั้งเพศชายและเพศหญิง มีทั้งนักเรียน เก่ง ปานกลางเละอ่อน มีภูมิหลังที่แตกต่างกัน ครูสอนบทเรียนแก่นักเรียนทั้งชั้น แล้วให้นักเรียน แต่ละกลุ่มท ากิจกรรมร่วมกันช่วยเหลือกันในด้านการเรียนเพื่อเตรียมสมาชิกของตนให้พร้อม
8 ส าหรับการทดสอบหลังจากจบบทเรียน ซึ่งเป็นการทดสอบรายบุคคลสมาชิกจะช่วยเหลือกัน ไม่ได้ คะแนนจากการทดสอบของสมาชิกแต่ละคนจะน าไปเปรียบเทียบกับคะแนนเฉลี่ยของ การสอบครั้งก ่อนๆ ซึ ่งเป็นคะแนนฐาน เพื ่อน ามาค านวณเป็นคะแนนพัฒนาการ (improvement score) ของนักเรียนแต ่ละคน และเฉลี ่ยเป็นคะแนนพัฒนาการของกลุ่ม (improvement score) ถ้าคะแนนพัฒนาการของกลุ ่มถึงเกณฑ์ที ่ก าหนด จะได้รับการ เสริมแรงด้วยการชมเชยหรือได้รับรางวัล วนิดา อารมณ์เพียร (2552 : 30) กล ่าวว ่า เป็นการจัดการเรียนการสอนโดยแบ่ง นักเรียนเป็นกลุ่มเล็กๆ กลุ่มละ 4 - 5 คน ที่มีความสามารถคละกัน คือ มีนักเรียนเก่ง 1 คน ปานกลาง 2 - 4คน และนักเรียนอ่อน 1 คน นักเรียนทุกคนเรียนรู้ และท ากิจกรรมร่วมกัน มี การปรึกษาหารือกันภายในกลุ่ม ผลส าเร็จของนักเรียนแต่ละคน คือ ผลส าเร็งของกลุ่ม ศศิกานต์ โฆษิตตระกูล (2551 : 4) การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ โดยใช้ เทคนิค STAD หมายถึง การเรียนรู้ตามแนวคิดของ Slavin (1995) ซึ่งมีลักษณะที่ต้องการให้ผู้เรียน ได้พัฒนาทักษะทางสติปัญญา ทักษะทางสังคมและความรู้สึกในด้านการเห็นคุณค ่าของ ตนเองซึ่งก าหนดให้นักเรียนที่มีความสามารถแตกต่างกัน ท างานร่วมกัน เป็นกลุ่มๆ ละ 4-5 คน ซึ่งประกอบด้วย นักเรียนที่เรียนเก่ง 1 คน นักเรียนที่เรียนปานกลาง 23 คน และนักเรียน ที่เรียนอ่อน 1 คน สลาวิน (Slavin, 1987 : 7-13) อ้างใน ไสว ฟักขาว (2544 : 192) ได้ให้ความหมาย ของการเรียนรู้ แบบร่วมมือว่า หมายถึง วิธีการจัดการเรียนการสอนที่ให้นักเรียนท างาน ร่วมกันเป็นกลุ่มเล็ก ๆ โดยทั่วไปมีสมาชิกกลุ่มละ 4 คน สมาชิกกลุ่มมีความสามารถในการ เรียนต่างกัน สมาชิกในกลุ่มจะรับผิดชอบในสิ่งที่ได้รับการสอน และช่วยเพื่อนสมาชิกให้เกิด การเรียนรู้ด้วย มีการช ่วยเหลือซึ ่งกันและกัน โดยมีเป้าหมายในการท างานร ่วมกัน คือ เป้าหมายของกลุ่ม ไสว ฟักขาว (2544 : 193) กล่าวถึงการเรียนรู้แบบร่วมมือไว้ว่า เป็นการจัดการเรียน การสอนที่แบ่งผู้เรียนออกเป็นกลุ่มเล็ก ๆ สมาชิกในกลุ่มมีความสามารถแตกต่างกัน มีการ แลกเปลี่ยนความคิดเห็น มีการช ่วยเหลือสนับสนุนซึ ่งกันและกัน และมีความรับผิดชอบ ร่วมกันทั้งในส่วนตน และส่วนรวม เพื่อให้กลุ่มได้รับความส าเร็จตามเป้าหมายที่ก าหนด
9 อาภรณ์ ใจเที่ยง (2550 : 121) ไต้กล่าวว่า การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือหรือแบบมี ส ่วนร ่วม หมายถึง การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที ่ผู้เรียนมีความรู้ความสามารถต ่างกัน ได้ ร่วมมือกันท างานกลุ่มด้วยความตั้งใจและเต็มใจรับผิดชอบในบทบาทหน้าที่ในกลุ่มของตน ท าให้งานของกลุ่มด าเนินไปสู่เป้าหมายของงานได้ สรุปได้ว่า การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD หมายถึง การจัดการเรียนรู้ที่ จัดนักเรียนเป็นกลุ่ม กลุ่มละ 5 คน โดยคละความสามารถ ให้นักเรียนภายในกลุ่มศึกษาหา ความรู้ร่วมกัน ช่วยเหลือกันเพื่อเตรียมสมาชิกของตนให้พร้อมส าหรับการทดสอบรายบุคคล คะแนนจากการทดสอบของสมาชิกแต่ละคนจะน าไปเปรียบเทียบกับคะแนนเฉลี่ยของการ สอบครั้งก ่อนๆซึ ่งเป็นคะแนนฐาน น ามาค านวณเป็นคะแนนพัฒนาการ กลุ ่มที ่มีคะแนน พัฒนาการของกลุ่มสูงที่สุดจะได้รับรางวัล 1.2 องค์ประกอบส าคัญของการเรียนแบบร่วมมือเทคนิค STAD 1.2.1 การพึ ่งพาอาศัยกัน (Positive Interdependence) สมาชิกทุกคนมีหน้าที่ และความรับผิดชอบเท่าเทียมกันหมด สมาชิกแต่ละคนรู้หน้าที่ของตนเองว่า ต้องทากิจกรรม ใดบ้างในการเรียนครั้งนั้นๆ และต้องรับผิดชอบในกิจกรรมนั้น1 เสมอ สมาชิกทุกคนตระหนัก ดีว่า ความส าเร็งของกลุ่มขึ้นอยู่กับสมาชิกภายในกลุ่ม 1.2.2 การปฏิสัมพันธ์กันอย ่างใกล้ชิด (Face to Face Interaction) การจัดการ เรียนการสอนแบบร่วมมือนี้ นักเรียนจะนั่งด้วยกันเป็นกลุ่มหันหน้าเข้าหากันเพื่อจะ ได้ชัก ถาม ตอบคาถาม อธิบาย ได้ตอบ ซึ่งกันและกัน ให้สมาชิกทุกคนมีส ่วนร่วมในการทางาน ยอมรับเหตุผลของผู้อื่น โต้เถียงกันด้วยเหตุผล รู้จักสนับสนุนและชมเชยผู้อื่น เป็นการฝึก ทักษะพื้นฐานในการอยู่ร่วมกันในสังคม 1.2.3 หน้าที่รับผิดชอบของแต่ละคน (Individual Accountabiliy) สมาชิกแต่ละคน ในกลุ่มมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบ และจะต้องทางานที่ได้รับมอบหมายอย่างเต็มความสามารถ เสมอ เช่น - สมาชิกต้องตอบค าถาม และอธิบายให้แก่เพื่อนสมาชิกด้วยกันด้วยความเต็มใจ เสมอ - สมาชิกแต่ละคนจะต้องสนับสนุน คอยให้กาลังใจแก่เพื่อนสมาชิกในกลุ่ม
10 - สมาชิกแต่ละคนรู้ว่า ผลงานของกลุ่มจะส าเร็จลุล่วงไปด้วยดีขึ้นอยู่กับความร่วมมือ และความรับผิดชอบของสมาชิกทุกคน 1.2.4 ทักษะทางสังคม (Social skills) นักเรียนบางคนไม ่มีทักษะในการทางาน ร่วมกันเป็นกลุ่ม เนื่องจากไม่ได้รับการพัฒนาในเรื่องนี้มาก่อน อาจจะมีปัญหาบ้างในการทา งานร่วมกับผู้อื่น ดังนั้น ก่อนที่จะใช้การสอนแบบนี้ครูควรวางพื้นฐานนักเรียนให้มีทักษะใน การทางานกลุ่ม ดังนี้ - ทักษะการจัดกลุ่ม ฝึกการจัดกลุ่มอย่างรวดเร็ว และทางานนกลุ่ม โดยไม่รบกวน กลุ่มอื่น - ทักษะการทางานกลุ่ม เป็นทักษะเกี่ยวกับการทางานในกลุ่มให้เกิดผลดีมีทักษะ เกี่ยวกับ การเปลี่ยนแปลงความคิด การแสดงความคิดเห็น อธิบาย โต้ตอบ แบ่งปันอุปกรณ์ และสร้าง บรรยากาศที่ดีในการทางานร่วมกัน -ทักษะการสร้างความรู้ เป็นทักษะที่ใช้ในการพัฒนาความรู้ ความเข้าใจเป็นการ กระตุ้น ให้เกิดความคิดตามลาดับขั้นอย่างมีเหตุผล 1.2.5 กระบวนการกลุ่ม (Group Processing) หลังจากที่ทางานร่วมกันเป็นกลุ่มได้ ระยะหนึ่ง สมาชิกแต่ละคนจะประเมินการทางานของตนเองและผลงานกลุ่ม เพื่อที่จะรู้ถึง ข้อบกพร่อง และสิ่งที่ควรปรับปรุงแก้ไข และวางเป้าหมายในการทางานกลุ่มครั้ง ต่อไปให้ดี และ มีประสิทธิภาพมากขึ้นกว่าเดิม 1.3 ขั้นตอนของการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือโดยใช้เทคนิค STAD สุลัดคา ลอยฟ้า (2536, หน้า 8 STAD เป็นรูปแบบการสอนแบบร่วมมือกันเรียนรู้ ที่Robert Slavin และคณะได้พัฒนาขึ้น เป็นรูปแบบที่ง่ายที่สุด และใช้กันแพร่หลายที ่สุด เหมาะส าหรับครูผู้สอนที ่เลือกใช้รูปแบบการสอนแบบร ่วมมือในระยะเริ ่มแรก STAD มี ส่วนประกอบ 5 ประการ ดังนี้ 1. การน าเสนอบทเรียนต่อทั้งชั้น (Classroom Presentation) เนื้อหาในบทเรียน จะถูกเสนอต่อนักเรียนทั้งห้องโดยครูผู้สอน ซึ่งครูจะใช้เทคนิควิธีการสอนรูปแบบใดขึ้นอยู่กับ
11 ลักษณะของเนื้อหาของบทเรียนและการตัดสินใจของครูเป็นส าคัญที่จะเลือกเทคนิควิธีการ สอนที ่เหมาะสมในขั้นนี้ผู้เรียนจะต้องเข้าใจและตั้งใจเรียน เพราะจะมีผลต ่อการท า แบบทดสอบย่อย และผลจากการทดสอบจะเป็นตัวก าหนดคะแนนความก้าวหน้าของตนเอง และของกลุ่มด้วย 2. การเรียนกลุ่มย่อย (Team Study) กลุ่มจะประกอบด้วยนักเรียนประมาณ 4-5 คนซึ่งมีความแตกต่างกันทั้งในผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและเพศ หลังจากการสอนเนื้อหาครูจะ ให้นักเรียนแยกท างานเป็นกลุ่ม เพื่อศึกษาตามบัตรงาน หรือบัตรกิจกรรมที่ครูก าหนดให้ หน้าที่ที่ส าคัญของกลุ่มคือ การเตรียมสมาชิกของกลุ่มให้พร้อมที่จะท าแบบทดสอบ 3. การทดสอบย ่อย (Test) กระท าหลังจากเรียนไปประมาณ 1-2 คาบ นักเรียน จะต้องได้รับการทดสอบในระหว่างท าการทดสอบนักเรียนในกลุ่มไม่อนุญาตให้ช่วยเหลือกัน ทุกคนจะต้องท าด้วยความสามารถของตนเอง 4. คะแนนความก้าวหน้าของสมาชิกแต่ละคน(Individual Improvement Scores) นักเรียนทุกคนมี โอกาสได้คะแนนสูงสุดเพื่อช่วยเพื่อน ซึ่งจะท าไม่ได้เลยถ้าคะแนนในการ สอบต ่ากว่าคะแนนที่ได้ในครั้งก่อน นักเรียนแต่ละคนจะมีคะแนนเป็น "ฐาน" ซึ่งได้จากการ เฉลี่ยคะแนนในการสอบครั้งก่อน หรือคะแนนเฉลี่ยจากแบบทดสอบที่คล้ายคลึงกัน คะแนน ความก้าวหน้าของนักเรียนส าหรับกลุ่มขึ้นอยู่ว่าคะแนนของเขาแห่งจากคะแนนฐาน มากน้อย เพียงใด 5. กลุ่มที่ได้รับการยกย่องหรือการยอมรับ (Team Recognition) กลุ่มแต่ละกลุ่มจะ ได้รับการรับรองหรือได้รับรางวัลต่าง ๆ ก็ต่อเมื่อสามารถท าคะแนนของกลุ่มได้มากกว่าเกณฑ์ ที่ก าหนดไว้ อาภรณ์ ใจเที่ยง (2550 : 121) ได้กล่าวถึง การจัดกิจกรรมแบบร่วมแรงร่วมใจว่ามี ลักษณะ ดังนี้ 1. มีการท างานกลุ่มร่วมกัน มีปฏิสัมพันธ์ภายในกลุ่มและระหว่างกลุ่ม 2. สมาชิกในกลุ่มมีจ านวนไม่ควรเกิน 6 คน 3. สมาชิกในกลุ่มมีความสามารถแตกต่างกันเพื่อช่วยเหลือกัน
