The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Paphawarin Panhongsa, 2023-09-18 11:04:13

ศาสนาสากล

ศาสนาสากล

ค ำน ำ หนังสืออิเล็กทรอนิกส์(E-book)เล่มน้ีจดัทำ ข้ึนเพื่อให ้ ผูอ ้่ำนไดท ้ รำบขอ ้ มูลเกี่ยวกบั ประวัติควำมเป็ นมำของศำสนำสำกลต่ำงๆอำทิเช่นศำสนำเต๋ำเชนคิดอิสลำมวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณีและพิธีกรรมต่ำงๆ ที่ส ำคัญ รวมไปถึงศำสดำ และหลักธรรมค ำสอน ของแต่ละศำสนำ คณะผูจ ้ ดัทำ หวงัเป็ นอยำ่งยิ่ งว่ำหนงัสืออิเล ็ กทรอนิกส ์ เล่มน้ีจะเป็ นประโยชน ์ สำ หรับคน ที่สนใจในศำสนำสำกลเพื่อที่จะได้น ำไปใช้เพื่อให้เกิดประโยชน์ในด้ำนต่ำงๆและได้ควำมรู้จำก หนังสือ e-book เล่มน้ีไม่มำกก ็ นอ ้ ย คณะผู้จัดท ำ ก


สำรบัญ เรื่อง หน้ำ ค ำน ำ ก สำรบัญ ข ศำสนำอิสลำม 1 ศำสนำคริสต์ 15 ศำสนำพรำหมณ์-ฮินดู 24 ศำสนำสิข 38 ศำสนำยูดำห์ 55 ศำสนำโซโรอัสเตอร์ 63 ศำสนำเชน 75 ศำสนำเต๋ำ 88 ข


ศาสนาอิสลาม ศาสนาอิสลามเป็ นศาสนาที่ยิ่ งใหญ่ศาสนาหน่ึงของโลก นบัถือพระเป็ นเจา ้สูงสุดพระนามว่า " อัลลอฮ์" มีศาสดาพระนามว่า " มุฮัมมัด" เป็ นศาสนาที่มีหลักธรรมและหลักปฏิบัติที่ไม่แยก ออก จากการด าเนินชีวิต ศาสนาอิสลามจึงเป็ นธรรมนูญชีวิตของมุสลิมทุกคนและของสังคม ประวัติความเป็ นมา ศาสนาอิสลาม มีมุฮัมมัดเป็ นศาสดา พระองค์ประสูติเมื่อวันจันทร์ ที่20 เมษายน พ.ศ. 2313(ค.ศ. 570) ที่นครมักกะฮ์ ประเทศซาอุดีอาระเบีย ท่านเป็ นบุตรของนายอับดุลลอฮ์และนาง อามีนะฮ์ หลงัจากที่บิดามารดาถึงแก่กรรม ท่านก ็ อยใู่นความอุปการะของอบูฏอลิบผูเ ้ป็ นลุง ช่วงเวลาที่ ต้องติดตามลุงไปค้าขายในดินแดนต่างๆ ท าให้ท่านได้ประสบการณ์ชีวิตต่างๆ มากมาย ล้วน แล้วแต่ส่งเสริมให้ท่านมีความเฉลียวฉลาด คร้ันเมื่อท่านมุฮมัมดัมีอายไุด ้ 25 ปี อบูฏอลิบได้ส่งเสริมให้ไปท างานกับเศรษฐีนี่ผู้เป็ นหม้าย ชื่อ คอลียะฮ์ ด้วยอุปนิสัยส่วนตัวของท่านที่เป็ นคนซื่อสัตย์ โอบอ้อมอารี มีความสุภาพ อ่อนโยน และไม่เป็ นคนเจ้าชู้ เป็ นเหตุให้นางคอดียะฮ์เกิดความพอใจต่อมุฮัมมัด จึงให้พี่สาวของนางช่วย เจรจาขอแต่งงานกับท่านมุฮัมมัด พิธีสมรสระหว่างท่านมุฮัมมัดกับนางคอดียะฮ์จึงเกิดข้ึน และ ต่อมาได้มีบุตรด้วยกัน 6คน ในวัย 40 ปีของมุฮมัมดัเป็ นช่วงที่ท่านมีความสุขทางโลกอยา่งบริบูรณ ์ ดว ้ ยฐานะการเงิน ที่ดีข้ึน แต่ต้องการความสุขที่แท้จริงความสงบ ความเยือกเยน ็ ทางใจจึงปลีกตนไปเขา ้สมาธิที่ถ้ า ฮิรอฮ ์ นานๆ คร้ังมุฮมัมดัจึงกลบัเขา ้ เมือง เพื่อหาเสบียงอาหารคืนหน่ึงขณะที่ท่านกา ลงัจา ศีลภาวนา และเพ่งสมาธิจิตอยนู่้นัก ็ บงัเกิด ประสบการณ ์ ทางจิตข้ึน โดยมีญิบรีล หรือ เทพบดีกาเบรียลมา บอกท่านว่า "อัลลอฮ ์ ทรงแต่งต้ งัให ้ มุฮมัมดัเป็ นศาสนทูตของพระองค ์ แลว ้ คลี่มว ้ นลิขติของ พระอลัลอฮใ์ ห ้ มุฮมัมดัอ่าน เหตุอศัจรรยก ์ ็ บงัเกิดข้ึนเนื่องจากมุฮมัมดัเป็ น ผูไ้ ม่รู้ หนงัสือแต่กลบั สามารถอ่านลิขิตน้นั ได ้โดยตลอด เมื่อมุฮมัมดัอ่านไดค ้ วามแลว ้ญิบรีลก ็ หายไป คร้ันท่านไดส้ ติ แล้วก็บังเกิดความสนเท่ห์ 1


รูปตัวอย่างภาษาอาหรับนามอัลลอฮ์ พระเป็ นเจ้าสูงสุดของศาสนา ดว ้ ยเกรงว่ามารมาก่อลวงให ้ หลงเชื่อจึงวิตกกงัวลระหวา่งน้นั ญิบริลก็ได้มาปรากฏองค์ให้เห็น อีกคร้ังแลว ้ กล่าววา่"จงลุกข้ึนเถิด จงสั่ งสอนธรรม แห่งพระเป็ นเจ้าของท่านเถิด" ท าให้มุฮัมมัด หมดความข้องใจสงสัยอีกโดยเชื่อว่าตนเป็ น ศาสดา จึงเริ่มประกาศศาสนาเมื่อพระชนมายุได้ 80 พรรษา โดยมีจุดประสงค์ คือ สอนให้ศรัทธาในอัลลอฮ์อย่างเที่ยงแท้องค์เดียว สอนให้ประพฤติ ศีลธรรม จ าศีลภาวนา สอนให้ น าเพ็ญจริยวัตรนานัปการ สอนให้มีความเมตตา กรุณาต่อเพื่อน มนุษย์และสัตว์ดิรัจฉาน สอน ให้มีความสุจริตและถือความเสมอภาพเป็ นที่ต้ งัสอนไม่ให้ กล่าวโทษใคร สอนให้ช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยากเป็ นภารกิจประจ าวัน สอน ไม่ให้เคารพบูชารูป ป้ันต่างๆ และให ้ ทา ลายรูปป้ันเหล่าน้นัสอนให ้ ตา หนิคนมงั่มีหรือคน เห ็ นแก่ตวั ศาสดามุฮมัมดัทรงเริ่มตน ้ ประกาศศาสนาแก่ญาติมิตรใกลเ ้ คียงก่อน แลว ้ จึงเผยแผ่ไปยงั ชาวเมืองมักกะฮ์ในเวลาต่อมา หลังจากประกาศ ศาสนาได้เพียง 3 ปี ซึ่งตรงกับปี พ.ศ.2365 ศาสดามุฮัมมัดต้องหลบหนีภัยคุณทามจากพวก ต่อต้านไปอยู่เมืองมะดีนะฮ์ เพราะว่าพระองค์ ทรงสอนให ้ นับถือบูชาอลัลอฮเ ์ป็ นพระเป็ นเจา ้ เพียงองคเ ์ ดียวให ้ เลิกเคารพบูชารูปป้ันเทพเจา ้ ท้ งัหลายที่เชื่อกนัอยแู่ต่เดิม และสอนให ้ คนร่ ารวยมีความเมตตาต่อคนอนาถา ซ่ึงทา ใหช ้ าวเมือง บางส่วนที่เสียผลประโยชน์ โกรธแค้น ไม่พอใจ ศาสดามุฮัมมัดได้รวบรวมก าลังผู้นับถือศาสนาอิสลามออกจากเมืองมะดีนะฮ์ไปท าสงคราม กับ พวกเผ่ากุเรซแห่งนครมักกะฮ์ จนในที่สุดพระองค์ก็ยึดนครมักกะฮ์ได้ในปี พ.ศ. 1173พร ้ อมท้ งั ให ้ ทา ลายรูปป้ันที่ขาวเมืองเคารพบูชาอยเู่ดิม และทรงสั่ งสอนให ้ นบัถือศาสนาที่อลัลอฮพ ์ ระ เป็ นเจ้าเพียงองค์เดียวแลว ้ ทรงแต่งต้ งัผูป้ กครองข้ึนใหม่เมื่อทุกสิ่งทุกอยา่ง เรียบร ้ อยพระองคก ์ ็ ทรงยกทพักลบัเมืองมะดีนะฮ ์ ความยิ่ งใหญ่ของศาสดามุฮมัมดัแพร่ไปยงัเมืองห่างไกลทวั่ ไป ดงัน้นัอาณาจกัรต่างๆ จึงไดส้ ่งทูตมาเจริญสัมพันธไมตรี ยอมรับนับถือ ศาสนาอิสลามด้วย 2


แม้ศาสดามุฮัมมัด เป็ นผู้มีบุญญาธิการมากเพียงใด แต่พระองค์ก็ยังทรงประพฤติปฏิบัติองค์ เป็ น เหมือนเดิมที่เคยเป็ นมา คือ ประทับอยู่บ้านหลังเล็กๆ ทรงใช้ผ้าคลุมพระเศียรแทนมงกุฎ รูปถ้ า ฮิรอฮเ ์ป็ นสถานที่ที่ศาสดามุฮา มดัไดร ้ บัโองการจากอลัลอฮเ ์ป็ นคร้ังแรก ทรงใช้มัสญิดเป็ นสถานที่รับแขกเมืองการที่พระองคท ์ รงถือสันโดษเช่นน้ีทา ให ้ ชาวมุสลิม ท้ งัหลายมีความจงรักภกัดีต่อพระองคม ์ ากยงิ่ข้ึน พระองคท ์ รงปกครองประเทศอาหรับและเผย แผ่ศาสนาอิสลาม จนกระทงั่พระชนมายุ63 พรรษา พระองค์ทรงน าชาวมุสลิมจ านวน ประมาณ 150,000คน เดินทางจากเมืองมะดีนะห์ไปท าพิธีฮจัญท ์ ี่เมืองมกักะฮ ์ และก่อนจะเสร ็ จ สิ้ นพิธี พระองคไ์ ดเ ้สด ็ จข้ึนไปบนยอดเขาอาราฟะเพื่อทรงแสดงธรรมสั่ งสอนอิสลามิกชนเป็ น คร้ัง สุดทา ้ ยแลว ้ พระองคก ์ ็ ทรงสิ้ นพระชนมเ ์ มื่อวนัที่7 มิถุนายน พ.ศ. 1175 หลงัจากศาสดามุฮมัมดัสิ้ นพระชนมไ์ปแลว ้ ทายาทของพระองค ์ คือเคาะลีฟะฮ์หรือกาหลิบ หรือสุลต่าน ซ่ึงมีอา นาจเต ็ มท้ งัทางอาณาจกัรและศาสนจกัรไดท ้ รงทา หนา ้ ที่เผยแผ่ศาสนา อิสลาม ต่อไป เคาะลีฟะฮอ ์ งคส ์ า คญัๆ ในระยะแรกมีดงัน้ี 1) อะบูบักร์หรืออาบูมากร (พ.ศ. 2375-1477) ได้รับเลือกให้เป็ นเคาะลีฟะฮ์องค์แรก อะบักได้ ทรงเริ่มขยายอา นาจในการท าสงครามแผ่ศาสนาอิสลามออกไปนอกดินแดน อาระเบีย เช่น อิรัก ซีเรีย เป็ นต้น 2) โอมาหรืออุมัร (พ.ศ. 2477-1187) ได้รับเลือกให้เป็ นเคาะลีฟะฮ์องค์ที่ 2โอมาไดท ้ รงเริ่มหา สงครามแผ่ศาสนาอิสลามออกไปแยกดินแดนอาระเบียและไดผ ้ ลสา เร ็ จอยา่งยิ่ ง เพราะท าให้ชาว เปอร์เซียและอียิปต์หันมานับถือศาสนาอิสลาม 3


3) โอธมันหรืออุษมาน (พ.ศ. 1187-1191) ได้รับเลือกให้เป็ นเคาะลีฟะฮ์ องค์ที่ 3โอ มันได้ทรง ด าเนินงานเผยแผ่ ศาสนาอิสลาม โดยทางน่ากองทัพมุสลิมไป พิชิตอัฟกานิสถาน ตุรกี และตอน เหนือของ ทวีปแอฟริกาผลก ็ คือประชาชนในดินแดน เหล่าน้นั ไดเปลี่ยนใจมานับถือศาสนา ้ อิสลาม 4) อาลีหรืออลีย์ เป็ นเคาะลีฟะฮ์ องค์ที่ 4ผู้เป็ นบุตรเขยของนบีมุฮัมมัด อาลี ต้องทรงท า กายใน กับมูอารียา ซึ่งเป็ น พระญาติของโอธมัน ซึ่งมูอารียา ได้สังหารอา ใน พ.ศ. 1204แล้วจึงเป็ นเกาะ ลีฟะฮ์พร ้ อมกบัสถาปนาต้ งัราชวงศโ์ อมายงัข้ึน จากน้นั ไดท ้ รง ท าสงครามแผ่ศาสนาอิสลาม ต่อไป มัสญิดนะบะวีย์ เมืองมะดีนะฮ์ เป็ นสถานที่ฝังพระศพของศาสดามุฮ ามัด การแตกแยกเป็ นนิกายต่างๆ ของศาสนาอิสลาม ไดเ ้ ริ่มต้ งัแต่นบีมุฮมัมดัทรงสิ้ นพระชนมแ ์ ลว ้ สาเหตุส าคัญที่สุดเกิดจากข้อคิดเห็นไม่ตรงกันเกี่ยวกับต าแหน่งผู้น าทางศาสนา มากกว่าอย่างอื่น นนั่คือฝ่ายหน่ึงมีความเห ็ นว่า ตา แหน่งผูน ้ า ทางศาสนาสืบต่อจากนบีมุฮมัมดัควรไดแ ้ กท่ายาท ของพระองค ์ คืออาลีอีกฝ่ายหน่ึงมีความเห ็ นว่าควรมาจากการเลือกต้ งั การแตกแยกนิกายในสมยัแรกเริ่มมีเพียง2 นิกาย คือ ฝ่ ายที่นับถืออาลีเรียกตนเอง ว่า " นิกาย ชีอะห์" แปลว่า "สาวกหรือผูป้ ฏิบตัิตาม" ส่วนฝ่ายที่ตอ ้ งการให ้ ผูน ้ า ศาสนามาจากการเลือกต้ งั เรียกตนเองว่า " นิกายคอราริช" แปลว่า " ผู้แยกออกไป" เกร็ดน่ารู้ สัญลักษณ์ของศาสนาอิสลาม ศาสนาอิสลามเป็ นศาสนาที่เคารพบูชาอัลลอฮ์องคเ ์ ดียวเท่าน้นั ไม่บูชารูปเคารพอื่นๆ ศาสนา อิสลามจึงไม่มสีัญลกัษณ ์ใด ๆ ให ้ศาสนิกชน นบัถือแต่พระจนัทร ์ คร่ึงเส้ียวและมีดาวอยขู่า ้ งบน ที่พบอยใู่นมสัดุล ทวั่ ไปน้นั ไม่ใช่สัญลกัษณ ์ ทางศาสนา เป็ นเพียงเครื่องหมายของอาณาจกัร 4


ออตโตมันเติร์ก ซึ่งเป็ นอาณาจักรอันยังใหญ่ในอดีต มีอ านาจครอบคลุม ยุโรป และตะวันออก กลางท้ งัหมด ต้ งัแต่พุทธศตวรรษที่21 เป็ นต้นมา กลุ่มประเทศมุสลิมที่เคยอยู่ในอ านาจของ อาณาจักรออตโตมันเติร์กจึงยึดเอาเครื่องหมายดังกล่าวเป็ นสัญลักษณ์ของตนในฐานะเป็ นชาว มุสลิม เหมือนกันสืบมา สัญลักษณ์มุสลิม คัมภีร์ ศาสนาอิสลามมีคัมภีร์อัลกุรอานและคัมภีร์หะดีษเป็ นคัมภีร์ส าคัญ ซึ่งได้บันทึกค าสอนต่างๆ ไว้ อย่างครบถ้วนและถูกต้อง ไม่มีการประชุมปรับปรุงหรือช าระใหม่ การศึกษาศาสนาอิสลามต้อง อาศยัคมัภีร ์ ท้ งั2 น้ีจึงจะมีความสมบูรณ์ที่สุด 1) คัมภีร์อัลกุรอาน เป็ นคมัภีร ์ ของศาสนาอิสลามที่อลัลอฮป์ ระทานแก่ศาสดามุฮมัมดัผ่านมลาอิ กะฮน ์ ามบรีส เพื่อเป็ นสิ่ งช้ีทางแก่มนุษยชาติมี30 ภาค (ญุซอ์) 114 บท (ซูเราะห์) 6,200กว่า โองการ (อายะฮ์) ปราชญ์มุสลิมแบ่งอัลกุรอานออกเป็ น 30 ภาค เพื่อให้มุสลิมใช้อ่าน ระหว่างถือ ศีลอดในเทศกาลเราะมะฎอน วันละบทครบ 30วันพอดี อัลกุรอานจ านวน 114 บทน้นัมี43 บท เรียกว่า " ซูเราะห์มักกียะฮ์" คือ บทที่ศาสดามุฮัมมัด ไดร ้ับขณะอยทู่ ี่นครมกักะฮแ ์ ละที่อื่นในช่วงก่อนอพยพไปสู่นครมะดีนะฮ ์ คัมภีร์อัลกุรอานเป็นคัมภีร์ส าคัญสูงสุดของศาสนา อิสลามซึ่งจารึกด้วยภาษาอาหรับเป็ นธรรมนูญชีวิตของอิสลาม 5


