ตามรอยศิลปนิ 1
ตามรอยศลิ ปิน 2
คำชแ้ี จงสำหรบั นักเรยี น
การเรยี นรู้โดยใช้หนงั สืออเิ ลคทรอนกิ ส์ (e-book) วิชาศิลปะ ศ33102 เรอ่ื ง ตามรอยศลิ ปิน ชน้ั มธั ยมศกึ ษา
ปที ่ี 6 ใช้เวลา 3 ชว่ั โมง นักเรียนปฏบิ ตั ิตามข้นั ตอนที่กาหนดไว้ ดังนี้
1. นักเรียนทาแบบทดสอบก่อนเรียน จานวน 10 ข้อ ใช้เวลา 10 นาที ตรวจสอบความถูกต้องของ
คาตอบจากบัตรเฉลยแบบทดสอบก่อนเรียนท่ีครูแจกให้ ครูบันทึกคะแนนที่ได้ในแบบบันทึกผลการประเมิน
ด้านความรู้ เพื่อทราบความรู้พ้ืนฐานของนักเรียน
2. นักเรียนปฏิบัติกิจกรรมตามลาดับข้ันตอนของหนังสืออิเลคทรอนิกส์ (e-book) วิชาศิลปะ ศ33102
เร่อื ง ตามรอยศิลปนิ โดยการมีสว่ นร่วมของครู
3. นกั เรยี นทาใบงาน ชิ้นงาน และนาเสนอหน้าชั้นเรียน
4. นักเรียนทาแบบทดสอบหลังเรียน จานวน 10 ข้อ ใช้เวลา 10 นาที ตรวจสอบความถูกต้อง
ของคาตอบจากบัตรเฉลยแบบทดสอบหลังเรียนที่ครูแจกให้ ครูบันทึกคะแนนที่ได้ในแบบบันทึกผล
การประเมินดา้ นความรู้ เพอื่ ตรวจสอบความก้าวหน้าทางการเรียน
5. หากนกั เรียนเรียนไมท่ ันหรือเรียนยงั ไม่ค่อยเข้าใจให้รับหนังสืออเิ ลคทรอนิกส์ (e-book) วิชาศิลปะ
ศ33102 เรื่อง ตามรอยศลิ ปนิ ไปศึกษาเพ่มิ เติมนอกเวลาเรยี น เพอื่ ใหเ้ ขา้ ใจมากย่ิงข้ึน
ตามรอยศลิ ปนิ 3
มำตรฐำนกำรเรยี นรู้/ตวั ช้วี ัด/สำระกำรเรยี นร/ู้ จุดประสงค์กำรเรียนรู้
1. มำตรฐำนกำรเรยี นรู้
มำตรฐำน ศ 1.1 สร้างสรรค์งานทัศนศิลป์ตามจินตนาการ และความคิดสร้างสรรค์ วิเคราะห์ วิพากษ์ วิจารณ์คุณค่างาน
ทัศนศิลป์ ถา่ ยทอดความรสู้ ึก ความคิดตอ่ งานศลิ ปะอย่างอิสระ ชื่นชม และประยกุ ตใ์ ช้ในชีวิตประจาวัน
2. ตวั ชี้วัด
ศ 1.1 ม.4-6/1 วิเคราะห์การใชท้ ัศนธาตุ และหลกั การออกแบบในการส่อื ความหมายในรปู แบบต่าง ๆ
ศ 1.1 ม.4-6/3 วเิ คราะห์การเลอื กใช้วสั ดุ อปุ กรณ์ และเทคนิคของศลิ ปินในการแสดงออกทางทัศนศลิ ป์
ศ 1.1 ม.4-6/4 มที ักษะและเทคนคิ ในการใช้วัสดุ อุปกรณ์ และกระบวนการที่สูงขึน้ ในการสรา้ งงานทัศนศลิ ป์
ศ 1.1 ม.4-6/6 ออกแบบงานทศั นศิลป์ได้เหมาะกบั โอกาสและสถานท่ี
ศ 1.1 ม.4-6/7 วิเคราะห์และอธิบายจุดมุ่งหมายของศิลปินในการเลือกใช้วัสดุ อุปกรณ์ เทคนิคและเนื้อหา เพื่อ
สร้างสรรคง์ านทัศนศิลป์
ศ 1.1 ม.4-6/10 สรา้ งสรรค์งานทัศนศลิ ปไ์ ทย สากล โดยศึกษาจากแนวคิดและวธิ ีการสรา้ งงานของศลิ ปนิ ท่ีตนช่นื ชอบ
3. สำระกำรเรียนรู้
3.1 ศลิ ปินคือใคร
3.2 ศิลปนิ ท่รี จู้ ัก
3.3 สรา้ งงานตามรอยศลิ ปนิ
4. จดุ ประสงค์
4.1 ด้ำนควำมรู้ (K)
4.1.1 นกั เรยี นสามารถอธบิ ายความหมาย คณุ สมบตั ิ และหนา้ ท่ขี องศิลปินได้
4.1.2 นกั เรียนสามารถวเิ คราะหร์ ูปแบบการสรา้ งงานของศลิ ปินได้
4.1.3 นกั เรียนสามารถบอกชีวประวตั แิ ละผลงานของศิลปินได้
4.1.4 นกั เรียนอธบิ ายรูปแบบและเทคนคิ การสร้างสรรคผ์ ลงานของศิลปินได้
4.2 ด้ำนกระบวนกำร/ทักษะ (P)
4.2.1 นกั เรียนสรา้ งงานทศั นศิลป์แบบเหมอื นจรงิ แบบลดตดั ทอน และแบบตาม ความรสู้ ึกนึกคดิ ของตนเอง
4.2.2 นักเรยี นจัดทาแผนที่ความคดิ ชวี ประวตั แิ ละผลงานของศิลปนิ ได้
4.2.3 นกั เรียนสรา้ งงานทัศนศิลป์ตามรอยศิลปนิ ได้
4.2.4. นกั เรียนนาหลกั การหรอื แนวทางในการสร้างงานของศลิ ปินมาประยกุ ต์ใช้ สรา้ งสรรค์ผลงานของตนเอง
ความรสู้ กึ นึกคดิ ของตนเองได้
4.3 ด้ำนคณุ ลกั ษณะท่ีพึงประสงค์ (A)
4.3.1 มีวนิ ยั
4.3.2 ใฝ่เรยี นรู้
4.3.3 มุ่งมน่ั ในการทางาน
4.3.4 มีจิตสาธารณะ
5. ดำ้ นสมรรถนะสำคัญของผู้เรยี น
5.1 ความสามารถในการคิด
6.2 ความสามารถในการส่ือสาร
6.3 ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี
ตามรอยศลิ ปนิ 4
แบบทดสอบกอ่ นเรียน
เรอ่ื ง ตำมรอยศลิ ปนิ
วิชำศิลปะ ศ33102 ชนั้ มธั ยมศึกษำปที ่ี 6
คำช้แี จง
1. แบบทดสอบนี้เป็นแบบเลอื กตอบ 4 ตัวเลอื ก จานวน 10 ขอ้ คะแนนเตม็ 10 คะแนน
ใชเ้ วลา 10 นาที ในการทาแบบทดสอบ
2. ให้นักเรยี นทาเคร่อื งหมายกากบาท (X) ลงในช่องสเี่ หลี่ยม () ให้ตรงกับตัวอักษร
ก, ข, ค หรือ ง ท่ีเป็นคาตอบท่ถี ูกต้องทีส่ ุดเพียงคาตอบเดียว
1. ข้อใดคือ บุคคลท่ีได้รับการยกย่องให้เป็นศิลปินเอก
สาขาจิตรกรรม
ก. ฟินเซนต์ ฟาน ก็อก
ข. ชิต เหรียญประชา
ค. มาร์เซล ดูชอง
ง. โอกูสต์ โรแดง
2. เทคนิคพิเศษของฟินเซนต์ ฟาน ก็อก คืออะไร
ก. เน้นความกลมกลืน
ข. การระบายสีเป็นแผ่นๆ
ค. เขียนสีนา้ มันบนผืนผ้าใบ
ง. การระบายสีแบบเรียบง่าย
3. ข้อใด คือ จุดเด่นของผลงาน ฟินเซนต์ ฟาน ก็อก
ก. ศิลปะแบบนามธรรม
ข. ภาพจากคนเหมือน
ค. เป็นภาพถ่ายทอดธรรมชาติ
ง. สะท้อนให้เห็นชีวิตของผู้ยากไร้
4. ใครคือผู้นาการวาดภาพแบบนามธรรม โดยใช้รูปทรงเรขาคณิต
ก. ถวัลย์ ดัชนี
ข. พีต มอนดรีอัน
ค. ชิต เหรียญประชา
ง. ประเทือง เอมเจริญ
ตามรอยศลิ ปนิ 5
5. เทคนิคที่สาคัญของ พีต มอนดรีอัน คือข้อใด
ก. ระบายสีไล่น้าหนักแนวเฉียง
ข. ระบายสีเป็นแผ่นๆ ในแนวตั้ง
ค. ระบายสีเป็นแผ่นๆ ในแนวนอน
ง. ระบายสีเป็นแผ่นๆ ในแนวนอนและแนวตั้ง
6. ประเทือง เอมเจริญ เน้นเทคนิคใดเป็นสาคัญ
ก. องค์ประกอบของทัศนธาตุที่เป็นรูปร่าง รูปทรง
ข. องค์ประกอบของทัศนธาตุท่ีเป็นสี
ค. การจัดองค์ประกอบของภาพ
ง. การจัดองค์ประกอบศิลป์
7. ข้อใดคือ เทคนิคของพิชัย นิรันต์
ก. เขียนสีน้ามันบนพ้ืนผ้าใบ
ข. เขียนสีน้ามันกับติดทองคาเปลว
ค. เขียนสีโปสเตอร์แล้วติดทองคาเปลว
ง. เขียนสีน้ามันบนพ้ืนผ้าใบสลับสีซ้าย-ขวา
8. มีเกลันเจโล บูโอนาร์โรตี ใช้วัสดุในข้อใดสร้างสรรค์ผลงาน
ก. หินทราย
ข. หินอ่อน
ค. หินอ่อนเนื้อสีขาว
ง. ไม้มะฮอกกานี
9. เพราะเหตุใด ธนะ เลาหกัยกุล ใช้เทคนิคการปั้น
ก่อนจะหล่อด้วยโลหะ
ก. ให้ความสาคัญกับรายละเอียดของงาน
ข. เพื่อให้ได้รูปร่าง รูปทรงท่ีเหมาะสม
ค. เพื่อใช้เป็นต้นแบบในการหล่อ
ง. เพ่ือสร้างงานที่ซับซ้อน
10. มณเฑียร บุญมา ใช้วัสดุใดสร้างสรรค์ผลงานสื่อผสม
ก. โลหะและหินทราย
ข. หินอ่อนและไม้
ค. ผ้า ทองแดง
ง. โลหะและสมุนไพร
ตามรอยศิลปนิ 6
บตั รคำตอบแบบทดสอบกอ่ นเรียน
เร่อื ง ตำมรอยศลิ ปิน
วชิ ำศิลปะ ศ33102 ช้ันมัธยมศึกษำปที ่ี 6
ช่อื ................................................................เลขท่ี ............ช้ัน ...............
คำช้ีแจง ให้นกั เรียนทาเคร่ืองหมายกากบาท (X) ลงในช่องสี่เหลย่ี ม () ให้ตรงกับตัวอักษร
ก, ข, ค หรือ ง ที่เปน็ คาตอบที่ถกู ต้องท่สี ุดเพียงคาตอบเดียว
ขอ้ ก ข ค ง
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
คะแนนทีไ่ ด้
ผตู้ รวจ
ตามรอยศิลปนิ 7
เฉลยแบบทดสอบกอ่ นเรียน
เรื่อง ตำมรอยศลิ ปนิ
วชิ ำศิลปะ ศ33102 ชนั้ มัธยมศึกษำปที ี่ 6
ขอ้ เฉลย
1ก
2ค
3ง
4ข
5ง
6ข
7ข
8ค
9ก
10 ง
ตามรอยศิลปนิ 8
ศิลปิน คือ ใคร??
