The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Paphawarin Panhongsa, 2023-09-18 11:04:13

ศาสนาสากล

ศาสนาสากล

สัญลักษณ์ของศาสนาสิข คือ รูปดาบไขว้ เรียกว่า “ คันด้า ” ประกอบด้วย 1.กิรปาน (ดาบของชาวสิข) 2 ดา ้ ม แสดงถึงความมีอา นาจท้ งัทางฌลกและทางธรรม อย่างสมบูรณ์ 2.คันด้า (ดาบ 2คม) 1 ดา ้ ม แสดงถึงความเป็ นผูร ้ิเริ่ม 3.วงจักร (ห่วงกลม) 1วง แสดงถึงความเป็นอมตะหนึ่งเดียวของพระเป็ นเจ้าผู้ทรงสร้าง และทรงให ้ กา เนิดทุดสรรพสิ่ ง นอกจากน้ียงัมีรูปกาน้ า และดาบ ซ่ึงหมายถึงการรับใชแ ้ ละพลงัรวมท้ งั“ก ท้ งั5” ด้วย คัมภีร์ คัมภีร์ของศาสนาสิข เรียกว่า “ ครันถสาหิพ ” แปลว่า “ คัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ ” เน้ ือความ ส่วนใหญ่เป็ นค าสวดมนต์สรรเสริญพระเป็ นเจ้า ซึ่งกล่าวว่า พระเป็ นเจ้ามีเพียงองค์เดียว คือ อกาลปุรุษหรือสัจจะพระองค์ พระองค์คือพระผู้สร้างที่ปราศจากความกลัวและความเครียดแค้น เป็ นอมฤต ไม่เกิดมีข้ึนดว ้ ยพระองคเ ์ อง เป็ นผูท ้ี่ยิ่ งใหญ่ที่ทรงความโอบออ ้ มอารียิ่ ง คมัภีร ์ ครันถสาหิพน้ีแบ่งออกเป็ น 2กลุ่ม ดงัน้ี อาทิครันถ์ อาทิครันถ ์ แปลว่า “คมัภีร ์ แรก”คุรุอรชุนเป็ นผร ็ วบรวมข้ึนไวเ ้ มื่อ พ.ศ. 2147 มีบท นิพนธ ์ ของศาดาหรือคุรุต้ งัแต่องคท ์ ี่1-5และมีบทประพันธ์ของนักบุญผู้มีชื่อแห่งศาสนาฮินดู และศาสนาอิสลามผนวกอยู่ด้วย ทสมครันถ์ ทสมครันถ์ แปลว่า “ คัมภีร์ของศาสดาองค์ที่ 10 ” เป็ นชุมนุมบทนิพนธ์ของ ศาสดาองค์ที่ 10คือคุรุโควินทสิงห ์ คมัภีร ์ น้ีรวบรวมข้ึนภายหลงัคมัภีร ์ อาทิครันถ ์ 48


นิกาย นิกายของศาสนาสิขที่ส าคัญมีอยู่ 2 นิกาย ดงัน้ี 1) นิกายขาลสา นิกายขาลสาหรือนิกายสิงห ์ไดแ ้ ก่นิกายที่ถือการไวผ ้ มและไวห ้ นวด ยาว 2) นิกายสหัชธรี นิกายสหชัธรีหรือนิกายนานักปันถีไดแ ้ ก่นิกายที่โกกนหนวดเกล้ียง เกลา หลักธรรม ศาสนาสิขสอนว่า คุรุคือศษสดาที่สาวกต้องเชื่อฟังและมอบกสชายถวายชีวิต และ ศาสดาที่ถือสาวกทุกคนเป็นบุตร การเชื่อฟังคุรุจึงมีความส าคัญมากที่สุดสมดังค ากล่าวไว้ในบท สวดว่า “ เมื่ออยู่ในค าแนะน าของคุรุก็ได้ยินเสียงของพระเป็ นเจ้า เมื่ออยู่ในค าแนะน าของคุรุก็ ได้ปัญญา เมื่ออยู่ในค าแนะน าของคุรุ มนุษย์ก็เรียนร็ว่าพระเป็ นเจ้ามีอยู่ทุกหนทุกแห่ง คุรุเป็ น พระศิวะ คุรุเป็ นพระวิษณุและพระพรหม คุรุเป็ นพระนางปารวตีและพระนางสุรัสวดี ใน ประตูของพระเป็ นเจา ้ น้นัมีพระพรหม พระวิษณุและพระศิวะต้ งัหลายพนัองค ์ แต่มีพระเป็ น เจา ้ ที่เหนือเทพเจา ้ ท้ งัหลายอยเู่พี่ยงองคเ ์ ดียวเท่าน้นัซ่ึงปราศจากความกลวัและปราศจากความ เป็ นศัตรู พระองค์เป็ นเองโดยไม่มีผู้ใดสร้าง ” ศาสนาสิขมีการสถาปนาข้ึนมาดว ้ ยจุดหมายเพื่อรวบรวมศาสนิกชนจากศาสนาฮินดู และศาสนิกขนจากศาสนาอิสลามเข้าด้วยกัน จึงได้น าหลักธรรมบางประการมาจากศษสนาฮินดู และหลักธรรมบางประการมาจากศาสนาอิสลามกับบทบัญญัติธรรมและระเบียบวินัยของตน เพิ่ มเขา ้ มาอีกหลายอยา่ง แลว ้ ทา ให ้ศาสนาสิขมีลกัษณะแตกต่างจากศาสนาฮินดูและศาสนา อิสลาม คัมภีร์ของศาสนาสิข เรียกว่า “ครันถสาหิพ” คุรุนานักปฐมศาสดาได้ประพันธ์บท สวดยัปยีซึ่งเป็ นบทแรกในคัมภีร์ครันถสาหิพ แสดงถึงการที่บุคคลจะก้าวไปสู่สุขอันเป็ น นิรันดรหรือนิรวาณะว่ามี 5ข้ นั 1.ธรรมขันฑ์ หมวดแห่งธรรม คือ หน้าที่ความยุติธรรม 2.ญาณขัณฑ์ หมวดแห่งปัญญา 3.สรมขันฑ์ หมวกแห่งมหาปี ติ หรือความหรรษา 4.กรรมขันฑ์ หมวดแห่งกา ลงัจิต คือ ไม่หวนั่ ไหว ไม่หวาดกลวั 49


5.สัจขันฑ์ หมวดแห่งความจริง คือ ความเป็ นเอกภาพกับพระเป็ นเจ้า วิธีปฏิบตัิดา เนินไปตามข้ นัตอนต่างๆ เพื่อให ้ บรรลุสัจธรรมข้ นัสูงน้นัคือ การสวด เพลงสรรเสริมพระนาม (อกาลปุรุษ) กับการฟังพระธรรม ดังข้อความในคัมภีร์ครันถสาหิพว่า โดยการฟังพระธรรม บุคคลย่อมเป็ นประหนึ่งของพระพรหมหรือพระศิวะ โดยการฟังพระนาม บุคคลย่อมบรรลุสัจจะ ความสันโดษ และทิพยปัญญา โดยการฟังพระนาม จิตใจยอ่มเป็ นระเบียบและต้ งัอยทู่ ี่พระเป็ นเจา ้ โดยการฟังพระนาม คนจักษุบอดย่อมพบทางส่วนที่สองของบุญ คือ การยินยอมต่อ พระประสงค์ของพระเป็ นเจ้า การยอมมอบตวัเองให ้ อยา่งเด ็ ดขาดท้ งัทางกาย ทางใจ และทาง วิญญาณต่อพระประสงค์ของพระเป็ นเจ้า โดยการเชื่อฟังพระเป็ นเจ้า ปัญญาและความเข้าใจย่อมมาสู่จิตใจ บุคคลใดได้เชื่อฟัง พระเป็ นเจ้า บุคคลน้นัยอ่มรู้สึกถึงความน่าอภิรมยแ ์ ห่งความเชื่อฟังน้ันในดวงใจของเขา โดยการเชื่อฟังพระเจ้า บุคคลย่อมได้บรรลุประตูแห่งความหลุดพ้น บุคคลใดได้เชื่อฟัง พระเป็ นเจา ้ บุคคลน้นัยอ่มรู้สึกถึงความน่าอภิรมยแ ์ ห่งความเชื่อฟังน้ันในดวงใจของเขา หลักธรรมค าสอนนอกจากที่กล่าวมาแลว ้ ยงัมีหลกัคา สอนอื่นๆ ที่ควรศึกษาอีกต่อไปน้ี 1) อหงัการ ที่มาแห่งความชวั่น้นัคือ อหงัการหรือความรู้สึกยึดถือตวัตนซึ่งพระเป็ นเจ้า ไดท ้ รงใส่ไวใ้ ห ้ ดวงจิตน้นัเอง เมื่อเรายอมมอบตัวเองต่อพระประสงค์ของพระเป็ นเจ้า แลว ้ อหงัการน้นัก ็ กลายเป็ นพรแทนการการสาปแช่ง คนเราไม่ควรมีความรู้สึกเรื่อง อหงัการจนเกินไป เพราะเมื่ออหงัการมีมาก ก ็ จะกลายเป็ นเครื่องก้ นัระหว่างมนุษยก ์ บั พระเป็ นเจ้า มนุษย์ก็จะท่องเที่ยวจากบาปอย่างหนึ่งไปสู่บาปอย่างอื่น 2) การให้ท าความดี คนเราขะใกล้กับพระเป็ นเจ้าหรือห่างจากพระเป็ นเจ้าก็เพราะการ กระทา ของเขา คา สอนน้ีช้ีให ้ เห ็ นว่า ความดีหรือความชวั่น้นัคือ การรวมอยกู่บัพระ เป็ นเจา ้ หรือการแยกออกจากพระเป็ นเจา ้ น้นัเอง 3) หารเขา ้ ถึงนิรวาณะ นิรวาณะน้นับุคคลอาจบรรลุไดด้วยการเพ่งพระเป็ นเจ้ามีความภักดี ้ และมีศรัทธา เปล่งวาจาถึงพระนามของพระองค์อยู่เสมอ รวมถึงโดยการปฏิบัติตาม คา สั่ งของคุรุแห่งศาสนาน้นั 50


คา สอนน้นัที่เป็ นมูลฐานอยา่งสา คญัของศาสนาสิข คือ ความเป็ นหน่ึงของพระเป็ นเจา ้ และ ความเป็ นเพื่อนกันของมนุษย์ ความรักพระเป็นเจ้าและคุรุทางศาสนา อุดมคติอังสูงสุดมิใช่เพื่อ ไดไ้ปอยใู่นสวรรค ์ แต่เพื่อพฒันาสาระสา คญัที่มีอยใู่นตวัตน เพื่อให ้ ผูค ้ นน้ันหลอมตวัเองเป็ น อันหนึ่งอันเดียวกับพระเป็ นเจ้า ศาสนาสิขสอนเรื่องการสร้างโลกว่า เดิมที่เดียวมีเฉพาะอกาลปุรุษ คือ พระเป็ นเจ้า กาลต่อมามีหมอกแก ๊ สหมุนเวียนอยเู่ป็ นเวลาลา ้ นโกฏิปีแลว ้ เกิดมีแผ่นดิน ดวงดาว น้ า อากาศ เป็ นตน ้ แลว ้ ก ็ มีสิ่ งมีชีวิตอุบตัิข้ึนถึง 8,400,000 ชนิด มนุษย์มีฐานะสูงสุดเพราะมีโอกาสบ าเพ็ญ ความดีศาสนาสิขสอนเรื่องการเกิดใหม่วา่วิญญาณเป็ นอมตะ วิญญาณน้นั ไดพ ้ ฒันาข้ึน ตามลา ดบัหากบุคคลใดตอ ้ งการหลุดพน ้ จากสังสารวฏับุคคลน้นัตอ ้ งชา ระกิเลสให ้ หมด หาก ไม่ต้องการตายหรือเกิดอีกก็ต้องท าตนให้ได้ไปอยู่กับพระเป็ นเจ้าสา หรับเรื่องความดีความชวั่ น้นัคุรุอมรทาสศาสดาองคท ์ ี่3 ทรงกล่าวว่า “ไม่มีตบะใดจะยิ่ งใหญ่กวา่ความอดทน ไม่มี ความสุขใดจะยิ่ งใหญ่กว่าความสันโดษ ไมม่ ีความชวั่ใดจะยิ่ งใหญก่ว่าความโลภ ไม่มบีุญใดจะ ยิ่ งใหญ่กว่าความกรุณา ไมม่ ีอาวุธใดจะมีอา นาจยิ่ งกว่าการให ้ อภยัคนหว่านเมล ็ ดพืชเช่นใดก ็ เก ็ บเกี่ยวผลเช่นน้นัหากเขาหว่านความทุกข ์ ความทุกขจ ์ ะเป็ นผลเก ็ บเกี่ยวของเขา ” สุวรรณวิหาร เมืองอมฤตสาห์ ประเทศอิเดีย เป็ นศาสนสถานศักดิ์สิทธิ์ของชาวสิข 51


คุรุดวารา ศรีคุรุสิงห์สภา ศาสนสถานที่เป็นศูนย ์ กลางของผู้นับถ ื อศาสนาในประเทศไทย ต้ังอยู่ที่ย่านพาหุรัด เขตพระนครกรุงเทพมหานคร ค าสอนทางจริยธรรมที่ให ้ ชาวสิขปฏิบตัิกิจในชีวิตประจา วนัมีดงัน้ี 1.จงลุกข้ึนแต่เชา ้ ตรู่ 2.จงท าจิตของท่านให้เต็มไปด้วยความรักในพระเป็ นเจ้า 3.จงให้ทานเสมอ 4.จงพูดค าสุภาพอ่อนโยน 5.จงถ่อมตน 6.จงท าดีต่อคนอื่น 7.อย่ากินหรือนอนให้มากเกินไป 8.จงใช้จ่ายเฉพาะส่วนที่ท่านหามาได้ด้วยมือของท่านเอง 9.จงพยายามอยกู่บัคนดีท้ งักลางวนัและกลางคืน 10.จงร่วมกับคนดีสวดบทสรรเสริญของคุรุ 11.ละเว้นการพนัน ยาเสพติด และประพฤติผิดในกาม พิธีกรรม 52


พิธีกรรมที่ชาวสิขทุกคนต้องท า คือ พิธีปาหุลหรือพิธีล้างบาป เมื่อท าพิธีเสร็จแล้วก็จะรับ เอา “ ก ” ท้ งั5 ประการ ดงัน้ี 1.1) เกศ การไม่ตัดผมหรือไว้ผมยาว เพื่อเป็ นเกราะส าหรับศรีษะและให้ดูน่าเกรงขาม ท าลายขวัญข้าศึก 1.2) กังฆา หวีขนาดเล็ก เพื่อใช้หวีผมหรือเสียบผม 1.3) กฉา กางเกงขาส้ัน เป็ นสัญลกัษณ ์ แห่งความดีความคล่องตวั ปราดเปรียวท้ งัใน การท างานและการสู้รบ 1.4) กรา กา ไลมือทา จากเหล ็ ก เป็ นสัญลกัษณ ์ แห่งความอดทนอดกล้ นัถ่อมตน และ สุภาพ 1.5) กิรปาน ดาบ เป็ นเครื่องหมายแห่งความกล้าหาญและการผจญภัย ผู้ใดท าพิธีล้างบาปแล้วย่อมได้นามว่า “ สิงห์ ” ต่อท้ายชื่อของทุกคน เพราะถือว่าผ่าน “ ขาลสา ” แห่ง “ วาหิคุรุ ” คือ ความเป็ นสมบัติของพระเป็ นเจ้าเองแล้ว หลังจากเสร็จพิธิปาหุล ชาวสิขทุกคนจะต้องมีกังฆา กรา และกริปาน ติดตัว นอกเหนือจากพิธีปาหุลแล้ว ศษสนาสิขยังมีพิธีกรรมส าคัญอีก 2 พิธีดงัน้ี 53


1. สังคัต คือ พิธีชุมนุมของศาสนิกชนผู้นับถือศษสนาสิข ศาสนิกชนชาวสิขทุกคน ตอ ้ งเช ็ ดถูรองเทา ้ และตม ้ น้ า โดยไม่อาศยัผูอ ้ื่น ใครปฏิบตัิไดม ้ ากกว่าก ็ จะไดร ้ับความยกยอ่งว่า เป็ นสิขที่ดี 2. อมฤตสังสการ คือ พิธีรับคนเข้าศาสนา โดยให ้สิขท้ งัหลายนงั่พร ้ อมกนั ในที่แห่ง เดียวกนัหยิบอาหารใส่ปากให ้ แกก่นั ไม่วา่บุคคลน้นัจะมีฐานะทางสังคมเป็ นอยา่งไร ทุกคน สามารถเขา ้ ร่วมและรับศาสนาสิขไดเ ้ ช่นกนัเพราะศาสนาสิขไม่มีการถือช้ นัวรรณะ ในพิธีเขา ้ ถือศาสนาสิขน้น ชายและหญิงต้องเข้าไปบูชาในโบสถ์วิหารแห่งเดียวกัน ั แลว ้ นงั่ลงกล่าคา สรรเสริญพระเป็ นเจา ้ องคเ ์ ดียวกนั คุณลักษณะขององค์อกาลปุรุษ ศาสนาสิขเป็ นศาสนาประเภทเอกเทวนิยม นับถือพระเป็ นเจ้าเพียงองค์เดียวและเรียกพระเป็ น เจ้าว่า “ พระนาม ” โดยเรียกพระนามในลกัษณะต่างๆๆ ดงัน้ี 1.โอม คือ ความบริสุทธิ์ ความสวัสดี ความปลอดภัย 2.สัจจะ คือ ความจริงหรือภาวะที่เป็ นจริงอย่างถึงที่สุด 3.นาม คือ พระนามที่อาศัยคุณสมบัติที่เป็ นหนึ่ง 4.กรตาหรือกัตตา หรือ ผู้สร้าง 5.ปุรุษหรือกรตาปุรุษ คือพระผูส้ ร ้ างโลกและสรรพสิ่ งในโลกโดยเหตุปัจจยัและกฎธรรม ชาต 6.นิรภัย คือ ผู้ไม่มีความกลัว 7.อกาลมู รติ คอื ผู้อยู่เหนือกาลเวลา ปราศจากความตายและอวสาน 8.นิรเวร คือ ปราศจากเวร ปราศจากศัตรู 9.อชุนี คือ ไม่มีก าเนิด 10.เสภ คือ สภาวะที่มีแสงในตัวเอง ในแดนเกิดแห่งแสงสว่าง 11.คุรุปรสาทิ คือ ผู้ให้กานศึกษา เป็ นครูที่มิใช่มนุษย์ 54


