จิต วิท ยา
สำ หรับ ครู
เสนอ
อาจารย์เขมินต์ธารากรณ์ บัวเพ็ชร
จัด ทำ โดย
นางสาวอามาลีนา เจะเตะ
รหัสนักศึกษา 6406510145
คณะศึกษาศาสตร์และศิลปศาสตร์ สาขาภาษาไทย มหาวิทยาลัยหาดใหญ่
คำนำ
E-book เล่มนี้จัดทำขึ้นเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของรายวิชา 600-106
จิตวิทยาสำหรับครู มีวัตถุประสงค์ในการค้นหาความรู้ใน
จิตวิทยาสำครูตามหัวข้อเรื่องที่ได้ศึกษามา พร้อมแนวทางการ
แก้ปัญหาและประโยชน์ที่ได้รับ ผู้จัดทำคาดหวังเป็นอย่างยิ่ง ใน
การจัดทำหนังสือเล่มนี้หวังว่ามีข้อมูลที่เป็นประโยชน์และถูก
ต้องเป็นไปตามกระบวนการในการจัดศึกษาจิตวิทยาสำหรับครู
ต่อผู้สนใจรวมทั้งผู้ที่ได้อ่านเป็นอย่างดี
ขอขอบคุณอาจารย์ เขมินต์ธารากรณ์ บัวเพ็ชร อาจารย์ที่
ปรึกษาในรายวิชาจิตวิทยาสำหรับครู ที่ค่อยชี้แนะความรู้ คำ
แนะนำ รวมถึงให้แนวทางในการศึกษาเรียบเรียงเนื้อหาในการ
จักทำ E-book เล่มนี้ จึงทำให้หนังสือเล่มนี้สำเร็จลุล่วงไปด้วย
ดี หากมีข้อผิดพลาดประการใด ข้าพเจ้าขออภัยมานะที่นี้ และ
ขอน้อมรับทุกคำแนะนำและคำติชม เพื่อนำไปปรับปรุงแก้ไข
ให้เนื้อหาถูกต้องและสมบูรณ์
จัดทำโดย
นางสาวอามาลีนา เจะเตะ
6406510145
สารบัญ
เรื่อง หน้า
ความหมายขอบข่ายจิตวิทยาสำหรับครู 4-8
พฤติกรรมมนุยษย์ 9-14
พัฒนาการของมนุษย์ 15-23
ปรัชญาแนวคิดของมนุษย์ 24-33
พัฒนาการของมนุษย์กับการเรียนรู้ 34-41
ปัจจัยที่ส่งผลต่อการเรียนรู้ 42-47
จิตวิทยาการเรียนรู้และรับรู้ 48-52
จิตวิทยาแนะแนวให้คำปรึกษา 53-59
Case Study 60-66
การนำหลักวิทยาไปใช้ในศักยภาพของค 67-74
บทที่ 1
ความหมาย ขอบข่าย วัตถุประสงค์
ของจิตวิทยาสำหรับครู
ความหมายของจิตวิทยา
จิตวิทยา (psychology) คือศาสตร์ที่ว่าด้วยการศึกษาเกี่ยวกับจิตใจ
(กระบวนการของจิต), กระบวนความคิด, และพฤติกรรม ของมนุษย์
ด้วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เนื้อหาที่นักจิตวิทยาศึกษา เช่น การ
รับรู้ (กระบวนการรับข้อมูลของมนุษย์), อารมณ์, บุคลิกภาพ,
พฤติกรรม, และรูปแบบความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล จิตวิทยายังมี
ความหมายรวมไปถึงการประยุกต์ใช้ความรู้กับกิจกรรมในด้านต่าง ๆ
ของมนุษย์ที่เกิดในชีวิตประจำวัน (เช่นกิจกรรมที่เกิดขึ้นในครอบครัว,
ระบบการศึกษา, การจ้างงานเป็นต้น) และยังรวมถึงการใช้ความรู้ทาง
จิตวิทยาสำหรับการรักษาปัญหาสุขภาพจิต นักจิตวิทยามีความ
พยายามที่จะศึกษาทำความเข้าใจถึงหน้าที่หรือจุดประสงค์ต่างๆ ของ
พฤติกรรมที่เกิดขึ้นจากตัวบุคคลและพฤติกรรมที่เกิดขึ้นในสังคมขณะ
เดียวกันฏ้ทำการศึกษาขั้นตอนของระบบประสาทซึ่งมีผลต่อการ
ควบคุมและแสดงออกพฤติกรรม
สัญลักษณ์ของการศึกษาจิตวิทยา
จิตวิทยาตรงกับภาษาอังกฤษว่า Psycholgy
ซึ่งมีรากศัพท์มาจากภาษากรีก 2 คำ ได้แก่คำว่า Psyche กับ Logos
จิตวิทยาเป็นวิทยาศาสตร์ประยุกต์ที่ได้รับการยอมรับว่ามีความสำคัญ
และมีบทบาทต่อการดำเนินชีวิตของบุคคลในด้านต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น
เรื่องส่วนตัว สถานที่ทำงาน รวมทั้งการอยู่ร่วมกับบุคคลอื่นในสังคม
ศาสตร์ทางจิตวิทยาซึ่งเป็นข้อสรุปธรรมชาติ พฤติกรรม (behavior) ของ
คนส่วนใหญ่เพื่อให้เกิดความรู้ ความเข้าใจ ตนเองและบุคคลอื่นมากขึ้น
ในศษสตร์นี้สามารถนำไปประยุกต์ใช้เพื่อแก้ปัญหาในสถานการณ์ต่างๆ
และดำเนินชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข
จอห์น บี วัตสัน (John B. Watson: 1913) เป็นนัก
จิตวิทยาคนแรกที่ให้คำนิยามเกี่ยวกับจิตวิทยาว่า
"จิตวิทยาเป็นวิชาที่ศึกษาเกี่ยวกับพฤติกรรมมนุษย์"
มอร์แกน (Morgan: 1971) กล่าวว่า "จิตวิทยาเป็น
ศาสตร์ที่ว่าด้วยพฤติกรรมของมนุษย์และสัตว์"
วิลเลี่ยม เจมส์ (William Jame: 1890) กล่าวว่า
"จิตวิทยาเป็นวิชาที่ว่าด้วยกิริยา"
ขอบข่ายของจิตวิทยาการศึกษา
1.จิตวิทยาทั่วไป ศึกษาเกี่ยวกับพฤติกรรมทั่วไปของมนุษย์การรับรู้ การเรียนรู้
อารมณ์ ความรู็สึก สติปัญญา
2.จิตวิทยาพัฒนาการ ศึกษาเกี่ยวกับลำดับขั้นตอนของพัฒนาการเจริญเติบโต
ในแต่ละวัยต่างๆ ของมนุษย์
3.จิตวิทยาสังคม ศึกษาเกี่ยวกับบทบาทความสัมพันธ์และพฤติกรรมของ
บุคคลในกลุ่มสังคม ปฏิกิริยาตอบสนองของบุคคลที่อยู่รวมกัน
4.จิตวิทยาการทดลอง ศึกษาเกี่ยวกับระบบประสาทและพฤติกรรมมนุษย์และ