ศลิ ปิน Artist : ผ้สู รำ้ งงำนงำนศิลปะ โดยกำรถำ่ ยทอดควำมคดิ ควำมรู้สึก ทมี่ ตี ่อ
ธรรมชำติ สงั คม ส่งิ แวดลอ้ ม ออกมำเปน็ ผลงำนศิลปะทม่ี ีรปู แบบสวยงำมตำมควำมถนดั
ประสบกำรณ์ หรือลักษณะเฉพำะตวั ของศลิ ปินในแต่ละคนจงึ ทำใหเ้ กดิ ผลงำนศลิ ปะในรปู แบบ
ท่หี ลำกหลำย
คณุ สมบัติของศิลปิน
- เป็นผมู้ คี วำมรทู้ ำงศลิ ปะในสำขำทต่ี นถนัด
- เป็นผ้มู คี วำมไวต่อกำรรับรทู้ ั้งส่งิ ท่ดี งี ำมและไมง่ ำม
- เป็นผูม้ ีใจรกั หรอื มีศรัทธำในอำชีพศลิ ปิน
- เป็นผ้ทู ่มี คี วำมคดิ สร้ำงสรรคต์ ิดตัวอย่เู สมอ
หน้ำทข่ี องศิลปนิ
- ศึกษา ค้นคว้า สรา้ งสรรค์งานศลิ ปะในรูปแบบท่หี ลากหลายตามความถนดั
- สะท้อนสภาพสงั คมดว้ ยวิธีการทางศลิ ปะ
ตามรอยศิลปนิ 9
รูปแบบในกำรสร้ำงงำนของศลิ ปนิ
รูปแบบในกำรสร้ำงงำนของศลิ ปิน แบง่ ออกไดเ้ ปน็ 3 ลกั ษณะใหญ่
- สรำ้ งสรรค์งำนแบบเหมอื นจรงิ (Realism)
- สรำ้ งสรรค์งำนแบบลดตัดทอน (Distortion)
- สร้ำงสรรคง์ ำนแบบตำมควำมรู้สกึ นกึ คิดของตนเอง (Abstraction)
สรำ้ งสรรคง์ ำนแบบเหมือนจริง (Realistic)
หมายถึง การสรา้ งงานที่เหมือนจริงดงั ทีป่ รากฏอยูใ่ นธรรมชาติ โดยยึดหลักการสร้างสรรค์ และการ
นาเสนอดงั ที่ตามองเห็น เชน่ การเขยี นภาพคนเหมือน ภาพสัตว์ ภาพทวิ ทัศน์ ภาพหุ่นนิง่ ในงานจิตรกรรม การ
ปนั้ การแกะสลัก และการหล่อรปู บุคคลสาคญั ท่ีทาเป็นอนุสาวรยี ใ์ นงานประติมากรรม เป็นต้น การสร้างสรรค์
งานทัศนศลิ ปร์ ปู แบบเหมือนจริง เปน็ การนาทัศนธาตตุ า่ ง ๆ มาสรา้ งสรรค์โดยการจัดองค์ประกอบศิลป์ แสดง
รายละเอียดของผลงานให้เหมือนจริงดงั ท่ีตามองเหน็
ช่ือภาพ พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยูห่ วั
เทคนคิ ดินสอถา่ นชาโคล และสีชอลก์ บนกระดาษ
ผลงานของศกั ด์ิวุฒิ วเิ ศษมณี
ผลงาน จติ รกรรมคนเหมอื น
ส่อื ความหมาย ใชโ้ ทนสขี องภาพเปน็ สีนา้ ตาล โดยนาทศั นธาตุตา่ งๆมา
ใช้ในการสรา้ งสรรคผ์ ลงานได้อย่างกลมกลนื นา่ สนใจ โดยเฉพาะการนา
เส้นโคง้ ลกั ษณะตา่ งๆมาถา่ ยทอดรปู รา่ ง รปู ทรงของบคุ คลไดอ้ ยา่ ง
เหมือนจริง มีขนาด สดั สว่ นท่ถี กู ตอ้ งชัดเจน การจัดวางภาพบนบรเิ วณ
ว่างทาได้อยา่ งเหมาะสม แสงเงาและสี มกี ารใช้ค่าน้าหนักสที ี่ดูกลมกลนื
ศลิ ปินนาพ้ืนผิวมาใช้ในการเน้นพนื้ หลังของภาพ ทาใหภ้ าพทีใ่ ห้
ความรสู้ กึ นง่ิ ๆ กลบั ดเู คล่อื นไหว และมเี รื่องราวมากยง่ิ ข้ึน
ตามรอยศิลปนิ 10
ช่อื ผลงาน ปา้ อิน
เทคนคิ ปนู ปลาสเตอร์
ผลงานของไพฑรู ย์ เมืองสมบูรณ์
ผลงาน ประติมากรรมลอยตวั
สอ่ื ความหมาย เปน็ ผลงานคนเหมอื น รปู ผู้หญิงสงู วยั ศลิ ปินได้นาทศั น
ธาตุต่างๆมาใชใ้ นการสรา้ งสรรค์ผลงานใหม้ ีลกั ษณะเหมอื นจรงิ มากท่สี ดุ
มีการนาเสน้ โค้งลักษณะตา่ งๆมาถา่ ยทอดรูปรา่ ง รปู ทรงของบคุ คลและ
แสดงรายละเอยี ดต่างๆ ผลงานนมี้ ีขนาดและสดั ส่วนทถี่ กู ตอ้ งชดั เจน มี
ลกั ษณะพื้นผิวทีเ่ หมอื นจริง ดูจากผวิ เนอื้ มีการขดั และตกแตง่ จนเรียบ
สว่ นเสอื้ ผ้ามลี ักษณะพื้นผิวทีห่ ยาบกว่า ทาใหผ้ ลงานมีความเด่นชดั และ
ให้อารมณ์ความรสู้ ึกมากยงิ่ ข้นึ
สร้ำงสรรค์งำนแบบลดตดั ทอน (Distortion)
หมายถึง การสร้างสรรค์งานศิลปะในลักษณะบิดเบือนไปจากของจริง โดยจะให้ความสาคัญกับ
รูปแบบที่เหมือนจริงน้อยลง แต่ให้ความสาคัญกับรูปแบบจากความคิดของศิลปินมากขึ้น เพ่ือส่ือความงามใน
การรับรู้ให้เข้าใจง่ายและรวดเร็ว การสร้างสรรค์งานทัศนศิลป์รูปแบบแบบตัดทอน เป็นการนาทัศนธาตุมาจัด
องคป์ ระกอบศลิ ป์ของผลงาน โดยการบิดเบือนไปจากของจริงตามความคิดสร้างสรรค์ของศิลปิน เพอ่ื สอื่ ความ
งามในการรบั รู้ให้เขา้ ใจงา่ ยและรวดเร็ว
ชอ่ื ผลงาน ดอกไม้
เทคนิค สนี า้ มนั บนผ้าใบ
ผลงานของศาสตราจารยส์ วัสด์ ตนั ติสุข
ผลงาน จติ รกรรม
ส่อื ความหมาย เป็นผลงานจิตรกรรมห่นุ นิ่งในรปู แบบตดั ทอน ศิลปนิ
สรา้ งสรรคผ์ ลงานด้วยทศั นธาตตุ ่างๆได้อยา่ งกลมกลืนนา่ สนใจ โดยเฉพาะการ
ใช้เสน้ ในการตดั ทอนรปู รา่ ง รูปทรงของหุ่นนง่ิ ใหม้ ีรปู แบบตดั ทอน การจัดวาง
ภาพลงบนบรเิ วณวา่ งทาไดอ้ ย่างเหมาะสม ขนาด สดั สว่ นของภาพกบั ผนื ผ้าใบ
มกี ารจัดวางไดอ้ ย่างสมุดเชน่ กัน แสงเงาและสีของผลงานมกี ารใช้ค่านา้ หนกั
ของสที ีด่ ูกลมกลนื กัน มีการนาสีขา้ งเคียงมาใช้ในการสรา้ งสรรค์ผลงานทาให้
ภาพดูกลมกลนื ดว้ ยสี นอกจากนย้ี งั ถ่ายทอดลักษณะพ้นื ผิวด้วยรอยเชิงฝแี ปรง
ของเสน้ และสี
ตามรอยศลิ ปิน 11
ชื่อผลงาน แมก่ ับลูก
เทคนิค ประตมิ ากรรมปนู ปลาสเตอร์
ผลงานของสุวิช สถติ วิทยานันท์
ผลงาน ประตมิ ากรรมลอยตัว
สอ่ื ความหมาย
เปน็ ผลงานประตมิ ากรรมในรูปแบบตดั ทอน รูปแมก่ ับลูก ศลิ ปินถา่ ยทอด
ผลงานดว้ ยทศั นธาตตุ ่าง ๆ ทเ่ี หน็ ไดอ้ ยา่ งชัดเจนคอื รูปร่าง รปู ทรง ทม่ี ีการตดั
ทอนรายละเอยี ด แสดงเส้นรอบนอกด้วยเสน้ โค้งลกั ษณะต่าง ๆ ได้อยา่ ง
กลมกลนื และสอดคล้องกัน ขนาด สดั สว่ นของผลงานกส็ ัมพนั ธก์ ันเปน็ อย่างดี
สว่ นสีของผลงานน้นั เปน็ สีขาว ซง่ึ เปน็ สีของวสั ดุทีใ่ ชใ้ นการสรา้ งสรรค์คอื ปู
ปลาสเตอร์ เป็นการสอ่ื ความหมายถึงความรักอันบรสิ ทุ ธ์ิระหวา่ งแมก่ ับลูก ใน
ส่วนของพ้นื ผิวจะมลี กั ษณะผวิ เรยี บ ละเอยี ด แสดงถึงความน่นุ นวล ละมุนละไม
ให้ความรสู้ กึ ปลอดภยั นา่ ทะนุถนอม
สร้ำงสรรค์งำนแบบตำมควำมรสู้ ึกนกึ คิดของตนเอง (Abstraction)
หมายถงึ การสร้างสรรค์งานศิลปะท่ไี ม่มรี ูปแบบและเร่ืองราวเหมอื นจรงิ แต่มงุ่ แสดงอารมณ์ความรสู้ กึ
ของศลิ ปินท่ีถา่ ยทอดลงในผลงานการสร้างสรรค์งานทัศนศิลป์รปู แบบตามความรู้สึก เป็นการนาทศั นธาตุมาใช้
ในการจดั องค์ประกอบศลิ ป์และกระตนุ้ ให้เกิดอารมณ์ความรู้สึก เชน่ ความสนกุ สนาน ความตืน่ เต้น ความนา่
กลวั ความเศรา้ ความสับสน ความรอ้ นแรง ความรกั เป็นต้น
ช่อื ผลงาน เปลี่ยนแปลง
เทคนิค สนี า้ มันบนผา้ ใบ
ผลงานของรุ่งศักด์ ดอกบวั
ผลงาน จติ รกรรม
ส่อื ความหมาย เปน็ ผลงานจติ รกรรมในรปู แบบ
ตามความรสู้ ึก ศลิ ปินไดน้ าทศั นธาตุตา่ งๆมาใชใ้ น
การสรา้ งสรรค์ผลงานดว้ ยสี รปู รา่ ง รปู ทรงอิสระ
ไม่มรี ูปแบบทตี่ ายตวั ใหค้ วามรสู้ กึ เคลื่อนไหว ตนื่
ตาตื่นใจ และแสดงถึงความเปล่ียนแปลงอยู่
ตลอดเวลา ศลิ ปินผสมผสานทัศนธาตๆุ ได้อยา่ ง
กลมกลืน มเี อกภาพ
ตามรอยศลิ ปนิ 12
ชอื่ ผลงาน ชวี ติ และศรัทธา
เทคนิค ประตมิ ากรรมหลอ่ โลหะ
ผลงานของเข็มรตั น์ กองสขุ
ผลงาน ประติมากรรมลอยตัว
ส่ือความหมายเป็นผลงานประตมิ ากรรมในรปู แบบตามความรสู้ กึ ทท่ี าให้ผชู้ มใช้จนิ ตนาการและความร้สู กึ ด้วยตนเอง
ศลิ ปินถ่ายทอดผลงานดว้ ยทศั นธาตตุ า่ งๆทเ่ี หน็ ไดอ้ ยา่ งชัดเจนคอื รปู ร่าง รปู ทรง และบริเวณวา่ ง ท่ีมีรปู แบบตามความรสู้ กึ
แสดงเส้นรอบนอกด้วยเสน้ โคง้ และเส้นตรงได้อย่างกลมกลนื และสอดคล้องกนั ขนาด สดั สว่ นของผลงานก็สมั พันธก์ นั เป็นอยา่ ง
ดี ดมู ีความมั่นคง ส่วนสีของผลงานนน้ั เป็นสีแท้ของวสั ดุ ศลิ ปนิ ได้นาบรเิ วณวา่ งมาสรา้ งจุดสนใจในผลงาน โดยการเจาะจง
ผลงานใหเ้ กดิ บรเิ วณวา่ ง
ตามรอยศลิ ปิน 13
ใบงำนที่ 1
เรอ่ื ง สรำ้ งสรรค์งำนทัศนศิลป์ (รปู แบบเหมือนจริง ตัดทอน และนำมธรรม)
คำช้แี จง ใหน้ กั เรียนสรำ้ งสรรคง์ ำนทศั นศิลป์ โดยระบุชือ่ ผลงำน รปู แบบ และแนวควำมคิด
ฃ
ชื่อผลงาน……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
รูปแบบในการสรา้ งงานทศั นศิลป…์ ……………………………………………………………………………………………………………………………
แนวความคิด………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
ชื่อ.......................................................................................................... ชัน้ ............................... เลขท่.ี ...................................
