The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

เอกสารประกอบการสอนชีววิทยา_2

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by phakawat4444, 2022-04-08 12:08:52

E-Book ชีววิทยา ม.4 เทอม 2

เอกสารประกอบการสอนชีววิทยา_2

1|หน้า

2|หน้า

โครโมโซม (chromosome) คือ เส้นใยของ DNA โครโมโซม (Deoxyribonucleic acid) และโปรตีน
ตา่ ง ๆ ทอี่ ยูร่ วมกันและขดกันแนน่ จนเห็นเปน็ รูปร่าง

เมื่อนำโครโมโซมมาทำ “คาริโอไทป์ (Karyotype)” ซึ่งเป็นการนำโครโมโซมมาจัดเรียงตามขนาด
รูปร่าง และตำแหน่งของเซนโทเมียร์ (centromere) จะได้เป็นคู่ ๆ แต่ละคู่เรียกว่า “ฮอมอโลกัส โครโมโซม
(homologous chromosome)”

เปน็ ฮอมอโลกสั โครโมโซมกัน
(homologous chromosome)

ตวั อย่างคารโิ อไทปข์ องมนษุ ยเ์ พศชาย

รปู รา่ งและลักษณะของโครโมโซมมีการเปลี่ยนแปลงรูปร่าง รูปรา่ งและลักษณะของโครโมโซม
ได้ตามระยะต่าง ๆ ในวัฏจักรเซลล์ เมื่อเซลล์เข้าสู่ระยะเมตาเฟส
(metaphase) โครโมโซมจะหดสั้นมากที่สุด เราสามารถจำแนก
รูปร่างโครโมโซมตามตำแหน่งของเซนโทรเมียร์ (centromere)
แบง่ เป็น 4 แบบ ดังนี้

1. Metacentric chromosome : เ ซ น โ ท ร เ ม ี ย ร ์ อ ยู่
ก่ึงกลางทำใหแ้ ขน (arm) มีความยาวเท่ากนั

2. Submetacentric chromosome : เซนโทรเมียร์อยู่
ใกล้กงึ่ กลางทำใหแ้ ขน (arm) มคี วามยาวไมเ่ ท่ากัน

3. Acrocentric chromosome : เซนโทรเมยี ร์อยู่เกือบ
ปลายสุด ทำให้แขน (arm) สนั้ มาก

4. Telocentric chromosome : เซนโทรเมียร์อยู่ปลาย
สดุ ทำใหแ้ ขน (arm) มขี า้ งเดยี ว

3|หน้า

1. โครโมโซมในระยะเมทาเฟส (metaphase) เปน็ โครโมโซมทนี่ มิ ยมนำมาทำ karyotype เพราะเป็นระยะ
ท่ีโครโมโซมมีการขดตวั มากทีส่ ุดทำใหม้ ีขนาดใหญส่ น้ั ลง จงึ มองเห็นโครโมโซมไดช้ ัดที่สุด

2. ในทางการแพทยม์ ีการใช้เซลล์ชนดิ ตา่ ง ๆ สำหรบั วเิ คราะห์โครโมโซม เช่น
- ลมิ โฟไซต์ เพอ่ื ศกึ ษาลักษณะ ขนาด และจำนวนโครโมโซม
- เซลลไ์ ขกระดูก เพ่อื ตรวจสอบความผิดปกติของโครโมโซมในมะเร็งเม็ดเลือดขาว
- เซลล์ฟตี ัสทป่ี ะปนในน้ำคร่ำ เพ่ือศึกษาความผดิ ปกติทางพนั ธุกรรม

ลมิ โฟไซต์ (Lymphocyte)

องค์ประกอบของโครโมโซมของยูแคริโอต (eukaryotic chromosome) ประกอบดว้ ย
1. DNA (Deoxyribonucleic acid)
- มปี ระจลุ บ เพราะ มีหม่ฟู อสเฟตจำนวนมาก
2. โปรตีน (protein)
2.1) โปรตีนฮสี โทน (histone protein) มปี ระจบุ วก เพราะ มกี รดอะมโิ นอาร์จีนนี

(arginine) และ กรดอะมิโนไลซนี (lysine) จำนวนมาก
2.2) โปรตนี ที่ไมใ่ ช่ฮิสโทน (non-histone protein)

DNA ที่เป็นเส้น (linear DNA) สายคู่ 1 เส้น จะพันรอบกลุ่มฮิสโทน (histone) 8 โมเลกุล ทำให้มี
รูปร่างคล้ายลูกปัด เรียกโครงสร้างนี้วา่ “นิวคลีโอโซม (nucleosome)” ซึ่งจะม้วนพันกนั เป็นโครมาทิน เมื่อถึง
ระยะทีม่ ีการแบง่ นวิ เคลยี สโครมาทินจะขดตวั เป็นโครโมโซม

โครโมโซม นิวคลโี อโซม
(Chromosome) (nucleosome)

โปรตนี ฮสิ โทน
(Histone)

4|หน้า

โครโมโซมของแบคทเี รยี (bacterial chromosome) มลี กั ษณะดงั นี้
- มีจำนวนโครโมโซมชดุ เดียว และมีโครโมโซมเป็นวง (circular DNA)
- โครโมโซมประกอบด้วย DNA สายคเู่ ปน็ วง 1 โมเลกลุ ไมม่ ฮี ีสโทน
- แบคทเี รยี บางชนิดมี “พลาสมิด (plasmid)” ซงึ่ เปน็ DNA สายคู่ขนาดเลก็ อยู่นอกโครโมโซม
ของแบคทเี รยี

โครโมโซมของ พลาสมดิ
แบคทเี รยี (plasmid)

ยีน (gene) คอื หนว่ ยทค่ี วบคุมลักษณะทางพนั ธุกรรมของส่ิงมชี วี ติ โดยยนี เปน็ สว่ นของ DNA ทเี่ ป็น
ลำดบั ของรหสั พนั ธุกรรม (ลำดับเบส) สำหรับการสร้างโปรตีนทุกชนิดในเซลลข์ องสง่ิ มชี วี ิต

ยนี 1 ลำดบั คเู่ บสบน DNA
(Gene 1) ของยีน 2

ยีน 2
(Gene 2)

5|หน้า

จโี นม (genome) = สารพันธกุ รรมทงั้ หมดของโครโมโซม 1 ชุด ของสิ่งมชี วี ติ หนึ่ง ๆ เชน่ มนุษย์ (Homo
sapiens) มีขนาดของจีโนม 2.9 พนั ล้านคู่เบส หรือ ข้าว (Oryza sativa) ขนาดของ จโี นม 430 ล้านค่เู บส

พืชที่ใช้เป็นตน้ แบบในการศึกษาพนั ธุกรรมพืช คอื “ตน้ อะราบิดอฟซสิ ” (Arabidopsis thaliana) เพราะ
เป็นพืชดอกขนาดเล็ก เจรญิ เติบโตเรว็ วฏั จักรชวี ิตสั้น จีโนมมีขนาดเล็กประมาณ 135 ลา้ นคู่เบส และทราบลำดับ
นวิ คลีโอไทดข์ องจโี นมแล้ว

6|หน้า

2. สารพันธกุ รรม

2.1 การค้นพบสารพันธกุ รรม

1. ฟรดี ริช มเี ชอร์ (Friedrich Miescher)
- เม่อื นำ สารจากนวิ เคลียส + เอนไซมเ์ พปซิน (ย่อยโปรตนี ) พบว่าไม่สามารถยอ่ ยได้
- วิเคราะห์พบ N และ P เปน็ องค์ประกอบ
- ตอ่ มาพบว่ามีสมบตั ิเปน็ กรด จึงเรียก กรดนิวคลีอิก

2. การค้นพบวา่ DNA อยใู่ นนิวเคลยี ส
- เมอื่ เอาสฟี คุ ซีน (fuchsin) ซ่ึงยอ้ มติด DNA ไปย้อมเซลล์ พบว่าติดท่นี วิ เคลยี สและรวมตัวหนาแน่นท่ี
โครโมโซม

3. เฟรเดอริก กริฟฟิท (Frederick Griffith)
- ทดลองฉีดแบทเี รยี Streptococcus pneumoniae (ทำใหเ้ กิดโรคปอดบวม) เข้าในหนู

- แบคทีเรียมี 2 สายพนั ธ์ุ
1. สายพนั ธ์ุ R = มีผวิ ขรขุ ระ (Rough) เพราะไม่มีแคปซูล (capsule) → ไมท่ ำให้เกิดโรคปอดบวม
2. สายพันธ์ุ S = มีผิวเรยี บ (Smooth) เพราะมีแคปซลู → ทำให้เกิดโรคปอดบวมรุนแรง

ชดุ การทดลองท่ี 1 ชดุ การทดลองท่ี 2 ชดุ การทดลองที่ 3 ชุดการทดลองท่ี 4

ฉีดสายพนั ธ์ุ R ท่ยี งั มีชวี ิต ฉีดสายพันธ์ุ S ท่ียังมีชวี ิต ฉดี สายพนั ธุ์ S ที่ทำใหต้ าย ฉีดสายพนั ธุ์ S ท่ีทำให้ตาย

เขา้ ไปในหนู เขา้ ไปในหนู ดว้ ยความรอ้ น เข้าไปในหนู + สายพนั ธุ์ R ทม่ี ชี ีวิต

มชี วี ิต ตาย มีชวี ิต ตาย

สรุป มสี ารบางอย่างจากสายพนั ธ์ุ S ท่ีทำใหต้ ายด้วยความรอ้ นเข้าไปยงั สายพนั ธุ์ R บางเซลล์ ทำให้
สายพนั ธุ์ R เปล่ียนแปลงเปน็ สายพนั ธ์ุ S