สัตว์ในห้องทดลอง
5.จิตวิทยาการแนะแนว นักจิตวิทยาแนะแนวทำหน้าที่ให้คำแนะนำ ให้
แนวทาง และให้คำปรึกษานักเรียน
6.จิตวิทยาคลีนิค นักจิตวิทยาคลีนิคทำงานในโรงพยาบาลที่มีคนไข้
7.จิตวิทยาประยุกต์ เป็นการนำหลัการทางจิตวิทยามาใช้ประโยชน์ในสาขา
วิชาชีพต่างๆ
8.จิตวิทยาอุตสหกรรม ศึกษาเกี่ยวกับประสิทธิภาพในการทำาน ผลกระทบ
ของสิ่งแวดล้อมต่อมนุษย์
9.จิตวิทยาการศึกษา ศึกษาเกี่ยวกับงานด้านการเรียนการสอน การเรียนรู้ของ
ผู้เรียนเป็นวิชาที่สำคัญสำหรับครูและนักการศึกษา
10.จิตวิทยาการทดลอง มีการศึกษาโดยการทดลองกับมนุษย์และสัตว์ทั้งใน
สภาพแวดล้อมทั่วไปและในห้องปฏิบัติการ วิธีการศึกษาส่วนใหญ่ใช้การสังเกต
บทที่ 2
พฤติกรรมมนุษย์
ความหมายพฤติกรรมมนุษย์
พฤติกรรมมนุษย์ หมายถึง กริยาอาการที่
มนุษย์
แสดงออกหรือปฏิกิริยาโต้ตอบเมื่อ
เผชิญกับสิ่ง
เร้า หรือสถานการณ์ต่างๆ อาการ
แสดงออกต่างๆ เหล่านั้น อาจเป็นการ
เคลื่อนไหวที่สังเกตได้ หรือวัดได้ เช่น
การเดิน การพูด การเขียน การคิด การ
เต้นของหัวใจ เป็นต้น ส่วนสิ่งเร้าที่มา
กระทบแล้วก่อให้เกิดพฤติกรรมก็อาจจะ
เป็นสิ่งเร้าภายใน และสิ่งเร้าภายนอก
พฤติกรรมแบ่งเป็น 2 ประเภท
1.พฤติกรรมที่มีมาแต่กำเนิด ซึ่งเกิดขึ้นโดยไม่มีการเรียนรู้มาก่อน ได้แก่
ปฏิกิริยาสะท้อนกลับ เช่นการกระพริบตา และสัญชาตญาณ เช่น ความหิว
ความกลัว และการเอาตัวรอด เป็นต้น
2.พฤติกรรมที่เกิดจากอิทธิพลของกลุ่ม ได้แก่ พฤติกรรมที่เกิดจากการ ที่
บุคคลติดต่อสังสรรค์และมีความสัมพันธ์กับบุคคลอื่นในสังคม
การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของมนูษย์ให้
เหมาะสมกับสิ่งแวดล้อมแบ่งออกได้เป็น 4 ลักษณะ
1.การปรับเปลี่ยนทางด้านของสรีระร่างกาย เช่น การปรับปรุงบุคลิกภาพ การแต่งกาย การพูด
2.การปรับเปลี่ยนทางด้านอารมณ์และความรู้สึกนึกคิด ให้มีความสัมพันธภาพที่ดีกับบุคคลอื่น
ปรับอารมณ์ความรู้สึก ให้สอดคล้องกับบุคคลอื่น รู้จักการยอมรับผิด
3.การปรับเปลี่ยนทางด้านสติปัญญา เช่น การศึกษาค้นคว้าเพื่อให้มีความรู้ที่ทันสมัย ทัน
เหตุการณ์ การมีความคิดเห็นคล้อยตามความคิดเห็นของคนส่วนใหญ่
4.การปรับเปลี่ยนอุดมคติ หมายถึง การสามารถปรับเปลี่ยนหลักการ แนวทางบางส่วนบางตอน
เพื่อให้เข้ากับสังคมส่วนใหญ่ได้ โดยพิจารณาจากความจำเป็น และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพื่อให้
บรรลุเป้าหมายเป็นประโยชน์แก่ตนเอง เพื่อสวัสดิภาพของตนเองและของกลุ่ม
การศึกษาเกี่ยวกับการเกิดของพฤติกรรมมนุษย์
มนุษย์ได้พยายามที่จะศึกษาการเกิดพฤติกรรมมนุษย์ด้วยตนเอง เพื่อประโยชน์
ในการที่จะทำให้การอยู่ร่วมกันในสังคมเป็นไปได้ด้วยดี และมีความสุขจึงทำให้
เกิดมีความเชื่อหลักการและทฤษฎีต่างๆ เกิดขึ้นอย่างมากมาย
1.พฤติกรรมของมนุษเกิดขึ้นจากแรงผลักดันภายในตัวของมนุษย์
เช่น ความต้องการทางร่างกาย และความต้องการทางจิตใจ
2.พฤติกรรมของมนุษย์เกิดขึ้นจากแรงผลักดันของสิ่งแวดล้อม
เช่น อาหารการกิน สภาวะภูมิศาสตร์ ด้านสภาพอากาศ ระบบประเพณี
วัฒนธรรมแต่ละท้องถิ่น
3.พฤติกรรมของมนุษย์เกิดขึ้นจากทั้งแรงผลักดันภายในตัวมนุษย์ และสิ่งแวดล้อม
ทฤษฎีแรงจูงใจแบ่งออกได้เป็น
ทฤษฎีใหญ่ 3
1.ทฤษฎีพฤติกรรมนิยมมีผู้สนับสนุนหลายคน ให้ความสำคัญกับ
ประสบการณ์ในอดีตว่ามีผลต่อแรงจูงใจของบุคคลเป็นอย่างมากดังนั้น
ทุกพฤติกรรมของมนุษย์ถ้าวิเคราะห์ดูแล้วจะเห็นว่าได้รับอิทธิพลที่เป็น
แรงจูงใจมาจากประสบการณ์ในอดีตเป็นส่วนมากทฤษฎีนี้เน้นความ
สำคัญของสิ่งเร้าภายนอก
2.ทฤษฎีการเรียนรู้ทางสังคม เป็นแนวความคิดเห็นว่าแรงจูงใจเกิดจาก
การเรียนรู้ทางสังคมการสร้างเอกลักษณ์และการเลียนแบบจากบุคคลที่
ตนเองชื่นชอบหรือมีชื่อเสียงในสังคมจะเป็นแรงจูงใจที่สำคัญในการ
แสดงพฤติกรรมของบุคคล
3.ทฤษฎีพุทธินิยม เป็นแนวคิดที่พัฒนาว่าแรงจูงใจในการขึ้นนั้นอยู่กับ
การรับรู้สิ่งที่อยู่รอบตัวโดยอาศัยความสามารถทางปัญญาเป็นสำคัญ
มนุษย์จะได้รับแรงผลักดันจากหลายทางในการแสดงพฤติกรรม
4.ทฤษฎีมนุษย์นิยมแนวความคิดนี้เป็นของมาสโลว์ ทฤษฎีนี้อธิบายถึง
ลำดับความต้องการของมนุษย์โดยที่ความต้องการจะเป็นตัวกระตุ้นให้
มนุษย์สามารถอธิบายถึงเรื่องแรงจูงใจของมนุษย์ได้เช่นเดียวกัน
บทที่ 3
พัฒนาการของมนุษย์
พัฒนาการ คือ