ตามรอยศลิ ปิน 14
ศิลปนิ ทร่ี ู้จกั
ศิลปินทศั นศลิ ปส์ ำขำจติ รกรรม
Vincent Willem van Gogh (วนิ เซนต์ วลิ เลียม แวน โกะห์)
ภาพจากhttps://whatsrightintheworldtoday.wordpress.com
Vincent Willem van Gogh (ภาษาดัตช์ออกเสียงว่า ‘ฟัน โคค’) เกิดที่หมู่บ้านเล็กๆ ในเมืองบรา
บันต์ ตาบลซันเดิร์ต ประเทศเนเธอร์แลนด์ในครอบครัวของบาทหลวง สมัยเด็กเขามีบุคลิกข้ีอาย อ่อนไหว
เงอะงะ และเก็บตัว เม่ืออายุได้ 16 ปี เขาเร่ิมต้นอาชีพการงานด้วยการเป็นลูกจ้างในแกลเลอรีค้างานศิลปะ
ของคุณลุง แต่ด้วยความซ่ือและเถรตรง เขาจึงเบ่ือหน่ายเม่ือแกลเลอรีมักจะเอางานช้ันเลวมาหลอกขายให้
ลูกค้าท่ีไม่รู้จักงานศิลปะ หลายต่อหลายคร้ังเขาถึงกับบอกให้ลูกค้าไม่ซ้ือภาพวาดเหล่านั้นจนทาให้ถูกไล่ ออก
จากงานในทีส่ ุด
จากนั้น เขาหันไปศึกษาศาสนาอย่างจริงจังและย้ายไปอาศัยในเหมืองถ่านหินในเมืองกันดารเพ่ือ
เทศนาส่ังสอนช่วยเหลือคนทุกข์ยากในเหมืองโดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ด้วยความตั้งใจใฝ่ฝันที่จะเป็นนักเทศน์
แตก่ ป็ ระสบความลม้ เหลว ในช่วงนเ้ี องที่เขาเร่ิมสเกตซ์และวาดภาพคนในเหมอื งเอาไว้
หลังจากกลับมาอยู่บ้านกับพ่อแม่ แวน โกะห์ หวนกลับมาวาดรูปอีกครั้ง เร่ิมต้นจากการวาดภาพคน
และทิวทัศน์ดว้ ยการศึกษาเทคนคิ การวาดภาพจากหนงั สือกายวิภาคและทัศนียภาพ รวมถงึ หนังสอื ศิลปะต่างๆ
เขาวาดภาพชาวนาและทิวทัศน์ในละแวกบ้านด้วยปากกาและสีน้า ในช่วงแรกเขาได้แรงบันดาลใจจากศิลปิน
ช้ันครูอย่าง Jean-François Millet, Honoré Daumie และ Rembrandt ซึ่งว่ากันว่าการเซ็นชื่อศิลปินด้วย
ชอ่ื ต้นอยา่ ง Vincent แทนที่จะเป็นช่อื สกุลก็ไดแ้ รงบนั ดาลใจมาจากเรมบรันดตน์ ่นั เอง
ตามรอยศลิ ปนิ 15
ในช่วงปี 1881 เขาไดเ้ ข้าเรียนศลิ ปะกับ Anton Mauve จติ รกรเหมือนจรงิ ชน้ั ครูแห่งสถาบัน Hague
School ในกรงุ เฮกที่ไม่เพียงสอนพน้ื ฐานการวาดภาพ การใชส้ ีน้าและสนี า้ มัน หากแตย่ ังขยายขอบเขตพ้ืนฐาน
การแสดงออกในฐานะศิลปนิ ให้เขาดว้ ย ในช่วงนีเ้ องท่ีเขาวาดภาพหุ่นนิ่งรปู กะหล่าปลแี ละรองเทา้ ไม้ หรอื Still
Life with Cabbage and Clogs (1881) ดว้ ยการ
ใชส้ เี อริ ธ์ โทนมืดหม่นสไตล์ดัตช์ ผสมผสานกับการ
ใช้แสงสว่างสดใสซ่ึงกลายเป็นสไตล์อันเป็น
เอกลักษณเ์ ฉพาะตวั ของเขาในภายหลงั
Still Life with Cabbage and Clogs (1881)
ภาพจากhttps://commons.wikimedia.org
ปี 1882 เขาวาดภาพทิวทศั นส์ ีน้ามนั
ภาพแรกๆ ของตัวเองอย่าง View of
the Sea at Scheveningen (1882)
นาเสนอทิวทัศน์ท้องทะเลใกล้กับ
กรุงเฮกในรูปแบบเหมือนจริงผสม
กับการใช้ฝีแปรงอันหนาหนักแบบ
Impasto ซ่ึงคล้ายคลึงกับงานศิลปะ
อิมเพรสชั่นนิสม์ท่ีกาลังเฟ่ืองฟูในยุค
นน้ั นอกจากน้ีเขายงั ได้รบั การว่าจ้าง
ให้วาดภาพลายเสน้ ทิวทศั น์เมืองของ
กรุงเฮกจากลุงของเขาอีกดว้ ย
View of the Sea at Scheveningen (1882) ภาพจากhttps:// en.wikipedia.org
ถึงอยา่ งนน้ั ชีวิตของแวน โกะห์ กลบั ไม่สดใสอยา่ งภาพเพราะหลงั จากน้ันเขาประสบกบั มรสมุ ชวี ติ ท้ัง
จากการเสยี ชีวิตของพอ่ และความผิดหวงั ในความรกั ปลายปี 1883-1885 แวน โกะห์ ใชเ้ วลาอยใู่ นหมบู่ ้านทาง
เหนือของเมืองนูนเอิน และมุ่งเน้นบันทึกภาพชีวิตของชาวไร่ ชาวนา และช่างทอผ้า ในช่วงนี้นี่เองที่เขาวาด
The Potato Eaters (1885) ที่นาเสนอภาพชีวิตของครอบครัวชาวนาล้อมวงกินอาหารมื้อค่าอย่างสมถะ
แสดงใหเ้ หน็ แสงเงาอันจดั จา้ นท่เี ขาได้รับอิทธิพลมาจากเรมบรนั ดต์
ตามรอยศิลปิน 16
The Potato Eaters (1885) / commons.wikimedia.org
ช่วงปี 1886 แวน โกะห์ เข้าเรียนในสถาบัน Antwerp Academy เป็นช่วงสั้นๆ ก่อนที่จะย้ายไปอยู่
อาศัยในปารีสกับ Theo น้องชายของเขาซ่ึงเป็นนายหน้าค้างานศิลปะผู้มีชื่อเสียง ท่ีน่ัน ธีโอแนะนาให้เขารู้จัก
กับผลงานของศิลปินอิมเพรสช่ันนิสม์ชื่อดังในยุคนั้นอย่าง
Claude Monet, Pierre-Auguste Renoir แ ล ะ Georges
Seurat ซ่ึงสง่ อิทธิพลต่อการทางานของเขาอยา่ งมาก แวน โกะห์
ได้ทาความรู้จักและสนิทสนมกับศิลปินหนุ่มอีกคนอย่าง Paul
Gauguin ในช่วงเวลาดว้ ย
ช่วงปี 1887 แวน โกะห์ เร่ิมทดลองใช้เทคนิคการแต้ม
จุดสี (pointillist) ท่ีได้รับอิทธิพลจากเซอราในการวาดใบหน้า
ของตัวเองหลายภาพ อาทิ ภาพ Self-Portrait with Grey Felt
Hat (1887) ที่ใช้ปื้นสีเล็กๆ จานวนนับไม่ถ้วนผสานตัวกันเป็น
รูปเป็นร่างเม่ือมองในระยะไกล และเพื่อสร้างอารมณ์ความรู้สึก
ของความเคลือ่ นไหวแห่งสสี ันในภาพ
Self-Portrait with Grey Felt Hat (1887)
ภาพจากhttps:// vincentvangogh.org
ในช่วงน้ันเองที่แวน โกะห์ เริ่มสนใจงานศิลปะญ่ีปุ่นท่ีเรียกว่า Ukiyo-e อันเต็มไปด้วยสีสันสดใส
ฉูดฉาดบาดตา เขาและศิลปินในยุคสมัยน้ันอย่าง โมเนต์ และ Edgar Degas ต่างสะสมภาพเหล่าน้ีและได้รับ
อิทธิพลของการใช้องค์ประกอบและสีสันมากันถ้วนหน้า เป็นส่วนหน่ึงของกระแสความนิยมที่เรียกขานว่า
Japonisme นั่นเอง
ตามรอยศิลปิน 17
ด้วยอิทธิพลนี้ แวน โกะห์ คัดลอกและดัดแปลงภาพนางโลมของศิลปินอุกิโยเอะชาวญ่ีปุ่น Keisai
Eisen ออกมาเป็นแบบฉบับของเขาเองในภาพ Courtesan after Eisen (1887) แต่เปล่ียนฉากหลังจากดอก
ซากรุ ะในภาพต้นฉบับให้เปน็ ดอกบัวในสระแทน
Courtesan after Eisen (1887) / art-vangogh.com
ปี 1888 แวน โกะห์ ย้ายออกจากบ้านของธีโอในปารีสไปอยู่ในเมืองอาร์ลส์ ทางตอนใต้ของฝรั่งเศส
โดยไปเชา่ บา้ นท่ีมีช่ือเรียกว่า ‘บ้านสีเหลือง’ และวาดภาพทวิ ทัศน์ท้องทงุ่ ดอกไม้ ทอ้ งทะเล ทิวทัศนเ์ มือง และ
บุคคล ไม่ว่าจะเป็นภาพ The Yellow House (The street) (1888), The Bedroom (1888) และผลงานท่ี
เพงิ่ ถูกคน้ พบลา่ สุดเมือ่ ปี 2013 อย่าง Sunset at Montmajour (1888)
ที่น่ี เขายังทางานต่อเนื่องจากช่วงที่อยู่กับน้องชายที่
ปารีส เป็นชุดภาพวาดดอกทานตะวันดอกใหญ่สีเหลืองอร่าม
ทา่ มกลางฉากหลากสไตล์ ภาพอันสดใสชุดนี้กลายเป็นท่รี ักของ
บรรดาผู้เช่ียวชาญ นักวิจารณ์ และคนรักศิลปะทั่วโลกจากการ
ใช้ค่าสีเหลืองหลากหลายเฉดกับฝีแปรงหนาหนักจนกลีบและ
เกสรดอกไม้มีความนูนดูเป็นสามมิติ ผสมผสานความเรียบง่าย
ซ่ือตรงเข้ากับรายละเอียดอันรุ่มรวยเปี่ยมอารมณ์ ตามแบบ
ฉบบั เฉพาะตัว
The Yellow House (The street) (1888)
ภาพจากhttps://art-vangogh.com
ตามรอยศลิ ปิน 18
Sunflower / en.wikipedia.org
หลังจากนี้ แวน โกะห์ เผชิญหน้ากับความทุกข์ทรมานจากอาการเจ็บป่วยทางจิต เขาเข้ารกั ษาตัวที่ใน
โรงพยาบาลจิตเวช Saint Paul ในเมืองแซ็ง-เรมี-เดอ-พรอว็องส์ แต่ถึงจะเป็นแบบน้ัน เขาก็ยังสร้างสรรค์
ผลงานออกมาอย่างต่อเน่ืองเป็นจานวนมากท้ังภาพทิวทัศน์รอบโรงพยาบาลที่แวดล้ อมด้วยต้นมะกอกและต้น
สนไซเปรส ภาพวาดดอกไอริสในสวน ภาพวาด Starry Night Over the Rhône (1888) และภาพวาด The
Starry Night (1889) อนั เป็นที่รักและนา่ จดจามากทสี่ ดุ ในประวัติศาสตรศ์ ิลปะโลกตะวันตก
Self-Portrait with Bandaged Ear (1889) / vangoghmuseum.nl
Starry Night Over the Rhône (1888) The Starry Night (1889)
ภาพจากhttps:// commons.wikimedia.org ภาพจากhttps://en.wikipedia.org
ตามรอยศลิ ปิน 19
ในท่ีสุด ปี 1890 เขาออกจากโรงพยาบาลมาอยู่ใกล้ๆ กับน้องชายในเมืองเล็กๆ ใกล้กรุงปารีสชื่อ
Auvers-sur-Oise อาการป่วยทางจิตของเขาเริ่มย่าแย่ลงเรื่อยๆ ขณะเดียวกัน แวน โกะห์ ยังคงสร้างสรรค์
ผลงานอย่างไม่หยุดหย่อน เขาสร้างผลงานออกมากว่า 80 ช้ินท่ีล้วนแล้วแต่ใช้สีสันสดใสเจิดจ้า เดือนสุดท้าย
ของชวี ิตเขาหนั มาใช้โทนสเี ขยี ว นา้ เงิน เส้นโค้งเปน็ ลอนลูกคลนื่ บิดเบือนวัตถุและรูปทรง
หลังจากวาดภาพ Wheatfield with Crows (1890) ที่เช่ือกันว่าเป็นผลงานช้ินสุดท้ายในชวี ิตของเขา
ในวันท่ี 27 กรกฎาคม 1890 มีคนพบแวน โกะห์ ถูกยิงท่ีหน้าอกอาการบาดเจ็บสาหัสก่อนเสียชีวิตในอีกสอง
วันต่อมาด้วยอาการติดเชื้อในกระแสเลือดในวัยเพียง 37 ปี รายงานอย่างเป็นทางการระบุว่าเขาฆ่าตัวตายแต่
ล่าสุดมีการต้ังข้อสันนิษฐานว่าเขาน่าจะเสียชีวิตจากอุบัติเหตุในยามท่ีมีปากเสียงกับเด็กหนุ่มผู้คึกคะนองใน
ละแวกนัน้ มากกว่า
Wheatfield with Crows (1890) / en.wikipedia.org
ในช่วงเวลาแค่เพียงสิบกว่าปีของอาชีพการงาน แวน โกะห์ สร้างสรรค์ผลงานศิลปะราว 2,100 ช้ิน
เปน็ ภาพวาดสนี ้ามนั กวา่ 900 ชิ้น และภาพวาดลายเส้น 1,100 ชน้ิ ส่วนใหญท่ าข้นึ ในชว่ งเวลาสองปสี ดุ ท้ายใน
ชีวิตเขา ถึงแม้ในช่วงท่ียังมีชีวิตอยู่ แวน โกะห์ จะประสบความล้มเหลวด้านรายได้ในอาชีพศิลปินด้วยความท่ี
ผลงานของเขานั้นแปลกใหม่ล้าหน้ามาก่อนกาล ตลอดชีวิตเขาจึงขายภาพวาดได้เพียงภาพเดียวเท่านั้นและมี
ชีวิตอยู่ด้วยความลาบากยากจน แต่ภายหลังจากที่เขาเสียชวี ติ ภาพวาดของแวน โกะห์ กลับกลายเป็นที่นิยม
ข้ึนมาอย่างมากจากการผลกั ดันของ Johanna van Gogh-Bonger ภรรยาหม้ายของธีโอ น้องชายของเขา ทา
ให้ในปัจจุบัน ผลงานท่ีไม่มีใครแยแสตอนที่เขายังมีชีวิตกลับกลายเป็นของล้าค่า ราคาพุ่งพรวด บางภาพ
กลายเปน็ ภาพวาดทีม่ ีราคาแพงทีส่ ดุ ในโลก บางภาพมีราคาสงู กว่า 100 ล้านดอลลารส์ หรัฐ
ตามรอยศิลปนิ 20
Piet Mondriaan (ปีต โมนดรียาน)
ภาพจากhttps://th.wikipedia.org/wiki/ปตี _โมนดรียาน
Piet Mondriaan ปีต โมนดรียาน เป็นลูกชายของปีเตอร์ กอร์เนลิส โมนดรียาน และโยฮันนา กริสตี
นา โกก (Johanna Christina Kok) ในปี ค.ศ. 1880 ครอบครัวของเขาไดย้ า้ ยไปยงั เมืองวินเตอร์สไวก์ ภายหลงั
จากนั้นเขาได้พบกับครอบครัวของลุงฟริตส์ โมนดรียาน (Frits Mondriaan) ผู้ซ่ึงเป็นจิตรกร และเป็นผู้ริเริ่ม
สอนการวาดภาพให้แก่โมนดรียาน ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1889 จนกระทั่งปี ค.ศ. 1892 โมนดรียานได้ย้ายมาท่ีกรุง
อัมสเตอร์ดัมเพ่ือเข้าศึกษาด้านศิลปะที่สถาบันทัศนศิลป์หลวง (Rijksakademie van Beeldende Kunsten)
จนถึงปี ค.ศ. 1897 เข้าได้ศึกษา ฝึกฝนทางด้านงานจิตรกรรมอย่างหนักหน่วง ไม่ว่าจะเป็นการวาดภาพ
ทวิ ทัศน์ ภาพเหมอื น และภาพหนุ่ น่ิง
ผลงานระยะแรกของโมนดรียานน้ันจะได้รับอิทธิพลมาจากความเป็น ธรรมชาตินิยมและกลุ่มดัตช์อิม
เพรสชันนิสม์ (impressionism) เขาชอบ
ออกไปวาดภาพธรรมชาติ ใช้สีค่อนข้างจะ
เศร้า มีโครงร่างเป็นสีเทาและเขียวทึบ
ระหว่างปี ค.ศ. 1907-1910 ท้ังความคิด
และผลงานตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของจิตร
กรชาวดัตช์ผู้มีชื่อเสียงย่ิงในยุคน้ัน คือ ยัน
โตโรป (Jan Toorop) โดยมีการแสดงออก
ตามแนวของกล่มุ สัญลกั ษณ์นิยม
Mill at Evening, 1905 ภาพจากhttps://th.wikipedia.org/wiki/ปตี _โมนดรยี าน
ตามรอยศิลปิน 21
ในช่วงนั้นเขาได้วาดภาพที่แสดงให้เห็นถึงสภาพบ้านเกดิ ของเขาอย่างชดั เจน ดว้ ยการวาดภาพกังหันลม
ทุ่งหญ้า และแม่น้า ซ่ึงเป็นรูปแบบท่ีนิยมในกลุ่มดัตช์อิมเพรสชันนิสม์จากสกุลศิลปะเฮก (Hague School)
ภาพวาดเหล่านี้เป็นการแสดงถึงจินตนาการของโมนดรียานท่ีได้รับอิทธิพลมาจากศิลปินหลายคน หลายกลุ่ม
ซึ่งรวมถึงลัทธิผสานจุดสีและการใช้แสงสี
ท่ีจัดจ้านสว่างไสวของ คติโฟวิสต์ ท่ี
พิ พิ ธ ภั ณ ฑ์ เ ท ศ บ า ล เ มื อ ง เ ด อ ะ เ ฮ ก
( Gemeentemuseum Den Haag) เ อ ง
ได้มีการจัดแสดงภาพวาดในช่วงเวลานี้
เช่นกัน รวมทั้งผลงานในลทั ธิประทบั ใจยุค
หลัง เช่น The Red Mill and Trees in
Moonrise และในงานอื่น ๆ
Windmill by the Water,1900-1904ภาพ
จากhttps://th.wikipedia.org/wiki/ปตี _โมนดรยี าน
และในเวลาต่อมาเขาได้ก็พัฒนารูปแบบและค้นคว้าเรื่อยมาจนกระทั่งมีรูปแบบเป็นเอกลักษณ์ของ
ตนเอง โดยการเร่ิมต้นใช้สีท่ีประกอบด้วยสีแดง สีเหลือง และสีน้าเงิน ซ่ึงเป็นรูปแบบของงานแบบนามธรรม
เข้าถึงและเข้าใจได้ยาก และในเวลาต่อมาการเร่ิมต้นนี้ก็ได้เป็นตัวส่งอิทธิพลให้กับของงานโมนดรียานเองอีก
หลายงาน
ในช่วงหนึ่งโมนดรียานได้เริ่มเปลี่ยนแปลงความสนใจทางงานศิลปะของเขา ด้วยการเข้าชมนิทรรศการ
ของกลุ่มบาศกนิยม "Moderne Kunstkring Exhibition" ท่ีกรุงอัมสเตอร์ดัม เขาได้ค้นคว้าจากการแสดงให้
เห็นรูปแบบที่ธรรมดาของด้วยกัน 2 รูปแบบ จากภาพนิ่งของ Ginger Pot (Stilleven met gemberpot)
รูปแบบแรกในปี ค.ศ. 1911 ซึ่งเป็นภาพท่ีได้รับอิทธิพลมาจากกลุ่มบาศกนิยม และรูปแบบท่ี 2 ในปี ค.ศ.