7|หน้า

4. ออสวอลด์ แอเวอรี (Oswald Avery) + คอลิน แมคลอยด์ (Colin MacLeod) + แมคลิน
แมคคาร์ที (Maclyn McCarty)
- ตรวจสอบว่าสารพันธกุ รรมเปน็ สารชนิดใด (DNA RNA หรือ โปรตนี )

หลอดที่ การทดลอง เอนไซมเ์ ตมิ สารที่พบ

1 สารสกัดจากสายพันธุ์ S RNase พบสายพนั ธุ์ S
ทท่ี ำให้ตายดว้ ยความร้อน (เอนไซม์ยอ่ ย RNA)
2 
+ สายพนั ธ์ุ R Protease
3 (เอนไซมย์ ่อยโปตนี ) พบสายพนั ธุ์ S
สารสกัดจากสายพนั ธ์ุ S
4 ทีท่ ำให้ตายดว้ ยความรอ้ น DNase 
(เอนไซม์ยอ่ ย DNA)
+ สายพนั ธุ์ R ไม่พบสายพนั ธ์ุ S
ไมเ่ ติมเอนไซม์ X
สารสกัดจากสายพนั ธุ์ S
ท่ีทำใหต้ ายดว้ ยความรอ้ น พบสายพันธุ์ S

+ สายพันธุ์ R 

สารสกัดจากสายพันธุ์ S
ที่ทำให้ตายดว้ ยความรอ้ น

+ สายพันธุ์ R

สรุป กรดนวิ คลีอกิ ชนิด DNA เปน็ สารพันธกุ รรม ไม่ใช่โปรตนี เหมือนทีเ่ คยเช่อื มาแต่ก่อน โดย DNA ทำ
หนา้ ทีเ่ ป็นสารพันธุกรรมทีถ่ ่ายทอดลักษณะของสงิ่ มชี วี ิตไปสรู่ ุ่นต่อไป

2.2 DNA (Deoxyribonucleic acid)

 องคป์ ระกอบทางเคมขี อง DNA
- DNA เป็นกรดอนิวคลอี ิก ซึ่งเป็น polymer
- หน่วยย่อย (monomer) คือ นวิ คลโี อไทด์ (nucleotide)

 นวิ คลีโอไทด์ (nucleotide) มีองคป์ ระกอบอยู่ 3 ส่วน
1. น้ำตาลดีออกซไี รโบส (Deoxyribose)
2. หม่ฟู อสเฟต (phosphate group)
3. ไนโตรจีนัสเบส (Nitrogenous base) มี 2 ประเภท

3.1) เบสพวิ รนี (purine) - 2 วง = A (adenine) G (guanine)
3.2) เบสไพริมิดนิ (pyrimidine) 1 วง = C (cytosine) T (thymine) {U (uracil) พบใน RNA}

8|หน้า

 นิวคลีโอไทด์จะเชือ่ มต่อกันด้วยพันธะฟอสโฟไดเอสเตอร์ (phosphodiester bond)

ปลาย 5’ และ ปลาย 3’ คอื อะไร
- สายพอลินิวคลีโอไทดจ์ ะมีทิศทางของสาย (polarity)
- ปลายทม่ี ีหมฟู่ อสเฟตอยู่ เรยี กวา่ 5’ PO43- หรือ ปลาย 5’
- ปลายท่มี ีหมู่ OH เรยี กว่า 3’ OH หรอื ปลาย 3’

9|หน้า

2.3 การทดลองของชารก์ าฟฟ์

เออรว์ ิน ชาร์กาฟฟ์ (Erwin Chargaff) ไดว้ ิเคราะห์ปริมาณเบสท่เี ป็นองค์ประกอบของ DNA ใน
ส่งิ มีชีวติ สปีชีส์ตา่ ง ๆ ได้ผลดังตาราง

ชนดิ ของเบส (ร้อยละ) อตั ราสว่ น
ไทมนี กวานีน
สงิ่ มีชวี ติ อะดีนนี ไซโทซีน A:T ( ) G:C ( )
A TG C
ยสี ต์ 31.3 32.9 18.7 17.1
เม่นทะเล 32.8 32.1 17.7 18.4
ปลาแซลมอน 29.7 29.1 20.8 20.4 0.95 1.09
28.6 28.4 21.4 21.5 1.02 1.02
หนู 29.3 30.0 20.7 20.0 1.02 1.02
มนษุ ย์ (ไทมัส) 1.01 1.00

0.98 1.04

 ปรมิ าณของ A ใกล้เคยี งกบั T และปริมาณของ G ใกลเ้ คยี งกับ C
 A:T และ G:C มีค่าใกล้เคียง 1
 จากผลการวเิ คราะหแ์ สดงให้เห็นว่า DNA จะต้องมกี ารจัดเรียงตวั ของนวิ คลโี อไทดท์ ี่ทำให้ จำนวน A = T

และจำนวน G = C

กฎของชาร์กาฟฟ์
“ปรมิ าณของเบส 4 ชนิด จะแตกต่างกันแต่จะมี
ปริมาณของเบส A ใกลเ้ คยี งกบั T และเบส C
ใกล้เคียงกบั G เสมอ”

A:T=1
G:C=1

Erwin Chargaff

2.4 โครงสรา้ งของ DNA (DNA structure)

2.4.1 ประวตั ิการศกึ ษาโครงสรา้ งของ DNA
1) มอริซ วิลคินส์ (Maurice Wilkins) ใช้เทคนิค X-ray diffraction โดยฉายรังสีเอกซ์ผ่าน

เส้นใย DNA ทำใหเ้ กดิ ภาพบนฟลิ ์ม
2) โรซาลินด์ แฟรงคลิน (Rosalind Franklin) ศึกษาโครงสร้าง DNA โดยใช้เทคนิค X-ray

diffraction ได้ภาพถ่ายที่ชัเจนทำให้พบว่า “โครงสร้าง DNA ประกอบด้วยพอลีนิวคลีโอไทด์มากกว่า 1 สาย
เป็นเกลยี ว ซึ่งแตล่ ะรอบห่างเทา่ ๆ กัน”

Rosalind Franklin

10 | ห น ้ า

3) เจมส์ วอตสัน (James Watson) และฟราซิส คริก (Francis Crick) ได้เสนอแบบจำลอง
โครงสร้าง DNA โดยใช้ข้อมูลปริมาณเบสที่เป็นองค์ประกอบทางเคมีของโมเลกุล DNA และภาพจากเทคนิค
X-ray diffraction ของ DNA แบบจำลองท่เี สนอ คอื แบบจำลองที่เป็นที่แพร่หลายในปัจจบุ นั

2.4.2 ลกั ษณะโครงสร้างของ DNA
1) ประกอบดว้ ยสาย polynucleotide 2 สาย โดยทศิ การเรียงตัวของพอลีนิวคลีโอไทด์แตล่ ะ

สายสลับทศิ กนั หรอื มที ศิ ตรงกันข้าม (antiparallel)
2) สาย polynucleotide ท้ัง 2 สาย เชื่อมติดกันดว้ ยพันธะไฮโดรเจนระหวา่ งเบสของแต่ละ

polynucleotide โดยที่ A จับกบั T ดว้ ยพันธะไฮโดรเจน 2 พันธะ และ G จับกับ C ด้วยพันธะไฮโดรเจน 3
พนั ธะ เรยี ก A คู่กบั T และ G คู่กับ C ว่า “เบสคู่สม (complementary base pair)”

3) DNA มีลกั ษณะเป็นเกลียวคู่ (double helix) มีทิศเวียนขวา ลักษณะคล้ายบันไดเวียน โดยมี
น้ำตาลดีออกซีไรโบส (deoxyribose) จับกับหมู่ฟอสเฟต (phosphate group) เปน็ ราวบันได แต่ละข้นั บนั ได คือ
เบส 1 คูเ่ บส โครงสร้างเกลียวค่กู ว้าง 2 nm เกลียวแต่ละรอบห่างกัน 3.4 nm เกลยี ว 1 รอบมเี บส 10 คเู่ บส
และแต่ละคู่เบสห่างกัน 0.34 nm

11 | ห น ้ า

3. สมบัตขิ องสารพันธุกรรม

สารพันธุกรรมมสี มบตั ิ ดงั น้ี
- สามารถเพิม่ จำนวนได้โดยมีลักษณะเหมือนเดิม
- สามารถถ่ายทอดลักษณะทางพนั ธกุ รรมจากรุน่ พ่อแม่ไปยังรุ่นลูกได้
- สามารถควบคมุ การสังเคราะห์สาร เพ่อื แสดงลกั ษณะทางพนั ธุกรรมใหป้ รากฏ
- อาจมีการเปลย่ี นแปลงทำให้เกดิ ลักษณะใหม่จนอาจก่อใหเ้ กดิ สปีชีสใ์ หม่

4. การจำลองดีเอน็ เอ (DNA replication)

การจำลอง DNA (DNA replication) ในการจำลอง DNA จะเริ่มจาก polynucleotide 2 สายแยก
ออกจากกัน โดยแต่ละสายจะทำหน้าที่เป็นดีเอ็นเอแม่แบบ (DNA template) เมื่อสิ้นสุดกระบวนการจะทำให้มี
โมเลกุลของ DNA เพิ่มขึ้นจาก 1 โมเลกุล เป็น 2 โมเลกุล แต่ละโมเลกุลจะมี polynucleotide สายเดิม 1 สาย
และสายใหม่ 1 สาย เรียกการจำลองแบบน้วี ่า “การจำลองแบบกึ่งอนรุ กั ษ์ (semiconservative replication)”