12 4. สมาชิกในกลุ่มต่างมีบทบาทรับผิดชอบในหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย เช่น - เป็นผู้น ากลุ่ม (Leader) - เป็นผู้อธิบาย (Explainer) - เป็นผู้จดบันทึก (Recorder) - เป็นผู้ตรวจสอบ (Checker) - เป็นผู้สังเกตการณ์ (Observer) - เป็นผู้ให้ก าลังใจ (Encourager) ฯลฯ สมาชิกในกลุ่มมีความรับผิดชอบร่วมกัน ยึดหลักว่า "ความส าเร็จของแต่ละคน คือ ความส าเร็จของกลุ่ม ความส าเร็จของกลุ่ม คือ ความส าเร็จของทุกคน 1.4 ประโยชน์ของการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค STAD สมศักดิ์ ขจรเจริญกุล (2534. หน้า 19-23) กล ่าวถึงประโยชน์ของการเรียนแบบ ร่วมมือตามรูปแบบ STAD ไว้ดังนี้ 1. ผมสัมฤทธิ์ทางการเวียนของนักเรียนสูงขึ้น 2. การรวมกันท าให้นักเรียนภายในกลุ่มได้รันความคิดเห็นที่หลากหลายจากการ โต้แย้ง แลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกัน รับรู้ปัญหาและทางเลือกในการแห้ปัญหา สิ่ง เหล่านี้มีส่วนส่งเสริมพัฒนากรรกระบวนการคิด 3. เรียนด้วยความเพลิดเพลิน และสนุกสนาน นักเรียนจะได้พบกับบรรยากาศในการ ช่วยเหลือกันท ากิจกรรม 4. พัฒนาทักษะความเป็นผู้น า และทักษะทางสังคม เพราะนักเรียนสามารถเรียนรู้ จากประสบการณ์จริงกับเพื่อนในกลุ่มแทนที่จะอ่านหนังสือหรือดูจากคนอื่น โดยไม่ลงมือ ปฏิบัติ 5. ส่งเสริมให้นักเรียนเห็นคุณค่าของตนเองและมีความภูมิใจตนเอง การรวมกลุ่มที่ นักเขียนมีความสามารถแตกต่างกันโดยมีเป้าหมายกลุ่ม คือ ต้องท าคะแนนกลุ่มของตนให้ มาก นักเรียนทุกคนจะต้องช่วยเหลือกัน ท าให้เห็นคุณค่าในตนเอง 6. การเรียนรู้เป็นไปอย่างกว้างขวางเพราะมีการแก้ปัญหา และค้นคว้าร่วมกัน
13 กล่าวโดยสรุป การจัดกิจกรรมการเวียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD มีประโยชน์ท า ให้นักเรียนมีทักษะทางสังคม เห็นคุณค่าในตนเอง ส่งเสริมพัฒนาการ กระบวนการติด และ ท าให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงขึ้น 2) การเรียนรู้แบบ Predict-Observe-Explain (POE) 2.1 ความหมายของการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบท านาย สังเกต อธิบาย ขวัญชนก กัญทาทอง (2552 : 10) ได้กล่าวไว้วิธีการสอนแบบ Predict Observe Explain เป็นกลวิธีที ่ให้นักเรียนเรียนรู้จากการท านาย (Predict) การ สังเกต (Observe) และการอธิบาย (Explain) ใช้เพื่อกระตุ้นให้นักเรียนสนใจ มุ่งมั่น ในการทดลอง โดยให้นักเรียนท านายผลที ่เกิดขึ้นล่วงหน้าก ่อนลงมือท ากิจกรรม เพื่อให้นักเรียนสังเกตอย่างจดจ่อ ละเอียด รอบคอบ น าผลที่ได้จากการสังเกตมา อธิบายและเปรียบเทียบกับสิ่งที่ท านายไว้ นักเรียนจะรู้สึกสนุกสนานและในช่วงที่ท า กิจกรรมหรือท าการทดลองแล้วท้าทายในการคันหาความรู้เพื่อตรวจสอบผลการ ท านายของตัวเอง (สถาบันส ่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี) ซึ ่งมี 3 ขั้นตอน คือ 1. ชั้นท านาย (Predict) ครูใช้ค าถามกระตุ้นให้นักเรียนแต ่ละกลุ ่ม/คน ท านายสิ่งที่เกิดขึ้นจากการสาธิตการทดลองหรือปัญหา ที่ก าหนด 2. ขั้นสังเกต (Observe) ครูให้นักเรียนท าการทดลอง สังเกต บันทึกผล เพื่อศึกษาว่าผลที่เกิดขึ้นเป็นอย่างไร และเป็นไปตามที่ท านายไว้หรือไม่ 3. ขั้นอธิบาย (Explain) ให้นักเรียนอธิบายผลที่เกิดจริง ซึ่งผลที่เกิดจริงอาจ ตรงกับที่ท านายไว้ทั้งหมดหรือบางส่วน ครูให้นักเรียนวิเคราะห์หาสาเหตุและสรุป ล าพูน สิงห์ข า (2555 : 5) ให้ความหมายไว้ว่า การสอนแบบท านาย สังเกต อธิบาย หมายถึง วิธีการสอนและการเรียนที่มุ่งให้เกิดความเข้าใจจากประสบการณ์ การทดลอง ซึ่งเป็นวิธีการสอนที่ช่วยให้เกิดการเรียนรู้อย่างหลากหลายซึ่งสามารถ เกิดขึ้นได้จากภาระงานที่ครูมอบหมายให้ผลการเชื่อมโยงของของกระบวนการแบบ ท านาย สังเกต อธิบาย และกลวิธีการสอนที่หลากหลาย ได้แก่ การสาธิตเหตุการณ์
14 วิรีการสอนแบบแบบท านาย สังเกต อธิบาย เป็นวิธีการสอนที ่มีประสิทธิภาพที่ ส่งเสริมให้ผู้เรียนได้แสดงความคิดเห็นและอภิปรายมโนมติทางวิทยาศาสตร์ ไวท์ และกันโดน (1992 : 16) ได้กล ่าวว ่า เทคนิคการสอนแบบท านาย สังเกต อธิบาย หมายถึง เทคนิคที่มีประสิทธิภาพที่จะส่งเสริมให้นักเรียนได้แสดง ความคิดเห็นและอภิปรายเกี่ยวกับแนวคิดทางวิทยาศาสตร์เป็นขั้นตอน การน าเสนอ สถานการณ์และให้นักเรียนท านายว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้ามีการเปลี่ยนแปลงหลังจาก นักเรียนท านายแล้วให้นักเรียนสังเกตสถานการณ์ดังกล ่าว โดยให้นักเรียนลงมือ ทดลองสังเกต หรือหาวิธีพิสูจน์เพื่อให้นักเรียนทาค าตอบจากสถานการณ์ที่ครูสร้าง ขึ้นหลังจากนั้นให้นักเรียนบอกสิ่งที่นักเรียนสังเกตได้จากการสืบเสาะหาความรู้ด้วย ตัวนักเรียนเอง และขั้นสุดท้ายนักเรียนจะต้องอธิบายถึงความแตกต่างระหว่างสิ่งที่ ได้จากการท านาย และการสังเกต หรือ ผลการทดลองที่ได้ สถาบันส ่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (2552 : 15) ให้ ความหมาย ไว้ว่า วิธีการสอนแบบท านาย สังเกต อธิบาย หมายถึง วิธีการสอนที่ท า ให้นักเรียนเรียนรู้จากการท านาย (Predict) การสังเกต (Observe) และการอธิบาย (Explain) เพื่อกระตุ้นให้นักเรียนสนใจมุ่งมั่นในการทคลอง โดยให้นักเรียนท านาย ผลที ่จะเกิดขึ้นล่วงหน้าก ่อนลงมือท ากิจกรรม เพื ่อให้นักเรียนสังเกตอย ่างจดจ่อ ละเอียด รอบคอบ น าผลที่ได้จากการสังเกตมาอธิบาย และเปรียบเทียบกับสิ ่งที่ ท านายไว้ นักเรียนจะรู้สึกสนุกสนานและในช่วงที่ท ากิจกรรมหรือท าการทดลองแล้ว ห้าทายในการค้นหาความรู้เพื่อตรวจสอบผลการท านายของตนเอง สรุปได้ว ่า วิธีการจัดการเรียนรู้แบบ Predict Observe Explain (POE) เป็นวิธีการสอนตามแนวทฤษฎีการเรียนรู้ Constructivism โดยเน้นการเรียนที่ ผู้เรียนต้องแสวงหาความรู้ด้วยตนเองผู้เรียนสามารถสร้างความรู้ใหม ่โดยอาศัย ความรู้จากประสบการณ์เดิมและการมีปฏิสัมพันธ์กับบุคคลอื่น การจัดการเรียนการ สอนโดยใช้วิธีการสอน (POE) จะท าให้นักเรียนได้ฝึกการท านายสิ่งที่จะเกิดขึ้นฝึก ทักษะการสังเกตซึ่งเป็นทักษะหนึ่งในทักษะทางวิทยาศาสตร์หลังจากนั้นจะเป็นการ อธิบายผลที่เกิดขึ้น โดยวิธีการจัดการเรียนรู้แบบPredict Observe Explain (POE) ประกอบด้วย 3 ขั้นตอนดังนี้
15 1. Predict (P) หมายถึงการท านายผลที่เกิดจากการทดลองกิจกรรมหรือ สถานการณ์ที่ก าหนดให้ 2. Observe (O) หมายถึงขั้นตอนที่นักเรียนต้องลงมือทดลองพิสูจน์สังเกต หาค าตอบ 3. Explain (E) หมายถึงเป็นขั้นตอนที่ให้นักเรียนอธิบายผลที่เกิดขึ้นจริงซึ่ง ผลที่เกิดขึ้นจริงอาจตรงกับที่ท านายไว้ทังหมดหรือบางส่วนซึ่งนักเรียนต้องท าการ วิเคราะห์หาสาเหตุสรุปผล 2.2 ขั้นตอนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบท านาย สังเกต อธิบาย มีนักวิชาการได้ให้แนวคิดเกี่ยวกับขั้นตอนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ ท านาย สังเกต อธิบาย ไว้ดังนี้ ชุติมา หันตุลา (2558 : 35) กล่าวว่า วิธีการจัดการเรียนรู้โดยใช้วิธีท านาย - สังเกต -การอธิบาย (POE) เป็นการจัดการเรียนการสอนเกี่ยวกับการน าความรู้เดิม มาเป็นฐานในการสร้างความรู้ใหม่ด้วยตัวผู้เรียนเองซึ่งจะช่วยส่งเสริมให้ผู้เรียนได้ แสดงความคิดเห็นและอภิปรายเกี่ยวกับมโนมติทางวิทยาศาสตร์เพื่อให้นักเรียนเกิด การพัฒนามโนมติทางเลือกให้ตรงตามมโนมติทางวิทยาศาสตร์ ประกอบด้วย 3 ขั้นตอน คือ การท านาย (Predict) การสังเกต (Observe) และการอธิบาย (Explain) ซึ่งสามารถกระตุ้นให้นักเรียนสนใจ มุ่งมั่นในการทดลองโดยให้นักเรียน ท านายผลที ่ได้จากการสังเกตมาอธิบายและเปรียบเทียบกับสิ ่งที ่ท านายไว้ โดย นักเรียนจะเกิดความสนใจในการค้นหาความรู้เพื ่อตรวจสอบผลการท านายของ ตนเอง พิริยา พงษ์ภักดิ์ (2556 : 18) กล ่าวว ่า วิธีการจัดการเรียนการสอนแบบ POE เป็นวิธีจัดการเรียนการสอนตามแนวทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์ เกี่ยวกับการน า ความรู้เดิมมาเป็นฐานในการสร้าง ความรู้ใหม่ด้วยตัวผู้เรียนเอง โดยใช้วิธีการจัดการ เรียนการสอนแบบ POE จะช่วยส่งเสริมให้ผู้เรียนได้แสดงความคิดเห็นและอภิปราย เกี่ยวกับแนวคิดวิทยาศาสตร์ เพื่อให้นักเรียนเกิดการพัฒนามโนมติที่มีมาก่อนให้ตรง ตามมโนมติที่เป็นที่ยอมรับของสังคมวิทยาศาสตร์ในขณะนั้น ซึ่งมี 3 ขั้นตอน ดังนี้