การเปลี่ยนด้านต่างๆ เช่น ร่างกาย อารมณ์ สังคม
และสติปัญญาของบุคคลอย่างมีขั้นตอนและเป็น
ระเบียบแบบแผน โดยจะเป็นการเปลี่ยนแปลงในเชิง
คุณภาพ เพื่อให้บุคคลนั้นพร้อมจะแสดงความ
สามารถในการกระทำกิจกรรมใหม่ที่เหมาะสมกับวัย
ทฤษฎีพัฒนาการ (Theories of Development)
พัฒนาการความต้องการทางเพศและบุคลิกภาพ
(Freud's Psychosexual & Personality Development)
ซิกมันด์ ฟรอยด์ ได้เสนอแนวคิดเกี่ยวกับทฤษฎี
พัฒนาการของเขาไว้ว่า "พัฒนาการความต้องการทาง
เพศและบุคลิกภาพของบุคคลต้องอาศัยการพัฒนาที่ต่อ
เนื่องอย่างเป็นลำดับขั้นจนกลายเป็นบุคลิกภาพที่ถาวรใน
ที่สุด" ช่วงเวลาที่ฟรอยด์ให้ความสำคัญต่อการสร้าง
บุคลิกภาพอย่างมากจะอยู๋ในช่วงระยะแรกเกิดถึงห้าปี
พัฒนาการมนุษย์แบ่งตามช่วงอายุได้
เป็น 8 ระยะ ดังนี้
1.ระยะก่อนเกิด (Prenatal stage) คือตั้งแต่เริ่มปฏิสนธิจนถึงระยะ
คลอด
2.วัยทารก เริ่มตั้งแต่เกิดจนถึงอายุ 2 ปี
3.วัยเด็ก เรื่มตั้งแต่อายุ2-12ปี
4.วัยย่างเข้าสู่วัยรุ่น ปกติหญิงเฉลี่ยมีอายุ 12 ปี ชายเฉลี่ยมีอายุ 14 ปี
5.วัยรุ่น ตั้งแต่อายุ14-21 ปี
6.วัยผู้ใหญ่ ตั้งแต่อายุ 21-40 ปี
7.วัยกลางคน ตั้งแต่อายุ 40-60 ปี
8.วัยสูงอายุ ตั้งแต่อายุ 60 ปีขึ้นไป
ทฤษฎีพัฒนาการทางจริยธรรมของโคลเบอร์กโคลเบอร์ก
เจ้าของทฤษฎีได้สนใจในการพัฒนาการทางจริยธรรมของเพีย
เจท์ โดยทำการศึกษาวิจัย ทั้งวัยเด็ก และผู้ใหญ่ และได้ขยาย
ขั้นตอนการพัฒนาออกเป็น 6 ขั้นตอนด้วยกันคือ
1. เริ่มตั้งแต่เด็กแรกเกิดจนถึง 7 ขวบ ขั้นนี้จัดอยู่ในขั้นที่เชื่อฟัง
หรือยอมรับปฏิบัติตามคำสั่งของผู้ที่มีอิทธิพลเหนือกว่า การ
เลือกปฏิบัติจะเลือก ในสิ่งที่เกิดประโยชน์แก่ตน หลีกเลี่ยงการ
ถูกลงโทษ เพราะคิดว่าการลงโทษเป็นสิ่งที่ใช้ตัดสินว่าสิ่งใดดี
สิ่งใดไม่ดี
2.ขั้นหลักการแสวงหารางวัล เริ่มตั้งแต่อายุ 7 - 10 ปีชั้นนี้เด็ก
จะให้ ความสำคัญกับการได้รับรางวัล และคำชมเชยมากกว่า
การถูกลงโทษ
3. ขั้นหลักกระทำตามเพื่อน เริ่มตั้งแต่อายุ 10 - 13 ปีข้นนี้เป็น
ขั้นย่างเข้าสู่วัยรุ่น ดังนั้นกลุ่มเพื่อนเริ่มมอิทธิพล เด็กจะกระทำ
ตามการยอมรับของกลุ่มเพื่อน มากกว่าจะกระทำตามความคิด
ของตนเองเล็กน้อย
4. ข้นหลักกระทำตามหน้าที่เริ่มตั้งแต่อายุ 13 - 16 ปี
ขั้นนี้เป็นขั้นที่ปฏิบัติ โดยมุ่งหมายที่จะกระทำตามหน้าที่
ตามระเบียบที่กำหนดเอาไว้ ไม่ใช่เพราะต้องการรางวัล
หรือกลัวถูกลงโทษ
5. ขั้นนี้เป็นขั้นบุคคลอื่น ไม่ก้าวก่ายในเรื่องของคนอื่น
ยึดมั่นในสัจวาจา กระทำโดยเห็นประโยชน์สวนรวม
มากกว่าสวนตน
6. คนไทยไว้วางใจครูมาก เมื่อเขาส่งลูกหลานเขามา
โรงเรียนเขารู้ว่าลูกหลานของเขาปลอดภัย เขามอบ
ความไว้วางใจให้ครูเต็มที่ โดยที่เขาไม่ระแวง สงสัยว่า
ครูนั่นแหละ จะเป็นผู้ลอบทำร้ายลูกหลานของเขาเสีย
เองเพราะเหตุอะไร ? เพราะไม่ว่าจะเป็นเด็กเล็กเด็กโต
เขาต่างมี ชีวิตจิตใจ เติบโต เคลื่อนไหวแสดงออกร่าเริง
แจ่มใสช่างคิด บางครั้งจะเจ็บป่วย ขมขื่น อดอยาก หิว
โหย แต่เขาก็ไม่ใช่หุ่นยนต์ที่ครูจะป้อน ข้อมูลลงไปวัน
แล้ววันเล่า โดยลืมนึกถึงจิตใจของเด็ก
ทฤษฎีพัฒนาการทางสังคมของอีริกสัน (Erikson's
Psychosocial
Theory) อีริก เอช. อีริกสัน แนวคิดของอีริกสันจะเน้นความ
สำคัญ
ที่ว่าพัฒนาการของบุคคลจะขึ้นอยู่กับปัจจัยทางสังคม
วัฒนธรรม
และสิ่งแวดล้อมทางจิตใจมากกว่าการตอบสนองทางร่างกาย
พัฒนาการของบุคคลจะเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลาตั้งแต่แรกเกิด
จนกระทั่งเสียชีวิต
ทฤษฎีพัฒนาการทางเซาว์ปัญญาของเพี่ยเจย์ (Piagct's
Cognitive Development Theory) ฌอง เพียเจย์ เขาได้
ศึกษา
ค้นคว้าเกี่ยวกับพัฒนาการทางเชาว์ปัญญาอย่างจริงจังและ
ลึกซึ้ง ผลจากการทดลองของเขาพบว่าเด็กทุกคนเกิดมา
พร้อมที่
จะมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมอยู่ตลอดเวลา และ
ปฏิสัมพันธ์นี้
เองที่เป็นปัจจัยก่อให้เกิดพัฒนาการทางเซาว์ปัญญาขึ้น
ทฤษฎีพัฒนาการทางจริยธรรมของโคห์ลเบริก์ (Kohlberg's Moral
Development) ลอเรนซ์ โคห์ลเบริก็ วิธีการศึกษาวิจัยของโคห์ลเบริก
มีความ
คล้ายคลึงกับวิธีของเพียเจย์ กล่าวคือ จะมีการสร้างสถานการณ์
สมมติ
ขึ้นมา โดยให้กลุ่มทดลองเป็นผู้ตอบปัญหาที่เกิดขึ้นในสถานการณ์
สมมติ
นั้น ผลจากการวิเคราะห์คำตอบของผู้ตอบในวัยต่างๆ ทำให้โคห์ลเบ
