The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by อามาลีนา เจะเตะ, 2022-10-27 04:00:37

จิตวิทยาสำหรับครู

บทที่1-10

ทฤษฎีจิตวิทยาการเรียนรู้

ในการจัดการเรียนรู้นั้น ผู้สอนจำเป็นที่จะต้องศึกษา
และทำความเข้าใจทฤษฎีการเรียนรู้ และการสอน
ต่างๆ ในส่วนของกฎหรือหลักการที่สำคัญของทฤษฎี
เหล่านั้นเพื่อนำไปประยุกต์ในการจัดกิจกรรมการ
เรียนรู้ให้แก่ผู้เรียนได้อย่างเหมาะสม


การนำหลักจิตวิทยา
ประยุกต์ใช้ในการ

เรียนการสอน

1.เตรียมความพร้อมหรือให้เด็กพร้อมก่อนสอบ
2.ให้เด็กได้เรียนรู้แบบลองผิดลองถูกบ้างตามความเหมาะสม
3.ใช้วิธีการสอนที่หลากหลายและเหมาะสมกับตัวนักเรียน
4.ให้ความสนใจและเอาใจใส่ เด็กทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน
5.พยายามใช้สิ่งเร้าที่เด็กเคยเรียนรู้หรือรู้มาแล้ว
6.ยอมรับเด็กอย่างไม่มีเงื่อนไขในความแตกต่างของเด็กแต่ละ
คนทั้งทางด้านร่างกาย อารมณ์ สังคม และสติปัญญา


บทที่ 8

จิตวิทยาแนะแนว
และการให้คำปรึกษา


ความหมายและความสำคัญของการให้คำปรึกษา
การให้คำปรึกษา (Counseling)
กระบวนการให้ความช่วยเหลือแก่ผู้มาขอคำปรึกษา เพื่อให้
เขาได้ใช้
ความสามารถที่เขามีอยู่จัดการกับปัญหาของเขาได้ สามารถ
ตัดสินใจแก้ปัญหาได้
กระบวนการให้คำปรึกษาจะเกี่ยวข้องกับสิ่งสำคัญ 3
ประการ
1. ผู้ให้คำปรึกษา (Counsclor)
2. ผู้มาขอรับคำปรึกมา (Counselce)
3. ปฎิสัมพันธ์ระหว่าง Counselor และ Counselee
ความหมายของการให้คำปรึกษา
กระบวนการให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ประสบปัญหา โดยอาศัย
ปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้ให้คำปรึกษาและผู้รับการปรึกษา ใช้
เทคนิคการ
สื่อสาร ทำให้เกิดความรู้ ความเข้าใจ ถึงสาเหตุของปัญหา
ใช้ศักขภาพ
ของ คนเองในการคิด ตัดสินใจ แก้ปัญหาได้ด้วยตนเอง


คุณลักษณะของครูผู้ให้คำปรึกษา
ครูผู้ที่จะทำหน้ที่ให้คำปรึกษามาใด้
อย่างมีประ สิทธิภาพควรมีลักษณะ
ส่วนตัว ดังต่อไปนี้
1.รู้จัก และยอมรับตนเอง
2. อดทน ใจเย็น
3. จริงใจ และตั้งใจช่วยเหลือผู้อื่น
4. มีท่าทีที่เป็นมิตร และมองโลกใน
แง่ดี
ไวต่อความรู้สึกของผู้อื่น และช่าง
สังเกต
6. ใช้คำพูดได้เหมาะสม
7. เป็นผู้รับฟังที่ดี


จรรยาบรรณของผู้ให้คำปรึกษา
1.จรรยาบรรณทไป
จรรยาบรรณ หมายถึง การตระหนัก รู้กรอบแห่งความ
ประพฤติตามภาระหน้าที่ของแต่ละอาชีพ
เพื่อเป็นแนวปฏิบัติอย่างมีศักดิ์ศริไปในหิตทางเดียวกัน ทำ
ให้โกิดผลดีต่อผู้เกี่ยวข้องถือเป็นความ
รับผิดชอบต่อตนเองและสังคม
2.จรรยาบรรณสำหรับนักจิตวิทยา
จรรณบรรเพื่อประชาชน และไม่ก่อให้เกิดอันตรายการ
สื่อสาร และความรับผิดขอบศักดิ์ศรี
ในวิชาชีพความยุติธรรม
3.จรรยาบรรณแห่งวิชาชีพจิตวิทยาการแนะแนว
1. ให้บริการด้วยความเต็มใจโดยคำนึงถึงความแตกต่าง
ระหว่างบุคคล
2.ขอมรับและศรัทธาในวจำชีพจิตวิทยาการแนะแนวและ
เป็นสมาชิกที่ดีขององคก์ร วิซาชีพ