1912 ซงึ่ เขาลดทอนรูปแบบจากวงกลม การมเี ส้นคดโคง้ มาเปน็ สามเหลยี่ มและสีเ่ หลี่ยมผืนผา้ แทน
อีกท้ังในปี ค.ศ. 1911 โมนดรียานได้ย้ายเข้าสู่กรุงปารีส ที่แห่งน้ันมีความเจริญ และเป็นใจกลาง
ทางด้านงานศิลปกรรมแหง่ ยคุ นัน้ เขาไดเ้ ปลีย่ นนามสกุลของเขาในเวลาเดยี วกันนีด้ ว้ ยโดยตดั อกั ษรอา (a) หนึ่ง
ตัวออกจากนามสกุลเดิม จาก "โมนดรียาน" (Mondriaan) เป็น "โมนดรียัน" (Mondrian) แต่การเปลี่ยน
ลายเซ็นบนผลงานของเขาได้ปรากฏให้เห็นตั้งแต่ปี ค.ศ. 1907 ในระหว่างท่ีเขาอาศัยอยู่ในปารีส และในช่วง
นนั้ เองรูปแบบศลิ ปะแบบบาศกนิยมกาลังเปน็ ที่แพรห่ ลายอยู่ เขาจงึ ไดร้ ับอิทธิพลการทางานศิลปะจากกลุ่มบา
ศกนิยมของปาโบล ปีกัสโซ และฌอร์ฌ บรัก ซ่ึงปรากฏให้เห็นในงานภาพชุดของโมนดรียาน ซ่ึงสร้างช่ือเสียง
ให้กับเขาเป็นอย่างมาก ภาพชุดนี้ประกอบไปด้วยทิวทัศน์ หุ่นน่ิง และต้นไม้ท่ีแสดงวิวัฒนาการตั้งแต่ดูเหมือน
จริงเร่ือยมาจนกลายเป็นภาพแบบนามธรรม ด้วยการลดทอนรูปทรงต่าง ๆ จากการที่ปรากฏเส้นคดโค้ง
ตามรอยศลิ ปนิ 22
กลายเป็นเพียงเส้นตรงที่เข้ามาแทนท่ี ความลึกตามหลักทัศนียภาพหายไป เหลือเพียงระนาบแบบ 2 มิติ มี
เพียงเส้นตรงในแนวตั้งและแนวนอนที่สร้างจังหวะจะโคน ผลลัพธ์ที่ได้จึงเป็นรูปทรงแบบเรขาคณิต ท่ีปรับ
ความแขง็ กระด้างของเสน้ ตรงเหลา่ นนั้ ดว้ ยการนาเอาแม่สีซ่งึ เป็นสสี นั ที่สดใสเข้ามาชว่ ยขัดกนั ให้ดนู ุ่มนวลขึน้
Dune II, 1909/ภาพจากhttps:// th.wikipedia.org/wiki/ปตี _โมนดรียาน
เมื่อปีเกิดสงครามโลกคร้งั ท่ี 1 ในปี ค.ศ. 1914 โมนดรยี านได้ย้ายกลับไปท่เี นเธอรแ์ ลนด์ และเรม่ิ ค้นหา
แนวทางไปสู่คตินิยมการสร้างงานแบบนามธรรม มีการพัฒนาทฤษฎีเกี่ยวกับเส้นตรงและเส้นระดับสายตา ใน
ปี ค.ศ. 1915 เขาได้พบกับเตโอ ฟัน ดุสบืร์ค ท้ังสองได้ร่วมกันก่อต้ังกลุ่มเดอสไตล์ขึ้นในปี ค.ศ. 1917 ซ่ึงเป็น
นิตยสารท่ีนาเสนอแนวทางใหม่ ๆ ที่ท้ังสองเห็นพ้องต้องกันให้กับรูปแบบทางศิลปะ ด้วยศิลปะแบบนามธรรม
จนกระท่ังปี ค.ศ. 1924 แนวการทางานของนิตยสารก็ไดเ้ ปลยี่ นแปลงไปจากเดมิ
ศิลปินในกลุ่มเดอสไตล์นิยมใช้รูปทรงง่าย ๆ ได้แก่ ส่ีเหล่ียมมุมฉาก สี่เหลี่ยมผืนผ้า นิยมใช้เส้นที่หนา
และสีขั้นท่ี 1 คือ สีน้าเงิน เหลือง แดง หรือสีขาวและสีดา การทางานในลักษณะนี้บางครั้งเรียกกันว่า "ลัทธิ
รปู ทรงแนวใหม"่
ตามรอยศลิ ปิน 23
Composition II in Red, Yellow, and Blue, 1937
ภาพจากhttps:// th.wikipedia.org/wiki/ปตี _โมนดรยี าน
ในปี ค.ศ. 1938 สงครามโลกครั้งท่ี 2 ได้ปะทุขึ้น โมนดรียานจึงได้ย้ายจากปารีสไปสู่ลอนดอนเพื่อ
หลีกเลี่ยงการรุกรานจากเหล่าทหารนาซี ท่ีน่ันเขาได้พบกับเบน นิโคลสัน (Ben Nicholson), นาอุม กา
โบ (Naum Gabo) และบาร์บารา เฮปเวิรท์ (Barbara Hepworth)[5] ซึ่งได้ใหค้ วามช่วยเหลอื แก่เขาในดา้ นการ
หาท่ีพักอาศยั เครอื่ งอุปโภคบริโภค
โมนดรียานยังคงดาเนินการสรา้ งงานในรปู แบบของตนเองเรือ่ ยมา หากเกิดแรงบันดาลใจใหม่จากเมือง
ท่ีเขาอาศัยอยู่นั่นก็คือนิวยอรก์ เขาจึงเริ่มสร้างผลงานชุดชอ่ื ว่า NewYork และ NewYork City ขึ้นมา หากแต่
รูปแบบท่ีโมนดรยี านประทับใจตอ่ นิวยอรก์ กลับเรมิ่ ปรากฏท่ีผลงาน Broadway Boogie-Woogie และผลงาน
ท่ียังวาดไม่เสร็จ Victory Boogie-Woogie ซึ่งเป็นการแสดงถึงความประทับใจจากโมนดรียานต่อแสงสีและ
ความร่ืนเริงของนิวยอร์ก เขายังคงพื้นฐานเดิมของงานศิลปะในแบบเขาด้วยเส้นตรงแนวตั้งและแนวนอน
หากแตเ่ ขาไดเ้ พ่ิมจังหวะของผลงานเขา้ ไปดว้ ย โดยการทาเสน้ สรี ะยะสั้น ๆ ต่อกนั อยา่ งหลากหลาย เสมอื นกับ
จังหวะเพลงและชีวิตอนั วุ่นวายของชาวเมืองนิวยอร์ก ซง่ึ โมนดรียานเองยังคงมีความเหน็ ว่าผลงานของเขาไม่ได้
สิ้นสุดลง แต่เป็น "ข้ันสุดท้ายของการค้นหารูปทรงอันบริสุทธ"์ิ และในปี ค.ศ. 1942 ท่ี Valentine Dudensin
Gallery ในนิวยอร์ก โมนดรียานได้มโี อกาสการจดั แสดงผลงานของเขาครัง้ แรกท่ีสหรฐั อเมริกาของเขาขน้ึ มา
ตามรอยศิลปนิ 24
Broadway Boogie-Woogie, 1942-43 ภาพจากhttps:// th.wikipedia.org/wiki/ปตี _โมนดรียาน
Victory Boogie-Woogie, 1943-44ภาพจากhttps:// th.wikipedia.org/wiki/ปตี _โมนดรยี าน
และที่สุดท้ายของการย้ายมาพักพิงของโมนดรียานในระยะเวลาเพียง 4 ปี เขาได้เสียชีวิตลงที่น่ีเม่ือ 1
กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1944 ขณะมีอายุได้ 71 ปี ด้วยอาการปอดบวม ร่างของเขาถูกฝังไว้ที่สุสานไซเพรสส์ฮิลส์
บรูคลนิ (Cypress Hills Cemetery) ในนวิ ยอร์ก
ตามรอยศิลปนิ 25
ประเทือง เอมเจริญ
ภาพจากhttps://kanchanaburi.center/2017/06/29/หอศิลปเ์ อมเจรญิ
ประเทือง เอมเจริญ เกิดเมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2478 บ้านริมคลองบางไส้ไก่จังหวัดธนบุรี ปัจจุบันเป็น
สว่ นหนึง่ ของกรุงเทพมหานคร เปน็ บุตรคนท่ี 2 จาก 3 คน ของนายชติ และนางบุญช่วย ทฐ่ี านะทางครอบครัว
ค่อนข้างยากจน ประเทืองเข้าเรียนช้ันประถมที่โรงเรียนเทศบาลวัดสุทธาวาสใกล้ๆบ้าน แต่ก็จบป 4 บิดาของ
ท่านผู้เป็นเสาหลักของครอบครัวถึงแก่กรรมจึงจาใจต้องออกจากโรงเรียนเพ่ือมาช่วยท่ีบ้านทางานหารายได้
แทนท่ีจะได้เรียนหนงั สือวิ่งเลน่ กบั เพ่อื นๆตามประสาเด็ก ประเทืองตอ้ งกระเสือกกระสนทางานหนักทั้งทาสวน
ขายขนม แบบหาม เดก็ เสริ ์ฟกาแฟ และอาชีพอ่ืนๆอกี มากมาย
มอี ยู่ช่วงหนง่ึ ที่ประเทืองและพช่ี ายไม่พอใจแม่ท่ีมีสามีใหม่ เลยพากนั หนีออกจากบ้านไปเป็นคนเร่ร่อน
ชานาญ เอมเจริญ พ่ีชายของประเทืองจบจากเพาะช่าง จะมีความรู้ด้านศิลปะ พาประเทืองไปตะเวนรับจ้าง
ออกแบบเขียนป้ายโฆษณา ทาสีศาลพระภูมิ ไม่เกี่ยงแม้กระท่ังล้างรถหรืองานอะไรก็ได้ถ้ามีคนจ้าง วันไหนมี
งานก็มีรายได้แค่พอซ้ือข้าวซื้อน้าประทังชีวิต นอนตามสวนสาธารณะ อยู่อย่างนั้นครึ่งปี จึงตัดสินใจลาบาก
หน้ากับไปหาแม่ท่ีบา้ นตามเดิม
หลังจากกลับมาอยู่บ้าน พ่ีชายของประเทืองได้งานทาที่บริษัททาป้ายชื่อว่า เอสจันโฆษณา เลยพา
น้องชายซ่ึงมีวุฒิแค่ ป.4 ไปฝากงานด้วย ประเทืองเร่ิมงานประจาท่ีบริษัทในตาแหน่งพนักงานทาความสะอาด
นับเป็นลูกมือเตรียมสีให้ช่างเขียน เงินเดือนเดือนแรก 80 บาท ทางานอย่างขยันขันแข็งเคียงคู่กับการเรียนรู้