Polynucleotide สายเกา่

Polynucleotide สายใหม่

Polynucleotide สายเก่า

Polynucleotide สายใหม่
 ขั้นตอนการจำลอง DNA (DNA replication)

1. DNA คลายตวั ทต่ี ำแหนง่ จุดเร่มิ ตน้ ของการจำลองตัวของ DNA (origin of replication)

2. เอนไซมเ์ ฮลเิ คส (Helicase) สลายพนั ธะไฮโดรเจนระหวา่ งคู่เบส ทำใหส้ ายพอลนิ วิ คลโี อไทดท์ ง้ั สองสายแยกออกจากกัน และ
มกี ารตดั สายบางสว่ นโดยเอนไซมโ์ ทโปไอโซเมอเรส (topoisomerase) เพือ่ ระบายการขดตวั โดยการตัด phosphodiester bond

3. โปรตีน SBB (Single Strand Binding protein) เข้ามาเกาะบรเิ วณสายเด่ียวทีแ่ ยกออกเพ่อื ปอ้ งกนั การพันเกลยี วกลบั

4. อาร์เอ็นเอ ไพรเมอร์ (RNA primer) ซึ่งเป็น RNA สายสั้น ๆ จับกับสายพอลินืวคลิโอไทด์แม่แบบทั้งสายบนและล่าง
(RNA primer ถกู สรา้ งโดยเอนไซม์ RNA primase)

5. การสร้างสายนำ (leading strand)
- เอนไซม์ดีเอ็นเอพอลิเมอร์เรส (DNA polymerase) จับนิวคลีโอไทด์เข้ามาต่อกันเป็นสายยาวต่อเนื่องจากทิศ 5’ ไป 3’ ของ
สายใหม่ ซึ่งเรยี กสายน้วี า่ “ลดี ดิงสแทรนด์ (leading strand)”

12 | ห น ้ า

6. การสร้างสายตาม (lagging strand)
- เอนไซมด์ เี อ็นเอพอลเิ มอร์เรส (DNA polymerase) ซึ่งมีทิศการสังเคราะห์ 5’ ไป 3’ เสมอ ทำให้มีการสร้างสายพอลินิวคลีโอ
ไทด์สวนทางกับทิศทางการคลายเกลียวของ DNA ทำให้ไม่สามารถสร้างสายใหม่ต่อเนื่องเป็นสายยาวได้ เอนไซม์ดีเอ็นเอพอลิ
เมอรเ์ รสจึงสร้างพอลินวิ คลโี อไทด์สายส้นั ๆ เรียก “ช้นิ ส่วนโอกาซากิ (Okazaki fragment)”
- เอนไซม์ดีเอ็นเอไลเกส (DNA ligase) จะทำหน้าที่เชื่อมพอลินิวคลีโอไทด์สายสั้น ๆ เหล่านี้เป็นสายเดียวกัน เรียกสายที่
เชือ่ มกันแล้วเป็นสายเดียวว่า “แลกกงิ สแทรนด์ (lagging strand)”






ขอ้ ควรระวงั

 - DNA polymerase สงั เคราะห์ polynucleotide
จาก 5’ ไป 3’ ของสายใหมเ่ สมอ

13 | ห น ้ า

5. From gene to protein

เซลล์แต่ละเซลล์มีการแสดงออกของยีนและการสังเคราะห์โปรตีนที่แตกต่างกัน ทำให้เซลล์มี
การแสดงออกหลายรปู แบบเพื่อทำหน้าทเ่ี ฉพาะ

ยีน (gene) คอื อะไร
ยนี (gene) คือ ดเี อน็ เอสว่ นท่ีเปน็ ลำดับของรหสั ทางพนั ธกุ รรม (Genetic code) สำหรับการสร้างโปรตีน

ทุกชนิดในเซลล์ของส่ิงมชี ีวิต รหัสทางพันธกุ รรมเกิดจากการเรยี งลำดบั ของนิวคลิโอไทด์ทงั้ 4 ชนิด คือ A T C
และ G

ในยีนของพวกยคู าริโอต (eukaryotic gene) จะมีการแบง่ ลำดบั พนั ธุกีมออกเปน็ สว่ น ๆ คอื
- สว่ นเอกซอน (exon) เปน็ ลำดบั นวิ คลีโอไทด์ท่เี ก่ียวขอ้ งกับการแปลรหัส (translation)
- ส่วนอินทรอน (intron) เปน็ ลำดับนิวคลโี อไทด์ทไี่ มถ่ ูกแปลรหัสเป็นโปรตีนซง่ึ จะถูกตัดออกไป
ก่อนแปลรหัส

14 | ห น ้ า

การนำขอ้ มลู ทางพันธุกรมจาก DNA ไปใชใ้ นการสังเคราะหโ์ ปรตีน ประกอบด้วย
1. การถอดรหสั (transcription) : การสังเคราะห์ mRNA (messenger RNA; mRNA) โดยใช้ DNA

แม่แบบ (DNA template)
2. การแปลรหัส (translation) : การสงั เคราะห์โปรตีนโดยไรโบโซมจากการอ่านรหัสพันธุกรรมท่ีเป็น

ลำดบั เบสบน Mrna
OVERVIEW

การสงั เคราะห์โปรตีนในโพรคาริโอต
- Transcription และ Translation
เกิดในไซโทพลาสซมึ
- ไมม่ ีการตัดแตง่ mRNA (RNA processing)

การสงั เคราะหโ์ ปรตีนในยูคาริโอต
- Transcription เกดิ ในนิวเคลยี ส
- Translation เกิดท่ไี ซโทพลาสซมึ
- มกี ารตัดแตง่ mRNA (RNA processing)

15 | ห น ้ า

เพมิ่ เตมิ ชนิดของ RNA (ribonucleic acid) : RNA มี 3 ชนิด ได้แก่

1. เมสเซนเจอร์ อาร์เอน็ เอ (messenger RNA; mRNA) - เปน็ RNA ที่ได้จากกระบวนการ
ถอดรหัส (transcription) ซึง่ นำรหัสพันธกุ รรมไปเขา้ สูก่ ระบวนการแปลรหสั (translation)

2. ทรานสเฟอร์ อารเ์ อ็นเอ (transfer RNA; tRNA) - เป็น RNA ท่นี ำกรดอะมิโนทจ่ี ำเพาะไปใน
กระบวนการแปลรหัส mRNA โดยไรโบโซม ในกระบวนการแปลรหัส (translation)

3. ไรโบโซมอล อาร์เอน็ เอ (ribosomal RNA; rRNA) – เป็นองค์ประกอบส่วนหน่ึงของไรโบโซม

5.1 การถอดรหัส (transcription)

- การถอดรหสั หรือ transcription เปน็ การสงั เคราะห์ mRNA โดยใช้ DNA แม่แบบ
- คล้ายกบั การจำลอง DNA แตใ่ ช้ DNA แม่แบบเพยี งสายเดียว
ขน้ั ตอนการถอดรหัส

1. เอนไซม์อาร์เอน็ เอพอลเิ มอเรส (RNA
polymerase) จับกับ DNA บรเิ วณทจ่ี ะ

สังเคราะห์ mRNA

2. RNA polymerase เรมิ่ สงั เคราะห์ mRNA
โดยนวิ คลีโอไทดท์ ม่ี เี บสคสู่ มจะเข้ามาจับกับ

เบสคสู่ มของ DNA แม่แบบ
3. RNA polymerase เชื่อมนิวคลโี อไทด์
โดยมที ศิ ทางการสังเคราะห์ mRNA จากทิศ

5’ ไป 3’
4. เมอ่ื เสร็จสิน้ RNA polymerase
หยุดการทำงานและแยกตวั ออกจาก

สาย mRNA

16 | ห น ้ า

ขอ้ สงั เกต

- ทศิ ทางการสงั เคราะห์ mRNA : RNA polymerase จะสรา้ ง mRNA จาก 5’ -> 3’ ของสาย mRNA
- การสงั เคราะหส์ าย mRNA เบสทพี่ บใน RNA มี A U C G {ไม่มี T}

ความแตกตา่ งระหวา่ ง DNA Replication และ Transcription

DNA Replication Transcription

1) เกิดตลอดความยาวของสาย DNA 1) เกิดเฉพาะบางส่วนของสาย DNA

2) เกิดทง้ั สองสายของ DNA 2) เกิดกบั เฉพาะสายทีเ่ ปน็ แม่แบบ

3) ใช้ enzyme มากกว่า 1 ชนิด เช่น Helicase และ 3) ใช้ enzyme ชนิดเดยี ว คือ RNA Polymerase

DNA polymerase

4) มีการสร้าง primer 4) ไม่มีการสร้าง primer

ในยูแคริโอต (eukaryote) กระบวนการถอดรหัส (transcription) จะเกิดขึ้นภายในนิวเคลียสของเซลล์
mRNA ที่ได้จะต้องถูกส่งออกนอกนิวเคลียสไปยังไซโทพลาสซึมเพื่อเข้าสู่กระบวนการแปลรหัส (Translation)
กอ่ นที่ mRNA จะถูกสง่ ออกไปยังไซโทพลาสซมึ จะมีการตัดแต่ง mRNA (RNA processing) เสยี ก่อน

17 | ห น ้ า

การตดั แต่ง mRNA (mRNA processing)
- RNA processing คือกระบวนการตกแต่งเพื่อให้ได้ mRNA ที่สมบูรณ์พร้อมเข้าสู่กระบวนการแปล

รหัสเป็นกรดอะมิโนต่อไป โดยในภาพรวมในกระบวนการน้ีจะมีการตัดเอายีนส่วนทีเ่ ป็นอนิ ทรอน (intron) ออกไป
แล้วเชื่อมส่วนที่เป็น เอกซอน (exon) ในยีนเชื่อมเป็นสาย mRNA เดียวกันแล้วค่อยส่งออกนอกนิวเคลียสไปยัง
ไซโทพลาสซึม

