38
ของพระแม่ย่าในเรื่องต่าง ๆ เช่น ช่วยการสอบบรรจุเข้ารับราชการ ช่วยให้พ้นคดี เด็กหายได้คืน
เป็นตน้
จากประวัติที่มาอันแน่นอนของพระแม่ย่านั้น ไม่มีหลักฐานยืนยัน
แน่นอนว่าเป็นใคร เม่อื ประชาชนพากันเรยี กว่า “พระแม่ย่า” ทองเจือ สบื ชมภู (2514) สันนิษฐานว่า
“คงเป็นนางกษัตริย์องค์ใดองค์หนึ่ง และนางกษัตริย์องค์นี้น่าจะเป็นพระนางเสือง ซึ่งเป็นพระราช
ชนนีของพ่อขุนรามคาแหงมหาราช และทรงเป็นพระเจ้าย่าของพระยาลิไท” (ศูนย์วัฒนธรรมจังหวัด
สุโขทยั .2537 : 56)
จากการศึกษาประวัติพระแม่ย่าทาให้ทราบว่าเป็นเทวรูปองค์
เดียวกันกับท่ีถูกค้นพบ ราวพ.ศ. 2455 – 2458 และมีท่ีมาจากที่เดียวกัน แต่ด้วยประวัติท่ีมา
อันแน่นอนของพระแม่ย่านั้น ไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่าเป็นใคร มีแต่เพียงความเช่ือของชาวสุโขทัยว่า
เทวรปู (พระขพุงผี) คือ พระนางเสือง (พระแม่ยา่ ) ซึ่งตรงกับสนิ ชยั กระบวนแสง (2518 : 8) ที่ไดส้ รุป
ออกเปน็ แผนผัง ไว้ดังนี้
พอ่ ขนุ ศรีนาวนาถมุ
พอ่ ขนุ ผาเมือง (ศรีบดนิ ทราทิตย์) นางเสือง + พอ่ ขนุ บางกลางหาว (ศรีอินทราทิตย์)
พระยาคาแหงพระราม พระยาบาลเมือง พอ่ ขนุ รามคาแหง
พระมหาเถรศรีศรัทธาราชจฬุ ามณี พระยาเลอไท
พระยาลิไท
ทมี่ า : สินชัย กระบวนแสง, 2518
จากแผนผัง เป็นการสนับสนนุ คาเรียกเทวรูปพระขพุงผี ตามความเชื่อของชาวสุโขทัย เพราะ
ตามความรู้สึกของชาวสุโขทัยเข้าใจวา่ เทวรูปเป็นพระนางเสือง พระราชมารดาของพ่อขุนรามคาแหง
มหาราช ซ่ึงสมัยน้ันถือว่าพระมหากษัตริย์เป็นพ่อเมือง เปรียบเสมือนเป็นพ่อของคนทั้งเมือง ลูก ๆ
จงึ เรยี กแมข่ องพ่อว่า “ย่า” กเ็ หน็ เปน็ การสมควร จากความเชือ่ เรอ่ื งพระแมย่ ่า คือ พระนางเสือง และ
คือ พระขพุงผี ได้มีผู้รู้และนักวิชาการหลายท่านได้พยามยามอธิบาย ไปอีกทางหน่ึงว่า เทวรูปพระ
ขพุงผที ่คี น้ พบน้ี นา่ จะเปน็ เทวรูปพระอมุ าที่เคยประดิษฐานอยู่คกู่ ับเทวรปู พระอิศวรทีบ่ ญุ ยสถานของ
39
พราหมณ์เรียก ศรีศิวายะ แต่ภายหลังเมื่อถูกเปลี่ยนเป็นพุทธสถานแล้วจึงเรียกว่า “วัดศรีสวาย” แต่
เหตุผลของการนาเทวรูปไปประดิษฐานไวท้ ่ีถ้าบนภูเขานั้น ไม่สามารถหาหลกั ฐานได้ ซ่ึงสอดคล้องกบั
คาอธิบายจากนายชัยวฒั น์ ทองศักดิ์ ขา้ ราชการบานาญพิพธิ ภณั ฑ์สถานแห่งชาติรามคาแหง (12 พ.ย.
61) ได้กล่าวถึงลักษณะการแต่งกายของเทวรูปพระขพุงผีว่า “น่าจะเป็นรูปสลักที่มีความเชื่อมาจาก
ศาสนาฮินดู ไม่น่าจะเป็นนางกษัตริย์ เพราะไม่ได้ใส่เสื้อ และอีกประการหน่ึงในสมัยสโุ ขทัยไม่นิยมทา
รูปเคารพแทนมนษุ ย์ สนั นษิ ฐานจากไม่เคยคน้ พบรูปปัน้ ของพ่อขุนศรีอนิ ทราทติ ย์ หรือพ่อเมอื งองค์ใด
เลย การทารูปเคารพแทนมนุษย์เพิ่งเกิดขึน้ เมื่อกรมศลิ ปากรเขา้ มามีหนา้ ท่ีกากบั ดแู ล”
ภาพท่ี 3 เทวรปู พระขพุงผี. ภาพท่ี 4 เทวรปู พระอมุ า
ที่มา : https://www.google.com/search?
2.2.2.3 ความสมั พันธข์ องพระขพุงผีกับพระแมย่ า่
จากการศึกษาประวัติพระแม่ย่าทาให้ทราบว่าเป็นเทวรูปองค์เดียวกันกับท่ี
จอมพลสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนารถ ทรงค้นพบเม่ือคราวออกสารวจเมือง
สุโขทัย เม่ือเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2455 และมีที่มาจากท่ีเดียวกัน แต่ด้วยประวัติที่มาอันแน่นอนของ
พระแม่ย่าน้ัน ไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่าเป็นใคร มีแต่เพียงความเชื่อของชาวสุโขทัยว่าเทวรูปพระขพุงผี
กค็ ือ พระนางเสือง หรือพระแม่ยา่ ของลูกหลานชาวสุโขทัย
แต่อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็น พระขพุงผี หรือพระแม่ย่า เทวรูปนี้ก็เป็นสิ่งศักดิ์สิทธ์ิ
คบู่ ้านค่เู มอื ง เป็นทีย่ ดึ เหนย่ี ว และมคี ุณคา่ ทางจติ ใจของชาวสุโขทัยมาช้านาน ดงั คาถาที่ใช้เปน็ คาบูชา
พระแมย่ า่ ดังน้ี
40
คาถาบูชาพระแม่ยา่
ตงั้ นะโม 3 จบ (นะโม ตสั สะ ภะคะวะโต อะระหะโต สมั มาสมั พุทธัสสะ 3 จบ )
อะหัง วันทามิ ขะพุงผีมะหาเทวะตา
สัพพะอปุ าทา สพั พะทุกข สพั พะโศก สพั พะโรค
อปุ าทา วนิ าสายะ สพั พะสะตรู ปะมจุ จะติ
โอม ขะพงุ ผีมะหาเทวะตา สะทา รกั ขนั ตุ สะวาหะ สะวาหายะ
และจากหลักฐานตามท่ีกล่าวไว้ในหลกั ศิลาจารึกปรากฎอย่างชัดเจน จึงเปน็ แรงบันดาลใจของผู้วิจัย
ในการวางแนวคิดหลัก เพื่อสร้างสรรคก์ ารแสดงชุด ทิพยเทวทาสี อญั ชลพี ระขพงุ ผเี ทพดา เพอื่ ใช้ใน
การบวงสรวงบชู า พระขพุงผเี ทพดาในเขาอนั น้ัน
2.2.3 ดนตรี นาฏศิลปใ์ นประวตั ศิ าสตรส์ โุ ขทัย
ดนตรีเป็นศิลปะซึ่งมีลักษณะเช่นเดียวกันกับการขับร้องฟ้อนรา ถือเป็นศิลปะท่ีไม่มี
อดีต เป็นข้อความที่ครูมนตรีตราโมทกล่าวไว้ในหนังสือโสมส่องแสง (2527) ด้วยเหตุผลว่าการฟัง
ดนตรี การขับร้องและชมการฟ้อนราน้ัน ทั้งเสียงและภาพจะเป็นปัจจุบันแล้วจะสูญหายไปในเวลา
ต่อมาจะหลงเหลืออยู่แต่ความทรงจา และเรื่องเล่าต่อไปให้ผู้อื่นฟัง ถึงแม้ว่าในปัจจุบันจะมีการอัด
บันทึกเสียง และภาพ แต่สิ่งเหล่าน้ันก็ไม่ใช่ปัจจุบัน ดังน้ันความรู้สึกของการได้ชมเทปที่อัดไว้จึงต่าง
จากส่ิงท่ีผู้ฟังผู้ชมจะได้มีโอกาสได้สัมผัสด้วยตัวเอง เมื่อกับดนตรีและการฟ้อนราในสมัยสุโขทัย ซ่ึงมี
เวลาล่วงมาแล้ว มากกว่า 700 ปี ประกอบกับเรื่องราวต่าง ๆในด้านน้ีมิได้มีการบอกเล่าที่ชัดเจน
อันจะทาให้คนรุ่นหลังรู้แน่ชัดได้ว่า ในสมัยน้ันเขาร้อง รา ทาเพลงกันแบบไหนมีเครื่องดนตรีอย่างไร
จะมกี ็แตก่ ารคาดเดาเอาตามหลักฐานที่พอจะปรากฏให้เห็นอยู่บ้าง ซง่ึ ก็เชื่อแน่วา่ น่าจะไม่ได้สมบูรณ์
ทุกอย่าง ดังเช่นข้อความตามหลักศิลาจารึกหลักท่ี 1 ด้านท่ี 2 กล่าวถึงดนตรีว่า “ดบงดกลอง ด้วย
เสียงพาทย์เสยี งพิณ เสียงเล้ือน เสียงขับ ใครจักมักเล่น เล่น ใครจักมักหัว หัว ใครจักมักเล้ือน เล้ือน”
ซ่ึงหมายความว่าในสมัยสุโขทัยมีการประโคมเสียงพาทย์ เสียงพิณ ครูมนตรี ตราโมทได้อธิบาย
ความหมายของเสียงพาทย์ว่า ได้แก่เสียงบรรเลงจากเครื่องดนตรีจาพวกเครื่องตี และเป่า ถ้าจะ
เรียกชื่อการร่วมบรรเลงก็จะเรียกวงบรรเลงที่มีแต่เคร่ืองตีและเครื่องเป่าน้ีว่า “บัญจวาทย และ
บัญจดุริยางค์” สาหรับเสียงพิณคือ เสียงที่บรรเลงจากเครื่องดนตรีจาพวกท่ีมีสายและคงไม่ใช่เครื่อง
ดีดแต่เพียงอย่างเดียว เคร่ืองดีดที่เรียกว่า “พิณ”ในสมัยนั้น ท่านอธิบายว่า “น่าจะเป็นพิณเพียะ
พณิ น้าเตา้ และกระจบั ป่ี” และยงั มปี ไี่ ฉนและกลองชนะ
การกล่าว ถึงว งบรรเลงด้ว ยเครื่องเ ป่าแล ะเ ครื่อ งตีใ นสมัยสุโ ข ทั ยข อง ครู ม น ต รี
ตราโมท เม่ือคราวบรรยายเร่ือง “ดนตรีสมัยสุโขทัย” ท่ีโรงเรียนศรีอินทราทิตย์ จังหวัดสุโขทัย เน่ือง
ในการสัมมนาโบราณคดีสมัยสุโขทัย ซ่ึงจัดโดยกรมศิลปากร เม่ือวันที่ 28 มีนาคม 2503 และนามา
รวบรวมพิมพ์ครั้งแรกในหนังสือ “คาบรรยายสัมมนาโบราณคดีสมัยสุโขทัย พ.ศ. 2503” เน่ืองในงาน
เสด็จพระราชดาเนินทรงเปิดพิพิทธภัณฑสถานแห่งชาติรามคาแหง จังหวัดสุโขทัยเมื่อวันท่ี 25
มกราคม 2507 สรุปได้ว่า “วงปี่พาทย์เคร่ืองห้าก็มีครบเหมือนปัจจุบันนี้แล้วแต่ในสมัยสุโขทัย แต่ถ้า
41
ยังไม่มรี ะนาดก็ต้องนบั เปน็ 5 ทง้ั ฉงิ่ ดว้ ย” (สุจิตต์ วงษเ์ ทศ, 2527 : 8-9) ผ้วู ิจยั ขออธิบายเปรยี บเทียบ
ข้อความน้ดี ้วยตาราง ดังนี้
วงปี่พาทยเ์ ครื่องหา้ สมัยปจั จุบัน วงปี่พาทยเ์ ครื่องห้าสมัยสโุ ขทัย
1. ปี่ 1.ปี่
2. ระนาด 2. ตะโพน
3. ตะโพน 3. ฆอ้ งวง
4. ฆ้องวง 4. กลอง
5. กลอง 5. ฉ่ิง
6. ฉิ่ง
เรือ่ งวงปพี่ าทยเ์ ครื่องหา้ ไมม่ ีระนาดน้ี มีเหตกุ ารณ์และความเห็นทส่ี อดคลอ้ ง คือ