กฎของผู้ให้
คำปรึกษา

กฎข้อที่ 1 ความรับผิดชอบ
กฎข้อที่ 2 ความสามารถ
กฎข้อที่ 3 ศีลธรรมและมาตรฐานกฎหมาย
กฎข้อที่ 4 สัญญาประชาคม
กฎข้อที่ 5 การรักษาความลับ
กฎข้อที่ 6 ความผาสุกของผู้รับบริการ
กฎข้อที่ 7 สัมพันธภาพในหน้าที่
กฎข้อที่ 8 เทคนิคการประเมิน
กฎข้อที่ 9 การศึกษาวิจัยที่เกี่ยวข้องกับบุคคล
กฎข้อที่ 10 การดูแลและใช้งานสัตว์


โดยสรุปแล้ว…

1.ให้ความเคารพในศักดิ์ศรีและเห็นคุณค่าความเป็นมนุษย์ของ
ผู้รับบริการ
2.รักษาความลับของข้อมูลของระดับคำปรึกษา
3.ประพฤติตนอยู่ในกรอบศิลธรรมทำอันดีงาม
4.ไม่มีอคติใดๆและให้คำปรึกษาโดยยอมรับในขอบเขตความ
สามารถของตน


ข้อพึ่งตระหนักสำหรับการให้คำปรึกษาครู

1.หลีกเลี้ยงการเกิดอารมณ์ร่วมและการเห็นชอบกับพฤติกรรมของนักเรียน

2.ไม่ควรรีบด่วนที่จะสรุปและแก้ปัญหา โดยที่นักเรียนไม่มีโอกาสได้สำรวจ
ปัญหา
3.ครูควรบันทึกผลการให้คำปรึกษาไว้เพื่อเป็นข้อมูลในการให้คำปรึกษาต่อไป
4.ต้องรักษาความลับ และประโยชน์ของนักเรียน โดยต้องระมัระวังความลับ
ของนักเรียนให้ดี


บทที่ 9

Case Study
การศึกษารายกรณี


การศึกษารายกรณี หมายถึง กระบวนการ
ศึกษานักเรียนเป็นรายบุคคลอย่างละเอียดต่อ
เนื่อง โดยใช้เทคนิควิธีการที่หลากหลาย ใน
การรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อหาสาเหตุ
ของปัญหาอันจะนำไปสู่การดำเนินการให้ความ
ช่วยเหลือ ส่งเสริม และพัฒนานักเรียน ให้
สามารถปรับตัว และดำเนินชีวิตอยู่ในสังคม
ได้อย่างมีความสุข


การคัดเลือกนักเรียนเพื่อทำการศึกษารายกรณี

เนื่องจากครูแนะแนวแต่ละคนต้องรับผิดชอบดูแลนักเรียน
เป็นจำนวนมากจึงไม่สามารถที่จะทำการศึกษา รายกรณีแก่
นักเรียนได้ครบทุกคน ดังนั้นครูจึงควรพิจารณาจาก
นักเรียนที่มีลักษณะต่าง ๆ ดังนี้ (1),นักเรียนท์กำลังประสบ
ปัญหา และต้องการความช่วยเหลือพิเศษหรืออย่างรีบด่วน
เช่น

(1.1)ปัญหาด้านการเรียน
(1.2)ปัญหาทางด้านอารมณ์
(1.3)ปัญหาทางด้านความประพฤติ บุคลิกภาพและด้าน
สังคม
(2) นักเรียนที่มีความสามารถเฉพาะตัวสูง หรือมีความ
สามารถพิเศษอย่างใดอย่างหนึ่ง


ลำดับขั้นตอนการทำการศึกษารายกรณี

1.คัดเลือกนักเรียน
2.รวบรวมข้อมูล
3.วิเคราะห์ข้อมูล
4.วินิจฉัย
5.วิเคราะห์ข้อมูล
6.การให้ความช่วยเหลือ


