The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

เอกสารประกอบการสอนชีววิทยา_2

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by phakawat4444, 2022-04-08 12:08:52

E-Book ชีววิทยา ม.4 เทอม 2

เอกสารประกอบการสอนชีววิทยา_2

Polygene (multiple gene หรอื polygenic trait)
 ลักษณะจะแตกตา่ งกันแคเ่ ล็กนอ้ ยและลดล่ันกันไป
 ฟีโนไทป์มีการกระจายอย่างตอ่ เนอื่ ง / กระจายแบบปกติ
*** โดยลกั ษณะข้างต้นท่ถี ูกควบคมุ ด้วยยนี หลายคู่ จะเรยี กวา่ “ลักษณะทางพนั ธุกรรมท่มี ีการแปรผัน

ต่อเนอื่ ง (continuous variation trait)” ซงึ่ เปน็ ลกั ษณะเชิงปรมิ าณ (quantitative trait) ส่ิงแวดลอ้ มจะมีอทิ ธิพล
สงู มากตอ่ ลักษณะแบบนี้ และมักตรวจวัดทางปรมิ าณโดยใชเ้ ครอื่ งมือได้ เช่น ความสูง น้ำหนัก
เพิม่ เติม ลักษณะเชงิ คุณภาพ (quantitative trait) - ลักษณะแปรผันไม่ต่อเน่อื ง

 ควบคมุ ดว้ ยยีน 1 ยีน/ ลกั ษณะตา่ งกันชัดเจน เชน่ ลักย้ิม ต่งิ หู จำนวนช้นั ตา

ลกั ษณะที่ต่างกนั อาจถูกควบคมุ ด้วยยีนหลายยีน หรอื ยนี เดยี ว เรยี กความแตกตา่ งนี้วา่
ความแปรผนั ทางพนั ธุกรรม (genetic variation)
5. การถ่ายทอดยีนบนโครโมโซมเพศ
การถ่ายทอดยีนทีเ่ ก่ยี วเนือ่ งกับเพศ เรยี กวา่ Sex - linked Inheritance โดยถ่ายทอดผา่ นยีนที่อยบู่ นโครโมโซมเพศ
เรยี กวา่ Sex - linked gene

5.1) ยีนด้อยบนโครโมโซม X (X- linked recessive gene)

51 | ห น ้ า

 ยนี ดอ้ ยอยบู่ นโครโมโซม X

 โอกาสในการแสดงออกของยีนในเพศชายมีมากกว่าเพศหญิง เพราะ มยี นี ด้อยเพยี งตวั เดียวก็แสดงลกั ษณะ

 ตวั อย่างของโรคทถี่ ูกควบคุมด้วยยนี ดอ้ ยบนโครโมโซม X

- ตาบอดสี - ฮโี มฟเี ลีย (Hemophilia)

- โรคกลา้ มเน้อื อ่อนแรงแบบดเู ชน - โรคพาวะพรอ่ งเอนไซม์ G-6-PD

- สตี าแมลงหว่ี

ตวั อย่างโรคตาบอดสี

5.2) ยนี เดน่ บนโครโมโซม X ( X- linked dominance) พบได้นอ้ ย เชน่ ลกั ษณะมนษุ ยห์ มาป่า
(ผหู้ ญิง › ผู้ชาย) เพราะทั้งพนั ธุ์แทแ้ ละพนั ธุท์ างก็แสดงออกได้ ลักษณะจีโนไทป์ คือ โรคมนษุ ย์หมาปา่

5.3) ยีนบนโครโมโซม Y (Y- linked gene) ถ่ายทอดระหว่างผูช้ ายในครอบครัวเท่าน้นั เชน่ ลักษณะมีขนท่ีใบ
หสู ว่ นล่างของชายอนิ เดยี คือ ถ่ายทอดจากป่ไู ปสู่พ่อ จากพ่อไปสู่ลูกชาย จากลูกชายไปสหู่ ลานชาย เปน็ ต้น

52 | ห น ้ า

พันธปุ ระวตั ิ

53 | ห น ้ า

6. ลงิ คเ์ กจยนี (linkage gene)
 ยีนมากกว่า 1 ยนี อยู่บนโครโมโซมเดยี วกนั
 ถา้ ยนี 2 ยีน มีตำแหนง่ อยูบ่ นโครโมโซมเดยี วกนั เมื่อมีการสร้างเซลลส์ บื พนั ธ์ุจะมีการแบ่งตัวอยา่ งไม่เป็น
อิสระ

B = ตวั สนี ้ำตาล b = ตัวสีดำ
C = ปีกตรง c = ปกี โค้ง

ในการแบง่ เซลลแ์ บบ meiosis ระยะ prophase I จะมีการ crossing over เกดิ ขึ้น ทำใหเ้ กิด
แลกเปลย่ี นชิน้ ส่วนกนั ของโครโมโซม อาจะส่งผลให้ยีนมีการสลบั ตำแหนง่ กัน ทำใหไ้ ด้โครโมโซมท่ีมีกลุ่มของยีน
แตกตา่ งไปจากพ่อแม่ กระบวนการดงั กล่าวเรียกว่า recombination

54 | ห น ้ า

7. ลกั ษณะทป่ี รากฏจำเพาะเพศ (sex-limited traits)
 ลักษณะทแ่ี สดงออกเฉพาะเพศใดเพศหนึ่ง เรียกว่า ลักษณะทปี่ รากฏจำเพาะเพศ (sex-limited traits)
 ตวั อย่างในคน เชน่

-ยนี ควบคุมการผลติ น้ำนม (แสดงเฉพาะเพศหญิง)
-การมีหนวดเครา (แสดงเฉพาะเพศชาย)
 ตัวอย่างในสตั ว์อืน่ ๆ เช่น
-การมีเขายาวหรือสั้นของวัว
-ปริมาณการผลิตน้ำนมของแมว่ วั

8. ลกั ษณะทอ่ี ยภู่ ายใต้อิทธพิ ลของเพศ (sex-influenced traits)
 ลกั ษณะทถี่ ูกควบคมุ ดว้ ยยีนที่แสดงลักษณะเดน่ ในเพศหนึง่ และแสดงลักษณะดอ้ ยในอีกเพศหน่งึ
เรียกว่า ลักษณะที่อย่ภู ายใต้อิทธิพลของเพศ (sex-influenced traits)
 การแสดงออกของยีนจะเปน็ ยนี เดน่ หรือยีนด้อย ขน้ึ อยกู่ บั เพศหรอื ฮอร์โมนเพศ
 ตวั อย่าง เช่น ลกั ษณะศีรษะล้าน