16 1. ขั้นท านายผล (Predict : P) เป็นขั้นตอนการท านายผลจากสถานการณ์ ปัญหา 2. ขั้นการหาค าตอบจากสถานการณ์ปัญหา (Observe : O) เป็นขั้นตอน การหาค าตอบโดยการท าการทดลอง การสังเกต การท ากิจกรรมสืบคันข้อมูล และ วิธีการต่าง ๆ เพื่อให้ได้มาซึ่งค าตอบของสถานการณ์ปัญหา 3. ขั้นการอธิบาย (Explain : E) เป็นขั้นตอนการอธิบายผลจากขั้นตอนการ ท านายและการหาค าตอบว่าเหมือนหรือต่างกันอย่างไร ไวท์ และกันสโตน (2553 : 24) ได้กล ่าวว ่า วิธีการ POE เป็นวิธีการที ่มี ประสิทธิภาพที ่จะส ่งเสริมให้นักเรียนได้แสดงความคิดเห็นและอภิปรายเกี ่ยวกับ แนวคิดทางวิทยาศาสตร์เป็นขั้นตอน การน าเสนอสถานการณ์และให้นักเรียนท านาย ว ่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้ามีการเปลี่ยนแปลง หลังจากนักเรียนท านายแล้วให้นักเรียน สังเกตสถานการณ์ดังกล่าว จากนั้นก็ให้นักเรียนบอกสิ่งที่สังเกตได้ และอธิบายถึง ความแตกต ่างระหว่างสิ ่งที่ได้ท านายไว้กับผลจากการสังเกต ซึ่งวิธีการสอนแบบ POE ประกอบด้วย 3 ขั้นตอน ดังนี้ 1. ขั้นตอนของการท านาย (Predict) คือ จะเป็นการท านายว่าผลที่จะเกิด จากการทดลองกิจกรรมและสถานการณ์ที ่ก าหนดให้จะเป็นอย ่างไรบ้าง โดยที่ นักเรียนจะต้องให้เหตุผลเกี่ยวกับการท านายของนักเรียนประกอบด้วย 2. ขั้นตอนของการสังเกต (Observing) เป็นขั้นตอนที่นักเรียนต้องลงมือ ทดลอง/พิสูจน์หาค าตอบเกี่ยวกับการทดลอง กิจกรรมและสถานการณ์ปัญหา 3. ขั้นตอนของการอซิบาย (Explain) เป็นขั้นตอนที่นักเรียนจะเกิดความ ขัดแย้งขึ้นระหว่างสิ่งที่ท านายและผลจากการหาค าตอบเกี่ยวกับการทดลองกิจกรรม และสถานการณ์ปัญหา ซึ่งนักเรียนจะต้องอธิบายให้ได้ว่าถ้าค าตอบที่ได้จากการท า การทดลองกิจกรรมหรือสถานการณ์ปัญหาไม่เป็นไปตามที่ท านายผลไว้ในขั้นแรก เพราะอะไร และในกรณีที่ไม่สามารถหาค าตอบได้ด้วยตนเองนักเรียนจะต้องร่วมมือ กับเพื่อนในการหาค าตอบ
17 สุดารัตน์ หอมไกรลาศ (2556 : 21) กล่าวว่า วิธีการท านาย -สังเกต –การ อธิบาย (POE) เป็นวิธีการจัดการเรียนการสอน ตามแนวทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์ ซึ่ง ช ่วยส ่งเสริมให้นักเรียนได้แสดงความคิดเห็นและอภิปรายเกี ่ยวกับแนวติดทาง วิทยาศาสตร์ เพื่อให้นักเรียนเกิดการพัฒนามโนมติที่มีมาก่อนให้ตรงตามมโนมติที่ เป็นที่ยอมรับของสังคมวิทยาศาสตร์ในขณะนั้น รูปแบบสอนแบบท านาย -สังเกต - การอธิบาย (POE) ประกอบด้วย 3 ขั้นตอน ดังนี้ 1. ขั้นการท านายผล (Predict : P) เป็นขั้นตอนการท านายผลจาก สถานการณ์ปัญหาหรือท านายผลก่อนที่จะท าการทดลองว่าจะเกิดอะไรขึ้น 2. ขั้นการหาค าตอบจากสถานการณ์ปัญหา (Observe : O) เป็นขั้นตอน การหาค าตอบโดยท าการทดลอง การสังเกต การท ากิจกรรม การสืบดันข้อมูลและ วิธีการต่างๆ ศึกษาว่าผลที่เกิดขึ้นเป็นอย่างไร และเป็นไปตามที่ท านายไว้หรือไม่ 3. ขั้นอธิบาย (Explain : E) เป็นขั้นตอนการอธิบายผลจากขั้นตอนการ ท านาย 2.3 ข้อดีของการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบท านาย สังเกต อธิบาย วู และไทส์ 2006 : 3) กล่าวว่า การสอนแบบ วิธีท านาย-สังเกต-อธิบาย (Predict-Observe-Explain: POE) เป็นยุทธศาสตร์ที่เกี่ยวกับการท านายผล การ สาธิตและอภิปรายผลที ่นักเรียนท านาย สังเกต และการอธิบายผลที ่สอดคล้อง ตรงกัน ระหว่างการท านายผล การสังเกต อ้างแสดงให้เห็นความรู้เดิม และแปล ความหมายใหม ่กับสิ ่งที ่นักเรียนได้สังเกต เป็นการเปิดโอกาสให้นักเรียน มีการ เปลี ่ยนแปลงและการเจรจาต ่อรอง Negoiate) ในการแปลความหมายใหม ่ของ นักเรียนช่วยให้เกิดความรู้ ความเข้าใจในเรื่องที ่เรียน โดยผู้เรียนนั้นเป็นผู้ลงมือ ปฏิบัติและประโยชน์ของแต่ละขั้นตอนของ เทคนิคการสอนท านาย สังเกต อธิบาย สรุปดังนี้ 1. การที่ผู้เรียนท านายสิ่งที่เกิดขึ้นประกอบกับการให้เหตุผล จะท าให้ผู้สอน เข้าใจความคิดเดิมก่อนเรียนของผู้เรียน เป็นการส ารวจความรู้เกิดได้อีกทางหนึ่ง
18 2. การสังเกตสิ่งที่เกิดขึ้นและจดบันทึก เป็นการฝึกทักษะกระบวนการทาง วิทยาศาสตร์ 3. การอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นว่าแตกต่างจากสิ่งที่ท านายไว้อย่างไร ท าให้ผู้เรียน ตระหนักว่าตนเองมีความรู้เดิมอย่างไร และเรียนรู้อะไรเพิ่มจากการท ากิจกรรมบ้าง สรุปได้ว่า ข้อดีของการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบท านาย สังเกต อธิบาย คือ ท าให้ ผู้เรียนท านายสิ่งที่เกิดขึ้นประกอบกับการให้เหตุผล จะท าให้ผู้สอนเข้าใจความคิดเดิมก่อน เรียน ซึ่งเป็นการฝึกทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และช่วยให้เกิดความรู้ ความเข้าใจ ในเรื่องที่เรียนว่าตนเองมีความรู้เดิมอย่างไร และเรียนรู้อะไรเพิ่มจากการท ากิจกรรมข้าง 3) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ 3.1 ความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน กู๊ด (1973 : 153 ) กล่าวว่าผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง การเข้าถึง ความรู้หรือพัฒนาทักษะทางการเรียนโดยพิจารณาจากคะแนนสอบที่ก าหนดให้ หรือคะแนนที่ได้จากงานที่มอบให้หรือทั้งสองอย่าง ชวาล แพรัตกุล (2518 : 15) กล่าวไว้ว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ความส าเร็จด้านความรู้ ทักษะและสมรรถภาพด้านต ่างๆ ของสมอง นั ่นคือ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนประกอบด้วยสิ่งส าคัญอย่างน้อยสามสิ่ง คือ ความรู้ ทักษะ และสมรรถภาพด้านต่างๆ เดโช สวนานนท์ (2520: 3) กล ่าวสรุปว ่า ผลสัมฤทธิ์ (Achievement) หมายถึง ความส าเร็จที่ได้รับจากความพยายามจากการลงแรง เพื่อมุ่งในจุดหมาย ปลายทางที่ต้องการหรืออาจ หมายถึง ระตับของความส าเร็จที่ได้รับในแต่ละต้าน โดยเฉพาะระดับความส าเร็จที่ได้รับโดยทั่ว ๆ ไป ปราณี ประยูรค า (2553 : 46) กล่าวว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ระดับความรู้ในการท ากิจกรรมใดกิจกรรมหนึ่งที่เกิดจากการเรียนการสอน มีการวัด และประเมินความสามารถตามวัตถุประสงค์ทางการเรียนรู้ที่ตั้งไว้ พจนานุกรมฉบับเฉลิมพระเกียรติ พุทธศักราช 2530 ( 2530 : 529 ) ให้ ความหมาย ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนไว้ว่า หมายถึง ผลส าเร็จ
19 ภัทรลดา ประมาณพล (2560 : 57) กล ่าวว ่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง คุณลักษณะ ความรู้ ความสามารถและประสบการณ์การเรียนรู้ที่บุคคล ได้รับจากการเรียนการสอนและเป็นผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมด้านต่างๆ ซึ่งสามารถตรวจสอบได้จากการวัด อนาสตาซี (1982 : 148) กล่าวว่าผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนมีความสัมพันธ์ กับองค์ประกอบด้านสติปัญญาและองค์ประกอบทางด้านที่ไม่ใช่สติปัญญา ได้แก่ องค์ประกอบทางด้านเศรษฐกิจ สังคม แรงจูงใจและองค์ประกอบทางด้านที่ไม่ใช่ สติปัญญาด้านอื่นๆ จากความหมายดังกล่าว พอสรุปได้ว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ความส าเร็จในการที ่จะพยายามเข้าถึงความรู้ ซึ่งเกิดจากการท างานที่ต้องอาศัย ความพยายามมาก ทั้งองค์ประกอบที่เกี่ยวข้องกับสติปัญญา และองค์ประกอบที่ไม่ ใซ่สติปัญญา แสดงออกในรูปของคะแนน หรือเกรดเฉลี่ยสะสม ซึ่งสามารถสังเกต และวัดได้ด้วยแบบทสอบผลสัมฤทธิ์ทั ่วไป หรืออาจจะประมวล ความหมายของ ผลสัมฤทธิ์ในการเรียนได้ว่า คือ ความรู้ ความเข้าใจ ทักษะ และทัศนคติอันเกิดจาก การเรียนรู้ ซึ่งอาจวัดได้จากการทดสอบระหว่างหรือหลังการจัดกิจกรรมการเรียน การสอน ด้วยการทดสอบหรือวิธีการอื่น ๆ นอกจากผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนจะ บอกคุณภาพของผู้เรียนแล้วยังแสดงให้เห็นถึงคุณค่าของหลักสูตร คุณภาพของการ จัดกิจกรรมการเรียนการสอน ตลอดจนความรู้ ความสามารถของครูผู้สอนและ ผู้บริหารอีกด้วย 1) ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ 4.1 ความหมายของทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ นักการศึกษาหลายท่านได้ให้ความหมายเกี่ยวกับทักษะกระบวนการทาง วิทยาศาสตร์ไว้ดังนี้ วรรณทิพา รอดแรงค้า (2544) กล ่าวว ่า ทักษะกระบวนการทาง วิทยาศาสตร์ หมายถึง ความสามารถในการใช้กระบวนการต่างๆ ได้แก่ การสังเกต การวัด การจ าแนกประเภทการหาความสัมพันธ์ระหว่างสเปสกับเวลา การใช้ตัวเลข การจัดกระท าสื ่อความหมายข้อมูล การลงความคิดเห็น การพยากรณ์การ