1. ในปี พ.ศ. 2464 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯให้มีการ
แสดงละครพดู เร่ือง พระรว่ ง ท่ีโรงละครในสวนจิตรลดา มีรบั สงั่ ใหน้ าระนาดออกจากวงป่ีพาทยเ์ ครื่อง
หา้ และตรสั ว่าเคร่ืองห้าสมยั นั้นไมม่ ีระนาด
2. จากบทพากย์เบิกหน้าพระในการแสดงหนังใหญ่ (บทไหว้ครู) สานวนเก่าได้ระบุ
เครอื่ งดนตรี ดังนี้
บทที่ 1
ลงการากษสสาแดง อยธุ ยากลา้ แขง
จะเล่นใหท้ ่านทัง้ หลายดู
ชัยศรีโขลนทวารเบกิ บานประตู ฆ้องกลองตะโพนครู
ดเู ลน่ ให้สขุ สาราญ
บทท่ี 2
จงึ จดุ ธูปเทียนฉบั พลนั จบเศยี รโบกควนั
แล้วเจมิ ซ่งึ ปลายศรชัย
พลโหข่ านโหห่ ว่นั ไหว ปีแ่ จ้วจบั ใจ
ตะโพนและฆ้องชาน
บทที่ 3
เร่งเร็วเอาเทียนตดิ ปลายศรี อา่ นเวทยข์ อพร
ศรีสวสั ด์สิ มพอง
พลโห่ขานโหท่ ้ังผอง พิณพาทย์ตะโพนกลอง
ดเู ลน่ ให้สสุ าราญ
จะเห็นว่าในบทพากย์ ทัง้ 3 นี้ ไม่ได้กล่าวถึงระนาดเลย ส่วนฉ่งิ นั้นครมู นตรี ตราโมท
ได้ให้ความเห็นวา่ “ส่วนฉิ่งนั้นเป็นของเล็ก และโดยมากมักจะไม่เห็นเป็นของสาคัญ จึงมักมองข้ามไป
เสีย แตถ่ งึ อยา่ งไรฉง่ิ น้ันต้องมีแน่ เพราะเปน็ เครื่องกากับจงั หวะอยา่ งสาคญั ท่จี ะขาด เสยี มไิ ด้” (สุจติ ต์
วงษ์เทศ, 2527 : 18)
42
3. จากคาอธิปรายเพ่ิมเติมจากผู้เข้าร่วมสัมมนา คือ ร.ต.ท.แสง มนวิทูร กล่าวว่า
“ระนาดเร่มิ มีในสมัยรัตนโกสนิ ทร์ อาจมาจากกรบั หรือเอาอย่างชวามาก็ได้” (สุจิตต์ วงษ์เทศ, 2527 :
13)
ในสมัยสุโขทัยยังไม่มีการบันทึกโน้ตไว้เป็นหลักฐาน จึงไม่มีใครทราบแน่นอนว่า
บทเพลงสมัยกรุงสุโขทัยเป็นอย่างไร แต่มีหลายเพลงท่ีคาดว่าน่าจะเกิดขึ้นในสมัยสุโขทัย เช่น เพลง
เทพทอง เพลงนางนาค และเพลงขับไม้บัณเฑาะว์ ครูมนตรี ตราโมท กล่าวว่า สาหรับเพลงร้องและ
เพลงดนตรีในสมัยสุโขทัยที่เด่นชัด คือ เพลงเทพทอง หรือบางทีเรียกว่า เพลงสุโขทัย เพลงพระทอง
และเพลงนางนาค
เพลงเทพทอง หรือเพลงสุโขทัย เดิมเป็นเพลงพ้ืนเมืองใช้ร้องแก้กันระหว่างชายหญิง
เช่นเดียวกับเพลงพื้นบ้าน เช่น เพลงปรบไก่ ฉ่อย มีลักษณะเป็นกลอนหัวเดียวลงท้ายด้วยสระเสียง
เดยี วกันไปเร่อื ย ๆจนกวา่ จะเปลี่ยนท่อน และจะมลี กู ค่รู ้องรบั คาว่า “ฮา้ ไฮ้”
เพลงพระทอง เดิมเป็นเพลงเขมรแต่งขึ้นและต้ังชื่ อเป็นอนุสรณ์บุคคลใน
ประวตั ศิ าสตร์ของเขมรแลว้ ไทยนามาดดั แปลงและเพมิ่ เติม
เพลงนางนาค เปน็ เพลงของเขมรเชน่ เดียวกับเพลงพระทอง แต่มสี าเนยี งแปร่งและมี
เพยี งท่อนเดียว ไทยนามาดัดสาเนยี งและเพมิ่ ท่อน 2 แตย่ ังคงเรียกชื่อเดิม
ต่อมาครมู นตรี ตราโมท ได้นาเพลงเทพทองมาขยายแต่งทานองเพลงเพ่ือใชป้ ระกอบ
ในระบาโบราณคดี ชดุ สโุ ขทัย
2.3 งานวิจยั ทเี่ กี่ยวข้อง
2.3.1 ศราวุธ จันทร์ขา (2558) การสร้างสรรค์ ชุด ฟ้อนไหว้สาพญางาเมือง เพื่อสดุดี
พระเกียรติคุณพญางาเมือง ผู้ปกครองอาณาจักรพะเยาและทานุบารุงให้รุ่งเรืองมาถึงปัจจุบัน วิธีการ
ดาเนินงาน ใช้ หลักการสร้างสรรค์ทางนาฏศิลป์บนพ้ืนฐานของศิลปะล้านนา โดยศึกษาเอกสาร
จิตรกรรม ประติมากรรม สถาปัตยกรรม ดนตรี และศิลปะการแสดงที่เป็นมรดกทางวัฒนธรรมของ
ล้านนา จากน้ันนาองค์ความรู้มาเป็นปัจจัยทางข้อมูลและแรงบันดาลใจ ในการกาหนดแนวคิดเพื่อ
ออกแบบ คาขับ ท่าฟ้อน ดนตรี การฟ้อนชุมนุมเทวดาอานวยพรแด่พญางาเมือง การฟ้อนของเทวดา
จึงเป็นตัวกาหนดแนวทางการออกแบบคาขับ ท่าฟ้อน ดนตรี และเคร่ืองแต่งกาย ให้งามสง่าสม
ฐานานุศักดิ์ของเทพจากน้ันทาการออกแบบ พัฒนาแบบ และปรับปรุงแก้ไขรายละเอียดให้ประณีต
งดงาม มีรูปแบบและสัญลักษณ์เป็นไปตามความหมายแห่งประเพณีนิยมของล้านนา และ
สะดวกสบายในการฟ้อน เมอ่ื พัฒนางานในระยะของการประกอบสรา้ งและตกแตง่ ให้ละเอียดประณีต
จนสมบูรณ์ตามวัตถุประสงค์แล้ว จึงได้นาไปแสดงในพิธีบวงสรวงพญางาเมือง ณ อนุสาวรีย์พญางา
เมือง ริมกว๊านพะเยา และทาการประเมินผลจากผู้เข้าร่วมในพิธี ได้แก่ผู้บริหาร นักวิชาการ ปราชญ์
ท้องถิ่น ศิลปิน ผู้ชม และผู้ร่วมงาน ได้ผลลัพธ์เป็นไปตามวัตถุประสงค์ทุกประการ คือเป็นผลงาน
ท่ีสร้างสรรค์ขึ้นใหม่ โดยสืบทอดศิลปะและวัฒนธรรมของล้านนามาอย่างเหมาะสมกับการบวงสรวง
พญางาเมือง และเปน็ เอกลักษณ์ใหม่ที่น่าภาคภูมิใจของจังหวัดพะเยาในยุคปัจจุบัน การนาศิลปกรรม
43
ในอดีตของล้านนามาพัฒนาให้เกิดประโยชน์ในปัจจุบันโดย คงคุณค่าแห่งอดีตด้วยการวจิ ัยศิลปกรรม
ศาสตร์ จึงเป็นแนวทางท่ีเหมาะสมและสมควรท่ีจะพัฒนาการวิจัยแนวนี้ต่อไปเพ่ือสืบทอดมรดกทาง
ศลิ ปวัฒนธรรมให้ย่ังยนื
2.3.2 นิรมล หาญทองกูล และคณะ (2558) การสร้างสรรค์การแสดงชุด ระบากมุทนพมาศ
มีแนวคดิ มาจากตานานนางนพมาศ หรอื ตารับทา้ วศรีจุฬาลักษณ์ ซงึ่ สอดคล้องกับความเชื่อและความ
ภาคภูมิใจของชาวสุโขทัยที่มีต่อประเพณีลอยกระทง เผาเทียน เล่นไฟที่มีมาแต่สมัยสุโขทัยและได้ถูก
ฟ้ืนฟูข้ึนมาในพุทธศักราช 2520 ด้วยแนวคิดของนายนิคม มูสิกคามะ นักโบราณคดี อดีตอธิบดีกรม
ศิลปากร วิทยาลัยนาฏศิลปสุโขทัย ได้มีการดาเนินการตามหลักการบริหารงานซึ่งเอ้ือต่อวิธีการ
ดาเนินงานสร้างสรรค์การแสดงชุดระบากมุทนพมาศอย่างเป็นระบบตามหลักทฤษฎี แนวคิดการ
ประดิษฐร์ ะบาชดุ ตา่ ง ๆของสรุ พลวิรุฬห์รกั ษ์ ซึง่ ประกอบดว้ ยลักษณะสาคัญ 4 ประเด็น คือ โครงสรา้ ง
การแปรแถว ตัง้ ซ้มุ ท่าราและองค์ประกอบการแสดงนาฏศิลป์ไทยของประทนิ พวงสาลี คือ 1) ผแู้ สดง
จานวน 9 คนท่ีสมมตุ เิ ป็นนางนพมาศและสนมกานลั 2) การแตง่ กายทส่ี รา้ งสรรค์จากการแตง่ กายของ
เทวรปู ลวดลายบน โบราณวัตถุ อปุ กรณ์การแสดงดอกบัวสายสีขาว กระทงรปู ดอกกมทุ จากการศึกษา
พันธุ์ดอกบัว ตานานความเช่ือที่พบในเอกสารการสร้างฉากประกอบการแสดงจากสภาพบรรยากาศ
ของโบราณสถาน 3) รูปแบบและกระบวนท่ารา คือ เป็นระบาที่ใช้ท่าราตามแบบนาฏศิลป์ไทยผสม
กับท่ามือของเทวรูปที่พบในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติรามคาแหง แบ่งกระบวนท่าราเป็น 3 ช่วงตาม
ทานองเพลง คือ ชว่ งที่ 1 เกร่ินนา ชว่ งที่ 2 เพลงชา้ ชว่ งท่ี 3 เพลงเร็ว 4) ใชเ้ วลาในการแสดง 8 นาที
และ 5) โอกาสท่ใี ชแ้ สดง คือ นาไปแสดงเป็นชุดวิพธิ ทัศนาทส่ี ื่อถึงเอกลักษณข์ องประเพณลี อยกระทง
และจังหวดั สุโขทยั หรือประกอบการแสดงตานานการลอยกระทง
2.3.3 สมชาย ยิ้มแยม้ และคณะ (2557) การศกึ ษาการสรา้ งสรรค์การบรรเลง ชุดเพลงระบา
โกมุท ข้ึน โดยมุ่งหวังให้การบรรเลง และการแสดงชุดน้ีเป็นเอกลักษณ์และภูมิปัญญาท้องถ่ินของชาว
ไทยในด้านศิลปวัฒนธรรมด้านนาฏศิลป์และดนตรีอีกชุดหน่ึงที่จะดารงความเป็นเอกลักษณ์ของ
จงั หวดั สุโขทยั เปน็ อยา่ งดี โดยศึกษาทีม่ าดอกบวั หรือโกมุท แนวคดิ การประดิษฐ์ ทานองเพลง เครอ่ื ง
ดนตรี พบวา่ วิธีการบรรเลงเพลงทีน่ ามาบรรเลงประกอบมีความประณีตไมซ่ ับซ้อนหลายกระบวนการ
ไปมาเป็นเวลานาน เป็นเพลงพ้ืนๆ ที่มีท่วงทานองง่ายๆ ซ้าๆ สนุกสนาน สาเนียงดนตรี และการ
บรรเลงดนตรีมีลักษณะของท้องถิ่นเช่นเดียวกับภาษาของชาตินั้นๆ จึงน่าจะนาไปคิดเป็นกระบวน
ท่าราต่อไป
2.3.4 สุรพล วิรุฬห์รักษ์ (2549) ได้ศึกษาเรื่อง นาฏยศิลป์รัชกาลท่ี 9 พบว่า หลักการ
ประดิษฐ์ระบาชุดต่าง ๆ ในนาฏยศิลป์รัชกาลที่ 9ประกอบไปด้วยลักษณะสาคัญ 4 ประเด็น คือ
โครงสร้าง การแปรแถว การซุ้ม และท่ารา โครงสร้าง หมายถึง ลาดับการแสดงตั้งแต่เริ่มต้นจนเสร็จ
การแสดง โดยท่วั ไป ระบาเหล่านแ้ี บง่ โครงสรา้ งออก เปน็ 4 ท่อน ท่อนออก และท่อนจบ โครงสรา้ งน้ี
มีมาตั้งแต่อดีต ดังเช่น ระบาดาวดึงส์ และตัวอย่างในปัจจุบัน เช่น ระบาไกรลาศสาเริง แม้ระบาที่มี
เน้ือหาเป็นกิจกรรมการประกอบอาชีพ เช่น ระบาในหมวดศิลปาชีพ ก็มักประกอบด้วยการราออก
