44 3. การวิเคราะห์หลักการ เป็นการถามให้ค้นว่าเรื่องราวนั้น ๆ อาศัยหลักการใดเป็นแกนกลาง มีโครงสร้าง องค์ประกอบ ใจความสำคัญอย่างไร Marzano (2001 อ้างถึงใน ประพันธ์ศิริ สุเสารัจ, 2553, น. 59) กล่าวว่า การวัดความสามารถ ทางการคิดวิเคราะห์ประกอบด้วยทักษะการคิดวิเคราะห์ 5 ด้าน ได้แก่ 1. ทักษะการจำแนก สามารถระบุความเหมือนและความต่างของข้อมูลได้อย่างมีหลักเกณฑ์ 2. ทักษะการจัดหมวดหมู่ สามารถเรียงลำดับและจัดประเภทของข้อมูลที่มีความคล้ายกันเข้า ด้วยกัน 3. ทักษะการเชื่อมโยง สามารถเชื่อมโยงความสัมพันธ์ของข้อมูลต่าง ๆ ว่าสัมพันธ์กันอย่างไร 4. ทักษะการสรุปความ สามารถสรุปข้อมูลต่าง ๆ จับประเด็นจากสิ่งที่กำหนดให้ได้ 5. ทักษะการประยุกต์ เป็นความสามารถในการนำความรู้หลักการและทฤษฎีมาใช้ใน สถานการณ์ต่าง ๆ สามารถคาดการณ์ กะประมาณ พยากรณ์ ขยายความ คาดเดาสิ่งที่จะเกิดขึ้น ใน อนาคตได้โดยอาศัยขอบเขตความรู้ทั้ง 3 ประการคือ ด้านข้อมูล ด้านกระบวนการคิด และ ด้าน กระบวนการปฏิบัติ Watson และ Glaser (Watson and Glaser, 1964, pp. 25-26) ได้พัฒนาแบบประเมินการ คิดวิเคราะห์โดยฉบับล่าสุดในปี ค.ศ. 1980 เป็นแบบทดสอบที่เป็นแบบฝึกให้มีการประยุกต์ใช้ ความสามารถโดยในแบบทดสอบประกอบด้วยปัญหา ข้อความ การตีความหมาย ซึ่งมีการออกแบบ ให้วัดในสิ่งที่แตกต่าง ในแบบทดสอบ 5 ฉบับดังนี้ 1. ความสามารถในการสรุปอ้างอิง (Inference) เป็นการวัดความสามารถในการตัดสินและ จำแนกความน่าจะเป็นของข้อสรุปว่า ข้อสรุปใดเป็นจริงหรือเป็นเท็จ ลักษณะของแบบทดสอบย่อยนี้ มีการกำหนดสถานการณ์มาให้ แล้วมีข้อสรุปของเหตุการณ์ 3-5 ข้อสรุป หลังจากนั้นให้ผู้ตอบ พิจารณาตัดสินว่าข้อสรุปแต่ละข้อเป็นอย่างไร โดยเลือกจาก 5 ตัวเลือก ได้แก่ เป็นจริง น่าจะเป็นจริง ข้อมูลที่ให้ไม่เพียงพอหรือน่าจะเป็นเท็จ 2. ความสามารถในการระบุข้อตกลงเบื้องต้น (Recognition of Assumption) เป็นการ วัด ความสามารถในการจัดจำแนกว่า ข้อความใดควรเป็นข้อตกลงเบื้องต้น และข้อความใดไม่เป็น ลักษณะของส่วนย่อย ๆ นี้ โดยมีการกำหนดสถานการณ์มาให้จากนั้นมีข้อความตามมาเป็น สถานการณ์ละ 2-3 ข้อความ จากนั้นผู้ตอบต้องเลือกตัดสินข้อความ โดยพิจารณาในแต่ละข้อว่าข้อ ใดบ้างที่เป็นหรือไม่เป็นข้อตกลงเบื้องต้นของสถานการณ์ที่กำหนด 3. ความสามารถในการนิรนัย (Deduction) หมายถึงการวัดความสามารถของการหาข้อสรุปที่ สมเหตุ สมผลจากสถานการณ์ที่กำหนดมาให้โดยนำหลักตรรกศาสตร์มาใช้ในลักษณะของ แบบทดสอบย่อยนี้ เช่น มีการกำหนดสถานการณ์มา 1 ย่อหน้า และให้ข้อสรุปมาสถานการณ์ละ
45 2-4 ข้อ จากนั้นผู้ตอบต้องพิจารณาโดยเลือกว่า ข้อสรุปในแต่ละข้อเป็นข้อสรุปที่เป็นไปได้หรือเป็นไป ไม่ได้จากเหตุการณ์ที่กำหนดให้ 4. ความสามารถในการตีความ (Interpretation) เป็นการวัดความสามารถของการทุ่มเท น้ำหนักข้อมูล หรือหลักฐานเพื่อพิจารณาตัดสินความน่าจะเป็นของข้อสรุปนั้น ลักษณะของ แบบทดสอบย่อยนี้ มีการกำหนดสถานการณ์มาให้ โดยมีข้อสรุปของสถานการณ์มาอย่างละ 2-3 ข้อ ซึ่งผู้ตอบต้องตัดสินเลือกข้อสรุปภายใต้สถานการณ์เหล่านั้นว่ามีความน่าเชื่อถือหรือไม่ 5. ความสามารถในการประเมินการอ้างเหตุผล (Evaluation of Arguments) เป็นการวัด ความสามารถในการจำแนกการให้เหตุผลว่า สิ่งใดสมเหตุสมผล ซึ่งลักษณะของแบบทดสอบ ย่อยนี้มี การกำหนดชุดของคำถามเกี่ยวกับประเด็นปัญหาสำคัญมาให้ ซึ่งแต่ละคำถามมีชุดคำตอบ พร้อม เหตุผลกำกับจากนั้นผู้ตอบต้องพิจารณาตัดสินว่าคำตอบใดมีความสำคัญเกี่ยวข้องโดยตรงกับคำถาม หรือไม่และให้เหตุผลประกอบ ในงานวิจัยนี้ผู้วิจัยได้เลือกใช้การสร้างแบบทดสอบวัดความสามารถทางการคิดวิเคราะห์ตาม กรอบแนวคิดของ Marzano เป็นแบบวัดสำหรับวัดความสามารถทางการคิดวิเคราะห์ที่สามารถสร้าง ขึ้นเองได้ เป็นแบบวัดที่ครอบคลุมความสามารถทางการคิดวิเคราะห์ 5 ด้าน ได้แก่ การจับคู่ การจัด หมวดหมู่ การวิเคราะห์ข้อผิดพลาด การสรุปเป็นหลักเกณฑ์ทั่วไป และการสรุปเป็นหลักเกณฑ์เฉพาะ โดยสร้างเป็นแบบทดสอบปรนัยหลายตัวเลือก (Multiple Choice) มี 4 ตัวเลือก ซึ่งมีเกณฑ์การให้ คะแนนคือตอบถูกได้ 1 คะแนน ตอบผิดได้ 0 คะแนน 2.5 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 2.5.1 ความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน พิมพันธ์ เดชะคุปต์ และพเยาว์ ยินดีสุข (2548, น. 125) กล่าวว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ขนาดของความสำเร็จที่ได้จากกระบวนการเรียนการสอน ปราณี กองจินดา (2549, น. 42) กล่าวว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ความสามารถ หรือ ผลสำเร็จที่ได้รับจากกิจกรรมการเรียนการสอนเป็นการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและประสบการณ์ เรียนรู้ทางด้านพุทธิพิสัย จิตพิสัย และทักษะพิสัย และยังได้จำแนกผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนไว้ตาม ลักษณะของวัตถุประสงค์ของการเรียนการสอนที่แตกต่างกัน ชวาล แพรัตกุล (2552, น. 13) กล่าวว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเป็นความสำเร็จในด้าน ความรู้ทักษะ และสมรรถภาพด้านต่าง ๆ ของสมอง นั่นคือสัมฤทธิ์ผลทางการเรียนควรจะ ประกอบด้วยสิ่ง สำคัญอย่างน้อย 3 สิ่ง คือ ความรู้ ทักษะ และสมรรถภาพของสมองด้านต่าง ๆ
46 ศิริชัย กาญจนวาสี (2556, น. 165) กล่าวว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ เป็นผลการ เปลี่ยนแปลง ปริมาณหรือคุณภาพของความรู้ ความสามารถ พฤติกรรม หรือลักษณะทางจิตใจ ถ้า การเปลี่ยนแปลง เป็นไปในทิศทางที่พึงประสงค์ตามจุดมุ่งหมายของหลักสูตร อันเป็นผลมาจาก ประสบการณ์การเรียน การสอนที่ผู้สอนจัดขึ้น Good (1973, p. 1) กล่าวว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ความรู้หรือทักษะที่เกิดจาก การเรียนรู้ที่ได้เรียนมาแล้ว โดยได้จากการทดสอบจากครูผู้สอน จากการศึกษาความหมายของ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ผู้วิจัยสามารถสรุปได้ว่า เป็นความรู้ความสามารถของนักเรียนที่ได้รับจาก การเรียนรู้ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมต่าง ๆ โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อวัดระดับความสามารถ ของนักเรียนจากการจัดการเรียนการสอนว่ามีความสำเร็จมาก น้อยเพียงใด 2.5.2 หลักการสร้างแบบวัดผลสัมฤทธิ์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช (2548, น. 61) ได้สรุปขั้นตอนการสร้างแบบทดสอบวัด ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในระดับประถมศึกษาได้ดังนี้ ขั้นที่ 1 การวางแผนสร้างข้อสอบ 1. กำหนดวัตถุประสงค์ของการสอบวัด 2. ศึกษาวรรณกรรมที่เกี่ยวข้องกับการสร้างข้อสอบอิงวัตถุ 3. วิเคราะห์เนื้อหาสาระวิชาและพฤติกรรมที่จะสอบวัด 4. จัดทำตารางวิเคราะห์วัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรมและแผนผังการสร้างข้อสอบ 5. กำหนด ส่วนอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ขั้นที่ 2 การดำเนินการสร้างข้อสอบ 1. หลักการปฏิบัติในการสร้างข้อสอบ 2. การจัดทำต้นร่างแบบทดสอบ ขั้นที่ 3 การตรวจสอบคุณภาพข้อสอบก่อนนำไปใช้ 1. หาความตรงของข้อคำถาม 2. วิจารณ์ข้อสอบเป็นรายข้อ หลักจากตรวจสอบคุณภาพข้อสอบก่อนนำไปใช้แล้ว ก็จัดพิมพ์ แบบทดสอบพร้อมคู่มือการใช้แบบทดสอบ
47 พิชิต ฤทธิ์จรูญ (2553, น. 97-99) ได้กล่าวว่าขั้นตอนการสร้างแบบทดสอบวัดผลฤทธิ์มี ขั้นตอนในการดำเนินการดังนี้ 1. วิเคราะห์หลักสูตรและสร้างตารางวิเคราะห์หลักสูตร เพื่อวิเคราะห์เนื้อหาและ พฤติกรรมที่ต้องการ วัด โดยระบุจำนวนข้อสอบในแต่ละเรื่องและพฤติกรรมที่ต้องการวัด 2. กำหนดจุดประสงค์การเรียนรู้ ผู้สอนต้องกำหนดไว้ล่วงหน้าสำหรับเป็นแนวทางใน การจัดการเรียน การสอน และการสร้างข้อสอบวัดผลสัมฤทธิ์ 3. กำหนดชนิดของข้อสอบและศึกษาวิธีสร้าง โดยการศึกษาตารางวิเคราะห์หลักสูตร และจุดประสงค์ การเรียนรู้ ผู้ออกข้อสอบต้องเลือกใช้ข้อสอบว่าจะใช้แบบใด โดยต้องสอดคล้องกับ จุดประสงค์การ เรียนรู้และเหมาะสมกับวัยของนักเรียน แล้วศึกษาวิธีการเขียนข้อสอบนั้นจนเข้าใจ 4. เขียนข้อสอบ โดยเขียนตามรายละเอียดที่กำหนดในตารางวิเคราะห์หลักสูตร และให้สอดคล้องกับ จุดประสงค์การเรียนรู้ 5.ตรวจทานข้อสอบ เพื่อให้ข้อสอบมีความถูกต้อง ผู้ออกข้อสอบต้องพิจารณา ตรวจทานอีกครั้งก่อน จัดพิมพ์ข้อสอบและนำไปใช้ 6. จัดพิมพ์แบบทดสอบฉบับทดลอง เมื่อตรวจทานข้อสอบแล้ว จัดทำเป็นแบบทดสอบ ฉบับทดลอง โดยมีคำอธิบายวิธีตอบแบบทดสอบและจัดวางรูปแบบการพิมพ์ให้เหมาะสม 7. ทดลองสอบและวิเคราะห์ข้อสอบ เป็นวิธีการตรวจสอบคุณภาพของแบบทดสอบ ก่อนนำไปใช้จริง โดยนำไปทดสอบกับกลุ่มนักเรียนที่มีลักษณะคล้ายคลึงกันกับกลุ่มจริงแล้วนำผลการ สอบมาวิเคราะห์ และปรับปรุงข้อสอบให้มีคุณภาพ โดยสภาพการณ์ปฏิบัติจริงในโรงเรียนมักไม่ค่อยทำ เช่นนี้ แต่มักจะ นำไปใช้ทดสอบแล้วจึงวิเคราะห์เพื่อปรับปรุงและนำไปใช้ในครั้งต่อไป 8.จัดทำแบบทดสอบฉบับจริง จากผลการวิเคราะห์ข้อสอบ หากพบว่าข้อสอบข้อใดไม่มีคุณภาพ หรือไม่ดีพอ อาจจะต้องตัดทิ้งหรือปรับปรุงแก้ไข แล้วจึงจัดทำเป็นแบบทดสอบฉบับจริงที่จะ นำไป ทดสอบกับกลุ่มเป้าหมายต่อไป เยาวดี รางชัยกุล วิบูลย์ศรี (2556, น. 178-179) กล่าวว่า การสร้างแบบสอบผลสัมฤทธิ์ที่ดี โดยปกติกรรมวิธีในการสร้างแบบสอบผลสัมฤทธิ์สามารถแบ่งได้เป็น 4 ขั้นตอน ดังต่อไปนี้ ขั้นที่ 1 กำหนดวัตถุประสงค์ทั่วไปของการสอบให้อยู่ในรูปของวัตถุประสงค์เชิง พฤติกรรม โดยระบบ เป็นข้อ ๆ และให้วัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรมเหล่านั้น สอดคล้องกับเนื้อหาสาระ ทั้งหมดที่จะทำการ สอบ ขั้นที่ 2 กำหนดโครงเรื่องของเนื้อหาสาระที่จะทำการทดสอบให้ครบถ้วน
