การเปรียบเทียบทักษะสมอง EF ของเด็กปฐมวัย ที่ได้รับการจัดประสบการณ์การเรียนรู้แบบ ทำนาย สังเกต อธิบาย (Predict Observe Explain: POE) ปิยะธิดา คำเวียงชัย รายงานการวิจัยในชั้นเรียนนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาหลักสูตร ครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี 2567
การเปรียบเทียบทักษะสมอง EF ของเด็กปฐมวัย ที่ได้รับการจัดประสบการณ์การเรียนรู้แบบ ทำนาย สังเกต อธิบาย (Predict Observe Explain: POE) ปิยะธิดา คำเวียงชัย รายงานการวิจัยในชั้นเรียนนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาหลักสูตร ครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี 2567
ชื่อเรื่อง การเปรียบเทียบทักษะสมอง EF ของเด็กปฐมวัยที่ได้รับ การจัดประสบการณ์การเรียนรู้แบบ ทำนาย สังเกต อธิบาย (Predict Observe Explain: POE) ผู้วิจัย นางสาวปิยะธิดา คำเวียงชัย อาจารย์ที่ปรึกษา ดร. ศศิธร อมรินทร์แสงเพ็ญ ที่ปรึกษาร่วม คุณครูจินตนา ปานนูน ปริญญา ครุศาสตรบัณฑิต ปีการศึกษา 2567 บทคัดย่อ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบทักษะสมอง EF ของเด็กปฐมวัย ก่อนและหลัง ได้รับการจัดประสบการณ์การเรียนรู้รูปแบบทำนาย สังเกต อธิบาย กลุ่มตัวอย่างเป็นเด็กนักเรียน ชาย – หญิง อายุ 4 – 5 ปี กำลังศึกษาอยู่ระดับชั้นอนุบาลปีที่ 2 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 โรงเรียนบ้านหมากแข้ง อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา อุดรธานี เขต 1 จำนวน 27 คน ที่ได้มาโดยการสุ่มแบบกลุ่ม รูปแบบการวิจัย คือ แบบกลุ่มเดียว ทดสอบก่อนและหลัง วิเคราะห์ข้อมูล โดยใช้ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบ ทีแบบไม่อิสระ ผลการวิจัยพบ เด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดประสบการณ์การเรียนรู้แบบ ทำนาย สังเกต อธิบาย มีทักษะสมอง EF หลังการจัดประสบการณ์สูงกว่าก่อนการจัดประสบการณ์
กิตติกรรมประกาศ รายงานการวิจัยในชั้นเรียนฉบับนี้สำเร็จสมบูรณ์ได้ด้วยความกรุณาจาก ดร.ศศิธร อมรินทร์แสงเพ็ญ อาจารย์ที่ปรึกษาวิจัย และนางจินตนา ปานนูนที่ปรึกษาร่วม ที่ได้กรุณา ให้คำปรึกษา ชี้แนะแนวทางต่างๆ ผู้วิจัยรู้สึกซาบซึ้งในความกรุณาเป็นอย่างยิ่ง ผู้วิจัย ขอกราบขอบพระคุณอย่างสูง มา ณ ที่นี้ ขอขอบพระคุณท่านผู้เชี่ยวชาญ นางสาวศุภรดา วงษ์แก้ว ครูชำนาญการพิเศษ โรงเรียน บ้านหมากแข้ง สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา อุดรธานี เขต 1 ที่ให้คำแนะนำปรึกษา และเป็นผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบ แก้ไขเครื่องมือวิจัยให้มีคุณภาพ ขอขอบพระคุณผู้อำนวยการสถานศึกษาและคณะครูโรงเรียนบ้านหมากแข้ง ทุกท่าน ที่อำนวยความสะดวก ให้ความร่วมมือช่วยเหลือและเป็นกำลังใจโดยตลอด ขอขอบใจนักเรียน ชั้นอนุบาลปีที่ 2 โรงเรียนบ้านหมากแข้ง ปีการศึกษา 2566 ทุกคนที่ให้ความร่วมมือ ในการทดลอง เพื่อเก็บรวบรวมข้อมูลในการวิจัยครั้งนี้ ขอกราบขอบพระคุณบิดา มารดา สมาชิกทุกคนในครอบครัวของผู้วิจัย ผู้ที่อยู่เบื้องหลัง แห่งความสำเร็จครั้งนี้ คอยช่วยเหลือและให้กำลังใจผู้วิจัย คุณค่าและประโยชน์อันพึงมีของงานวิจัยใน ชั้นเรียนฉบับนี้ ผู้วิจัยขอมอบแด่คุณบิดา มารดา ผู้เป็นบุพการี ตลอดจนบูรพาจารย์ผู้ประสิทธิ์ ประสาทวิชาให้ผู้วิจัยและผู้มีพระคุณทุกท่าน สืบไป ปิยะธิดา คำเวียงชัย
สารบัญ บทคัดย่อ ................................................................................................................ ค กิตติกรรมประกาศ ............................................................................................................... ง สารบัญ .............................................................................................................. จ สารบัญตาราง ................................................................................................................ ช สารบัญภาพ ................................................................................................................ ฌ บทที่ หน้า 1 บทนำ .................................................................................................................. 1 ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา ............................................................. 1 วัตถุประสงค์ของการวิจัย ..................................................................................... 3 สมมติฐานของการวิจัย ....................................................................................... 3 ขอบเขตของการวิจัย .......................................................................................... 3 นิยามศัพท์เฉพาะ ................................................................................................ 5 ประโยชน์ที่จะได้รับ ............................................................................................ 6 กรอบแนวคิด ...................................................................................................... 6 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง .......................................................................... 7 ทักษะทางสมอง EF ............................................................................................ 7 ความหมายของทักษะสมอง EF ………………………………………………………….. 7 ความสำคัญของทักษะสมอง EF ………………………………………………………….. 8 ประเภทของทักษะสมอง EF ………………………………………………………………. 10 ประโยชน์ของทักษะสมอง EF …………………………………………………………….. 12 แนวทางการปลูกฝังและเสริมสร้างทักษะสมอง EF สำหรับเด็กปฐมวัย ....................................................................................... 13 การจัดประสบการณ์การเรียนรู้แบบ ทำนาย สังเกต อธิบาย (Predict Observe Explain: POE) ………………………………………………………….. 16 ความหมายการการจัดประสบการณ์การเรียนรู้แบบ ทำนาย สังเกต อธิบาย (Predict Observe Explain: POE) …………………………….. 16 ทฤษฎีการจัดประสบการณ์การเรียนรู้แบบ ทำนาย สังเกต อธิบาย (Predict Observe Explain: POE) ……………………………………….. 18
สารบัญ (ต่อ) บทที่ หน้า ขั้นตอนการจัดประสบการณ์การเรียนรู้แบบ ทำนาย สังเกต อธิบาย (Predict Observe Explain: POE) …………………………………..…… 20 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ............................................................................................. 22 งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับทักษะสมอง EF …………………………………................ 22 งานวิจัยในประเทศ ……………………………………………………………….…. 22 งานวิจัยต่างประเทศ .......................................................................... 24 วิจัยที่เกี่ยวข้องกับการจัดประสบการณ์การเรียนรู้แบบ ทำนาย สังเกต อธิบาย (Predict Observe Explain: POE) ……………….…………… 26 งานวิจัยในประเทศ ………………………………………………………………….. 26 งานวิจัยต่างประเทศ............................................................................ 28 ขั้นตอนการจัดประประสบการณ์การเรียนรู้แบบ ทำนาย สังเกต อธิบาย (Predict Observe Explain: POE) ……………….…………………… 29 3 วิธีดำเนินการวิจัย ................................................................................................ 31 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ................................................................................ 31 รูปแบบในการทดลอง ........................................................................................ 31 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย .................................................................................... 32 การดำเนินกิจกรรม ............................................................................................ 39 การวิเคราะห์ข้อมูล ............................................................................................. 39 สถิติในการวิเคราะห์ข้อมูล .................................................................................. 39 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล ........................................................................................ 41 สัญลักษณ์ที่ใช้ในการเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล ……………………………………….. 41 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล ........................................................................................ 41 5 สรุป อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ …………………………………………………………… 43 วัตถุประสงค์ของการวิจัย ……………………………………………………………………….… 43 สมมติฐานของการวิจัย ....................................................................................... 43 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ………………………………………………………………………. 43 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ………………………………………………………………………….. 43 การดำเนินการจัดกิจกรรม ……………………………………………………………………….. 44
สารบัญ (ต่อ) บทที่ หน้า การวิเคราะห์ข้อมูล …………………………………………………………………………………. 44 สรุปผลการวิจัย ………………………………………………………………………………………. 44 อภิปรายผลการวิจัย ............................................................................................ 44 ข้อเสนอแนะ ....................................................................................................... 46 บรรณานุกรม ……………………………………………………………………………………………………………. 47 ภาคผนวก ภาคผนวก ………………………………………………………………………………………….. 51 ภาคผนวก ก รายชื่อผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบเครื่องมือ ...................................... 52 ภาคผนวก ข แบบประเมินความสอดคล้อง (IOC) ของแบบประเมินการพัฒนา ทักษะทางสมอง EF สำหรับเด็กปฐมวัย ........................................................ 54 ภาคผนวก ค ค่าอำนาจจำแนก (r) และค่าความเชื่อมั่นของแบบประเมินการ พัฒนาทักษะทางสมอง EF สำหรับเด็กปฐมวัย ……………………………………….. 57 ภาคผนวก ง ตัวอย่าง แผนการจัดประสบการณ์การเรียนรู้รูปแบบ ทำนาย สังเกต อธิบาย (Predict Observe Explain: POE) ………………………………… 59 ภาคผนวก จ ตัวอย่าง แบบประเมินทักษะสมอง EF สำหรับเด็กปฐมวัย ..... 63 ภาคผนวก ฉ ภาพการจัดกิจกรรมการเรียนรู้รูปแบบ ทำนาย สังเกต อธิบาย (Predict Observe Explain: POE) ………………………………………………………. 67 ประวัติย่อผู้วิจัย ……………………………………………………………………………………………………………. 70
สารบัญตาราง ตารางที่ หน้า 1 หน่วยการจัดการจัดประสบการณ์การเรียนรู้แบบ ทำนาย สังเกต อธิบาย (Predict Observe Explain: POE)…………………………………………………………….. 4 2 แบบแผนการทดลอง…………………………………………………………………………………. 32 3 หน่วยการจัดประสบการณ์การเรียนรู้แบบ ทำนาย สังเกต อธิบาย (Predict Observe Explain: POE …………………………………………………………….. 33 4 ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของทักษะทางสมอง EF ของเด็กปฐมวัย ก่อนและหลังการจัดประสบการณ์การเรียนรู้แบบ ทำนาย สังเกต อธิบาย (Predict Observe Explain: POE) ……………………………………………..…………. 42 5 การเปรียบเทียบคะแนนทักษะทางสมอง EF ของเด็กปฐมวัยก่อนและหลังการ จัดประสบการณ์การเรียนรู้แบบ ทำนาย สังเกต อธิบาย (Predict Observe Explain: POE) ……………………………………………………………………………………… 42 6 แบบประเมินความสอดคล้อง (IOC)ของแบบประเมินการพัฒนาทักษะทางสมอง EF สำหรับเด็กปฐมวัย……………………………………………………………………………. 55 7 ค่าอำนาจจำแนก (r) และค่าความเชื่อมั่นของแบบประเมินการพัฒนาทักษะทาง สมอง EF………………………………………………………………………………………………….. 58
สารบัญภาพ ภาพที่ หน้า 1 กรอบแนวคิดการวิจัย ................................................................................. 6 2 พีระมิดแห่งการเรียนรู้ (Learn Pyramid) ………………………………………… 17 3 ขั้นตอนการสร้างแผนการจัดประสบการณ์การเรียนรู้แบบ ทำนาย สังเกต อธิบาย(Predict Observe Explain: POE) ……………………………………… 35 4 ขั้นตอนการสร้างแบบประเมินการพัฒนาทักษะทางสมอง EF สำหรับเด็กปฐมวัย ...................................................................................... 38