ริกสรุป
เป็นทฤษฎีพัฒนาการทางจริยธรรมของบุคคลเป็น 3 ระดับ
พัฒนาการของบุคคลในวัยต่างๆ
- วัยทารก เป็นวัยที่อยู่ระหว่างแรกเกิดจนถึง2ปี พัฒนาการ
ค้าน
ต่างๆ ในวัยนี้ถือได้ว่าเป็นพื้นฐานสำคัญของพัฒนาการในวัย
ต่อๆ ไป
- วัยเด็ก วัยนี้อยู่ในช่วงอายุประมาณ 2-12 ปี เป็นระยะที่
ร่างกายจะเจริญเติบโตช้ลงกว่าในวัยทารก โดยเฉพาะในระยะ
เริ่มต้นของวัย แต่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วชัดเจน
อีกครั้งเมื่อเข้าสู่ช่วงปลายของวัย วัยเด็กตอนต้น อยู่ในช่วงอายุ
ระหว่าง 3-5 ปี เป็นวัยที่แสดงความก้าวหน้าทางด้านพัฒนาการ
ในทุกค้าน วัยเด็กตอนกลาง อยู่ในช่วงอายุ 6-9 ปี พัฒนาการ
ด้านต่างๆ ของเด็กในวัยนี้จะมีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมไม่
มากนัก วัยเด็กตอนปลาย อยู่ในช่วงอายุ 10-12 ปี ซึ่งถือว่าเป็น
ช่วงเวลาที่สำคัญของวัยเด็ก ทั้งนี้เนื่องจากเป็นวัยที่มีการ
เปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนในทุกด้านหลายประการ
- วัยรุ่น วัยนี้จะอยู่ในช่วงอายุ 12-20 ปี นับว่าเป็นวัยที่มีความ
สำคัญ
มากอีกวัยหนึ่ง อาจกล่าวได้ว่าเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของชีวิต
เนื่องจากเป็นวัยที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงพัฒนาการในทุกด้าน ไม่ว่า
จะเป็นทางร่างกาย อารมณ์ สังคม และสติปัญญา ซึ่งกลุ่มเพื่อนจะมี
บทบาทสำคัญต่อพัฒนาการทางสังคมของวัยรุ่นในการที่จะค้นพบ
ตัวเอง
-วัยผู้ใหญ่ วัยนี้เริ่มต้นตั้งแต่อายุ 21 ปีขึ้นไปจนตลอดชีวิต ผู้ใหญ่
เป็นอีกวัยที่มีความสำคัญต่อชีวิตมนุษย์ คือ นอกจากจะเป็นวัย
แห่งความสมบูรณ์สูงสุดของพัฒนาการในด้านต่างๆ ทั้งร่างกาย
อารมณ์ สังคม และสติปัญญา ยังเป็นวัยเริ่มต้นแห่งความแห่ง
เสื่อมของพัฒนาการทุกด้านอีกด้วย วัยผู้ใหญ่ตอนต้น อายุ 20-40
ปี เป็นวัยแห่งการทำงาน มีครอบครัวและความมั่งคงให้กับ
ตนเอง วัยกลางคน อายุ 40-60 ปี เป็นวัยแห่งการเริ่มต้นความ
เสื่อมของร่างกาย
วัยชราอายุ 60 ปีขึ้นไป เป็นวัยที่จะต้องได้รับการดูแลเอาใจใส่
จากคนในครอบครัวเป็นพิเศษทั้งด้านร่ากายและจิตใจ
บทที่ 4
ปรัชญาแนวคิดทฤษฎีจิตวิทยา
ปรัชญาและแนวคิดด้านการศึกษา
ปรัชญา คือ ศาสตร์ที่ศึกษาหาความรู้ ความจริงของมนุษย์
ธรรมชาติ และชีวิต อย่างลึกซึ้งเพื่ออธิบายเหตุการณ์ และ
สิ่งต่างๆโดยใช้หลักการของเหตุผล ในวิชาตรรกวิทยา เป็น
เครื่องมือในการเข้าถึงความจริงหรือความรู้ที่แน่นอน
ปรัชญาและแนวคิดทางการศึกษา คือ ปรัชญาการศึกษา
เป็นความพยายามวิเคราห์ใและทำความเข้าใจเกี่ยวกับ
การศึกษาสามาระมองเห็นปัญหาของการศึกษาได้อย่าง
ชัดเจน และสามารถกำหนดเป็นแนวคิดหลักการเพื่อเป็น
แนวทางในการจัดการศึกษา ที่แสดงออกมาในรูปของ
อุดมการณ์ หรืออุดมคติซึ่งสามารถนำมายึดเป็นหลักในการ
ดำเนินการทางการศึกษาเพื่อให้บรรลุจุดมุ่งหมายของ
การศึกษา
แนวคิดและความสำคัญจิตวิทยา
แนวคิดและความสำคัญจิตวิทยา
แนวคิดทางจิตวิทยามีจุดมุ่งหมายของการเรียน
จิตวิทยา
การศึกษา คือเพื่อให้เข้าใจ เพื่อการทำนายและเพื่อ
ควบคุม
พฤติกรรมการเรียนรู้ของมนุษย์ในสถานการณ์ต่างๆ
กู๊ดวินและคลอส ไมเออร์
จุดมุ่งหมายที่สำคัญของการเรียนจิตวิทยา ไว้ดังนี้
1.เป็นการให้ความรู้เกี่ยวกับการเรียนรู้ที่เป็นระบบ
ทั้งด้านทฤษฎี หลักการและสาระอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
กับการเรียนรู้ของมนุษย์ทั้งเด็กและผู้ใหญ่
2.เป็นการนำความรู้เกี่ยวกับการเรียนรู้ ไปใช้ให้
เกิดประโยชน์ต่อการเรียนการสอน
3.เพื่อให้ครูสามารถนำเทคนิคและวิธีการการ
เรียนรู้ใช้ในการเรียนการสอน การแก้ปัญหาในชั้น
เรียน
ทฤษฎีของนักจิตวิทยา
ทฤษฎีการเชื่อมโยง
ของธอร์นไดค์
ธอร์นไดค์ (Thordike ) ซึ่งได้กล่าวว่าการเรียนรู้คือ การที่ผู้เรียนสามารถ
สร้างความสัมพันธ์ เชื่อมโยง (Bond) ระหว่างสิ่งเร้า และการตอบสนอง ได้รับ
ความพึงพอใจจะทำให้เกิดการเรียนรู้ขึ้น ธอร์นไดด์ได้ ทำการทดลองพบว่า การ
เรียนรู้ของอินทรีย์ ที่ด้อยความสามารถเกิดจากการลองผิดลองถูก( Trial and
Eror ) ซึ่งต่อมาเขานิยมเรียกว่า การเรียนรู้แบบเชื่อมโยงการทดลองของธอร์น
ไดค์ ที่รู้จักกันดีที่สุด คือ การเอาแมวหิวใส่ในกรง ข้างนอกกรงมีอาหารทิ้งไว้