มีลกัษณะเป็ นบทส้ันๆ กล่าวถึงคา สอนเกี่ยวกบัเอกภาพของอลลอฮ์ ั ชีวิตโลกหน้า นรก สวรรค์ ความเจริญและความพินาศของชนชาติก่อนๆ ฯลฯ และอีก21 บท เรียกว่า " ซูเราะห์มะระนี ยะฮ์" คือ บทที่ศาสดามุฮัมมัดได้รับขณะอยู่ที่นคร มะดีนะฮ์ และที่อื่น ในช่วงหลังการอพยพไปสู่ นคร มะดีนะฮ์ มีลักษณะเป็ นบทยาวๆ กล่าวถึง สอนเกี่ยวกับการปกครอง เศรษฐกิจ สังคม ศาสนกิจ ครอบครัว ฯลฯ คัมภีร์อัลกุรอาน มีความส าคัญ คือ 1.อลัลอฮม ์ ีพระบญัชาให ้ เก ็ บรักษาไวบ ้ นสวรรคช ์ ้นัที่7 ชวั่กลัป์ 2. เป็ นคมัภีร ์ ที่พระเป็ นเจา ้ ทรงประกาคิดไวส้ า หรับเหตุการณ ์ ที่เกิดข้ึนในอดีตปัจจุบัน และ อนาคต 3.เป็ นคัมภีร์ที่อัลลอฮฺได้ทรงมอบให้ศาสดามุฮัมมัดโดยผ่านเทวทูตญิบริล และศาสดามุฮัม มัดทรงน ามาเผยแผ่ในเวลาต่อมา 4.เขียนดว ้ ยภาษาอาหรับ เน้ือหาบางตอนคลา ้ ยคลึงกบัคมัภีร ์ในศาสนายดูาห ์ และคริสต ์ ศาสนา ค าสอนเนน ้ ให ้ มุสลิมปฏิบตัิในสิ่ งที่ถูกตอ ้ ง 5.เป็ นคัมภีร์ที่ประมวลหลักธรรม กฎหมาย สังคมศาสตร์ รัฐศาสตร์เป็ นต้น ไว้ ครบถ้วน 2) คัมภีร์หะดีษ เป็ นคมัภีร ์ ที่บนัทึกโอวาท ค่าสั่ งสอน คา แนะนา และแบบอยา่งการดา เนินชีวิตของ ศาสดามุฮมัมดั ไวโ้ ดยตรง บนัทึกน้ีช่วยขยายความเขา ้ใจใน คมัภีร ์ อลักุรอ่านบางตอน ให ้ ชดัเจนยิ่ งข้ึน เพื่อ ปลูกฝังศรัทธาให ้ เกิดแก่อิสลามกิชนยิ่ งข้ึน เพราะขอ ้ ความส่วน ใหญ่จะเป็ นหลักธรรม ค าสอน กฎหมาย ระบบสังคม การปกครอง หลักปฏิบัติในการ ดา เนินชีวิต และมีการนา มา สั่ งสอนเผยแผ่กนัต่อมา นิกาย การแยกนิกายของศาสนาอิสลามส่วนใหญ่จะเกิดจากความขัดแย้งทางการเมืองและการ ปกครอง มิได้อยู่ที่ความขัดแย้งเกี่ยวกับหลักค าสอนหรือในการปฏิบัติศาสนกิจ กล่าวคือ หลงัการละสังขารของศาสดามุฮมัมดัแลว ้ ก ็ มีปัญหาการต้ งัผูน ้ า โลกมุสลิม ซ่ึงเป็ นผูน ้ า อาณาจักรเหมือน กับที่ศาสดามุฮัมมัดเคยเป็ น จึงท าให้เกิดปัญหาหาข้อยุติไม่ได้ น าไปสู่ การแยกตวัก่อต้ งัเป็ นนิกาย ต่างๆ ที่สา คญัดงัน้ี 6


1.นิกายซุนนี เป็ นนิกายที่นับถือการปฏิบัติตามแนวทางของศาสดามุฮัมมัด กลุ่มมุสลิม นิกายน้ีเชื่อว่า ตนเองเป็ นผูเ ้ คร่งในแนวทางการปฏิบตัิตามคมัภีร ์ อลักุรอานและตาม วจนะของท่านศาสดารวมท้ งัการให ้ ความเคารพเชื่อถือต่อกาหลิบหรือผูร ้ับตา แหน่ง ผู้น าต่อจากท่านศาสดาของตน 2.นิกายชีอะฮ์ เป็ นนิยายแรกที่ก่อตวัแยกออกจากชาวมสุลิมอื่นๆ โดยถือว่าตนเป็ นพวก เดียวกับอา ผู้เป็ นญาติ บุตรเขย และสาวกของศาสดามุฮัมมัด กลุ่มมุสลิมนิกายชีอะฮ์ถือ ว่าอาลีคนเดียวเท่าน้นัที่เป็ นกาหลิบที่ถูกตอ ้ ง 3.นิกายคอวาริช นิกายน้ีมีหลกัที่สา คญัอยวู่ ่า ตา แหน่งกาหลีบน้นัตอ ้ งมีการเลือกต้ งัอยา่ง เสรี บุคคลที่ ได้รับเลือกจะเป็ นใครก็ได้ตามความเหมาะสม 4.นิกาซูฟี นิกายน้ีไม่ปรากฏผูใ้ หก ้ า เนิด มีแต่กล่าวถึงนกั ปราชญแ ์ ละผลงานของท่าน ซึ่ง เป็ นการ เน้นการช าระจิตใจให้บริสุทธิ์ ให้พสวดอธิษฐานขอบคุณพระเป็ นเจ้า ขอขมา โทษ และมีความ เกรงกลวัต่อพระองค ์ นิกายน้ีเนน ้ การปฏิบตัิอยา่งเคร่งครัด หลักค าสอน หลกัคา สอนที่สา คญัของศาสนาอิสลาม ไดแ ้ ก่หลกัศรัทธา ๖ ประการ ซึ่งเป็ นหลักที่ อิส ลามิกชนจะตอ ้ งยึดมนั่ ไวต ้ ลอดไป และหลกัปฏิบตัิ5 ประการ ซึ่งชาวมุสลิมจะต้อง ปฏิบตัิเป็ นเนืองนิจ นอกเหนือจากน้นัยงัมีขอ ้ ห ้ ามและหนา ้ ที่ที่ชาวมุสลิมตอ ้ งยึดถือ ปฏิบัติอีกมากด้วย หลักศรัทธา 6 ประการ ที่อิสลามกิชนตอ ้ งยึดถือปฏิบตัิมีดงัต่อไปน้ี 1.ศรัทธาในเอกภาพของพระเป็ นเจ้า ชาวมุสลิมทุกคนต้องมีศรัทธาในอัลลอฮ์ เพียงองค์ เดียวอลัลอฮเ ์ป็ นพระเป็ นเจา ้สูงสุด ผูท ้ รงสร ้ างทุกสรรพสิ่ง 2.ศรัทธาในเทวทูตของพระเป็ นเจ้า เทวทูตคือคนกลางระหว่างพระเป็ นเจ้า กญัศาสดาท้ งัหลายเทวทูตในประวตัิศาสตร ์ ศาสนาอิสลามเรียกว่า “มลาอิกะฮเป็ น วิญญาณที่ มองด้วยตาไม่เห็น สัมผัสด้วยประสาทไม่ได้ เป็ นบ่าวรับใช้ของอัลลอฮ์โดย 7


เคร่งครัด เช่น เป็ นผูน ้ า พระโองการมาถา่ยทอดให ้ศาสดา บนัทึกความดีและความชวั่ ของมนุษย์ ติดตามมนุษย์ไป ตลอดชีวิต เป็ นต้น 3.ศรัทธาในคัมภีร์อัลกุรอาน ชาวมุสลิมทุกคนต้องยอมรับและมีศรัทธาใน คัมภีร์อัลกุ รอานว่าเป็ นพระวจนะของอลัลอฮ ์ ที่ทรงมอบแก่มนุษยโ์ ดยผ่านทางศาสดามุฮมัมดัเพอื่ จะประกาศให้ประชาชนได้ทราบถึงหลัก ค าสอนในหน้าที่อย่างน้อย 3 ประการ ดงัน้ี 3.1 หน้าที่ต่อพระเป็ นเจ้า คือ การมีศรัทธาต่อพระองค์ โดยแสดงออก ด้วยการปฏิบัติ วินัยบางประการที่ทรงบัญญัติ ไว้ เช่น การกล่าวค าปฏิญาณ การนมัสการ ประจ าวัน การถือศีล การบริจาคทาน การ บ าเพ็ญฮัจญ์ เป็ นต้น 3.2 หน้าที่ต่อเพื่อนมนุษย์ คือ หน้าที่ระหว่างเพื่อนมนุษย์ต่อมนุษย ์ไดแ ้ ก่หนา ้ ที่ของ บุตรที่ตอ ้ งเคารพเชื่อฟังบิดามารดา ซื่อสัตยต ์ ่อกนัรวมท้ งัหนา ้ ที่ของมุสลิมที่ตอ ้ ง ช่วยเหลือเก้ือกูลญาติพี่นอ ้ งและเพื่อนบา ้ น และมีน้ า ใจดีต่อเพื่อนมนุษยท ์ วั่ ไป 3.3 หน้าที่ต่อตนเอง คือ บุคคลมีหน้าที่รักษาสุขภาพอนามัย โดยรักษา ความสะอาดเป็น นิจ บริโภคอาหารที่มีประโยชน ์ งดเวน ้ สิ่งมึนเมาและให ้โทษ รวมถึงขยนัขนัแขง ็ ใน การศึกษาและการงาน 4. ศรัทธาต่อศาสนทูตหรือบรรดาศาสดาต่างๆ ชาวมุสลิมเชื่อว่าก่อนหนา ้ ที่อลัลอฮจ ์ ะ ทรงมอบคมัภีร ์ อลักุรอานให ้ศาสดามุฮมัมดัน้นัพระองคไ์ ดท ้ รงสถาปนาศาสดาต่างๆ ให ้ แก่มนุษยชาติตามเวลาและสถานการณ์ในประวัติศาสตร์มาทุกยุคทุกสมัย และมา สิ้ นสุดที่ศาสดาคนสุดทา ้ ยคือศาสดามุฮมัมดั 5.ศรัทธาต่อวันปรโลก ศาสนาอิสลามเชื่อว่า เมื่อมนุษย์ตายแล้วดวงวิญญาณ ไม่ดับสูญ ยงัคงเร่ร่อนเสวยสุขทุกขอ ์ ยทู่ ี่บริเวณหลุมฝังศพจนกว่าจะถึงวนัสิ้ นโลก หลงัจากรับฟัง คา พิพากษาแลว ้ จะไดเ ้ ขา ้ไปสู่ร่างใหม่ดว ้ ยเหตุน้ีชาวมุสลิมจึงมีคติความเชื่อว่า เมื่อตาย แลว ้ ตอ ้ งนา ศพไปฝังเท่าน้นัห ้ ามนา ไปเผาดว ้ ยไฟ ไม่ว่าจะเป็ นการตายดว ้ ยการทา อัตวินิบาตกรรม หรือการฆ่าตัวตาย ตายแบบผิดปกติ หรือตายอย่างธรรมดา ดังที่ศาสดา มุฮมัมดัไดท ้ รงสั่ งไว้ว่าการลงโทษมนุษย์ด้วยไฟเป็ นหน้าที่ของพระเป็ นเจ้า มนุษย์ ลงโทษมนุษย์ด้วยไฟไม่ได้ เพราะว่า การลงโทษด้วยไฟเป็ นหน้าที่ของพระเป็ นเจ้า 8


6.ศรัทธาในกฎกา หนดสภาวะของอลัลอฮ ์ ชาวมุสลิมเชื่อว่าวิถีชีวิตของมนุษยน ์ ้นั อัลลอฮ์ได้ทรงลิขิตไว้เป็ นเกณฑ์ของแต่ละคนแล้ว แต่ไม่ได้หมายความว่ามนุษย์จะต้อง รอฟัง พระบัญชาของพระเป็ นเจ้าเพียงอย่างเดียว มนุษย์จะต้องมีความพยายามท าทุก อย่างให้ดีที่สุด แต่ในขณะเดียวกันมนุษย์ก็ต้องไว้วางใจในพระองค์ผู้น าทางชีวิตของแต่ ละคนด้วย หลักปฏิบัติ 5 ประการศาสนาอิสลามมีหลักปฏิบัติที่ส าคัญ 5 ประการ ดงัน้ี 1.การปฏิญาณตน ชาวมุสลิมทุกคนตอ ้ งมีศรัทธาเชื่อมนั่และเป็ นสักขีพยาน ในความ เป็ นเอกภาพของพระเป็ นเจ้ากับศาสนทูตของพระองค์ เพื่อยืนยันความเชื่อถือใน เอกภาพ ของอลัลอฮแ ์ ละเป็ นการให ้ คา มนั่สญัญาว่าตนจะเคารพภกัดีต่ออลัลอฮ์พระองค์ เดียวไม่น่าสิ่งใด มาเป็ นภาคีกบัพระองค ์ และให ้ คา มนั่สัญญาว่าศาสดามุฮมัมดัเป็ นศา สนทูตของพระองค์ ตนจะ ปฏิบัติตามค าสอนของอัลลอฮ์และศาสนทูตของพระองค์ ด้วย 2.การละหมาด คือ การนมัสการพระเป็ นเจ้า คัมภีร์อัลกุรอานก าหนดไว้ว่าชาว มุสลิม ท้ งัชายและหญิงที่บรรลุนิติภาวะทางร่างกายหรือย่างเข้าสู่วัยหนุ่มสาวแล้วจะต้องท า ละหมาด วันละ 5 เวลาไดแ ้ ก่เวลารุ่งอรุณ เวลาบ่ายเวลาเยน ็ เวลาพลบค่า และเวลา กลางคืน ก่อนการละหมาดจะตอ ้ งชา ระร่างกายใหส้ ะอาด จุดมุ่งหมายของการละหมาด คือ เพื่อให้เกิดความอ่อนน้อมถ่อมตน เพื่อขัดเกลา จิตใจ และสอนให้รู้จักมารยาทใน การแสดง ความภักดี เพื่อให้รู้จักการตรงต่อหน้าที่และ ตรงต่อเวลา เพื่อให้ตระหนักถึง ความเสมอภาคไม่แบ่งช้ นัวรรณะเพื่อให ้ เกิดความยา เกรงต่อความเกรียงไกรของพระ เป็ นเจ้า รักษาสัจจะ ซื่อตรง ไม่โลภ มีส านึกต่อความเป็ นธรรม 3.การถือศีลอด หลกัปฏิบตัิน้ีเป็ นมูลฐานขอ ้ หน่ึงที่ชาวมุสลิมทุกคนตอ ้ ง ปฏิบตัิ กา หนดข้ึนทุกปีเป็ นเวลา 1 เดือน กระท าในเดือนที่ 9 ตามปฏิทินจันทรคติของ ศาสนา อิสลาม เรียกว่า " เดือนรอมฎอนหรือ เราะมะฎอน" การถือศีลอด คือ การงดเว้นจาก การบริโภคและอื่นๆ ตามที่ก าหนดไว้แน่นอน 9


การละหมาดของชาวมุสลิม เป็ นการแสดงความเคารพต่อ พระเป็ นเจา ้ ท้ งัร่างกายและ จิตใจ ซึ่งผู้ที่จะถือศีลอดได้จะต้องเป็ นผู้ที่มีอายุบรรลุศาสนภาวะ (อายุ 15 ปี ) มีสติสัมปชัญญะ มีร่างกาย สมบูรณ์ ยกเว้นคนชรา คนป่ วย หญิงมีครรภ์ หญิงแม่ลูกอ่อนที่ให้นมทารก หญิงมีประจ าเดือน คนท างานหนัก และคนที่อยู่ระหว่างการเดินทาง จุดมุ่งหมายของการถือศีลอด คือ เพื่อต้องการทดสอบความศรัทธาของชาวมุสลิม ที่มีต่อ พระเป็ นเจ้า เพื่อฝึ กอบรมจิตใจให้ตัดจากกิเลสและตัณหาต่างๆ เพื่อท าจิตใจให้บริสุทธิ์ พ้นจากอ านาจฝ่ ายต ่า เพื่อให้รู้รสชาติแห่งการมีขนัติอดกล้ นัเพื่อให ้ รู้ รสชาติแห่งความ หิวโหยจะไดไ้ ม่เป็ นคนเห ็ นแก่ตวั 4.การบริจาคทรัพย์ตามศาสนบัญญัติ (ซะกาต) ชาวมุสลิมถือเป็ นหน้าที่ที่จะ ต้องสละ ทรัพย์ของตนในอัตราร้อยละ 2.5 เพื่อแบ่งปันให ้ แก่ผูท ้ี่พึงไดร ้ับ ซ่ึงไดแ ้ ก่ผูย ้ ากไร ้ ผูข ้ ดั สน เด็กก าพร้า ผู้มีหน้ีสินเพื่อกิจอนัชอบดว ้ ยศาสนาผูเ ้ป็ นมุสลิมโดยสมคัรใจผูเ ้ ผยแผ่ ศาสนาอิสลาม ผู้เดินทางที่ขาดทุนทรัพย 5.การประกอบพิธีฮัจญ์ ชาวมุสลิมที่มีสุขภาพแข็งแรงและมีทุนทรัพย์พอสมควร จะต้องเดินทางไปประกอบพิธีฮัจญ์ ณ มัสญิดอัลกะอฺบะฮ์ นครมักกะฮ์ ประเทศ ซาอุดีอาระเบีย ซ่ึงวิหารแห่งน้ีบรรพบุรุษของชาวอาหรับไดส้ ร ้ างไวเ ้ พื่อเป็ นที่สักการะ พระเป็ นเจ้า ผู้ที่มิใช่มุสลิม จะเข้าไปไม่ได้ 10


ในเดือน 12 ตามปฏิทินอิสลาม มุสลิมที่มีความพร้อมจะ เดินทางไปประกอบพิธีฮัจญ์ ณ เมืองมักกะฮ์เพื่อระลึกถึง พระเป็ นเจา ้ และแสดงท้ งัภราดรภาพระหว่างมุสลิมดว ้ ยกนั 3) หลักจริยธรรมที่ชาวมุสลิมทุกคนควรถือปฏิบัติ หลักธรรมค าสอนของศาสนา อิสลามเกิดจากการผสมผสานของกฎบัญญัติในคัมภีร์อัลกุรอานกับวัตรปฏิบัติส่วน พระองค์ของ ศาสดามุฮัมมัด ชาวมุสลิมเชื่อว่าผู้นับถือศาสนาอิสลามที่จะให้บังเกิดผลดี อยา่งแทจ ้ ริงตอ ้ งปฏิบตัิตามหลกัจริยธรรมของศาสนาอิสลาม ดงัต่อไปน้ี ข้อควรเว้นทางกาย 1.ไม่กราบไหว้รูปเคารพ 2.ไม่เอนเอียงไปทางศาสนาอื่น 3.ไม่ดูหมิ่ นคมัภีร ์ อลักุรอานและคา สั่ งสอนของนบีมุฮมัมดั 4.ไม่ทา ความสกปรกให ้ เกิดแกคัมภีร์อัลกุรอานและพระนาม ของอัลลอฮ์ ่ 5.ไม่ประพฤติตนเป็ นอุปสรรคต่อผู้ประสงค์จะนับถือศาสนาอิสลาม 6.ไม่แสดงกิริยาท่าทางอันเกี่ยวกับศาสนพิธีของศาสนาอื่น ข้อควรเว้นทางวาจา 1ไม่พูดว่าตนได้เคยเห็นองค์อัลลอฮ์ 2.ไม่พูดว่าคนได้เคยสนทนากับองค์อัลลอฮ์ 3.ไม่พูดว่าองค์อัลลอฮ์ทรงมีความงดงาม 4.ไม่กล่าวหาหรี นินทาบรรดาพี่น้องมุสลิมว่าเป็ นผู้ปฏิบัติ นอกลู่นอกทาง 5. สิ่งที่ทา ไม่ไดอ ้ ยา่พูดว่าทา ได ้สิ่ งที่ทา ไดอ ้ ยา่พูดว่าทา ไม่ได ้ 11