การแสดงกิจกรรม การรื่นเริงหลังการทากิจกรรมเสร็จ การราเข้า ลักษณะของเพลงท่ีใช้มักเป็นเพลง
รัวออก เพลงอัตรา 2 ชั้น เพลงอัตราช้ันเดียว และเพลงรัวเข้า การแปรแถว หมายถึง การจัดให้ผู้เร่ิม
44
เปล่ียนตาแหน่งไปในทส่ี ถานท่ีต่าง ๆบนวิธตี ้ังแตต่ น้ จนจบ การราออกส่วนใหญแ่ บ่งได้เปน็ 2 แบบ คอื
ออกทีละคน หรือออกเป็นแถวตอนเรียงเดียว โดยราออกข้างเดียวกัน หรือคนละข้างของเวที การ
ตั้งแถว พบว่า มี 6 แบบหลัก คือ 1) คนกลางราเด่ียวอยู่หน้าคนอ่ืน ๆราประกอบเป็นแนวหน้า
กระดานเรียงหน่ึง หรือแถวโค้งอยู่หลังคนรากลาง 2) จัดเป็นวงกลมวงเดียวหรือหลายวง 3) จัดเป็น
แถวหนา้ กระดานเรียงหนึ่ง หรอื ซอ้ นสองแถว หรือสบั หว่างสองแถว 4) จัดเปน็ แถวตอนเรียงหนึ่ง หรือ
เรียงสอง 5) เป็นแถวรูปปากพนังหรือตัววี (V) 6) จัดเป็นแถวทแยงมุม คือ จัดเป็น แถวตอนหรือแถว
หน้ากระดาน แต่หางแถวอยู่ทแยงกับมุมหัวแถว การจัดแถวเหล่านี้นิยมแบ่งจานวนผู้ราทั้งสองข้าง
เทา่ ๆ กนั หากผู้แสดงมีจานวนคี่ กจ็ ะจดั ให้มีตัวราตรงกลาง
สาหรับการแปรแถว หรอื การแปรขบวน จากแถวแบบหนงึ่ ไปส่กู ารจดั แถวอกี แบบหนึง่ พบวา่
มี 6 วิธี คือ 1) การก้าวเท้า หรือการซอยเท้าไปในทิศทางเดียวกัน 2) การก้าวเท้า หรือซอยเท้าใน
หลายทิศทาง แล้วรวมกันเป็นแถวแบบใหม่ 3) การสวนทางกันแบบคู่ขนาน 4) การสวนทางกันแบบ
ฟนั ปลา 5) การกระจายตวั และการรวมตัว โดยมจี ดุ ศูนยก์ ลาง 6) การเคลอื่ นไหวหลายทศิ ทางตายตัว
ซ่งึ มกั เกดิ ในระบาตอนทีแ่ สดงการร่ืนเรงิ หลงั เสร็จงาน
ส่วนการราเข้ามี 3 วิธี คือ การเข้าทีละคน หรือที่ละคู่ หรือทีละแถว โดยผู้ราตะแคงตัว หรือ
ถอยหลังเข้า และมกั จดั ให้มผี ูร้ าคนสุดท้ายหรือคู่สดุ ทา้ ยชะลออย่บู นเวที แลว้ ไหว้ หรอื ราท่าสุดท้ายให้
คนดูประทบั ใจกอ่ นกลับเข้าไป
การต้ังซุ้ม คือ การจัดผู้นาเข้าเป็นกลุ่ม ทาท่าน่ิงเหมือนกัน หรือต่างกัน การตั้งซุ้มมีเพ่ือเป็น
จุดเปล่ียนกระบวนท่ารา ทาให้เกิดภาพนิ่งซ่ึงแตกต่างไปจากภาพเคล่ือนไหวในระบาแต่ละชุด การตั้ง
ซุ้มเปรียบเสมือนบทสรุปในแต่ละช่วง หรือแต่ละท่อน ซึ่งมีท้ังบทสรุปย่อย และบทลงท้ายระบาก่อน
รัวเข้าโรง ในช่วงเวลาหน่ึง อาจมีซุ้มเดียว หรือหลายซุ้มก็ได้ แต่ส่วนใหญ่จะเป็นซุ้มเดียว เพราะมีผู้รา
ไม่มาก การต้ังซุ้มมี 2 แบบ คือ 1) แบบที่ผู้ราทาท่าเหมือนกันท้ังซ้าย และขวาของแกนกลาง และ
2) แบบทีผ่ ูร้ าทาท่าตา่ งกนั แตส่ มดลุ กนั
ท่าราในระบา แบ่งได้ 6 ประเภท คือ 1) ท่าโขนและละครรา 2) ท่าราพื้นบ้านภาคต่าง ๆ
3) ท่าราเลียนแบบท่าทางของสัตว์ต่าง ๆ 4) ท่าราเลียนแบบกิริยาในการทางาน หรือกิจกรรม
5) ทา่ ราเลียนแบบจิตรกรรม ประติมากรรม 6) ท่าราประกอบการถืออุปกรณ์การฟ้อนราให้ดสู วยงาม
ท่าราเหลา่ น้ีมีอิทธิพลของทา่ โขน และท่าละครราอย่มู าก ทัง้ นีเ้ พราะผู้ประดิษฐ์ระบาเหล่านี้สว่ นใหญ่มี
พ้นื ฐานมาจากโขน และละครรา หรือแมว้ า่ ผ้ปู ระดษิ ฐ์จะเป็นศิลปนิ พื้นบา้ น อาจเปน็ นักเรยี นนาฏศิลป์
โขน หรอื ละครรา กท็ าให้มที า่ ทางของโขนละครราปะปนกับทา่ พน้ื บ้าน
2.3.5 สุกัญญา ทรัพย์ประเสริฐ (2543) ได้ศึกษาเรื่องนาฏยประดิษฐ์ของประทิน พวงสาลี
พบว่า อาจารย์ประทิน พวงสาลี มีกระบวนการสร้างสรรค์ผลงานด้านนาฏศิลป์ โดยมีเอกลักษณ์
เฉพาะ ดังนี้ 1) สร้างสรรค์งาน โดยใช้ความรู้ทางด้านนาฏยศิลป์ท่ีได้ร่าเรียนมาประยุกต์ใช้ในการ
ออกแบบท่ารา 2) สร้างสรรค์งาน โดยปรับให้เหมาะสมตาม ความสามารถของผู้แสดงแต่ละวัย
3) สร้างสรรค์ผลงาน โดยใช้ความสามารถด้านการประพันธ์ และเลือกสรรเน้ือหาระบาสอดแทรก
ข้อคดิ และคตเิ ตอื นใจ 4) สร้างสรรค์ปรบั ปรุงแต่งตามยคุ สมยั
บทท่ี 3
การดาเนนิ งานวจิ ัย
การสร้างสรรคผ์ ลงานชดุ “ทิพยเทวทาสี อญั ชลีพระขพงุ ผเี ทพดา” ใชร้ ะเบยี บวิธีการวิจัยเชิง
คณุ ภาพ (Qualitative Research) รว่ มกบั กระบวนการสร้างสรรค์ทางด้านศลิ ปะการแสดง
(Creative Dance) ในบทน้ีผู้วิจัยจะอธิบายข้นั ตอนการดาเนนิ การสร้างสรรค์ ดงั น้ี
3.1 สารวจข้อมูลเบ้ืองต้นจากแหล่งข้อมูลต่าง ๆ ได้แก่ ห้องสมุด อุทยานประวัติศาสตร์
สโุ ขทัย พิพทิ ธภัณฑสถาน ศาลพระแม่ย่าจงั หวดั สโุ ขทัย เวปไชด์ต่าง ๆ
3.2 คัดเลือก จัดหมวดหมู่ ตรวจสอบ และวิเคราะห์ข้อมูล แบ่งออกเป็นข้อมูลช้ันต้น คือ
ขอ้ มูลจากศิลาจารกึ ขอ้ มูลสมั ภาษณ์ และขอ้ มลู ชั้นรอง คือ เอกสาร งานวิจยั
3.3 ตงั้ คาถามวิจัย และกาหนดกรอบแนวคดิ ในการวิจยั สร้างสรรค์ โดยใชแ้ นวคิด ทฤษฎี
ทางดา้ นมนุษยศาสตร์ และสงั คมศาสตร์ และแนวคดิ ทฤษฎีทางด้านนาฏยศิลป์
3.4 สัมภาษณ์กลุ่มตัวอย่าง โดยใช้แบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้างและไม่มีโครงสร้าง
เกี่ยวกบั ประเดน็ ความหมาย ความเปน็ มาของพระแม่ยา่ จังหวัดสโุ ขทยั วัฒนธรรมและ
ความเช่อื ของคนสโุ ขทยั ท่ีมตี ่อพระแม่ย่าท้งั ในอดีตและปัจจุบนั
3.5 วเิ คราะห์ข้อมูลตา่ ง ๆตามประเดน็ ท่ีผ้วู จิ ยั ศกึ ษา คือ ความเป็นมา บทบาท ความสาคญั
ของพระขพุงผี วฒั นธรรมความเชือ่ ของชาวสโุ ขทยั ทีม่ ตี ่อพระขพงุ ผใี นจงั หวัดสโุ ขทยั
3.6 สังเคราะห์ข้อมูลต่าง ๆเพ่ือนาไปใช้ออกแบบนาฏศิลป์ชุด “ทิพยเทวทาสี อัญชลีพระ
ขพุงผีเทพดา” ตามองค์ประกอบการแสดงท่ีผู้วิจัยออกแบบไว้จากคาถามวิจัยคือ
แนวคดิ การแสดง โครงสรา้ งการแสดง ผู้แสดง กระบวนท่ารา ดนตรีประกอบการแสดง
และเคร่ืองแต่งกายประกอบการแสดง
3.7 ดาเนินการสร้างสรรค์นาฏศิลป์ชุด “ทิพยเทวทาสี อัญชลีพระขพุงผีเทพดา” ตาม
องค์ประกอบการแสดงท่ีผ้วู จิ ัยออกแบบไว้ ทดลองแก้ไข ปรับปรุงผลงานสรา้ งสรรคจ์ น
สมบูรณ์สรุปผลการดาเนินการวิจัยสร้างสรรค์เป็นข้อมูลเอกสาร เพ่ือนาเสนอ
ผลการวิจยั สร้างสรรค์ 5 บท และเผยแพรเ่ ป็นบทความทางวชิ าการ
3.8 การเผยแพร่ผลงาน แบ่งออกเป็น 2 สว่ น คือ
3.8.1 นาเสนอผลงานสรา้ งสรรค์ โดยการจัดแสดง 1 คร้งั
3.8.2 บทความวิจยั 1 เรือ่ ง
46
3.1 สารวจแหลง่ ข้อมูล โดยการแบ่งแหลง่ ทีม่ าของข้อมลู ออกเปน็ 2 ชัน้ คอื
(1) ข้อมูลช้ันต้น เช่น ข้อมูลที่ได้จากการลงพ้ืนท่ีจริง จากการสัมภาษณ์พูดคุยทั้งแบบมี
โครงสร้างและไม่มโี ครงสรา้ ง
3.1 สารวจแหล่งข้อมูล โดยการแบง่ แหลง่ ทมี่ าของข้อมูลออกเปน็ 2 ชนั้ คือ
(1) ข้อมูลชั้นต้น เช่น ข้อมูลท่ีได้จากการลงพ้ืนที่จริง จากการสัมภาษณ์พูดคุยสนทนา
แบบไม่มีโครงสรา้ ง
(2) ขอ้ มลู ช้นั รอง เชน่ ข้อมูลประเภทเอกสาร ตารา บทความทางวิชาการ งานวจิ ัย
ฯลฯ
3.2 การรวบรวมขอ้ มลู คดั เลือก จดั หมวดหมู่ ตรวจสอบ และวเิ คราะห์ข้อมูล จากแหลง่ ขอ้ มูล ดงั น้ี
(1) การศึกษาเบ้ืองต้น โดยการศึกษาค้นคว้า และรวบรวมเอกสารทางวิชาการ ตารา
บทความจากวารสารต่าง ๆ ท่ีเป็นหลักการ แนวความคิด และทฤษฎีท่ีเกี่ยวข้อง ตลอดจนงานวิจัยที่
เก่ยี วข้อง จากแหลง่ ข้อมลู ดังนี้
หอสมดุ แหง่ ชาติ
หอ้ งสมุดมหาวิทยาลยั นเรศวร
ศนู ย์รักษ์ศิลป์ สถาบนั บณั ฑิตพฒั นศิลป์
ห้องสมดุ คณะศิลปศึกษา สถาบันบณั ฑติ พฒั นศิลป์
ห้องสมดุ วิทยาลยั นาฏศิลปสโุ ขทยั
ห้องสมดุ โรงเรยี นสุโขทัยวทิ ยาคม ฯลฯ
(2) การศึกษาภาคสนาม จากการสารวจและจัดเก็บข้อมูลในการลงพ้ืนท่ีจริงเพ่ือเก็บ
ขอ้ มูลภาพและคาสมั ภาษณจ์ ากบุคคลในพ้ืนท่ี ดังน้ี
อุทยานประวัติศาสตร์แห่งชาตสิ โุ ขทยั
พิพิทธภัณฑสถานแห่งชาติรามคาแหง จังหวดั สุโขทัย
วดั มหาธาตกุ ลางเมืองสุโขทัยเกา่
วดั เจดีย์สีห่ อ้ ง
วัดเชตุพน
วัดศรสี วาย
วดั พระพายหลวง
ศาลตาผาแดง
ถ้าพระแมย่ ่า
ศาลพระแม่ยา่
โดยจัดเก็บขอ้ มูล แบง่ เปน็ ลักษณะของการจัดเกบ็ ดังนี้