สว่ นอินทรอน (intron) เปน็ ลำดบั นิวคลโี อไทด์
ที่ไม่ถกู แปลรหัสเปน็ โปรตีนซง่ึ จะถกู ตดั ออกไป

กอ่ นแปลรหัส
สว่ นเอกซอน (exon) เปน็ ลำดบั นวิ คลีโอไทด์

ท่ีเกีย่ วขอ้ งกับการแปลรหัส (translation)

18 | ห น ้ า

รหสั พนั ธุกรรม (genetic code)

 รหสั พันธุกรรม คอื ลำดบั เบส (ลำดบั นิวคลโี อไทด์) ของ mRNA
 ลำดับเบส (รหัสพันธุกรรม) เป็นตัวกำหนดลำดับของกรดอะมโิ นเพอื่ สงั เคราะหโ์ ปรตีน

 เปน็ รหัสสามเบส (triplet code) -> 1 รหัส ประกอบดว้ ย 3 นิวคลีโอไทด์ (เบส)
 โคดอน (Codon) คือ ลำดับนิวคลีโอไทด์ (ลำดับเบส) บน mRNA (รหัสบน mRNA)
 แอนตโิ คดอน (Anticodon) คอื ค่ขู องลำดับเบสของโคดอน ซ่งึ อยูบ่ นทรานสเฟอร์อาเอ็นเอา
(transfer RNA; tRNA) ซง่ึ ประกอบดว้ ย 3 นวิ คลีโอไทด์เช่นกัน

19 | ห น ้ า

5.2 การแปลรหสั (translation)

การแปลรหัส (Translation) เป็นกระบวนการที่เกิดต่อจากการถอดรหัส (Transcription) โดยแปลรหัส
ข้อมูลพันธุกรรมซึ่งอยู่ในรูปของลำดับนิวคลีโอไทด์บนสาย mRNA ไปเป็นลำดับกรดอะมิโน ในกระบวนการ
สังเคราะห์ โปรตีน ซึ่งโปรตีนที่สังเคราะห์ขึ้นจากกระบวนการแปลรหัสหรือกระบวนการสังเคราะห์โปรตีนน้ี
จัดเป็นผลิตภณั ฑ์ของยีนท่ีสามารถทำหน้าท่ใี นเซลล์ได้ การแปลรหสั เปน็ กระบวนการสงั เคราะหโ์ ปรตีน (protein
synthesis)

ขัน้ ตอนการแปลรหัสในเซลล์โพรคาริโอต
การแปลรหัสในโพรคาริโอตแบง่ ออกเป็น 3 ขั้นตอนหลัก ได้แก่ ขน้ั ตอนการเริ่มสงั เคราะห์พอลเิ พปไทด์

(initiation) ข้ันตอนการตอ่ สายพอลิเพปไทด์ (elongation) และขั้นตอนการสนิ้ สุดการสงั เคราะห์ (termination)
เมือ่ สิ้นสุดการสังเคราะห์จะได้สายพอลเิ พปไทด์ออกมา

 ขนั้ ตอนการเริ่มสงั เคราะหพ์ อลเิ พปไทด์ (initiation)

1. หนว่ ยยอ่ ยขนาดเลก็ ของไรโบโซม (small ribosome 2. หลังจากนน้ั หนว่ ยย่อยขนาดใหญ่ของไรโบโซม
subunit) เข้าจับ mRNA (large ribosome subunit) จะเขา้ มาประกอบกนั
เปน็ ไรโบโซม
ต่อมา tRNA ทีม่ ลี ำดบั เบสคสู่ มกับลำดับเบสของ
mRNA (codon = AUG รหัสเร่มิ ) เข้ามาจบั กบั
mRNA โดยจะนำกรดอะมิโน ชอ่ื “formyl-methionine
(f-met)” เข้ามา

20 | ห น ้ า

 ขน้ั ตอนการต่อสายพอลิเพปไทด์ (elongation)

1. tRNA ที่มี anticodon ตรงกบั
codon ของชุดถดั จากรหสั เร่มิ (start
codon : AUG) จะนำกรดอะมิโนเข้ามา

ไรโบโซมเคล่อื นท่ี
(ribosomal translocation)

3’ 3’
5’ 5’
2. กรดอะมิโนตัวแรกและ
3. ไรโบโซมจะเกดิ การ กรดอะมโิ นตัวทสี่ องจะสร้าง
เคล่อื นท่จี ะทำให้ tRNA พนั ธะเพปไทดเ์ ช่ือมตอ่ กันโดย
หลุดออก ตอ่ มา tRNA ตวั อาศัยเอนไซม์ “peptidyl
ถดั ไปกจ็ ะนำกรดอะมิโนเขา้ มา
transferase”

5’ 3’

- ข้นั ตอนน้ีจะเกิดไปเรือ่ ย ๆ จนกว่าจะเจอรหัสหยุด (stop codon) คอื UAA UAG หรือ UGA

 ขน้ั ตอนการสิ้นสุดการสังเคราะห์ (termination)

1. ไรโบโซมเคลื่อนไปถึงตำแหนง่ ท่ีมี 2. กลุ่มโปรตีนชือ่ Release factor เขา้ มาจบั ทำใหไ้ รโบโซมแยกตวั
รหัสหยดุ (stop codon) = UAA , ออกจากสาย mRNA

UAG , UGA

21 | ห น ้ า

ขอ้ สังเกต
1. รหสั เริ่ม (start codon) = AUG ได้กรดอะมโิ น “formyl-methionine (f-met)”
2. รหัสหยุด (stop codon) = UAA , UAG , UGA ไมไ่ ด้กรดอะมโิ น (เพราะไม่มี tRNA มาจบั )
3. ทิศทางการเคลือ่ นของไรโบโซม = จาก 5’ -> 3’ ของสาย mRNA
ภาพสรุป Translation

ผลติ ภัณฑท์ ีไ่ ด้จากการแปลรหัส (translation) คือ สายพอลเิ พปไทด์ (polypeptide) ซ่ึงอาจเกิด
การพับมว้ นเกิดเป็นโครงสร้างในลักษณะ 3 มติ ิ แล้วอาจประกอบกนั เปน็ โครงสร้างท่ีมีสายพอลิเพปไทด์
มากกวา่ 1 สาย เพ่อื ใหไ้ ดโ้ ปรตนี ท่มี โี ครงสรา้ งเหมาะสมกบั หน้าท่ี

การสังเคราะห์โปรตีนในโพรคาริโอตและยูคาริโอตมีการแปลรหัสโดยใช้ไรโบโซมจำนวนมาก
ทำงานต่อเนอื่ งกนั ไปบนสาย mRNA เดยี วกัน เรยี กไรโบโซมจำนวนมากที่แปลรหัสบน mRNA สายหน่ึง
ๆ วา่ “พอลไิ รโบโซม (polyribosome)” หรอื “พอลโิ ซม (polysome)”

22 | ห น ้ า

แบบทดสอบ Translation

1. ในกระบวนการ transcription มี DNA ภายในนวิ เคลยี สมลี ำดบั เบส ดงั นี้
3’TACTTTGATCCCAACAAAATT5’ (สายแม่แบบ)
5’ATGAAACTAGGGTTGTTTTAA3’
ลำดบั เบส mRNA (codon) **ตอ้ งเรยี งจาก 5’->3’
…………………………………………………………………………………………………
ลำดบั กรดอะมโิ น
…………………………………………………………………………………………………
จำนวนกรดอะมโิ นทีไ่ ด.้ ....................... จำนวนชนิดของกรดอะมโิ น............................
2. ในกระบวนการ transcription มี DNA ภายในนิวเคลยี สมลี ำดับเบส ดังน้ี
3’TACTTTAAACCCTTCTTTAAAATC5’ (สายแมแ่ บบ)
5’ATGAAATTTGGGAAGAAATTTTAG3’
ลำดบั เบส mRNA (codon) **ตอ้ งเรียงจาก 5’->3’
…………………………………………………………………………………………………
ลำดบั กรดอะมิโน
…………………………………………………………………………………………………
จำนวนกรดอะมิโนทไ่ี ด้........................ จำนวนชนดิ ของกรดอะมโิ น............................

23 | ห น ้ า

3. ในกระบวนการ transcription มี DNA ภายในนวิ เคลียสมีลำดับเบส ดังนี้
3’TTTCCCGGGCTGGTCCCCTGCCAT5’
5’AAAGGGCCCGACCAGGGGACGGTA3’ (สายแม่แบบ)
ลำดบั เบส mRNA (codon) **ต้องเรียงจาก 5’->3’
…………………………………………………………………………………………………
ลำดับกรดอะมโิ น
…………………………………………………………………………………………………
จำนวนกรดอะมโิ นทไ่ี ด้........................ จำนวนชนิดของกรดอะมโิ น............................

4. ในกระบวนการ transcription มี DNA ภายในนวิ เคลียสมีลำดับเบส ดังนี้
3’ATCGATCGTACTTTAAACCCTTCTTTAAAATC5’ (สายแม่แบบ)
5’TAGCTAGCATGAAATTTGGGAAGAAATTTTAG3’
ลำดบั เบส mRNA (codon) **ต้องเรยี งจาก 5’->3’
…………………………………………………………………………………………………
ลำดบั กรดอะมโิ น
…………………………………………………………………………………………………
จำนวนกรดอะมิโนทไี่ ด้........................ จำนวนชนิดของกรดอะมโิ น............................