เทคนิคการเขียนป้ายจนไดเ้ ล่อื นตาแหน่งเป็นช่างใหญเ่ งินเดือนละ 1000 บาทได้อย่างรวดเร็ว
ระหวา่ งท่ที างานอยู่ทเ่ี อสจันโฆษณา ประเทืองมักใช้เวลาในวันหยุดไปชว่ ยงานนอ้ งชาย ประเสริฐ เอม
เจริญ ทท่ี าอาชีพวาดภาพประกอบในโรงหนงั และมีงานลน้ มือจนทาไมท่ ัน ประเทืองไปช่วยมาจนเวลาทมี่ ีใน
วนั หยดุ ไม่พอ กเ็ ลยตัดสนิ ใจลาออกมาเป็นชา่ งเขียนภาพประกอบหนัง เหมือนน้องชายด้วยอีกคน ประเทืองมี
ฝีมือดี งานไว ทาใหค้ ่อยๆเปน็ ท่รี ู้จักในวงการ ทารายไดเ้ ป็นกอบเป็นกา ถงึ เดือนละหลกั หม่นื และไดส้ รา้ ง
ครอบครัวในเวลาต่อมา
ตามรอยศลิ ปนิ 26
ในช่วงนัน้ ประเทืองใชเ้ วลาวา่ งจากงานและครอบครวั ไปศึกษาศลิ ปะด้วยตนเอง โดยการพบปะ
แลกเปลีย่ นความคิดกบั ผรู้ ู้ ดูนิทรรศการ ดหู นงั สือจากต่างประเทศ ดลู ะคร และดูหนัง จนวนั หนง่ึ ประเทอื งได้ดู
หนงั ฝรั่งเรื่อง lust for life เนอ้ื เรื่องเก่ยี วกับชวี ประวัติของวินเซนตแ์ วนโกะ๊ ศลิ ปินชาวดัตชผ์ มู้ ีชีวิตกลับมาโด่ง
ดงั คบั ฟ้าเมื่อเจา้ ตวั ลาโลกไปแลว้ ประทืองชอบหนังเร่ืองน้ีมาก ชีวติ ของแวนโก๊ะสะกิดใจให้ประทืองถามตัวเอง
ว่า จุดมงุ่ หมายหลกั ในชวี ิตทแ่ี ท้จรงิ คอื อะไร ประเทืองมองว่างานที่ทาอยถู่ งึ แมจ้ ะทาให้ชีวิตสุขสบายดว้ ยเงนิ
แตก่ ็เป็นแคก่ ารรับจา้ งไม่มจี ติ วิญญาณ
ปีนั้นเป็นปี พ.ศ. 2505 ประเทืองมีอายุได้ 27 ปี ไดต้ ดั สนิ ใจมุ่งมนั่ เปน็ ศิลปนิ อยา่ งปจั จบุ ันทันด่วน
อปุ สรรคก็เริ่มเข้ามาเรือ่ ยๆ ผลงานศิลปะของประเทืองขายไม่ได้เลยสกั ช้ิน จนไม่มรี ายได้เล้ยี งครอบครวั
บนเส้นทางศิลปะอันมืดมิดของประเทือง แสงสว่างแห่งความสาเร็จเริ่มจะมองเห็นอยู่ราไร เมื่อท่าน
ส่งผลงานเข้าประกวดในงานแสดงศิลปกรรมแห่งชาติครั้งที่ 17 ประจาปี พ.ศ.2510 ผลงานท่ีส่งไปเป็นภาพ
แนวนามธรรมท่มี ีชอื่ วา่ “เลอื ด ทอง คอนกรตี ” สามารถควา้ รางวัลเหรยี ญเงินมาได้ พรอ้ มเงนิ รางวลั อกี 5,000
บาท หลังจากนั้นในปีต่อๆไป ประเทืองก็ส่งผลงานเข้าประกวดอีกและได้รับรางวัลอีกหลายรา งวัล จน
สาธารณชนเริ่มรจู้ กั
ประเทืองเร่ิมมีชื่อเสียงและค่อยๆขายผลงานศิลปะได้ จากภาพวาดสมัยอดมื้อกินมื้อ ที่ดูมืดๆทึมๆ
ประเทอื งพัฒนาผลงานชุดต่อๆมาให้มสี ีสันสวา่ งไสวยงิ่ ขน้ึ โดยใช้ดวงอาทิตยเ์ ปน็ แรงบันดาลใจ ประเทอื งตื่นแต่
ไก่โห่เพื่อดูดวงอาทิตย์ต้ังแต่แสงแรกของรุ่งอรุณ พิจารณาดูความเปล่ียนแปลงของเฉดสีของแสงในแต่ละ
ช่วงเวลาของวันจนพระอาทิตย์ตกลับขอบฟ้าไป และจาเอามาวาดเป็นภาพนามธรรมของจักรวาล ดาวฤกษ์
และรปู ทรงตา่ งๆ ทีเ่ ต็มไปด้วยรายละเอยี ดและสสี นั จดั จ้านน่าสนใจ
พระอาทิตย์ (2516) สีนา้ มนั /ภาพจากhttps://silpakornwichitrong.blogspot.com/2015/10/blog-post
ตามรอยศิลปนิ 27
จักรวาล (2516) สนี ้ามันภาพจากhttps://silpakornwichitrong.blogspot.com/2015/10/blog-post
ต่อมาเมอื่ เกิดเหตุการณท์ ่ีรฐั บาลออกมาปราบปรามนกั ศกึ ษาในวันที่ 14 ตลุ าคม 2516 ประเทอื งกเ็ ร่ิม
สรา้ งสรรคผ์ ลงานท่ีสะท้อนความรู้สึกเกี่ยวกับการเมืองออกมาหลายชิน้ ภาพธงชาติ กะโหลก หยดเลือด ปนื รู
กระสุนถูกสร้างสรรค์ออกมาเพื่อเตือนสติผู้ชมให้ระลึกถึงวันมหาวิปโยคน้ัน และช่วยกันป้องกันไม่ให้เกิด
เหตุการณ์ซ้ารอยเดิมอีก ภาพชุดนี้กลายเป็นภาพชุดประวัติศาสตร์ในวงการศิลปะไทย ท่ีมักถูกหยิบยกมา
กล่าวถึงเสมอ ในเรือ่ งความสานึกรับผิดชอบของศลิ ปินที่มสี ว่ นช่วยในการจรรโลงสงั คม
“บ้ารักชาติ” สีนา้ มนั (2519)ภาพจากhttps://jumpsuri.blogspot.com/2014/02/blogpost
เม่ือบา้ นเมืองกลับมาสงบอกี ครัง้ ประเทอื งกก็ ลับไปค้นหาแรงบันดาลใจจากธรรมชาติ ออกเดินทางไป
ซึมซับความรู้สึกของป่าเขา ทุ่งนา แม่น้า และทะเล ถ่ายทอดความประทับใจจากส่ิงรอบตัวสร้างสรรค์ออกมา
เป็นผลงานศิลปะที่สมบูรณ์แบบ ภาพวาดของประเทืองถึงแม้ส่วนใหญ่จะเป็นแนวนามธรรม แต่ก็เป็นภาพที่
ตีความได้ไมย่ าก องคป์ ระกอบ รายละเอยี ด สสี นั ดูสวยงามอยา่ งไม่ตอ้ งลงั เลใจ
ตามรอยศลิ ปนิ 28
“แสงสว่างแหง่ ทะเล 1” สีนา้ มัน (2533) “แสงสวา่ งแหง่ ทะเล 8” สนี ้ามนั (2533)
ภาพจากhttps://mocabangkok.com/th ภาพจากhttps://mocabangkok.com/th
จากความสาเรจ็ ในการใช้ชวี ิตแบบทุ่มหมดตัวใหก้ ับศิลปะ ท่านได้รับรางวัลยกย่องเป็นศิลปินแห่งชาติ
สาขาทัศนศิลป์ จิตรกรรม เมื่อปี พ.ศ. 2548 ท่านย้ายจากกรุงเทพฯ ไปอยู่กาญจนบุรีและเปิดหอศิลป์เอม
เจริญ เอาไว้บนทีด่ นิ รมิ แม่นา้ แม่กลอง เพือ่ จัดแสดงผลงานศิลปะให้สาธารณชนได้ช่นื ชม
หอศิลปเ์ อมเจรญิ
ภาพจากhttps://kanchanaburi.center/2017/06/29/หอศิลป์เอมเจรญิ
ตามรอยศิลปิน 29
อำจำรยพ์ ชิ ยั นริ ันต์
ภาพจากhttps://oknation.nationtv.tv/blog/phaen
อาจารย์พิชัย นิรันต์ เกิดเม่ือวันที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2475 เป็นชาวกรุงเทพฯ โดยกาเนิด ปัจจุบัน
พักอยู่บ้านเลขท่ี 35 หมู่ 3 ตาบลลานตากฟ้า อาเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม ท่านเป็นบุตรชายคนโตของ
นายรน่ื และนางทองหลอ่ นริ ันต์ มพี ี่น้องทัง้ หมดรวมท้งั ตัวอาจารย์ดว้ ยรวม7 คน ท่านสมรสกบั นางบุญชรัสม์ิ นิ
รนั ต์ สกลุ เดิม บญุ ชยั ศรี มธี ดิ าลว้ น 4 คน
พุทธปิ ัญญา ปี 2541 สนี ้ามนั ภาพจากhttps://oknation.nationtv.tv/blog/phaen
ตามรอยศิลปนิ 30
พระพทุ ธบาท ปี 2520 สนี า้ มัน และทองคาเปลว ภาพจากhttps://oknation.nationtv.tv/blog/phaen
อาจารย์พชิ ัย นิรันต์ เขา้ รบั การศกึ ษาระดับประถมศกึ ษาท่ี รร.สรรพาวธุ วิทยา กรรมสรรพาวธุ ทหารเรอื บาง
นา และระดับมัธยมศึกษาที่ รร.ไพศาลศิลป ยศเส รร.ศิลปศึกษา (ปัจจุบันคือวิทยาลัยช่างศิลป) กรม
ศิลปากร เมื่อ พ.ศ. 2498 – 2499 แล้วเข้ารับการศึกษาต่อจนจบอนุปริญญาศิลปบัณฑิต (จิตรกรรมและ
ประตมิ ากรรม) มหาวทิ ยาลัยศิลปากร เมอื ปี พ.ศ. 2502
แผน่ ดินอดุ มธรรม สนี า้ มนั บนผ้าใบ ตดิ ทองคาเปลว สมบตั ขิ อง คุณปรีชา แสงธนนริ มติ ร
ภาพจากhttps://oknation.nationtv.tv/blog/phaen
จากนัน้ ในปี พ.ศ. 2505 จงึ เข้ารับราชการเปน็ ครทู ีว่ ทิ ยาลัยชา่ งศลิ ป กรมศิลปากร จนถึงปี พ.ศ.