48 ขั้นที่ 3 เตรียมตารางเฉพาะ หรือผังของแบบทดสอบ เพื่อแสดงถึงน้ำหนักของเนื้อหาวิชาแต่ละ ส่วน และพฤติกรรมต่าง ๆ ที่ต้องการทดสอบให้เด่นชัด สั้น กะทัดรัด และมีความชัดเจน ขั้นที่ 4 สร้างข้อกระทงทั้งหมดที่ต้องการจะทดสอบให้เป็นไปตามสัดส่วนของน้ำหนักที่ ระบุไว้ใน ตารางเฉพาะ 2.6.5 การตรวจสอบคุณภาพของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช (2548, น. 86-88) กล่าวว่า คุณภาพของแบบทดสอบวัดผล สัมฤทธิ์ทางการเรียนควรต้องมีลักษณะที่สำคัญดังนี้ 1. ความตรง (Validity) เป็นลักษณะที่แบบทดสอบวัดในสิ่งที่ต้องการวัด เพราะถ้า แบบทดสอบมี ความตรงแล้ว คะแนนที่ได้จะถูกต้องตามความต้องการ ความตรงของแบบทดสอบแบ่ง ได้ 3 ชนิด คือ ความตรงตามเนื้อหา ความตรงตามโครงสร้าง และความตรงเชิงเกณฑ์สัมพันธ์ 2. ความเที่ยง (Reliability) เป็นลักษณะที่แบบทดสอบมีความสม่ำเสมอหรือ มีความคงเส้นคงวาใน การวัด ไม่ว่าจะสอบกี่ครั้งก็ตามในเงื่อนไขเดิมแต่ต่างเวลากัน 3. ความเป็นปรนัย (Objectivity) เป็นแบบทดสอบที่มีความเป็นปรนัยคือแบบทดสอบ ที่วัดได้ตรง ตามวัตถุประสงค์ที่ต้องการวัด โดยแบบทดสอบนั้นมีข้อคำถามที่ชัดเจอ ตรวจ ให้ และแปล ความหมายของคะแนนเหมือนกันหรือตรงกัน 4. ความยาก (Difficulty) แบบทดสอบที่ดีควรมีความยาก ง่ายพอเหมาะ หรือยาก ง่าย ปานกลาง หากข้อสอบยากหรือง่ายเกินไป ก็จะไม่สามารถเร้าให้นักเรียนแสดงพฤติกรรมที่ต้องการจะ วัดได้ โดยทั่วไปแบบทดสอบวัดและประเมินผลด้านพุทธิพิสัยควรมีค่าความยากอยู่ระหว่าง 0.20-0.80 5. อำนาจจำแนก (Discriminant) ข้อคำถามที่ใช้ทดสอบต้องสามารถจำแนกนักเรียน กลุ่มเก่ง กลุ่ม อ่อนได้ กล่าวคือ คนเก่งจะตอบคำถามถูก และคนไม่เก่งจะตอบผิด โดยทั่วไป แบบทดสอบวัดและ ประเมินผลด้านพุทธิพิสัยควรมีค่าอำนาจจำแนกตั้งแต่ 0.20 ขึ้นไป 6. ความมีประสิทธิภาพ (Efficiency) เป็นลักษณะของแบบทดสอบที่สามารถวัดสิ่งที่ เป็นตัวแทนของ สิ่งที่ต้องการศึกษาได้ โดยจะวัดเมื่อไหร่ก็ได้ ภายใต้สถานการณ์เดียวกันดังนั้นตัว แบบทดสอบจึงต้อง มีค่าความเที่ยงสูง 7. ความครอบคลุม (Comprehensive) เป็นลักษณะในเรื่องความยาวของแบบทดสอบ ที่ยาว เพียงพอกับสิ่งที่ต้องการวัด กล่าวคือมีข้อคำถามที่เป็นตัวแทนและกำหนดรูปแบบของคำถามได้ เหมาะสมกับสิ่งที่จะวัด
49 8. ความสามารถในการนำไปใช้ (Practicability on Usability) เป็นลักษณะของ แบบทดสอบที่ เหมาะสม ง่ายและสะดวกที่ครูจะนำไปใช้สอบวัดนักเรียนโดยพิจารณาความง่ายและ สะดวกใน ประเด็นต่าง ๆ คือ ง่ายและสะดวกต่อการนำไปใช้ กำหนดเวลาทำข้อสอบเหมาะสมกับ จำนวนข้อ ง่ายและสะดวกต่อการตรวจคำตอบและการแปลความหมายของคะแนน 2.6 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ 2.6.1 ความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ ปราณี กองจินดา (2549, น. 42) กล่าวว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ความสามารถ หรือ ผลสำเร็จที่ได้รับจากกิจกรรมการเรียนการสอนเป็นการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและประสบการณ์ เรียนรู้ทางด้านพุทธิพิสัย จิตพิสัย และทักษะพิสัย และยังได้จำแนกผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนไว้ตาม ลักษณะของวัตถุประสงค์ของการเรียนการสอนที่แตกต่างกัน ชวาล แพรัตกุล (2552, น. 13) กล่าวว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเป็นความสำเร็จในด้าน ความรู้ทักษะ และสมรรถภาพด้านต่าง ๆ ของสมอง นั่นคือสัมฤทธิ์ผลทางการเรียนควรจะ ประกอบด้วยสิ่ง สำคัญอย่างน้อย 3 สิ่ง คือ ความรู้ ทักษะ และสมรรถภาพของสมองด้านต่าง ๆ Good (1973, p. 1) กล่าวว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ความรู้หรือทักษะที่เกิดจาก การเรียนรู้ที่ได้เรียนมาแล้ว โดยได้จากการทดสอบจากครูผู้สอน จากการศึกษาความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ผู้วิจัยสามารถสรุปได้ว่า เป็นความรู้ ความสามารถของนักเรียนที่ได้รับจากการเรียนรู้ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมต่าง ๆ โดยมี จุดมุ่งหมายเพื่อวัดระดับความสามารถของนักเรียนจากการจัดการเรียนการสอนว่ามีความสำเร็จมาก น้อยเพียงใด 2.6.2 การวัดและประเมินผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ พิชิต ฤทธิ์จรูญ (2553, น. 97-99) ได้กล่าวว่าขั้นตอนการสร้างแบบทดสอบวัดผลฤทธิ์มี ขั้นตอนในการดำเนินการดังนี้ 1. วิเคราะห์หลักสูตรและสร้างตารางวิเคราะห์หลักสูตร เพื่อวิเคราะห์เนื้อหาและพฤติกรรมที่ต้องการ วัดโดยระบุจำนวนข้อสอบในแต่ละเรื่องและพฤติกรรมที่ต้องการวัด 2. กำหนดจุดประสงค์การเรียนรู้ ผู้สอนต้องกำหนดไว้ล่วงหน้าสำหรับเป็นแนวทางใน การจัดการเรียน การสอน และการสร้างข้อสอบวัดผลสัมฤทธิ์
50 3. กำหนดชนิดของข้อสอบและศึกษาวิธีสร้าง โดยการศึกษาตารางวิเคราะห์หลักสูตร และจุดประสงค์ การเรียนรู้ ผู้ออกข้อสอบต้องเลือกใช้ข้อสอบว่าจะใช้แบบใด โดยต้องสอดคล้องกับ จุดประสงค์การ เรียนรู้และเหมาะสมกับวัยของนักเรียน แล้วศึกษาวิธีการเขียนข้อสอบนั้นจนเข้าใจ 4. เขียนข้อสอบ โดยเขียนตามรายละเอียดที่กำหนดในตารางวิเคราะห์หลักสูตร และให้สอดคล้องกับ จุดประสงค์การเรียนรู้ 5.ตรวจทานข้อสอบ เพื่อให้ข้อสอบมีความถูกต้อง ผู้ออกข้อสอบต้องพิจารณา ตรวจทานอีกครั้งก่อน จัดพิมพ์ข้อสอบและนำไปใช้ 6. จัดพิมพ์แบบทดสอบฉบับทดลอง เมื่อตรวจทานข้อสอบแล้ว จัดทำเป็นแบบทดสอบ ฉบับทดลอง โดยมีคำอธิบายวิธีตอบแบบทดสอบและจัดวางรูปแบบการพิมพ์ให้เหมาะสม 7. ทดลองสอบและวิเคราะห์ข้อสอบ เป็นวิธีการตรวจสอบคุณภาพของแบบทดสอบ ก่อนนำไปใช้จริง โดยนำไปทดสอบกับกลุ่มนักเรียนที่มีลักษณะคล้ายคลึงกันกับกลุ่มจริงแล้วนำผลการ สอบมาวิเคราะห์ และปรับปรุงข้อสอบให้มีคุณภาพ โดยสภาพการณ์ปฏิบัติจริงในโรงเรียนมักไม่ค่อยทำ เช่นนี้ แต่มักจะ นำไปใช้ทดสอบแล้วจึงวิเคราะห์เพื่อปรับปรุงและนำไปใช้ในครั้งต่อไป 8.จัดทำแบบทดสอบฉบับจริง จากผลการวิเคราะห์ข้อสอบ หากพบว่าข้อสอบข้อใดไม่มีคุณภาพ หรือไม่ดีพอ อาจจะต้องตัดทิ้งหรือปรับปรุงแก้ไข แล้วจึงจัดทำเป็นแบบทดสอบฉบับจริงที่จะนำไป ทดสอบกับกลุ่มเป้าหมายต่อไป เยาวดี รางชัยกุล วิบูลย์ศรี (2556, น. 178-179) กล่าวว่า การสร้างแบบสอบผลสัมฤทธิ์ที่ดี โดยปกติกรรมวิธีในการสร้างแบบสอบผลสัมฤทธิ์สามารถแบ่งได้เป็น 4 ขั้นตอน ดังต่อไปนี้ ขั้นที่ 1 กำหนดวัตถุประสงค์ทั่วไปของการสอบให้อยู่ในรูปของวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม โดยระบบ เป็นข้อ ๆ และให้วัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรมเหล่านั้นสอดคล้องกับเนื้อหาสาระทั้งหมดที่จะทำการ สอบ ขั้นที่ 2 กำหนดโครงเรื่องของเนื้อหาสาระที่จะทำการทดสอบให้ครบถ้วน ขั้นที่ 3 เตรียมตารางเฉพาะ หรือผังของแบบทดสอบ เพื่อแสดงถึงน้ำหนักของเนื้อหาวิชาแต่ละส่วน และพฤติกรรมต่าง ๆ ที่ต้องการทดสอบให้เด่นชัด สั้น กะทัดรัด และมีความชัดเจน ขั้นที่ 4 สร้างข้อกระทงทั้งหมดที่ต้องการจะทดสอบให้เป็นไปตามสัดส่วนของน้ำหนักที่ ระบุไว้ใน ตารางเฉพาะ
51 2.6.3 การตรวจสอบคุณภาพของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช (2548, น. 86-88) กล่าวว่า คุณภาพของแบบทดสอบวัดผล สัมฤทธิ์ทางการเรียนควรต้องมีลักษณะที่สำคัญดังนี้ 1. ความตรง (Validity) เป็นลักษณะที่แบบทดสอบวัดในสิ่งที่ต้องการวัด เพราะถ้า แบบทดสอบมี ความตรงแล้ว คะแนนที่ได้จะถูกต้องตามความต้องการ ความตรงของแบบทดสอบแบ่ง ได้ 3 ชนิด คือ ความตรงตามเนื้อหา ความตรงตามโครงสร้างและความตรงเชิงเกณฑ์สัมพันธ์ 2. ความเที่ยง (Reliability) เป็นลักษณะที่แบบทดสอบมีความสม่ำเสมอหรือมีความคงเส้นคงวาใน การวัด ไม่ว่าจะสอบกี่ครั้งก็ตามในเงื่อนไขเดิมแต่ต่างเวลากัน 3. ความเป็นปรนัย (Objectivity) เป็นแบบทดสอบที่มีความเป็นปรนัยคือแบบทดสอบที่วัดได้ตรงตาม วัตถุประสงค์ที่ต้องการวัด โดยแบบทดสอบนั้นมีข้อคำถามที่ชัดเจน 4. ความยาก (Difficulty) แบบทดสอบที่ดีควรมีความยากง่ายพอเหมาะหรือยาก ง่าย ปานกลาง หาก ข้อสอบยากหรือง่ายเกินไปก็จะไม่สามารถเร้าให้นักเรียนแสดงพฤติกรรมที่ต้องการจะวัดได้ โดยทั่วไป แบบทดสอบวัดและประเมินผลด้านพุทธิพิสัยควรมีค่าความยากอยู่ระหว่าง 0.20-0.80 5. อำนาจจำแนก (Discriminant) ข้อคำถามที่ใช้ทดสอบต้องสามารถจำแนกนักเรียน กลุ่มเก่ง กลุ่ม อ่อนได้ กล่าวคือ คนเก่งจะตอบคำถามถูก และคนไม่เก่งจะตอบผิด โดยทั่วไป แบบทดสอบวัดและ ประเมินผลด้านพุทธิพิสัยควรมีค่าอำนาจจำแนกตั้งแต่ 0.20 ขึ้นไป 6. ความมีประสิทธิภาพ (Efficiency) เป็นลักษณะของแบบทดสอบที่สามารถวัดสิ่งที่ เป็นตัวแทนของ สิ่งที่ต้องการศึกษาได้ โดยจะวัดเมื่อไหร่ก็ได้ ภายใต้สถานการณ์เดียวกันดังนั้นตัว แบบทดสอบจึงต้อง มีค่าความเที่ยงสูง 7. ความครอบคลุม (Comprehensive) เป็นลักษณะในเรื่องความยาวของแบบทดสอบที่ยาวเพียงพอ กับสิ่งที่ต้องการวัด กล่าวคือมีข้อคำถามที่เป็นตัวแทนและกำหนดรูปแบบของคำถามได้เหมาะสมกับ สิ่งที่จะวัด 8. ความสามารถในการนำไปใช้ (Practicability on Usability) เป็นลักษณะของแบบทดสอบที่ เหมาะสมและสะดวกที่ครูจะนำไปใช้สอบวัดนักเรียนโดยพิจารณาความง่ายและสะดวกในประเด็นต่าง กำหนดเวลาทำข้อสอบเหมาะสมกับจำนวนข้อ สะดวกต่อการตรวจคำตอบและการแปลความหมาย ของคะแนน
52 สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) (2555, น. 12-16) กล่าวว่า เครื่องมือวัดผลที่สร้างขึ้นจะต้องผ่านการตรวจสอบคุณภาพทั้งด้านความถูกต้องของเนื้อหาตาม มาตรฐานการเรียนรู้และพฤติกรรมที่ต้องการวัด มีความยากและอำนาจจำแนกอยู่ในเกณฑ์ที่กำหนด สำหรับการตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือวัดผลประเมินผลของแบบทดสอบชนิดเลือกตอบและ เขียนตอบทำได้ 2 แนวทาง ได้แก่ การพิจารณาเชิงคุณภาพ และการวิเคราะห์เชิงสถิติ การพิจารณา เชิงคุณภาพ เป็นการตรวจสอบในประเด็นต่าง ๆ ดังนี้ 1. ความถูกต้องของเนื้อหาและตรงตามมาตรฐานการเรียนรู้ รวมทั้งระดับชั้นและพฤติกรรมของ นักเรียน 2. ความเป็นปรนัยของข้อสอบในด้านความชัดเจนของคำถามที่เมื่ออ่านแล้วทุกคนเข้าใจตรงกัน ความ ชัดเจนของเกณฑ์การให้คะแนนและการแปลผลคะแนนที่ตรงกัน 3. ความยุติธรรมของข้อสอบที่ไม่ทำให้ผู้สอบคนใดได้เปรียบหรือเสียเปรียบในการทำข้อสอบและ ผู้สอบจากกลุ่มที่ต่างกันมีโอกาสตอบข้อสอบถูกเท่าเทียมกัน 4. ความสมบูรณ์และความถูกต้องของข้อสอบ โดยพิจารณาจากความสมบูรณ์ของสถานการณ์ใน ข้อสอบ คำถามและตัวเลือก การวิเคราะห์เชิงสถิติ เป็นการนำผลจากการทดลองใช้เครื่องมือมาหาค่าทางสถิติและใช้ ค่าสถิติดังกล่าวพิจารณาคุณภาพของเครื่องมือ โดยพิจารณาได้ทั้งคุณภาพของข้อสอบรายข้อและ คุณภาพของทั้งฉบับ ดังรายละเอียดต่อไปนี้ 1. คุณภาพของข้อสอบรายข้อ แบ่งได้เป็นคุณภาพของข้อสอบเลือกตอบและเขียนตอบราย ข้อมีรายละเอียดดังนี้ 1.1. คุณภาพของข้อสอบเลือกตอบรายข้อ พิจารณาจากความยากและอำนาจ จำแนก โดยค่าความยากอยู่ระหว่าง 0 ถึง 1 1.2 คุณภาพของข้อสอบเขียนตอบรายข้อ มีหลักการเดียวกับข้อสอบเลือกตอบ แต่ ก่อนการวิเคราะห์ข้อสอบต้องรวมคะแนนรายข้อของผู้สอบทุกคนและหาอัตราส่วนของคะแนนของ คนในกลุ่มสูงและต่ำ จากนั้นจึงคำนวณหาคุณภาพรายข้อของข้อสอบทั้งความยากและอำนาจจำแนก 2. คุณภาพของแบบทดสอบทั้งฉบับ โดยดูจากความเที่ยงตรงและความเชื่อมั่น 2.1. ความเที่ยงตรง หมายถึง ความแม่นยำของเครื่องมือสำหรับใช้ในการวัด การ ตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือควรมีการตรวจสอบเนื้อหา โดยมีผู้เชี่ยวชาญตัดสินข้อคำถามว่าตรง ตามเนื้อหาและวัตถุประสงค์ที่ต้องการวัดหรือไม่ ในกรณีที่เป็นแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์แบบอิงกลุ่ม