5. ในกระบวนการ transcription มี DNA ภายในนิวเคลยี สมีลำดับเบส ดงั นี้
3’TACTTTGATCCCAACAAAATTTTTGATCCC5’ (สายแมแ่ บบ)
5’ATGAAACTAGGGTTGTTTTAAAAACTAGGG3’
ลำดับเบส mRNA (codon) **ตอ้ งเรยี งจาก 5’->3’
…………………………………………………………………………………………………
ลำดับกรดอะมิโน
…………………………………………………………………………………………………
จำนวนกรดอะมิโนที่ได้........................ จำนวนชนิดของกรดอะมิโน............................

24 | ห น ้ า

สรปุ การควบคมุ การสงั เคราะห์โปรตนี

25 | ห น ้ า

6. มวิ เทชนั

มิวเทชนั (mutation) คอื การเปล่ียนแปลงทางพนั ธุกรรมทเ่ี กดิ ขึน้ ในสง่ิ มชี วี ิต แบง่ ออกเปน็ 2 ระดับใหญ่ ๆ คือ
1) มวิ เทชันระดบั ยนี (gene mutation or point mutation)
2) มิวเทชนั ระดับโครโมโซม (chromosomal mutation)

6.1 มิวเทชนั ระดบั ยีน (gene mutation or point mutation)

1) การเปลย่ี นแปลงแทนที่เบส (base-pair substitution)
➢มีการแทนท่ีคเู่ บสในบางตำแหนง่
➢ผลทีเ่ กิด
- ทำให้รหัสพันธุกรรมเปลย่ี น
- อาจทำใหม้ ีการเปลยี่ นชนิดกรดอะมิโนหรือไม่ก็ได้
- อาจทำให้สายสน้ั ลง
ตัวอย่าง เช่น โรค sickle-cell anemia เป็นโรคที่เกิดจากความผิดปกติของเบสบางตำแหน่ง ซึ่งมีการ

เปลี่ยนแปลงแบบแทนท่ีเบส โดยลำดับเบสในคนปกติจะเป็น CTT ซึ่งทำให้สามารถสร้างกรดอะมิโนกลูทามิก
(Glu) เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงแทนที่เบสจะทำให้เบส T ตำแหน่งที่สองถูกแทนที่ด้วย A ทำให้มีการสร้าง
กรดอะมิโนทเี่ ปลี่ยนไปเปน็ Valine ทำใหเ้ ซลล์เม็ดเลือดแดงไม่สมบูรณ์ เกิดโรค sickle-cell anemia

26 | ห น ้ า

2) การขาดหายไปของนิวคลโี อไทด์ (deletion)

3) การเพิ่มขนึ้ ของนวิ คลีโอไทด์ (insertion)

เพม่ิ เตมิ
➢ Frameshift mutation คือ การเปล่ียนแปลงเพ่มิ ขนึ้ หรือลดลงของนิวคลโี อไทด์ที่ทำใหก้ รอบ

การอ่านเปลยี่ นไปทงั้ สาย ซ่ึงอาจเพ่ิมข้นึ หรอื ลดลง 1-2 นวิ คลีโอไทด์

➢ หากเกิด mutation ในเซลลส์ ืบพันธจ์ุ ะถ่ายทอดได้ ตัวอยา่ งเช่น ในพชื ถา้ หากเกดิ mutation
ท่เี ซลล์ตาข้าง หากเจริญเป็นกิ่งแล้วนำไปปกั ชำจะไดต้ น้ ใหมท่ ่ีพันธุกรรมต่างไปจากเดมิ

➢ตัวอยา่ งโรคทเ่ี กิดจาก gene (point) mutation เชน่
1. ผิวเผือก (Albinism)
2. Thalassemia
3. Phenylketonuria (PKU)
4. Achondroplasia
5. โรคกลา้ มเนอ้ื ออ่ นแรง ดเู ชนน์ (Duchenne Muscular Dystrophy)

27 | ห น ้ า

สาเหตทุ ี่ทำใหเ้ กิดมิวเทชันระดับยีน (gene mutation or point mutation)
➢ ความผิดพลาดในการสังเคราะห์ DNA ในการจำลอง DNA
➢ ชักนำใหเ้ กดิ โดยใช้ “มิวทาเจน (mutagen)”
- รังสตี า่ ง ๆ เช่น รงั สีเอกซ์ รงั สีแกมมา UV
- สารเคมี เชน่ ควนั บหุ ร่ี Aflatoxin จากรา

**ถ้าหาก mutagen ทำให้เกดิ มะเรง็ จะเรียกว่า Carcinogen

ประโยชนก์ ารชกั นำให้เกิด mutation เฉพาะจุด
ตัวอย่าง การศึกษาบทบาทของโปรตีน โดยการชักนำใหเ้ กดิ mutation เฉพาะจุด ของ

อะราบิดอพซิส (Arabidopsis thaliana L.) แล้ววิเคราะห์บทบาทหน้าทีโ่ ปรตนี

6.2 มิวเทชันระดับโครโมโซม (chromosomal mutation)

6.2.1 การเปลี่ยนแปลงรูปร่างหรอื โครงสรา้ งของโครโมโซม

1) การขาดหายของโครโมโซม - อาจทำให้เกิดโรคทางพนั ธกุ รรม เช่น
กลุม่ อาการคริดชู าต์ (Cri-du chat or Cat cry syndrome syndrome)

- ส่วนของแขนข้างสัน้ ของโครโมโซมค่ทู ี่ 5 ขาดหาย
- หวั เลก็ หนา้ กลม ตาหา่ งเฉยี ง ใบหตู ำ่ จมูกแบน สายเสียงผดิ ปกติ
รอ้ งเสียงแหลมคลา้ ยแมว
- พบในหญงิ มากกว่าชาย

2) การเพมิ่ ขนึ้ บางสว่ นของโครโมโซม (duplication)
3) การเปลี่ยนทศิ ของโครโมโซม (inversion)
4) การย้ายชิ้นสว่ นของโครโมโซม (Translocation)

28 | ห น ้ า

6.2.2 การเปล่ียนแปลงจำนวนโครโมโซม

1) การเปลี่ยนแปลงชุดโครโมโซม (Euploidy)
- อาจเปน็ การเพ่ิม (2n → 4n) หรือลดลงของโครโมโซมทั้งชดุ (2n → n)

** จำนวนชุดโครโมโซมมากกว่า 2n เรียก Polyploid
2) การเปลีย่ นแปลงจำนวน 1 หรอื 2 แท่ง (Aneuploidy)

- จาก 44 + XX → 45+XX
เพมิ่ เตมิ

➢การเปลย่ี นแปลงจำนวนโครโมโซมในพชื ซึ่งทำให้มีจำนวนชดุ โครโมโซมเพ่ิมขึน้ อาจเป็นผลดี เชน่
- มผี ลผลติ หรือสารบางอยา่ งมากข้ึน เชน่ ขา้ วโพดพนั ธ์ุ 4n มีวติ ามนิ สงู มากกว่าพนั ธ์ุ 2n

➢พวกทเี่ ป็น polyploid เลขคู่ (4n , 6n ..) สามารถสืบพนั ธถ์ุ า่ ยทอดไปยังรุน่ ต่อไปได้
➢พวกท่เี ปน็ polyploid เลขค่ี (3n , 5n ..) จะเปน็ หมัน จงึ เอามาพัฒนาสายพนั ธไ์ุ ร้เมลด็

ตวั อยา่ งโรคท่ีเกิดจากการเปล่ยี นแปลงจำนวนโครโมโซม

 กลุ่มอาการดาวน์ (Down syndrome or Trisomy 21)
➢จำนวนโครโมโซมคูท่ ่ี 21 เกินมา 1 แท่ง (47, +21 or Trisomy 21) เกดิ จาก nondisjunction
➢เตี้ย ตาห่าง หางตาชี้ ลิ้นคบั ปาก ลายน้ิวมือผิดปกติ มคี วามบกพรอ่ งทางสตปิ ัญญา

29 | ห น ้ า

 กล่มุ อาการ Trisomy 13 หรือ พาทวั ซินโดรม (Patua syndrome)
 กล่มุ อาการ trisomy 18 หรอื Edward syndrome
 Turner syndrome (45, XO)

30 | ห น ้ า

 XYY syndrome (47, XYY)
 Klinefelter’s syndrome (47,XXY or 48,XXXY …)
 XXX syndrome (47,XXX)

31 | ห น ้ า

32 | ห น ้ า

1. พนั ธุศาสตรข์ องเมนเดล

เกรเกอร์ โยฮัน เมนเดล (Gregor Johann Mendel) ได้ศึกษารูปแบบการ
ถา่ ยทอดลักษณะทางพันธุกรรมของถั่วลันเตาจากรุ่นสู่รนุ่ ซ่งึ ในขณะนั้นยังไม่มีการ
ค้นพบโครโมโม ดีเอ็นเอ หรือยีน จนสามารถสรุปและวิเคราะห์แล้วเสนอเป็น
หลักการพื้นฐานของพันธุศาสตร์ 2 ข้อ คือ กฎการแยก และกฎการรวมกลุ่ม
อยา่ งอสิ ระ เพ่ืออธบิ ายกระบวนการถ่ายทอดหน่วยควบคุมลักษณะทางพันธุกรรม
จากรุ่นสรู่ ุ่น จนไดร้ ับการยอมรับให้เป็นบิดาแหง่ วิชาพนั ธศุ าสตร์
 เมนเดลเลือก ถ่ัวลนั เตา (Pisum sativum L.) เปน็ พชื ทดลอง
 ถวั่ ลันเตามีลกั ษณะเหมาะสม เปน็ พชื ทดลอง ดังน้ี

