เอกสารประกอบการสอน วิชา การผลิตพืชผัก รหัสวิชา 20501-2201 หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ พ.ศ. 2562 ประเภทวิชาเกษตรกรรม สาขาวิชาเกษตรศาสตร์ สาขางานการเกษตร จัดทำโดย นายสุริยา บุญอาจ ตำแหน่ง ครูผู้ช่วย แผนกวิชาพืชศาสตร์ วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีอุทัยธานี สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ
โครงการจัดการเรียนรู้ ชื่อรายวิชา การผลิตพืชผัก รหัสวิชา 20501-2201 น (ชม.) 3 (7) ระดับชั้น ปวช. 1 สาขาวิชาเกษตรศาสตร์ สาขางานการเกษตร จำนวนคาบรวม 126 คาบ จุดประสงค์รายวิชา เพื่อให้ 1. เข้าใจหลักการเบื้องต้นเกี่ยวกับพืชผักและกระบวนการผลิตพืชผัก 2. สามารถวางแผน เตรียมการและดำเนินการผลิตพืชผักอย่างมีระบบตามหลักการและกระบวนการการ ปฏิบัติทางการเกษตรที่ดี (GAP) 3. มีเจตคติที่ดีต่ออาชีพเกษตรและมีกิจนิสัยในการทำงานด้วยความรับผิดชอบ รอบคอบ ขยันและอดทน สมรรถนะรายวิชา 1. แสดงความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับพืชผักตามหลักการและกระบวนการการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดี(GAP) 2. วางแผนการผลิตพืชผักตามความต้องการของตลาดและสภาพพื้นที่ 3. เตรียมพื้นที่ เครื่องมืออุปกรณ์และพันธุ์พืชผักตามหลักการและกระบวนการการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดี (GAP) 4. ปลูก ดูแลรักษาพืชผักตามหลักการและกระบวนการการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดี (GAP) 5. จัดการผลิตผลพืชผักตามหลักการกระบวนการเก็บเกี่ยวและการจัดการหลังการเก็บเกี่ยวตามการปฏิบัติ ทางการเกษตรที่ดี (GAP) 6. เพิ่มมูลค่าของพืชผักตามหลักการและกระบวนการ 7. จัดจำหน่ายและทำบัญชีรายรับ-รายจ่าย คำอธิบายรายวิชา ศึกษาและปฏิบัติเกี่ยวกับความสำคัญ และการตลาดพืชผัก มาตรฐานการผลิตพืชผักตามการปฏิบัติทาง การเกษตรที่ดี (GAP) การจำแนกประเภทของพืชผัก ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการผลิตพืชผัก การวางแผนการผลิต การ ปลูก การดูแลรักษาการเก็บเกี่ยวและการจัดการหลังการเก็บเกี่ยวการเพิ่มมูลค่าของผลิตผล การจัดจำหน่ายและทำ บัญชีรายรับ-รายจ่าย
หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 ความสำคัญและการตลาดพืชผัก สาระสำคัญ พืชผักเป็นแหล่งอาหารที่สำคัญของมนุษย์มากและให้สิ่งต่างๆ ที่จำเป็นต่อร่างกาย มีคุณสมบัติช่วยให้ ระบบการย่อยอาหารของร่างกายเป็นแหล่งของเยื่อใย เป็นแหล่งของวิตามิน เกลือแร่และโปรตีนเป็นแหล่งของ วิตามินและมีคุณค่าทางอาหารสูงและมีราคาถูกกว่าเนื้อสัตว์ผักเป็นพืชอาหารที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจของ โลก เนื่องจกความต้องการของตลาดมีแนวโน้มสูงขึ้นทุกปี เนื่องจากการเพิ่มจำนวนของประชากรที่เพิ่มขึ้น ใน อัตราที่สูง สมรรถนะประจำหน่วย 1. แสดงความรู้ ความหมาย ความสำคัญของพืชผัก 2. แสดงความรู้เกี่ยวสถานการณ์ตลาดพืชผักในปัจจุบันได้ จุดประสงค์การเรียนรู้ประจำหน่วย 1. เข้าใจความหมายความสำคัญของพืชผัก 2. บอกความสำคัญของพืชผักด้านคุณค่าทางอาหารได้ 3. บอกความสำคัญของพืชผักด้านเศรษฐกิจได้ เนื้อหาสาระ 1. ความหมายของพืชผัก 2. ความสำคัญของพืชผัก 3. การตลาดพืชผัก
1. ความหมายของพืชผัก พืชผัก หมายถึง พืชที่มนุษย์ใช้บริโภคเป็นอาหารประจำวัน ที่คุณค่าทางอาหารไต้ครบถ้วน ให้ แป้ง (คาร์โบไฮเตรท) และไขมัน ซึ่งให้พลังงานและความอบอุ่นแก่ร่างกาย ให้โปรตีนที่ช่วยเสริมสร้าง การเจริญเติบโตของร่างกาย ให้วิตามินและเกลือแร่ที่ช่วยทำให้ร่างกายแข็งแรง มีภูมิต้านทานต่อโรคภัย ไข้เจ็บ สามารถดำรงชีวิตได้ตามปกติ 2. ความสำคัญของพืชผัก ผักเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญอย่างหนึ่ง ที่ เราใช้บริโภคเป็นอาหารประจำวัน ถ้าจะรวมมูลค่า ของผักที่ ใช้ภายในครอบครัว รวมทั้ง ผักจากสวนครัว ผักที่เก็บตามริมรั้ว ริมคูคลอง ฯลฯ ผักที่ซื้อ ขายในท้องตลาด ผัก ที่ส่งออกไปขายต่างประเทศ และส่งเข้ามา ในรูปแบบต่างๆ ทั้งรูปแบบของผักสด ผักกระป๋อง ผักตากแห้ง เมล็ดพันธุ์ผักและอื่นๆ แล้ว ปีหนึ่งๆ ประเทศเราใช้ผัก คิดเป็นเงินนับพันฯล้านบาท แต่ไม่สามารถจะแยกตัว เลขออกมาให้ เห็นได้ชัด ยกตัวอย่างง่ายๆ ถ้าเราบริโภคผัก คิดเฉลี่ยวันละ ๑ บาท ต่อคน ประชากรที่บริโภค ผัก ๔๐ ล้านคน ปีหนึ่งๆ เราจะใช้เป็นเงินประมาณ ๑๔,๖๐๐ ล้านบาท อาหารที่เป็นประโยชน์ต่อมนุษย์ถูกจัด ออก เป็น ๓ ประเภท คือ ๑. อาหารประเภทที่ให้การเจริญเติบโต และ ช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกาย ได้แก่ อาหาร จำพวกโปรตีน (protein) ซึ่งมีมากในจำพวกไข่ นม เนื้อสัตว์ต่างๆ เช่น หมู เป็ด ไก่ ปลา กุ้ง โดยทั่วไปผักเป็น แหล่งที่ให้โปรตีนน้อยมาก ยกเว้น ถั่วเหลือง และถั่วอื่นๆ ๒. อาหารประเภทที่ให้พลังงานและความ อบอุ่นต่อร่างกาย คือ อาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรต (carbohydrate) ได้แก่ อาหารแป้ง และน้ำตาล อาหารแป้งมีมากในข้าวเจ้า ข้าวเหนียว ข้าวโพด ข้าวสาลี มัน เทศ มันฝรั่ง ตลอดจนอาหารจำพวก ไขมัน และน้ำมัน เช่น เนย น้ำมันหมู น้ำมันพืช ต่างๆ เช่น มะพร้าว ปาล์ม ถั่ว ๓. อาหารประเภทเสริมสร้างให้ร่างกายเติบ โตแข็งแรง ป้องกันโรคภัยไข้เจ็บมารบกวน คือ อาหาร จำพวกวิตามิน (vitamin) และเกลือแร่ (mineral) อาหารประเภทนี้ส่วนมากได้จากพืช มนุษย์เราจะมีสุขภาพดี จะต้องรับประทาน อาหารทั้งสามประเภทดังกล่าวในปริมาณที่เพียงพอ และ ได้ส่วนสัดกัน ประเทศที่พัฒนาแล้ว คนของเขามีอาหารดีๆ บริโภค คนของเขาโดยส่วนรวม จึงมีพัฒนาการใน ด้านสมองและร่างกาย ดีกว่าคนของเรา ซึ่งเป็นประเทศที่ยากจน และยังมีคนที่เป็นโรค ขาดแคลนอาหาร (malnutrition) อยู่อีกมาก ผักเป็นพืชที่มีคุณค่าทางอาหารสูง โดยเฉพาะในแง่ของวิตามิน และเกลือแร่ ที่ จำเป็นต่อโภชนาการ (nutrition) ของมนุษย์ การเลือกบริโภคผัก ที่มีคุณค่าทางอาหารสูงเป็นประจำ ร่างกาย จะได้รับวิตามิน และเกลือแร่พอเพียง ตัวอย่างของผัก ที่ควรเลือกใช้เป็นอาหาร คือ ผักที่มีเนื้อสีเหลือง เช่น ฟักทอง แครอท มันเทศ มันฝรั่ง เพราะมีแคโรตีน (carotene) สูง เมื่อเราบริโภคผักเหล่านี้ สารแคโรตีนจะถูก เปลี่ยนในร่างกายของเราให้กลายเป็นวิตามินเอ ซึ่งช่วยในการเจริญเติบโตของร่างกาย ให้ความแข็งแรงต่อเยื่อ บุต่างๆ ช่วยให้ใช้สายตาในที่มืดได้ดีขึ้น ผู้ที่ขาดวิตามินเอ จะมีร่างกายแคระแกร็น ฟันผุ เป็นหวัดง่าย ตา อักเสบง่าย ถั่วชนิดต่างๆ มีวิตามิน บี ๑ (thiamine) สูง วิตามินนี้มีบทบาทในการย่อยอาหารแป้ง และน้ำตาล ให้ เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย ผู้ที่ขาดวิตามิน บี ๑ มักจะเป็นโรคเบื่ออาหาร นอนไม่หลับ หงุดหงิด อ่อนเพลีย และ อาจเป็นโรคเกี่ยวกับระบบประสาท ได้
ผักใบสีเขียวต่างๆ มีวิตามินบี 2 (riboflavin) ที่มีบทบาทในการเผาผลาญการย่อย หรือการใช้อาหาร จำพวกคาร์โบไฮเดรต ผู้ที่ขาดวิตามิน บี 2 มักจะเป็นโรคปากนกกระจอก ลิ้นอักเสบ เหงือกอักเสบ โรคผิวหนัง แห้ง ผิวลอก ขนร่วง ถั่วลิสง มีวิตามิน พีพี (vitamin PP หรือ niacin) สูง ป้องกันการเป็นโรคผิวหนังกระ ระบบประสาท พิการ มะเขือเทศ มะเขือเปรี้ยว มะนาว ผักใบเขียว มีวิตามินซี (ascorbic acid) สูง ผู้ที่ขาดวิตามินนี้จะเป็น โรคโลหิตจาง ซีดเซียว แคระแกร็น กระดูกไม่แข็งแรง เป็นโรคลักปิดลักเปิด หรือเลือดออกตามไรฟัน และเป็น หวัดง่าย ผักกาด และผักกินใบต่างๆ มีแร่ธาตุสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งแคลเซียม ธาตุนี้ช่วยในการสร้างกระดูก ทำ ให้โครงกระดูกและฟัน แข็งแรง ผู้ที่มีสุขภาพดีมักจะมีฟันแข็งแรง นอกจากนี้ผักเหล่านี้ยังมีธาตุเหล็กสูง ธาตุนี้ จำเป็นต่อการสร้างเม็ดโลหิตแดง ผู้ที่ขาดธาตุนี้จะเป็นโรคโลหิตจาง ถั่วเหลือง มีโปรตีน หรือกรดอะมิโนที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของร่างกายสูง การใช้ถั่วเหลืองในรูป ต่างๆ เช่น ถั่วงอก เต้าเจี้ยว เต้าหู้ น้ำนม ถั่วเหลือง ถั่วแผ่น เนื้อเกษตร (เนื้อเทียมที่ทำจากถั่ว) สามารถช่วย เพิ่มอาหารโปรตีน ในท้องที่ที่ขาดอาหารโปรตีน จากเนื้อสัตว์ ปลา นม และไข่ได้ ถั่วอีกหลายชนิดยังอุดมไป ด้วยอาหารประเภทไขมัน ละน้ำมัน (fat & oil) ด้วย การใช้น้ำมันถั่ว หรือน้ำมันพืช ยังช่วยลดการเป็นโรค เกี่ยวกับเส้นโลหิตอุดตันเกิดจากสารคอเลสเทอรอล (Cholesterol) ผักหลายชนิด เช่น มันเทศ มันฝรั่ง ข้าวโพดหวาน ข้าวโพดฝักอ่อน (vegetable corn or baby corn) ยังสมบูรณ์ด้วยอาหารประเภทแป้ง และน้ำตาลอีกด้วย การที่จะให้ผักยังคงคุณค่าทางอาหารสูงนั้น ขึ้นอยู่กับวิธีเลือกใช้ส่วนต่างๆ ของผักตลอดจนวิธี การ รักษาและปรุงอาหาร เช่น ใบกะหล่ำปลี ใบนอกที่มีสีเขียวมีคุณค่าทางอาหารสูงกว่าใบในที่มี สีขาว ผักกาดที่ ถูกปล่อยให้เหี่ยวแห้งมีคุณค่าทางอาหาร ต่ำกว่าผักกาดที่เก็บรักษาให้สดเสมอ ผักที่ได้ รับการต้มจนสุกเปื่อย คุณค่าทางอาหารอาจจะถูก ทำลายหมดด้วยความร้อน ดังนั้น ผักสดจึงเป็นผัก ที่มีคุณค่าทางอาหารสูงกว่าผัก รูปอื่นๆ เช่น ผักกระ ป๋อง ผักตากแห้ง นอกจากผักจะสามารถจัดสรรอาหาร ๓ ประ เภท คือ อาหารประเภทโปรตีนที่ให้ความเจริญเติบโต และซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ ของร่างกาย อาหารประเภทแป้งและน้ำตาล และไขมัน น้ำมันที่ให้ พลังงาน และ ความอบอุ่นต่อร่างกาย อาหารประเภทวิตามิน และเกลือแร่ ที่เสริมสร้างให้ร่างกายแข็งแรง ปราศจากโรคภัย ไข้เจ็บแล้ว ผักยังมีปริมาณ น้ำสูง มีเซลลูโลส (cellulose) หรือกากอาหาร (fiber) ซึ่งสารนี้ช่วยเสริมกิจกรรม การย่อยอาหารและขับ ถ่ายของร่างกายให้เป็นปกติ ยิ่งไปกว่านั้นผักบาง ชนิด เช่น พริก ความเผ็ดของพริกยัง ใช้เป็นเครื่อง ชูรส และเครื่องกระตุ้นให้เรารับประทานอาหาร ได้เอร็ดอร่อยขึ้น ผักหลายชนิดใช้สกัดทำสีย้อม อาหาร ให้น่ารับประทานขึ้น และไม่เป็นพิษเป็นภัย ต่อร่างกาย เช่น ดอกอัญชันใช้สกัดสีม่วง ใบเตย ใช้สกัดสี เขียวใบไม้ เป็นต้น โดยที่ประเทศเรายากจน ผักจึงเป็นพืชประ เภทหนึ่ง ที่สามารถจะเสริมโภชนาการให้แก่คนยาก จนใน ท้องถิ่นทุรกันดารได้ โดยเฉพาะในเรื่องของโภชนาการเด็ก ซึ่งควรแก่ความสนใจของรัฐเป็น อย่างยิ่ง เพราะถ้า เราไม่เริ่มสร้างสมองและความแข็งแรง ให้แก่คนของประเทศเราตั้งแต่เด็กแล้ว การที่จะมาสร้างเมื่อเป็นผู้ใหญ่ ก็จะไม่ก่อให้เกิดพัฒนาการในด้านสมอง ร่างกาย และจิตใจเท่าใด ตามที่กล่าวมาแล้ว ผักมิใช่แต่จะใช้เป็น อาหารของมนุษย์เท่านั้น แต่ผักยังใช้เป็นอาหารสัตว์ ได้ด้วย ดังนั้น เราอาจเปลี่ยนผักให้เป็นเนื้อสัตว์ หรือโปรตีนได้ ยิ่งไปกว่านั้นในระยะที่น้ำมันขาดแคลน แทนที่เราจะทิ้ง เศษผักกองใหญ่ๆ ให้เน่าเหม็นโดยไร้ประโยชน์ เราอาจจะใช้เศษผักที่กำลังเน่าเปื่อยไป ทำเป็นแก๊สชีวภาพ
(biogas) ใช้เป็นพลังงานทดแทนน้ำมันได้รูปหนึ่ง เศษผักที่เหลือจากการสลายตัวแล้ว ยังสามารถนำไปใช้เป็น ปุ๋ยอินทรีย์ หรือปุ๋ยธรรมชาติ บำรุงดินให้อุดมสมบูรณ์ได้ด้วย 3. การตลาดพืชผัก การปลูกผักในปัจจุบันมิใช่เป็นการปลูกผักเพื่อยังชีพ แต่เป็นการเกษตรเพื่อการค้าและอุตสาหกรรม ปัญหาการปลูกผักในประเทศไทยไม่ใช่เป็นการขาดแคลนเทคโนโลยี แต่กลับเป็นปัญหาเรื่องของการเพิ่ม ผลผลิตที่มีการลงทุนที่ต่ำเกษตรกรผู้ปลูกผักจะต้องมีความรู้ด้านการปลูกผัก การขาย ความต้องการของตลาด และควรมีการวางแผนการผลิตผักโดยมีข้อมูลด้านการตลาดอย่างเพียงพอ ควรใช้ระบบ "การตลาดนำการ ผลิต"
แบบฝึกหัดท้ายหน่วยที่ 1 คำชี้แจง ให้นักเรียนตอบคำถามต่อไปนี้ 1. ความสำคัญทางด้านคุณค่าทางบริโภค ของพืชผักประกอบด้วยอะไรบ้าง อธิบายเป็นข้อๆ ............................................................................................................................. ................................... ................................................................................................ .............................................................................. ............................................................................................................................. ................................................. ................................................................................................................................ .............................................. .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................. ................................................. .............................................................................................................................................................................. 2. จงบอกความสำคัญด้านคุณค่าทางอาหารของพืชผักมาพอเข้าใจ ............................................................................................................................. ................................... ................................................................................................ .............................................................................. ............................................................................................................................. ................................................. ................................................................................................................................ .............................................. .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................................................................. 3. ถ้านักเรียนต้องการวิตามินเอจากผัก นักเรียนจะเลือกรับประทานผักชนิดใด ................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ................................................. ................................................................................................................................. ............................................. .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................. ................................................. .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. ................................................. ..
หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 การจำแนกประเภทพืชผัก สาระสำคัญ พืชผักสามารถแบ่งการจำแนกตามลักษณะต่างๆได้หลายประเภท เช่น การจำแนกตามหลัก พฤกษศาสตร์, จำแนกตามสภาพอากาศที่เหมาะสมสำหรับการเจริญเติบโต, การจำแนกตามส่วนต่างๆที่ใช้ บริโภค, การจำแนกตามวิธีปลูก และจำแนกตามฤดูกาล สมรรถนะประจำหน่วย แสดงความรู้เกี่ยวกับการจำแนกประเภทพืชผักตามหลักเกณฑ์ต่างๆ จุดประสงค์การเรียนรู้ประจำหน่วย 1. เข้าใจเกณฑ์การจำแนกประเภทของพืชผัก 2. เข้าใจชนิดของพืชผักที่อยู่ในตระกูลเดียวกัน 3. เข้าใจข้อแตกต่างของผักแต่ละชนิดที่จำแนกตามวิธีปลูก 4. บอกชนิดผักที่ทนต่อภูมิอากาศต่างๆ 5. บอกชนิดของผักที่จำแนกตามฤดูกาล 6. อธิบายข้อแตกต่างของผักทนหนาวกับผักไม่ทนหนาว เนื้อหาสาระ 1. จำแนกตามความแตกต่างด้านพฤกษศาสตร์ 2. จำแนกตามสภาพอากาศที่เหมาะสมสำหรับการเจริญเติบโต 3. จำแนกตามส่วนต่างๆที่นำมาใช้บริโภค 4. จำแนกตามวิธีปลูก 5. จำแนกตามฤดูกาล
พืชผัก ตรงกับคำว่า Vegetable ในภาษาอังกฤษ และ Olericulture ในภาษาลาติน มีความหมาย กว้างมาก ไม่สามารถใช้เกณฑ์อะไรมาตัดสินได้แน่นอน ว่าพืชชนิดใดบ้างที่จัดเป็นพืชผักแม้แต่พืชชนิดเดียวกัน แต่ละประเทศยังจัดกลุ่ม ของพืชต่างกันออกไป เช่น มะเขือเทศ ในประเทศไทย ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย และ สหรัฐอเมริกาจัดเป็นพืชผัก แต่กลุ่มประเทศทางยุโรปจัดเป็นผลไม่โดยปลูกเพื่อใช้รับ ประทานเป็นผลไม้ชนิด หนึ่ง ส่วนสตรอเบอรี่ในประเทศญี่ปุ่นจัดอยู่ในกลุ่มพืชผัก โดยนำมารับประทานเป็นสลัดเนื่องจากมีรสเปรี้ยว แต่ประเทศไทยเรานิยมปลูกเพื่อ รับประทานเป็นผลไม้ สำหรับประเทศไทยคำว่า "พืชผัก" ที่นำมารับประทานนั้นมีหลายชนิดทั้งที่ มีชื่อเรียกว่า"ผัก" นำหน้า เช่น ผักกาดขาว ผักกาดหอม ผักบุ้ง ผักชี ผักกาดเขียวปลี เป็นต้น และที่ไม่มีคำว่า"ผัก" นำหน้า เช่น มันฝรั่ง มะเขือเทศ แตงกวา ฟักทอง ถั่วลันเตา ถั่วฝักยาว เป็นต้น รวมทั้งพืชอื่นๆที่ไม่ได้จัดเป็นผัก สามารถนำมาใช้ บริโภคเป็นพืชผัก เช่น - พืชไร่ ได้แก่ ใบปอกระเจาสามารถนำมาผัดเป็นอาหาร เป็นต้น - ไม้ผล ได้แก่ มะละกอดิบ มะม่วงดิบ สามารถนำมาประกอบอาหารได้ - วัชพืช ได้แก่ ใบตำลึง ผักบุ้งไทย ผักกระเฉด สามารถนำมาประกอบอาหารได้เช่นกัน การจำแนกพืชผัก (Vegetable Classification): สามารถจำแนกออกตามความแตกต่างลักษณะ ดังนี้ 1. การจำแนกตามความแตกต่างด้านพฤกษศาสตร์ (Botanical classification) เป็นการจำแนกพืชผัก ออกตามลักษณะ ทางพฤกษศาสตร์ เช่น ใช้ลักษณะของราก ใบ ดอก ผล และเมล็ดในการแบ่งพืชผักว่า อยู่ใน ตระกูล (Family) เดียวกันหรือไม่ การแบ่งพืชผักทางพฤกษศาสตร์จะแบ่งออกเป็นลำดับดังนี้ Plant kingdom อาณาจักรพืช Sub kingdom อาณาจักรย่อย Division จำพวก Class ชั้น Family วงศ์ หรือ ตระกูล Genus สกุล Species ชนิด Variety พันธุ์ ระบบการจำแนกพืชผักทางพฤกษศาสตร์นี้ สามารถใช้แสดงความสัมพันธ์(Relationship) และมี ประโยชน์ในด้านการวางแผนปรับปรุงพันธ์ ซึ่ง Bailey (1925) ได้จำแนกออกเป็น 4 กลุ่ม (Subcommunity) คือ 1. Thallophyta ได้แก่ พวก Thallophytes ซึ่งเป็นพืชชั้นต่ำไม่มีราก ลำต้น และใบ เช่น พวก แบคทีเรีย สาหร่าย(algea) รา(fungi) และไลเคน(Lichen) 2. Bryophyta เช่น พวก liverworts และ mosses 3. Pteridophyta เช่น พวก fern and their allies 4. Spermatophya เช่น พวกพืชชั้นสูง หรือพืชที่มีเมล็ดซึ่งพืชผักก็จัดอยู่ในกลุ่มนี้ด้วย โดยที่ Spermatophyta นี้ สามารถแบ่งออกเป็น 2 Divisions คือ 4.1.) Gymnospermae พวกนี้จะมีไข่ (Ovule) อยู่นอกรังไข่ (Ovary) 4.2.) Angispermae พวกนี้จะไข่ (Ovule) อยู่ในรังไข่ (Ovary) ซึ่งพืชผักก็อยู่ใน Division นี้ และ สามารถแบ่งออกเป็น 2 classes ได้แก่
1. Class Monocotyledoneae เป็นพืชใบเลี้ยงเดี่ยว เช่น หอม กระเทียม ข้าวโพด หน่อไม้ฝรั่ง ขิง 2. Class Dicotyledoneae เป็นพืชใบเลี้ยงคู่ เช่น ผักกาด กะหล่ำาต่างๆ แตงต่างๆ นอกจากนี้ยัง แบ่งออกเป็น 2 series ได้แก่ (1.)Choripetalae เป็นพืชผักที่มีกลีบเลี้ยงหรือกลีบดอกจะแยกออกจากกันเป็นหลายกลีบอย่างเห็น ได้ชัด (2.) Gramopetalae เป็นพืชผักที่มีกลีบเลี้ยงหรือกลีบดอกรวมกันเป็นกลีบเดียว 2. จำแนกตามสภาพอากาศที่เหมาะสมสำหรับการเจริญเติบโต ( Classification basedon hardiness) เป็นการจำแนกกลุ่มพืชโดยพิจารณาความสามารถในการทนทานต่อสภาพอากาศที่เหมาะแก่การเจริญเติบโต แบ่งได้เป็น 3 กลุ่ม ดังนี้ 2.1.) พืชที่สามารถทนต่ออากาศหนาวเย็น (hardly vegetable) เป็นพืชผักที่ ปลูกได้ดีในอากาศเย็น แม้ว่าจะเย็นจนถึง จุดเยือกแข็งก็ไม่สียหาย แต่ถ้านำมาปลูกในเขต อากาศร้อนจะไม่ได้ผลดีเท่าที่ควร เรียกว่า พวก Hardy เช่น มันฝรั่ง ถั่วปากอ้า ถั่วลันเตา และกะหล่ำปลี เป็นต้น 2.2.) พืชที่ทนต่ออากาศต่ออากาศหนาวเย็นได้บ้าง (semi-hardly vegetable) เป็นพืชผักที่ไม่ สมา รถทนอากาศหนาวเย็นจัดได้ คือ ทนต่อ ความร้อนและความเย็นได้ พอประมาณเจริญได้ดีในอุณหภูมิ 15-18 องศา เซลเซียส เรียกว่า พวก Half-hardy เช่น ผักกาดหอม คืนช่ายบีท แครอท เป็นต้น 2.3. พืชผักที่ไม่ทนต่อความหนาวเย็น (tender vergetable) เป็นพืชผักที่ไม่ สามารถทนต่ออากาศ หนาวเย็นได้เลย สามารถเจริญได้ดี ในอุณหภูมิ 25-30 องศา เซลเซียส เรียกว่า พวกTender เช่น ถั่วฝักยาว ถั่วแขก พริก มะเขือต่างๆ แตงต่างๆ ผักบุ้ง กระเจี๊ยบ และผักชี เป็นต้น 3. จำแนกตามส่วนต่างๆของลำดับที่นำมาใช้เป็นอาหาร (Classification based on parts used) เป็น การจำแนกพืชผักออกตามส่วนต่างๆของพืชผักที่นำมาเป็นอาหาร 3.1.) ส่วนที่อยู่ใต้ดินที่สามารถนำมาเป็นอาหาร ได้แก่ ก. รากใต้ดิน (Root) เช่น ผักกาดหัว บีท แครอท เทอร์นิพ มันเทศ และมันแกว เป็นต้น ข. ลำต้นใต้ดิน (Tuber) เช่น มันฝรั่ง เป็นต้น ค. หัวใต้ดิน (Corm) เช่น เผือก เป็นต้น ง. หัวใต้ดิน (Bulb) เช่น หอมหัวใหญ่ หอมแดง และกระเทียมหัว เป็นต้น จ. ลำต้นใต้ดิน (Rhizome) เช่น ขิง และขมิ้น เป็นต้น 3.2.) ส่วนของลำต้นและใบที่นำมาเป็นอาหาร เช่น คะน้า กะหล่ำาปลี กะหล่ำปม ผักกาดต่างๆ หน่อไม้ฝรั่ง และผักสลัดต่างๆ เป็นต้น 3.3.) ส่วนของดอกไม้และช่อดอกที่นำมาเป็นอาหาร เช่น กุยช่าย กะหล่ำดอก กะหล่ำดอกอิตาเลี่ยน เป็นต้น 3.4.) ส่วนของผลที่นำมาเป็นอาหาร เช่น กระเจี๊ยบ ถั่วต่างๆ มะเขือ พริก มะระ น้ำเต้า แตงโม และ แตงกวา เป็นต้น 3.5. ส่วนของเมล็ดที่นำมาเป็นอาหาร เช่น ถั่วลันเตา เป็นต้น 3.6.) เห็ดต่าง1 ซึ่งถือเป็นพืชชั้นต่ำที่ลำต้นไม่มีข้อและปล่อง และมีใบที่สังเคราะห์แสงไม่ได้
4. จำแนกตามความแตกต่างด้านการเพาะปลูกและบำรุงรักษา (Classification based on essential method of culture) เป็นการจำแนกพืชผักออกตามความแตกต่างด้านการเพาะปลูกและบำรุงรักษาซึ่ง แบ่งได้เป็น 13 กลุ่ม ดังนี้ 1. พืชผักยืนต้น (Pernial crops) ได้แก่ หน่อไม้ฝรั่ง 2. พืชผักกินใบ ได้แก่ คะน้า ป่วยเล็ง ผักบุ้ง 3. พืชผักสลัด ได้แก่ ผักสลัดต่างๆ (ผักกาดหอม) คืนฉ่าย 4. พืชผักกะหล่ำ-ผักกาด ได้แก่ กะหล่ำาต่างๆ ผักกาดต่างๆ 5. พืชผักกินรากหรือหัว ได้แก่ ผักกาดหัว แครอท บีท 6. พืชผักตระกูลหอม-กระเทียม ได้แก่ หอม กระเทียม หอมหัวใหญ่ 7. พืชผักตระกูลมันฝรั่ง ได้แก่ มันฝรั่ง 8. ลำต้นใต้ดิน ได้แก่ มันเทศ 9. พืชผักตระกูลถั่ว ได้แก่ ถั่วลันเตา ถั่วฝักยาว ถั่วแขก 10. พืชผักตระกูลมะเขือเทศ-พริก ได้แก่ มะเขือต่างๆ มะเขือเทศ และพริก 11. พืชผักตระกูลแตง ได้แก่ แตงต่างๆ ฟัก แฟง บวบ มะระ และน้ำเต้า 12. ข้าวโพด ได้แก่ ข้าวโพดหวาน และข้าวโพดฝักอ่อน 13. พืชผักเครื่องเทศ,เบ็ดเตล็ด ได้แก่ ขิง ข่า กระชาย ขมิ้น ตะไคร้ โหระพา แมงลัก สะระแหน่ มัน แกว และเผือก 5. จำแนกตามฤดูกาล (Classification based on season) เป็นการจำแนกพี่ชผักตามช่วง อุณหภูมิที่เหมาะสมในการเจริญเติบโตของพืชผัก แต่ละชนิด ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ คือ ก. พืชผักฤดูร้อน (Warm season vegetable) ซึ่งสามารถแบ่งได้เป็น 5 กลุ่ม ดังนี้ 1.) กลุ่มพืชผักที่ชอบอุณหภูมิเฉลี่ยประจำเดือนในช่วง 15.2 - 21 องศาเซลเซียส หรืออุณหภูมิเฉลี่ย ต่ำสุดประจำเดือนไม่ต่ำกว่า 10 องศาเซลเซียส และอุณหภูมิเฉลี่ยสูงสุดประจำเดือน ไม่เกิน 26.5 องศา เซลเซียส ได้แก่ ถั่วแขก ถั่วไลม่า เป็นต้น 2.) กลุ่มพืชผักที่ชอบอุณหภูมิเฉลี่ยประจำเดือนในช่วง 15.5 - 24 องศาเซลเซียส หรืออุณหภูมิเฉลี่ย ต่ำสุดประจำเดือนไม่ต่ำกว่า 10 องศาเซลเซียสและ อุณหภูมิเฉลี่ยสูงสุดประจำเดือนไม่เกิน 35 องศาเซลเซียส ได้แก่ ข้าวโพดหวาน ถั่วฝักยาว มะเขือเปราะ เป็นต้น 3.) กลุ่มพืชผักที่ชอบอุณหภูมิเฉลี่ยประจำเดือนในช่วง 18.3 - 24 องศาเซลเซียส หรืออุณหภูมิเฉลี่ย ต่ำสุดประจำเดือนไม่ต่ำกว่า 18.3 องศาเซลเซียสและอุณหภูมิเฉลี่ยสูงสุดประจำเดือนไม่เกิน 32 องศา เซลเซียส ได้แก่ แตงกวา แคนตาลูป เป็นต้น 4.) กลุ่มพืชผักที่ชอบอุณหภูมิเฉลี่ยประจำเดือนในช่วง 21 - 24 องศาเซลเซียสหรืออุณหภูมิเฉลี่ย ต่ำสุดประจำเดือนไม่ต่ำกว่า 18.3 องศาเซลเซียส และอุณหภูมิเฉลี่ย สูงสุดประจำเดือนไม่เกิน 26.5 องศา เซลเซียส ได้แก่ พริกหวาน พริกยักษ์ มะเขือเทศ เป็นต้น 5.) กลุ่มพืชผักที่ชอบอุณหภูมิเฉลี่ยประจำเดือนในช่วง 21 - 31 องศาเซลเซียสหรืออุณหภูมิเฉลี่ย ต่ำสุดประจำเดือนไม่ต่ำกว่า 18.3 องศาเซลเซียส และอุณหภูมิเฉลี่ย สูงสุดประจำเดือนไม่เกิน 35 องศา เซลเซียส ได้แก่ พริก มะเขือ กระเจี๊ยบ มันเทศ แตงไทย เป็นต้น ข. พืชผักฤดูหนาว (Cool season vegetable) ซึ่งสามารถแบ่งได้เป็น 5 กลุ่ม ดังนี้
1.) กลุ่มพืชผักที่ชอบอุณหภูมิเฉลี่ยประจำเดือนในช่วง 13 - 24 องศาเซลเซียสหรือ อุณหภูมิเฉลี่ย ต่ำสุดประจำเดือนไม่ต่ำกว่า 7 องศาเซลเซียส และอุณหภูมิเฉลี่ยสูงสุดประจำ เดือนไม่เกิน 30 องศาเซลเซียส ได้แก่ กระเทียม กระเทียม หอมแดง หอมหัวใหญ่ ชิโครี่ เป็นต้น 2.) กลุ่มพืชผักที่ชอบอุณหภูมิเฉลี่ยประจำเดือนในช่วง 15.5 - 18.3 องศาเซลเซียส หรืออุณหภูมิเฉลี่ย ต่ำสุดประจำเดือนไม่ต่ำกว่า 4.4 องศาเซลเซียส และอุณหภูมิเฉลี่ย สูงสุด ประจำเดือนไม่เกิน 24 องศา เซลเซียส ได้แก่ บีท กะหล่ำปลี กะหล่ำดาว กะหล่ำปม คะน้า แรดิช ปวยเล็ง เทอร์นิพ เป็นต้น 3.) กลุ่มพืชผักที่ชอบอุณหภูมิเฉลี่ยประจำเดือนในช่วง 15.51 - 18.3 องศาเซลเซียส หรืออุณหภูมิ เฉลี่ยต่ำสุดประจำเดือนไม่ต่ำกว่า 7 องศาเซลเซียส และอุณหภูมิเฉลี่ยสูงสุด ประจำเดือนไม่เกิน 21-24 องศา เซลเซียส ได้แก่ อาร์ติโช๊ค แครอท กะหล่ำดอก คืนช่าย ผักกาดขาวปลี ผักกาดหอม ถั่วลันเตา มันฝรั่ง เป็นต้น โดยทั่วไปพืชผักฤดูหนาวจะแตกต่างจากพืชผักฤดูร้อน ดังต่อไปนี้ 1. สามารถทนต่ออากาศหนาวเย็นต่ำกว่า 0 องศาเซลเซียส และน้ำค้างได้ 2. เมล็ดสามารถงอกในดินที่มีอุณหภูมิต่ำๆได้ 3. ระบบของรากหยั่งตื้นกว่าพืชฤดูร้อน 4. ตอบสนองธาตุไนโตรเจนได้ดีกว่า เช่น เมื่อให้ไนโตรเจนพืชผักฤดูหนาวจะให้ ผลผลิตสูงขึ้น 5. ต้องการน้ำมากกว่าพืชผักฤดูร้อน 6. ผลิตผลที่เก็บเกี่ยวมาแล้ว จะต้องเก็บไว้รอจำหน่ายในที่ที่มีอุณหภูมิใกล้ๆ 0 องศาเซลเซียส ยกเว้น มันฝรั่งซึ่งต้องเก็บไว้ในอุณหภูมิ 3.3 - 10 องศาเซลเซียส แต่พืชผักฤดูร้อนชนิดเดียวที่ต้องเก็บผลผลิตไว้ที่ 0 องศาเซลเซียส คือ ข้าวโพด 7. ผลผลิตที่นำมาเก็บไว้ห้องที่มีอุณหภูมิ 0-10 องศาเซลเซียส จะไม่ทำให้เกิด การเน่าเสีย ช้ำหรือ เสียหายเนื่องจากถูกอากาศเย็นจัดเกินไป (Chilling injury) 8. พืชผัก 2 ฤดูบางชนิด มักจะออกดอกในช่วงที่อุณหภูมิต่ำ เช่น กะหล่ำปลี ถ้าได้รับอากาศเย็นจัด ติดต่อกันนานในระหว่างกำลังเจริญเติบโตจะออกดอกก่อนถึง อายุที่จะออกดอกจริงๆ
แบบทดสอบก่อนการเรียนรู้หน่วยที่2 วิชา การผลิตพืชผัก รหัสวิชา 20501-2201 ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (พืชศาสตร์) ชื่อหน่วย การจำแนกประเภทของพืชผัก ชื่อ............................................สกุล........................................... ...เลขที่............ชั้น…………………………… คำซีแจง 1. จำนวนข้อสอบ 10ข้อข้อละ 1 คะแนน 2. เกณฑ์ผ่าน 50% 1. ผักในข้อใดที่เป็นพืชผักใบเลี้ยงเดี่ยว ก. ผักซีลาว ข. คะน้า ค. แตงกวา ง. ต้นหอม 2. การจำแนกพืชผักตามด้านวิทยาศาสตร์ตรงกับข้อใด ก. การจำแนกตามสันธานวิทยา ข. การจำแนกตามความเหมือนกัน ค. การจำแนกตามส่วนที่นำไปใช้ ง. ถูกทุกข้อ 3. ผักในข้อใดที่เป็นผักเมืองหนาวหรือสามารถทนต่ออากาศหนาวเย็นได้ ก. ถั่วลันเตา กะหล่ำปลี มันฝรั่ง ข. พริก กล่ำปม มะเขือ ค. มะเขือ ผักชี พริก ง กล่ำดาว กระเจี๊ยบ ถั่วฝักยาว 4. ผักในข้อใดที่เป็นผักเมืองร้อนหรือกลุ่มผักที่ไม่สามารถทนต่ออากาศหนาวเย็ ก. ถั่วลันเตา กะหล่ำปลี มันฝรั่ง ข. พริก กล่ำปม มะเขือ ค. มะเขือ ผักชี พริก ง. กล่ำดาว กระเจี๊ยบ ถั่วฝักยาว 5. ผักกลุ่มใดที่อยู่ในตระกูลเดียวกัน ก. สลัด ผักชี บร็อคโคลี ข. กวางตุ้ง กล่ำปลี ผักกาด ค. พริก มะเขือเทศ มะเขือเปราะ ง. ผักบุ้ง ตันหอม ผักชี 6. ผักชนิดใดที่อยู่ในตระกูล คอนโวลวูลาเซียอี้ ก. แครอท ข. ผักชี ค. ต้นหอม ง. ผักบุ้ง 7. ผักชนิดใดที่สามารถบริโภคได้ทุกส่วนของลำตัน ก. คะน้า ข. ต้นหอม ค. ผักชี ง. ตะไคร้ 8. ผักกาดหัวอยู่ในตระกูลเดียวกันกับผักชนิดใด ก. แครอท ข. ผักคะน้า ค. ผักชี ง. ฟักทอง 9 ผักชนิดใดที่สามารถปลูกได้ดีตลอดทั้งปี ก. คะน้า ข. มะเขือเปราะ ค. สลัด ง. ผักชี 10. ข้อใดกล่าวผิด ก. ผักบุ้งมีอายุการเก็บเกี่ยว 20-25 วัน ข. ผักคะน้ามีอายุการเก็บเกี่ยว 45-50 วัน ค. การปลูกกล่ำปลีนิยมปลูกแบบหว่านเมล็ด ง. การปลูกผักชีนิยมปลูกเป็นแบบหว่านเมล็ด
หน่วยการเรียนรู้ที่ 3 ปัจจัยที่มีผลต่อการเจริญเติบโตของพืชผัก สาระสำคัญ การเจริญเติบโตของพืชผักไม่ว่าชนิดใดก็ตามขึ้นอยู่กับปัจจัยสำคัญพื้นฐาน ได้แก่ อุณหภูมิน้ำ ดิน แสงแดด ราตุอาหาร ซึ่งปัจจัยสำคัญที่ทำให้พืชผักเจริญเติบโต และให้ผลผลิตดีที่สุดนั้นจะต้องอยู่ในระดับ ที่เหมาะสมไม่มากหรือน้อยเกินไปปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการเจริญเติบโตของพืชผักมีดิน (Soil) น้ำ (Water) อุณหภูมิ (Temperature) แสงสว่าง (Light) อากาศ (Air) ธาตุอาหาร (Mineral or Nutrient) สมรรถนะประจำหน่วย 1. แสดงความรู้เกี่ยวกับปัจจัยที่มีผลต่อการเจริญเติบโตของพืชผัก 2. ทำการทดลองและสรุปเกี่ยวกับปัจจัยที่มีผลต่อการเจริญเติบโตของพืชผัก จุดประสงค์การเรียนรู้ประจำหน่วย 1 อธิบายปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการเจริญเติบโตของพืชผักได้ 2. ทดลองการปลูกพืชผักในดินประเภทต่างๆได้ 3. บอกธาตุอาหารหลักที่พืชผักต้องการในการเจริญเติบโตได้