ศาสนา ย ู ดาห ์ ประวต ัิความเป นมา ศาสนายูดาหห ์ รอืศาสนายวิเป นศาสนาของชาวยวิหรอืฮบีรูซ ึงสืบเช อืสายมาจากพวกเซ มิติก ท ีแยกมาจากภาคเหนือของทวปีเอเชยีและได้เขา้มาตัง ถิ นฐานอยูใ่นดินแดน ปาเลสไตน ์ ต่อมา ภายหลังพวกฮบีรูบางพวกได้ตกเป นเชลยและถูกกวาดต้อนไปอยู่ ประเทศอยีปิต ์ แต่ทนการ บบีบังคับกดข ขีม่เหงของพวกอยีปิต ์ไม่ไหว จึงพากันหลบหนี ขา้มทะเลแดงไปรวมตัวกันอยูใ่น ดินแดนปาเลสไตน ์ อกีครงั หน ึง บรเิวณดินแดนแหง่น ีมี ชนชาติคานาอนัหรอืแคนาไนต ์ อาศัยอยู่พวกคานาอนัเรยีกพวกท ีเขา้มาใหม่วา่ “ฮบีรู โดยท ีพวกยวิแสดงตัววา่เป นผูม้าดีไม่ใชม่ารา้ย พวกคานาอนัจึงไม่รงัเกียจ พวกฮบีรู หวัหน้า คนหน ึงซ ึงมีนามเดิมวา่ “ยาโคบ" ซ ึงยาโคบ จะเรยีกช อืตนเองในเวลาทําพธิทีาง ศาสนาวา่ "อสิราเอล" แปลวา่ "มัน คงต่อพระเจ้า" พวกยวิได้สืบเช อืสายทางศาสนามาจาก พวกคานาอนัซ ึงนับถือพระเป นเจ้าองค ์ เดียว คือ "พระยาหเ ์ วห"์ เดิมพวกยวิเคยนับถือ พระเป นเจ้าของพวกคานาอนัอกีองค ์ หน ึง คือ “พระอาฮรีา” แต่ไม่นานชาวยวิก็เลิกเคารพ คงเหลือเพยีงเคารพพระยาหเ ์ วหอ ์ งค ์ เดียว ต่อมาเม ือพวกยวิได้กลับเขา้สู่ดินแดนปาเลสไตน ์ ดังเดิมแล้ว โมเสสได้จูงใจใหช้าวยวิ นับถือ พระยาหเ ์ วหม ์ ัน คงดังเดิม และชาวยวิก็นับถือพระยาหเ ์ วหม ์ าจนกระทัง ทุกวนัน ี โมเสสเป นศาสดาของศาสนายูดาห ์ บดิาช อือมัรมัมารดาช อื โจเซเบต ทัง บดิาและ มารดา ของโมเสสเป นชนเผา่เลวขีองอสิราเอล สันนิษฐานวา่ โมเสสเกิดในรชัสมัยของ ฟาโรหร ์ ามเสสท ี2 (ประมาณ 1279-1213 ก่อนครสิต ์ ศักราช) ประเทศอยีปิต ์ในสมัย นั นมีนโยบายในการลดจํานวนชาวยวิลงเน ืองจากชาวยวิมีจํานวนเพมิ มากข นึและมี ความแขง็แกรง่ข นึด้วยเม ือเป นดังนั นฟาโรหร ์ ามเสสที 2 ทรงเกรงวา่พวกผวิจะรว่มมือ กับขา้ศึกโจมตีพระองค ์ จึงมีบัญชาใหป้ระหารชวีติเด็กชายทุกคนท ีเกิดในตระกูล อสิราเอล บดิามารดาของโมเสสเกรงวา่บุตรของตนจะไม่ปลอดภัย จึงซ่อนบุตรชายไวเ้ป นเวลา 3 เดือน ต่อมาได้พจิารณาแล้วเหน็วา่ ไม่ปลอดภัยแน่จึงนําบุตรชายใส่ตระกรา้ลอยแพ อธษิฐานเส ียงบุญ ไปตามแม่น ําไนล ์ เผอญิวนันั นพระราชธดิาของฟาโรหร ์ ามเสสท ี 2 เสด็จลงสรงน ํา ทอดพระเนตร เหน็ตระกรา้ท ีมีเด็กลอยน ํามา จึงนําไปเล ียงไวใ้นฐานะ บุตรบุญธรรม แล้วตัง ช อืใหว้า่ “โมเสส” แปล วา่ “ผูร้อดตายจากน ํา” พ สีาวของโมเสส ช อื “มิรอิมั ” ได้อาสาเล ียงดูโมเสสแทนพระราชธดิา และ มารดาเดิมของโมเสสก็ได้รบั บัญชาจากพระราชธดิาใหไ้ปเล ียงโมเสสด้วย 55


ประวต ัิความเป นมา โมเสสได้รบัการเล ียงดูประดุจเจ้าชายในราชสกุล โมเสสไม่ทราบวา่ตนเป นยวิจนกระทัง วนัหน ึง มารดาผูใ้หก้ ําเนิดได้บอกความจรงิใหท้ราบ และจุดน ีเองเป นระยะท ีสําคัญท ีสุด ในการ เตรยีมการของโมเสสเพ อือพยพชาวยวิออกจากอยีปิต ์ โมเสสได้ศึกษากฎหมาย โบราณ การฝก ทางด้านการทหาร จนทําใหโ้มเสสได้ความรู้ด้านการเป นผูน้ ําคน โมเสส มีความสนิทสนม กันเป นพเิศษกับเด็กหน่มุเช อืสายเดียวกัน และ เขามักไปเย ยีมทุกข ์ สุข ของพวกยวิวนัหน ึง โมเสสได้เหน็ชาวอยีปิต ์ ผูเ้ป นหวัหน้าควบคุม งานก่อสรา้งกระทํา การโหดรา้ยทารุณต่อคนงาน ชาวยวิจึงเกิดววิาทกัน โมเสสบันดาลโทสะฆ่า ผูค้วบคุม คนนั นตาย ฟาโรหร ์ ามเสสท ี2 กรว ิมาก และได้รบัสัง ใหส้ ําเรจ็โทษโมเสส แต่โมเสสได้ หลบหนีไปอาศัยอยูก่ ับหลวงพอ่ชาวยวินามวา่ "เซโธว"์ ในดินแดนมิเดีย ต่อมาก็ได้ แต่งงาน กับบุตรสาวของหลวงพอ่ช อื "ชปิโปราห"์ มีบุตรชาย 2 คน คือ "เคอโสมและ ไลเซอร"์ เม ือส ินรชัสมัยของฟาโรหร ์ ามเสสท ี2 แล้ว เนปดาหพ ์ ระราชโอรสได้ทรงครองราชย ์ แทน เวลาน ีเองโมเสสและอารอนผูเ้ป นเพ อืนจึงเดินทางกลับมาอยีปิต ์ เพ อืรอ้งขอต่อฟาโรห ์ เนปดาห ์ ใหช้าวยวิทัง มวลกลับสู่ดินแดนแหง่พนัธสัญญา คือ ปาเลสไตน ์ ในระยะแรก ฟาโรหไ์ ม่อนญุาต แต่ต่อมาเกิดโรคระบาดอยา่งหนักในประเทศอยีปิต ์ คัมภีรท ์ างฝา ยยวิ กล่าววา่เป นผลมาจากการ ท ีพระเป นเจ้าทรงลงโทษท ีฟาโรหไ์ ม่ทรงอนญุาตใหช้าวยวิ กลับสู่ปาเลสไตน ์ เม ือเหตุการณ ์ รา้ยๆ ต่างคุกคามประเทศและประชาชน ฟาโรหเ ์ น ปดาหจ ์ ึงทรงยอมอนญุาตใหช้าวยวิออกจากอยีปิต ์ได้นั นคือน ําในทะเลแดงได้แยกใหท้าง แก่โมเสสและชาวยวิขา้มฝ ง ไปได้แต่พอทหารอยีปิต ์ จะขา้ม ไปบา้งกลับถูกน ําท่วมตาย การเดินทางอพยพครงั น ีทําใหโ้มเสสได้รบัประสบการณ ์ ต่างๆ มากมายและกลายเป นผู้ ยงิ ใหญ่ ในเวลาต่อมา กล่าวคือ ในขณะเดินทางนั นมีป ญหาต่างๆ เกิดข นึมากมาย เชน่ การขาดแคลน อาหาร การขาดแคลนน ํา การทะเลาะววิาทกัน เป นต้น แต่โมเสสกี สามารถแก้ป ญหาต่างๆ ได้ด้วย ความสุขุม จิตใจสงบ อนัเป นผลจากการสวดมนต ์ ถึงพระเป นเจ้าอยูเ่สมอ ระหวา่งการ เดินทางสู่ปาเลสไตน ์ได้เกิดเหตุการณ ์ สําคัญในประวตัิศาสตร ์ ณ ภูเขาซีนายหรอืภูเขา โฮเรป คือ โมเสสได้ปลีกตัวจากคณะไปพกัสงบอยูบ่นยอดเขาซีนายเป นเวลา 40 วนั 40 คืน 56


ค ั มภ ี ร ์ คัมภีรข ์ องศาสนายูดาหม ์ ี3 คัมภีร ์ ดังน ี 1) คัมภีรภ ์ าคพนัธสัญญาเดิมหรอืคัมภีรเ ์ ก่า เป นภาษาฮบีรูเน ือความกล่าวถึง การแก้แค้นและการส่องสวา่งของพระยาหเ ์ วห ์ รวมถึงกล่าววา่พระยาหเ ์ วหเ ์ป นผู้ พพิากษาโลก ตลอดจนมีบทสรรเสรญิพระเป นเจ้า พรอ้มด้วยสุภาษิตอนัเป นคําสอน เชน่สอนไม่ใหก้ ีดกันความดี จากคนทีควรค่าแก่ความดีเป นต้น 2) คัมภีรโ์ ทราห ์“โตราห"์ แปลวา่ "พระบัญญตัิ” เป นชุดพระบัญญตัิโทราหท ์ ีมี ความหมายกวา้งมาก แบง่ออกเป น 2 สาย คือ บทบัญญตัิท ีเขยีนไวเ้ป นลายลักษณ ์ อกัษร และบทบัญญตัิท ีท่องจํากันมาด้วยปากเปล่า เรยีกวา่ “มุขปาฐะ” ซ ึงคัมภีรโ์ ทราห ์ น ียงัหมายรวม เอาคัมภีรภ ์ าคพนัธสัญญาเดิมไวด้ ้วย 3) คัมภีรท ์ าลมูด เป นภาษาฮบีรูแปลวา่ “การศึกษา" มีการเขยีนข นึเม ือประมาณ พ.ศ. 933-963 เน ือหาของคัมภีรเ ์ ล่าถึงความเป นมาของศาสนายูดาหแ ์ ละมีการแสดงใหเ้หน็ วา่ศาสนายูดาหเ ์ป นปฏิป กษ ์ กับพระเยซูครสิต ์ นิกาย 1.) นิกายออรท ์ อดอกซ ์ เป นพวกหวัเก่ายดึถือคัมภีรโ์ ทราหช ์ุดพระบัญญตัิอนั ได้แก่คัมภีร ์5 เล่มแรก ของภาคพนัธสัญญาเดิม คือ ปฐมกาล อพยพ เลวนีิติกันดารวถิีและเฉลยธรรม บัญญตัินิกายน ีเครง่ครดัมาก ถือปฏิบัติตามตัวหนังสือ และพวกน ีมีความเช อืวา่อสิราเอล เป นมาตุภูมิของตน 2.) นิกายปฏิรูป เป นนิกายท ีนับถือในหมู่ป ญญาชนสมัยใหม่ท ีมีความเหน็วา่คัมภีรแ ์ ละกฎหมาย ต่างๆ อาจปรบัปรุงแก้ไขได้ไม่ใชถ่ ือกันตามตัวหนังสือในคัมภีร ์ จะต้องมีการ ปรบัปรุงแก้ไขให้ เขา้กับชวีติและความเป นไปของสังคมป จจุบัน กฎอนั ใดท ีไม่เหมาะกับสังคมสมัยใหม่ก็ ควรยกเลิก พธิกีรรมต่างๆ ควรทํากันอยา่งรวบรดันิกายน ีเช อืวา่ศาสนายูดาหต ์ ้องเป น ศาสนาสากลของโลก ไม่เช อืเรอ ืงการเสด็จ มาของพระเมสสิยาหแ ์ ละการสรา้งประเทศ อสิราเอลใหม่ 57


3.) นิกายอนรุกัษ ์ นิยม เป นนิกายท ีประนีประนอมความคิดระหวา่ง 2 นิกายแรกเขา้ด้วยกัน โดยการถือ ศาสนายูดาหเ ์ป นแก่นแท้ของชาวยวิทุกคน พยายามยดึมัน ในขนบธรรมเนียม และจารตีเก่าๆ ใหม้าก และควรปรบัปรุงส่วนท ีล้าสมัย 4.) นิกายบูรณะปฏิสังขรณ ์ เป นนิกายท ีแยกมาจากนิกายอนรุกัษนิยม พวกท ีนับถือนิกายน ีเป นคนหวัรุนแรงมาก เพราะได้รบัอทิธพิลจากลัทธปิรชัญาแบบปฏิบัตินิยมและธรรมชาตินิยมใน สหรฐัอเมรกิา นิกายน ีถือเรอ ืงเสรภีาพในการแสดงความคิดเหน็และ แสดงออกตาม ความเช อืได้อยา่งเต็มที หล ั กธรรม หลักธรรมคําสอนท ีสําคัญๆ ของศาสนายูดาห ์ สามารถแบง่ ประเด็นสําคัญๆ ได้ดังต่อไปน ี 1) หลักความเช อืพ นืฐานของศาสนายูดาห ์ ตัง อยูบ่นพ นืฐาน ดังน ี 1. พระยาหเ ์ วหเ ์ป นพระเป นเจ้าสูงสุดเพยีงพระองค ์ เดียว ไม่มีพระเป นเจ้าองค ์ อ นื นอกจากพระองค ์ เป นผูส้รา้งโลกมนษุย ์ และสรรพสิ งในเอกภพ เป นองค ์ แหง่ความดี ยุติธรรม ความรกัและป ญญา ทรงควบคุมเอกภพใหด้ ําเนินไปตามน ําพระทัยของ พระองค ์ 2. กฎหมายของพระเป นเจ้าคือกฎหมายสูงสุดท ีแท้จรงิแสดงใหป้รากฏใน คัมภีรภ ์ าค พนัธสัญญาเดิมและคัมภีรท ์ าลมุดทุกประการ อนัวา่ด้วยการปกครอง เศรษฐกิจ สังคม และชวีติ ประจําวนั โดยท ีมนษุย ์ไม่อาจปฏิเสธกฎหมายสูงสุดได้ 3. พระยาหเ ์ วหท ์ รงพจิารณาเลือกสรรชนชาติอสิราเอลใหเ้ป นผูแ้ทนพระองค ์ เพ อืจะได้ นํามนษุยชาติไปหาพระองค ์ ชาวอสิราเอลทุกคนจึงต้องมีหน้าท ีเป นพระหรอืนักบวช ต้องดํารงชวีติใหอ้ยูใ่นความชอบธรรมและความบรสิุทธท ิุกประการ 4. เอกภาพทางประวตัิศาสตรไ์ ด้แสดงใหเ้หน็ถึงพระประสงค ์ และนโยบายของ พระเป นเจ้าในการลงโทษและใหร้างวลัแก่มนษุย ์ วา่แต่ละครงั พฒันาไปสู่สภาวะท ีดีข นึ เพ อืไปสู่อาณาจักรของพระเป นเจ้า 58