1 บทที่ 1 บทนำ ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา นโยบายของรัฐบาลทุกยุคได้ให้ความสำคัญการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เป็นสำคัญ เพราะการ พัฒนาทรัพยากรมนุษย์หรือพัฒนาคนเป็นสิ่งสำคัญในการพัฒนาประเทศให้เจริญก้าวหน้าทัดเทียมกับ อารยะประเทศ เป้าหมายหลักของการพัฒนามนุษย์ก็คือ การพัฒนาด้านจิตใจ ร่างกายสติปัญญา อารมณ์และสังคม ทั้งนี้เพื่อให้คนในชาติมีศักยภาพ สามารถพึ่งพาตนเองได้ส่งผลให้เกิดเป็นสังคมที่มี คุณภาพ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 12 (พ.ศ. 2560 - 2564) ได้กำหนดประเด็น การพัฒนาในด้านการเตรียมพร้อมด้านกำลังคนเสริมสร้างศักยภาพของทุกช่วงวัยให้เป็นทรัพยากร มนุษย์ที่มีศักยภาพสูง โดยเฉพาะช่วงเด็กปฐมวัย (อายุ0 - 6 ปี) ได้กำหนดจุดเน้นที่สำคัญคือ การพัฒนากลุ่มเด็กปฐมวัยให้มีสุขภาพกายและใจที่ดีมีทักษะทางสมอง ทักษะการเรียนรู้ทักษะชีวิต และ ทักษะทางสังคม เพื่อให้เติบโตอย่างมีคุณภาพ การจัดการศึกษาระดับปฐมวัยมีความสำคัญอย่าง ยิ่งในการวางรากฐานของชีวิตเพราะการเป็น ผู้ใหญ่ที่ดีมีคุณภาพในวันข้างหน้าจะต้องได้รับ การปูพื้นฐานที่ดีมาตั้งแต่ปฐมวัย และในช่วงของชีวิตเป็น ช่วงที่เด็ก 6 ปีแรกของชีวิต เด็กจะมีพัฒนาการอย่างรวดเร็วมากในทุกด้าน โดยพัฒนาการทางสติปัญญาที่ เกิดขึ้นในวัยก่อน ประถมศึกษานี้จะเป็นรากฐานให้แก่การพัฒนาทางสติปัญญาในระดับต่อๆไป ซึ่ง พัฒนาการทาง สติปัญญาของเด็กจะพัฒนาได้ขึ้นอยู่กับการที่เด็กได้มีโอกาสปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม ได้มีโอกาสใช้ ประสาทสัมผัสในการเรียนรู้สิ่งต่างๆ (เพียเจย์. 2566: Online) ซึ่งการจัดสิ่งแวดล้อมและ การจัด ประสบการณ์จึงเป็นสิ่งสำคัญต่อการพัฒนาการทางสติปัญญา (กระทรวงศึกษาธิการ. 2555: 5; อ้างอิง จาก Boom and piaget.n.d. 1964: 209-225) หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2560 ได้จัดทำขึ้นเพื่อพัฒนาเด็กปฐมวัยให้สอดคล้อง กับการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและการสร้างรากฐาน คุณภาพชีวิตให้แก่เด็ก โดยยึดแนวคิดสำคัญ คือ 1) พัฒนาการของเด็ก 2) พัฒนาเด็กโดยองค์รวม 3) การจัดการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับการทำงานของ สมอง 4) การเล่นและการเรียนรู้ของเด็ก 5) การคำนึงถึงสิทธิและการสร้างคุณค่าและสุขภาวะ 6) การ อบรมเลี้ยงดูความรู้การให้การศึกษา 7) การบูรณาการ 8) สื่อเทคโนโลยีและสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อ การเรียนรู้9) การประเมินตามสภาพ จริง 10) การมีส่วนร่วมของครอบครัวสถานศึกษาหรือสถาน พัฒนาเด็กปฐมวัยและ 11) ยึดหลัก ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงความเป็นไทย และความหลากหลาย เมื่อจบการศึกษาระดับปฐมวัย กำหนดมาตรฐานคุณลักษณะที่พึงประสงค์จำนวน 12 มาตรฐาน พัฒนาการด้านสติปัญญา ในมาตรฐานที่ 9 ใช้ภาษาสื่อสารได้เหมาะสมกับวัย ตัวบ่งชี้ที่ 9 สนทนา โต้ตอบและเล่าเรื่องให้ผู้อื่น เข้าใจ สภาพที่พึงประสงค์อายุ 5-6 ขวบ (กระทรวงศึกษาธิการ, 2560) ทักษะสมอง EF มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาเด็กเพราะเป็นกระบวนการทางความคิด ที่ เกี่ยวข้องกับความคิด ความรู้สึก การกระทำ และเป็นกระบวนการในการทำงานของสมองส่วนหน้า (Frontal lobes) ในส่วนที่ควบคุมสั่งการที่มีความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งต่างๆ กับตนเอง การรับรู้ สังเกต
2 จดจำ วิเคราะห์ รู้เหตุผล และการแก้ปัญหาที่มีความหลากหลายของสติปัญญาในการคิดขั้น สูง ควบคุม กำกับและ จัดการตนเอง มีความสำคัญในการกำหนดเป้าหมาย การวางแผน การจัด ระเบียบ การจัดระดับ ความสำคัญผ่านการแสดงออกทางด้านร่างกายและจิตใจ (ศักดิ์ชัย ใจซื่อตรง. 2561: 73) ซึ่งสอดคล้องกับทักษะสมอง EF (Executive Function) ว่าเป็นชุดกระบวนการ ทาง ความคิด (Mental Process) ที่ช่วยให้เราวางแผน มุ่งใจจดจ่อ จำคำสั่งและจัดการกับงานหลายๆ อย่างให้ลุล่วงเรียบร้อยได้สามารถจัดลำดับความสำคัญของงาน วางเป้าหมายและทำไปเป็นขั้นตอน จนสำเร็จ รวมทั้งควบคุมแรงอยาก แรงกระตุ้นทั้งหลาย ไม่ให้สนใจไปนอกลู่นอกทาง และสำนักงาน กองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพและสถาบัน RLG (2561) ได้ให้ความสำคัญถึงทักษะสมองเพื่อ จัดการชีวิตให้สำเร็จ หรือ Executive Function (EF) แบ่งเป็น 3 กลุ่ม 9 ทักษะ คือกลุ่มทักษะ พื้นฐาน ได้แก่ ทักษะด้านความจำเพื่อใช้งาน ทักษะด้านการยั้งคิดไตร่ตรอง และทักษะด้านการ ยืดหยุ่นความคิด กลุ่มทักษะกำกับตนเอง ได้แก่ ทักษะด้านการจดจ่อใส่ใจ ทักษะด้านการควบคุม อารมณ์และทักษะด้านการติดตามประเมินตนเอง และกลุ่มทักษะปฏิบัติได้แก่ ทักษะด้านการริเริ่ม และลงมือทำ ทักษะด้านการวางแผนจัดระบบดำเนินการ และทักษะด้านการมุ่งเป้าหมายเมื่อเด็ก ได้รับโอกาสในการพัฒนาทักษะสมอง (EF) จะช่วยสร้างพฤติกรรมเชิงบวกและเลือกตัดสินใจในทางที่ สร้างสรรค์ดังนั้น การพัฒนาทักษะสมอง (EF) ที่ถูกที่ ถูกเวลา จึงเป็นเรื่องสำคัญ ควรฝึกพัฒนาการ ทักษะสมอง (EF) ให้ชำนาญและมีประสิทธิภาพต่อไปในอนาคต ส่งผลให้เด็กเป็นพลเมืองคุณภาพ (คันธรส ภาผล, 2563) ดังนั้นทักษะ สมอง EF จึงมีความสำคัญอย่างมากในการพัฒนาเด็กปฐมวัย ใน ฐานะนักศึกษาฝึกประสบการณ์วิชาชีพครูสังเกตพบว่า ในยุคปัจจุบันโลกดำเนินไปด้วยเทคโนโลยี ซึ่ง เทคโนโลยีที่เข้าถึงได้ง่ายคือโทรศัพท์มือถือ โทรศัพท์มือถือสามารถเข้าถึงได้ทุกเพศทุกวัย ในปัจจุบัน หลายครอบครัวที่พ่อแม่จำเป็นต้องออกไปทำงาน และได้ซื้อโทรศัพท์ให้ลูกตั้งแต่ยังเด็กเป็นหนึ่งใน สาเหตุที่ทำให้ลูกติดโทรศัพท์ยิ่งไม่มีการควบคุมการใช้งานยิ่งส่งผลทำให้ลูกติดโทรศัพท์มากขึ้น (สปีค อัพ, ม.ป.ป.) จึงทำให้เด็กมีพัฒนาการทักษะทักษะสมอง EF ล่าช้ากว่าวัยหรือมีปัญหาพฤติกรรมที่เป็น ความบกพร่องมีปัญหาในทักษะการกำกับ ตนเอง หุนหันพลันแล่น ทำโดยไม่คิด ใจร้อน รอคอยไม่เป็น สมาธิสั้น วอกแวกง่าย ในระยะยาวมีแนวโน้ม ส่งผลเสียต่อการเรียน การทำงาน การอยู่ร่วมกับผู้อื่น ในสังคม (นวลจันทร์ จุฑาภักดีกุล. 2560) เป็น บ่อเกิดของปัญหาพฤติกรรมของเด็กปฐมวัยส่งผลต่อ ทักษะสมอง EF ของเด็กในอนาคตต่อไป ผู้วิจัยในฐานะนักศึกษาฝึกปฏิบัติการสอนในสถานศึกษาสังเกต พบว่า เด็กส่วนใหญ่ ไม่ สามารถควบคุมอารมณ์ของตนเองได้ไม่สามารถจดจ่ออยู่กับกิจกรรม และไม่สามารถตัดสินใจทำด้วย ตัวเอง ซึ่ง กิจกรรมที่สามารถพัฒนาทักษะสมอง EF ของเด็กปฐมวัยมีอยู่หลายวิธี และวิธีการหนึ่งที่ สามารถพัฒนา ทักษะสมอง EF ของเด็กปฐมวัยได้ดี คือ การจัดการเรียนรู้รูปแบบ ทำนาย สังเกต อธิบาย (Predict Observe Explain: POE) การจัดการเรียนรู้รูปแบบ POE มีพื้นฐานมาจากทฤษฎีการสร้างความรู้คอนสตรัคติวิสต์ ซึ่งเป็น รูปแบบการสอนที่สร้างองค์ความรู้ให้กับผู้เรียน มีพื้นฐานมาจากทฤษฎีพัฒนาการทางเชาว์ปัญญา ของเพียเจต์ (Piaget) และวีก็อทสกี้ (Vygotsky) เป็นรูปแบบการสอนที่กล่าวถึง การเรียนรู้ที่ผู้เรียน สร้างความรู้ในขณะที่ได้รับการจัดประสบการณ์ในสถานณ์การต่าง ๆ ซึ่งรูปแบบการการสอนนี้เกิดขึ้น เกิดจากการสังเกตการณ์เรียนรู้ของเด็ก (ชนาธิป พรกุล. 2554: 72) และเป็นวิธีการที่ช่วยส่งเสริม
3 ผู้เรียนได้พัฒนาทักษะการคิดโดยผู้สอนนำสถานการณ์ ทำนายสิ่งที่เกิดขึ้นบนพื้นฐานความรู้ เดิม หลังจากผู้เรียนทำนายผลแล้วผู้เรียนต้องสังเกต เพื่อหาคำตอบจากสถานการณ์ ที่ผู้สอนสร้างขึ้น และขั้นตอนสุดท้ายผู้เรียนจะต้องอธิบายถึงความแตกต่างระหว่างผลที่ได้จากการทำนายและผลจาก การณ์สังเกตได้ (นัชชา แดงงาม และสุระ วุฒิพรหม. 2557: 88; อ้างอิงจาก พัชรินทร์ ธัมมา. 2563: 3) ดังนั้นการที่จะพัฒนาทักษะสมอง EF ควรส่งเสริมให้เด็กได้เรียนเรียนรู้จากประสบการณ์ตรง หรือ ลงมือปฏิบัติด้วยตนเอง เริ่มจากรูปธรรมไปสู่นามธรรม ให้เด็กได้สังเกต ได้สัมผัส ได้ค้นคว้าหาคำตอบ แก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้ทั้งในห้องเรียนและนอกห้องเรียน ซึ่งเด็กที่ได้รับการพัฒนาทักษะสมอง EF จะพัฒนาได้ดีในวัยนี้ ก็จะเป็นรากฐานในการพัฒนาทักษะสมอง EF ในด้านต่อไป จากเหตุผลข้างต้น ผู้วิจัยในฐานะนักศึกษาฝึกปฏิบัติการในสถานศึกษา จึงมีความที่จะศึกษา ว่าเด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดประสบการณ์การเรียนรู้รูปแบบ ทำนาย สังเกต อธิบาย (Predict Observe Explain: POE) มีทักษะสมอง EF สูงกว่าก่อนการได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้หรือไม่ โดยผลที่ได้จากการวิจัยครั้งนี้จะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาทักษะสมอง EF ของเด็กปฐมวัยต่อไป วัตถุประสงค์ของการวิจัย เพื่อเปรียบเทียบทักษะสมอง EF ของเด็กปฐมวัย ก่อนและหลังได้รับการจัดประสบการณ์ การเรียนรู้รูปแบบ ทำนาย สังเกต อธิบาย (Predict Observe Explain: POE) สมมติฐานของการวิจัย เด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดประสบการณ์การเรียนรู้รูปแบบ ทำนาย สังเกต อธิบาย (Predict Observe Explain: POE) มีทักษะสมอง EF หลังการจัดประสบการณ์สูงกว่าก่อนจัดประสบการณ์ ขอบเขตของการวิจัย ขอบเขตของการวิจัย การวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยได้กำหนดขอบเขตการวิจัย ดังนี้ 1. ประชากร ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็นเด็กนักเรียนชั้นอนุบาลที่อยู่ในจังหวัดอุดรธานี 2. กลุ่มตัวอย่าง เด็กนักเรียนชาย – หญิง อายุ 4 – 5 ปี กำลังศึกษาอยู่ระดับชั้นอนุบาลปีที่ 2 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 โรงเรียนบ้านหมากแข้ง อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี เขต 1 จำนวน 27 คน ที่ได้มาโดยการสุ่ม แบบกลุ่ม (Cluster Random Sampling) 3. ตัวแปรที่ศึกษา 3.1 ตัวแปรต้น คือ การจัดประสบการณ์การเรียนรู้รูปแบบ ทำนาย สังเกต อธิบาย (Predict Observe Explain: POE) 3.2 ตัวแปรตาม คือ ทักษะทางสมอง EF
4 4. เนื้อหาที่ใช้ในการวิจัย เนื้อหาในการทดลองเป็นแผนการจัดประสบการณ์การเรียนรู้รูปแบบ POE ที่เหมาะสม กับเด็กปฐมวัย ซึ่งประกอบไปด้วยแผนการจัดประสบการณ์การเรียนรู้รูปแบบ POE จำนวน 12 แผน ที่สอดคล้องกับหน่วยการจัดประสบการณ์ที่ใช้ในการทดลองการจัดประสบการณ์การเรียนรู้รูปแบบ POE ดังตารางที่ 1 ตารางที่ 1 หน่วยการจัดประสบการณ์ที่ใช้ในการทดลองการจัดประสบการณ์การเรียนรู้รูปแบบ POE สัปดาห์ที่ วันที่ทำการทดลอง หน่วยการจัด ประสบการณ์ ทักษะสมอง EF 1 จันทร์ พุธ ศุกร์ เศรษฐกิจพอเพียง การจดจ่อใส่ใจ การควบคุมอารมณ์ การริเริ่มและลงมือทำ 2 จันทร์ พุธ ศุกร์ วันลอยกระทง การจดจ่อใส่ใจ การควบคุมอารมณ์ การริเริ่มและลงมือทำ 3 จันทร์ พุธ ศุกร์ วันชาติ การจดจ่อใส่ใจ การควบคุมอารมณ์ การริเริ่มและลงมือทำ 4 จันทร์ พุธ ศุกร์ เทคโนโลยีและการ สื่อสาร การจดจ่อใส่ใจ การควบคุมอารมณ์ การริเริ่มและลงมือทำ 5 จันทร์ พุธ ศุกร์ สนุกกับตัวเลข การจดจ่อใส่ใจ การควบคุมอารมณ์ การริเริ่มและลงมือทำ 6 จันทร์ พุธ ศุกร์ ขนาด รูปร่าง รูปทรง การจดจ่อใส่ใจ การควบคุมอารมณ์ การริเริ่มและลงมือทำ 5. ระยะเวลาที่ใช้ในการวิจัย การวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยใช้ระยะเวลาในการทดลองในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 โดย ใช้เวลาในการทดลอง จำนวน 18 แผน มีระยะเวลาในการจัดกิจกรรม 6 สัปดาห์
5 นิยามศัพท์เฉพาะ เพื่อให้การดำเนินการวิจัยในครั้งนี้มีความชัดเจน ผู้วิจัยได้กำหนดความหมายของคำศัพท์ที่ใช้ ในการวิจัยในครั้งนี้ ดังนี้ 1. ทักษะสมอง EF หมายถึง ทักษะสมอง EF ของเด็กปฐมวัย ที่ผู้วิจัยได้ศึกษาครั้งนี้ หมายถึง 1.1 ทักษะการจดจ่อใส่ใจ หมายถึง พฤติกรรมที่เด็กแสดงออกถึงความสามารถ ในการรักษาความตื่นตัวในการทำกิจกรรมตลอดจนรักษาความสนใจในการทำกิจกรรมในทิศทางที่ ควร เพื่อให้ตนเองทำงานได้สำเร็จ ได้แก่ การตั้งใจทำกิจกรรมที่ได้รับมอบหมาย การทำกิจกรรมให้เสร็จตามเวลาที่กำหนด การทำกิจกรรมต่อเนื่องได้แม้มีสิ่งรบกวน 1.2 ทักษะการควบคุมอารมณ์ หมายถึง พฤติกรรมที่เด็กแสดงออกถึงความสามารถใน การควบคุมอารมณ์ของตนเองที่อยู่ในระดับที่เหมาะสมต่อสถานการณ์ต่าง ๆ รวมไปถึง การจัดการความเครียด ความกังวลอย่างเหมาะสม ได้แก่ การระงับความวิตกกังวลขณะทำกิจกรรม การจัดการอารมณ์ให้เหมาะกับสถานการณ์ การปรับอารมณ์ให้ลดลงเมื่อมีผู้ชี้แนะ 1.3 ทักษะการริเริ่มลงมือทำ หมายถึง พฤติกรรมที่เด็กแสดงออกถึงความสามารถ ในการริเริ่มและลงมือทำงานตามที่คิดและตัดสินใจเพื่อนำไปสู่การลงมือปฏิบัติให้เกิดผลสำเร็จ ได้แก่ การวางแผนปฏิบัติกิจกรรมอย่างง่ายด้วยตนเอง การตัดสินใจปฏิบัติกิจกรรมด้วยตนเอง การทำกิจกรรมทันทีเมื่อได้รับมอบหมาย 2. การจัดประสบการณ์การเรียนรู้แบบ ทำนาย สังเกต อธิบาย (Predict - Observe - Explain POE) หมายถึง การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ให้เด็กได้มีส่วนร่วมในการคิด การทำนายสิ่งที่จะ เกิดขึ้น หรือกิจกรรมที่จะเกิดขึ้นโดยใช้เหตุผล จากนั้นร่วมกันสังเกตสิ่งที่เกิดขึ้นจากการทำกิจกรรม ตลอดจนให้เหตุผลเพื่ออธิบายเหตุผลของการทำกิจกรรม ซึ่งประกอบด้วย 3 ขั้นตอน ดังนี้ 1. ขั้นนำ 1.1 ครูนำเด็กเข้าสู่กิจกรรมโดยการร้องเพลง ท่องคำคล้องจอง การใช้คำถาม 1.2 เด็กและครูร่วมกันสร้างข้อตกลงในการทำกิจกรรม 2. ขั้นสอน ขั้นทำนาย (P) 2.1 ครูแนะนำกิจกรรมและอุปกรณ์ในการทำกิจกรรม 2.2 ครูกระตุ้นให้เด็กทำนายผลของการทำกิจกรรม 2.3 เด็กบันทึกการทำนายลงในแบบบันทึก ขั้นสังเกต (O) 2.4 เด็กและครูร่วมกันสังเกตผลของการทำกิจกรรม 2.5 เด็กบันทึกผลการทำนายลงในแบบบันทึก ขั้นอธิบาย (E) 2.6 เด็กและครูร่วมกันอธิบายผลของการทำกิจกรรมหากเด็กอธิบายไม่ได้ครูใช้ คำถามนำและอธิบายเพิ่มเติม 2.7 เมื่อหมดเวลาครูให้สัญญาณเด็กเก็บอุปกรณ์เข้าที่
6 3. ขั้นสรุป -ครูและเด็กร่วมกันสรุปและแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการทำกิจกรรม ประโยชน์ที่ได้รับ ในการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยได้รับประโยชน์จากการวิจัย ดังนี้ 1. ได้ทราบผลการเปรียบเทียบทักษะสมอง EF ของเด็กปฐมวัย ที่ได้รับการจัด ประสบการณ์การเรียนรู้รูปแบบ ทำนาย สังเกต อธิบาย (Predict - Observe - Explain POE) ก่อน และหลังการจัดประสบการณ์การเรียนรู้รูปแบบ ทำนาย สังเกต อธิบาย (Predict - Observe - Explain POE) 2. ได้รับความรู้เกี่ยวกับทักษะทักษะสมอง EF ของเด็กปฐมวัย ที่ได้รับการจัด ประสบการณ์การเรียนรู้รูปแบบ ทำนาย สังเกต อธิบาย (Predict - Observe - Explain POE) 3. ได้แนวทางในการจัดประสบการณ์สำหรับครูผู้สอนระดับปฐมวัยในการจัด ประสบการณ์การเรียนรู้รูปแบบ ทำนาย สังเกต อธิบาย (Predict - Observe - Explain POE) ไปประยุกต์ใช้ในการพัฒนาเด็กปฐมวัยด้านอื่นๆ อย่างมีประสิทธิภาพ กรอบแนวคิดในการวิจัย ตัวแปรต้น ตัวแปรตาม ภาพที่ 1 กรอบแนวคิด การจัดประสบการณ์การเรียนรู้ รูปแบบ ทำนาย สังเกต อธิบาย (Predict - Observe - Explain POE) ทักษะสมอง EF ของเด็กปฐมวัย - ทักษะการจดจ่อใส่ใจ - ทักษะการควบคุมอารมณ์ - ทักษะการริเริ่มลงมือทำ