เนื้อหาสาระ ปัจจัยที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของพืช ปัจจัยควบคุมการเจริญเติบโตของพืชแบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ 1. ปัจจัยที่มาจากภายในพืช ได้แก่ พันธุกรรม (genetic) ของพืช 2. ปัจจัยที่มาจากภายนอกพืช ได้แก่ สภาพแวดล้อม (environment) ปัจจัยทั้งสองประเภทนี้มีส่วนร่วมกันและสนับสนุนซึ่งกันและกันในการกำหนดการเจริญเติบ โตของ พืช กล่าวคือ พันธุกรรมเป็นสิ่งที่ควบคุมให้พืชแต่ละชนิดแต่ละพันธุ์มีลักษณะแตกต่างกันโดยพันธุกรรม เป็นตัวกำหนดขอบเขตสูงสุดหรือศักย์ (potential) ที่จะเป็นไปได้ ส่วนสภาพแวดล้อมต่าง ๆ จะเป็นตัว ควบคุมความสามารถในการแสดงออกของพันธุกรรมในรูปของการเจริญเติบโตและการให้ผลผลิต เช่น ใน กรณีที่พืชมีพันธุกรรมที่ให้ผลผลิตสูง หากนำมาปลูกในบริเวณที่มีสภาพแวดล้อมไม่เหมาะสม พืชจะไม่ สามารถให้ผลผลิตสูงสุดเต็มขีดความสามารถในการให้ผลผลิตของพืชได้ เพราะสภาพแวดล้อมควบคุม ไม่ให้พันธุกรรมในพืชแสดงออกได้เต็มที่ แต่ถ้าปลูกในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมพืชจะให้ผลผลิตสูงสุดเต็ม ขีดความสามารถของพืช อย่างไรก็ตามพืชจะไม่สามารถให้ผลผลิตสูงเกินกว่าขีดความสามารถสูงสุดของ พืชได้ เนื่องจากพันธุกรรมได้แสดงออกเต็มขีดความสามารถหรือเต็มศักย์แล้ว อิทธิพลของแต่ละปัจจัยที่มี ต่อการเจริญเติบโตของพืชกล่าวโดยย่อคือ 1. ปัจจัยที่มาจากภายในพืช พืชพันธุ์ต่าง ๆ ประกอบด้วยจีน (gene) ซึ่งเป็นหน่วยทางพันธุกรรมขนาด เล็กอยู่บนโครโมโซม (chromosome) ในเซลล์ของสิ่งมีชีวิต เป็นหน่วยที่สืบทอดจากพ่อแม่ไปสู่ลูก ทำ หน้าที่ควบคุมลักษณะต่าง ๆ ของสิ่งมีชีวิตทั้งลักษณะที่สามารถมองเห็นได้ เช่น รูปร่าง ทรงต้น ความสูง ลักษณะใบ ลักษณะดอก รูปทรงผลเป็นต้น และลักษณะที่ไม่สามารถมองเห็นได้ เช่น คุณภาพของผลผลิต ( น้ำตาล แป้ง ไขมัน โปรตีน ) การใช้น้ำ การใช้อาหารแร่ธาตุ เป็นต้น นักปรับปรุงพันธุ์พืชจึงได้นำ หลักการนี้มาใช้ในการผสมพันธุ์พืชให้มีลักษณะดีตามความต้องการ การเลือกใช้พันธุ์ที่ดีประกอบกับการ จัดการให้สภาพแวดล้อมอื่น ๆ เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของพืชย่อมทำให้ผลผลิตสูงขึ้น การเลือกใช้ พันธุ์ที่ดีนับเป็นทางลัดในการเพาะปลูกเพราะทำให้มีโอกาสที่จะได้ผลผลิตสูงขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ปัจจัยที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของพืช 2. ปัจจัยที่มาจากภายนอกพืช คือสภาพแวดล้อมซึ่งประกอบด้วย 1. แสง (radiant energy) แสงเป็นแหล่งพลังงานสำหรับพืชในขบวนการสังเคราะห์แสง แสงที่พืชได้รับส่วนใหญ่เป็นแสงซึ่งมาจากดวงอาทิตย์ซึ่งเป็นแสงสีขาว ประกอบด้วยแสงสีต่าง ๆ ได้แก่ ม่วง น้ำเงิน เขียว เหลือง ส้ม แดง ซึ่งเราเรียกว่า สเปกตรัม (spectrum) ชนิดของแสงสีต่าง ๆ อาจ มีผลต่อประสิทธิภาพในการสังเคราะห์แสงของพืชแตกต่างกัน เช่น แสงสีแดง น้ำเงิน เขียวและเหลืองเป็น แสงที่มีประสิทธิภาพสูงหรือเหมาะสมสำหรับกระบวนการสังเคราะห์แสง แสงสีม่วงจะมีประสิทธิภาพใน กระบวนการสังเคราะห์แสงต่ำมาก อย่างไรก็ตามเมื่อพิจารณาในสภาวะที่พืชเจริญเติบโตตามธรรมชาติ ชนิดของแสงสีจะไม่ค่อยมีผลต่อการเจริญเติบโตของพืชมากนักเนื่องจาก แสงอาทิตย์ไม่มีโอกาสมากนักที่ จะแตกแยกเป็นแถบสีต่าง ๆ ก่อนที่จะตกกระทบใบพืช ยกเว้นกรณีของสาหร่ายซึ่งแสงต้องผ่านน้ำก่อนทำ ให้แสงสีขาวแตกแยกออกเป็นแสงสีได้หรือในกรณีที่เกิดรุ้งกินน้ำแต่ก็เกิดเป็นปริมาณน้อยและมีช่วงเวลา สั้นมาก พืชแต่ละชนิดมีความต้องการความเข้มของแสงแตกต่างกันไป พืชที่ชอบร่มเงา (shade plant) ถ้า ได้รับความเข้มของแสงมากอาจเป็นโทษ ทำให้ใบเหลือง แคระแกรน พืชที่ชอบแสง (sun plant) เช่น พืช
ไร่ พืชสวนทั่วไปจะต้องการความเข้มของแสงมาก อย่างไรก็ตามแสงไม่น่าจะเป็นปัจจัยที่ควบคุมผลผลิต ของพืชในประเทศไทยเนื่องจากประเทศไทยอยู่ในเขตมรสุมและใกล้เส้นศูนย์สูตร มุมแสงตกกระทบพื้นที่ เกือบตั้งตรง ทำให้มีความเข้มแสงสูง แม้ในวันที่ฝนตกหรือมีเมฆหมอกปกคลุมก็มีความเข้มแสงเพียงพอ สำหรับพืช ส่วนในวันที่ฟ้าโปร่งจะมีความเข้มแสงมากเกินพอ 2. น้ำ (water) มีความสำคัญต่อพืชเนื่องจากเป็นวัตถุดิบในกระบวนการสังเคราะห์แสงและ เกี่ยวข้องกับปฏิกิริยาต่าง ๆ ในพืชทำให้ปฏิกิริยาต่าง ๆ ดำเนินไปได้ น้ำยังเป็นองค์ประกอบของ สารประกอบในพืช ในพืชสดจะมีน้ำอยู่ประมาณร้อยละ 75-92 เพราะน้ำจำเป็นสำหรับกระบวนการต่าง ๆ ในพืช เช่น กระบวนการแบ่งเซลล์และการขยายตัวของเซลล์ (cell division and cell elongation) นอกจากนี้น้ำยังทำให้เซลล์พืชเต่งตัว ช่วยในการเคลื่อนย้ายสารต่าง ๆ ภายในพืช และยังเป็นตัวการสำคัญ ในการรักษาอุณหภูมิให้คงที่ภายในพืช ปัจจัยที่มาจากภายนอกพืช 3. อากาศ (soil air and atmosphere) 3.1) อากาศในบรรยากาศ ส่วนใหญ่ประกอบด้วยก๊าซไนโตรเจน ( ร้อยละ 78) ก๊าซออกซิเจน ( ร้อยละ 20.96) ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ( ร้อยละ 0.03) ไอน้ำและก๊าซเฉื่อย ก๊าซไนโตรเจนในอากาศพืช ชั้นสูงไม่สามารถนำไปใช้ได้โดยตรงยกเว้นพืชตระกูลถั่วซึ่งมีจุลินทรีย์ที่ปมของรากเป็นตัวใช้ไนโตรเจน ก๊าซ ออกซิเจนในอากาศจำเป็นต่อการหายใจของพืช ส่วนก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศ พืชใช้เป็นวัตถุดิบ ร่วมกับน้ำในกระบวนการสังเคราะห์แสง อากาศในบรรยากาศจะมีปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ค่อนข้างคง ตัวและมากเพียงพอต่อความต้องการของพืช ดังนั้นปริมาณของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศจึงไม่ใช่ ปัจจัยที่ควบคุมผลผลิตของพืชไม่ว่าจะปลูกบริเวณใดในโลก 3.2) อากาศในดิน ดินที่เหมาะต่อการเจริญเติบโตของพืชควรเป็นดินที่ประกอบด้วยส่วนที่เป็น ของแข็งร้อยละ 50 โดยปริมาตร และส่วนที่ไม่ใช่ของแข็งร้อยละ 50 โดยปริมาตร ซึ่งประกอบด้วยน้ำร้อย ละ 25 และอากาศร้อยละ 25 โดยปริมาตรอากาศในดินส่วนใหญ่ประกอบด้วยก๊าซชนิดต่าง ๆ เช่นเดียวกับอากาศในบรรยากาศคือ ก๊าซไนโตรเจน ( ร้อยละ 78 โดยปริมาตร ) ออกซิเจน ( ร้อยละ 1-20 โดยปริมาตร ) และคาร์บอนไดออกไซด์ ( ร้อยละ 1-15 โดยปริมาตร ) แต่เมื่อเปรียบเทียบปริมาณของ ก๊าซแต่ละชนิดระหว่างอากาศในดินกับอากาศในบรรยากาศแล้วพบว่า อากาศในดินจะมีก๊าซ คาร์บอนไดออกไซด์และไอน้ำมากกว่า แต่จะมีก๊าซออกซิเจนต่ำกว่า ส่วนก๊าซไนโตรเจนมีปริมาณเท่ากัน องค์ประกอบของอากาศในดินจะเปลี่ยนแปลงได้มากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับปริมาตรของช่องว่างของอากาศ ในดิน กระบวนการทางชีวภาพในดิน และอัตราการเคลื่อนที่เข้าออกหรือการถ่ายเทระหว่างอากาศในดิน และอากาศเหนือดิน สัดส่วนดีที่มีคุณภาพดี
การถ่ายเทอากาศในดิน หมายถึงการถ่ายเทก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากอากาศในดินออกไปสู่บรรยากาศ และทดแทนก๊าซออกซิเจนของอากาศในดินด้วยออกซิเจนจากอากาศในบรรยากาศ อากาศในดินมีผลต่อ การเจริญเติบโตของพืช ก๊าซไนโตรเจนในดินเป็นแหล่งไนโตรเจนของพืชชั้นต่ำบางชนิดและพืชตระกูลถั่ว ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในดินไม่เป็นประโยชน์ต่อการสังเคราะห์แสง แต่มีผลต่อการเจริญเติบโตของพืช เช่น ช่วยละลายธาตุอาหารพืชในดินออกมาเป็นประโยชน์ต่อพืช ก๊าซออกซิเจนในดินเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับสิ่งมีชีวิตในดินรวมทั้งรากพืชซึ่งต้องหายใจเอาออกซิเจนจาก อากาศในดิน ยกเว้นข้าวนาลุ่มและนาน้ำลึกซึ่งมีกลไก (mechanism) ที่สามารถดึงเอาออกซิเจนจาก บรรยากาศลงไปให้รากพืชหายใจได้ ก๊าซออกซิเจนในดินมีผลต่อการเจริญเติบโตของพืช คือช่วยในการ เจริญเติบโตและการแพร่กระจายของรากทำให้พืชมีพื้นที่ผิวในการดูดน้ำและอาหารมากขึ้น นอกจากนี้พืช ยังใช้ออกซิเจนในกระบวนการหายใจเพื่อจะได้พลังงานมาใช้ในการดูดกินธาตุอาหารจากดินหากดินมี ออกซิเจนน้อยพืชจะมีพลังงานในการดูดน้ำและธาตุอาหารน้อยนอกจากนี้ก๊าซออกซิเจนยังช่วยป้องกัน ไม่ให้เกิดสารพิษบางอย่างขึ้นกับพืชเช่น ก๊าซมีเทนซึ่งเกิดจากการเน่าเปื่อยผุพังของอินทรียวัตถุในดินใน สภาพที่มีออกซิเจนไม่เพียงพอ ส่วน Fe+2และ Mn+2 ที่เกิดขึ้นในสภาพที่ขาดออกซิเจนและสามารถ ละลายได้ง่ายอาจเป็นพิษต่อพืชได้หากพืชดูดเข้าไปเป็นปริมาณมาก 4. อุณหภูมิ (temperature) จะอธิบายแยกรายละเอียดเป็น 2 กรณีคือ อุณหภูมิของอากาศมีผลต่อการ หายใจของพืช พืชจะหายใจช้าเมื่ออุณหภูมิต่ำและหายใจเร็วเมื่ออุณหภูมิสูง ในกรณีที่อุณหภูมิสูงเกินไป พืชจะหายใจเร็วซึ่งจะเป็นผลให้พืชมีการใช้อาหารมากกว่าการสร้างอาหารจากกระบวนการสังเคราะห์แสง ทำให้พืชเจริญเติบโตช้าหรืออาจตายได้โดยปกติอุณหภูมิที่เหมาะสมที่ทำให้สิ่งมีชีวิตเจริญเติบโตได้ดีที่สุด คือ 15-40 °C ส่วนอุณหภูมิของดินมีความสำคัญต่อการเจริญเติบโตของพืชดังนี้ ก. เกี่ยวข้องกับการสะสมคาร์โบไฮเดรต การสะสมคาร์โบไฮเดรตในต้น ใบและรากพืชจะลดลง เมื่ออุณหภูมิสูงขึ้น เนื่องจากพืชจะหายใจเร็วทำให้มีการใช้คาร์โบไฮเดรตมากจึงมีคาร์โบไฮเดรตเหลืออยู่ น้อย ข. เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนย้ายอาหารภายในต้นพืช การเคลื่อนย้ายน้ำตาลจากใบไปยังรากจะเกิด ได้เร็วที่อุณหภูมิ 20-30 °C พืชต่างชนิดกันจะมีระดับอุณหภูมิที่เหมาะสมในการเคลื่อนย้ายอาหารแตกต่าง กัน ค. มีอิทธิพลต่อการดูดน้ำและการดูดกินธาตุอาหารพืช เนื่องจากอุณหภูมิมีผลต่อการหายใจซึ่งจะ ได้พลังงานมาใช้ในการดูดน้ำและธาตุอาหาร อุณหภูมิจะมีอิทธิพลต่อการดูดน้ำและธาตุอาหารพืชมากใน ดินที่มีความอุดมสมบูรณ์ต่ำ แต่จะมีอิทธิพลต่อการดูดน้ำและธาตุอาหารพืชน้อยในดินที่มีความอุดม สมบูรณ์สูง ในประเทศร้อนอุณหภูมิของดินจะมีปัญหาในแง่ที่ดินจะร้อนเกินไป และในแง่ที่อุณหภูมิของดินมี การเปลี่ยนแปลงมากเกินไประหว่างช่วงเวลากลางวันและกลางคืน ความแตกต่างของอุณหภูมิดินระหว่าง ช่วงเวลากลางวันและกลางคืนจะทำให้รากพืชเจริญไม่เต็มที่ ซึ่งมีผลให้การเจริญของพืชลดลง วิธีการ ควบคุมไม่ให้อุณหภูมิของดินมีการเปลี่ยนแปลงมากเกินไปในช่วงเวลากลางวันและกลางคืนทำได้ 2 วิธีคือ ก. ปลูกพืชคลุมดิน (cover crop) พืชคลุมดินจะช่วยบังแสงแดดไม่ให้ส่องกระทบพื้นดินโดยตรง ในเวลากลางวัน ส่วนในเวลากลางคืนช่วยให้การถ่ายเทความร้อนระหว่างดินและอากาศช้าลง ทำให้ อุณหภูมิของดินเปลี่ยนแปลงน้อย ข. ใช้วัสดุคลุมดิน (mulching) การใช้วัสดุคลุมดินจะช่วยให้อุณหภูมิของผิวดินและดินล่าง เปลี่ยนแปลงน้อยเมื่อเปรียบเทียบกับการไม่ใช้วัสดุคลุมดิน
5. สิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ที่อยู่ร่วมกับพืช (biotic factor) หมายถึงสิ่งมีชีวิตทั้งหลายที่อยู่ในบริเวณเดียวกับพืช เช่น เชื้อโรคที่ทำลายพืช แมลงที่กินใบ ต้น ดูดน้ำเลี้ยงและเป็นพาหะของโรค วัชพืชที่แย่งน้ำ อาหาร อากาศจากพืชปลูก และเป็นแหล่งสะสมโรคแมลง 6. แร่ธาตุอาหาร หมายถึง ธาตุอาหารที่จำเป็นสำหรับการเติบโตของพืช ซึ่งสามารถถูกจัดได้จากเกณฑ์คือ 1 ถ้าเกิดพืชขาดสารอาหารนี้แล้ว ทำให้พืชไม่สามารถเติบโตตามวงจรชีวิตได้ตามปกติ 2 สารนั้นเป็นส่วนประกอบที่สำคัญของพืชหรือส่วนประกอบของสารตัวกลางในกระบวนการ สร้างและสลายของสารนั้นๆ ธาตุอาหารที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของพืชมี 17 ชนิด โดย 3 ชนิด พืชได้รับมาจากน้ำ และอากาศ ประกอบด้วยคาร์บอน (C) พืชได้จากคาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศ ไฮโดรเจน (H) และ ออกซิเจน (O) พืช ได้จากน้ำ ส่วนที่เหลืออีก 14 ชนิด เป็นแร่ธาตุที่อยู่ในดิน แบ่งตามความต้องการของพืชได้ดังนี้ 1) ธาตุอาหารหลัก เป็นธาตุที่พืชต้องการในปริมาณมาก และดินมักจะขาด หรือมีไม่เพียงพอต่อ ความต้องการของพืช ประกอบด้วย ไนโตรเจน (N, เอ็น) ฟอสฟอรัส (P, พี) โพแทสเซียม (K, เค) ในการ ปลูกพืชถ้าดินขาด เราต้องเติมธาตุอาหารในรูปของปุ๋ย ซึ่งประกอบด้วยธาตุอาหาร 3 ตัวนี้เป็นหลัก 2) ธาตุอาหารรอง เป็นธาตุที่พืชใช้ในปริมาณน้อยกว่าธาตุอาหารหลัก ประกอบด้วย แคลเซ๊ยม (Ca) แมกนีเซียม (Mg) กำมะถัน (S) ดินส่วนใหญ่ยังไม่ขาด 3) จุลธาตุ เป็นธาตุอาหารที่พืชต้องการในปริมาณน้อยมาก เมื่อเปรียบเทียบกับธาตุอาหารหลัก และธาตุอาหารรอง แต่พืชจะขาดไม่ได้เช่นกัน ประกอบด้วย เหล็ก (Fe) แมงกานีส (Mn) สังกะสี (Zn) ทองแดง (Cu) คลอรีน (Cl) โบรอน โมลิบดินัม (Mo) และนิเกิล (Ni)
แบบฝึกหัดท้ายหน่วยเรียนที่ 3 1. ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการเจริญเติบโตของพืชผักมีอะไรบ้าง จงอธิบาย ............................................................................................................................. .......................................... ...................................................................................................................................................... ................. ................................................................................................................. ...................................................... ............................................................................................................................. .......................................... ............................................................................................................................................................... ........ ........................................................................................................................... ............................................ ............................................................................................................................. .......................................... ....................................................................................................................................................................... 2. นักเรียนคิดว่าแสงมีความจำเป็นหรือไม่ต่อการเจริญเติบโตของพืช เพราะเหตุใด ............................................................................................................................. .......................................... ....................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. .......................................... ....................................................................................................................................... ................................ .................................................................................................. ..................................................................... ............................................................................................................................. .......................................... ................................................................................................................................................ ....................... ............................................................................................................ ........................................................... 3. ธาตุอาหารหลักที่พืชผักต้องการมากมีธาตุอะไรบ้าง ............................................................................................................................. .......................................... ............................................................................................................................. .......................................... ....................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. .......................................... ............................................................................................................................. .......................................... ....................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. .......................................... ............................................................................................................................. ..........................................