5. ศาสดาพยากรณ ์ เป นผูเ้ผยพระวจนะท ีแท้จรงิของพระเป นเจ้า ค่าทํานายของ ศาสดา พยากรณ ์ มีความศักด ิสิทธ ิเป นการแสดงพระประสงค ์ ของพระเป นเจ้าท ีตักเตือนสัง สอน มนษุย ์ใหรู้ส้ ึกผดิและใหโ้อกาสกลับใจใหม่ คนบาป และประทานพรแก่คนต 6. เม ือมนษุย ์ ตาย พระเป นเจ้าทรงตัดสินพพิากษาด้วยความยุติธรรม การลงโทษ 7. พระเป นเจ้าจะเสด็จมาพพิากษาโลกในวนัส ินโลก จะทําลายล้างบาปใหห้มดไป แล้วทรงตัง อาณาจักรบรสิุทธใ ินโลกใหม่ 7. พระเป นเจ้าจะเสด็จมาพพิากษาโลกในวนัส ินโลก จะทําลายล้างบาปใหห้มดไป 8. พระเมสสิยาหห ์ รอืผูไ้ถ่บาป คือ บุตรของพระเป นเจ้า บางทีเรยีกบุตรของมนษุย ์ จะ เสด็จมาปราบศัตรูของพระเป นเจ้าและชว่ยผูท้ ีซ ือสัตย ์ ต่อพระองค ์ใหพ้น้จากทุกข ์ ทรมาน จะทรง ปกครองโลกด้ายสันติภาพและความรกัฉะนั นจึงใหม้นษุย ์ เตรยีมตัวไว้ รบัพระองค ์ ด้วยการตรงชวีติใหบ้รสิุทธ ิ 9. การถือปฏิบัติตามขนบ ธรรมเนียมและจารตีประเพณีดัง เดิม ซ ึงระบุไวบ้นพระคัมภีร ์ เป นสิ งสําคัญท ีจะชว่ยควบคุม ชวีติมนษุย ์ใหอ้ยูใ่นความบรสิุทธต ิามพระประสงค ์ ของ พระเป นเจ้า 10. ชาวยวิต้องดํารงชวีติใน ความบรสิุทธต ิามหลักปฏิบัติวา่ด้วยสิทธิ5 ประการ อนั ได้แก่สิทธใินการครอบครองชวีติสิทธเิก ียวกับทรพัย ์ สิน สิทธเิก ียวกับการประกอบ อาชพีสิทธเิก ียวกับการแต่งกาย สิทธเิก ียวกับ การตัง บา้นท ีอยูอ่าศัย และสิทธแิหง่ บุคคล ซ ึงรวมถึงสิทธใิน ส ั ญล ั กษณ ์ ของศาสนาย ู ดาห ์ สัญลักษณ ์ ของศาสนายูดาห ์ แต่เติมคือคันประทีปท ีมีก้าน 7 ก้าน หรอืท ีเรยีกวา่ “เมโน ราห”์ แต่ป จจุบัน ใชรู้ปสามเหล ียมซ้อนกัน 2 รูป เป นดาว 6 แฉก ซ ึงเป นเครอ ืงหมาย ประจําตระกูลของกษัตรยิ์ ดาวดิและเป นเครอ ืงหมายในฝน งชาติของ อสิราเอลด้วย นอกจากน ีช อืวา่ “มหาวหิาร” ณ กรุงเยรูซาเลม ท ีกษัตรยิ์โซโลมอนทรง สรา้งข นึเม ือประมาณป ท ี447 ก่อนพุทธศักราช เป นเครอ ืงหมายศักด ิสิทธด ิ้วย ป จจุบัน เหลือเพยีงซาก าแพง เรยีกวา่ “กาแพงรอ้งไห”้เป นศาสนสถานทีชาวทัว โลกต่างพากัน ไป กระ ด้วยเช อืวา่คําแพง เป นสัญลักษณ ์ แหง่ความเป นเอกภาพของชาวยวิผูม้า สักกา ระจะจูบกําแพง แล้วอบศีรษะกับกําแพงรอ้งไห้เพ อืถึงความ ยงิ ใหญข่องชนชาติยวิใน อดีต มักจะมีผูม้าสักการะมากในวนัศุกร ์ 59


พระบัญญตัิสูงสุดในศาสนายูดาหเ ์ รยีกวา่ “พระบัญญตัิ 10 ประการ" ตามพระคัมภีร ์ กล่าววา่ โมเสสได้ข นึ ไปเฝา พระยาหเ ์ วหบ ์ นยอดเขาซีนาย พระองค ์ ทรงจารกึขอ้ความไว้ บนศิลา 2 แผน่และทรงมอบใหโ้มเสสเพ อืนําไปใชเ้ป นกฎหมายปกครอง ชาวอสิราเอล ขอ้ความในพระบัญญตัินั นครอบคลุมไปทัง ด้านศาสนา การเมือง เศรษฐกิจ สังคม และ วฒันธรรม เป นรากฐานของกฎหมาย ระเบยีบขอ้บังคับ วนิัย และศีล โดยแยกกล่าวเป น ขอ้ๆ ได้ดังน ี 1. จงนมัสการพระเป นเจ้าองค ์ เดียว จุดประสงค ์ ของพระบัญญตัิขอ้น ีเพ อืส่งเสรมิ เอกภาพทางศาสนาในฐานะท ีเป นเง อืนไขก่อใหเ้กิดองค ์ การทางสังคมและความมัน คง แหง่ชาติโดย กําจัดคนพวกนอกศาสนาใหห้มดส ิน แม้วา่เป นญาติสนิทท ีสุดของตนก็ตาม 2. อยา่ออกพระนามพระเป นเจ้าโดยไม่สมเหตุจุดประสงค ์ ของพระบัญญตัิขอ้น ีเพ อืยก ระดับมโนคติเก ียวกับพระเป นเจ้าของชาติใหสู้งข นึแม้เป นการทําลายศิลปะก็ตาม ทัง น ี เพ อืยกระดับสติป ญญาของชาวยวิใหสู้งข นึ ไม่ใชย่ดึพธิรีตีองท ีเก ียวกับไสยศาสตรแ ์ ละ บูชารูปป นต่างๆ ทําใหแ้ตกแยกในด้านความเช อื 3. จงถือวนัพระเป นเจ้าเป นวนัศักด ิสิทธ ิจุดประสงค ์ ของพระบัญญตัิขอ้น ีเพ อืให้ มนษุย ์ได้พกัผอ่นสัปดาหล ์ ะ 6 วนั ในท ีสุดก็ได้กลายเป นประเพณีท ีสําคัญท ีสุดของโลก ความจรงิวนัหยุดในทํานองน ีมีอยูใ่นแทบทุกศาสนา 4. จงนับถือบดิามารดา จุดประสงค ์ ของพระบัญญตัิขอ้น ีเพ อืยกยอ่งครอบครวั โดยเช อืวา่บดิามารดาเป นโครงสรา้งท ีสําคัญของสังคมผวิและสําคัญเป นท ีสองรองจาก ศาสนา 5. อยา่ฆ่าตน จุดประสงค ์ ของพระบัญญตัิขอ้น ีเพ อืต้องการใหม้นษุย ์ มีเมตตา กรุณาต่อ กัน ทัง น ีเพราะปรากฏวา่มนษุย ์ ชอบรบราฆ่าฟน กันมาก หลักฐานในคัมภีรภ ์ าคพนัธ สัญญาเต็มปรากฏวา่มีเรอ ืงสู้รบทําสงครามกันมาก 6. อยา่ผดิ ประเวณีจุดประสงค ์ ของพระบัญญตัิขอ้น ีเพ อืจัดระเบยีบความสัมพนัธท ์ างเพศ ระหวา่งชายหญงิใหเ้ป นไปอยา่งเหมาะสม ดังนั น จะมีความสัมพนัธท ์ างเพศกันก่อน แต่งงานไม่ได้ 7. อยา่ลักทรพัย ์ จุดประสงค ์ ของพระบัญญตัิขอ้น ีเพ อืเน้นเรอ ืงทรพัย ์ สมบัติส่วนตัวซ ึงมี ความสัมพนัธก ์ ับศาสนาและครอบครวั โดยเช อืกันวา่เป นพ นืฐาน 3 ประการของสังคม ชาวยวิเพราะหากตนมีทรพัย ์ สมบัติส่วนตัวไม่ได้คนจะขาดความกระดือรอืรน้ ในการทํามา หากิน พระบ ั ญญ ั ติ10 ประการ 60


8. อยา่ ใส่ความนินทา จุดประสงค ์ ของพระบัญญตัิขอ้น ีเพ อืทําใหช้าวยวิมีความ เครง่ครดัในศาสนาด้วยศรทัธาจรงิๆ ไม่ใชอ่อกพระนามพระเป นเจ้าอยา่งพล่อยๆ และ ตามปกติ มักใชค้ ําวา่ "อะโดไน" แทนพระนามพระยาหเ ์ วห ์ 9. อยา่คิดมิชอบ จุดประสงค ์ ของพระบัญญตัิขอ้น ีเพ อืต้องการใหค้นท ีทําหน้าท ี เป นพยานมีความซ ือสัตย ์ สุจรติและต้องใหก้ารตามความเป นจรงิโดยต้องสาบานต่อ พระเป นเจ้า 10. อยา่มีความโลภในสิ งของของผูอ้ นืจุดประสงค ์ ของพระบัญญตัิขอ้น ีเพ อืช ชีดัวา่ สังคมชาวยวิจัดผูห้ญงิรวมไวใ้นเรอ ืงของทรพัย ์ สมบัติด้วย ตามพระบัญญตัิขอ้น ีหากใคร ปฏิบัติได้ พธิก ี รรม พธิกีรรมท ีสําคัญของศาสนายูดาห ์ มีดังต่อไปน ี 1) วนัสะบาโต เป นวนัท ีเจ็ดของสัปดาหค ์ ือวนัเสาร ์ ถือเป นวนับรสิุทธ ิเป นวนัท ีศาสนิ กชนชาวยวิทัง หมดต้องละเวน้การทํางานทุกชนิด เพ อืบูชาพระเป นเจ้าตามท ีปรากฏอยู่ ในพระบัญญตัิประการท ี3 ในสมัยแรกๆ แหง่ ประวตัิศาสตรข ์ องพวกยวิเรอ ืงน ีไม่ค่อย ถือกัน เครง่ครดันัก แต่หลังจากพวกยวิต้องอพยพเรร่อ่นแล้ว จึงได้ปฏิบัติกันอยา่ง เครง่ครดัมากข นึ พวกยวิเช อืกันวา่วนัสะบาโตเรมิ ตัง แต่ค ําวนัศุกรถ ์ ึงค ําวนัเสาร ์ 2) พธิปี สตา พธินี ีเกิดข นึ ในสมัยของโมเสส ในคืนท ีโมเสสจะพาพวกชาวยวิอพยพ ออก จากอยีปิต ์ พระเป นเจ้าทรงสัง ใหพ้วกยวิผา่แกะทําเป นอาหารรบัประทานกับขนมป ง ท ี ไม่มีเช อืและรบัประทานใหห้มดในวนัเดียว จากนั นใหทุ้บหม้อไหเครอ ืงครวัทัง หมด เอา เลือดแกะป ายไวท้ ีหน้าประตูเพราะในเวลา กลางคืนพระเป นเจ้าจะทรงส่งทูตมรณะมา ฆ่า ทุกคนท ีไม่ใชย่วิถ้าประตูบา้นของใครมีเลือด แกะทาอยู่ทูตมรณะก็จะขา้มไป จึง เรยีกวา่ "บัลกา" หรอื "ป สคา" แปลวา่ “ขา้มไป” ใน ป จจุบันน ีชาวยวิทําโดยการวาง กระดูกขาแกะไว้ 3) พธิเีซเตอร ์ พธินี ีถือเป นพธิีพ นืเมืองท ีสําคัญท ีสุดของศาสนายูดาห ์ กระทํา ในคนแรกและคันท ีสองของพธิปี สกา ประกอบด้วยการนับวนัท ีพวกยวิอพยพออกจาก อยีปิต ์ การเล ียงฉลองในงานรน ืเรงิเรมิ ด้วย “คิดดูซ" อนัเป นการใหพ้รแบบธรรมดา สามัญ การกินหญา้ชม และขนมป งท ีมิได้ใส่เช อืใหฟู้การสวดมนต ์ และด ืมเหล้าองุน่เป น ระยะๆ รวม 4 แก้ว อาหารม ือสุดท้ายของพระเยซูครสิต ์ และสาวกก็คืออาหารในพธินี ี 61


4.) วนัชาํระบาป เรยีกวา่ "ยอมคิปปูร"์ ซ ึงถือเป นวนัศักด ิสิทธท ิ ีสุดในรอบป ของ ชาวยวิชาวยวิทุกคนนอกจากเด็กและผูป้ วยแล้ว ต้องอดอาหารและน ําอยา่งเด็ดขาดใน วนัน ีนับตัง แต่ตอนค ําของวนัท ี9 จนถึงตอนค ําของวนัท ี10 แหง่เดือนใชซีในวนัน ีต้อง หยุดงาน ทุกชนิด เพ อืใชเ้วลาตลอดทัง วนัในการเคารพบูชาพระเป นเจ้า ท ีโบสถ ์ มีการ จัดการบรรยาย เรอ ืงโบสถ ์โบราณในเมืองเยรูซาเล็ม ในตอนส ินสุดของวนัชาํระบาปก็มี การเป าเขาแกะ อนัเป น นิมิตหมายแหง่การปลดเปล ืองตนใหพ้น้จากบาปและการกลับ คืนดีกับพระเป นเจ้า นอกจากพธิทีัง 4 ดังกล่าวแล้ว ยงัมีพธิอี นืๆ อกีมากมาย เชน่พธิฉีลองพชืผลใน ฤดูเก็บ เก ียว มีการออกพระนามของพระเป นเจ้าโดยออ้นวอนใหท้รงชว่ยและเช อืวา่ความสุขจะ เกิด แก่ผูก้ล่าวคําลุแก่โทษเท่านั น พระเป นเจ้าทรงยอมเป ดประตูใหแ้ก่ผูลุ้แก่โทษเสมอ ซ ึงผูก้ล่าว แก่โทษในเวลาใกล้ตายก็จะยงิ ประเสรฐิกวา่เวลาอ นื 62


ศาสนาโซโรอัสเตอร์ ความเป็ นมาของศาสนาโซโรอัสเตอร์ ศาสนาโซโรอัสเตอร์ได้ชื่อนามศาสดาผู้ให้ก าเนิด ซึ่งเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ซาราธุสตรา (Zarathustra) ศาสนาสามารถเรียกไดอ ้ีกอยา่งว่าศาสนาปาร ์ ซีเพราะเกิดข้ึนในเปอร ์ เซีย(อิหร่านในปัจจุบนั ) เมื่อประมาณ พ.ศ. 107ศาสนาน้ีเรียกอีกอยา่งหน่ึงว่าลทัธิมาสดา ซ่ึงมีความหมายว่าลทัธิบูชา พระเจ้าอาหุรมาสดา (Ahura Mazda)ไดแ ้ ก่พระเจา ้ ผูเ ้ป็ นจอมอสูรและอาศยัเหตุที่ว่าโซโรอัสเต อร์ประกาศว่า พระเจ้าอาหุรมาสดาเป็ นพระเจ้าแห่งความดีและแสงสว่าง ผู้ที่นับถือใช้แสงประทีปเป็ น เครื่องหมายแห่งการบูชา จึงเรียกว่าศาสนาบูชาไฟ (Religion of Fire Wosihipper)ก็มีที่ก าเนิด ศาสนาศาสนาโซโรอสัเตอร ์ เกิดข้ึนตรงดินแดนอนัเป็ นที่ราบสูงอนุมานราวแควน ้ อาเซอร์ไบจานติดไปทางตะวันออกเฉียงเหนือใกล้ชายแดนของรัสเซียในปัจจุบันการเผยแพร่ ศาสนาโซโรอัสเตอร์มีบุตร 6คน เป็ นบุตรชาย 3คน และบุตรสาว 3คน เกิดแต่ภรรยา 3คน ลูกสาวคนหน่ึง สมรสกบัอคัรมหาเสนาบดีลูกสาวคนน้ีเป็ นกา ลงัในการ เผยแพร่ศาสนาแก่บิดาเป็ นอนัมาก ส่วนลูกชายท้ งั 3คน รับราชการผู้บังคับบัญชากองทหาร อยกู่องทพักษตัริยเ ์ปอร ์ เซียและไดเ ้ป็ นกา ลงัอยา่งยิ่ งในการเผยแพร่ศาสนา ศาสนาโซโรอสัเตอร ์ เกิดข้ึนนสประเทศอิหร่านยคุก่อนที่อิหร่านจะหนั ไปนับถือศาสนาอิสลาม ศาสนาโซโรอัสเตอร์ หรือศาสนาเปอร์เซียร์ก็เรียก หรือรู้จักกันในนามของลัทธิบูชาไฟ มีความเชื่อแบบทวินิยม ( Dualism ) สอนเรื่องการต่อสู้กันระหว่างพระเจ้าแห่งความดีกับพระเจ้า แห่งความชวั่ร ้ าย ซ่ึงในที่สุดพระเจา ้ฝ่ายดีเป็ นฝ่ายชนะ ในการต่อสู้ น้ีมนุษยม ์ ีเสรีภรพในการเลือกวา่จะเลือกเอาขา ้ งฝ่ายใด ศาสนาโซโรอสัเตอร ์ เกิดก่อนพุทธกาลประมาณ 400-1000 ปี มีโซโรอัสเตอร์เป็ นศาสดา มีคัมภีร์อเวสตะ ( Avesta ) เป็ นคัมภีร์ศาสนา เชื่อกันว่าศาสนาดซโรอสเตอร์มีอิทธิพลต่อการพัฒนาการของศาสนายูดาย และการเกิดของ ศาสนาคริสตร์ และเชื่อกันว่าโซโรอัสเตอร์เป็ นผู้สอนเจ้าลัทธิส าคัญทางความคิด ขื่อไพธากอรัส ( Phyhagoras ) ในบาบิโลนและเป็ นผูก ้่อต้ งัโหราศาสตร ์ และเวทมนตค ์ าถาต่าง ๆ ต่อมาอีกดว ้ ยศาสนดาโซโรอสัเตอร ์ อุบตัิข้ึนก่อนคริสตศ ์ ตวรรษ 600 ปี เป็ นชาวเปอร์เซีย เผ่า 63