7 บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ในการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยได้ศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง เพื่อเป็นแนวทางใน การดำเนินการวิจัย ดังนี้ 1. ทักษะสมอง EF 1.1 ความหมายของทักษะสมอง EF 1.2 ความสำคัญของทักษะสมอง EF 1.3 ประเภทของทักษะสมอง EF 1.4 ประโยชน์ของการพัฒนาทักษะสมอง EF 1.5 แนวทางการปลูกฝังและเสริมสร้างทักษะสมอง EF สำหรับเด็กปฐมวัย 2. การจัดประสบการณ์การเรียนรู้แบบ ทำนาย สังเกต อธิบาย (POE) 2.1 ความหมายการจัดประสบการณ์การเรียนรู้แบบ ทำนาย สังเกต อธิบาย (POE) 2.2 ทฤษฎีการจัดประสบการณ์การเรียนรู้แบบ ทำนาย สังเกต อธิบาย (POE) 2.3 ขั้นตอนการจัดประสบการณ์การเรียนรู้แบบ ทำนาย สังเกต อธิบาย (POE) 3. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 3.1 งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับทักษะสมอง EF 3.2 วิจัยที่เกี่ยวข้องกับการจัดประสบการณ์การเรียนรู้แบบ ทำนาย สังเกต อธิบาย (Predict Observe Explain: POE) 4. ขั้นตอนการจัดประประสบการณ์การเรียนรู้แบบ ทำนายสังเกต อธิบาย (Predict Observe Explain: POE ทักษะสมอง EF 1. ความหมายของทักษะสมอง EF นักวิชาการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ให้ความหมายของทักษะสมอง EF ไว้ดังนี้ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (2561: 45) ทักษะสมอง EF คือ กระบวนการทำงานของสมองระดับสูง ที่ประมวล ประสบการณ์ในอดีตและสถานการณ์ในปัจจุบัน แล้วเอามาประเมิน วิเคราะห์ตัดสินใจวางแผนแล้วลงมือทำ ตรวจสอบตนเองแก้ไขปัญหารวมถึง ควบคุมอารมณ์บริหารเวลากำกับตนเองและมุ่งมั่นทำจนบรรลุเป้าหมายที่ตั้งใจไว้ทักษะสมองEF มีความสำคัญมาก เป็นทักษะที่ทำให้คนเราพัฒนามาได้จนถึงทุกวันนี้เพราะจะมีแอนทีเรียร์ซิงกูเลตคอร์ เทกซ์ (Anterior Cingulate Cortex: ACC) ทำหน้าที่ เหมือนเป็นตัวเซ็นเซอร์รับส่งสัญญาณ เช่น เมื่อพบกับสถานการณ์ที่ใหม่สถานการณ์ที่ไม่คุ้นเคย ACC จะประเมินอารมณ์และแรงจูงใจทันที สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (2558: 23) กล่าวว่า ความหมายว่าทักษะสมอง EF คือชุดกระบวนการทางความคิด (Mental Process) ที่ช่วยให้เราคิด เป็นมีเหตุผลยับยั้งชั่งใจได้ กำกับอารมณ์และพฤติกรรมตนเองได้ วางแผนทำงานเป็น มุ่งใจจดจ่อทำ อะไรไม่วอกแวกจำคำสั่ง และจัดการกับงานหลายๆ อย่างให้ลุล่วงเรียบร้อยได้ จัดลำดับงานเป็น
8 ขั้นตอน ยึดเป้าหมายแล้วทำไปเป็นขั้นตอนจนสำเร็จนั่นเอง ทักษะสมอง EF มีความสำคัญยิ่งยวดของ มนุษย์ทั้งต่อความสำเร็จในการเรียน การทำงานอาชีพ และการสร้างความสัมพันธ์กับคนอื่นๆ Seana , Howard (2012) กล่าวว่าExecutive Functions EF คือกระบวนการ ทํางานของสมองระดับสูงที่ประมวลประสบการณ์ในอดีตและสถานการณ์ในปัจจุบันมาประเมิน วิเคราะห์ตัดสินใจทําหน้าที่กํากับพฤติกรรมที่มุ่งสู่การวางแผนเริ่มลงมือทําตรวจสอบตนเองและแก้ไข ปัญหาตลอดจนเป้าหมายของบุคคลชี้ให้เห็นถึงสิ่งที่พึงกระทําให้เหมาะสมกับควบคุมอารมณ์บริหาร เวลาจัดความสําคัญกํากับตนเองมุ่งมั่นและการทําหน้าที่ของส่วนต่างๆของสมอง ปรีดา อุลิตา (ปรีญานันท์ พร้อมสุขกุล. 2016; อ้างอิงจาก ปรีดา อุลิตา. 2561: 1778) กล่าวว่า ทักษะสมองเพื่อชีวิตที่สำเร็จ EF คือ กระบวนการทางจิตใจของบุคคลที่ส่งเสริมการ จัดระบบ การจดจ่อใส่ใจ การจดจำคำแนะนำ การจัดการงานหลายอย่างให้สำเร็จ สมองจำเป็นต้องใช้ ความสามารถเหล่านี้ในการกลั่นกรอง การวางแผนการทำงานก่อนหลัง การจดจำข้อมูลที่จำเป็น สำหรับการทำงานนั้นให้สำเร็จตามแผนและเป้าหมายที่วางไว้ การควบคุม การยึดมั่นและการมีสมาธิ ที่แน่วแน่ระหว่างการทำกิจกรรมใดกิจกรรมหนึ่ง สิ่งเหล่านี้สร้างการส่งเสริมและสนับสนุนที่จำเป็น สำหรับเด็ก เพื่อให้พวกเขาได้พัฒนาและเรียนรู้อย่างเหมาะสม ถึงแม้ว่าเด็กจะไม่ได้มีทักษะเหล่านี้โดย ธรรมชาติ แต่พวกเขาเกิดมาพร้อมศักยภาพในการเจริญเติบโตและพัฒนาทักษะเหล่านี้ผ่านทางการมี ปฏิสัมพันธ์และการฝึกฝน นันทา โพธิ์คํา (2563) กล่าวว่า ทักษะสมอง EF คือการทํางานของสมองส่วน หน้าที่เป็นการทํางานระดับสูงของสมองที่ช่วยในการควบคุมความคิด อารมณ์การตัดสินใจ ที่ส่งผล ต่อการกระทําทําให้สามารถทําสิ่งต่าง ๆ ได้สําเร็จตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ซึ่งสามารถฝึกฝนได้หรืออาจ กล่าวได้ว่า คือความสามารถของสมองที่ใช้ในการควบคุมความคิด อารมณ์การกระทําเพื่อให้บรรลุ เป้าหมายซึ่งเป็นทักษะการคิดเพื่อชีวิตที่สําเร็จ สรุปได้ว่า ทักษะสมอง EF คือการทำงานของสมองส่วนหน้าที่เป็นการทำงานระดับสูง ของสมองที่ช่วยในการควบคุมความคิด อารมณ์ การตัดสินใจ ที่ส่งผลต่อการกระทำ ทำให้สามารถทำ สิ่ง ต่าง ๆ ได้สำเร็จตามเป้าหมายที่ตั้งไว้อย่างเป็นขั้นตอน โดยที่เราสามารถฝึกฝนและพัฒนาทักษะ EF ได้อย่างต่อเนื่อง เพราะจะส่งผลช่วยให้ผู้ที่มีทักษะ EF นั้น คิดเป็น ทำเป็น เรียนรู้เป็น แก้ปัญหา เป็น และปรับตัวเพื่ออยู่ร่วมกับผู้อื่นอย่างมีความสุข 2. ความสำคัญของทักษะสมอง EF ของเด็กปฐมวัย ทักษะสมอง EF ถือว่ามีความสำคัญมากเพราะมีงานวิจัยได้ระบุไว้ว่า เด็กที่มี EF จะมีความพร้อมทางการเรียนมากกว่าเด็กที่ EF ไม่ดี และเด็กที่มี EF จะประสบความสำเร็จในการ เรียน ทุกระดับตั้งแต่อนุบาลไปจนถึงมหาวิทยาลัยและในการทำงาน นอกจากนี้ทักษะ EF ยังเป็นตัว บ่งบอกถึง ความพร้อมทางการเรียนมากกว่าระดับสติปัญญา (IQ) อีกทั้งยังส่งผลอย่างยิ่งกับด้าน ทักษะคณิตศาสตร์และการอ่านทักษะสมอง EF มีความสำคัญต่อการวางรากฐานกระบวนการคิด การตัดสินใจ และ การกระทำที่มีส่วนช่วยให้เป็นคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตได้ในอนาคต ทักษะ สมอง EF มิได้ติดตัวเรา มาตั้งแต่เกิด แต่ทุกคนมีศักยภาพที่จะฝึกฝนเพื่อให้เกิดทักษะสมอง EF ได้ เนื่องจากทักษะสมอง EF เป็นเรื่องสำคัญและจำเป็นที่จะปลูกฝังและสร้างเสริมให้เกิดกับคนทุกช่วงวัย โดยเริ่มตั้งแต่ระดับอนุบาล จนถึงระดับมหาวิทยาลัยดังกล่าวข้างต้น ดังนั้น หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย
9 พุทธศักราช 2560 จึงได้กำหนดเป็นแนวคิดสำคัญในการฝึกฝนให้เกิดกับเด็กในชีวิตประจำวันโดย ผ่านประสบการณ์ต่างๆ อย่างหลากหลายที่เปิดโอกาสให้เด็กได้คิด ลงมือทำ เพื่อให้เกิดความพร้อม และมีทักษะที่สำคัญต่อชีวิตใน อนาคต (กระทรวงศึกษาธิการ. 2561: 1) อรรัตน์ เชาว์กุลจรัสศิริ(ม.ป.ป.) กล่าวว่า EF สำคัญอย่างมากต่อความสำเร็จด้าน การเรียนเพราะเด็กใช้เพื่อจดจำเนื้อหาที่เรียน ทำตามคำสั่งได้ต่อเนื่อง หลีกเลี่ยงต่อสิ่งเร้าที่จะทำให้ ว่อกแว่กกับการทำงาน ปรับตัวเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงกระเบียบ แก้ปัญหาต่างๆ ได้เหมาะสม และ ทำงานที่ได้รับมอบหมายเป็นเวลายาวนานได้ นอกจากเรื่องการเรียนแล้วยังช่วยเรื่องสังคม เช่น การ ทำงานเป็นกลุ่ม ความเป็นผู้นำ กล้าคิดตัดสินใจ ปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลง และทำงานจนบรรลุ เป้าหมาย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (2560) กล่าวว่า เด็กที่มีทักษะ สมองEF ดีจะมีความพร้อมทางการเรียนมากกว่าเด็กที่มีทักษะสมอง EF ไม่ดี และประสบความสำเร็จ ได้ในการเรียนทุกระดับตั้งแต่ระดับปฐมวัยไปจนถึงระดับอุดมศึกษาตลอดจนวัยทำงาน นอกจากนี้ ทักษะสมอง EF ยังบ่งบอกถึงความพร้อมทางการเรียนมากกว่าระดับสติปัญญา (IQ) ความสำคัญของ ทักษะสมอง EF มีดังนี้ 1. มีความคิดยืดหยุ่นเปลี่ยนความคิดได้เมื่อเงื่อนไขและสถานการณ์ เปลี่ยนไป 2. สามารถทำงานให้เสร็จตามกำหนดและได้ผลสำเร็จที่ดี 3. สามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข 4. รู้จักประเมินตนเองนำจุดบกพร่องมาปรับปรุงการทำงานของตนให้ดีขึ้น 5. รู้จักยับยั้งควบคุมตนเองไม่ให้ทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้องและไม่เหมาะสม 6. เข้าใจและเห็นใจผู้อื่น 7. มีปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับบุคคลรอบข้าง 8. มีเป้าหมายที่ชัดเจน 9. มีความจำดี 10. สามารถคาดการณ์ผลของการกระทำ 11. มีสมาธิจดจ่อกับงานที่ทำอย่างต่อเนื่องจนงานเสร็จ 12. รู้จักอดทนรอคอยที่จะทำหรือพูดในเวลาที่เหมาะสม 13. รู้จักขอความช่วยเหลือเมื่อจำเป็น 14. ไม่รบกวนผู้อื่น สรุปได้ว่า ทักษะสมอง EF มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาคนเพราะเป็นกระบวน การ ทางความคิดที่เกี่ยวข้องกับความคิด ความรู้สึก การกระทำ ที่ส่งผลต่อความพร้อมทางการเรียนและ ความสำเร็จในชีวิตมากกว่าระดับสติปัญญาหรือ IO ดังนั้น ทักษะสมอง EF จึงเป็นทักษะที่สำคัญที่ควร ปลูกฝัง ฝึกฝน และส่งเสริมให้แก่ผู้เรียนตั้งแต่ระดับปฐมวัยจนถึงระดับอุดมศึกษา โดยการมีสมาธิที่จด จ่อในทำงานต่อเนื่องได้จนเสร็จ การรู้จักวางแผนทำงานอย่างเป็นระบบ และการทำงานจนเสร็จตาม เวลาที่กำหนด และการรู้จักประเมินตนเอง การรู้จักยับยั้งควบคุมตนเอง การจัดการกับอารมณ์และ การมุ่งมั่นรับผิดชอบหน้าที่ไปสู่ความสำเร็จ
10 4. ประเภทของทักษะสมอง EF ทักษะสมองเพื่อบริหารจัดการชีวิตให้สำเร็จ (Executive Function Skills : EF) ประกอบด้วย 3 กลุ่ม 9 ทักษะ ตามที่ สุภาวดี หาญเมธี (2561 : 42-46) ได้แบ่งประเภทของทักษะ ไว้ดังนี้ 3.1 การพัฒนาสมองเพื่อการพัฒนาทักษะพื้นฐาน ได้แก่ทักษะ ดังนี้ 3.1.1 ความจำาเพื่อใช้งาน : Working Memory คือความสามาร ของสมองที่ใช้ในการจำข้อมูล จัดระบบและหยิบใช้ข้อมูล ข้อมูลต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากการได้รับ ประสบการณ์ต่างๆ ที่ หลากหลาย จะถูกเก็บรักษาอยู่นสมอง Working Memory จะปลุกให้ข้อมูล เคลื่อนไหว แล้วเลือกข้อมูลชิ้นที่เหมาะสมนำออกมาใช้ ช่วยให้เราจำข้อมูลได้หลายต่อหลายเรื่องใน เวลาเดียวกัน WorkingMemory เป็นความจำที่เรียกมาใช้งานได้ จึงมีบทบาทสำคัญมากในชีวิต ตั้งแต่ การคิดเลขในใจการจดจำสิ่งที่อ่านเพื่อนำมาประมวลให้เกิดความเข้าใจ การจดจำกติกาข้อตกลงเพื่อ นำมาปฏิบัติ ความสามารถนี้ช่วยให้เด็กจดจำกติกาในการเล่น การลำดับขั้นตอนในการเก็บของ เข้าที่ ฯลฯ 3.1.2 การยั้งคิดไตร่ตรอง : Inhibitory Control คือ ความสามารถที่เราใช้ในการควบคุมกลั่นกรองความคิดและแรงอยากต่างๆ จนเราสามารถต้านหรือ ยับยั้งสิ่งยั่วยุ ความว้าวุ่นหรือนิสัยความเคยชินต่างๆ แล้วหยุดคิดก่อนที่จะทำ Inhibitory Control ทำให้เราสามารถคัดเลือกมีความจดจ่อ รักษาระดับความใส่ใจ จัดลำดับความสำคัญ และกำกับการ กระทำ ความสามารถด้านนี้จะช่วยป้องกันเราจากการเป็นสัตว์โลกที่มีแต่สัญชาตญาณและทำทุก อย่างตามที่อยาก โดยไม่ได้ใช้ความคิด เป็นความสามารถที่ช่วยให้เรามุ่งจดจ่อไปที่เรืองที่สำคัญกว่า ช่วยให้เราระวังวาจา พูดในสิ่งที่ควรพูด และเมื่อโกรธเกรี้ยว เร่งร้อน หงุดหงิด ก็สามารถควบคุม ตนเองได้ ไม่ตะโกน ตบตีเตะต่อยคนอื่น และแม้มีความวุ่นวายใจก็ละวางได้ จนทำงานต่างๆที่ควรต้อง ทำ ได้ลุล่วง ความสามารถนี้จะช่วยให้เด็กรู้จักอดทน รอได้ ไม่แซงคิว ไม่หยิบฉวยของผู้อื่นมาเป็นของ ตน เพราะความอยากได้ 3.1.3 การยืดหยุ่นความคิด : Shifting / Cognitive Flexibility คือความสามารถที่จะ “เปลี่ยนเกียร์” ให้อยู่ในจังหวะที่เหมาะสม ปรับตัวเข้ากับข้อเรียกร้องของ สภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไป ไม่ว่าจะเป็นเวลาเปลี่ยน ลำดับความสำคัญเปลี่ยน หรือเป้าหมายเปลี่ยน ช่วยให้เราปรับประยุกต์กติกาเดิม หรือที่คุ้นเคยไปใช้ในสถานการณ์ที่แตกต่างได้ เป็นความสามารถที่ ช่วยให้เราเรียนรู้ การไม่ยึดติดตายตัว ช่วยให้เรามองเห็นจุดผิดแล้วแก้ไข และปรับเปลี่ยนวิธีการ ทำงานด้วยข้อมูลใหม่ๆ ช่วยให้เราพิจารณาสิ่งต่างๆ จากมุมมองที่สด ให้คิดนอกกรอบ นอกกล่อง ความสามารถนี้จะช่วยให้เด็กสนุกกับการปรับเปลี่ยนวิธีเล่นให้มีความหลากหลาย แปลกใหม่ ช่วยปรับตัวปรับใจยอมรับได้ดี ในสถานการณ์ที่ไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง เช่น การผสมสีที่ไม่ได้ตั้งใจ 3.2 การพัฒนาสมองเพื่อการพัฒนาทักษะกำกับตนเอง ได้แก่ทักษะ ดังนี้ 3.2.1 การจดจ่อใส่ใจ : Focus / Attention คือความสามารถใน การรักษาความตื่นตัว รักษาความสนใจให้อยู่ในทิศทางที่ควร เพื่อให้ตนเองบรรลุสิ่งที่ต้องการจะทำให้ สำเร็จด้วยความจดจ่อ มีสติรู้ตัวต่อเนื่องในระยะเวลาที่เหมาะสม ตามสมควรของวัยและความยากง่าย
11 ต่อภารกิจนั้นๆ การใส่ใจจดจ่อเป็นอีกคุณสมบัติพื้นฐานที่จำเป็นในการเรียนรู้หรือทำงาน เด็กบางคน แม้จะมีระดับสติปัญญาฉลาดรอบรู้ แต่เมื่อขาดทักษะความสามารถในการจดจ่อ เมื่อมีสิ่งใดไม่ว่าสิ่ง เร้าภายนอก หรือจากสิ่งเร้าภายในตนเองก็วอกแวก ไม่สามารถจดจ่อทำงานต่อไปได้ เช่นนี้ก็ยากที่จะ ทำงานใดๆ ให้สำเร็จ ความสามารถนี้จะช่วยให้เด็กๆ มีสมาธิจดจ่อกับการร้อยลูกปัด ต่อบล็อก ฟังนิทานจนจบเรื่อง และทำกิจกรรมต่างๆ อย่างใส่ใจ ไม่วอกแวก 3.2.2 การควบคุมอารมณ์ : Emotional Control คือ ความสามารถในการจัดการกับอารมณ์ของตนเอง ตระหนักรู้ว่าตนเองกำลังอยู่ในภาวะอารมณ์ ความรู้สึกอย่างไร สามารถปรับสภาพอารมณ์ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ และควบคุมการแสดงออก ทั้งทางอารมณ์และพฤติกรรมได้เหมาะสม เด็กที่ควบคุมอารมณ์ไม่ได้อาจกลายเป็นคนที่โกรธเกรี้ยว ฉุนเฉียวง่าย ขี้หงุดหงิด ขี้รำคาญเกินเหตุ ระเบิดอารมณ์ง่าย เรื่องเล็กกลายเป็นเรื่องใหญ่ และอาจจะ กลายเป็นคนขี้กังวล อารมณ์แปรปรวน และซึมเศร้าได้ง่าย คว มสามารถนี้จะช่วยให้เด็กๆ อดทนและ ให้อภัยต่อการกระทบกระทั่งกันเล็กๆ น้อยๆ ได้ในระหว่างเล่นด้วยกัน เมื่อไม่พอใจจะหาวิธีแก้ปัญหา ไม่ใช่การโวยวาย อาละวาด 3.2.3 การติดตามประเมินตนเอง : Self-Monitoring คือ ความสามารถในการตรวจสอบความรู้สึก ความคิด หรือการกระทำของตนเองทั้งในระหว่างการ ทำงาน หรือหลังจากทำงานเสร็จแล้ว เพื่อให้มั่นใจว่า จะนำไปสู่ผลดีต่อเป้าหมายที่วางไว้ หากเกิด ความบกพร่องผิดพลาดก็นำไปสู่การแก้ไขได้ทันการและเป็นการทำให้รู้จักตนเองทั้งในด้านความ ต้องการ จุดแข็งและจุดอ่อนได้ชัดเจนขึ้น รวมไปถึงการตรวจสอบความคิด ความรู้สึกหรือตัวตนของ ตนเอง กำกับติดตามปฏิกิริยาของตนเอง และดูผลจากพฤติกรรของตนที่กระทบต่อผู้อื่น ความสามารถนี้จะช่วยให้เด็กได้ทบทวนสิ่งที่ทำไป รู้สึกสำนึกผิดแล้วปรับปรุงตนเองใหม่ เช่น การพูด ที่ทำให้เพื่อนเสียใจ หรือเมื่อทำผลงานเสร็จได้ทบทวนเพื่อพัฒนางานให้ดีขึ้น 3.3 การพัฒนาสมองเพื่อการพัฒนาทักษะปฏิบัติได้แก่ทักษะ ดังนี้ 3.3.1 การริเริ่มและลงมือทำ : Initiating คือความสามารถในการ คิดค้นไตร่ตรองแล้วตัดสินใจว่าจะต้องทำสิ่งนั้นๆ และนำสิ่งที่คิดมาสู่การลงมือปฏิบัติให้เกิดผล คนที่ กล้าริเริ่มนั้นจำเป็นต้องมีความกล้าหาญ กล้าตัดสินใจ ไม่ผัดวันประกันพรุ่ง ต้องกล้าลองผิดลองถูก ทักษะนี้เป็นพื้นฐานของความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ และจะนำไปสู่การพัฒนาสิ่งใหม่ๆ ให้เกิดขึ้น ความสามารถนี้จะช่วยให้เด็กๆ กล้าคิด กล้าตัดสินใจ และลงมือเล่นหรือท ากิจกรรม 3.3.2 การวางแผนจัดระบบ ดำนินการ: Planning & Organizing คือความสามารถในการปฏิบัติที่เริ่มต้นตั้งแต่ วางแผนที่จะต้องนำส่วนประกอบสำคัญ ต่างๆ มาเชื่อมต่อกัน เช่น การตั้งเป้าหมาย การเห็นภาพรวมทั้งหมดของงาน การกำหนดกิจกรรม ฯลฯ เป็นการนำความคาดหวังที่มีต่อเหตุการณ์ในอนาคตมาท าให้เป็นรูปธรรม วางเป้าหมายแล้วก็จัด วางขั้นตอนไว้ล่วงหน้า มีการจินตนาการหรือคาดการณ์ในสถานการณ์ต่างๆ เอาไว้ล่วงหน้า แล้วจัดทำ เป็นแนวทางเพื่อนำไปสู่ความสำเร็จตามเป้าหมายต่อไปจากนั้นจึงเข้าไปสู่กระบวนการดำเนิน การจัดการจนลุล่วง ได้แก่ การตั้งเป้าหมายให้เป็นขั้นตอน มีการจัดกระบวนการ ระบบกลไก