ยีน B ในชายจะแสดงเปน็ ยีนเด่น สว่ นยนี B ในหญงิ จะแสดงเปน็ ยนี ด้อย

55 | ห น ้ า

56 | ห น ้ า

1. พันธวุ ิศวกรรมและการโคลน

พันธวุ ศิ วกรรม (genetic engineering) คอื เทคนคิ การดัดแปลงพนั ธุกรรมของส่งิ มีชวี ติ โดยการตัดต่อ
และถ่ายยีนที่ต้องการเขา้ สสู่ ่ิงมีชวี ติ ทำให้สง่ิ มีชีวิตมีสมบตั ิตามตอ้ งการหรือมีลักษณะเปลยี่ นแปลงไปจากเดมิ สิ่ง
มีชีวติ ไี่ ด้จะเรียกว่า “สิ่งมชี ีวิตดดั แปลงพนั ุกรรม (genetically modified organism; GMO)”

1.1 ดเี อน็ เอสายผสม

DNA สายผสม เป็นโมเลกุลของ DNA ท่ผี ่านการตัดต่อและถา่ ยยีนท่ีต้องการเขา้ ไป มีขน้ั ตอนการ
สรา้ ง DNA สายผสม ดงั นี้
(1) การตัด DNA ด้วยเอนไซมต์ ัดจำเพาะ
 เอนไซม์ตัดจำเพาะ (restriction enzyme) เป็นเอนไซม์ที่สามารถสลายพนั ธะฟอสโฟไดเอสเตอร์
(phosphodiester bond)
 เอนไซม์ตดั จำเพาะจะตัดบรเิ วณท่เี ปน็ ลำดบั เบสเฉพาะ เอนไซม์ตัดจำเพาะแต่ละชนดิ จงึ ตัดไดบ้ ริเวณที่
จำเพาะขึน้ อยู่กบั ลำดบั เบส เรยี กบริเวณนี้วา่ “บรเิ วณจดจำ (recognition site)”

ตารางแสดงตวั อย่างเอนไซมต์ ัดจำเพาะ ลำดบั เบสท่เี ป็นบรเิ วณจดจำ และตำแหนง่ ตดั จำเพาะ

 เป็นเอนไซม์ตดั ดเี อน็ เอในตำแหน่งทม่ี ีลำดับเบสจำเพาะ ทำให้ไดป้ ลายดีเอน็ เอ 2 แบบ คอื
1. ปลายเหนยี ว (sticky end) ซงึ่ เป็นปลายท่ีมีสายดีเอ็นเอสายหน่ึงยื่นออกมา
2. ปลายทู่ (blunt end) ซ่ึงเป็นปลายที่ไมม่ ีการยน่ื ออกมาของสายดีเอ็นเอ

 เมอื่ ตัดดีเอน็ เอ 2 ตวั อยา่ งด้วยเอนไซมช์ นดิ เดยี วกัน ทำใหด้ ีเอ็นเอท้ังสองนนั้ เชอ่ื มตอ่ กันได้พอดี

57 | ห น ้ า

(2) การเช่ือมสาย DNA ด้วยเอนไซม์ดีเอ็นเอไลเกส
 เอนไซมด์ ีเอน็ เอไลเกส (DNA ligase) สามารถเร่งปฏิกริ ิยาการสรา้ งพันธะฟอสโฟไดเอสเตอรร์ ะหวา่ งปลาย
สาย DNA สองสายใหเ้ ชอื่ มกนั ได้

เพม่ิ เตมิ : เอนไซม์ตัดจำเพาะบางชนดิ มีบรเิ วณจดจำและตำแหนง่ ตดั จำเพาะเหมอื นกนั เชน่ Xmal และ Xcyl มีตำแหน่ง
ตดั จำเพาะท่เี ป็น 5’-CCCGGG-3’

1.2 การโคลนดเี อ็นเอ

 ในการสรา้ งส่งิ มีชีวติ ดัดแปลงพนั ธุกรรม จะตอ้ งมีการเพิม่ จำนวน DNA ทเ่ี หมือนกนั เรียกวา่
“การโคลนดีเอ็นเอ (DNA cloning)” และหาก DNA บรเิ วณดังกลา่ วเป็นยีนก็จะเรียกว่า “การโคลนยนี (gene
cloning)”

1.2.1 การโคลนยนี โดยอาศยั พลาสมิดของแบคทเี รยี

เปน็ การนำยีนทต่ี ้องการไปแทรกไวใ้ นพลาสมิดของแบคทเี รีย เมอื่ แบคทีเรยี แบง่ เซลล์เพิม่ จำนวนจะทำให้
ยีนในพลาสมิดเพ่มิ จำนวนด้วย

ขั้นตอนการโคลนยนี โดยอาศยั พลาสมิดของแบคทีเรีย
 ตัด DNA ด้วยเอนไซม์ตดั จำเพาะ (restriction enzyme)
- ตัดเอายีนจาก DNA ท่มี ียีนท่ีสนใจ
- ตดั DNA ของของพลาสมดิ เพอ่ื ให้เกิดบริเวณทจี่ ะสามารถแทรกยีนท่ีต้องการลงไป

ได้ โดยเราจะเรยี กว่าพลาสมิดนวี้ ่า “ดเี อ็นเอพาหะ (vector)”
 เช่อื มสาย DNA ดว้ ยเอนไซมด์ ีเอน็ เอไลเกส (DNA ligase)
 ถา่ ยดีเอ็นเอ็นเอสายผสม (recombinant DNA) เข้าสูเ่ ซลลแ์ บคทเี รียและคัดเลือกเซลลท์ ี่

ตอ้ งการ

58 | ห น ้ า

 เลี้ยงแบคทเี รียเพ่ือเพิ่มจำนวน

1.2.2 การเพ่ิมจำนวน DNA ดว้ ยเทคนคิ PCR

 PCR (Polymerase Chain Reaction) เปน็ เทคนคิ ทีใ่ ชเ้ พิม่ ปริมาณ DNA ท่ีสนใจโดยใช้เครื่องเทอรม์ ัลไซ
เคลอร์ (Thermal cycler) ซงึ่ สามารถปรับอุณหภูมไิ ด้
 ปฏิกิรยิ าที่เกิดขน้ึ จะคล้ายกับปฏกิ ิริยาในการเกดิ การจำลอง DNA (DNA replication) โดยเกิดในหลอด
ทดลอง