53 ผู้เชี่ยวชาญต้องพิจารณาข้อสอบแต่ละข้อว่าตรงตามเนื้อหาและพฤติกรรมการเรียนรู้ที่จะวัดและมี จำนวนสอดคล้องกับตารางวิเคราะห์หลักสูตรหรือไม่ 2.2 ความเชื่อมั่น หมายถึง ความคงเส้นคงวาของผลจากการวัด โดยใช้เครื่องมือชนิด เดียวกันวัดซ้ำแล้วได้ผลเช่นเดิมหลังจากการวิเคราะห์คุณภาพรายข้อของข้อสอบแล้วครูสามารถ คัดเลือกข้อสอบที่มีคุณภาพเก็บไว้ใช้ต่อไปได้ ส่วนข้อที่ไม่มีคุณภาพอาจนำมาปรับปรุง ทดลองใช้ และ หาคุณภาพใหม่อีกครั้ง ทำการตรวจสอบคุณภาพทั้งฉบับ เมื่อข้อสอบมีคุณภาพครบทุกด้านแล้วจึงจะ ถือว่าแบบทดสอบนั้นเป็นแบบทดสอบที่ดี ให้ผลการวัดที่ถูกต้อง แม่นยำและมีความน่าเชื่อถือได้ 2.7 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 2.7.1 งานวิจัยภายในประเทศ นายธัชวุฒิ กงประโคน (2561) วัตถุประสงค์และเป้าหมายของการดำเนินงาน จุดประสงค์ 1. เพื่อพัฒนาผู้เรียนสู่มาตรฐานสากลโดยใช้กระบวนการบันได 5 ขั้น (QSCCS) 2. เพื่อให้ผู้เรียนได้ พัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และทักษะในศตวรรษที่ 21 ในการค้นคว้าและสร้างองค์ ความรู้ด้วยกระบวนการสืบเสาะหาความรู้ สามารถแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ สามารถตัดสินใจโดยใช้ ข้อมูลหลากหลายและประจักษ์พยานที่ตรวจสอบได้ 3. เพื่อให้ผู้เรียนสามารถรวบรวม วิเคราะห์ข้อมูล อย่างครบถ้วนและเป็นระบบ นำองค์ความรู้ที่ได้มาสังเคราะห์เป็นนวัตกรรม 4. เพื่อให้ผู้เรียนมีความ เป็นเลิศทางวิชาการ สื่อสารสองภาษา ล้ำหน้าทางความคิด ผลิตงานอย่างสร้างสรรค์และร่วมกัน รับผิดชอบต่อสังคมโลก 5. เพื่อนำองค์ความรู้ที่ได้จากการศึกษา ค้นคว้าเผยแพร่ในวงกว้าง ทั้งภายใน สถานศึกษาและชุมชนภายนอก 2. เป้าหมายเชิงปริมาณ 1. นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 จำนวน 45 คน ได้ผ่านกระบวนการจัดการเรียนรู้ผ่านการลงมือทำและการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) โดยใช้กระบวนการเรียนรู้บันได 5 ขั้น (QSCCS) ของการพัฒนาผู้เรียนสู่มาตรฐานสากล 2. นักเรียนได้ นวัตกรรมที่ผ่านกระบวนการศึกษาค้นคว้าของนักเรียนจำนวน 1 เรื่อง เป้าหมายเชิงคุณภาพ 1. นักเรียนมีทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และทักษะในศตวรรษที่ 21 ในการค้นคว้าและสร้าง องค์ความรู้ด้วยกระบวนการสืบเสาะหาความรู้ สามารถแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ สามารถตัดสินใจ โดยใช้ข้อมูลหลากหลายและประจักษ์พยานที่ตรวจสอบได้ ผลการดำเนินงาน/ประโยชน์ที่ได้รับ 1. ผลที่เกิดตามจุดประสงค์1.1 นักเรียนมีคุณภาพเทียบเคียงมาตรฐานสากล โดยใช้กระบวนการ บันได 5 ขั้น (QSCCS) 1.2 นักเรียนได้พัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และทักษะใน ศตวรรษที่ 21 ในการค้นคว้าและสร้างองค์ความรู้ด้วยกระบวนการสืบเสาะหาความรู้ สามารถ แก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ สามารถตัดสินใจโดยใช้ข้อมูลหลากหลายและประจักษ์พยานที่ตรวจสอบได้
54 1.3 นักเรียนสามารถรวบรวม วิเคราะห์ข้อมูลอย่างครบถ้วนและเป็นระบบ นำองค์ความรู้ที่ได้มา สังเคราะห์เป็นนวัตกรรม 1.4 นักเรียนเรียนมีความเป็นเลิศทางวิชาการ สื่อสารสองภาษา ล้ำหน้าทาง ความคิด ผลิตงานอย่างสร้างสรรค์และร่วมกันรับผิดชอบต่อสังคมโลก 1.5 นักเรียนสามารถนำองค์ ความรู้ที่ได้จากการศึกษา ค้นคว้าเผยแพร่ในวงกว้าง ทั้งภายในสถานศึกษาและชุมชนภายนอก ผลสัมฤทธิ์ของงาน ผลการดำเนินงานการจัดการเรียนการสอน Active learning โดยใช้กระบวนการ บันได 5 ขั้น (QSCCS)ของการพัฒนาผู้เรียนสู่มาตรฐานสากล พบว่าผู้เรียนเกิดทักษะกระบวนการทาง วิทยาศาสตร์ การคิดสร้างสรรค์ การคิดอย่างมีวิจารณญาณ และการคิดแก้ปัญหา ค้นคว้าและ คัดเลือกข้อมูลหรือองค์ความรู้เป็นทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 สามารถค้นคว้าและสร้างองค์ ความรู้ด้วยกระบวนการสืบเสาะหาความรู้ สามารถแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ สามารถตัดสินใจโดยใช้ ข้อมูลหลากหลายและประจักษ์พยานที่ตรวจสอบได้ ซึ่งทักษะเหล่านี้จะติดตัวผู้เรียนไปตลอด และ ผู้เรียนสามารถจัดทำผลงานซึ่งเป็นนวัตกรรมสำคัญซึ่งเป็นผลสรุปของการออกแบบการจัดการเรียนรู้ และสามารถนำนวัตกรรมมาศึกษาหาความรู้และนำสู่การเผยแพร่ให้กว้างขวางมากขึ้น ประโยชน์ที่ ได้รับ 1. นักเรียนเกิดทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และทักษะในศตวรรษที่ 21 ในการค้นคว้า และสร้างองค์ความรู้ด้วยกระบวนการสืบเสาะหาความรู้ เกิดทักษะการคิดสร้างสรรค์ การคิดอย่างมี วิจารณญาณ และการคิดแก้ปัญหา สามารถแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ สามารถตัดสินใจ 2. ผู้เรียนมีความตระหนักในการนำความรู้ทางวิทยาศาสตร์มาใช้การพัฒนาท้องถิ่นของตนเอง เกิด ความรักชุมชนบ้านเกิดและรู้สึกเป็นเจ้าของชุมชนของตนเอง (Sense of Belonging) ได้เรียนรู้ ร่วมกันในเรื่องที่เกี่ยวกับท้องถิ่น และรู้จักจังหวัดชัยภูมิซึ่งเป็นชุมชนของนักเรียนในหลากหลายแง่มุม มากยิ่งขึ้นในการคิดแก้ปัญหาหรือสร้างสรรค์นวัตกรรมเพื่อตอบแทนสังคมที่ตนเองดำรงชีวิตอยู่ 3. ผู้เรียนสามารถเปลี่ยนจากผู้รับองค์ความรู้มาเป็นผู้สร้างองค์ความรู้ และเผยแพร่องค์ความรู้ ที่เกิด จากการศึกษา ค้นคว้าให้เกิดประโยชน์กับชุมชนท้องถิ่นของตนเอง วิมล มานพ (2562) การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อสร้างและหาประสิทธิภาพของ กระบวนการเรียนการสอน เรื่อง การบวกและการลบจำนวนที่มีผลลัพธ์และตัวตั้งไม่เกิน 20 สำหรับ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 โดยใช้รูปแบบ QSCCS ตามเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 2) เพื่อเปรียบเทียบ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนของผู้เรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ที่เรียน เรื่อง การบวกและการลบจำนวนที่มีผลลัพธ์และตัวตั้งไม่เกิน 20 โดยใช้รูปแบบ QSCCS 3) เพื่อศึกษา ความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ที่เรียนเรื่อง การบวกและการลบจำนวนที่มีผลลัพธ์ และตัวตั้งไม่เกิน 20 โดยใช้รูปแบบ QSCCS ประชากร ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ภาค
55 เรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2561 โรงเรียนเทศบาล 1 (วัดพรหมวิหาร) อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย จำน ว น 200 ค น จ าก จำน ว น ห้ อ งเรีย น ทั้ งห ม ด 5 ห้ อ งเรี ย น ก ลุ่ ม ตั ว อ ย่ าง ได้ แ ก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาที่ 1/1 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2561 โรงเรียน เทศบาล 1 (วัดพรหม วิหาร) อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย จำนวน 40 คน โดยการสุ่มตัวอย่างแบบกลุ่ม (Cluster Sampling) เนื้อหาที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็นเนื้อหาเกี่ยวกับการบวกและการลบจำนวนที่มีผลลัพธ์และ ตัวตั้งไม่เกิน 20 เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้ที่จัดกิจกรรมการ เรียนการสอนโดยใช้รูปแบบ QSCCS แบบฝึกทักษะเรื่อง การบวกและการลบจำนวนที่มีผลลัพธ์และ ตัวตั้งไม่เกิน 20 3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน จำนวน 10 ข้อ และแบบวัดความพึงพอใจ ต่อการเรียนวิชาคณิตศาสตร์โดยใช้รูปแบบ QSCCS ชั้น ประถมศึกษาปีที่ 1 กลุ่มสาระการเรียนรู้ คณิตศาสตร์ วิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและt–test ผลการวิจัยพบว่า 1) แผนการจัดการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์โดยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้การบวก และการลบจำนวนที่มีผลลัพธ์และตัวตั้งไม่เกิน 20 สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 โดยใช้ รูปแบบ QSCCS ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 มีประสิทธิภาพ เท่ากับ 83.11/86.36 ซึ่งสูงกว่า เกณฑ์มาตรฐาน 80/80 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 โดยการจัด กิจกรรมการเรียนรู้การบวกและการลบจำนวนที่มีผลลัพธ์และตัวตั้งไม่เกิน 20 สำหรับนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 1 โดยใช้รูปแบบ QSCCS หลังเรียนสูง กว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ ระดับ .01 3) ความพึงพอใจต่อการเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ที่เรียนโดยใช้การจัด กิจกรรมการเรียนรู้การบวกและการลบจำนวนที่มีผลลัพธ์และตัวตั้งไม่เกิน 20 สำหรับนักเรียน ชั้น ประถมศึกษาปีที่ 1 โดยใช้รูปแบบ QSCCS ในภาพรวมอยู่มีความพึงพอใจอยู่ในระดับมากที่สุด นางสาวพิชญา สิทธิชัย (2563) การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อเปรียบเทียบ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาชีววิทยา เรื่อง การสืบพันธุ์ของพืชดอกของนักเรียนก่อนและหลังเรียนโดย ใช้กระบวนการเรียนรู้ 5 ขั้นตอน (QSCCS) ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 2) เพื่อศึกษา ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการเรียนรู้ 5 ขั้นตอน (QSCCS) เรื่อง การสืบพันธุ์ของพืชดอกของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 กลุ่มตัวอย่าง คือนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 5/3 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2563โรงเรียนพระปฐมวิทยาลัย จังหวัดนครปฐม จำนวน 35 คน ได้มาโดยวิธีการเลือกตัวอย่างแบบเจาะจง (Purposive Sampling) เครื่องมือที่ใช้ใน การวิจัย คือ แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการ เรียนรู้ 5 ขั้นตอน (QSCCS) เรื่องการสืบพันธุ์ ของพืชดอก แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชา ชีววิทยา เรื่องการสืบพันธุ์ของพืชดอกและ