12 และการดำเนินการตามแผน ตั้งแต่จุดเริ่มต้นไปจนถึงจุดหมายปลายทาง รวมถึงการบริหารพื้นที่ วัสดุ และการบริหารจัดการเวลาอย่างมีประสิทธิภาพและยืดหยุ่นเพื่อให้งานสำเร็จ ด้วยความสามารถนี้จะ ทำให้เด็กรู้จักจัดการกับกิจวัตรประจำวันการวางแผนการเล่นที่ซับซ้อนได้ด้วยตนเอง 3.3.3 การมุ่งเป้าหมาย : Goal-Directed Persistence คือความ พากเพียรเพื่อบรรลุเป้าหมาย และจดจำข้อมูลนี้ไว้ในใจตลอดเวลาที่ทำงานตามแผนนั้นจนกว่าจะ บรรลุ ซึ่งรวมถึงความใส่ใจในเรื่องเวลา (Sense of Time) กับความสามารถในการสร้างแรงจูงใจให้ ตนเอง และติดตามความก้าวหน้าของเป้าหมายอย่างต่อเนื่อง นั่นคือเมื่อตั้งใจและลงมือทำสิ่งใดแล้ว จะมุ่งมั่นอดทนเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย ไม่ว่าจะมีอุปสรรคใดๆ ก็พร้อมฝ่าฟันจนสำเร็จ ความสามารถนี้ จะทำให้เด็กๆ เมื่อทำสิ่งใดก็จะมุ่งมั่นทำไม่ย่อท้อ เช่น ความพยายามที่จะขึ้นบาร์โค้งให้ได้ ความ พยายามที่จะผูกเชือกรองเท้าจนสำเร็จ ความตั้งใจที่จะกินข้าวจนหมดจาน 4. ประโยชน์ของการพัฒนาทักษะสมอง EF ปรีญานันท์ พร้อมสุขกุล (2561) กล่าวว่า การที่เด็กได้มีโอกาสพัฒนาทักษะสมอง EF และการมีวินัยในตนเอง จะส่งผลเชิงบวกต่อประสบการณ์ทั้งของตนเองและกับสังคมไปตลอดชีวิต ซึ่ง เป็นผลให้การเรียนประสบความสำเร็จในการทำงาน ประโยชน์ของทักษะสมอง มีดังนี้ 1. การช่วยให้เด็กจดจำและสามารถปฏิบัติตามคำแนะนำที่มีหลายขั้นตอนได้ สามารถหลีกเลี่ยงสิ่งที่ยั่วยุการตอบสนองที่หุนหันพลันแล่น สามารถปรับตัวได้เมื่อกฎระเบียบมีการ เปลี่ยนแปลง การยึดมั่นในการแก้ปัญหา และการจัดการกับงานระยะยาวที่ได้รับมอบหมาย ส่งผลให้ การเรียนในชั้นเรียนประสบความสำเร็จสำหรับสังคม ทักษะนี้ช่วยให้ประชากรสามารถปรับตัวใน ศตวรรษที่ 21 ได้ 2. การสร้างพฤติกรรมเชิงบวก พัฒนาความสามารถในการทำงานเป็นทีม การมี ภาวะผู้นำการตัดสินใจ การทำงานให้บรรลุตามเป้าหมาย การคิดอย่างมีวิจารณญาณ ความสามารถใน การปรับตัว การตระหนักรู้สภาพอารมณ์ของตนเองและผู้อื่น 3. การส่งเสริมการมีสุขภาพที่ดี ช่วยให้เราสามารถเลือกโภชนาการและออกกำลัง กายได้อย่างเหมาะสม 4. การประสบความสำเร็จในการทำงาน สามารถจัดการสิ่งต่าง ๆ ได้ดีขึ้น สามารถ แก้ไขปัญหาโดยการวางแผนและเตรียมพร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงในสถานการณ์ต่าง ๆ ในสังคม จะเกิดผลประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่ เนื่องจากเกิดนวัตกรรม ความสามารถและแรงงานที่มีความ ยืดหยุ่น ทวิ้งโค่ (ม.ป.ป.) พัฒนาการทักษะสมอง EF (Executive Functions) ที่สมวัย มีส่วน สำคัญในการสร้างพฤติกรรมเชิงบวกในทุก ๆ ด้าน และส่งผลให้เกิดการตัดสินใจที่เป็นประโยชน์ทั้งต่อ ตัวเอง ครอบครัว และสังคม ตัวอย่างประโยชน์การฝึกฝนและพัฒนาทักษะ EF สำหรับเด็ก ๆ ได้แก่ 1. สามารถนำประสบการณ์หรือสิ่งที่เคยเรียนรู้มาปรับใช้ในการเรียน การ ทำงาน หรือกิจกรรมใหม่ได้ 2. รู้จักยับยั้งและควบคุมตนเองเพื่อไม่ให้ทำสิ่งที่ไม่เหมาะสม แม้ว่าจะถูก ชักชวนหรือมีสิ่งกระตุ้นมาล่อ 3. มีความยืดหยุ่นทางความคิด สามารถปรับเปลี่ยนความคิดได้ เมื่อเงื่อนไข หรือสถานการณ์เปลี่ยนไป ไม่ยึดติดกับแนวคิดใด ๆ อย่างตายตัว
13 4. มีความคิดสร้างสรรค์ สามารถคิดนอกกรอบได้ 5. มีความจำดี มีสมาธิ สามารถทำสิ่งต่าง ๆ อย่างต่อเนื่องให้สำเร็จตาม เป้าหมายได้ 6. สามารถแสดงออกในครอบครัว ในห้องเรียน ในหมู่เพื่อนฝูง และในสังคม ได้อย่างเหมาะสม ทำให้สามารถใช้ชีวิตร่วมกับผู้อื่นได้ 7. รู้จักประเมินตนเอง เกิดความภาคภูมิใจในสิ่งดี ๆ ที่ทำ รวมทั้งสามารถนำ จุดบกพร่องมาปรับปรุงแก้ไขให้ดีขึ้น มีความสามารถในการคิดวิเคราะห์ วางแผนการเรียนการทำงานอย่างมีระบบ ลงมือทำจนสำเร็จตาม เป้าหมายและเวลาที่กำหนดได้ 8. สามารถอดทนรอได้ มีความมุ่งมั่น ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค ดุษฎี อุปการ และ อรปรียา ญาณะชัย (2561) กล่าวว่า พัฒนาการของทักษะสมอง EF จะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงวัยเด็กเป็นการพัฒนา ระยะยาวจนถึงวัยผู้ใหญ่ (Diamond, 2013) ผู้ใหญ่มีบทบาทอย่างยิ่งต่อการช่วยเหลือให้เด็กได้พัฒนา ทักษะเหล่านี้ โดยเริ่มจากการเปลี่ยน สิ่งแวดล้อมที่มีผลกระทบโดยการลดทอนความสามารถของเด็ก การสอนให้เด็กรู้จักทักษะเหล่านี้ และ การใช้สิ่งเร้าเพื่อกระตุ้นให้เด็กได้ใช้ทักษะที่ยากเพื่อให้เกิดการ พัฒนา (Dawson, 2018) โดยเฉพาะ อย่างยิ่งการพัฒนาเด็กในช่วงปฐมวัยมีความสำคัญเป็นอย่างมาก เนื่องจากเป็นช่วงที่สมองของมนุษย์ พัฒนาได้สูงสุด และเป็นการเตรียมความพร้อมสำหรับพัฒนาการ ทั้ง 4 ด้านของเด็กปฐมวัย ได้แก่ ด้านร่างกาย ด้านอารมณ์ - จิตใจ ด้านสังคม และด้านสติปัญญา 24 การวางพื้นฐานและการเตรียม ความพร้อมเพื่อพัฒนา ทักษะเหล่านี้ได้อย่างเหมาะสม เป็นหน้าที่ของ ครูและผู้ปกครองที่จัดการให้ เหมาะสมตามเป้าหมายและสามารถพัฒนาทักษะสมอง EF ได้อย่างเต็ม ศักยภาพ เพื่อประโยชน์ทั้ง กับตัวเด็กเอง และรวมไปถึงประเทศชาติต่อไป 5. แนวทางการปลูกฝังและเสริมสร้างทักษะสมอง EF สำหรับเด็กปฐมวัย แนวทางการปลูกฝังและส่งเสริมทักษะสมอง EF สําหรับเด็กปฐมวัย ผู้เขียนขอเสนอ เป็น 2 แนวทาง ดังนี้ 5.1 แนวทางการจัดประสบการณ์ส่งเสริมทักษะสมอง EF กระทรวงศึกษาธิการ (2560 : 40) ได้กําหนดแนวทางในการจัดประสบการณ์ เพื่อให้เด็กปฐมวัยทุกคนได้รับการพัฒนาด้านร่างกาย อารมณ์จิตใจ สังคม และสติปัญญาอย่างมี คุณภาพ สอดคล้องกับทักษะทางสมอง EF ดังนี้ 5.1.1 จัดประสบการณ์ให้สอดคล้องกับจิตวิทยาพัฒนาการและการทํางาน ของสมองที่ เหมาะกับอายุ วุฒิภาวะ และระดับพัฒนาการเพื่อให้เด็กทุกคนได้พัฒนาเต็มตามศักยภาพ 5.1.2 จัดประสบการณ์ให้สอดคล้องกับแบบการเรียนรู้ของเด็ก เด็กได้ลงมือ กระทําเรียนรู้ผ่านประสาทสัมผัสทั้งห้า ได้เคลื่อนไหว สํารวจ เล่น สังเกต สืบค้น ทดลอง และคิด แก้ปัญหาด้วย ตนเอง 5.1.3 จัดประสบการณ2แบบบูรณาการ โดยบูรณาการทั้งกิจกรรม ทักษะ และสาระการเรียนรู้
14 5.1.4 จัดประสบการณ2ให้เด็กได้ริเริ่มคิด วางแผน ตัดสินใจลงมือกระทําและนําเสนอ ความคิด โดยผู้สอนหรือผู้จัดประสบการณ์เป็นผู้สนับสนุนอํานวยความสะดวก และเรียนรู้ร่วมกับเด็ก 5.1.5 จัดประสบการณ2ใหLเด็กมีปฏิสัมพันธ์กับเด็กอื่น กับผู้ใหญ่ ภายใต้ สภาพแวดล้อมที่ เอื้อต่อการเรียนรู้ในบรรยากาศที่อบอุ่นมีความสุข และเรียนรู้การทํากิจกรรมแบบ ร่วมมือในลักษณะ ต่าง ๆ กัน 5.1.6 จัดประสบการณ์ให้เด็กมีปฏิสัมพันธ์กับสื่อและแหล่งการเรียนรู้ที่ หลากหลายและอยู่ ในวิถีชีวิตของเด็ก สอดคล้องกับบริบท สังคม และวัฒนธรรมที่แวดล้อมเด็ก 5.1.7 จัดประสบการณ์ที่ส่งเสริมลักษณะนิสัยที่ดีและทักษะการใช้ ชีวิตประจําวัน ตามแนวทางหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ตลอดจนสอดแทรกคุณธรรมจริยธรรม และการมีวินัยให้เป็นส่วนหนึ่งของการจัดประสบการณ์การเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง 5.1.8 จัดประสบการณ์ทั้งในลักษณะที่มีการวางแผนไว้ล่วงหน้าและแผนที่ เกิดขึ้นในสภาพ จริง โดยไม่ได้คาดการณ์ไว้ 5.1.9 จัดทําสารนิทัศน์ด้วยการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับพัฒนาการและการ เรียนรู้ของเด็ก เป็นรายบุคคล นํามาไตร่ตรองและใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาเด็กและการวิจัยใน ชั้นเรียน 5.1.10 จัดประสบการณ์โดยให้พ่อแม่ ครอบครัว และชุมชนมีส่วนร่วมทั้งการ วางแผน การสนับสนุนสื่อ แหล่งเรียนรู้การเข้าร่วมกิจกรรม และการประเมินพัฒนาการ 5.2 แนวทางการจัดกิจกรรมส่งเสริมทักษะสมอง EF การพัฒนาทักษะสมอง EF ทั้ง 9 ด้าน ผู้เขียนได้พัฒนาจากแนวทางจัด กิจกรรมเพื่อพัฒนาเด็กปฐมวัยจาก รักลูก (2020) ดังนี้ 5.2.1 ทักษะความจําที่นํามาใช้งาน (Working Memory) กิจกรรมที่ควร ส่งเสริม ได้แก้การให้เด็กดื่มนมแม่ในช่วง 6 เดือน ให้เด็กทานอาหารที่มีประโยชน์และพักผ่อนให้ เพียงพอ แสดงความรักด้วยการพูดคุยกับเด็กบ่อย ๆ เพื่อให้เด็กรู้สึกอบอุ่น เล่านิทาน อ่านหนังสือให เด็กฟัง ให้เด็ก เรียนรู้ผ่านประสาทสัมผัสทั้งห้า เพื่อให้จดจําได้ดีขึ้น 5.2.2 ทักษะการยั้งคิดไตร่ตรอง (Inhibitory Control) คือการควบคุม อารมณ์ตนเอง รู้ว่า สิ่งใดควรทำ หรือไม่ควรทำ เช่น ไม่นําของเพื่อนมาเป็นของตนเอง เป็นต้น กิจกรรมที่ควรส่งเสริมได้แก้จัดหาของเล่นเสริมพัฒนาการที่ต้องใช้สมาธิ ใช้สมองในการวางแผนและ คิดแก้ไขปัญหา ส่งเสริมด้าน ดนตรี พูดคุยกับเด็กบ่อย ๆ หากเด็กมีความกังวลใจให้เขาเล่าออกมาอย่า เก็บไว้เพื่อช่วยระบาย ความรู้สึก สอนให้เด็กรู้จักควบคุมอารมณ์ของตนเอง เช่น เวลารู้สึกโมโหให้นับ ตัวเลข 1 - 10 หรือ หายใจเข้าลึก ๆ หายใจออกยาว ๆ จนรู้สึกดีขึ้น ไม่หงุดหงิดโวยวาย หรือไปทำ ร้านคนอื่น 5.2.3 ทักษะการยืดหยุ่นความคิด (Shift Cognitive Flexibility) คือทักษะที่ ช่วยให้เด็กรู้จัก ปรับตัว ยืดหยุ่น และรู้จักแก้ไขปัญหาได้ตามแต่ละสถานการณ์กิจกรรมที่ควรส่งเสริม ได้แก่กิจกรรม ด้านศิลปะ เช่น การวาดรูป ระบายสี การปั้น การพับ ตัดปะ ฉีกปะ ฝึกให้เด็กทําของ เล่นจากวัสดุเหลือใช้และการต่อบล็อกเป็นรูปทรงต่าง ๆ
15 5.2.4 ทักษะการจดจ่อใส่ใจ (Focus) เป็นสิ่งสําคัญ เพราะการที่เด็กมีสมาธิ ไม่วอกแวก จะช่วยให้เด็กเรียนรู้ได้ดี กิจกรรมที่ควรส่งเสริมได้แก่ การอ่านหนังสือ การฟังเพลง วาด รูป ระบายสีการเรียนรู้ผ่านการเล่น การต่อจิ๊กซอว์/ต่อบล็อกรูปทรงต่าง ๆ การสวดมนต์ไหว้พระ ก่อนนอน 5.2.5 การควบคุมอารมณ์(Emotion Control) ช่วยให้เด็กรู้จักควบคุม อารมณ์ตนเองได้ดีไม่โมโหและหงุดหงิดง่าย กิจกรรมที่ควรส่งเสริมได้แก่การอ่านนิทานที่เกี่ยวกับ ลักษณะนิสัยที่ดี ให้เด็กได้เล่นร่วมกับผู้อื่น เพื่อรู้จักการแบ่งปัน อดทนรอคอย ให้เด็กช่วยงานบ้าน และช่วยเลือกเสื้อผ้าที่ ไม่ใช่นำไปบริจากให้เด็กคนอื่น ๆ ที่ขาดแคลนหรือมอบหมายให้เด็กช่วยงานใน ห้องเรียนตามโอกาส 5.2.6 การวางแผนและจัดระบบดําเนินการ (Planning and Organizing) เป็นการฝึกให้เด็กรู้จักตั้งเป้าหมายและคิดวางแผนด้วยตนเอง กิจกรรมที่ควรส่งเสริมได้แก่ สอนให้ เด็กเรียนรู้เรื่องเวลา สอนให้เด็กรู้จักตั้งเป้าหมายง่าย ๆ เช่น เก็บออมเงินเพื่อซื้อของที่อยากได้ด้วย ตนเอง ให้เด็กรับผิดชอบงานในบ้านหรือที่โรงเรียน โดยให้เขาเลือกเองจะได้ทําอย่างมีความสุข 5.2.7 การติดตามประเมินตนเอง (Self - Monitoring) สอนให้เด็กรู้จัก ประเมินตนเอง และแก้ไขปรับปรุง ข้อนี้จะสอนต่อจากเรื่องการวางแผนก โดยทําเป็นตารางงาน งาน ชิ้นไหนที่ทําแล้วก็ให้ใส่เครื่องหมายถูก ถ้างานชิ้นไหนยังไม่ได้ทําก็ลองถามเขาว่างานชิ้นนี้เขายังไม่ทํา เพราะเหตุใด เช่น เป้าหมายนั้นยากไป จะได้ช่วยกันแก้ไขให้ดีขึ้น 5.2.8 การริเริ่มและลงมือทํา (Initiating) เป็นการฝึกให้เด็กกล้าคิด กล้าทํา อะไรใหม่ ๆ กิจกรรมที่ควรส่งเสริมได้แก่ เปิดโอกาสให้เด็กแสดงความคิดเห็น และเลือกทําในสิ่งที่ ตนเองสนใจ เมื่อเด็กวาดรูประบายสี ลองให้เขาเล่าผลงานของเขาว่าสิ่ง ๆ นั้นคืออะไร เขาจะเล่าด้วย ความภูมิใจ ให้เด็กไปเล่นกับเด็กคนอื่น ๆ บ้าง เพื่อให้มีสังคมและได้แสดงความคิดเห็นของตนเอง 5.2.9 มีความเพียรมุ่งสู่เป้าหมาย (Goal - Directed Persistence) ช่วยให้ เด็กไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคง่าย ๆ ตั้งใจทํางานจนกว่าจะสําเร็จ กิจกรรมที่ควรส่งเสริมได้แก่กิจกรรม ด้านดนตรี กีฬาและศิลปะ การต่อจิ๊กซอว์ต่อบล็อก ของเล่นไม้และเกมต่าง ๆ กิจกรรมเหล่านี้เรา ค่อย ๆ เล่นกันไป สอนกันไป เน้นให้เด็กเรียนรู้อย่างมีความสุขไม่กดดันจนเกิดความเครียด และให้คํา ชมเป็นกําลังใจ เด็กจะกล้าคิด กล้าทํา และนํา EF ไปใช้ประโยชน์ สรุปได้ว่า การปลูกฝังและเสริมสร้างทักษะสมอง EF สำหรับเด็กปฐมวัย สามารถ ปลูกฝังและสร้างเสริมให้เกิดกับเด็ก ปฐมวัยได้ดี โดยครู พ่อแม่ ผู้ปกครอง ผ่านการจัดกิจกรรมต่าง ๆ ผ่านการเล่น การทำงานบ้าน การเรียน สื่อการเรียนการสอนต่าง ๆ อย่างหลากหลาย ที่เด็กสามารถ ทำกิจได้คนเดียวและสามารถทำกิจรรมร่วมกับผู้อื่น
16 การจัดประสบการณ์การเรียนรู้แบบ ทำนาย สังเกต อธิบาย (Predict Observe Explain: POE) 1. ความหมายการการจัดประสบการณ์การเรียนรู้แบบ ทำนาย สังเกต อธิบาย (Predict Observe Explain: POE) มีนักการศึกษาได้กล่าวถึงความหมายรูปแบบการจัดประสบการณ์การเรียนรู้แบบ ทำนาย สังเกต อธิบาย (POE) ไว้ดังนี้ Wu & Tsai (2005) กล่าวว่า การจัดการเรียนรู้โดยใช้วิธีสอนแบบ Predict - Observe - Explain (POE) เป็นยุทธศาสตร์ที่เกี่ยวกับการทำนายผล การสาธิต และอภิปรายผลที่นักเรียน ทำนายกับการสังเกต การสาธิต และ การอภิปรายผลที่สอดคล้องตรงกันระหว่างการทำนายผลการ สังเกต อาจแสดงความรู้เดิม และเกิดการเรียนรู้ใหม่ กับสิ่งที่นักเรียนได้สังเกต เป็นการเปิดโอกาสให้ นักเรียนมีการแลกเปลี่ยนและมีการเจรจาต่อรองในการเรียนรู้ใหม่ ของนักเรียน Haysom & Bowen (2010) กล่าวถึงการจัดการเรียนรู้โดยใช้วิธีสอนแบบ Predict - Observe - Explain (POE) เป็นการสอนตามแนวคอนสตรัคติวิสต์ ที่เน้นการท้าทายให้ผู้เรียนเกิดการ มีส่วนร่วมในกระบวนการเรียน เนื่องจากการจัดการสอนวิทยาศาสตร์แบบบรรยายอย่างเดียวนั้นเป็น การทำให้ผู้เรียนอยู่สถานะ “พยาน” นั่นคือ แค่ผ่านมาเห็นเหตุการณ์ ดังนั้นความเข้าใจและทัศนคติ อาจแตกต่างไปจาก “ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์” อย่างแท้จริง สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานกระทรวงศึกษาธิการ (2544: 89) กล่าวว่า การจัดการเรียนรู้โดยใช้วิธีการจัดการเรียนรู้รูปแบบ POE เป็นวิธีสอนหนึ่งในการจัดการ เรียนรู้ตามแนวทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์ที่สนับสนุนให้นักเรียนตัดสินใจเกี่ยวกับความเข้าใจที่มีและอยู่ บนพื้นฐานความเชื่อ ไวท์ และกันโตน (White & Gunstonc, 1992) (อ้างถึงใน สุภาพร แหลมแก้ว, 2556, หน้า 16) ได้กล่าวว่า เทคนิคการสอนแบบทำนาย สังเกต อธิบาย หมายถึง เทดนิดที่มีประสิทธิภาพ ที่จะส่งเสริมให้นักเรียนได้แสดงความคิดเห็นและอภิปรายเกี่ยวกับแนวคิดทางวิทยาศาสตร์ เป็นขั้นตอน การนำเสนอสถานการณ์แตะให้นักเรียนทำนายว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้ามีการเปลี่ยนแปลง หลังจากนักเรียนทำนาขแล้วให้นักเรียนจังเกตสถานการณ์ดังกล่าว โคยให้นักเรียนลงมือทคลอง สังเกต หรือหาวิธีพิสูจน์เพื่อให้นักเรียนหาคำตอบจากสถานการณ์ที่ครูสร้างขึ้นหลังจากนั้น ให้นักเรียนบอกสิ่งที่นักเรียนสังเกตได้จาการสืบเสาะหาความรู้ด้วยตัวนักเรียนเอง และขั้นสุดท้าย นักเรียนจะต้องอธิบาขถึงความแดกต่างระหว่างสิ่งที่ได้จากการทำนาย และการสังเกต หรือ ผลการทดลองที่ได้ วภาวิณี รัตนคอน (2557: 6) วิธีการจัดการเรียนรู้แบบ (POE) หมายถึง การจัด กิจกรรมการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ เป็น การฝึกให้นักเรียนคิด ทำนายสิ่งที่จะเกิดขึ้น หรือ เหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นโดยใช้เหตุผล จากนั้นทำการสังเกต ทดลอง หรือหาข้อพิสูจน์สถานการณ์ ดังกล่าว นักเรียนต้องบอกสิ่งที่สังเกตได้ และอธิบายถึงความแตกต่าง ระหว่างสิ่งที่ได้จากการทำนาย และการสังเกต มี 3 ขั้นตอน ดังนี้