อายุสน้ั
ปลกู ง่าย
ให้ลกู หลานจำนวนมาก
เจรญิ เติบโตเร็ว
มีหลายพันธ์ุ มลี ักษณะที่แตกต่างกันอย่างชดั เจนสามารถเลอื กลกั ษณะทางพันธุกรรมมาศึกษาไดง้ ่าย
เป็นดอกสมบูรณ์เพศมีกลีบดอกท่ปี กปิดมิดชิด

 มกี ารผสมภายในดอกเดยี วกัน (self-fertilization) ได้ลกู สายพันธุ์แท้ (pure line)
 ควบคุมให้เกิดการผสมข้ามต้น (cross-fertilization)

33 | ห น ้ า

2. การทดลองของเมนเดล

 เมนเดลคัดเลือกลักษณะของถ่ัวลนั เตา 7 ลักษณะ  ทำการผสมภายในดอกเดียวกันหลายๆรุ่น
ทแ่ี ตกต่างกนั อยา่ งชัดเจน ไดแ้ ก่ จนแนใ่ จว่าทุกลักษณะเปน็ พันธแุ์ ท้ (pure line)

1. ความสูงของลำต้น
2. รปู ร่างของฝัก
3. รปู รา่ งของเมลด็
4. สีของเมล็ด
5. ตำแหนง่ ของดอก
6. สขี องดอก
7. สีของฝัก

 พจิ ารณาลกั ษณะต่าง ๆ ของตน้ พอ่ และต้นแม่ แลว้ คัดเลือกต้นพ่อและต้นแมท่ ีม่ ีลักษณะแตกต่างกัน เช่น
สขี องฝัก หรือสเี มลด็

 ทดลองผสมพันธ์ุถ่ัวลนั เตาโดยพิจารณาทลี ะลกั ษณะ แล้ววิเคราะห์ขอ้ มูลลักษณะของรุ่นลกู หลานทเ่ี กิดข้ึน

ตัวอย่างการผสมถั่วลันเตาโดยพจิ ารณาสีฝกั

ตัวอย่างการผสมถั่วลันเตาโดยพจิ ารณาสีเมลด็

34 | ห น ้ า

 อัตราส่วนระหว่างต้นท่ีออกเมล็ดสเี หลอื งกับต้นท่ีออกเมล็ดสเี ขียวของรนุ่ F2 เป็น 3.01 : 1
ผลการทดลองของเมนเดล

 จากผลการทดลองผสมลักษณะอื่น ๆ ของถั่วลนั เตา ตน้ ถว่ั ในรุ่น F2 ล้วนมอี ัตราสว่ นเปน็ 3 : 1
โดยประมาณ
 ลักษณะทปี่ รากฏในรนุ่ F1 เปน็ ลักษณะเด่น (dominant trait)
 ลกั ษณะที่ไม่แสดงออกในรุ่น F1 แตแ่ สดงออกในรุ่น F2 เปน็ ลักษณะดอ้ ย (recessive trait)

35 | ห น ้ า

จากผลการทดลอง ฉันสรุปไดว้ ่า “ลักษณะต่าง ๆ ของถั่วลันเตามีหน่วยที่
ควบคมุ ลักษณะเหลา่ น้ันและถ่ายทอดได้ เรียก แฟกเตอร์ (factor)”
ภายหลังเรียกเฟคเตอรว์ า่ “ยีน (gene)”

อักษรภาษาองั กฤษตวั พิมพ์ใหญ่ แทน ยีนเด่น
อักษรภาษาอังกฤษตวั พิมพ์เล็ก แทน ยีนดอ้ ย

**ยนี ดอ้ ยจะไม่แสดงออกเมื่อเขา้ คู่กบั ยนี เด่น

 ยีนที่เขา้ คู่กนั จะอยู่บนฮอมอโลกัสโครโมโซมตำแหน่งเดียวกนั เรียกว่า ยนี นั้นเป็น แอลลนี (allele) กัน
เช่น ยนี G เป็นแบบยีนเขา้ คูก่ บั G หรือ g ดังนัน้ ยีน G และ g จะเป็นแอลลีลตอ่ กัน
 โครโมโซมท่ีเป็นคู่กนั จะมีลกั ษณะเหมือนกนั มีตำแหนง่ ยนี ท่เี ป็นคู่กันอยูต่ รงกัน เรียกโครโมโซมนีว้ า่
ฮอมอโลกสั โครโมโซม (homologous chromosome)
 ตำแหน่งของยนี ทีอ่ ยบู่ นโครโมโซมเรยี กว่า โลคัส (locus)

จากภาพจะไดว้ ่า
Y เป็นสญั ลักษณ์ของยีนควบคมุ ลกั ษณะฝกั สีเขียวซ่ึงเป็นยีนเด่น
y เปน็ สัญลักษณ์ของยนี ควบคมุ ลกั ษณะฝักสีเหลอื งซ่ึงเป็นยนี ดอ้ ย

ยนี มีโอกาสเขา้ คูก่ ันได้ 3 แบบ
YY - เมล็ดสีเขียว
Yy – เมล็ดสีเขียว
yy - เมลด็ สีเหลือง

 ตวั อกั ษรทเ่ี ป็นสญั ลักษณ์แทนยนี ที่อยู่ด้วยกนั เปน็ คู่ เรียก จีโนไทป์ (genotype)
เช่น YY, Yy, yy

36 | ห น ้ า

 ลกั ษณะที่ปรากฏซ่ึงเปน็ การแสดงออกของยีน เรียก ฟโี นไทป์ (phenotype)
เชน่ เมล็ดสีเขยี ว เมล็ดสีเหลอื ง

จโี นไทป์ (genotype)
 YY และ yy สภาพนเ้ี รียกวา่ ฮอมอไซกัสจีโนไทป์ (homozygous genotype) หรอื พันธุ์แท้
YY = ฮอมอไซกสั โดมแิ นนท์ (homozygous dominant)
yy = ฮอมอไซกัสรเี ซสสีฟ (homozygous recessive)
 Yy เป็นสภาพที่มี 2 แอลลีลทต่ี ่างกัน จะเรยี กว่า เฮเทอโรไซกสั จีโนไทป์ (heterozygous genotype)

หรอื ลูกผสม (hybrid)

37 | ห น ้ า

3. ความน่าจะเปน็

ความน่าจะเปน็ (probability) คือ อัตราส่วนของจำนวนผลลพั ธ์ของเหตุการณ์ต่อจำนวนผลลัพธท์ ้งั หมดท่ี
อาจจะเกิดขน้ึ ได้

ความนา่ จะเป็น = เหตุการณท์ เ่ี ราสนใจ
เหตุการณ์ทเี่ กิดขน้ึ ท้งั หมด

ตัวอย่าง การโยนเหรยี ญ 1 เหรียญ 1 คร้ัง
โอกาสออกหัว = 1/2 = 0.5
โอกาสออกก้อย = 1/2 = 0.5

ตวั อย่าง การทอยลูกเต๋า 1 ลูก 1 ครงั้
โอกาสออกแตม้ 1 = 1/6
โอกาสออกแตม้ 2 = 1/6
โอกาสออกแต้ม 3 = 1/6
โอกาสออกแต้ม 4 = 1/6
โอกาสออกแต้ม 5 = 1/6
โอกาสออกแตม้ 6 = 1/6

การหาความน่าจะเปน็ ของเหตการณ์มากกวา่ 2 เหตกุ ารณ์ขึ้นไป สามารถหาได้ดงั น้ี

3.1 กฎการบวก

- ใชก้ ับเหตุการณ์ท่ีไมส่ ามารถเกิดพร้อมกันได้
- ความนา่ จะเป็น = ผลบวกของโอกาสที่เกิดในแต่ละเหตกุ ารณ์
- ความน่าจะเปน็ = เหตุการณ์ท่ี 1 + เหตุการณท์ ี่ 2 + เหตุการณ์ท่ี 3 + …
ตวั อย่าง
1. จงหาโอกาสทโี่ ยนลูกเตา๋ 1 ครงั้ โอกาสทีจ่ ะไดเ้ ลข 1 หรือเลข 4 เปน็ เท่าใด
…………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………....
2. จงหาโอกาสท่โี ยนลูกเต๋า 1 คร้งั โอกาสทจ่ี ะได้เลข 1 หรอื เลข 4 เป็นเท่าใด
…………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………....

38 | ห น ้ า

3.2 กฎการคูณ

- ใช้กบั เหตกุ ารณ์ทมี่ ีอิสระต่อกัน สามารถเกิดขนึ้ ไดพ้ รอ้ มกนั
- ความน่าจะเปน็ = ผลคูณของเหตุการณ์ทีเ่ กิดข้นึ
- ความนา่ จะเป็น = เหตุการณท์ ่ี 1 X เหตกุ ารณ์ที่ 2 X เหตุการณ์ที่ 3 X …

ตัวอย่าง
1. โยนเหรียญ 2 เหรียญพร้อมกัน จงหาโอกาสที่ออกหวั และกอ้ ยพร้อมกัน
…………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………....
2. โยนลูกเต๋า 2 พรอ้ มกัน จงหาโอกาสที่ออกเลข 1 และ 2 พร้อมกัน โดยไมค่ ำนึงลำดบั
…………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………....
3. โยนลูกเต๋า 2 พรอ้ มกัน จงหาโอกาสท่ีออกเลข 2 และ 6 พร้อมกนั โดยไม่คำนึงลำดับ
…………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………....
4. ถ้าครอบครัวหนึ่งวางแผนจะมีลูก 2 คน โอกาสที่ครอบครวั นมี้ ีลกู คนที่ 1 และคนที่ 2 เปน็ เพศชายเปน็ เท่าใด
…………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………....
5. ถา้ ครอบครวั หนง่ึ ต้องการมีลูก 3 คน โอกาสทคี่ รอบครัวนมี้ ีลูกคนท่ี 1 ชาย ลูกคนที่ 2 เป็นหญิง

และลูกคนที่ 3 เปน็ หญิง มโี อกาสเท่าใด
…………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………....
6. ถงุ ใบท่ี 1 ใส่ลูกบอลสีแดง สเี ขยี ว และสีเหลือง และถงุ ใบที่ 2 ใส่ลกู บอลสแี ดง สีเขียว และสเี หลือง เชน่ กัน

6.1) จงหาโอกาสทถ่ี ุงท่ี 1 จะหยบิ ลูกบอลไดส้ ีแดง และถุงท่ี 2 หยบิ ได้ลกู บอลสีเหลือง
…………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………....