องค์ประกอบท่ีใชใ้ นการเกดิ ปฏิกิริยา
1. DNA แมแ่ บบ (DNA ที่ตอ้ งการโคลน)
2. Primer (เป็นจุดเริ่มและกำหนดบรเิ วณที่ตอ้ งการโคลน)
3. Nucleotide 4 ชนดิ (A T C G)
4. DNA polymerase : Taq polymerase
(**Taq DNA polymerase เป็น DNA polymerase ทม่ี นอุณหภูมิสูง ซึ่งสกัดมาจากแบคทีเรยี ที่อาศัย

ในนำ้ พุร้อน ช่อื Thermus aquaticus)

ขนั้ ตอนการเกิด PCR
1. Denaturation
➢ ข้นั ตอนการแยกดีเอน็ เอ(DNA)ทเี่ ปน็ เกลียวคู่
➢ ด้วยการเพ่มิ อุณหภูมิอย่างช้า ๆ (90-95 องศาเซลเซยี ส)

2. Annealing
➢ ข้ันตอนการลดอุณหภมู ิลงอยา่ งชา้ ๆ และใส่ Primer ลงไปในระบบ เพอ่ื ให้เกดิ การเกาะแบบเขา้ คูก่ ันของเบส
ระหว่าง Primer กบั Template DNA
➢ 37-60 องศาเซลเซียส

3. Extension
➢ ใส่ DNA polymerase
➢ เกิดการสังเคราะห์ดเี อ็นเอ(DNA)สายใหม่ หรือ เพิ่มปรมิ าณของดเี อ็นเอ(DNA) ให้มากขน้ึ
➢ 72-75 องศาเซลเซียส

59 | ห น ้ า

2. การหาขนาด DNA

 การหาขนาดของ DNA สามารถหาไดโ้ ดยใช้ “เทคนคิ เจลอิเล็กโทรฟอรซี ิส (gel electrophoresis)”
 เจลอิเลก็ โทรโฟริซิส คือ เทคนคิ การแยกโมเลกุลของดีเอน็ เอ ทีม่ ีขนาดและรปู ร่างแตกต่างกันออกจากกัน
ผา่ นตัวกลางที่มีลักษณะคลา้ ยวนุ้ ทเ่ี รียกว่า เจล (gel) ภายใตส้ นามไฟฟา้

กระบวนการทำเจลอิเลก็ โทรโฟรซิ สิ
1) นำดเี อ็นเอตัวอยา่ งทตี่ ้องการตรวจสอบใส่ลงไปในหลุมบนเจล

**เจล (gel) ที่ใช้ เช่น อะกาโรสเจล (agarose gel) หรือ พอลิอะคริลาไมดเ์ จล
(polyacrylamide gel)

2) ผ่านกระแสไฟฟ้าเข้าไป เพื่อทำให้เกิดสนามไฟฟ้า จะทำใหเ้ กิดแถบ (band) ซึ่งไม่
เหน็ ดว้ ยตาเปล่า
 DNA จะเคล่ือนทจี่ ากข้ัวลบ (-) ไปยงั ข้ัวบวก (+) เนื่องจาก DNA มปี ระจเุ ป็นลบ

 DNA ที่มีขนาดเล็กจะเคลอื่ นไปไดไ้ กลกว่า
DNA ทมี่ ีขนาดใหญ่

3) นำแถบดีเอน็ เอซง่ึ มองไม่เหน็ ด้วยตาเปล่า ไปย้อมดว้ ย เอธิเดียมโบรไมด์
(ethidium bromide) แล้วนำไปสอ่ งดใู ต้แสงอลั ตราไวโอเลต แถบดเี อน็ เอจะ
เรอื งแสงฟลูออเรสเซนซ์ เปน็ สสี ้ม

คำถาม
I. เม่ือพจิ ารณาตวั อย่างดีเอ็นเอ ชนิด A นกั เรยี นคิดวา่ โมเลกลุ ของดเี อน็ ใน
แถบหมายเลขใดมีขนาดเลก็ ทส่ี ุด …………….
II. เมื่อพิจารณาตัวอย่างดเี อ็นเอ ชนิด A นกั เรยี นคิดว่า โมเลกลุ ของดีเอน็ ใน
แถบหมายเลขใดมีขนาดใหญ่ทส่ี ุด …………….
III. เมื่อพจิ ารณาตัวอยา่ งดเี อน็ เอ ชนดิ A โมเลกุลของดีเอ็นเอ ในแถบหมายเลข 2 มีขนาดเปน็ อย่างไร เม่ือเทียบ
กบั ขนาดโมเลกุลในแถบหมายเลข 1 และ 3 ............................................................

60 | ห น ้ า

4) นำแถบดีเอ็นมาเปรียบกับการเคลือ่ นทขี่ องโมเลกุลดีเอน็ ท่ีทราบขนาด
คำถาม: โมเลกลุ ดีเอ็นเอ ในแถบของตัวอย่าง C น่าจะมีขนาดเท่าใด
………………………………………………………….

3. STR คือ อะไร

STR (short tandem repeats) คือ กลุ่มของนวิ คลโี อไทด์ท่เี รียงเปน็ ชุดซ้ำต่อเนอื่ ง โดยจำนวนนวิ คลีโอ
ไทด์ในแตล่ ะชดุ ประมาณ 2 – 6 เบส

โครโมโซมทเ่ี ปน็ ฮอมอโลกัสกัน จะมี STR ท่ีตำแหน่งเดียวกนั แต่ STR อาจมีความยาวแตกต่างกัน และจะ
แตกตา่ งกันออกไปในแต่ละบุคคล
** ในการนบั จำนวน STR จะนบั เป็นคู่เบส แต่จะนิยมเขียนเฉพาะสายทม่ี ีทิศจาก 5’ ไป 3’

61 | ห น ้ า

4. ลายพิมพ์ดเี อ็นเอ (DNA fingerprint)