56 แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อวิธีการสอนโดยใช้กระบวนการเรียนรู้5 ขั้นตอน (QSCCS) เรื่อง การสืบพันธุ์ของพืชดอก สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐาน และการทดสอบค่าทีผลการวิจัยพบว่า 1) นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/3 ภาคเรียนที่ 1 ปี การศึกษา 2563 โรงเรียนพระปฐมวิทยาลัย จังหวัดนครปฐม ที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ กระบวนการ เรียนรู้ 5 ขั้นตอน (QSCCS) มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาชีววิทยา เรื่อง การสืบพันธุ์ ของพืชดอก หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 2) นักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 5/3 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2563 โรงเรียนพระปฐมวิทยาลัย จังหวัดนครปฐม ที่ ได้รับการจัดกิจกรรม การเรียนรู้โดยใช้กระบวนการเรียนรู้ 5 ขั้นตอน (QSCCS) มีคะแนนค่าเฉลี่ย ความพึงพอใจต่อการ เรียนวิชาชีววิทยาหลังเรียนเมื่อนำมาเทียบกับเกณฑ์ พบว่านักเรียนมีความพึง พอใจต่อการเรียนวิชาชีววิทยาหลังเรียนอยู่ในระดับมาก อรวรรณ กองพิลา (2564) การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนากิจกรรมการเรียนรู้ ด้วยกระบวนการ QSCCS โดยใช้สื่อสังคมออนไลน์ เพื่อพัฒนาทักษะการแก้ปัญหาของนักเรียน ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 2) ศึกษาผลการใช้กิจกรรมการเรียนรู้ด้วยกระบวนการ QSCCS โดยใช้สื่อ สังคมออนไลน์ เพื่อพัฒนาทักษะการแก้ปัญหาของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 กลุ่มตัวอย่างที่ ใช้ในการพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้ด้วยกระบวนการ QSCCS โดยใช้สื่อสังคมออนไลน์ เป็นนักเรียน มัธยมศึกษาปีที่ 5/5 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2560 โรงเรียนนครขอนแก่น อ.เมือง จ.ขอนแก่น จำนวน 3 คน สำหรับใช้ทดสอบแบบหนึ่งต่อหนึ่ง จำนวน 12 คน ทดสอบแบบกลุ่มเล็กและการ ทดสอบภาคสนาม จำนวน 28 คน ได้มาโดยการสุ่มอย่างง่าย กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษารูปแบบ เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2561 จำนวน 35 คน ได้มาโดยการ สุ่มอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 1)กิจกรรมการเรียนรู้ด้วยกระบวนการ QSCCS โดยใช้สื่อสังคม ออนไลน์เพื่อพัฒนาทักษะการแก้ปัญหาของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 2)แบบทดสอบวัด ผลสัมฤทธิ์ทางการเป็นแบบปรนัย 4 ตัวเลือกจำนวน 30 ข้อ 2) แบบวัดความสามารถในการแก้ปัญหา ของนักเรียน จำนวน 20 ข้อ 3)แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีกิจกรรมการเรียนรู้ด้วย กระบวนการ QSCCS โดยใช้สื่อสังคมออนไลน์เพื่อพัฒนาทักษะการแก้ปัญหาของนักเรียนระดับชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 5 สถิติที่ใช้ในการวิจัย คือ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติที่ใช้ในการทดสอบสมมติฐาน คือ t-test Dependent ผลการวิจัย พบว่า 1. กิจกรรมการเรียนรู้ ด้วยกระบวนการ QSCCS โดยใช้สื่อสังคมออนไลน์เพื่อพัฒนา ทักษะการแก้ปัญหาของนักเรียน ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 มี 5 องค์ประกอบ คือ 1) หลักการ 2) วัตถุประสงค์ 3) ยุทธศาสตร์และ
57 กลยุทธ์การเรียนการสอน 4) กิจกรรมการเรียน การสอน และ 5) การวัดและประเมินผล มีกิจกรรม บนออนไลน์ 5 กิจกรรม 2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมี นัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3. ความสามารถในการแก้ปัญหาของนักเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อน เรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 4. ความพึงพอใจของนักเรียนต่อกิจกรรมการเรียนรู้ด้วย กระบวนการ QSCCS โดยใช้สื่อสังคมออนไลน์เพื่อพัฒนาทักษะการแก้ปัญหาของนักเรียนระดับชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 5 อยู่ในระดับมาก จากการศึกษางานวิจัยที่เกี่ยวข้องภายในประเทศกล่าวว่า รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบ บันได 5 ขั้น (QSCCS) หรือแบบ Big Five Learning เมื่อนำมาใช้จัดการเรียนรู้ในชั้นเรียนพบว่า นักเรียนมีพัฒนาการในด้านการคิดวิเคราะห์สูงขึ้นกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ นอกจากนี้ นักเรียนยังสามารถทำงานเป็นกลุ่มได้ดี มีทักษะการสื่อสารและนำเสนอที่สูงขึ้น นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ และนักเรียนมีความพึงพอใจต่อรูปแบบการเรียนการสอน จึงทำให้ผู้วิจัยเลือกรูปแบบการสอนปกติในชั้นเรียนอย่างการจัดการเรียนรู้แบบบันได 5 เพื่อศึกษาผล ของการจัดการเรียนรู้แบบ QSCCS ต่อความสามารถในการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ 5
58 บทที่ 3 วิธีดำเนินการวิจัย การวิจัยเรื่อง การจัดการเรียนรู้แบบบันได 5 ขั้น QSCCS เรื่อง ปัจจัยที่มีผลต่อสมดุลและ สมดุลเคมีในสิ่งมีชีวิต สิ่งแวดล้อมและอุตสาหกรรม เพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของการจัดการ เรียนรู้แบบ QSCCS และความสามารถในการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โดยผู้วิจัย ได้ดําเนินการตามขั้นตอน ดังนี้ 3.1 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 3.2 แบบแผนการวิจัย 3.3 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 3.4 การสร้างและหาคุณภาพเครื่องมือ 3.5 การเก็บรวบรวมข้อมูล 3.6 การวิเคราะห์ข้อมูล 3.7 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล 3.1 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 3.1.1 ประชากรในการวิจัย ประชากรที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ของโรงเรียนอุดรพิทยานุกูล อําเภอเมืองอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 861 คน จาก 21 ห้องเรียน 3.1.2 กลุ่มตัวอย่างในการวิจัย กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ ใช้นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5/10 ของโรงเรียนอุดร พิทยานุกูล อําเภอเมืองอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 1 ห้อง ซึ่ง เป็นกลุ่มทดลองมีการจัดการเรียนรู้แบบบันได 5 ขั้น QSSCS 1 ห้อง 3.2 แบบแผนการวิจัย แบบแผนการทดลองขั้นต้น (Pre-experimental design) โดยผู้วิจัยเลือกใช้วิธีวิจัยแบบ One-Shot Case Study ศึกษา 1 กลุ่ม วัดผลการทดลอง 1 ครั้ง หลังการจัดการเรียนรู้
59 ตาราง แบบแผนการทดลองใช้รูปแบบ One-Shot Case Study Experimental group X M2 X หมายถึง การจัดการเรียนรู้ด้วยบันได 5 ขั้น QSCCS เรื่อง ปัจจัยที่มีผลต่อสมดุลและสมดุล เคมีในสิ่งมีชีวิต สิ่งแวดล้อมและอุตสาหกรรม M2 หมายถึง การวัดและประเมินผลหลังการจัดการเรียนรู้ 3.3 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 3.3.1 แผนการจัดการเรียนรู้แบบบันได 5 ขั้น QSCCS เรื่อง ปัจจัยที่มีผลต่อสมดุลและสมดุล เคมีในสิ่งมีชีวิต สิ่งแวดล้อมและอุตสาหกรรมของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 จํานวน 3 แผนการ เรียนรู้ รวม 9 ชั่วโมง 3.3.2 แบบวัดความสามารถในการคิดวิเคราะห์โดยใช้ตามกรอบแนวคิดของ Marzano ได้แก่ การจัดหมวดหมู่ การวิเคราะห์ข้อผิดพลาด การสรุปเป็นหลักเกณฑ์ทั่วไปและการสรุปเป็นหลักเกณฑ์ เฉพาะ โดยใช้แบบทดสอบปรนัย 4 ตัวเลือก 20 ข้อ 3.4 การสร้างและหาคุณภาพเครื่องมือ ผู้วิจัยได้ดำเนินการสร้างเครื่องมือเพื่อการเก็บรวบรวมข้อมูลดังนี้ 1. สร้างแผนการจัดการเรียนรู้โดยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยบันได 5 ขั้น QSCCS เรื่อง ปัจจัยที่มี ผลต่อสมดุลและสมดุลเคมีในสิ่งมีชีวิต สิ่งแวดล้อมและอุตสาหกรรม 1.1 ศึกษาหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551และ หลักสูตรกลุ่ม สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับ ปรับปรุง 2560) 1.2 วิเคราะห์เนื้อหาและจุดประสงค์การเรียนรู้วิทยาศาสตร์ (เคมีเพิ่มเติม) จากหลักสูตร สถานศึกษากลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนอุดรพิยานุกูล จังหวัด อุดรธานีโดยกำหนดเนื้อหาเรื่อง ปัจจัยที่มีผลต่อสมดุลและสมดุลเคมีในสิ่งมีชีวิต สิ่งแวดล้อมและ อุตสาหกรรม ใช้เวลาทั้งสิ้น 9 ชั่วโมง
60 ตาราง แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง ปัจจัยที่มีผลต่อสมดุลและสมดุลเคมีในสิ่งมีชีวิต สิ่งแวดล้อมและ อุตสาหกรรม โดยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ QSCCS แผนการจัดการ เรียนรู้ที่ เรื่อง เวลาที่ใช้ (ชั่วโมง) 1 ปัจจัยที่มีผลต่อสมดุล (ความเข้มข้น) 3 2 ปัจจัยที่มีผลต่อสมดุล (อุณหภูมิและความดัน) 3 3 สมดุลเคมีในสิ่งมีชีวิต สิ่งแวดล้อม และอุตสาหกรรม 3 รวม 9 1.3 ศึกษาวิธีการสร้างแผนการจัดการเรียนรู้โดยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ QSCCS จาก เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องและนำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์และกำหนดขั้นตอนการจัดกิจกรรมการ เรียนการสอน 1.4 ดำเนินการเขียนแผนการจัดการเรียนรู้เคมีเพิ่มเติม โดยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ QSCCS สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โดยให้ครอบคลุมจุดประสงค์การเรียนรู้และเนื้อหาที่ใช้ จำนวน 3 แผน เวลา 9 ชั่วโมง 1.5 นําแผนการจัดการเรียนรู้ที่สร้างขึ้นเสนอผู้เชี่ยวชาญเพื่อตรวจสอบความถูกต้อง ความ เหมาะสม ความสอดคล้องและความเป็นไปได้ระหว่างจุดประสงค์การเรียนรู้ เนื้อหา กิจกรรมการ จัดการเรียนรู้ การวัดผลและประเมินผล เพื่อพิจารณาให้ข้อเสนอแนะ 1.6 นําแผนการจัดการเรียนรู้ที่ปรับปรุงแก้ไขตามข้อเสนอแนะอาจารย์ที่ปรึกษา เสนอ ผู้เชี่ยวชาญจํานวน 3 ท่าน เพื่อตรวจสอบความถูกต้อง ความเหมาะสม ความสอดคล้องของ จุดประสงค์การเรียนรู้ เนื้อหาสาระ กระบวนการจัดการเรียนรู้ การวัดผลแลประเมินผลโดยให้ ผู้เชี่ยวชาญพิจารณาและให้คะแนนตามเกณฑ์การให้คะแนนแบบมาตราส่วนลิเคิร์ท (Likert, 1967) 1.7 หากมีข้อบกข้อง นำแผนการจัดการเรียนรู้มาปรับปรุงแล้วจัดพิมพ์เป็นฉบับสมบูรณ์และ นำไปใช้เป็นเครื่องมือในการวิจัยเพื่อเก็บรวบรวมข้อมูลกับกลุ่มเป้าหมายต่อไป 2. สร้างแบบวัดความสามารถในการคิดวิเคราะห์โดยใช้แบบประเมินแบบมาตราส่วนประมาณค่าของ ลิเคิร์ท (Likert rating scale) 2.1 ศึกษางานวิจัยที่เกี่ยวข้อง เช่น เอกสาร ตำรา บทความ ทางวิชาการ และผลงานวิจัยที่ เกี่ยวข้องกับการสร้างแบบประเมินแบบมาตราส่วนประมาณค่าของลิเคิร์ท 2.2 ดำเนินการวิเคราะห์การสร้างแบบประเมินแบบมาตราส่วนประมาณค่า