ให้ แมวเห็นในกรงมีเชือกซึ่งปลายข้างหนึ่งผูกกับบานประตูไว้ ส่วนปลายอีกข้าง
หนึ่ง เมื่อถูกดึงจะทำให้ประตูเปิด ธอร์นไดด้ ได้สังเกตเห็นว่า ในระยะแรก
แมวจะวิ่งไปวิ่งมา ข่วนโน่นกัดนี่ เผอิญไปถูกเชือกทำให้ประตูเปิด แมว
ออกไปกินอาหารได้ เมื่อจับแมวใส่กรงครั้งต่อไปแมวจะดึงเชือกได้เร็วขึ้น
จนกระทั่งในที่สุดแมวสามารถดึงเชือกได้ในทันที
ธอร์นไดค์ก็ได้สรุปว่า การลองผิดลองถูกจะนำไปสู่การเชื่อมโยงระหว่างสิ่ง
เร้าและการตอบสนอง และการเรียนรู้ ก็คือการที่มีการ
เชื่อมโยง (Connection) ระหว่างสิ่งเร้า (Stimuli) และการ
ตอบสนอง ( Responses ) การเรียนรู้แบบลองผิดลองถูก มีใจความที่
สำคัญว่า เมื่ออินทรีย์กระทบสิ่งเร้า นทรีย์จะลองใช้วิธีตอบสนองต่อสิ่ง
เร้าหลาย ๆ วิธี จนพบกับวิธีที่เหมาะสมและถูกต้องกับเหตุการณ์และ
สถานการณ์ เมื่อได้รับการตอบสนองที่ถูกต้องก็จะนำไปต่อเนื่องเข้ากับสิ่ง
เร้า นั้น ๆ มีผลให้เกิดการเรียนรู้ขึ้น โดยมีหลักเกณฑ์ และลำดับขั้นที่จะ
นำไปสู่การเรียนรู้แบบนี้ คือ
1. มีสถานการณ์ที่เป็นปัญหาเป็นสิ่งเร้าให้อินทรีย์แสดงการ
ตอบสนองหรือแสดงพฤติกรรมออกมา
2. อินทรีย์จะแสดงอาการตอบสนองหลาย ๆ อย่าง เพื่อ
แก้ปัญหาที่เกิดขึ้น
3. ปฏิกิริยาตอบสนองที่ไม่ทำให้เกิดความพอใจจะถูกตัดทิ้งไป
4. เมื่อปฏิกิริยาตอบสนองที่ไม่ทำให้เกิดความพอใจถูกตัดทิ้ง
ไป จนเหลือปฏิกิริยาที่ทำให้เกิดความพอไจ อินทรีย์จะถือเอา กิริยา
ตอบสนอง ที่ถูกต้องและจะแสดงตอบสนองต่อสิ่งเร้า(Interaction) นั้นมา
กระทบอีกนอกจากนี้ ธอร์นไดด์ ได้ตั้งกฎแห่งการเรียนรู้ขึ้น
อีก 3 กฎ คือ
1. กฎแห่งผล ( Law of Effect ) กล่าวว่าเมื่อการเชื่อมโยง
ระหว่างสิ่งเร้ากับอาการตอบสนองนำความพอใจมาให้การเชื่อม
โยง
ระห่ว่างสิ่งเร้ากับอาการตอบสนองก็จะแน่นแฟ้นขึ้น (ถ้าความ
สัมพันธ์
นี้นำความรำคาญใจมาให้ความสัมพันธ์นี้ ก็จะคลายความแน่น
แฟ้นลง หรืออาจจะกล่าวได้ว่า ถ้าจะให้ผู้เรียนรู้อะไรจะต้องมี
รางวัล
(รางวัลมิได้หมายถึงสิ่งของแต่อย่างเดียว แต่รวมเอาทุกสิ่งทุก
อย่างที่ทำไมผู้เรียนรู้สึกพอใจ เช่น การชมเชย เป็นต้น
2. กฎแห่งการฝึก ( Law of Exercise ) จากการสังเกตเมื่อเอา
แมวใส่กรงครั้งหลังแมวจะหาทางออกจากกรงได้เร็วขึ้น เมื่อ
ทดลอง
นาน ๆ เข้า แมวก็สามารถออกจากกรงได้ทันที ตามลักษณะนี้ธ
อร์น
ไดค์อธิบายว่า ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งเร้ากับการ ตอบสนองได้
สัมพันธ์แน่นแฟ้นขึ้น และความสัมพันธ์นี้จะแน่นแฟ้นยิ่งขึ้นเมื่อ
มีการ
ฝึกหัดหรือซ้ำบ่อย ๆ และความสัมพันธ์นี้จะคลายอ่อนลงเมื่อไม่
ได้ใช้
และธอร์นไดค์เชื่อว่าการกระทำที่ไม่มีรางวัลเป็นผลตอบแทน
หลังการ
ตอบสนองนั้น ๆ สิ้นสุดลงจะต้องลงเอยด้วยความสำเร็จ
3. กฎแห่งความพร้อม ( Law of Readiness ) ธอร์นไดค์ตั้งกฎแห่ง
ความพร้อม
นี้เพื่อเสริมกฎแห่งผล และได้อธิบายไว้ในรูปของการเตรียมตัว และ
การ
เตรียมพร้อม หรือถามมนุษย์พร้อมที่จะเรียนรู้อะไรบางอย่างได้พร้อม
ที่จะแสดง
พฤติกรรมบางอย่างที่จำเป็นสำหรับขบวนการการเรียนรู้นั้น เช่น จะ
ต้องมี
ร่างกายที่สูงพอ แข็งแรงและอยู่ในสภาวะจูงใจที่เหมาะสม ผู้เรียนจะ
แสดง
หรือไม่แสดงพฤติกรรมอะไรออกมานั้น ธอร์นไดค์ให้หลักไว้ 3 ข้อ คือ
1. เมื่อหน่วยของการกระทำพร้อมที่จะแสดงออกมา ถ้าผู้กระทำทำ
ด้วยความสบายหรือพอใจไม่มีอะไรจะเปลี่ยนแปลงการกระทำ นี้ได้
2. ถ้าหน่วยของการกระทำพร้อมที่จะแสดงออกแต่ไม่ได้แสดง จะ
ทำให้เกิดความไม่สบายใจ
3. ถ้าหน่วยของการกระทำยังไม่พร้อมที่จะแสดงออกแต่จำเป็นต้อง
แสดงออก การแสดงออกนั้นๆ กระทำไปด้วยความไม่สบายใจ ไม่
พอใจ
เช่นกัน ถึงแม้ว่าธอร์นไดค์ได้ปรับปรุงแก้ไขและขยายแนวความคิด
ของเขาอยู่
ตลอดเวลา ทำให้กฎแห่งความพร้อมและกฎแห่งการฝึกหัดหย่อน
ความสำคัญ
ไป ยังคงเหลือเพียงกฎแห่งผลที่เป็นที่ยอมรับกันอยู่ แต่ในกฎนี้ก็เหลือ
เพียงด้าน
ของรางวัลที่มีผลต่อการเรียนรู้ ส่วนด้านการลงโทษกับการเรีจะยนรู้
นั้นถูกตัดทิ้งไป
การประยุกต์ใช้ในด้านการเรียนการสอน
1. ในการเรียนการสอนครูต้องให้ความสำคัญ และ
ความเเข้าใจในความแตกต่างของผู้เรียน ทั้งแตกต่างทางเด้านอา
รมณ์
ด้านความชอบ ความสนใจ การตอบสนองได้ไม่เท่ากัน ต้องสร้าง
ทัศนคติที่ดีเกี่ยวกับเนื้อหาวิชาที่เรียนให้กับผู้เรียน เช่น ชี้ให้เห็น
ประโยชน์ หาบุคคลตัวอย่างที่ประสบความสำเร็จ