17 ขั้นที่ 1 Predict (P) ให้นักเรียนทำนาย หรือคาดคะเนคำตอบจากสถานการณ์ที่กำหนดให้โดยให้ เหตุผลประกอบ ขั้นที่ 2 Observe (O) ให้นักเรียนลงมือปฏิบัติ การสังเกต สำรวจ ทดลอง สืบค้นหาคำตอบจากสถานการณ์ที่กำหนด ขั้นที่ 3 Explain (E) ให้นักเรียนอธิบายผลที่ได้จากการสังเกต สำรวจ ทดลอง สืบค้นหาคำตอบจากสถานการณ์ที่กำหนดโดยให้เหตุผลประกอบซึ่งกิจกรรมเหล่านี้จะปรากฏอยู่ใน ขั้นการสอนใน แผนการจัดการเรียนรู้ สุทธิดา รักกะเปา (2557: 6-7) ได้กล่าวถึง การจัดประสบการณ์การเรียนรู้แบบ ทำนาย สังเกต อธิบาย (POE) ไว้ว่า วิธีการสอนแบบ POE มีขั้นตอนหลักๆ 3 ขั้นตอน คือ 1) การทำนาย: ผู้เรียนทำนายผลของ การสาธิตที่ผู้สอนแสดงให้ดู ซึ่งอาจจะอยู่ในรูปของวีดีโอหรือการสาธิตจริงหน้าชั้นเรียน 2) การสังเกต: ผู้เรียนสังเกตผลของการสาธิตนั้นๆ 3) การอภิปราย: ผู้เรียนและผู้สอนอภิปรายร่วมกันถึงเหตุผลและหลักการทาง วิทยาศาสตร์ที่ใช้อธิบายปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในการสาธิต รวมทั้งเปรียบเทียบกับผลการทำนายใน ตอนแรกวิธีการสอนแบบ POE นี้ถูกพัฒนาขึ้นครั้งแรกในปี 1992 โดย White and Gunstone เพื่อ เป็นกระบวนการสอนที่ดึงเอาความรู้เดิมของผู้เรียนออกมาและใช้ในการอภิปรายเพื่อปรับแก้ความ เข้าใจที่คลาดเคลื่อน กระบวนการนี้มีรากฐานมาจากแนวคิดของการเรียนการสอนแบบ DOE (Demonstrate-Observe-Explain) ที่ใช้ใน University of Pittsburgh ประเทศสหรัฐอเมริกา วิธีการสอนแบบ POF ถูกพัฒนาขึ้นตามแนวคิดทฤษฎีการเรียนรู้แบบ constructivism ที่ว่าผู้เรียน สร้างองค์ความรู้ด้วยตนเองตามประสบการณ์ที่ผ่านมา เมื่อผู้เรียนพบกับประสบการณ์ใหม่ ผู้เรียนจะ ปรับให้เข้ากับประสบการณ์เดิม ซึ่งอาจจะเป็นการเปลี่ยนความเข้าใจที่มีอยู่เดิม หรือปฏิเสรข้อมูลใหม่ เมื่อพบว่ามันไม่เชื่อมโยงกันก็ได้ โดยที่การสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเองนี้จะได้รับอิทธิพลอย่างมากจาก แนวคิดที่มีอยู่เดิมและการปฏิสัมพันธ์ระหว่างกันในสังคม ดังนั้นในห้องเรียน ผู้สอนจึงควรที่จะสำรวจ ความเข้าใจที่มีอยู่เดิมของผู้เรียนต่อเรื่องหนึ่งๆ ก่อนที่จะสอน แล้วจึงใช้ข้อมูลที่ได้เหล่านั้นมาเป็น เครื่องมือในการสร้างกระบวนการสอนในชั้นเรียนที่เน้นการมีปฏิสัมพันธ์ร่วมกันระหว่างผู้เรียน, เพื่อน ร่วมชั้นเรียน และผู้สอน ทั้งนี้วิธีการที่ทำให้เกิดการเรียนรู้และการรับรู้ของผู้เรียนโดยสรุป แสดงได้ ด้วยพีระมิดแห่งการเรียนรู้ดังแสดงในรูปที่ 1
18 ภาพที่ 2 พีระมิดแห่งการเรียนรู้ (Learn Pyramid) จากพีระมิดแห่งการเรียนรู้แสดงให้เห็นว่ากระบวนการเรียนการสอน ที่แตกต่างกันมีผลต่อการเรียนรู้ของผู้เรียนแตกต่างกันด้วยโดยพบว่าวิธีการสอนแบบที่ผู้เรียนมีหน้าที่ เป็นเพียงผู้รับขจากพีระมิดแห่งการเรียนรู้แสดงให้เห็นว่ากระบวนการเรียนการสอนที่แตกต่างกัน มี ผลเพียงอย่างเดียว (passive teaching methods) เปอร์เซ็นต์ความเข้าใจที่เหลือเฉลี่ยหลังเรียน (averageretention rates มีค่าน้อยกว่า 50% ได้แก้ วิธีการสอนแบบบรรยายเพียงอย่างเดียว, การอ่าน, การดูโสตทัศน์และ การดูการสาธิต สรุปได้ว่า การจัดการเรียนรู้โดยใช้วิธีการจัดการเรียนรู้รูปแบบ POE เป็นวิธีสอนหนึ่งในการ จัดการเรียนรู้ตามแนวทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์โดยเน้นให้เรียนที่ผู้เรียนต้องแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง ผู้เรียนสามารถสร้างความรู้ใหม่โดยอาศัยความรู้จากประสบการณ์เดิมและการมีปฏิสัมพันธ์กับบุคคล อื่น การจัดการเรียนการสอนโดยใช้วิธีการสอน (POE) จะทำให้นักเรียนได้ฝึกการทำนายสิ่งที่จะ เกิดขึ้นฝึกทักษะการสังเกตซึ่งเป็น ทักษะหนึ่งในทักษะทางวิทยาศาสตร์หลังจากนั้นจะเป็นการอธิบาย ผลที่เกิดขึ้น โดยวิธีการจัดการเรียนรู้แบบ Predict Observe Explain (POE) ประกอบด้วย 3 ขั้นตอนดังนี้ 1. Predict (P) หมายถึงการทำนายผลที่เกิดจากการทดลองกิจกรรมหรือสถานการณ์ที่ กำหนดให้ 2. Observe (O) หมายถึงขั้นตอนที่นักเรียนต้องลงมือทดลองพิสูจน์สังเกตหาคำตอบ 3. Explain (E) หมายถึงเป็นขั้นตอนที่ให้นักเรียนอธิบายผลที่เกิดขึ้นจริงซึ่งผลที่เกิดขึ้น จริงอาจตรงกับ ที่ทำนายไว้ทังหมดหรือบางส่วนซึ่งนักเรียนต้องทำการวิเคราะห์หาสาเหตุ และสรุปผล 2. ทฤษฎีการจัดประสบการณ์การเรียนรู้แบบ ทำนาย สังเกต อธิบาย (Predict Observe Explain: POE) 2.1 ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของไวกอสกี้ไวก็อทสกี้ Vygotsky. 2007 ทารก เกิดมาพร้อมกับพื้นฐานทางความคิดความเข้าใจกับสิ่งต่างๆ ในระดับต่ำ (Lower Mental Functions) คือ มีความใส่ใจ การรู้สึก การรับรู้ ความจำ ที่ไม่ซับซ้อน เนื่องจากขีดจำกัดทางชีวภาพ
19 การมีจินตนาการหรือจารึกประสบการณ์บางสิ่งบางอย่างให้อยู่ภายในความทรงจำอาจยากเกินกว่า ความสามารถของเด็กที่จะสามารถทำได้ แต่การที่เด็กมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคม (Social Interaction) กับพ่อแม่ ครู และคนอื่นๆ ที่ให้ความเอาใจใส่ ดูแล ช่วยเหลือแก่เด็ก จะช่วยทำให้เด็กได้สร้างและเด็ก สามารถเรียนรู้ได้อย่างไม่มีขีดจำกัดขึ้นอยู่กับบริบททางสังคมที่จะเอื้อให้เด็กเกิดปฏิสัมพันธ์กับบุคคล รอบข้างที่ให้ความช่วยเหลือสนับสนุน ความช่วยเหลือในพื้นที่รอยต่อพัฒนาการ นอกจากจะเป็น ปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เชี่ยวชาญกับผู้เริ่มฝึกหัด เมื่อผู้เชี่ยวชาญมีความสามารถมากกว่าได้ช่วยเหลือผู้ เริ่มฝึกหัด การช่วยเหลือในพื้นที่รอยต่อพัฒนาการ ยังกินความหมายที่กว้างและลึกซึ้ง โดยขยายความ รวมไปถึงการร่วมมือทางสังคมในการทำกิจกรรมด้วย ซึ่งไม่ใช่เพียงเด็กต้องการผู้ใหญ่ที่คอยให้ความ ช่วยเหลือเท่านั้น ไวก็อตสกี้เชื่อว่าเด็กสามารถเริ่มกิจกรรมในพื้นที่รอยต่อพัฒนาการระดับที่สูงขึ้นได้ จากการมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมกับเพื่อนๆ หรืออาจจะกับเด็กๆ ที่อยู่ในระดับพัฒนาการที่ต่างกัน หรือ แม้กระทั่งกับเพื่อนในจินตนาการ ไวก็อทสกี้ (Vygotsky. 2007 อ้างอิงใน สมพร ทรัพย์สวัสดิ์. 2554 : 25) เน้นให้ผู้เรียน สร้างความรู้ด้วยการมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมกับผู้อื่น (ผู้ใหญ่หรือเพื่อน) ในขณะที่ผู้เรียนมีส่วน ร่วมในกิจกรรมหรืองานในสภาวะสังคม (Social Context) ซึ่งเป็นตัวแปรที่สำคัญและขาดไม่ได้ ปฏิสัมพันธ์ทางสังคมทำให้ผู้เรียนสร้างความรู้ด้วยการ เปลี่ยนแปรความเข้าใจเดิมให้ถูกต้องหรือ ซับซ้อนกว้างขวางขึ้นให้ความสำคัญกับเครื่องมือทางปัญญาว่าเป็นสิ่งที่ช่วยในการแก้ปัญหาและเป็น เครื่องมือที่ช่วยให้กระทำการใด ได้ และได้คิดหาวิธีการที่จะทำให้เด็กได้เครื่องมือนี้มาแล วิธีการที่จะสามารถช่วยพัฒนาเด็กให้สามารถพัฒนาเครื่องมือทางปัญญาให้มีระดับสูงขึ้นกว่าเดิม โดยใช้หลักพื้นฐาน 4 ประการดังนี้ 1. เด็กเป็นผู้สร้างความรู้ขึ้นเอง 2. พัฒนาทางปัญญาของเด็กแยกออกจากบริบทของสังคมไม่ได้ 3. การเรียนรู้ทำให้เกิดการพัฒนาการ 4. ภาษามีบทบาทสำคัญในการพัฒนาเครื่องมือทางปัญญา สรุปได้ว่า ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของไวกอสกี้จะเน้นให้เด็กมีส่วนร่วมในการปฏิบัติ กิจกรรม เด็กจะสร้างองค์ความรู้ขึ้นมาโดยการใช้คำถาม และครูต้องจัดประสบการณ์ให้เด็ก มีส่วน ร่วมในการทำกิจกรรม 2.2 ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของเพียเจต์ เพียเจต์(Piaget) เป็นผู้คิดทฤษฎีการ เรียนรู้และการประยุกต์ใช้ สรุปได้ดังนี้ (ชัยวัฒน์ สุทธิรัตน์ , 2552 : หน้า 25-26) ทฤษฎีการเรียนรู้ 1. พัฒนาทางการสติปัญญาของบุคคลเป็นไปตามวัยซึ่งแบ่งได้ 4 วัยดังนี้ ขั้นรับรู้ด้วยประสาทสัมผัส (Sensorimotor period) มีอายุอยู่ในช่วง 0-2 ปี ขั้นก่อนปฏิบัติการ การคิด (Preoperational period) มีอายุอยู่ในช่วง 2 – 7 ปี 2 ขั้นนี้จะมีการรับรู้และการกระทำ ส่วน ขั้นการคิดแบบรูปธรรม (Concrete operational period) มีอายุอยู่ในช่วง 7-11 ปี ขั้นนี้นอกจาก เรียนรู้แบบรูปธรรมได้ ยังสามารถเรียนรู้และใช้สัญลักษณ์ได้ด้วย ขั้นสุดท้ายเป็นขั้น การคิดแบบ นามธรรม(Formal operational period)มีอายุอยู่ในช่วง11-15 ปีขั้นนี้คิดเป็น นามธรรม, ตั้งสมมติฐานและใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ได้
20 2. ภาษาและกระบวนการคิดของเด็กแตกต่างจากผู้ใหญ่ 3. กระบวนการทางสติปัญญา มีลกัษณะการซึมซับหรือการดูดซึม (assimilation) และการปรับและการจัดระบบ (accommodation) การซึมซับหรือดูดซับ เป็นกระบวบการทางสมอง ในการรับประสบการณ์ เรื่องราว และข้อมูลต่างๆ เข้ามาสะสมเก็บไว้เพื่อใช้ประโยชน์ต่อไป การปรับ และการจัดระบบ เป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นจากขั้นของการปรับ หากการปรับเป็นไปอย่างผสมผสาน กลมกลืน จะก่อให้เกิดสภาพที่มีความสมดุลขึ้น หากบุคคลไม่ สามารถปรับประสบการณ์ใหม่และ ประสบการณ์เดิมให้เข้ากันได้ก็จะเกิดภาวะความไม่สมดุลขึ้น ซึ่งจะก่อให้เกิดความขัดแย้งทางปัญญา ขึ้นในตัวบุคคล การประยุกต์ใช้ในการจัดการเรียนรู้ แบ่งออกได้ดังนี้ 1. การพัฒนาเด็กควรคำนึงถึงพัฒนาการทางสติปัญญาของเด็กและจัด ประสบการณ์ให้เหมาะสมกับพัฒนาการของเขา ไม่ควรบังคับให้เด็กเรียนในสิ่งที่ยังไม่พร้อมหรือ ยากเกินพัฒนาการตามวัย เพราะจะทำให้เด็กเกิดเจตคติที่ไม่ดีในสิ่งที่เรียน และการจัดประสบการณ์ ควรคำนึงถึงสิ่งต่อไปนี้ - การจัดสภาพแวดล้อมที่เอื้อให้เด็กเกิดการเรียนรู้ตามวัยของตนเอง ซึ่งจะช่วยให้เด็กพัฒนาไปสู่พัฒนาการขั้นสูงขึ้นได้ - เด็กแต่ละคนมีพัฒนาการแตกต่างกัน ถึงแม้อายุจะเท่ากันแต่ระดับ พัฒนาการอาจ ไม่เท่ากัน ดังนั้นจึงไม่ควรเปรียบเทียบเด็ก ควรให้เด็กมีอิสระที่จะเรียนรู้ และพัฒนา ความสามารถของเขาไปตามระดับพัฒนาการของเขา - ผู้สอนควรสอนสิ่งที่เป็นรูปธรรมเพื่อช่วยให้เด็กเข้าใจลักษณะต่างๆ ได้ดีขึ้น 2. การให้ความสนใจและสังเกตเด็กอย่างใกล้ชิดจะช่วยให้ได้ทราบ ลักษณะเฉพาะของเด็ก 3. ในการสอนเด็กเล็กๆเขาจะรับรู้ส่วนรวม (whole) ได้ดีกว่าส่วนย่อย (part) ดังนั้น ผู้สอนจึงควรสอนภาพรวมก่อนแล้วจึงแยกสอนทีละส่วน 4. ในการสอนสิ่งใดให้กับเด็ก ควรเริ่มจากสิ่งที่เด็กคุ้นเคยหรือมีประสบการณ์ มาก่อน แล้วจึงเสนอสิ่งใหม่ที่มีความสัมพันธ์กับสิ่งเก่า การทำเช่นนี้จะช่วยเด็กซึมซับและจัดระบบ ความรู้ได้ดี 5. การเปิดโอกาสให้เด็กได้รับประสบการณ์แล้วมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม มาก ๆ จะช่วยให้เด็กซึมซับข้อมูลเข้าสู่โครงสร้างทางสติปัญญาและพัฒนาการทางสติปัญญาของเด็ก ได้ดี สรุปได้ว่า ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของเพียเจต์เด็กจะสามารถเรียนรู้ได้ดีเมื่อ เด็กพร้อม ไม่ว่าจะเป็นด้านร่างกาย ด้านอารมณ์ ด้านสังคมและด้านสติปัญญา ถ้าเด็กไม่พร้องเด็กจะ ไม่สามารถเรียนรู้ได้ดี
21 3. ขั้นตอนการจัดประสบการณ์การเรียนรู้แบบ ทำนาย สังเกต อธิบาย (POE) วภาวิณี รัตนคอน (2557: 6) วิธีการจัดการเรียนรู้แบบ (POE) หมายถึง การจัด กิจกรรมการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ เป็น การฝึกให้นักเรียนคิด ทำนายสิ่งที่จะเกิดขึ้น หรือ เหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นโดยใช้เหตุผล จากนั้นทำการสังเกต ทดลอง หรือหาข้อพิสูจน์สถานการณ์ ดังกล่าว นักเรียนต้องบอกสิ่งที่สังเกตได้ และอธิบายถึงความแตกต่าง ระหว่างสิ่งที่ได้จากการทำนาย และการสังเกต มี 3 ขั้นตอน ดังนี้ ขั้นที่ 1 Predict (P) ให้นักเรียนทำนาย หรือคาดคะเนคำตอบจากสถานการณ์ที่ กำหนดให้โดยให้เหตุผลประกอบ ขั้นที่ 2 Observe (O) ให้นักเรียนลงมือปฏิบัติ การสังเกต สำรวจ ทดลอง สืบค้นหาคำตอบจากสถานการณ์ที่กำหนด ขั้นที่ 3 Explain (E) ให้นักเรียนอธิบายผลที่ได้จากการสังเกต สำรวจ ทดลอง สืบค้นหาคำตอบจากสถานการณ์ที่กำหนดโดยให้เหตุผลประกอบซึ่งกิจกรรมเหล่านี้จะปรากฏอยู่ใน ขั้นการสอนใน แผนการจัดการเรียนรู้ ชัยวัฒน์ สุทธิรัตน์(2554) White & Gunstone (1992) กล่าวถึงวิธีสอนแบบ PredictObserve-Explain (POE) ว่าเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพ ที่จะส่งเสริมให้นักเรียนได้แสดงความคิดเห็น และอภิปรายเกี่ยวกับแนวคิดทางวิทยาศาสตร์และเป็น วิธีสอนที่ช่วยให้ผู้เรียนเกิดความเข้าใจในเรื่อง ที่เรียนและส่งผลด้านการเรียนเชิงบวก โดยการเรียนนั้นผู้เรียนเป็นผู้ลงมือปฏิบัติเอง ประกอบด้วย 3 ขั้นตอน ดังนี้คือ ขั้นที่ 1 ขั้น Predict (P) เป็นขั้นทำนายผล ซึ่งเป็นขั้นตอนที่ครูให้นักเรียนทำสิ่งที่ จะเกิดขึ้นจากสถานการณ์ปัญหาที่กำหนด ขั้นที่ 2 ขั้น Observe (O) เป็นขั้นสังเกต ซึ่งเป็น ขั้นตอนการหาคำตอบโดยการทำ การทดลอง การสังเกตการณ์การทำกิจกรรม การสืบค้นข้อมูลและใช้วิธีการต่างๆ เพื่อให้ได้มาซึ่ง คำตอบของสถานการณ์ปัญหานั้น ขั้นที่ 3 ขั้น Explain (E) เป็นขั้นอธิบายผลจากขั้นตอนการทำนาย และการสังเกต และหาคำตอบว่าเหมือนหรือต่างกันอย่างไร โดยให้เหตุผลประกอบส่วนการพัฒนาด้านสาระการ เรียนรู้นั้นผู้เรียนจะเรียนรู้ได้ดียิ่งขึ้นถ้าสิ่งที่ได้เรียนรู้นั้นมีความหมายต่อตัวผู้เรียน สุทธิดา รักกะเปา (2557: 6-7) ได้กล่าวถึง การจัดประสบการณ์การเรียนรู้แบบ ทำนาย สังเกต อธิบาย (POE) ไว้ว่า วิธีการสอนแบบ POE มีขั้นตอนหลักๆ 3 ขั้นตอน คือ 1) การทำนาย: ผู้เรียนทำนายผลของ การสาธิตที่ผู้สอนแสดงให้ดู ซึ่งอาจจะอยู่ในรูปของวีดีโอหรือการสาธิตจริงหน้าชั้นเรียน 2) การสังเกต: ผู้เรียนสังเกตผลของการสาธิตนั้นๆ 3) การอภิปราย: ผู้เรียนและผู้สอนอภิปรายร่วมกันถึงเหตุผลและหลักการทาง วิทยาศาสตร์ที่ใช้อธิบายปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในการสาธิต สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ (2554: 89) กล่าวว่า การจัดการเรียนรู้แบบ POE (Predict-Observe-Explain) สามารถช่วยให้นักเรียนสำรวจ