ขั้นตอนการศึกษาเด็กเป็นรายกรณี

การศึกษาเด็กเป็นรายกรณีโดยทั่วไปมีอยู่ 5 ขั้นตอน ดังนี้
1.ขั้นรวบรวมข้อมูล/จัดหมวดหมู่ข้อมูลการรวบรวมข้อมูลผู้
รวบรวมข้อมูลต้องมีความรู้พื้นฐานทาง ด้านพัฒนาการและ
ยาพัฒนาการมีจรรยาบรรณของนักวิจัยและต้องพ
รวบรวมข้อมูลเด็ก ให้ครบครอบคลุมพัฒนาการ เช่น
- การสัมภาษณ์เด็กโดยตรง
- การรวบรวมข้อมูลจากผู้ที่เกี่ยวข้อง
- การรวบรวมข้อมูลจากเอกสารในชั้นเรียน เช่น แบบบันทึก
พฤติกรรม ระเบียนสะสม



2.ขั้นวิเคราะห์ข้อมูล คือ การนำข้อมูลที่ได้จากการรวบรวมมาพิจารณาตั้งสมมติฐาน




3.ขั้นวินิจฉัยปัญหาเป็นการวินิจฉัยสาเหตุที่ทำให้เกิดพฤติกรรม
จาก ข้อมูลที่ได้มาอย่างเพียงพอ
4.ขั้นเสนอแนะแนวทางแก้ปัญหาหลังจากวินิจฉัยปัญหาขั้นต่อ
มาเป็นขั้นตอนแนะแนวทางในการแก้ไขปัญหา ซึ่งต้องเป็นวิธี
การที่มีระเบียบ แบบแผน
5.ขั้นติดตามและประเมินผลเป็นการติดตามว่าการช่วยเหลือ
หรือพัฒนาแก้ไขพฤติกรรม บุคลิกภาพเด็กนั้นประสบความ
สำเร็จหรือไม่อย่างไร


การพิจารณาข้อมูล

การรวบรวมข้อมูลในการศึกษาเด็กเป็นรายกรณีนั้นบาง
ครั้ง
ต้องพิจารณาว่า ข้อมูลที่รวบรวมมาเป็นประโยชน์ต่อการ
ศึกษา
หรือนำมาใช้ในการศึกษาได้หรือไม่อย่างไรมีหลักในการ
พิจารณา
ตรวจสอบข้อมูลดังนี้
1ความถูกต้องน่าเชื่อถือได้
2ความเที่ยงตรงของข้อมูล
3ความเป็นปรนัยของข้อมูล
4ข้อมูลท์ได้จากการรวบรวมแสดงถึงพัฒนาการของเด็ก
5เวลาและสถานท์ที่รวบรวมข้อมูล
6.สถานการณ์และความเกี่ยวข้องกับพฤติกรรมหรือ
บุคลิกภาพที่
ต้องการศึกษา


การเขียนรายงานการศึกษาเด็กเป็นรายกรณี



การเขียนรายงานการศึกษาเด็กเป็นรายกรณี ควรประกอบไปด้วยราย
ละเอียดต่อไปนี้
1.ชื่อผู้ทำการศึกษาระยะเวลาที่ศึกษา เหตุผลในการศึกษา แหล่งข้อมูล
2.ข้อมูลผู้ถูกศึกษา เช่น ชื่อ ที่อยู่ วันเดือนปีเกิด อายุ สถานที่เกิด
เชื้อชาติ สัญชาติ ศาสนา หน้าตาท่าทางโดยทั่วไป
3.ปัญหาของผู้ถูกศึกษา
4.ประวัติครอบครัว สภาพแวดล้อมของครอบครัว การอบรมเลี้ยงด
5.ประวัติสุขภาพ
6.ประวัติการศึกษา (ผลสัมฤทธิ์)
7.พัฒนาการทางสังคม
8.พัฒนาการทางอารมณ์และสุขภาพจิต
9.การวินิจฉัย วิเคราะห์และตั้งสมมติฐาน
10.ข้อเสนอแนะ
11.การประเมินติดตาม ควรทำในระยะหนึ่งหลังการ ศึกษา เพื่อจะได้ข้อมูล
เพิ่มเติม หรือทราบผลของการเสนอแนะแนวทางแก้ปัญหา


การนำหลักจิตวิทยาไปใช้ในศักยภาพครู

บทที่ 10


จิตวิทยากับการเรียน
การสอน

จิตวิทยากับการเรียนการสอนเป็น
ศาสตร์อันมุ่งศึกษาการเรียนรู้และ
พฤติกรรมของผู้เรียนในสถานการณ์
การเรียนการสอนพร้อมทั้งหาวิธีที่ดีใน
การสอนให้ผู้เรียนได้เรียนรู้อย่าง
สอดคล้องกับพัฒนาการของผู้เรียน