ข้อควรเว้นทางใจ 1.ไม่สงสัยองค์อัลลอฮ์ว่าเป็ นผู้สร้างทุกสิ่งจริงหรือไม่ 2.ไม่สงสัยความเป็ นศาสนทูตของศาสดามุฮัมมัด 3.ไม่สงสัยว่าคัมภีร์อัลกุรอานไม่ใช่บทบัญญัติของอัลลอฮ์ 4.ไม่สงสัยว่าหลังจากมันบีมุฮัมมัด แล้วจะมีศาสนทูตอื่นๆ อีก 5.ไม่ครุ่นคิดว่าจะเลิกนับถือศาสนา อัลลาม 6.ไม่สงสัยเรื่องพิธีกรรมต่างๆ 4) ขอ ้ ห ้ ามสา หรับชาวมุสลมิที่ควรยึดถือปฏิบตัิมีดงัต่อไปน้ี 1. ห้ามกราบบุคคลทุกคน ไม่ว่าจะเป็ นบิดา มารดา เจ้านายหรือคนอื่นๆ กราบได้ เฉพาะ อลัลอฮอ ์ งคเ ์ ดียวเท่าน้นั 2. ห ้ ามทา นายหรือให ้ คนทา นายโชคชะตาและเรื่องไสยศาสตร ์ ท้ งัหมด 3. ห้ามท าบุญสะเดาะเคราะห์ต่ออายุ 4. ห ้ ามเคารพรูปเคารพ เช่น รูปถ่ายรูปป้ัน อนุสาวรีย ์ เหรียญ เครื่องรางของขลัง เป็ นต้น 5. หา ้ มทา เสน่ห ์ ลงคาถาอาคม ท้ งัในฐานะผูท ้ า เองและผูร ้ับทา จากผูอ ้ื่น 6. ห้ามกราบไหว้ธรรมชาติ เช่น ภูเขา ต้นไม้ ดวงดาว ดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ เทวดา นางไม้ พระภูมิเจ้าที่ เป็ นต้น 7. ห้ามใช้เหตุผลหรืออารมณ์เหนือศรัทธา 8. ห้ามเป็ นและห้ามเที่ยวโสเภณี 9. ห้ามขายบริการและดื่มสุราเมรัยทุกชนิด 10. ห้ามบริโภคอาหารต้องห้าม เช่น สัตว์ทุกชนิดที่ตายเอง สัตว์ที่เชือดโดยมิได้ เปล่งพระนามอัลลอฮ์ สัตว์บูชายัญ เลือดสัตว์ทุกชนิด เป็ นตัน 11. ห้ามรับประทานเน้ือสุกร สัตวท ์ ี่ถูกนา ไปเซ่นไหว้พระเป็ นเจ้าหรือเทพเจ้าใน ศาสนาอื่น สัตว์ที่ถูกรัดคอให้ตายโดยมิได้เชือดให้เลือดไหล สัตว์ที่ถูกเชือดโดยไม่ได้ กล่าวนามของอัลลอฮ์สัตวท ์ ี่มีลกัษณะน่ารงัเกียจ สัตวท ์ ี่มีเข้ียวเล ็ บ สัตวเ ์ ล้ือยคลาน 12. ห ้ ามเรียกหรือเก ็ บดอกเบ้ีย 12


13. ห้ามเสี่ยงโชคหรือเล่นการพนันทุกชนิด 14. ห ้ ามประกอบอาชีพที่ไม่ชอบดว ้ ยศีลธรรมหรืออาชีพน้นัจะนา ประชาชนไปสู่ ความหายนะเช่น ต้ งัโรงเหลา ้ บาร ์ อาบอบนวด ปล่อยเงินกูโ้ ดยวิธีเก ็ บดอกเบ้ียรับซ้ือ ของโจรเปิ ดสถานเริงรมย์ทุกชนิด เป็ นตัน 15. ห้ามใส่ผมของผู้อื่น ห้ามคุมก าเนิด ห้ามท าแท้ง 16. ห้ามตัวเองและผู้อื่นออกนอกทางของอัลลอฮ์ 17. ห้ามเปิ ดเผยส่วนน่าละอายในที่สาธารณะ 18. ห้ามแต่งกายผิดเพศ ผู้ชายห้ามใช้ผ้าไหมและทองเป็ นเครื่องประดับ ผู้หญิงห้ามใส่เส้ือผา ้ บางๆ และตอ ้ งแต่งกายปกคลุมให้มิดชิด 19. เมื่อชาวมุสลิมเสียชีวิตแล้วห้ามน าไปผ่าพิสูจน์ ห้ามน าไปเผา และห้ามไปร่วม พิธีศพของศาสนาอื่น 20. ห้ามขาดความสัมพันธ์กับญาติพี่น้อง ห้ามพูดปดนอกทางของอัลลอฮ์ ห้ามติฉิน นินทาว่ากล่าวผู้อื่นให้เสียหาย 5) สิ่งที่ชาวมุสลมิทุกคนควรปฏิบตัิมีดงัต่อไปน้ีกตญัญูและรักบิดามารดา เคารพ อ่อนน้อมต่อผู้มีเกียรติและผู้อาวุโส เมตตาสงสารและอุปการะผู้ที่ต ่ากว่า รู้จักเอาใจซึ่ง กันและกันและเอาใจเขามาใส่ใจเรา ประพฤติดีต่อเพื่อนบ้านใกล้เคียงและรักใคร่กลม เกลียวระหว่างญาติพี่น้อง พิธีกรรม พิธีกรรมที่สา คญั ในศาสนาอิสลาม มีดงัน้ี 1)การประกอบพิธีฮจัญ ์ ถือเป็ นพิธีกรรมที่เก่าแก่ของศาสนาอิสลาม ดา ว่า "ฮจัญ"์ แปลว่า "การเดินทางไปประกอบศาสนกิจของมุสลิมที่นครมักกะฮ์ ประเทศ ซาอุดีอาระเบียตามวัน เวลา และสถานที่ต่างๆ ที่ทางศาสนาก าหนดไว้" ซึ่งชาวมุสลิมถือ ว่าผู้ใดเดินทางไปประกอบพิธีฮัจญ์ด้วยเจตนาที่แน่วแน่และปฏิบัติครบถ้วนตามพิธีทุก ประการผูน ้้นัถือว่าเป็ นผูบ ้ ริสุทธ์ิดุจทารกแรกเกิด การเดินทางไปประกอบพิธีฮัจญ์เรียกว่า "ฮะยี" ซึ่งมีความมุ่งหมายแท้จริงอยู่ที่การ นอบน้อมต่อพระเป็ นเจ้า และยังเป็ นการเจริญรอยตามแบบอย่างศาสดามุฮัมมัดที่เสด็จ มานมสัการสถานที่ศกัด์ิสิทธ์ิแห่งน้ีก่อนสิ้ นพระชนม ์ 13


คุณสมบัติของมุสลิมที่สามารถประกอบพิธีฮัจญ์ได้ คือ มีศรัทธาอย่างแท้จริง มีสุขภาพ และสติปัญญาสมบูรณ์ มีทรัพย์สินเพียงพอส าหรับการเดินทาง ได้ประกอบพิธีละหมาด ถือศีลอดและบริจาคซะกาตครบถ้วนแล้ว 2) การละหมาด หรือการนมาซ หมายถึง การขอพรต่ออัลลอฮ์ ถือเป็ นการปฏิบัติ ตามศาสดามุฮัมมัดที่ทรงถือเรื่องการสวดมนต์เป็ นกิจวัตรส าคัญที่สุดและเป็ นทางไปสู่ สวรรค์(การเข้าเฝ้าพระเป็ นเจ้า) โตยมีจุดมุ่งหมายส าคัญ คือ เพื่อช าระจิตใจตนเองให้ บริสุทธิ์ มุสลิมที่บรรลุนิติภาวะทางกายหรือย่างเข้าสู่วัยหนุ่มสาวจะต้องท าละหมาด ทุกวัน วันละ 5 เวลา คือเวลารุ่งอรุณ เวลาบ่าย เวลาเย็น เวลาพลบต ่า และ เวลากลางคืน ข้อปฏิบตัิของมุสลิมก่อนพิธีละหมาด ไดแ ้ ก่จะตอ ้ งชา ระร่างกายให ้สะอาดจากสิ่ ง ปฏิกูลตามเงื่อนไขที่ศาสนาก าหนด แต่งกายดว ้ ยเส้ ือผา ้สะอาดเรียบร ้อย สตรีจะต้องแต่ง กายให ้ มิดชิดเปิดเผยไดเ ้ ฉพาะใบหนา ้ และฝ่ามือและก่อนทา พิธีละหมาดจะตอ ้ งทา ความ สะอาดช าระจิตใจให้บริสุทธิ์ สถานที่ในการละหมาด ในวนัธรรมดาสามารถทา ไดท ้ วั่ ไป แต่จะตอ ้ งเป็ นสถานที่ ที่สะอาด แต่ส าหรับวันศุกร์และเทศกาลพิเศษจะต้องไปท าที่มัสญิด และเมื่อท าพิธี ละหมาดต้องหันหน้าไปทางทิศที่ต้ งัของมสั ญิดอัลกะอ์บะฮ์ ประเทศชาอุดีอาระเบีย ซึ่งเรียกว่า "กิบลัต" (ส าหรับประเทศไทยจะหันหน้าไปทางทิศตะวันตก) 14


คริสต์ศาสนา คริสตศ ์ าสนาเกิดข้ึนในภูมิภาคเอเชียตะวันตกเฉียงใต้ แต่ได้เผยแผ่และเจริญรุ่งเรืองอย่างมาก ในทวีปยุโรป ทวีปอเมริกา และทวีปออสเตรเลียมากกว่าในทวีปเอเชีย คริสต์ศาสนาสืบทอดมา จากศาสนายูดาห์ ปัจจุบันมีจ านวนศาสนิกชนมากที่สุดในโลก 1. ประวัติความเป็ นมา คริสต์ศาสนามีต้นก าเนิดจากศาสนายูดาห์ ตามที่ได้กล่าวมาแล้วในศาสนายูดาห์ว่า ความเป็ น อยขู่องพวกยิวน้นัแมไ้ ดต ้้ งัถิ่ นฐานภูมิลา เนาในประเทศที่เชื่อว่าเป็ นแผ่นดินที่พระเป็ นเจา ้สัญญา ให้ แต่ชาวยิวก็ไม่มีความผาสุก เพราะถูกรบกวนรุกรานจากชาติอื่นและมีภยัอนัตรายเกิดข้นึเสมอ พวกเจ้าลัทธิจึงสร้างหลักใหม่ที่เรียกว่า "เมสสิยานิก" ซึ่งมีความเชื่อว่าต่อไปข้างหน้าจะมีบุคคล คนหน่ึงเรียกว่า "เมสสิยาห ์" ที่พระเป็ นเจา ้ส่งลงมารับทุกขท ์ รมานแทนมนุษยท ์ ้ งัหลายเมสสิยาห ์ จะเป็ นผูช ้่วยเหลือมนุษยใ์ ห ้ พนัทุกขภ ์ ยัท้ งัปวงขอให ้ มนุษยท ์ุกคนหมนั่ประกอบคุณความดีให ้ พระเป็ นเจ้าเห็นใจและอ้อนวอนขอให้พระเป็ นเจ้าส่งเมสสิยาห์มาโดยเร็ว ผลที่ได้จากการสร้าง แนวคิดน้ีทา ให ้ ชาวยิวมีความอดทนและมกีา ลงัใจในการต่อสูก ้ บัอุปสรรดอยา่งมีความหวงั เมื่อพระเยซูมาเกิดและท าความดีจนเป็ นที่ประจักษ์ ท าให ้ ชาวยิวมีความเชื่อมนั่ว่าพระเยซู น้ีเองที่เป็ นเมสสิยาห ์ ซ่ึงแปลว่า "ผูช ้่วยปลดเปล้ืองทุกขภ ์ ยั" เมื่อดริสตต ์ าสนาเขา ้สู่ดินแดนกรีก และโรมัน ค าว่า เมสสิยาห์ ได้มีการแปลเป็ นภาษากรีกว่า "คริสโตส" ชาวโรมันน าค ากรีก มาใช้เป็ นภาษาละตินโรมว่า "คริสติส" ต่อมาภาษาอังกฤษจึงเป็ น "คริสต์" หรือ "ไครสต์" ส่วน ภาษาไทยใช้ค าว่า "คริสต์" ศาสดาของคริสต์ศาสนา คือ พระเยซู เป็ นชาวยิว บิดา ของพระเยซูเป็ นช่างไม้ ชื่อโยเซฟ มารดาชื่อมารีย์ ใน คมัภีร ์ไบเบิลกล่าวไวว ้ า่มารียผ ์ูเ ้ป็ นมารดาน้นัเป็ นหญิง พรหมจารีแต่ต้ งัครรภโ์ ดยอานุภาพของพระเป็นเจ้า และในครรภข ์ องนางก ็ คือพระเยซูนนั่เองพระเยซู เติบโตที่หมู่บ้านเล็กๆ ในเมืองนาซาเรธ แคว้นกาลิลี ในวัยเยาว์พระองค์เป็ นผู้ที่สนใจเรื่องศาสนธรรมและ 15


เป็ นผู้ที่มีความเฉลียวฉลาดเป็ นอย่างมาก ถึงขนาดเคยซักถามและถกเถียงปัญหาธรรมกับศาสนา จารย์ของศาสนายิวที่วิหารศูนย์ศาสนา กรุงเยรูซาเลม จนพวกพระศาสนาจารย์จ านนต่อเหตุผลเมื่อพระชนมายุเพียง 12 พรรษา คร้ันเมื่อพระเยซูมีพระชนมายไุด ้ 30 พรรษา พระองค์ได้พบกับจอห์นหรือนักบุญโยฮัน และ ได้รับศีลจุ่มหรือศีลล้างบาป หลงัจากน้นัพระองคไ์ ดเ ้สด ็ จไปประทบัที่ป่าเปลี่ยวแห่งหน่ึง เพื่อ บ าเพ็ญศีลภาวนา เจริญสมาธิ และนมัสการพระเป็ นเจ้า เมื่อกลับมาพระองค์ได้ประกาศ หลักธรรม คา สั่ งสอนเพื่อนา ไปสู่ความหลุดพน ้ และสนัติสุขอยา่งแทจ ้ ริง นอกจากน้ียงัมีคา สั่ งสอนอีกหลาย เรื่อง ที่แตกต่างไปจากคา สอนด้ งัเดิมของศาสนายดาห ์ ที่ชาวยิวในสมยัน้นันบัถืออยู่คา สอนของ พระองค์ ถือได้ว่าเป็ นการประกาศศาสนาใหม่ คือ คริสต์ตาสนา ซึ่งมีพระเป็ นเจ้า คือ พระเยโฮวาห์ และ มีศาสดา คือ พระเยซูคริสต์ เมื่อพระองค์ประกาศศาสนาได้ 3 ปี พวกศาสนาจารย์เดิมเห็นว่า การประกาศศาสนาของ พระเยซูเป็ นอันตรายต่อพวกตน จึงใส่ความและฟ้องร้องต่อทางการ จนในที่สุดพระองค์ถูกจับ และ ถูกประหารชีวิตโดยการตรึงกางเขน พระเยซูสิ้ นพระชนมเ ์ มื่อพระชนมายไุด ้ 33 พรรษา หลังจาก พระเยซูสิ้ นพระชนมแ ์ ลว ้ประมาณ 15 ปี นักบุญเปาโลได้สร้างโบสถ์แห่งแรกเพื่อใช้สอนธรรมะ ที่เมืองอันติโอโคส ประเทศกรีก ได้ประกาศศาสนาแยกตัวออกจากศาสนายิว และได้เผยแผ่ คริสต์ศาสนาให้แพร่หลาย มีผู้นับถือจ านวนมากจนเป็ นศาสนาประจ าชาติของอาณาจักรโรมัน ใน ค.ศ. 391 2.คัมภีร์ คัมภีร์ของคริสต์ศาสนาเรียกว่า "คัมภีร์ไบเบิล" ชาวคริสค์เชื่อว่าคัมภีร์ไบเบิลเป็ นคัมภีร์ ศักดิ์สิทธิ์ เป็ นพระวจนะของพระเป็ นเจ้า เป็ นบ่อเกิดแห่งสัจธรรมที่จะน ามวลมนุษย์ไปสู่ความ หลุดพันจากบาป' นอกจากน้ียงักลา่วถึงประวตัิความสัมพนัธ ์ ระหว่างพระเป็ นเจา ้ กบัมนุษย ์โดย มี ข้อเขียนจ านวนมาก คัมภีร์ไบเบิลแบ่งออกเป็ น 2 ภาค ดงัน้ี 16


1) คัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม ประกอบด้วยหนังสือ 46 เล่ม กล่าวถึงความเป็ นมา ของจักรวาล มนุษยชาติ ประวัติชนชาติยิว วิธีประกอบศาสนพิธีในกรณีต่างๆ ข้อห้ามส าหรับ ชาวยิว ประวัติชนชาติยิวในการอพยพ วรรณคดีต่างๆ เช่น นิทานค าสอน เพลงสดุดี สุภาษิต ปัญญาจารย์อันเป็ นประมวลคติพจน์ ค าพังเพยต่างๆ เป็ นต้น 2) ดัมภีร์ภาดพันธสัญญาใหม่ เป็ นคัมภีร์ของคริสต์ศาสนาโดยแท้ ประกอบด้วย หนงัสือและขอ ้ เขียนในลกัษณะจดหมายรวมท้ งัหมดมี27คัมภีร์ ซึ่งกล่าวถึงประวัติศาสตร์และ คา สอนของพระเยซูคริสตน ์ บัต้ งัแต่พระเยซูคริสตถ ์ กูตรึงบนไมก ้ างเขน จนกระทงั่การเผยแผ่ ศาสนา ของนักบุญเปโตรและนักบุญเปาโล รวมถึงจดหมายเหตุของผู้น าตามโบสถ์ต่างๆ ในสมัยนักบุญ เปาโลโดยแบ่งเน้ ือหาออกเป็ น 4 หมวด ดงัต่อไปน้ี 2.1) พระวรสาร (Gospels) ในนิกายโรมันคาทอลิก หรือพระกิตติคุณในนิกาย โปรเตสแตนต ์ พรรณนาประวตัิชีวิตและการเทศนาสั่ งสอนธรรมของพระเยซูคริสต ์ 2.2) พระบัญญัติ (Acts) กล่าวถึงกิจกรรมต่างๆ ที่สาวกของพระเยซูคริสต์ได้ เผยแผ่ศาสนา ภายหลงัการสิ้ นพระชนมข ์ องพระเยซูคริสต ์โดยเฉพาะเรื่องกิจการเผยแผ่ศาสนา ของนักบุญเปาโล 2.3) จดหมายเหตุ (Epistles) กล่าวถึงจดหมายเหตุ บันทึกเหตุการณ์ และ กิจกรรมของนักบุญเปาโลและของสาวกคนอื่นๆ อีก 7คน มี 14 ตอน รวมท้ งัการบนัทึกเรื่อง ความเชื่อและการปฏิบัติประเพณีของชาวว ในสมัยพระเยซูคริสต์อีก 7 ตอน รวมท้ งัหมด 21 ตอน 2.4) วิวรณ์ (Revelation) กล่าว ถึงการแสดงตนของเทพกาเบรียลอนัเกิดแก่ นักบุญจอห์นหรืออัครสาวกของพระเยซูคริสต์ 3. นิกาย นิกายที่ส าคัญของคริสต์ตาสนา แบ่งออกเป็ น 3 นิกาย ดงัน้ี 1) นิกายโรมนัคาทอลิกเป็ นนิกายที่ยึดมนั่ในหลกัคา สอนของพระเย 17