22 และค้นหา และหาเหตุผลมาอธิบายเกี่ยวกับความคิดของตนให้ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในขั้นตอน P (Predict) และการใช้เหตุผลในกรณีที่ผลการทดลองที่ได้ขัดแย้งกับคำทำนาย นักเรียนจะต้องสร้าง และแก้ไขปรับปรุงความคิดใหม่ให้ถูกต้องตามความเป็นจริงหรือตามแนวคิดเชิงวิทยาศาสตร์ซึง สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ได้อธิบายการจัดการเรียนรู้แบบ POE (Predict-Observe-Explain) มีขั้นตอน ดังนี้ 1. การทำนาย (Predict) ก่อนลงมือทำกิจกรรม ให้ผู้เรียนทำนายว่าจะเกิดอะไร ขึ้นในกิจกรรมที่สังเกต พร้อมทั้งให้เหตุผลประกอบ เพราะเหตุใดจึงคิดเช่นนั้น (การเดาโดยไร้เหตุผล เป็นสิ่งที่ไม่มีความหมายหากจะใช้วิธีการจัดการเรียนรู้แบบนี้ 2. การสังเกต (Observe) ให้นักเรียนลงมือสังเกตสิ่งที่เกิดขึ้นโดยละเอียดและ บันทึกผล (การสังกตโดยไม่มีการบันทึกผล หรือการจดจำเพียงอย่างเดียว ไม่จัดว่าเป็นทักษะ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์) 3. การอธิบายผล (Explain) ให้ผู้เรียนอธิบายความแตกต่างระหว่างสิ่งที่ทำนาย ไว้ละสิ่งที่เกิดขึ้นจริง พร้อมทั้งให้เหตุผลจะทำให้ผู้สอนเข้าใจ การจัดการเรียนรู้แบบ (Predict-Observe-Explain) ก็เหมือนกับวิธีการจัดการเรียนรู้อื่น ๆ ถ้าผู้สอนใช้การจัดการเรียนรู้ แบบ POE (Predict-Observe-Explain) อย่างสม่ำเสมอ ซึ่งจะทำให้การจัดการเรียนรู้แบบ POE (Predict-Observe Explain) มีประสิทธิภาพมากขึ้น สรุปได้ว่า การจัดการเรียนรู้แบบ (Predict-Observe Explain: POE) เป็นการจัดการ เรียนรู้แบบครูผู้สอนต้องสร้างสถาณการณ์เพื่อให้เด็กได้ฝึก การทำนายผล การสังเกตขณะการทำ กิจกรรม การอธิบายผลของกิจกรรม ซึ่งเด็กจะได้ทักษะทางวิทยาศาสตร์ ทักษะสมอง EF เพื่อที่จะ สามารถนำไปใช้ในการทำกิจกรรมที่มีขั้นสูงได้ งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 1. งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับทักษะสมอง EF 1.1 งานวิจัยในประเทศ ดุษฎี อุปการ และอรปรียา ญาณะชัย (2561 : 1635) ได้ศึกษา การเสริมสร้าง พัฒนาการการเรียนรู้ของเด็กปฐมวัยควรเลือกใช้หลักการใด : “การเรียนรู้ โดยใช้สมองเป็นฐาน” หรือ “การคิดเชิงบริหาร” What Principle Should We Use to Enhance Learning Developmentof Early Childhood Children: “Brain Besed Learning” or “Executive Function”เด็กปฐมวัยถือเป็น วัยทองแห่งการเรียนรู้ เพราะเป็นช่วงเวลาที่สมองพัฒนา สูงสุดและส่งผลต่อสติปัญญา บุคลิกภาพ และ ความฉลาดทางอารมณ์ การพัฒนาเด็กในช่วงวัยนี้จึง เป็นพื้นฐานสำคัญในการพัฒนาทักษะและ ความสามารถในระดับที่สูงขึ้นต่อไป การเรียนรู้โดยใช้ สมองเป็นฐานและการคิดเชิงบริหารเป็นหลักการที่อยู่บนพื้นฐานขององค์ความรู้เกี่ยวกับสมองทั้ง องค์ประกอบและกลไกหน้าที่การทำงานของสมองแต่มีจุดเน้นที่แตกต่างกันจึงทำให้เป้าหมาย หลักการ และการปฏิบัติต่างกันไป ดังนั้น การนำหลักการ การเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน หรือ การคิดเชิงบริหาร สู่การปฏิบัติเพื่อเสริมสร้างพัฒนาการ การเรียนรู้ของเด็กปฐมวัยจึงขึ้นอยู่กับครู ผู้ปกครองเลือกให้สอดคล้องกับเป้าหมายที่ต้องการพัฒนาเด็กปฐมวัย เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ของ
23 เด็กปฐมวัยอย่างเต็มศักยภาพ และเป็นการวางรากฐานสำคัญ ในการพัฒนา ทรัพยากรมนุษย์ที่จะเป็น กำลังขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศชาติต่อไป ศักดิ์ชัย ใจซื่อตรง (2561: 264-265) ได้ศึกษา การพัฒนารูปแบบการจัด ประสบการณ์ศิลปะที่ส่งเสริมทักษะการจัดการสมอง EF สำหรับเด็กปฐมวัย โดยการวิจัยมี วัตถุประสงค์ที่สำคัญคือ 1) เพื่อพัฒนารูปแบบการจัดประสบการณ์ศิลปะที่ส่งเสริมทักษะการจัดการ สมอง EF สำหรับเด็กปฐมวัย 2) เพื่อศึกษาประสิทธิผลของรูปแบบการจัดประสบการณ์ศิลปะที่ ส่งเสริมทักษะการจัดการสมอง EF สำหรับ เด็กปฐมวัย ทักษะการจัดการสมอง EF มี 5 ด้านคือด้าน ความจำที่ใช้งาน ด้านยับยั้งพฤติกรรม ด้านยืดหยุ่น ความคิด ด้านควบคุมอารมณ์ ด้านจัดระบบการ ทำงาน ผู้วิจัยใช้การวิจัยและพัฒนา แบ่งการทดลองเป็น 3 ระยะคือ ระยะที่ 1 สังเคราะห์เอกสาร งานวิจัยที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับทักษะ การจัดการสมอง ผลการวิจัย พบว่า ทักษะการจัดการสมอง สามารถพัฒนาในเด็กปฐมวัยได้ 5 ด้าน ระยะที่ 2 สร้างและพัฒนารูปแบบ การจัดประสบการณ์ศิลปะ ที่ส่งเสริมทักษะการจัดการสมองรูปแบบ การจัดประสบการณ์ศิลปะมี 4 ขั้นคือ สร้างแรงจูงใจการ เรียนรู้วางแผนการเรียนรู้ ปฏิบัติการเรียนรู้และทบทวนการเรียนรู้และระยะที่ 3 ทดสอบ ประสิทธิผล ของรูปแบบการจัดประสบการณ์ศิลปะที่ส่งเสริมทักษะการจัดการสมอง การทดสอบประสิทธิผล ผู้วิจัยนำไปทดลองใช้กับเด็กปฐมวัยอายุระหว่าง 5-6 ปี ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2561 เป็น ระยะเวลา 8 สัปดาห์ ประเมินและสังเกตพฤติกรรมทักษะ การจัดการสมองก่อนการจัดกิจกรรมและ ทุกๆ 2 สัปดาห์รวม 5 ครั้ง นำผลมาวิเคราะห์ความแปรปรวนแบบวัดซ้ำพบว่ารูปแบบการจัด ประสบการณ์ศิลปะสามารถ พัฒนาทักษะการจัดการสมองได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 กมลรัตน์ คนองเดช (2563) ได้ศึกษา ผลการจัดประสบการณ์โดยใช้สื่อและ ของเล่น ที่มีต่อทักษะ EF ของเด็กปฐมวัยในโรงเรียนร่วมพัฒนาวิชาชีพครูเขตพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ ผลการศึกษาวิจัยพบว่า 1) สื่อและของเล่นพัฒนาทักษะ EF (Executive Functions) ของเด็กปฐมวัย มีประสิทธิภาพค่า E1/E2 = 92.23/93.49 สูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนด 2) หลังการทดลองการจัด ประสบการณ์โดยใช้สื่อและของเล่นพัฒนาทักษะ EF เด็กปฐมวัยในกลุ่มโรงเรียนร่วมพัฒนาวิชาชีพครู เขตพื้นที่จังหวัด ชายแดนภาคใต้ มีทักษะ EF (ExecutiveFunctions) ไม่แตกต่างกัน และไม่มี นัยสำคัญทางสถิติ3) หลังการทดลองการจัดประสบการณ์โดยใช้สื่อและของเล่นพัฒนาทักษะ EF เด็ก ปฐมวัยมีความพึงพอใจ ต่อการจัดประสบการณ์อยู่ในระดับมาก ( = 98.11) สุนิษา ภารตระศรีและชวนพิศ รักษาพวก (2565) ได้ศึกษา ผลการจัด ประสบการณ์เรียนรู้โดยใช้นิทานเพื่อพัฒนาทักษะสมอง (EF) ของเด็กปฐมวัย ผลการศึกษาวิจัยพบว่า 1. แผนการจัดประสบการณ์โดยใช้นิทาน เพื่อพัฒนาทักษะสมอง (EF) ของ เด็กปฐมวัย มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์กำหนด 84.51/82.22 สูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนด 80/80 เนื่องจาก ผู้วิจัยได้จัดทำแผนจัดประสบการณ์อย่างมีระบบ ศึกษาทฤษฎีหลักสูตร 2. ทักษะสมอง (EF) ของเด็กปฐมวัย หลังการจัดประสบการณ์เรียนรู้สูงกว่า ก่อนการจัด ประสบการณ์เรียนรู้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 เป็นดังนี้ 1) ด้านความจำเพื่อ ใช้งานดีขึ้น เพราะนิทานช่วยส่งเสริมทักษะสมองด้านความจำ เช่น นิทานเรื่องรอนานหน่อยนะที่มี เนื้อหาส่งเสริม ทักษะสมอง ภาพและเหตุการณ์ในเรื่องที่ดูเหมือนซ้ำๆ (Working Memory) 2) ด้าน การวางแผน จัดระบบดำเนินการ ช้างน้อยใบยอได้เห็นวิธีคัดแยกสิ่งของใช้แล้วจากป้าช้าง เหล่าช้าง
24 น้อยพากันริเริ่ม ลงมือ วางแผน จัดระบบดำเนินการ (Planning & Organizing) ร่วมกันสร้างเมืองใน ฝันจากวัสดุเหลือ ใช้จนสำเร็จ 3) มีการมุ่งเป้าหมายที่ดีขึ้น จากนิทานเรื่อง ของขวัญของหอยทาก เนื้อ เรื่องน่ารัก สะท้อนให้เห็นความคิดริเริ่ม ความตั้งใจของสัตว์ทุกตัวที่พยายามเลือกสรรของขวัญ เพื่อ มอบให้แก่ นางฟ้าเห็นความมุ่งมั่นของหอยทาก (Goal-Directed Persistence) ที่พยายามแสวงหา สิ่งที่ดีที่สุด ให้แก่นางฟ้าโดยไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคใดๆ นิทานช่วยส่งเสริมพัฒนาการทั้ง 3 ด้าน อภิรักษ์ ตาแม่ก๋ง ปนัดดา ธนเศรษฐกร พัชรินทร์เสรีและวรสิทธิ์ ศิริพร พาณิชย์(2562:182 – 183) ได้ศึกษา ผลของโปรแกรม I AM TAP ต่อทักษะการคิดเชิงบริหารของ เด็กปฐมวัย THE IMPACTS OF THE I AM TAP PRGRAM ON THE PRESCHOOL CHILDREN’S EXECUTIVE SKILLS การคิดเชิงบริหาร ( Execution Function) หรือทักษะสมอง EF (กระบวนการ ทำงานของสมอง ระดับสูง ที่ควบคุมความรู้สึก การรู้คิดและพฤติกรรม ให้ประสบความสำเร็จตาม เป้าหมายโดยอาศัย ประสบการณ์เดิมมาช่วยในการตัดสินใจทักษะพื้นฐานของการคิดเชิงบริหารที่ สำคัญคือ การยับยั้งชั่งใจ ความจำเพื่อใช้งาน และการยืดหยุ่นความคิด งานวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาผลของโปรแกรม ไอแอมแท็ป ต่อทักษะพื้นฐานของการคิดเชิงบริหารของเด็กปฐมวัย โปรแกรม ไอแอมแท็ป เป็นโปรแกรม การใช้กิจกรรมกลุ่มจำนวน 10 กิจกรรม สำหรับใช้ร่วมกับ แผนการเรียนการสอนในห้องเรียนเด็กปฐมวัย เพื่อส่งเสริมทักษะพื้นฐานของทักษะสมอง EF ในเด็ก ปฐมวัย แต่ละกิจกรรมถูกพัฒนาขึ้นตามแนวทาง การจัดกิจกรรมตามแนวทาง EF Guideline ซึ่งเป็น หลักการวางแผนจัดประสบการณ์ที่พัฒนาขึ้นตามหลัก การท างานของสมองและทักษะสมอง EF งานวิจัยชิ้นนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง แบบมีกลุ่มควบคุมและมีการทดสอบก่อน และหลังการทดลอง กลุ่มตัวอย่างทั้งหมด คือเด็กปฐมวัยอายุระหว่าง 4-6 ปี จำนวน 68 คน ที่เรียนอยู่ในโรงเรียนอนุบาล สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ แบ่งเป็นกลุ่มทดลอง จำนวน 31 คนและกลุ่ม ควบคุม จำนวน 37 คน เด็ก ในกลุ่มทดลอง จะได้เข้าร่วมกิจกรรมกลุ่มในโปรแกรมไอแอมแท็ป จำนวน 18 ครั้ง ครั้งละ 20-30 นาที 2 ครั้งต่อสัปดาห์ เป็นระยะเวลา 9 สัปดาห์ ส่วนเด็กในกลุ่มควบคุม เข้าร่วม กิจกรรมตาม แผนการเรียนการสอนตามปกติ เครื่องมือที่ใช้เก็บรวบรวมข้อมูล คือ แบบประเมินพัฒนาการ ตาม การคิดเชิงบริหาร (MU. EF-101) และสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลคือ การทดสอบความแตกต่าง ค่าเฉลี่ยของกลุ่มตัวอย่าง 2 กลุ่มไม่อิสระ(paired sample t -test) และการทดสอบค่าเฉลี่ยของกลุ่ม ตัวอย่าง 2 กลุ่มที่มีความเป็นอิสระต่อกัน ( independent sample t-test) ตามล าดับผลการวิจัย พบว่า 1) เด็กกลุ่มทดลองมีค่าเฉลี่ยคะแนนทักษะการคิดเชิงบริหารหลังเข้าร่วมโปรแกรม I AM TAP สูงกว่าก่อน เข้าร่วมอย่างมีนัยยะสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.001 และ 2) เด็กกลุ่มทดลองมีค่าเฉลี่ยของ พัฒนาทักษะ การคิดเชิงบริหารสูงกว่าเด็กในกลุ่มควบคุมอย่างมีนัยยะสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.001 รัตนาพร ง้าวทองและจันทิมา เคลือบสำราญ (2566) ได้ศึกษาผลการจัดกิจกรรม ทดลองสนุกคิดกับวิทยาศาสตร์เพื่อส่งเสริมทักษะสมอง EF ด้านการกำกับตนเองของเด็กปฐมวัย ผลการวิจัยพบว่า 1. เด็กปฐมวัยที่ได้รับการส่งเสริมทักษะสมอง EF ด้านการกำกับตนเอง โดยการจัด กิจกรรมทดลองสนุกคิดกับวิทยาศาสตร์มีพัฒนาการทักษะสมอง EF ด้านการกำกับตนเองสูงขึ้นอย่าง มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2.ทักษะสมอง EF ด้านการกำกับตนเองของเด็กปฐมวัยที่ได้รับการ จัดกิจกรรมทดลองสนุกคิดกับวิทยาศาสตร์ก่อนการจัดกิจกรรมมีคะแนนค่าเฉลี่ยเท่ากับ 2.20 ส่วน เบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.09 หลังการจัดกิจกรรมมีคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 2.77 ส่วนเบี่ยงเบน
25 มาตรฐานเท่ากับ 0.04 แสดงให้เห็นว่าเด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดกิจกรรมทดลองสนุกคิดกับ วิทยาศาสตร์มีคะแนนทักษะสมอง EF หลังการจัดกิจกรรมสูงกว่าก่อนการจัดกิจกรรมอย่างมีนัยสำคัญ ทางสถิติที่ระดับ .05 1.2 วิจัยในต่างประเทศ ธิโบเดล (Thibodeau, 2016) ได้ศึกษา ผลจากการเล่นบทบาทสมมติ (Fantastical pretendplay) ในการพัฒนาหน้าที่บริหารจัดการของสมอง การศึกษานี้ตรวจสอบ ทิศทางความสัมพันธ์ระหว่างการเล่นบทบาทสมมติและหน้าที่บริหารจัดการของสมองในเด็กก่อนวัย เรียน ผ่านการเล่นเชิง นวัตกรรมโดยใช้การควบคุมที่ออกแบบมา กลุ่มตัวอย่าง คือ เด็ก110 คน อายุ ระหว่าง 3-5 ปีที่จะสุ่มให้เล่นมีเงื่อนไข ดังนี้ การเล่นบทบาทสมมติการเล่นที่ไม่ต้องใช้จินตนาการ หรือการควบคุมการเล่น พบว่า ใน 5 สัปดาห์ เด็กที่เข้าร่วมการเล่นบทบาทสมมติมีการพัฒนาหน้าที่ บริหารจัดการของสมอง ขณะที่อีก กลุ่มที่เล่นที่ โดยไม่ต้องใช้จินตนาการหรือการควบคุมการเล่นไม่มี การพัฒนา ภายใต้เงื่อนไขการเล่น บทบาทสมมติ เด็กที่ใส่ใจในการเล่นจะมีคะแนนสูง ข้อมูลนี้เป็น หลักฐานแสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่าง การเล่นบทบาทสมมติและการพัฒนาหน้าที่บริหารจัดการของ สมอง ซึ่งการเล่นอาจเป็นหนึ่งในหลายๆ วิธีที่จะพัฒนาหน้าที่บริหารจัดการของสมองให้เพิ่มขึ้น Sportsman (2011) ทำการศึกษาการพัฒนาทักษะดนตรีและพฤติกรรมที่ เชื่อมโยงกับ ทักษะสมอง EF กับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 และ 2 โรงเรียนประถมในเขตเมือง ตลอด ระยะเวลา 1 ปี ที่เข้าร่วมโปรแกรมดนตรีหลังเลิกเรียนแบบเข้มข้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ ตรวจสอบ ศักยภาพของโปรแกรมดนตรีที่มีผลต่อการพัฒนาทางจิตวิทยา การพัฒนาทางดนตรีและ การประสบความสำเร็จในโรงเรียน โดยเน้นไปที่การตรวจสอบการพัฒนาทักษะดนตรีและทักษะสมอง EF ผลการวิจัยพบว่า การเรียนดนตรีอาจมีส่วนช่วยให้เด็กพัฒนาทักษะสมอง EF ที่จำเป็นต่อการ ประสบความสำเร็จในการเรียนในโรงเรียนและการใช้ชีวิตประจำวัน กิจกรรมดนตรีสนับสนุนและ ผลักดันให้เกิดสมาธิ (attention) การยับยั้งชั่งใจ (inhibition) การปรับปรุงความคิดให้ทันสมัย (updating) การ ยืดหยุ่นทางความคิด (shifting) และสร้างให้เกิดการตอบสนองระหว่างครูและ นักเรียน นอกจากนี้ผลงานวิจัย พบว่าดนตรีและทักษะสมอง EF พัฒนาไปพร้อมกันจากการอภิปราย ผลของงานวิจัย พบ ข้อมูลที่น่าสนใจ ดังนี้1. กิจกรรมดนตรีที่มีระดับการมีส่วนร่วมแบบปฏิบัติการอยู่ ในระดับสูง เมื่อ นักเรียนได้มีส่วนร่วมปฏิบัติ ดนตรีในชั้นเรียน นักเรียนจะได้ฝึกฝนทักษะ ที่สำคัญ ด้านการจดจ่อใส่ใจ การยั้งคิด ไตร่ตรอง การปรับปรุงให้ทันสมัย และการยืดหยุ่นความคิด 2. ดนตรี เป็นแม่แบบของการมีส่วนร่วมในการสอนหรือการให้คำแนะนำภายใต้กิจกรรมดนตรีที่หลากหลาย นักเรียนจะมีส่วนร่วมอย่างมากจากการลงมือปฏิบัติทั้งในส่วนของจำนวน ชั่วโมงและความถี่ของการ ได้รับการตอบสนองอย่างต่อเนื่อง ดนตรีสร้างโครงสร้างการมีปฏิสัมพันธ์อย่างมีความหมายระหว่าง นักเรียนและครู3. การสนับสนุนภายนอกอย่างมีโครงสร้างอาจน าไปสู่การพัฒนาทักษะภายใน ความสามารถของทักษะสมอง EF จะถูกพัฒนโดยการมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม เด็กพัฒนาวินัยใน ตนเองผ่านทางการค่อยๆ ซึมซับและเรียนรู้กฎและโครงสร้างจากภายนอก กายและคณะ (Guy, 2004) ได้สร้างแบบวัด The Behavior Rating Inventory of Executive Function (BRIEF) Self-Report เป็นแบบวัดที่ได้สร้างขึ้นเพื่อประเมินทักษะการคิด เชิงบริหารโดยการประเมินตนเอง ใช้ประเมินในเด็กอายุระหว่าง 11-18 ปี ประกอบด้วยข้อคำถาม