อารยนันบัถือประเพณีการบูชาพระอาทิตยด ์ ว ้ ยการจุดไฟตลอดท้ งัวนัและคืน โซโรอสัเตอร ์ได ้ น าประเพณีการจุดไฟ มาปฏิบตัิเป็ นพิธีกรรมในศาสนาที่ตนสั่ งสอนดว ้ ยและไฟไดก ้ ลายเป็ นสัญญลกัษณ ์ ของศาสนา โซโรอัสเตอต์ไปด้วย ต านานกล่าวว่า โซโรอัสเตอร์ คือวิญญาณที่เทพเจ้าอาหุรามัสดา ส่งลงมา แทนพระองค์ เพื่อช่วยมนุษย์ผู้มีความทุกข์ให้โซโรอัสเตอร์ก าเนิดเป็ นชาวเมื่องมิเดียประเทศ เปอร์เชีย ประชาชนชาวอิหร่านและชาวอินเดีย มีบรรพบุรุษร่วมกนัมาในอดีต สืบเช้ือสายมาจากชาว อารยนัศาสนาของชาวอารยนัมีพ้ ืนฐานมาจากคมัภีร ์ ศกัด์ิสิทธ์ิ ของชาวอิหร่านและของอินเดีย คือคัมภีร์อเวสตะ (Avesta) ของอิหร่าน และคัมภีร์พระเวทของ อินเดีย มีเทพเจ้าองค์เดียวกันอยู่ในคัมภีร์อเวสตะของอิหร่านและคัมภีร์พระเวทของอินเดีย เช่น เทพเจ้ามิตรา ของอินเดียและของอิหร่านเรียกว่า ทพเจ้ามิธรา และพิธีบูชาไฟสังเวยพระเจ้าด้วย เหล้าศักดิ์สิทธิ์ ในอินเดีย เรียกว่า โสม ในอิหร่านเรียกว่า โหม ชาวอารยันในอิหร่านได้แบ่งพระเจ้าของตนออกเป็ น เทวะ เป็ นค าใน ภาษาอินโด-อารยัน เช่นเดียวกับค าว่า ดีอุส ซึ่งหมายถึง ทางสวรรค์ และอสูร ซึ่งหมายถึงเทพมี อ านาจเร้นลับ 64


ประวัติศาสดา ชาวเปอร์เซียเป็ นพวกอารยันแท้ ชาวอารยันนับถือพระอาทิตย์ จึงจุดไฟในบ้านตลอดเวลา เพื่อ เป็ นเครื่องหมายแห่งการนับถือพระอาทิตย์ ในศาสนาโซโรอัสเตอร์ได้รับเอาการบูชาไฟไว้เป็ น หลกัปฏิบตัิของศาสนาดว ้ ย ดงัน้นัจึงมีอีกชื่อหน่ึงว่า เป็ นศาสนาบูชาไฟ โซโรอัสเตอร์ ถือก าเนิดเมื่ออหุรมสัดะเทพเจา ้ แห่งแสงสว่างและความดีสร ้ างมนุษย ์ สร ้ างทุกสิ่ง ฝ่ ายดี อหิรมนัซ่ึงเป็ นเทพเจา ้ฝ่ายชวั่เจา ้ แห่งความมืด ไดส้ ร ้ างสิ่งชวั่เช่น ความเจ ็ บไขเ ้ พื่อทา ลายมนุษย ์ ฝ่ายดีฝ่ายชวั่ต่อสู้ กนัอยา่งน้ีจนคร้ังหน่ึงฝ่ายมนุษยไ์ ดร ้ับความทุกขม ์ ากฝ่ายอหริมันก าลังเป็ นต่อ ฝ่ายมนุษยจ ์ึงไดใ้ ห ้โควิเศษร ้ องบอกเรื่องน้ีแก่อหุรมสัดะให ้ ท่านช่วยพระอหุรมสัดะรับว่าจะส่ง วิญญาณมาเกิดช่วยมนุษย์แทนพระองศ์ ต่อมาโซโรอัสเตอร์ก็เกิดโดยไม่รู้เกิดอย่างไร ใครเป็ น พ่อแม่ก็ไม่รู้ ก าหนดเวลาการเกิดของท่านก็ไม่ทราบแน่นอน ทราบแน่ว่าเกิดก่อนพุทธกาล ที่เกิด บ้างก็ว่าเกิดที่มิเดีย ที่ประเทศเปอร์เซีย เมื่อท่านอายุ 7 ปี ได้ไปอยู่กับพระในศาสนาเดิม ซึ่ง เรียกว่า มากีหรือมายิ่(มายาอิมายี) และพระในศาสนาน้ีไดเ ้ป็ นพระในศาสนาโซโรอสัเตอร ์ ดว ้ ยเมื่ออาย15 ปีกส ็ า เร ็ จการศกึษา หมดความรู้ของอาจารย์ (บางคัมภีร์ว่าท่านไม่รู้หนังสือ) เมื่ออายุ 30 ปี พระเจ้าได้รับตัวไป สวรรค์ ประทานค าสอนเพื่อให้น ามาสอนประชาชน (แต่บางคัมภีร์กล่าวว่า ท่านท่องเที่ยวหา ธรรมอันบริสุทธิ์ ในทะเลทรายเป็ นเวลา 20 ปี และได้ส าเร็จวิชาบนภูเขาลูกหนึ่ง) โซโรอัสเตอร์ ท าการสอนประชาชนอยู่หลายปี แต่ไดส้ าวกไม่มากจนกระทงั่พระเจา ้ วิษตาสฺป (อิสดาปหรือคุช ตาสฺป) ทรงเลื่อมใส แต่น้นัมาจึงมีสาวกมากข้ึน โซโรอัสเตอร์เสียชีวิตพร้อมกับพระสาวก 80 คนโดยถูกข้าศึกที่มาตีเมืองเปอร์เซีย ฆ่าในขณะที่ กา ลงัทา พิธีทางศาสนาอยใู่นโบสถ(์ บางท่านกล่าวไวว ้ า่ โซโรอสัเตอร ์ สิ้ นชีวิตเพราะฟ้าผ่า) 65


คัมภีร์ของศาสนาโซโรอัสเตอร์ คือ คัมภีร์อเวสตะ ค าว่า อเวสตะ แปลว่า ความรู้ ตรงกับค าว่า เวทะ อันเป็ นคัมภีร์พระเวทของพราหมณ์หรือฮินดู ภาษาที่ใช้จารึกเป็ นภาษาอเวสตะ(มีลักษณะคล้ายภาษาสันสกฤต) คัมภีร์อเวสตะแบ่งออกเป็ น 5 หมวดใหญ่ดงัน้ี 1.ยัสนะ เป็ นหมวดที่ว่าด้วยพิธีกรรม การพลีกรรมบวงสรวงต่อพระเจ้า มีอยู่ด้วยกัน 5 บท 2.วิสเปรัต เป็ นหมวดว่าด้วยบทสวดอ้อนวอนต่อเทพท้ งัปวง ใชค ู้่กบัยสันะ ประกอบดว ้ ยบท ง่ายๆ 20 บท 3.เวทิทัท เป็ นหมวดว่าด้วยบทสวดขับไล่ภูตผีปี ศาจและเทพซึ่งเป็ นฝ่ ายร้ายเป็ นกฎที่เป็ น ปฏิปักษต ์ ่อมารร ้ ายเฉพาะนกัพรตหรือพระในศาสนาน้ีเท่าน้นัจะใชเ ้ วทิททั ประกอบพิธีกรรม นอกจากน้นัหมวดน้ียงัไดก ้ ล่าวถึงเรื่องของจักรวาล ประวัติศาสตร์ และค าสอนเรื่องนรกสวรรค์ 4 ยัษฏส์ เป็ นหมวดว่าด้วยบทสวดบูชาอันเป็ นกวีส าหรับใช้สวดบูชาทูตสวรรค์ 21 องค์และ วีรบุรุษแห่งศาสนาโซโรอัสเตอร์ ถือว่าของนักพรต 66


5.โขรทะ-อเวสตะ แปลว่าเป็ นหมวดส าคัญของคัมภีร์อเวสตะ เป็ นหมวดที่เป็ นหนังสือบทสวด คู่มืออยา่งยอ่สา หรับใชใ้ นหมู่ศาสนิกชนสามญัทวั่ ไป หลักค าสอนส าคัญบางประการของศาสนาโซโรอัสเตอร์ 1.คุณธรรมคา สอนที่จะนา ไปอยรู่ ่วมกบัเทพท้ งัปวง 6 ประการ 1.1) พฤติกรรมที่สุจริตท้ งักายวาจาและจิตใจ 1.2)ความมีจิตใจบริสุทธิ์ สะอาด 1.3)ความเอ้ือเฟ้ือเผื่อแผ่ 1.4)ความเมตตากรุณาต่อสัตว์ที่มีคุณประโยชน์ 1.5)การท างานที่มีคุณค่า 1.6)การช่วยเหลือผู้ยากจนให้ได้รับการศึกษา 2.บาปและบุญ บาปเป็ นมิตรของพาลชน แต่เป็ นศตัรูของสาธุชน ไดแ ้ ก่ทุจริตทางกายวาจาและจิต โทสะ วิหิงสา พยาบาท ด้ือดึง เยอ่หยิ่ ง เล่นการพะนนัดูหญิงดว ้ ยกามวิตกโลภ ปราศจากความละอาย ริษยาและอื่นๆ ซ่ึงอยใู่นหมวดความชวั่ทุกคนจะตอ ้ งงดเวน ้ ให ้ ห่างไกลเพราะถา ้ ทา บาปแลว ้ ยอ่มไดร ้ับผลของบาปน้นัส่วนบุญน้นัคือการกระทา ที่ชอบ ซ่ึงเป็ นมิตรของสาธุชน แต่เป็ นศตัรู ของพาลชน ไดแ ้ ก่การให ้ ทาน มีความเมตตากรุณา มุทิตากลา่วาจาอ่อนหวานไพเราะแสวงหา ความรู้ พูดสิ่ งที่เป็ นจริง ฯลฯ ศาสนิกทุกคนควรเป็ นสาธุชนกระทา แต่ในสิ่งที่เป็ นบุญเท่าน้นั 67


3. หน้าที่ของมนุษย์ 3 ประการ 3.1) ท าศัตรูให้เป็ นมิตร 3.2) ทา คนชวั่ให ้ เป็ นคนดี 3.3) ท าคนโง่ให้เป็ นคนฉลาด 4.หลักการสร้างนิสัยที่ดี 4 ประการ 4.1) เอ้ือเฟ้ือเผื่อแผ่ต่อบุตคคลสมควร 4.2) มีความยุติธรรม 4.3) เป็ นมิตรกับทุกคน 4.4)ขจัดความอสัตย์ออกไปจากตัวเอง 5.ข้อปฏิบัติของนักพรต ธรรม มี 5 ข้อ 1).เป็ นผู้บริสุทธิ์ 2).เป็ นผู้เที่ยงธรรมต่อคนและสัตว์ในไตรทวาร 3).เป็ นผู้มีความรู้เชื่อถือได้ 4).เป็ นผู้ฉลาดในพิธีกรรม 5).เป็ นผูอ ้ ดทนต่อความชวั่ วินัย มี 10 คือ 1.ต้องมีชื่อเสียงดี 2.ตอ ้ งไม่มีชื่อเสียงชวั่ 3ต้องไม่ทุบตีและกล่าวค าหยาบต่อครูอาจารย์ 4.ครูอาจารยส ์ อนอยา่งไรตอ ้ งรับอยา่งน้นัและตอ ้ งสอนตามที่อาจารยส ์ อน 5.ตอ ้ งวางกฎเกณฑก ์ ารให ้ รางวลัแก่คนที่ทา ดีลงโทษแก่ผูท ้ า ความชวั่โดยเที่ยงธรรม 6. ต้องต้อนรับผู้มาหาด้วยอาจาระอันงดงาม 7.ตอ ้ งห ้ ามมิให ้ ผูใ้ ดประพฤติชวั่ 8.ตอ ้ งสารภาพความชวั่ที่ตวักระทา 9.ต้องรู้ความเคลื่อนไหวของศาสนาและบ ารุงศาสนา 10. ภักดีต่อผู้ปกครองทางอาณาจักรและศาสนจักร 68


6.การบูชาไฟ มหาเทพอาหุรมัสดา เป็ นผู้ทรงความบริสุทธิ์ เป็ นผู้ทรงแสงสว่างยิงกว่าแสงสว่างอันใด เป็ นผู้ ประทานความอบอุ่นให ้ แก่มวลมนุษยท ์ ้ งัหลาย ดงัน้นั ไฟจึงเป็ นสัญลกัษณ ์ แห่งเทพเจ้า ด้วยว่า เมื่อมีไฟอยใู่นที่ใด ยอ่มเผาผลาญสิ่ งสกปรกโสมมท้ งัหลายให ้ เหลือแต่ความบริสุทธ์ิขอ ้ น้ีฉนั ใด เทพเจา ้(อาหุรมสัดา) ประทบัอยใู่นที่ใด ที่นั่ นยอ่มมีแต่ความบริสุทธ์ิโดยเหตุน้ีศาสนิกชนของ ศาสนาน้ีจึงไดช ้ื่อว่าศาสนาของผูบ ู้ชาไฟ(Religion of Fire Worshipper) ศาสนิกชนแห่งศาสนาโซโรอัสเตอร์ถือว่า จะต้องมีสถานที่จุดไฟเพื่อบูชาไว้ไม่ขาดสาย จะต้อง คอยระวังไม่ให้ไฟดับ จะต้องตามไฟเป็ นเครื่องบูชาไว้เป็ นนิตย์ จะต้องถือว่านอกจากไฟ ไม่มี อะไรจะลา ้ งสิ่งสกปรกใหส้ ะอาดได ้ พิธีกรรมของศาสนาโซโรอัสเตอร์ 1. พิธีบูชาไฟ ชาวโซโรอัสเตอร์ ถือว่า ไฟเป็ นสัญลักษณ์แห่งเทพเจ้า ผู้ทรงเป็ นผู้บริสุทธิ์ ผู้ทรง แสงสว่างยิ่ งกว่าแสงสว่างใดๆ ผูท ้ รงประทานความอบอุ่นให ้ มวลมนุษยชาติเพราะฉะน้นัเมื่อไฟ อยทู่ ี่ไหน ยอ่มจะเผาผลาญสิ่งสกปรกโสมมท้ งัหลายให ้สูญสิ้ นไป เหลือแต่ความบริสุทธ์ิสะอาด เหลือแต่ความสว่างไสวเหลือแต่ความอบอุ่น 2. พิธีนมัสการตอนสายัณห์ พอแดดร่มลมตกแต่ละวัน ชาวศาสนิกชนแห่งโซโรอัสเตอร์ จะพา กนัแต่งตวัดว ้ ยผา ้ ขาวมีสไบพาดบ่าลอยชายลงท้ งัสองขา ้ งไปชุมนุมพร ้ อมกนัอยา่งมีระเบียบ ณ ชายหาดแห่งทะเล เพื่อประกอบพิธีนมัสการตอนสายัณห์ โดยการโค้งตัวลงบรรจงจุ่มมือท้ งัสอง ในน้ า ทะเลแลว ้ เอามาแตะหนา ้ ผากอยา่งชา ้ ๆ แลว ้ จบัชายสไบท้ งัสองมาแตะหนา ้ ผากอีกคร้ัง ปลดสไบมาคาดพุงแล้วหันหน้าไปทางดวงอาทิตย์ซึ่งก าลังจะตกลับขอบฟ้า พร้อมสวดมนต์ พร้อมกันเบาๆ ว่า “หุมะตา, หะขะตา, หะเวสะตา” (ขา ้ ท้ งัปวงขอสรรเสริญผูม ้ีกายวาจาและใจ สุจริต) หลงัจากน้นัพวกเขาก ็ จะกม ้ ลงนมสัการไปทางทิศท้ งั 4 ทิศละ 3คร้ังแลว ้ เอามือท้ งัสอง จุ่มน้ า ทะเลมาแตะหนา ้ ผากอีกคร้ัง 69


3. พิธีศพ เมื่อมีคนตายลง ชาวโซโรอสัเตอร ์ จะไม่เผาศพจะไม่ฝังศพ จะไม่ทิ้ งซากศพลงในน้ า เพราะโดยหลกัการแลว ้ ศาสนาน้ีถือว่าไฟเป็ นสัญลกัษณ ์ แห่งพระเจ้า จึงมีความศักดิ์สิทธิ์ มาก และในขณะเดียวกนัก ็ ยอมรับว่าดินน้ า ก ็ เป็ นสิ่งศกัด์ิสิทธ์ิเหมือนกนัถา ้ เผาศพก ็ เกรงว่าจะทา ให ้ ไฟหมดความศกัด์ิสิทธ์ิและแปดเป้ือนดว ้ ยสิ่ งสกปรกถา ้ จะฝังดินก ็ เกรงว่าดินจะหมดความ ศกัด์ิสิทธ์ิหรือทิ้ งซากศพลงในน้ า ก ็ เกรงว่าน้ า จะสกปรกและหมดความศกัด์ิสิทธ ์ ดว ้ ยเหตุน้ีพวก เขาจึงเอาศพไปวางไวบ ้ นหอคอยที่สูงซ่ึงสร ้ างไวเ ้ป็ นพิเศษเพื่อการน้ีเรียกชื่อว่า หอคอยแห่ง ความสงบ(The Tower of Silence) ทิ้ งไวอ ้ ยา่งน้นั ให ้ เป็ นอาหารของแมลงของมด ของสัตวอ ์ื่นๆ เช่น นก อีกา อีแร้ง หรือแม้แต่สุนัข เป็ นต้น จุดหมายปลายทางสูงสุดของศาสนาโซโรอัสเตอร์ อันเป็ นสุขที่แท้จริงและนิรันดร คือ สวรรค์ วิธีจะบรรลุถึงจุดหมายปลายทางน้นัศาสนิกชนจะตอ ้ งต้ งัอยใู่นศีลธรรม คือ บา เพญ ็ ตนให ้ มี ความบริสุทธิ์ ทางกาย วาจา ใจ และบูชาพระเจ้าด้วยความจงรักภักดีอย่างแท้จริง นิกายส าคัญของศาสนาโซโรอัสเตอร์ นิกายที่ส าคัญของศาสนาโซโนอัสเตอร์มี 2 นิกาย คือ 1.นิกายชหนัชหิส นิกายน้ีคงถือคมัภีร ์ ที่ว่าดว ้ ยการที่พระเจา ้ แจง ้ เรื่องต่างๆลงมาทางศาสดาโซ โรอัสเตอร์เป็ นส าคัญ ซึ่งคัมภีร์ดังกล่าวเป็ นคัมภีร์เกิดใหม่ในสมัยต้นศตวรรษที่ 3อันได้มีการ แปลคมัภีร ์ ของศาสนาน้ีเป็ นภาษาปาลวีซ่ึงใชใ้ นเปอร ์ เซียสมยัน้นัชื่อว่าคมัภีร ์ เมนอกิขรัท 2.นิกายกทัมิส นิกายน้ียึดมนั่ในคมัภีร ์ ที่ว่าดว ้ ยพิธีกรรมตา่งๆ อนัไดแ ้ ก่คมัภีร ์ ชะยิต-เน-ชะยิต ซ่ึงเกิดข้ึนในสมยัเดียวกนักบัคมัภีร ์ เมนอกิขรัท 70