2522 จึงย้ายมาทางานทกี่ องหัตถศลิ ป ในตาแหน่งนายชา่ งศลิ ปกรรม ๖ ตาแหน่งสูงสุดในสายงานราชการคือ
นายชา่ งศิลปกรรม 8 จากนัน้ ในปี พ.ศ. 2538 จงึ ลาออกจากราชการ ประกอบอาชีพศิลปนิ อิสระ
ตามรอยศิลปนิ 31
แสงธรรม สีนา้ มันบนผ้าใบ ตดิ ทองคาเปลว ภาพจากhttps://oknation.nationtv.tv/blog/phaen
อาจารย์เป็นจิตรกรที่ขยันขันแข็ง ระหว่างเม่ือรับราชการเป็นหัวหน้าฝ่ายจิตรกรรม สถาบันศิลปกรรม
อยู่ มีข้าราชการเขา้ ใหมแ่ อบเข้าไปถามท่านว่า ทาอย่างไรถงึ จะเขียนภาพได้ดเี หมือนอยา่ งอาจารย์ ทา่ นบอกให้ข้
ราชการผู้น้ันเอียงหูเข้าไปฟัง ข้าราชการผู้น้ันภายหลังได้เล่าให้ฟังว่า ท่านบอก “เราจะให้มนต์วิเศษเธอให้เขียน
ภาพเก่ง แต่เธอต้องเขียนภาพทุกวันจนครบ 100 ภาพก่อน” ปัจจุบันข้าราชการใหม่ท่านนนั้ เขียนภาพยังไม่ครบ
50 ภาพเลย แต่ฝีมือเฉยี บขาดกวา่ เก่าราวฟา้ กบั ดิน
ดนตรแี ห่งขุนเขา 2541 ขนาด 80X100 ซม. สนี า้ มนั ภาพจากhttps://oknation.nationtv.tv/blog/phaen
ตามรอยศลิ ปิน 32
ธรรมบนแผ่นดิน สนี า้ มนั บนผ้าใบ ติดทองคาเปลว สมบัตขิ องพิพธิ ภณั ฑสถานแห่งชาติ หอศิลป์
ภาพจากhttps://oknation.nationtv.tv/blog/phaen
อาจารย์พิชัย นิรันต์ เองก็ทางานหนักตลอดเวลา มีผลงานสาคัญมากมาย ผลงานของท่านส่วนใหญ่
เ ป็ น เ ร่ื อ ง ร า ว เ กี่ ย ว เ นื่ อ ง กั บ พ ร ะ พุ ท ธ ศ า ส น า โ ด ย อ า ศั ย รู ป สั ญ ลั ก ษ ณ์ ไ ด้ แ ก่ ร อ ย พ ร ะ พุ ท ธ
บาท ดอกบัว ธรรมจักร และพระพทุ ธรูป เปน็ ตัวกลางในการสื่อความหมายไปยังผชู้ ม นอกจากน้ี ยงั มีวธิ กี ารจดั
วางภาพสัญลักษณ์ไวบ้ รเิ วณก่ึงกลางของภาพ เพื่อความโดดเด่นอีกดว้ ย
วัฏฏะจักรแห่งชวี ิต 2550 สีน้ามัน ภาพจากhttps://tiscoart.com/artwork/wat-ta-jak-haeng-che-wit-2550
วัฏฏะจักรแห่งชีวิต แนวคิดในการสร้างสรรค์ผลงานของท่านชิ้นนี้ คือถ่ายทอดให้เห็นถึงสัจธรรมของ
ชีวิต สรรพสัตว์ล้วนต้องอยู่ในสังสารวัฏ หรือ การเวียนว่ายตายเกิด โดยเลือกใช้ดอกบัว หยดน้าและแสง เป็น
สัญลักษณ์ในการส่ือความหมาย เนื้อหาของภาพแสดงให้เห็นสภาวะของดอกบัว เมื่อเมล็ดได้รับหยดน้าและแสง
จึงมีการเจริญเติบโตเป็นดอกตูม เบ่งบาน ร่วงโรย และกลับกลายเป็นเมล็ดพันธุ์อีกคร้ังหน่ึง วนเวียนเป็นวัฏ
จกั ร หรือ วงกลมเชน่ นต้ี ลอดไป
ตามรอยศลิ ปนิ 33
ศิลปนิ ทัศนศิลปส์ ำขำประติมำกรรม
Michelangelo (ไมเคลิ แองเจโล)
ภาพจาก https://www.takieng.com/stories/8111
ไมเคิลแองเจโลหรือ ‘มิเกลันเจโล’ มีชื่อเต็มว่า Michelangelo di Lodovico Buonarroti Simoni เป็น
ชาวอิตาลี เกดิ เมื่อปี 1475 ทหี่ มู่บ้านคาปรีส ในแควน้ ทัสกานี เมืองหลวงของแควน้ ก็คือเมืองฟลอเรนซ์ซ่งึ เปน็ เมือง
ท่เี ขาเตบิ โต หลังจากแมเ่ สยี ชีวติ ขณะท่ีไมเคลิ แองเจโลอายุได้ 6 ปี เขาอาศยั อยกู่ บั พี่เล้ียงและสามีซึ่งเป็นช่างตัดหิน
ที่เมืองบนภูเขานอกเมืองฟลอเรนซ์ชื่อ Settignano ซึ่งพ่อของเขามีเหมืองหินอ่อนและฟาร์มเล็กๆอยู่ ไมเคิลแอง
เจโลอยทู่ น่ี ่หี ลายปีได้ซึมซบั ความสามารถพเิ ศษในการตดั แต่งหินออ่ นด้วยส่วิ และค้อนตดิ ตัวต้งั แต่เด็ก
ปี 1488 เขาถูกส่งไปเรียนภาษาท่ีเมืองฟลอเรนซ์แต่เขาไม่สนใจเลย วันๆเอาแต่ฝึกคัดลอกภาพเขียนตาม
โบสถแ์ ละอยรู่ ่วมกบั จติ รกรคนอ่ืน เมืองฟลอเรนซใ์ นชว่ งเวลานั้นเปน็ ศนู ย์กลางแห่งศลิ ปะและการศึกษา มีประติมา
กรและจิตรกรช่ือดังสร้างผลงานมากมายให้ไมเคิลแองเจโลได้ศึกษาเรียนรู้ และแล้วเขาก็ได้ไปเป็นลูกศิษย์ของ
Domenico Ghirlandaio จิตรกรช่ือดังในขณะน้ันผู้เช่ียวชาญในการเขียนภาพปูนเปียก (Fresco) เขาอยู่กับ
อาจารย์ได้เพียงปีเศษก็ถูกส่งตัวไปทางานตามคาร้องขอของ Lorenzo de Medici ผู้ปกครองเมืองฟลอเรนซ์ในปี
1489
ระหว่างทางานให้ Lorenzo de Medici ไมเคิลแองเจโลมีผลงานเป็นภาพแกะสลักบนหินอ่อนหลายช้ิน
เช่น Madonna of the Steps และ Battle of the Centaurs ถึงปี 1492 ชีวิตเขาพลิกผันเม่ือ Lorenzo de
Medici เสียชีวิต ไมเคิลแองเจโลจึงออกมาทางานของตัวเองพร้อมกับพัฒนาฝีมือด้านแกะสลกั ไปรับงานต่างเมือง
ท่ีเวนิสกับโบโลญญาบ้าง ระหว่างนี้ก็มีผลงานแกะสลักหลายช้ินรวมทั้ง Crucifix งานแกะสลักไม้ที่ทาให้กับโบสถ์
Santo Spirito ทเี่ มืองฟลอเรนซ์เพ่ือตอบแทนท่ีให้เขาได้ศึกษาสรีระมนุษย์จากศพท่โี รงพยาบาลของโบสถ์ จนถึงปี
1496 ไมเคลิ แองเจโลจึงยา้ ยไปอย่ทู ่ีกรุงโรมทีซ่ ง่ึ เขาไดส้ รา้ งผลงานชน้ิ เอกชิ้นแรก
ตามรอยศิลปิน 34
ไมเคลิ แองเจโลไปท่โี รมตอนอายุ 21 ปี เร่ิมต้นด้วยงานแกะสลักหินอ่อนรูปเทพเจ้าแห่งไวน์ Bacchus เม่ือ
งานเสร็จกลับถูกปฏิเสธจากพระคาร์ดินัล Raffaele Riario ผู้ว่าจ้าง ต่อมาถูกนาไปประดับอยู่ในสวนของนาย
ธนาคาร ปลายปี 1497 เขาได้รับการว่าจ้างจากพระคาร์ดินัล Jean de Bilhères-Lagraulas ให้ทางานแกะสลัก
หินอ่อน Pieta รูปพระแม่มารีใบหน้าเศร้าหมองกาลังประคองร่างของพระเยซูที่เพิ่งอัญเชิญลงจากกางเขน ไมเคิล
แองเจโลใชเ้ วลาไม่ถงึ สองปงี านก็เสรจ็ ผลงานท่อี อกมางดงามอย่างย่ิงสมจริงทุกรายละเอยี ด สรา้ งความอศั จรรย์ใจ
แก่ผู้ได้ชมเป็นอย่างมาก เป็นผลงานช้ินเอกช้ินแรกท่ีเขาทาสาเร็จด้วยวัยเพียง 24 ปี Pieta เป็นหนึ่งในงาน
ประติมากรรมทม่ี ีชอื่ เสียงมากทสี่ ุดในโลก ปจั จุบนั เก็บรักษาท่ีมหาวิหารเซนตป์ ีเตอร์ ในนครรฐั วาติกัน เปน็ แม่เหล็ก
ดงึ ดดู ใจใหผ้ คู้ นมาเยย่ี มชมมหาวิหารแห่งน้อี ยา่ งคับคงั่ ตลอดท้ังปี
“Pietà” ภาพจาก https://www.takieng.com/stories/8111
ปี 1499 ไมเคลิ แองเจโลกลับมาทีเ่ มืองฟลอเรนซ์ ได้รับการทาบทามให้ทางานแกะสลักหินอ่อนชิ้นใหญ่รูป
เดวิด (David) ซ่ึงเป็นโครงการที่ริเริ่มมา 40 ปีแล้วแต่ยังไม่สาเร็จ เน่ืองจากช่างแกะสลักท่ีเคยรับงานนี้ต่างเห็นว่า
หนิ อ่อนช้ินนีม้ ีตาหนิและไม่แขง็ แรงพอที่จะทารูปปั้นใหญข่ นาดนั้นได้ ไมเคิลแองเจโลรับงานน้ีตอนทเี่ ขาอายุ 26 ปี
ใช้เวลาราว 4 ปี ระหว่างปี 1501 – 1504 แกะสลักก้อนหินอ่อนที่ถูกทิ้งไว้ไม่มีใครเหลียวแลนาน 25 ปีให้เป็น
วีรบุรุษผู้งามสง่าสวยงามราวผู้วิเศษเนรมิตขึ้น และกลายเป็นผลงานที่มีช่ือเสียงมากที่สุดของเขา คณะกรรมการ
ของเมืองที่ประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิ รวมทั้งซานโดร บอตติเชลลีและเลโอนาร์โด ดาวินชี ถูกเรียกตัวมาเพ่ือ
พจิ ารณาสถานทตี่ ั้ง David และได้เลอื กให้ตั้งทจ่ี ตรุ สั Piazza della Signoria หน้าวัง Palazzo Vecchio ตอ่ มาใน
ปี 1873 ถูกย้ายไปไว้ที่หอศิลป์ Galleria dell’Accademia ส่วนท่ีเดิมได้สร้างรูปปั้นจาลองของ David ตั้งไว้แทน
รูปหินอ่อนแกะสลัก David จากฝีมือของไมเคิลแองเจโลเป็นประติมากรรมช้ินเอกของโลกและเป็นสัญลักษณ์ของ
เมอื งฟลอเรนซต์ ลอดมาถงึ ปจั จุบัน
ตามรอยศลิ ปนิ 35
“David” ภาพจาก https://www.takieng.com/stories/8111
ช่วงเวลาเดียวกับที่แกะสลัก David ไมเคิลแองเจโลยังมีผลงานหินอ่อนแกะสลักช้ินเยี่ยมอีกชิ้นหน่ึงคือ
Madonna and Child หรือท่ีเรียกกันว่า Madonna of Bruges รูปพระแม่มารีกับพระเยซูองค์น้อยบนตัก มี
ลักษณะและความงดงามใกล้เคียงกับ Pieta ปัจจุบันอยู่ท่ีโบสถ์ Church of Our Lady ที่เมือง Bruges ประเทศ
เบลเยย่ี ม นอกจากนีเ้ ขายงั มผี ลงานหนิ อ่อนแกะสลักชัน้ ยอดอีกมากมาย เชน่ Moses รูปปนั้ ประดับหลุมฝงั ศพพระ
สันตะปาปา Julius II ในโบสถ์ Church of San Pietro in Vincoli ที่กรุงโรม และ Dying slave กับ Rebellious
Slave ท่ีเป็นประติมากรรมดาวเด่นในพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ รวมทั้งบรรดารูปแกะสลักจานวนมากที่ประดับตามโบสถ์
และหลุมฝังศพหลายแหง่ ซ่ึงล้วนงดงามวิจติ รสมกับที่มาจากฝมี ือของประติมากรอันดับ 1 ของโลกตลอดกาล
“Madonna of Bruges” ภาพจาก https://www.takieng.com/stories/8111
ตามรอยศลิ ปิน 36
“Moses” ภาพจาก https://www.takieng.com/stories/8111
“Dying slave” “Rebellious Slave”
ภาพจาก https://www.takieng.com/stories/8111 ภาพจาก https://www.takieng.com/stories/8111
ตามรอยศลิ ปิน 37
Auguste Rodin (โอกุสต์ โรแดง)
ภาพจาก http://www.wikitree.com/wiki/Rodin-1
โรแดง เกิดเม่ือ12 พฤศจิกายน ค.ศ. 1840 เริ่มศึกษาประติมากรรมที่ปารีส มีช่ือเสียงจากการสร้างรูป
ป้ันจาลอง งานช้ินหลัง ๆ ของเขาได้รับแรงบันดาลใจจากดังเตกวีคนสาคัญ โดยผลงานชิ้นสาคัญได้แก่ “ประตู
นรก” (The Gates of Hell) ซ่ึงได้แรงบันดาลใจจากฉากในกวีนิพนธ์ “ไฟนรก” (Inferno) ของดังเต และรูปป้ัน
“นักคิด” (The Thinker) ท่ีนาเสนอภาพของดงั เตเมอ่ื ยามครนุ่ คิด
“ประตนู รก” ภาพจาก https://www.art-manman.blogspot.com
