ศลิ าจารกึ หลกั ที่ 1
นกั เรียนช้ันมธั ยมศกึ ษาปีที่ 2
ครู ซี
01 04
ความเป็ นมา เน้ือเร่อื ง
02 05
ประวตั ิผู้แตง่ คาศพั ท์
03 06
ลกั ษณะคาประพนั ธ์ บทวเิ คราะห์
ขอู มล้ ชื่อจารกึ จารึกพ่อขนุ รามคำแหง
อกั ษรท่มี ีในจารกึ ไทยสโุ ขทัย
ศักราช พุทธศกั ราช 1835
ภาษา ไทย
ด้าน / บรรทัด มจี ำนวน 4 ด้าน 127 บรรทัด
ด้านท่ี 1 มี 35 บรรทดั
วัตถุจารกึ ด้านที่ 2 มี 35 บรรทัด
ลักษณะวัตถุ ด้านท่ี 3 มี 27 บรรทัด
ด้านที่ 4 มี 27 บรรทดั
หินทรายแป้งเนอื้ ละเอียด
หลกั ส่เี ล่ียมด้านเท่า ทรงกระโจม
ข้อมลู : ศนู ย์มานุษยวทิ ยาสิรินธร (องค์การมหาชน)
ลักษณะของศลิ าจารึกหลักท่ี ๑
ทรงสีเ่ หลยี่ ม
ยอดแหลม
ปลายมน
ความเป็ นมา
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพบศลิ าจารึกและ
แท่นหินมนงั ศิลาอาสน์ทีเ่ นินปราสาทเมืองเก่า
รูปทรงสเ่ี หลย่ี มยอดแหลม ปลายมน
สูง 1 เมตร 11 เซนตเิ มตร
ด้านท่ี 1 และด้านท่ี 2 มีจารึกด้านละ 35 บรรทัด
ด้านที่ 3 และด้านท่ี 4 มจี ารึกด้านละ 27 บรรทัด
ความเป็ นมา
ตัวอักษรท่ีใช้เป็นตัวอักษรไทยท่ีพ่อขุนรามคำแหงมหาราชทรงประดิษฐ์ข้ึนเมื่อ
พ.ศ. 1826 โดยพระองค์ทรงประดิษฐ์ขึ้นจากอักษรขอมหวัดและอักษรไทยเดิม
ซ่ึงดัดแปลงมาจากอักษรมอญโบราณ มีการสันนิษบานว่าศิลาจารึกนี้น่าจะเสร็จเม่ือ
พ.ศ. 1835
ประวตั ผิ แู้ ตง่
พ่อขุนรามคำแหงมหาราช
กษัตริย์องค์ที่ 3 ในราชวงศ์พระร่วง แห่งอาณาจักรสุโขทัย
พระองค์ทรงเป็นพระราชโอรสของพ่อขุนศรีอินทราทติ ย์
และพระราชมารดาช่ือนางเสอื ง
จดุ มุง่ หมายในการแตง่
1. เพื่อเป็นหลักฐานแสดงความเจริญรุ่งเรืองในสมัยน้ัน
เช่น หลักฐานการประดิษฐ์อักษรไทย เหตุการณ์ต่าง ๆ
ตลอดจนช้ีแจงอาณาเขตของกรุงสุโขทัย
2. เพื่อสดุดพี ระเกยี รตพิ ่อขุนรามคำแหง
ลักษณะคาประพนั ธ์
ลักษณะคำประพันธ์ในศิลาจารึกหลักท่ี 1
แต่งเป็น “ร้อยแก้ว” ใช้ประโยคความเดียวที่สื่อ
ความหมายตรงตัว เข้าใจง่าย อีกทั้งบางตอน
มีเสียงสัมผัสคล้องจอง เช่น “ในน้ามีปลา ในนา
มขี ้าว” ทำให้เกิดความไพเราะ
รูปแบบตวั อกั ษรประกอบด้วย พยญั ชนะ
สระ และวรรณยุกต์ สันนิษฐานว่าแปลงตัวอักษร
มาจาก อกั ษรขอม
เปรยี บเทียบตวั อกั ษรไทยสมยั พ่อขนุ รามคำแหงมหาราชกบั ตัวอกั ษรไทยปัจจบุ นั