สัญลักษ์ของศาสนาโซโรอัสเตอร์ สัญลกัษณ ์ ของศาสนาโซโรอสัเตอร ์ไดแ ้ ก่โคมไฟ ซ่ึงมีความหมายถึงแสงสว่างและความอบอุ่น อันเป็ นเครื่องหมายแสดงถึงคุณลักษณะของพระเจ้าอาหุรมัสดา ผู้ทรงความบิสุทธิ์ ผู้ทรงแสง สว่างยิ่ งกว่าแสงสว่างอนั ใด ผูป้ ระทานความอบอุ่นให ้ แก่มนุษยท ์ ้ งัปวงไฟผูใ้ ห ้ กา เนิดแสงสว่าง ย่อมเผาผลาญ 71


แฟแรแวแฮร์ (เปอร์เซีย: هر َوَرَ َ ف (มีอีกชื่อว่า โฟโรว์แฮร์ (هر َروُ ف (หรือ แฟร์เรคียอนี ( رَ ف کیانی (เป็ นหนึ่งในสัญลักษณ์ที่เป็ นที่รู้จักมากที่สุดของศาสนาโซโรอัสเตอร์ ศาสนาอิหร่านที่ กลุ่มชนอิหร่านส่วนใหญ่เคยนบัถือก่อนที่มุสลิมพิชิตจกัรวรรดิเปอร ์ เซียในคริสตศตวรรษที่ 7 ์ ซึ่งน าไปสู่การล่มสลายของจักรวรรดิซาเซเนียนและการอพยพของชาวโซโรอัสเตอร์จ านวนมาก ไปที่อินเดียทันที เพื่อรักษาอัตลักษณ์ทางศาสนาและหลบหนีจากการเบียดเบียนของมุสลิมมีการ ตีความหลายแบบว่าแฟแรแวแฮร์มีความหมายว่าอะไร และยังไม่มีฉันทามติสากลที่เป็ นรูปธรรม เกี่ยวกับความหมายของมัน อย่างไรก็ตาม ส่วนใหญ่เชื่อว่าแฟแรแวแฮร์เป็ นรูปสัญลักษณ์ของ ฟราวาชี หรือจิตวิญญาณของแต่ละบุคคลตามความเชื่อในศาสนาโซโรอัสเตอร์ 72


แฟแรแวแฮร ์ เป็ นหน่ึงในสัญลกัษณ ์ สมยัก่อนการเขา ้ มาของศาสนาอิสลามที่เป็ นที่รู้ จกัมากที่สุด ของประเทศอิหร่าน และชาวอิหร่านในเอเชียตะวนัตกและใตม ้ กัใส่เป็ นจ้ีแมจ ้ ะมีตน ้ กา เนิดจาก ความเชื่อทางศาสนา แต่แฟแรแวแฮร์ได้กลายมาเป็ นสัญลักษณ์ทางฆราวาสและวัฒนธรรม ส่วน ใหญ่มักใช้เป็ นการรวมอัตลักษณ์ชาตินิยมอิหร่าน ศาสนสถานของโซโรอัสเตอร์ วิหารไฟ (อังกฤษ: Fire temple) เป็ นศาสนสถานในศาสนาโซโรอัสเตอร์[1] หรือชื่ออื่น ๆ เช่น ออแทชแคเดฮ์ (เปอร์เซีย: آتشکده ,(ออแทชกอฮ์ (آتشگاه ,(แดเรเมฮร์ (مهر در (หรือ อคียรี (agiyari ในภาษาคุชราตในศาสนาโซโรอสัเตอร ์ น้นัมองไฟ (อตาร ์, atar). กบัน้ า สะอาด (อบนั , aban) เป็ นส่วนประกอบของความบริสุทธิ์ ในพิธีกรรม “เถ้าถ่าน (ที่ขาวและสะอาดจากไฟ) สา หรับพิธีการชา ระลา ้ งให ้ บริสุทธ์ิน้นั (เป็ น) พ้ ืนฐานของชีวิตพิธีกรรม” ([Clean, white] "ash for the purification ceremonies [is] regarded as the basis of ritual life") ขอ ้ มูลเมื่อ2019 มีวิหารไฟ 167แห่งทวั่โลกจา นวนมากที่สุดอยทู่ ี่เมืองมุมไบจา นวน 45แห่ง และอีก 105 แห่งในประเทศอินเดียส่วนอื่น ๆ นอกมุมไบ ส่วนอีก17แห่งน้นัมีกระจายไปทวั่ 73


โลกในศาสนาโซโรอัสเตอร์แบบอินเดียมีความเชื่อว่าห้ามสตรีเข้าไปภายในวิหารไฟและ หอคอยแห่งความเงียบงัน (Tower of Silence) หากสตรีนางน้นัแต่งงานกบับุคคลนอกศาสนาโซ โรอัสเตอร์ 74


ศาสนาเชน ความเป็ นมา ศาสนาเชน, ไชนะ หรือ ชินะ(แปลว่าผูช ้ นะ) เป็ นศาสนาเก่าแก่ของอินเดียเป็ นหน่ึงในลทัธิ สา คญัท้ งัหกเชน หรือ ไชนะ มาจากภาษาสันสกฤต "ไชนะ" อันแปลว่าผู้ชนะ และสามารถลุย ขา ้ มสายน้ า แห่งการเวียนว่ายตายเกิดได ้ศาสนาเชนเชื่อว่าเป็ นศาสนาที่เป็ นนิรันดร์ มี ประวตัิศาสตร ์ มายาวนานต้ งัแต่สมยัตีรถงักรท้ งั 24องค์ที่ผ่านมา ซึ่งมี "พระอาทินาถ" เป็ นองค์ แรกในวงจรจกัรวาลน้ีเมื่อราวหลายลา ้ นลา ้ นลา ้ นปีมาแลว ้ ตีรถงักรองคท ์ ี่23 คือ "พระปารศ วนาถ" มีชีวิตอยู่ราว 800 ปีก่อนคริสตกาลและตีรถงักรองคส ์ุดทา ้ ยและองคป์ ัจจุบนั ในจกัรวาล น้ี"พระมหาวีระ" เป็ นองค์ที่ 24 มีชีวิตอยู่ราว 500 ปีก่อนคริสตกาล ต้นก าเนิดศาสนาเชน ศาสนาเชนมีต้นก าเนิดไล่เลี่ยกับพุทธศาสนา ศาสดาคือ พระมหาวีระเชนศาสนิกถือว่าพระองค์ เป็ น “ตีรถงักร”แปลว่าผูส้ ร ้ างท่าขา ้ มน้ า หมายถึงผูน ้ า พาสัตวข ์ า ้ มฝั่ งแห่งวฏัสงสารองคท ์ ี่24 โดยเป็ นผูค ้ น ้ พบหลกัธรรมที่สูญไปแลว ้ ของเหล่าตีรถงักรในอดีตและฟ้ืนฟูข้ึนมาอีกคร้ังคติ ดังกล่าวใกล้เคียงกับคติในพุทธศาสนาที่ว่าพระพุทธเจ้าไม่ได้มีพระองค์เดียว แต่ในอดีตที่ผ่านมา นับกัปกัลป์ มีพระพุทธเจ้ามาแล้วนับไม่ถ้วน และในอนาคตก็ยังจะมีอีก ศาสดา ศาสนาเชนเชื่อว่ามีศาสดา เรียกว่า "ตีรถังกร" อยู่ด้วยกัน 24 องค์ในจักรวาลปัจจุบัน องค์แรกคือ พระอาทินาถ และองค์สุดท้ายคือองค์ปัจจุบันคือพระมหาวีระ ตีรถังกรคือบุคคลผู้บรรลุเกวล ญาณ และเผยแผ่ธรรมะน้นั ในบรรดา 24 ตรีถงักรองคท ์ ี่ไดร ้ับการเคารพบูชาสูงสุดสี่องคค ์ ือ พระอาทินาถ, พระเนมินาถ, พระปารศวนาถ, พระมหาวีระ ตีรถังกรองค์ปัจจุบันและองค์สุดท้าย คือ พระมหาวีระ เดิมมีพระนามเดิมว่า "วรรธมาน" แปลว่า ผู้เจริญมีก าเนิดในสกุลกษัตริย์ เกิดในเมืองเมืองเวสาลี พระบิดานามว่า สิทธารถะแห่ง กุนทครามะ พระมารดานามว่า ตฤศลา เมื่อเจริญวัยได้รับการศึกษาศิลปศาสตร์หลายอย่างโดย ควรแก่ฐานะแห่งวรรณะกษตัริย ์ เผอิญวนัหน่ึงขณะเล่นอยกู่บัสหายไดม ้ีชา ้ งตกมนัตวัหน่ึงหลุด ออกจากโรงวิ่ งมาอาละวาด ทา ให ้ฝูงชนแตกตื่นตกใจ ไม่มีใครจะกล้าเข้าใกล้และจัดการช้างตก มนัตวัน้ีให ้สงบได ้ แต่เจา ้ ชายวรรธมานไดต ้ รงเขา ้ไปหาชา ้ งและจบัชา ้ งพากลบัไปยงัโรงชา ้ งได ้ 75


ตามเดิม เพราะเหตุที่แสดงความกล้าหาญจับช้างตกมันได้จึงมีนามเกียรติยศว่า "มหาวีระ" แปลว่า ผู้กล้าหาญมาก ซึ่งเป็ นชื่อที่เรียกขานกนัต่อมาของศาสดาพระองคน ์ ้ี รูปป้ันองค ์ ศาสดา มหาวีระ ชีวประวัติของพระมหาวีระ 76


ชีวประวตัิของพระมหาวีระน้นัเป็ นสิ่ งที่ยงัไม่ลงรอยกนันกั โดยเฉพาะเรื่องช่วงเวลาที่ พระองค์ทรงพระชนม์อยู่ แหล่งที่เราสืบทราบเรื่องราวของพระมหาวีระไดน ้ ้นัมีแต่ตวับทต่างๆ ที่เขียนข้ึนหลงัสิ้ นพระชนมไ์ ปแลว ้ นบัร ้ อยปีทว่าดว ้ ยเหตุที่อินเดียเป็ นสังคมที่สืบทอดเรื่องราว ต่างๆ ดว ้ ยมุขปาฐะเป็ นปกติและในมุขปาฐะเหล่าน้ีมีความคลาดเคลื่อนเกิดข้ึนนอ ้ ยจึงพอเชื่อถือ ได้ว่ามีมูลความจริง ปัจจุบันนักบวชเชนนิกายเศวตามพรเชื่อกันว่าช่วงชีวิตของพระมหาวีระอยู่ใน 599- 527 ปีก่อนคริสตกาล ทว่าขอ ้ มูลจากสารานุกรมบริแทนิการะบุว่าทรงพระชนมอ ์ ยใู่น 540-468 ปีก่อน คริสตกาลจะเห ็ นไดว ้่าอยา่งนอ ้ ยสิ่งที่สอดคลอ ้ งกนัคือมีสิริพระชนม ์ 72 ปีสถานที่ประสูติที่ กล่าววา่เป็ นแควน ้ วชัชีน้ัน คาดว่าเป็ นในแถบรัฐพิหารปัจจุบนั หลังจากทรงสูญเสียพระราชบิดาและพระราชมารดาไปในเวลาไล่เลี่ยกัน ทรงเศร้าโศก มาก ตัดสินพระทัยออกผนวชเมื่อพระชนมายุ 30 ปี บ าเพ็ญพรตโดยไม่พูดจากับใครเลยอยู่ 12 ปี จึงบรรลุเกวัลชญาณ เทียบได้กับการบรรลุอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณของทางพุทธ ทรงละ ปฏิญาณที่จะไม่พูด จาริกประกาศศาสนาตามที่ต่างๆ ในอินเดียอยู่ 30 ปี จึงดับขันธ์เข้านิรวาณ ณ เมืองปาวา แคว้นมัลละ คัมภีร์ในศาสนา คัมภีร์ที่ส าคัญในศาสนาเชน4 คือ คัมภีร์อังคะ หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า สิทธานตะ ซึ่ง เน้ือหาของคมภีร์เป็ นจารึกค าบัญญัติ หรือวินัยที่เป็ นไปเกี่ยวกับความประพฤติปฏิบัติของ ั นกัพรตหรือคฤหสัถผ ์ูค ้ รองเรือน และเรื่องราวประเภทชาดกในศาสนา ซ่ึงตวัคมัภีร ์ อาคมะน้นั ได้จัดพิมพ์เป็ นหนังสือ 45 เล่ม โดยแบ่งแยกออกเป็ นอังคะ 11 เล่ม เป็ นฤทธิวาท 1 เล่ม เป็ นอุปาง คะ 11 เล่ม เป็ นมูลสูตร 4 เล่ม เป็ นเจตสูตร 6 เล่ม เป็ นคูสิกะสูตร 2 เล่ม เป็ นปกัณกะ 10 เล่ม ตาม หลักฐานปรากฏว่าได้จารึกคัมภีร์อาคมะเป็ นอักษรปรากฤตประมาณ 200 ปี ภายหลังสมัยของ พระมหาวีระผู้เป็ นศาสดา ส่วนค าอธิบายคัมภีร์ที่เรียกว่า อรรถกถา และวรรณคดีของเชนในสมัย ต่อมา ล้วนเป็ นภาษาสันสกฤต ซ่ึงในปัจจุบนัน้ีคมัภีร ์ อาคมะมีการถา่ยทอดสู่ภาษาพ้ ืนเมืองและ ภาษาอื่นมากมายพอสมควร 77


นิกาย หลังจากพระมหาวีระได้ทรงละสังขารไปแล้ว สาวกของพระองค์ได้ทรงแตกแยกทางความคิด ในการปฏิบัติเพื่อการหลุดพ้น เป็ นเหตุให้เกิดนิกายต่างๆ แต่ทุกนิกายยังคงมุ่งไปหาหลักอหิงสา ธรรมอยา่งเดียวกนัเพียงแต่ต่างกนัแค่หลกัการบางประการเท่าน้นันิกายที่สา คญัของศาสนาเชน มี 2 นิกายใหญ่ๆ ดงัน้ี 78


1.นิกายทิคมัพร หรือชีเปลือยวตัรปฏิบตัิของนิกายน้ีมุ่งมนั่คน ้ หาสัจธรรมดว ้ ยการเผชิญกบัความ ยากล าบากต่าง ๆ อย่างสงบและกล้าหาญ เช่น การทรมานตนเองเพื่อปลดปล่อยจิตของผู้ปฏิบัติ ออกจากความต้องการของร่างกาย ไม่ว่าจะเป็ นอาหาร อากาศ หรืออารมณ์ เหล่านักบวชมักพก ไม้กวาดและผา ้ กรองน้ า ติดตวั ใชไ้ มก ้ วาดปัดกวาดทางเดิน เพราะตอ ้ งแน่ใจว่าจะไม่เผลอเหยียบ แมลงเล ็ กนอ ้ ยและใชผ ้ า ้ กรองน้ า เพื่อกรองเอาสัตวต ์ วัเล ็ ก ๆ ที่อาจจะอยใู่นน้ า ออกไปก่อนดื่มน้ า 79


2.นิกายเศวตัมพร ที่นุ่งห่มผ้าขาวเพราะถือว่าเป็ นการป้องกันหนาวร้อนและปกปิ ดร่างกายไม่ให้ อุจาดตาเท่าน้นั ไม่ใช่เรื่องกิเลส นิกายน้ีมีท้ งันกับวชชายและนกับวชหญิงโดยเชื่อว่าพระตีรถงัก รองค์ที่ 19 เป็ นผู้หญิง หลักธรรม หลักค าสอนที่ส าคัญของศาสนาเชน แบ่งออกเป็ นหลักใหญ่ๆ ได้ 3 หลัก คือ 1. หลกัธรรมข้ นัพ้ืนฐาน ไดแ ้ ก่หลกัอนุพรต 5 (ศีล5) 80