20 ตั้งสมมติฐาน การก าหนดนิยามเชิงปฏิบัติการ การก าหนดและควบคุมตัวแปร การ ทดลอง และการตีความหมายข้อมูลและการลงข้อสรุป อย่างคล่องแคล่ว ถูกต้อง และแม่นย า วรพงษ์ กาแก้ว (2548) ให้ความหมายว ่า ทักษะกระบวนการทาง วิทยาศาสตร์ หมายถึง พฤติกรรมที่เกิดจากการปฏิบัติและฝึกฝนความคิดอย่างเป็น ระบบในการแสวงหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเป็นทักษะที่ใช้ในการแสวงความรู้ ทางวิทยาศาสตร์ซึ ่งจากความหมายของทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ดังกล่าวมานี้ ภพ เลาหไพบูลย์ (2540) ให้ความหมายว ่า ทักษะกระบวนการทาง วิทยาศาสตร์ หมายถึง พฤติกรรมที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติและฝึกฝนความคิดอย่าง เป็นระบบ โดยใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ในการแสวงหาความรู้ทาง วิทยาศาสตร์ เช่น ฝึกการสังเกต การบันทึกข้อมูล การตั้งสมมติฐาน และท าการ ทดลอง พอสรุปได้ว่า ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ หมายถึง ความสามารถ ในการใช้ทักษะกระบวนการต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติและฝึกฝนความคิดอย่าง เป็นระบบไปใช้ในการแก้ปัญหาด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ ตนเอง 4.2 ประเภทของทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ 4.2.1 ทักษะการสังเกต ( Observation) หมายถึง ความสามารถในการใช้ ประสาทสัมผัสอย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างรวมกัน ได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น และ ผิวกาย เข้าไปสัมผัสโดยตรงกับวัตถุ หรือเหตุการณ์โดยมีจุดประสงค์ที่จะหาข้อมูล ซึ่งเป็นรายละเอียดของสิ่งนั้น ' โดยไม่ใส่ความคิดเห็นของผู้สังเกตลงไปข้อมูลที่ได้ จากการสังเกตอาจแบ่งได้เป็น 3 ลักษณะ (วรรณทิพา รอดแรงค้า, 2544) ได้แก่ 1.1.1 ข้อมูลเชิงคุณภาพ เป็นข้อมูลเกี่ยวกับลักษณะและสมบัติประจ าตัว ของสิ่งของที่สังเกต เช่น รูปร่าง กลิ่น รส เสียง และความรู้สึกจากการสัมผัส เช่น เมื่อให้สังเกตมะนาว จะบอกได้ว่ามีลักษณะกลม สีเขียว มีกลิ่น ผิวเรียบ รสเปรี้ยว
21 1.1.2 ข้อมูลเชิงปริมาณ เป็นข้อมูลที่บอกรายละเอียดเกี่ยวกับปริมาณ เช่น น ้าหนัก ขนาด อุณหภูมิ ข้อมูลที่ได้นี้จะบอกหน่วยมาตรฐานไว้ เช่น มะนาวหนัก ประมาณ 20 กรัม เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 2.5 เซนติเมตร 1.1.3 ข้อมูลเกี ่ยวกับการเปลี ่ยนแปลง เป็นข้อมูลที ่ได้จากการสังเกต ปฏิสัมพันธ์ของสิ่งนั้นกับสิ่งอื่น นอกจากนี้ การได้ข้อมูลเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลง บางอย่างสามารถกระท าได้ด้วยการทดลองโดยเก็บข้อมูลระยะก่อนและหลังการ ทดลองหรือขณะท าการทดลอง ความสามารถที่แสดงว่าเกิดทักษะแล้ว คือ - ชี้บ่งและบรรยายสมบัติของวัตถุได้ โดยการใช้ประสาทสัมผัสอย่างใดอย่าง หนึ่งหรือหลายอย่าง เช่น ก้อนหินมีลักษณะกลม สีด า ผิวขรุขระ - บรรยาย หรือรายงานผลการสังเกตสมบัติของวัตถุออกมาในเชิงของ ปริมาณ โดยการกะประมาณซึ ่งต้องอ้างอิงหน ่วยมาตรฐาน เช ่น ก้อนหินหนัก ประมาณ 50 กรัม หน้าต่างมี ความสูงประมาณ 120 เชนติเมตร -บรรยายการเปลี่ยนแปลงของสิ่งที่สังเกตได้ เช่น ลักษณะของสถานการณ์ ท าให้เกิดการเปลี่ยนแปลงล าดับขั้นตอนของการเปลี่ยนแปลง เช่น เมื่อหย่อนก้อน ดินลงในแก้วน ้า ก้อนดินจะแยกออกเป็นก้อนเล็กๆ หลายก้อน โดยจะเริ่มแยกจาก ส่วนนอกก่อน ขณะที่ก้อนดินแยกออกจะมีฟองอากาศเล็กๆ ลอยขึ้น สีของน ้าค่อย เปลี่ยนจากใสเป็นขุ่น 4.2.2 ทักษะการจ าแนกประเภท (Classification) หมายถึง การแบ่งพวก หรือการเรียงล าดับวัตถุหรือสิ่งที่มีอยู่ในเกณฑ์ที ่ก าหนดเกณฑ์ดังกล ่าวอาจจะใช้ ความเหมือน ความแตกต่างหรือความสัมพันธ์ อย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ ความสามารถ ที่แสดงว่าเกิดทักษะแล้ว (วรรณทิพา รอดแรงค้า, 2544) คือ - เรียงล าดับหรือแบ่งพวกสิ่งต่าง ๆ จากเกณฑ์ที่ผู้อื่นก าหนดให้ - เรียงล าดับหรือแบ่งพวกสิ่งต่าง ๆ โดยใช้เกณฑ์ของตนเองได้ - บอกเกณฑ์ที่ผู้อื่นใช้เรียงล าดับหรือแบ่งพวกได้
22 2) งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ในประเทศ จุฬารัตน์ บุญชู (2556) ได้ท าการวิจัยเรื่อง การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชา วิทยาศาสตร์และเจตคติทางวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ที่ได้รับการจัดการ เรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค STAD การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกพาปีที่ 4 ก่อนและหลังการ จัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD และ 2) เปรียบเทียบเจตติทางวิทยาศาสตร์ของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD กลุ่ม ตัวอย่างที่ใช้ในวิจัย คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนศรีธรรมราชศึกษา จ านวน 55 คน ที ่ได้มาโดย การสุ ่มแบบแบ่งกลุ ่ม (cluster randomsampling) เครื ่องมือที ่ใช้ไนวิจัย ประกอบด้วย 1) แผนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD จ านวน 4 แผน 2) แบบท สอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์แบบปรนัยชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จ านวน 40 ข้อ ซึ่งมีค่าอ านาจจ าแนก (3) เท่ากับ 0.20 - 1.00 มีดค่าความยากง่าย (P)เท่ากับ 0.20 - 0.80 ค่าความเชื่อมั่นของข้อสอบเท่ากับ 0.98 และ 3) แบบสอบถามวัดเจตคติทาง วิทยาศาสตร์แบบมาตราส่วนประมาณด่า จ านวน 30 ข้อ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลคือ ค ่าเฉลี่ย ส ่วนเบี ่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบสมมุติฐานใช้ (-test (Dependent Samples) ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 4 หลังการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD สูงกว่าก่อนการจัดการ เรียนรู้แบบร ่วมมือเทคนิค STAD อย ่างมีนัยส าคัญทางสถิติที ่ระดับ 0.05 2) เจตคติทาง วิทยาศาสตร์ของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 หลังการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD สูงกว่าก่อนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD อย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ ระดับ 0.05 ปิยาภรณ์ ธีรจางคพิชัย และคณะ (2564) ได้ท าการวิจัยเรื่อง ผลการจัดการเรียนรู้ แบบสืบเสาะหาความรู้ร ่วมกับเทคนิค POE เรื ่อง แรง การเคลื ่อนที ่และพลังงานที ่มีต่อ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและเจตคติต ่อวิชาวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา อ าเภอ สวรรคโลก จังหวัดสุโขทัย การวิจัยครั้งนี้เป็น การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและเจตคติโดยใช้กระบวนการสืบเสาะหาความสู้ร่วมกับ เทคนิค POEวิชาวิทยาศาสตร์ชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 3 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) เปรียบเทียบ
23 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังเรียนของนักเรียน โรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา เรื่อง แรง การเคลื่อนที่และพลังงาน (2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนกับ เกณฑ์ร้อยละ 70 (3) เปรียบเทียบเจตคติต่อวิชาวิทยาศาสตร์ก่อนและหลังเรียน และ (4) ศึกษาคะแนนพัฒนาการสัมพัทธ์ของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและเจตคติต่อวิชาวิทยาศาสตร์ กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ปีการศึกษา 2562 โรงเรียนบ้านวังแร่ จ านวน 7 คน ซึ่งได้มาโดยวิธีการสุ่มแบบกลุ่ม เครื่องมือที่ ใช้ในการวิจัยได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ และ (3) แบบวัดเจตคติต่อวิชา วิทยาศาสตร์ สถิติที ่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก ่ ค ่าร้อยละ ค ่าเฉลี ่ย ส ่วนเบี ่ยงเบน มาตรฐาน คะแนนพัฒนาการสัมพัทธ์และค่าการทดสอบเครื่องหมาย ผลการวิจัยพบว่า (1) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมี นัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 70 (3) เจตคติต่อวิชาวิทยาศาสตร์หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที ่ระดับ .05 และ (4) คะแนนพัฒนาการสัมพัทธ์ของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนอยู่ในช่วงระดับสูงและ คะแนนพัฒนาการสัมพัทธ์ของเจตคติต่อวิชาวิทยาศาสตร์อยู่ในช่วงระดับกลาง-สูง วัชรียา พรหมพันธ์ และคณะ (2563) ได้ท าการวิจัยเรื่อง การเปรียบเทียบทักษะ การคิดวิเคราะห์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 เรื่อง พอลิเมอร์ โดยการจัดการเรียนรู้แบบ ร่วมมือเทคนิค STAD ร่วมกับเทคนิค POE และการจัดการเรียนรู้แบบปกติ การวิจัยครั้งนี้มี วัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบทักษะการคิดวิเคราะห์ของนักเรียน ก่อนเรียนและหลังเรียน โดยการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD ร่วมกับเทคนิค POE 2) เปรียบเทียบทักษะ การคิดวิเคราะห์ของนักเรียน หลังเรียนโดยการจัดการเรียนรู้แบบร ่วมมือเทคนิค STAD ร่วมกับเทคนิค POE และการจัดการเรียนรู้แบบปกติ 3) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ของนักเรียน ก่อนเรียนและหลังเรียนโดยการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD ร่วมกับ เทคนิค POE 4) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนหลังเรียน โดยการจัดการ เรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD ร่วมกับเทคนิค POE และการจัดการเรียนรู้แบบปกติ 5) เปรียบเทียบความพึงพอใจต่อการเรียนของนักเรียนโดยการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD ร ่วมกับเทคนิค POE และการจัดการเรียนรู้แบบปกติ กลุ ่มตัวอย ่างคือนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียน ธาตุนารายณ์วิทยา อ าเภอเมือง จังหวัดสกลนคร ภาคเรียนที่ 2 ปี การศึกษา 2561 จ านวน 2 ห้องเรียน ห้องเรียนละ 41 คน โดยสุ ่มตัวอย ่างแบบกลุ่ม