6.2) จงหาโอกาสที่หยบิ ไดล้ ูกบอลสีเขียวหรือแดงจากถุงท่ี 1 และหยบิ ได้ลูกบอลสเี หลอื งหรือเขยี วจาก
ถงุ ที่ 2
…………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………....

39 | ห น ้ า

7. จงใช้ภาพตอ่ ไปนต้ี อบคำถามตอ่ ไปนี้
7.1) จงหาอัตราส่วนฟีโนไทป์ สเี หลอื ง : สเี ขยี ว

…………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………....

7.2) ในรุ่น F2 มโี อกาสเกิดเมล็ดสีเหลอื ง เท่าใด
…………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………....

7.3) ในรุน่ F1 มโี อกาสเกิดเมล็ดสีเขียว เท่าใด
…………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………....

7.4) ในรุ่น F1 มโี อกาสเกดิ เมลด็ สีเหลอื ง หรอื สีเขยี ว เท่าใด
…………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………....
8. เมลด็ กลมมโี อกาสปรากฏ = 3/4

เมล็ดขรขุ ระมโี อกาสปรากฏ = 1/4
เมล็ดสีเหลืองมีโอกาสปรากฏ = 3/4
เมล็ดสีเขียวมโี อกาสปรากฏ = 1/4

8.1) โอกาสเกดิ เมล็ดกลม-สีเหลอื ง เปน็ เท่าใด
…………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………....

8.2) โอกาสเกิดเมลด็ กลม-สีเขยี ว เปน็ เท่าใด
…………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………....

8.3) โอกาสเกดิ เมล็ดขรุขระ-สีเหลอื ง เป็นเท่าใด
…………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………....

8.4) โอกาสเกดิ เมล็ดขรุขระ-สีเขยี ว เป็นเทา่ ใด

…………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………....

40 | ห น ้ า

4. กฎของเมนเดล

4.1 กฎแห่งการแยก (Law of Segregation)

“ยีนทอี่ ย่เู ป็นคู่จะแยกออกจากกันในระหว่างสร้างเซลลส์ บื พนั ธ์ุ โดยเซลล์สืบพันธ์ุแต่ละเซลลจ์ ะได้รับเพยี ง
แอลลีลใดแอลลีลหนึ่ง”
* ยีนท่ีอยู่เป็นค่กู ัน จะแยกออกจากกนั ตามกฎแห่งการแยกในการแบ่งเซลลแ์ บบไมโอซิส ในไมโอซิส I
ในระยะ Anaphase I

Meiosis ระยะ Meiosis I
(Anaphase I)

รุ่น F1 สร้าง Sperm และ egg ได้กี่แบบ อะไรบา้ ง
Sperm 2 แบบ คือ G และ g
Egg 2 แบบ คือ G และ g

4.2 กฎการรวมกลุ่มอย่างอสิ ระ (Law of independent assortment)

“ยนี ที่อยเู่ ปน็ คู่กัน เม่ือแยกออกจากกันแล้ว จะจบั กลุม่ อย่างอิสระกับยีน ซึง่ แยกออกจากคูเ่ ช่นกัน เพือ่ เข้า
สู่เซลล์สบื พันธ์ุ”

41 | ห น ้ า

ตารางพนั เนตต์ (Punnett Square)
การผสมพนั ธ์ุโดยพิจารณาลักษณะใดเพยี งลักษณะหน่งึ เรียกว่า การผสมพิจารณาลักษณะเดยี ว

(monohybrid cross)
การผสมพนั ธ์โุ ดยพิจารณา 2 ลกั ษณะพรอ้ ม ๆ กนั เรียกวา่ การผสมพิจารณาสองลักษณะ

(dihybrid cross)

42 | ห น ้ า

แบบฝึกหดั

1. จงเติมจีโนไทป์ของเซลล์ร่างกาย สภาพของจโี นไทป์ แบบของยนี ในเซลล์สบื พันธ์ุ และโอกาสของหารเกิดเซลล์

สืบพนั ธุ์แต่ละแบบ ลงในตารางต่อไปนใี้ ห้สมบรู ณ์

จโี นไทป์ของเซลลร์ ่างกาย สภาพของจีโนไทป์ แบบของยีนในเซลล์สบื พันธุ์ และ

โอกาสของหารเกิด

WW W (1)

Heterozygous W (1/2) และ w (1/2)

Tt

aa a (1)

2. จากแผนผงั แสดงการสร้างเซลล์สบื พนั ธุ์ (gamete) และการปฏสิ นธิของส่ิงมีชีวิตที่มี genotype ดังกำหนด

ข้ันตอน ส่งิ มีชวี ติ หมายเลข A ส่งิ มชี ีวิตหมายเลข B

I AABb AaBB

II A,B,C A,a,B

III AB, Ab AB, aB

เซลลท์ ี่ไดจ้ ากการปฏสิ นธิ

AABB , AaBB , AABb , AaBb

2.1) ขน้ั ตอนใดสัมพันธ์กบั กฎการแยกของเมนเดล............................................
2.2) ขนั้ ตอนใดสัมพนั ธก์ บั กฎการรวมกลมุ่ อยา่ งอิสระของเมนเดล.......................................

3. ถั่วลนั เตาเมล็ดสีเหลอื งเป็นลกั ษณะเดน่ ต่อลักษณะเมลด็ สีเขียว ในการผสมในดอกเดียวกนั ของต้น
ทม่ี ลี ักษณะเมล็ดเหลืองท่เี ปน็ heterozygous ทัง้ คู่ จงหารอ้ ยละของรุ่นลูก F1 ท่มี ีลกั ษณะเมล็ดสี
เขยี ว

…………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………....
4. ในแมลงหวี่กำหนดให้ A เปน็ ยนี ควบคมุ ลกั ษณะปีกยาว และ a เป็นยีนทีค่ วบคมุ ลักษณะปีกสั้น เมื่อผสมแมลง
หวปี่ กี ยาวและปีกสั้นได้ลกู ท่ีมปี กี ยาวและลกู ทีม่ ีปีกส้ันในอตั ราส่วน 1 : 1 จงหาจีโนไทป์ของพ่อแม่
…………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………....

43 | ห น ้ า

5. นำกระต่ายขนสีดำทเ่ี ปน็ homozygous ผสมกับกระตา่ ยขนสนี ้ำตาล ปรากฏวา่ ลูกท่เี กิดมามีขนสีดำทั้งหมด
(สมมติให้ B และ b แทนอัลลีลคหู่ น่ึงที่ควบคุมลกั ษณะสีขน)
…………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………....
5.1) จโี นไทปข์ องรุ่น F1 มีสภาพเปน็ homozygous หรือ heterozygous
…………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………....

5.2) ถ้านำรุน่ F1 ผสมกันเอง โอกาสที่รุ่น F2 จะมีจโี นไทปไ์ ดก้ ี่รปู แบบ อะไรบา้ ง

…………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………....
5.3) ถ้านำรนุ่ F1 ผสมกับรุ่นพ่อแม่ทม่ี ีขนสีน้ำตาล ลูกที่ไดจ้ ะมีขนสีอะไรบ้าง ในอัตราส่วนเทา่ ใด
…………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………....
6. ถ้า N แทนยีนท่ีควบคุมลักษณะปกี ปกติของแมลงหว่ี และ n แทนยีนท่ีควบคุมลักษณะปกี สนั้ ในการผสมพันธุ์
แมลงหว่ปี ีกปกติคู่หนึ่ง ปรากฏว่ารุน่ ลกู จำนวน 123 ตวั มีปกี ปกติ และมปี กี ส้ัน 33 ตัว
6.1) จงเขียนจโี นไทป์ของแมลงหวใ่ี นรุ่นพอ่ แม่
…………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………....
6.2) เมอ่ื นำแมลงหวป่ี ีกส้นั รุ่นลูก ผสมกับแมลงหว่ีปกี ปกติร่นุ พอ่ แม่ จะไดล้ ูกที่มีลกั ษณะปกี เป็นอยา่ งไร คิดเปน็
อัตราส่วนเท่าใด
…………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………....
7. กำหนดให้ A เปน็ ยนี ที่ควบคมุ ดอกสีแดง a เปน็ ยนี ท่ีควบคุมดอกสีขาว และ B เปน็ ยนี ทค่ี วบคมุ ลำต้นสงู b
เป็นยนี ทีค่ วบคุมลำต้นเตย้ี จงหาจีโนไทป์และฟโี นไทป์ทั้งหมดของการผสมระหว่าง AaBb x AaBb
…………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………....

8. จากการผสมพนั ธ์ุระหว่างพืชท่ีมจี ีโนไทป์ AABBrr x aabbrr ถ้าการจัดกล่มุ ของยนี แต่ละคเู่ ป็นไปอยา่ งอิสระ
8.1) รุน่ F1 มีจโี นไทปเ์ ปน็ อยา่ งไร
…………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………....