61 2.3 กำหนดรายการประเมินโดยรายการประเมินลอดคล้องกับวัตถุประสงค์การจัดการเรียนรู้ และทักษะที่ต้องการให้เกิด 2.4 นำแบบวัดความสามารถในการคิดวิเคราะห์เสนอต่อที่ปรึกษาเพื่อตรวจพิจารณาแล้ว ดำเนินการเเก้ไขตามคำแนะนำ 2.5 นำแบบวัดความสามารถในการคิดวิเคราะห์เสนอผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 3 ท่าน ประเมิน ความสอดคล้องระหว่างแบบทดสอบและจุดประสงค์การเรียนรู้ด้านเนื้อหาการสอนวิทยาศาสตร์และ การวัดประเมินผล เพื่อพิจารณาตรวจสอบคุณภาพด้านความถูกต้อง ความเหมาะสม ความเที่ยงตรง เชิงเนื้อหาในลำดับต่อไป 2.6 นำผลการประเมินที่ได้มาวิเคราะห์เพื่อหาความเที่ยงตรงของแบบวัดความสามารถในการ คิดวิเคราะห์ในแต่ละข้อกับทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ที่ต้องการให้เกิดในเรื่อง ปัจจัยที่มีผล ต่อสมดุลและสมดุลเคมีในสิ่งมีชีวิต สิ่งแวดล้อมและอุตสาหกรรม โดยหาค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) ที่มีค่าดัชนีตั้งแต่ 0.50 ถึง 1.00 ซึ่งเป็นข้อสอบที่อยู่ในเกณฑ์ความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหาที่ใช้ได้ 2.7 ปรับปรุงแก้ไขตามข้อเสนอแนะของผู้เชี่ยวชาญก่อนน ำแบบทดสอบไปใช้กับ กลุ่มเป้าหมาย 2.8 จัดพิมพ์แบบทดสอบวัดความสามารถในการคิดวิเคราะห์ที่ผ่านการตรวจสอบคุณภาพ แล้ว เพื่อนำไปใช้เป็นเครื่องมือในการวิจัยสำหรับเก็บรวบรวมข้อมูลต่อไป 3.5 การเก็บรวบรวมข้อมูล การวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยเก็บรวบรวมข้อมูล ดังนี้ 1. ดําเนินการสอนตามแบบแผนการจัดการเรียนรู้QSCCS เรื่อง ปัจจัยที่มีผลต่อสมดุลและ สมดุลเคมีในสิ่งมีชีวิต สิ่งแวดล้อมและอุตสาหกรรม ตามแผนการจัดการเรียนรู้จํานวน 3 แผน ใช้เวลา ในการสอน แผนละ 3 ชั่วโมง รวม 9 ชั่วโมง ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 3. หลังจากดําเนินการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนแล้ว จากนั้นผู้วิจัยทําการประเมินด้วย แบบวัดความสามารถในการคิดวิเคราะห์กับห้องที่จัดการเรียนรู้ด้วย QSCCS 3.6 การวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยดำเนินการวิเคราะห์ข้อมูลของแบบวัดความสามารถในการคิดวิเคราะห์ 3.6.1 วิเคราะห์ข้อมูลจากแบบวัดความสามารถในการคิดวิเคราะห์โดยการหาค่าเฉลี่ยของ คะแนน ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ความแปรปรวน
62 3.6.2 นำคะแนนนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ที่เรียนด้วยกระบวนการจัดการเรียนรู้แบบ QSCCS โดยนําคะแนนที่ได้จากแบบวัดความสามารถในการคิดวิเคราะห์มาหาค่าเฉลี่ย (x̅) ส่วน เบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และความแปรปรวน 3.7 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล 3.7.1 สถิติที่ใช้ในการหาคุณภาพของเครื่องมือ 1. หาความสอดคล้องของแบบความสามารถในการคิดวิเคราะห์จากการหาค่าเฉลี่ยจากการ ประเมินของผู้เชี่ยวชาญ คำนวณโดยใช้สูตรดัชนีความสอดคล้อง IOC (Index of Item Congruence) 3.7.2 สถิติพื้นฐาน 1. ค่าเฉลี่ย (Arithmetic Mean) ของคะแนน 2. ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) โดยคำนวณจากสูตรต่อไปนี้ 3. ความแปรปรวน (Variance)
63 บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความสามารถในการคิด วิเคราะห์ของนักเรียนหลังได้รับการเรียนรู้แบบบันได 5 ข ั้น ผู้วิจัยได้เก็บรวบรวมข้อมูลของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนอุดรพิทยานุกูล ตำบลหมากแข้ง อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานีที่เป็นกลุ่ม ตัวอย่างจำนวน 48 คน ซึ่งผู้วิจัยได้ดำเนินการทดลองตามขั้นตอนด้วยตนเอง เพื่อเป็นการตอบ วัตถุประสงค์ในการวิจัยผู้วิจัยจึงขอเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล โดยแบ่งได้3 ตอน ดังนี้ ตอนที่ 1 การวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อประเมินผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความสามารถในการคิด วิเคราะห์ของนักเรียนหลังการจัดการเรียนรู้แบบบันได 5 ขั้น QSCCS ตอนที่ 2 การวิเคราะห์ผลการประเมินค่า IOC แบบทดสอบวัดความสามารถในการคิด วิเคราะห์ ตอนที่ 1 การวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อประเมินความสามารถในการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนหลังการ จัดการเรียนรู้แบบบันได 5 ขั้น QSCCS การวิเคราะห์ข้อมูลของคะแนนการทดสอบความสามารถในการวิเคราะห์ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 5/10 เพื่อศึกษาความสามารถในการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนหลังได้รับการจัดการ เรียนรู้แบบบันได 5 ข ั้ น QSCCS มีรายละเอียดดังตาราง ตาราง การวิเคราะห์ข้อมูลคะแนนของนักเรียนกลุ่มตัวอย่างหลังการจัดการเรียนรู้แบบบันได 5 ขั้น QSCCS ทักษะการคิด วิเคราะห์ คะแนนเต็ม S.D. S X̅ คิดเป็น ร้อยละ ห ลั ง จั ด ก า ร เรียนรู้ด้วยบันได 5 ขั้น QSCCS 10 1.639 2.687 3.848 38.48
64 เกณฑ์การกำหนดระดับความสามารถในการคิดวิเคราะห์ ระดับความสามารถ ช่วงคะแนน ช่วงคะแนนร้อยละ ดีเยี่ยม 8.0 – 10 80 – 100 ดีมาก 7.5 – 7.9 75 – 79 ดี 7.0 – 7.4 70 – 74 ค่อนข้างดี 6.5 – 6.9 65 – 69 ปานกลาง 6.0 – 6.4 60 – 64 พอใช้ 5.5 – 5.9 55 – 59 ผ่าน 5.0 – 5.4 50 – 54 ควรปรับปรุง 0 – 4.9 0 – 49 จากตาราง พบว่า การทดสอบหลังการจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีการจัดการเรียนรู้แบบบันได 5 ขั้น QSCCS ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/10 มีคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 3.848 คะแนน คิดเป็น ร้อยละ 38.48 และเมื่อกับเกณฑ์พบว่า คะแนนจากการทดสอบของนักเรียนหลังการจัดการเรียนรู้ ด้วยวิธีการจัดการเรียนรู้แบบบันได 5 ขั้น ต่ำกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้โดยคะแนนของนักเรียนแต่ละคน ถูกนำมาแสดงในตาราง ดังนี้ ตาราง แสดงผลการทดสอบแบบวัดความสามารถในการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/10 ลำดับ ที่ คะแนน คิดเป็นร้อยละ เกณฑ์การประเมิน ความสามารถในการคิด วิเคราะห์ 1 2.5 25 ควรปรับปรุง 2 5 5 ผ่าน 3 5.5 55 ผ่าน 4 3.5 35 ควรปรับปรุง 5 1.5 15 ควรปรับปรุง 6 1.5 15 ควรปรับปรุง 7 4 40 ควรปรับปรุง 8 4 40 ควรปรับปรุง 9 3.5 35 ควรปรับปรุง
65 10 1 10 ควรปรับปรุง 11 5 50 ผ่าน 12 5.5 55 พอใช้ 13 3.5 35 ควรปรับปรุง 14 - - - 15 5 50 ผ่าน 16 4 40 ควรปรับปรุง 17 7 70 ดี 18 3.5 35 ควรปรับปรุง 19 2.5 25 ควรปรับปรุง 20 1.5 15 ควรปรับปรุง 21 3 30 ควรปรับปรุง 22 6 60 ปานกลาง 23 2.5 25 ควรปรับปรุง 24 6 60 ปานกลาง 25 5.5 55 พอใช้ 26 5 50 ผ่าน 27 5.5 55 พอใช้ 28 2 20 ควรปรับปรุง 29 3 30 ควรปรับปรุง 30 4.5 45 ควรปรับปรุง 31 5 50 ผ่าน 32 1 10 ควรปรับปรุง 33 4.5 45 ควรปรับปรุง 34 4.5 45 ควรปรับปรุง 35 2.5 25 ควรปรับปรุง 36 4 40 ควรปรับปรุง 37 5.5 55 พอใช้ 38 1.5 15 ควรปรับปรุง 39 1.5 15 ควรปรับปรุง 40 4 40 ควรปรับปรุง
66 41 3 30 ควรปรับปรุง 42 6 60 ปานกลาง 43 3.5 35 ควรปรับปรุง 44 6.5 65 ค่อนข้างดี 45 2 20 ควรปรับปรุง 46 - - - 47 6.5 65 ค่อนข้างดี 48 3 30 ควรปรับปรุง คะแนน เฉลี่ย 3.848 38.48 ควรปรับปรุง
67 ตอนที่ 2 การวิเคราะห์ผลการประเมินค่า IOC แบบทดสอบวัดความสามารถในการคิดวิเคราะห์ ข้อที่ ความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญ ∑R ค่าความ สอดคล้อง IOC แปล คนที่ 1 คนที่ 2 คนที่ 3 ความหมาย 1 +1 +1 +1 3 1 สอดคล้อง 2 +1 +1 +1 3 1 สอดคล้อง 3 +1 +1 +1 3 1 สอดคล้อง 4 +1 +1 +1 3 1 สอดคล้อง 5 +1 +1 +1 3 1 สอดคล้อง 6 +1 +1 +1 3 1 สอดคล้อง 7 +1 +1 +1 3 1 สอดคล้อง 8 +1 +1 +1 3 1 สอดคล้อง 9 +1 +1 +1 3 1 สอดคล้อง 10 +1 +1 +1 3 1 สอดคล้อง 11 +1 +1 +1 3 1 สอดคล้อง 12 +1 +1 +1 3 1 สอดคล้อง 13 +1 +1 +1 3 1 สอดคล้อง 14 +1 +1 +1 3 1 สอดคล้อง 15 +1 +1 +1 3 1 สอดคล้อง 16 +1 +1 +1 3 1 สอดคล้อง 17 +1 +1 +1 3 1 สอดคล้อง 18 +1 +1 +1 3 1 สอดคล้อง 19 +1 +1 +1 3 1 สอดคล้อง 20 +1 +1 +1 3 1 สอดคล้อง จากตารางการวิเคราะห์ผลการประเมินค่า IOC ของแบบทดสอบวัดความสามารถในการคิด วิเคราะห์จากผู้เชี่ยวชาญทั้ง 3 ท่านสรุปได้ว่า แบบทดสอบมีความสอดคล้องกับจุดประสงค์ในแต่ละ จุดประของแผนการจัดการเรียนรู้ทั้ง 3 แผน จึงสามารถนำไปใช้ทดสอบกับกลุ่มตัวอย่างได้
68 บทที่ 5 สรุป อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ การจัดการเรียนรู้แบบบันได 5 ขั้น เรื่อง ปัจจัยที่มีผลต่อสมดุลและสมดุลเคมีในสิ่งมีชีวิต สิ่งแวดล้อมและอุตสาหกรรมของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 เพื่อศึกษาความสามารถในการคิด วิเคราะห์ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ได้เสนอการสรุปผลการวิจัย อภิปรายผลและ ข้อเสนอแนะตามขั้นตอนดังต่อไปนี้ 1. สรุป 2. อภิปรายผล 3. ข้อเสนอแนะ สรุปผลการวิจัย ผลการวิจัยเรื่องการศึกษาความสามารถในการคิดวิเคราะห์โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบ บันได 5 ข ั้ น QSCCS รายวิชาเคมีเพิ่มเติมของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/10 พบว่า ความสามารถในการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนหลังได้รับการจัดการเรียนรู้แบบบันได 5 ขั้น QSCCS พบว่า นักเรียนมีความสามารถในการคิดวิเคราะห์อยู่ในระดับต่ำกว่าเกณฑ์ที่ได้กำหนดไว้โดย ค่าเฉลี่ยของคะแนนการวัดทักษะการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนอยู่ในระดับควรปรับปรุง โดยมีคะแนน เฉลี่ย (̅) เท่ากับ 3.848 ซึ่งเกณฑ์การประเมินที่ผู้วิจัยกำหนดไว้หลังจัดการเรียนรู้คือ ระดับดี เทียบเท่ากับคะแนนในช่วง 7.0 - 7.4 คะแนน จากการศึกษาผลของการจัดการเรียนรู้แบบ QSCCS ต่อความสามารถในการคิดวิเคราะห์ เรื่อง ปัจจัยที่มีผลต่อสมดุลและสมดุลเคมีในสิ่งมีชีวิต สิ่งแวดล้อมและอุตสาหกรรม ทำให้รู้ว่าการ กระตุ้นโดยใช้กิจกรรมและคำถามไม่สามารถดึงดูดหรือทำให้นักเรียนทุกคนในห้องสนใจได้ อภิปรายผล จากสมมติฐานที่ผู้วิจัยได้ตั้งไว้ว่า “หลังจัดการเรียนรู้แบบบันได 5 ขั้น QSCCS นักเรียนมี ความสามารถในการคิดวิเคราะห์อยู่ในระดับดี” ผลการวิจัยพบว่า ผลการทดสอบความสามารถในการ คิดวิเคราะห์ของนักเรียนอยู่ในระดับต่ำกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ โดยคะแนนเฉลี่ยของนักเรียนเท่ากับ 3.848 ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 38.48 ซึ่งเมื่อนำไปเทียบกับเกณฑ์ที่ตั้งไว้ ระดับความสามารถในการคิด วิเคราะห์เมื่อเทียบกับเกณฑ์อยู่ในระดับควรปรับปรุง