1) ขอ้ มลู ท่ีมาจากการสัมภาษณ์ ซึ่งไดจ้ ากการสัมภาษณ์ผู้มีสว่ นเกี่ยวข้อง โดยแบ่งกลุ่ม
ผใู้ หข้ อ้ มลู ออกเป็น 3 กลุ่ม คือ
ก. ความรู้ และเรื่องเล่าตานานเมืองสโุ ขทัย
47
ข. ข้อมูลเชิงประวตั ิศาสตร์ โบราณวัตถุ โบราณสถาน
ค. ดา้ นดนตรี และนาฏศลิ ป์
2) ข้อมูลจากการใช้เคร่ืองมือในการจัดเก็บ โดยการออกแบบสอบถามจากกลุ่ม
เป้าหมาย จานวน 100 คน จากประชาชนที่เข้ามาสักการะพระแม่ย่า ณ ศาลพระแม่ย่า จังหวัดสุโขทัย
โดยมขี นั้ ตอนการสร้างเคร่ืองมอื ดังน้ี
ก. กาหนดขอบเขตของขอ้ มูลให้สอดคล้องกบั วตั ถปุ ระสงค์ของการวิจยั โดย
แบ่งขอบเขต ข้อมลู ที่ตอ้ งการใชเ้ ป็น 4 ส่วน คอื
สว่ นท่ี 1 ข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ตอบแบบสอบถาม
สว่ นท่ี 2 ความรู้เบ้อื งตน้ เก่ียวกบั พระขพุงผ/ี พระแมย่ ่า/พระนางเสอื ง
ส่วนท่ี 3 ด้านความคดิ เห็นตอ่ ความสัมพนั ธ์ของพระขพุงผี/พระแม่ยา่ /
พระนางเสือง
สว่ นที่ 4 ด้านพฤตกิ รรมการท่แี สดงออกตอ่ ความเช่อื และศรทั รา
ข. ศึกษาคน้ ควา้ เอกสารตา่ งๆ ทเี่ กยี่ วขอ้ ง เพื่อใช้เป็นแนวทางการตั้งคาถาม
ค. ร่างแบบสอบถาม โดยเขียนข้อคาถามตา่ งๆ โดยใช้เปน็ คาถามปลาย
ปดิ และปลายเปิดผสม กนั ในรูปแบบของการเลือกตอบ และ rating scale
ง. ตรวจสอบและปรับปรงุ รา่ งแบบสอบถาม 2 วิธี คือ
1 การตรวจสอบโดยผู้ศึกษาวิจัยเอง เพื่อพิจารณาถึงถ้อยคาและประโยค
วา่ ชัดเจน และดกู ารจัดเรยี งขอ้ คาถามวา่ เหมาะสมหรือไม่
2 การตรวจสอบโดยเชิญ ดร.เจษฎา เนตรพลับ มาให้คาแนะนาและ
วิจารณ์ ในการปรบั ปรุงแบบสอบถาม
จ. ทดสอบแบบสอบถาม pre-test โดยนาแบบสอบถามไปสอบถาม
กับ
กลุม่ นกั เรียน นกั ศึกษาและบุคลากรวิทยาลยั นาฏศิลปสโุ ขทยั จานวน 20 คน เพื่อพิจารณาถึงปัญหา
และอุปสรรคของข้อบกพร่อง เพ่อื ปรบั ปรุงแบบสอบถามให้ดขี ึน้
ฉ. สรา้ งแบบสอบถามฉบบั สมบรู ณ์ จัดพิมพ์และทาสาเนาพรอ้ มกบั
เก็บข้อมูลจากตัวอยา่ งจริง
3) ขอ้ มลู ภาพถ่าย ซึง่ ไดจ้ ากการบนั ทกึ จากกลอ้ งถา่ ยภาพ และการจากแหลง่ ต่าง ๆ
4) ขอ้ มลู จากเวปไซด์
3.3 เม่อื ไดข้ ้อมูลจากการเก็บรวบรวมข้อมูลจากแหล่งข้อมูลแลว้ จึงตัง้ คาถามวจิ ัย และกาหนด
กรอบแนวคิดในการวิจยั สรา้ งสรรค์ โดยใชแ้ นวคดิ ทฤษฎีทางด้านมนุษยศาสตร์ สังคมศาสตร์ และ
แนวคดิ ทฤษฎีทางด้านนาฏยศิลป์ ดังน้ี
คาถามวจิ ยั : 1. เทวรปู พระแมย่ า่ มคี วามสมั พนั ธ์กบั พระนางเสอื ง และพระขพงุ ผีอย่างไร
2. เทวรูปพระขพุงผี มีบทบาทและความสาคัญต่อคนในสังคมสุโขทัยทั้ง ใน
อดีต และปัจจุบนั อยา่ งไร
48
3. สร้างสรรค์ชุดการแสดงจากขอ้ มลู พระแม่ย่าและทางศลิ ปวัฒนธรรม
กรอบแนวคิด : การดาเนินการวิจัยสรา้ งสรรคช์ ุดการแสดง
สารวจข้อมลู
แนวคิด/ทฤษฎี ข้อมลู ท่เี ก่ียวกบั พระขพงุ ผ/ี พระแมย่ า่ /
-ทฤษฎีทางมานษุ ยวทิ ยา พระนางเสอื ง
-ทฤษฎีการแพร่กระจายทางวฒั นธรรม -ข้อมลู ทางประวตั ศิ าสตร์/โบราณคดี
-ทฤษฎีการสร้ างสรรค์ -ประวตั ทิ มี่ า/ลกั ษณะ/บทบาทตอ่ สงั คม
-องค์ประกอบนาฏยศิลป์ -ความสมั พนั ธ์ระหวา่ งพระขพงุ ผีและ
-แนวคดิ การออกแบบนาฏยศลิ ป์ พระแมย่ า่
ตงั้ คาถามวจิ ยั /กาหนดกรอบการดาเนนิ การวจิ ยั
วิเคราะห์ข้อมลู
ดาเนนิ การสร้างสรรค์ ทดลอง/แก้ไข
สรุปผลการดาเนนิ การวจิ ยั
โดยใช้ขนั้ ตอนการออกแบบนาฏยประดษิ ฐ์ของ ดร.สรุ พล วิรุฬรักษ์
รูปเลม่ เอกสาร
เป็นต้นแบบ คอื ชดุ การแสดงสร้างสรรค์
ทิพยเทวทาสี อญั ชลพี ระขพงุ ผเี ทพดา
ขนั้ วางแผน
เผยแพร่ผลงานวจิ ยั
-กาหนดขอบเขตและรูปแบบชดุ การแสดง
ₒวตั ถุประสงค์ ₒแรงบนั ดาลใจ
ₒรปู แบบ/โครงสรา้ งชดุ การแสดง
ขนั้ ทดลองสร้างสรรค์
-ออกแบบองค์ประกอบการแสดง
ₒ ผแู้ สดง ₒ กระบวนทา่ รา
ₒ เพลง/ดนตรี ₒ อปุ กรณ์
ₒ การแตง่ กาย
49
3.4 สัมภาษณ์กลุ่มตัวอย่าง โดยใช้แบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้างเกี่ยวกับประเด็น ความหมาย ความ
เป็นมาของพระแม่ย่าจังหวัดสุโขทัย วัฒนธรรมและความเชื่อของคนสุโขทัยท่ีมีต่อพระแม่ย่าทั้งในอดีต
และปัจจุบนั และองค์ประกอบการแสดงนาฏศลิ ป์ โดยแบ่งกลุม่ ผู้ใหข้ ้อมลู จากการสัมภาษณเ์ ป็น 2 แบบ
คือ
(1) การสัมภาษณ์ข้อมูลด้วยแบบสอบถามในส่วนความเชื่อ บทบาทของพระแม่ย่าที่มีต่อผู้ศรัท
ราและข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับเทวรูปพระขพุงผีท่ีมีความสัมพันธ์กับพระแม่ย่า โดยเก็บข้อมูลจาก
กลมุ่ เปา้ หมาย จานวน 100 คน ณ ศาลพระแมย่ ่า จังหวดั สุโขทยั โดยสรุปข้อมลู ดังน้ี
จากกลุ่มประชากร จานวน100 คน ชาย 54 คน หญิง 66 คน มีความรู้เบื้องต้นเก่ียวกับพระ
ขพงุ ผวี ่าเปน็ ใคร มาจากไหน นอ้ ยถึงนอ้ ยที่สุดถงึ 90 %
(2) การสัมภาษณ์ข้อมูลแบบไม่มีโครงสร้างจากผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความเช่ียวชาญ เก่ียวกับ เรื่อง
เล่าตานานเมืองสุโขทัย หลักฐานเชิงประวัติศาสตร์ โบราณวัตถุ โบราณสถาน ด้านดนตรีและ
องค์ประกอบนาฏศลิ ป์ โดยแบง่ กลุ่มผู้ใหข้ อ้ มูลเป็น 3 กลมุ่ ดงั น้ี
1) ข้อมูลเกย่ี วกับความรู้ /เรือ่ งเล่าตานานเมืองสุโขทัย
1. นางทองเจือ สบื ชมพู ท่ปี รกึ ษากติ ตมิ ศกั ดิ์ องค์การบรหิ าร
ส่วนจงั หวดั สโุ ขทยั
ผู้มคี ุณปู การตอ่ การศึกษาของชาติ
พ.ศ. 2562
ปราชญพ์ ื้นบ้าน สาขาศิลปวฒั นธรรม
ประจาปี 2543
2. นางสมุ าลิน วงศม์ ณี ผู้เชี่ยวชาญพเิ ศษ
ด้านศาสนาและวัฒนธรรม
คณะผบู้ ริหารองค์การบรหิ ารสว่ น
จงั หวดั สโุ ขทัย
2) ดา้ นโบราณคด/ี โบราณวัตถุ
3. นายประโชติ สังขนุกจิ ขา้ ราชการบานาญ กรมศิลปากร
4. นายชัยวัฒน์ ทองศักดิ์ ขา้ ราชการบานาญ (ภัณฑรักษ)์
พิพิทธภณั ฑสถานแห่งชาติรามคาแหง
กรมศลิ ปากร
3) ดา้ นดนตรี /นาฏศลิ ป์
5. นายอรัญ แสงเมือง ศิลปนิ อิสระ
บ้านเลขท่ี 50/59
หมบู่ า้ น มณฑลทวาน์
ซอย วดั ศรีประวัติ ตาบลปลายบาง
อาเภอบางกรวย จงั หวดั นนทบรุ ี
50
6. ผศ.ดร.เกษร เอมโอด วิทยาลัยนาฏศลิ ปสโุ ขทยั
7. นางรัจนา พวงประยงค์. สถาบันบณั ฑิตพฒั นศลิ ป์
ศลิ ปินแหง่ ชาติ ปี พ.ศ. 2554 สาขา
8.นายรับเสด็จ สงิ หชงค์ ศิลปะการแสดง (นาฏศลิ ป์ – ละคร)
กรมศลิ ปากร กระทรวงวฒั นธรรม
ผทู้ รงคุณวุฒจิ ังหวดั สโุ ขทยั
บ้านเลขที่ 244/8 หมู่ท่ี 7 ตาบลธานี
อาเภอเมือง จงั หวดั สโุ ขทัย
3.5 วิเคราะห์ข้อมูลต่าง ๆ ตามประเด็นท่ีผู้วิจัยศึกษา คือ ความเป็นมา บทบาท ความสาคัญของพระข
พุงผี วฒั นธรรมความเช่ือของชาวสุโขทัยท่มี ตี ่อพระขพงุ ผใี นจงั หวดั สุโขทัย โดยไดข้ ้อสรุป วา่
จากความเช่ือตามทฤษฎีทางมนุษยวิทยาและการแพร่กระจายทางวัฒนธรรม พบว่า เทวรูป
พระขพุงผี เป็นสัญลักษณ์ทางความเชื่อในเรอ่ื งเหนือธรรมชาติตามหลกั ฐานทางโบราณวตั ถุท่ีค้นพบเป็น
ข้อความในหลักศิลาจารึก ได้กล่าวถึง พระขพุงผีเทพดาที่มีความสาคัญสงู สุดของเมืองสโุ ขทยั ในสมัย
นน้ั เปน็ ผีทใ่ี หญ่กว่าผที กุ ตนในเมืองสโุ ขทัยและมีฐานะเทียบเท่าเทวดา อีกทั้งเปน็ ที่เคารพสูงสุดจนกล่าว
ว่า “ขุนผู้ใดถือเมืองสุโขทัยนี้แล้ ไหว้ดีพลีถูก เมืองน้ีเที่ยง เมืองน้ีดี ผิไหว้บ่ถูก พลีบ่ถูก ผีในเขาอันบ่คุ้ม
บ่เกรง เมืองน้ีหาย” ตอ่ มาเม่อื มกี ารคน้ พบเทวรูปพระขพุงผีตามท่ีถูกกล่าวไว้ในหลักศลิ าจารึกแลว้ เทวรู
ปดังกล่าวกลับถูกเชอื่ ว่าคือ พระนางเสืองพระมารดาของพ่อขุนรามคาแหงแหง่ เมืองสุโขทัย ด้วยเหตุผล
ว่า พ่อขุนรามคาแหงให้ความเคารพนับถือเทวรูปองค์น้ีเป็นอย่างมาก ชาวสุโขทัย จึงเรียกขานเทวรู
ปองค์นี้ ว่า “พระแมย่ ่า” เพราะชาวสโุ ขทัยนับถือพ่อขนุ รามคาแหงเปน็ พ่อ (พ่อเมือง) จงึ นับถือพระนาง
เสืองในฐานะแม่ของพ่อ (ขุนรามฯ) และเรียกแม่ของพ่อ ว่า “ย่า” ในปัจจุบันพระแม่ย่าเป็นส่ิงยดึ