เชื่อในบรรดานักบุญต่างๆ ภายในโบสถ์ของนิกายน้ีมีรูปป้ันพระเยซูดริสต ์ พระแม่มารีย ์ และ นักบุญ ต่างๆ ปัจจุบนัสมเด ็ จพระสันตะปาปาเป็ นประมุขปกครองชาวคาทอลิกทวั่โลกโดยมีศนูยก ์ ลาง การปกครองอยทู่ ี่นครรัฐวาติกนัซ่ึงเป็ นรัฐอิสระ ต้ งัอยทู่ ี่กรุงโรม ประเทศอิตาลี 2) นิกายออร์ทอดอกซ์เป็ นนิกายที่แยกออกมาจากนิกายโรมันดาทอลิกด้วยเหตุผล ทางการเมืองและวัฒนธรรม เชื่อในเรื่องตรีเอกานุภาพ รูปแบบพิธีกรรม ระเบียบเกี่ยวกับ บาทหลวง แต่ละประเทศมีประมุขทางศาสนา เรียกว่า "อัครบิดร (Patriarch)" เป็ นอิสระต่างกัน ปัจจุบันผู้นับถือนิกายออร์ทอดอกซ์มีอยู่ในกลุ่มประเทศยุโรปตะวันออก เช่น กรีซ บัลแกเรีย โรมาเนีย แอลเบนีย สหพันธรัฐรัสเซีย เป็ นต้น 3) นิกายโปรเตสแตนต์ เป็ นนิกายที่แยกออกมาจากนิกายโรมันคาทอลิกเช่นกัน เป็ นนิกายที่ถือว่าศรัทธาของแต่ละคนที่มีต่อพระเป็ นเจ้าส าคัญกว่าพิธีกรรม ซึ่งยังแตกย่อย ออกเป็ นหลายนิกาย เนื่องจากมีความเห็นแตกต่างกันเกี่ยวกับคัมภีร์และการปฏิบัติในพิธีกรรม นิกายน้ีไม่มีนกับวช มีเพียงไมก ้ างเขนเป็ นเครื่องหมายแห่งศาสนาเท่าน้นั ประเทศที่นับถือนิกาย โปรเตสแตนต์ เช่น นอร์เวย์ สวีเดน ฟิ นแลนด์ เดนมาร์ก อังกฤษ เป็ นต้น 4. หลักธรรม หลักธรรมค าสอนที่ส าคัญของคริสต์ศาสนา แบ่งออกเป็ น 3 ประเด ็ นที่สา คญัดงัน้ี 1) หลักตรีเอกานุภาพ คริสต์ศาสนาเชื่อว่ามีพระเป็ นเจ้าองค์เดียว แต่มี 3 พระบุคคลคือ พระบิตา เป็ นผูส้ ร ้ างโลกมนุษยแ ์ ละสรรพสิ่ง พระบุตรเป็ นพระเยซูคริสต ์ และ พระจิด เป็ นพระเป็ นเจ้าในฐานะที่ปรากฎในจิตวิญญาณของมนุษย ์ เพื่อเก้ ือหนุนให ้ มนุษยม ์ ีคุณธรรม ความดี 2) หลักความรัก เป็ นหลักค าสอนที่ว่าด้วยความรัก ความเมตตากรุณา ความเสียสละ และการให้อภัย คริสต์ศาสนาสอนว่า มนุษย์ทุกคนล้วนเป็ นบุตรพระเป็ นเจ้า จึงควรรักกัน เสมือน พี่นอ ้ งและควรให ้ ความรกัแก่ทุกคนแมก ้ ระทงั่ศตัรู 3) อาณาจักรพระเป็ นเจ้า จุดหมายสูงสุดของชาวคริสต์ คือ การเข้าไปสู่อาณาจักร เป็ นเจ้า อาณาจักรพระเป็ นจ้าเป็ นอาณาจักรแห่งจิตใจ ใครก็ตามที่มีจิตใจบริสุทธิ์ 18


เมตตาเพื่อนมนุษย์ ปฏิบัติตามพระบัญญัติ 10 ประการ รวมถึงมีศรัทธาในพระเป็ นเจ้าและ พระเยซูคริสต ์ ผูน ้้นัก ็ เป็ นบุตรพระเป็ นเจา ้ ที่แทจ ้ ริงและเป็ นสมาชิกของอาณาจกัรพระเป็ นเจา ้ นอกจากน้ียงัมีหลกัดา สอนสา คญัที่พระเยซูดริสตท ์ รงประกาศสั่ งสอนคริสตศ ์ าสนิกชน อีกมากมาย ซ่ึงพอจะสรุปไดด ้ งัต่อไปน้ี 1. พระเยซูคริสต์เป็ นบุตรของพระเป็ นเจ้า พระองค์ทรงส่งมาให้เกิดในโลกมนุษย์ เพื่อไถ่บาปมนุษยท ์ ้ งัปวง มิเพียงแต่เป็ นพระเมสสิยาห ์ ของชาวยิวเท่าน้นัแต่เป็ นพระคริสต ์ (Chris) ซึ่งหมายถึงผู้ที่พระเป็ นเจ้าทรงเลือกสรรมาเพื่อสร้างสันติ 2. บุคคลใดเชื่อในพระเยซุคริสตแ ์ ละคา สั่ งสอนของพระองค ์ บุคคลน้นัจะไดร ้ับความ อยรู่อดและชีวิตนิรันดรจะไม่ถูกพิพากษาในวนัสิ้ นโลก ส่วนบุดคลใดไม่มีศรัทธาในพระเยซู คริสต์ บุคคลน้นัจะตอ ้ งถูกพิพากษาลงโทษ 3. พระเยซูคริสตท ์ รงสั่ งสอนชาวยิวให ้ กลบัใจใหม่มิให ้ นบัถือศาสนาเฉพาะในการ ประกอบศาสนพิธีหรือท่องค าสวดด้วยปากไม่จริงใจ 4. บัญญัติสูงสุดของพระเยซูคริสต์ คือ "จงรักพระเจ้าด้วยสุดใจสุดจิต สุดความคิดและ สุดกา ลงัของท่าน และจงรักเพื่อนมนุษยเ ์ หมือนรักตนเอง" บญัญตัิน้ีไม่มีในบญัญตัิ10 ประการ แต่พระเยซูคริสต์ได้ทรงสรุปว่า บัญญัติแห่งความรักคือข้อสรุปของบัญญัติ 10 ประการน้นั พระองค์ ทรงทา ให ้สมบูรณ ์ ยิ่ งข้ึน และทรงเนันว่าการปฏิบตัิตามกฎโดยไม่ปฏิบตัิตามบญัญตัิ10 ประการ และไม่รักพระเป็ นเจ้าหรือเพื่อนมนุษย์ ถือเป็ นผู้ที่มิได้มีศรัทธาในพระเป็ นเจ้าอย่างแท้จริง ผู้ที่ พระเป็ นเจา ้โปรดปรานคือผูท ้ี่ต้ งัอยใู่นความดีความชอบธรรม พระเป็นเจ้าไม่ทรงต้องการเครื่อง บูชาที่เป็ นสัตว์ แต่พระองค์ทรงต้องการหัวใจของคนอย่างแท้จริง 5. พระเยซูคริสตท ์ รงสั่ งสอนมิให ้ กงัวลเกี่ยวกบัโลกิยสุขอนัเป็ นความสุขทางโลก แต่ทรงสั่ งสอนให ้ แสวงหาความสงบสุขและสันติทางจิตใจโดยทรงกล่าวว่า บุคคลผูท ้ี่ยงัห่วง สมบัติ และเห็นแก่วตัถุจะไม่ไดข ้้ึนสวรรค ์ แต่บุคคลผูท ้ี่สละทุกสิ่ งเพื่อพระเป็ นเจา ้ จะไดช ้ีวิตนิรันดร 6. พระเยซูคริสตท ์ รงสอนว่าการไม่ทา ชวั่ตอบแทนชวั่หรือการทา ดีตอบแทนดีเท่าน้นั 19


ยงัไม่เพียงพอแต่ควรทา ดีตอบแทนชวั่และให ้ รักศตัรูดังที่ได้ทรงเปรียบเทียบว่า อย่าต่อสู้กับคน ชวั่ หากผู้ใดตบแก้มขวาของท่านก็จงหันแก้มซ้ายให้เขาด้วย 7. ความดีสูงสุด คือ การท าตัวตามแบบพระเยซูคริสต์ เพราะว่าพระเยซูคริสต์คือ พระเป็ นเจา ้ ซ่ึงสา แดงพระองคใ์ ห ้ปรากฎแกม่นุษย ์ คุณธรรมสูงสุดของพระองค ์ คือความรัก ความเมตตากรุณาความอ่อนโยน ความถ่อมตน ความอดทนต่อความทุกขท ์ ้ งัปวงความ ชอบธรรม ความยตุิธรรม ความซื่อสัตยส ์ุจริต ความสงบ และความบริสุทธ์ิท้ งักายวาจา ใจ โดยทรงกล่าวว่า จงเป็ นผู้ดีโดยชอบอย่างพระบิดาของท่าน 8.จริยธรรมในการดา เนินชีวิต สิ่งที่มีอิทธิพลต่อการดา เนินชีวิตของชาวคริสตน ์ ้นั อย่างน้อยมี 4 ประการ คือ ความรัก การเสียสละ การให้อภัย และการบ าเพ็ญประโยชน์ต่อผู้อื่น จริยธรรมดา ้ นความรักอนัแทจ ้ ริงในคริสตศ ์ าสนาคือความเชื่อในพระเป็ นเจา ้ นนั่คือ ความไว้วางใจในพระเป็ นเจ้าองค์เดียวซึ่งเป็ น 3 บุคคลไดแ ้ ก่พระบิดาคือ พระผู้สร้างโลก มนุษยแ ์ ละสรรพสิ่งท้ งัหลาย พระบุตรคือ พระผูล ้ งมาเกิดเพื่อไถ่บาปให ้ มนุษย ์ และพระจิต คือ พระผู้เสด็จ มาเพื่อนา ทางแลว ้ ช่วยเหลือใหม ้ นุษยไ์ปสู่พระเป็ นเจา ้ พ้ ืนฐานแห่งความสา คญัของ ชาวคริสต์ที่จะต้องแสวงหาคือพระทัยและพระประสาทของพระเป็ นเจ้าที่มีต่อตน ต่อผู้อื่นและ ต่อโลก ชีวิตของชาวคริสต์ประกอบด้วย3 มิติ คือ ความเชื่อ ความหวัง และความรักแต่ความรัก น้นัยิ่ งใหญ่ที่สุด การตดัสินใจของชาวคริสตต ์ อ ้ งอยู่บนพ้ ืนฐานของความเชื่อในพระเป็ นเจา ้ ผู้ บริสุทธ์ิและตอ ้ งมีความหวงัอยใู่นการตดัสินใจน้นัดว ้ ยความรักยิ่ งใหญ่ที่สุด คือบรรทัดฐานแห่ง จริยธรรม พระเยซูคริสตไ์ ดท ้ รงดา เนินชีวิตให ้ ชาวคริสตไ์ ดเ ้ ห ็ นว่าความรกัที่แทจ ้ ริงน้นัควรเป็ น อย่างไร เกร็ดน่ารู้ สมณศักดิ์ของนักบวซในศาสนจักรคาทอลิก หน่งส าคัญบางต าแหน่งของนักบชในคริสต์ศาสนา นิกายโรมันคาทอลิก เรียงตามล าดับสูง ดงัน้ี ระสันตะปาปา (Pope) เป็ นประมุขสูงสุดของนิกายโรมันคาทอลิก ประทับที่นครรัฐวาติกัน เชื่อว่าพระเยซูคริสตไ์ ตม ้ อบหมายให ้ปกครองศาสนจกัรต่อจากพระองค ์ นบัต้ งัแต่นกับุญเปโตร (เชนต์ปี เตอร์) 20


พระสันตะปาปาองค์แรกเป็ นต้นมา จนถึงปัจจุบัน คือ พระสันตะปาปาฟรานซิสที่ 1 ชาว อาร์เจนตินา ตินัล (Cardinal)เป็ นผู้ช่วยพระสันตะปาปา ซึ่งคัดเลือกมาจากประเทศต่างๆ มีสิทธิ์ เลื นตะปาปาองคใ์ หม่อองคเ ์ ดิสิ้ นพระชนมล ์ ง (ประเทศไทยมีพระคาร ์ ตินลัชื่อเกรียงศกัด์ิโกวิทว อัครมุขนายก (Archbishop) เดิมเรียกว่า "พระอัครสังฆราช" เป็ นประมุขผู้ปกครองอัครมุขมณฑ ความสา คญัอยา่งยิ่ ง มุขนายกมิชชัง (Bishop) เดิมเรียกว่า "พระสังฆราช" เป็ นประมุขผู้ปกครองสังฆมณฑลร เทศน ์ สั่ งสอน การประกอบพิธีกรรมต่างๆ เป็ นตน ้ โดยคดัเลือกจากผูม ้ีความประสงคท ์ ี่จะบวช และมี หลวง (Clergy man) ชาวคาทอลิกเรียกว่า "คุณพ่อ" ซึ่งเป็ นผู้น าทางศาสนาของ 23 ปี 6. ภราดาและภคินี (Brother and Sister) เป็ นนักบวชชายและหญิงที่บวชรับใช้ศาสนาในด้านต่าง ๆ เช่น ให้บริการทางสาธารณสุข การศึกษา การเผยแผ่ศาสนา เป็ นต้น โดยปกติจะครองความเป็ นโสด ตลอดชีวิต การที่พระเยซูคริสตร ์ักพระเป็ นเจา ้ และมนุษยโ์ ดยทรงยอมสิ้ นพระชนมบ ์ นไมก ้ างเขน นบัเป็ นการเสียสละเพื่อแสดงความรักอนัไม่มีขอบเขตและสิ้ นสุด ดว ้ ยเหตุน้ีชาวคริสตท ์ วั่โลก จึงใช้ไม้กางเขนเป็ นสัญลักษณ์แห่งความเชื่อของตน ไม้กางเขนมีเส้นตรง 2 เส้ น คือเสน ้ ดิ่ ง และเส้นระดับ เส้ นดิ่ ง หมายถึง ชนชาวคริสต ์ จะตอ ้ งรักพระเป็ นเจา ้ ผูอ ้ ยเู่บ้ืองบน ส่วนเส้ น ระดับ หมายถึง การที่ชนชาวคริสต์จะต้องรัก พระเป็ นเจ้าอย่างดีที่สุด เป็ นการตอบสนอง ความรักของพระเป็ นเจ้าที่ทรงมีต่อชนชาวคริสต์ ความรักที่ใช้ในความหมายของคริสต์ศาสนา คือ ความรักที่เสียสละโดยไม่หวังผลตอบแทน เป็ น ความรักที่หวังให้ผู้อื่นได้ดี ส่วนจริยธรรมด้านการให้อภัยและ การบา เพญ ็ ประโยชน ์ ต่อผูอ ้ื่นน้นั ไดป้ รากฏ 21


อย่างชัดเจนแล้วในชีวประวัติของพระเยซูคริสต์ ช่วงที่พระองคท ์ รงประกาศพระศาสนาและก่อน สิ้ นพระชนม ์ 5. พิธีกรรม พิธีกรรมในคริสต์ศาสนาเรียกว่า "ศีลศักดิ์สิทธิ์ " อันหมายถึงเครื่องหมายภายนอกที่พระเยซู คริสตท ์ รงต้ งัข้ึน เพื่อเป็ นเครื่องมือช่วยให ้ คนไปสู่ความหลุดพน ้ จากความทุกข ์ นิกาย โรมันคาทอลิกและนิกายออร์ทอดอกซ์ถือว่าศีลศักดิ์สิทธิ์ มี 7ศีล คือ ศีลล้างบาป ศีลก าลังศีลอภัย บาป ศีลมหาสนิท ศีลเจิมคนไข้ศีลสมรส และศีลอนุกรม ส่วนนิกายโปรเตสแตนต์ถือว่าศีล ศักดิ์สิทธิ์ มีเพียง 2ศีล คือศีลล้างบาปและศีลมหาสนิท ศีลศกัด์ิสิทธ์ิท้ งั7 ศีล มีดงัต่อไปน้ี 1)ศีลลา ้ งบาป เป็ นพิธีกรรมที่บาทหลวงทา ให ้ แก่ผูเ ้ ริ่มนบัถือคริสดศ ์ าสนาการประกอบพิธีศีล ล้างบาปของเด็กแรกเกิด เพื่อลา ้ งบาปท้ งัเด ็ กแรกเกิดและผูใ้ หญ่จากความเชื่อว่า มนุษย์ทุกคนมี บาปติดตวัมาต้ งัแต่เกิด จึงตอ ้ งทา พิธีลา ้ งบาปโดยการเทน้ า มนต ์ 3คร้ังลงบนศีรษะ พิธีลา ้ งบาปน้ี นิกายโปรเตสแดนด์ เรียกว่า "พิธีบัปติสมา" หรือ "พิธีบัพติศมา" 2) ศีลก าลัง เป็ นพิธีกรรมที่มุขนายกมิซซงัเจิมน้ า มนัเป็ นรูปกางเขนบนหนา ้ ผากของ เด ็ กโตที่รู้ รับผิดชอบแลว ้ เพื่อแสดงว่าพระจิตเสด ็ จเขา ้สู่จิตใจของผูน ้้นัแลว ้ หลงัจากการทา พิธีน้ี แลว ้ จึงจะถือว่าผูน ้้นัเป็ นชนชาวคริสตโ์ ดยสมบูรณ ์ 3) ศีลอภัยบาป เป็ นพิธีสารภาพความผิดที่ได้กระท าลงไป โดยการคุกเข่าสารภาพ ต่อหนา ้ บาทหลวง เพื่อเป็ นการปลดเปล้ืองบาปของตน และตอ ้ งแสดงความพอใจหรือสบายใจ หลังจากการได้สารภาพบาปแล้ว 4)ศีลมหาสนิท เป็ นพิธีที่สืบเนื่องมาจากการเล้ียงอาหารค่า ม้ือสุดทา ้ ยของพระเยซู- คริสต์กับสาวก 12องค์ เพื่อระลึกถึงชีวิตและค าสอนของพระองค ์ ชนชาวคริสตป์ ระกอบพิธีน้ี ร่วมกนั ในโบสถท ์ุกวนัอาทิตย ์โดยตอ ้ งอดอาหารก่อน 1 ชวั่โมงแลว ้ จึงสวดบทสวดตา่งๆ ตามที่ก าหนด เมื่อถึงเวลาจะรับศีลก็เดินไปดุกเข่าหรือยืนที่โต๊ะ แล้วรับขนมปังและเหล้าองุ่น อันเป็ นสัญลักษณ์แทนพระกายและพระโลหิตของพระเยซูคริสต์จากบาทหลวงมารับประทาน พิธีน้ี เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "พิธีมิสซา" 5)ศีลเจิมคนไข ้ เป็ นพิธีเจิมคนไขด ้ ว ้ ยน้ า มนัโดยบาทหลวง เพื่อให ้ คนไขร ้ ะลึกถึง พระเป็ นเจา ้ จะไดม ้ีกา ลงัใจที่จะเอาชนะความเจ ็ บป่วยน้นั 22


ศีลสมรส เป็นการประกอบพิธีแต่งงนนโบสถ์ระหว่างคู่บ่าวสาว โดยมีบ เป็ นผู้กระท าพิธีให้ เพื่อแสดงว่าเป็ นสามีภรรยากันอย่างถูกต้องตามกฎศาสนา 6) ศีลบวชหรือศีลอนุกรม เป็ นพิธีบวชเป็ นบาทหลวง โดยมีมุขนายกมิซซังเป็ น ผู้กระท าพิธีให้ เกร็ดน่ารู้ สัญลักษณ์ของคริสต์ศาสนา คือ ไม้กางเขน คริสต์ศาสนา ทุกกาย ใช้เครื่องหมายไม้กางเขน เพราะเชื่อว่าไม้กางเขนเป็ นเครื่องมือ ส าหรับประหารชีวิตนักโทษในอาณาจักรปาเลสไตน์ นักโทษที่ ถูกตดัสินประหารชีวิตจะถูกตรึงเขา ้ กบัไมก ้ างเขน แลว ้ ยกข้ึนต้ งั ให้ตากแดดไว้จนกว่าจะตายด้วยความร้อนและความหิวกระหาย พระเยซูคริสตท ์ รงสิ้ นพระชนมบ ์ นไมก ้ างเขน ดงัน้นัคริสต ์ ศาสนาจึงถือว่าไม้กางเขนเป็ นสัญลักษณ์แห่งการเสียสละอัน ยิ่ งใหญ่นิรันดรของพระเป็ นเจ้า 23


ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ศาสนาพราหมณ์-อินดูเป็ นศาสนาที่เก่าแก่ที่สุดในโลก ไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่าเกิดขึ้นเมื่อใด แต่สันนิษฐานว่ามีอายุไม่น้อยกว่า 4,000 ปี ศาสนาพราหมณ์-อินดูเป็ นศาสนาที่มีการผสมผสาน กันระหว่างศาสนาดั้งเดิมของพวกอารยันกับความเชื่อดั้งเดิมของชาวพื้นเมืองอย่างกลมกลืนลง ตัวและได้มีวิวัฒนาการมาโดยลําดับอย่างต่อเนื่อง ประวัติความเป็ นมา ศาสนาพราหมณ์เดิมเรียกว่า "สนาตนธรรม" แปลว่า "ธรรมหรือศาสนาอันเป็ นของเก่าหรือ นิรันดร" เป็ นศาสนาดั้ งเดิมของซนเผ่าอารยัน ซึ่งเดิมตั้ งถิ่ นฐานอยู่ในเอเชียกลาง ต่อมามีชนเผ่า อารยันส่วนหนึ่งอพยพเข้าไปสู่อินเดียเมื่อประมาณ 1,457 ปี ก่อนพุทธศักราช หรือ 2,000ปีก่อน คริสต์ศักราช โดยมีพวกทราวิฑหรือมิลักขะซึ่งเป็ นชาวพื้นเมืองต่อด้าน แต่ในที่สุดฝ่ าย อารยันเป็ นผู้มีชัย จึงมีการผสมผสานความเชื่อดั้งเดิมเข้ากับความเชื่อของพวกตนและได้ตั้ งเป็ น ศาสนาประจําชาติของตน เรียกว่า "ศาสนาพราหมณ์" แปลว่า "คําสอนของพราหมณาจารย์" ต่อมาศาสนาพราหมณ์ได้มีการปฏิรูปคําใหม่ เรียกว่า "ฮินดูธรรม" แปลว่า "ธรรมที่สอนลัทธิอหิงสา"จึงมีชื่อเรียกในภายหลังว่า "ศาสนาฮินดู" เนื่องจากศาสนาพราหมณ์-ฮินดูเป็ นศาสนาที่ยิ่ งใหญ่และสลับซับซ้อน จึงยากต่อการศึกษาให้ ละเอียดทุกแง่ทุกมุม เพราะฉะนั้น ในที่นี้จะขอกล่าวถึงประวัติความเป็ นมาของศาสนา พราหมณ์-ฮินดูโดยสังเขป ดังนี้ 1) ความเชื่อดั้ งเดิมก่อนเกิดสาสนาพราหมณ์ลักษณะความเชื่อก่อนเกิดศาสนา พราหมณ์-ฮินดูสามารถสรุปเป็ นข้อๆ ได้ ดังนี้ 1.พวกอารยันเชื่อในอํานาจและความน่ากลัวของธรรมชาติเช่นเดียวกับพวก ทราวิฑ นันคือ พระอา ่ทิตย์ให้ความร้อนและแสงสว่างในตอนกลางวัน พระจันทร์ให้แสงสว่าง และความสวยงามในเวลากลางคืน แม่นํ้ าลําธารเป็นเสมือนสายเลือดที่หล่อเลี้ยงชีวิต การเกิด ขึ้นของปรากฏการณ์ธรรมชาติมีฟ้าร้อง ฟ้าฝ่ า พายุ และแผ่นดินไหว เป็ นตัน พวกอารยันจึงได้ กราบให้วิงวอนบวงสรวงสังเวยด้วยพิธีกรรมต่างๆ นับถือธรรมชาติเหล่านั้นเป็ นเทพเจ้าที่มี ชื่อเรียกแตกต่างกันไป เพื่อพวกตนจะได้ให้สิ่ งศักดิ์สิทธิ์ เหล่านั้นอํานวยความสุขความเจริญให้ ตามความปรารถนาและไม่มีภยันตราย 2.พวกอารยันยังได้นับถือวิญญาณบรรพบุรุษ บุตรหลานต้องเซ่นไหว้บูชา 24


ให้ข้าวปลาอาหารแก่วิญญาณโดยให้ความสําคัญเท่ากับเทพเจ้า เพราะเชื่อว่าวิญญาณของบรรพ บุรุษผู้ล่วงสับไปแล้วจะได้กลับมาเกิดมีชีวิตขึ้นใหม่ 3.พวกอารยันในยุคแรกบูชาเทพเจ้าสําคัญ 4องค์ ได้แก่ อินทระ เทพผู้บันดาลสิ่งทั้ งหลายทั้ งปวงให้เกิดขึ้นในโลก เป็ นเทพแห่งสงคราม สาวิตรี/สุริยา เทพผู้ให้ความร้อนและแสงสว่างในเวลากลางวัน วรุณะเทพผู้ให้ความเย็นและความชุ่มชื่น เป็ นเทพเจ้าแห่งการเกษตร ควบคุมระเบียบ จักรวาล คอยตรวจตราดูแลความประพฤติของมนุษย์ ยม เทพผู้ทําลายชีวิตมนุษย์และสัตว์ 4. ความเชื่อผสมผสานกันได้ง่ายระหว่างพวกอารยันกับพวกทราวิฑ เพราะเดิมที่ พวกอารยันบูชาพระอาทิตย์ แต่พวกทราวิฑบูชาเทพเจ้าประจําโลกธาตุ ๔ อันได้แก่ ดิน นํ้ า ลม ไฟ ดังนั้น การบูชาไฟ พระอาทิตย์ หรือสาวิตรี จึงเป็ นความเชื่อที่ประสานเข้า กันได้ พวกทราวิฑได้บูชาเทพเจ้าประจําโลกธาตุทั้ ง ๔ ด้วยเชื่อว่าวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ สถิตอยู่ ในโลกธาตุทั้ ง ๔ 5.พวกอารยัน ได้ทําพิธีบูชายัญโดยนําเนื้อสัตว์หรือสิ่งอื่นๆ ที่พวกตนคิดว่าเทพเจ้า โปรดเสวยไปใส่ในกองไฟ เพราะเชื่อว่าการที่สิ่งของเหล่านั้นถูกไฟไหม้หมดไปในกองไฟ แสดงว่าเทพจ้าได้เสวยแล้ว และควันไฟที่ลอยขึ้นไปในอากาศเป็ นเสมือนสื่อหรือทูตนํา ความมุ่งประสงค์ของผู้ทําพิธีไปทูลเทพเจ้าบนสวรรค์ 6. ศาสนาพราหมณ์เชื่อว่าการทําพิธีบูชายัญเป็ นการเอาใจเทพเจ้าและบีองกัน มิให้เกิดความวิบัติแก่ชีวิตและทรัพย์สิน โดยใช้เครื่องสังเวยเป็ นอาหารหรืออาจฆ่าสัตว์ บูชายัญพราหมณ์เป็ นผู้นําประกอบพิธีกรรมตามหลักตําสอนในคัมภีร์พระเวท 2) ศาสนาพราหมณ์ในยุตพระเวทและยุดพราหมณ์ มีวิวัฒนาการที่สามารถแบ่งออกเป็ น 2 ยุค ใหญ่ๆ ดังนี้ 2.1)ยุคพระเวท ประมาณ 1,457-757 ปี ก่อนพุทธศักราช พวกอารยันได้รับ เอาความเชื่อและการนับถือเทพเจ้าของพวกทราวิฑเข้ามาผสมผสาน จึงทําให้มีเทพเจ้า เพิ่ มขึ้นอีก ๓ กลุ่ม คือ เทพเจ้าบนพื้นโลก เทพเจ้าบนอากาศ และเทพเจ้าบนสวรรค์ พิธีบูชาเทพเจ้าของพวกอารยันในยุดพระเวทได้เปลี่ยนไปจาก "พลี"เป็ น บูชายัญ" ด้วยสัตว์มีชีวิต มีการถวายนํ้ าโสมหรือเครื่องดื่มพร้อมนมเนย และมีบทสวดขับสําหรับพิธี บูชายัญเพิ่ มขึ้น พวกอารยันอยู่กันเป็ นเผ่าหรือโคตร แต่ละโคตรมีหัวหน้าควบคุมดูแล เมื่อ 25


หัวหน้าโคดรประกอบพิธีบูชาเทพเจ้าหรือประกอบกิจการไดต้องอาศัยพราหมณ์ประจํา โคตรหรือหมู่บ้านที่เรียกว่า "ปุโรหิต"เป็ นที่ปรึกษา ด้วยเหตุนี้ ฐานะของพราหมณ์จึงได้เริ่ม สูงขึ้นเป็ นลําดับ เนื่องจากสามารถสื่อสารกับเทพเจ้าได้ 2.2) ยุคพราหมณ์ประมาณ 657-257 ปี ก่อนพุทธศักราช พวกอารยันใน ยุคพราหมณ์เชื่อความศักดิ์สิทธิ์ ของเทพเจ้า จึงทําให้นักบวชพราหมณ์เป็ นผู้มีอํานาจสูงสุด ในจิตใจของประชาชน เพราะนักบวชพราหมณ์ได้ผูกขาดความรู้ในการประกอบพิธีกรรม และติดต่อกับเทพเจ้าได้เพียงฝ่ ายเดียว ช่วงเวลานี้จึงได้ชื่อว่า "ยุคพราหมณ์"สําหรับงาน สําคัญที่พราหมณาจารย์ในยุคพราหมณ์สร้างขึ้น มีดังนี้ 1.กําหนดศาสนพิธีทั้ งของพระราชาและของประชาชน 2. ปรับปรุงเรื่องราวเกี่ยวกับเทพเจ้าใหม่ 3. แบ่งฐานชนชั้นในยุคพราหมณ์หรือยุคมหากาพย์ออกเป็ น ๔ วรรณะ ดังนี้ วรรณะในสังคม วรรณะพราหมณ์เป็นวรรณะสูงสุด เป็ นตัวแทนติดต่อเทพเจ้า เป็ นนักบวช นักปราชญ์ ครู อาจารย์ มีหน้าที่ประกอบพิธีกรรมทางศาสนาและสอนศาสนาให้แก่ทุกชนชั้ น วรรณะกษัตริย์ เป็ นวรรณะของพวกนักรบ นักปกครอง มีหน้าที่ในการปกครองประเทศ ป้องกันประเทศ วรรณะแพศย์เป็ นวรรณะของชนส่วนใหญ่ในสังคม เป็ นวรรณะของพวกพ่อค้า ช่างฝี มือต่างๆ เกษตรกร มีหน้าที่คุมอํานาจทางเศรษฐกิจ วรณะศูทรเป็ นผู้ทํางานรับจ้างและใช้แรงงาน เช่น กรรมกร แรงงาน มีหนาที่รับใช้ วรรณะทั้ งสามข้างต้น 3) ศาสนาพราหมณ์วิวัฒนาการเป็ นศาสนาฮินดูศาสนาพราหมณ์ได้เจริญรุ่งเรือง มาตามลําดับ จนกระทังวิวัฒนาการเป็ นศาสนาฮินดู โดยมีความเชื่อที่สําคัญๆ ดังนี ่ ้ 3.1) ความเชื่อในอมตภาพของวิญญาณ คือ เชื่อในอาตมภาพหรือความไม่แตกดับ ของวิญญาณ ศาสนาฮินดูเรียกวิญญาณว่า "อาตมัน" หรือ "ชีวาตมัน" ซึ่งมีความสําคัญมาก ที่สุดของสิ่ งมีชีวิต และสิงสถิตอยู่ในร่างกายมนุษย์และสัตว์ทุกประเภท ชีวาตมันเป็ นสิ่ งที่ เที่ยงไม่แตกตับ เมื่อมนุษย์หรือสัตว์ตาย ร่างกายเท่านั้นที่แตกตับเสื่อมสลายไป แต่ชีวาตมันไม่แตกดับไป ด้วยชีวาตมันจะออกจากร่างเก่าไปอาศัยในร่างใหม่ 26


3.2) ความเชื่อในกรรมและการเกิดใหม่ศาสนาฮินดูสอนว่าชีวิตแต่ละชีวิต จะแตกต่างกันไปตามอํานาจของกรรมอันเกิดจากการกระทําในชาติก่อน และการที่บุคคล จะเกิดเป็ นอะไร อย่างไรในชาติหน้านั้น ก็ขึ้นอยู่กับกรรมที่ทําไว้ในชาตินี้หากทํากรรมดี ไว้มากอาจส่งผลให้เกิดไนวรรณะสูง แต่ถ้าทํากรรมชัวอาจส่งผลให้เกิดในวรรณะตํ่าหรือ ่ อาจเกิดเป็ นสัตว์ดิรัจฉาน เพราะกรรมนี้เองทําให้ชีวิตต้องเวียนว่ายตายเกิดเป็ นวัฏฏะอยู่ บุคคลที่สละความสุขทางโลกเข้าสู่ป่ าแสวงหาสัจธรรมบําเพ็ญธรรมจนกระทังบรรลุ่ โมกษะหรือความหลุดพ้นจากทุกข์แล้วเท่านั้นที่ตายแล้วไม่ต้องเกิดใหม่ 3.3) การตั้ งข้อบังคับของวรรณะศาสนาฮินดูได้ตั้ งข้อบังดับในวรรณะพราหมณ์ วรรณะกษัตริย์ และวรรณะแพศย์ให้ประพฤติตนอยู่ในอาศรม 4ได้แก่ พรหมจารี คฤหัสถ์วาน ปรัสถ์ และสันยาสีอย่างเคร่งครัด 3.4) เทพเจ้าอวตารลงมาเป็ นวีรบุรุษ ศาสนาฮินดูเชื่อว่า พระวิษณุทรงอวตาร ลงมาเพื่อปราบยุคเข็ญในโลกมนุษย์ ดังเรื่องราวที่ปรากฏอยู่ในมหากาพย์รามายณะ ซึ่งกล่าวถึงพระวิษณุอวตารลงมาเป็ นพระรามเพื่อปราบทศกัณฐ์ และมหากาพย์ มหาภารตะ ซึ่งกล่าวถึงพระวิษณุอวตารลงมาเป็ นพระกฤษณะ เพื่อยุติสงครามระหว่าง กษัตริย์ปาณฑพทั้ ง 5องค์ พระราชโอรสในกษัตริย์ปาณฑุกับกษัตริย์กุรุหรือเการพ 100 องค์ พระราชโอรสในกษัตริย์ธฤตราษฎร์ โดยการสอนปรัชญาศาสนาที่เรียกว่า "ภควัทคีตา" 4) ตรีมูติในศาสนาอินดูยุคพระเวทตอนปลายและยุคมหากาพย์ตอนต้นอยู่ใน ช่วงตันพุทธศตวรรษที่ 1 ถึพุทธศตวรรษที่ 10 พวกพราหมณ์มีบทบาทมากในสังคมและได้ กลายเป็ นชั้ นอภิสิทธิ์ ชน เป็ นผู้วิเศษและมีอิทธิพลมากในงานการต่างๆ ศาสนาในยุคพระเวทเรียกว่า "ศาสนาพราหมณ์" ครั้นวลาล่วงมาถึงยุคพระเวทตอนปลาย ศาสนาพราหมณ์ได้มีการปฏิรูปเกิดแนวความคิดด้านปรัชญา มีเหตุมีผลมากขึ้น ต่อมาจึงมี การเรียกศาสนาพราหมณ์ว่า "ศาสนาฮินดู" ศาสนาในยุคมหากาพย์มีการเปลี่ยนแปลงไป อย่างมาก เทพเจ้าที่สําคัญในยุคมหากาพย์ได้แก่ พระพรหม พระวิษณุหรือ พระนารายณ์ และพระศิวะหรือพระอิศวร เทพเจ้าทั้ ง 3 พระองค์ เหล่านี้รวมเรียกว่า "ตรีมูรติ" 27


ตรีมูรติในศาสนาฮินดูเป็ นลักษณะของเทวะที่แสดงออกมาในรูปของบุคลาธิษฐานซึ่ง ถือบุคคลเป็ นใหญ่ ให้รู้ภาวะทั้ ง 3ว่า โลกมีการเกิดขึ้น ตั้ งอยู่ และถูกทําลาย แล้วมีการสร้างขึ้น ใหม่อีก ตั้ งอยู่ และถูกทําลายไปอีก เป็ นวัฏจักรวนเวียนอยู่อย่างนี้เรื่อยไปโดยเทพเจ้า ทั้ ง3องค์นี้ ทําหน้าที่เป็ นผู้สร้าง ผู้พิทักษ์รักษา และผู้ทําลาย คัมภีร์ คัมภีร์ของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ได้มีวิวัฒนาการตามลําดับพร้อมๆ กับวิวัฒนาการของ ศาสนา โดยมีคัมภีร์ที่สําคัญที่สุด คือ คัมภีร์พระเวท ประกอบด้วย 4คัมภีร์ ดังนี้ ของศาสนาพราหมณ์-ยินดู ได้มีวิวัฒนาการมาดามลําดับพร้อมๆ กับวิวัฒนาก คัมภีร์ฤคเวท เป็ นคัมภีร์ที่ว่าด้วยการสวดสรรเสริญและอ้อนวอนเทพเจ้าต่างๆ แต่งเป็ นโศลกคําฉันท์ คัมภีร์ยชุรเวท 28


เป็ นคู่มือพิธีกรรมของพราหมณ์ เป็ นบทร้อยเเก้วอธิบายวิธีประกอบพิธีกรรมแสะ บวงสรวง คัมภีร์สามเวท เป็ นคัมภีร์รวบรวมบทสวดมนต์โดยนํามาจากคัมภีร์ฤคเวทเป็ นส่วนมาก แต่งขึ้นใหม่ มีประมาณ 78 บท ใช้สําหรับสวดในพิธีถวายนํ้ าโสมและขับกล่อมเทพเจ้า คัมภีร์อถรรพเวท เป็ นคัมภีร์ที่แต่งขึ้นใหม่ในปลายสมัยพราหมณ์ เป็ นคาถาอาคมศักดิ์สิทธิ์ ใช้สําหรับ ทําพิธีขับไล่สิ่ งชัวร้ายและความอัปมง ่คลรวมถึงนําความชัวร้ายไปสู่ ่ศัตรู คัมภีร์พระเวททั้ ง 4 เล่ม ล้วนมีองค์ประกอบที่เหมือนกันโดยแบ่งเป็ น 4 หมวด ดังนี้ หมวดสัมหิตา เป็ นหมวดที่รวบรวมมันตระต่างๆ สําหรับเป็ นบริกรรมและขับกล่อมอ้อนวอนสดุดีเทพเจ้า เนื่องในพิธีกรรมบวงสรวง ทําพลีกรรมบูชา หมวดพราหมณะ เป็ นหมวดร้อยแก้วที่อธิบายเกี่ยวกับระเบียบการประกอบพิธีกรรมต่างๆ ไว้อย่างละเอียด หมวดอารัณยกะ เป็ นหมวดร้อยแก้ว ใช้เป็ นตําราคู่มือการปฏิบัติของพราหมณ์ผู้ประสงค์คําเนินตนเป็ น วานปรัสถ์ ชฎิล หรือปริพาชกเพื่อหาความสงบสุข ตัดความกังวลจากการอยู่ครองเรือน หมวดอุปนิษัท เป็ นหมวดที่มีแนวติดทางปรัชญาอย่างลึกซึ้ง โดยเน้นเรื่องอาตมัน เทพเจ้าโลก แสะมนุษย์ ซึ่ง เป็ นการอธิบายสาระสําคัญของพระเวททั้ งหมด อันได้แก่ปรมาตมัน คือ วิญญาณดั้งเดิมหรือ ความเจริญสูงสุดของโลกและชีวิต อาตมันหรือชีวาตมันเป็ นส่วนอัตตาหรือวิญญาณย่อย ซึ่ง ปรากฏแยกออกมาอยู่ในแต่ละคน และเรื่องกรรม นิกาย ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ไม่มีศาสดาเป็ นผู้สั่ งสอนศาสนาอาศัยคัมภีร์และความเชื่อในเทพเจ้า เป็ นสําคัญในการเผยแผ่ศาสนา จึงทําให้เกิดนิกายย่อยๆ หลายนิกาย แต่นิกายใหญ่ที่สําคัญมี๓ นิกาย ดังนี้ 29