ตามรอยศิลปนิ 38
“นักคดิ (The Thinker) ”ภาพจาก https://www.art-manman.blogspot.com
แม้ว่าโรแดงจะถือกันว่าเป็นผู้ที่มีส่วนริเร่ิมการประติมากรรมสมัยใหม่แต่ ความจริงแล้วโรแดงมิได้มีความ
ต้ังใจจะปฏิรูปศิลปะแบบที่ทากันมา โรแดงได้รับการศึกษาจากสถาบันวิจิตรศิลป์แห่งฝร่ังเศส (Académie des
beaux-arts) การสร้างงานกเ็ ป็นไปตามวิธชี ่างอยา่ งทเ่ี รียนมาเพ่ือทีจ่ ะได้เปน็ ท่ยี อมรับ กนั ทางสถาบัน ในการสร้าง
งานประตมิ ากรรมโรแดงมคี วามสามารถทท่ี าให้เห็นถึงความซบั ซ้อนและความปน่ั ป่วนภายในเน้ือดนิ ที่ป้นั
งานช้ินสาคัญๆ ของโรแดงถูกนักวิจารณ์โจมตีโดยพร้อมเพรียงกัน เพราะลักษณะงานขัดแย้งกับการทา
ประติมากรรมตามแบบแผนด้ังเดิมซึ่งเป็นการ สร้างงานเพ่ือการตกแต่ง เป็นสูตร และมีจุดมุ่งหมายในการส่ือ
ใจความของภาพ แต่งานของโรแดงจะต่างออกไปจากการป้ันเร่ืองเทพกรีกโรมันและการใชส้ ัญลักษณ์แฝงคติอยา่ ง
ที่ทากันมา งานของโรแดงจะเป็นรูปสรีระท่ีเหมือนจริงและเป็นการเทิดทูนความงามของร่างกาย โรแดงมีความ
สะเทือนต่อคาวิพากษ์วิจารณ์แต่ก็ไม่ได้ทาให้เปลี่ยนวิธีสร้างงาน ของตนเอง และงานของโรแดงในท่ีสุดก็เป็นท่ี
ยอมรับกนั มากขึน้ จากรัฐบาลและสังคมศลิ ปนิ
ตามรอยศลิ ปิน 39
“The Walking Man” ภาพจาก https://www /wikipedia.org/wiki/โอกสุ ต_์ รอแด็ง
จากงานช้นิ สาคัญๆ ซง่ึ มีอทิ ธิพลจากการทอ่ งเที่ยวอิตาลีในปี ค.ศ. 1875 ไปจนถึงงานท่แี ปลกไปจากแนวที่
ได้รับสัญญาจ้าง ต้ังแต่ปี ค.ศ. 1900 โรแดงก็กลายมาเป็นประติมากรที่มีช่ือเสียงที่สุดคนหนึ่งของโลกมึลูกค้าผู้มี
ฐานะดีทีเสาะหางานของโรแดงต้ังแต่นางานไปแสดงที่งานมหกรรมสินค้าโลก ค.ศ. 1900 (1900 World's Fair) ท่ี
สหรัฐอเมริกา นอกจากนั้นโรแดงยังสังคมอยู่ในแวดวงศิลปินและผู้รู้ผู้มีช่ือเสียง โรแดงแต่งงานกับโรส บูเรท์ผู้ท่ีโร
แดงอยูด่ ้วยกันมาตลอดชวี ติ เมือ่ ปึสดุ ท้ายของชวี ติ ของทง้ั สองคน
“The kiss” ภาพจาก https://www wikipedia.org/wiki/โอกสุ ต_์ รอแดง็
ตามรอยศลิ ปนิ 40
ชติ เหรียญประชำ
ภาพจาก https://www cpss.ac.th/learnonline/art_bun_52
ชิต เหรียญประชา เกิดวันท่ี 1 กรกฎาคม พุทธศักราช 2551 เป็นศิลปินอาวุโสคนสาคัญ และเป็นศิลปิน
ช้ันเยี่ยมของการแสดงศิลปกรรมแห่งชาติ ได้รับการยกย่องในวงการศิลปะว่าเป็นผู้มีความยึดม่ันในการสร้างสรรค์
ศิลปะมา เป็นเวลาอันยาวนานถึง 50 ปี นายชิต เหรียญประชา เป็นศิลปินที่มีความเป็นเลศิ ในด้านการแกะสลกั ไม้
เป็นผู้ท่ีมีความสามารถนารูปแบบของศิลปะประเพณีมาผสมกับรูปแบบวิธีการของ ศิลปะสมัยใหม่ได้เป็นผลสาเรจ็
นับว่าท่านเป็นศิลปินผู้บกุ เบิกของยคุ ศิลปะสมัยใหมข่ องไทยผ้หู นึง่
ภาพจาก https://www.drekarin.wordpress.com
ตามรอยศลิ ปนิ 41
ชิต เหรียญประชา ได้ส่งผลงานแกะสลักงาช้างช่ือ“หนุมานและนางมัจฉา”เข้าร่วมแสดงและได้รับรางวัล
เกียรตินิยมอันดับ 2 เหรียญเงิน ประเภทศิลปะประยุกต์ต้ังแต่ครั้งแรกท่ีส่งผลงาน เป็นการก้าวสู่วงการศิลปะใน
ระดับชาตินับแต่นั้นมา และด้วยการสนับสนุนและให้คาแนะนาจากศาสตราจารย์ศิลป์ ที่มองเห็นแววและ
ความสามารถของชิต เหรียญประชา ทาให้ชีวิตของชิต เหรียญประชา ก้าวหน้า และประสบความสาเร็จในอาชีพ
การงาน
“หนุมานและนางมัจฉา”แกะสลกั งาช้าง ภาพจาก https://www.drekarin.wordpress.com
ผลงานของท่านได้รับเกียรติแสดงในการแสดงศิลปกรรมแห่งชาติ การแสดงศิลปะร่วมสมัยของไทยใน
ประเทศและมีติดตั้งแสดงถาวรในพิพิธภัณฑสถาน แห่งชาติ หอศิลป์ แม้ว่าจะอยู่ในวัยชราท่านยังคงสร้างสรรค์
ผลงานศิลปะอย่างไม่หยุดย้ัง มหาวิทยาลัยศิลปากรเห็นความสาคัญในผลงานของ ชิต เหรียญประชา จึงได้จัด
แสดงผลงาน จานวน 31 ชิ้น เพ่ือเป็นเกียรติและเป็นการเผยแพร่ผลงานแก่ประชาชน ท่ีหอศิลป์ของมหาวิทยาลยั
นายชิต เหรียญประชา ได้ดาเนินชีวิตและสร้างสรรค์ผลงานเป็นประโยชน์และเป็นตัวอย่างที่ดีท้ังในฐานะบุคคล
และศิลปนิ
นายชิต เหรียญประชา ได้รับการยกย่องเชิดชูเกียรติเป็นศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ (ประติมากรรม)
ประจาปีพุทธศกั ราช 2530
ตามรอยศลิ ปิน 42
“รามะนา” แกะสลกั ไม้ ภาพจาก https://www.rama9art.org
“กลองยาว” แกะสลักไม้ ภาพจาก https://www.rama9art.org
ตามรอยศลิ ปิน 43
ธนะ เลำหกัยกลุ
ภาพจาก http://www.ptr.ac.th/enet/www/allmedia/Levels/spm/m3/art
ธนะ เลาหกัยกลุ หลังจบการศึกษาจากโรงเรยี นศิลปศึกษา (ชา่ งศลิ ป)์ ตอ่ ด้วยปรญิ ญาตรีทม่ี หาวทิ ยาลยั ศลิ ปากร
ในสาขาประติมากรรม เมือ่ ปี 2511 โดยเปน็ ลูกศษิ ย์รนุ่ สดุ ท้ายของ ศ.ศิลป์ พีระศรี ปรมาจารยด์ า้ นศลิ ปะ ศ.ธนะได้
เรมิ่ ใชช้ วี ิตในตา่ งแดนดว้ ยการตดั สนิ ใจเดนิ ทางไปศึกษาต่อปรญิ ญาโทท่วี ทิ ยาลัยศลิ ปะแมสซาชูเซตส์ ซึ่งในยคุ น้ัน
ยังไมม่ ีการเปดิ สอนปรญิ ญาโทด้านศลิ ปะในเมืองไทย ต่อมาเขาไดร้ ับเชิญจากมหาวิทยาลัยวอชงิ ตัน เมืองเซนต์
หลยุ ส์ รฐั มิสซรู ่ี ใหเ้ ปน็ อาจารยส์ อนวิชาประตมิ ากรรม และได้ย้ายไปสอนต่อทมี่ หาวิทยาลยั เทกซัส เมืองออสตนิ
นานกว่า 26 ปี จนกระทง่ั ได้รับตาแหนง่ ศาสตราจารยจ์ ากสถาบันแหง่ นี้
ในระหว่างที่อยู่อเมริกานั้น ศ.ธนะยังได้รับเกียรติเป็นศิลปินไทยท่ีมีชื่ออยู่ใน 'Archives of American
Art Journal' ของสถาบันสมิทโซเนียน ภายหลังจากท่ีผลงานของเขาได้รับรางวัลชนะเลิศการประกวดอนุสาวรีย์
ประติมากรรมสงครามเวียดนาม โดยได้รับมอบรางวัลจากภรรยาของประธานาธิบดีลินดอน จอห์นสัน แห่ง
สหรัฐอเมริกา ต่อมาทางมหาวทิ ยาลัยศิลปากรยังไดม้ อบปริญญาดุษฎีบณั ฑิตกิตตมิ ศักดิ์ สาขาประติมากรรมใหแ้ ก่
ศ.ธนะ อกี ด้วย
หลังจากใชช้ ีวิตเปน็ อาจารย์สอนศลิ ปะที่อเมริกามาหลายสบิ ปี ศ.ธนะก็ตัดสินใจกลับมาทางานให้สถาบันที่
เขารกั เมือ่ ทราบข่าวจากเพ่ือนว่ามรี ะบบการสรรหาบุคคลภายนอกให้เข้ามารับตาแหน่งคณบดี และหลังจากลงชื่อ
สมัครตามกระบวนการ ศ.ธนะก็ได้รับการคัดเลือกจากสภามหาวิทยาลัยศิลปากร ให้ดารงตาแหน่งคณบดี คณะ
จติ รกรรม ประตมิ ากรรม และภาพพิมพ์ ในปี 2546
ตามรอยศลิ ปนิ 44
“นางผีเส้ือสมุทร” อ.แกลง จ.ระยอง ภาพจาก https://sites.google.com/site/meuxngkaelngnaxyu
แตเ่ พียงปีแรกของการเข้ารบั ตาแหนง่ ก็มีการข้ึนปา้ ยผ้าเขียนขอ้ ความโจมตจี าก 'มอื มดื ' ตงั้ แต่ ศ.ธนะยังไมเ่ ดินทาง
มารับตาแหนง่ และทวคี วามรุนแรงขนึ้ เร่ือยๆ ไม่มีทีท่าวา่ จะยตุ ิ นั่นจงึ นาไปสู่การตดั สินใจลาออกและฟอ้ งรอ้ ง 24
คณาจารย์ จนกระทั่งเปน็ ข่าวใหญใ่ นแวดวงศลิ ปะ
หลังตดั สนิ ใจลาออกจากตาแหน่งคณบดคี ณะจติ รกรรมฯ มหาวิทยาลัยศิลปากร มาเปดิ รา้ นขาย
กว๋ ยเต๋ยี วเรือได้ไมน่ าน กิจการกท็ าท่าว่าจะไปได้สวย สังเกตจากวันทเ่ี ราไปพดู คยุ กม็ ีลูกค้าแวะเวียนเข้ามาอดุ หนุน
รา้ นตลอดทั้งวัน บางช่วงคนแนน่ จนตอ้ งรอคิว ดว้ ยฝีมือปรุงก๋วยเตีย๋ วรสชาติดี อกี ท้ังราคายอ่ มเยาเพียงชามละ 10
บาท ลูกค้าในรา้ นส่วนใหญจ่ งึ มกั จะเปน็ เด็กๆ ท่ีอาศยั ในละแวกน้ัน
ศ.ธนะเคยจดั แสดงเด่ียวนทิ รรศการศลิ ปะชุด "มะเรง็ " (Cancer) ซึ่งสอื่ ถึงโรคภัยท่กี าลงั รุมเร้าสขุ ภาพ
ของเขาอยู่ในเวลาน้ี ศ.ธนะตรวจพบวา่ เขาเป็นมะเร็งกระเพาะปัสสาวะมากว่า 10 ปีแลว้ ท่ีผา่ นมาเขาพยายาม
ศกึ ษาตาราแพทย์ทางเลือกต่างๆ เกยี่ วกบั การดูแลสขุ ภาพและรักษาโรคมะเร็งด้วยตนเองมาโดยตลอด
นิทรรศการศลิ ปะชดุ "มะเรง็ " (Cancer) ภาพจากhttp://jumpsuri.blogspot.com/2009/03/blog-post.html
ตามรอยศลิ ปิน 45
ศลิ ปินทศั นศลิ ป์สำขำสอื่ ผสม
Marcel Duchamp มำรเ์ ซล ดวู ์ช็อง
ภาพจาก https://www.mutualart.com/
มาร์เชล ดูว์ช็องได้เตบิ โตมาในครอบครวั ที่สมาชิกมีความเปน็ ศิลปินภายในตัวสูง ครอบครัวของดูว์ชอ็ งชอบ
ท่ีจะเล่นหมากรุก, วาดภาพ, ทาดนตรี ตอนอายุ 10 ขวบ เขาได้เดินตามรอยพี่ชายของเขา เม่ือเขาออกจากบ้าน
และเริ่มศึกษาท่ีโรงเรียนปีแยร์-กอร์แนย์ (Lycée Pierre-Corneille) ในรูอ็อง เขาเช่ียวชาญทางด้านสาขาวิชา
คณิตศาสตร์จนได้รับรางวัลทางด้านสาขาวิชาน้ีถึงสองรางวัล อีกทั้งยังได้รับรางวัลทางด้านการวาดภาพศิลปะจาก
คุณครูของเขาท่ีพยายามจะกันเด็กนักเรียนให้ออกจากศิลปะในลัทธิประทับใจ (impressionism), ลัทธิประทับใจ
ยุคหลัง (post-impressionism) และอิทธพิ ลจาพวกอาว็อง-การ์ด (avant-garde) อ่นื ๆ
อย่างไรก็ตาม เขาเร่ิมวาดภาพอย่างจริงจังในครั้งแรกเมื่ออายุ 14 ปี โดยเป็นการวาดเส้นและการใช้สีน้า
ในช่วงฤดูร้อน เขาได้วาดภาพทิวทัศน์ในรูปแบบของลัทธปิ ระทับใจโดยใช้สนี ้ามัน และไม่ก่ีปีถัดมาเขาได้กลายเป็น
พลเมอื งอเมรกิ ันในปี ค.ศ. 1905
ตามรอยศิลปนิ 46