1. อหิงสาการไม่เบียดเบียน ไม่ทา ลายชีวิต อนุพรตขอ ้ น้ีถือว่าเป็ นยอดของศีลธรรม ศาสนาเชน 2. สัตยะ พูดความจริง ไม่พูดเท็จ ไม่ว่าด้วยเหตุผลหรือข้ออ้างใดๆ ไม่ได้ 3.อสัเตยะไม่ลกัขโมยรวมท้ งัไม่หลบเลี่ยงภาษีอากรไม่ใชห ้ รือทา เงินปลอม และไม่ โกงเครื่องชงั่ตวง 4. พรหมจรยะ อย่างต ่าคือการไม่ประพฤติผิดในกาม 5. อปริครหะ การไม่โลภ ไม่ควรมีข้าวของมากเกินจ าเป็ น อนุพรตท้ งั5 น้ีถา ้ เป็ นนกับวชจะปฏิบตัิเคร่งครัดมากแตถ่า ้ เป็ นคฤหสัถก ์ ็ จะลดหยอ่นผ่อนคลาย ลงพอสมควร สา หรับอนุพรตในขอ ้ 1คืออหิงสา มีรายละเอียดในการแบ่งช้ นัของสัตวอ ์ อกเป็ น 5กลุ่ม ดงัน้ี 1)กลมุ่ที่มีประสาทหรืออินทรีย ์ 5ไดแ ้ ก่ประสาทตา ประสาทหูประสาทจมูก ประสาทลิ้ น และ ประสาทกายไดแ ้ ก่พวกเทวดา สัตวน ์ รก มนุษย ์ และสัตวอ ์ื่นๆ บางชนิด เช่น ลิงววัควาย ชา ้ ง มา ้ นกแกว ้ นกพิราบ และงูถือว่าพวกเหลา่น้ีมีพุทธิปัญญาอยดู่ว ้ ย 2)กลมุ่ที่มีประสาทหรืออินทรีย ์ 4 พวกน้ีจะไม่มีประสาทหูกลุ่มน้ีจะรวมเอา พวกแมลงขนาด ใหญ่ไวแ ้ ทบท้ งัหมด เช่น แมลงวนัตวัต่อและผีเส้ ือ 3)กลมุ่ที่มีประสาทหรืออินทรีย ์ 3 พวกน้ีจะไม่มีประสาทตาและประสาทหูไดแ ้ ก่พวกแมลง เล็กๆ เช่น มด หมัด แมลง หรือสัตว์เล็กๆ 4)กลมุ่ที่มีประสาทหรืออินทรีย ์ 2คือ มีแต่ประสาทสา หรับลิ้ มรสกบั ประสาทสัมผสัเท่าน้นั ไดแ ้ ก่พวกหนอน ทาก สัตวน ์ ้ า จา พวกที่มีเปลือกเช่น หอย ปูกุง ้ และสัตวเ ์ ล ็ กๆ บางชนิด 5)กลุ่มที่มีประสาทหรืออินทรีย์เดียวคือ มีเฉพาะประสาทสา หรับสัมผสัเท่าน้นักลุ่มน้ียงั แบ่งยอ่ยออกไปเป็ นช้นัยอ่ยๆ อีกไดแ ้ ก่พวกพืช ผกัดิน และสิ่งท้ งัปวงที่เกิดข้ึนจาก ดิน น้ า ลม เหล่าน้ีถือว่ามีประสาทเดียวหรืออินทรียเ ์ ดียวท้ งัน้นั ผูน ้ บัถือศาสนาเชนจะฆ่าหรือกินสัตวเ ์ หล่าน้ีไม่ได ้ จะทา ไดเฉพาะที่มีอายตนะทางสัมผัส ้ อย่างเดียว คือ ผักหญ้า สรุปก็คือศาสนิกเชนทุกคนทานอาหารมังสวิรัติ 2. หลกัปรัชญา หลกัปรัชญาในศาสนาเชน แบ่งออกเป็ น 2ขอ ้ ไดแ ้ ก่ 1) ชญาณ แบ่งออกเป็ น 5 ประการ คือ 81


1. มติชญาณ ความรู้ทางประสาทสัมผัส 2. ศรุติชญาณ ความรู้เกิดจากการฟัง 3. อวธิชญาณ ความรู้เหตุที่ปรากฏในอดีต 4. มนปรยายชญาณ ชญาณก าหนดรู้ใจผู้อื่น 5. เกวลชญาณ ชญาณอนัสมบูรณ ์ ซ่ึงเกิดข้นึก่อนบรรลุนิรวาณ ข้อที่ 1-3 เชื่อกนัว่า พระมหาวีระไดม ้ าต้ งัแต่แรกเกิด ชญาณขอ ้ ที่4ไดใ้ นเวลาต่อมา ส่วนชญาณข้อที่ 5 ได้ภายหลังที่บ าเพ็ญเพียร 12 ปี 2) ชีวะและอชีวะ ศาสนาเชนเป็ นศาสนาทวินิยม มองสภาพความจริงว่ามีส่วนประกอบของสิ่งที่มีอยา่ง เที่ยงแท ้ เป็ นนิรันดร มีอยู่2 สิ่ งคือ 1. ชีวะไดแ ้ ก่วิญญาณ หรือสิ่ งมีชีวิต หรืออาตมนั 2.อชีวะไดแ ้ ก่อวิญญาณ หรือสิ่งไม่มีชีวิต ไดแ ้ ก่วตัถุ อชีวะ หรือสสาร ประกอบดว ้ ยองคป์ ระกอบข้ นัพ้ืนฐาน 5 ประการคือการเคลื่อนไหว (ธมัมะ)การหยดุนิ่ ง (อธมัมะ)อวกาศ(อากาศ) สสารและกาล ท้ งัหมดเป็ นนิรันดร(ปราศจาก การเริ่มตน ้ )และท้ งัหมดยกเวน ้ วิญญาณ (ชีวะ) เป็ นสิ่งไม่มีชีวิต และท้ งัหมดยกเวน ้ สสารเป็ น สิ่งไม่มีตวัตน การเคลื่อนที่และการหยดุนิ่ งโดยตวัของมนัเองไม่มีอยู่จะตอ ้ งมีสิ่งอื่นมาทา ให ้ มนั เคลื่อนที่และหยดุนิ่ งองคป์ ระกอบข้ นัพ้ ืนฐานของอชีวะหรือสสารท้ งั5 ดงักล่าวมีกาล(เวลา) ซึ่งเป็ นนิรันดรเป็ นองค์ประกอบ ถา ้ กล่าวโดยพิสดาร ทุกอยา่งแบ่งออกเป็ น 9 ดงัต่อไปน้ี 1.ชีวะ หรืออาตมัน 2.อชีวะ หรือวัตถุ 3.ปุณยะไดแ ้ ก่บุญ 4.ปาปะไดแ ้ ก่บาป 5.กรรม ไดแ ้ ก่การกระทา 6.พนัธะไดแ ้ ก่ความผูกพนั 7.สังสาระไดแ ้ ก่ความเวียนว่ายตายเกิด 8.นิรชระไดแ ้ ก่การทา ลายกรรม 9.โมกษะไดแ ้ ก่ความหลุดพน ้ 82


3. หลักโมกษะ หลักโมกษะ คือการหลุดพ้น หรือความเป็ นอิสระของวิญญาณ ซึ่งศาสนาเชน เชื่อว่า เมื่อ วิญญาณหลุดพ้นแล้วก็จะไปอยู่ในส่วนหนึ่งของเอกภาพที่เรียกว่า สิทธิศิลา เป็ น ดินแดนแห่ง ความสุขนิรันดร ไม่ต้องกลับมาเกิดอีก ข้อปฏิบัติที่บรรลุโมกษะในศาสนาเชน เรียกว่า ไตรรัตน์หรือติรัตนะ หมายถึงแก้ว3 ประการไดแ ้ ก่ ไตรรัตน์หรือติรัตนะ ธรรมเป็ นเครื่องให้หลุดพ้นจากความทุกข์ดังกล่าว เพื่อเข้าถึง ไกวัลเรียกว่า ไตรรัตน์หรือติรัตนะ หมายถึง แก้ว 3 ประการ คือ 1.สัมยัคทรรศนะ : ความเห็นชอบ ความเห ็ นชอบ ไดแ ้ ก่ความเห ็ นถูกและมคีวามเชื่ออยา่งแน่นแฟ้ นว่าศาสตราจารย ์ ท้ งัหลายผูเ ้ป็ นบรรพบุรุษของเชนน้นัแมเ ้ ดิมท่านเป็ นปุถุชน แต่อาศยัการที่ท่านมีความเพียรแรง กลา ้ ยิ่ งกวา่สามญับุคคล ท่านจึงไดห ้ ลุดพน ้ เป็ นผูช ้ นะ ท่านไดใ้ ชช ้ีวิตอนับริสุทธ์ิเพื่ออบรมสั่ ง สอนอา นวยความเจริญแก่มนุษยชาติซ่ึงอยใู่นความทุกขด ์ ว ้ ยหลกัธรรม 2.สัมยัคชญาณ : ความรู้ชอบ ความรู้ ชอบ ไดแ ้ ก่ความรู้ หลกัธรรมที่ศาสดาสั่ งสอนไวแ ้ ต่เดิม โดยมีตวัอยา่ง ดงัต่อไปน้ี 1.เรื่องโลกใหร ู้้ ว่าโลกอนัรวมท้ งันรก สวรรค ์ และโลกอื่นท้ งัสิ้ น มีอยู่เป็ นอยเู่องไม่มีผู้ ควบคุม และต้ งัอยเู่ป็ นนิรันดร 2.สิ่ งที่ปรากฏอยใู่นโลกให ้ รู้ ว่าสิ่ งเหล่าน้นัท้ งัหมดเกิดข้ึนเพราะมีสภาวะสา คญั6 ประการรวมตวักนัเขา ้ไว ้ อนัไดแ ้ ก่อาตมะธรรม อธรรม ยคุกาลวตัถุธาตุอนุปรมาณูอาศยัอนุ ปรมาณูรวมกนัจึงเกิดเป็ นธาตุ4คือ ดิน น้ า ลม ไฟ และร่างกายของมนุษย ์ รวมท้ งัสิ่งต่างๆ ที่ ปรากฏอยู่ในโลก 3.เรื่องการแบ่งโลก ให้รู้ว่าโลกน้ีแบ่งออกเป็ น 3 ภาคคือ ต่า กลาง สูง ท้ งัยงัมีนรกและ สวรรคม ์ ากมายหลายช้ นัแต่สิ่งท้ งัหมดน้นัจดัอยใู่นชินะ2 หมู่คือ ชีวะและอชีวะ 3.สัมยัคจริต : ความประพฤติชอบ 83


ความประพฤติชอบ ไดแ ้ ก่ให ้ รู้ หลกัธรรม 2 ประการ ดงัต่อไปน้ี 1)ธรรมส าหรับผู้ครองเรือน เรียกว่า อนุพรต มี5 ประการ ดงัน้ี 1.อหิงสา การไม่เบียดเบียน ตลอดจนการไม่ท าลายชีวิต 2.สัตยะ การไม่พูดเท็จ 3.อัสเตยะ การไม่ลักขโมย 4.พรหมจริยะ การประพฤติพรหมจรรย์ หมายถึง ไม่ประพฤติผิด ในกาม ไม่อยู่ร่วมกับ โสเภณี และไม่ดื่มสุราเมรัย 5.อปริครหะการไมล่ะโมบ ไม่อยากไดส้ิ่งใดๆ คือไม่เพิ่ มเติมทรัพย ์ในทางทุจริต 2) ธรรมส าหรับนักพรต เรียกว่า มหาพรต มี 5 ประการเหมือนกับอนุพรต ของผู้ครอง เรือน แต่ให ้ เพิ่ มการปฏิบตัิให ้ เคร่งครัดยิ่ งข้ึน โดยเฉพาะขอ ้ 4 หมายถึงการเวน ้ จากกามโดย สิ้ นเชิง สา หรับขอ ้ 1อหิงสาน้นั นักพรตเชนถือเป็ นข้อส าคัญต้องปฏิบัติอย่างเคร่งครัด โดยต้อง ระวงัทุกฝีกา ้ วในการยืน เดิน นงั่นอน แมใ้ นการกิน เพื่อไม่ให ้ ทา ร ้ ายสัตวอ ์ื่น ดว ้ ยเหตุน้ีนกัพรต เชนจึงต้องมีเครื่องปิ ดปากปิ ดจมูกกันมิให้แมลงและจุลินทรีย์พลัดเข้าไป ต้องมีไม้กวาดและผ้า กรองน้ า ติดตวัเสมอไมก ้ วาดใชส้ า หรับกวาดทางในขณะที่เดินไป หรือนั่ งอยเู่พื่อใชไ้ ล่สัตว ์ แมลงไปเสียและไม่จาริกในฤดูฝน 3 เดือน เพราะฤดูฝนน้นัมีตวัแมลงมาก นอกจาก พวกสัตว ์ แลว ้ นกัพรตเชนตอ ้ งไม่ทา อนัตรายแก่พวกสัตวใ์ นพืชคาม (เมล ็ ดพนัธุ์ไม)้ และภูตคาม (หน่อไม)้ ด้วย นักพรตเชนผู้ปฏิบัติเคร่งครัดต้องนุ่งผ้าผืนเดียวหรือไม่นุ่ง โกนผมหรือถอนผม ต้อง ปฏิบัติตนเป็ นผู้ขอเขากิน ไม่อยู่ในบ้านแห่งเดียวเกิน 1 คืน ยกเว้นฤดูฝน ต้องถือศีลอดหรือถ้า ปฏิบัติอย่างเคร่งครัดต้องถือศีลอดอาหารจนตาย นอกจากพรตหรือศีลดังกล่าวมาแล้ว ความประพฤติชอบยังหมายถึง หลักเมตตากรุณา ซ่ึงมี4ขอ ้ ดงัต่อไปน้ี 1.มีความกรุณาโดยไม่หวงัสิ่งตอบแทน 2.ยินดีในความได้ดีของผู้อื่น 3.มีความเห ็ นใจในความทุกขย ์ ากของผูอ ้ื่น รวมท้ งัช่วยให ้ เขาพน ้ จากความทุกขร ์้ อน 4.มีความกรุณาต่อผู้ท าผิด ดังที่ศาสดามหาวีระทรงสอนไว้ สมณะไม่ควรโกรธเคืองแม้เมื่อถูกตี ท้ งัไม่ควรคิดร ้ ายดว ้ ยเมื่อรู้ วา่ความอดทนเป็ นความดีอนัสูงสุด สมณะจึงควรเพ่งธรรม 84


พิธีกรรมที่ส าคัญ พิธีกรรมที่ส าคัญของศาสนาเชน คือ พิธีภารยุสะนะ หรือพิธีปัชชุสนะ เป็ นงานพิธีร าลึกถึง องค์ศาสดามหาวีระ ซึ่งเป็ นงานพิธีกรรมกระท าให้มีความสงบ การให้อภัยกัน และการเสียสละ บริจาคทานแก่คนยากจน และแห่รูปองคศ ์ าสดาเดินไปตามทอ ้ งถนน นิยมทา กนั ในปลายเดือน สิงหาคม หรือต้นเดือนกันยายน กระท าพิธีคราวละ 8 วัน อน่ึง ในระหว่างทา พิธี8วนัน้นั นักบวชตามปกติจะพ านักอยู่ในป่ า จะเข้ามาอยู่ในเมือง เพื่อร่วมประกอบพิธีจนครบ 8 วัน ส่วนฆราวาสก็จะอ่านคัมภีร์ซึ่งเป็ นค าสอนของมหาวีระจน ครบ 8วนัและนอกจากน้ีก ็ จะมีการเฉลิมฉลองสมโภชกนัเอิกเกริกมโหฬารในหมู่ชาวเชนทวั่ๆ ไป พิธีปัชชุสนะ 8 วัน แบ่งเป็ น 5 ระยะ ดงัน้ี 1.ระยะที่หน่ึง ใน 3วนัแรก พวกฆราวาสตอ ้ งมารับคา สอนจากนกับวชทุกเชา ้ วนัละ2 ชวั่โมง 2. ระยะที่สอง ในวันที่ 4 พวกฆราวาสต้องอ่านกัลปสูตร ซึ่งกล่าวถึงเรื่องราวความเป็ นมา ของ ศาสนาเชน และชีวประวัติของมหาวีระองค์ศาสดา 3. ระยะที่สาม ในวันที่ 5 มีการประกอบพิธีใหญ่ เพราะถือว่าเป็ นวันเกิดของมหาวีระ กิจที่ต้อง ทา ในวนัน้ีก ็ คือการขายวตัถุแห่งความฝัน 14 ประการคือ ชา ้ งโค สิงโต เจา ้ แม่แห่งโชค พวง หรีด พระจนัทร ์ พระอาทิตย ์ ธง หมอ ้ น้ า สระบวัมหาสมุทรวงักองเพชรและไฟไม่มแีสง วตัถุแห่งความฝันเหล่าน้ีเขามกัจะจา ลองไวด ้ ว ้ ยเงินภายในวดัหรือตามริมท่าแม่น้ า คงคา ในวดัเชนทุกวดัตอ ้ งมีวตัถุเหล่าน้ีประจา แต่บางวดัยงัมีเปลซ่ึงถือว่าเป็ นเปลของมหาวีระ พอถึง วนัแห่ก ็ นา สิ่งเหล่าน้ีออกมาแห่ดว ้ ยในขบวนแห่น้นัมีรูปภาพของมหาวีระใหญ่โตและหนงัสือ คัมภีร ์ นิยมแห่ไปยงัท่าแม่น้ า คงคา หรือไม่ก ็ สุดแต่กา หนดกนัข้ึนว่าจะแห่ไปที่ใด 4. ระยะที่สี่ ในวันที่ 6-7 คงมีแต่การอ่านกัลปสูตรอย่างเดียว 5. ระยะที่ห้า ในวันที่ 8 มีการอ่านคัมภีร์ทุกคัมภีร์ ในการอ่านคัมภีร์ทุกระยะ มีนักบวชคอย อธิบายข้อความให้ผู้อ่านฟังการอ่านคมัภีร ์ น้นักา หนดไวว ้่า ตอ ้ งอ่านคมัภีร ์ ตอนละ3 ชวั่โมง ท้ งั เชา ้ และบ่าย ทุกๆ วนัและวนัหน่ึงๆ ตอ ้ งอ่าน 2 ตอน รวมเป็ นเวลา 6 ชวั่โมง 85