ลกั ษณะการเขยี นในศิลาจารกึ
1. ตวั อกั ษรเขยี นจากซ้ายไปขวาและอ่านจากซ้ายไปขวา
2. การวางตำแหน่งพยัญชนะ สระ และวรรณยุกต์ มีหลักเกณฑ์ ดังน้ี
- เขยี นพยญั ชนะ สระอยู่บนบรรทัดเดยี วกนั
- วรรณยุกต์และนฤคหิตอยู่บนพยัญชนะ ถ้ามที ัง้ นฤคหติ และ
วรรณยุกต์ให้เขยี นต่อกัน
- สระส่วนใหญ่เขยี นไว้หน้าพยัญชนะ เว้นแต่สระอะ อา และ
อำ เขยี นไว้หลงั พยญั ชนะ
ลักษณะการเขยี นในศลิ าจารกึ (ตอ่ )
- สระอะ เมอ่ื มตี ัวสะกดใช้ตวั สะกดซ้อนกัน เช่น ขบบ อ่านว่า ขบั
- สระเอยี ใช้ ย เม่ือมีตัวสะกด เช่น รยง อ่านว่า เรยี ง ถ้าไม่มี
ตัวสะกดใช้ -ยย เช่น มียย อ่านว่า เมยี
- สระออื และสระออ ไม่ใช้ อ เคยี ง เช่น ชื่ อ่านว่า ชอื่
- สระอัว เม่ือไม่มตี วั สะกด ใช่ –วว เช่น หวั ว อ่านว่า หวั
ลักษณะการเขยี นในศิลาจารกึ (ตอ่ )
- ใช้ นฤคหติ แทนสระอำ เช่น บเรอ อ่านว่า บำเรอ
- นฤคหติ ใช้แทน ม เมอื่ เป็นตวั สะกด เช่น พน อ่านว่า พนม
- ไม้ไต่คู้ไม่มใี ช้ ให้ใช้รูปเอกแทน เช่น ก่ดี อ่านว่า กด็ ี
3. วรรณยกุ ต์ทีใ่ ช้มีเพยี งรปู เอกกับรปู โทเท่าน้ัน วรรณยกุ ต์รูปเอกใช้
เหมือนปัจจุบันและใช้รปู + แทนวรรณยุกต์รปู โท เช่น พ่ อ่านว่า พ่อ /
ได๋ อ่านว่า ได้
ลกั ษณะการเขียนในศิลาจารกึ (ต่อ)
4. ตัวพยัญชนะสมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราช มีไม่ครบ 44 ตัว
ตวั ที่ไม่มี ได้แก่ ฌ ฑ ฒ ฬ ฮ
5. ตัวเลขไทยมีไม่ครบ 10 ตัว ตัวทไ่ี ม่มี ได้แก่ 3 6 8 9
6. ตัวอักษรไทยสมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราชมีการเปล่ียนแปลง
แก้ไขรูปและวิธีเขียนหลายคร้ัง บางรูปอาจเปลี่ยนไปมาก บางรูปยังมีเค้า
เดมิ อยู่จนเป็นรปู อกั ษรปัจจบุ ัน
เน้ือเร่อื งยอ่
เนอื้ หาจากศลิ าจารึก บนั ทกึ เรอื่ งราวเป็น 3 ตอน คอื
ตอนที่ 1 ตั้งแต่บรรทดั ที่ 1-18 ด้านท่ี 1 กล่าวถงึ พระราชประวตั ิพ่อขนุ รามคำแหงมหาราช
ตอนที่ 2 เริ่มจากบรรทัดที่ 18 ด้านที่ 1 รวมด้านที่ 2 ทั้งหมด จนถึงบรรทัดที่ 11 ของ
ด้านท่ี 3 เนอ้ื หาเล่าเหจุการณ์ต่าง ๆ ขนบธรรมเนียมของอาณาจักรสุโขทัย การสร้างวัดพระศรี
รัตนมหาธาตุ เมืองศรีสัชนาลัย การสร้างพระแท่นมนังคศิลาบาตร และการประดิษฐ์ตัว
อกั ษรไทยสมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราช
ตอนท่ี 3 เป็นการยอพระเกยี รตพิ ่อขนุ รามคำแหงและกล่าวถงึ พระราชกรณียกิจที่สำคัญ
ด้านท่ี 1
เจ้าของความสว่าง รุ่งเรือง ทาให้บ้านเมืองเบิกบาน เราท้ังหลาย
(เฉพาะผู้พูดไม่รวมผู้ฟัง)
พ่อกู ชื่อศรีอินทราทิตย์ แม่กูชือ่ นางเสือง พีก่ ชู ื่อบานเมือง ตูพี่น้องท้องเดียว
ห้าคน ผ้ชู ายสามผู้ญีงโสง พี่เผือผ้อู ้ายตายจากเผือเตียมแต่ยังเล็ก
สอง เรา, เราท้ังสอง พีช่ ายคนโต ตั้งแต่
พ่อขนุ ศรีอินทราทติ ย์และนางเสือง มีลูกด้วยกนั 5 คน เป็นผู้ชาย 3 คน เป็นผู้หญงิ 2 คน
และมลี ูกชายคนโตตายจากไปเมื่อน้อง ๆ ยงั เล็กอยู่
ลกู สาว 2 คน จิตรภูมิศกั ด์ิ : ให้ทัศนะว่า เป็นลูกคนท่ี 1 และคนที่ 2 ของพ่อขุนศรีอนิ ทราทิตย์กับ
นางเสือง ลกู สาวท้งั สองนี้เมอ่ื โตขึน้ อาจจะมบี ทบาทต่อบ้านเมอื งเหมอื นกนั
สืบแสง พรหมบุญ : สันนิษฐานว่า อาจจะได้อภิเษกสมรสกับเจ้าเมืองใดเมืองหน่ึง เพราะ
ปรากฏหลักบานในพงสาวดารโยนก ว่า พ่อขุนรามคำแหง เป็นพระญาติกับกษัตริย์นครศรีธรรมราช
หลวง (ขอม) และอโยธยา จึงอาจเป็นไปได้ว่า ความเก่ียวดองนี้อาจจะเกิดข้ึนจากการอภิเษกสมรสกับ
ญาตฝิ ่ายหญงิ
ด้านซ้าย เติบโต ปี เมืองโบราณริมแม่นา้ เมย ตี
แถบ อ.แมส่ อด จ.ตาก
เมื่อกูขึ้นใหญ่ได้ สิบเก้าเข้า ขุนสามชนเจ้าเมืองฉอด มาท่เมืองตาก พ่อกูไปรบ ขุนสามชน
หัวซ้าย ขุนสามชนขบั มาหวั ขวา ขนุ สามชนเกลือ่ นเข้า ไพร่ฟ้าหน้าใสพ่อกูหนีญญ่ายพายจแจ้น
ด้านขวา เคลื่อนพลเข้า ทหาร ประชาชน หนีอยา่ งชลุ มนุ ภาษาอีสาน พาย = ไป
ญญ่าย = ญ่ายญ่าย (ไปอย่างรวดเรว็ )
เมื่อพ่อขุนรามคำแหงเติบใหญ่ได้ 19 ปี ขนุ สามชนเจ้าเมืองฉอด (เป็นคนไทยอกี กลุ่มหน่ึงท่ียังไม่
ยอมรับอำนาจของสุโขทัย) ได้ยกทัพมาตีเมืองตาก (นับเป็นการท้าทายอำนาจของสุโขทัย)
พ่อขนุ ศรอี นิ ทราทติ ย์จึงเป็นแม่ทพั ขช่ี ้างนำทหารไปสู้รบขับไล่ โดยมีพ่อขุนรามคำแหงขี่ช้างร่วมทัพ
ไปด้วย พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ยกทัพไปทางด้านซ้าย ขุนสามชนได้เข้าตีทางด้านขวา พร้อมไพร่พล
บุกดาหน้าเข้ามา จนไพร่พลพ่อขุนศรีอินทราทติ ย์หนีกระจดั กระจาย
เมืองทอง เบิกพล (ข.) นาพลสู้ ชนช้าง
กูบ่หนี กูขี่ช้างเบกพล กูขับเข้าก่อนพ่อกู กูต่อช้างด้วยขุนสามชน ตนกูพุ่งช้าง ขุนสามชนตัวชื่อ