บทปฏิบัติการที่ 1 เรื่อง ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการเจริญเติบโตของพืชผัก (ดิน) วิชา การผลิตพืชผัก (20501-2201) ชั้น ปวช. 1 พืชศาสตร์ วัตถุประสงค์ 1. เพื่อศึกษาถึงชนิดของดินที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของมะเขือ 2. เพื่อสังเกตอาการที่มะเขือตอบสนองต่อดินที่ปลูก 3. สามารถปรับปรุงดินให้เหมาะสมกับพืชผักได้ วัสดุอุปกรณ์ 1. กล้าผัก (กล้ามะเขือ) 2. กระถางพลาสติก หรือ ถุงดำ 3. ดินร่วน ดินเหนียว ดินทราย 4. พลั่วมือ 5. ปุ๋ยคอก 6. บัวรดน้ำ วิธีทดลอง 1. แบ่งนักเรียนออกเป็นกลุ่ม ๆ ละ 3-4 คน 2. นำดินแต่ละชนิดที่ได้นำมาลงกระถางหรือถุงพลาสติกของแต่ละกลุ่ม 3. นำปุ๋ยคอกที่นำมาผสมกับดินที่จะปลูกให้เข้ากัน 4. ย้ายกล้าผักลงกระถางหรือถุงพลาสติกที่ได้เตรียมดินไว้ 5. รดน้ำแล้วย้ายกระถางไปไว้ในที่เหมาะสม 6.หลังจากย้ายกล้าลงกระถางแล้ว1อาทิตย์สังเกตผลที่เกิดขึ้น ทุกอาทิตย์แล้วเก็บข้อมูล รวบรวมสรุปส่งเป็นใบงานของกลุ่ม (บันทึกเป็นตาราง) คำถาม 1. มะเขือที่ปลูกมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรกับดินที่ใช้ที่ปลูก 2. ดินประเภทไหนที่มะเขือสามารถเจริญเติบโตได้ดี 3. ถ้าเกิดนักเรียนปลูกมะเขือที่บ้านแต่ลักษณะของดินไม่เหมาะสมกับการเจริญเติบโตนักเรียนจะมีวิธีการ อย่างไรที่จะแก้ปัญหา 4. พืชที่ปลูกในดินที่กำหนดมีการเจริญเติบโตดีกว่าดินประเภทอื่นหรือไม่ อย่างไร
บทปฏิบัติการที่ 1 เรื่อง ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการเจริญเติบโตของพืชผัก (แสง) วิชา การผลิตพืชผัก (20501-2201) ชั้น ปวช. 1 พืชศาสตร์ วัตถุประสงค์ 1. เพื่อศึกษาถึงปัจจัยแสงในการเจริญเติบโตของผักบุ้ง 2. เพื่อสังเกตอาการที่ผักบุ้งตอบสนองต่อแสง 3. เพื่อให้ทราบว่าผักบุ้งเป็นผักที่ต้องการแสงในการเจริญเติบโตหรือไม่ วัสดุอุปกรณ์ 1. เมล็ดพันธุ์ผัก (ผักบุ้ง) 2. กระถางพลาสติก หรือ ถุงตำ 3. ดินปลูก 4. พลั่วมือ 5. ปุ๋ยคอก 6. บัวรดน้ำ วิธีทดลอง 1. แบ่งนักเรียนออกเป็นกลุ่มๆ ละ 3-4 คน 2. นำดินแต่ละชนิดที่ได้นำมาลงกระถางหรือ ถุงพลาสติกของแต่ละกลุ่ม 3. นำปุ๋ยคอกที่นำมาผสมกับดินที่จะปลูกให้เข้ากัน 4. หยอดเมล็ดผักบุ้งลงกระถางหรือถุงพลาสติกที่ได้เตรียมดินไว้ 5. รดน้ำให้ชุ่มแล้วย้ายกระถางไปไว้ในที่ที่มีแสงแดดส่องถึงหรือกลางแจ้ง 1 กระถาง ส่วนอีกหนึ่งกระถาง นำไปไว้ในที่มืดไม่ให้ได้รับแสงแดดเลย 6. หลังจากปลูกลงกระถางแล้วหมั่นรดน้ำและสังเกตอาการของผักบุ้งทุก 2-3 วันเก็บผักบุ้งไว้จนมีอายุ 15 วัน แล้วบันทึกผลส่งครูประจำวิชา (เป็นกลุ่ม) คำถาม 1. ผักบุ้งที่ปลูกระหว่างกลางแจ้งกับในที่มืดแตกต่างกันอย่างไร 2. ผักบุ้งที่ปลูกในที่มืดกับในที่แดดกระถางไหนมีความสูงของลำตันมากกว่า เป็นอย่างนั้นเพราะเหตุใด 3. ถ้านักเรียนปลูกผักชนิดนี้ที่บนนักเรียนจะเลือกปลูกแบบใด เพราะเหตุใดนักเรียนจึงเลือก
แบบประเมิน เลขที่ แบบสังเกตพฤติกรรม แบบตรวจ งาน รวม สรุปผล ตั้งใจเรียน สนใจศึกษาใบความรู้ ให้ความร่วมมือในกิจกรรมกลุ่ม ร่วมแสดงความคิดเห็น ถาม-ตอบ ตั้งใจทำใบงาน ส่งงานตามเวลา ความขยัน รับผิดชอบ ระเบียบ วินัย ใบกิจกรรม แบบทดสอบ ผ่าน ไม่ ผ่าน (3) (3) (3) (3) (3) (5) (5) 25 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 เกณฑ์การประเมิน คะแนนเต็ม 25 คะแนน นักเรียนที่ได้คะแนนรวมตั้งแต่ 15 คะแนน ขึ้นไป ถือว่า ผ่านเกณฑ์ 60 % ลงชื่อ............................................................. (..........................................................) ผู้ประเมิน วันที่........เดือน...........................พ.ศ............
เกณฑ์การให้คะแนนแบบสังเกตพฤติกรรม ประเด็นการประเมิน เกณฑ์การให้คะแนน 3 2 1 1. สนใจและตั้งใจ ศึกษา บทเรียน มีความสนใจ ตั้งใจเรียน อย่างดีตลอดเวลาที่ เรียน มีความสนใจ ตั้งใจเรียน ในระดับดี ขาดสมาธิใน การเรียนบ้างในบาง เวลา ไม่สนใจ ไม่ค่อยตั้งใจ เรียนไม่ใส่ใจและไม่มี สมาธิในการเรียน หรือ มีน้อยมาก 2. ทำแบบฝึกหัดด้วย ความซื่อสัตย์ ตั้งใจทำงาน พยายาม ทำใบงานที่มอบหมาย ให้อย่างดี ตั้งใจทำงาน พยายาม ทำใบงานที่มอบหมาย ให้บางส่วน ไม่ตั้งใจทำงาน ไม่ พยายามทำใบงานที่ มอบหมายให้ 3. ให้ความร่วมมือใน กิจกรรมกลุ่ม ให้ความร่วมมือในการ ทำกิจกรรมกลุ่มกับ เพื่อนสมาชิกในกลุ่ม อย่างดี ปฏิบัติตาม หน้าที่ ที่ได้รับ มอบหมายจากกลุ่มดี ให้ความร่วมมือในการ ทำกิจกรรมกลุ่มกับ เพื่อนสมาชิกในกลุ่ม บางส่วนร่วมปฏิบัติงาน ในกลุ่มเป็นส่วนใหญ่ ไม่ให้ความร่วมมือใน การทำกิจกรรมกลุ่มกับ เพื่อนสมาชิกในกลุ่ม ไม่ พยายามปฏิบัติตาม หน้าที่ ที่ได้รับ มอบหมายจากกลุ่ม 4. ร่วมแสดงความ คิดเห็น ร่วมแสดงความคิดเห็น และยอมรับฟังความ คิดเห็นผู้อื่นกล้าตั้ง คำถามที่สงสัยและตอบ คำถามที่ตอบได้ เหมาะสม ร่วมแสดงความคิดเห็น และยอมรับฟังความ คิดเห็นผู้อื่น กล้าตั้ง คำถามที่สงสัย และ ตอบคำถามที่ตอบได้ บางส่วน ไม่ร่วมแสดงความ คิดเห็นหรือยอมรับฟัง ความคิดเห็นผู้อื่น ไม่ กล้าตั้งคำถามที่สงสัย 5. ความขยันรับผิดชอบ ระเบียบวินัย ขยันทำงาน มีความ รับผิดชอบ ทำงานอย่าง มีระเบียบวินัยทั้ง ส่วนตัวและกลุ่ม ขยันทำงาน มีความ รับผิดชอบ ทำงานอย่าง มีระเบียบวินัย ไม่ขยันทำงาน มีความ รับผิดชอบ ทำงานอย่าง มีระเบียบวินัยทั้ง ส่วนตัวและกลุ่ม
หน่วยการเรียนรู้ที่ 4 มาตรฐานการผลิตพืชผักตามการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดี(GAP) สาระสำคัญ มาตรฐานการผลิตพืชตามการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดี(GAP) : Good Agricultural Practice หมายถึง ระบบการผลิตที่ถูกต้องในฟาร์ม โดยพิจารณาตั้งแต่พื้นที่การเพาะปลูก ตลอดถึงขั้นตอนการดูแล รักษา จนกระทั่งถึงขั้นตอนการเก็บเกี่ยว และการจัดการหลังเก็บเกี่ยว สมรรถนะประจำหน่วย แสดงความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับพืชผักตามหลักการและกระบวนการการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดี (GAP) จุดประสงค์การเรียนรู้ประจำหน่วย 1. เข้าใจความหมายและความสำคัญของการปลูกพืชระบบ GAP 2. มีความรู้ความเข้าใจตามหลักเกณฑ์ข้อกำหนดของกระบวนการการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดี (GAP) 3. สามารถนำมาตรฐานกระบวนการการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดี (GAP)ไปปรับใช้ให้สอดคล้องตาม เกณฑ์ข้อกำหนดของมาตรฐานได้ เนื้อหาสาระ การปฏิบัติทางการเกษตรที่ดี(Good Agricultural Practices: GAP) หมายถึง แนวทางในการท า การเกษตร เพื่อให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพดีและปลอดภัยตามมาตรฐานที่ก าหนด โดยขบวนการผลิตจะต้อง ปลอดภัยต่อเกษตรกรและผู้บริโภค ปราศจากการปนเปื้อนของสารเคมีไม่ท าให้เกิดมลพิษต่อสิ่งแวดล้อมมีการ ใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุดได้ผลผลิตสูงคุ้มค่าการลงทุน การผลิตตามมาตรฐาน GAP ก่อให้เกิดความ ยั่งยืนทางการเกษตร สิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และสังคม มาตรฐาน GAP เป็นมาตรฐานที่ครอบคลุมการผลิตสินค้าเกษตรอย่างครบวงจร ตั้งแต่ ปัจจัยการผลิต การผลิต การเก็บเกี่ยว การจัดการหลังการเก็บเกี่ยว การบรรจุหีบห่อ และการขนส่งการผลิต การปฏิบัติทางการเกษตรที่ดีสำหรับพืช (GAP พืช) การปฏิบัติทางการเกษตรที่ดีสำหรับพืช เป็นมาตรฐานการปฏิบัติที่ระบุรายละเอียดข้อก าหนดด้าน การจัดการกระบวนการผลิตที่จำเป็นสำหรับการปฏิบัติที่ดีทางการผลิตพืชทุกชนิด โดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สุขภาพความปลอดภัยและสวัสดิภาพของผู้ปฏิบัติงาน เพื่อให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพ ปลอดภัย ปลอดจาก ศัตรูพืชเหมาะสมกับการบริโภค และมีคุณภาพเป็นที่พึงพอใจของผู้บริโภค 1. แหล่งน้ำ
- แหล่งน้ำต้องสะอาด ไม่มีการปนเปื้อนของวัตถุหรือสิ่งที่เป็นอันตราย 2. พื้นที่ปลูก - ต้องไม่มีวัตถุหรือสิ่งที่เป็นอันตรายที่จะท าให้เกิดการตกค้างหรือปนเปื้อน 3. การใช้วัตถุอันตรายทางการเกษตร - ใช้ตามคำแนะนำ หรืออ้างอิงของกรมวิชาการเกษตร หรือตามฉลากที่ขึ้นทะเบียนอย่างถูกต้องกับ กรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ - ใช้สารเคมีที่ประเทศคู่ค้าอนุญาตให้ใช้ - ห้ามใช้วัตถุอันตรายที่ระบุในทะเบียนวัตถุอันตรายที่ทางราชการห้ามใช้ 4. การจัดการกระบวนการผลิตเพื่อให้ได้ผลิตผลคุณภาพ - ปฏิบัติและจัดการการผลิตตามแผนควบคุมการผลิต 5. การผลิตให้ปลอดจากศัตรูพืช - สำรวจ ปูองกัน และกำจัดศัตรูพืชอย่างถูกต้อง
- ผลิตผลที่เก็บเกี่ยวแล้วต้องไม่มีศัตรูพืชติดอยู่ ถ้าพบต้องคัดแยกไว้ต่างหาก 6. การเก็บเกี่ยวและการปฏิบัติหลังการเก็บเกี่ยว - เก็บเกี่ยวผลผลิตในระยะเวลาที่เหมาะสมตามแผนควบคุมการผลิต - อุปกรณ์ภาชนะบรรจุที่ใช้รวมถึงวิธีการเก็บเกี่ยว ต้องสะอาด ไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อคุณภาพของ ผลิตผล และไม่ปนเปื้อนสิ่งอันตรายที่มีผลต่อการบริโภค - คัดแยกผลิตผลที่ไม่มีคุณภาพไว้ต่างหาก 7. การเก็บรักษาและการขนย้ายผลิตผลภายในแปลงเพาะปลูก - สถานที่เก็บรักษาต้องสะอาด อากาศถ่ายเทได้ดีสามารถปูองกันการปนเปื้อนของวัตถุ แปลกปลอม วัตถุอันตราย และสัตว์พาหะน าโรค - อุปกรณ์และพาหนะในการขนย้ายต้องสะอาด ปราศจากการปนเปื้อนสิ่งอันตรายที่มีผล ต่อ ความ ปลอดภัยในการบริโภค - ต้องขนย้ายผลิตผลอย่างระมัดระวัง
8. สุขลักษณะส่วนบุคคล - ผู้ปฏิบัติงานต้องมีความรู้ที่เหมาะสม หรือผ่านกระบวนการอบรมการปฏิบัติที่ถูกต้อง และถูก สุขลักษณะ - มีการดูแลสุขลักษณะส่วนบุคคล เพื่อปูองกันไม่ให้ผลิตผลเกิดการปนเปื้อนจากผู้ที่สัมผัสกับผลิตผล โดยตรง โดยเฉพาะในขั้นการเก็บเกี่ยวและหลังการเก็บเกี่ยวสำหรับพืชที่ใช้บริโภคสด 9. การบันทึกข้อมูล - บันทึกข้อมูลเกี่ยวกับปัจจัยการผลิต การใช้วัตถุอันตรายทางการเกษตร ข้อมูลการขยายผลผลิต รวมถึงการปฏิบัติในทุกขั้นตอน - ต้องมีการบันทึกข้อมูลการสำรวจและการปูองกันการก าจัดศัตรูพืช - ต้องมีการบันทึกข้อมูลผู้รับซื้อผลิตผล หรือแหล่งที่นำผลิตผลในแต่ละรุ่นไปจำหน่าย
แบบทดสอบหลังเรียนเรียนรู้หน่วยที่ 4 วิชา การผลิตพืชผัก รหัสวิชา 20501-2201 ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (พืชศาสตร์) ชื่อหน่วย มาตรฐานการผลิตพืชผักตามการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดี(GAP) ชื่อ............................................สกุล..............................................เลขที่............ชั้น… ………………………… …………………………………………………………………………………………………. 1. วัตถุประสงค์ในการกําหนดมาตรฐานสินค้าเกษตรคือข้อใด* ก. เพื่อเป็นเครื่องมือในการควบคุมและส่งเสริมสินค้าเกษตรให้มีคุณภาพเป็นไปตามมาตรฐาน ข. ข้อกําหนดทางวิชาการในรูปของเอกสารวัตถุที่แพร่หลายแก่บุคคลทั่วไป ค. ผลิตผลหรือผลิตภัณฑ์อันเกิดจากการกสิกรรม การประมง การปศุสัตว์หรือการป่าไม้ ง. มาตรฐานที่มีกฎกระทรวงกําหนดให้สินค้าเกษตรต้องเป็นไปตามมาตรฐาน 2. GAP พืช มีทั้งหมดกี่ข้อกำหนด* ก. 6 ข้อกำหนด ข. 7 ข้อกำหนด ค. 8 ข้อกำหนด ง. 9 ข้อกำหนด 3. GAP พืช ข้อกำหนดที่เท่าไหร่ คือ การพักผลิตผล* ก. ข้อกำหนดที่ 3 ข. ข้อกำหนดที่ 4 ค. ข้อกำหนดที่ 5 ง. ข้อกำหนดที่ 6 4. การปฏิบัติทางการเกษตรที่ดี (Good Agricultural Practices: GAP) หมายถึง* ก. แนวทางในการทำการเกษตร เพื่อให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพดีและปลอดภัยตามมาตรฐานที่กำหนด ข. เป็นมาตรฐานการปฏิบัติที่ระบุรายละเอียดข้อกำหนด ค. การบันทึกข้อมูลและการตามสอบ ง. การจัดการคุณภาพในกระบวนการเก็บเกี่ยว 5. การปฏิบัติทางการเกษตรที่ดีสำหรับพืช ข้อใดกล่าวผิด* ก. แหล่งน้ำต้องสะอาด ไม่มีการปนเปื้อนของวัตถุหรือสิ่งที่เป็นอันตราย ข. การจัดการกระบวนการผลิตเพื่อให้ได้ผลิตผลคุณภาพ ค. การใช้วัตถุอันตรายทางการเกษตรไม่จำเป็นต้องใช้ตามคำแนะนำ ง. ผู้ปฏิบัติงานต้องมีความรู้ที่เหมาะสม 6. ทำเลที่ตั้งของฟาร์มที่ดีต้องมีลักษณะอย่างไร?* ก. สถานที่ตั้งควรอยู่ห่างไกลจากแหล่งชุมชน ข. สถานที่ตั้งควรอยู่ห่างไกลจากแหล่งน้ำสาธารณะ ค. น้ำไม่ท่วมขัง มีการคมนาคมสะดวก ง. ถูกที่ข้อ 7. การป้องกันและควบคุมโรคของฟาร์มต้องเริ่มจากข้อใดก่อน* ก. มีการจัดการสุขลักษณะที่ดีภายในฟาร์ม