นิกายพรหม เป็ นนิกายที่เคารพและนับถือพระพรหมเป็ นใหญ่กว่าเทพอื่นๆนิกายนี้เป็ นนิกายที่ เก่าแก่ แต่ภายหลังมีความสําคัญน้อยลงเมื่อมีคนหันไปนับถือพระวิษณุและพระศิวะมากขึ้น นิกายไวษณพ เป็ นนิกายที่มีผู้นับถืออยู่ทัวไปในประเทศอินเดีย ่ แต่ส่วนมากอยู่ในอินเดียภาคใต้ นิกายนี้นับถือว่าพระวิษณุเป็ นเทพเจ้าสูงสุด เป็ นผู้สร้างสากลโลก จุดมุ่งหมายสูงสุดของนิกาย ไวษณพ คือ การเข้าถึงความหลุดพ้นหรือโมกษะ แต่การที่จะเข้าถึงภาวะแห่งความหลุดพ้นได้ก็ ต่อเมื่อได้รับความช่วยเหลือจากเทพเจ้า นิกายไศวะเป็ นนิกายที่นับถือพระศิวะหรือพระอิศวรเป็ นใหญ่ ว่าเป็ นผู้สร้างโลก นิกายนี้นับถือศิวลึงค์ โดยนับถือว่าเครื่องหมายแห่งเพศนั้นเป็ นผู้สร้างสรรพสิ่ งในโลก จุดมุ่งหมายสูงสุดของผู้นับถือนิกายไศวะ คือ โมกษะหรือการบรรลุความหลุดพ้นโดยการเข้าถึง ความเป็ นเอกภาพกับพระศิวะ หลักธรรม หลักธรรมคําสอนของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ที่สําคัญมีดังต่อไปนี้ 1) หลักอาศรม 4อาศรม 4 หมายถึง การดําเนินชีวิตของชาวฮินดูตามคัมภีร์ มนูธรรมตาสตร์ เฉพาะชนชั้นวรรณะพราหมณ์ วรรณะกษัตริย์ และวรรณะแพศย์เท่านั้น โดยกําหนดเกณฑ์อายุคนไว้ 100 ปี แบ่งช่วงของการใช้ชีวิตไว้ 4 ตอน ตอนละ 25 ปี ช่วงชีวิตแต่ละช่วงเรียกว่า "อาศรม" แปลว่า "วัย" หรือ "การหยุดพัก" หรือ "ขั้ นตอนของชีวิต" ขั้ นตอนการดําเนินชีวิดตามหลักอาศรม 4 มีดังนี้ อาศรมที่ 1 : ปฐมวัยเรียกว่า "พรหมจรรยาอาศรม" เริ่มตั้ งแต่อายุประมาณ 8-25 ปี ผู้ที่เข้าสู่อาศรมนี้เรียกว่า "พรหมจารี" ซึ่งนักเรียนและนักศึกษาจะอยู่ในช่วงนี้นันเอง ผู้อยู่ใน ่ พรหมจรรยาศรมมีหน้าที่ตั้ งใจเรียนวิชาการในวรรณะของตน เชื่อฟังและปฏิบัติตามตําสั่ งสอน ของคุรุหรือครูอาจารย์ ไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องเพศไม่คบกับเพศตรงข้าม เมื่อสําเร็จการศึกษาแล้วต้อง ทําพิธีเกศนตสันสกา คือ ตัดผมและพิธีคุรุทักษิณา คือ มอบสิ่งตอบแทนตรูอาจารย์หลังสําเร็จ การศึกษาแล้ว อาศรมที่ 2 : มัชฌิมวัยเรียกว่า " คฤหัสถาศรม" อยู่ในช่วงอายุ 26-50 ปี ผู้ที่เข้าสู่ อาศรมนี้เรียกว่า "คฤหัสถ์" มีหน้าที่ช่วยบิดามารตาทํางาน แต่งงานมีครอบครัวและมีบุตรสืบ สกุล ประกอบอาชีพเลี้ยงครอบครัวและสะสมทรัพย์ไว้ตามความสามารถ โดยยึดหลักธรรมเป็ น วิถีดําเนินชีวิต 30


อาศรมที่ 3 : ปัจฉิมวัย เรียกว่า " วานปรัสถาศรม" อยู่ในช่วงอายุ 51-75 ปี เป็ นระยะ เวลาแห่งการกระทําเพี่อสังคมและประเทศชาติมีหน้าที่มอบสมบัติให้กับบุตรธิดา บําเพ็ญประโยชน์เพื่อส่วนรวม ออกบวชปฏิบัติธรรมที่เรียกว่า "วานปรัสถ์" คือ การเข้าป่ าเพื่อหา ความวิเวกและฝึ กจิตของตนให้บริสุทธิ์ ตามสําพัง อาจกระทําเป็ นครั้งคราวแล้วกลับสู่เรือนอีกก็ ได้ รวมถึงทําประโยชน์แก่สังคมด้วยการเป็ นครูอาจารย์ อาศรมที่ 4 : สันยัสตาศรม อยู่ในช่วงอายุตั้ งแต่ 76 ปี ขึ้นไป เป็ นอาศรมขั้ นสุดท้ายของชีวิต ผู้ที่ปรารถนาที่จะบรรลุโมกษะหรือความหลุดพ้นจากทุกข์ต้องออกบวชเป็ นปริพาชก ถือเพศพรหมจรรย์ตลอดชีวิต เรียกว่า "สันยาสี" สันยาสีนี้ไม่สนใจคนเป็ นและไม่สนใจคนที่ ตายไปแล้ว สละความรักและความเกลียดจากดวงจิตของตน ไม่สนใจชีวิตความเป็ นอยู่ บําเพ็ญ สมาธิ พยายามแสวงหาโมกษะธรรมเพื่อจะได้ทราบชัดว่าตนเป็ นใคร พระพรหมเป็ นใคร บําเพ็ญเพียรตามหลักศาสนาเพื่อจุดหมายปลายทางของชีวิต คือ โมกษะ 2) หลักปรมาตมัน ปรมาตมัน คือ วิญญาณดั้ งเดิมหรือความจริงสูงสุดในจักรวาล อันหมายถึงสิ่ งที่ยิ่ งใหญ่ซึ่งเรียกว่า "พรหม" ทุกสิ่ งทุกอย่างมาจากพรหมและกลับคืนไปสู่พรหม พรหมจึงเป็ นหนึ่งและเป็ นอมตะ และปรมาตมันกับพรหมจึงเป็ นสิ่ งเดียวกัน โดยมีลักษณะ ดังนี้ 1. เกิดขึ้นเอง 2. เป็ นนามธรรม สิงสถิตอยู่ในสิ่ งทั้ งหลาย และเป็ นสิ่ งที่มองไม่เห็นด้วยตา 3. เป็ นศูนย์รวมแห่งวิญญาณทั้ งปวง 4.สรรพสิ่ งล้วนแยกออกมาจากพรหม 5. สัจธรรมเป็ นความจริงเพียงสิ่งเดียว 6. เป็ นผู้ประทานญาณ ความติด และความสันติ 7. เป็ นสิ่งที่ดํารงอยู่ในสภาพเดิมตลอดกาล 3) หลักโมกษะโมกษะ หมายถึง อิสรภาพทางวิญญาณ เป็ นอุดมคติและคุณค่า สูงสุดในชีวิต เป็ นระดับที่ข้ามพันสังสารวัฏ เพราะว่าการปฏิบัติในขั้ นนี้เป็ นการทําตนให้ข้าม พ้น จากความตาย ซึ่งเป็ นความน่ากลัวในชีวิตสังสารวัฏ โมกษะจึงเป็ นความพยายามของมนุษย์เพื่อ ถึงความเป็ นสุขยันเป็ นนิรันดร ดังคําสอนในศาลนาฮินดูที่ว่า ผู้ใดรู้แจ้งในอาตมันของตนว่าเป็ น หลักอาตมันของโลกพรหมแล้ว ผู้นั้นย่อมพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดและจะไม่ปฏิสนธิอีก 31


มรรควิธีที่จะเข้าถึงโมกษะ คือ ต้องปฏิบัติตามหลักอาศรม 4 ขั้ น โดยเฉพาะเมื่อถึงขั้ นตอน สุดท้าย คือ สันยาสี และต้องปฏิบัติตามมรรค 4 ดังต่อไปนี้ กรรมมรรควิถีแห่งความหยุดพ้นด้วยการละกรรมที่เป็ นเหตุเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏ และพึงกระทํากรรมที่เป็ นเหตุให้เช้าถึงความหลุดพ้น ชญานมรรควิถีแห่งความหลุดพ้นด้วยการศึกษาและปฏิบัติเพื่อให้เกิดปัญญารู้แจ้งใน พระบรมสัตย์ด้วยจิตบริสุทธิ์ เพื่อผลประโยชน์ส่วนรวมและไม่ก่อให้เกิดโทษแก่ผู้ใด ภักติมรรควิถีแห่งความหลุดพ้นด้วยความภักดีในเทพเจ้าด้วยความบริสุทธิ์ ใจ โดยถือ หลักว่าสิ่งมีชีวิตทั้ งหลายล้วนถือกําเนิดมาพรหม มีวิญญาณ (อาตมัน) ของพรหมสิ่งสถิตอยู่ ผู้ใด ให้ความคิดเห็น แนะนํา ช่วยเหลือสิ่งมีชีวิตทั้ งปวงผู้นั้นได้แสดงออกถึงความภักดีต่อพรหมสม ปรารถนา ราชมรรควิถีแห่งความหลุดพันด้วยการฝึกฝนอบรมจิต 4) หลักปรัชญา 6 สํานัก ปรัชญา 6 สํานัก เกิดจากความเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลง หลักธรรมและข้อปฏิบัติในศาสนาพราหมณ์ แล้วทําให้ศาสนาพราหมณ์ของชาวอินเดีย ในยุคหลังมีปรัชญาความเป็ นเอกลักษณ์ของตนโดยเฉพาะ จนกลายจากความเป็ นพราหมณ์มาสู่ ความเป็ นฮินดูดังในปัจจุบัน หลักปรัชญา 6 สํานัก มีดังต่อไปนี้ 4.1) สํานักปรัชญาสางขยะผู้สถาปนาลัทธิสางขยะชื่อ กปิ ละ หลักคําสอนของลัทธิสางขยะ ได้ปรากฏอยู่ในสางขยะการิกาและลางขยสูตร มีลักษณะเด่น ดังนี้ 1.เชื่อว่าชีวิตประกอบด้วย 2 ส่วน คือ ปุรุษ อันได้แก่ อาตมันหรือวิญญาณ สากล กับประกฤติ อันได้แก่ ดิน นํ้ า ลม ไฟ ทั้ งปุรุษและประกฤตินี้เป็ นสิ่งนิรันดร ไม่มีผู้ใดสร้างขึ้น 2. เน้นการสร้างปัญญาให้เกิด เมื่อทําลายเหตุแห่งทุกข์ทั้ งปวงและปลดเปลื้อง ปุรุษออกจากสิ่งผูกพัน สํานักปรัชญาสางขยะได้กล่าวถึงความทุกข์ไว้3 ประการ ต่อไปนี้ -ความทุกข์ที่เกิดจากเหตุภายใน ได้แก่ ความผิดปกติทางร่างกายและจิตใจ -ความทุกข์ที่เกิดจากเหตุภายนอก ได้แก่ มนุษย์ สัตว์ และสิ่ งอื่นๆ -ความทุกข์ที่เกิดจากสิ่งนอกเหนือธรรมชาติ ได้แก่ อิทธิพลที่เกิดจากดวงดาวต่างๆ เป็ นต้น 32


4.2) สํานักปรัชญาโยละผู้สถาปนาลัทธิโยคะซึ่ง ปตัญชลิโดยหลักทําสอนของ ปรัชญาโยคะสอนว่า ความรู้และการปฏิบัติเป็ นสิ่งที่ทําให้บุคคลเข้าถึงภาวะแห่งความหลุดพ้น ด้วยการบําเพ็ญสมาธิใช้บริกรรมด้วยคําว่า "โอม" อันเป็ นคําศักดิ์สิทธิ์ สําหรับภาวนาเพื่อเข้าถึง สิ่งสูงสุด และหลักปฏิบัติของปรัชญาโยคะ เรียกว่า "อัษฏางคโยค" แปลว่า "โยคะมีองค์๘ " ดังต่อไปนี้ 1.ยมะ :ความเหนี่ยวรั้ง การสํารวม ความประพฤติ และการบังคับใจไว้ การบังตับใจนั้นประกอบด้วยการงดเว้น จากการเบียดเบียนชีวิตสัตว์ทุกประเภท งดเว้นจากการพูดเท็จงดเว้นจากการขโมย งดเว้นจากการเสพกาม และงดเว้นจากการรับสิ่ งของเกินความจําเป็ น 2. นิยมะ : การบําเพ็ญข้อปฏิบัติตามคําสอนในลัทธิ การประพฤติตามศีลธรรมเป็ นการปลูกฝังสร้างนิสัยที่ดีคืออันได้แก่ การทําความ บริสุทธิ์ ทั้ งกายและใจ กรควบคุมตนอง การนําเพ็ญตบะ การศึกษาพระเวท และการเอาจิตใจไปจดจ่ออยู่กับเทพเจ้า 3. อาสนะ : การฝึ กท่านังที่ถูกต้องในลักษณะต่างๆ ่ การนังในท่่าที่ถูกต้องโดยมีคุรุหรืออาจารย์คอยแนะนํา เป็ นวิธีเพิ่ มพูนสุขภาพ กายและสุขภาพจิต ฝึ กฝนให้เกิดความคล่องแคล่วในการปฏิบัติ 4. ปราณายามะ : การกําหนดลมหายใจเข้าออกตามที่ต้องการ การกําหนดลมหายใจเข้าลึก หยุดลมหายใจ และระบายลมหายใจออก 5. ปรัดยาหาระ : การสํารวมอินทรีย์ คือ ตา หู จมูก ลิ้ นและกาย การควบคุมประสาทสัมผัสทั้ ง 5ไม่ให้ประสบกับอารมณ์ที่พึงปรารถนา ต้องปฏิบัติด้วยกําลังจิตที่แน่วแน่และติดต่อกันได้ไม่หยุดหย่อน ทั้ งนี้เพื่อ ยกระดับจิตขึ้นอยู่เหนืออิทธิพลของอารมณ์ 6. ธารณะ :การทําใจให้มันคง่ ความตั้ งใจ คือ การทําจิตให้เหมาะแก่อารมณ์ทั้ งภายในและภายนอก เช่น การเพ่งบนปลายจมูก การเพ่งดวงจันทร์ เป็ นต้น นันคือ ่ใจจดจ่ออยู่กับอารมณ์ ของสมาธิที่พึงประสงค์ 7. ธยานะ : การเพ่งกระแสจิต การเข้าฌาน คือ การกําหนดใจติดต่อกันไปอย่างไม่ขาดสายในอารมณ์ที่เพ่ง 33


ถึงนั้นด้วยอาการจดจ่อมากขึ้นโดยไม่บกพร่อง ทําให้เกิดพลังทางจิตมากขึ้น 8. สมาธิ : การทําจิตให้เป็ นสมาธิ การกําหนดจิตให้อยู่ในอารมณ์เดียวในสภาวะเช่นนั้น จิตดิ่ งอยู่กับภาวนาจน ไม่มีความรู้สึกตัว บุคคลกับอารมณ์มีสมาธิปรากฏเป็ นหนึ่งเดียว 4.3) สํานักปรัชญานยายะผู้สถาปนาลัทธินยายะ ชื่อ โคตมะ ปรัชญานยายะ สอนว่าความทุกข์ ความเกิด ความเคลื่อนไหวขณะยังมีชีวิตอยู่ โทสะ และความสําคัญผิด ทั้ งหลายเหล่านี้ล้วนเป็ นเหตุให้มีทุกข์อยู่รํ่าไป ลักษณะเด่นของปรัชญานยายะ มีดังต่อไปนี้ 1. การเน้นทฤษฎีแห่งความรู้ที่ถูกต้อง ได้แก ความรู้ประจักษ์อันเกิดจากการณ์ของตน ่เอง ความรู้อนุมานอันเกิดจากการคิดหาเหตุผล ความรู้อุปมานอันเกิดจากการคิดเปรียบเทียบเหตุผล ของสิ่งต่างๆ และความรู้พยานหลักฐานอันเกิดจากพยานหลักฐานหรือคัมภีร์พระเวท 2.การเข้าถึงธรรมได้ต้องประกอบกุศลกรรมด้วยเมตตา กรุณา สัจจะ การบําเพ็ญตน เป็ นประโยชน์ พูดสิ่งมีสาระ สาธยายมนตร์ และมีอุเบกขา ส่วนผู้ประกอบอกุศลกรรม ย่อมประสบความชัวร้ายต่างๆ ่ 3.จุดประสงค์ของการเข้าถึงธรรม อ รอดพันจากอวิชชาและกองทุกข์ 4.4) สํานักปรัชญาไวเศษิกะผู้สถาปนาลัทธิไวเศษิกะชื่อ กณาฑหรืออุลูกะ ลักษณะเด่นของปรัชญาไวเศษิกะ มีดังต่อไปนี้ 1.การมุ่งวิเคราะห์แยกแยะลักษณะเฉพาะที่ทําให้สิ่งหนึ่งแตกต่างจากอีกส่วนหนึ่ง นันคือ วิเคราะห์สภาวธร ่รมต่างๆ ในธรรมชาติ แยกออกเป็ นส่วนย่อยที่ละเอียดที่สุด 2. สิ่งที่มีอยู่จริงนิรันดร 9อย่าง ได้แก่ ดิน นํ้ า ไฟ ลม อากาศ กาละ เทศะ อาตมัน และมนะหรือใจ 3. การที่จะหลุดพันทุกข์ได้ต้องหยุดทํากรรม หยุดสร้างบุญบาป วิญญาณ ก็จะหมดพันธะ เมื่อวิญญาณหมดพันธะ ก็จะบริสุทธิ์ ได้เองและถึงโมกษะได้ 4.5) สํานักปรัชญามีมางสาผู้สถาปนาลัทธิมีมางสาชื่อ ไชมินีลักษณะเด่นของ ปรัชญามีมางสา มีดังต่อไปนี้ 1. ทบทวนพระเวทตอนดัน อันได้แก่ มันตระและพราหมณะ 34