มาสเมือง แพ้ ขนุ สามชนพ่ายหนี พ่อกจู ึงขึ้นชือ่ กู ชื่อพระรามคาแหง เพื่อกพู ่งุ ช้างขุนสามชน
ชนะ แพ้ ต้ังชือ่ เรียกชื่อ รามผู้กล้าแขง็ เพราะกู
พ่อขุนศรีอินทราทิตย์คงต้องถอยออกจากหน้าขบวนบ้าง แต่พ่อขุนรามไม่ได้ถอยหนี
ได้ข่ีช้างนำทหารเข้าต่อสู้กับขุนสามชนก่อนพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ ชนช้างจนชนะขุนสามชน
พ่ายหนไี ป พ่อขนุ ศรีอนิ ทราทติ ย์จงึ เฉลมิ นามลูกชายคนน้วี ่า "พระรามคำแหง"
เมื่อครั้งสมยั ปรนนิบัติ สตั ว์บกสตั ว์น้า คล้องช้าง ตีหนัง = เอาหนงั ควายมาทาบ่วงคล้องช้าง
วงั ช้าง = ต้อนชา้ งให้เข้าไปอยู่ในที่ลอ้ ม
เมื่อชั่วพ่อกู กูบาเรอแก่พ่อกู กูบาเรอแก่พ่อกู กูได้ตัวเนื้อตัวปลา กูเอามาแก่พ่อกู กูได้หมากส้ม
หมากหวาน อันใดกินอร่อยกินดี กูเอามาแก่พ่อกู กูไปตีหนังวังช้างได้ กูเอามาแก่พ่อกู กูไป
ท่บ้านท่เมืองได้ช้างได้งวง ได้ป่ัวได้นาง ได้เงือนได้ทอง กูเอามาเวนแก่พ่อกู ผลไมร้ สเปรี้ยว
ผลไมร้ สหวาน ได้บริวาร ป่ัว = ชาย เงิน มอบให้
นาง = หญิง
เม่ือคร้ังสมัยท่ีพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ยังมีชีวิตอยู่ พ่อขุนรามคำแหงได้ปรนนิบัติต่อพ่อขุน
ศรีอินทราทิตย์ และนางเสือง เม่ือได้เน้ือได้ปลา ผลไม้เปรี้ยวผลไม้หวาน ไปคล้องช้าง
ไปทำศึกสงคราม ได้ช้าง ผู้คน เงนิ ทอง กเ็ อามาบำรุงบำเรอแก่ผู้บังเกิดเกล้า
พ่อกตู ายยังพี่กู กูพรา่ บาเรอแก่พี่กู ด่ังบาเรอแก่พ่อกู พี่กูตาย จึงได้เมืองแก่กูทั้งกลม
พีย่ งั มีชวี ิตอยู่ ทั้งสิ้น, ทั้งหมด ปจั จุบนั ยงั มีทีใ่ ช้ในความว่า ตายท้ังกลม
พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ส้ินชีพ พ่อขุนบานเมืองได้เป็นเจ้าเมืองคนต่อมา ซ่ึงพ่อ
ขุนรามคำแหงก็ยังคงปรนนิบัติต่อพ่ีชายเหมือนกับที่ปรนนิบัติพ่อ เม่ือพ่อขุนบานเมือง
สิน้ ชีพอีกคน พ่อขุนรามคำแหงจงึ ได้เป็นเจ้าเมอื งสโุ ขทัยสบื ต่อมา
ในระยะที่พ่อขุนบานเมืองเป็นเจ้าเมืองสุโขทัยน้ัน พ่อขุนรามคำแหงคงไปครองเมือง
ศรีสชั นาลยั ซง่ึ เป็นเมอื งลกู หลวง เม่ือพ่อขุนบานเมอื งสิ้นชีพ จงึ มาครองเมอื งสุโขทยั
ในระยะเวลา จังกอบ = ภาษีผา่ นด่าน ของ สะดวก,เสรี
เมื่อชว่ั พ่อขนุ รามคาแหง เมืองสโุ ขทยั น้ดี ี ในนา้ มปี ลา ในนามขี ้าว เจ้าเมืองบ่เอาจกอบในไพรล่ ูทา่ งเพือ่ นจูง