69 ทั้งนี้เป็นเพราะปัจจัยบางประการ อาทิ ความชอบในรายวิชาของนักเรียนแต่ละคนไม่ เหมือนกัน พื้นฐานความรู้ในรายวิชาเคมี หรือแม้กระทั้งอคติส่วนตัว ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนทำให้นักเรียน เกิดความสนใจในการเรียนของรายวิชานี้แตกต่างออกไปทั้งในแง่บวกและแง่ลบความสนใจในรายวิชา เคมีของนักเรียนแต่ละคนไม่เหมือนกันอีกทั้งพื้นฐานความรู้ในวิชาเคมีที่นักเรียนมีก็มีผลต่อความสนใจ ด้วยเช่นกัน ข้อเสนอแนะ การวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยมีข้อเสนอแนะที่เห็นว่าจะเป็นประโยชน์ต่อการจัดการเรียนรู้และ การศึกษา ดังต่อไปนี้ 1. ข้อเสนอแนะทั่วไป 1.1 ด้านครู ครูจำเป็นที่จะต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับการจัดการเรียนรู้แบบบันได 5 ข ั้นก่อน จะออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ ครูจึงต้องคอยเป็นผู้แนะแนวทางโดยใช้คำถามหรือแสดงความคิดเห็น ร่วมกับนักเรียนบ่อยครั้ง 1.2 ด้านรูปแบบการจัดการเรียนรู้ กิจกรรมการเรียนรู้แบบบันได 5 ขั้น เป็นกิจกรรมที่เป็น อิสระด้านความคิด ครูควรจะออกแบบกิจกรรมโดยเริ่มจากการตั้งคำถามง่าย ๆ ให้นักเรียนทุกคนได้ ร่วมกิจกรรมเพื่อให้เกิดความอยากรู้และความกล้าในการแสดงความคิดเห็น จากนั้นเปิดโอกาสให้ นักเรียนมีเวลาในการปฏิสัมพันธ์กับกลุ่มเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็น โดยครูต้องออกแบบกิจกรรมที่ เป็นคำถามหรือสิ่งที่เกี่ยวข้องในบทเรียนมาเป็นประเด็นศึกษา 1.3 ด้านผู้เรียน ครูควรต้องมีการวิเคราะห์นักเรียนรายบุคคลเพื่อเลือกเนื้อหาและออกแบบ กิจกรรมที่เหมาะสมกับความสามารถของนักเรียนและง่ายต่อการเข้าใจ 2. ข้อเสนอแนะเพื่อการศึกษาวิจัยต่อไป 2.1 จากผลการวิจัยกระบวนการสอนโดยใช้การเรียนรู้แบบบันได 5 ข ั้น สามารถพัฒนา ความสามารถในด้านการคิดวิเคราะห์ในบางเนื้อหาของวิชาวิทยาศาสตร์ได้ดีแต่ในบางเนื้อหาอาจไม่ เหมาะสม 2.2 ควรมีการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับการพัฒนาความสามารถในการคิดวิเคราะห์เพื่อจะได้ อ อ ก แ บ บ เค รื่ อ ง มื อ วั ด แ ล ะ ป ร ะ เมิ น ผ ล ที่ เห ม า ะ ส ม แ ล ะ ต ร ง กั บ เป้ า ห ม า ย
70 บรรณานุกรม วรัญญา ม่วงวัดท่า. (2562). การวิจัยปฏิบัติการเพื่อพัฒนาการจัดการเรียนรู้ด้วยรูปแบบบันได 5 ขั้น (QSCCS) เรื่อง สถิติ ที่ส่งเสริมทักษะการให้เหตุผลเชิงสถิติของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1. การค้นคว้าอิสระ ปริญญาการศึกษามหาบัณฑิต สาขาคณิตศาสตร์ศึกษา มหาวิทยาลัยนเรศวร. กระทรวงศึกษาธิการ. (2560). หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับ ปรับปรุง 2560). กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์คุรุสภา. พิชญะ กันธิยะ,วีระศักดิ์ ชมภูคำ และสกล แก้วศิริ. (2559). การพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ โดย ใช้การจัดการเรียนรู้แบบบันได 5 ขั้น วิชาวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ตอนต้น. วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่. นางอรวรรณ กองพิลา. (2561). การศึกษาผลการพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้ด้วยกระบวนการ QSCCS โดยใช้สื่อสังคมออนไลน์เพื่อพัฒนาทักษะการแก้ปัญหาของนักเรียนระดับชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 5. ครูชำนาญการพิเศษ สาขาวิชาสังคมศึกษา โรงเรียนนครขอนแก่น อำเภอ เมือง จังหวัด ขอนแก่น. ศาสดา ทักษิณ, รัชกร ประสีระเตสัง. (2564). การพัฒนาการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบบันได 5 ขั้น ร่วมกับชุดกิจกรรมการเรียนรู้ที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หน่วยการเรียนรู้ พลเมืองดีตามวิถีประชาธิปไตย และการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 5. งานวิจัยปริญญามหาบัณฑิต สาขาหลักสูตรและการสอน มหาวิทยาลัย ราชภัฏชัยภูมิ. วาสนา กีรติจําเริญ, และเจษฎา กิตติสุนทร. (2559). ศึกษาการศึกษาทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ของนักศึกษารายวิชาการออกแบบและการจัดการเรียนรู้จากการจัดการเรียนรู้ตาม รูปแบบ Big Five Learningหรือการจัดการเรียนรู้ด้วย รูปแบบบันได 5 ขั้น QSCCS เป็น การวิจัยกึ่งทดลอง. มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา. นางสาวพิชญา สิทธิชัย. (2563). การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การสืบพันธุ์ของพืชดอก โดยใช้กระบวนการเรียนรู้5 ขั้นตอน (QSCCS) ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนพระปฐมวิทยาลัย. ครูกลุ่มสาระวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โรงเรียนโรงเรียนพระ ปฐมวิทยาลัย.
71 นายธัชวุฒิ กงประโคน. (2561). การจัดการเรียนการสอน Active learning โดยใช้กระบวนการ บันได 5 ขั้น (QSCCS) ของการพัฒนาผู้เรียนสู่มาตรฐานสากล. โรงเรียนอนุบาลชัยภูมิ อำเภอเมือง จังหวัดชัยภูมิ. วิมล มานพ. (2562). การพัฒนากิจกรรมการสอนคณิตศาสตร์ เรื่อง การบวกและการลบจำนวนที่มี ผลลัพธ์และตัวตั้งไม่เกิน 20 สำหรับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 โดยใช้รูปแบบ QSCCS. การศึกษาหลักสูตรปริญญาการศึกษามหาบัณฑิต สาขาวิชาหลักสูตรและการสอน มหาวิทยาลัยพะเยา. รศ.ดร.สมชาย วรกิจเกษมสกุล. ระเบียบวิจัยทางพฤติกรรมศาสตร์และสังคมศาสตร์. พิมพ์ครั้งที่ 5 2555. คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี. รศ.ดร.สมชาย วรกิจเกษมสกุล. กาวัดและการประเมินผลทางการศึกษา. พิมพ์ครั้งที่ 7 2559. คณะ ครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี. ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.กิตติยา วงษ์ขันธ์. การออกแบบการวิจัยรูปแบบการวิจัยเชิงปริมาณ การ กำหนดตัวอย่างและการวิเคราะห์ข้อมูล โครงการฝึกอบรม “สร้างนักวิจัยรุ่นใหม่ (ลูกไก่)” รุ่นที่ 6 7 – 11 พฤษภาคม 2561. ภาควิชาเคมี คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัย อุบลราชธานี.
72 ภาคผนวก
73 ภาคผนวก ก แผนการจัดการเรียนรู้
74 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ใช้ในงานวิจัย 1 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รายวิชาเพิ่มเติม เคมี 3 ว 32223 ภาคเรียนที่ 2/2566 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 หน่วยการเรียนรู้ที่ 3 สมดุลเคมี เวลา 30 ชั่วโมง เรื่อง ปัจจัยที่มีผลต่อสมดุล (ความเข้มข้น) เวลา 3 ชั่วโมง ครูผู้สอน นายศุภลักษณ์ ผาบคีรี 1. สาระการเรียนรู้และผลการเรียนรู้ สาระที่ 5 สาระเคมี 2. เข้าใจการเขียนและการดุลสมการเคมี ปริมาณสัมพันธ์ในปฏิกิริยาเคมี อัตราการ เกิดปฏิกิริยาเคมี สมดุลในปฏิกิริยาเคมี สมบัติและปฏิกิริยาของกรด-เบส ปฏิกิริยารีดอกซ์และเซลล์ เคมีไฟฟ้า รวมทั้งการนำความรู้ไปใช้ประโยชน์ ผลการเรียนรู้ 1. ระบุปัจจัยที่มีผลต่อภาวะสมดุลและค่าคงที่สมดุลของระบบ รวมทั้งคาดคะเนการ เปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น เมื่อภาวะสมดุลของระบบถูกรบกวนโดยใช้หลักของเลอชาเตอลิเอ 2. สาระสำคัญ เมื่อระบบที่อยู่ในภาวะสมดุลถูกรบกวน โดยการเปลี่ยนแปลงความเข้มข้นของสาร ความดัน หรืออุณหภูมิระบบจะเกิดการเปลี่ยนแปลงเพื่อเข้าสู่ภาวะสมดุลอีกครั้งตามหลักของเลอชาเตอลิเอ ทั้งนี้การเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิมีผลทำให้ค่าคงที่สมดุลเปลี่ยนแปลง 3. จุดประสงค์การเรียนรู้ 3.1 ด้านความรู้ (K) 1. อธิบายผลของความเข้มข้นที่มีต่อภาวะสมดุลของระบบได้ 3.2 ด้านทักษะ/กระบวนการคิด (P) 1. ทดลองเรื่อง ผลของความเข้มข้นของสารต่อสมดุลได้ 3.3 ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ (A) 1. มีความรับผิดชอบต่องานที่ได้รับมอบหมายและสามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ 4. สาระการเรียนรู้ 4.1 ปัจจัยที่มีผลต่อสมดุล
75 5. สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน 5.1 ความสามารถในการสื่อสาร 5.2 ความสามารถในการคิดวิเคราะห์ 5.3 ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี 6. คุณลักษณะอันพึงประสงค์ 6.1 มีวินัย 6.2 ใฝ่เรียนรู้ 6.3 มุ่งมั่นในการทำงาน 7. กิจกรรมการเรียนรู้ ใช้วิธีการสอนแบบ บันได 5 ขั้น QSCCS 7.1 ขั้นสร้างประเด็นคำถาม : Learning to Question 1. “สมดุลของปฏิกิริยาอาจถูกรบกวนได้ด้วยปัจจัยบางประการ ซึ่งมีผลทำให้ความเข้มข้น ของสารตั้งต้นและผลิตภัณฑ์ที่สมดุลเปลี่ยนแปลงไป” “นักเรียนคิดว่ามีปัจจัยใดบ้างที่สามารถรบกวน สมดุลของปฏิกิริยาได้และการเปลี่ยนความเข้มข้นของสารมีผลต่อสมดุลหรือไม่ อย่างไร” 7.2 ขั้นการสืบค้นความรู้จากแหล่งเรียนรู้และสารสนเทศ : Learning to Search 1. นักเรียนแบ่งกลุ่ม กลุ่มละ 3 - 4 คน เพื่อทำการทดลองเรื่อง “ผลของความเข้มข้นของสาร ต่อสมดุล” 2. นักเรียนศึกษาเกี่ยวกับปฏิกิริยาเคมีระหว่างสารละลายกรดกับสารในกลุ่มแอนโทไซยานิน ในดอกอัญชันและการแตกตัวของกรดไฮโดรคลอริกเมื่อละลายน้ำ รวมทั้งปฏิกิริยาเคมีระหว่างไฮโดร เนียมไอออนกับไฮดรอกไซด์ไอออน 3. ครูจัดกระบวนการเรียนรู้โดยกำหนดให้สมาชิกแต่ละคนภายในกลุ่มมีบทบาทหน้าที่ของ ตนเอง ดังนี้ - สมาชิกคนที่ 1 : ทำหน้าที่เตรียมวัสดุ-อุปกรณ์ที่ใช้ในการทดลองเรื่อง ผลของความเข้มข้น ของสารต่อสมดุล - สมาชิกคนที่ 2 : ทำหน้าที่อ่านวิธีการทดลอง ทำความเข้าใจ และอธิบาย - สมาชิกคนที่ 3 : ทำหน้าที่บันทึกผลการทดลอง - สมาชิกทุกคน : ทำหน้าที่นำเสนอผลการทดลอง
76 4. นักเรียนแต่ละกลุ่มส่งสมาชิกคนที่ 1 รับอุปกรณ์การทดลอง กลุ่มละ 1 ชุด ประกอบด้วย - สารละลายกรดไฮโดรคลอริก (HCl) 0.02 mol/dm3 - สารละลายโซเดียมไฮดรอกไซด์ (NaOH) 0.02 mol/dm3 - น้ำดอกอัญชัน (นักเรียนนำดอกอัญชันมาเองหรือครูอาจเตรียมมา) - น้ำกลั่น - กระบอกตวง ขนาด 10 ml - หลอดทดลองขนาดเล็ก - หลอดหยด - ใบรายงานผลการทดลอง 5. นักเรียนทุกกลุ่มลงมือปฏิบัติการทดลองตามขั้นตอนการทดลองในหนังสือหน้า 129 เรื่อง ผลของความเข้มข้นของสารต่อสมดุลหรือตามสื่อในสไลด์ 7.3 ขั้นการสร้างองค์ความรู้: Learning to Construct 1. นักเรียนภายในกลุ่มร่วมกันวิเคราะห์ผลที่ได้จากการทดลองเพื่อนำไปสู้การสรุปผลการ ทดลอง เช่น - สารละลายในหลอดที่ 1 ประกอบด้วยน้ำอัญชัน HCl และน้ำ ได้สารละลายสีม่วงน้ำเงิน แสดงว่าในสารละลายมีแอนโทไซยานินในรูปของ A (สีน้ำเงิน) อยู่ในสมดุลกับ AH+ (สีแดง) เมื่อเทียบ กับหลอดที่ 1 การเติม HCl ลงในหลอดที่ 2 เป็นการเพิ่ม H3O + ซึ่งทำให้ได้สารละลายสีม่วงแดง แสดง ว่า H3O + ทำให้ความเข้มข้นของ AH+ เพิ่มขึ้นและความเข้มข้นของ A ลดลง ในทำนองเดียวกัน การ เติม NaOH ลงในหลอดที่ 3 เป็นการลด H3O + (โดยทำปฏิกิริยากับOH- ที่เติมลงไป) ซึ่งทำให้ได้ สารละลายสีน้ำเงิน แสดงว่าความเข้มข้นของ A เพิ่มขึ้น และความเข้มข้นของ AH+ ลดลง ดังนั้นการ เพิ่มหรือลด H3O + ทำให้ความเข้มข้นของ A และ AH+ เปลี่ยนแปลงไป 7.4 ขั้นการสื่อสารและการนำเสนอ : Learning to Communicate 1. สุ่มนักเรียนมา 3-4 กลุ่ม นำเสนอผลการทดลองเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในผลการ ทดลองและข้อสรุปผลของกลุ่มตนเอง เช่น “การรบกวนสมดุลโดยการเปลี่ยนแปลงความเข้มข้นของ สารใดสารหนึ่งในปฏิกิริยา ทำให้ปฏิกิริยาปรับตัวเข้าสู่สมดุลใหม่ซึ่งสังเกตได้จากสีของสารละลายไม่ เปลี่ยนแปลงอีกเมื่อเวลาผ่านไป” รวมทั้งหาคำตอบข้อสงสัยที่ว่า - ทำไมการเติม HCl , NaOH จึงทำให้สีของสารละลายเปลี่ยนแปลงไป ?