2. เน้นหลักคําสอนที่สืบเนื่องมาจากคัมภีร์พระเวทโดยตรง 3. ยึดความรู้ที่ถูกต้อง ต้องสมเหตุสมผล ต้องไม่ขัดแย้งกัน ไม่ขัดแย้งด้วย เหตุผลทางตรรกศาสตร์ต้องเข้าใจในสิ่ งที่ยังไม่เข้าใจ และเป็ นตัวแทนสิ่ งทั้ งหลายได้จริง 4. อธิบายหลักการตีความจากรูปศัพท์และไวยากรณ์ ตลอดจนวิธีวิเคราะห์ พิธีกรรมทั้ งหมดในพระเวท 5. มุ่งอธิบายยัญพิธีเป็ นบรรทัดฐานในการเข้าสู่จุดหมายปลายทาง 4.6) สํานักปรัชญาเวทานตะหรืออุดตรมีมางสาผู้สถาปนาลัทธิเวทานตะชื่อ เวทานตะหรือพาทรายณ์ เวทานตะ หมายถึง การพิจารณาพระเวทตอนปลาย คือ คัมภีร์อุปนิษัท แต่คัมภีร์อุปนิษัทเน้นความสําคัญของพรหมและญาณ จึงมีผู้เรียกลัทธินี้ว่า "พรหมมีมางลา" หรือ "ชยานมีมางสา"ลักษณะเด่นของปรัชญาเวทานตะ มีดังต่อไปนี้ 1.โลกที่แท้จริง คือ พรหม สิ่งต่างๆ ย่อมมาจากพรหม ทุกคนควรบูชาพรหมด้วยจิตศรัทธา และจิตสงบ 2. ทบทวนพระเวทตอนสุดท้าย ได้แก่คัมภีร์อุปนิษัท 3. เน้นหลักการแห่งญาณหรือปัญญาที่กล่าวถึงปุรุษ พรหมหรือปรมาตมัน รวมถึงความเกี่ยวข้องระหว่างโลกกับพรหม และชีวาตมัน 4. หลักปฏิบัติเพื่อเข้าถึงจุดหมายปลายทางได้ต้องมีวิเวก ปราศจากรายะ ประพฤติชอบ และปรารถนาชอบ 5) หลักปรัชญาภควัทคีตา ปรัชญาภควัทคีตามาจากปรัชญาในคัมภีร์อุปนิษัท ลักษณะเด่นของปรัชญาภควัทคีตา มีดังต่อไปนี้ 1. วิญญาณหรือชีวาตมันเท่านั้นเป็ นสิ่งที่เป็ นจริงและมีความคงอยู่ชัวนิรันดร่ วิญญาณของมนุษย์แต่ละคนเป็ นส่วนย่อยของดวงวิญญาณสูงสุด ซึ่งเป็ นสิ่งที่เป็ นจริงและเป็ น ต้นกําเนิดของสรรพสิ่ งทั้ งหลาย 2. วิญญาณเป็ นอมตะ การตายเป็ นเพียงการสลายของร่างกายเท่านั้น แต่วิญญาณ ซึ่งเป็ นอมตะยังคงอยู่และไม่มีอาวุธชนิดใดทําอันตรายแก่ดวงวิญญาณได้ การตายที่พบเห็นกัน นั้นเป็ นเพียงการเปลี่ยนร่างของวิญญาณเท่านั้น 3. ถ้าวิญญาณไม่อยากเปลี่ยนร่างเมื่อตายก็ต้องเข้าไปรวมกับพรหม แต่การที่จะบรรลุได้ 35


ก็โดยการเข้าถึงความเป็ นจริงสูงสุด โดยการกระทําด้วยปัญญาและภักดีต่อเทพเจ้า พิธีกรรม ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู มีอิทธิพลต่อการดําเนินชีวิตของชาวอินเดีย โดยมีพิธีกรรมหรือหลัก ปฏิบัติทางศาสนาที่ควรรู้ ตั้ งต่อไปนี้ 1) ข้อปฏิบัติเกี่ยวกับวรรณะ มีดังนี้ 1.1) การแต่งงาน จะต้องแต่งงานให้ถูกต้องตามวรรณะ จะแต่งงานกับบุคคล นอวรรณะไม่ได้ แต่ชายที่เป็ นพราหมณ์สามารถแต่งงานกับหญิงวรรณะอื่นได้ เรียกว่า "อนุโลม" ส่วนหญิงที่อยู่ในวรณะพราหมณ์ห้ามแต่งงานกับชายในวรรณะอื่น 1.2) อาหารกรกิน บุคคลในวรรณะตํ่าปรุงอาหารให้คนในวรรณะสูงกินไม่ได้ 1.3) อาชีพ บุคคลอยู่ในวรรณะใดก็ต้องประกอบอาชีพที่กําหนดไว้สําหรับบุคคลใน วรรณะนั้นเท่านั้น 1.4) เคหสถานที่อยู่ ตามกฎเดิมห้ามชาวฮินดูตั้ งถิ่ นฐานบ้านเรือนอยู่นอกเขต ประเทศอินเดียและห้ามเดินเรือในทะเลปัจจุบันข้อปฏิบัติเกี่ยวกับเคหสถานที่อยู่ได้มีการยกเลิก ไปแล้ว 2) พิธีสังสการ หรือสัมสการ คือ พิธีกรรมที่ทําให้บริสุทธิ์ บุคคลที่อยู่ในวรรณะ พราหมณ์ กษัตริย์ แพศย์ ต้องผ่านพิธีสังสการก่อนจึงจะเป็ นผู้บริสุทธิ์ การประกอบพิธีกรรม ต้องให้นักบวชพราหมณ์เป็ นผู้ทํา พิธีสังสการ มี 12 พิธี ดังนี้ 2.1) ครรภาธาร เป็ นพิธีที่จัดขึ้นเมื่อทราบว่าตั้ งครรภ์ถัดจากวันวิวาห์ 2.2) ปุงสวัน เป็ นพิธีที่กระทําเพื่อให้ทารกในครรภ์เป็ นเพศชาย 2.3) สีมันโตนนยัน พิธีตัดผมหญิงมีครรภ์ (เมื่อตั้ งครรภ์ให้ 4, 6 หรือ 8 เดือน) 2.4) ชาตกรรม พิธีคลอดบุตร 2.5) นามกรรม พิธีตั้ งชื่อเด็กหลังคลอดแล้ว 10, 12 หรือ 14วัน 2.6) นิษกรมณ์ พิธีนําเด็กไปดูแสงอาทิตย์ยามรุ่งอรุณ เมื่อเด็กอายุครบ 4 เดือน 2.7) อันนปราศัน พิธีป้อนข้าวเด็ก เมื่ออายุได้ 5 เดือน หรือ 6 เดือน 2.8) จูฑกรรม พิธีโกนผมไว้จุก เมื่ออายุได้ 3 ขวบ 2.9) เกศนตกรรม พิธีตัดผม ถ้าเป็ นวรรณะพราหมณ์ตัดเมื่ออายุ 16 ปี ถ้าเป็ น 36


วรรณะกษัตริย์ตัดเมื่ออายุ 22 ปี และถ้าเป็ นวรรณะแพศย์ตัดเมื่ออายุ 24 ปี 2.10) อุปนยัน พิธีเริ่มการศึกษาเพื่อเป็ นพราหมณ์ด้วยการคล้องสายสิญจน์ที่เรียกว่า "ยัชโญปวีต" ถ้าเป็ นวรรณะพราหมณ์ทําเมื่ออายุ 5 ปี ถ้าเป็ นวรณะกษัตริย์ทําเมื่ออายุ 6 ปี และถ้า เป็ นวรรณะแพศย์ทําเมื่ออายุ 8 ปี 2.11) สมาวรรตนะ พิธีกลับบ้าน ปฏิบัติเมื่อสําเร็จการศึกษาจากสํานักครู 2.12) วิวาหกรรม พิธีแต่งงาน พิธีทั้ ง12 พิธีนี้ ถ้าเป็ นหญิงห้ามกระทําพิธีอุปนยันอย่างเดียว นอกนั้นกระทําได้หมด ในปัจจุบันพวกพราหมณ์ได้ลดพิธีปฏิบัติเหลือเพียง 4 พิธีคือ พิธีนามกรรม พิธีอันนปราศัน พิธีอุปนยัน และพิธีวิวาหกรรม 3) พิธีศารท คือ พิธีทําพลีกรรมให้แก่ดวงวิญญาณของบรรพบุรุษ เป็ นพิธีที่ปฏิบัติ กันอย่างเคร่งครัดมาก ชาวฮินดูผู้มีศรัทธาและมีจิตใจเชื่อมันต้องทําบุญอุทิศให้แก ่่บิดามารดา หรือบรรพบุรุษผู้ล่วงลับไปแล้วในเดือน 10 ตั้ งแต่วันแรม 1คํ่าถึงวันแรม 15คํ่า เรียกว่า "เทศกาลทําบุญผู้สิ้ นเดือนสิบ" การบูชาทําด้วยข้าวบิณฑ์ (ข้าวสุกที่บรรจุในกรวยใส่ไว้ในพุ่ม ดอกไม้ใช้ในการบูชา) โดยให้บุตรชายคนโตของผู้ตายเป็ นผู้ทําพิธีบวงสรวงบูชาแต่ถ้าบุตรชายคนโต ไม่มีก็ต้องให้บุตรชายคนรองลงมากระทําพิธี เพราะมีความเชื่อว่าบุตรชายจะช่วยให้ผู้ที่ช่วงลับ ไปพ้นจากนรก แต่ถ้าผู้ตายไม่มีบุตรชายก็ให้น้องชายของผู้ตายเป็ นผู้กระทําพิธี พิธีนี้กระทําก่อน วันนําศพไปเผาและกระทําตลอด 10 วัน ในวันที่ 11 เป็ นวันรวมญาติทั้ งฝ่ ายของบิดาและมารดา ที่นับขึ้นไป 3 ชัวคน ซึ่งญาติของทั ่ ้ ง 2ฝ่ายนี้ต้องเข้าร่วมพิธีด้วย เรียกว่า "สปี ณฑะ"แปลว่า "ร่วม ทําพิธีข้าวบิณฑ์" พิธีศารทนี้ต้องทําเดือนละครั้งจนครบ 1 ปี แล้วจึงเปลี่ยนไปทําปี ละครั้ง 4) พิธีบูชาเทพเจ้า มีการทําต่างกันไปตามวรรณะ พิธีบูชาเทพเจ้าที่ควรทราบ คือ พิธีบูชาเทพเจ้าที่คนวรรณะสูงปฏิบัติ ซึ่งมีการปฏิบัติ ดังนี้ 1. สวดมนต์ภาวนาทุกเข้า 2. พิธีบูชาในเทศกาลสําคัญ เช่น ศิวาราตรี (พิธีลอยบาป) ในวันเพ็ญเดือน 3 พิธีไวศาชี(วันปี ใหม่)เป็ นต้น 3. การไปนมัสการการบําเพ็ญกุศล ณ เทวสถาน ซึ่งมีทั้ งที่ปฏิบัติประจําและเป็ นครั้งคราว เพื่อแสดงความเคารพต่อเทพเจ้าของตน 37


ศาสนาสิข ศาสนาซิกข ์ หรือสิกข ์ เป็ นศาสนาใหม่ถือกา เนิดข้ึนในประเทศอินเดียเมื่อ พ.ศ. 2012 โดยคิดตามปีที่เกิดของคุรุนานกัผูเ ้ป็ นปฐมศาสดาน้ีคา วา่ซิกข ์ เป็ นภาษาปัญจาบีตรงกบัภาษา บาลีว่า สิกขะและตรงกบัภาษาสันสกฤตว่าศิษยะแปลว่าศิษย ์ หรือผูศ้ึกษาเลา่เรียน ดงัน้นัชาว ซิกข์ก็คือผู้เป็ นศิษย์ของคุรุหรือศาสดาของศาสนาซิกข์ทุกองค์ ศาสนาซิกข์เกิดในช่วงที่ศาสนิก ของศาสนาพราหมณ์-ฮินดูกบัศาสนิกของศาสนาอิสลามเผชิญหนา ้ กนัมีปัญหากระทบกระทงั่ จนเกิดการประหัตประหารกันอยู่เสมอ ท าให้นานักผู้มีจิตใจสูงทนไม่ได้ เฝ้าครุ่นคิดหาทางที่จะ นา ความสงบสุขคืนมาให ้ จงได ้ จนเป็ นเหตุให ้ เกิดศาสนาซิกขข ์ ้ึนมา ดว ้ ยเหตุน้ีศาสนาซิกขจ ์ึง เป็ นศาสนาที่ประนีประนอมศาสนาต่างๆ ในอินเดีย โดยเฉพาะระหว่างศาสนาพราหมณ์-ฮินดู กับศาสนาอิสลาม ประวัติของศาสดาในศาสนาสิข ศาสนาสิขเป็ นหน่ึงในศาสนาที่เกิดข้ึนมาใหม่เมื่อเปรียบเทียบกบัศาสนอื่นๆ เชื่อถือใน พระเป็ นเจา ้ องคเ ์ ดียวอยา่งเคร่งครัด ศาสนาสิขก่อต้ งัโดยพระศาสดาคุรุนานัก พระองค์ทรง เดินทางไปเผยแพร่สัจธรรมแห่งความเสมอภาคและความรักแกม่วลชนทวั่ประเทศ นอกจกาน้ียงั รวมไปถึงเขตแดนอาหรับ เมโสโปเตเมียและอัฟกานิสถาน พระองค์ทรงคัดค้านและต่อต้านความอยุติธรรมทุกรูปแบบ ไม่ให้หลงไหลในไสยศาสตร์และเชื่อในโชตลาง อภินิหารต่างๆ ในขณะเดียวกันทรงสอนให้มี จิตใจที่ซื่อสัตย์และเจตนาที่บริสุทธิ์ ศาสดาคุรุนานักได้ละสังขารของตนเองไปเมื่อ พ.ศ. 2082 ณ กตัรปุระ ดินแดนของรัฐปัญจาบ หลงัจากน้ีสาวกของท่านก ็ไดท ้ า หนา ้ ที่ประกาศคา สอน ต่อไป และได้มีศาสนาต่อมาอีก 9องค์ 38


คุรุนานัก ศาสดาองค์แรกของศาสนาสิข คุรุองค์ที่ 2 คือ คุรุอังคัท ( พ.ศ. 2082-2095 ) เป็ นคุรุศาสดาองค์ที่สองของศาสนาซิกข์ พระองค์ประสูติในครอบครัวของชาวฮินดูในหมู่บ้านหริเก ในเมืองมุกตเสร์ ทางทิศ ตะวันออกเฉียงเหนือของอนุทวีปอินเดียใกล้กับแคว้นปัญจาบในปัจจุบัน พระองค์มีพระนาม แรกประสูติว่า "ภาอี เลห์นา" พระบิดาของของพระองค์เป็ นพ่อค้า ส่วนพระองค์เองทรงบวชเป็ น นักบวช "บูชารี" ( นักบวชที่ท าหน้าที่ประกอบพิธีกรรมในโบสถ์พราหมณ์) และเป็ นศาสนจารย์ ที่นับถือพระแม่ทุรคาเป็ นหลักต่อมา ได้ทรงพบกับคุรุนานัก ศาสดาคุรุพระองค์แรกของซิกข์จึง ทรงเปลี่ยนศาสนามาเป็ นชาวซิกข์และทรงงานช่วยเหลือคุรุนานักเป็ นเวลาหลายปี ท่านคุรุนานัก ประทานพระนามใหม่ให้กับท่านภัย เลห์นา ว่า "คุรุอังคัท" อันแปลว่า "แขนขาของเรา" และได้ แต่งต้ งัให ้ เป็ นคุรุศาสดาองคท ์ ี่สองต่อจากตวัคุรุนานกัเอง หลงัการสิ้ นพระชนมข ์ องคุรุนานกใน ั พ.ศ. 2082คุรุอังคัทจึงทรงสืบสานและด ารงต าแหน่งผู้น าของศาสนาซิกข์ต่อจากคุรุนานักผลงาน ส าคัญของท่านที่ทรงช่วยพัฒนาศาสนาซิกข์ คือการพัฒนาและจัดระบบอักษรคุรมุขีโดยพัฒนา ดัดแปลงจากอักษรทาครี ซึ่งใช้อย่างแพร่หลายในแถบเทือกเขาหิมาลัย ท่านยังทรงรวบรวมเพลง สวดของคุรุนานกัและนิพนธ ์ เพลงสวดข้ึนอีก 62-63 เพลง ต่อมาพระองค์ได้ทรงเลือกคุรุศาสดา องค์ต่อไปด้วยแนวคิดเช่นเดียวกับคุรุนานัก คือไม่เลือกพระบุตรของตนแต่เลือกผู้ที่มี ความสามารถมากกว่า ซึ่งพระองค์ได้ทรงสถาปนาคุรุอมรทาส เป็ นคุรุศาสดาองค์ที่ 3 ถัดจาก พระองค์เอง คุรุองค์ที่ 2 คุรุอังคัท 39


คุรุองค์ที่ 3 คือ คุรุอมรทาส ( พ.ศ. 2095-2117 ) เดิมทีท่านนับถือลัทธิไวษณพใน ศาสนาฮินดู จนกระทงั่เมื่อท่านไดฟ้ ังบีบีอมโร ผู้เป็ นภรรยาของหลานชายท่านก าลังสวดเพลง สวดของท่านคุรุนานกัทา ให ้ ท่านเกิดความสนใจในศาสนาซิกขข ์ ้ึนเป็ นอยา่งมาก ท่านอมรทาส จึงได้ขอให้บีบี อมโร พาท่านไปพบกับบิดาของนางซึ่งคือคุรุอังคัต ผู้ด ารงต าแหน่งเป็ นผู้น า สูงสุดของซิกขใ์ นขณะน้นั ท่านได้เปลี่ยนศาสนาเป็ นซิกข์ในปี พ.ศ. 2082หลังพบกับท่านคุรุ อังคัต ด้วยอายุ 60 ปี และปรณิบัติรับใช้ท่านคุรุอังคัตอย่างดีท่านไดร ้ับแต่งต้ งัเป็ นคุรุศาสดาองค ์ ถดัไปโดยคุรุองัคตัก่อนการเสียชีวิตของคุรุองัคตัในปี พ.ศ.2095 คุรุอมรทาสถือเป็ นนกัพฒันาที่ส าคญัของศาสนาซิกข ์ เช่น การริเริ่มองคกร "มานชิ" ์ การแต่งหนังสือรวมเพลงสวด "โปธิ" ซึ่งช่วยให้การแต่งคัมภีร์แรก "อดิ กรันตะ" ของคุรุรามทาส ผู้เป็ นคุรุศาสดาองค์ถัดมาเป็ นไปได้อย่างรวดเร็ว และการสร้างประเพณีและพิธีกรรมที่เกี่ยวข้อง กบัชีวิตประจา วนั ไดแ ้ ก่การต้ งัชื่อบุตร-ธิดา, พิธีมงคลสมรส และ พิธีศพ และ รวมถึงเทศกาล ซิกข์ เช่น ดิวาลี มัคขี และ วิสาขี และท่านได้ประกาศให้หริมันทิรสาหิบเป็ นศาสนสถานที่เป็ น ศูนย์รวมของซิกข์ท่านคุรุเสียชีวิตลงดว ้ ยอายุ95 ปีและแต่งต้ งัภยัเชธา บุตรเขยของท่านเป็ นคุรุ ศาสดาองค์ถัดไป คุรุองค์ที่ 3 คุรุอมรทาส 40