44 | ห น ้ า

8.2) โอกาสท่ีจะไดร้ ุ่น F2 ทม่ี ีจีโนไทป์ aabbrr เปน็ เท่าใด
…………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………....
9. โอกาสทรี่ ุน่ F2 มีจโี นไทป์เหมอื นพ่อแมเ่ ป็นเท่าใด
…………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………....
10. มะเขือเทศผลสีแดงเปน็ ลักษณะเด่น (R) ผลสเี หลืองเป็นลักษณะด้อย (r) และต้นสูงเป็นลักษณะเด่น (T)
และ ต้นเต้ยี เปน็ ลักษณะด้อย (t) เมื่อนำมะเขือตน้ หน่งึ ที่มีจโี นไทป์ RrTT ผสมพันธุ์กับ rrTt จงหาอัตรสว่ นฟีโน
ไทปจโี นไทป์ของลูก
…………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………....
11. ในการผสมตัวเองของพืชทม่ี จี โี นไทป์ AaBbCcdd ถ้าการจัดกลุ่มของยีนแต่ละคูเ่ ป็นไปอย่างอสิ ระ สดั สว่ น
ของลูกที่เปน็ homozygous ของยีนท้ัง 4 ตำแหนง่ มคี ่าเป็นเท่าใด
…………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………....
12. ในฟกั ชนิดหน่ึง ลักษณะผลสขี าว (Y) เป็นลักษณะเด่นของผลสีเหลอื ง (y) และผลแบน (S) เป็นลักษณะเดน่
ต่อผลกลม (s) ในการผสมพนั ธ์ฟุ ักสีขาว แบน และฟักสขี าว กลม ได้ลูกดงั น้ี

สขี าว แบน 38 ผล
สขี าว กลม 40 ผล
สเี หลอื ง แบน 13 ผล
สเี หลอื ง กลม 12 ผล
จงหาจีโนไทป์ของพ่อและแม่
…………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………....
…………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………....

45 | ห น ้ า

5. การผสมเพ่อื ทดสอบ (Testcross)

การผสมทดสอบ เปน็ การนำส่งิ มชี วี ติ ที่มลี ักษณะเด่นไปผสมกบั สิ่งมีชวี ิตทีม่ ลี ักษณะดอ้ ย (tester) เพ่อื ตรวจสอบ
จีโนไทปข์ องสิง่ มีชีวิตท่ีมลี กั ษณะเด่นนนั้ ว่าเปน็ homologous หรือ heterozygous

ตัวอย่าง เช่น หากต้องการทราบว่ากระต่ายสดี ำซง่ึ เป็นลกั ษณะเด่นมีจีโนไทป์เปน็ homozygous หรือ
heterozygous จะตอ้ งนำกระตา่ ยสีดำตวั นไ้ี ปผสมกบั กระต่ายทม่ี ีลักษณะด้อย (dd) แลว้ ตรวจสอบอัตราส่วนของ
ลกั ษณะฟีโนไทป์ทป่ี รากฏออกมาของลูก

หากกระตา่ ยสีดำ (ลักษณะเด่น) มจี ีโนไทป์เป็น หากกระต่ายสีดำ (ลักษณะเด่น) มจี โี นไทป์เปน็
homozygous แล้ว ลกู ที่เกิดมาทั้งหมดจะแสดง heterozygous แล้ว ลูกทเ่ี กดิ มาจะมที ั้งสีดำ (ลักษณะ
ลกั ษณะเด่นท้งั หมด (แสดงลักษณะสีดำ; Dd)
เดน่ ; Dd) และสนี ำ้ ตาลซ่ึเป็นลกั ษระด้อย (dd)

6. การผสมกลับ (backcross)

เป็นการนำลูกผสมไปผสมพันธุก์ บั พ่อพันธ์ุหรือแม่พันธ์ุ เพอื่ ปรบั ปรงุ พันธุ์พชื หรือสตั ว์ใหม้ ลี ักษณะ
ตามต้องการ

46 | ห น ้ า

7. ลักษณะทางพันธกุ รรมท่ีเป็นสว่ นขยายของเมนเดล

1. การขม่ ไมส่ มบูรณ์ (incomplete dominance)

เป็นการแสดงออกของ gene ที่เป็น gene เด่นไม่สามารถข่ม gene ด้อยได้อย่างสมบูรณ์ ทำให้มีการ
แสดงออกของ gene ทงั้ สองแบบเปน็ ผสมกันหรือเป็นแบบกลาง ๆ ระหว่างสองลกั ษณะ เชน่ สดี อกลนิ้ มังกร

ตัวอยา่ ง สดี อกของลน้ิ มังกร ตัวอย่าง ลักษณะผมหยิก

2. การขม่ รว่ มกนั (codominance)

การแสดงออกของ gene ท่ีไม่มี gene ใด gene หน่งึ เด่นกวา่ อกี gene หนง่ึ จึงไมม่ ีการข่มการ
แสดงออกของ gene ทัง้ สอง แต่ gene ทง้ั สองมีการแสดงออกไดเ้ ท่า ๆ กัน มีการแสดงออกของลักษณะเกิดข้ึน
ท้งั สองลักษณะ เชน่ หม่เู ลือด MN และหมู่เลือด AB

3. มลั ติเปิลอลั ลีล (multiple allele)

47 | ห น ้ า

เป็นการควบคุมลักษณะท่ถี ูกควบคุมดว้ ยยีนโลคัสเดยี ว (single locus) แตม่ ีอัลลลี มากกวา่ 2 แบบ
หมู่เลือด ABO

- มยี นี ควบคุม 3 อลั ลลี คือ IA IB i

สขี นของกระตา่ ย

แบบทดสอบ

48 | ห น ้ า

1. ในการผสมพันธุร์ ะหวา่ งวัวพนั ธุ์แท้ขนสีแดงเพศผกู้ บั วัวพันธุแ์ ทข้ นสีขาวเพศเมียจะไดร้ ุ่น F1 มีขนสีโรน (roan)
ทั้งหมด ลักษณะขนสโี รน คือ แต่ละเส้นจะมีขนสขี าวและสีแดงอยู่ด้วยกนั

1.1) เม่ือรุ่น F1 ผสมพันธก์ุ ันเอง จงหาโอกาสของรุ่น F1 ทมี่ ขี นสีเหมอื นพ่อแม่
............................................................................................................................................................................
............................................................................................................................................................................
............................................................................................................................................................................
1.2) จงอธิบายการแสดงออกของยีนทค่ี วบคุมสขี นในวัวได้ว่าอยา่ งไร
............................................................................................................................................................................
............................................................................................................................................................................
............................................................................................................................................................................
2. ในการผสมพันธุ์ต้นลนิ้ มงั กรลักษณะใบกวา้ งมากพันธ์แุ ทก้ บั ลักษณะพนั ธุ์ใบแคบแทอ้ ถา้ ลกั ษณะขนาดใบของลิน้ มงั กร
เปน็ ลกั ษณะทีค่ วบคุมด้วยยนี เพยี งโลคัสเดยี ว และยนี ท่ีควบคมุ เปน็ ยนี ลักษณะขม่ ไม่สมบรู ณ์ จงหาอัตราส่วนฟโี นไทป์
ในรนุ่ F2
............................................................................................................................................................................
............................................................................................................................................................................
............................................................................................................................................................................
............................................................................................................................................................................
3. ครอบครัวหน่ึงมีบุตร 4 คน ซ่ึงมีหมู่เลอื ด A B AB และ O ตามลำดบั จงหาวา่ พ่อและแม่มหี มู่เลอื ดใดและ
มีจีโนไทป์แบบใด
............................................................................................................................................................................
............................................................................................................................................................................
............................................................................................................................................................................
4. หมู่เลือดระบบ ABO ถกู ควบคุมโดยอลั ลลี IA IB และ i จงหาชนดิ และอัตราส่วนของหมเู่ ลือดของลูกที่เกดิ ที่เกิด
จากพอ่ และแมท่ ่ีมจี ีโนไทป์ ดงั ตอ่ ไปนี้

4.1) IA i x IB IB
............................................................................................................................................................................
............................................................................................................................................................................
............................................................................................................................................................................
4.2) IA IB x i i
............................................................................................................................................................................
............................................................................................................................................................................
............................................................................................................................................................................
5. หญงิ 2 คนเป็นแฝดท่เี กิดจากไขใ่ บเดียวกนั แฝดคนพี่แต่งงานกับสามหี มู่เลอื ด A มลี ูกหมู่เลือด O ส่วนแฝดคน
น้องแต่งงานกับสามีหมู่เลอื ด B มลี กู หมู่เลอื ด AB จงหาจีโนไทป์และหมู่เลือดของหญิงฝาแฝดคู่นี้
............................................................................................................................................................................
............................................................................................................................................................................
............................................................................................................................................................................
............................................................................................................................................................................
4. ลักษณะทีค่ วบคมุ ด้วยยนี หลายคู่ (polygene)

49 | ห น ้ า

ลักษณะที่ควบคมุ ดว้ ยยีนหลายคู่ (polygene หรือ polygenic trait หรือ multiple gene) เปน็ ลกั ษณะทาง
พันธุกรรม หนึ่งลักษณะถกู ควบคุมด้วยยีนหลายคู่ทมี่ ตี ำแหนง่ บนโครโมโซมแตกต่างกัน ซ่งึ อาจจะอยบู่ น
homologous chromosome เดียวกันหรอื ต่างกนั ก็ได้
ตัวอย่าง
สขี องม่านตา

ยนี เด่น (A และ B) →สร้างสารสีเมลานิน
ยนี เดน่ มีจำนวนมาก →สรา้ งสเี มลานนิ มาก

สผี วิ

50 | ห น ้ า


Click to View FlipBook Version