เหนย่ี วจติ ใจของชาวสุโขทยั และเปน็ สิ่งศักดคิ์ ู่บ้านคู่เมืองสุโขทยั จนกลายเป็นสญั ลกั ษณเ์ มอื งสโุ ขทัย
และกล่าวไว้ในคาขวัญของจังหวัด คือ “มรดกโลกล้าเลิศ กาเนิดลายสือไทย เล่นไฟลอยกระทง ดารง
พุทธศาสนา งามตาผา้ ตนี จก สงั คโลกทองโบราณ สักการแมย่ า่ พ่อขนุ รุ่งอรณุ แหง่ ความสุข”
3.6 สังเคราะห์ข้อมูลต่าง ๆ เพื่อนาไปใช้ออกแบบนาฏศิลป์ชุด “ทิพยเทวทาสี อัญชลีพระขพุงผี เทพ
ดา” ตามขั้นตอนการออกแบบนาฏยศิลป์ของสุรพล วิรุฬรักษ์ โดยนาข้ันตอนต่าง ๆมาปรับใช้ในการ
ออกแบบการชุดการแสดง คอื
1 การคดิ ให้มนี าฏยศิลป์ 5 การกาหนดรูปแบบ
2 การกาหนดความคดิ หลกั 6 การกาหนดองคป์ ระกอบอน่ื ๆ
3 การประมวลข้อมูล 7 การออกแบบนาฏยศิลป์
4 การกาหนดขอบเขต
51
3.7 ดาเนินการสร้างสรรค์ ซง่ึ แตล่ ะขน้ั ตอนผวู้ จิ ัยไดป้ รับหวั ขอ้ ขน้ั ตอนใหก้ ระชับขน้ึ ดงั น้ี
1) ขน้ั วางแผน
กาหนดขอบเขตและรปู แบบการแสดง
- วัตถุประสงค์ ในการสร้างสรรค์ชุดการแสดง เพ่ือเป็นชุดการแสดงในการบูชาพระข
พงุ ผีตามแนวคดิ ทไ่ี ด้จากขอ้ ความในหลักศิลาจารกึ เกยี่ วกับพธิ ีกรรม “ไหว้ดีพลถี กู ” โดยมี
- แรงบันดาลใจ มาจากข้อความที่กล่าวไวใ้ นหลกั ศิลาจารกึ หลักท่ี 1 ด้านท่ี 3 บรรทัด
ที่ 6 - 10 ข้อความว่า “มีน้าโคก มีพระขพุง ผีเทพดาในเขาอันน้ัน เป็นใหญ่กว่าทุกผีในเมืองนี้
ขุนผู้ใดถือเมืองสุโขทัยน้ีแล้ ไหว้ดีพลีถูก เมืองน้ีเที่ยง เมืองนี้ดี ผิไหว้บ่ดี พลีบ่ถูก ผีในเขาอัน
นน้ั บ่คมุ้ บ่เกรง เมืองนี้หาย” จากศกึ ษาพบว่าในพธิ กี รรมบวงสรวงบชู าเทพเจา้ มีทม่ี าจากความ
เช่ือของศาสนา และความเช่ือในส่ิงเหนอื ธรรมชาติที่แพร่กระจายเข้ามาสู่ดินแดนสุวรรณภมู ิ จะ
เห็นได้ว่าในสมัยสุโขทัยก็เป็นเขตของการแพร่กระจายทางวัฒนธรรมและ ได้รับอิทธิพลความ
เชือ่ นดี้ ้วยการฟอ้ นรา จึงน่าจะเป็นสิง่ บชู าเทพเทวดาอย่างหนง่ึ ที่ พ่อเมอื งจัดถวายต่อพระขพุง
ผีองค์นี้ หรอื อีกทางหน่ึงความเช่อื เรอื่ งภูตผนี เ้ี ป็นความเชือ่ เดมิ ทเ่ี กดิ ขนึ้ ในดนิ แดนแห่งนีอ้ ยู่แล้ว
และได้มีการไหว้ผีบรรพบุรุษมาแต่เดิม ทั้งน้ีนอกจากการ เซ่นไหว้ ด้วยของกินแล้ว การร่ายรา
ก็จะทาให้เกิดความพึงพอใจจากภูตผีบรรพบุรุษท่ีนับถือได้อีกทางหน่ึง โดยการประมวลข้อมูล
จากการศึกษาหลักฐานทางโบราณคดีและทฤษฎีทางมานุษยวิทยาเก่ียวกับความเชือ่ เรื่องผีและ
พิธีบูชาเทพเจ้าในสมัยสุโขทัย ได้รับวัฒนธรรม ตามหลักทฤษฎีการแพร่กระจายทางวัฒนธรรม
ตามปรากฏในหลักศิลาจารึกหลักที่ 1 ด้านที่ 3 บรรทัดที่ 6 - 10” ทาให้ทราบว่าเทวรูปพระข
พุงผที ่คี น้ พบท่ถี ้าเชิงผา ซงึ่ อยู่ทางทศิ ใต้ของกรุงสโุ ขทัยห่างตวั เมืองออกไปประมาณ 15 กม. คือ
เทวรูปองค์เดียวกันกับพระแม่ย่าท่ีประดิษฐานเทวาลัยอยู่ริมฝั่งแม่น้ายมฝั่งตะวันออกตรงหน้า
ศาลากลางจังหวัดสุโขทัยและมี อิทธิพลต่อความรู้สึกของชาวสุโขทัยเป็นอย่างมาก เพราะ
นอกจากจะนับถือว่า พระแม่ย่า เปรียบเสมือนญาติผู้ใหญ่ท่ีเคารพนับถือสูงสุดแล้ว พระแม่ย่า
ยังเป็นทีย่ ึดเหน่ยี วจิตใจและ ถือเปน็ สงิ่ ศักด์สิ ิทธ์ิคู่บา้ นคูเ่ มือง
จากกรณีศึกษาชุดการแสดงที่มีลักษณะของความเช่ือ ความศรัทรา จานวน 6 ชุดคือ
การแสดงชุดบุปผศารทาบูชา ไหว้สาพญางาเมือง นบนารายณ์ ฟ้อนบวงสรวงมุกดาหาร
บวงสรวงพญาสุทโธนานาคราช ฟ้อนไหว้สาจาตุยาเจ้าเกตุเกล้าจุฬามนี พบว่าส่วนใหญ่การ
แสดงจะมีรูปแบบการแสดงในรูปแบบ “ระบา” โครงสร้างการแสดงเป็น 4 ช่วง คือ เปิดตัว รา
จังหวะเพลงช้า ราจังหวะเพลงเร็ว และปดิ ตวั ผวู้ ิจัยได้วางรูปแบบและโครงสรา้ งการแสดง ดงั น้ี
- รูปแบบของการแสดง ให้เป็นชุดการแสดงสนั้ ๆท่มี ีลกั ษณะของการฟ้อนราท่สี วยงาม
อยา่ ง “ระบา” จากการศกึ ษารูปแบบการแสดงที่มีลักษณะการบวงสรวงบชู า
- โครงสรา้ งการแสดง
การวางโครงสร้างชดุ การแสดง แบง่ ออกเปน็ 4 ชว่ ง คือ
ช่วงท่ี 1 เปิดตวั ผู้แสดง
ชว่ งที่ 2 แสดงกระบวนท่ารา่ ยราตามจังหวะเพลงช้า
ช่วงที่ 3 แสดงกระบวนท่าร่ายราเพลงเรว็
52
ชว่ งที่ 4 ลาโรง
การแสดงชุดนี้ จึงเป็นระบาท่ีมีความสวยงามจากกระบวนท่าราที่ไม่เป็นเรื่องราว โดยมี
จุดมุ่งหมายในการสักการบูชาต่อส่ิงศักด์ิคู่บ้านคู่เมืองที่ชาวสุโขทัยเชื่อว่า จะช่วยปกปักษ์ รักษาและ
นาพาชีวิตของผู้ศรัทราให้อยู่รอดปลอดภัยต่อภยันตรายต่าง ๆ อันอาจจะเกิดข้ึนและจะนาพาความสุข
ความเจรญิ มาสูบ่ ้านเมืองและลูกหลานตามความเช่อื ทีม่ ีมาแต่อดตี อันยาวนาน
2) ข้ันทดลองสรา้ งสรรค์
ในขน้ั ตอนนี้เปน็ การออกแบบองค์ประกอบการแสดงนาฏยศลิ ป์ ดังนี้
- ผแู้ สดง
ใช้ผู้แสดงเปน็ หญิงล้วน มีรปู ร่างสมส่วน สูงประมาณ 160 เซนติเมตร และไมเ่ กิน 170
เซนติเมตร ผ่านการฝึกทักษะในการราเพลงช้า เพลงเร็วและเพลงแม่บทใหญ่ ได้
อยา่ งถกู ตอ้ งตามแบบแผนนาฏศลิ ปไ์ ทย
- ดนตรี และเพลงท่ีใชป้ ระกอบชุดการแสดง
ใชเ้ ครอ่ื งดนตรีประกอบการแสดง โดยดาเนนิ ตามแนวคิดของครูมนตรี ตราโมท
ดงั นี้คอื
1. ปีใ่ น
2. ฆ้องวงใหญ่
3.ซอสามสาย
4. ตะโพนไทย
5. ฉง่ิ
6. กระจับปี่
7. ฆ้องชัย
53
ภาพที่ 5 ปี่ใน
ท่มี า : นริ มล หาญทองกูล. 2562
ภาพท่ี 6 ฆอ้ งวงใหญ่
ที่มา : นริ มล หาญทองกูล. 2562
54
ภาพที่ 7 ซอสามสาย
ทมี่ า : นิรมล หาญทองกูล. 2562
ภาพที่ 8 ตะโพนไทย
ทมี่ า : นิรมล หาญทองกูล. 2562
55
ภาพที่ 9 ฉิ่ง
ที่มา : นริ มล หาญทองกูล. 2562
ภาพที่ 10 กระจับป่ี
ที่มา : นริ มล หาญทองกูล. 2562
56
ภาพท่ี 11 ฆ้องชยั
ท่มี า : นริ มล หาญทองกลู . 2562
ทัง้ นไ้ี ดร้ ับความอนุเคราะห์ในการประดิษฐ์ทานองเพลงข้นึ ใหม่ตามแนวทางท่ีผู้วจิ ัยกาหนด โดย
นายอรัญ แสงเมือง ศิลปินเพลงอิสระ จากการเทียบเคียงแนวเพลงโบราณคดี ชุด สุโขทัยของครูมนตรี
ตราโมท กาหนดการสร้างสรรค์เพลงออกเป็นอัตราจังหวะ 2 ช้ัน และช้ันเดียว ตามตารางบันทึก
โน้ตเพลง ดงั นี้
ตารางที่ 2 ตารางบนั ทึกโน้ตเพลง อญั ชลีพระขพงุ ผีเทพดา
เพลง อัญชลีพระขพุงผเี ทพดา
2 ช้นั ทอ่ น 1 ---ร ---ท - ล- ซ - ม–ซ - ล-ท รทลซ -ม-ร
---- -ล-ท -ร-ม - - ซม
---- รทรม --ลซ -มซล
---- -ร-ม -ซ-ล - - ทลซ
---- --มร --ทร --ทล ทลซม -ล-- -ซ-ล -ท-ร
รมซร --รท รทรล ซมรม ซร-- -ร-ม รมซล
---- -รรร - - ซลท -ร-ม -ซ-ล ซล-- -ซ-ล -ท-ร
--มซ -ททท -มรท -ล-ซ ---ม -ซ-ม ---ร ---ท
--ซม -ร-ม - - ลซม -ร-ท -ร-ซ -ร-ซ --ทล ซล-ท
---ท -ล-ท รมรท -ล-ซ
---ท
- - ซลท
57
2 ช้นั ท่อน 2 - ซ- ม ( - ร-ม) -ร- ม --ซม รทรม -ซ-ล ----
- ซ- ล ( - ท-ล) -ท-ล -ท-ร ----
(-ซ-ม) ทลซม -ซ-ล -ซ-ร -ม-ซ
-รรร -ซ-ม -ร-ท - - ซลท -ล-ท ----
( - ซ-ล) รซลท รทลซ ลซมซ -ซมร -ร-ม -ลซม ----
-ล-ท (-ล-ท) (-ล-ท) รทลซ ทรมซ -ร-ท ----
---ร -ร-ม (-ร-ม) (-ร-ม) ซมรท มซลท --ทล ซล-ท
---- -ททท -มรท -มรท ---ม -ร-ม รมรท - ล -ซ
(-ล-ท) -ร-ม - - ลซม - - ลซม -ร-ซ -ร-ซ
(-ร-ม) -ล-ท (-ล-ซ -ม-ร)
---ท (- ล- ซ -ม-ร) --ลซ --รซ ลทลท
- - ซลท - ร-ซ - ล-ท -ล-ซ ลทลท รซลท
- - -ซ -มรท -ล-ซ
ช้นั เดียว ทอ่ น 1 รทล ท -ทลท ลทลท
-ทลท รม-ร ลซลซ ---ซ -มรท -ล-ซ
- - ลท -- ลซ ---ร -รรร -ลซม ซมรท
- ท-ร - ม-ซ -ท-- รม–ร ทลซม ซรมซ
-ล–ซ -ม–ซ (--รท --ลท) ซมรท -ล-ซ
--รซ ลทลท ซมรท รลทร -ซซซ -ซซซ
--รซ ลทลท รทลท รม–ร -ทรม รมซล
-รรร -รรร
ชน้ั เดียว ท่อน 2
(--รท --ลท)
-ซซซ -ซซซ
-ซลท ลทรม
-ร–ซ -ล-ท
อรัญ แสงเมือง ประพันธ์เพลง
- การแตง่ กาย
ผู้วิจัยได้วางแนวคิดของการแตง่ กายให้ผแู้ สดงเปน็ นางระบาที่มีฐานะนางกานลั ที่
พ่อเมืองสุโขทัยจัดมาราบวงสรวงต่อพระขพุงผี โดยศึกษาและสรุปข้อมูลจากบริบทที่ตั้งของอาณาจักร