แนวทางและวิธีการ

พัฒนาครู
การพัฒนาครูแบ่งออ

กเป็น 2 ลักษณะคือ

1.การพัฒนาที่นึดเอาวิทยาการและเนื้อหาวิชาเป็น
ศูนย์กลาง การพัฒนาลักษณะที่เน้นความสำคัญ
ของเนื้อหาวิชาหรือสาระ ของความรู้ข่าวสาร และ
ข้อมูลเกี่ยวกับวิชาชีพและงานของครู เช่น งาน
ราชการ

2.พัฒนาที่ยึดเอาครูเป็นส่วนกลาง การพัฒนานี้เน้น
ความสำคัญของครู ผู้ร่วมกิจกรรมพัฒนาการตัดสิน
ใจและทำกิจกรรมทุกอย่างมุ่งประโยชน์การพัฒนา
ครู ให้ความสำคัญทั้งกระบว่นการและเนื้อหาความรู้


ความหมายของศักยภาพ ความเป็นครู

ศักยภาพความเป็นครูคือการทำให้เด็กมีความ
รู้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เช่น หลักการเรียนรู้
หลักสูตรการวัดและประเงินผลเทคโนโลยีการ
ศึกษาและจิตวิทยาโดยเฉพาะศาสตร์ทาง
จิตวิทยามีทฤษมีที่อธิบายเกี่ยวกับการเรียนรู้
การจูงใจพัฒนาการของผู้เรียนจิชาจิตวิทยา
จึงสำคัญมากสำหรับครู


การนำไปใช้ในการพัฒนาศักยภาพ
ของความเป็นครู

1.ช่วยให้ครูรู้จักลักษณะนิสัย

ของนักเรียน

โดยทราบหลักพัฒนาการ

ต่างๆ

2.ช่วยให้ครูมีความเข้าใจ

พัฒนาการทางบุคลิกภาพบาง

ประการของนักเรียน

3.ช่วยให้เรามีความเข้าใจ

ในความแตกต่างระหว่าง

บุคคลใช้พัฒนาตาม

ศักยภาพของแต่ละบุคคล

4.ช่วยให้ครูรู้วิธีจัดสภาพ
แวดล้อมให้

5.ช่วยให้ครูทราบถึงตัวแปรต่างๆ ที่มี
อิทธิพลการเรียนรู้ต่อนักเรียน เช่น แรง
จูงใจ
และการตั้งความหวังที่สีผลต่อนักเรียน


หน้าที่ของครูในแง่คุณลักษณะที่พึง

ประสงค์ สรุปไว้ดังนี้



1.ครูเป็นผู้ที่สามารถให้ทางแห่งความรอดแก่ศิษย์ความ
รอดมีอยู่สองทาง คือ ทางรอดทางกาย และ ทางใจ

2.ครูต้องสามารถดำรงความเป็นครูอยู่ได้
ทุกอิริยาบถ

3.ครูต้องสามารถเป็นตัวอย่างตามคำสอนแก่ศิษย์
สอนอย่างไร ทำอย่างนั้น


หน้าที่การสั่งสอนและฝึกฝนอบรม

(Teaching and Training)



การสอนที่ดี กิลเบิร์ดไฮเอท กล่าวว่า การสอนดีมี
ลักษณะดังนี้
1.ต้องมีความรู้ในเรื่องที่สอนอย่างลึกซึ้ง แม่นยำ
เนื้อหา
2.ต้องมีอารมณ์ขัน สอนได้สนุกสนามไม่น่าเบื่อ
3.ต้องมีความแม่นยำและมีความมั่นใจในการ
สอน
4.สอนด้วยความรักและเมตตานักเรียน ไม่ข่มขู่
บังคับกรรโชก
5.ต้องมีความอดทนและอกดกลั้นต่อ


หน้าที่และความรับผิดชอบของครู

1.หมั่นอบรมเด็กอยู่เสมอ
2.ตั้งใจสอน รักการสอน
3.จัดการปกครองให้เป็นที่
4.เตรียมการสอน และทำบันทึกการสอน
5.หมั่นวัดผลและติดตามผลการเรียน
6.รับผิดชอบในหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย


Thank you


Click to View FlipBook Version