24 (Cluster Random Sampling ใช้ห้องเรียนเป็นหน ่วยสุ ่มเพื ่อให้ได้ห้องเรียน จ านวน 2 ห้องเรียน แล้วท าการสุ ่มอย ่างง ่าย (Simple Random Sampling) โดยการจับสลากเพื่อ ก าหนดห้องเรียนเป็นกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม กลุ่มทดลองเป็นกลุ่มที่ได้รับการจัดการ เรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD ร่วมกับเทคนิค POE และกลุ่มควบคุมเป็นกลุ่มทีได้รับการ จัดการเรียนรู้แบบปกติ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย แผนการจัดการเรียนรู้แบบ ร่วมมือเทคนิค STAD ร่วมกับเทคนิค POE แผนการจัดการเรียนรู้แบบปกติ แบบทดสอบวัด ทักษะการศิตวิเคราะห์ แบบทดสอบวัตผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แบบสอบถามความพึงพอใจ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติ ทดสอบค าที่ส าหรับกลุ่มตัวอย่างที่ไม่เป็นอิสระจากกัน (t test for Dependent Samples) และสถิติทดสอบค ่าที ่ส าหรับกลุ่มตัวอย ่างที ่เป็นอิสระจากกัน (t-test for Independent Samples) ผลการวิจัยพบว่า 1) ทักษะการคิดวิเคราะห์ของนักเรียน หลังเรียนโดยการ จัดการเรียนรู้แบบร ่วมมือเทคนิค STAD ร ่วมกับเทคนิค POE สูงกว ่าก ่อนเรียน อย ่างมี นัยส าคัญทางสถิติที ่ระดับ .01 2) ทักษะการคิดวิเคราะห์ของนักเรียน หลังเรียนโดยการ จัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD ร่วมกับเทคนิค POE สูงกว่าการจัดการเรียนรู้แบบ ปกติ อย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .01 3) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน หลังเรียน โดยการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD ร่วมกับ เทคนิค POE สูงกว่าก่อนเรียน อย่าง มีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .01 4) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน หลังเรียนโดยการ จัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD ร่วมกับเทคนิค POE สูงกว่าการจัดการเรียนรู้แบบ ปกติ อย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .01 5) ความพึงพอใจต่อการเรียนของนักเรียนโดย การจัดการเรียนรู้ แบบร่วมมือเทคนิค STAD ร่วมกับเทคนิค POE สูงกว่าการจัดการเรียนรู้ แบบปกติ อย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .05 วรางคณา เจริญรักษา และคณะ (2565) ได้ท าการวิจัยเรื ่อง การเปรียบเทียบ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โดยการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิค STAD และแบบสืบเสาะหาความรู้ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื ่อ 1) เพื่อ เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ที่ ได้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิค STAD และแบบสืบเสาะหาความรู้ 2)เพื่อศึกษา ความพึงพอใจต ่อวิชาวิทยาศาสตร์ กลุ ่มตัวอย ่างที ่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ นักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 2/1 จ านวน 31 คน และ ประถมศึกษาปีที่ 2/4 จ านวน 31 คน โรงเรียน
25 ประชาบ ารุง ส านักงานเขตหนองแขม จังหวัดกรุงเทพมหานคร ปีการศึกษา 2562 ไต้มาโดย การใช้ห้องเรียนเป็นการสุ่ม เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้วิซาวิทยาศาสตร์ โดยการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิค STAD จ านวน 2 เรื่อง แสงกับสิ่งมีชีวิตและ ดิน รอบตัว 2) แผนการจัดการเรียนรู้วิชาวิทยาศาสตร์โดยการจัดการเรียนรู้ แบบสืบเสาะหา ความรู้ จ านวน 2 เรื่อง แสงกับสิ่งมีชีวิต และ ดินรอบตัว 3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์การ เรียน เรื่อง แสงกับสิ่งมีชีวิต และ ดินรอบตัว 4) แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มี ต ่อวิซาวิทยาศาสตร์ ผลการวิจัย พบว ่า 1) การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชา วิทยาศาสตร์ ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิค STAD สูงกว่าผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนวิชาวิทยาศาสตร์ ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ อย่างมีนัยส าคัญทาง สถิติที ่ระดับ .05 2) คะแนนความพึงพอใจต ่อการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ ที ่ได้การจัดการ เรียนรู้แบบร ่วมมือ เทคนิค STAD โดยรวมอยู ่ในระดับมากที ่สุด การจัดการเรียนรู้แบบ ร่วมมือ โดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง สุภลักษณ์ จ้อยนุแสง และคณะ (2563) ได้ท าการวิจัยเรื่อง การพัฒนากิจกรรม การเรียนรู้วิทยาศาสตร์แบบกลุ ่มร ่วมมือเทคนิค STAD เรื ่อง การด ารงชีวิตของพืช ของ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที ่ 4 การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื ่อ 1) พัฒนากิจกรรมการ เรียนรู้วิทยาศาสตร์แบบกลุ่มร่วมมือเทคนิค STAD เรื่องการด ารงชีวิตของพืช ของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 4 ตามเกณฑ์ประสิทธิภาพ 75/75 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์แบบกลุ ่มร ่วมมือเทคนิค TAD เรื ่อง การด ารงชีวิตของพืช ของนักเรียนชั้น ประถมศึกษา ปีที ่ 4ระหว ่างก ่อนเรียน และหลังเรียน และ 3) ศึกษาความพึงพอใจของ นักเรียนที่มีต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือเทคนิค STAD ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 กลุ่มตัวอย่างการวิจัย ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ปีการศึกษา 2562 โรงเรียนชุมชนนาทมโคกก ่อง ส านักงานเขตพื้นที ่การศึกษาประถมศึกษาร้อยเอ็ด เขต 3 จ านวน 16 คน โดยใช้วิธีการสุ่มแบบกลุ่ม (Clusterrandom sampling) เครื่องมือที่ใช้ใน การวิจัย ได้แก่ 1 แผนกิจกรรมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์แบบกลุ่มร่วมมือเทคนิค STAD เรื่อง การด ารงชีวิตของพืช ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 จ านวน 6 แผน 2 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียน จ านวน 30 ข้อ 3) แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที ่มีต ่อการจัด กิจกรรมการเรียนรู้ จ านวน 12 ข้อ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วน เบี ่ยงเบนมาตรฐาน และ t-test (Dependent samples) ผลการวิจัยพบว ่า 1) การจัด
26 กิจกรรมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์แบบกลุ่มร่วมมือเทคนิค STAD เรื่อง การด ารงชีวิตของพืช ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 มีประสิทธิภาพ (E1/E2) เท่ากับ 75.42/75.21 ซึ่งเป็นไป ตามเกณฑ์ที่ก าหนดไว้ 75/75 2) นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่ได้รับการจัดการเรียน วิทยาศาสตร์แบบกลุ่มร่วมมือเทคนิค STAD มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อน เรียน อย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3 นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการจัดกิจกรรมการ เรียนรู้วิทยาศาสตร์แบบกลุ่มร่วมมือเทคนิค STAD โดยรวมอยู่ในระดับมาก (X = 426, S.D. = 0.94) อุรารัตน์ อ่อนทอง และคณะ (2566) ได้ท าการวิจัย เรื่อง การจัดการเรียนรู้แบบ ท านาย สังเกต อธิบาย (POE) เรื ่อง สมบัติทางกายภาพของวัสดุที ่ส ่งเสริมสมรรถนะการ อธิบายปรากฏการณ์ในเชิงวิทยาศาสตร์ ส าหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปี ที่ 4 การวิจัยครั้ง นี้มีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อส่งเสริมสมรรถนะการอธิบายปรากฏการณ์ในเชิงวิทยาศาสตร์ ของ ผู้เรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบท านาย สังเกต อธิบาย (POE) (2) เพื่อศึกษาความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้แบบท