คุรุองค์ที่ 4 คือ คุรุรามทาส ( พ.ศ. 2117-2124) ท่านเกิดเมื่อวันที่ 24 กันยายน พ.ศ.2077 ในครอบครัวชาวฮินดูที่มีฐานะยากจนในเมืองละฮอร์ ซึ่งปัจจุบันอยู่ในประเทศปากีสถาน ท่าน มีชื่อก าเนิดว่า "เชฐา" และถูกทิ้ งกา พร ้ าต้ งัแต่อายเุพียง 7 ปี ท่านจึงถูกเล้ียงดูโดยยายต้ งัแต่น้นั เมื่อท่านอายุได้ 12 ปี ภัย เชธา และยายของท่านได้ย้ายไปอาศัยเมืองโคอินทวัล ซ่ึงทา ให ้ ท้ งัสอง ได้พบกับคุรุอมรทาส คุรุศาสดาองค์ที่ 3ของซิกข์ ซึ่งภาอี เชฐา ได้ขอรับตัวเข้าเป็ นศิษย์ของท่าน คุรุและช่วยปรนิบัติอย่างดี ต่อมาท่านได้สมรสกับลูกสาวของท่านคุรุและเข้าเป็ นส่วนหนึ่งของ ตระกูลท่านคุรุอมรทาสอยา่งเป็ นทางการ ท่านคุรุไดแ ้ ต่งต้ งัให ้ ภยัเชธา เป็ นคุรุศาสดาผูส้ืบทอด องค์ต่อไป และมอบชื่อใหม่ว่า "คุรุรามทาส" อันแปลว่า "ทาสหร ื อผู้ รับใช้ของพระผู้เป็นเจ้า" คุรุรามทาสได้เข้าสู่การเป็ นผู้น าจิตวิญญาณศาสนาซิกข์ในปี พ.ศ.2117และเสียชีวิตลงในปี พ.ศ. 2124 ที่บ้านเกิดของท่านในเมืองโคอินทวัล ระหว่างที่ท่านด าเนินการเผยแผ่ศาสนา ท่านได้รับ การปรณิบัติและเคารพอย่างดีจากบุตร-ธิดาของท่านคุรุอมรทาสผู้ล่วงลับ และได้ย้ายหลักแหล่ง และต้ งัศูนยก ์ ลางของชาวซิกขข ์ ้ึนใหม่ที่ดินแดนที่ท่านคุรุอมรทาสเรียกว่า "คุรุกาจกั" เมืองแห่ง น้ีต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็ น "รามทาสปุระ" (เมืองของท่านรามทาส) และได้เปลี่ยนชื่อมาเป็ นเมือง อมฤตสาร ์ จวบจนปัจจุบนัซ่ึงเมืองอมฤตสาร ์ แห่งน้ีในปัจจุบนัไดเ ้ป็ นเมืองอนัศกัด์ิสิทธ์ิ สถานที่ แสวงบุญและเป็ นศูนยร ์ วมจิตใจของชาวซิกข ์ อนัเป็ นที่ต้ งัของหริมนัทิรสาหิบ หรือ สุวรรณ วิหาร ซ่ึงท่านไดเ ้ ริ่มขดุสระน้ า "สระน้ า อมฤต"ไว ้ ผลงานที่ท่านสร ้ างไวน ้ อกจากการต้ งัเมืองอนั ศักดิ์สิทธิ์ "อมฤตสาร์" แล้ว ท่านยังขยาย "มันจิ" องค์กรเพื่อสนับสนุนและรับบริจาคเพื่อ พฒันาการเผยแผ่ศาสนาซิกข ์ให ้ กวา ้ งใหญแ่ละเป็ นที่ยอมรับมากข้ึน[3] ท่านไดแ ้ ต่งต้ งับุตรของ ท่านเองเป็ นคุรุศาสดาองคต ์ ่อไป คือคุรุอาร ์ จนัซ่ึงเป็ นคุรุองคแ ์ รกที่ถูกแต่งต้ งัโดยสืบเช้ือสายจาก บิดาของตน ชื่อของท่านถูกนา ไปต้ งัเป็ นชื่อของท่าอากาศยานนานาชาติศรีคุรุรามทาสจี ซึ่งเป็ นท่าอากาศยาน นานาชาติประจ าเมืองอมฤตสาร์ และชื่อของวิทยาลัยการจัดการและเทคโนโลบีคุรุรามทาส ซึ่ง ต้ งัอยใู่นเมืองเดห ์ ราดุน รัฐอุตตราขณัฑ ์ 41


คุรุองค์ที่ 4 คุรุรามทาส คุรุองค์ที่ 5 คือ คุรุอรชุน ( พ.ศ. 2124-2149) ท่านไดร ้ วบรวมบนัทึกของซิกขข ์ ้ึนเป็ น เอกสารลายลกัษณ ์ อกัษรและจดัเป็ นหมวดหมู่ข้ึนคร้ังแรกโดยเรียกเอกสารชุดที่ท่านรวบรวม เขียนข้ึนน้นัว่าคมัภีร ์ อดิกรันตะ ซึ่งต่อมาได้ถูกต่อยอดเป็ นคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ ของศาสนาซิกข์ "มหาคัมภีร์ คุรุกรันตสาหิบ" ท่านเกิดในเมืองโคอินทวาล ในแคว้นปัญจาบ ท่านเป็ นบุตรคนสุดท้องของคุรุรามทาส (ซึ่งใน ขณะน้นัยงัใช ้ ชื่อว่า ภาอีเชฐา กับ มทา ภานี ธิดาของคุรุอมรทาส อาจกล่าวได้ว่าท่านเป็ นคุรุ ศาสดาองคแ ์ รกที่เป็ นซิกขแ ์ ต่กา เนิด ต่างจากองคก ์ ่อน ๆ ที่เปลี่ยนศาสนามาจากศาสนาฮินดูเป็ น ซิกข์ในภายหลัง ท่านคุรุอรชุนด ารงต าแหน่งเป็ นผู้น าศาสนาและจิตวิญญาณของชาวซิกข์ร่วม 25 ปี นอกจากน้ีท่านยงัสืบทอดการก่อสร ้ างวิหารต่อจากคุรุรามดาสผูข ้ ดุสระน้ า อมฤตและสร ้ างเมือง อมฤตสาร ์โดยท่านไดก ้่อสร ้ างดะบาสาหิบจนสมบูรณ ์ ซ่ึงต่อมาไดพ ้ ฒันาเป็ นหริมนัทิรสาหิบ แห่งอมฤตสาร์ และท่านคุรุอรชุนยงัไดป้ ระมวลเพลงสวดภาวนาของคุรุศาสดาองคก ์ ่อนหนา ้ และคา สอนต่าง ๆ เป็ นคัมภีร์อดิ กรันตะ และอัญเชิญประดิษฐานในหริมันทิรสาหิบ ท่านคุรุอรชุนยังพัฒนาระบบ "มสันท์" ซ่ึงคุรุรามดาสไดว ้ างรากฐานไวข ้้ึนเสียใหม่โดยเสนอ ระบบการบริจาคเงินของซิกข์ให้บริจาคทรัพย์สิน สินค้า หรือการบริการเป็ นจิตอาสา ให้ได้ 1 ใน 10ของที่ตนมีถวายแด่องคก ์ รของซิกข ์ หากไม่พร ้ อมที่จะบริจาคจา นวนเท่าน้นัก ็ มิไดเ ้ป็ น ปัญหาอะไร ให้บริจาคเท่าที่ตนให้ได้และไม่ทรมานตนเอง นอกจากการสร้างกองทุน "ทัศวันธ์" ที่รับบริจาคแลว ้ ท่านคุรุยงัริเริ่มระบบการศึกษาศาสนาซิกขอ ์ ยา่งเป็ นระบบข้ึนในม สันต์ เพื่อเผยแผ่ศาสนาไปยังคนรุ่นใหม่ที่สนใจในภูมิภาคปัญจาบ 42


ในสมยัของท่านน้นักองทุนทาสวนัตถ ์ ือไดว ้่ามงั่คงั่เป็ นอยา่งมาก สามารถนา ไปสร ้ างศาสน สถาน (คุรุทวารา) จ านวนมาก และ "ลังเกอร์" หรือ "ลังกัร" ที่คนไทยเรียกกันว่า โรงครัวพระ ศาสดา ซึ่งเป็ นโรงครัวอาหารแจกจ่ายโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายอีกเช่นกัน ท่านคุรุอรชุนถูกจับโดย พระราชกระแสของจักรพรรดิชะฮันคีร์ แห่งจักรวรรดิโมกุล และถูกร้องขอให้เปลี่ยนศาสนาเป็ น อิสลาม ซ่ึงท่านยืนยนั ปฏิเสธจนสุดทา ้ ยถูกทรมานจนถึงแก่ชีวิตในปีพ.ศ. 2149 นักประวัติศาสตร์ยัง เป็ นที่ถกเถียงว่าท่านคุรุเสียชีวิตจากการทรมานอยา่งหนกัหรือจากการถูกสั่ งประหารชีวิตดว ้ ย การทา ให ้ จมน้ า หรือกดน้ า การสละชีพเพื่อความเชื่อ ของท่านน้ันถือเป็ นเหตุการณ ์ สา คญัที่สุด เหตุการณ์หนึ่งในประวัติศาสตร์ซิกข์ ปัจจุบันบริเวณที่เชื่อกันว่าเป็ นที่ส าเร็จโทษของท่าน ได้ สร้างเป็ นคุรุทวาราชื่อว่า คุรุทวาราเดราสาหิบ ปัจจุบนัต้ งัอยเู่ยื้องกบัมสัยิดบาดชาฮีในเมือง ละฮอร์ ประเทศปากีสถาน คุรุองค์ที่ 5 คุรุอรชุน คุรุองค์ที่ 6 คือ คุรุหริโควินท์ ( พ.ศ. 2149-2188) เป็ นบุตรของคุรุอรชุน จากเหตุการณ์ที่ คุรุอรชุนถูกจับและทรมาน ท าให้คุรุหริโควินท์เห็นว่าชาวสิขจะเป็ นผู้ใฝ่ สันติอยู่ต่อไปไม่ได้ แล้ว ท่านจึงได้ประกาศวิธีการของศาสนาใหม่จากการมุ่งแสวงหาสันติมาเป็ นการใช้ดาบสร้าง 43


สมก าลังรบ สร้างป้อมปราการฝึกทหารเพื่อต่อสู้กับผู้ที่เป็ นศัตรูต่อชาวสิข ท่านได้ให้โอวาท ตักเตือนศิษย์ของท่านอยู่เสมอว่า “เราต้องพร้อมที่จะสละชีวิตของตนเองเพื่อคุรุอรชุน” เมื่อพระจักรพรรดิญะฮานกีร์แห่ง ราชวงศ์มูฑุลทรงทราบ จึงเชิญไปพบแล้วจับขังไว้ในป้อมรวมกับราชาผู้ครองรัฐต่างๆ ที่ถูกจับ ขงัอยกู่ ่อน ชาวสิขท้ งัหลายเมื่อทราบข่าวจึงพากนัไปที่ป้ อมแห่งน้ันเพื่อจูบกา แพงที่ขงัคุรุใน ที่สุดจักรพรรดิก็ทรงปล่อยคุรุเป็ นอิสระ แต่ในรัชสมัยจ่อมาพระจักรพรรดฺชาห์ญะฮานทรงหัน มาใช่นโยบายปราบปรามอีกคร้ังหน่ึง จึงเป็ นเหตุให ้ เกิดสงครามระหวา่งชาวสิขกบัชาวมุสลิม ข้ึน 4-5 คร้ัง และชามสิขประสบชยัชนะทุกคร้ัง ท่ายคุรุหริโควินทเ ์ป็ นศสดาองคแ ์ รกที่ใชด ้ าบป้ องกนัเมืองและศาสนา ใชก ้ าน้ า คู่กบั ดาบเป็ นศัญลักษณ์ อันหมายถึง อา นาจทางโลกและอา นาจทางธรรม ท่านเป็ นท้ งันกัการทหาร และนกัเผยแผ่ศาสนาที่สามารถทา ใหม ้ีผูน ้ บัถือศาสนาสิขเพมิ่มากข้ึน คุรุองค์ที่ 6 คือ คุรุหริโควินท์ คุรุองค์ที่ 7 คือ คุรุหริไร ( พ.ศ. 2188-2204) ภายหลงัการสิ้ นพระชนมข ์ องคุรุอรชุน ท่าน ได้ประกาศวิธีการใหม่ของศาสนาสิกคือการสร ้ างป้ อมปราการพร ้ อมท้ งัฝึกทหาร พร ้ อมท้ งัให ้ โอวาทแก่ศิษยว ์่า “เราตอ ้ งพร ้ อมที่จะสละชีวิตของตนเพื่อคุรุอรชุน” ท่านเป็ นคุรุพระองค์แรกที่ ใช้ดาบป้องกันเมืองและศาสนา ใช้กาน้ าคู่กับดาบเป็นสัญลักษณ์ซึ่งหมายถึงอ านาจทาง โลก 44


และทางธรรม ท่านจึงเป็ นท้ งันกัรบและนกัเผยแผ่ศาสนา ช่วงน้ีมีศาสนิกชนจา นวนมากเข้าสู่ ศาสนาสิก คุรุองค์ที่ 7 คุรุหริไร คุรุองค์ที่ 8 คุรุหริกฤษัน ( พ.ศ. 2204-2207 ) ท่านทรงเข้าสู่การเป็ นคุรุด้วยพระชนมายุ เพียง 5 พรรษา ถือเป็ นคุรุที่มีพระชนมายุน้อยที่สุดของซิกข์ เมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ. 2204 โดยสืบ ทอดตา แหน่งน้ีจากคุรุหรรายครุ ุองคท ์ ี่7 พระบิดาของท่าน ท่านสิ้ นพระชนมด ์ ว ้ ยโรคฝีดาษในปี พ.ศ. 2207กล่าวคือท่านทรงด ารงต าแหน่งเพียง 3 ปีเท่าน้นัซ่ึงถือว่าเป็ นคุรุที่ทรงดา รงตา แหน่ง ส้ันที่สุด ท่านทรงมีสมัญญาว่า บาลคุรุ ซึ่งแปลว่าคุรุผู้เยาว์ ท่านเป็ นที่จดจ าส าหรับพระด ารัส สุดทา ้ ยก่อนสิ้ นพระชนม ์"บะบา บะกาเล" ซึ่งแปลความถึงพระอัยกาของท่านคือคุรุเตฆ์บะฮา ดุร เพื่อเป็ นคุรุองค์ถัดไป คุรุองค์ที่ 8 คุรุหริกฤษัน คุรุองค์ที่ 9 คือ คุรุเดฆพหทุร์( พ.ศ. 2207-2218 ) ท่านเป็ นนกัรบที่เก่งกลา ้สามารถ จักรพรรดิออรังเซบทรงมีบัญชาไผยังกรุงเดลี และบังคับให้ท่านเปลี่ยนศาสนา แต่ท่านไม่ยอม เปลี่ยนจึงถูกประหารชีวิต และสับร่างกายเป็ น 4 ท่อน นา ไปแขวนประจานไวท ้ ี่ประตูป้ อมท้งั4 ทิศ 45


คุรุองค์ที่ 9 คือ คุรุเดฆพหทุร์ คุรุองค์ที่ 10 คือ คุรุโควินทสิงห์( พ.ศ. 2218-2251)ผู้ได้รับการขนานนามว่า “นักบุญผู้ เป็ นทหาร” ท่านรับหนา ้ ที่เป็ นศาสดาในขณะที่ชาวสิขเกิดความปั่ นป่วนวุ่นวาย เพราะถุกมุสลิ มเบียดเบียด ท าให้เกิดความกลัวจนไม่กล้าแสดงตนเป็ นศาสนิกชนแห่งศาสนาสิข ท่านท าให้ ศาสนาสิขแขง ็ แรงยิ่ งข้ึนดว ้ ยการปลุกใจสานุศิษยท ์ ้ งัหลายให ้ เป็ นนกัรบต่อตา ้ นพระจกัรพรรดิออ รังเซบแห่งราชวงศม ์ูฑุล ท่านไดต ้้ งัศูนยก ์ ลางเผยแผ่ศาสนาข้ึนที่กรุงธากาและรัฐอสัสมัแลว ้ ประกาศว่าทุคนควรเป็ นนักรบต่อสู้ศัตรูเพื่อจรรโลงชาติและศาสนาของตน ชาวสิขทุกคนต้อง เป็ นคนกล้าหาญโดยให้นามว่า “สิงห์” หรือ “ซิงห์” ซึ่งหมายถึง ความกล้าหาญของท่านเป็ นผู้ ริเริ่มพิธีศีลจุ่มข้ึนมาในศาสนาสิข โดยท่านประกอบพิธีให ้ กบัผูท ้ี่เขา ้ มาเป็ นสานุศิษยด ์ ว ้ ยการ พรมน้ า มนตแล ์ ะให ้ ดื่มน้ า ศกัด์ิสิทธ์ิซ่ึงมีดาบแช่เพื่อเป็ นเครื่องหมายว่า ผูด ้ื่มตอ ้ งเป็ นผูก ้ ลา ้ หาญ พร ้ อมที่จะออกรบเพื่อจรรโลงชาติและศาสนา น้ า ดื่มน้ีเรียกว่า “ น้ า อมฤต” เมื่อดื่มน้ า อมฤต แล้ว คุรุก็ให้ศีล 21ขอ ้ ซ่ึงเป็ นศีบประจา ชีวิตของศิษยท ์ุกคน ดงัน้ี 1.นบัถือศาสดาทุกองคเ ์ป็ นบิดา และถือว่าตนเป็ นบุญแห่งศาสดาน้นั 2.นับถิเมืองปาฏลีบุตรและเมืองกานันทปุระที่ปูซนียสถานที่ปรุสูติของศาสดา 3.เลิกถือช้ นัวรรณะ 4.ห้ามทะเลาะวิวาทระหว่างศิษย์ด้วยกันเอง 5.พยายามพลีชีพในสนามรบ 6.บูชาสิ่ งศกัด์ิสิทธ์ิ3 ประการ คือ 1) พระเป็ นเจ้าอันเป็ นสัจจะ เป็ นศรี และเป็ นอกาละ 2)ศาสโนวาทแห่งคุรุท้ งัหลาย 3) ความบริสุทธิ์ 7. มี “ ก ” 5 ประการ ไวก ้ บัตน ไดแ ้ ก่เกศ (ผมที่ไวย ้ าม) กงัฆา (หวีขนาดเลก ็) กฉา (กางเกงขาส้ัน) กรา (ก าไลมือท าด้วยเหล็ก) กิรปาน (ดาบ) 46


8. เว้นจากการพูดเท็จ 9. เว้นจากความโลภ ความโกรธ และนับถือภรรยา ผู้อื่นเสมอมารดาของตน 10. ไม่เกี่ยวข้องกับผู้ที่เป็ นปฏิปักษ์ของศาสนาสิข 11. ไม่คบผ็ที่ไม่ส่งเสริมการรบ 12. ห้ามใช้สีแดง 13. ใหใ้ ชค ้ า วา่“สิงห ์” ต่อทา ้ ยต้ งัแต่บดัน้ีเป็ นตน ้ ไป 14. ห้ามเปลือยศรีษะนอกจากเวลาอาบน้ า 15. ไม่เล่นากรพนัน 16. ห้ามตัดผมหรือโกนผม หนวด และเครา 17. ห้ามเกี่ยวข้องกับบุคคลผู้เบียดเบียนชาติและศาสนา 18. ใหถ ้ือว่าการขี่มา ้ ผนัดาบ และมวยปล้ า เป็ นกิจที่ตอ ้ งทา อยเู่ป็ นนิจ 19. ให้ถือว่าเกิดมาเพื่อท าให้ผู้ที่มี่ความทุกข์ได้มีความสุข และทา ความเจริญให ้ แก่ชาติ และศาสนา 20. เว้นจากความหรูหราฟุ่ มเฟื อยที่ไร้สาระ 21. ให้ถือว่าการคบพระเป็ นเจ้าเป็ น “อกาลปุรุษ” และสักการบูชาผู้เป็ นแขกเป็ นกิจที่ ควรกระท าเป็ นประจ า คุรุองค์ที่ 10 คือ คุรุโควินทสิงห์ 47


Click to View FlipBook Version