การวเิ คราะห์ STR คือ การตรวจหาจำนวนซ้ำของ STR ในแตล่ ะตำแหนง่ โดยใช้เทคนิค PCR โดยการวิเคราะห์
STR แต่ละตำแหน่งจะใช้ไพรเมอร์ 1 คู่ แลว้ นำไปทำ gel electrophoresis หากใช้ไพรเมอร์หลาย ๆ คู่ จะทำให้
ตรวจสอบ STR ได้หลายตำแหน่ง เกดิ เปน็ รปู แบบเฉพาะบคุ คล เรียกว่า “ลายพิมพ์ดเี อ็นเอ (DNA fingerprint)”
โดยมักใช้ STR 10-16 ตำแหน่ง
ตวั อยา่ ง การวเิ คราะห์ STR 1 ตำแหน่ง

ลายพมิ พ์ DNA (DNA fingerprint)

4.1 การใช้ลายพิมพด์ ีเอ็นเอเพอื่ ตรวจสอบอัตลกั ษณ์ของบุคคล

แตล่ ะบุคคลจะมลี ายพิมพ์ DNA ท่แี ตกต่างกันออกไป จงึ สามารถใช้การวิเคราะห์ STR ระบุตัวบคุ คลได้
ถกู ต้อง
กรณตี ัวอยา่ งที่ 1 เกดิ คดฆี าตกรรมขึ้นในหอ้ งแห่งหนง่ึ เจ้าหน้าที่ตำรวจพบหยดเลือดท่ีน่าจะเปน็ ของคนร้าย
และมีผูต้ อ้ งสงสัยซ่งึ เป็นคนห้องข้าง ๆ จำนวน 2 คน ตำรวจจงึ เกบ็ ตัวอย่าง DNA ของผ้ตู อ้ งสงสัยเพ่อื นำไป
เปรียบเทยี บกับของคนรา้ ยในทีเ่ กิดเหตุ โดยใช้การวเิ คราะห์ STR จำนวน 4 ตำแหน่ง ได้ผลดงั น้ี

62 | ห น ้ า

คนรา้ ย คอื .............................................................
กรณีตวั อย่างท่ี 2 เกิดคดีฆ่าขม่ ขืนหญงิ สาวชาวตา่ งชาติ หนว่ ยพิสูจน์หลักฐานตรวจพบคราบอสุจซิ ง่ึ น่าจะเปน็
ของคนร้าย โดยในเวลาเกิดเหตมุ ีบุคคลตอ้ งสงสัย 2 คน จงึ ทำการตรวจสอบ DNA ของผตู้ อ้ งสงสยั เพอ่ื นำไป
เปรยี บเทยี บกับหลักฐานทีไ่ ด้จากทเี่ กิดเหตุ ได้ผลดังนี้
คนร้าย คือ ..................................

4.2 การใช้ลายพิมพ์ดีเอ็นเอเพอื่ ตรวจสอบความสมั พนั ธ์ทางสายเลือด
เน่อื งจากลูกทเี่ กิดมาจะไดโ้ ครโมโซมอยา่ งละคร่งึ จากพ่อแม่ ทำให้รูปแบบของลายพิมพด์ เี อ็นเอครง่ึ หนึ่ง

เหมือนพ่อ และอีกครง่ึ หนึง่ เหมือนแม่

ลกู คอื ....................................................... พ่อ คือ ..................................................

4.3 ประโยชน์ของการใชล้ ายพมิ พด์ เี อ็นเอ
- ระบตุ วั บคุ คล
- ระบุตัวตนของสงิ่ มชี ีวติ
- พสิ ูจนค์ วามสัมพันธ์ทางสายเลือด
- จำแนกสิง่ มีชวี ิต

5. การประยกุ ต์ใชเทคโนโลยที างดเี อ็นเอ

5.1 ดา้ นการแพทย์และเภสชั กรรม

1) การสรา้ งผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์และเภสัชกรรม เช่น
- การตดั ตอ่ ยนี สร้างอินซูลินของมนษุ ยเ์ ข้าไปในแบคทีเรีย เพ่อื ให้สร้างอนิ ซลู นิ สำหรับคบคุม

อาการของโรคเบาหวาน

63 | ห น ้ า

- การสร้างสิ่งมีชวี ิตดัดแปลงพันธุกรรม เพ่ือใชผ้ ลิตโกรทฮอรโ์ มน (growth hormone) หรือใช้
ผลติ วคั ซีนกระตนุ้ ภมู ิคมุ้ กันแทนการใช้ไวรัส เชน่ วัคซนี ป้องกันไวรัสตับอักเสบชนดิ B

2) การวินิจฉยั โรค
โรคทางพันธุกรรมอาจมีสาเหตุมาจากการกลายของยีนจนทำใหเ้ กิดอัลลลี ที่ก่อโรค การ

ตรวจหาอลั ลีลท่ีก่อโรคสามารถทำได้หลายวธิ ี เช่น การทำ PCR ยนี บริเวณทีก่ ่อโรค หากเป็นยนี ที่ก่อโรคจะทำ
ให้ primer ไม่สามารถไปเกาะได้ ทำให้ไมเ่ กิดผลิตภณั ฑ์จากการ PCR นอกจากนี้ยังมีการนำมาตรวจหาเชือ้ HIV
โดยใช้เทคนิค PCR เพือ่ ตรวจหาจโี นมของของ HIV แม้มีปริมาณน้อยและได้ผลตรวจท่ีรวดเรว็
ตัวอย่าง การเกิดโรคทาลัสซเี มีย เกิดจากอลั ลลี ก่อโรคซ่ึงเกดิ การขาดหายของนวิ คลีโอไทด์

- เมือ่ ทำ PCR หากเป็นอลั ลลี ปกติจะได้ผลติ ภณั ฑข์ นาด 194 คู่เบส
- หากเป็นอัลลีลก่อโรคจะมีส่วนที่ขาดหายไปทำให้ไพรเมอร์ 2 เกาะไมไ่ ด้ ผลิตภณั ฑ์ท่ีเกิดจะเกิดจากไพร
เมอร์ 1 และไพรเมอร์ 3 ผลิตภัณฑท์ ไ่ี ด้จาก PCR จึงมขี นาด 570 ค่เู บส

64 | ห น ้ า

3) การบำบดั ด้วยยีน (gene therapy)
เป็นการถ่ายอัลลีลปกติเข้าสู่จีโนมของมนุษย์ซึ่งอาจทำได้โดยใช้ไวรัส และควบคุมให้ยีนเหล่าน้ัน