77 2. นักเรียนและครูร่วมกันอภิปรายลงข้อสรุปเกี่ยวกับการทำกิจกรรม พร้อมทั้งครูอธิบาย เพิ่มเติมในส่วนที่นักเรียนอาจเข้าใจคลาดเคลื่อน ยังไม่ครอบคลุมเนื้อหา จนได้ข้อสรุปดังนี้ “การ เปลี่ยนแปลงความเข้มข้นมีผลต่อสมดุลของระบบ โดยเมื่อเพิ่มความเข้มข้นของสารตั้งต้นจะ เกิดปฏิกิริยาไปข้างหน้าเพิ่มขึ้น แล้วเข้าสู่สมดุลใหม่ ในทางตรงข้ามเมื่อลดความเข้มข้นของสารตั้งต้น จะเกิดปฏิกิริยาย้อนกลับเพิ่มขึ้นแล้วเข้าสู่สมดุลใหม่” 3. ความรู้เพิ่มเติมจากครูว่า “แอนโทไซยานินเมื่อละลายน้ำจะอยู่ในสมดุล เมื่อมีการรบกวน ระบบโดยการเติมสารละลายกรดหรือเบส สีของแอนโทไซยานินจะเปลี่ยนไป ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับชนิดของ แอนโทไซยานินในพืชต่าง ๆ ซึ่งในการทดลองนี้ศึกษาสมดุลของแอนโทไซยานินจากดอกอัญชันที่อยู่ใน รูปสีแดงและสีน้ำเงิน แต่ยังมีสมดุลของแอนโทไซยานินในรูปที่มีสีอื่นอีก ขึ้นอยู่กับ pH ของสารละลาย ดังรูป 7.5 ขั้นการนำไปประยุกต์ใช้: Learning to Serve 1. นักเรียนศึกษาการเปลี่ยนแปลงความเข้มข้นของสารตั้งต้น ซึ่งทำให้สมดุลปรับเข้าสู่สมดุล ใหม่โดยใช้ตัวอย่างสมดุลของปฏิกิริยาเคมีระหว่างไอร์ออน(III)ไอออน (Fe3+) และไทโอไซยาเนต ไอออน (SCN- ) จนกระทั่งได้ข้อสรุป “เมื่อเพิ่ม [FeSCN]2+ ระบบจะปรับตัวเข้าสู่สมดุลใหม่ในทิศทาง ที่ทำให้ความเข้มข้นของ [FeSCN]2+ ลดลง โดยเกิดปฏิกิริยาย้อนกลับ ทำให้ความเข้มข้นของ Fe3+ และ SCNเพิ่มขึ้น แต่ถ้ามีการลด [FeSCN]2+ ระบบจะปรับตัวเข้าสู่สมดุลใหม่ในทิศทางที่ทำให้ความ เข้มข้นของ [FeSCN]2+ เพิ่มขึ้น โดยเกิดปฏิกิริยาไปข้างหน้า ทำให้ความเข้มข้นของ Fe3+ และ SCNลดลง” Fe3+ + SCN- ⇌ [FeSCN]2+
78 8. สื่อและแหล่งเรียนรู้ 8.1 PowerPoint เรื่อง สมดุลเคมี 8.2 หนังสือเรียนรายวิชาวิทยาศาสตร์เพิ่มเติมเคมี เล่ม 3 สสวท. (ตามหลักสูตรแกนกลาง การศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2551 ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) 9. การวัดประเมินผล จุดประสงค์ วิธีการวัด/เครื่องมือวัด เก ณ ฑ์ ก า ร ประเมิน 1. ด้านความรู้ (K) 1. นักเรียนอธิบายผลของความเข้มข้น ที่มีต่อภาวะสมดุลของระบบได้ -การตอบคำถาม ท้ายการทดลอง - ข้อคำถาม - ได้คะแน น ร้ อ ย ล ะ 70 ขึ้นไป 2. ด้านทักษะ/กระบวนการคิด (P) 1. นักเรียนทำการทดลองเรื่อง ผล ของความเข้มข้นของสารต่อสมดุลได้ -ก า ร ท ำ ก า ร ทดลอง - แบบสังเกต การทดลอง - ได้คะแน น ใน ร ะ ดั บ 3 (ดี) ขึ้นไป 3. ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ (A) 1. นักเรียนมีความรับผิดชอบต่องานที่ ได้รับมอบหมายและสามารถทำงาน ร่วมกับผู้อื่นได้ - การสังเกต - แบบประเมิน คุ ณ ลั ก ษ ณ ะ อันพึงประสงค์ - ได้คะแน น ใน ร ะ ดั บ 3 (ดี) ขึ้นไป
79 กิจกรรมที่ 9.4 การทดลองผลของความเข้มข้นของสารต่อสมดุลเคมี จุดประสงค์การทดลอง 1. ทำการทดลองเพื่อศึกษาผลของความเข้มข้นของสารต่อสมดุล 2. อธิบายการเปลี่ยนแปลงสมดุล เมื่อมีการเพิ่มหรือลดความเข้มข้นของสารตั้งต้นหรือผลิตภัณฑ์ วัสดุ อุปกรณ์ และสารเคมี 1. สารละลายกรดไฮโดรคลอริก HCl 0.02 mol/dm3 2. สารละลายโซเดียมไฮดรอกไซด์ NaOH 0.02 mol/dm3 3. น้ำดอกอัญชัน 4. น้ำกลั่น 5. กระบอกตวง 6. หลอดทดลองขนาดเล็ก 7. หลอดหยด วิธีทดลอง 1. ใส่น้ำดอกอัญชันลงในหลอดทดลองขนาดเล็ก 3 หลอด หลอดละ 1.0 ml 2. เติม HCl 0.02 mol/dm3 ลงในหลอดทดลองทั้ง 3 หลอดละ 5 หยด 3. เติมสารละลายดังต่อไปนี้ หลอดที่ 1 เติมน้ำกลั่น เขย่าให้เข้ากัน บันทึกผล หลอดที่ 2 เติม HCl 0.02 mol/dm3 5 หยด เขย่าให้เข้ากัน บันทึกผล หลอดที่ 3 เติม NaOH 0.02 mol/dm3 5 หยด เขย่าให้เข้ากัน บันทึกผล เปรียบเทียบสีของสารละลายหลอดที่ 2 3 เทียบกับหลอดที่ 1 4. สังเกตสีของสารละลายอีกครั้งเมื่อเวลาผ่านไป 1 นาที
80 รายงานผลการทดลองที่ 9.4 การทดลองผลของความเข้มข้นของสารต่อสมดุลเคมี ชื่อ-สกุล ................................................................................ ชั้น.................... เลขที่................... วันที่ทำการทดลอง............................................................................................................. ............ จุดประสงค์การทดลอง ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… วัสดุ อุปกรณ์ และสารเคมี ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… วิธีทดลอง ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………
81 ผลการทดลอง หลอดทดลองที่ สารที่เติม การเปลี่ยนแปลงที่สังเกตได้ ก่อนเติมสาร หลังเติมสาร หลังทิ้งไว้ 1 นาที 1 น้ำกลั่น 2 HCl 3 NaOH อภิปรายผลการทดลอง ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… สรุปผลการทดลอง ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………
82 คำถามท้ายการทดลอง 1. เมื่อเทียบกับหลอดที่ 1 การเติม HCl ลงในหลอดที่ 2 เป็นการเพิ่มความเข้มข้นของสารตั้งต้นใด และส่งผลต่อความเข้มข้นของสารอื่นในสารละลายอย่างไร ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… 2. เมื่อเทียบกับหลอดที่ 1 การเติม NaOH ลงในหลอดทดลองที่ 3 เป็นการลดความเข้มข้นของสารตั้ง ต้นใด และส่งผลต่อความเข้มข้นของสารอื่นในสารละลายอย่างไร ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… 3. เมื่อสมดุลของระบบถูกรบกวน โดยการเปลี่ยนแปลงความเข้มข้นของสารใดสารหนึ่ง ระบบจะเข้าสู่ สมดุลใหม่หรือไม่ ทราบได้อย่างไร ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………
83 แบบการประเมินความสามารถการคิดวิเคราะห์ของผู้เรียน ชื่อ..................................................นามสกุล.................................................ชั้น........... ....เลขที่............ คําชี้แจง : ให้ผู้สอนสังเกตพฤติกรรมของนักเรียน และขีด ✓ ลงในช่องที่ตรงกับคะแนน สมรรถนะด้าน รายการประเมิน ระดับคุณภาพ ดีเยี่ยม (3) ดี (2) ผ่าน (1) ไม่ผ่าน (0) ความสามารถ ในการคิด วิเคราะห์ 1. วิเคราะห์ข้อมูล จำแนกเรื่องราว ต่างๆ และแสดงการคิดเพื่อค้นหา คำตอบได้ 2. คิดอย่างมีระบบ โดยใช้ แหล่งข้อมูลและสรุปประเด็นสำคัญ ได้ 3. สามารถคิดอย่างมีวิจารณญาณ 4. มีความสามารถในการสร้างองค์ ความรู้ 5. ประเมินทางเลือกและนำข้อมูล ไปประยุกต์ใช้ประโยชน์ได้อย่าง เหมาะสม สรุปผลการประเมิน รวม .......... คะแนน ระดับ ............... เกณฑ์การให้คะแนนระดับคุณภาพ ดีเยี่ยม - พฤติกรรมที่ปฏิบัติชัดเจนและสม่ำเสมอ ให้ 3 คะแนน ดี - พฤติกรรมที่ปฏิบัติชัดเจนและบ่อยครั้ง ให้ 2 คะแนน ผ่าน - พฤติกรรมที่ปฏิบัติบางครั้ง ให้ 1 คะแนน ไม่ผ่าน - ไม่เคยปฏิบัติพฤติกรรม ให้ 0 คะแนน
84 เกณฑ์การสรุปผล ดีเยี่ยม - 11 - 15 คะแนน ดี- 6 - 10 คะแนน ไม่ผ่าน - 0 - 5 คะแนน การประเมินสมรรถนะสำคัญของผู้เรียน กำหนดเป็นผ่านและไม่ผ่านในการกำหนดเกณฑ์ การตัดสินเป็น ดีเยี่ยม ดี ผ่านและไม่ผ่าน ความหมายของแต่ละระดับ ดังนี้ ดีเยี่ยม หมายถึง ผู้เรียนปฏิบัติตนตามสมรรถนะจนเป็นนิสัย และนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน เพื่อ ประโยชน์สุขของตนเองและสังคม โดยพิจารณาจากผลการประเมินระดับดีเยี่ยมจำนวน 3-5 สมรรถนะ และไม่มีสมรรถนะใดได้ผลการประเมินต่ำกว่าระดับดี ดี หมายถึง ผู้เรียนมีสมรรถนะในการปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ เพื่อให้เป็นการยอมรับของสังคม โดย พิจารณาจาก 1) ได้ผลการประเมินระดับดีเยี่ยม จำนวน 1-2 สมรรถนะ และไม่มีสมรรถนะใดได้ผล การ ประเมินต่ำกว่าระดับดี หรือ 2) ได้ผลการประเมินระดับดีเยี่ยม จำนวน 2 สมรรถนะ และไม่มีสมรรถนะใดได้ผลการ ประเมิน ต่ำกว่าระดับผ่าน หรือ 3) ได้ผลการประเมินระดับดี จำนวน 4-5 สมรรถนะ และไม่มีสมรรถนะใดได้ผลการ ประเมินต่ำ กว่าระดับผ่าน ผ่าน หมายถึง ผู้เรียนรับรู้และปฏิบัติตามกฎเกณฑ์และเงื่อนไขที่สถานศึกษากำหนด โดย พิจารณาจาก 1) ได้ผลการประเมินระดับผ่าน จำนวน 4-5 สมรรถนะ และไม่มีสมรรถนะใดได้ผลการ ประเมินต่ำกว่าระดับพอใช้หรือ 2) ได้ผลการประเมินระดับดี จำนวน 2 สมรรถนะ และไม่มีสมรรถนะใดได้ผลการ ประเมินต่ำ กว่าระดับผ่าน ไม่ผ่าน หมายถึง ผู้เรียนรับรู้และปฏิบัติได้ไม่ครบตามเกณฑ์และเงื่อนไขที่กำหนด โดย พิจารณาจากผลการประเมินอยู่ในระดับไม่ผ่าน ตั้งแต่ 1 สมรรถนะ
85 การทดลองเรื่อง การทดลองผลของอุณหภูมิต่อสมดุลเคมี กลุ่มที่........................................ คำชี้แจง ให้กาเครื่องหมายถูก (√) ลงในช่องระดับคุณภาพ ที่ตรงกับระดับคุณภาพการปฏิบัติของ ผู้เรียนตามแบบบันทึกรายงานการปฏิบัติทักษะการทดลอง รายการที่ประเมิน ระดับคุณภาพ 4 3 2 1 1. เลือกใช้เครื่องมือและอุปกรณ์การทดลองได้อย่างถูกต้อง 2. ตรวจเช็คเครื่องมือและอุปกรณ์การทดลองก่อนการทดลอง 3. ใช้เครื่องมือและอุปกรณ์การทดลองได้อย่างถูกต้องตรงตาม ประเภทของงาน 4. ปฏิบัติตามขั้นตอนการทดลองได้อย่างถูกต้อง 5. ผลการทดลองมีความถูกต้องชัดเจน 6. ปฏิบัติการทดลองได้แล้วเสร็จภายในเวลาที่กำหนด 7. ทำความสะอาดเครื่องมือและอุปกรณ์การทดลองภายหลัง สิ้นสุดการทดลอง 8. มีการบันทึกผลการทดลองที่ถูกต้องและชัดเจน 9. สรุปและอภิปรายผลการทดลองได้อย่างถูกต้องและ เหมาะสม 10. มีการรายงานผลการทดลอง รวมคะแนน ลงชื่อ................................................ผู้ประเมิน (นายศุภลักษณ์ ผาบคีรี)
86 เกณฑ์การให้คะแนน ปฏิบัติการทดลองถูกต้อง ครบถ้วน = 4 คะแนน ปฏิบัติการทดลองยังมีข้อบกพร่องเล็กน้อย = 3 คะแนน ปฏิบัติการทดลองมีข้อบกพร่องเป็นส่วนใหญ่ = 2 คะแนน ปฏิบัติการทดลองมีข้อบกพร่องมาก = 1 คะแนน เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ ช่วง คะแนน ระดับ คุณภาพ 31 - 40 ดีมาก 21 - 30 ดี 11 - 20 พอใช้ 1 – 10 ปรับปรุง