ข. มีระบบการฆ่าเชื้อก่อนเข้าฟาร์ม ค. การดูแลของสัตวแพทย์หรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย ง. ภายในโรงเรือนต้องสะอาดถูกสุขอนามัย 8. สาเหตุที่ทำให้เกษตรกรผลิตสินค้าเกษตรไม่ปลอดภัย* ก. เกษตรกรมีต้นทุนน้อย ข. เกษตรกรส่วนใหญ่ยังขาดความรู้และทักษะ ค. เกษตรส่วนใหญ่มีความรู้และทักษะในการผลิต ง. เกษตรมีต้นทุนมาก ผลิตได้ตามความต้องการ 9. ผลที่ได้จากการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดี (GAP)* ก. ผลิตผลมีคุณภาพและปลอดภัยต่อผู้บริโภค ข. ได้การรับรองมาตรฐาน GAP ค. ได้มาตรฐาน Codex มาตรฐาน ASEAN ง. (มกษ.9001-2556) 10. ข้อใดไม่ใช่องค์ประกอบของฟาร์ม* ก. ทำเลที่ตั้ง ข. ลักษณะของโรงเรือน ค. ลักษณะของฟาร์ม ง. ลักษณะของแหล่งน้ำ
หน่วยการเรียนรู้ที่ 5 การวางแผนการผลิต การปลูกและการดูแลรักษาพืชผัก สาระสำคัญ การทำสวนผักไม่ว่าจะเป็นผู้ที่มีสวนผักอยู่แล้วหรือกำลังจะเริ่มทำจำเป็นต้องมีการวางแผนที่ดี มิฉะนั้นจะประสบความล้มเหลวในการทำสวนผักได้ เพราะพืชผักส่วนใหญ่มีอายุเก็บเกี่ยวสั้นต้องทำการปฏิบัติ บำรุงรักษา และการเก็บเกี่ยวอย่างประณีต อีกทั้งผลิตผลที่ได้ยังมีความปรวนแปรของราคาอยู่เสมอ ด้วยเหตุนี้ จึงต้องศึกษาปัจจัยต่างๆ ในการทำสวนผัก เพื่อนำมาเป็นแนวทางการวางแผนเพื่อให้สวนผักที่ทำการปลูกอยู่ นั้นประสบผลสำเร็จในทุกด้านสิ่งสำคัญที่จะสามารถทำให้แผนการที่วางไว้ดำเนินไปได้อย่างราบรื่นที่สุดก็คือ เงินทุน เพราะเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้การดำเนินการทุกอย่างเป็นไปด้วยดี แต่ถ้าหากขาดผู้บริหารที่ดีก็จะไม่ สามารถบรรลุวัตถุประสงค์ได้เช่นกัน สมรรถนะประจำหน่วย แสดงความรู้เกี่ยวกับการวางแผนการผลิต การปลูกและการดูแลรักษาพืชผัก จุดประสงค์การเรียนรู้ประจำหน่วย 1. วางแผนการผลิตพืชผักตามความต้องการและสภาพพื้นที่ 2. แสดงความรู้เกี่ยวกับข้อพิจารณาในการวางแผนปลูกพืชผัก 3. แสดงความรู้เกี่ยวกับเครื่องมือ อุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องในงานผลิตพืชผัก 4. ใช้งานเครื่องมือ อุปกรณ์ในการผลิตผัก 5. ปลูก ดูแลรักษาพืชผักตามหลักการและกระบวนการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดี(GAP) เนื้อหาสาระ 1. การวางแผนจัดการในการผลิตพืช 1.1 การศึกษาข้อมูลผลิตพืช เป็นการเริ่มดำเนินงานแสวงหาความรู้เกี่ยวกับพืชที่จะปลูก ทั้งนี้เพื่อจะได้ เรียนรู้ให้ประชากรปลูกพืชได้ตามความต้องการและสนใจ ซึ่งมีแนวทางการศึกษาหลายด้านดังนี้หนังสือ ตำรา เอกสาร วารสาร และสิ่งพิมพ์ต่างๆ 1. ข่าวจากอินเตอร์เน็ต โดยศึกษาจากเว็บไซต์ต่างๆ ทั้งของราชการและเอกชน 2. แหล่งวิชาการเกษตรในท้องถิ่น 1.2 การวางแผนการผลิตพืช เป็นการกำหนดการปฏิบัติงานปลูกพืชพร้อมระยะเวลา และผู้รับผิดชอบไว้ ล่วงหน้า เพื่อการปฏิบัติงานดำเนินไปด้วยความรวดเร็ว และเรียบร้อย การวางแผนการปฏิบัติงานประกอบด้วย 1. ชื่อพืชที่จะปลูก 2. จุดประสงค์ 3. แผนการปฏิบัติงานระยะเวลา และผู้รับผิดชอบ 2. การเตรียมดินปลูกพืช
การปลูกพืชผักจำเป็นต้องมีการเตรียมดินให้อุดมสมบูรณ์อยู่เสมอ เพราะผักเป็นพืชที่เติบโตเร็ว ต้องการการบำรุงมาก การปรับปรุงความอุดมสมบูรณ์ของดินโดยทั่วไป พบว่ายังไม่ถูกต้อง เพราะมีการใช้ ปุ๋ยเคมีเป็นส่วนใหญ่ และบางแห่งก็ใช้แต่ปุ๋ยเคมีเพียงอย่างเดียว เพราะสะดวกและง่ายต่อการปฎิบัติ การใส่แต่ปุ๋ยเคมีอย่างเดียวนาน ๆ ทำให้ดินเสื่อมแห้งแข็ง ไม่ร่วนซุย ไม่ซึมซับน้ำ และข้อสำคัญ ที่สุดจะเกิดการตรึงธาตุอาหารขึ้นในดิน อาหารของพืชบางชนิดไม่ละลายออกมาให้เป็นประโยชน์ต่อพืช ทำ ให้พืชเกิดการขาดธาตุอาหาร หรือเกิดการละลายธาตุอาหารบางอย่างมากเกินไปจนเป็นพิษ ทำให้ผัก อ่อนแอและ เกิดโรคได้ง่าย ฉะนั้นในการเตรียมดินที่จะปลูกพืชผักให้งามจะต้องมีการปรับปรุงดินให้อุดมสมบูรณ์ด้วย อินทรียวัตถุเป็นส่วนใหญ่ ในการปลูกผักแต่ละครั้งจะต้องใส่ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยคอก หรือปุ๋ยอินทรีย์อื่น ๆ ร่วมกับ การใส่ปุ๋ยวิทยาศาสตร์ ปุ๋ยอินทรีย์ควรใส่ทั้งหยาบและละเอียดไม่ควรใส่ละเอียดมากนักเพราะจะทำให้ดิน แน่นเหนียวและระบาย นํ้าได้ไม่ดี ปุ๋ยอินทรีย์ทำให้พืชได้อาหารครบทุกชนิดทำให้ผักงามแข็งแรง ปุ๋ย อินทรีย์จะเพิ่มเชื้อจุลินทรีย์ดินบางชนิดที่คอยทำลายและปราบเชื้อโรคในดินของผักมากขึ้น เช่น เชื้อรา โรครากเน่า และไส้เดือนฝอยความจริงเรื่องการใช้ปุ๋ยอินทรีย์จำพวกปุ๋ยคอก-ปุ๋ยหมัก กระทั่งอุจจาระ และ ปัสสาวะที่ผ่านการหมักแล้ว ทำให้ผักงามเกษตรกรมีความเข้าใจดีมาตั้งแต่สมัยดั้งเดิมแล้ว แต่พอมีปุ๋ย วิทยาศาสตร์เข้ามาซึ่งมีคุณสมบัติใช้ง่าย ให้ผลผลิตสูงและโตเร็ว จึงมีการหันมาใช้ปุ๋ยวิทยาศาสตร์กันมาก ขึ้น จากปัญหาการปรับปรุงดังกล่าว มาข้างต้นแล้วนั้น เกษตรกรจึงควรใช้ปุ๋ยวิทยาศาสตร์ร่วมกับปุ๋ยอิน การปลูกพืชผักจำเป็นต้องมีการเตรียมดินให้อุดมสมบูรณ์อยู่เสมอ เพราะผักเป็นพืชที่เติบโตเร็ว ต้องการการบำรุงมาก การปรับปรุงความอุดมสมบูรณ์ของดินโดยทั่วไป พบว่ายังไม่ถูกต้อง เพราะมีการใช้ ปุ๋ยเคมีเป็นส่วนใหญ่ และบางแห่งก็ใช้แต่ปุ๋ยเคมีเพียงอย่างเดียว เพราะสะดวกและง่ายต่อการปฎิบัติ การใส่แต่ปุ๋ยเคมีอย่างเดียวนาน ๆ ทำให้ดินเสื่อมแห้งแข็ง ไม่ร่วนซุย ไม่ซึมซับน้ำ และข้อสำคัญที่สุดจะเกิด การตรึงธาตุอาหารขึ้นในดิน อาหารของพืชบางชนิดไม่ละลายออกมาให้เป็นประโยชน์ต่อพืช ทำให้พืชเกิด การขาดธาตุอาหาร หรือเกิดการละลายธาตุอาหารบางอย่างมากเกินไปจนเป็นพิษ ทำให้ผักอ่อนแอและ เกิดโรคได้ง่าย ฉะนั้นในการเตรียมดินที่จะปลูกพืชผักให้งามจะต้องมีการปรับปรุงดินให้อุดมสมบูรณ์ด้วยอินทรียวัตถุเป็น ส่วนใหญ่ ในการปลูกผักแต่ละครั้งจะต้องใส่ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยคอก หรือปุ๋ยอินทรีย์อื่น ๆ ร่วมกับการใส่ปุ๋ย วิทยาศาสตร์ ปุ๋ยอินทรีย์ควรใส่ทั้งหยาบและละเอียดไม่ควรใส่ละเอียดมากนักเพราะจะทำให้ดินแน่นเหนียว และระบาย นํ้าได้ไม่ดี ปุ๋ยอินทรีย์ทำให้พืชได้อาหารครบทุกชนิดทำให้ผักงามแข็งแรง ปุ๋ยอินทรีย์จะเพิ่ม เชื้อจุลินทรีย์ดินบางชนิดที่คอยทำลายและปราบเชื้อโรคในดินของผักมากขึ้น เช่น เชื้อรา โรครากเน่า และ ไส้เดือนฝอยความจริงเรื่องการใช้ปุ๋ยอินทรีย์จำพวกปุ๋ยคอก-ปุ๋ยหมัก กระทั่งอุจจาระ และปัสสาวะที่ผ่าน การหมักแล้ว ทำให้ผักงามเกษตรกรมีความเข้าใจดีมาตั้งแต่สมัยดั้งเดิมแล้ว แต่พอมีปุ๋ยวิทยาศาสตร์เข้ามา ซึ่งมีคุณสมบัติใช้ง่าย ให้ผลผลิตสูงและโตเร็ว จึงมีการหันมาใช้ปุ๋ยวิทยาศาสตร์กันมากขึ้น จากปัญหาการ ปรับปรุงดังกล่าว มาข้างต้นแล้วนั้น เกษตรกรจึงควรใช้ปุ๋ยวิทยาศาสตร์ร่วมกับปุ๋ยอินทรีย์จะทำให้ได้ผล ผลิตที่ดีขึ้น โดยใส่ปุ๋ยอินทรีย์ในปริมาณมากกว่าปุ๋ยวิทยาศาสตร์ สำหรับการเตรียมแปลงปลูกผักนั้น โดยทั่วไปมีการทำกันอยู่2 แบบ คือ 1.การยกร่องแบบธรรมดา คือการยกร่องแปลงขึ้นมาให้สูงขึ้น มีทางระบายน้ำและทางเดินรอบแปลง ผักได้
2.การยกร่องแบบจีน มีคูนํ้าล้อมรอบ ใช้กันมากในบริเวณภาคกลาง หรือเขตที่ลุ่ม ขนาดของแปลง กว้างประมาณ 6 เมตร ร่องน้ำกว้าง 1.5-2.0 เมตร ลึกประมาณ 1.0-1.5 เมตร การเตรียมดินในแปลงผัก แบ่งเป็น 2 ขั้นตอนคือ 1.การเตรียมดินชั้นแรก เป็นขั้นตอนที่สำคัญที่สุดของการเตรียมดินปลูกพืช การเตรียมดินขั้นแรกจะ เป็นตัวกำหนดความลึกของดินตามต้องการและมีผลไปถึงการรักษาคุณสมบัติของดินและความชื้นในดิน ทำให้ดินร่วนระบายนํ้าและอากาศได้ดีเป็นต้น เครื่องมือที่ใช้ในการขุดพลิกดินขั้นแรก อาจจะเป็นไถหัวหมู ในพื้นที่ที่ปรับระดับเรียบร้อย ไม่มีหิน รากไม้ ตอไม้ ถ้าเป็นดินเหนียวหรือมีชั้นดานใต้ผิวดิน มีรากไม้ ตอไม้ ก็ใช้ไถจาน ในพื้นที่ที่มีดินแห้งและแข็งมากใช้เครื่องไถหัวสิ่ว สำหรับชาวสวนที่ทำแปลงแบบยกร่อง มีคูน้ำ ล้อมรอบและให้แรงงานคนในการขุดพลิกดิน เครื่องมือที่ใช้คือจอบสองง่าม การขุดพลิกดินในชั้นนี้จะขุดลึก ประมาณ 30-40 เซนติเมตรหลังจากขุดพลิกแล้ว ต้องตากดินให้แห้งประมาณ 7 วัน เพื่อฆ่าเชื้อโรคในดิน และแมลงศัตรูที่อยู่ในดิน 2.การเตรียมดินชั้นที่สอง เป็นการเตรียมดินต่อเนื่องจากการขุดพลิกดิน และตากในชั้นตอนแรก จุดประสงค์ก็เพื่อพรวนหรือย่อยดินให้แตกเป็นก้อนเล็กลง มีสภาพเหมาะสมกับเมล็ดหรือกล้าที่จะปลูก โดยใช้ลูกกลิ้งขนาดเบาหรือจอบ เมื่อพรวนดินเป็นก้อนเล็กแล้ว ควรจะใส่ปุ๋ยอินทรีย์แล้วคลุกเคล้าให้เข้า กับดิน หรือหากจำเป็นต้องใส่ปูนขาวเพื่อปรับดินให้เป็นกลาง (พีเอชระหว่าง 5.5-6.8) ที่ใส่ในขั้น ตอนนี้ แล้วคลุกเคล้าให้เข้ากับดิน รดน้ำให้ชุ่มและเตรียมหว่านเมล็ดหรือปลูกกล้าต่อไป แปลงปลูกผักควรจะทำ ความสะอาดอยู่เสมอ ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญมาก เพื่อไม่ให้เป็นที่สะสมของเชื้อโรค และเป็นที่หลบซ่อนตัวของ หนอนและแมลงศัตรูพืช เป็นการลดหรือป้องกันอันตรายต่อผักที่จะปลูกใหม่ สวนของผักที่พบว่าเป็นโรค ควรถอนไปเผาทำลายเสีย มีการกำจัดวัชพืชอยู่เสมอ ๆ โดยใช้วิธีถากหรือถอนออกให้หมดดีกว่าการใช้ สารเคมีการทำสวนผักให้ได้ผลดีนั้นไม่ควรทำเป็นแปลงใหญ่โตเหมือนการปลูก พืชไร่อื่น ๆ ต้องทำในเนื้อที่ ที่จำกัดเท่าที่กำลังแรงงานและความสามารถในการปรับปรุงดินและการดูแลเอาใจใส่พืชผักอย่างใกล้ชิด ใน การทำสวนผักเพื่อการค้านั้นนับว่าจะหาปุ๋ยอินทรีย์ได้ยากขึ้นทุกที วิธีแก้ไขในเรื่องนี้น่าจะทำได้โดย เกษตรกรช่วยกันเลี้ยงสัตว์ เช่น หมู เป็ด ไก่ วัว ฯลฯ เพื่อสร้างปุ๋ยอินทรีย์ขึ้นมาใช้เอง และทางที่ดี ควร หมักด้วย เพราะจะทำให้ได้ปุ๋ยอินทรีย์เพิ่มขึ้นถึง 10 เท่าตัว นอกจากนั้นเศษใบพืช ที่เหลือก็นำกลับมาหมัก เป็นปุ๋ยใช้ในแปลงได้อีก เกษตรกรควรรีบเร่งทำปุ๋ยอินทรีย์ขึ้นใช้เอง เพราะจะได้ลดต้นทุนการผลิตโดยไม่ ต้องซื้อปุ๋ยคอก และลดการใส่ปุ๋ยวิทยาศาสตร์ที่ฟุ่มเฟือยเกินความจำเป็น และที่สำคัญคือทำให้ผักงาม สมบูรณ์มีภูมิต้านทานโรค ต่าง ๆ ได้ดี ลดการใช้สารเคมีลงไปได้อีกด้วย ซึ่งวิธีการนี้ในต่างประเทศกำลัง ตื่นตัว กันมาก เช่น ประเทศญี่ปุ่นที่เกษตรกรพยายามใช้ปุ๋ยคอก-ปุ๋ยหมักแทนการใช้ปุ๋ยเคมี และสารเคมี อย่างได้ผล การฆ่าเชื้อในดิน ผักบางประเภทที่เมล็ดพันธุ์มีราคาแพงผู้ปลูกจะใช้วิธีเพาะเมล็ดให้งอกก่อนแล้วค่อย ย้ายไปปลูกในแปลงอีกครั้งหนึ่ง การเพาะเมล็ดเหล่านี้อาจจะเพาะใน กระบะเพาะ ในเเปลงเพาะ หรือใน ภาชนะอื่น เช่นถุงกระดาษ หรือถุงพลาสติก เป็นต้น ในการเพาะเมล็ดนั้น วัตถุที่ใช้เพาะโดยเฉพาะดินหรือ ส่วนผสมของดิน มักจะมีโรคแมลง ไส้เดือนฝอย หรือเมล็ดวัชพืชปะปนอยู่เสมอ ซึ่งนับเป็นอุปสรรคอย่าง หนึ่งที่ทำให้การเพาะเมล็ดไม่ได้ผลดีเท่าที่ควร จึงจำเป็นต้องกำจัดโรคแมลง และอุปสรรคอื่น ๆ ให้หมดเสีย ก่อนที่จะทำการเพาะเมล็ด