ววั ไปคา้ ขีม่ ้าไปขาย ใครจกั ใคร่ช้าง คา้ ใครจกั ใคร่ค้าม้า คา้ ใครจกั ใคร่ค้าเงือนค้าทองค้า
เงิน
เมื่อสมัยพ่อขุนรามคำแหงเมืองสุโขทัยน้ีดี ในน้ามีปลาในนามีข้าว เจ้าเมืองไม่เก็บภาษีจึง
สะดวกที่ผู้คนจะจงู ววั ไปค้าขม่ี ้าไปขาย ใครจะขายอะไรกย็ นิ ดี ไม่ว่าจะเป็นช้าง ม้า เงนิ ทอง
จารึกช่วงน้ีเช่ือกันว่าพ่อขุนรามคำแหงส้ินชีพไปไม่นานนัก ข้อความที่ว่าเมืองสุโขทัยอุดม
สมบูรณ์ ปัจจบุ นั ความจริงสโุ ขทัยมิได้อุดมสมบรู ณ์นัก ท้ังน้าทงั้ นาเพราะเป็นท่ีดอน แต่ท่ีจารึก
กล่าวเช่นนั้น อาจเพราะมกี ารชลประทานท่ีดีมาก ในสมัยนัน้ สโุ ขทยั อดุ มสมบูรณ์จรงิ ๆ
ประยรู ญาติของเจ้าเมือง ขา้ ราชการ ผู้ใดผู้หน่งึ ไป ผู้ใหกาเนิดทีไ่ ด้ตายไปแลว้
ไพร่ฟ้าหน้าใส ลกู เจ้าลูกขนุ ผ้ใู ดแล้ ล้มตายหายกว่าเหยา้ เรือนพ่อเชื้อเสื้อคามนั ช้างขอลูก
ลูกเมียเยียข้าว ไพร่ฟ้าข้าไท ป่าหมากพลูพ่อเชื้อมัน ไว้แก่ลูกมนั สิ้น ไปเปน็ คาต่อท้าย ช้างเลยี้ ง
แสดงความยกย่อง
ฉางข้าว ประชาชนที่เป็นบริวาร (ทาส)
เมอื่ ผู้คนพลเมือง วงศาคณาญาติของเจ้าเมอื ง หรือบรรดาขุนนางผู้ใดผู้หนง่ึ ก็ตาม เมื่อถงึ แก่ความตายสมบัติ
พสั ถานบริวารของผู้ตาย เช่น บ้านเรือน ช้างเลีย้ ง ยุ้งข้าว ผู้คนบริวารของผู้ตาย ป่าหมากป่าพลู จะตกเป็น
ของลกู ผู้ตายทัง้ ส้นิ
จารกึ นเ้ี ป็นเสมอื นกฎหมายมรดก กำหนดว่า เมื่อพ่อบ้านหวั หน้าครอบครวั ตาย ลูกกเ็ ป็นทายาท
ผู้รบั ผดิ ชอบมรดก ในทน่ี ้ีกค็ วรเป็นลกู ชายคนโต
น่าสงั เกตว่ามีการกล่าวคำว่า "พ่อเชอื้ " สองครงั้ ไม่กล่าวถึงแม่เลยแสดงว่าสภาพทางสังคมสมยั น้นั
ให้ความสำคัญผู้ชายมากกว่าผู้หญงิ ซึง่ หมายความว่าเมอ่ื พ่อตาย แม่หมายซ่ึงสามไี ด้ตายคงไม่มสี ทิ ธอิ ะไรมาก
สมบตั นิ ่าจะตกอยู่กบั ลูก
มคี วามเห็นแตกตา่ งกัน ตกลงกนั ไมไ่ ด้ ไต่สวนสอบถามจนแน่นอน ตัดสินความ
ไพร่ฟ้าลูกเจ้าลูกขุน ผิแลผิดแผกแสกว้างกัน สวนดูแท้แล้ จึ่งแล่งความแก่ขาด้วยซื่อ
บ่เข้าผ้ลู กั มักผู้ซ่อน เห็นข้าวท่านบ่ใคร่พิน เห็นสินท่านบ่ใครเดือด เขาทั้งสอง
ในที่นี้ คือ โจทยแ์ ละจาเลย
ไม่เขา้ ข้างผู้ลกั ขโมย ไม่เขา้ ข้างผู้ไมส่ จุ ริต ไม่อยากยินดี ทรัพย์สิน ไม่อยากยินร้าย