87 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ใช้ในงานวิจัย 2 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รายวิชาเพิ่มเติม เคมี 3 ว 32223 ภาคเรียนที่ 2/2566 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 หน่วยการเรียนรู้ที่ 3 สมดุลเคมี เวลา 30 ชั่วโมง เรื่อง ปัจจัยที่มีผลต่อสมดุล (อุณหภูมิ) เวลา 3 ชั่วโมง ครูผู้สอน นายศุภลักษณ์ ผาบคีรี 1. สาระการเรียนรู้และผลการเรียนรู้ สาระที่ 5 สาระเคมี 2. เข้าใจการเขียนและการดุลสมการเคมี ปริมาณสัมพันธ์ในปฏิกิริยาเคมี อัตราการ เกิดปฏิกิริยาเคมี สมดุลในปฏิกิริยาเคมี สมบัติและปฏิกิริยาของกรด-เบส ปฏิกิริยารีดอกซ์และเซลล์ เคมีไฟฟ้า รวมทั้งการนำความรู้ไปใช้ประโยชน์ ผลการเรียนรู้ 1. ระบุปัจจัยที่มีผลต่อภาวะสมดุลและค่าคงที่สมดุลของระบบ รวมทั้งคาดคะเนการ เปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น เมื่อภาวะสมดุลของระบบถูกรบกวนโดยใช้หลักของเลอชาเตอลิเอ 2. สาระสำคัญ เมื่อระบบที่อยู่ในภาวะสมดุลถูกรบกวน โดยการเปลี่ยนแปลงความเข้มข้นของสาร ความดัน หรืออุณหภูมิระบบจะเกิดการเปลี่ยนแปลงเพื่อเข้าสู่ภาวะสมดุลอีกครั้งตามหลักของเลอชาเตอลิเอ ทั้งนี้การเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิมีผลทำให้ค่าคงที่สมดุลเปลี่ยนแปลง 3. จุดประสงค์การเรียนรู้ 3.1 ด้านความรู้ (K) 1. อธิบายผลของการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิที่มีต่อภาวะสมดุลและค่าคงที่สมดุลได้ 3.2 ด้านทักษะ/กระบวนการคิด (P) 1. ทำการทดลองเรื่อง ผลของการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิที่มีต่อภาวะสมดุล 3.3 ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ (A) 1. มีความรับผิดชอบต่องานที่ได้รับมอบหมายและสามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ 4. สาระการเรียนรู้ 4.1 ปัจจัยที่มีผลต่อสมดุล(อุณหภูมิ)
88 5. สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน 5.1 ความสามารถในการสื่อสาร 5.2 ความสามารถในการคิดวิเคราะห์ 5.3 ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี 6. คุณลักษณะอันพึงประสงค์ 6.1 มีวินัย 6.2 ใฝ่เรียนรู้ 6.3 มุ่งมั่นในการทำงาน 7. กิจกรรมการเรียนรู้ (2 ชั่วโมง) ใช้วิธีการสอนแบบ บันได 5 ขั้น QSCCS 7.1 ขั้นสร้างประเด็นคำถาม : Learning to Question 1. ทบทวนความรู้ความเข้าใจของนักเรียน เรื่อง ภาวะสมดุลของปฏิกิริยาเคมี และปัจจัยที่มี ผลต่อภาวะสมดุล เช่น การเปลี่ยนแปลงความเข้มข้น โดยใช้คำถามให้นักเรียนทั้งชั้นร่วมกันตอบ - นักเรียนเรียนคิดว่านอกจากการเปลี่ยนแปลงความเข้มข้นของสารที่มีผลต่อภาวะ สมดุลของระบบแล้ว มีปัจจัยใดอีกหรือไม่มีผลต่อภาวะสมดุล (แนวคำตอบ มี) - นักเรียนคิดว่าอุณหภูมิมีผลต่อภาวะสมดุลของระบบหรือไม่ (แนวคำตอบ มี) - นักเรียนคิดว่าการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิมีผลทำให้ค่าคงที่สมดุลเปลี่ยนไปหรือไม่ อย่างไร (แนวคำตอบ เปลี่ยนแปลงแต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับว่าเป็นปฏิกิริยาดูดหรือคายความร้อน) 7.2 ขั้นการสืบค้นความรู้จากแหล่งเรียนรู้และสารสนเทศ : Learning to Search 1. นักเรียนแบ่งกลุ่มๆละ 3 - 4 กลุ่ม เพื่อทำการทดลองเรื่อง “ผลของอุณหภูมิต่อภาวะ สมดุล” 2. นักเรียนศึกษาเกี่ยวกับปฏิกิริยาเคมีระหว่างสารละลาย NaCl กับสารละลาย CuSO4 อิ่มตัว - ปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นเป็นดังนี้
89 3. ครูจัดกระบวนการเรียนรู้โดยกำหนดให้สมาชิกแต่ละคนภายในกลุ่มมีบทบาทหน้าที่ของ ตนเอง ดังนี้ - สมาชิกคนที่ 1 : ทำหน้าที่เตรียมวัสดุ-อุปกรณ์ที่ใช้ในการทดลองเรื่อง ผลของความ เข้มข้นของสารต่อสมดุล - สมาชิกคนที่ 2 : ทำหน้าที่อ่านวิธีการทดลอง ทำความเข้าใจ และอธิบายให้สมาชิก ในกลุ่ม - สมาชิกคนที่ 3 : ทำหน้าที่บันทึกผลการทดลอง - สมาชิกทุกคน : ทำหน้าที่นำเสนอผลการทดลอง 4. นักเรียนแต่ละกลุ่มส่งสมาชิกคนที่ 1 รับอุปกรณ์การทดลอง กลุ่มละ 1 ชุด ประกอบด้วย - สารละลาย CuSO4 อิ่มตัว - สารละลาย NaCl อิ่มตัว - กระบอกตวง - หลอดทดลองขนาดเล็ก - หลอดหยด - ใบรายงานผลการทดลอง 5. นักเรียนทุกกลุ่มลงมือปฏิบัติการทดลองตามขั้นตอนการทดลองในใบการทดลองที่ครูแจก ให้ 7.3 ขั้นการสร้างองค์ความรู้: Learning to Construct 1. แต่ละกลุ่มนำผลการทดลองที่ได้มาตรวจสอบความถูกผิด ความสมบูรณ์ถูกต้อง จนได้ ข้อสรุป เช่น “ที่อุณหภูมิห้องจะสังเกตเห็นสีของสารละลายเป็นสีเขียวในหลอดทดลองที่ 1 เมื่อนำ หลอดทดลองที่ 2 จุ่มในน้ำร้อนพบว่าสีของสารละลายมีสีค่อนไปทางสีเชียวเหลืองมากขึ้นแล้วคงที่ แสดงว่า [CuCl4 ] 2- มีความเข้มข้นเพิ่มขึ้น ดังนั้นการเพิ่มอุณหภูมิทำให้เกิดปฏิกิริยาไปข้างหน้ามากขึ้น จนปรับตัวเข้าสู่สมดุลใหม่ เมื่อนำหลอดทดลองที่ 3 จุ่มในน้ำเย็นพบว่าสีของสารละลายมีสีค่อนไปทาง สีฟ้าเข้มขึ้นแล้วคงที่ แสดงว่า [Cu(H2O)4 ] 2+ มีความเข้มข้นเพิ่มขึ้น ดังนั้นการลดอุณหภูมิทำให้ เกิดปฏิกิริยาย้อนกลับมากขึ้นมากขึ้น จนปรับตัวเข้าสู่สมดุลใหม่” 7.4 ขั้นการสื่อสารและการนำเสนอ : Learning to Communicate 1. สุ่มนักเรียนมา 3-4 กลุ่ม นำเสนอผลการทดลองเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกัน และหาคำตอบในข้อสงสัยที่ว่า
90 - ทำไมการเพิ่มหรือลดอุณหภูมิจึงทำให้สีของสารละลายเปลี่ยนแปลงไป ? 2. นักเรียนและครูร่วมอภิปรายสรุปผลการทดลอง เพื่อให้ได้มาซึ่งข้อสรุปที่ว่า “การ เปลี่ยนแปลงอุณหภูมิของระบบที่อยู่ในสมดุล ทำให้ระบบมีการเปลี่ยนแปลงความเข้มข้นของสารตั้งต้น และผลิตภัณฑ์เพื่อเข้าสู่สมดุลใหม่ ทั้งนี้ทิศทางของปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นเมื่อเพิ่มอุณหภูมิจะดำเนินไป ข้างหน้าหรือย้อนกลับนั้นก็ขึ้นอยู่กับว่าปฏิกิริยาแบบดูดความร้อนหรือคายความร้อน” 3. แล้วนักเรียนจะทราบได้อย่างไรว่าปฏิกิริยานั้นเป็นแบบดูดหรือคายความร้อน ? 7.5 ขั้นการนำไปประยุกต์ใช้: Learning to Serve 1. นักเรียนศึกษาการเปลี่ยนแปลงของความเข้มข้นของปฏิกิริยาที่เข้าสู่สมดุลระหว่างแก๊ส N2O4 และ NO2 เมื่อมีการรบกวนด้วยอุณหภูมิ ค่าคงที่สมดุลของปฏิกิริยาจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไร N2O4 (g) ⇌ 2NO2 อุณหภูมิ (K) ความเข้มข้น (mol/dm3 ) ค่าคงที่สมดุล N2O4 NO2 298 0.90 0.19 400 0.55 0.89 500 0.90 1.9 N2 (g) + 3H2 (g) ⇌ 2NH3 (g) อุณหภูมิ (K) ความเข้มข้น (mol/dm3 ) ค่าคงที่สมดุล H2 N2 NH3 298 0.014 0.0048 2.1 400 0.13 0.042 1.9 500 0.47 0.16 1.7 จนกระทั่งได้ข้อสรุป “การเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิจะมีผลต่อค่าคงที่สมดุลของระบบ ดังนั้นการแสดง ค่าคงที่สมดุลใดๆจึงต้องระบุอุณหภูมิไว้ด้วย” “สำหรับปฏิกิริยาที่เมื่อเพิ่มอุณหภูมิและค่าคงที่เพิ่มขึ้นตาม หมายความว่าปฏิกิริยานั้นเป็น ปฏิกิริยา ดูดความร้อน เกิดปฏิกิริยาไปข้างหน้าได้ดี ในทางตรงกันข้ามสำหรับปฏิกิริยาที่เมื่อเพิ่ม อุณหภูมิและค่าคงที่ลดลง หมายความว่าปฏิกิริยานั้นเป็นปฏิกิริยาคายความร้อน เกิดปฏิกิริยาย้อนกลับ ได้ดี”
91 8. สื่อและแหล่งเรียนรู้ 8.1 PowerPoint เรื่อง สมดุลเคมี 8.2 หนังสือเรียนรายวิชาวิทยาศาสตร์เพิ่มเติมเคมี เล่ม 3 สสวท. (ตามหลักสูตรแกนกลาง การศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2551 ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) 9. การวัดประเมินผล จุดประสงค์ วิธีการวัด/เครื่องมือวัด เ ก ณ ฑ์ ก า ร ประเมิน 1. ด้านความรู้ (K) 1. อ ธิ บ า ย ส รุ ป ผ ล ข อ ง ก า ร เปลี่ยนแปลงอุณหภูมิที่มีต่อภาวะสมดุล และค่าคงที่สมดุลได้ -การตอบคำถาม ท้ายการทดลอง -ข้อคำถาม -ได้คะแนนร้อย ละ 70 ขึ้นไป 2. ด้านทักษะ/กระบวนการคิด (P) 1. ทำการทดลองเรื่อง ผลของการ เปลี่ยนแปลงอุณหภูมิที่มีต่อภาวะสมดุล ได้ -ก า ร ท ำ ก า ร ทดลอง -แบ บ สังเก ต การทดลอง -ได้คะแนนใน ระดับ 3 (ดี) ขึ้น ไป 3. ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ (A) 1. มีความรับผิดชอบต่องานที่ได้รับ มอบหมายและสามารถทำงานร่วมกับ ผู้อื่นได้ -การสังเกต -แบบประเมิน คุณ ลักษ ณ ะ อันพึงประสงค์ -ได้คะแนนใน ระดับ 3 (ดี) ขึ้น ไป
92 กิจกรรมที่ 9.5 การทดลองผลของอุณหภูมิต่อสมดุลเคมี จุดประสงค์การทดลอง 1. ทำการทดลองเพื่อศึกษาผลของอุณหภูมิต่อสมดุล 2. อธิบายการเปลี่ยนแปลงสมดุล เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิของระบบ วัสดุ อุปกรณ์ และสารเคมี 1. สารละลาย CuSO4 อิ่มตัว (สีฟ้า) 2. สารละลาย NaCl อิ่มตัว 3. กระบอกตวง 4. หลอดทดลองขนาดเล็ก 5. หลอดหยด 6. ใบรายงานผลการทดลอง วิธีการทดลอง 1. ตวงสารละลาย CuSO4 อิ่มตัว (สีฟ้า) ใส่ในกระบอกตวง จำนวน 20 ml 1 หลอด 2. จากนั้นหยดสารละลาย NaCl ลงนำหลอดทดลองจากข้อ 1 หยดไปเรื่อยๆ (ประมาณ 5 ml) จน สารละลายเปลี่ยนสี(ฟ้า — ฟ้าอมเขียว) 3. นำสารลายที่ได้จากข้อ 2 มาใส่ในหลอดทดลองขนาดเล็ก 3 หลอด หลอดละ 5 ml 4. นำหลอดทดลองทั้ง 3 มาแช่ในบีกเกอร์ ดังนี้ หลอดที่ 1 แช่ในบีกเกอร์ใบที่ 1 น้ำเปล่าธรรมดา หลอดที่ 2 แช่ในบีกเกอร์ใบที่ 2 น้ำอุ่น หลอดที่ 3 แช่ในบีกเกอร์ใบที่ 3 น้ำเย็น 5. หลังเกตุการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นหลังผ่านไป 1 นาที และบันทึกผล
93 รายงานผลการทดลองที่ 9.5 การทดลองผลของอุณหภูมิต่อสมดุลเคมี ชื่อ-สกุล ................................................................................ ชั้น.................... เลขที่................... วันที่ทำการทดลอง......................................................................................................................... จุดประสงค์การทดลอง ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… วัสดุ อุปกรณ์ และสารเคมี ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… วิธีทดลอง ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………