วิธีการที่นิยมปฎิบัติกันมาก ได้แก่ 1. นำอุปกรณ์ที่ใช้เพาะ เช่น กระบะ เครื่องหยอดเมล็ด จอบ เสียม มาจุ่มลงในนํ้าเดือดหรือจุ่มในนํ้ายา carbolic acid 1 % หรือ formaldehy de 2 % 2. วัสดุที่ใช้เพาะ เช่น ดินผสม,ขุยมะพร้าว,ทราย หรือวัสดุอื่น ๆ ซึ่ง จะรวมเรียกว่าดิน สามารถทำการ ฆ่าเชื้อได้หลายวิธีด้วยกัน เช่น การคั่ว,ราดด้วยน้ำร้อน,การอบด้วยไอนํ้าร้อน (steam) การอบด้วยไอร้อน (heated in the oven), และการใช้สารเคมี 3. การฆ่าเชื้อในดินโดยวิธีอบด้วยไอนํ้าร้อนและการอบด้วยไอร้อน ต้อง ทำให้ดินมีความชื้นเสียก่อน แล้วจึงผ่านไอน้ำร้อน หรืออบด้วยไอร้อนที่อุณหภูมิ180° F เป็นเวลาครึ่งชั่วโมง 4. การคั่ว นำดินนั้นมาคั่วในกะทะธรรมดาหรือจะใช้ภาชนะอื่น เช่น ถัง 200 ลิตร ดัดแปลงติดมือหมุน ก็ได้ 5. การราดด้วยน้ำร้อน วิธีนี้ต้องตากดินให้แห้งก่อนประมาณ 7 วัน แล้ว ใช้น้ำที่กำลังร้อนราดลงไปบน ดินนั้น 6. การใช้สารเคมีวิธีนี้สามารถฆ่าเชื้อต่าง ๆ ในดินได้ดี แต่ดินนั้นควรมีความชื้นและมีอุณหภูมิ 6 5 – 7 5 °F สารเคมีที่จะนำมาใช้ได้แก่ Formaldehyde เป็นสารเคมีที่สามารถฆ่าเชื้อราได้ดี และฆ่าเมล็ด วัชพืช บางชนิดได้ด้วย ใช้ Formalin 40 % ผสมกับน้ำ อัตรา 1:50 โดยปริมาตร ราดสารนี้ลงไปในดินแล้วใช้ผ้า พลาสติกคลุมไว้ 1 วัน แล้วจึงเปิดผ้าพลาสติกออก เพื่อให้แก๊สระเหยจนหมด ซึ่งจะใช้เวลาอย่างน้อย 2 อาทิตย์ จึงจะใช้ได้ 7. Methyl bromideสารเคมีชนิดนี้ไม่มีกลิ่น เวลาใช้ต้องสวมหน้ากาก ป้องกันพิษ ใช้ฉีด (inject) ลง ไปโนดินอัตรา 4 ปอนด์/100 ตารางฟุต โดยวิธีบรรจุสารในภาชนะอัดลมซึ่งมีท่อเล็กติดอยู่ เวลาใช้เปิด ปลายท่อลงดิน เสร็จแล้วคลุมด้วยผ้าพลาสติกไว้ 2 วัน 3. การปลูกพืชที่ได้จากการขยายพันธุ์โดยใช้ส่วนต่างๆ ของพืช การเพาะเมล็ด วิธีการที่ใช้ในการขยายพันธุ์พืชแบบอาศัยเพศที่ใช้กันอยู่ทั่วไป คือ การเพาะเมล็ด มีข้อจำกัดหลาย อย่าง กล่าวคือ เป็นวิธีที่ทำให้ได้พืชต้นใหม่ที่มีลักษณะแตกต่างไปจากต้นแม่ ไม่ตรงกับความต้องการ ใช้ เวลานานเพื่อรอเก็บผลผลิต และต้องใช้พื้นที่การปลูกกว้างมากถ้าต้นพืชมีขนาดใหญ่ ทำให้มีการคิดค้น เทคโนโลยีใหม่ ๆ มาใช้แทนการเพาะเมล็ด อย่างไรก็ตามการเพาะเมล็ดก็ยังมีความจำเป็น ดังนี้ 1. เพื่อให้ได้ต้นพืชต้นใหม่ที่จะนำมาใช้เป็นต้นตอในการขยายพันธุ์ด้วยวิธีอื่นต่อไป 2. เมื่อพันธุ์พืชที่ต้องการจะขยายพันธุ์นั้นไม่สามารถใช้วิธีการขยายพันธุ์ด้วยวิธีอื่น 3. เมื่อต้องการปรับปรุงพันธุ์พืชสายพันธุ์ใหม่ ๆ ****การที่เมล็ดจะสามารถงอกเป็นต้นกล้าและเจริญเติบโตเป็นต้นพืชที่แข็งแรงสมบูรณ์ได้นั้นจะเกี่ยวข้อง กับปัจจัย 2 ประการ คือ 1. สภาพความสมบูร์ของเมล็ด ต้องเป็นเมล็ดที่ยังมีชีวิตและไม่ได้รับความเสียหายในขณะที่ทำการเก็บ เกี่ยว กล่าวคือ มีเมล็ดใหญ่และไม่แตกหัก 2. สภาพแวดล้อม จะต้องมีน้ำ อุณหภูมิ แสง และแก๊สออกซิเจนอยู่อย่างเพียงพอ****
การปักชำ การปักชำ เป็นการนำส่วนต่าง ๆ ของพืชพันธุ์ดีที่เราต้องการมาตัดแล้วปักชำลงในวัสดุเพา เพื่อให้ได้ ต้นพืชต้นใหม่จากส่วนที่นำมาปักชำนั้น ส่วนของพืชที่นิยมนำมาปักชำ ได้แก่ ใบ กิ่ง และราก แต่จะใช้ส่วน ใดนั้นก็ขึ้นอยู่กับชนิดของพืช การตอนกิ่ง การตอนกิ่ง เป็นวิการขยายพันธุ์พืชที่ทำให้กิ่งพืชเกิดรากขณะที่ยังอยู่บนต้น เมื่อนำกิ่งตอนนี้ไปปลูกจะ ได้พืชต้นใหม่ที่มีลักษณะเหมือนต้นเดิมทุกประการ การติดตา การติดตา เป็นวิธีการขยายพันธุ์พืชที่ใช้ตาของกิ่งพันธุ์ดีไปติดบนต้นตอที่แข็งแรง มีวิธีทำหลายแบบ เช่น แบบตัวที (T) แบบเปิดเปลือกไม้ 2 ด้าน (คล้ายหน้าต่าง) หรือแบบจะงอยปากนก การต่อกิ่ง การต่อกิ่ง เป็นวิธีการขยายพันธุ์และเปลี่ยนพันธุ์พืชด้วย ทำได้โดยใช้กิ่งพันธ์ดีเพียงพันธุ์เดียวหรือใช้กิ่ง พันธุ์ดีหลาย ๆ พันธุ์ ไปต่อกับต้นตอต้นเดียวกัน เพื่อให้ได้ผลผลิตจากพืชหลายพันธุ์ในต้นเดียว หรือใช้วิธี ต่อกิ่งเพื่อค้ำยันหรือเสริมรากเพื่อยึดลำต้น ไม่ให้ต้นพืชโค่นล้มก็ได้ การแยกส่วนและการแบ่งส่วน เป็นวิธีการขยายพันธุ์พืชที่ใช้กับพืชที่มีลักษณะ เช่น มีเหง้า หน่อ หรือไหล ซึ่งต้นที่ได้จะเป็นพืชต้นใหม่ ที่มีลักษณะตรงตามสายพันธุ์เดิมทุกประการ เช่น หอม กระเทียม ใช้การแยกส่วนจากหัวที่แยกเป็นกลีบ สตรอว์เบอร์รี่ใช้ไหล กล้วย ไผ่ ใช้หน่อ สับปะรดใช้ตะเกียง (จุก) เป็นต้น การปลูกพืชโดยใช้เมล็ด การขยายพันธุ์พืชโดยใช้เมล็ด โดยปกติมักจะทำไปพร้อมๆ กับการปลูกพืชไปในตัว หรือพูดว่าการปลูกพืช โดยใช้เมล็ด ก็คือการขยายพันธุ์พืชโดยใช้เมล็ดนั่นเอง เช่นการปลูกข้าว ซึ่งเมล็ดข้าว ๑ เมล็ด เจริญเป็น ต้นข้าวได้ ๑ ต้น และต้นข้าวที่ได้เมื่อโตขึ้นก็จะแตกกอเป็นหลายต้น แต่ละต้นก็จะออกรวงเกิดเป็นเมล็ด ข้าวได้หลายเมล็ด ซึ่งเมื่อนำเมล็ดข้าวเหล่านี้ไปปลูกก็จะเจริญเป็นต้นข้าวได้หลายต้น ในทำนองเดียวกัน การปลูกข้าวโพดการปลูกข้าว ข้าวโพด ถั่วต่างๆ ฝ้าย ละหุ่ง ฯลฯ ก็เป็นไปแบบเดียวกันกับการปลูก ข้าว จึงเห็นได้ว่าการปลูกพืชจากเมล็ดก็คือการขยายพันธุ์พืชโดยใช้เมล็ดนั่นเอง ในการขยายพันธุ์พืชโดยใช้เมล็ดนี้ ได้นำไปใช้ในงานด้านการเกษตรหลายด้านด้วยกัน ซึ่งเราพอจะ แบ่งออกได้เป็นประเภทต่างๆ ดังนี้ 1. ใช้ในด้านการปลูกพืชและธัญพืช เช่น การปลูกข้าว ข้าวโพด ถั่วต่างๆ ละหุ่ง ฝ้าย งา ป่าน ปอ เป็นต้น เนื่องจากการปลูกพืชไร่และธัญพืชต้องทำในเนื้อที่มากๆ และต้องใช้ต้น พืช มาก ฉะนั้นการขยายพันธุ์ที่สะดวกก็คือ ขยายจากเมล็ด การกลายพันธุ์ที่เกิดขึ้นเล็กๆ น้อยๆ ไม่ถือเป็น เรื่องสำคัญ ซึ่งการปลูกพืชประเภทนี้ ส่วนใหญ่แล้วเป็นพืชอายุสั้น ๓-๔ เดือนเป็นส่วนใหญ่ 2. ใช้ในด้านการปลูกสวนป่า การปลูกสร้างสวนป่า ต้องปลูกเป็นจำนวนมาก และต้องการต้นพืชที่มี รากแก้ว เพราะมีความแข็งแรงกว่าขยายได้มากและรวดเร็ว อีกทั้งสะดวกที่จะถอนย้ายไปปลูกในที่อื่น ดังเช่นการปลูกสร้างสวนสักที่สถานีวนกรรมของกรมป่าไม้ทำอยู่ในขณะนี้ โดยที่เมล็ดของพืชสวนป่ามักจะ เก็บมาจากต้นที่เจริญอยู่ในกลุ่มตามธรรมชาติในท้องที่ที่ได้คัดเลือกไว้แล้วฉะนั้นโอกาสการกลายพันธุ์ที่
เกิดขึ้น ถือได้ว่ามีน้อยมาก และมักจะไม่ถือเป็นเรื่องสำคัญ เพราะในการปลูกสร้างสวนป่านั้น จะปลูกต้น พืชให้ชิดกัน เพื่อให้ทรงต้นตรงและชะลูด ต้นพืชจะแข่งกันเจริญไปในตัว ต้นใดที่มีความแข็งแรงน้อยกว่าก็ จะถูกเบียดบังจากต้นที่โตกว่าจนไม่เจริญ หรือตายไปในที่สุดส่วนต้นที่แข็งแรงก็จะเจริญเติบโตต่อไป ฉะนั้น จึงเป็นการคัดเลือกต้นพืชไปในตัวด้วย 3. ใช้ในด้านการขยายพันธุ์พืช โดยวิธีติดตาต่อกิ่ง โดยเฉพาะการขยายพันธุ์ไม้ยืนต้น ซึ่งต้องการต้นตอ ที่มีระบบรากที่หยั่งลึก ซึ่งสามารถจะทนลมพายุและทนแล้งได้ดีกว่าการขยายพันธุ์โดยวิธีอื่น เช่น การตอน กิ่ง หรือการตัดชำกิ่ง เป็นต้นฉะนั้นต้นที่ได้จากการขยายพันธุ์จากเมล็ดจึงเหมาะสมที่จะใช้เป็นต้นตอ สำหรับนำไปติดตาและต่อกิ่งแต่เนื่องจากการขยายพันธุ์โดยใช้เมล็ด ต้นพืชที่ได้อาจกลายพันธุ์ได้ จึงต้อง คัดต้นที่มีลักษณะไม่ตรงตามพันธุ์ที่ต้องการออก เพื่อให้ได้ต้นตอที่มีลักษณะตรงตามพันธุ์มากที่สุดไว้ เพื่อ ขยายพันธุ์ต่อไป 4. ใช้ในด้านการปลูกผักและไม้ดอกล้มลุก โดยปกติพืชอายุสั้นจำเป็นต้องใช้ส่วนขยายพันธุ์ที่เจริญได้ เร็ว และก็มีราคาถูกด้วย ในกรณีเช่นนี้การใช้เมล็ดปลูกหรือขยายพันธุ์จึงเป็นการลงทุนที่ต่ำ ที่สุด และ ทำได้สะดวกรวดเร็ว ดังนั้นการใช้เมล็ดขยายพันธุ์ หรือปลูกพืชเหล่านี้จึงเป็นวิธีเดียวที่จะทำได้ เช่น การ ปลูกผักบุ้ง คะน้า มะเขือเทศแอสเทอร์ และบานชื่น เป็นต้น 5. ในงานด้านการผสมพันธุ์พืช เนื่องจากความต้องการในเรื่องอาหารและของใช้ที่เป็นปัจจัยในการ ครองชีพของมนุษย์มีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ฉะนั้นพันธุ์พืชที่จะนำมากินมาใช้ก็ต้องมีการปรับปรุงตาม ไปด้วย การปรับปรุงพันธุ์พืชที่นำมากินมาใช้ให้เหมาะกับความต้องการนี้ก็ต้องอาศัยการกลายพันธุ์ที่ เกิดขึ้นจากการเพาะเมล็ด โดยการผสมพันธุ์ต้นพืชที่มีลักษณะตามความต้องการแล้วเอาเมล็ดมา เพาะ จากนั้นจึงคัดเลือกต้นพืชที่มีลักษณะดีเด่นตามความต้องการไว้ใช้ในการปลูกหรือขยายพันธุ์ต่อๆ ไป วิธีการขยายพันธุ์พืชโดยใช้เมล็ด ในการขยายพันธุ์พืชหรือปลูกพืชโดยใช้เมล็ดโดยทั่วไปมักจัดทำกันอยู่ 3 แบบ คือ 1. เพาะเมล็ดในแปลงเพาะ หรือในภาชนะเพาะ 2. เพาะหรือปลูกเมล็ดในแปลงปลูกโดยตรง 3. เพาะหรือปลูกเมล็ดในภาชนะเดี่ยว ข้อดีและข้อเสียของการขยายพันธุ์พืชโดยใช้เมล็ด ข้อดี 1. ทำได้ง่ายและได้ปริมาณมาก เพราะสะดวกในการปฏิบัติ 2. เสียค่าใช้จ่ายน้อยเพราะไม่ต้องใช้เครื่องมือหรืออุปกรณ์ตลอดจนฝีมือในการปฏิบัติมากนัก 3. สะดวกในการขนส่งระยะทางไกลๆ เพราะทนทานและตายยาก ประกอบกับมีขนาดเล็กจึง สะดวกที่จะบรรจุหีบห่อหรือหยิบยก 4. เก็บรักษาได้นาน เพราะไม่ต้องการสิ่งแวดล้อมในการดำรงชีวิตมาก เพียงแต่เก็บให้ถูกต้อง เท่านั้น 5. ได้ต้นพืชที่มีระบบรากดีเพราะมีรากแก้ว ดังนั้นจึงมีรากหยั่งลึก และการที่ต้นพืชมีรากลึกนี้ ย่อมมีผลทำให้ ก. ทนแล้งได้ดีเพราะสามารถดูดน้ำจากดินในระดับลึกๆ ได้
ข. หากินเก่ง เพราะอาจหาธาตุอาหารต่างๆ จากดินทั้งตามผิวหน้าดินและส่วนลึกได้อย่าง ครบถ้วน โอกาสที่จะขาดธาตุอาหารจึงมีน้อย ค. ต้นพืชเจริญเติบโตดี เพราะมีอาหารพืชสมบูรณ์ ง. อายุยืน ซึ่งเป็นผลมาจากมีอาหารสมบูรณ์ ฉะนั้นจึงทนทานต่อแมลงได้ดีต้นไม่ทรุด โทรมเร็ว และมีอายุการให้ผลยืนนาน 6. ต้นพืชที่ได้ไม่ติดโรคไวรัส (virus) จากต้นแม่ โดยที่เชื้อไวรัสไม่อาจจะถ่ายทอดจากต้นแม่มายัง ลูก โดยอาศัยเมล็ดเป็นพาหะได้ ดังนั้นต้นลูกที่ได้จากการเพาะเมล็ดจากต้นที่เป็นโรคไวรัสจึงไม่ติดโรค นี้ แต่ก็อาจติดโรคนี้ได้ภายหลังที่งอกเป็นต้นพืชแล้ว ข้อเสีย 1. กลายพันธุ์ได้ง่าย เพราะต้นที่ได้เกิดจากการผสมพันธุ์ เว้นแต่เมล็ดพืชบางชนิดที่งอกได้หลาย ต้นใน 1 เมล็ด ซึ่งอาจจะมีต้นที่ไม่กลายพันธุ์ได้ 2. ลำต้นสูงใหญ่ ไม่สะดวกในการเก็บเกี่ยวและดูแลรักษา 3. ต้นมีโอกาสรับแรงปะทะลมได้มาก ทำให้ดอกและผลร่วงหล่นเสียหายมาก 4. มักให้ผลช้า ต้องใช้เวลาในการเลี้ยงดูนาน กว่าจะให้ผลตอบแทน 5. ปลูกได้น้อยต้นในเนื้อที่เท่ากัน ฉะนั้นจึงอาจให้ผลน้อยกว่าการขยายพันธุ์โดยวิธีอื่นที่ให้ต้นพืช พุ่มเล็กกว่า ในการผลิตพืชผักเพื่อให้ได้ผลผลิตต่อไร่และมีคุณภาพนั้น จำเป็นที่จะต้องให้ความสำคัญ ตั้งแต่การ เลือกเมล็ดพันธุ์การปลูก การใส่ปุย การให้น้ำ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ เป็นปัจจัยสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพ การผลิต 1 เมล็ดพันธุ์พืชผัก เมล็ดพันธุ์ คือ เมล็ดพืชที่มีชีวิตซึ่งเมื่อนำไปปลูก หรือนำไปขยายพันธุ์แล้วจะได้ต้นที่เจริญงอกงามตรง ตามพันธุกรรมของพืชนั้น เมล็ดพันธุ์เสื่อมคุณภาพได้เมื่อเก็บรักษาเมล็ดพันธุ์เป็นเวลานานเกินไป หรือไม่ถูกวิธี ดังนั้น ในการใช้เมล็ดพันธุ์พืชผักเพื่อนำมาปลูกต้องคำนึงถึง 1.1 ตรงตามพันธุ์ที่ต้องการ คือให้ผลผลิตที่มีลักษณะตรงตามความต้องการของผู้ปลูกโดยคำนึงถึง ความต้องการของตลาด 1.2 เหมาะสมต่อสภาพแวดล้อมของพื้นที่ปลูก เช่น การปลูกในฤดูร้อนต้องใช้พันธุ์ที่ทนร้อน เป็นต้น 1.3 เมล็ดพันธุ์ที่นำมาใช้ควรมีอัตราความงอกสูงและไม่หมดอายุโดยสังเกต วัน เดือน ปีที่เก็บและวัน หมดอายุ อยู่ในภาชนะที่ปิดสนิท 1.4 ควรเลือกซื้อเมล็ดพันธุ์จากแหล่งที่เชื่อถือได้ 2 อัตราการใช้เมล็ดพันธุ์ อัตราการใช้เมล็ดพันธุ์มีความแตกต่างตามชนิดพืชผัก ขนาดของเมล็ด ซึ่งแบ่งกลุ่มตามชนิดพืชที่ เกษตรกรนิยมผลิตได้ 4 กลุ่ม ตามตารางที่ 1 ตารางที่ 1 แสดงอัตราการใช้เมล็ดพันธุ์พืชผักตระกูลต่างๆ