เป็นต้น
2. การวางเงื่อนไข ครูควรมีการวางเงื่อนไขในการเรียน
เช่น หากผู้เรียนสอบหรือทำผลงานได้สำเร็จจะให้ทำกิจกรรม
นันทนาการเพื่อคลายความเครียด เป็นต้น และควรใช้การวาง
เงื่อนไขที่แตกต่างกันไม่ใช่ใช้เพียงเงื่อนไขเดียว อาจจะเป็นการให้
ผู้เรียนทำกิจกรรมสนุกๆ การเล่นเกม การพาไปทัศนศึกษา การให้
ดู
วิดีโอ
3. ในการสอน ควรมีการใช้การเสริมแรงทางบวกแก
ผู้เรียน เช่น การให้คะแนน การให้องรางวัลการกล่าวคำชมเชย
เป็นการกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดพฤติกรรมที่พึ่งประสงค์ และควร
สังเกต
ว่าการเสริมแรง แบบใดที่ผู้เรียนชอบส่งผลต่อการตอบสนอง
พฤติกรรมที่ดี ควรมีการใช้การเสริมแรงที่หลากหลาย
4. ครูผู้สอนไม่ควรใช่การลงโทษที่รุนแรงเกินไป เพราะ
นอกจากจะไม่เกิดการเรียนรู้แล้วยังทำให้ผู้เรียนเกิด
ความอคติอีกด้วย ควรใช้วิธีการงดการเสริมแรงเมื่อผู้เรียนมี
พฤติกรรมไม่พึงประสงค์
5.ก่อนดำเนินการสอนครูต้องคำนึงถึงความพร้อม
ของผู้เรียนทั้งด้านร่างกาย ด้านอารมณ์ ด้านอุปกรณ์การ
เรียน และครูผู้สอนต้องสร้างความพร้อมทางความรู้ให้กับ
ผู้เรียนด้วย คือการอธิบายของความรู้เดิมเพื่อให้ผู้เรียนเกิด
การจำได้ถึงเนื้อก่อนหน้าที่เคยศึกษาให้สามารถเชื่อมโยง
ความรู้ได้
6. ครูผู้สอนควรมีการกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดการ
ฝึกหัด คือ การให้การบ้าน การให้ทำแบปฝึกหัดบ่อยๆแต่
ควรเป็นแบบฝึกหัดที่เป็นเรื่องเดียวกันแต่มีรูปแบบที่หลากหลาย
เพื่อไม่ให้ผู้เรียนเกิดความเบื่อหน่าย
บทที่ 5
พัฒนาการของมนุษย์กับการเรียนรู้
การเรียนรู้ (Learning) ตามความหมายทางจิตวิทยา
หมายถึง การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของบุคคลอย่างค่อนข้าง
ถาวร อันเป็นผลมาจากการฝึกฝนหรือการมีประสบการณ์
พฤติกรรมเปลี่ยนแปลงที่ไม่จัดว่าเกิดจากการเรียนรู้ ได้แก่
พฤติกรรมที่เป็นการเปลี่ยนแปลงชั่วคราว และการ
เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมที่เนื่องมาจากวุฒิภาวะ
พฤติกรรมของมนุษย์อาจไม่ได้มาจากการเรียนรู้ แต่เกิดจาก
ปฏิกิริยาละท้อน(Reflex) ซึ่งเป็นพฤติกรรมการตอบสนอง
ตามธรรมชาติที่มีมาแต่กำเนิด เช่น การกระพริบตา การ
หายใจฯลฯ และเกิดจากสัญชาตญาณ(Instinct) อันเป็น
ลักษณะเฉพาะเผ่าพันธุ์ เช่น การว่ายน้ำของปลา การซักใย
ของแมงมุม การสร้างรังของนกกระจาบ การวิ่งหนีแสงสว่าง
ของแมลงสาบ การดูดนมแม่ของทารก การก้าวเดินเป็นครั้ง
แรกของเด็ก
ความหมายของการเรียนรู้ นักจิตวิทยาหลายท่านให้
ความหมายของการเรียนรู้ไว้ ดังนี้
คิมเบิล (Kimble , 1964 ) "การเรียนรู้ เป็นการ
เปลี่ยนแปลงค่อนข้างถาวรในพฤติกรรม อันเป็นผลมาจาก
การฝึกที่ได้รับการเสริมแรง"
ฮิลการ์ด และ เบาเวอร์ (Hilgard & Bower, 1981)
"การเรียนรู้ เป็นกระบวนการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม อันเป็น
ผลมาจากประสบการณ์และการฝึก ทั้งนี้ไม่รวมถึงการ
เปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมที่เกิดจากการตอบสนองตาม
สัญชาตญาณ ฤทธิ์ของยา หรือสารเคมี หรือปฏิกริยาสะท้อน
ตามธรรมชาติของมนุษย์
คอนบาค ( Cronbach ) การเรียนรู้ เป็นการแสดงให้เห็นถึง
พฤติกรรมที่มีการเปลี่ยนแปลง อันเป็นผลเนื่องมาจาก
ประสบการณ์ที่แต่ละบุคคลประสบมา
ประสบการณ์ทางตรง คือ ประสบการณ์ที่บุคคลได้พบหรือสัมผัสด้วยตนเอง
เช่น เด็กเล็กๆ ที่ยังไม่เคยรู้จักหรือเรียนรู้คำว่า "ร้อน" เวลาที่คลานเข้าไปใกล้
กาน้ำร้อน แล้วผู้ใหญ่บอกว่าร้อน เพราะเกิดการเรียนรู้คำว่าร้อนที่ผู้ใหญ่บอก
แล้ว เช่นนี้กล่าวได้ว่า ประสบการณ์ ตรงมีผลทำให้เกิดการเรียนรู้เพราะมีการ
เปลี่ยนแปลงที่ทำให้เผชิญกับสถานการณ์เดิมแตกต่างไปจากเดิม
การมีประสบการณ์ตรงบางอย่างอาจทำให้บุคคลมีการเปลี่ยนแปลง
พฤติกรรม แต่ไม่ถือว่าเป็นการเรียนรู้ ได้แก่
1. พฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงเนื่องจากฤทธิ์ยา หรือสิ่งเสพติดบางอย่าง
2. พฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงเนื่องจากความเจ็บป่วยทางกายหรือทางใจ
3. พฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงเนื่องจากความเหนื่อยล้าของร่างกาย
4. พฤติกรรมที่เกิดจากปฏิกิริยาสะท้อนต่างๆ