เมื่อผู้คนพลเมือง ลูกเจ้าลูกขุน มีเร่ืองมีราวไม่เข้าใจกันและตกลงกันไม่ได้ ก็สอบสวนดู
ให้แน่นอน แล้วก็ตัดสินเรื่องของคู่กรณีด้วยความซ่ือตรง ไม่เข้ากับผู้ทุจริต ไม่ยินดี
ยนิ ร้ายกับข้าวของเงินทองที่เขาจะให้สินบน
เอาเมืองมาข้นึ ช่วยเหลือเอื้อเฟื้ออุ้มชูดแู ล
คนใดขี่ช้างมาหา พาเมืองมาสู่ช่วยเหนือเฟ้อกู้ มันบ่มีช้างบ่มีม้า บ่มีปั่วมีนาง บ่มีเงือนบ่มีทอง
ให้แก่มัน ช่วยมันตวงเป็นบ้านเป็นเมือง ได้ข้าเสือก ข้าเสือ หวั พ่งุ หัวรบกด็ ี บ่ฆ่าบ่ตี
จนกระทง่ั ข้าศกึ นายทหารช้ันหัวหนา้
ผู้นำชุมชนใดได้ยอมมาเป็นเมืองข้ึน (เมืองท่ีเป็นข้าจอบขัณฑสีมา, ประเทศท่ีอยู่ใน
ปกครองของประเทศอ่ืน) ก็ได้รับการช่วยเหลือ ให้ช้างให้ม้า บริวารชายหญิงเงินทอง
ช่วยก่อร่างสร้างตวั (ตง้ั เนื้อตั้งตวั ได้เป็นหลักฐาน) จนเป็นบ้านเป็นเมือง และในกรณีที่
รบทัพจับศึกได้ ทหารแม่ทัพนายกองเหล่านั้นกไ็ ม่ถูกฆ่า ไม่ถกู ทำร้าย
ระฆงั เล็ก ๆ สาหรับบอกสัญญาณ น้ัน ประชาชนที่มที ุกข์ร้อน
ในปากประตูมีกระดิ่งอนั นึ่งแขวนไว้ห้ัน ไพร่ฟ้าหน้าปก กลางบ้านกลางเมือง มีถ้อยมีความ
เจ็บท้องข้องใจ มันจักกล่าวเถิงเจ้าเถิงขนุ บ่ไร้ ไปลนั่ กะดิง่ อนั ท่านแขวนไว้ พ่อขนุ รามคาแหง
เจ้าเมืองได้ยิน เรียกเมือถามสวนความแก่มันด้วยชือ่ ไพร่ในเมืองสโุ ขทัยน้จี ึง่ ชม
ไป ไม่ยาก
บริเวณประตูมีกระดิ่งแขวนไว้ อาณาประชาราฎร์ที่มีทุกข์ร้อน มีเร่ืองราวขุ่นข้องหมอง
ใจอยากจะพบพ่อขุนรามคำแหง ไปสั่นกระดิ่งซ่ึงท่านแขวนไว้ พ่อขุนรามคำแหงก็จะ
เรยี กเข้าไปสอบถามด้วยความเทย่ี งตรง ผู้คนในเมืองสุโขทยั จึงพากันสรรเสริญ
คาศัพทน์ ่ารจู้ ากเรือ่ ง
“ศิลาจารกึ หลักที่ 1”
ความหมายของคำว่า “เงอื น” ในสมยั เรยี งคำหรรษำ
พ่อขุนรามคำแหงมหาราช ซ่งึ ในสมัย
เ ิด น ง ป
สุโขทัยจะเรยี กกันว่า พดด้วง
มคี วามหมายว่า “ภาษี” เรยี งคำหรรษำ
ภาษี
อ ิบ ก เ ำ จ
มีความหมายว่า
“เรา เราท้ังสอง”
โผ เรยี งคำหรรษำ ีิ
ิเ อ ิพ
ในภาษาถ่ินเหรอื มี เรยี งคำหรรษำ
ความหมายว่า “ชนะ”
พ ม ิแ ก เ ิ
มคี วามหมายว่า “รบั ใช้ เรยี งคำหรรษำ
ปรนนบิ ตั ”ิ
บ เ ป ต ิร ิำ อ
มคี วามหมายว่า เรยี งคำหรรษำ
“ชนช้าง”
ิช ต ิอ ำ ิ ง ท
มคี วามหมายว่า เรยี งคำหรรษำ
“เม่อื ครง้ั ในสมัย”
ว ม อ ิ ิ ิช ิข ำ เ