2.3.1 วัสดุเพาะและอุปกรณ์ การเพาะเมล็ดพันธุ์พืชผัก ที่นิยมมี 2 วิธี ซึ่งใช้วิธีที่แตกต่างกัน ดังนี้ การเพาะในแปลงเพา เป็นที่นิยมของเกษตรกร โดยเลือกบริเวณใกล้ที่อยู่อาศัย สะดวกต่อการดูแล ดินมีความอุดมสมบูรณ์ดี น้ำไม่ท่วม และไม่ควรมีต้นไม้ใหญ่หรือบ้านเรือนบังแสง่แดด เพื่อให้ต้นกล้าได้รับแสงแดดเพียงพอ การเตรียม แปลงเพาะกล้าควรมีขนาดกว้าง1 เมตร ความยาวตามต้องการ และสะดวกต่อผู้ดูแลแปลง ขุดดินตากแดด ประมาณ 10-15 วัน ย่อยดินให้ละเอียด ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก ยกแปลงสูงประมาณ 10 เซนติเมตร เกลี่ยหน้า แปลงให้เรียบ หว่านเมล็ดกระจายให้ทั่วแปลงหรือโรยเป็นแถว ให้แต่ละแถวห่างกันประมาณ 15-20 เซนติเมตรเกลี่ยดินกลบบางๆ แล้วรดน้ำ ควรคลุมดินด้วยแกลบหรือฟางแห้งเพื่อรักษาความชื้น การเพาะกล้าในภาชนะ การเพาะในถาดเพาะ เป็นวิธีที่นิยมในปัจจุบัน เหมาะสำหรับเมล็ดพันธุ์ที่มีราคาแพง และขนาดเล็ก เพราะสะดวกในการดูแลกล้า ใช้พื้นที่ไม่มากนัก ทั้งการให้น้ำและจัดการศัตรูพืช เคลื่อนย้ายง่าย ทราบจำนวน ต้นกล้าแน่นอน โดยถาดเพาะมีหลายขนาด เช่น 50, 60, 72, 104 และ200 หลุม เป็นต้น เกษตรกรควรเลือก ถาดเพาะให้เหมาะสม โดยพิจารณาจากระยะเวลาที่ตันกล้าอยู่ในถาดเพา:นั้น เช่น การเพาะกล้าผักสลัด ที่ใช้ เวลาตั้งแต่งอกถึงย้ายปลูกประมาณ 15-20 วัน ใช้ถาดเพาะที่มีจำนวนหลุมมาก เช่นถาดเพาะขนาด 104 หลุม เพราะถาดเพาะมีขนาดที่พอเหมาะต่อการเจริญเติบโตของต้นกล้า การเพาะ หรือ เลือกดินในบริเวณที่ไม่เป็นแหล่งสะสมของโรคแมลง กระบะเพาะควรมีขนาดประมาณ 45x60 ซม. หรือขนาดใกล้เคียง ลึกไม่เกิน 10 ชม.มีรูระบายน้ำได้ ใส่วัสดุเพาะแล้วใช้ไม้กดเป็นร่องห่างประมาณ 3-4 ชม.ลึก 1 ชม. โรยเมล็ดในร่องแล้วกลบดินเบาๆ ใช้กระดาษหนังสือพิมพ์คลุมปิดไว้จึงรดน้ำเพื่อเพิ่มความชื้น และความเสียหายจากการรดน้ำ จนกระทั่งเมล็ดเริ่มงอก จึงเปิดกระดาษออก
ㆍการเพาะในถุงพลาสติกเพาะ นิยมใช้เพราะมีขนาดเพียงพอต่อการเจริญเติบโต รากได้รับการ กระทบกระเทือนน้อย ต้นกล้าฟื้นตัวได้เร็วแต่ค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง เพราะไม่สามารถนำกลับมาใช้อีกครั้ง สำหรับวัสดุสำหรับเพาะกล้าควรใช้ ดินละเอียด ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักทรายละเอียด ขุยมะพร้าว ในอัตราส่วน เท่าๆ กัน และเกษตรกรควรคำนวณระยะเวลาในการเตรียมแปลง เพื่อย้ายปลูกให้สอดคล้องกันกับการ เจริญเติบโตของต้นกล้า 2.3.2 เทคนิคและวิธีการดูแลกล้าผัก การรดน้ำ ควรใช้บัวฝอยรดวันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น ระวังไม่ให้แฉะเกินไปการทำร่ม หากบริเวณที่เพาะ กล้าได้รับแสงแดดตลอดวันควรทำร่มให้ในระยะแรก ให้ได้รับแสงแดดในช่วงเช้าก่อน 8.00 น. และช่วงบ่าย หลัง16.00 น. แล้วค่อยเพิ่มการรับแสงแดดจนกล้ามีอายุ 2 สัปดาห์และแข็งแรงมากพอ จึงให้รับแสงแดดได้ ตามปกติการถอนแยก และถอนต้นกล้าที่เป็นโรคทิ้ง โดยเฉพาะการเพาะในแปลงเพาะที่ต้นกล้าอาจจะชิดกัน เกินไป ทำให้เป็นโรค ควรถอนต้นที่อ่อนแอและเป็นโรคออก เพื่อให้เกิดระยะห่างสามารถรับแสงแดดอย่าง สม่ำเสมอจะทำให้ต้นกล้าแข็งแรงทนทานต่อโรคควรรดน้ำปูนใสผสมน้ำ อัตราส่วน 1:5 เพื่อป้องกันโรค (การ ทำน้ำปูนใส ให้ใช้ปูนขาว 5 กก.ผสมน้ำ 20 ลิตร กวนให้เข้ากัน ทิ้งไว้ 1 คืนให้ตกตะกอน นำน้ำส่วนที่ใสผสม น้ำรดผัก) 2.4 การเตรียมแปลงปลูก ปัจจุบันพื้นที่การเกษตรในประเทศไทยมีการปลูกพืชซ้ำในพื้นที่เดิมและมีการใช้ปุยเคมีอยู่เป็นประจำ ทำให้บางพื้นที่ ดินมีสภาพเป็นกรดหรือด่างเกินกว่าพืชผักจะเจริญเติบโตได้ ดังนั้น ก่อนเตรียมแปลงปลูกควร
นำดินส่งให้กรมพัฒนาที่ดินตรวจวิเคราะห์คุณภาพดิน เพื่อเลือกใช้วิธีปรับปรุงดินให้เหมาะสมต่อการ เจริญเติบโตของพืชผักอย่างเหมาะสม โดยทั่วไปสามารถปรับปรุงดินก่อนปลูก ดังนี้ • ไถพรวนดิน ตากแดดประมาณ 7-10 วัน เพื่อฆ่าเชื้อโรค ไข่แมลงและเมล็ดวัชพืชบางชนิดใน ดิน • ปรับปรุงสภาพดินด้วยปุ้ยคอกหรือปุ๋ยหมัก อัตราส่วน 24 ตัน/ไร่พร้อมปูนขาวอัตรา 200- 400 กก/ไร่ • พรวนดินอีกครั้งให้ดินละเอียด ยกแปลงกว้างประมาณ 120 ชม.ความยาวของแปลงตาม ความต้องการของผู้ปลูก ยกแปลงให้สูงตามความลึกตามระบบรากพืชที่ปลูกต้องการ • ปรับผิวหน้าแปลงให้เสมอกัน ป้องกันการขังของน้ำ เมื่อรดน้ำ • ขุดหลุมปลูกตามระยะปลูกที่เหมาะสมของแต่ละชนิดพืช และรองกันหลุมด้วยปุ๋ยคอก หรือ ปุ๋ยหมัก 2.5 การปลูก 2.5.1 การปลูกลงแปลงโดยตรง การหว่าน หรือโรยเป็นแถว นิยมใช้กับผักกินใบ เช่น ผักชี คะน้ากวางตุ้ง ผักบุ้ง เป็นต้น ซึ่งมีวิธีการ ดังนี้ • ย่อยหน้าดินให้ละเอียดก่อนเสมอ • หว่านให้กระจายทั่วแปลงมากที่สุด หากเมล็ดพันธุ์มีขนาดเล็กมากควรผสมกับทรายละเอียด ก่อนหว่าน เพื่อเพิ่มการกระจายตัวของเมล็ดพันธุ์ • โรยเป็นแถวห่างกันประมาณ 10 ชม. • เมื่อหว่านหรือโรยเมล็ดพันธุ์แล้วกลบเมล็ดด้วยปุ้ยคอกหรือปุ๋ยหมักที่สลายตัวดีแล้ว หนา ประมาณ 1 ซม. คลุมด้วยฟางหรือหญ้าแห้งที่สะอาดรดน้ำให้ชุ่มด้วยบัวฝอย เมื่อต้นกล้า เจริญเติบโตอาจเบียดกันแน่นเกินไปให้ถอนต้นที่เป็นโรคและอ่อนแอไม่สมบูรณ์ทิ้ง
การหยอดเมล็ด นิยมหยอดเมล็ดพันธุ์ประเภทผักเลื้อยกินผลลงในแปลงปลูกโดยตรง เช่น มะระ บวบ แฟง เป็นต้น ซึ่งมีวิธีการดังนี้ • ขุดหลุมตามระยะและความลึกที่เหมะสมสำหรับพืชผักชนิดนั้นๆ • หยอดเมล็ดพันธุ์หลุมละ 2-3 เมล็ด กลบด้วยดินผสมปุ๋ยคอกหรือปุ้ยหมัก อัตราส่วน 1:1 • เมื่อต้นกล้างอกมีใบจริงประมาณ 23 ใบ จึงคัดต้นที่ไม่สมบูรณ์และเป็นโรคออก เหลือเพียงหลุมละ 1 ต้น 2.5.2 การย้ายกล้า • เลือกต้นกล้าที่แข็งแรง ไม่มีโรคและแมลง ลำต้นตรง ไม่คดงอใบสมบูรณ์ มีใบจริง 3-5 ใบ • ขุดหลุมตามระยะปลูกและลึกตามชนิดของพืชผักนั้นๆ • ก่อนย้ายตันกล้าควรงดน้ำ 1 วัน และก่อนปลูก 1 ชั่วโมงให้รดน้ำให้ชุ่ม • ต้นกล้าที่เพาะในถุงพลาสติก ใช้มีดกรีดถุงพลาสติกให้ขาดเพื่อไม่ให้กระทบกระเทือนรากของ ต้นกล้า หากเป็นถาดเพาะกล้าให้บีบด้านล่างสุดของก้นถาด ต้นกล้าจะถูกดันขึ้นมาเหนือถาด เพาะพร้อมดินเพาะ ทำให้ต้นกล้าไม่ได้รับความกระทบกระเทือนมากนัก • ต้นกล้าที่เพาะในกระบะหรือแปลงเพาะ ให้ใช้เสียมหรือไม้แบนๆแซะด้านข้างของแถวต้นกล้า ระมัดระวังไม่ให้รากต้นกล้าขาด และให้ดินติดมากับรากมากที่สุด เพราะต้นกล้าจะตั้งตัวได้ เร็ว และเมื่อถอนต้นกล้ามาแล้วควรปลูกทันที • ควรย้ายกล้าปลูกในช่วงเช้าหรือเย็นที่มีแดดอ่อนและรดน้ำตามทันที
2.5.3 การทำค้าง การทำค้างสำหรับพืชผักเลื้อย เช่น แตงกวา มะเขือเทศ และพืชผักตระกูลถั่วต่างๆ ใช้ไม้ไผ่กลมหรือ ไม้อื่นๆ ที่หาได้ง่ายและราคาถูกยาวประมาณ 1.5 เมตร ปักข้างต้นกล้าในดินลึก 30 ชม. โดยทำเป็นแถวคู่ เอนปลายหากันผูกเป็นกระโจม แล้วใช้ไม้พาดขวาง 3-4 อัน ที่ด้านบนและด้านข้าง ผูกเชือกให้แน่น เป็นการ ช่วยพยุงลำต้นและง่ายต่อการจัดการแปลง การทำร้านสำหรับพืชผักเลื้อย จำพวกบวบ มะระ และแฟงทำเสาหลักด้วยการนำไม้ไผ่ขนาดกลางปัก ข้างต้นผักทุกหลุม ให้สูงจากพื้นประมาณ 1.5-2 เมตร ตามความสะดวกในการเข้าทำงานภายในแปลงได้ แล้ว ใช้ไม้ไผ่พาดด้านบนไม้ไผ่แต่ละด้านใช้ลวดมัดให้แน่นเพื่อทำเป็นคาน แล้วจึงใช้เชือกไนลอนขึงขับ ห่างกัน ประมาณ 70 ชม. หรือใช้แบบสำเร็จรูปแล้วก็ได้ มัดกับไม้ไผ่ที่ทำเป็นเสาและคานให้แน่น เมื่อพืชเลื้อยและออก ผลด้านบ่นจะสะดวกในการดูแลรักษาและเก็บเกี่ยว มากกว่าปลูกให้เลื้อยบนพื้นดิน 2.6 การให้ปุ๋ย 2.6.1 ปุ๋ยรองพื้น จะใช้ในช่วงเตรียมดินหรือรองก้นหลุมก่อนปลูกควรใส่ปุ๋ยคอกหรือปุยหมัก เพื่อทำ ให้ดินโปร่ง ร่วนซุย อุ้มน้ำ รักษาความชื้นและช่วยดูดซับปุยเคมีที่ใส่ภายหลัง ไม่ให้สลายเร็วเกินไป และทำให้ ต้นกล้าตั้งตัวได้เร็ว 2.6.2 ปุ๋ยบำรุง อาจเป็นปุ๋ยเคมี หรือปุ๋ยชีวภาพ ตามระบบมาตรฐานการผลิตพืชที่ใช้ แต่ควรแบ่งใส่ โดยครั้งแรกควรใส่เมื่อย้ายกล้าจนต้นกล้าตั้งตัวได้แล้ว และใส่อีกครั้งหลังจากใส่ครั้งแรกประมาณ 2-3 สัปดาห์ โดยโรยปุ๋ยระหว่างแถวพรวนดินกลบ ไม่ควรใส่ชิดต้นเพราะจะทำให้ต้นผักตายได้ เมื่อใส่ปุ๋ยแล้วรดน้ำตาม 2.6.3 การเลือกใช้ปุย ควรเลือกปุยที่มีธาตุอาหารตรงตามความต้องการของผักชนิดนั้นในช่วง ระยะเวลาการเจริญเติบโต เช่น ผักกินผล ที่มีอายุการเก็บเกี่ยวนาน โดยมากนิยมใส่ปุยสูตรเสมอ แต่หากเป็น ผักบุ้งจีนหรือผักกินใบที่อายุการเก็บเกี่ยวสั้น ให้ปุยสูตร์ที่มีไนโตรเจนสูง เป็นต้น 2.7 การให้น้ำ พืชผักส่วนใหญ่เป็นพืชอวบน้ำจึงต้องการน้ำอย่างสม่ำเสมอเพียงพอและไม่ชอบน้ำขัง ดังนั้น ควรรดน้ำ เช้า-เย็น ไม่ควรรดตอนแดดจัด รดให้ชุ่มแต่ไม่ควรรดจนแฉะและมีน้ำขัง เพราะอาจ ก่อให้เกิดการระบาดของโรคพืชได้ หากปลูกพืชผักตระกูลแตงในช่วงหน้าหนาว และกลางคืนมีหมอกลงจัด ในตอนเช้าควรโชยน้ำล้างใบ เพื่อป้องกันโรคราน้ำค้างได้
แบบฝึกหัดท้ายหน่วยเรียนที่ 5 1. เพราะเหตุใดจึงต้องมีการวางแผนในการทำสวนผัก จงอธิบาย .............................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................ .............................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................ ................................ .............................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................ .............................. ................................................................................................................................................................ 2. ในการวางแผนทำสวนผักสิ่งที่ต้องพิจารณาถึงมีอะไรบ้าง .............................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................ .............................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................ ................................ .............................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................ .............................. ................................................................................................................................................................ 3.การวางแผนการปลูกผักคะน้าผักชีผักกาดนักเรียนคิดว่านจะเลือกวิธีการปลูกแบบใดมากที่สุด เพราะเหตุใด .............................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................. ............................................. ................................................................................................................................................................ .............................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................... ............................ .............................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................