แสดงออกและสร้างโปรตีนที่ปกติ ซึ่งจะสามารถบรรเทารักษาอาการของผิดปกติของโรค เทคนิคการบำบัดด้วย
ยีนสามารถนำไปใช้รักษาโรคภูมิคุ้มกันบกพร่องรุนแรงชนิด ADA (adenosine deaminase severe
immunodeficiency)

5.2 ด้านการเกษตรและอุตสาหกรรม

- การคัดเลือกพันธพ์ุ ชื หรอื สัตว์ดว้ ยการตรวจหาเคร่ืองหมายโมเลกุล (molecular maker) ของลักษณะท่ี
ตอ้ งการเพื่อชว่ ยลดเวลาในการปรบั ปรุงพันธ์ุแบบดงั่ เดิม

- การสร้างส่ิงมีชวี ิตดัดแปลงพนั ธุกรรมเพือ่ เพมิ่ มูลคา่ ของการผลิต เชน่ ข้าวโพด BT ปลาแซลมอนโต
เร็ว มะเขอื เทศชะลอการสุกและเน่า

5.3 ดา้ นนิตวิ ิทยาศาสตร์

- การใชล้ ายพิมพ์ดีเอน็ เอเพ่ือตรวจสอบอัตลักษณข์ องบุคคล
- การใช้ลายพิมพ์ดเี อน็ เอเพ่ือตรวจสอบความสัมพันธ์ทางสายเลือด
- ระบตุ ัวตนของสิง่ มชี ีวติ

65 | ห น ้ า

66 | ห น ้ า

1. หลกั ฐานทบี่ ง่ บอกถึงววิ ัฒนาการของส่ิงมีชีวติ

1.1 ซากดกึ ดำบรรพ์ (Fossil)

ฟอสซิล คือ ซากหรือร่องรอยของบรรพชวี ินทปี่ ระทบั อยู่ในหิน หรือบางชนดิ อยใู่ นอำพนั ซากดกึ ดำ
บรรพ์เปรียบเสมือนการบนั ทกึ เหตกุ ารณท์ ่ีสนับสนนุ ว่าสงิ่ มชี วี ิตเหลา่ นัน้ เคยปรากฏอยบู่ นโลหในอดีต แตใ่ น
ปจั จบุ ันสงิ่ มชี ีวติ หลายชนิดได้สญู พนั ธไุ์ ปแล้ว เช่น ไดโนเสาร์ แมมมอธ แตอ่ าจพบสิ่งมีชีวิตบางชนดิ ในปจั จุบนั ที่
ยังคงมีลักษณะใกล้เคยี งกับทพ่ี บมาในอดีต เชน่ แมงดาทะเล หอยงวงช้าง หวายทะนอย แป๊ะก๊วย เรียก
สง่ิ มชี วี ิตเหลา่ นี้ว่าเปน็ ส่ิงมชี ีวติ คงสภาพดกึ ดำบรรพ์ (living fossil)

living fossil

67 | ห น ้ า

1.2 กายวิภาคศาสตร์เปรียบเทยี บ (Comparative Anatomy)

1.2.1) โครงสรา้ งกำเนิดเดยี วกนั (Homologous structure) คือ โครงสร้างทมี่ ีจดุ กำเนดิ เดียวกนั
แต่มีหนา้ ท่ตี ่างกัน เชน่ รยางค์คู่หน้าของนก วาฬ และคน ประกอบด้วยกระดกู รยางคท์ ี่คล้ายกัน แต่ทั้งสามทำ
หน้าทแ่ี ตกต่างกัน

1.2.2) โครงสร้างกำเนดิ ตา่ งกนั (Analogous structure) คอื โครงสร้างที่มตี น้ กำเนิดต่างกนั แตม่ ี
หน้าที่คล้ายกัน เช่น ปีกนกกับปีกแมลง หรอื ปกี คา้ งคาวกับปกี แมลง

Homologous structure Analogous structure

1.3 ชวี วิทยาการเจรญิ (Developmental biology)

 สิ่งมชี วี ิตที่มบี รรพบุรุษรว่ มกนั หรือใกล้ชดิ กนั ทางสายววิ ฒั นาการมักจะมีแบบแผนการเจรญิ เติบโต

(development pattern) ทีค่ ลา้ ยกัน เช่น แบบแผนการเจริญในระยะแรกของคอรเ์ ดต (chordates) พบวา่ สตั ว์ใน
กลมุ่ นีม้ ีลักษณะที่เหมือนกนั หลายอย่าง เชน่ การมีช่องเหงอื ก (gill slit) แตเ่ ม่อื โตขึ้นจะมีลักษณะบางชนิดเท่าน้ัน
ที่มีช่องเหงอื กอยู่ เชน่ ปลา สว่ นในส่วนในชนิดอน่ื อาจมีการเปลยี่ นแปลงไปเป็นโครงสร้างอืน่

ปลา ซาลาแมนเดอร์ เตา่ ไก่ กระตา่ ย มนษุ ย์

68 | ห น ้ า

1.4 ชีววทิ ยาระดบั โมเลกุล (Molecular Biology)

 เปน็ หลักฐานท่ไี ด้รับการยอมรบั และนิยมศึกษามากท่ีสุด
 สิ่งมีชีวติ ท่ีมีลำดบั นิวคลีโอไทด์บน DNA ของยนี ท่ีสนใจหรือลำดบั ของกรดอะมิโนในโปรตนี ที่สนใจมี
ความใกลเ้ คียงหรอื เหมอื นกัน แสดงว่าส่งิ มีชวี ติ เหลา่ นี้มีความสมั พนั ธ์ทางววิ ัฒนาการใกล้ชิดกันในทางววิ ฒั นาการ

1.5 ชีวภูมิศาสตร์ (Biogeography)

 การศกึ ษารปู แบบการกระจายตัวของสง่ิ มชี ีวิตชนิดต่าง ๆ ในแตล่ ะภูมภิ าคของโลกในอดีตจนถงึ ปจั จบุ นั
 ตวั อยา่ ง เชน่ อูฐและลามาท่ีแพรก่ ระจายอย่ใู นบรเิ วณหา่ งไกลกัน แต่มคี วามสัมพันธใ์ กล้ชดิ ทาง
วิวฒั นาการ ทำให้สันนิษฐานว่า ถ้าเอเชยี และอเมรกิ าเคยเชอ่ื มตอ่ กันมาก่อน น่าจะเคยมบี รรพบรุ ษุ ของอฐู ใน
อเมริกาเหนือ