านาย สังเกต อธิบาย (POE) ของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนเทศบาล 1 (บ้านโพธิ์กลาง) ที่ก าลังศึกษาอยู่ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 จ านวนนักเรียน 35 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้คือ (1) แผนการจัดการเรียนรู้แบบท านาย สังเกต อธิบาย (POE) (2 แบบวัดความสามารถการอธิบายปรากฏการณ์ในเชิงวิทยาศาสตร์ เรื่อง สมบัติทาง กายภาพของวัสดุ (3) แบบวัดความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้แบบท านาย สังเกต อธิบาย (POE) วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติดังนี้คือ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าร้อยละ และ การทดสอบค่าที(t-test) ผลการวิจัยพบว่า หลังการจัดการเรียนรู้แบบท านาย สังเกต อธิบาย (POE) พบว่า 1. สมรรถนะการอธิบายปรากฏการณ์ในเชิงวิทยาศาสตร์ของผู้เรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 4 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบท านาย สังเกต อธิบาย (POE) มีคะแนน ความสามารถในการอธิบายปรากฏการณในเชิงวิทยาศาสตร์ค าเฉลี่ยรวม 71.31 ผ่านเกณฑ์ ร้อยละ 70 อย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ 0.052. ความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้แบบ ท านาย สังเกต อธิบาย (POE) ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ในระดับ 3 พึงพอใจมาก ( X = 2.70, S.D. = 0.49)
27 ต่างประเทศ Sevilay (2015, pp. 923-936) ได้ศึกษาความเข้าใจเกี่ยวกับแนวคิดเรื่องไฟฟ้า เคมีโดยการใช้เทคนิค POE โดยมีกลุ ่มตัวอย่างเป็นนักศึกษาชั้นปีที่ 1 สาขาวิทยาศาสตร์ คณะศึกษาศาสตร์ จ านวน 2 กลุ่ม กลุ่มละ 20 คน คือกลุ่มทดลองได้รับการจัดกิจกรรมการ เรียนรู้โดยใช้เทคนิค POE และกลุ ่มควบคุมได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบเดิม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบทดสอบซึ่งเป็นค าถามแบบปลายเปิดและแบบเลือกตอบ ผลการวิจัยพบว่านักศึกษากลุ่มทดลอง มีคะแนนหลังเรียนสูงกว่านักศึกษากลุ่มควบคุมอย่าง มีนัยส าคัญทางสถิติ และมีแนวคิดที่คลาดเคลื่อน เรื่อง ไฟฟ้าเคมี ที่น้อยกว่านักศึกษากลุ่ม ควบคุม ผลของการวิจัยนี้สนับสนุนว่าการใช้เทคนิค POE เป็นวิธีการท าให้เกิดความเข้าใจ แนวคิดเรื่องไฟฟ้าเคมีได้เป็นอย่างดี Ataman (2016, pp. 104-120) ได้ศึกษาเรื ่อง ผลของการจัดการเรียนรู้แบบ ร่วมมือรูปแบบ STAD ร่วมกับแบบจ าลองที่มีต่อความเข้าใจของนักเรียนเรื่องเซลล์ไฟฟ้าเคมี โดยกลุ่มตัวอย่างเป็นนักศึกษาชั้นปีที่ 1 โปรแกรมการศึกษาครูวิทยาศาสตร์ที่ศึกษาในปี ค.ศ. 2014-2015 จ านวน 70 คน แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มที่ 1 เรียนโดยใช้การจัดการ เรียนรู้แบบร่วมมือรูปแบบ STAD ร่วมกับแบบจ าลอง กลุ่มที่ 2 เรียนโดยใช้การจัดการเรียนรู้ แบบร ่วมมือรูปแบบ STAD เพียงอย ่างเดียว และกลุ่มที ่ 3 เรียนโดยใช้การจัดการเรียนรู้ รูปแบบปกติ เครื ่องมือที ่ใช้ในการวิจัย คือ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื ่อง เซลล์ไฟฟ้าเคมี จ านวน 10 ข้อ เป็นค าถามปลายเปิดจ านวน 8 ข้อ และค าถามแบบเลือกตอบ จ านวน 2 ข้อ จากการศึกษาพบว่านักเรียนกลุ่มที่เรียนโดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ รูปแบบ STAD ร่วมกับแบบจ าลองมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงกว่านักเรียนที่เรียนโดยใช้การ จัดการเรียนรู้แบบร ่วมมือรูปแบบ STAD เพียงอย่างเดียว และนักเรียนที ่เรียนโดยใช้การ จัดการเรียนรู้รูปแบบปกตินอกจากนี้ผลการศึกษายังพบว่านักเรียนกลุ่มที่โดยใช้การจัดการ เรียนรู้แบบร่วมมือรูปแบบ STAD ร่วมกับแบบจ าลองมี ร้อยละของความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน เรื่องเซลล์ไฟฟ้าเคมีที่น้อยกว่านักเรียนอีก 2 กลุ่ม ในขณะที่นักเรียนทั้ง 2 กลุ่มนี้มีผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียน และร้อยละความเข้าใจคลาดเคลื่อนไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติ
28 บทที่ 3 วิธีการด าเนินการวิจัย การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบกึ่งทดลอง (Quasi Experimental Research) การ พัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์และทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เรื่อง ส ่วนต ่างๆ ของพืชดอก โดยใช้การจัดการเรียนเรียนรู้แบบร ่วมมือเทคนิค STAD ร ่วมกับ เทคนิค POE ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนนิบงชนูปถัมภ์ จังหวัดยะลา ภาค เรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 ผู้วิจัยได้ด าเนินการ ดังนี้ 3.1 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 3.2 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 3.3 การเก็บรวบรวมข้อมูล 3.4 การวิเคราะห์ข้อมูล 3.5 สถิติที่ใช้ในการวิจัย 3.1 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 1) ประชากร ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนนิบงชนูปถัมภ์ อ าเภอเมือง จังหวัดยะลา ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 จ านวน 8 ห้อง รวม 306 คน 2) กลุ่มตัวอย่าง นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนนิบงชนูปถัมภ์ อ าเภอเมือง จังหวัดยะลา ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 จ านวน 1 ห้อง รวม 38 คน ได้มาจากการเลือกแบบเจาะจง (Purposive sampling) 3.2 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย เครื่องมือที่ใช้ในการท าวิจัยครั้งนี้ ประกอบไปด้วย
29 1. แผนการจัดการเรียนรู้แบบร ่วมมือด้วยเทคนิค STAD ร ่วมกับการเรียนรู้แบบ POE เรื่องส่วนต่างๆ ของพืชดอก เวลาที่ใช้ในการจัดการเรียนการสอน 12 ชั่วโมง 2. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ ก่อนเรียนและหลังเรียน เรื ่องส ่วนต ่างๆ ของพืชดอก แบบชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จ านวน 10 ข้อ โดยให้ท า แบบทดสอบในกระดาษค าตอบ 3. แบบประเมินทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์โดยมีทักษะการสังเกตและ ทักษะการจ าแนกประเภทในแบบประเมินทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ 3.3 การเก็บรวบรวมข้อมูล การศึกษาค้นคว้าครั้งนี้ได้ด าเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้กรอบแนวคิดเกี่ยวกับ การใช้การจัดการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค STAD ร่วมกับการเรียนรู้แบบ POE เรื่องส่วนต่างๆ ของพืดอก ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ดังนี้ 1. นักเรียนท าแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก ่อนเรียน จ านวน 10 ข้อ เรื่องส่วนต่างๆ ของพืชดอก ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น บันทึกผลไว้เป็นคะแนนทดสอบก่อนเรียน 2. ชี้แจงให้นักเรียนที่เป็นกลุ่มตัวอย่างทราบถึงการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วย เทคนิค STAD ร่วมกับการเรียนรู้แบบ POE เรื่องส่วนต่างๆ ของพืชดอก ในการพัฒนาการ เรียนรู้ เพื่อความเข้าใจตรงกันและการปฏิบัติที่ถูกต้อง 3. นักเรียนเรียนรู้และปฏิบัติตามค าชี้แจงของกิจกรรมการเรียนรู้ 4. ด าเนินการทดลองกิจกรรมการเรียนรู้วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่องส่วนต่างๆ ของพืช ดอก ส าหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดยผู้วิจัยเป็นผู้ด าเนินการจัดการเรียนรู้กลับ นักเรียนกลุ่มตัวอย่าง จ านวน 38 คน ทั้งหมด 12 คาบ รวมเป็น 10 ชั่วโมง 5. ท าการทดสอบหลังเรียน (Post-test) โดยใช้แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียน จ านวน 10 ข้อ เรื่องส่วนต่างๆ ของพืชดอก กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ส าหรับ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 แล้วบันทึกผลการสอบเป็นคะแนนหลังเรียน