สุโขทัยว่า เจริญข้ึนบนดินแดนของอาณาจักรลพบุรีและขอม การรับศิลปวัฒนธรรมอินเดีย ที่เข้ามาใน
ด้านศาสนาและสมดุ ภาพแสดงเครื่องแตง่ กายสมยั ต่าง ๆคอื ทวารวดี ศรีวชิ ยั ลพบรุ ี เชยี งแสน สโุ ขทัย
อยุธยาและรัตนโกสินทร์ ดังนั้นแนวคิดการแต่งกายจึงเป็นลักษณะผสมผสาน ระหว่างอินเดีย ขอมและ
ไทย
อีกทั้งรูปแบบการแต่งกายของสตรีสมัยสุโขทัยที่พอสรุปให้เห็นว่า ส่วนมากนิยม
นุ่งผ้ายาวครง่ึ แข้งรัดกลีบซ้อนมากชน้ั มีเข็มขัดขนาดใหญ่คาดทับประดับด้วยลวดลายละเอียดมาก ทิ้ง
ชายผ้าเป็นกาบขนาดใหญ่ตรงด้านหน้าหรือยักเยื้องไปด้านข้าง บุคคลธรรมดาท้ังชายและหญิงมักนิยม
นุ่งผ้าโจงกระเบนสี ผมแสกยาวประบ่ามีผ้ารดั ต้นคอ ผู้หญิงธรรมดาทีผ้าแถบคาดอก ใส่กาไล ข้อมือ รัด
แขนและกาไลข้อเท้า กรองคอทาเป็นลายหยักโดยรอบ และข้อมูลจากหนังสือ การแต่งกายไทย :
วิวัฒนาการจากอดีตสู่ปัจจุบัน (2542 : 125) ได้กล่าวถึงการนุ่งผ้าในสมัยสุโขทัยว่า “เน่ืองจากบุรุษและ
สตรีนุ่งผ้ายาวหรือโจงกระเบนแบบที่อินเดียเรียกว่า โธตี ดังน้ันจึงจับชายผ้าเหน็บที่เอวให้กระชับแล้ว
คาดเขม็ ขดั ทับ”
58
สาหรับลวดลายและเนื้อผ้าท่ีนิยมใช้ในชีวิตประจาวันน้ัน ข้อมูลที่อธิบายจาก
จดหมายเหตุของราชทูตจีน หรือบันทึกของพวกพ่อค้า จะทราบถึงผ้าท่ีนามาตัดเย็บเป็นฉลองพระองค์
ของพระเจ้าแผ่นดินดังความว่า “ภูษาเฉียงยาว 30 ใช้แพรซ่ิง สีแดง ใช้ผ้าขาวพันศีรษะใช้หมวก ทา
ด้วย planning และทาดว้ ยกามะหยีน่ ุ่งห่มใชผ้ า้ 2 ผืน ผ้าหม่ ทาดว้ ยด้าย 5 สี ยกดอก ผา้ นุ่ม ทาดว้ ย
ดา้ ย 5 สี แตเ่ อาไหมทองยกดอกจากบันทึกนท้ี ราบได้ว่าสมัยสุโขทยั ผ้าท่ีมีคา่ คอื ผ้าไหม ผา้ แพร ผา้
กามะหย่ีและรองลงมา คือ ผ้าท่ีทอด้วยด้ายหรือ ฝ้ายและย้อมเป็นสีต่าง ๆท่ีเรียกว่าผ้า 5 สี ได้แก่ สีดา
สขี าว สีแดง สเี ขยี วและสีเหลอื ง” (กรมศิลปากร. 2515 : 74)
จากข้อมลู ข้างตน้ ผ้วู จิ ัยได้ออกแบบการแตง่ กายผแู้ สดง ไว้ดงั น้ี
1. สวมเสือ้ เกาะอกสีทอง
2. คลอ้ งผ้าสไบสะพายเฉยี งสีเขียว
3. นุ่งผา้ โจงกระเบนแบบโธตีดว้ ยผา้ ทอสอดด้ินทองสีแดง
4. คาดรัดสะเอวตาข่ายทองซับดว้ ยผ้าแกว้ สเี ขยี ว
5. สวมเครื่องประดับ ไดแ้ ก่ สร้อยคอ ตา่ งหู สรอ้ ยตวั กาไลตน้ แขน
ขอ้ มอื และข้อเท้า
6. ทาผมแสกกลาง รวบไวท้ ้ายทอย ตกแตง่ ดว้ ยเคร่ืองประดับและ
ดอกไม้
ภาพท่ี 12 เสอื้
ท่ีมา : นริ มล หาญทองกูล. 2562
59
ภาพที่ 13 ผา้ นุ่ง
ท่มี า : นริ มล หาญทองกลู . 2562
ภาพที่ 14 ชายพกสาเร็จรปู
ทม่ี า : นิรมล หาญทองกูล. 2562
60
ภาพที่ 15 รัดสะเอว
ท่ีมา : นิรมล หาญทองกูล. 2562
1 2
4 5
6
3
ภาพท่ี 16 เครือ่ งประดับ
ที่มา : นิรมล หาญทองกูล. 2562
1. สร้อยคอ 2. ต่างหู
3. สรอ้ ยตัว 4. รดั ต้นแขน
5. กาไลข้อมือ 6. กาไลข้อเทา้
61
1
3
2
ภาพท่ี 17 เครือ่ งประดับผม
ทม่ี า : นิรมล หาญทองกลู . 2562
1. ชอ่ ผม 2. เครื่องประดบั ชอ่ ผม
3. ชอ่ ดอกจาปี
หนา้ หลัง
ภาพท่ี 18 การแต่งกายผูแ้ สดงชุด ทิพยเทวทาสี อัญชลีพระขพงุ ผเี ทพดา
ที่มา : นริ มล หาญทองกลู . 2562
62
ด้านหน้า ด้านหลัง
ภาพที่ 19 ทรงผม และเครื่องประดับผม
ทีม่ า : นริ มล หาญทองกูล. 2562
- กระบวนทา่ รา
ผู้วิจัยได้วางแนวคิดในการประดิษฐ์ท่ารา โดยใช้ท่าธรรมชาติ ท่านาฏศิลป์ไทยโดย
ออกแบบโครงสรา้ งทา่ รา จากบทสวดบชู าเทวรปู พระแม่ ดังนี้
มนตก์ าจัดภัย
อะหงั วนั ทามิ ขะพุงผี มะหาเทวะตา
สัพพะอุปาทา สัพพะทกุ ขะ สัพพะโศกะ
สัพพะโรคะ อุปาทา วินาสายะ สัพพะศตั รู
ปะมุจจะติ โอมะ ขะพุงผี มะหาเทวะตา
สะทา รกั ขันตุ สะวาหะ สะวาหายะ
คาแปล
ข้าพเจ้าขอกราบวันทา เทวดาตนเป็นใหญ่ ช่ือว่า ขะพุงผี การเกิดข้ึนของอุบาทว์ ทั้ง
ปวง, ของทกุ ข์ทง้ั ปวง, ของความโศกทั้งปวง, ของโรคทัง้ ปวง, จงวินาศไป, ศตั รูทัง้ ปวงย่อมพ้น
ไป...โอมเพย้ี ง เทวดาตนเปน็ ใหญช่ ่อื ขะพงุ ผี จงรกั ษาทุกเม่อื เทอญ.
(พระมหาอาคม จน.ทสโี ล ผู้แปล : 2562)
โดยออกแบบกระบวนท่าราตามโครงสรา้ งของชุดการแสดง
ชว่ งที่ 1 เปดิ ตวั ระบา (ทา่ ออก)
ช่วงที่ 2 ราเพลงชา้ (กระบวนทา่ ราสรา้ งสรรคจ์ ากคาแปลคาถาบชู า)
ชว่ งที่ 3 ราเพลงเร็ว (กระบวนท่าราทป่ี ระดษิ ฐ์ขึน้ จากทา่ ธรรมชาติ
และทา่ มาตรฐานนาฏศลิ ปไ์ ทย)
ช่วงที่ 4 ลาโรง (ท่าลา)
63
อธบิ ายทา่ รา
- มอื จบี แบบมุทรา หมายถงึ การปฏิบัติโดยนว้ิ ชง้ี อข้อกลางลงมาจรดกบั นิ้วหวั แมม่ ือตงึ นิ้วทง้ั สาม คอื
น้วิ กลาง นว้ิ นาง และนวิ้ ก้อยเรยี งชดิ ติดกนั หกั ข้อมือตงั้ ขนึ้ ลกั ษณะการตั้งวง
- ตัวเลขในวงเล็บ (..) หมายถึง จังหวะฉิง่ – ฉบั ครง้ั ท.ี่ .เช่น (1) หมายถงึ ฉ่งิ ฉบั ที่ 1 เป็นต้น
ช่วงท่ี 1 เปิดตัวระบา (ท่าออก)
จังหวะท่ี 2
ภาพที่ 20 ท่าออก (1) เย้ืองพายกฐนิ คทู่ ่ี 1
ทีม่ า : นิรมล หาญทองกูล. 2562
ภาพท่ี 21 ท่าออก (2) หงส์ลินลา คทู่ ี่ 1
ที่มา : นิรมล หาญทองกลู . 2562
64
คู่ท่ี 1 (ด้านซ้าย)
(1) ก้าวเท้าซ้าย มือซ้ายต้ังตะแคงฝ่ามือระดับอก มือขวาตั้งวงล่าง เอียงขวา จากน้ันแตะเท้าขวา
ว่งิ ซอยเท้า แทงมอื ซา้ ยออกต้งั ข้อมือแขนตึงระดับไหล่ มอื ขวาจบี หงายชายพกซา้ ย เอยี งซา้ ย
(2) ก้าวเท้าขวา มือขวาตั้งวงบน มือซ้ายต้ังวงหน้า เอียงขวา จากน้ันทาบเท้าซ้าชอ้ นข้อมือ ท้ัง
สองใหม้ อื ขวาแบหงายฝา่ มือระดับวงบน งอแขนระดบั ไหล่ มือซ้ายจบี หงายระหว่างอก เอียงซ้าย
คทู่ ี่ 1 (ด้านขวา) ปฏบิ ัติเหมอื นกบั คู่ที่ 1 (ดา้ นซ้าย) แตต่ รงกันข้าม
จงั หวะที่ 3
ภาพท่ี 22 ทา่ ออก คทู่ ่ี 2
ท่ีมา : นิรมล หาญทองกูล. 2562
คทู่ ี่ 1, 2 (ด้านซ้าย และด้านขวา) ปฏิบตั เิ หมอื นจังหวะท่ี 2
65
จงั หวะท่ี 4
ภาพที่ 23 ท่าออก คทู่ ี่ 3
ที่มา : นริ มล หาญทองกูล. 2562
คู่ที่ 1, 2, 3 (ดา้ นซา้ ย และดา้ นขวา) ปฏิบตั เิ หมอื นจงั หวะที่ 2 และ 3
จงั หวะท่ี 5
ภาพที่ 24 ท่าออก คู่ท่ี 4
ท่ีมา : นริ มล หาญทองกูล. 2562
คูท่ ี่ 1, 2, 3 (ด้านซา้ ย และดา้ นขวา) ปฏิบัตเิ หมือนจังหวะที่ 2, 3 และ 4
66
หมายเหตุ ทา่ ออกในช่วงเปิดตวั แสดงน้ี มที ง้ั หมด 8 จังหวะ ผู้แสดงจะเปิดตัวทีละคู่ แลว้ วิ่งซอยเทา้ ตาม
กันออกมาด้านหน้าเวที ในจังหวะท่ี 4 ผู้แสดงคู่ท่ี 1 จะนาแถวลงไปด้านหลังของเวทีแล้วต้ังแถวเป็นซุ้ม
ในจังหวะท่ี 8 ตามแผนผัง ดงั นี้
- สญั ลักษณแ์ สดงตาแหน่งผู้แสดง มีดงั นี้ สัญลกั ษณภ์ าพแทนคทู่ ่ี 1 ขวา
สัญลักษณภ์ าพแทนคู่ท่ี 1 ซา้ ย สญั ลักษณ์ภาพแทนคู่ท่ี 2 ขวา
สัญลกั ษณภ์ าพแทนค่ทู ี่ 2 ซา้ ย สญั ลักษณภ์ าพแทนคทู่ ี่ 3 ขวา
สัญลกั ษณ์ภาพแทนคทู่ ่ี 3 ซ้าย สัญลกั ษณ์ภาพแทนคูท่ ี่ 4 ขวา
สัญลักษณภ์ าพแทนคูท่ ่ี 4 ซา้ ย
แผนผงั ท่ี 1
แผนผังที่ 2
67
ภาพท่ี 25 ซ้มุ ที่ 1 อัญชลี
ที่มา : นริ มล หาญทองกลู . 2562
คทู่ ่ี 1 (ดา้ นขวา) ยนื ทาบเท้าซ้ายหน้าตรง มือทง้ั สองทอดลงข้างลาตวั หงายฝา่ มอื ออก
ด้านหน้า
คู่ท่ี 1 (ด้านซ้าย) กา้ วเท้าขวาแล้วเผน่ ตัวขนึ้ หน้าตรง มอื ทั้งสองชขู ้นึ เหนอื ศีรษะแบฝา่ มอื
ทง้ั สองหงายในลกั ษณะขอ้ มอื ชนกัน
คทู่ ี่ 2 (ดา้ นขวา) กา้ วเทา้ ขวา มอื ซา้ ยต้ังวงบน มือขวาหงายฝา่ มือแบให้ปลายนิ้วชลี้ งพื้น
งอแขนระดับเอวข้างลาตวั ขวา เอยี งขวา
คู่ที่ 2 (ด้านซา้ ย) ปฏบิ ตั ิท่าราเหมอื น คู่ท่ี 2 (ด้านขวา) แตต่ รงกนั ข้าม
คทู่ ่ี 3 (ด้านขวา) น่ังต้งั เขา่ ขวา มือซ้ายต้ังวงบน มือขวาหงายฝ่ามือแบใหป้ ลายน้ิวช้ลี งพ้นื
งอแขนระดบั เอวขา้ งลาตวั ขวา เอยี งขวา
คู่ท่ี 3 (ด้านซ้าย) ปฏบิ ตั ทิ า่ ราเหมือน คูท่ ี่ 3 (ดา้ นขวา) แต่ตรงกันขา้ ม