69 | ห น ้ า

2. แนวคดิ เกย่ี วกบั วิวฒั นาการ

 วิวัฒนาการ (evolution) หมายถงึ การเปลีย่ นแปลงลักษณะทางพนั ธุกรรมภายในประชากร และมีการ
ถา่ ยทอดลักษณะท่ีเปล่ียนแปลงจากรุ่นสู่รนุ่ ถา้ มีการสะสมการเปล่ยี นแปลงมากพอ อาจนำไปสู่การเกิดสปชี สี ใ์ หม่
2.1 แนวคิดของฌอง ลามารค์ (jean Baptiste de Lamarck)

 สงิ่ มชี วี ติ มีการเปล่ียนแปลงโครงสร้างเพ่ือให้สอดคล้องกับการเปลยี่ นแปลงของส่งิ แวดล้อม
1. หลกั การใช้และไม่ใช้ (use and disuse) ซงึ่ อธบิ ายว่า โครงสรา้ งที่มีการใชง้ านบอ่ ยจะมีการ

พัฒนาและขยายขนาดข้ึน ส่วนโครงสรา้ งที่ไม่ค่อยมกี ารใช้งานจะลดรูปไป
2. การถ่ายทอดลักษณะทเ่ี กิดขึ้นมาใหม่ (inheritance of acquired characteristics) ซ่ึงอธิบาย

วา่ การเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างทเ่ี กิดขึน้ จาก use and disuse สามารถถา่ ยทอดจากรุ่น
สู่รุ่นได้

2.2 แนวคิดของชาลส์ ดารว์ นิ (Charles Darwin)
 เป็นบดิ าแห่งวิวัฒนาการ และคิดคน้ ทฤษฎีการคัดเลือกทางธรรมชาติ (natural selection)
 ทฤษฎีการคัดเลอื กทางธรรมชาติ (natural selection) คือ การคัดเลือกสมาชกิ ของประชากรสิง่ มีชีวิต

ที่มีลักษณะเหมาะสมกับสภาพแวดลอ้ มให้อยู่รอดและสบื พันธตุ์ ่อไป
 จากทฤษฎกี ารคัดเลือกทางธรรมชาตอิ ธิบายเรอื่ งการที่ยรี าฟมีคอยาวไว้ว่า ในสมัยกอ่ นยีราฟมีทงั้ แบบ

คอส้ันและแบบคอยาวเนื่องมาจากความแปรผนั ทางพันธกุ รรม แต่ต่อมาเปมือ่ ปรมิ าณอาหารลดลง ยีราฟท่มี ีคอ
ส้นั ไมส่ ามารถกนิ อาหารท่ีอยบู่ นยอดไม้ได้ ดงั นัน้ พวกท่ีมคี อสั้นจึงค่อย ๆ ตายไป เนอ่ื งจากขาดอาหาร ท้ายที่สดุ ก็
จะเหลือแต่ยีราฟคอยาวเท่าน้นั ท่สี ามารถสบื พนั ธุแ์ ละถ่ายทอดลักษณะคอยาวมายงั ลกู หลานได้

70 | ห น ้ า

3. พนั ธุศาสตร์ประชากร

 ประชากรในเชงิ ววิ ฒั นาการ คือ การทส่ี มาชิกในประชากรของ
สิง่ มชี ีวิตชนดิ น้ัน สามารถผสมพันธ์ุระหวา่ งกันไดแ้ ละให้ลูกไม่เป็นหมนั

 ยีนพูล (gene pool) คือ ยนี ท้งั หมดในประชากร ในชว่ ง
เวลาหน่งึ (แอลลีลทุกแอลลีลจากทุก ๆ ยีนในประชากร)

3.1 ความถีข่ องแอลลีล (allele frequency)
ความถ่ขี องแอลลลี (allele frequency) คือ ปรมิ าณของแอลลีลชนิดต่างๆ เม่ือคิดเปน็ สัดส่วนหรือร้อย

ละตอ่ จำนวนแอลลีลทัง้ หมดของยีนตำแหนง่ เดยี วกนั ในประชากร

จำนวนแอลลีลทส่ี นใจ
ความถี่แอลลีลที่สนใจ = จำนวนแอลลีลทั้งหมดในประชากร

3.2 ความถ่ีของจโี นไทป์ (genotype frequency)
ความถี่ของจีโนไทป์ (genotype frequency) คือ ปรมิ าณจีโนไทปช์ นิดตา่ งๆ เม่ือคิดเป็นสดั สว่ นหรือร้อย

ละตอ่ ปริมาณจโี นไทป์ท้งั หมดของยีนในตำแหน่งเดยี วกนั ในประชากร

ปริมาณจีโนไทป์ท่ีสนใจ
ความถี่จีโนไทปท์ ีส่ นใจ = ปรมิ าณจโี นไทป์ทงั้ หมด

ตวั อย่างการคำนวณ

71 | ห น ้ า

3.3 ภาวะสมดลุ ของฮาร์ดี-ไวเบริ ก์ (Hardy-Weinberg Equilibrium ; HWE)

 ถ้าประชากรหนงึ่ ๆ มคี วามถี่แอลลลี และความถ่ีจโี นไทปข์ องลูกในแต่ละรนุ่ มีค่าเท่าเดมิ หรือ
คงท่ีตลอด จะเรียกภาวะสมดลุ น้ีว่า “ภาวะสมดลุ ฮาร์ดี-ไวเบิร์ก (Hardy-Weinberg equilibium)”

 ประชากรจะอย่ใู นสมดลุ “ภาวะสมดุลฮาร์ดี-ไวเบิร์ก
ต้องเป็นไปตามเงอื่ นไขต่อไปนี้
1. เป็นประชากรขนาดใหญ่ มีการจัดคู่ผสมพันธุ์แบบสุ่ม (random
mating)
2. ยีนที่ควบคุมลักษณะที่ศึกษามีตำแหน่งอยู่บนออโตโซม
(autosome)
3. ไม่มีมวิ เทชัน (no mutation)
4. ไม่มีการอพยพ (no migration) หรือการเคลื่อนย้ายถ่ายเทยีน
(gene flow)
5. ไมม่ กี ารคัดเลอื ก (no selection) Ex. การคัดเลอื กโดยธรรมชาติ
6. เซลลส์ บื พนั ธท์ุ ุกเซลล์ที่ผลติ ได้ สามารถทำหน้าทไี่ ด้
7. ไมม่ กี ารเปลีย่ นแปลงความถ่อี ยา่ งไมเ่ จาะจง (random genetics drift)