ผลงานของดวู ช์ ็องทาให้ประเด็นเร่ืองสุนทรยี ะกลายเปน็ ปัญหา เพราะไม่สามารถทีจ่ ะกลา่ วได้อยา่ งง่าย ๆ
อีกต่อไปว่า "งานศิลปะชิ้นน้ีสวย" เพราะคงไม่มีใครที่จะกล่าวว่า "โถส้วม" ในงานแสดงศิลปะว่าเป็นงานศิลปะ
ถึงแม้ว่า "โถส้วม" น้ันจะมีความสวยงามมากก็ตาม แต่งานแสดงศิลปะย่อมไม่ใช่งานแสดงผลิตภณั ฑ์สุขภณั ฑ์ ท้ังน้ี
สุขภณั ฑท์ ่เี ข้าไปอยู่ในงานแสดงศิลปะเมื่อตน้ ศตวรรษท่ีย่ีสิบ
ก็คงไม่ได้ทาให้ใครเข้าใจได้ว่า "โถส้วม" ท่ีว่านี้จะเป็นศิลปะ
ได้อย่างไร การตัดสินให้อะไรเป็นศิลปะในลักษณะแบบน้ีก็
เปรียบเสมือนการต้ังชื่อวิสามานยนาม ให้กับ ศิลป ะ วั ต ถุ
สาหรับวิสามานยนามในท่ีนี้ก็คือ "ศิลปะ" ในแง่น้ีผลงาน
ศิลปะของดูว์ช็องเกิดข้ึนจากการตัดสินใจด้วยตัวเองล้วน ๆ
ในการท่ีจะจัดให้อะไรเป็นศิลปะ อะไรไม่เป็นศิลปะ การ
ตัดสินด้วยการจัดระเบียบใหม่ด้วยวิสามานยนามอย่าง
ศลิ ปะกห็ มายความถึง ความเป็นสมยั ใหม่อย่างเต็มที่ เพราะ
เขาไม่ได้ตกอยู่ภายใต้ข้อกาหนดความเป็นศิลปะจาก
ภายนอก นี่เป็นการแสดงให้เห็นถึงความเป็นเอกเทศของ
ศิลปะ ความเป็นเอกเทศของศิลปนิ ความเป็นเอกเทศแสดง
ใหเ้ ห็นถึงลักษณะของความเปน็ สภาวะสมัยใหม่
“Fountain” ภาพจากhttps://th.wikipedia.org/wiki
เขามีความคิดที่จะต่อต้านศิลปะ จนกลายเป็นเร่ืองเป็นราว
เกิดแนวทางใหม่ เหมือนเปิดประตูให้ศิลปินได้เข้าไปพบกับโลกใหม่
อย่างคาดไม่ถงึ เป็นลกั ษณะงานตามแบบคตดิ าดา เขามกั นยิ มต้ังช่ือ
ผลงานของเขาเป็นคาผวนหรือเล่นคาให้เกิดความหมายแปลก ๆ
หรือประชดประชัน เช่น L.H.O.O.Q. ซึ่งสามารถออกเสียงได้
หลากหลาย และมีความหมายแตกต่างกัน โดยผลงานชิ้นน้ีเป็นการ
เขียนหนวดเคราลงไปบนใบหน้าของโมนาลิซาซ่ึงเป็นภาพที่มี
ช่ือเสียงโด่งดัง ในการที่เขากระทาเช่นนี้ ก็เพื่อเป็นการลดความขลัง
ของผลงาน
L.H.O.O.Q” ภาพจากhttps://th.wikipedia.org/wiki
ตามรอยศิลปนิ 47
Robert Rauschenberg (โรเบิร์ต เรำเชนเบริ ก์ )
ภาพจากhttps://en.wikipedia.org/wiki/Robert_Rauschenberg
Robert Rauschenberg (โรเบิร์ต เราเชนเบริ ก์ ) หรอื ชอ่ื เต็มวา่ มลิ ตัน เออร์เนสต์ “โรเบิร์ต” เราเชน
เบริ ก์ (Milton Ernest “Robert” Rauschenberg) (22 ตุลาคม 1925 – 12 พฤษภาคม 2008)หนง่ึ ในศลิ ปิน
อเมรกิ ันผู้ทรงอิทธิพลทส่ี ุด เขาได้รบั การยกให้เป็นศิลปนิ โพสตโ์ มเดิรน์ คนแรกๆ จากการแสวงหาแนวทางใหม่ๆ ใน
การทางานศิลปะ และหลอมรวมวสั ดแุ ละวธิ กี ารทางานศลิ ปะอันหลากหลายเข้าไวด้ ว้ ยกนั ไมว่ า่ จะเป็น จิตรกรรม,
ภาพถา่ ย, ประตมิ ากรรม, สอ่ื ผสม, ภาพพิมพ์ และศลิ ปะแสดงสด ฯลฯ
เราเชนเบริ ก์ เป็นศลิ ปินผูม้ บี ทบาทในการขับเคลื่อนวงการศิลปะอเมริกนั ท่ีถกู ครอบครองโดยกระแส
เคล่ือนไหว แอ็บสแตรก็ ต์เอ็กซเ์ พรสชั่นนสิ ต์ (Abstra ct Expressionism) ในช่วงยคุ ตน้ ทศวรรษ 1950 ให้เปลย่ี น
ไปส่กู ระแสเคลื่อนไหวทางศิลปะใหม่ๆ หลากหลาย
แนวทาง เขาเป็นหนงึ่ ในศลิ ปินคนสาคัญของกระแส
เคลือ่ นไหว นโี อดาด้า*ในฐานะศิลปนิ นักทดลองผู้มุ่ง
ขยายขอบเขตของศิลปะให้กว้างไกลกวา่ เดมิ และ
เปดิ เสน้ ทางใหม่ๆ ให้กับศลิ ปินรนุ่ หลังอยา่ งมหาศาล
ถึงแม้เขาจะถูกตั้งฉายาว่าเป็นตวั แสบแหง่ โลกศลิ ปะ
ในยคุ 1950s จากการทางานท่ีทา้ ทายขนบเดิมๆ
ของศลิ ปะและศลิ ปนิ รุ่นเก่าๆ อย่างอาจหาญแต่เขาก็
เปน็ ทีร่ กั ใครช่ อบพอและได้รับการยอมรบั นับถือจาก
Automobile Tire Print (1953), ภาพจากhttps://bit.ly/2PnspkP
ตามรอยศิลปนิ 48
ศิลปินรุ่นก่อนหน้าอ ย่างมากถึงแม้เขาจะให้ความเคารพศิลปิน เหล่าน้ันเช่นเดียวกันแต่เขาเองก็โต้แย้งความคิด
และความเช่ือเดิมๆ ของศิลปินรุ่นเก่า และลบล้าง แนวคิด รูปแบบการทางาน หรือแม้แต่ ผลงานของศิลปิน
เหล่านั้น เพ่ือแสวงหาพรมแดนใหม่ๆทางสุนทรียะ และเสาะหานิยามใหม่ๆ ทางศิลปะ เช่นเดียวกับศิลปินในกลุ่ม
ดาด้าในยคุ กอ่ นหน้า
โดยในช่วงปี 1951-1953 เราเชนเบิร์กทางานศิลปะจานวนมากมายหลายช้ินที่สารวจข้อจากัดและ
ความหมายของศลิ ปะภายใต้แนวคดิ ท่ีพัฒนามาจากแนวทางแบบเรดี้เมด (readymades) หรือศลิ ปะสาเรจ็ รูปของ
มาร์เซล ดูชองป์ (Marcel Duchamp) ด้วยการทดลองทางศิลปะที่ลบกฎเกณฑ์เดิมๆ ของการสร้างสรรค์ศิลปะ
อยา่ งสนิ้ เชงิ
ตัวอย่างของการ “ลบ” ท่ีแสบสันท่ีสุดของเรา
เชนเบิร์กก็คือผลงานท่ีมีชื่อว่า Erased de Kooning
Drawing (1953)ซ่ึงเป็นการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะ
ด้วยการลบผลงานของศิลปินคนอื่นนั่นเอง ท่ีบอกว่าลบ
ก็คือการใช้ยางลบลบผลงานเอาดื้อๆ เลยน่ันแหละ โดย
ในตอนแรก เราเชนเบิร์กเริ่มต้นการทดลองน้ีด้วยการ
ลองลบผลงานวาดเส้นของตัวเองก่อน แต่ในที่สุดเขาก็
ตัดสินใจว่า ถ้าต้องการให้การทดลองของตนเองประสบ
ความสาเร็จ เขาจะต้องลบผลงานของศิลปินคนอื่น
เพราะถ้าเขาลบงานของตัวเอง ผลลัพธ์ก็จะไม่เป็นอะไร
มากไปกวา่ การลบงานตัวเองทิง้
Erased de Kooning Drawing (1953)
ภาพจาก https://bit.ly/2MT73dG
ดังนั้น เขาจึงด้ันด้นไปเย่ียมเยือนศิลปินรุ่นพี่ที่เขานับถือมากๆ อย่างวิลเลียม เดอ คูนนิง (Willem de
Kooning) ศิลปินแอ็บสแตร็กต์เอ็กซ์เพรสชั่นนิสต์ผู้ย่ิงใหญ่ และออกปากของานวาดเส้นของเดอ คูนนิง เพ่ือนาไป
ลบ ถึงแม้เดอ คูนนิง จะไม่ยินยอมในทีแรกแต่หลังจากถูกศิลปินรุ่นน้องเกล้ียกล่อม เขาก็กัดฟันมอบผลงานให้เรา
เชนเบิรก์ ไปลบทิง้ แต่กจ็ งใจเลอื กชน้ิ ทล่ี บยากๆ ให้ เพือ่ ใหก้ ารลบของเขามีความหมายลึกซ้ึงยงิ่ ขนึ้ ซ่งึ กว่าท่เี ราเชน
เบิร์กของเราจะลบภาพออกหมดก็กินเวลาไปกว่าเดือนและใช้ยางลบไปราวสิบห้าก้อนเลยทีเดียว (เม่ือดูจาก
ร่องรอยที่หลงเหลือเลือนรางแลว้ ภาพวาดลายเส้นของเดอ คูนนิงท่ีถูกลบน้ี น่าจะมาจากชุด “Woman” ที่เขาทา
ในชว่ งปี 1950-1955)
ตามรอยศิลปนิ 49
เราเชนเบิร์กกล่าวถึงกระบวนการสร้างงานศิลปะของตัวเองด้วยการลบงานของผู้อื่นท้ิงของเขาว่า “มัน
ไม่ใช่แค่การลบงานของศิลปินคนอ่ืน แต่มันเป็นการเฉลิมฉลองของความคิดต่างหาก”แต่ก็แน่นอนละว่า การทา
แบบนีข้ องเขากน็ ่าจะมีความหมายแฝงเรน้ ถึงการโบกมือลาศลิ ปะแอบ็ สแตร็กตเ์ อก็ ซเ์ พรสช่นั นสิ ตแ์ ละความคิดท่ีว่า
ผลงานศลิ ปะต้องเป็นอะไรทแี่ สดงออกถึงอารมณ์ความรู้สึกของมันดว้ ยเชน่ กัน และเปน็ การประกาศศักดาแห่งการ
มาถงึ ของกระแสความเคลื่อนไหวและแนวคดิ ใหมๆ่ ทางศลิ ปะทีก่ าลังจะถอื กาเนิดข้นึ ผลงานครั้งน้ีของเราเชนเบิร์ก
ตั้งคาถามเก่ียวกับการมีตัวตนอยู่ของศิลปะและท้าทายผชู้ มใหค้ รุ่นคิดว่า การที่ศิลปินคนหน่ึงลบผลงานของศิลปนิ
อีกคนทิ้ง เป็นกระบวนการสร้างสรรค์ทางศิลปะตรงไหน มันเป็นการแสดงคารวะ ล้อเลียน ยั่วยุ ท้าทาย ล้างครู
หรือเป็นแค่การทาลายกันแน่ แต่อย่างไรก็ตาม ศิลปะของการลบทิ้งของเราเชนเบิร์กช้ินน้ีก็เป็นผลงานท่ีท้าทาย
ขอบเขตแห่งการสร้างสรรค์ เปิดเส้นทางสู่พรมแดนใหม่ๆ ในการทางานศิลปะ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ศิลปะในแนว
คอนเซ็ปชวล (Conceptual art) นั่นเอง
นอกจากจะต้ังคาถามกับตัวตนความหมายของศิลปะแล้ว เขายังตั้งคาถามกับบทบาทของศิลปิน และ
ยกระดับแนวคิดในการทางานศิลปะ จากการใช้สีสันและฝีแปรงเพ่ือการแสดงออกถึงตัวตนภายในของศิลปิน ไปสู่
การทางานท่ีสะท้อนสังคมและโลกร่วมสมัย ด้วยการใช้สื่อสมัยนยิ ม สินค้าอุตสาหกรรม และข้าวของรอบตัวทั่วไป
ท่ีพบได้เกล่ือนกลาด มาเป็นวัตถุดิบในการ
ทางานศิลปะด้วยการหยิบจับผสมผสานวัสดุ
เก็บตกเหลือใช้ ของโหลดาษด่ืน ไปจนถึงซาก
สัตว์ที่ถูกสตัฟฟ์ มาทางานร่วมกับส่ือแบบ
ดั้งเดิมอย่างสีน้ามัน ผสานกับสาเนาจาก
ภาพถ่ายในสื่อต่างๆ กับสีทาบ้านทั่วๆ ไป มา
สร้างสรรค์เป็นงานศิลปะลูกผสมท่ีหลอมรวม
งานจิตรกรรมสองมิตเิ ข้ากบั งานประติมากรรม
สามมิตทิ ี่มีชอื่ เรยี กว่า “Combine painting”
Monogram (1955–59) ผลงาน Combine painting,
ภาพจากhttps://bit.ly/2NiLim
ตามรอยศิลปนิ 50
เราเชนเบิรก์ เชื่อว่างานจิตรกรรมนัน้ เช่อื มโยงกับทั้งศลิ ปะและชวี ิตอยา่ งปฏเิ สธไม่ได้ดว้ ยความเชอ่ื เชน่ นี้ เขา
สรา้ งสรรคผ์ ลงานทเ่ี ชื่อมโยงระหวา่ งชีวิตและศลิ ปะ ทสี่ รา้ งบทสนทนาอย่างตอ่ เนื่องกบั ผู้ชมและโลกรอบตัว รวมถึง
เร่อื งราวในประวัติศาสตรศ์ ลิ ปะ เขามักปลอ่ ยใหผ้ ู้ชมตคี วามผลงานของเขาได้อย่างอิสระ โดยไม่จากัด ควบคุม หรือ
ชี้นาความคดิ ของพวกเขา
Canyon (1959) ผลงาน Combine painting, ภาพจากhttps://mo.ma/2NeeT0k
ในชว่ งบ้ันปลายชีวิต เราเชนเบริ ์กอาศัยและทางานในนวิ ยอร์กและฟลอริดาเขาเสียชวี ติ ในวนั ท่ี 12
พฤษภาคม 2008 ในวัย 82 ปี เหลอื ทิง้ ไว้แตเ่ พียงผลงานและแรงบันดาลใจอนั นับไม่ถว้ นแก่ศลิ ปินรนุ่ หลัง