แบบทดสอบหลังการเรียนรู้หน่วยที่5 วิชา การผลิตพืชผัก รหัสวิชา 20501-2201 ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (พืชศาสตร์) ชื่อหน่วย การปลูกและดูแลพืชผัก ชื่อ............................................สกุล........................................... ...เลขที่............ชั้น…………………………… คำชี้แจง 1. จำนวนข้อสอบ 10 ข้อ ข้อละ 1 คะแนน 2. เกณฑ์ผ่าน 50% 1. ข้อใดไม่ใช่ข้อดีของการปลูกพืชผักโดยวิธีการย้ายกล้า ก. สามารถกำหนดระยะปลูกได้ตามต้องการ ข. ประหยัดเมล็ดพันธุ์ ค. หากกล้าเสียหายจะทำให้เสียเวลาในการปลูก ง. ทุ่นเวลาและค่าใช้จ่ายในการถอนแยก 2 การถอนกล้าพืชผักทิ้งควรทำเมื่อใด ก. ต้นกล้าพืชผักแข็งแรง ข. เกิดโรคเน่า ค. กล้าพืชผักต้นใหญ่เกินไป ง. กล้าพืชผักเบียดแน่นกัน 3. หอมแดง กระเทียม ฯลฯ เป็นพืชผักสวนครัวที่นิยมปลูกโดยวิธีใด ก. วิธีการย้ายกล้า ข. วิธีการหว่านเมล็ด ค. วิธีการหยอดหลุม ง. วิธีการใช้ส่วนต่าง ๆ 4, การป้องกันวัชพืชโดยวิธีกลคือ ก. การไถพรวน ข. การปลูกพืชคลุมดิน ค. การใช้แรงงานคนในการถอน ง. การใช้แมลง หรือโรคพืช 5.การแช่น้ำมีผลดีต่อการปลูกพืชผักอย่างไร ก. เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการงอก ข. เพื่อความสะดวกในการปลูก ค. ทำให้การหว่านเมล็ดได้ง่ายยิ่งขึ้น ง. เพื่อประหยัดเมล็ดพันธุ์พืชผัก 6. วิธีการปลูกพืชผักที่นิยมในภาคกลางคือวิธีใด ก. การหว่าน ข. การหยอดหลุม ค. หว่านเมล็ดแล้วถอนแยก ง. การปลูกโดยวิธีการย้ายกล้า 7. พืชผักในข้อใดที่นิยมปลูกโดยใช้วิธีการหยอดหลุม ก. คะน้า ข. ข้าวโพด ค. สะระแหน่ ง. ผักกาดกวางตุ้ง 8. การปลูกพืชผักโดยวิธีการหว่านเมล็ดแล้วถอนแยกเหมาะกับพืชผักชนิดใด ก. คะน้า ข. ตะไคร้ ค. แตงไทย ง. ข้าวโพด 9. พืชผักชนิดใดที่นิยมปลูกโดยใช้ส่วนต่าง ๆ ของลำตัน ก. ผักชี ข. คะน้า ค. ตะไคร้ ง. แตงโม 10. ขิง เราใช้ส่วนใดนำไปปลูก ก. หัวตา ( Tubers ) ข. แง่ง ( Rhizome ) ค. หัวกาบใบ ( Bulb) ง. หัวปล้อง ( Corms)
หน่วยการเรียนรู้ที่ 6 การเก็บเกี่ยวและการจัดการหลังการเก็บเกี่ยว สาระสำคัญ การเก็บเกี่ยวและการจัดการหลังการเก็บเกี่ยวเป็นขั้นตอนหนึ่งที่สำคัญมากสำหรับการดูแลรักษาพืช ปลูก เพราะว่าถ้ามีการเก็บเกี่ยวและการจัดการหลังการเก็บเกี่ยวที่ไม่เหมาะสม ก็จะทำให้เกิดการสูญเสียของ ผลิตผลทั้งในด้านปริมาณและคุณภาพ พืชปลูกที่เราดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างดีตั้งแต่ปลูกจนกระทั่งถึงเวลาเก็บ เกี่ยวโดยหวังที่จะเก็บเกี่ยวให้ได้ผลผลิตให้มากที่สุดเพื่อที่จะนำผลิตผลไปบริโภคหรือจำหน่ายเพื่อนำเงินมาใช้ จ่าย ก็ต้องมาสูญเสียในขั้นตอนสุดท้ายนี่เอง ซึ่งปัญหาเกี่ยวกับการสูญเสียของผลิตผลระหว่างการเก็บเกี่ยว และหลังการเก็บเกี่ยวนี้นับว่าเป็นปัญหาที่สำคัญปัญหาหนึ่ง ดังนั้นเราจึงควรที่จะศึกษาถึงวิธีการเก็บเกี่ยวและ การจัดการหลังการเก็บเกี่ยวที่เหมาะสม เพื่อที่จะลดการสูญเสียที่เกิดขึ้นระหว่างการเก็บเกี่ยวและหลังการเก็บ เกี่ยว สมรรถนะประจำหน่วย แสดงความรู้เกี่ยวกับการเก็บเกี่ยวและการจัดการหลังการเก็บเกี่ยว จุดประสงค์การเรียนรู้ประจำหน่วย 1. แสดงความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการเก็บเกี่ยวพืชผักแต่ละชนิด 2. สามารถปฏิบัติงานหลังการเก็บเกี่ยวพืชผักตามวิธีการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดี (GAP)ได้ เนื้อหาสาระ 1. การทำความสะอาดผลผลิต 1. การเก็บเกี่ยวผลผลิต การเก็บเกี่ยว หมายถึง วิธีการใดๆ ก็ตามที่ใช้ในการแยกส่วนของพืชที่มนุษย์และสัตว์ใช้เป็น อาหารหรือใช้ประโยชน์ ออกจากต้นเดิมหรือจากสิ่งที่พืชเจริญเติบโตอาศัยอยู่ ส่วนของพืชที่เก็บเกี่ยวมาได้ นี้อาจได้ส่วนของพืชที่ไม่ได้ใช้เป็นอาหารหรือใช้ประโยชน์ติดมาด้วย พืชผักสวนครัวแต่ละชนิดจะมีระยะเวลาในการเก็บเกี่ยวที่แตกต่างกันขึ้นอยู่กับการนำผลผลิตของ พืชผักสวนครัวมาใช้ประโยชน์ พืชผักสวนครัวที่นิยมนำผลผลิตมาใช้ในขณะที่ยังมีอายุน้อยหรืออ่อนอยู่ ส่วนใหญ่จะเป็นพืชผักสวนครัวที่ ใช้ประโยชน์จากลำต้นและใบ เช่น คะน้า ผักบุ้ง มะระ มะเขือ แตงกวา ข้าวโพดฝักอ่อน หน่อไม้ฝรั่ง
พืชผักสวนครัวที่นิยมนำผลผลิตมาใช้เมื่อมีอายุที่เจริญเติบโตเต็มที่แต่ยังไม่สุก หรือเริ่มเปลี่ยนสีเล็กน้อย เช่น ฟักทอง มะเขือเทศ กะหล่ำดอก หอมหัวใหญ่ พริก การเก็บเกี่ยวผลผลิตพืชผักสวนครัวควรจะเก็บเกี่ยวในช่วงเช้าหรือช่วงเย็นเท่านั้น เพราะถ้าเก็บเกี่ยว ในช่วงที่อากาศร้อนอบอ้าวจะทำให้พืชผักสวนครัวเหี่ยวเฉา เนื่องจากการสูญเสียน้ำซึ่งจะส่งผลให้พืชผัก สวนครัวมีน้ำหนักลดลง และคุณภาพไม่ดี 2. การตัดแต่งผลผลิต พืชผักสวนครัวหลังจากเก็บเกี่ยวมักจะมีส่วนที่ไม่ต้องการติดมาด้วย ผู้ปลูกควรตัดแต่งส่วนที่ไม่ ต้องการทิ้ง เช่น ใบแก่ ใบที่เน่าเปื่อย เพื่อให้ผลผลิตดูสวยงามน่ารับประทาน 3. การทำความสะอาดด้วยน้ำ เนื่องจากพืชผักสวนครัวที่ปลูกไว้บริเวณบ้านเพื่อรับประทาน ผู้ปลูกมักจะใช้สารเคมีในการ จำกัดศัตรูพืชจึงไม่มีสารพิษตกค้าง การทำความสะอาดพืชผักสวนครัวเหล่านี้สามารถทำได้โดย การแช่ไว้ในน้ำนานประมาณ 5 - 10 นาที แล้วล้างด้วยน้ำสะอาดอีกครั้งหนึ่ง หรือล้าง ด้วย น้ำประปาที่กำลังไหลนาน 2 นาที
4. การคัดเลือกและคัดขนาดผลผลิต ในกรณีที่พืชผักสวนครัวที่ปลูกมีจำนวนมากเกิน ความต้องการบริโภคภายในครอบครัวผู้ปลูก สามารถที่จะนำผลผลิตเหล่านั้นไปจำหน่ายได้ ซึ่งในการจำหน่ายจะต้อง มีการคัดเลือกและคัด ขนาดของผลผลิต ซึ่งสามารถใช้วิธีการ สังเกตหรือใช้อุปกรณ์ชั่งน้ำหนัก เพื่อให้ขนาดและ ลักษณะ ของผลผลิตในแต่ละกลุ่มใกล้เคียงกันมากที่สุด การคัดขนาดจะส่งผลให้ผู้ปลูกได้ราคาดี และดูน่าซื้อยิ่งขึ้น 5. การบรรจุหีบห่อ เป็นการนำผลผลิตที่ได้จากพืชผักสวนครัวมาลงในภาชนะที่เตรียมไว้ เพื่อป้องกันการ กระทบกระเทือน สะดวกในการขนย้าย ให้ผลผลิตเสียหายน้อยที่สุด การบรรจุหีบห่อ จะทำให้ผลผลิตดูดี มีค่า และมีราคาสูง
2. ความแตกต่างระหว่างผลิตผลพืชไร่และพืชสวน พืชปลูกส่วนมากแล้ว สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ พืชไร่ และพืชสวน ซึ่งผลิตผลที่ได้จาก พืชไร่ ได้แก่ พวกธัญพืช ถั่วต่าง ๆ พืชน้ำมัน อ้อย ยางพารา เป็นต้น ส่วนผลิตผลที่จากพืชสวน ได้แก่ พวกผัก ผลไม้ และดอกไม้เป็นต้น ซึ่งความแตกต่างระหว่างผลิตผลพืชไร่และผลิตผลพืชสวนแสดงไว้ในตารางที่ 12.1 จากตารางจะเห็นได้ว่า ผลิตผลพืชสวนมีเนื้อเยื่อที่อ่อนกว่า มีน้ำเป็นองค์ประกอบมากกว่าทำให้ผลิตผลพืช สวนมีความบอบบางกว่าผลิตผลพืชไร่ นอกจากนี้ผลิตผลพืชสวนยังมีการเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยาและทาง ชีวเคมีที่รวดเร็วกว่าผลิตผลพืชไร่ซึ่งการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้เป็นการเปลี่ยนแปลงที่จะนำไปสู่การสูญเสียของ ผลิตผล ทำให้ผลิตผลพืชสวนมีการสูญเสียง่ายกว่าผลิตผลพืชไร่ ดังนั้นในการเก็บเกี่ยวและการจัดการหลังการ เก็บเกี่ยวผลิตผลพืชสวนจึงควรจะต้องปฏิบัติอย่างพิถีพิถันและนุ่มนวลกว่าผลิตผลพืชไร่ พืชไร่ พืชสวน 1. น้ำเป็นองค์ประกอบประมาณ 10-20% 1. น้ำเป็นองค์ประกอบประมาณ 70-95% 2. ส่วนมากมีขนาดเล็ก น้ำหนักน้อยกว่า 1 กรัม 2. ส่วนมากมีขนาดใหญ่ น้ำหนัก 5 กรัม-5 กิโลกรัม 3. อัตราการหายใจต่ำและปล่อยความร้อน ออกมาน้อย 3. อัตราการหายใจสูงและปล่อยความร้อนออก มามาก 4. เนื้อเยื่อแข็ง 4. เนื้อเยื่ออ่อน เกิดบาดแผลได้ง่าย 5. สูญเสียได้ยาก อายุเกือบ 1 ปี จนกระทั่ง หลายปี 5. สูญเสียได้ง่าย อายุสั้น 2-3 วัน จนกระทั่ง หลายเดือน 6. การสูญเสียเกิดขึ้นโดยเชื้อรา แมลง นก และหนู 6. การสูญเสียเกิดขึ้นเนื่องจากการเน่าโดย เชื้อโรค การแตกหน่อ การเกิดบาดแผลและ สรีระของผลิตผลเอง ความแตกต่างระหว่างผลิตผลพืชไร่และพืชสวน (สายชล, 2528) 3. ดัชนีการเก็บเกี่ยว การเก็บเกี่ยวผลิตผลไม่ว่าจะเป็นผลิตผลพืชไร่หรือพืชสวน จะต้องคำนึงถึงอายุที่เหมาะสมของผลิตผลที่จะ ทำการเก็บเกี่ยว เพราะถ้าเก็บเกี่ยวในช่วงอายุที่ไม่เหมาะสม เช่นเก็บในระยะที่อ่อนหรือแก่เกินไป จะทำให้ ผลิตผลที่เก็บเกี่ยวได้ไม่มีคุณภาพ การที่เราจะทราบว่าผลิตผลชนิดนั้นเจริญเติบโตมาจนถึงระยะเวลาที่ เหมาะสมที่จะเก็บเกี่ยวหรือยังนั้น เราสามารถทราบได้จากตัวบ่งชี้ที่เรียกว่า “ดัชนีการเก็บเกี่ยว” ซึ่งดัชนีการ เก็บเกี่ยวนั้นมีอยู่ด้วยกันหลายแบบ เช่น การนับระยะเวลา การสังเกตจากสีของผลิตผล การสังเกตจากรูปร่าง การวัดองค์ประกอบทางเคมีของผลิตผล เช่น ปริมาณน้ำตาล เป็นต้น ผลิตผลบางชนิดสามารถใช้ดัชนีการเก็บ เกี่ยวได้หลายแบบ ซึ่งดัชนีการเก็บเกี่ยวของผลิตผลที่สำคัญบางชนิดได้แสดงไว้ในตารางที่ 12.2 นอกจากดัชนี การเก็บเกี่ยวที่กล่าวในข้างต้นแล้ว ในต่างประเทศนิยมใช้การสะสมความร้อน (heat unit หรือ degree day) เป็นตัวกำหนดเวลาการเก็บเกี่ยว ทั้งนี้เพราะการเจริญเติบโตของพืชขึ้นอยู่กับอุณหภูมิ ภายใต้สภาพแวดล้อมที่ มีอุณหภูมิสูงผลิตผลจะแก่เร็ว แต่ถ้ามีอุณหภูมิต่ำผลิตผลจะแก่ช้า ดังนั้นพืชจะเจริญเติบโตไปถึงความบริบูรณ์ หรือความสุกแก่ (maturity) ได้ต้องผ่านช่วงอุณหภูมิที่เหมาะสมเป็นระยะเวลาหนึ่ง ซึ่งการสะสมความร้อน
สามารถคำนวณได้จากผลรวมของค่าความแตกต่างระหว่างอุณหภูมิเฉลี่ยในแต่ละวันและอุณหภุมิต่ำสุดที่พืช หรือส่วนของพืชนั้นจะเจริญได้ ( base line temperature) ดังสูตรต่อไปนี้ การสะสมความร้อน = å (อุณหภูมิเฉลี่ยในแต่ละวัน - อูณหภูมิต่ำสุดที่พืชเจริญได้) ตัวอย่างผลิตผลที่ใช้การสะสมความร้อนเป็นดัชนีการเก็บเกี่ยว ได้แก่ ข้าวโพดหวานพันธุ์ "Victory Golden" มีbase line temperature เท่ากับ 10 องศาเซลเซียส มีปริมาณของ การสะสมความร้อนนับจากวัน ปลูกจนกระทั่งเก็บเกี่ยวเท่ากับ 2,021 CDD (celcius degree day) แอปเปิ้ลพันธุ์ "Golden Delicious" มี อุณหภูมิต่ำสุดที่พืชหรือส่วนของพืชนั้นจะเจริญได้เท่ากับ 4.4 องศาเซลเซียส มีปริมาณของการสะสมความ ร้อนนับจากวันออกดอกจนกระทั่งผลสุกเท่ากับ 4,400 CDD เป็นต้น ชนิดของพืช ดัชนีการเก็บเกี่ยว ผลิตผลพืชไร่ ข้าว - ประมาณ 30 วันหลังออกรวง - ระยะที่เมล็ดข้าวที่โคนรวงมีสีเหลืองไม่สนิทนัก (ระยะพลับพลึง) ข้าวโพด - ประมาณ 105 - 110 วัน หลังหยอดเมล็ด - กาบหุ้มฝักแห้งเป็นสีฟาง ถั่วเขียว - ประมาณ 60-70 วัน หลังจากงอก - ฝักเปลี่ยนสีเป็นสีดำ หรือ ขาวนวล ถั่วเหลือง - ประมาณ 75 - 110 วัน หลังจากงอก - ใบของถั่วเหลืองจะเริ่มเหลืองและเริ่มร่วง ฝักจะเปลี่ยนเป็นสีเขียวอม เหลืองและเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลอ่อน มันสำปะหลัง - ประมาณ 12 เดือน ตั้งแต่เริ่มปลูก ปาล์มน้ำมัน - สีผลเปลี่ยนเป็นสีแดงส้ม อ้อย - วัดค่าบริกซ์บริเวณ โคน กลาง และยอด เฉลี่ยแล้วมากกว่า 18 บริกซ์ ยางพารา - เปิดกรีดเมื่ออายุประมาณ 6 ปี - เส้นรอบวงของลำต้นมากกว่า 50 ซม. ชนิดของพืช ดัชนีการเก็บเกี่ยว ผลิตผลพืชสวน ข้าวโพดหวาน - ประมาณ 70 - 75 วัน หลังหยอดเมล็ด - ประมาณ 18 วัน หลังออกไหม
ถั่วเหลืองฝักสด - ประมาณ 62 - 72 วัน หลังหยอดเมล็ด - ฝักมีสีเขียวและเมล็ดเต่งเต็มที่ ผักกาดเขียวกวางตุ้ง - ประมาณ 35 - 45 วัน หลังปลูก ผักบุ้ง - ประมาณ 25 - 30 วัน หลังปลูก เงาะ - เงาะสีชมพู 22 - 28 วัน หลังเริ่มเปลี่ยนสี - เงาะโรงเรียน 19 - 30 วัน หลังเริ่มเปลี่ยนสี มังคุด - ประมาณ 77 - 78 วัน หลังติดผล - สีม่วงแดง เพื่อจำหน่ายในประเทศ - เริ่มเปลี่ยนสี (ระยะสายเลือด) เพื่อจำหน่ายต่างประประเทศ ทุเรียน - พันธุ์ชะนี ประมาณ 100 - 110 วัน หลังดอกบาน หรือ ร่องหนามสีน้ำ ตาลไหม้ - พันธุ์หมอนทอง ประมาณ 115 - 130 วันหลังดอกบาน หรือ เคาะดูมี เสียงโพรก มะม่วง - ประมาณ 95 - 105 วัน หลังติดผล - เริ่มเปลี่ยนสี มีนวลมาก ดอกกุหลาบ - ดอกสีแดง และสีชมพู ตัดเมื่อกลีบดอกเริ่มคลี่ กลีบเลี้ยงชี้ลงข้างล่าง ดอกกล้วยไม้สกุลหวาย - ดอกย่อยบานเกือบทั้งหมด ดัชนีการเก็บเกี่ยวของพืชปลูกที่สำคัญบางชนิด 4. วิธีการเก็บเกี่ยว วิธีการเก็บเกี่ยวผลิตผลแบ่งออกเป็น 3 วิธีคือ การเก็บเกี่ยวโดยใช้แรงคน การเก็บเกี่ยวโดยใช้เครื่องจักรกล และการเก็บเกี่ยวโดยใช้สัตว์ช่วยเก็บเกี่ยว 1) การเก็บเกี่ยวโดยใช้แรงงานคน เป็นการเก็บเกี่ยวโดยการใช้มือคนเก็บเกี่ยวผลิตผล ซึ่งมีทั้งการใช้มือ เพียงอย่างเดียว และ การใช้อุปกรณ์ช่วยในการเก็บเกี่ยว การใช้มือในการเก็บเกี่ยวเพียงอย่างเดียวนั้น ได้แก่ การใช้มือปลิดผลไม้ นิยมใช้กับผลิตผลที่ต้นไม่สูงนัก และมีการสร้างเนื้อเยื่อแอบซิสชัน (abscission layer) ขึ้นแล้ว ผลจะหลุดออกจากต้นโดยง่าย ส่วนการใช้อุปกรณ์ช่วยในการเก็บเกี่ยวนั้นเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพใน การเก็บเกี่ยว ทำให้สามารถเก็บเกี่ยวผลิตผลได้สะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้น อุปกรณ์ที่ใช้ช่วยในการเก็บเกี่ยวมีอยู่ มากมายหลายชนิด เช่น การใช้เคียวหรือแกระเก็บเกี่ยวข้าว การใช้มีดหรือกรรไกรเก็บเกี่ยวผลิตผลพืชสวน เช่น กล้วย ลองกอง หรืออุปกรณ์ที่ช่วยในการตัดอื่นๆ ซึ่งต้องมีความคม เพื่อทำให้เกิดบาดแผลหรือความบอบ ช้ำน้อยที่สุด ถ้าหากผลิตผลอยู่สูงหรืออยู่ปลายกิ่ง หรือต้นมีหนาม เก็บเกี่ยวด้วยมือไม่สะดวก การใช้ตะกร้อจะ เป็นประโยชน์อย่างมากและทำงานได้เร็วกว่าการใช้มือ มีด หรือกรรไกร ต้นไม้ที่มีพุ่มหนาทึบ กิ่งเล็กฉีกขาด ง่ายคนปีนไม่ได้ การใช้บันไดหรือพะองจะช่วยให้ผู้เก็บเกี่ยวใช้มือ มีดหรือกรรไกรเก็บเกี่ยวผลผลิตได้สะดวกขึ้น 2) การเก็บเกี่ยวโดยใช้เครื่องจักรกล ปัจจุบันการใช้เครื่องจักรกลเริ่มเข้ามามีบทบาทในการเก็บเกี่ยว ผลิตผล เนื่องจากปัญหาแรงงานหายากและราคาสูง โดยเฉพาะในประเทศที่พัฒนาแล้วหลายๆ ประเทศ ส่วน