 เมอ่ื กำหนดให้ p คือ ความถี่แอลลลี A และ q คือ ความถแี่ อลลลี a ผลรวมของความถ่ีแอล
ลลี จะมีค่าเท่ากบั 1 จะไดว้ ่า

p+q=1 หรอื p2 + 2pq + q2

โดย p2 คอื คา่ ความถ่จี โี นไทป์ของ AA
2pq คอื คา่ ความถ่ีจีโนไทป์ของ Aa
q2 คอื ค่าความถ่จี โี นไทป์ของ aa
p คือ คา่ ความถี่แอลลีล A
q คือ ค่าความถ่แี อลลลี a

72 | ห น ้ า

ตวั อย่างการคำนวณ

1. คนจังหวัดหนึง่ ในภาคอีสาน มคี นเปน็ โรค Sickle cell anemia จำนวน 9 คน จากประชากร ทงั้ หมด 10,000
คน จงคาดคะเนความถี่ Allele ท่ีทำให้เกดิ โรค (กำหนดให้ aa แสดงลักษณะของโรค Sickle cell anemia )
…………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………
2. ประชากรกลุ่มหนึ่ง มีประชากรหมูเ่ ลอื ด Rh- อยู่ 16% เม่ือประชากรน้ีอยู่ในภาวะสมดลุ ของฮาร์ดี-ไวเบิรก์ จง
คำนวณหาความถ่แี อลลลี ในประชากร
…………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………
3. ประชากรของหนู ณ ทุ่งหญ้าแห่งหนึ่ง อยู่ในภาวะสมดลุ ของฮาร์ดี- ไวเบิร์ก พบว่า 36% ของประชากรหนู
มีขนสีเทา ซ่ึงเป็นลักษณะด้อย (aa) นอกน้ันเป็นหนสู ีดำ
3.1) จงหาจำนวนประชากรของหนูทม่ี จี โี นไทป์ของแบบ heterozygous
…………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………
3.2) ความถข่ี องแอลลลี a ในยีนพลู ของประชากรเป็นเท่าใด
…………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………
3.3) ถ้าในประชากรหนมู ีจำนวน 500 ตวั จะมีหนูทีม่ ลี ักษณะขนสีดำท่เี ปน็ heterozygous กต่ี วั
…………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………
4. โรค Galatosemia เป็นยีนด้อยบน Autosome ในประชากร 40,000 คน พบผู้ทเ่ี ปน็ โรค Galactosemia 16
คน จงหาวา่ ในประชากรกลุ่มนี้จะมีผู้ทเี่ ป็นพาหะ
…………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………
5. ประชากรแหง่ หนึ่งบนเกาะ 10,000 คน มีหมเู่ ลือด B มากที่สดุ โดยมีหมเู่ ลือด O 1600 คน และ AB 1600
คน จงหาวา่ ประชากรบนเกาะนี้ จะมีหมู่เลือด A กคี่ น
…………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………

73 | ห น ้ า

4. วิวัฒนาการระดบั จุลภาค (microevolution)

ววิ ัฒนาการระดบั จุลภาค เปน็ การเปลี่ยนแปลงคา่ ความถ่แี อลลีลหรอื ความถ่จี ีโนไทป์ในประชากรหนง่ึ ๆ
หากมีการเปลย่ี นแปลงในระดบั จุลภาค เกิดขนึ้ สะสมมากพอก็จะนำไปสู่การเกิดสปชี สี ใ์ หม่ หรอื วิวัฒนากา
ระดับมหภาค (macroevolution) ปจั จัยที่ทำใหเ้ กิดการเปล่ยี นแปลงความถี่แอลลลี มดี ังนี้
1. การเปล่ียนแปลงความถีย่ ีนแบบไม่เจาะจง (random genetics dift)

เป็นการเปลี่ยนแปลงความถี่ของแอลลีล ซึ่งเกิดอย่างรวดเร็วเป็นแบบสุ่มและไม่มีทิศทาง มักเกิดขึ้นโดย
ประชากรมีจำนวนสมาชิกน้อยลงอย่างฉับพลันโดยเหตุบังเอิญ หรืออุบัติภัยธรรมชาติ ทำให้มีการเปลี่ยนแปลง
ความถข่ี องแอลลลี ในยนี พูลเปน็ อยา่ งมาก แบ่งออกเป็น 2 รูปแบบ ไดแ้ ก่

1.1 ผลกระทบจากผกู้ อ่ ตง้ั (founder effect)
 การเปลย่ี นแปลงความถีข่ องแอลลลี ท่เี กดิ ข้ึนกบั ประชากรทมี่ ีขนาดเล็ก

 จากการอพยพ หรือแยกตวั ออกมาไปสรา้ งประชากรใหม่
 ประชากรใหม่มโี ครงสรา้ งพนั ธกุ รรมตา่ งจากเรมิ่ ต้น

1.2 ปรากฏการณ์คอขวด (bottleneck effect)
 ประชากรลดลงอย่างรวดเร็ว อันเนื่องมาจากสภาวะแวดล้อมไมเ่ อ้อื อำนวย เชน่ แผ่นดินไหว

ภเู ขาไฟระเบดิ ขาดแคลนอาหาร หรอื เกดิ โรคระบาด
 ประชากรท่ีรอดมีขนาดเล็กลง ทำใหค้ วามถข่ี องแอลลลี ในประชากรเปลี่ยนแปลง บางแอลลีล

อาจหายไปหรอื เพิม่ ข้ึน

74 | ห น ้ า

2. การถ่ายเทเคลอื่ นยา้ ยยีน (Gene flow)
 การเคลื่อนย้ายถ่ายเทยีน ซึ่งทำให้สัดส่วนแอลลีล หรือความถี่ของยีนในยีนพูลของประชากรสิ่งมีชีวติ