สถานที่ส าคัญ 86


เชนสถาน หรือ ไชนมนเทียรคือศาสนสถานของศาสนาเชน ในรัฐคุชราตและรัฐราช สถานใต้เรียกว่า เทรสาร ส่วนในรัฐกรณาฏกะ เรียกว่า พสาที เชนสถานส่วนมากพบในอินเดีย ใต ้ในขณะที่ในอินเดียเหนือจะใชช ้ื่อเก่าที่เรียกว่าทีลวาฑาค าเรียกในภาษาสันสกฤตคือ "วสาตี" สัญลักษณ์ในศาสนา ศาสนาเชนใช้รูปของมหาวีระองค์ศาสดา เป็ นสัญลักษณ์คล้ายกับศาสนาพุทธ ที่มี พระพุทธรูป เป็ นสัญลักษณ์ ต่างกันแต่รูปมหาวีระเป็ นรูปเปลือย และต่อมาศาสนาเชนได้ถือเอา ลวดลายต่างๆ ซึ่งมีภาพมหาวีระอยู่ในวงกลมประกอบอยู่ด้วย ปัจจุบนัไดถ ้ือรูปทรงกระบอกต้ งัมีบรรจุสัญลกัษณ ์ อยขู่า ้ งใน 4 ประการ ดงัน้ี 1. รูปกงจักร สัญลักษณ์อหิงสาอยู่บนฝ่ ามือ 2. รูปสวัสดิกะ เครื่องหมายแห่งสังสาร 3. จุด 3 จุด สัญลักษณ์แห่งรัตนตรัย-ความเห็นชอบ ความรู้ชอบ ความประพฤติชอบ 4. จุด 1 จุด อยู่บนเส้นครึ่ งวงกลมตอนบนสุด คือ วิญญาณแห่งความหลุดพ้น เป็ น อิสระสถิต อยู่ ณ สถานที่สูงสุดของเอกภาพ สัญลกัษณ ์ น้ีมาจากความเชื่อถือว่า เวลาและเอกภาพเป็ นสิ่งนิรันดรไม่มีรูป โลกคงมีอยู่ ไม่มีวนัจบสิ้ น เป็ นสภาพนิรันดรไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได ้ แต่สภาวะเปลี่ยนแปลงคงอยตู่ลอด กาลอวกาศเป็ นสิ่งขยายไร ้ รูป เป็ นที่รองรับเน้ ือที่ท้ งัมวลของเอกภาพ และเอกภาพมีรูปร่าง เหมือนคนยืนกางขา เอามือเท้าสะเอว รูปร่างเพรียว เอวแบน ตรงกลางเอกภาพมีที่สถิตแห่งดวง วิญญาณ เป็ นบริเวณที่สิ่งมีชีวิตท้ งัหลายทุกชนิดมีอยู่เหนือบริเวณตอนกลางของเอกภาพข้ึนไป คือโลกช้นับน โลกช้นัน้ีมีสองส่วน มีสวรรค ์ 16 ช้นัมีเขตของทอ ้ งฟ้ า 14 เขต ช้นับนที่สุดของ เอกภาพเป็ นที่ต้งัของสิทธิศิลา ซ่ึงเป็ นสถานที่มีลกัษณะบริเวณโคง ้ เป็ นที่สถิตของวิญญาณที่ หลุดพ้นออกจากกายที่อยู่บนโลกมนุษย์ เรียกว่า ไกวัล 87


ศาสนาเต๋า เต๋าคือด าเนินชีวิตให้สอดคล้องกลมกลืนกับธรรมชาติด ารงชีวิตอย่างเรียบง่าย ตัดความฟุ้งเฟ้อ เลิกละการศึกษาเล่าเรียน หยุดสร้างวัฒนธรรมและอารยธรรมต่างๆ หากมนุษย์กลับเข้าหาเต๋า ก็ ย่อมจะมีความสงบ สุขอย่างดื่มด่ า ลัทธิเต๋าสอนให้มนุษย์ด าเนินชีวิตไปตามธรรมชาติ ให้ เรียนรู้ธรรมชาติและวิธีปฏิบัติให้สอดคล้อฟงและกลมกลืนกับธรรมชาติ ไม่ขัดขืนหรือฝ่าฝืน ตอ่ธรรมชาติดังน้ัน ค าสอนของลัทธิเต๋าจึงคล้ายคลึงกับค าสอนของพุทธศาสนาในแง่อุดมคติ ชีวิตหรือจุดหมายสูงสุดของชีวิต หมายความว ่าสภาวะของเต๋าคล้ายกับ สภาวะของนิพพานใน พุทธศาสนานั่ นเอง สรุปแล ้ วเลา่จื๊อสอนให ้ เอาเต๋าเป็ นอุดมคติชีวิต ท้ังในด ้ านเศรษฐกิจการเมือง การปกครอง และสังคม เพื่อให้ทุกอย่างด าเนินไปอย่างสมดุลหรือเป็นทางสายกลาง 1.ความหมายของเต๋า ค าว ่า “เต๋า” ตามอกัษรจีน หมายถึงวิถีแหง่ธรรมชาตินอกจากน้ ีเต๋ามีนักปราชญ ์ให ้ ความหมายไว้มากมาย เช ่น เต๋า หมายถึง หนทาง (มรรคา), กฎ, จารีต, พิธีการ, คุณสมบัติ, กฎ แห่งการย้อนกลับ, ธรรมชาติ, กฎแห่งธรรมชาติ เป็นต้น ในคัมภีร์เต๋า-เต๊ะ-จิง บทที่ 1 เล่าจื๊อ กล่าวถึงความหมายของเต๋าไวด ้ังน้ี“เต๋าที่เรียกขานกัน มิใช ่เต๋าที่แท้ นามที่บัญญัติก็มิใช ่นามที่แท้ อภาวะคือ ความไม่มี (รูปร่างหรือความว ่าง) เป็น การณเหตุต้ังต ้ นแตฟ่ ้ าดิน ภาวะคือ ความมี (รูปร่าง) เชื่อว ่าเป็นมารดาของสรรพสิ่ งการต้ังอยู่ ในอภาวะตลอดไปท าให้เห็นการเปลี่ยนแปลงของสรรพสิ่ งและการต้ังอยูใ่นภาวะเป็ นนิจ ท าให้ เห ็ นรอ่งรอยของสรรพสิ่ ง อภาวะและภาวะโดยเนื้อแท ้ กาเนิดมาจากเอกภาพเดียวกนัเพียงแต่ 88


เรียกชื่อตา่งกนัท้ังสองเป็ นธรรมชาติที่ลึกซ้ ึงเป็ นประตู(ทวาร)แหง่ความเปลี่ยนแปลงอนัล้ีลบั ของสรรพสิ่ ง” จากข้อความในคัมภีร์เต๋า บทที่ 1 น้ ีอาจอธิบายความหมายของเต๋าได้ว ่า ค าว ่า “เต๋า”เป็น เพียงชื่อ สมมุติ ที่เล่าจื๊อเรียกสภาวะอันหนึ่ง ซึ่งสภาวะดังกล่าวไม่มีชื่อ หรือเป็นนิรนาม และ สภาวะอนัน้ ีเป็ นสิ่ งแท ้ จริง มีอยู่เป็ นอยู่ด ้ วยตัวเองไมม่ ีเบื้ องต ้ นและที่สุด เป็ นความจริงสูงสุด (สัจภาวะ) สรรพสิ่ งถือก าเนิดมาจากสภาวะอนัน้ีเลา่จื๊อกลา่วถึงสภาวะของเต๋าวา่มี2 อย่าง คือ อภาวะ หมายถึงสภาวะที่ไม่มีหรือว ่าง หมายถึงไม่มีรูปร่าง ไม่อาจรู้ได้ด้วยประสาทสัมผัส สภาวะอนัน้ ีเป็ นสิ่ งที่ละเอียดและประณีตที่สุด และเป็ นบอ่เกิดของสรรพสิ่ งนับ แต่ฟ้าดิน และ ภาวะคือ ความมี หมายถึง มีรูปร่าง ได้แก ่ธรรมชาติสรรพสิ่ งที่มีรูปรา่งถือกา เนิดมาจากสิ่ งที่ไม่ มีรูปรา่ง ดังน้ันเลา่จื๊อจึงกลา่ววา่ โดยเนื้ อแท ้ อภาวะกบัภาวะมาจากเอกภาพหน่ึงเดียว หมายถึงสิ่ ง ที่ไม่มีรูปร่าง (อภาวะ) คือ มารดาที่ก ่อให้เกิดบุตร คือ ธรรมชาติ (ภาวะ) เราไม่สามารถมองเห็น มารดา แต่สามารถมองเห็น บุตร หากเรารู้จักบุตร (ธรรมชาติ) ก็ต้องรู้จักมารดา คือ อภาวะ (ความไม่มี) โดยปริยาย คนส่วนใหญ่สนใจ เฉพาะบุตร คือ ธรรมชาติ แต่ไม่ทราบว ่าบุตร (ธรรมชาติ) มีก าเนิดมาอยา่งไร สภาวะท้ังสองอยา่งที่เลา่จื๊อกลา่วว ่ามาจากเอกภาพเดียวกัน ก็ สมมุติชื่อว ่า “เต๋า” โดยอธิบายวา่สิ่ งที่มี(รูปรา่ง) เกิดจากสิ่ งที่ไมม่ ี(รูปรา่ง) หมายถึงภาวะมาจา กอภาวะ หากไม่มีอภาวะ (มารดา) ภาวะ (บุตร) ก็ไม่มี “สรรพสิ่ งก าเนิดมาจากเต๋าจึงเป็ น จุดเริ่ มต ้ นของจักรภพ มนัอยูใ่นฐานะเป็ นมารดาเมื่อได ้ ตัวมารดาก็ย่อมท าให้รู้จักบุตรของ มารดาด้วย เมื่อรู้จัก บุตรจงละผู้เป็นบุตรเสีย หันมารักษาตัวมารดาเอาไว้ วางตนให้อยู่ในความ สงบ ปิ ดบังความสัมพันธ์กับอารมณ์ทางอายตนะ หรือสิ่ งที่มีตัวตนเกิดจากสิ่ งที่ไมม่ ีตัวตน ทุกสิ่ งที่มีรูปรา่งเกิดจากความว ่าง หากไม่มีที่ว ่าง สิ่ งเหลา่น้ันก ็มีไม่ได้ เหมือนขันน้ า หากขันไม่มีที่ว ่างน้ าก็เกิดไม่ได้ หรือหากห้องไม่ว ่าง คนเรากเ ็ ข ้ าไปอยูภ่ายในห ้ องน้ันไมไ่ด ้เป็นต้น ในหนังสือ “ศาสนาเปรียบเทียบ” ของเสถียร พันธรังสี ในบทที่ว ่าด้วยศาสนาเต๋า มีข้อความกล่าวถึง เต๋าตอนหนึ่งว ่า ค าว ่า “เต๋า” แปลว ่า มรรคา หรือ ทาง หมายถึง สภาพอันเป็นไปโดยธรรมหรือความเที่ยงแท้(อุดมธรรม) อันเป็น ความจริงสูงสุด (Ultimate Reality) เป็นเอกภาพ (Unity) ไม่มีรูปร่าง ไม่อาจรู้ได้ด้วยผัสสะ 89


(Sense) อุดมธรรมแฝงอยูใ่นสรรพสิ่ งหรือในธรรมชาติทุกชนิด เต๋าแสดงตัวออกมาในรูปกฎ แห่งธรรมชาติ(Law of Nature) ที่ไม่เปลี่ยนแปลง เต๋าเป็นสภาวะท าให้เกิดพลัง (Vital Force) และพลังอนัน้ ีจะได ้ มาเมื่อเข้าถึงเต๋า เลา่จื๊อกลา่ววา่ความยุง่ยากท้ังมวลที่มีกอ่นจะเกิดโลกและสวรรค ์ กย ็ งัคงมีความ ครบถ้วนแห่งความ สมบูรณ์ มันเป็นเจ้าแห่งจักรวาล แต่ไม่ทราบชื่อ ข้าพเจ้าจึงเรียกความครบ ถ้วยสมบูรณ์ว ่า “เต๋า” ความ พยายามที่จะอธิบายวา่เต๋าคืออะไรน้ันเป็ นเรื่องใหญใ่นจักรวาล ในคัมภีร์เต๋า-เต๊ะ-จิง บทที่ 4 เล่าจื๊อ อธิบายสภาวะของเต๋าไว้ว ่า “เต๋าเป็ นสิ่ งวา่งแตเ่มื่อใช ้ มันเท่าใดก็ไม่หมด” ถามว ่าเต๋าเกิดได้อย่างไร? เล่าจื๊อไม่ตอบค าถามน้ ีโดยตรงแตย่ ืนยนัวา่เต๋ามี จริง และมีอยู่ก ่อนพระเจ้า และโลก ความมีอยู่ของเต๋าเราไม่อาจรู้หรือเข้าถึงได้ด้วยผัสสะ ท้ังหลายในอรรถกถาของเฮง่เพี๊ยกนักปรัชญา ชาวจีน มีข้อความอธิบายสภาวะแห่งความมีอยู่ ของเต๋า โดยระบุว ่า “จะบอกว ่ามันไม่มี ไม่เป็นอะไรก็ไม่ถูกต้องเพราะสรรพสิ่ ง ถือกา เนิดมา จากมนัคร้ันจะบอกวา่มนัมีมนัเป็ นอะไรสกัอยา่งหน่ึงกด ็ูเหมือนไมต่รงนักเพราะ เราไม่อาจ มองเห็นตัวมัน” 2.สัญลักษณ์ของลัทธิเต๋า สญัลักษณ ์โดยตรงของลัทธิเต๋าคือรูปเลา่จื๊อขี่ควาย(กระบือ)หมายถึงการเดินทางคร้ัง สุดท้าย หลังจากเล่าจื๊อลาออกจกราชการ และเดินทางมุ่งหน้าสู่พรมแดนด้านทิศตะวันตกเฉียง เหนือของมณฑลโฮ หนาน โดยขี่หลังควายในการเดินทาง หลังจากออกจากพรมแดนจีนไป ก็ ไม่ปรากฏร่องรอยว ่า เล่าจื๊อไปพ านักอยู่ ณ ที่ใด และมีชีวิตอยู่นานกี่ปี ไม่มีใครพบเห็นหรือมี หลักฐานอื่นใดช้ ีบง่ สัญลักษณ์อีกอย่างหนึ่ง คือ รูปหยาง-หยิน ซ่ึงรูปท้ังสองน้ีมีรากฐานแนวความคิดมา จากคัมภึร์เต๋าเต๊ะ-จิง บทที่ 42 มีข้อความว ่า “เต๋าเป็นมูลเหตุให้เกิดหนึ่ง หนึ่งเป็นมูลเหตุให้เกิด สอง สองเป็นมูลเหตุให้เกิด สาม และสามเป็ นมูลเหตุให ้ เกิดสรรพสิ่ ง” สัญลักษณ์หยาง-หยิน ถือ 90


ว ่าเป็นทฤษฎีทางปรัชญาของจีนที่มีมาแต่โบราณ และเล่าจื๊อได้น าแนวความคิดเรื่องหยาง-หยิน น้ีมากลา่วไวใ้ นลัทธิของตน 3.จริยธรรมของลัทธิเต๋า 1. เมตตากรุณา ในแนวความคิดข้ันมูลฐานของเลา่จื๊อคือ มนุษยเ ์ กิดมาพร ้ อมกบั ธรรมชาติ คือ ความ ดีนั่ นคือ ทุกคนเกิดมาพร ้ อมกบัความเมตตากรุณาคือความรัก และความสงสารที่จะช ่วยเหลือผู้อื่น แต่เมื่อเรา เกิดมาท่ามกลางสิ่ งแวดล ้ อมหรือ สังคมที่ไม่ด าเนินไปตามธรรมชาติ เป็นสังคมที่เต็มไปด้วยสิ่ งที่มนุษยส ์ ร ้ างข้ึน ใหม่ และบัญญัติสิ่ งใหม่จึงเป็ นสาเหตุให ้ คนเราลุม่หลงเกิดความโลภอยากได ้ อยากมี และอยากเป็นตามที่สังคม สมมุติธรรมชาติด้ังเดิมที่ติดตัวมากบัมนุษย ์ คือความดีก ็ ค่อยๆหมดไป ความเห็นแก ่ตัวและเห็นแก ่พวกพ้องก็เข้ามาแทนที่ น าไปสูก่ารยื้ อแย่ง แข่งขันโกหก หลอกลวง ฉ้อฉล ใช้กลโกงต่างๆ ในที่สุดมนุษย์ก็พบกับความ พินาศ เลา่จื๊อจึงสอนให ้ มนุษยก ์ ลับไปหาธรรมชาติด้ังเดิมของตนโดยการลดละเลิก ความเห็นแก ่ตัว ฝึกฝน อบรมจิตใจให้เป็นคนมีเมตตา กรุณาต่อกัน พึ่งพาอาศัยกัน เลิกการสมมุติค่าให้แก ่วัตถุต่างๆ เช ่น เพชรนิลจินดา หรือไม่ยึดติดในเกียรติยศ ชื่อเสียงวา่เป็ นสิ่ งที่สูงสง่เพราะสิ่ งเหลา่น้ ีเป็ นเรื่องของการสมมุติซ่ึงคนเราเกิด มาก็ มีสภาพเหมือนกันหมด คือ ความเป็นมนุษย์ และมนุษย์ก็เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ หากมนุษยไ์ มว่ ิ่ งหนีจากธรรมชาติ มีชีวิตที่กลมกลืนกับธรรมชาติ ความสงบสุขย่อม บังเกิดข้ึน 2. กระเหม็ดกระแหม่ หลักจริยธรรมอีกข้อหนึ่งที่เล่าจื๊อเน้น คือ การมีชีวิตอยู่อย่าง เรียบง่าย แสวงหา เฉพาะสิ่ งที่จ าเป็นต่อชีวิต ไม่ละโมบอยากได้จนเกินความจ าเป็น เช ่น การสะสมทรัพยากรต่างๆไว้มากเกิน ความพอดี รู้จักความพอดีเลิกละสิ่ งที่ไม่ จ าเป็ นเสีย บางทีคนเรามีความโลภ อยากได ้สิ่ งน้ันสิ่ งน้ีเมื่อได ้ แล ้ วกไ็ ม่รู้จักพอ อยากได ้ มากข้ึนไปอีกความอยากของคนเราหากไม่มีการบรรเทาหรือก าจัดก็อยาก เรื่อยไปไม่มีวัน สิ้ นสุด ความทุกข ์ สว่นหน่ึงกเ ็ กิดจากการดิ้นรนแสงหาสิ่ งที่ปรารถนา และความทุกข์ส่วนอื่นก็ตามาอีก คือไมส่มหวงัพลาดหวงัไมไ่ด ้ในสิ่ งที่ตน 91