คทู่ ี่ 4 (ดา้ นขวา) นง่ั ต้ังเข่าขวา กระดกเทา้ ซา้ ย มือซา้ ยลอ่ แกว้ ตัง้ วงล่างให้ขอ้ มือวางอยู่บน
ข้อมือขวาทล่ี อ่ แกว้ หงายรบั ระดบั เอว เอยี งขวา
ค่ทู ่ี 4 (ดา้ นซา้ ย) ปฏิบัติท่าราเหมือน คทู่ ี่ 4 (ดา้ นขวา) แต่ตรงกนั ข้าม
68
ชว่ งท่ี 2 ขอพร
จังหวะที่ 1
ภาพที่ 26 ซมุ้ ท่ี 1 อัญชลี
ทมี่ า : นริ มล หาญทองกูล. 2562
คู่ที่ 1, 2, 3, (ด้านซ้าย และด้านขวา)
สะดุ้งตัวตามจงั หวะฉ่งิ 4 ครงั้ ยงั ปฏบิ ตั ิท่ารา ในทา่ ซุ้มจังหวะท่ี 8
คทู่ ่ี 4 (ดา้ นซา้ ย)
(1) สะดุ้งตวั ตามจงั หวะฉงิ่ 1 คร้งั ยงั ปฏบิ ตั ทิ ่าเดิมในทา่ ซุ้มจังหวะท่ี 8
(2) ลดเข่าขวาลงนัง่ คุกเขา่ พลกิ ฝา่ มือทั้งสองวางประกบกันบนหนา้ ขาในท่าหมอบโดยใหฝ้ ่ามอื ขวา
อย่บู นมือซ้าย เอียงซา้ ย
(3) คลานเขา่ ซ้าย มือท้งั สองพนมขน้ึ จรดหน้าผาก เอยี งขวา
(4) นัง่ กระดกเทา้ ขวา ลดมอื ทงั้ สองมาพนมระหวา่ งอก เอยี งขวา
คู่ท่ี 4 (ด้านขวา) ปฏิบัตทิ ่าราเหมอื นกับคู่ที่ 4 (ด้านซา้ ย) แต่ทาตรงกันขา้ ม
69
จังหวะที่ 2
ภาพท่ี 27 ทา่ ปางลลี า
ทม่ี า : นริ มล หาญทองกลู . 2562
คทู่ ี่ 1 (ดา้ นซ้าย)
(1) กา้ วเทา้ ซา้ ย มือซ้ายจีบมุทรา (แบบสโุ ขทัย) ตั้งทฐี่ านไหล่ซ้าย วาดมือขวาเหยียดตึงทอดมา
ข้างหนา้ เอยี งขวา
(2) ก้าวเทา้ ขวามาขา้ งหนา้ แล้ววาดแขนขวาหงายตงึ ขา้ งลาตวั ข้างขวา เอียงซ้าย
ค่ทู ่ี 2, 3 (ด้านซา้ ย และด้านขวา) (1) และ (2) อยู่ในท่านง่ิ ในจงั หวะท่ี 1
คทู่ ี่ 4 (ดา้ นซ้าย และด้านขวา)
(1) คกุ เข่าทั้งสองน่ังบนส้นเท้า มอื ทงั้ สองพนมระดบั อก เอียงขวา
(2) ตง้ั เขา่ ซา้ ยข้ึน มอื ทงั้ สองพนมระดับอก เอยี งขวา
ปฏิบตั ิทา่ ราเหมอื นกัน แตท่ าตรงกันขา้ ม
คทู่ ่ี 1, 2, 3, 4 (ด้านซ้าย และด้านขวา)
(3) ถอนเท้าซ้าย มือซา้ ยแบฝ่ามอื หงายใหป้ ลายนว้ิ ชีล้ งพื้น งอแขนระดบั เอว มอื ขวาจบี ควา่
งอแขนขา้ งตัวระดบั เอว เอยี งซา้ ย
(4) ทาบเทา้ ขวา มือซ้ายตงั้ วงลา่ ง มือขวาจบี หงายทองแขนตึงข้างลาตวั เอยี งขวา หนั ตวั ด้านซ้าย
ปฏิบัตทิ ่าราเหมือนกนั แต่ทาตรงกนั ขา้ ม
70
จงั หวะท่ี 3
ภาพท่ี 28 ทา่ เชอ่ื ม (ลีลาทาสี)
ท่มี า : นริ มล หาญทองกลู . 2562
คูท่ ่ี 1, 2, 3, 4 (ดา้ นซา้ ย)
(1) กา้ วเทา้ ขวา มือซา้ ยตง้ั วงลา่ ง มอื ขวาจบี หงายทองแขนตึงขา้ งลาตัว เอียงขวา
(2) ก้าวเทา้ ซา้ ย ค่อย ๆพลิกตัวไปด้านขวามือมือขวาจีบควา่ งอแขนขา้ งตวั ระดบั เอว มือซ้ายแบ
ฝา่ มือหงายใหป้ ลายน้ิวชี้ลงพ้ืนงอแขนระดบั เอว เอยี งขวา
(3) ถอนเท้าขวา มอื ท้งั สองอยู่ในทา่ เดิม
(4) ทาบเทา้ ซา้ ย มือซา้ ยจบี หงายทองแขนตึงขา้ งลาตัว มือขวาตง้ั วงล่าง เอยี งซ้าย หันตัวดา้ นขวา
คทู่ ี่ 1, 2, 3, 4 (ดา้ นขวา)
ปฏิบตั ิทา่ ราเหมอื นกบั คู่ที่ 1, 2, 2, 4 (ดา้ นซ้าย) แต่ทาตรงกันขา้ ม
71
จงั หวะที่ 4
ภาพที่ 29 ทา่ เช่อื ม (ลีลาทาสี)
ท่ีมา : นิรมล หาญทองกลู . 2562
ค่ทู ่ี 1, 2, 3, 4 (ด้านซ้าย)
(1) ก้าวเทา้ ซ้าย มือขวาตงั้ วงลา่ ง มอื ซ้ายจีบหงายทองแขนตงึ ขา้ งลาตัว เอยี งซา้ ย
(2) ก้าวเท้าขวาค่อย ๆพลิกตัวไปดา้ นซ้ายมือมือซ้ายจบี คว่างอแขนขา้ งตวั ระดบั เอว มือขวา แบ
ฝ่ามอื หงายให้ปลายน้ิวช้ีลงพ้ืนงอแขนระดบั เอว เอียงซ้าย
(3) ถอนเทา้ ซ้าย มือทงั้ สองอยูใ่ นทา่ เดิม
(4) ทาบเทา้ ขวา มือขวาจบี หงายทองแขนตึงขา้ งลาตัว มือซ้ายตั้งวงลา่ ง เอียงขวา หนั ตวั
ด้านซ้าย
คทู่ ่ี 1, 2, 3, 4 (ดา้ นขวา)
ปฏิบัติท่าราเหมือนกับคู่ท่ี 1, 2, 2, 4 (ด้านซา้ ย) แต่ทาตรงกันขา้ ม
72
จังหวะท่ี 5 - 7
ปฏิบตั ทิ า่ ราเหมือนจังหวะท่ี 3 และ 4 สลบั กนั
หมายเหตุ ในขณะทีป่ ฏิบัติทา่ ราในจงั หวะที่ 3 - 7 ผ้แู สดงจะเคลอื่ นตัวแปรแถว ตามแผนผงั ดังน้ี
แผนผังท่ี 3
จังหวะท่ี 8
ภาพที่ 30 ซุ้มที่ 2 ขพุงผีเทพดา
ทม่ี า : นริ มล หาญทองกลู . 2562
73
คทู่ ี่ 1 (ด้านขวา) เท้าซ้ายจรดปลายเท้าด้านหน้า มือซ้ายจีบมุทรา (แบบสุโขทัย) ระดับอก มือ
ขวาหงายให้ปลายน้วิ ชี้ลงพน้ื งอแขนทอดไปด้านหนา้ ระดับเอว เอียงซา้ ย
คู่ท่ี 1 (ด้านซ้าย) เท้าขวาจรดปลายเทา้ ด้านหนา้ มอื ขวาจีบมทุ รา (แบบสโุ ขทยั ) ระดับอก
มือซ้ายหงายให้ปลายน้ิวชล้ี งพื้น งอแขนทอดไปด้านหน้าระดับเอว เอียง
ขวา
คู่ท่ี 2 (ด้านขวา) กา้ วเทา้ ซ้าย มอื ทั้งสองพนมระดบั หางคว้ิ ขา้ งซา้ ย เอียงซ้าย
คู่ที่ 2 (ดา้ นซา้ ย) กา้ วเท้าขวา มอื ทงั้ สองพนมระดบั หางคว้ิ ขา้ งขวา เอยี งขวา
คทู่ ่ี 3 (ดา้ นขวา) ก้าวเทา้ ซ้าย มอื ทงั้ สองพนมระดบั หางค้ิวข้างซ้าย เอียงซา้ ย
คู่ท่ี 3 (ด้านซา้ ย) กา้ วเท้าซา้ ย มอื ทงั้ สองพนมระดับหางคิว้ ข้างซ้าย เอยี งซา้ ย
คทู่ ี่ 4 (ดา้ นขวา) กา้ วเทา้ ซา้ ย เผน่ ตวั ข้ึน มือท้งั สองพนมระดับเหนือศีรษะ หนา้ ตรง
คู่ท่ี 4 (ด้านซา้ ย) กา้ วเทา้ ขวา เผ่นตัวข้นึ มอื ทง้ั สองพนมระดับเหนอื ศีรษะ หน้าตรง
หมายเหตุ ปฏิบัติทา่ ราในแถวรปู ซุม้ 2 ซมุ้ ตามแผนผงั ดงั น้ี
แผนผงั ท่ี 4
จังหวะท่ี 1 ค่ทู ่ี 1, 2, 3, 4 (ดา้ นซา้ ย และด้านขวา)
สะดุ้งตัวตามจงั หวะฉง่ิ 4 ครง้ั ปฏิบัตทิ ่าราในท่าซุ้มจังหวะที่ 8
74
จังหวะที่ 2 - 7
ภาพที่ 31 ทา่ ภมรเคล้าแปลง
ท่ีมา : นริ มล หาญทองกูล. 2562
ภาพท่ี 32 ทา่ ประลบั วาต
ทีม่ า : นริ มล หาญทองกลู . 2562
คทู่ ่ี 1, 2, 3, 4 (ดา้ นซา้ ย)
(1) ก้าวเท้าขวา มอื ขวาจบี ปรกขา้ ง มือซ้ายต้งั วงข้างจีบขวาระดับหางคิ้วขวา เอยี งขวา
(2) ยืดยุบ มอื ขวาต้ังวงบน มอื ซ้ายจีบหงายต่อ ขอ้ มือขวา เอยี งซ้าย
(3) กา้ วเท้าขวา มอื ขวาจีบควา่ ระดับหางคิ้ว มอื ซา้ ยแบหงายปลายนว้ิ ชีล้ งพ้นื เอยี งซา้ ย
(4) แตะเทา้ ซ้าย วิง่ ซอยตามกันเป็นวงกลม โดย หมุนตัวขวาตามเข็มนาฬิกา มือขวาจีบ
ปรกข้าง มือซ้ายตั้งข้อมือแขนตึงระดับไหล่ เอียงขวา
75
คทู่ ่ี 1, 2, 3, 4 (ด้านขวา)
ปฏิบตั ทิ ่าราเหมือนกบั คู่ที่ 1, 2, 2, 4 (ดา้ นซา้ ย) แตท่ าตรงกนั ข้าม
หมายเหตุ ในขณะท่ปี ฏบิ ตั ิท่าราในจงั หวะที่ 2 - 7 ผ้แู สดงจะเคลือ่ นตวั แปรแถว ตามแผนผงั ดังน้ี
แผนผงั ที่ 5
จังหวะที่ 8
ภาพที่ 33 ยนั ต์ส่ที ิศ
ที่มา : นิรมล หาญทองกูล. 2562
คู่ท่ี 1 และ 4 หันหน้าออกนอกวง นั่งต้ังเข่าขวา มือทั้งสองต้ังข้อมือประสานกันระดับอก
คู่ที่ 2 และ 3 ศีรษะตรง
หันหน้าตามคูท่ ่ี 1 และ 2 ก้าวเท้าขวา โดยหันหลงั ชนกนั ในจุดกลางของ
วงมอื ทั้งสองตง้ั วงกลาง ศรี ษะตรง ตามแผนผัง ดงั นี้
76
แผนผงั ท่ี 6
จังหวะที่ 1 คูท่ ่ี 1, 2, 3, 4 (ดา้ นซา้ ย และดา้ นขวา)
สะดงุ้ ตวั ตามจังหวะฉิ่ง 4 ครงั้ ยงั ปฏิบัตทิ ่ารา ในท่าซ้มุ จังหวะท่ี 8
หมายเหตุ ในครง้ั ท่ี 3 และ 4 คอ่ ยลกุ ข้ึน
จังหวะที่ 2
ภาพท่ี 34 ท่าเชื่อม (ยอดตองตอ้ งลม)
ท่ีมา : นริ มล หาญทองกูล. 2562
คทู่ ่ี 1, 2, 3, 4 (ด้านซ้าย และดา้ นขวา)
(1) ถอนเทา้ ซ้าย จรดเท้าขวา มอื ขวาจบี ปรกข้าง มือซ้ายตั้งวงล่าง เอยี งขวา
(2) กา้ วเทา้ ขวา มอื อยู่ในท่าเดมิ
(3) กา้ วเท้าซา้ ย มือซ้ายจบี คว่าระดบั หางควิ้ มอื ขวาแบหงายปลายนว้ิ ชลี้ งพ้นื เอยี งขวา
(4) วางเทา้ ขวา จรดเทา้ ซ้าย มือซ้ายจีบปรกข้าง มอื ขวาตั้งวงล่าง เอียงซ้าย
77
จังหวะที่ 3 - 8
ภาพที่ 35 ท่าเชอ่ื ม (ยอดตองต้องลม)
ทม่ี า : นริ มล หาญทองกลู . 2562
คู่ท่ี 1, 2, 3, 4 (ด้านซา้ ย และด้านขวา)
(1) ก้าวเท้าซ้าย ก้าวเท้าขวา มอื ขวาจีบควา่ ระดบั หางค้วิ มือซ้ายแบหงายปลายนว้ิ ชีล้ งพ้ืน
เอยี งซ้าย
(2) วางเท้าซ้าย จรดเทา้ ขวา มือขวาจบี ปรกขา้ ง มือซ้ายตัง้ วงล่าง เอียงขวา
(3) ก้าวเท้าขวา ก้าวเท้าซ้าย มือซา้ ยจีบคว่าระดบั หางคว้ิ มือขวาแบหงายปลายน้ิวช้ีลงพื้น
เอียงขวา