30 6. นักเรียนท าแบบประเมินทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ทักษะการสังเกต และทักษะการจ าแนกประเภท โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบ ่รวมมือด้วยเทคนิค STAD ร่วมกับการเรียนรู้แบบ POE จ านวน 6 ข้อ 7. น าข้อมูลไปวิเคราะห์ สรุปผล และแปรผลข้อมูลต่อไป 3.4 การวิเคราะห์ข้อมูล 1. เปรียบเทียบค่าเฉลี่ยคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางวิทยาศาสตร์ เรื่องส่วนต่างๆ ของพืช ดอก ก ่อนและหลังเรียน ด้วยบทเรียนการจัดการเรียนรู้แบบร ่วมมือด้วยเทคนิค STAD ร่วมกับการเรียนรู้แบบ POE ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ค่าเฉลี่ยของกลุ่มประชากร (Mean) ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานของกลุ่มประชากร (S.D.) และค่าทีt-test แบบ Dependent 2.วิเคราะห์ค่าเฉลี่ยคะแนนการประเมินทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ (ทักษะ การสังเกต และทักษะการจ าแนกประเภท) เรื ่องส ่วนต ่างๆ ของพืชดอก ของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้เกณฑ์การประเมินค่า 5 ระดับ ตามวิธีการ เชิดชัย อมรกิจบ ารุง (2548 : 35) โดยเกณฑ์การประเมินในการแปลความหมายระดับคะแนนเฉลี่ย ดังนี้ ระดับคะแนน ระดับทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ 0.00 – 0.50 ควรปรับปรุง 0.51 – 1.50 พอใช้ 1.51 – 2.50 ดี 2.51 – 3.00 ดีมาก เกณฑ์การให้คะแนน ทักษะการสังเกต 0 คะแนน ไม่มีการสังเกตโดยใช้ประสาทสัมผัสอย่างละเอียด การใช้ประสบการณ์ ความคิดเห็นของผู้สังเกตในการน าเสนอข้อมูลบางส่วน ไม่มีการจดบันทึกจากการสังเกต 1 คะแนน มีการสังเกตโดยใช้ประสาทสัมผัสอย่างละเอียด ใช้ประสบการณ์ความ คิดเห็นของผู้สังเกตในการน าเสนอข้อมูลบางส่วน มีการจดบันทึกจากการสังเกต 2 คะแนน มีการสังเกตโดยใช้ประสาทสัมผัสอย่างละเอียด ไม่ใช้ประสบการณ์ความ คิดเห็นของผู้สังเกตในการน าเสนอข้อมูล มีการจดบันทึกจากการสังเกตได้
31 3 คะแนน มีการสังเกตโดยใช้ประสาทสัมผัสอย่างละเอียดและคล่องแคล่ว ไม่ใช้ ประสบการณ์ ความคิดเห็นของผู้สังเกตในการน าเสนอข้อมูล มีการจดบันทึกจากการสังเกต ได้อย่างถูกต้องครบถ้วน ทักษะการจ าแนกประเภท 0 คะแนน ไม่สามารถจัดแบ่ง หรือ เรียงล าดับสิ่งที่สนใจศึกษา 1 คะแนน จัดแบ่ง หรือ เรียงล าดับสิ่งที่สนใจศึกษา ได้ไม่สอดคล้องกับเกณฑ์ที่ใช้ ส่วนใหญ่ 2 คะแนน จัดแบ่ง หรือ เรียงล าดับสิ่งที่สนใจศึกษา ได้ไม่สอดคล้องกับเกณฑ์ที่ใช้ บางส่วน 3 คะแนน จัดแบ่ง หรือ เรียงล าดับสิ่งที่สนใจศึกษา ได้ไม่สอดคล้องกับเกณฑ์ที่ใช้ ส่วนครบถ้วน สมบูรณ์ 3.5 สถิติที่ใช้ในการวิจัย สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลส าหรับการวิจัยครั้งนี้ คือ 1.สถิติที่ใช้ในการหาคุณภาพของเครื่องมือ 2. สถิติพื้นฐานที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล 3. สถิติที่ใช้ในการทดสอบสมมติฐานการวิจัย 1. สถิติที่ใช้ในการหาคุณภาพของเครื่องมือ ทดสอบความเที่ยงตรง (Validity) ตามเนื้อหา โดยใช้สูตรดัชนีค่าความสอดคล้อง IOC ระหว่างจุดประสงค์กับเนื้อหา ใช้สูตร ดังนี้ (กรมวิชาการ, 2545 หน้า 65) IOC = ∑ R N เมื่อ IOC แทน ค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่างข้อสอบกับจุดประสงค์ ∑ R แทน ผลรวมคะแนนความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญทั้งหมด N แทน จ านวนผู้เชี่ยวชาญ
32 มีเกณฑ์พิจารณาให้คะแนน ดังนี้ ให้ +1 เมื่อแน่ใจว่าข้อค าถามนี้มีความสอดคล้องกับจุดประสงค์ 0 เมื่อไม่แน่ใจว่าข้อค าถามนี้มีความสอดคล้องกับจุดประสงค์ -1 เมื่อแน่ใจว่าข้อค าถามนี้ไม่มีความสอดคล้องกับจุดประสงค์ โดยก าหนดเกณฑ์การพิจารณาระดับค่าดัชนีความสอดคล้องของข้อค าถามที่ได้จา การค านวณ จากสูตรที่จะมีค่าระหว่าง 0 ถึง 1.00 มีรายละเอียดของเกณฑ์การพิจารณา คือ มีค่า IOC ตั้งแต่ 0.5 ขึ้นไป แสดงว่าข้อค าถามนั้นวัดได้ตรงจุดประสงค์ แสดงว่า ข้อค าถามข้อ นั้นใช้ได้ แต่ถ้าค่า IOC ต ่ากว่า 0.5 แสดงว่าข้อค าถามนั้นไม่ได้วัดตรงจุดประสงค์ข้อค าถาม นั้นใช้ไม่ได้ 2. สถิติพื้นฐานที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ 2.1 ค่าเฉลี่ย (Mean) มีสูตร ดังนี้ x̅ = ∑ x N เมื่อ x̅ แทน ค่าคะแนนเฉลี่ย ∑ x แทน ผลรวมของคะแนนทั้งหมด N แทน จ านวนคนทั้งหมดในกลุ่มตัวอย่าง 2.2 ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) โดยค านวณจากสูตร ดังนี้ S.D = √ ∑ 2 − (∑ ) 2) n(n − 1) เมื่อ S.D แทน ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน x แทน คะแนนของแต่ละคน x̅ แทน คะแนนเฉลี่ย n แทน จ านวนคนทั้งหมด
33 3. สถิติที่ใช้ในการทดสอบสมมติฐานการวิจัย ทดสอบความแตกต่างระหว่างคะแนนแบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน ใช้ สถิติ t-test (Dependent Samples) (บุญชม ศรีสะอาด, 2548) ดังนี้ t = ∑ D √N ∑ D2 − (∑ D) 2 (n − 1) เมื่อ t แทน สถิติทดสอบที่จะใช้เปรียบเทียบกับค่าวิกฤต จาการแจกแจง แบบ (t) เพื่อทราบความมีนัยส าคัญ D แทน ความแตกต่างของคะแนนแต่ละคู่ N แทน จ านวนคู่ของคะแนนหรือจ านวนนักเรียน ∑ D แทน ผลรวมทั้งหมดของผลต่างของคะแนนก่อนและหลังการ ทดลอง ∑ D 2 แทน ผลรวมก าลังสองของผลต่างของคะแนนก่อนและหลังการ ทดลอง
2 บทที่ 4 ผลการวิจัย ผลการวิจัย เรื่องการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์และทักษะกระบวนการทาง วิทยาศาสตร์ เรื่อง ส่วนต่างๆ ของพืชดอก ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนนิบงชนูปถัมภ์ โดยใช้การจัดการเรียนเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD ร่วมกับเทคนิค POE ผู้วิจัยได้วิเคราะห์ ดังนี้ ตอนที่ 1 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง ส่วนต่างๆ ของพืชดอก ของนักเรียนชั้นประถมศึกษา ปีที่ 4 ระหว่างก่อนและหลังการจัดการเรียนเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD ร่วมกับเทคนิค POE ตารางที่ 4.1 ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง ส่วนต่างๆ ของพืชดอก กลุ่ม N คะแนนเต็ม ̅ S.D. t Sig 1 tailed ก่อนเรียน 38 10 4.79 1.17 12.47 0.000 หลังเรียน 38 10 7.61 1.52 จากตารางที ่ 4.1 พบว ่า การทดสอบคะแนนของผู้เรียน มีคะแนนก ่อนเรียน เฉลี ่ยเท่ากับ 4.79 และมีคะแนนหลังเรียน เฉลี ่ยเท ่ากับ 7.61 เมื ่อเปรียบเทียบระหว่างคะแนนสอบทั้งสองครั้ง พบว่า คะแนนสอบหลังเรียนสูงก่อนเรียนอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .05
35 ตอนที่ 2 ผลการวิเคราะห์การเปรียบเทียบแบบประเมินทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ (ทักษะการสังเกต และทักษะการจ าแนกประเภท) เรื ่องส ่วนต ่างๆ ของพืชดอก ของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 4 ตารางที ่ 4.2 ผลการวิเคราะห์การเปรียบเทียบแบบประเมินทักษะกระบวนการทาง วิทยาศาสตร์ เรื่องส่วนต่างๆ ของพืชดอก ที่ ทักษะ รายการประเมิน จ านวน ̅ S.D. แปล ความหมาย 1 ทักษะการ สังเกต นักเรียนสามารถสังเกต การล าเลียงน ้าและแร่ ธาตุของพืช 38 2.69 0.57 ดีมาก นักเรียนสามารถสังเกต การคายน ้าของใบพืช 38 2.85 0.43 ดีมาก นักเรียนสามารถสังเกต ประเภทของ สารอาหารที่พืชสะสม ไว้ 38 2.15 0.73 ดี นักเรียนสามารถสังเกต ส่วนประกอบของ ดอกไม้ 38 2.92 0.41 ดีมาก 2 ทักษะการ จ าแนก ประเภท นักเรียนสมารถจ าแนก ดอกสมบูรณ์กับดอกไม่ สมบูรณ์ 38 2.23 0.70 ดี นักเรียนสามารถ จ าแนกดอกสมบูรณ์ เพศกับดอกไม่สมบูรณ์ เพศ 38 2.00 0.76 ดี รวม 38 2.47 0.67 ดี
36 ระดับคะแนนในแบบประเมินทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ระดับคะแนน ระดับทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ 0.00 – 0.50 ควรปรับปรุง 0.51 – 1.50 พอใช้ 1.51 – 2.50 ดี 2.51 – 3.00 ดีมาก จากตารางที่ 4.2 พบว่า นักเรียนมีทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เรื่องส่วนต่างๆ ของ พืชดอก มาใช้ในการสอน เพื่อพัฒนาทักษะการสังเกต และทักษะการจ าแนกประเภท ในภาพรวมอยู่ ในระดับดี (ค ่าเฉลี ่ย = 2.47 , S.D. = 0.67) เมื ่อพิจารณาเป็นรายข้อ โดยเรียงล าดับจากทักษะ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ จากมากไปน้อยดังนี้ ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์อยู่ในระดับดี มาก (ค ่าเฉลี ่ย = 2.92 , 2.85 , 2.69 และค ่า S.D. = 0.41 , 0.43 , 0.57 ตามล าดับ) ทักษะ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์อยู่ในระดับดี (ค่าเฉลี่ย = 2.23 , 2.15 , 2.00 และค่า S.D. = 0.70 , 0.73 , 9.76 ตามล าดับ)