เปล่ยี นแปลงไป ซ่ึงเป็นผลจากการอพยพเขา้ หรืออพยพออก

3. การเลือกคผู่ สมพันธ์ุ
 ในธรรมชาติสงิ่ มชี วี ิตมกี ารผสมพันธุ์โดยการเลือกคู่ผสมพนั ธ์ุ หรอื การผสมพนั ธ์ุไมเ่ ป็นแบบสุม่ (non-

random mating)
 ทำใหโ้ อกาสในการสืบพันธ์ุแต่ละตัวไมเ่ ท่ากัน
 สมาชิกบางตวั ไม่ได้รบั การสืบพันธ์ุ ทำใหค้ วามถี่ Allele เปล่ยี นแปลง

4. มิวเทชัน (mutation)
 เกิด allele ใหม่ในประชากรขน้ึ
 ทำให้เกดิ ความหลากหลายมากขน้ึ
 ความถข่ี อง Allele เปลย่ี นไป
 ไม่มีผลภายในร่นุ เดยี ว

5. การคดั เลอื กโดยธรรมชาติ (natural selection)
 การคัดเลอื กโดยธรรมชาตทิ ำให้ความถี่ Allele ในประชากรเปลี่ยนแปลง
 ทำให้บาง allele ในประชากรเพ่ิมมากขึ้น หรือ ลดลง
 ทำใหเ้ กิดวิวฒั นาการให้เหมาะกบั สงิ่ แวดล้อม

75 | ห น ้ า

5. การกำเนดิ สปชี สี ใ์ หมแ่ ละววิ ฒั นาการระดับมหภาค

1. ความหมายและแนวคดิ เก่ยี วกับสปชี ีส์ (Species concept)

แนวคิดเกย่ี วกบั สปชี สี ์ คำอธบิ าย

Biological species concept ส่งิ มีชวี ิตสปีชสี ์เดียวกนั จะต้องสามารถสืบพันธ์ไุ ด้และลูกทีเ่ กิดข้ึน

จะไมเ่ ป็นหมันและสามารถมีลูกตอ่ ไปได้

Morphological species concept สิ่งมชี วี ิตสปชี ีสเ์ ดยี วกัน จะมีลักษณะทางสัณฐานภายนอกและ

โครงสร้างทางกายวิภาคใกลเ้ คียงกนั หรอื เหมือนกัน

Ecological species concept สิ่งมชี ีวิตสปชี สี เ์ ดยี วกัน จะมีความตอ้ งการทรัพยากรต่าง ๆ ใน

ธรรมชาติแบบเดียวกนั

Phylogenetic species concept สงิ่ มีชวี ิตสปชี สี ์เดียวกัน จะมีบรรพบุรษุ รว่ มกนั (common

ancestor) ท่ีรว่ มกันล่าสุด โดยอาศยั หลกั ฐานทางกายวิภาคและ

หลกั ฐานทางชวี วิทยาโมเลกุลประกอบดว้ ย

แนวคิดเกี่ยวกับสปชี สี ์ทางชีววทิ ยา (biological species concept) เป็นแนวคิดท่ีได้รับการยอมรบั มากท่ีสดุ ใน
ธรรมชาติมีกลไกการปอ้ งกนั การผสมพันธุ์ข้ามสปชี สี ์ แบ่งออกเป็น 2 กลไกหลัก ได้แก่

1. กลไกการแยกกันทางการสบื พันธุ์กอ่ นระยะไซโกต (Prezygotic Isolating Mechanism) เป็นเซลล์
สบื พนั ธ์ตุ ่างสปชี สี ์มาปฏสิ นธิกนั ได้แก่

1.1 สปีชสี ์ที่แตกตา่ งกัน ก็จะอยูใ่ นถ่ินทอี่ ยอู่ าศัยต่างกัน
1.2 พฤติกรรมการผสมพันธ์ุทีแ่ ตกต่างกัน
1.3 ชว่ งเวลาในการผสมพันธแุ์ ตกต่างกัน
1.4 ต่างสปีชสี ก์ ็มรี ูปร่างและขนาดของอวยั วะสบื พนั ธุ์ท่ีตา่ งกัน
1.5 ตา่ งสปชี สี ์ก็มีลักษณะเซลลส์ ืบพันธ์ุต่างกนั ไม่สามารถปฏสิ นธิกนั ได้
2. กลไกการแยกกันทางการสืบพันธ์ุหลังระยะไซโกต (Postzygotic Isolating Mechanism) เกดิ หลงั จาก
เซลลส์ ืบพนั ธต์ุ ่างสปีชสี ์เกิดปฏิสนธิกันได้ไซโกตแลว้ และเปน็ ปอ้ งกันลกู ผสมเตบิ โต หรอื ป้องกนั ไม่ให้สืบพนั ธ์ุต่อไป
ได้ โดยมีกลไกตา่ ง ๆ ได้แก่ ลกู ผสมตายก่อนวัยอันควร ลกู ผสมเป็นหมัน และลกู ผสมล้มเหลว

76 | ห น ้ า

2. กลไกการเกดิ สปชี สี ใ์ หม่ (speciation)
การเกิดสปีชีส์ใหม่เกิดได้ 2 แบบ คอื
1. การเกิดสปีชสี ใ์ หม่จากการแบง่ แยกทางภูมศิ าสตร์ (geographical isolation) เกดิ จากประชากร

เดิมอาศัยอยูใ่ นบริเวณเดยี วกนั ตอ่ มาเกิดสิ่งกีดขวางทางภูมิศาสตร์ (geographical barrier) ระหว่างประชากร
เดิม เชน่ มีแมน่ ้ำ ภูเข้ากัน้ ทำใหป้ ระชากรมีการแยกออกจากกนั โดยเด็ดขาด ประชากรสองบรเิ วณไม่เกิด gene
flow ดังนั้นประชากรแตล่ ะกล่มุ ก็จะมีววิ ัฒนาการแยกออกจากกนั ทา้ ยท่ีสุดประชากรทั้งสองบรเิ วณไม่สามารถ
ผสมพันธกุ์ นั ได้ จงึ เกิดเป็นสปชี ีส์ใหม่

2. การเกดิ สปชี ีสใ์ หมใ่ นเขตภมู ศิ าสตร์เดียวกนั (sympatric speciation) เป็นการเกิดสปีชสี ์ใหม่ที่
เกดิ โดยประชากรสงิ่ มีชวี ิตท้ังสองชนดิ มตี น้ กำเนดิ อย่ใู นบรเิ วณเดียวกัน (same geographic area)

77 | ห น ้ า


Click to View FlipBook Version