(4) วางเท้าขวา จรดเทา้ ซา้ ย มอื ซ้ายจบี ปรกขา้ ง มอื ขวาต้ังวงลา่ ง เอียงซ้าย
78
หมายเหตุ ในขณะทีป่ ฏิบัติทา่ ราจงั หวะท่ี 2 - 8 ผู้แสดงจะหันลาตวั ขา้ งทีใ่ ช้มือจบี ปรกข้างเขา้ หาคู่
แล้วเคลือ่ นตวั แปรแถวในลกั ษณะสวนทางแลกทีก่ นั ไปตามวง ตามแผนผัง ดงั น้ี
แผนผงั ท่ี 7
แผนผังท่ี 8
79
แผนผังที่ 9
ท้ายจังหวะท่ี 8
ภาพที่ 36 ท่าหนุมานผลาญยกั ษ์
ท่มี า : นิรมล หาญทองกูล. 2562
คทู่ ี่ 1, 2, 3, 4 (ดา้ นซ้าย และดา้ นขวา)
ก้าวเทา้ ขวา กา้ วเท้าซา้ ย กระทุ้งเท้าขวา มือขวามว้ นมือออกตงั้ วงบน มือซา้ ยตงั้ วงลา่ ง เอยี ง
ซา้ ย
80
ช่วงที่ 3 เรงิ ลลี านาฏยทาสี (เพลงเรว็ )
จงั หวะที่ 1 - 6
ภาพที่ 37 ท่าลกั คอเพลงเรว็
ท่ีมา : นิรมล หาญทองกูล. 2562
คูท่ ี่ 1, 2, 3, 4 (ด้านซ้าย)
(1) ถอนเทา้ ขวา จรดเทา้ ซ้าย มือขวาตง้ั วงบน มือซ้ายตงั้ วงล่าง ศรี ษะตรง
(2) ยืดยุบเข่าขวา พร้อมกับเดาะข้อเท้าซ้ายจรดพ้ืนตามจังหวะ มือท้ังสองปฏิบัติท่าเดิม กด
ไหลซ่ า้ ย ลักคอขวา
(3) ยดื ยุบเขา่ ขวา พร้อมกับเดาะข้อเท้าซ้ายจรดพ้ืนตามจงั หวะ มอื ขวาต้ังวงบน มือซ้ายพลกิ
ปลายนิว้ ชลี้ งพื้น กดไหลข่ วา ลกั คอซ้าย
(4) ยดื ยบุ เขา่ ขวา พร้อมกบั เดาะข้อเทา้ ซ้ายจรดพน้ื ตามจงั หวะ มือขวาตงั้ วงบน มือซ้ายตง้ั วงลา่ ง
กดไหลซ่ า้ ย ลักคอขวา
(5) ยืดยบุ เขา่ ขวา พร้อมกบั เดาะข้อเท้าซ้ายจรดพนื้ ตามจังหวะ มือขวาต้ังวงบน มอื ซ้ายพลิก
ปลายนิ้วช้ีลงพื้น กดไหลข่ วา ลักคอซ้าย
(6) ยืดยบุ เขา่ ขวา พร้อมกับเดาะข้อเท้าซ้ายจรดพื้นตามจงั หวะ มอื ขวาตั้งวงบน มือซ้ายตั้งวงล่าง
กดไหล่ซ้าย ลกั คอขวา
81
จงั หวะที่ 7 - 8
ภาพที่ 38 ท่าหนุมานผลาญยักษ์
ทีม่ า : นิรมล หาญทองกลู . 2562
ค่ทู ่ี 1, 2, 3, 4 (ด้านซ้าย และด้านขวา)
(7) กา้ วเทา้ ซ้าย มือซา้ ยจบี ปรกข้าง มือขวาต้ังวงลา่ ง เอียงซ้าย
(8) ก้าวเทา้ ขวา กระทงุ้ เทา้ ซา้ ย มอื ซ้ายม้วนจีบออกต้ังวงบน มอื ขวาตัง้ วงล่าง เอยี งขวา
จงั หวะที่ 9 - 12
ภาพที่ 39 ท่าลักคอ
ทมี่ า : นิรมล หาญทองกูล. 2562
คทู่ ี่ 1, 2, 3, 4 (ดา้ นซ้าย และดา้ นขวา)
ปฏบิ ัตทิ ่าราเหมอื นกับ (1) – (6) แต่ทาตรงกนั ข้าม
82
จงั หวะท่ี 13 - 14
ภาพท่ี 40 ทา่ เชอ่ื ม (จบี หงายค่)ู
ท่ีมา : นิรมล หาญทองกูล. 2562
คู่ที่ 1, 2, 3, 4 (ด้านซา้ ย และดา้ นขวา)
(13) กา้ วเท้าขวา หนั ตวั ดา้ นขวา มือทง้ั สองจีบคว่าระดบั เอว เอียงขวา
(14) จรดเทา้ ซ้าย ว่ิงซอยเทา้ มือท้งั สองจบี หงายระดบั เอว อียงซ้าย
จังหวะท่ี 15 – 16
ภาพที่ 41 ท่ายกั ไหลแ่ ขนตงึ
ทมี่ า : นิรมล หาญทองกลู . 2562
83
คทู่ ี่ 1 (ด้านซ้าย และดา้ นขวา)
(15) ถอนเท้าซ้าย คลายจบี ท้ังสองออกหงายฝ่ามือแบหักข้อมือใหป้ ลายนว้ิ ช้ีลงพน้ื งอแขนขา้ ง
ลาตัว ศรี ษะตรง
(16) นงั่ ตง้ั เข่าขวา ตั้งข้อมอื ขึ้นทอดแขนตึงข้างลาตัวระดบั ไหล่ ศีรษะตรง
คู่ท่ี 2, 3, 4 (ด้านซ้าย และด้านขวา)
(15) ถอนเท้าซ้าย คลายจบี ท้ังสองออกหงายฝา่ มือแบหักข้อมือให้ปลายนวิ้ ชล้ี งพ้นื งอแขนข้าง
ลาตวั ศีรษะตรง
(16) ก้าวเทา้ ขวา ตง้ั ขอ้ มือขนึ้ ทอดแขนตงึ ข้างลาตวั ระดบั ไหล่ ศรี ษะตรง
จังหวะที่ 1- 8
คทู่ ี่ 1 (ดา้ นซา้ ย และดา้ นขวา)
(1) นงั่ ต้ังเข่าขวา มือทั้งสองตั้งข้อมอื ทอดแขนตงึ ข้างลาตวั ระดบั ไหล่ ศีรษะตรง ยักไหล่ขวา
(2) นั่งต้ังเขา่ ขวา มือท้ังสองตั้งขอ้ มือทอดแขนตงึ ขา้ งลาตัวระดบั ไหล่ ศีรษะตรง ยกั ไหล่ซ้าย
(3 -4) คอ่ ย ๆลกุ ขน้ึ มือท้ังสองตง้ั ข้อมอื ทอดแขนตึงขา้ งลาตัวระดับไหล่ ศรี ษะตรง ยักไหล่ขวา
และซา้ ย
คู่ที่ 2, 3, 4 (ด้านซ้าย และด้านขวา)
(1) ก้าวเท้าขวา มือทั้งสองตัง้ ข้อมือทอดแขนตึงข้างลาตัวระดบั ไหล่ ศรี ษะตรง ยักไหล่ขวา
(2) กา้ วเท้าขวา มือท้ังสองต้ังข้อมือทอดแขน ตึงขา้ งลาตัวระดบั ไหล่ ศรี ษะตรง ยกั ไหลซ่ ้าย
คู่ที่ 4 (ด้านซ้าย และดา้ นขวา)
(3 - 4) หนั หลังโดยคอ่ ย ๆหมุนตวั ไปทางขวามือ มือท้ังสองตง้ั ข้อมอื ทอดแขนตงึ ข้างลาตัวระดบั
ไหล่ ศรี ษะตรง ยกั ไหล่ขวา และซา้ ย
(3 - 6) ก้าวเทา้ ขวา มือทั้งสองต้ังข้อมอื ทอด แขนตงึ ข้างลาตวั ระดบั ไหล่ ศรี ษะตรง ยักไหลข่ วา
และซ้าย
คทู่ ่ี 1 และ 2 (ดา้ นซา้ ย และด้านขวา)
(7) ถอนเท้าขวา มือขวาแบฝา่ มอื หงายงอแขนระดบั ไหล่ มอื ซ้ายต้ังวงกลาง เอียงขวา
(8) ก้าวเทา้ ซา้ ย มือขวาตง้ั วงบน มอื ซ้ายจีบคว่าแขนตึงระดับไหล่ เอยี งซ้าย
คู่ท่ี 3 และ 4 (ด้านซา้ ย และด้านขวา)
(7) ถอนเท้าซา้ ย มือซ้ายแบฝ่ามอื หงายงอแขนระดับไหล่ มือขวาต้งั วงกลาง เอยี งซา้ ย
(8) ก้าวเท้าขวา มอื ซ้ายตงั้ วงบน มือขวาจบี หงายแขนตึงระดบั ไหล่ เอียงขวา
หมายเหตุ การปฏิบัตทิ า่ ราในจงั หวะที่ 1 - 6 เปน็ ลกั ษณะการปฏบิ ัติท่าต่อเนื่องตามจังหวะฉง่ิ
ตามแผนผงั ดังนี้
84
แผนผังที่ 10
จงั หวะท่ี 1- 16
ภาพท่ี 42 ทา่ จีบโยต้ ัว
ทม่ี า : นิรมล หาญทองกลู . 2562
ค่ทู ่ี 1, 2 (ด้านซา้ ย และด้านขวา)
(1 - 3) ก้าวเทา้ ซ้าย สะดงุ้ ตวั ตามจงั หวะฉง่ิ มือ ขวาต้ังวงบน มือซ้ายจบี ควา่ แขนตึงระดับไหล่
เอยี งขวา
(4) กา้ วเท้าซา้ ย สะดุ้งตวั ตามจงั หวะฉง่ิ มือ ซา้ ยตัง้ วงบน มอื ขวาจบี ควา่ แขนตึงระดบั ไหล่
เอียงซ้าย
(5 - 16) ก้าวเทา้ ซ้าย สะดุ้งตัวตามจงั หวะฉ่งิ พร้อมกบั โย้ตัวเปลยี่ นมอื ตามจังหวะที่ 1 และ 4
สลบั กนั โดยกาหนดเปล่ยี น 4 จังหวะสะดุ้งตวั ต่อ 1 คร้ัง
85
คทู่ ่ี 3, 4 (ดา้ นซ้าย และดา้ นขวา)
(1 - 2) ถอนเท้าซ้าย จรดเท้าขวา มือซา้ ยต้ังวงบน มอื ขวาจบี หงายแขนตงึ ระดบั ไหล่ เอยี งซา้ ย
(3 - 4) ถัดเทา้ ขวา มอื ซา้ ยต้งั วงบน มือขวาม้วนข้อมือจบี ออกตัง้ ขอ้ มือหงายแขนตึงระดับไหล่
เอยี งขวา
(5 - 16) ถัดเท้าขวา มือซ้ายต้ังวงบน มือขวาม้วนข้อมือจีบออกตั้งข้อมือหงายแขนตึงระดับ ไหล่
เอยี งขวา ในจังหวะตอ่ เนื่อง
จงั หวะที่ 1- 8
ภาพท่ี 43 ท่าหมดจงั หวะจบี โย้ตวั
ท่ีมา : นิรมล หาญทองกลู . 2562
ค่ทู ี่ 1, 2 (ดา้ นซา้ ย และดา้ นขวา)
(1 - 6) ก้าวเทา้ ซ้าย สะดุ้งตวั ตามจังหวะฉิ่ง พรอ้ มกบั โย้ตวั เปลยี่ นมอื ตามจังหวะที่ 1 และ 4
สลบั กนั โดยกาหนดเปล่ียน 4 จงั หวะสะดุง้ ตัวต่อ 1 ครัง้
คทู่ ี่ 1, 2, 3, 4 (ดา้ นซา้ ย และดา้ นขวา)
(7 - 8) ก้าวเท้าซ้าย กระท้งุ เท้าขวา มอื ขวาต้ังวงบน มอื ซ้ายจบี คว่าแขนตึงระดบั ไหล่ เอียงซ้าย
86
จงั หวะที่ 9 – 14
ภาพที่ 44 ทา่ เช่อื ม
ท่มี า : นริ มล หาญทองกูล. 2562
คทู่ ่ี 1, 2, 3, 4 (ดา้ นซา้ ย และด้านขวา)
(9 - 14) ยา่ เท้าตามจังหวะฉ่งิ มือขวาต้งั วงบน มือซ้ายจีบควา่ แขนตึงระดับไหล่ เอยี งซา้ ย
(15 - 16) ถอนเท้าขวา หมุนตัวดา้ นขวามอื หันหลงั จรดเทา้ ซา้ ย มือขวาตั้งวงบน มือซ้าย จบี
หงายระดับเอว เอยี งซ้าย
หมายเหตุ ในการปฏิบตั ทิ า่ ราขณะยา่ เทา้ ในจังหวะที่ 9 -14 ผแู้ สดงเคล่อื นตวั แปรแถวตามแผนผงั
ดังน้ี
แผนผังท่ี 11
87
จงั หวะท่ี 1 – 8
ภาพท่ี 45 ท่าสอดสร้อยมาลาแปลง
ทีม่ า : นริ มล หาญทองกลู . 2562
คทู่ ่ี 1, 2, 3, 4 (ดา้ นซา้ ย และด้านขวา)
(1 - 2) กา้ วเท้าซ้าย กา้ วเท้าขวา พรอ้ มกับหมุน ตวั สวนแถวแลกทก่ี ับแถวดา้ นขวา วางเท้าซ้าย
จรดเทา้ ขวา มอื ซ้ายตง้ั วงบน มอื ขวาจีบหงาย ระดบั เอว เอียงขวา
(3 - 4) กา้ วเทา้ ขวา กา้ วเท้าซ้าย พร้อมกบั หมนุ ตัวสวนแถวแลกทก่ี ับแถวดา้ นขวา วางเท้าขวา
จรดเท้าซ้าย มอื ขวาต้ังวงบน มือซ้ายจีบหงายระดับเอว เอยี งซา้ ย
(5 - 8) ปฏบิ ัตทิ า่ ราเหมือนจังหวะที่ 1 - 4
จังหวะท่ี 9 - 16
ภาพที่ 46 ท่าเชอ่ื ม (จบี สอดมอื สูง)
ทีม่ า : นริ มล หาญทองกูล. 2562