37 บทที่ 5 สรุปผล อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ วิจัยเรื ่อง การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์และทักษะกระบวนการทาง วิทยาศาสตร์ เรื่อง ส่วนต่างๆของพืชดอก ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนนิบงชนูปถัมภ์ โดยใช้การจัดการเรียนเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD ร่วมกับเทคนิค POE สามารถสรุปสาระส าคัญ ของการวิจัยได้ ดังนี้ 1. สรุปผลการวิจัย 2. อภิปรายผล 3. ข้อเสนอแนะ 1.สรุปผลการวิจัย จากการศึกษาการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์และทักษะกระบวนการทาง วิทยาศาสตร์ เรื่อง ส่วนต่างๆ ของพืชดอก โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD ร่วมกับ เทคนิค POE ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปี่ 4 โรงเรียนนิบงชนูปถัมภ์ จ านวน 38 คน ซึ่งสรุปได้ ดังนี้ 1. ผลการศึกษาพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์และทักษะกระบวนการทาง วิทยาศาสตร์ เรื่อง ส่วนต่างๆของพืชดอก โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD ร่วมกับเทคนิค POE ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปี ่ 4 โรงเรียนนิบงชนูปถัมภ์ พบว่า คะแนนสอบหลังเรียนของนักเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ ระดับ .05 2. ผลการศึกษาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิค STAD ร่วมกับเทคนิค POE ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปี่ 4 โรงเรียนนิบงชนูป ถัมภ์ในภาพรวมอยู่ในระดับดี 2.อภิปรายผล จากการวิจัย เรื่องการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์และทักษะกระบวนการทาง วิทยาศาสตร์ เรื่อง ส่วนต่างๆ ของพืชดอก ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนนิบงชนูปถัมภ์ โดยใช้การจัดการเรียนเรียนรู้แบบร ่วมมือเทคนิค STAD ร ่วมกับเทคนิค POE สามารถอภิปราย ผลการวิจัย ดังนี้ 1. ผลการศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ เรื่องส่วนต่างๆ ของพืชดอก โดยใช้ การจัดการเรียนเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD ร่วมกับเทคนิค POE ของนักเรียนชั้น
38 ประถมศึกษาปีที ่ 4 พบว ่า การทดสอบก ่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 4 มีคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 4.79 คะแนน และ 7.61 คะเเนน ตามล าดับ พบว่า คะแนนสอบหลังเรียนของนักเรียนสูงกว่าคะแนนสอบก่อนเรียนอย่างมีนัยส าคัญ ทางสถิติที่ระดับ .05 2. ผลการวิเคราะห์การเปรียบเทียบแบบประเมินทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ (ทักษะการสังเกต และทักษะการจ าแนกประเภท) เรื ่องส ่วนต ่างๆ ของพืชดอก ของ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ในภาพรวมของทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์อยู่ใน ระดับดี (ค่าเฉลี่ย = 2.47 และค่า S.D. = 0.67) 3.ข้อเสนอแนะ 1. เนื้อหาและรูปแบบการจัดการเรียนการสอนควรจัดกิจกรรมโดยเน้นผู้เรียนเป็นส าคัญ 2. ควรศึกษาเพิ่มเติมในการน ากระบวนการจัดการเรียนรู้โดยใช้การจัดการเรียนเรียนรู้แบบ ร่วมมือเทคนิค STAD ร่วมกับเทคนิค POE 3. ควรน ารูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD ร่วมกับเทคนิค POE ไปพัฒนา ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ด้านอื่นๆ เช่น ทักษะการลงความเห็นจากข้อมูล เป็นต้น
39 บรรณานุกรม กวีชัย จ าปา และคณะ. (2562). การพัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เรื่องไฟฟ้า กระแสโดยการจัดการเรียนรู้กลุ่มร่วมมือแบบ STAD ร ่วมกับเทคนิคผังกราฟิก ของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5. วารสารบัณฑิตศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร. จุฬารัตน์ บุญชู. (2556). การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ และเจตคติทาง วิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วย เทคนิค STAD. มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช. จุฬารัตน์ มหาชัย. (2559). การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์เพื่อพัฒนาทักษะ ชีวิต เรื่องไฟฟ้าในชีวิตประจ าวันด้วยวิธีการเรียนรู้ แบบร่วมมือเทคนิค STAD ของ นักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นปีที่ 1. ปริญญาตรีครุศาสตรบัณฑิต มหาวิทยาลัย ราชภัฏ หมู่บ้านจอมบึงราชบุรี. จุฬารัตน์ สนเกื้อกูล และคณะ. (2565). การพัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้น พื้นฐานของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 เรื่องระบบสุริยะ ผ่านการจัดการเรียนรู้แบบ สืบเสาะหาความรู้ร ่วมกับการใช้เกม. มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรม ราชูปถัมภ์. ชญานิษฐ์ สุวรรณกาญจน์ และคณะ. (2562). การพัฒนาความสามารถเรียนรู้วิชาวิทยาศาสตร์ โดยใช้การเรียนรู้แบบ Predict-Observe-Explain (POE) ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ 1. มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์. ชวีพร คชสินธ์. (2562). การพัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เรื ่อง หินและการ เปลี่ยนแปลงของโลก โดยใช้แบบฝึกทักษะ ส าหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนบ้านห้วยโรงนอก. ปฐมา อาแว และคณะ. (2546-2550). การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ผลการสอบคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัย และผลการเรียน ระดับมหาวิทยาลัยกับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของบัณฑิต มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี.
40 บรรณานุกรม(ต่อ) ปณิกา ยิ้มพงษ์. (2563). การศึกษาผลการจัดการเรียนรู้แบบ ท านาย สังเกต อธิบาย (POE) ร ่วมกับเทคนิคการใช้ค าถามที ่มีต ่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ และ ความสามารถในการคิดวิเคราะห์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6. มหาวิทยาลัยราชภัฏ พระนครศรีอยุธยา. ปิยาภรณ์ ธีรจางคพิชัย และคณะ. (2564). ผลการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับ เทคนิค POE เรื่องแรงและการเคลื่อนที่พลังงาน ที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและเจต คติต่อวิชาวิทยาศาสตร์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนขยายโอกาสทาง ก า ร ศ ึ ก ษ า อ า เ ภ อ ส ว ร ร ค โ ล ก จ ั ง ห ว ั ด ส ุ โ ข ท ั ย ว า ร ส า ร ร า ช พ ฤ ก ษ์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. ปีที่ 19 ฉบับที่ 1 ภาวิณี รัตนคอน. (2557). การศึกษาเจตคติการเรียนวิชาโครงงานวิทยาศาสตร์ ของนักเรียนเพศ ชายและเพศหญิง ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ Predict Observe Explain (POE). โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา (ฝ่าย มัธยม). วัชรียา พรหมพันธ์ และคณะ. (2563). การเปรียบเทียบทักษะการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 6 เรื่องพอลิเมอร์ โดยการจัดการเรียนรู้แบบร ่วมมือเทคนิค STAD ร ่วมกับเทคนิค POE และการจัดการเรียนรู้แบบปกติ. สารสารมนุษยศาสตร์และ สังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยนครพนม. ปีที่ 10 ฉบับที่ 2 วรางคณา เจริญรักษา และคณะ. (2565). ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความพึงพอใจต่อวิชา วิทยาศาสตร์ โดยการจัดการเรียนรู้แบบร ่วมมือ เทคนิค STAD ของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 2. บทความวิจัย วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยร า ช พฤกษ์. ปีที่ 8 ฉบับที่ 1 ศุภลักษณ์ จ้อยนุแสง และคณะ. (2564). การพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ แบบกลุ่ม ร่วมมือเทคนิค STAD เรื่องการด ารงชีวิตของพืช ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4. วารสารมหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด. ปีที่ 15 ฉบับที่ 1
41 บรรณานุกรม(ต่อ) อามีเนาะ ตารีตา. (2560). ผลของการจัดการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐานร่วมกับกลวิธี POE ที่มี ต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และความ พ ึ งพ อใ จ ต ่ อ ก า ร จ ั ด ก า ร เ ร ี ย น รู้ ข อ ง น ั ก เ ร ี ย น ช ั้ น ป ร ะ ถ ม ศ ึ กษ า ป ี ท ี ่ 6. มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์. อุรารัตน์ อ่อนทอง และคณะ. (2566). การจัดการเรียนรู้แบบท านาย สังเกต อธิบาย (POE) เรื่อง สมบัติทางกายภาพของวัสดุที ่ส ่งเสริมสมรรถนะการอธิบายปรากฏการณ์ในเชิง วิทยาศาสตร์ส าหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4. วารสารวิชาการและวิจัย มหาวิทยาลัย ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ. ปีที่ 13 ฉบับที่ 2
42 ภาคผนวก ก เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย - แผนการจัดการเรียนรู้กลุ่มสารการเรียนวิทยาศาสตร์ - แบบวัดผลสัมฤทธิ์ก่อนเรียน - หลังเรียน เรื่องส่วนต่างๆ ของพืชดอก - แบบประเมินทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์