26 80 ข้อ เพื่อวัด 2 องค์ประกอบหลัก 8 องค์ประกอบย่อย องค์ประกอบหลักประการแรกคือ การกำกับ พฤติกรรม (Behavioral Regulation) ประกอบไปด้วย 4 องค์ประกอบย่อย คือ การยับยั้ง (Inhibit) การปรับเปลี่ยน (Shift) การควบคุมอารมณ์ (Emotional Control) การประเมินตนเอง (Monitor) องค์ประกอบหลักประการที่สองคืออภิปัญญา (Metacognition) ประกอบไปด้วย 4 องค์ประกอบ ย่อย คือ ความจำเพื่อใช้งาน (Working Memory) การวางแผนและการจัดการ (Plan/Organize) การจัดการสิ่งของรอบตัว (Organization of Materials) และการปฏิบัติงานให้สำเร็จ (Task Completion) Diamond และ Lee (2011) ได้ศึกษาการแทรกแซงที่แสดงให้เห็นถึงการ ช่วยเหลือ การพัฒนาทักษะการคิดเชิงบริหาร ในเด็กอายุ 4-12 จะประสบความสำเร็จใช้ความคิด สร้างสรรค์ความยืดหยุ่นการควบคุมตนเองและระเบียบวินัย สิ่งที่สำคัญสำหรับทุกคนคือ “หน้าที่ของ ทักษะ การคิดเชิงบริหาร” รวมถึงการเล่นกับความคิดทางจิตใจการให้ความสำคัญมากกว่าการตอบโต้ อย่าง ฉุนเฉียวและเน้นความสำคัญ กิจกรรมที่หลากหลายได้รับการแสดงเพื่อปรับปรุงการท างานของ ผู้บริหารเด็ก-การฝึกอบรมด้วยระบบคอมพิวเตอร์เกมที่ไม่ใช้คอมพิวเตอร์แอโรบิกศิลปะการต่อสู้โยคะ สติและหลักสูตรของโรงเรียน สิ่งเหล่านี้คือการปฏิบัติซ้ำ ๆ และท้าทายผู้บริหารอย่างต่อเนื่อง เด็กที่มี หน้าที่บริหารที่เลวร้ายยิ่งในตอนต้นจะได้รับประโยชน์มากที่สุด ดังนั้นการฝึกอบรมผู้บริหาร ระดับสูง ในช่วงต้นจึงอาจช่วยหลีกเลี่ยงช่องว่างความสำเร็จในภายหลังได้ เพื่อปรับปรุงการท างานของ ผู้บริหารโดยมุ่งเน้นให้แคบลงอาจไม่ค่อยมีประสิทธิผลเท่าที่ควรในการพัฒนาด้านอารมณ์และสังคม และการพัฒนาด้านร่างกาย อุลิตา (Ulita, 2016) ได้ศึกษา จากการสำรวจกิจกรรมดนตรีในหลายงานวิจัย พบว่า มีความสัมพันธ์กันในระดับสูงระหว่างการมีส่วนร่วมของนักเรียน ความกระตือรือร้นในการมี ส่วนร่วมและ ลดพฤติกรรมที่ไม่ดี นอกจากนี้ยังได้ศึกษาเกี่ยวกับดนตรีกับทักษะสมอง พบว่า นักดนตรี ที่ได้รับการฝึกฝน มีทักษะสมองเพื่อชีวิตที่สำเร็จ EF ดีกว่าคนที่ไม่ได้เรียนดนตรีและมีหลักฐาน เกี่ยวกับการเรียนดนตรีที่นำสู่ การพัฒนาทักษะการคิดและเชื่อมโยงกับ EF ใน 5 ด้านคือ 1) การจด จ่อใส่ใจ 2) กลยุทธ์การยืดหยุ่น 3) ความยับยั้งชั่งใจ 4) การจดจำ และ 5) การมีสมาธิอย่างต่อเนื่องใน งานที่ทำ 2. วิจัยที่เกี่ยวข้องกับการจัดประสบการณ์การเรียนรู้แบบ ทำนาย สังเกต อธิบาย (Predict Observe Explain: POE) 2.1 งานวิจัยในประเทศ สุภาพร แหลมแก้ว, เนติเฉลยวาเรศและศรินทิพย์ภูสําลี (2557) ผลของการ ใช้เทคนิคการสอนแบบทํานาย สังเกต อธิบาย กับวิธีสอน แบบสืบเสาะหาความรูแบบ 5E ผลวิจัยพบว่า 1. นักเรียนที่สอนโดยใชเทคนิคการสอนแบบทํานาย สังเกต อธิบาย มี ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตรเรื่อง ไฟฟา หลังเรียนสูงกวากอนเรียนอยางมีนัยสําคัญทางสถิติที่ ระดับ .05 2. นักเรียนที่สอนโดยวิธีสอนแบบสืบเสาะหาความรูแบบ 5E มีผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนวิทยาศาสตร เรื่อง ไฟฟา หลังเรียนสูงกวากอนเรียนอยางมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .05
27 3. นักเรียนที่สอนโดยใชเทคนิคการสอนแบบทํานาย สังเกต อธิบายกับวิธีสอนแบบสืบ เสาะหาความรูแบบ 5E มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร เรื่อง ไฟฟา ไมแตกต่างกัน 4. นักเรียนที่สอนโดยใชเทคนิคการสอนแบบทํานาย สังเกต อธิบายกับวิธีสอน แบบสืบเสาะหาความรูแบบ 5E มีทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร เรื่อง ไฟฟา แตกตางกันอยางมี นัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .05 5. นักเรียนที่สอนโดยใชเทคนิคการสอนแบบทํานาย สังเกต อธิบาย และการ สอนโดยวิธีสอนสืบเสาะหาความรูแบบ 5E มีเจตคติในการเรียนวิทยาศาสตร เรื่อง ไฟฟาอยูในระดับ มาก วภาวิณี รัตนคอน. (2557). ผลของการศึกษาเจตคติต่อการเรียนวิชาโครงงาน วิทยาศาสตร์ของนักเรียนเพศ ชายและเพศหญิง ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่ได้รับการจัดกิจกรรม การเรียนรู้แบบ Predict Observe Explain (POE) กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการจัดกิจกรรม เป็น กลุ่ม นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/3 โรงเรียนสาธิต มหาวิทยาลัยราชภัฎสวนสุนันทา (ฝ่ายมัธยม) ที่กำลัง ศึกษาในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2557 จำนวน 47 คน ซึ่งเป็นนักเรียนเพศชาย 13 คน และเป็น นักเรียนเพศหญิง 34 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็น แบบสอบถามวัดเจตคติต่อการเรียนวิชา โครงงานวิทยาศาสตร์ การวิเคราะห์ข้อมูลทำโดยการเปรียบเทียบเจต คติต่อการเรียนวิชาโครงงาน วิทยาศาสตร์ของนักเรียนเพศชายและเพศหญิง ที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ Predict Observe Explain (POE) โดยสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ผลการวิจัยพบว่า เจต คติของ นักเรียนเพศชายและนักเรียนเพศหญิง ในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่มีต่อการเรียนวิชาโครงงาน วิทยาศาสตร์ ที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ Predict Observe Explain (POE) อยู่ในระดับ ปานกลาง พัชรินทร์ ธัมมา (2563) ผลของการเปรียบเทียบทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ ของเด็กปฐมวัยก่อนและหลังได้รับการจัดกิจกรรมการเล่านิทานเสริมด้วยการสอนตามรูปแบบ POE กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้เป็นเด็กปฐมวัย อายุ 4-5 ปี กำลังศึกษาอยู่ยู่ชั้นอนุบาลปีที่ 2 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2563 โรงเรียนอนุบาลอุดรธานีอำเภอเมืองอุดรธานี สำนักงานเขตพื้นที่ การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานีเขต 1 จำนวน 30 คน ซึ่งได้มาโดยใช้วิธีการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster Random Sampling) รูปแบบการวิจัยคือ แบบกลุ่มเดียวทดสอบก่อนและหลัง เครื่องมือที่ ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย แผนการจัดกิจกรรมการเล่านิทานเสริมด้วยการสอนตามรูปแบบ POE และแบบทดสอบทักษะทางคณิตศาสตร์ของเด็กปฐมวัย วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าเฉลี่ย ส่วนเบียงเบน มาตรฐานและการทดสอบทีแบบไม่อิสระผลการวิจัยพบว่า เด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเล่า นิทานเสริมด้วยการสอนตามปแบบ POE มีทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์หลังการจัดกิจกรรมสูงกว่า ก่อนการจัดกิจกรรม กาญจนา วงศ์ไชยา (2558) ผลการจัดการเรียนรู้แบบทำนาย-อธิบาย-สังเกต อธิบาย-อภิปราย เรื่องเซลล์กัลวานิกเพื่อพัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์สำหรับนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 กลุ่มตัวอย่างนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 จำนวน 25 คน ภาคเรียนที่ 1ปี การศึกษา 2558 ผลการวิจัยพบว่า นักเรียนมีคะแนนเฉลี่ยทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และ
28 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 นักเรียนมี ความก้าวหน้าของทักษะกระบนการวิทยาศาสตร์และทางการเรียนทั้งชั้นเรียนระดับปานกลาง ความสัมพันธ์ระหว่างทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเป็น ความสัมพันธ์เชิงบวกอยู่ในระดับปานกลาง ผลการทำนาย-สังเกต-อธิบาย-อภิปราย ค่าเฉลี่ยอยู่ใน ระดับปานกลาง และนักเรียนมีคะแนนในการทำนายสูงสุดและต่ำสุดในทักษะการอภิปราย อามีเนาะ ตารีตา (2560) ได้ศึกษาผลของการจัดการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน ร่วมกับกลวิธี POE ที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ลุ่มเป้าหมาย คือ นักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่กำลังศึกษาในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2559 โรงเรียนบ้านตันหยงดาลอ จังหวัดปัตตานี จำนวน 24 คน 1 ห้องเรียน ผลการวิจัยพบว่า นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลัง เรียนสูงกว่าก่อนเรียน คะแนนก่อนเรียนมีค่าเฉลี่ยร้อยละ 30.00 และคะแนนหลังเรียนมีค่าเฉลี่ยร้อย ละ 66.11 และ นักเรียนมีทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์สูงกว่าก่อนเรียน คะแนนก่อนเรียนมี ค่าเฉลี่ยร้อยละ 26.25 และคะแนนหลังเรียนมีค่าเฉลี่ยร้อยละ 65.42 2.2 งานวิจัยต่างประเทศ Famakinwa Adebayo and Bello Theodora Olufunke (2015: 86) ผลการวิจัยพบว่า โรงเรียนประถมศึกษาไม่มีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ทักษะวิทยาศาสตร์ ชั้นพื้นฐานนักเรียนในขณะที่มีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญของยุทธศาสตร์การเรียนการสอน วิทยาศาสตร์พื้นฐานของนักเรียนทักษะการปฏิบัติ นอกจากนี้ผลการทดลองพบว่าผลกระทบที่เกิดขึ้น จากการกำเนิดและ POE มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติกลยุทธ์การเรียนการสอน เกี่ยวกับทักษะการปฏิบัติการวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐานของนักเรียนในด้านกลยุทธ์การเรียนการสอน POE เมื่อเทียบกับที่ของ GIS การศึกษาสรุปได้ว่ากลยุทธ์การเรียนการสอน POE เป็นวิธีการที่มี ประสิทธิภาพมากขึ้นในการปรับปรุง Basic Science ทักษะการปฏิบัติของนักเรียนระดับ ประถมศึกษาตอนต้นและแนะนำให้ครูประถมศึกษาควรใช้วิธีการนี้ในการเสริมสร้างการเรียนการสอน และการเรียนรู้ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐาน Borges et al (2009) ได้ศึกษาความเข้าใจของนักเรียนเกี่ยวกับไฟฟ้า พบว่า นักเรียนพยายามที่จะใช้ mental model ในรูปแบบที่หลากหลาย เพื่อแสดงถึงความเข้าใจเกี่ยวกับ ไฟฟ้า ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงข้อจำกัดของ mental model แบบเดิมที่ผู้เรียนมักใช้ mental modelในแบบเดิม ๆ ที่เขาเคยชิน โดยครูจะให้นักเรียนเรียนรู้ด้วยวิธี POE ผลปรากฎว่านักเรียนมี มโนมติที่ถูกต้องเกี่ยวกับเรื่องไฟฟ้ามากขึ้น รวมทั้งนักเรียนสามารถออกแบบวงจร และต่อวงจรไฟฟ้า ได้ และนักเรียนใช้ mental model ของตนเองอธิบายในรูปแบบที่หลากหลายขึ้น เช่น การเขียน การวาดรูปประกอบการประดิษฐ์ชิ้นงาน ซูซไว (Zuziwe, 2012, Abstract) ได้ศึกษาการใช้เทคนิคการทำนายการสังเกต การอธิบาย(POE) ส่งเสริมความเข้าใจปฏิกิริยาทางเคมีของนักเรียน ได้ข้อสรุปว่าเทคนิคการทำนาย การสังเกตการอธิบายสามารถใช้สอนเพื่อส่งเสริมให้นักเรียนปฏิบัติกิจกรรมและเข้าใจปฏิกิริยา กัมมันตรังสีเป็นอย่างดี จากการสัมภาษณ์นักเรียนและครู การทดสอบก่อนและหลังเรีชน การสังเกต และการทำแบบสอบถาม พบว่า ความรู้ก่อนเรียนของนักเรียนมีผลต่อการทำนาย การสังเกต การ
29 อธิบาย และครูสามารถใช้เทคนิคการทำนาย - การสังเกต - การอธิบาย ออกแบบการปฏิบัติกิจกรรม ไปพร้อม ๆกับข้อคิดเห็นของนักเรียนได้ Vadapally (2014) ได้ทำการศึกษาวิจัยโดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบทำนาย สังเกต และอธิบาย เพื่อศึกษาความแตกต่างทางเพศต่อความสามารถในการให้เหตุผลของนักเรียน ใน รายวิชาปฏิบัติการเคมี ของโรงเรียนมัธยม จากการทบทวนวรรณกรรมพบว่างานวิจัยหลายงาน ระบุ ว่านักเรียนทุกระดับชั้นไม่มีการพัฒนาทักษะและความรู้ที่พวกเขามีอยู่ และนักเรียนชายมีแนวโน้ม ประสบผลสำเร็จในการเรียนวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์มากกว่านักเรียนหญิง งานวิจัยนี้จึงศึกษา ความแตกต่างของเพศ โดยกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาวิจัยเป็นนักเรียนชาย 24 คนและ นักเรียน หญิง 25 คน ที่ลงทะเบียนเรียนในวิชาวิทยาศาสตร์กายภาพที่สอนโดยครูผู้สอนคนเดียวกันเป็น การศึกษาเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณ ผลจากการศึกษาวิจัยพบว่าจากการจัดการเรียนรู้แบบ ทำนาย สังเกต และอธิบาย ผลวิจัยเชิงปริมาณจากค่าทางสถิติ พบว่าเพศมีผลต่อความสามารถในการ ให้ เหตุผลและความเข้าใจในรายวิชาปฏิบัติการเคมี ผลการวิจัยเชิงคุณภาพจากการสัมภาษณ์แบบกึ่ง โครงสร้าง พบว่าผู้เรียนให้ความสนใจต่อการจัดการเรียนรู้แบบทำนาย สังเกต และอธิบาย ในรายวิชา ปฏิบัติการเคมี และนอกจากนี้ผู้เรียนยังมีแนวคิดทางวิทยาศาสตร์ในการเชื่อมโยงความรู้ซึ่งในการ จัดการเรียนรู้ครูผู้สอนควรสร้างสิ่งแวดล้อมให้เอื้อต่อการเรียนรู้ของผู้เรียน เปิดโอกาสให้ผู้เรียน แสดงออกทางความคิด การเรียนรู้แบบทำนาย สังเกต และอธิบาย ในรายวิชาปฏิบัติการเคมีช่วย เสริมสร้างประสบการณ์และสร้างความเข้าใจเชิงประจักษ์ในวิทยาศาสตร์ให้ผู้เรียน ขั้นตอนการจัดประสบการณ์การเรียนรู้แบบ ทำนาย สังเกต อธิบาย (Predict Observe Explain: POE) จากการศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ให้เด็กได้มี ส่วนร่วมในการคิด การทำนายสิ่งที่จะเกิดขึ้น หรือกิจกรรมที่จะเกิดขึ้นโดยใช้เหตุผล จากนั้นร่วมกัน สังเกตสิ่งที่เกิดขึ้นจากการทำกิจกรรม ตลอดจนให้เหตุผลเพื่ออธิบายเหตุผลของการทำกิจกรรม ซึ่ง ประกอบด้วย 3 ขั้นตอน ดังนี้ 1. ขั้นนำ 1.1 ครูนำเด็กเข้าสู่กิจกรรมโดยการร้องเพลง ท่องคำคล้องจอง การใช้คำถาม 1.2 เด็กและครูร่วมกันสร้างข้อตกลงในการทำกิจกรรม 2. ขั้นสอน ขั้นทำนาย (P) 2.1 ครูแนะนำกิจกรรมและอุปกรณ์ในการทำกิจกรรม 2.2 ครูกระตุ้นให้เด็กทำนายผลของการทำกิจกรรม 2.3 เด็กบันทึกการทำนายลงในแบบบันทึก ขั้นสังเกต (O) 2.4 เด็กและครูร่วมกันสังเกตผลของการทำกิจกรรม 2.5 เด็กบันทึกผลการทำนายลงในแบบบันทึก
30 ขั้นอธิบาย (E) 2.6 เด็กและครูร่วมกันอธิบายผลของการทำกิจกรรมหากเด็กอธิบายไม่ได้ครูใช้ คำถามนำและอธิบายเพิ่มเติม 2.7 เมื่อหมดเวลาครูให้สัญญาณเด็กเก็บอุปกรณ์เข้าที่ 3. ขั้นสรุป 3.1 ครูและเด็กร่วมกันสรุปและแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการทำกิจกรรม
31 ภาพที่ 3 ขั้นตอนการจัดประสบการณ์การเรียนรู้แบบ ทำนาย สังเกต อธิบาย (Predict Observe Explain: POE) ขั้นที่ 1 ขั้นนำ 1.1 ครูนำเด็กเข้าสู่กิจกรรมโดย การร้องเพลง ท่องคำคล้องจอง การใช้คำถาม 1.2 เด็กและครูร่วมกันสร้างข้อตกลง ในการทำกิจกรรม ขั้นที่ 2 ขั้นกิจกรรม ขั้นทำนาย (P) 2.1 ครูแนะนำกิจกรรมและอุปกรณ์ ในการทำกิจกรรม 2.2 ครูกระตุ้นให้เด็กทำนายผลของ การทำกิจกรรม 2.3 เด็กบันทึกการทำนายลงในแบบ บันทึกขั้นสังเกต (O) 2.4 เด็กและครูร่วมกันสังเกตผลของ การทำกิจกรรม 2.5 เด็กบันทึกผลการทำนายลงในแบบ บันทึก ขั้นอธิบาย (E) 2.5 เด็กและครูร่วมกันอธิบายผลของการ ทำกิจกรรมหากเด็กอธิบายไม่ได้ครูใช้คำถามนำ และอธิบายเพิ่มเติม ขั้นที่ 3 ขั้นสรุป 3.1 ครูและเด็กร่วมกันสรุปและแสดง ความคิดเห็นเกี่ยวกับการทำกิจกรรม
31 บทที่ 3 วิธีดำเนินการวิจัย การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อเพื่อเปรียบเทียบทักษะสมอง EF ของเด็กปฐมวัยก่อนและ หลังได้รับการจัดประสบการณ์การเรียนรู้แบบ ทำนาย สังเกต อธิบาย (Predict Observe Explain: POE) โดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้โดยการจัดประสบการณ์การเรียนรู้แบบ ทำนาย สังเกต อธิบาย (Predict Observe Explain: POE) ทั้งนี้ผู้วิจัยได้ดำเนินตามขั้นตอนดังต่อไปนี้คือ ประชากรและกลุ่ม ตัวอย่าง แบบแผนการวิจัย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย การเก็บรวบรวมข้อมูล และการวิเคราะห์ข้อมูล ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้ ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 1. ประชากร ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็นเด็กนักเรียนชั้นอนุบาลที่อยู่ในจังหวัดอุดรธานี 2. กลุ่มตัวอย่าง เด็กนักเรียนชาย – หญิง อายุ 4 – 5 ปี กำลังศึกษาอยู่ระดับชั้นอนุบาลปีที่ 2 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 โรงเรียนบ้านหมากแข้ง อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานีสังกัด สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี เขต 1 จำนวน 27 คน ที่ได้มาโดยการสุ่มแบบ กลุ่ม (Cluster Random Sampling) รูปแบบในการทดลอง การศึกษาครั้งนี้ใช้แบบแผนการทดลองแบบกลุ่มเดียวทดสอบก่อนและหลังการจัด ประสบการณ์การเรียนรู้แบบ ทำนาย สังเกต อธิบาย (Predict Observe Explain: POE) (One Group Pretest – Posttest Design) (พวงรัตน์ ทวีรัตน์, 2540 : 60 - 62) ดังแสดง ในตารางที่ 3
32 ตารางที่ 2 แบบแผนการทดลอง สอบก่อน ทดลอง สอบหลัง T1 X T2 สัญลักษณ์ที่ใช้ในแบบแผนการทดลอง T1 แทน การทดสอบก่อนจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ ทำนาย สังเกต อธิบาย X แทน จัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบทำนาย สังเกต อธิบาย T2 แทน การทดสอบหลังจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบทำนาย สังเกต อธิบาย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 1. ประเภทของเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยในครั้งนี้ ประกอบด้วย 1.1 แผนการจัดประสบการณ์การเรียนรู้แบบ ทำนาย สังเกต อธิบาย (Predict Observe Explain: POE) จำนวน 18 แผน แผนละ 40 นาที สัปดาห์ละ 3 แผน รวม 6 สัปดาห์ 1.2 แบบประเมินทักษะสมอง EF สำหรับเด็กปฐมวัยประกอบด้วย 1.2.1 ด้านการจดจ่อใส่ใจ จำนวน 3 ข้อ 1.2.2 ด้านการควบคุมอารมณ์ จำนวน 3 ข้อ 1.2.3 ด้านการริเริ่มลงมือทำ จำนวน 3 ข้อ 2. การสร้างและการหาคุณภาพเครื่องมือ การสร้างและหาคุณภาพเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย มีรายละเอียด ดังนี้ 2.1 แผนการจัดประสบการณ์การเรียนรู้แบบ ทำนาย สังเกต อธิบาย (Predict Observe Explain: POE) ผู้วิจัยได้ดำเนินการสร้างและพัฒนา ดังนี้ 2.1.1 ศึกษาเอกสารคู่มือหลักสูตรการศึกษาปฐมวัยพุทธศักราช 2560 2.1.2 ศึกษาแนวคิดทฤษฎีเอกสารและตำราที่เกี่ยวข้องกับแผนการจัด ประสบการณ์การเรียนรู้แบบ ทำนาย สังเกต อธิบาย (Predict Observe Explain: POE) 2.1.3 ดำเนินการสร้างแผนการจัดประสบการณ์การเรียนรู้แบบ ทำนาย สังเกต อธิบาย (Predict Observe Explain: POE) จำนวน 18 แผน โดยมีแผนการจัดกิจกรรม 1 แผน ในการจัดกิจกรรม 1 วัน มีระยะเวลาในการจัดกิจกรรม 6 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 3 วัน ทุกวันจันทร์ วันพุธ และวันศุกร์ ในกิจกรรมเสริมประสบการณ์ที่สอดคล้องกับหน่วยการจัดประสบการณ์ที่ใช้ใน การทดลองจัดประสบการณ์การเรียนรู้แบบ ทำนาย สังเกต อธิบาย (Predict Observe Explain: POE) ดังแสดงในตารางที่ 3
33 ตารางที่ 3 หน่วยการจัดประสบการณ์การเรียนรู้แบบ ทำนาย สังเกต อธิบาย (Predict Observe Explain: POE) สัปดาห์ที่ วันที่ทำการ ทดลอง หน่วยการจัดประบการณ์ ทักษะสมอง EF 1 จันทร์ พุธ ศุกร์ เศรษฐกิจพอเพียง การจดจ่อใส่ใจ การควบคุมอารมณ์ การริเริ่มและลงมือทำ 2 จันทร์ พุธ ศุกร์ วันลอยกระทง การจดจ่อใส่ใจ การควบคุมอารมณ์ การริเริ่มและลงมือทำ 3 จันทร์ พุธ ศุกร์ วันชาติ การจดจ่อใส่ใจ การควบคุมอารมณ์ การริเริ่มและลงมือทำ 4 จันทร์ พุธ ศุกร์ เทคโนโลยีและการสื่อสาร การจดจ่อใส่ใจ การควบคุมอารมณ์ การริเริ่มและลงมือทำ 5 จันทร์ พุธ ศุกร์ สนุกกับตัวเลข การจดจ่อใส่ใจ การควบคุมอารมณ์ การริเริ่มและลงมือทำ 6 จันทร์ พุธ ศุกร์ ขนาด รูปร่าง รูปทรง การจดจ่อใส่ใจ การควบคุมอารมณ์ การริเริ่มและลงมือทำ 2.1.4 นำแผนการจัดประสบการณ์การเรียนรู้แบบ ทำนาย สังเกต อธิบาย (Predict Observe Explain: POE) เสนอต่ออาจารย์ที่ปรึกษาเพื่อปรับปรุงแก้ไข 2.1.5 นำแผนการจัดประสบการณ์การเรียนรู้แบบ ทำนาย สังเกต อธิบาย (Predict Observe Explain: POE) เสนอผู้เชี่ยวชาญด้านปฐมวัยจำนวน 3 ท่าน เพื่อพิจารณา ตรวจสอบความเหมาะสม 2.1.6 นำแผนการจัดประสบการณ์การเรียนรู้แบบ ทำนาย สังเกต อธิบาย (Predict Observe Explain: POE) ที่ปรับปรุงแก้ไข แล้วนำเสนอต่ออาจารย์ที่ปรึกษาเพื่อตรวจสอบ ความถูกต้องอีกครั้ง
34 2.1.7 นำแผนการจัดประสบการณ์การเรียนรู้แบบ ทำนาย สังเกต อธิบาย (Predict Observe Explain: POE) ที่แก้ไขปรับปรุง แล้วไปทดลองใช้กับนักเรียนที่ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่าง แล้วนำมาปรับปรุงแก้ไข จากนั้นนำไปใช้กับกลุ่มตัวอย่าง ตามเนื้อหาที่กำหนดต่อไป โดยขั้นตอนการสร้างแผนการจัดประสบการณ์การเรียนรู้แบบ ทำนาย สังเกต อธิบาย (Predict Observe Explain: POE) ผู้วิจัย ได้ดำเนินการสร้างตามลำดับดังแสดงใน ภาพที่ 3
35 ภาพที่ 3 ขั้นตอนการสร้างแผนการจัดประสบการณ์การเรียนรู้แบบ ทำนาย สังเกต อธิบาย (Predict Observe Explain: POE) ศึกษาหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย 2560 ศึกษาแนวคิดทฤษฎีเอกสารและตำราที่เกี่ยวข้องกับการจัดประสบการณ์การเรียนรู้แบบ ทำนาย สังเกต อธิบาย (Predict Observe Explain: POE) ดำเนินการสร้างแผนการจัดประสบการณ์การเรียนรู้แบบ ทำนาย สังเกต อธิบาย (Predict Observe Explain: POE) จำนวน 18 แผน โดยมีแผนการจัดกิจกรรม 1 แผนใช้ในการจัดกิจกรรม 1 วัน โดยมีระยะเวลาใน การจัดกิจกรรม 6 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 3 วัน ทุกวันจันทร์วันพุธ และวันศุกร์ ในกิจกรรมเสริมประสบการณ์ นำแผนการจัดประสบการณ์การเรียนรู้แบบ ทำนาย สังเกต อธิบาย (Predict Observe Explain: POE) เสนอต่ออาจารย์ที่ปรึกษาเพื่อปรับปรุงแก้ไข นำแผนการจัดประสบการณ์การเรียนรู้แบบ ทำนาย สังเกต อธิบาย (Predict Observe Explain: POE) เสนอผู้เชี่ยวชาญด้านปฐมวัยจำนวน 3 ท่าน เพื่อพิจารณาตรวจสอบความเหมาะสม แผนการจัดประสบการณ์การเรียนรู้แบบ ทำนาย สังเกต อธิบาย (Predict Observe Explain: POE) ที่ ปรับปรุงแก้ไข แล้วนำเสนอต่ออาจารย์ที่ปรึกษาเพื่อตรวจสอบความถูกต้องอีกครั้ง นำแผนการจัดประสบการณ์การเรียนรู้แบบ ทำนาย สังเกต อธิบาย (Predict Observe Explain: POE) ที่แก้ไขปรับปรุง แล้วไปทดลองใช้กับนักเรียนที่ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่างแล้วนำมาปรับปรุงแก้ไข จากนั้นนำไปใช้กับกลุ่ม ตัวอย่าง ตามเนื้อหาที่กำหนดต่อไป
36 2.2 แบบประเมินทักษะสมอง EF สำหรับเด็กปฐมวัย ผู้วิจัยได้ดำเนินการสร้าง และพัฒนาตามขั้นตอน ดังนี้ 2.2.1 ศึกษาหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย 2560 2.2.2 ศึกษาทฤษฎี หลักการและผลงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งผลการ วิเคราะห์ข้อมูลจากเอกสารที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมทักษะสมอง EF สำหรับเด็กปฐมวัย 2.2.3 สร้างแบบปร ะเ มิ นท ั กษ ะ สม อ ง EF สำหรับเด็กป ฐ ม วั ย โดยแบ่งออกเป็น 3 ด้าน ดังนี้ ด้านการจดจ่อใส่ใจ จำนวน 3 ข้อ ด้านการควบคุมอารมณ์ จำนวน 3 ข้อ ด้านการริเริ่มลงมือทำ จำนวน 3 ข้อ 2.2.4 สร้างคู่มือในการดำเนินการประเมินทักษะสมอง EF สำหรับ เด็กปฐมวัยเป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) 5 ระดับ โดยมีเกณฑ์การให้คะแนน ดังนี้ ให้คะแนน 1 หมายถึง มีพฤติกรรมที่แสดงออกน้อยที่สุด 2 หมายถึง มีพฤติกรรมที่แสดงออกน้อย 3 หมายถึง มีพฤติกรรมที่แสดงออกปานกลาง 4 หมายถึง มีพฤติกรรมที่แสดงออกมาก 5 หมายถึง มีพฤติกรรมที่แสดงออกมากที่สุด 2 . 2 . 5 น ำ ค ู ่ ม ื อ ก า ร ใ ช ้ แ บบ ป ระ เ ม ิ นท ั ก ษ ะ สม อ ง EF ส ำ หรับ เด็กปฐมวัยและแบบประเมินกทักษะสมอง EF สำหรับเด็กปฐมวัยเสนอต่ออาจารย์ที่ปรึกษา เพื่อนำมาปรับปรุงแก้ไข 2.2.6 นำคู่มือการใช้แบบประเมินทักษะสมอง EF ของเด็กปฐมวัยและ แบบประเมินทักษะสมอง EF สำหรับเด็กปฐมวัยเสนอผู้เชี่ยวชาญ ด้านปฐมวัยจำนวน 3 ท่าน เพื่อพิจารณา ลงความเห็นและให้คะแนนตามความเหมาะสมและให้คะแนน ดังนี้ +1 หมายถึง มีความสอดคล้อง 0 หมายถึง ไม่แน่ใจในความสอดคล้อง -1 หมายถึง ไม่มีความสอดคล้อง นำคะแนนที่ได้มาหาค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่างข้อคำถาม จุดประสงค์กับพฤติกรรม ค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) มีค่าเท่ากับ 1.00 ทุกข้อ 2.2.7 ปรับปรุงแก้ไขคู่มือการใช้แบบประเมินทักษะสมอง EF ของเด็กปฐมวัย และแบบประเมินทักษะสมอง EF สำหรับเด็กปฐมวัย แล้วนำเสนอต่ออาจารย์ที่ปรึกษาเพื่อตรวจสอบ ความถูกต้องอีกครั้ง
37 2.2.8 นำแบบประเมินทักษะสมอง EF สำหรับเด็กปฐมวัยไปทดลอง (Try out) กับเด็กปฐมวัยที่ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่างมาหาค่าอำนาจจำแนก (r) และความเชื่อมั่น ดังนี้ 2.2.8.1 ค่าอำนาจจำแนก (r) ของแบบประเมินทักษะสมอง EF สำหรับ เด็กปฐมวัย โดยค่าอำนาจจำแนกมีค่าอยู่ระหว่าง 0.55-0.80 2.2.8.2 ค่าความเชื่อมั่นของแบบประเมินทักษะสมอง EF สำหรับ เด็กปฐมวัย โดยค่าความเชื่อมั่นมีค่าเท่ากับ 0.90 2.2.9 นำแบบประเมินทักษะสมอง EF สำหรับเด็กปฐมวัยไปหาค่า ความเชื่อมั่น (Reliability) โดยขั้นตอนการสร้างแบบประเมินทักษะสมอง EF สำหรับเด็กปฐมวัยผู้วิจัย ได้ดำเนินการสร้างตามลำดับดังแสดงใน ภาพที่ 4
38 ภาพที่ 4 ขั้นตอนการสร้างแบบประเมินทักษะสมอง EF สำหรับเด็กปฐมวัย ปรับปรุงแก้ไขคู่มือการใช้แบบประเมินทักษะสมอง EF ของเด็กปฐมวัยและแบบประเมินทักษะสมอง EF สำหรับเด็กปฐมวัย แล้วนำเสนอต่ออาจารย์ ที่ปรึกษาเพื่อตรวจสอบความถูกต้องอีกครั้ง นำแบบแบบประเมินทักษะสมอง EF ของเด็กปฐมวัยที่ไปทดลอง (Try out) กับเด็กปฐมวัยที่ไม่ใช่กลุ่ม ตัวอย่างมาหาค่าอำนาจจำแนก (r) มีค่าอยู่ระหว่าง 0.55-0.80 และค่าความเชื่อมั่นของแบบประเมินการ พัฒนาทักษะทางสมอง EF สำหรับเด็กปฐมวัยมีค่าเท่ากับ 0.90 นำแบบประเมินทักษะสมอง EF สำหรับเด็กปฐมวัยไปหาค่าความเชื่อมั่น (Reliability) ศึกษาหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย 2560 ศึกษาทฤษฎี หลักการและผลงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งผลการวิเคราะห์ข้อมูลจากเอกสารที่เกี่ยวข้อง กับพฤติกรรมด้านทักษะสมอง EF สำหรับเด็กปฐมวัย สร้างแบบประเมินทักษะสมอง EF สำหรับเด็กปฐมวัย สร้างคู่มือในการดำเนินการประเมินทักษะสมอง EF สำหรับเด็กปฐมวัยเป็นแบบมาตรา ส่วนประมาณค่า (Rating Scale) 5 ระดับ โดยมีเกณฑ์การให้คะแนน นำคู่มือการใช้แบบประเมินทักษะสมอง EF สำหรับเด็กปฐมวัยและแบบประเมินทักษะสมอง EF สำหรับ เด็กปฐมวัยเสนอต่ออาจารย์ที่ปรึกษาเพื่อนำมาปรับปรุงแก้ไข นำคู่มือการใช้แบบประเมินทักษะสมอง EF ของเด็กปฐมวัยและแบบประเมินทักษะสมอง EF สำหรับ เด็กปฐมวัยเสนอผู้เชี่ยวชาญ ด้านปฐมวัยจำนวน 3 ท่าน เพื่อพิจารณาลงความเห็นและให้คะแนนตาม ความเหมาะสม แล้วนำคะแนนที่ได้จากผู้เชี่ยวชาญคำนวณหาค่าดัชนี IOC ได้ดัชนีความสอดคล้อง ซึ่งมีค่าเท่ากับ 1.00 ทุกข้อ
39 การดำเนินการจัดกิจกรรม ในการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยได้ดำเนินการจัดกิจกรรม ดังนี้ 1. นำแบบประเมินทักษะสมอง EF ของเด็กปฐมวัยที่ผ่านการวิเคราะห์และปรับปรุง แก้ไขแล้วนำไปประเมินเด็กก่อนจัดกิจกรรม 2. ดำเนินการจัดกิจกรรมตามแผนการจัดกิจกรรมแบบทำนาย สังเกต อธิบาย จำนวน (Predict Observe Explain: POE) 6 หน่วย หน่วยละ 3 แผน รวม 18 แผน เป็นเวลา 6 สัปดาห์ 3. หลังจากดำเนินการทดลองการจัดประสบการณ์การเรียนรู้แบบ ทำนาย สังเกต อธิบาย (Predict Observe Explain: POE) ครบตามกำหนดในแผนแล้ว ผู้วิจัยนำแบบประเมิน ทักษะสมอง EF ของเด็กปฐมวัยฉบับเดิมไปประเมินเด็กหลังการจัดประสบการณ์ 4. นำคะแนนไปวิเคราะห์ การวิเคราะห์ข้อมูล การวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยได้ดำเนินการวิเคราะห์ข้อมูล ดังนี้ 1. วิเคราะห์ข้อมูลที่ได้จากแบบประเมินการทักษะสมอง EF ของเด็กปฐมวัย โดยนำข้อมูลไปหาค่าเฉลี่ย (Mean) และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard deviation) 2. นำคะแนนที่ได้จากแบบประเมินทักษะสมอง EF ของเด็กปฐมวัยมาเปรียบเทียบกัน ระหว่างก่อนและหลังการทดลองโดยใช้การทดสอบทีแบบไม่อิสระ (t-test Dependent Sample) สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ในการวิเคราะห์ข้อมูลผู้วิจัยเลือกใช้สถิติ ดังนี้ 1. สถิติที่ใช้ในการหาคุณภาพของเครื่องมือ ดังนี้ 1.1 หาความค่าเที่ยงตรงเชิงเนื้อหาของแบบประเมินทักษะสมอง EF ของ เด็กปฐมวัย (validity) โดยการหาค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) คำนวณจากสูตร (ล้วน สายยศ และ อังคณา สายยศ, 2543: 248–249)