ประสบการณ์ทางอ้อม คือ ประสบการณ์ที่ผู้เรียนมิได้พบหรือสัมผัสด้วย
ตนเองโดยตรง แต่อาจได้รับประสบการณ์ทางอ้อม จากการอบรมสั่งสอนหรือ
การบอกเล่า การอ่านหนังสือต่างๆ และการรับรู้จากสื่อมวลชนต่างๆ
จุดมุ่งหมายของการเรียนรู้
จุดมุ่งหมายของการเรียนรู้ พฤติกรรมของนักการศึกษาซึ่ง
กำหนดโดย บลูม และคณะ (Bloom and Others ) มุ่ง
พัฒนาผู้เรียนใน 3 ด้าน ดังนี้
1. ด้านพุทธิพิสัย (Cognitive Domain) คือ ผลของการ
เรียนรู้ที่เป็นความสามารถทางสมอง ครอบคลุมพฤติกรรม
ประเภท ความจำ ความเข้าใจ การนำไปใช้ การวิเคราะห์ การ
สังเคราะห์และประเมินผล
2. ด้านเจตพิสัย (Affective Domain ) คือ ผลของการเรียนรู้ที่
เปลี่ยนแปลงด้านความรู้สึก ครอบคลุมพฤติกรรมประเภท
ความรู้สึก ความสนใจ ทัศนคติ การประเมินค่าและค่านิยม
3. ด้านทักษะพิสัย (Psychomotor Domain) คือ ผลของการ
เรียนรู้ที่เป็นความสามารถด้านการปฏิบัติ ครอบคลุมพฤติกรรม
ประเภท การเคลื่อนไหว การกระทำ การปฏิบัติงาน การมีทักษะ
และความชำนาญ
องค์ประกอบสำคัญของการเรียนรู้ ดอลลาร์ด และมิลเลอร์
(Dallard and Miller)
เสนอว่าการเรียนรู้ มีองค์ประกอบสำคัญ 4 ประการ คือ
1.แรงชับ (Drive หรื, want ) เป็นความต้องการที่เกิดขึ้นภายในตัวบุคคล เป็น
ความพร้อมที่จะเรียนรู้ของบุคคลทั้งสมอง ระบบประสาทสัมผัสและกล้ามเนื้อ
แรงขับและความพร้อมเหล่านี้จะก่อให้เกิดปฏิกิริยา หรือพฤติกรรมที่จะชัก
นำไปสู่การเรียนรู้ต่อไป
2. สิ่งเร้า (Stimulus) ก่อนที่จะเรียนรู้ได้ จะต้องมีสิ่งเร้าที่น่สนใจ และนำาสัมผัส
สำหรับมนุษย์ ทำให้มนุษย์ดิ้นรนขวนขวาย และใฝ่ใจที่จะเรียนรู้ในสิ่งที่น่าสนใจ
นั้น ๆ
3. การตอบสนอง (Response) เป็นปฏิกิริยา หรือพฤติกรรมต่างๆ ที่แสดง
ออกมาเมื่อบุคคลได้รับการกระตุ้นจากสิ่งเร้า ทั้งส่วนที่สังเกตเห็นได้และส่วนที่ไม่
สามารถสังเกตเห็นได้ เช่น การเคลื่อนไหว ท่าทาง คำพูด การคิด การรับรู้ ความ
สนใจ และความรู้สึก เป็นต้น
4. การเสริมแรง (Reinforcement) เป็นการให้สิ่งที่มีอิทธิพลต่อบุคคลอันมีผล
ในการเพิ่มพลังให้เกิดการเชื่อมโยง ระหว่างสิ่งเร้ากับการตอบสนองเพิ่มขึ้น การ
เสริมแรงมีทั้งทางบวกและทางลบ ซึ่งมีผลต่อการเรียนรู้ของบุคคลเป็นอันมาก
ธรรมชาติของการเรียนรู้
การเรียนรู้มีลักษณะสำคัญดังต่อไปนี้
การเรียนรู้เป็นกระบวนการ การเกิดการเรียนรู้ของบุคคล
จะมีกระบวนการของการเรียนรู้ จากการไม่รู้ไปสู่การ
เรียนรู้ 5 ขั้นตอน คือ
1.1 มีสิ่งเร้ามากระตุ้นบุคคล
1.2 บุคคลสัมผัสสิ่งเร้าด้วยประสาททั้ง 5
1.3 บุคคลแปลความหมายหรือรับรู้สิ่งเร้า
1.4 บุคคลมีปฏิกิริยาตอบสนองอย่างใดอย่างหนึ่งต่อสิ่ง
เร้าตามที่รับรู้
1.5 บุคคลประเมินผลที่เกิดจากการตอบสนองต่อสิ่งเร้า
ขั้นตอนของการเรียนรู้โดยการสังเกต
1. ชั้นให้ความสนใจ (Attention Phase) ถ้าไม่มีขั้นตอนนี้ การ
เรียนรู้อาจจะไม่เกิดขึ้น เป็นขั้นตอน ที่ผู้เรียนให้ความสนใจต่อตัวแบบ
(Modeling) ความสามารถ ความมีชื่อเสี่ยง และคุณลักษณะเด่นของ
ตัวแบบจะเป็นสิ่งดึงดูดให้ผู้เรียนสนใจ
2. ขั้นจำ (Retention Phase) เมื่อผู้เรียนสนใจพฤติกรรมของตัว
แบบ จะบันทึกสิ่งที่สังเกตได้ไว้ในระบบความจำของตนเอง ซึ่งมักจะ
จดจำไว้เป็นจินตภาพเกี่ยวกับขั้นตอนการแสดงพฤติกรรม
3. ขั้นปฏิบัติ (Reproduction Phase) เป็นขั้นตอนที่ผู้เรียนลอง
แสดงพฤติกรรมตามตัวแบบ ซึ่งจะส่งผลให้มีการตรวจสอบการเรียนรู้ที่
ได้จดจำไว้
4. ขั้นจูงใจ (Motivation Phase) ขั้นตอนนี้เป็นขั้นแสดงผลของการ
กระทำจากการแสดงพฤติกรรมตามตัวแบบ ถ้าผลที่ตัวแบบเคยได้รับ
เป็นไปในทางบวก ก็จะจูงใจให้ผู้เรียนอยากแสดงพฤติกรรมตามแบบ
ถ้าเป็นไปในทางลบ ผู้เรียนก็มักจะงดเว้นการแสดงพฤติกรรมนั้นๆ
ปัจจัยที่ส่งผลต่อการเรียนรู้
บทที่ 6
สรีรวิทยา
สรีรวิทยา (Physiology) เป็นศาสตร์ที่ศึกษา
เกี่ยวกับหน้าที่และการทำงานของระบบ
ต่างๆในร่างกายว่าเกิดอะไรขึ้น (What) เกิด
ขึ้นได้อย่างไร (How) และเกิดขึ้นเพื่อ
อะไร (Why) ตลอดจนกลไกของการทำงาน
ของระบบต่างๆในร่างกาย อันได้แก่
ระบบประสาท ระบบกล้ามเนื้อ ระบบไหล
เวียนเลือด ระบบหายใจ ระบบทางเดิน
อาหาร ระบบไต ระบบต่อมไร้ท่อ และระบบ
สืบพันธุ์ ตลอดจนการทำงานร่วมกันของ
ระบบเหล่านี้ในการควบคุมและรักษาสมดุล
ของร่างกายให้อยู่ในภาวะปกติ
แบ่งเป็น 3 สาขา
วิชาสรีรวิทยาพื้นฐาน (Basic Physiology)