ปรารถนา หรือหากวา่ได ้สมความอยากแล ้ ว หากสิ่ งน้ันต ้ องพลัดพราก สูญ หาย หรือ สลายไป กจ ็ ะประสบกบัความทุกข ์ ความเศร ้ าโศก หว่งหาอาลัยตอ่สิ่ งที่พลัดพราก จากไป เล่าจื๊อกล่าวว ่า “บาปนักที่สุดของมนุษย์ คือ การยอมตนให้ตกเป็นทาสแห่ง ความอยาก ความปรารถนา ไม่มีความทุกข์ชนิดใดเลวร้ายไปกว ่าความไม่รู้จักพอ ไม่ มีความเลวร ้ ายชนิดใดยิ่ งไปกวา่การเลน่การพนัน” 3. อ่อนน้อมถ่อมตน หมายถึง การรู้จักให้เกียรติแก ่กันและกันในการไปเกี่ยวข้อง สัมพันธ์กับผู้อื่น ควร ประพฤติตนให้เป็นคนสุภาพ อ่อนน้อมถ่อมตน ไม่โอ้อวด ทะนงตน เพราะความแข็งกระด้างเป็นสัญลักษณ์แห่งความตาย เปรียบเหมือนต้นไม้ ขณะที่มีชีวิตอยู่ ย่อมมีความอ่อน ใบไม้อ่อนไหว ดูสวยงาม แต่เมื่อต้นไม้ตายลงกิ่ ง ไม้ใบไม้จะแข็งดูไม่สวยงาม คนเราก็เช ่นกันหากต้องการความส าเร็จหรือชัยชนะก็ ควรใช้ความ อ่อนโยน จึงจะเป็นความส าเร ็ จหรือชยัชนะที่มนั่คงเล่าจื๊อเปรียบคนดี เหมือนน้ า น้ าเป็ นของออ่น น้ าสามารถ ปรับตนเองให้เข้ากับสถานการณ์ต่างๆได้ เช ่น เราน าน้ าไปใสข่วด น้ าก็เป็นรูปขวด น าไปใสแ่กว ้ น้ าก็เป็นรูปแก้ว ไม่ว ่าจะน า น้ าไปใส่ภาชนะชนิดใดน้ าก็จะปรับตัวไปตามภาชนะชนิดน้ัน แตค่วามออ่นของน้ า มิใช ่ความ พ่ายแพ้กลับเป็นความส าเร็จสอดคล้องและกลมกลืน จนสามารถเอาชนะ สิ่ งที่แข ็ งแกรง่ ได ้ เชน่น้ าหยดลงหิน ทุกวนัๆหินกก ็ รอ่น เมื่อใดน้ ารวมกันด้วยการ ไหลจากล าธารน ้ อยใหญจ่นกลายเป็ นมหาสมุทร น้ าก็จะมีพลังอย่างมหาศาล สามารถท าลายทุกสิ่ งได ้ ดังน้ันคนเราควรท าตัวเหมือนน้ ารู้จักปรับตนให้เข้ากับ สถานการณ์ได้แต่เล่าจื๊อกล่าวเตือนไว้ว ่า ไม่ควรปรับตัวให้เกินความพอดี เพราะจะ ท าให้เสียความเป็นคนไป ให้เป็นคนอ่อน น้อม มิใช ่เป็นคนอ่อนแอ ตามทัศนะของเล่าจื๊อ บุคคลที่เป็นใหญ่หรือเป็นผู้น ามหาชนได้ ต้อง อาศัยความอ่อนน้อมถ่อมตน เพราะสิ่ งที่ยิ่ งใหญต้องอยู่ในที่ต ่า ่เสมอเหมือนน้ าที่ กว้างใหญ่ไพศาล ก็เกิดจากสายธารน้อยใหญ่ที่ไหลลงสู่ทีต ่าและตึกระฟ้าที่สูง ตระหง่าน สามารถต้ังอยูไ่ด ้ นาน กเ ็ พราะมีรากฐานที่แข ็ งแรงรองรับ เพราะฉะน้ัน บุคคลที่เป็น ใหญ่ได้ก็เพระอยู่ในที่ต ่าคือ ความสุภาพอ่อนน้อม มีคุณธรรม คือ เมตตา กรุณา ไม่หลงตนว ่ามีอ านาจวาสนาใช้อ านาจกดขี่ ดังค าสอนที่เล่าจื๊อกล่าวไว้ 92


ในคัมภีร์เต๋า-เต๊ะ-จิง บทที่ 8 ว ่า “คนที่ดีที่สุดมีลักษณะเหมือนน้ า น้ าให้ประโยชน์แก ่ ทุกสิ่ งไมเ่คยแกง่แยง่แขง่ขันกบัสิ่ งใด น้ ามกัไหลไปอยูท่ ี่ต่ าสุดอันเป็ นที่ที่คนดูหมิ่ น เหยียด หยาม ดังน้ันน้ าจึงอยู่ในที่ใกล้เต๋า..”เล่าจื๊อสอนว ่า คนที่มักโอ้อวดทะนงตน หากระงับได ้ ดีเพราะน้ าหากรินลงในแก้ว เมื่อเต็มแล้วก็ล้นออก คนที่ชอบแสดง ความแหลมคมของตนโดยไมเ่ลือกที่และกาลเวลายอ่มรักษาตนได ้ไมน่าน คนที่มงั่ คั่ งมี ทรัพยส ์ มบัติเต ็ มบ ้ าน สุดท ้ ายกไ็ มอ่าจรักษาทรัพยส ์ มบัติเหลา่น้ัน การหยิ่ งผยองใน เกียรติยศและความมงั่คั่ งร ่ารวย เป็นสาเหตุน าไปสู่ความพินาศหายนะ ปราชญ์เมื่อ ปฏิบัติภารกิจจนส าเร็จปรากฏเกียรติยศชื่อเสียงแล้วควรปลีกตนออกไปเสีย หากไม่ ท าเชน่น้ ีถือวา่ฝ่าฝืนตอ่วิถีแห่งเต๋า เลา่จื๊อกลา่วถึงสิ่ งประเสริฐ3 ประการ ท่านยึดถือปฏิบัติตลอดมา แต่ไม่รับ ผลแหง่การปฏิบัติน้ัน นั่ นคือความสุภาพ ความกระเหมด ็ กระแหม่และความออ่น น ้ อมถอ่มตน และอธิบายวา่ด ้ วยอานุภาพของสิ่ ง ประเสริฐ 3 ประการน้ีเป็ นผลให ้ ข้าพเจ้าไม่ต้องตกเป็นเหยื่อของผู้อื่น จงสุภาพเพื่อความกล้าหาญ จงกระเหม็ด กระแหม่เพื่อความเป็ นอยู่และจงอยา่ชิงล้ าหน้าผู้อื่น จะได้เป็นผู้น าผูอ ้ื่น หากทิ้ง แผนการใดๆเสียได ้ หากละทิ้งการคาดหมายผลกา ไรไปบ้างจะเป็นการดี ขโมยจะเข้า บ้านไม่ได้ ผู้ชนะคนอื่นเป็นคนเก ่งกล้าผู้ชนะตนเองเป็นพระเจ้า ผู้ใดกระท าย่อม พินาศ ผู้ใดยึดถือย่อมขาดทุน ดังน้ันปัญญาชนจึงไมก่ระทา ไม่ยึดถือก็เพื่อให้ตนพ้น จากความพินาศและการขาดทุน 4.เต๋ากับการปกครอง ตามแนวความคิดพื้ นฐานของเลา่จื๊อคือ มนุษยเ ์ กิดมาพร ้ อมกบัความดีงาม นี่คือธรรมชาติ ด้ังเดิมของ มนุษย ์ ดังน้ันการจัดการปกครองควรจะให้ความเป็นอิสรเสรีแก ่ประชาชนในการ ด าเนินชีวิต ปล่อยให้ประชาชนประกอบธุรกิจการงานของพวกเขาอย่างอิสระ ผู้ปกครองของรัฐ ไม่ควรเข้าไปยุ่งเกี่ยว และก้าวก ่ายใน กิจการของพวกเขาผูป้ กครองควรคอยดูแลอยูเ่บื้ องหลัง ให้ประชาชนรู้เพียงว ่าพวกเขามีผู้ปกครอง และผู้ปกครองจะเข้าไปเกี่ยวข้องก็ต่อเมื่อประชาชน 93


ไมป่ฏิบัติตน ฝ่าฝืนกฎแหง่ธรรมชาติซ่ึงเป็ นกฎของเต๋าเทา่น้ัน รัฐไม่ควรน าเอาขนบธรรมเนียม กฎหมาย หรือระเบียบอย่างอื่นมาใช้บังคับประชาชนให้ปฏิบัติตาม รัฐใช้เพียง กฎแห่งธรรมชาติ ก็พอแล้ว แต่รัฐบาลจะต้องปฏิบัติให้เป็นตัวอย่างที่ดีแก ่ประชาชน คนของรัฐจะต้องปฏิบัติ หน้าที่อย่างสุจริตและยุติธรรม ไม่เข้าไปแสวงหาผลประโยชน์จากประชาชน เช ่นการขูดรีดภาษี การเกณฑ์แรงงาน หรือเกณฑ์คนมาเป็นทหารให้ท าการสงครามเพื่อสร ้ างความยิ่ งใหญแ่ก่ ผู้ปกครอง ในทัศนะของเล่าจื๊อการปกครองโดยบัญญัติกฎเกณฑต ์ า่งๆมาบังคบั ประชาชนน้ัน เป็ นสิ่ งที่ไมถู่กต ้ องและไมยุ่ติธรรม เพราะบุคลผู้บัญญัติกฎเกณฑ์ต่างๆมักจะบัญญัติให้ตนและ พวกพ้องของตนได้รับผลประโยชน์ หรือบุคคลที่อยู่ภายอ านาจของใคร ก็ย่อมออกกฎเกณฑ์ให้ ผูน ้้ันได ้ประโยชน ์ จากแนวคิดของเลา่จื๊อเราอาจพบความไมยุ่ติธรรมได ้ ทั่ วไป ในการตรา กฎหมายของประเทศที่ปกครองโดยระบบเผด ็ จการท้ังหลายเชน่การตรากฎหมายใชบ ้ ังคับวา่ หากใครคิดกบฏ ท าการกบฏต่อแผ่นดิน จะต้องได้รับโทษหนักถึงประหารชีวิต แต่เมื่อมีบุคคล ท าการกบฏ รัฐประหาร สามารถยึดอ านาจการปกครองแผ่นดินได้ส าเร็จ โดยไม่มีเหตุผลสมควร เพียงพอในการท า รัฐประหาร แต่กระท าการยึดอ านาจเพื่อความยิ่ งใหญข่องตนและพวกพอ ้ ง เทา่น้ัน ในที่สุดคณะที่ท าการส าเร็จก็ มิได้รับโทษประหารชีวิตหรือไม่ต้องรับผิดต่อชีวิตที่ล้มตายและทรัพย์สินที่เสียหายแต่ประการ ใด พวกเขาจะ ตรากฎหมายออกมาเพื่อให้อภัยโทษแก ่ตนและพวกพ้องของตน การที่บัญญัติ กฎหมายเชน่น้ ีถือวา่ไมถู่กต ้ องและไม่ยุติธรรม ดังน้ันเลา่จื๊อจึงเสนอให ้ รัฐ ท าการปกครองโดย ใช้กฎธรรมชาติ ซึ่งเป็นกฎศักดิ์ สิทธิ์ และที่ยงตรง ปัญหาตา่งๆที่เกดิข้ึนจากการปกครองที่ไม่ ถูกต ้ องและยุติธรรมน้ันมิได ้ เกิดข้ึนโดยธรรมชาติหรือโดย ปราศจากสาเหตุที่น าไปสู่ปัญหาใน การปกครองไว้ใน เต๋า-เต๊ะ-จิง บทที่ 14 มีสาระส าคัญว ่า “ประชาชนต้องหิวโหย เพราะรัฐบาล เก็บภาษีมากเกินไป จึงเป็นสาเหตุให้เกิดความอดอยากยากจน ประชาชนปกครองยาก เพราะ รัฐบาลเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับชีวิตของพวกเขามากเกินไป จึงเป็นสาเหตุให้เกิดความยุ่งยากในการ ปกครอง ประชาชนมองความตายเป็นเรื่องเล็ก สาเหตุมาจากผู้ปกครองมีความเป็นอยู่หรูหรา ฟุ่มเฟือยเกินไป จึงเป็น สาเหตุให้ประชาชนมองความตายเป็นเรื่องเล็ก” 94


5.พัฒนาการของลัทธิเต๋า สรรพสิ่ งมีการเปลี่ยนแปลงไปตามกฎแหง่กาลเวลาลัทธิเต๋ากต ็ กอยูใ่นกฎน้ีเชน่กนันั่ นคือค า สอน ด้งเดิมของเล่าจื๊อ สอนให้คนเราด า ั เนินชีวิตไปสู่อุดมคติสูงสุด คือ เต๋า โดยการปรับชีวิตให้ กลมกลืนกับ ธรรมชาติ ไม่ฝ่าฝืนหรือขัดขืนต่อกฎธรรมชาติ รู้จักละ รู้จักเลิก ไม่ทะเยอทะยาน เท่ากับการท าจิตให้ว ่างจากกิเลสตัณหาท้ังหลายเพราะการจะเข ้ าถึงเต๋าได ้ น้ันต ้ องพยายาม เอาชนะตนเองให้ได้ หมายถึงการเอาชนะกิเลส ตัณหาของตนนั่ นเองเพราะเต๋าคือความว ่าง ใคร ก็ตามไม่ท าจิตของตนให้ว ่างกไ็ มอ่าจเข ้ าถึงเต๋า ดังน้ันคา สอน ด้ังเดิมของเลา่จื๊อมุง่ ให ้ คนเรา เข้าถึงความสงบแห่งจิต (เต๋า) อันเป็นบรมสุขอย่างแท ้ จริงเมื่อสิ้ นสมยัของเลา่จื๊อ สานุศิษย์ได้ เปลี่ยนแปลงค าสอนเดิมจนแยกออกเป็นนิกาย ประมาณก ่อนปี ค.ศ. 97 การเปลี่ยนแปลงค าสอน เริ่ มจากความคิดใหมใ่นบรรดาสานุศิษยท ์ี่ต้ังข ้ อสงสยัวา่เลา่จื๊อมีตัวตนจริง หรือไม่ หรือเป็น เพียงผู้วิเศษคนหนึ่งในนิกาย และสงสัยต่อไปว ่า ค าสอนของเล่าจื๊อเป็นค าสอนของเล่าจื๊อเอง หรือเป็นค าสอนที่มีมาก ่อนสมัยเล่าจื๊อ จากมูลเหตุเหล่าน้ีท าให้สานุศิษย์เปลี่ยนแปลงค าสอนเดิม แยกออกเป็น นิกายต่างๆ ค าสอนที่เปลี่ยนแปลงเป็นรูปแบบที่มีลักษณะศักดิ์ สิทธิ์ลึกลับที่มาจาก ภายนอก เช ่น อ านาจของเทพเจ้า ต้องท าการกราบไหว้ขออ านาจจากเทพเจ้าด้วยวิธีการทางไสย ศาสตร์ นักบวชในลัทธิเต๋า ผู้มีความ ช านาญทางไสยศาสตร์อ้างว ่าตนสามารถติดต่อกับสวรรค์ ได้ กระทั่ งราชสา นักในยุคน้ันกไ็ ด ้ รับรองปรัชญาและพิธีกรรมทางไสยศาสตร์ของนักบวช เหลา่น้ ีในที่สุดนักบวชในลัทธิเต๋าผูมีความช า ้ นาญทางไสยศาสตร์กลายเป็น ผู้มีอ านาจและ อิทธิพลมากในราชส านัก บางคร้ังนักการเมืองและนักปราชญผ ์ูสุ้จริตต ้ องพา่ยแพต ้ อ่นักพรตผู้ อา ้ งอา นาจเทพเจ ้ า นักพรตเหลา่น้ ีได ้ น าเอาเวทมนตร์คาถามาเป็นเครื่องมือท ามาหากิน ในที่สุด ลัทธิเต๋าได้กลายเป็นลัทธิมีเทพเจ้า และเข้าไปผสมผสานในพุทธศาสนานิกายมหายาน มีการ เคารพกราบไหว้เทพเจ้าและ พระโพธิสัตว์ เช ่น เทพเจ้าแห่งความสมบูรณ์ พระเจ้าแห่งยารักษา โรค พระเจ ้ าแหง่ครัวไฟ ฯลฯ นอกจากน้ียงัมี 95


Click to View FlipBook Version