วิชาสรีรวิทยาการแพทย์ 1 (Medical Physiology I)
วิชาสรีรวิทยาการแพทย์ 2 (Medical Physiology II)
ระดับสติปัญญา
สติปัญญา(Intelligence)
เด็กแต่ละคนมีความแตกต่างของระดับสติปัญญาอันเนื่องมาจาก
พันธุกรรมและสิ่งแวดล้อม ปัจจัยด้านพันธุกรรมที่มีต่อสติปัญญาเป็นสิ่งที่
เปรียบเสมือน
ศักยภาพของสติปัญญาของแต่ละคนซึ่งไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ แต่ปัจจัย
ด้านสิ่ง
แวดล้อม หรือการกระตุ้นด้านสิ่งแวดล้อมเป็นสิ่งที่สามารถ ส่งผลต่อระดับสติ
ปัญญา
หากเด็กมีศักยภาพของสติปัญญาสูง และได้รับการส่งเสริมจากสิ่งแวดล้อม ที่
เหมาะสม
เด็กจะพัฒนาระดับสติปัญญาเต็มศักยภาพ แต่หากไม่ใด้รับการส่งเสริมที่
เหมาะสม
เด็กไม่สามารถพัฒนาสติปัญญาได้เต็มศักยภาพ นอกจากนี้หากเด็กอยู่ใน
สภาพสิ่ง
แวดล้อมที่ไม่เหมาะสมอาจมีผลทำให้สติปัญญาลดต่ำลงได้
ความจำ
ระบบความจำ ( Memory System) เป็นการนำข้อมูลจัดเก็บไว้ให้เกิดเป็นความทรง
จำ
ผ่านการจำได้ (Remember) โดยสามารถแบ่งระดับของการจำได้ออกเป็น 3 ระดับ
ได้แก่
1) การจำจากการรับรู้สัมผัส (sensory memory) เป็นความทรงจำที่เกิดขึ้นเนื่องจาก
การรับรู้ เช่น ภาพ เสียง ซึ่งจะมีการจดจำได้ในระยะสั้น
2) ความทรงจำระยะสั้น (short term memory) เป็นความทรงจำที่ได้รับการจัดเก็บ
ไว้แล้ว และมีการนำกลับมาใช้หรือไม่ก็ได้ กลายเป็นความทรงจำชั่วคราว ซึ่งระบบ
จะ
ทำการลืมข้อมูลนี้ไปในระยะ 30 วินาที แต่จะมีการคงไว้ในสมอง ซึ่งอาจดึงกลับมา
ใน
อนาคตได้ถ้ามีภาวะวิกฤติเกิดขึ้น เช่นการจดจำคำพูด ภาพโฆษณา
3) ความทรงจำระยะยาว (long term memory) เป็นความทรงจำที่ได้รับการตีค่าว่า
มีความหมาย ได้รับการเรียนรู้ซ้ำๆ เกิดการจดจำอย่างต่อเนื่อง และสามารถดึงกลับ
มาใช้ใด้
หากมีสิ่งกระตุ้นความทรงจำที่เหมาะสม เช่น การจดจำบทเรียน ภาพสถานที่ต่างๆ
กระบวนการจำของมนุษย์
กระบวนการจำของมนุษย์ประกอบไปด้วย 3 ขั้นตอนหลัก ได้แก่
1.กระบวนการใส่รหัสข้อมูล (Encoding) เป็นกระบวนการประมวล และ
ให้ความหมายกับ
งที่รับรู้ เพื่อที่จะสร้างตัวแทนของสิ่งนั้น ขึ้นมาเก็บไว้ใน ระบบความจำ
2.กระบวนการเก็บจำ (Storage) เป็นกระบวนการเก็บรักษาตัวแทนของ
ข้อมูลที่ได้รับมา
ห้อยู่ในหน่วยความจำ
3.กระบวนการนำข้อมูลออกมาจากระบบการจำ (Retrieval) เป็นการดึง
ข้อมูล
ที่ถูกใส่รหัสและเก็บอยู่ในหน่วยความจำออกมาใช้ ธรรมชาติของความจำ
มนุษย์ หากได้ลอง
อ่านหนังสือ
ไทย
ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความจำ
คือ กลิ่นและอารมณ์ความรู้สึก
นักวิจัยชาวเยอรมันพบว่าสามารถใช้กลิ่นต่าง ๆ ในการปลุกฤทธิ์ของ
ความจำใหม่ ๆ
ในสมองในขณะที่ผู้ร่วมการทดลองกำลังนอนหลับอยู่ และหลังจากนั้นผู้
ร่วมการทดลองก็
ปรากฎกว่าจำเรื่องนั้นได้ดีขึ้นนอกจากนั้นแล้ว อารมณ์ความรู้สึกยัง
สามารถมีผลที่มี
กำลังต่อความจำงานวิจัยมากมายแสดงว่า ความจำอาศัยอัตชีวประวัต
ที่ชัดเจนที่สุดมักจะ
เป็นเหตุการณ์ที่ประกอบด้วยอารมณ์ความรู้สึกซึ่งมักจะมีการระลึกถึง
อยู่บ่อย ๆ ประกอบ
ด้วยความชัดเจนและรายละเอียดที่มากกว่าเหตุการณ์ธรรมดา
บทที่ 7
จิตวิทยาการเรียนรู้
จิตวิทยาการเรียนรู
(Psychology of learning)
หมายถึงจิตวิทยาที่ใช่ในกาถ่ายทอดความรู้ โดยการเรียนรู้จะ
เกิดขึ้นได้นั้นต้องเกิดจากพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างถาวร
หรือเกิดจากการฝึกฝน ซึ่งกระบวนการเรียนรู้จะเกิดได้จาก
ขั้นตอนหลัก 4 ขั้นตอนคือตั้งใจจะรู้ กำหนดวิธีปฏิบัติเพื่อให้รู้ ลง
มือปฏิบัติและได้รับผลประจักษ์ สำหรับทฤษฎีการเรียนรู้นั้นจะ
พยายามศึกษาว่ากระบวนการเรียนรู้นั้นมีลักษณะอย่างไร ใน
งานวิจัยส่วนใหญ่นั้นจะทำการศึกษาแบบพฤติกรรมนิยมแบบ
พุทธินิยมและแบบ self-regulated learning โดยมี
จิตวิทยาทางสื่อเป็นแนวการศึกษาใหม่ที่เพิ่มเข้ามา เนื่องจาก
เทคโนโลยีมีบทบาทในการสร้างประสบการณ์การเรียนรู้
ความสำคัญของการเรียนรู้
การเรียนรู้มีความสำคัญสำหรับมนุษย์ทุกคน ทุกเพศ ทุกวัย ทุก
ชาติ ทุกศาสนา และทุกวงการอาชีพ ความสำเร็จในการพัฒนา
ตน การทำงาน และการอยู่ร่วมกันอย่างราบรื่นและสันติสุขนั้น
ย่อมเกิดจากการที่มนุษย์มีการสะสมการเรียนรู้ที่สืบทอดกัน
ต่อๆ มาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน